Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]  (อ่าน 77585 ครั้ง)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 18



ไซม่อนมาถึงในอีกแปดนาทีต่อมา แต่ผมรู้สึกเหมือนรอเขานานเป็นชั่วโมง

เงาตะคุ่มๆ สีดำปรากฏอยู่บนกระจกฝ้าของห้องทำงาน อีกฝ่ายเคาะประตูรัวๆ ขณะเอ่ยเรียกผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ออสติน! นี่ผมไซม่อนเอง เปิดประตูให้ผมที”

ผมกระชับปืนในมือตัวเองให้มั่นขึ้นแม้จะรู้สึกเหงื่อที่ซึมออกมาจนด้ามจับเปียกไปหมดก็ตาม ลุกขึ้นไปปลดล็อกให้ชายผู้มาใหม่ ไซม่อนก้าวเข้ามา ในมือของเขามีปืนอยู่เช่นกัน ท่าทีระแวดระวังหน้าหลังของเขาดูเป็นมืออาชีพมาก ต่างกับผมที่เกือบจะทำปืนหลุดมือไปหลายรอบแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นบ้างครับหลังจากที่คุณวางสาย”

“ไม่… ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผมว่าหมอนั่นคงตกใจเสียงปืนที่ผมยิงขึ้นเพดานไป”

“อะไรนะ”

ผมปิดประตูลงกลอนออฟฟิศทำงานของตัวเองด้วยความหลอนก่อนจะชี้นิ้วไปที่รูบนเพดานซึ่งเกิดจากกระสุนในปืนที่ผมถือ

“แล้วนัดสุดท้ายนั่นล่ะครับ”

“เอ่อ…” ผมหน้าร้อนวูบขึ้น ชี้นิ้วไปที่รูโหว่ที่อยู่บนพื้นแทน ไซม่อนมองตามมือผม ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อ ผมยักไหล่ “ปืนมันลั่นน่ะ”

“คุณนี่มัน…”

“ผมไม่เคยยิงปืนมาก่อนนี่”

“ส่งปืนคุณมาให้ผมดีกว่าครับ ก่อนที่คุณจะทำมันลั่นจนตัวเองตาย”

ผมส่งปืนให้เขาอย่างว่าง่าย ไซม่อนรับมันไปเหน็บไว้กับขอบกางเกง

“คุณไม่มีปืนที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมายนี่ ผมเช็คดูแล้ว”

“อะไรนะ คุณพูดว่าคุณเช็คอะไรนะ?”

“เฮ้ ผมเคยเช็คเรื่องคุณมาก่อนที่จะไปหาคุณที่บ้านไง จำได้ไหม” เขารีบพูดเมื่อเห็นท่าทีเดือดดาลของผม “แล้วตกลงปืนนี่มันยังไง”

“เป็นของเพื่อนร่วมงานผมที่ชื่อแม็กซ์ ชูน่ะ”

ไซม่อนพยักหน้ารับ เงยหน้ามองรูบนเพดานสองรูและรูบนพื้นอีกรอบก่อนจะส่ายหน้า ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบกับท่าทีอ่อนใจของเขา หากยังไม่ทันได้โวยวายอะไร ร่างสูงก็ตรงเข้ามากอดผมแนบกับอก ผมเบิกตากว้างนิดหนึ่งอย่างตกใจ และเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขาผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตอนที่เผชิญหน้ากับคนร้ายเมื่อครู่ทำให้ผมกลัวแค่ไหน

“ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่” เสียงอ่อนโยนกระซิบที่ข้างหู “กลัวว่าคุณจะเป็นอะไร”

ผมไม่ตอบ นึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองผลุนผลันออกจากคอนโดของเขามาเมื่อเช้าแล้วทำให้ไม่อาจทำตัวอ่อนหวานกับเขาอย่างทุกทีได้ แถมยังมีเรื่องหัวใจที่ผมเพิ่งค้นพบอีก เรามีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันยาวเกินไป และผมไม่อยากให้ความหวานของรูปแบบความสัมพันธ์เรามาขัด

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” ผมพูดตรงๆ

“เราจะนั่งคุยกันตรงนี้เลยไหมครับ”

ผมส่ายหน้า “คุณขับพาไปที่บ้านผมได้ไหม แต่แวะซื้อของสดก่อนกลับหน่อยนะ ที่บ้านผมไม่มีอะไรติดตู้เย็นเลย” นี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ข้าวกลางวันก็ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังต้องมาเจออะไรแบบเมื่อกี้อีก หิวจะตายอยู่แล้ว

“งั้นมาที่ห้องผมดีกว่าไหมครับ ผมพอมีเนื้อกับ--”

“ไม่ ผมไม่ไปห้องคุณ” ผมจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ไซม่อนก็เหมือนรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องถอยให้ผม ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้ผมหลุดมือไปเลย

“ได้ครับ เราไปบ้านคุณก็ได้ ผมจะขับพาคุณไปเอง”

พวกเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระหว่างทาง ผมเลือกเนื้อในการทำสเต็กใส่รถเข็น หยิบเส้นสปาเกตตี้ใส่ตามเพราะตั้งใจจะทำเป็นเครื่องเคียง ผมถามไซม่อนว่าโอเคกับเมนูที่ว่าไหมและเขาก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เขาหยิบเบียร์ใส่รถเข็นมากระป๋องหนึ่ง ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยดื่มเวลาอยู่กับผม เพราะเขาไม่อยากให้ผมรู้สึกไม่ดีที่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แต่เหมือนวันนี้จะเกินขีดจำกัดของเขาเหมือนกัน

เราแทบไม่พูดจาอะไรกันเลยตลอดทาง พอหายตกใจเรื่องที่คนร้ายวิ่งไล่ผม อารมณ์คุกรุ่นที่สั่งสมก็เริ่มปะทุออกมาอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากจะโพล่งถามออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้านสุขุมของผมเตือนเอาไว้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ยิ่งเพราะเราเพิ่งทะเลาะกันเมื่อเช้า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ตอนนี้เรียกได้ว่าแขวนอยู่บนเส้นด้ายทีเดียว และเพราะสายใยกับความรู้สึกที่ยังมีให้เขา ผมจึงยังอยากรักษามันไว้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนผมรึเปล่า

ทันทีที่ถึงบ้าน ผมไล่ให้ไซม่อนไปอาบน้ำเพื่อที่ตัวเองจะได้เตรียมข้าวเย็น

“ออสติน” เจ้าตัวยิ้มบางๆ เหมือนลำบากใจ น้ำเสียงเอาอกเอาใจทีเดียว “ไปอาบด้วยกันไหมครับ จะได้ออกมาช่วยกันทำทีเดียว”

“คุณไปเถอะ” ผมตอบกลับอย่างเย็นชา “ผมไม่มีอารมณ์อยากอาบกับใครวันนี้”

นั่นแหละเขาถึงยอมถอยไปได้ หน้าเจื่อนสนิททีเดียว แต่นี่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้นแหละ

ผมผสมเนื้อกับซอสให้เคล้าเข้ากัน นำเส้นสปาเกตตีใส่หม้อต้มระหว่างที่หมักเนื้อไปด้วย พอได้ขยับตัว คิดเรื่องสูตรผสมแทนเรื่องวุ่นวายอื่นๆ ที่อยู่ในหัว ผมก็รู้สึกว่าความตึงเครียดของตัวเองลดลง

ไซม่อนเข้ามาวุ่นวายในครัวหลังจากที่อาบน้ำเสร็จสรรพ อยู่ในชุดนอนเรียบร้อย ผมยังทำตัวเย็นชากับเขาอยู่ แต่ก็ยอมให้เจ้าตัวช่วยยกอาหารออกไปจัดวางในท้ายที่สุด

หลังจากที่ลงมารับประทานอาหารกันไปได้กว่าครึ่ง สปาเกตตี้ที่เป็นเครื่องเคียงพร่องลงไปเกือบหมดแล้ว อารมณ์ของผมก็กลับมาคงที่และสงบพอที่จะถามเขาตรงๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่เด็ดขาด

“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงต้องหลอกผมเรื่องหัวใจ”

มือของไซม่อนที่กำลังใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเต็กคำสุดท้ายเข้าปากค้างอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างน่าขัน แต่ผมไม่มีอารมณ์หัวเราะออกมา

ผมรู้ดีว่าเขาคงไม่ทันรับมือกับเรื่องนี้ เมื่อเช้าผมคาดคั้นเขาเรื่องรูปถ่ายของแบรดที่คริสเตียนส่งมาให้ผม ตกเย็นผมคาดคั้นเขาเรื่องหัวใจที่ไม่ได้เป็นของแบรดอย่างที่เขากล่าวอ้าง ไซม่อนจนแต้มแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นให้เขานอกจากเล่าความจริงให้ผมฟัง

เขาตัดสินใจเอาสเต็กชิ้นนั้นเข้าปากหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมยกแก้วน้ำเปล่าของตัวเองขึ้นดื่มในขณะที่มองกระป๋องเบียร์ข้างเขา ผมมีเวลารอเขากินเสร็จอยู่แล้ว ไม่ได้รีบร้อนอะไร

“ทำไมคุณถึงคิดว่าหัวใจที่คุณได้ไปไม่ใช่ของแบรดล่ะครับ”

ผมเหยียดยิ้ม แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนอ่อนใจ ก่อนจะตอบกลับ

“คุณจะเอาแบบนี้ใช่ไหมครับ ไซม่อน อยากเล่นเกมกับผมใช่ไหม แล้วคุณจะประหลาดใจมากถ้ารู้ว่าผมทำอะไรได้บ้างกับกระดานเกมนี้ของพวกเรา”

“ไม่” เป็นเขาเองที่ต้องหลุบตาต่ำลง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยนั่นฉายแววหวาดหวั่น “ผมไม่ได้อยากเล่นเกมกับคุณ”

“คุณโกหกผมเรื่องหัวใจทำไม”

เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมตรงๆ หลังจากรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้อีกครั้ง

“คุณเข้าไปในเว็บของโอดีอาร์ใช่ไหม”

“ตอบคำถามผม ไม่ใช่ตั้งคำถาม ไซม่อน หมากเกมนี้ผมคือคนคุม ถ้าทำตามไม่ได้ก็ไสหัวออกไปจากบ้านผมซะ”

ร่างสูงดูอึ้งไปกับท่าทีเด็ดขาดแบบนั้นของผม ผมก็รู้แหละว่าตัวเองใจร้ายที่บอกให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนกับตัวเองเมื่อชั่วโมงก่อน แต่มาตอนนี้ก็ทำท่าจะไล่เขากลับบ้านเสียแล้ว

เจ้าหน้าที่หนุ่มลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ถอนหายใจยาวออกมาอย่างจำยอมก่อนจะวางส้อมในมือลงบนจานที่ว่างเปล่า

“ผมแค่อยากเข้าหาคุณ”

ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกว่ารอฟังคำอธิบายต่อจากนั้น

“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าผมชอบคุณมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”

“ที่เจอผมในบาร์น่ะเหรอ” ผมแสยะยิ้ม รินน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม “พูดจาเป็นเด็กม. ปลายไปได้ รักแรกพบเหรอคุณ? ไม่คิดว่ามันน้ำเน่าไปหน่อยรึไง”

“ความรักไม่ต้องมีเหตุผลหรอก”

ผมระเบิดหัวเราะออกมาทันทีกับคำพูดซื่อๆ นั่น ยิ่งเห็นสีหน้าแววตาของเขาที่หมายความตามนั้นจริงๆ แล้วยิ่งทำให้อดหัวเราะไม่อยู่ ไซม่อนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นกับเสียงหัวเราะของผม สีหน้าไม่พอใจของชายหนุ่มทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ให้ตายสิ นี่หมอนี่อายุ 17 เหรอ หรือว่ายังไง

“หัวเราะอะไรนักหนาครับ ออสติน”

“เปล่าครับ แค่คาดไม่ถึงน่ะ” ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ พันเส้นสปาเกตตี้ด้วยส้อม “เพิ่งรู้ว่าคุณมีมุมสาวน้อยแบบนั้นด้วย น่ารักดี”

“แล้วคุณไม่ได้คิดแบบนั้นหรือไง ความรักของคุณใช้เหตุผลเหนือกว่าความรู้สึกงั้นเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ ไม่เคยคิดเรื่องนั้นจริงจังสักที”

แปลกดีที่เรามานั่งเจาะลึกความคิดในด้านความสัมพันธ์กันเอาป่านนี้ หลังจากขึ้นเตียงด้วยกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ผมก็ไม่ได้ถือหรอกนะ ยังไงเสียการคบกันก็คือการเรียบรู้กันอยู่แล้ว และถ้าเขายังรักจะอยู่ด้วยกันต่อล่ะก็ เขาต้องรู้ว่าการหลบเลี่ยงตอบคำถามเรื่องข้ออ้างที่เขาหยิบยกขึ้นมาใช้ตอนเข้าหาผมนั้นคงไม่ทำให้ผมประทับใจเท่าไร

ผมวกกลับมาที่หัวข้อหลัก “สรุปว่าคนหลอกผมเรื่องหัวใจเพื่อที่จะเข้าหาผมอย่างนั้นเหรอ คุณเจ้าหน้าที่”

“ใช่ครับ”

“แล้วเรื่องรูปถ่ายของแบรดล่ะ”

“ผมไม่รู้”

ผมสบตาเขา มองลึกเข้าไปราวกับจะคว้านไปจนถึงภายใน ผมไม่แน่ใจว่าเขาโกหกผมอยู่รึเปล่า ลองถ้าเขาโกหกเรื่องใหญ่โตอย่างเรื่องหัวใจพี่ชายเขาได้ เขาจะโกหกอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ

“ต่อให้คุณจะบอกว่าคุณทะเลาะกับแบรดทำให้ห่างๆ กันไปก่อนที่เขาจะตายก็เถอะ แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่กลับไปสืบเรื่องของพี่ชายตัวเองหลังจากที่เขาตาย “

ไซม่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นนิดหนึ่ง “แน่นอนว่าผมสืบเรื่องเขา ในการทำคดี ผมจำเป็นต้องตรวจดูทุกมุมมอง”

“แล้วเรื่องคริสเตียนล่ะ”

“ผมไม่รู้จริงๆ”

“คุณเข้าหาผมด้วยจุดประสงค์อะไร”

เขาทำหน้าอึ้งๆ อย่างไม่อยากเชื่อหู “คุณถามอะไรของคุณ”

“ขอที คุณคิดว่าผมจะเชื่อคุณจริงๆ เหรอที่คุณบอกว่าเข้าหาผมเพราะชอบผมน่ะ คุณอาจจะอยากมีเซ็กส์กับผมนะ ไซม่อน แต่เรื่องรักใคร่ชอบพอกันเนี่ย ขอทีเถอะ คุณเห็นผมเป็นเด็กอมมือรึไง”

หน้าของชายหนุ่มแดงขึ้นด้วยความอับอาย นัยน์ตาคู่สวยของเขามีร่องรอยตัดพ้อกับท่าทีเย็นชานั้นของผม ผมยักไหล่ให้เขา ผมเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์ทำแบบนั้นนะ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายที่หลอกลวงผมก่อน แล้วไอ้เรื่องที่เขาหลอกก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

“ผมชอบคุณมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว”

“เหอะ ผมไปบาร์นั่นครั้งแรกก็เมื่อหลายปีก่อนเหมือนกัน”

“ไม่ใช่” เขาขัดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “คุณอาจจะจำไม่ได้นะ ออสติน แต่คุณเคยทำแผลให้ผม ช่วงประมาณ 4-5 ปีก่อน ตอนที่มีจราจลในเมือง”

ผมจำเหตุการณ์ที่ว่านั้นได้ทันที มันเป็นช่วงที่วุ่นวายและสับสนที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ผมงานมา ผมเบิกตามองเขาอย่างแปลกใจระคนอึ้งๆ เห็นนัยน์ตาสีฟ้าหลบต่ำลงมองมือที่อยู่บนตักอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่ค่อยแสดงท่าทีแบบนั้นให้ผมเห็นมากเท่าไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทำแบบนั้น มันคือการบ่งบอกว่าผมเป็นต่อเขาอยู่

“อ่า” ผมครางในลำคอ พยักหน้ารับเนิบๆ “ผมนึกออก ตอนนั้นวิ่งวุ่นหัวปั่นไปหมด”

“ผมถูกยิงเข้าที่บ่า กระสุนแค่ถากไป แต่ตอนนั้นผมเพิ่งเคยโดนยิงจริงๆ เป็นครั้งแรก มันก็เลย… ค่อนข้างน่ากลัวล่ะมั้ง ผมเข้าไปทำแผลที่โรงยิมที่ตอนนั้นทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยกับหน่วยพยาบาลใช้เป็นค่าย… แล้วคุณก็เป็นคนมาทำแผลให้ผม”

ผมเงียบ สัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาจากน้ำเสียงและคำพูดเขา มันเต็มไปด้วยความประทับใจและความรู้สึกร่วมที่มีต่อเหตุการณ์นั้นอย่างเต็มที่ นั่นทำให้ผมขยับตัวนิดหนึ่งอย่างทำตัวไม่ถูก เกือบจะเรียกได้ว่าอายเลยด้วยซ้ำที่เขาดูรู้สึกกับมันมากขนาดนี้

“ผมรู้ว่ามันฟังดูงี่เง่า” ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นอย่างเขินอาย ซึ่งนั่นทำให้ผมหน้าร้อนตาม “แต่วินาทีที่ผมเห็นคุณครั้งแรกที่นั่น ผมก็ตกหลุมรักคุณไปแล้ว คุณมาแทนเพื่อนของคุณที่ถูกเรียกตัวไปตอนที่เริ่มดูแผลให้ผม ทุกอย่างรอบตัวเราเสียงดังแล้วก็วุ่นวายมาก แต่ผมรู้สึกเหมือนทั้งโลกมีแค่คุณกับผมตอนที่คุณลงมือทำแผลให้”

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเองอย่างเผลอตัว มันร้อนฉ่าอย่างน่าอาย แล้วไอ้คนที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วอยู่นี่ไม่กระดากปากเลยรึไง ท่าทีตรงไปตรงมาแบบนั้นของเขาทำให้ผมเขินจริงๆ นี่เราไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะมานั่งจีบกันด้วยถ้อยคำหวานซึ้งอย่างรักแรกพบอะไรแบบนั้นแล้วนะ แล้วเรื่องนั้นมัน…

“จริงๆ ก่อนหน้าที่ผมจะพบคุณ ผมก็ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย” ไซม่อนว่าหน้าตาเฉย กระดกกระป๋องเบียร์ให้ไหลผ่านลงคอ ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะฤทธิ์เหล้า แต่เมื่อเขาเปิดปากพูดออกมา ผมก็รู้ว่าเขายังมีสติครบถ้วนดี “ผมยังตกใจตัวเองเลย แต่ก็เชื่อนะว่านั่นเป็นความรักจริงๆ”

“เด็กมัธยมชัดๆ” ผมงึมงำ ไซม่อนหัวเราะร่วน

“ก็นะ”

ผมนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะถามอะไรต่อ เหลือบตาไปมองกระป๋องเบียร์ของเจ้าตัว เพิ่งมารู้สึกเสียดายที่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ก็ตอนนี้ ผมอยากจะดื่มกับเขาบ้าง

เหมือนรับรู้ความทุกข์ใจเล็กๆ นั่นของผม ไซม่อนลุกออกจากที่นั่งของตัวเองแล้วเดินมาหยุดอยุ่ที่หน้าผม เลื่อนมือลงแตะแก้มผมอย่างแผ่วเบาราวกับหยั่งเชิง ผมยอมให้เขาแตะตัวเองในครั้งนี้ และเมื่อฝ่ามือหนาทาบลงมาเต็มๆ ไซม่อนก็เลื่อนริมฝีปากลงมาจูบผมอย่างนุ่มนวลอย่างง้องอน

ผมหลับตา รับสัมผัสอ่อนหวานนั่นจากเขา บางทีผมอาจจะไม่ควรจะแซะเขาเรื่องเด็กมัธยมปลายอะไรที่ว่านั่นก็ได้ เพราะตัวผมเองพอได้ยินคำสารภาพที่ฟังดูบริสุทธิ์แบบนั้นของเขาแล้วก็เอาใจอ่อนยวบลงไปเหมือนกัน ความโกรธที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อเช้าตลอดจนถึงช่วงเย็นเหมือนจะมลายหายไป

ไซม่อนเลื่อนมือมาบนแผ่นหลังผม รับรู้ได้ถึงความต้องการทางกายของกันและกัน ผมปรือตาขึ้น มองหน้าเขาที่ทาบจูบลงมาอย่างโหยหา พอใจไม่น้อยกับแก้มที่แดงระเรื่อนั่นของเจ้าตัวและจังหวะจูบที่ประดักประเดิดกว่าทุกครั้งราวกับไม่แน่ใจในตัวเอง ดูเหมือนว่าที่ผมระเบิดอารมณ์ใส่เขาจะทำให้เจ้าตัวกังวลไม่น้อยทีเดียว

“ไซม่อน” ผมเอื้อมมือไปปิดปากเขาที่ทำท่าจะจูบลงมาอีกรอบ “ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“ไว้ทีหลังก็ได้นี่ครับ”

ก็เป็นซะแบบนี้


.
.
.
.
.
.
(50%)






-------------------------------------------
Talk: งุ้ยยย ค่อยๆ กระเทาะเปลือกกัน แง้มๆ กันไปนะคะ 555555 ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านน้า จะขอบคุณมากเลยถ้าส่งกำลังใจกันด้วยคอมเม้นท์คนละนิดหน่อย ช่วงนี้ท้อนิดนึงค่ะ ขอกำลังใจให้เค้าหน่อยนะ TvT

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คนเขียนจุดความระแวงในใจเราแล้ว... ความระแวงที่ว่านี้มันจะยังไม่หายไปง่าย ๆ หรอกนะ หึหึ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]



ผมส่ายหน้าเหมือนอ่อนใจ แต่ก็ยอมให้แขนแกร่งรวบลงมาดึงร่างผมให้ลุกออกจากเก้าอี้ ไซม่อนถอดเสื้อเชิ้ตของผมออกตอนเรากอดป่ายกันไปมาที่ชานบันได ผมถอดเข็มขัดของเขาตาม เหมือนเรากำลังเล่นเกมโชว์อะไรสักอย่างอยู่อย่างนั้น เร่าร้อนเสียไม่มี

ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ทาบลงมาแทบจะทำให้ผมละลายในครั้งนี้ ทุกส่วนในร่างกายตื่นตัวจากการสัมผัสเล้าโลมที่ลากยาวตั้งแต่บนโต๊ะอาหารจนถึงห้องนอนชั้นสอง กางเกงซึ่งเป็นเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนร่างผมถูกถอดออกไป ผมปล่อยให้เขาคลอเคลียอยู่ที่บริเวณซอกคอและแผ่นอกสลับกันไปมา

ผมเลื่อนมือไปกุมใบหน้าเขาให้ก้มลงมามองผมเต็มๆ ตา เห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ของเขาแล้วใจละลายอีกรอบ ไซม่อนก้มลงมาจูบแผ่วเบา และเมื่อเขาผละออกไปผมก็ออกปากถามทันที

“ใครคือเจ้าของหัวใจคนก่อนของผมเหรอ”

ร่างสูงหยุดการกระทำของตัวเองไปนิดหนึ่ง หากวินาทีต่อมาก็ไล้สันจมูกลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าของผมต่อ

“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะรู้ล่ะ”

“อ้าว” มันผิดกับตอนที่เขาบุกมาหาผมที่บ้านตอนแรกนี่หว่า “ก็คุณสืบเรื่องของผมมาหมดแล้วไม่ใช่เรอะ”

“เรื่องผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะมันเป็นความลับทางการแพทย์นะครับ ออสติน” น้ำเสียงเหมือนกำลังสอนเด็กไม่ประสีประสา ทำเอาผมอยากจะถีบให้ปลิวไปติดกับเพดานด้านบน

“โอ้โห ไม่บอกไม่รู้เลยนะครับเนี่ย คุณเจ้าหน้าที่จอมโกหก”

“ฮื้อ อย่าสิคุณ ผมก็ขอโทษอยู่นี่ไง”

“ผมยังไม่ยกโทษให้หรอกนะ”

ไซม่อนทำสีหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจ จากนั้นจึงโน้มหน้ามาจูบอีกรอบเป็นเชิงง้อ “โธ่ ออสตินคร้าบ ยกโทษให้ผมเถอะน้า ผมยอมทำทุกอย่างเลย”

“จริงเหรอครับ คนเก่ง” ผมเลื่อนมือไปดึงแก้มเขาอย่างมันเขี้ยว เขาซุกหน้าลงบนซอกคอผมอย่างอ้อนๆ

“ออสติน” เสียงนั้นพูดอย่างพร่ำเพ้อ จุมพิตลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้ง กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก เซ็กซี่ชะมัด

ผมเลื่อนแขนไปเกาะแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายขยับส่วนกลางของตัวเองถูไถลงบนปากทางเข้าด้านหลังเพื่อกระตุ้นอารมณ์

“อื้อ” ผมครางออกมานิดหนึ่ง ไหวตัวเมื่อไซม่อนไล่ปลายนิ้วลงบนยอดอกแล้วเริ่มออกแรงบีบมากขึ้น “อ๊ะ! เดี๋ยว--”

“หืม?” อีกฝ่ายแกล้งส่งเสียงครางเป็นเชิงไม่เข้าใจในลำคอ ขยับหน้าลงมาจูบปิดปากผมที่นอนราบอยู่บนเตียงอีกรอบ พร้อมๆ กันนั้นก็แตะนิ้วลงบนปากทางด้านหลัง สอดผ่านเข้าไปในช่องแคบให้ผมสะดุ้งอีกเฮือก หากเมื่อนิ้วเรียวผ่านเข้าไปจนสุดผมก็ใช้สองมือที่โอบคอเขาไว้ให้ลดต่ำลงมาเพื่อรับจูบร้อนแรงจากผม

ลิ้นทั้งสองตวัดเกี่ยวรับกันอย่างรู้จังหวะ ลมหายใจอุ่นของเขาที่เป่ารดลงมาอุ่นซ่าน มือที่เล้าโลมอยู่แผ่นอกเลื่อนต่ำลงไปวางอยู่บริเวณสะโพก ผมครางออกมาเบาๆ อย่างเสียวซ่านเมื่อนิ้วที่สองและที่สามถูกใส่เข้ามาในตัว

ไซม่อนจูบหน้าผากผมก่อนจะกระซิบข้างแก้มผมอย่างยั่วยวน

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกลัวสัมผัสแล้วนี่ คุณหมอ?”

“แฮ่ก… ก็นะ มีเรื่องอื่นให้กลัวมากกว่ามั้งครับ” ผมตอบยิ้มๆ พร้อมกับหายใจหอบไปด้วย

“อืม… แบบนั้นก็เรียกว่าเป็นเรื่องดีไม่ได้สิ?”

“ช่าย… ไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“ออสติน” เขาเริ่มเรียกชื่อผมอย่างพร่ำเพ้ออีกครั้ง ผมแพ้ทางกับท่าทีออดอ้อนแบบนี้ของเขาทุกที

ไซม่อนถอนนิ้วออจากร่างผม เตรียมจะขยับกายเข้ามาหากผมเลื่อนมือไปดันแผ่นอกเขาออกก่อนเป็นเชิงห้าม อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน ผมดันตัวเขาให้ถอยหลังลงไปนั่งกับเตียง คลานเข้าไปประชิดตัวก่อนจะโน้มหน้าต่ำลง จรดปลายลิ้นลงบนแกนกลางของเขาแผ่วเบา

“ออสติน? คุณไม่เป็นไรเหรอ?” เสียงเขาอึกอัก นั่นทำให้ผมนึกขันในใจ ถามอะไรแปลกๆ ชะมัดหมอนี่ ถ้าผมไม่โอเคจะยอมทำให้เหรอวะ

“อ๊ะ” เสียงครางสั้นๆ ของเขากระตุ้นอารมณ์ผมอย่างบอกไม่ถูก ไซม่อนเลื่อนมือมาจับเส้นผมของผมไว้แน่นขณะที่ผมวุ่นวายอยู่กับการแทะโลมส่วนอ่อนไหวของเขา “อึก… ออสติน แฮ่ก อ่า… ชะ… ช้าหน่อยครับ ถ้าคุณเร่งจังหวะแบบนั้น---”

ผมไม่ฟังคำห้ามไร้สาระของเขา เพราะรู้ดีว่าคำพูดนั้นมันแปลความหมายได้อีกต่อหนึ่งว่า ‘แบบนั้นแหละ เยี่ยมไปเลย’

โพรงปากที่ครอบลงบนส่วนนั้นของเขาร้อนระอุจนทำให้ผมหน้าแดงตามไปด้วย คนตรงหน้าเกร็งตัวแน่นขึ้น บิดร่างเล็กน้อยก่อนที่แรงปรารถนาจะไต่ไปจนถึงจุดสูงสุด น้ำอุ่นๆ ทะลักเข้ามาในปาก กลิ่นคาวของมันอบอวลไปหมด

“อะ… อึก” ไซม่อนว่าขณะเลื่อนฝ่ามือมาแตะแก้มผมแผ่วเบา หน้าแดงขึ้นอีกรอบเมื่อเห็นว่าผมกลืนน้ำของเขาลงลำคอเอื๊อกใหญ่ “อะ… ออสติน คุณ---”

“อะไรครับ” ผมส่งยิ้มหวานให้เขา ชอบใจที่เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงไปถึงหูแบบนั้น “ไม่ชอบใจที่ผมทำเหรอ?”

“เปล่าครับ” ไซม่อนว่า มือหนากุมลงบนเอวทั้งสองข้างของผมให้ขยับตัวขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตักเขา “แค่ตกใจว่าคุณพัฒนามาได้ถึงขั้นนี้แล้วเหรอเท่านั้นเอง ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกันคุณยังร้องไห้น้ำตาซึมอยู่เลย”

“ผมเป็นคนมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดน่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็รู้”

ผมปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขา มือหนาไล้ต่ำลงบนสะโพกผม ยึดเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไปไหน มือหนาไล้ต่ำลงมาที่โคนขาข้างซ้าย รอยแผลที่เป็นตัวเลขยังอยู่ตรงนั้น ใต้มันมีตัวหนังสืออีกเจ็ดคำสลักอยู่ ผมไหวตัวนิดหนึ่ง ชักสีหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“อย่าจับตรงนั้นสิครับ” ผมคราง เขาหอมแก้มผมฟอดหนึ่งเหมือนขอโทษ

“ไม่ได้ตั้งใจครับ แค่เห็นก็เลยเผลอไป”

“มัดชัดมากสินะ” ผมงึมงำ อีกฝ่ายพยักหน้ารับหน้าตาเฉย

“ชัดสิครับ ยิ่งผิวคุณขาวขนาดนี้”

มือหนาเริ่มลูบไล้บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง ผมสะดุ้งเฮือกนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือไปตีบั้นท้ายผมทีหนึ่งเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ผมถลาหน้าเข้าไปจูบเขาแนบแน่น เคลิ้มไปกับจังหวะเร่งเร้าที่อีกฝ่ายจูบตอบกลับมา

เราสองคนจูบกันอีกครั้งอย่างเนิ่นนาน ไซม่อนใช้จังหวะนี้เอื้อมไปหยิบถุงยางที่อยู่ในลิ้นชักของชั้นวางข้างหัวเตียง ผมได้ยินเสียงดังกรอบแกรบที่เขาแกะมันออกจากซอง ผมเอี้ยวตัวไปมองมือหนาที่สวมใส่มันอย่างชำนาญเล็กน้อย

“อ่า…” ผมครางเสียงเบา มือที่อยู่บนบ่ากว้างของเขาจิกนิ้วลงไป ในหัวเริ่มจินตนาการถึงความสุขสมที่ร่างสูงจะปรนเปรอให้ได้

แรงจากมือของไซม่อนดันร่างผมไปจ่อปากทางด้านหลังตรงส่วนปลายของแกนกลางเขา ผมหลุดครางออกมาอีกรอบ โน้มหน้าลงไปจูบปากเขาทีหนึ่งอย่างขอกำลังใจ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง เลื่อนมือ ขยับปลายนิ้วไปเปิดทางที่ว่าให้กว้างขึ้นจากนั้นจึงค่อยๆ กดสะโพกลงต่ำ ได้ยินเสียงครวญของตัวเองปนไปกับเสียงหายใจกระเส่าของไซม่อน

“อื้อ… ออสติน”

“ฮะ… แฮ่ก”

ผมจูบแก้มเขาอย่างหลงใหล เหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของพวกเราทั้งคู่ ผมเคลื่อนสะโพกลงต่ำเรื่อยๆ รับรู้ถึงท่อนนั้นของอีกฝ่ายที่แทรกผ่านร่างเข้ามาลึกขึ้นๆ ผมครางด้วยความเสียวซ่าน แหงนหน้าขึ้นตามแรงอารมณ์ ไซม่อนใช้จังหวะนั้นงับฟันลงมาบนซอกคอผมเต็มแรง ผมสะดุ้งอีกเฮือก ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่น ไซม่อนเลื่อนมือไปยึดใต้ข้อพับเข่าแล้วอ้าขาผมออกให้เปิดกว้างมากขึ้น ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะกระซิบลงมาที่ข้างหู

“ออสติน… คุณจำที่คุณเคยพูดกับผมตอนเรามีเซ็กส์กันครั้งแรกได้ไหม”

“อ๊ะ… อือ เรื่องอะไรครับ” ผมสะดุ้งตัวสุดแรงเมื่อมือหนากดเอวผมลงจนจมลงมิดด้าม ผมจิกปลายเท้าลงบนผ้าปูเตียงก่อนจะส่งเสียงอ้อนวอน “อึก ไซม่อน อย่าแรง…”

“อ่า โทษทีครับ เผลอไปหน่อย” ไม่พูดเปล่า ลิ้นร้อนของเจ้าตัวตวัดลงบนหู ให้ตายสิ หมอนี่ชอบทำตัวได้คืบเอาศอกแบบนี้ตลอด “ก็… ที่คุณบอกว่าผมเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคุณไงครับ คุณบอกว่าคุณอยู่กับผมแล้วรู้สึกสบายใจแล้วก็ปลอดภัยไงครับ”

“อือ” ผมก้มลงมองหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ของเขา ไล่ขึ้นมาจนถึงแผ่นอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเหมือนกัน รู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมา “จำ… จำได้ครับ”

“ตอนนี้… ผมยังเป็นสถานที่นั้นของคุณอยู่รึเปล่าครับ?”

ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ไล้ริมฝีปากลงไปคลอเคลียที่ข้างแก้มเขาก่อนจะตอบ “แล้วถ้าไม่ใช่… ผมจะยอมอยู่กับคุณตรงนี้เหรอครับ ที่รัก?”

ไซม่อนยกยิ้มอย่างพึงพอใจ จูบแก้มผมเหมือนให้รางวัล “พูดดีจังครับ ออสติน”

ผมขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ เสียงหอบหายใจกระเส่าของคนตรงหน้าทำให้แรงอารมณ์ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ

เสียงครางสุดท้ายของพวกเราสอดประสานกัน ผมหอบหายใจระรัวขณะที่ค่อยๆ ถอนร่างของตัวเองออกมา กำลังจะผละตัวออกจากเขา หากมือหนาโอบรัดรอบตัวผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน เสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ของเขาทำให้หน้าผมร้อนขึ้น

“ออสติน… ออสตินครับ ผมรักคุณ”

อ่า… ให้ตายเถอะ หมอนี่ รู้วิธีที่จะปั่นหัวกันตลอด

ผมทาบริมฝีปากลงข้างขมับเขา ส่งยิ้มจริงใจให้อีกฝ่ายก่อนจะว่า “ผมก็รักคุณครับ ไซม่อน”



หลังจากที่จัดการเคลียร์เนื้อตัวจนสะอาดเรียบร้อยอีกครั้ง พวกเราทั้งคู่ก็นอนเหยียดกันบนเตียงเตรียมจะเข้านอน มือหนาที่เลื่อนลงบนเส้นผมของผมเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ หลังจากเจอเรื่องระทึกมาแบบนั้นร่างกายก็ล้าจัดจนตอนนี้ชักเคลิ้ม หากเสียงของคนข้างตัวพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้

“คุณอยากลงบันทึกเรื่องที่โดนคนร้ายไล่ตามวันนี้รึเปล่าครับ ออสติน”

“เอ… นั่นสินะ แล้วคุณตำรวจว่ายังไงล่ะครับ” ผมถามย้อนเขาด้วยน้ำเสียงล้อเลียน รู้ดีว่าคนที่รับผิดชอบคดีของผมในตอนนี้คือไซม่อน เขาบอกตั้งแต่ตอนที่ผมฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้ว เห็นว่าเขามีตำรวจอีกคนที่รับคดีนี้คู่กับเขาด้วย

“อืม… ผมโทรบอกคู่หูผมตอนที่เราอยู่กันในซุปเปอร์แล้ว แต่พวกลักษณะที่คุณบอกผมมามันยังไม่ค่อยชัดเท่าไร แต่อย่างน้อยก็จำกัดพื้นที่กับช่วงเวลาลงไปได้บ้าง”

“แล้วพวกกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลล่ะครับ ได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว”

ไซม่อนส่ายหน้านิดหนึ่ง สีหน้าผิดหวัง “ตอนนั้นไฟดับใช่ไหมครับ กล้องที่ถ่ายติดไม่มีระบบอินฟาเรด ส่วนตัวที่มีก็ดันมาเสียพอดี อันนี้จากที่คู่หูผมบอกมานะ”

“อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น” ผมว่าเสียงเยาะหยัน

เราทั้งคู่เงียบลงไปอีกพักหนึ่ง จมลงในห้วงความคิดของตัวเองก่อนไซม่อนจะว่า

“ผมจะจับคนร้ายคนนั้นให้ได้แน่ คุณไม่ต้องห่วงนะ”

“อือ” ผมซุกหน้าลงบนแผ่นอกเขาอ้อนๆ “ยังไงคุณก็จะปกป้องผมใช่ไหมล่ะ”

“แน่นอน” เขายิ้ม กระชับอ้อมแขน ดึงผมไปกอดแน่นขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “แล้ว… จากลักษณะท่าทาง คุณคิดว่าคนนั้นคือคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนรึเปล่าครับ”

ผมนิ่งไปกับคำถามตรงๆ นั่น อ้อมแอ้มไปว่า “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็เห็นแค่ผ่านๆ เท่านั้น ไม่ทันได้สังเกตดีๆ”

“งั้นเหรอครับ” เขาว่า หากน้ำเสียงรู้ทัน นั่นทำให้ผมหน้าแดงขึ้นนิดหนึ่ง

ผมรู้ดีว่าคนที่วิ่งไล่ตามผมวันนี้ไม่ใช่คริสแน่นอน อีกฝ่ายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าแฟนเก่าคนนั้นของผม และส่วนหนึ่งมันทำให้ผมเสียดายและผิดหวังไม่น้อย เพราะถ้าคนร้ายในครั้งนี้คือคริส โอกาสที่จะจับตัวเขาได้ก้จะมีมากขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่… นอกจากจะจับคริสไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องน่าปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกว่าอีกฝ่ายเป็นใครและต้องการอะไร

แล้วทำไม… ตัวผมถึงได้มีแต่คนต้องการไม่จบไม่สิ้นเสียทีนะ

ไม่เข้าใจจริงๆ





-----------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้วค่ะ! ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ :)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
คนเขียนจุดความระแวงในใจเราแล้ว... ความระแวงที่ว่านี้มันจะยังไม่หายไปง่าย ๆ หรอกนะ หึหึ


งุ้ยยย อย่าระแวงนักเลย ไม่มีอะไรหรอกน่าาาา 5555555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อือออออ.......นั่นสิ ออสติน มีอะไรให้เหล่าคนร้าย เข้าหานะ  :z3: :z3: :z3:

แต่ไซม่อน ออสติน รักกัน เข้าาใจกันแล้ว ยอดเยี่ยมเลย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ยังสรุปอะไรไม่ได้
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 19




ไซม่อนบอกว่าใช้ข้ออ้างเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเพื่อเข้าหาผม แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของคนก่อนของอวัยวะชิ้นนี้เป็นใคร…

ผมกดปากกาที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิด นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตัวโทรมที่อยู่ในห้องพักของเจ้าหน้าที่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ผมหยิบขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหลครับ”

เสียงของไคล์ดังมาให้ได้ยิน “ออสติน ช่วงบ่ายนี้พอจะมีเวลาให้ผมพาญาติของเอ็มม่า เดนนิสไปดูศพหล่อนหน่อยไหมครับ”

“อ่า” ผมครางในลำคออย่างแปลกใจเล็กน้อย นึกว่าญาติของเคสผมรายนี้จะไม่มาแสดงตัวเสียแล้ว “ได้ครับ คุณจะมาสักกี่โมง”

“ถ้าอีกสักครึ่งชั่วโมงไปหา คุณจะสะดวกรึเปล่า”

“มาได้ครับ แล้วเจอกันนะ ไคล์”

ไคล์มาพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่แนะนำตัวเองว่าเป็นพี่สาวของเอ็มม่า เดนนิส เจ้าหล่อนมีรูปร่างผอมโกรก มีผ้าปิดปากปิดเอาไว้ จมูกแดง หางตาแดงเหมือนคนไม่สบาย เวลาพูดกับไคล์ก็มีเสียงค่อนข้างอู้อี้ในลำคอ

“ฉันป่วยหนักมาก ก็เลยปลีกตัวมาดูศพเอ็มม่าไม่ได้ แถมยังอยู่กันคนละรัฐอีก” หล่อนว่าขณะที่หางตาเริ่มแดงขึ้น น้ำใสๆ คลอขึ้นมาที่ขอบตา

ผมปล่อยให้ไคล์รับหน้าที่ปลอบและพูดคุยกับหญิงสาวเป็นส่วนใหญ่ อย่างที่ผมบอก… ผมเคยเห็นแววตาเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรักแบบนี้มาเยอะแล้ว และหล่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ของของผู้ตายมีแค่นี้เองเหรอ ออสติน” ไคล์ว่าหลังจากที่ผมส่งซองซึ่งใส่เครื่องประดับของเอ็มม่า เดนนิสไว้ให้ หลักฐานชิ้นอื่นๆ ถูกทางตำรวจนำไปตรวจสอบหมดแล้ว ยกเว้นพวกเครื่องประดับเล็กๆ ที่ติดมากับศพ แล้วก็เสื้อผ้า “ต่างหูรูปดาวนี่ มีแค่ข้างเดียวเหรอ”

“อ่า ใช่ครับ” ผมว่าหลังจากชะโงกหน้าไปตามนิ้วที่ไคล์ชี้ “มันติดมากับศพแค่ข้างเดียว อีกข้างไม่อยู่แต่แรกแล้ว”

“เป็นไปได้ไหมว่ามันหล่นในรถตอนเคลื่อนย้ายศพ”

ผมยักไหล่ “ไม่คิดแบบนั้นนะ คราวก่อนผมไปที่รถมาก็ไม่เห็นมีอะไรตกหล่น แต่ถ้าในที่เกิดเหตุนี่ก็ไม่แน่เหมือนกัน”

ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ท่าทีแบบนั้นทำให้คนเป็นพี่สาวของศพกระตุ้นทันทีด้วยความใคร่รู้

“ทำไมเหรอคะ คุณตำรวจ มีความคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอคะ”

“ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่คุณพอจะรู้ไหมว่าต่างหูนี่มีความสำคัญอะไรกับน้องสาวคุณหรือเปล่า”

ผมมองหญิงสาวคนเดียวในห้องทำหน้าครุ่นคิด หางตาหล่อนยังมีน้ำตาซึมอยู่แต่ดีขึ้นกว่าตอนแรกที่ก้าวเข้ามามาก

“เอ็มม่าเคยบอกฉันว่ามันเป็นคู่โปรดของหล่อน… คือหล่อนก็มีต่างหูหลายคู่แหละค่ะ แต่คู่นี้เอ็มม่าชอบเป็นพิเศษ เห็นบอกว่าใส่แล้วจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ หล่อนมักจะใส่คู่นี้เวลาเป็นช่วงเวลาสำคัญ อย่างสัมภาษณ์งานหรือว่าอะไรแบบนั้น”

ไคล์พยักหน้ารับ ยังคงนิ่งเงียบ หากนัยน์ตาฉายแววอะไรบางอย่างออกมา

“ทำไมเหรอคะ มันสำคัญตรงไหนเหรอ”

“เปล่าครับ ผมกำลังคิดถึงความเป็นไปได้อยู่”

“ความเป็นไปได้อะไรคะ” หล่อนถามต่อ ตอนนี้ผมก็เริ่มเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้บ้างแล้ว ไคล์อธิบาย

“คือตอนแรกเราคิดว่าฆาตกรลงมือฆ่าแบบสุ่มถูกไหมครับ แต่ถ้ามีของที่เหยื่อเห็นว่าเป็นของสำคัญหายไปแบบนี้มันก็อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ อย่างเช่นว่า ฆาตกรเป็นคนเอาไป ถ้าเป็นในลักษณะนี้ นั่นจะหมายความว่าคนร้ายได้จับตาดูเหยื่อมาระยะหนึ่งแล้วก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ อย่างน้อยก็สังเกตจนรู้ได้ว่าของสำคัญของเหยื่อคืออะไร”

“แล้วมันจะสำคัญยังไงคะ” สุ้มเสียงของหญิงสาวมีร่องรอยโกรธราวกับแค้นที่ทางตำรวจยังไม่สามารถจับตัวคนที่ทำให้น้องสาวหล่อนนอนแข็งไปแล้วได้ ไคล์ยังคงอธิบายต่อเสียงราบเรียบ

“มันสำคัญสิครับ เพราะนั่นอาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนทั้งหมด การที่คนร้ายลงมือเลือกเหยื่อแบบสุ่ม กับการซุ่มสังเกตเหยื่อก่อนจะลงมือฆ่า… เรียกได้ว่าต้องพลิกรูปแบบการสืบสวนทั้งหมด”

“จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ รีบๆ จับตัวคนที่ฆ่าน้องสาวฉันให้ได้สักที”

ผมลอบมองไคล์ที่ต้องรับมือกับญาติของผู้ตายด้วยสายตาเห็นใจ จากนั้นจึงขอตัวกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

หลังเวลาเลิกงาน ผมไม่ได้ตรงดิ่งกลับบ้านเพราะวันนี้ไซม่อนบอกว่าจะมารับไปนอนที่บ้านเขา ผมจงใจบอกเวลาค่ำกว่าที่ตัวเองเลิกจริงๆ เพื่อที่จะปลีกตัวไปหาอะแมนดา กอร์แมนที่ทำงานอยู่ที่อาคารหลัก

ผมมุ่งหน้าไปตามทางเชื่อมอาคาร ตรงไปยังห้องทำงานของหมอผู้ดูแลไข้ของผมอย่างชำนาญ วันนี้ผมอยู่ในเครื่องแบบ ไม่จำเป็นต้องรอคิวเรียกชื่อก่อนจะพบคุณหมอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำเป็นต้องแจ้งพยาบาลซึ่งประจำอยู่หน้าห้องหล่อนอยู่ดี

“ผมมาหาคุณหมอกอร์แมน”

“อุ๊ย คุณหมอการ์ดเนอร์” พยาบาลสาวเรียกผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “กลับมาทำงานแล้วเหรอคะ แล้วคุณหมอกอร์แมนทราบ--”

“ผมก็กำลังจะไปคุยกับหล่อนอยู่เนี่ย ช่วยบอกให้หน่อยได้ไหมครับ”

“สักครู่นะคะ” หล่อนบอกให้ผมเข้าไปรอในห้องพักหมอ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากห้องพักชั้นล่างของผมเองเท่าไรนักหรอก เพียงแต่ข้าวของทุกอย่างใหม่กว่าเท่านั้นเอง

ผมนั่งรออยู่บนโซฟา หยิบนิตยสารแฟชั่นที่เหมือนวางๆ เอาไว้ไม่ให้โต๊ะโล่งขึ้นมาเปิดผ่านตา เสียงเปิดประตูดังขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นไปและได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของอะแมนดาทันที

“ออสติน” หล่อนว่าเสียงเขียว “ฉันได้ยินเรื่องจากคุณรอยล์แล้ว ที่เขาขอให้คุณมาทำงานชั่วคราวน่ะ แสบจริงๆ เลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวที่ได้ยินมานั่น และถ้าไม่ใช่เพราะฉันโทรไปถามเขาล่ะก็ ฉันก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

“อย่าหัวเสียขนาดนั้นเลยครับ ผมตอบตกลงไปเอง อยู่แต่บ้านก็เบื่อ แถมตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้ว”

“ฉันได้ยินเรื่องที่คุณโดนคนร้ายจับตัวไปแล้ว” หล่อนว่า สีหน้าซีดเผือดลงอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อวินาทีก่อนมันยังแดงจัดด้วยความโกรธกรุ่นอยู่เลย “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

“ผมปลอดภัยดี” ผมว่า ขยับตัวให้แพทย์สาวล้มตัวลงมานั่งข้างๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดเข้าเรื่อง “ผมรู้เรื่องที่คุณบอกแล้ว อะแมนดา ที่ว่าหัวใจของผมไม่ได้เคยเป็นของคนที่ชื่อแบรด แมคแนร์น่ะ”

สีหน้าของเจ้าหล่อนเปลี่ยนเป็นราบเรียบทันที จากที่เมื่อกี้ยังหน้าซีดขาว มองผมด้วยสายตากังวล ผู้หญิงนี่ช่างเป็นส่ิงมีชีวิตที่เข้าใจยากจริงๆ

“หรือคะ ไม่อยากเชื่อนะว่าแฟนคุณจะยอมบอกความจริงคุณแล้ว”

“แน่ล่ะ เขาไม่ยอมบอกหรอก ผมคาดคั้นเขาต่างหาก” ผมไม่บอกเรื่องที่ตัวเองแหกกฎโดยการเข้าไปในเว็บของโอดีอาร์ ไม่อย่างนั้นผมคงโดนเจ้าหล่อนสาปแช่งหนักกว่าที่หล่อนทำกับไซม่อนเป็นแน่

“ก็ยังดีค่ะที่คาดคั้นแล้วเขายังยอมบอก แล้วยังไงคะ พวกคุณเลิกกันหรือยัง”

“เอ่อ เปล่า” เมื่อคืนยังนอนด้วยกันอยู่เลย

“น่าเสียดายนะคะ คบกับคนที่โกหกคุณเรื่องใหญ่โตแบบนี้จะดีเหรอ เชื่อใจได้เหรอคะ”

ผมเบ้ปากนิดหนึ่ง “ช่างเรื่องส่วนตัวผมเถอะน่า ผมมานี่เพราะอยากถามคุณ”

“เรื่องอะไรคะ”

“ใครคือเจ้าของอวัยวะที่ผมได้มา?”

อะแมนดาถอนหายใจเฮือกทันที “คุณก็รู้ว่าฉันบอกไม่ได้”

“ไม่ คุณบอกได้ เรื่องนี้มันสำคัญกับผมนะ”

“สำคัญยังไง ออสติน” หล่อนว่าเสียงเย็น ตวัดสายเย็นเยียบกลับมามอง “หัวใจของคุณไม่ใช่ของแบรด แมคแนร์อย่างที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้นว่า ความจริงมันก็มีอยู่แค่นั้น แล้วคุณจะยังอยากรู้อะไรอีก”

“ผมอยากแน่ใจจริงๆ ว่าหัวใจที่ได้มาไม่ใช่ของแบรด”

อะแมนดามองหน้าเขาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ยกมือกุมขมับ จากนั้นก็ส่ายหน้ารัวๆ

“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

อันที่จริงแล้ว ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่สัญชาตญาณในตัวกลับร่ำร้องบอกว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ต่อให้หัวใจนี้จะเป็นของใครก็ตามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องทั้งหมด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ทั้งเรื่องที่มันดึงให้ไซม่อนมาหาผม เรื่องที่มันทำให้ผมรับรู้เรื่องการตายของแบรด และตัวตนของแบรดซึ่งโยงไปหาคริสเตียนอีกที

จุดเริ่มต้นอยู่ที่มัน… และถ้าผมคิดจะเดินหน้าต่อ ผมต้องถอยหลังให้สุด

“ผมคิดว่ามันอาจช่วยให้ผมตามหาตัวคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนได้”

ได้ผล แพทย์หญิงหันกลับมามองหน้าผมอย่างตกตะลึง สีหน้าอ่อนใจเมื่อครู่กลับมาเป็นขาวซีดอีกครั้ง หล่อหรี่ตามองผม ถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

“ยังไงคะ”

“เอาตรงๆ นะ ผมไม่รู้หรอก”

“ออสติน--”

“คุณบอกอะไรผมไม่ได้เลยเหรอ” ผมครางอย่างสิ้นหวัง ถึงในใจจะมีแผนสำรองแล้วว่าถ้าอะแมดาไม่บอกอะไร ผมจะกลับไปย้อนดูรายชื่อผู้บริจาคอวัยวะหมู่เลือดเอบีที่ปรินท์ออกมา ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจต้องเข้าระบบของโอดีอาร์อีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้จริงๆ รึเปล่า และถ้าเป็นไปได้จริงๆ ผมก็ไม่อยากเข้าแล้วด้วย

อะแมนดานิ่งไปครู่ใหญ่ ดูคิดไม่ตก ท่าทางลังเลแบบนั้นของหล่อนทำให้ผมมีความหวังมากขึ้น

และในที่สุด หล่อนก็ถอนหายใจเฮือกออกมา “ฉันอาจจะบอกทั้งหมดกับคุณไม่ได้”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบว่า “แค่แง้มสักนิด--”

“ทำไมคุณไม่ลองไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ชื่อลูซี่ เพรซตอนดูล่ะ”

ผมรู้สึกผิดหวังวูบขึ้นมาทันที แต่ก็ยังกัดฟันถามต่อ “หล่อนเป็นใครครับ”

“ตำรวจที่ประจำอยู่เขตเคาน์ตี้” อะแมนดาว่า ลุกออกจากโซฟา “คุณรอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ ฉันจะไปเอาเบอร์ติดต่อของหล่อนมาให้”

“แล้วหล่อนจะช่วยอะไรผมได้”

หญิงสาวยักไหล่ “ไม่รู้สิคะ แต่ฉันว่าอาจจะช่วยได้มากกว่าเอฟบีไอจอมโกหกของคุณก็แล้วกัน”

ผมชักสีหน้าไม่พอใจนิดหนึ่ง จริงอยู่ที่ไซม่อนโกหกผมอย่างที่เจ้าหล่อนว่าจริงๆ แล้วก็จริงอยู่ที่ผมว่าเขาแบบนั้น แต่ผมไม่ชอบให้ใครมาว่าแฟนตัวเองแบบนั้นเท่าไร ยิ่งย้ำหลายๆ รอบแบบนั้น

ผมได้ชื่อและเบอร์โทรติดต่อของลูซี่ เพรสตอนมา น่าจะเรียกว่าถูกยัดเยียดมามากกว่า

“คุณโทรหาหล่อนนะ บอกว่าคุณเป็นใคร บอกว่าฉันให้เบอร์คุณมา หล่อนคงช่วยคุณได้”

ประเด็นก็คือว่า เรื่องที่ผมอยากรู้คือผมได้หัวใจของเขามาใช้ ซึ่งเรื่องนี้อะแมนดาย่อมต้องรู้ดีอยู่แล้ว สังเกตจากที่หล่อนฟันธงอย่างเด็ดขาดมาว่าหัวใจที่ผมได้มานี่ไม่ใช่ของแบรด แมคแนร์… แต่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเจ้าหน้าที่ที่ชื่อลูซี่ เพรสตอนคนนี้จะช่วยอะไรผมได้

ผมหมายถึง… หัวใจของผมไม่ใช่ของพี่ชายไซม่อนอย่างที่เจ้าตัวอ้าง แต่เป็นของพี่ชายหรือญาติคนใดคนหนึ่งของลูซี่ เพรสตอนรึไง? ทำไมคนเราต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากซ้ำซ้อนนักหนาด้วยนะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย



ไซม่อนมารอผมอยู่ที่หน้าประตูทางออกของเจ้าพนักงานอยู่แล้ว

ผมส่งยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะเดินขนาบข้างไปกับเจ้าตัว ไซม่อนเลื่อนมือมาคว้ากระเป๋าจากมือผมไปถือ เดินสวนกับคนอื่นๆ ที่เทียวเข้าออกอาคารแห่งนี้ เขาเลือกจังหวะที่ผู้คนบางตาแตะริมฝีปากลงบนขมับผม ผมสะดุ้งเฮือกเลยทีเดียว

“ไซม่อน คุณ…!”

“ฮะ ๆๆๆ” พ่อตัวดีหัวเราะร่วน “ยังไม่ผ่านนะครับ ต้องฝึกอีกหน่อย”

“ผ่านอะไร”

“ก็ไอ้โรคกลัวสัมผัสของคุณไง สะดุ้งแรงขนาดนี้แปลว่ายังไม่หายกลัว ไม่ผ่านการทดสอบนะ”

“ทดสอบอะไร! คุณเล่นตอนทีเผลอแบบนี้เป็นใครก็ต้องสะดุ้งทั้งนั้นแหละ”

“เหรอ คุณลองจูบผมตอนทีเผลอบ้างสิ ผมจะไม่สะดุ้งให้ดู”

ผมเลยถองศอกใส่คนทะเล้นไปทีหนึ่งแรงๆ เจ้าตัวร้องโอดครวญอย่างเสแสร้ง ถ้าไม่ติดว่าเดินอยู่บนถนนคงลงไปนอนดิ้นกับพื้นแล้ว

“สม”

“ใจร้าย ออสติน เดี๋ยวเถอะ คืนนี้ผมจะเอาคืน”

“ฮะ?” ผมกลั้นเสียงหัวเราะไวได้ทัน แกล้งตีหน้านิ่ง “อะไร? คุณเนี่ยนะ? มีปัญญาเหรอ?”

“โอ้โห พูดแบบนี้เอามีดแทงกันเลยดีกว่า” ไซม่อนทิ้งน้ำหนักแขนลงบนบ่าผมแรงๆ จากนั้นเราก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

ไซม่อนขับรถออกจากโรงพยาบาลมาได้พักหนึ่งผมก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการบอกให้เขาแวะซุปเปอร์เพื่อซื้อของสดไปทำเย็นนี้ พอเจ้าตัวหันกลับมาถามว่าผมจะทำอะไรเป็นมื้อเย็นผมก็ตอบกลับหน้าตาเฉย

“ผมเหรอจะเป็นคนทำ? คุณต่างหากต้องเป็นคนทำ”

“อ้าว” เขาโวยวาย “ได้ไงอ้ะ ผมขี้เกียจทำนี่”

“ขี้เกียจได้ไงคุณ เมื่อวานผมก็ทำแล้วไง วันนี้ก็ต้องตาคุณสิ”

คนขับรถทำสีหน้าไม่ชอบใจนิดหนึ่งก่อนจะเริ่มต่อรอง “พิซซ่าได้ไหมครับ ผมออกเอง”

“ไม่เอาครับ”

“งั้นเคเอฟซีเป็นไง”

“ไม่ครับ” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในรถและเขาเป็นคนขับ ผมคงจะประเคนฝ่าเท้าลงกลางหลังเจ้าตัวไปแล้ว มีอย่างเหรอ ผมเพิ่งทำสเต็กชั้นดีให้เขากินเมื่อคืน คืนนี้จะให้ผมกินไก่ผู้พันแซนเดอส์เหรอ ฝันไปเถอะ



.
.
.
.
.
(50%)






---------------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนมาแล้วค่าาาา ขอโทษที่ให้รอนะคะทุกคนนนน >3<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2017 09:00:19 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะเป็นผู้เฝ้าดู ไม่คาดเดาละ ฮา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มีปมเพิ่มเข้ามาอีก  :z3:
ปมเดิมยังไม่คลี่คลายเลย  :really2:

แต่เหมือน มีไรๆเข้ามานะ
ขำที่ออสติน อยากประเคนเท้าไปที่หลังไซม่อน  :katai2-1:
เรื่องที่ไซม่อนจะเบี้ยวทำอาหารเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ askmes

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
รอติดตาม

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เขียนได้ดีมากจริงๆ ครับ เหมือนอ่านนิยายสืบสวนสอบสวนที่แปลมาจากนักเขียนชื่อดังเลย จริงๆ ไม่ค่อยชอบอะไรที่อ่านไปแล้วเสียวสันหลังไปแบบนี้เท่าไหร่แต่เรื่องนี้มันสนุกจนหยุดไม่ได้ คิดว่ายังมีอะไรดาร์คๆ ซ่อนอยู่อีกเยอะ อยากให้มีคนมาอ่านเยอะๆ ให้สมกับที่คนแต่งตั้งใจขนาดนี้

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]


หลังจากแวะซื้อของเสร็จสรรพ กลับมาถึงคอนโดของไซม่อน ผมก็แทบจะโดดถีบเจ้าของห้องเข้าครัวให้ไปจัดการมื้อเย็นเร็วๆ

“โห่ ออสตินอ่า” ร่างสูงบ่นงึมงำขณะง่วนอยู่หน้าเตา ขณะที่ผมนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาพร้อมกับเปิดทีวีทิ้งไว้ ตามองจอมือถือ “ใจร้ายจังคุณ มาช่วยผมหั่นแครอทนี่หน่อยได้ไหม นะครับ คนดี ทำกับข้าวคนเดียวเหงาจัง”

“ทำไปคุณ อย่าบ่น” ผมว่า กวาดตาอ่านข่าวที่อยู่ในหน้าจอก่อนจะเงยหน้าอย่างนึกขึ้นมาได้

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบนาทีแล้วดูจากนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ผมลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋าทำงานของตัวเอง หยิบโน้ตแผ่นเล็กที่อะแมนดาให้มาอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่าโทรไปตอนนี้จะดึกเกินไปรึเปล่า อีกฝ่ายคงเลิกงานแล้ว แต่คิดอีกที ถ้าโทรตอนกลางวันแล้วอีกฝ่ายยังทำงานอยู่ อาจจะเป็นการรบกวนมากกว่าเสียอีก

ผมตัดสินใจเสี่ยงโทรไปตามเบอร์ที่ได้มาดู เสียงกริ่งดังอยู่ในหูก่อนจะมีเสียงผู้หญิงกรอกลงมาตามสาย

“สวัสดีค่ะ”

“เอ่อ สวัสดีครับ คุณใช่เจ้าหน้าที่ลูซี่ เพรซตอนรึเปล่าครับ”

“ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ”

“ผมชื่อออสติน การ์ดเนอร์นะครับ เป็นหมอนิติเวช-- เอ่อ แต่ตอนนี้โดนสั่งพักงานอยู่”

“อ้อ ค่ะ” แล้วก็เงียบไปนิดหนึ่ง ผมกระแอมออกมาเบาๆ

“คือ… ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่คุณรู้จักคุณหมออะแมนดา กอร์แมนไหมครับ”

“รู้จักค่ะ”

“หล่อนเป็นคนแนะนำให้ผมโทรหาคุณ”

ปลายสายเงียบไปอีก ผมเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนกันกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป ดูมันสะเปะสะปะและไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“คือ… พอดีว่าผมอยากรู้เรื่องหัวใจ---”

“อ่า… ฉันคิดว่าฉันพอเดาได้แล้วค่ะว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร”

โอ้โหเฮ้ย… รู้ด้วยแฮะ ได้ไงเนี่ย

“เอ่อ แล้วคุณ---”

“เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ คุณการ์ดเนอร์ ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่นิดหน่อย ไว้ฉันค่อยติดต่อคุณไปทีหลังได้ไหมคะ?”

“คุณประจำสำนักงานของเคาน์ตี้ใช่ไหมครับ” ผมรีบถามดักคอ อีกฝ่ายดูอึกอักไปนิดก่อนจะตอบ

“ใช่ค่ะ”

“ผมจะไปหาคุณพรุ่งนี้ ขอเวลาคุณไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น สักตอนเที่ยงเป็นไงครับ นั่นน่าจะเป็นเวลาพักของคุณ ผมจะได้ไม่รบกวนเวลางาน”

“อืม” น้ำเสียงคิดหนัก ก่อนจะตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ “เที่ยงก็ฟังดูดีค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันค่ะ”

“ค่ะ สวัสดีนะคะ คุณการ์ดเนอร์”

นัดแนะเป็นที่เรียบร้อยแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำอะไรคืบหน้าไปอีกหน่อย ผมยกยิ้มให้ตวเองอย่างพึงพอใจ กลิ่นหอมฉุยที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ต้องรีบหันกลับมาช่วยไซม่อนจัดโต๊ะอาหาร วันนี้เจ้าตัวทำลาซานย่ากับไก่อบซอสบาร์บีคิวมาเป็นมื้อเย็น จริงๆ ก็ดูหมอนี่มีฝีมือในการทำอาหารไม่เลว แต่ทำไมยังจะงอแงไม่อยากทำอีกก็ไม่รู้ สงสัยจะขี้เกียจ

“คุยกับใครเหรอครับ ออสติน เพื่อนที่ทำงานเหรอ”

“เปล่าครับ ผมเพิ่งโทรนัดเจ้าหน้าที่ลูซี่ เพรซตอนให้เจอกันวันพรุ่งนี้น่ะ”

ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววตกใจจริงๆ ขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไป แต่ผมว่าผมมองไม่พลาดนะ

“คุณรู้จักเขาเหรอ” ผมถาม ไซม่อนทำหน้าเหมือนไม่อยากพูดนิดหนึ่ง แต่เมื่อโดนผมจ้องหน้าเข้าไปก็ถอนหายใจเฮือก ยอมรับออกมาเสียงอ่อย

“ครับ ก็… เคยทำงานด้วยกันมา”

เออ นั่นสินะ ยังไงก็อยู่ในวงการแถบๆ นี้ก็คงหนีกันไปไหนไม่พ้น ทำไมผมถึงลืมคิดไปได้ล่ะเนี่ย

“หล่อนนิสัยดีไหม”

“ก็ดีครับ… แล้วทำไมคุณต้องไปพบหล่อนด้วยล่ะ”

“นั่นสิน้า อาจจะเพราะว่าผมกำลังคิดหาทางนอกใจคุณอยู่ก็ได้ล่ะมั้ง?” ผมแกล้งลากเสียงยาว ส่งยิ้มหวานไปให้เขา แต่พอเห็นอีกฝ่ายตีหน้าเคร่งกลับมา ไม่ขันด้วย ทำเอาผมต้องหุบยิ้มลงเลย “ก็… ผมอยากจะคุยกับหล่อนเรื่องหัวใจน่ะ จริงๆ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าคุณเพรซตอนจะช่วยอะไรหรือบอกอะไรที่ผมอยากรู้ได้บ้าง แต่อะแมนดาแนะนำมา”

“คุณหมอของคุณน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ”

ไซม่อนดูนิ่งไปนิดหนึ่ง ท่าทีแบบนั้นทำเอาผมเริ่มกังวลขึ้นมา “อะไร ไซม่อน นี่อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าผมจะนอกใจคุณจริงๆ?” ถ้าใช่นี่คิดหนักเลยนะ ยิ่งมีประสบการณ์ในอดีตยิ่งทำให้ผมระแวงแจไปหมด แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นไซม่อนมีท่าทางแบบ--

“ใครบอกล่ะครับว่าผมกลัวว่าคุณจะนอกใจ” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถลาเข้ามาล็อกตัวผมไว้แน่น ผมร้องเหวอออกไปอย่างตกใจก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่ออีกฝ่ายถูคางลงบนซอกคอผมอย่างหยอกล้อ ไอ้บ้าเอ๊ย จั๊กจี้นะเว้ย เล่นอะไรเป็นเด็กๆ! “อีกอย่างนะ คนฉลาดอย่างคุณน่ะ ถ้าจะนอกใจจริงคงไม่มาบอกผมซึ่งๆ หน้าแบบนี้หรอก แต่ก็น้า… คุณจะนอกใจผมได้ยังไงกัน ก็ทั้งรักทั้งหลงผมขนาดนี้”

“หลงตัวเอง” ผมส่งยิ้มให้เขา อีกฝ่ายเลื่อนปากลงมาประกบเร็วๆ ทีหนึ่งก่อนจะผละออก ไซม่อนเดินกลับไปที่โต๊ะที่มีอาหารทุกอย่างวางเรียงรายก่อนจะเริ่มอ้อน

“รีบกินกันเถอะครับ ออสติน ผมหิว อยากกินคุณจะแย่อยู่แล้ว” นั่น ดูนะ คนเรา

“แล้วไม่ต้องกินไอ้พวกนี้หรือไงครับ” ถามกลับด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

“กินเสร็จแล้วจะได้กินคุณต่อเร็วๆ ไง”

ทำไมไอ้หมอนี่มันไม่อายปากกับเรื่องแบบนี้บ้างเลยนะ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ






ผมจมอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

ฝันร้ายที่วนกลับมาฉายซ้ำร้ายซ้ำเล่าราวกับมันจะไม่มีวันจบสิ้น ผมสัมผัสได้ถึงความชื้น เสียงหอบหายใจของตัวเองที่ดังอย่างสม่ำเสมอ ดวงตาที่ถูกปิดสนิทด้วยผ้าจนมองอะไรไม่เห็น ความเงียบที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกทำให้ความกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกหมอนั่นจับมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว รู้แต่ว่ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานเหลือเกิน ผมอยากจะให้มันจบลงเร็วๆ

อยากให้ใครสักคนมาช่วยผม หรือถ้านั่นเป็นการขอที่มากเกินไป… อย่างน้อยขอให้คริสเตียนฆ่าผมเลยก็ยังดี เอาแบบให้ตายเร็วๆ ด้วยนะ ไม่อยากทรมานนาน

“แฮ่ก… อึก” ผมครางกับตัวเอง เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งจนน่ากลัว

ผมไม่รู้ตัวเองโดนคนที่จับมาขืนใจไปกี่รอบแล้ว ไม่คิดอยากจะนับหรอก แต่อย่างน้อยจำนวนพวกนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคือคริสเตียน แฟนเก่าของผมไม่ผิดแน่

ทำไมน่ะเหรอ? ให้ตายเถอะ ผมนอนกับหมอนั่นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตอนที่เราคบกัน ผมจำมันได้ทั้งหมดแหละ สัมผัสของเขา กลิ่นกายของเขา เสียงหอบหายใจและจังหวะการร่วมรักพวกนั้น…

มันเคยเป็นความช่วงเวลาที่ดีนะ แต่การที่โดนผู้ชายคนเดียวกันบังคับขืนใจทำลายมันไปทั้งหมด กลายเป็นว่าผมกลัวสัมผัสใดๆ ก็ตามที่อาจจะคืบคลานเข้ามาหาตัวเมื่อไหร่ก็ได้ไปแล้ว ผมกลัวว่าเขาจะกลับมาที่นี่ จากนั้นก็ลงมืออ้าขาผมออกแล้วกระแทกร่างลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่เขาต้องการ

“อุบ…” นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาแล้วผมอยากจะอาเจียน

ผมพยายามขยับขาที่เป็นอิสระไปมา ออกแรงบังคับให้มันพาตัวผมลุกขึ้นยืน เสียงด้านนอกมันเงียบไปหมด แปลว่าคริสจะต้องไม่อยู่ที่นี่แน่ๆ ผมต้องรีบใช้จังหวะนี้… หาทางรอดให้ตัวเอง แม้ว่าจะดูริบหรี่มากก็เถอะ แต่ยังไงผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเนี่ย

ผมขยับแขนที่ถูกพันธนาการติดกันด้วยโลหะ ซึ่งผมเดาว่าเป็นกุญแจมือ ขยับมันขึ้นลงจากด้านหลัง รู้สึกได้ถึงโลหะหนักๆ ที่รัดกับกุญแจมือไว้อีกทอด ผมคลำมือไปมาอย่างสะเปะสะปะ สัมผัสเจ้าสิ่งที่ล่ามกุญแจมือบนข้อมือของตัวเองเอาไว้ คลำไปมาสักพักก็พอจะรู้ได้ว่ามันคือโซ่เส้นหนา ฉลาดคิดนี่ กลัวผมจะหนีเต็มที่เลยสิท่า

แขนทั้งสองข้างยังคงคลำต่อไปเรื่อยๆ อย่างเก้กัง พยายามสาวไปให้ถึงจุดที่โซ่เส้นนี้สิ้นสุด และในที่สุดมือผมก็สัมผัสกับแผ่นไม้… อืม ใช่ น่าจะนะ เหมือนกับว่าโซ่ถูกตรวนเข้ากับแผ่นไม้นี่ไว้อีกที แล้วคราวนี้ยังไงต่อล่ะ

“โอย…” ผมครางออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างกายร้อนผ่าวไปหมดเพราะต้องเกร็งตัวขยับแขนไปมาทั้งที่มองอะไรไม่เห็น มือที่เลื่อนไปเจอเนื้อไม้พยายามป่ายไปหาขอบของมัน แล้วในที่สุดก็เจอ

เหงื่อหยดหนึ่งไหลเข้ามาในปากผม ความเค็มนั่นทำให้เผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความระทึก มือผมควานไปรอบๆ โดยพยายามจับเฉพาะส่วนที่เป็นไม้ ลากมือวนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมือก็สัมผัสได้ถึงโลหะที่เป็นวางกลมในเนื้อไม้นั่น

ไม่ผิดแน่… นี่คงเป็นหัวตะปู ถ้าผมกระชากแผ่นไม้นี่ออกได้ มือผมก็จะหลุดออกจากตรงนี้ได้

เอาล่ะ… ลองดูซักตั้งแล้วกัน

“แฮ่ก” ผมป่ายมือไปยึดขอบของแผ่นไม้อย่างเก้กัง พยายามออกแรงกระชากมันออกจากผนัง นิ้วมือข่วนไปมาอย่างเปะปะจนมันแสบไปหมด รู้สึกของเหลวอุ่นบนมือ คาดว่าคงเป็นเลือดไม่ก็เหงื่อของผมเอง

ผมยกขาขึ้นมายันกับผนังเพื่อใช้เป็นแรงส่ง จินตนาการภาพของตัวเองเพื่อให้เคลื่อนไหวได้ถูกทิศทาง จากนั้นจึงออกแรงถีบแล้วใช้แรงกระชากแขนขึ้นมาอีกรอบ น้ำหนักที่รัดมือผมไว้ฉุดผมลงไปเล็กน้อย ได้ยินเสียงของแผ่นไม้ตกกระทบบนพื้นตามด้วยเสียงโลหะ ผมคลำมือไปมา พยายามหาทางเอาโซ่ออกจากกุญแจมือ

ผมเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงเปิดประตูดังขึ้นมาให้ได้ยินเสียก่อน

ผมสะดุ้งสุดตัว ถอยหลังหนีไปยังทิศทางตรงข้ามกับต้นเสียงโดยอัตโนมัติ ลืมหายใจไปชั่วขณะ

“คะ… คริส?” ผมเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรตอบเช่นเคย เขาไม่เคยพูดอะไรเลยตั้งแต่จับผมมาขังไว้ที่นี่

ซึ่งบอกตามตรง… มันน่ากลัวมากๆ ความเงียบนั่นของเขาทำให้ผมประสาทหลอน แต่ตอนนี้เสียงฝีเท้าที่คืบคลานเข้ามาทำให้ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ดะ… เดี๋ยว คริส ผมขอโทษ” ผมพยายามก้าวเท้าถอยให้ห่างจากเสียงฝีเท้านั่น แต่ขาชนกับขอบด้านหลังเสียแล้ว และจนถึงตอนนี้… ผมเริ่มเดาได้แล้วว่ามันคือขอบของอ่างอาบน้ำ น่าจะนะ “ปละ… ปล่อยผมไปเถอะ ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่าง ได้โปรดอย่า-- อึก!”

แรงมหาศาลกระชากผมขึ้นไปจากนั้นก็เหวี่ยงลงในหลุมที่ผมเพิ่งหลุดออกมาได้อีกรอบ แรงกระแทกอย่างหนักกดทับลงบนสีข้างผม ได้ยินเสีนงกรีดร้องลั่นของตัวเองสะท้อนไปมา ความหวังเล็กๆ ที่จะหนีออกไปจากที่นี่หายวับไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงความกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้เท่านั้น

“อะ!?” ผมอุทาน ร่างกายสะดุ้งสุดแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายแหลมของอะไรบางอย่างกดลงมาบนต้นขา

วินาทีแรกที่วัตถุนั้นกินเนื้อเข้ามาผมยังสับสนอยู่ หากเมื่ออาการงุนงงหายไป ความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่ ผมรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ทะลักออกมาจากเนื้อของตัวเอง ไหลอาบลงบนต้นขา ปลายแหลมที่แทงเข้ามาบาดลึกเหมือนจะคว้านไปให้ถึงกระดูก

“อ๊ากกก!!!” ผมกรีดร้องลั่น ออกแรงดิ้นเหมือนคนบ้า แต่แรงยึดนั่นไม่ปล่อยให้ผมหนีไปไหน

ผมได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้อง คร่ำครวญอ้อนวอนขอให้เขาหยุด แต่ปลายมีดนั่นก็ยังคว้านลึกเข้ามาในผิวเนื้อของผมอยู่ดี

ผมไม่มีสติมากพอที่จะรับรู้ในตอนนั้น มีดที่กรีดลงมาคือถ้อยคำที่ชายคนนั้นพยายามจะสื่อสารกับผม

‘Don’t Run’

ผมมีโอกาสพิจารณาแผลนั่นชัดๆ ตอนที่ตัวเองหลุดพ้นออกมาจากสถานการณ์นั่นมาแล้ว

แต่ทุกครั้งที่เห็นมัน… ผมจะเห็นภาพของตัวเองกลับไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น โดนมีดกรีดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า





----------------------------------------------
Talk: เต็มตอนจัดไป! ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์มากเลยค่ะ เป็นกำลังใจที่สำคัญมากจริงๆ ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเม้นท์มาบอกกันได้น้า~ 1 คอมเม้นท์ ล้านกำลังใจเนอะ ^^

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มันอยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:
คนที่ทำคริสเตียนใช่ป่ะ
ทำอย่างนี้กับออสตินเพื่ออะไร  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 20


   
“เดี๋ยวนะ คุณหมายความว่ายังไง” ผมได้ยินเสียงของตัวเองดังขึ้นในสำนักงานของเขตเคาน์ตี้ซึ่งเป็นที่ทำงานของลูซี่ เพรซตอน

หญิงสาวประจำโต๊ะหลุบสายตาลงมองแฟ้มที่เปิดกางอยู่ตรงหน้า แผ่นกระดาษเอกสารที่ถูกเรียงเป็นระเบียบบ่งบอกว่าเจ้าหล่อนกำลังศึกษามันอย่างถี่ถ้วน แต่ผมไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอกถ้าหากเจ้าหล่อนจะทำตามที่เราตกลงกันไว้แล้วยอมคุยกับผมดีๆ ตามที่เราตกลงกันทางโทรศัพท์เมื่อวาน

“ฉันเสียใจค่ะ คุณการ์ดเนอร์” เพรซตอนละหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ มองตาผมนิ่ง “ฉันเข้าใจว่าคุณอยากคุยธุระของคุณ แต่ฉันมีงานล้นมือต้องทำ”

โต๊ะทำงานของลูซี่ เพรซตอนตั้งอยู่ลึกที่สุดของห้อง มีโต๊ะของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เรียงรายก่อนที่จะมาถึงโต๊ะหล่อน นั่นหมายความว่าตำแหน่งของเจ้าหล่อนคงจะสูงอยู่ไม่น้อย แต่ดูสิ่งที่หล่อนทำสิ นี่เหรอมืออาชีพ?

“คุณบอกว่าให้ผมมาพบคุณได้” ผมว่าหลังจากสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดเพื่อควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเอง “คุณเป็นคนพูดเองตอนที่เราคุยทางโทรศัพท์กันเมื่อวาน”

ผมมาตามนัดที่เราสองคนตกลงกันไว้ ยืนยันกับเจ้าหล่อนว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอะไรทั้งนั้น แค่บอกเรื่องที่หล่อนรู้เกี่ยวกับหัวใจที่ผมได้มาจากใครก็ไม่รู้ บอกเหตุผลที่อะแมนดาบอกให้ผมมาคุยกับเจ้าหล่อนแบบนี้… และที่เราโทรคุยกันเมื่อวานหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำยาวประบ่าตรงหน้านี้ก็รับปากไว้ดิบดี แต่พอผมมาหาเจ้าหล่อนถึงสำนักงานจริงๆ กลับบอกว่าตอนนี้ยุ่งมากจนไม่มีเวลาคุยกับผมเนี่ยนะ? แล้วจะไม่ให้ผมอารมณ์เสียได้ไง?

“ฟังนะคะ คุณการ์ดเนอร์” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนอ่อนลง มองผมด้วยสายตาเห็นใจระคนสำนึกผิด “ฉันขอโทษจริงๆ ที่ทำตามที่ทำตามที่เราคุยกันเมื่อวานไม่ได้ แต่ตอนนี้มีคดีเร่งด่วนเข้ามาและฉันกับทีมจำเป็นต้อง--”

“คุณแค่บอกผมมาเท่านั้นเองว่าทำไมอะแมนดาถึงบอกให้ผมมาคุยกับคุณ”

เพรซตอนสูดลมหายใจลึกๆ ที่หนึ่งเหมือนอดกลั้นอะไรสักอย่าง ดูจากภายนอกแล้วหล่อนน่าจะอยู่ในช่วงสามสิบตอนกลางถึงตอนปลาย แต่งกายด้วยชุดกึ่งลำลองกึ่งทางการที่คล้ายกับสูทหากสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่ว มีตราตำรวจเหน็บไว้ที่เอวเช่นเดียวกับปืน

“คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้บริจาคอวัยวะของผม?”

“ขอโทษค่ะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกจะคุยเรื่องนี้กับคุณจริงๆ”

“ตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อวาน คุณไม่ได้พูดแบบนี้นี่”

“แล้วคุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าเรื่องผู้บริจาคกับผู้รับบริจาคอวัยวะเป็นความลับทางการแพทย์” น้ำเสียงหล่อนเชือดเฉือนเสียจนผมต้องถอนหายจยาวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน กลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างหมดความอดทน รู้สึกถึงสายตาของพนักงานคนอื่นๆ ที่มองมาทางตัวเองและเพรซตอน รวมถึงลูกทีมของหล่อนด้วย เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งกำลังเหลือบมองมาราวกับดูท่าทีว่าผมจะเริ่มลงมือทำอะไรบ้าบิ่นกับเจ้านายตัวเองรึเปล่า ซึ่งแน่ล่ะ ต่อให้ผมโกรธแค่ไหน ผมก็ไม่ลงมือทำอะไรบ้าๆ ในสถานที่ที่ทุกคนมีปืนเหน็บอยู่ตรงเอวหรอก

“ใช่ แน่นอน ผมรู้” น้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายอย่างไม่คิดปิดบัง การโดนปฏิเสธกะทันหันทำให้ผมผิดหวังมากจริงๆ “แต่ผมมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องหัวใจนี่ เพราะงั้นผมถึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากอะแมนดา แล้วหล่อนก็ซัดมาให้คุณ”

“ทำไมคุณถึงมาอยากรู้เรื่องผู้บริจาคของคนเอาตอนนี้คะ คุณการ์ดเนอร์ ฉันได้ยินมาว่าคุณเองก็ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาหลายเดือนแล้ว”

“เรื่องนั้นอะแมนดาบอกคุณงั้นเหรอ”

หล่อนไม่ตอบ แต่นั่นก็เป็นคำตอบอย่างหนึ่ง อะแมนดาบอกให้ผมมาหาเพรซตอน แปลว่าสองคนนี้ต้องคอยติดต่อกันอยู่แล้ว

“ผมหวังว่ามันจะพาผมไปหาคนที่เคยลักพาตัวผมไปทรมานเมื่อสองปีก่อนได้” ผมตอบ และมันอาจจะได้ผล เพราะเพรซตอนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความตกใจทันที ก่อนเจ้าหล่อนหล่อนจะหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวังมากขึ้น

“ทำไมคุณถึงคิดว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันล่ะคะ?”

ผมยักไหล่ “ผมไม่รู้หรอกครับ คุณเพรซตอน บอกตามตรงว่าที่ผมกำลังอยู่นี่คือการคลำทางไปเปะปะในความมืด แต่ผมว่าผมเห็นแสงลิบๆ อยู่ที่ปลายทางนี่แล้ว และทางที่ว่าก็กำลังชี้มาทางนี้ หัวใจที่ผมได้มาเป็นตัวเชื่อมมันไว้ ผมต้องคลำทางย้อนกลับไปที่มัน”

“คุณเป็นหมอไม่ใช่เหรอคะ คุณการ์ดเนอร์” หญิงสาววางปากกาในมือลง จ้องตาผมตรงๆ “เรื่องสืบหาตัวคนร้ายน่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสืบแล้วก้ตำรวจเถอะ”

“อ้อ แน่นอนครับ ผมคงทำแบบนั้นแน่” น้ำเสียงห้วนสั้น จ้องตาเจ้าหน้าที่ตรงหน้ากลับอย่างท้าทาย “ถ้าไม่ใช่ว่าพวกตำรวจ พวกคุณ หรือเจ้าหน้าที่คนไหนก็แล้วแต่ปิดบังผมเรื่องพวกนี้ล่ะก็ ผมคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแน่”

“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ” หล่อนตัดบท หยิบปากกาขึ้นมาถือต่อ ตาหลุบต่ำลงบนเอกสารเหมือนเดิม “วันนี้ฉันคงช่วยคุณได้แค่นี้”

อยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่า คุณช่วยอะไรวะ?

“ผมต้องการคำอธิบาย คุณเป็นคนบอกว่า---”

“เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ คุณการ์ดเนอร์” เจ้าหน้าที่สาวหาทางออกอย่างสวยงาม “รอให้ฉันติดต่อคุณไปอีกครั้งได้ไหมคะ ไม่เกินสองวัน ฉันสัญญา ตอนนั้นฉันจะเอารายละเอียดทุกอย่างที่มีให้คุณดู”

“ไม่เกินสองวันเหรอ” ผมกัดฟันกรอด ยังรู้สึกถึงความโกรธของตัวเอง หน้ายังร้อนอยู่เลย “ถ้าคุณมีไอ้รายละเอียดทั้งหมดที่คุณว่านั่นอยู่แล้ว ทำไมคุณไม่แค่เอามาให้ผมดูตอนนี้? ผมสัญญาว่าจะรบกวนเวลาคุณไม่เกินสิบนาที แค่ผมได้--”

“ฉันเสียใจค่ะ คุณการ์ดเนอร์ แต่คุณกลับไปเถอะ วันนี้ไม่สะดวกสำหรับฉันจริงๆ”

คำพูดตัดบทนั่นทำให้ผมหน้าชาขึ้น ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพลิกหน้ากระดาษดูคดีตรงหน้าโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองยิ่งทำให้ผมอารมณ์ขึ้น

มันเป็นความรู้สึกว่าหล่อนให้ความสนใจกับคดีพวกนั้นได้ แต่กลับไม่ให้ความสนใจกับเรื่องของผม มันรู้สึกแย่นะ เหมือนเรื่องของตัวเองไม่มีความสำคัญ ไม่มีความหมายอะไรเลยกับผู้หญิงตรงหน้า

“อีกสองวัน” ผมย้ำ คราวนี้เพรซตอนยอมละหน้าขึ้นมามองตาผม “คุณสัญญาแล้วนะ”

“ค่ะ” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนหนักแน่น ราวกับจะช่วยเสริมความมั่นใจให้ผมได้

แต่บอกตามตรง ผมไม่มีไอ้ความมั่นใจอะไรที่เจ้าหล่อนอยากส่งมาให้เลยสักนิดว่ะ ยิ่งอีกฝ่ายผิดคำพูดกับตัวเองแบบนี้…

ผมยักไหล่อย่างผิดหวังให้เจ้าหล่อนอีกรอบ ถึงยังไงผมก็ง้างปากให้ใครๆ พูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการไม่ได้อยู่แล้ว

“ก็ได้ครับ คุณเจ้าหน้าที่ ยังไงผมก็รอมาสองปีแล้ว รอคุณอีกแค่สองวันมันจะเป็นอะไรไป ถูกไหม?”

เพรซตอนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกรอบอย่างอดทน ก็ดี ดูเหมือนเราทั้งคู่จะรู้สึกเหมือนกันเลย

“คุณไปได้แล้วค่ะ”

ผมผละออกจากหน้าโต๊ะทำงานของเจ้าหล่อนด้วยอารมณ์ผิดหวังอย่างแรง หากเดินไปเพียงสามก้าวผมก็หันกลับไปย้ำกับเจ้าตัวอีกรอบ

“ผมขอแค่อย่างเดียว อย่าผิดสัญญากับผมอีก”

“ฉันสัญญาจริงๆ ว่าจะติดต่อไป”

ผมพยักหน้าแล้วจึงหมุนตัวกลับมาก้าวออกจากสำนักงานแห่งนั้น

ให้ตายสิ ผมเริ่มจะระลึกได้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้เกลียดพวกตำรวจ






ผมมาขอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนด้วยอารมณ์บูดสนิท แต่โชคดีที่คราวนี้พนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับพาผมไปรอในห้องว่างๆ ที่มีเพียงโต๊ะตัวเดียวกับเก้าอี้อีก 3-4 ตัว วางเรียงกันไว้ ลักษณะเหมือนเป็นห้องประชุม หรือไม่ก็ห้องสอบสวนผู้ต้องสงสัย เรียกว่าเป็นห้องอนเกประสงค์แล้วกัน

ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาไถดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรออยู่ด้านใน เสียงเคาะประตูดังขึ้นในอีกไม่ถึงห้านาทีต่อมา ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจนิดๆ เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง

สองโมงสิบนาทีตามเวลานัด… นับว่าเจ้าหล่อนทำเวลาได้ไม่เลวเลย

“สวัสดีค่ะ ออสติน” ฮันนาห์ แลนดี้ก้าวเข้ามาภายใน หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยเอาเรื่อง เรือนผมสีบลอนด์ทองถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยมักมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับบนริมฝีปาก หญิงสาวเข้ามาในห้องมือเปล่า ไม่มีแฟ้มหรืออะไรติดมือมาด้วย มีเพียงความจริงใจที่ส่งผ่านมายังดวงตาอย่างชัดเจน

“สวัสดีครับ ฮันนาห์” ผมเอื้อมมือไปจับมือหล่อนเขย่าก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง “คุณเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า”

“สบายดีค่ะ อาจจะวุ่นไปหน่อยเพราะคดีเยอะเหลือเกิน แต่โดยรวมก็ถือว่าเรื่อยๆ ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ?”

“ผมก็เหมือนกันครับ อาจจะว่างหน่อยเพราะโดนสั่งพักงานอยู่” ผมยกยิ้มบนมุมปาก อีกฝ่ายยิ้มกลับมาให้อย่างจริงใจ ช่วงที่ผมติดต่อกับหล่อนบ่อยๆ เรื่องคดีของคริสทำให้เราสนิทกันระดับหนึ่ง และผมพูดได้เลยว่าหล่อนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดี ซึ่งไม่ใช่ทุกคนหรอก

“นั่นสินะ ฉันได้ยินว่าคุณผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับ” ผมว่า แปลกใจเหมือนกันที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้คุยกับหญิงสาวตรงหน้ามานานพอสมควร ซึ่งนั่นหมายความว่าผมไม่ได้ตามเรื่องคริสเตียนมานานขนาดนั้น “ผมว่าผมคงพักฟื้นอีกสักพักแล้วคงจะกลับไปทำงานต่อ”

“เยี่ยมเลยค่ะ แต่ยังไงก็อย่าฝืนตัวเองนะคะ”

“ครับ” ผมตอบ รู้ดีว่าควรจะจบการคุยเล่นลงตรงนี้แล้วรีบเข้าเรื่อง แต่การที่ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่สองคนในเวลาไล่เลี่ยกันและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำให้ผมอดพูดออกมาไม่ได้ “ดีจังที่คุณยอมมาคุยกับผมตามที่เรานัดกันไว้จริงๆ ยิ่งเพราะเราเพิ่งตกลงกันเมื่อเช้า ผมเลยไม่แน่ใจว่าคุณจะสะดวกคุยกับผมไหม”

“แหม ก็ต้องสะดวกสิคะ” เจ้าหน้าที่แลนดี้พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็เราตกลงกันไว้เมื่อเช้าแล้วนี่นา ฉันก็ต้องล็อกเวลาให้คุณตามที่พูดสิ”

“ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจคิดเหมือนคุทุกคนคงดี” ผมว่า น้ำเสียงปนการทอดถอนใจเบาๆ

ฮันนาห์เลิกคิ้วยิ้มๆ “ทำไมคะ? ไปเจอเจ้าหน้าที่คนไหนเบี้ยวนัดเข้าหรือยังไง?”

“ครับ… วันนี้ผมมีนัดพบกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่ชื่อลูซี่ เพรซตอนน่ะ แต่ดันโดนอีกฝ่ายเบี้ยว”

“เจ้าหน้าที่เพรซตอนเหรอคะ” สีหน้าหล่อนแปลกใจนิดๆ “แปลกจัง ปกติหล่อนออกจะ… เอ่อ แบบว่า เคร่งนิดหนึ่ง ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะเบี้ยวนัดใครได้ นึกภาพไม่ออกเลยค่ะ”

ผมยักไหล่ “คงงานเร่งด่วนกะทันหันมั้งครับ ผมก็เข้าใจนะว่ามันช่วยไม่ได้ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี”

“อย่าถือสาเลยค่ะ งานของเราก็เป็นแบบนี้แหละ”

“ครับ ก็พยายามคิดงั้น”

“แต่อย่างน้อยคุณก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เพรซตอนมาบ้างแล้วสินะคะ”

“อืม… ไม่รู้สิ ผมขอใช้คำว่าคุยกันไม่รู้เรื่องมากกว่า หล่อนบอกว่าจะติดต่อผมมาใหม่ในอีกสองวัน”

“อ้าว” ฮันนาห์อุทานอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอียงคอยิ้มๆ แล้วพูดเป็นเชิงแหย่ “แหม ข้ออ้างแบบนั้นมันก็คือการไล่ดีๆ นี่เอง มิน่า คุณหมอออสตินถึงได้ดูอารมณ์บูดนัก”

“ผมเปล่านะ” ผมรีบว่า หากพอเห็นสายตาไม่เชื่อถือของอีกฝ่ายผมก็ต้องยักไหล่อย่างเสียไม่ได้ “ก็ได้ ผมก็ต้องหงุดหงิดบ้างแหละ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ วันนี้ผมมาหาคุณด้วยเรื่องคดีของคริสเตียน”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า “คุณอยากจะรู้อะไรคะ”

คำถามนั่นทำให้ผมกระพริบตาปริบทันที “เอ่อ… ก็ ความคืบหน้าของคดีมั้งครับ?”

“หือ? ความคืบหน้าของคดีเหรอคะ”

ผมผายมือสองข้างออกจากกัน “ก็คุณเป็นคนรับผิดชอบคดีของคริสเตียนไม่ใช่เหรอครับ”

ฮันนาห์เบิกตากว้างขึ้นทันทีอย่างตกตะลึง เห็นท่าทีแบบนั้นของเจ้าหล่อนแล้วผมถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ มองเจ้าหล่อนกลับด้วยความตกใจไม่แพ้กัน รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที

“ก็… ก็คุณ--” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูด รู้สึกหัวตื้อๆ ขึ้นมาอย่างไรพิกล มือเผลอยกขึ้นมาเคาะกับโต๊ะ “คุณ… รับผิดชอบสืบหาตัวคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนไม่ใช่เหรอครับ”

“คือ-- เอ่อ ก็… ต้องบอกว่าเคยรับผิดชอบคดีนั้นมากกว่า” เจ้าหน้าที่สาวที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า ไม่รู้เลยว่าระหว่างผมกับหล่อนใครจะสับสนงุนงงกว่ากัน “แต่… ฉันไม่ได้ทำคดีนั้นมานานแล้วนะคะ นี่คุณ---”

“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะครับ” ผมยกมือห้ามเป็นเชิงขอให้หล่อนหยุดพูด มืออีกข้างเลื่อนมากุมขมับของตัวเอง สูดลมหายใจอีกเฮือกเพื่อตั้งสติ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับคู่สนทนา “สรุปว่าคุณไม่ได้ตามหาคริสเตียนต่อแล้วหรอกเหรอ?”

“เอ่อ คือ… มีเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นรับไปทำแทน-- เดี๋ยวนะ คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ผมถามอย่างสับสน บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่หล่อนไม่ได้ติดต่อมาเลยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี่ และบางที… ถ้าดูจากท่าทีงุนงงของหล่อนแล้ว หล่อนคงคิดว่าที่ผมไม่ได้ติดต่อหล่อนเพราะผมรู้เรื่องนี้แล้ว

“ก็… หลายเดือนแล้วค่ะ อาจจะถึงปีแล้วด้วยซ้ำ ไม่ ไม่สิ คงไม่ถึง น่าจะสัก… 7-8 เดือนก่อน?”

“ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้”

ใบหน้าของฮันนาห์ดูกังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว “ฉันก็ไม่ทราบค่ะ ทางเอฟบีไอบอกว่าจะติดต่อทางคุณ ฉันก็นึกว่าพวกเขาดำเนินการเรียบร้อยแล้ว แต่… มันเป็นคดีเย็นด้วยมั้งคะ ทางนั้นก็อาจจะไม่ได้แตะต้องมันมากเท่าไร หรือไม่ตอนที่พวกเขาพยายามติดต่อคุณ คุณอาจจะติดต่อไม่ได้พอดีหรืออะไรแบบนั้น มันก็มีความเป็นไปได้หลายอย่าง”

“ติดต่อผมไม่ได้เนี่ยนะ?” ขอทีเถอะ ถ้าเป็นเรื่องคดีของคริสเตียนล่ะก็ แค่พูดชื่อเขามาผมก็ยอมทิ้งทุกอย่างไปฟังรายละเอียดความคืบหน้าอยู่แล้ว “ผมไม่เคยเปลี่ยนเบอร์ ไม่เคยเปลี่ยนที่อยู่ บ้านผมมีตู้จดหมายนะ รู้ไหม หรืออีเมล์ก็ได้ พูดมาได้ยังไงว่าติดต่อผมไม่ได้เนี่ย”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิคะ ฉันแค่จะบอกว่ามันก็มีความเป็นไปได้เท่านั้น”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด เรียกสติของตัวเอง ถ้าคิดตามที่หล่อนพูด มันไม่ใช่ความผิดของฮันนาห์เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นความผิดของไอ้หน่วยงานที่รับคดีไปต่างหาก

“หน่วยงานไหนรับคดีของคริสไปทำนะครับ” ผมถามหลังจากที่ทิ้งช่องว่างให้ความเยือกเย็นกลับมาอีกครั้ง

“เอฟบีไอค่ะ”

“ผมขอทราบชื่อได้ไหมครับ”

“คุณรอฉันสักครู่ได้ไหมคะ” ฮันนาห์ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ สีหน้าของเจ้าหล่อนเคร่งเครียดขึ้นราวกับเป็นคนละคนตอนเดินเข้ามาในห้องนี้ “ฉันจะไปเอาแฟ้มคดีมาให้ ฉันอาจจะไม่ได้มีทุกอย่างที่ทางเอฟบีไอมีเพราะทางนั้นเป็นคนจัดการคดีนี้ แล้วฉันก็ไม่มีสิทธิ์--”

“ผมเข้าใจครับ”

หล่อนนิ่งไปนิดหนึ่ง พยักหน้ารับ จ้ำเท้าพรวดๆ ไปที่ประตู เปิดมันออก แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป ฮันนาห์ก็หันมามแงหน้าผมด้วยสีหน้าฉงน

“เดี๋ยวนะคะ ถ้าคุณไม่รู้เรื่องที่เอฟบีไอรับคดีนี้ไปทำ… แปลว่าคุณก็ไม่รู้เรื่องที่…”

หล่อนไม่พูดต่อ หากยกนิ้วชี้ขึ้นมาลากเป็นวงกลมกลางอากาศราวกับว่านั่นจะช่วยบอกใบ้อะไรได้ ผมขมวดคิ้วมุ่น มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องอะไรครับ”

“เอาแบบนี้ดีกว่า สิ่งที่คุณอัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือตอน--”

“ตอนที่ผมมาหาคุณคราวก่อนนู่น ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ผมเพิ่งได้กล่องจากบุคคลปริศนาที่เราสันนิษฐานว่าเป็นคริสเตียน ที่มีสร้อยคอ นาฬิกา แล้วก็รูปถ่ายอยู่ข้างใน”

“นั่นคืออัพเดทล่าสุดของคุณเหรอคะ?” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมา

“ผมวุ่นวายกับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจน่ะ โอเคไหม”

ฮันนาห์พยักหน้า สีหน้าซีดลงเล็กน้อย

“รอฉันแป๊บหนึ่งค่ะ”

แล้วประตูก็ปิดลง

ผมมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวไปอย่างสับสน หันกลับมาก้มลงมองมือตัวเอง ความเงียบและความกดดันกดทับลงบนบ่า รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่มันก็แค่เรื่องภายใน คดีถูกเปลี่ยนมือไปให้หน่วยอื่นทำ เรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วไปอยู่แล้ว แต่ทำไมผมถึงได้สังหรณ์ใจแปลกๆ อย่างนี้ก็ไม่รู้

ประตูถูกกระชากเปิดออก ฮันนาห์เดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับแฟ้มคดีบางๆ ในมือ หล่อนเดินหลังตรงด้วยท่าทีสง่าอย่างที่ผมเห็นมาตลอด หากคราวนี้ใบหน้าที่มักระบายรอยยิ้มอยู่เสมอกลับไม่เหลือเค้านั้นเลย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เข้าไปใหญ่

หล่อนวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะ วางแขนข้างหนึ่งลงตาม ผมรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะโดนสอบปากคำด้วยท่าทีแบบนั้นของเจ้าหล่อน มันอาจจะเป็นความเคยชินของพวกตำรวจก็ได้ ยิ่งห้องนี้เป็นห้องสำหรับสอบปากคำด้วยแล้ว

“ถ้าคุณไม่ได้อัพเดทเรื่องของคริสมานานขนาดนั้น ฉันว่าคุณต้องตกใจกับเรื่องนี้มากแน่ๆ”

“ทำไมครับ” ผมถามอย่างระมัดระวัง “แปลว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับเขาใช่ไหม”

ฮันนาห์มองผมด้วยสายตาระวังมากขึ้น เป็นสายตาของพวกตำรวจเวลาใช้มองผู้ต้องสงสัยที่ต้องให้ปากคำ แต่ขอทีเถอะ ผมเป็นผู้เสียหายในคดีนี้นะ

เจ้าหน้าที่สาวหยิบแฟ้มขึ้นมาพลิกเปิดด้วยท่าทีที่เหมือนจะเล่นเกมกับผม “ขอฉันดูก่อนนะคะ คนที่รับคดีนี้ไปทำ… อืม เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ชื่อไซม่อน แมคแนร์”

ผมรู้สึกเหมือนโดนชื่อนั้นตบหน้าแรงๆ

“คุณว่าอะไรนะ?”

“เขารับคดีนี้ไปทำตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่… อืม ใช่ เขาทำคดีนี้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ลูซี่ เพรซตอน แต่คนรับผิดชอบจริงๆ น่ะคือตัวของแมคแนร์เอง”

“ไซม่อน แมคแนร์เหรอ” ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าซีดลง คิดย้อนกลับไปตอนที่เขามาหาผมที่บ้านครั้งแรก นั่นเป็นหลังจากที่ไซม่อนรับคดีของคริสไปทำแล้วเป็นเดือนๆ “แล้ว… เขา…”

“นี่คุณไม่รู้เรื่องเลยเหรอคะ” หล่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจจริงๆ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย หล่อนมองตอบกลับมา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้น “บางทีเขาอาจจะจับตาดูคุณมานานแล้วก็ได้ ออสติน เขาอาจจะเฝ้ามองดูคุณอยู่ตลอด”

“แต่… ผมไม่…”

ครืน!

โทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงสั่นพร้อมกับแผดร้องลั่น ผมสะดุ้งสุดตัวราวกับโดนไฟฟ้าช็อตเข้าที่ต้นขา ล้วงมือกระชากมันออกมาวางบนโต๊ะราวกับมันเป็นถ่านร้อนๆ ที่อาจทำให้มือลวกได้หากถือไว้นานเกินไป

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดลง ขนเส้นเล็กๆ ลุกเกลียวไปหมด เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

ไซม่อน แมคแนร์!





---------------------------------------------------
Talk: วันนี้เอาเต็มตอนมาลงค่ะ~ แล้วก็ตอนนี้เราจัดกิจกรรมอยู่ในเพจล่ะค่ะ ^^ ใครสนใจแวะเข้าไปเล่นกันน้า~ตามลิงค์นี้เลย https://goo.gl/yVasvC

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สงสารออสติน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อู้ยยย........อะไรกันเนี่ย  :katai1: :katai1: :katai1:
 
หรือนี่ ทำให้ลูซี่ไม่พูดเรื่องเจ้าของหัวใจกับออสติน
แล้วถ้าออสตินไม่แวะไปหาฮันน่าห์
ก็คงไม่รู้เรื่องว่าไซมอน รับทำคดีต่อ
แล้วฮันน่าห์ กว่าจะพูดว่าเอฟบีไอ ที่ทำคดีคริสเตียนคือไซม่อน
ก็ย้ำอยู่นั่นแหละ ว่าคุณไม่รู้เหรอๆๆๆ มันอะไรกัน
บอกก็ไม่บอก ทำไมทำเหมือนออสตินแกล้งไม่รู้ มันแปลกๆนะ

ออสติน คงรู้สึกเหมือนถูกหลอกซ้ำ อะไรกัน
แล้วนี่จะเชื่อใจไซม่อนไดอีกหรือ
ที่เข้ามาใกล้ชิดออสติน ไม่ใช่เพราะชอบ
แต่เพราะจะได้ติดตามเข้าใกล้ เหยื่อของคริสเตียนง่ายๆ แค่นั้นใช่มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
เหมือนออสตินถูกไซม่อนโกหกซ้ำไปซ้ำมา นี่มันทำให้ความไว้ใจจะหมดแล้วมั้ง เป็นกำลังให้คนเขียนกับออสตินค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 21



“ออสติน” ไซม่อนเรียกพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าผมหลังประตูห้องคอนโดของตัวเอง

ผมส่งยิ้มคืนให้เขา ก้าวเข้าไปภายในตัวคอนโด ส่งกระเป๋าทำงานให้อีกฝ่ายที่ยื่นมือมาคอยรับอยู่แล้ว ปล่อยให้ไซม่อนโน้มหน้าลงมาทาบริมฝีปากลงบนแก้มผมแผ่วเบา อีกฝ่ายดึงมือผมไปกุมจากนั้นจึงพาไปยังส่วนของพื้นที่นั่งเล่นภายใน

เขาวางกระเป๋าผมบนโต๊ะรับแขก ผมทิ้งน้ำหนักตัวลงบนโซฟาพร้อมกับเอื้อมมือไปปลดเนคไทออกจากคอ ไซม่อนก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับช่วยดึงเนคไทเส้นนั้นออกจากเสื้อเชิ้ตของผม มือหนาไล้ลงบนแก้มขณะส่งสายตาที่สื่อความหมายมาให้ ผมมองตาเขาตอบ ส่งยิ้มให้เขาเหมือนเดิม ร่างสูงปีนขึ้นมาคร่อมด้านบนก่อนจะทาบจูบร้อนลงมาด้วยความกระหาย

ผมจูบตอบเขา ตวัดลิ้นรับสัมผัสวาบหวามที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ไซม่อนผละริมฝีปากออก วางหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากผม ยิ้มของเขากว้างจนแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว เขาขยับตัวมานั่งข้างๆ แล้วดึงผมไปกอดแน่น

“นึกว่าวันนี้คุณจะไม่มาหาผมซะแล้ว โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย”

“ผมกำลังคุยธุระกับคนอื่นอยู่น่ะ กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว เลยคิดว่ามาหาคุณซะเลยน่าจะดีกว่าเสียเวลาโทรกลับ”

“ไม่รับสายแบบนี้ผมเป็นห่วงนะ ยิ่งคุณเพิ่งโดนไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ตามล่าอยู่แบบนี้”

ผมยิ้มหวานให้เขา นิ้วเกลี่ยลงบนผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเบามือ “แล้วมีอะไรคืบหน้าบ้างล่ะครับ คุณตำรวจ เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักที”

“ผมทำหลายคดีพร้อมกันนะคุณ ขอเวลาหน่อยสิ”

“ข้ออ้างไม่ได้เรื่องเลย”

“ผมรู้น่า อดทนอีกนิดนะครับ ผมจะรีบจับคนร้ายมาให้”

ไซม่อนยกหลังมือผมขึ้นจูบ ผมเลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่ง พ่อตัวแสบเพียงแค่หัวเราะ เลื่อนหน้ามาจูบปากผมเร็วๆ อีกที หากพอเขาทำท่าจะก้มลงมาจูบผมอีกครั้งหนึ่งผมกลับเบือนหน้าหนีเขา อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกอย่างเก้อเขิน

“เอ่อ โทษทีครับ คุณคงจะเหนื่อย”

“ก็… นิดหน่อยมั้งครับ” ผมยิ้ม

“หิวรึเปล่าคุณ แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรนะ บางทีคืนนี้เราน่าจะสั่งพิซซ่ามากินกัน คุณว่าไหม”

“ตามใจคุณเลย เพราะวันนี้ผมจะไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วย”

ครั้งนี้ไซม่อนดูตกใจจริงๆ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของเขาเบิกกว้างขึ้น มองผมอย่างงุนงง ผมผละออกจากตัวเขา ลุกออกจากโซฟา เอื้อมมือไปหยิบเนคไทที่ไซม่อนถอดออกจากคอมาถือ ลังเลว่าควรจะใส่มันกลับที่เดิมไหม แต่ถึงยังไงนี่มันก็ค่ำเกินกว่าจะต้องทำตัวพิธีรีตรองอยู่แล้ว ผมเดินไปหย่อนเนคไทเส้นนั้นลงในกระเป๋า

“ทำไมล่ะครับ ออสติน” เขาถาม “คุณมีนัดอะไรกับใครเหรอ ไม่เห็นคุณบอกผม---”

“อ้อ เปล่าหรอกครับ” ผมตอบเรียบๆ เดินไปในห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำจากเหยือกลงแก้ว มองสีหน้าสับสนของแฟนของตัวเองแล้วรู้สึกดีไปอีกแบบ ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะหย่อนระเบิด “ผมแค่กำลังคิดว่าจะเลิกกับคุณวันนี้”

ไซม่อนอ้าปากค้าง มองผมอย่างไม่เชื่อหู แต่ผมเพียงแค่ส่งยิ้มหวานกลับไปให้เขา อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ผมไม่เข้าใจออสติน”

“ไม่เข้าใจอะไรครับ คุณแมคแนร์” ผมว่า เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าวแทน “ไม่เข้าใจคำว่าเลิกเหรอ? มันหมายถึงเราจะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วไง ไม่มีการเดท ไม่มีการบอกรัก แล้วก็ไม่จูบกันด้วย”

“ทำไมอยู่ๆ คุณถึงคิดจะเลิกกับผมล่ะ” เขาลุกออกมาจากโซฟา ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมแล้วนั่งลงอย่างร้อนรน ผมปรายตามองท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของเขา เขาเป็นคนที่เล่นละครได้เก่งจริงๆ

“ไม่รู้สิครับ เพราะอะไรกันน้า... ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ? คุณน่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ออสติน” ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือดลง ผมสัมผัสได้ถึงความกลัวของเขา มันฉายชัดออกมาจากดวงตา กล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้น ผมยังส่งยิ้มกลับไปให้เขาหากนัยน์ตาว่างเปล่า เขาเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมแน่น “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“อ้อนวอนขอโอกาสสุดท้ายสิ ที่รัก” ผมว่า “ลองเล่าความจริงทั้งหมดให้ผมฟังดูดีไหม บางทีคุณอาจใช้เรื่องนั้นต่อรองก็ได้นะ เหมือนตอนขึ้นศาลไง ถ้าจำเลยสารภาพผิด บางทีศาลอาจจะยอมลดโทษให้บ้างก็ได้”

“ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด” เขาว่า หากสายตาหลบไปทางอื่น ผมมองหน้าเขานิ่ง ปล่อยให้ความเงียบนั่นกดดันเขา แต่ไซม่อนก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีกอยู่ดี

ผมยกยิ้ม เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงตา แต่สำคัญตรงไหนล่ะ

“ผมรู้ว่าคุณชอบเล่นเกมกับผม ไซม่อน แต่ผมสาบานว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณ… ไม่ใช่สิ เป็นโอกาสสุดท้ายของเราจริงๆ”

เขาเงยหน้าพรวดขึ้นมา มองผมด้วยสายตาเจ็บปวดและตัดพ้อ ตลกชะมัด มันควรจะเป็นผมรึเปล่าที่จะมีแววตาแบบนั้น

“ถ้าคุณพูดถึงเรื่องหัวใจ--”

“คุณเป็นคนรับผิดชอบทำคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

ไซม่อนหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ “ใครเป็นคนบอกคุณ… เพรซตอนเหรอ”

ผมยิ้มให้เขา ไม่ตอบคำถาม

“ผม… ผม…”

“คุณเป็นคนบอกห้ามเพรซตอนไม่ให้บอกอะไรผม คุณรู้ว่าผมจะไปหาหล่อนเพราะว่าผมบอกคุณเมื่อคืน”

“ออสติน คุณฟังนะ ผม…”

“แน่นอนล่ะ หล่อนเป็นคู่หูของคุณนี่ หล่อนก็ต้องทำตามที่คุณขออยู่แล้ว ส่วนผมเป็นใคร ก็แค่คนนอกที่เป็นผู้เสียหายกับคดีอะไรเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร”

“มันไม่ใช่แบบนั้น ออสติน ผมไม่ได้ตั้งใจจะ---”

“ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ แมคแนร์ ว่าทำไมคุณถึงได้มั่นใจนักรอยมีดใหม่ที่กรีดบนขาผมนี่ไม่ใช่ฝีมือคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน?”

ไซม่อนคราง เขายกมือขึ้นลูบหน้า สูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่งเพื่อเรียกสติ ผมพยายามระงับตัวเองไม่ให้ยกขาขึ้นถีบขาเก้าอี้ของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะ

“ออสติน ได้โปรด---”

“พูดออกมา แมคแนร์ พูดออกมา!” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ กระชากคอเสื้อเขาด้วยแรงอารมณ์ ไซม่อนหลบตา ก่อนที่ภาพทุกอย่างตรงหน้าผมจะพร่าเลือนไปด้วยน้ำตา ผมยกหลังมือปาดมันออกลวกๆ “ทำไม… ทำไมคุณไม่บอกผมว่าคริสเตียนตายแล้ว! คุณอมอะไรไว้ในปากเหรอ หรือว่าสมเพชผมจนพูดความจริงออกมาไม่ได้!”

ผมออกแรงเหวี่ยงอีกฝ่ายกระแทกลงกับเก้าอี้อย่างหัวเสีย รู้สึกได้เลยว่าหน้าร้อนขึ้น ยิ่งเห็นคู่กรณีหน้าซีดเผือดลง ยิ่งทำให้ผมอยากจะทำร้ายเขามากขึ้น

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“คุณรู้อะไรไหม แมคแนร์ หุบปากเถอะวะ” ผมชี้หน้าเขาอย่างหยาบคาย เหมือนหลุดการควบคุมตัวเองไปแล้ว “ฟังนะ คุณจะเกลียดผมก็ได้ไม่ว่า จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว จะทิ้งผม จะทำโทษผม จะอะไรก็ได้ แต่อย่ามาสมเพชผม รู้สึกแย่เป็นบ้า แล้วที่คุณบอกว่ารักผมน่ะ นั่นก็เป็นความสมเพชของคุณเหมือนกันด้วยใช่ไหม”

“ไม่ใช่! ออสติน คุณต้องฟังผม”

“ผมฟังอยู่! แล้วทำไมคุณไม่พูดมันออกมาสักที!? เรื่องที่คุณรับคดีของคริสเตียนไปทำ เรื่องที่คุณเป็นคนพบศพเขาเป็นคนแรก!”

ไซม่อนอ้าปากค้าง มองผมที่เหมือนสติหลุดไปแล้วอย่างตกตะลึง อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ผมก็ตกใจตัวเองเหมือนกันที่รู้สึกได้มากขนาดนี้ เหมือนทุกอย่างมันจุกอยู่ในอกจนอัดแน่นไปหมด จะหาทางเอามันออกมาก็ทำไม่ได้ มันถึงได้ทรมานอยู่ข้างในขนาดนี้





เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ผมมองรูปถ่ายที่ฮันนาห์เอามาให้ผมดู รูปพวกนั้นอยู่ในแฟ้มคดีที่เจ้าหล่อนไปหามา มันเป็นแฟ้มของคดีที่ถูกปิดไปแล้ว ข้างในนั้นระบุวันที่ที่ริสเตียนเสียชีวิตและสาเหตุการตาย กระสุนถูกเจาะเข้าไปทางขมับด้านขวา อาวุธสังหารอยู่ในมือของผู้เสียชีวิต

เจ้าหน้าที่ระบุชัดเจนว่านั่นเป็นการฆ่าตัวตาย

ง่ายดายแค่นั้นเอง

ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาที่ผมนึกระแวงเขา แค้นเขา อาฆาตเขา แต่เขากลับหาทางออกให้ตัวเองง่ายๆ ด้วยการฆ่าตัวตายเนี่ยนะ?

ผมรู้ว่าผมควรจะดีใจ ควรจะร้องตะโกนด้วยความยินดีว่าในที่สุดไอ้บ้านี่ก็หายไปจากโลกเสียที แต่ผมกลับรู้สึกโกรธ โกรธที่เขาสามารถเลือกวิธีการตายให้ตัวเองได้ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด บางทีถ้าเขาถูกฆ่า… ไม่ใช่เพราะตายด้วยเจตนาของตัวเอง ผมอาจรู้สึกยินดีกับการตายของเขาได้จริงๆ

“ทำไม” ผมหลุดคำถามนั้นออกจากริมฝีปาก กัดฟันกรอดอย่างคับแค้นใจ มองรูปศพของเขาที่อยู่ในมือ ออกแรงที่จับรูปนั้นมากขึ้นจนมันเริ่มยับ “นี่มันไม่ยุติธรรมเลย”

“ออสติน” เจ้าหน้าที่สาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมขยับตัวอย่างอึดอัด “ฉันว่าคุณควรจะดีใจนะคะ อย่างน้อยคุณก็---”

“ไม่ ผมไม่…” ผมสำลักคำพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดลง รู้สึกว่ามือสั่น “พระเจ้า ผมไม่รู้อะไรเลย ผมรู้สึกตัวเองตาบอด---”

“ออสติน คุณหน้าขาวมากเลย คุณไม่เป็น---” หล่อนเอื้อมมือจะมาแตะตัวผม แต่ผมเบี่ยงหลบ มือของฮันนาห์ค้างอยู่กลางอากาศ เจ้าหล่อนชักมือกลับอย่างเก้อๆ “เอ่อ ขอโทษค่ะ”

“ไม่ ผมสิต้องขอโทษ ผมนึกว่าตัวเองไม่เป็นไรกับเรื่องนี้แล้ว แต่--” ผมพูดรัวจนลิ้นพันกัน และผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ระยะหลังนี่ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีโรคประสาทที่ไม่ชอบสัมผัสเนื้อตัวผู้คน ผมจับมือทักทายกับคนอื่นๆ ได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือน แต่ตอนนี้โรคเก่าที่ว่ากลับมาทักทายผมอีกครั้งแล้ว “นะ… นี่มันอะไรน่ะ ฮันนาห์”

“เอ่อ” หล่อนชะงักค้างไปเมื่อรูปที่ผมหยิบขึ้นมา

รูปที่เป็นหลักฐานพวกนี้มีหลายอย่าง ทั้งหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอัน รอยเลือดซึ่งถือเป็นหลักฐานในที่เกิดเหตุ หรือแม้แต่รูปห้องนอนที่เป็นสถานที่เกิดเหตุ รูปที่ผมหยิบขึ้นมาให้ฮันนาห์ดูเป็นรูปถ่ายของอัลบั้มรูปอีกทีและในอัลบั้มที่ว่าก็มีแต่รูปถ่ายของผม

ฮันนาห์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “คือ… คุณก็รู้ใช่ไหมว่าคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนคลั่งไคล้คุณมากขนาดไหน และ เอ่อ เขาก็เคยคบกับคุณ”

“ไอ้โรคจิตนี่” ผมกัดฟันกรอด ต่อให้คริสตายไปแล้วผมก็ยังแค้นเขาอยู่ดี อาจจะแค้นขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ผมดูรูปถ่ายซึ่งเป็นหลักฐานของคดีทั้งหมด รู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา อัลบั้มรูปถ่ายที่ว่าไม่ได้มีแค่ในรูปใบนั้นใบเดียว ผมเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปส่วนส่วนใหญ่ที่คริสมีเป็นรูปแอบถ่าย นี่มันสะอิดสะเอียน… น่าขยะแขยงเป็นบ้า ขนาดรู้ว่าไอ้โรคจิตนี่ตายไปแล้วนะ

“นี่อะไรครับ” ผมยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งที่มีแผ่นซีดีสองแผ่นอยู่ในนั้น บนหน้าแผ่นซีดีพวกนั้นไม่มีอะไรเขียนอยู่ แต่ถ้ามาอยู่ในรูปพวกนี้ก็แปลว่าเป็นหลักฐานในที่เกิดเหตุด้วยเหมือนกัน “ในซีดีนี้มีอะไร”

“ฉันไม่ทราบค่ะ ออสติน สิ่งที่ฉันได้มามีแค่รูปถ่ายของหลักฐานพวกนี้ คดีนี้ไม่ใช่คดีของฉันอย่างเป็นทางการแล้วด้วย”

ผมพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วคนที่รู้ว่าในซีดีนี้มีอะไร… เอฟบีไอใช่ไหมครับ”

“ค่ะ พวกเขาคงยังเก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด”

“ขอบคุณครับ ฮันนาห์” ผมส่งรูปคืนให้หล่อน ปรายตามองโทรศัพท์ที่โชว์บนหน้าจอว่าไซม่อนโทรมาเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว ผมเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ขอโทษนะคะที่ช่วยคุณได้แค่นี้”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมส่งยิ้มให้เจ้าหน้าที่สาวตรงหน้า “เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเอง”

“คุณจะทำอะไรคะ”

ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น

.
.
.
.
.
(50%)






------------------------------------------------
Talk: วันนี้เอาครึ่งตอนมาลงก่อน เดี๋ยววันอาทิตย์โผล่มาอีกครึ่งนะคะ:) กิจกรรมในเพจยังจัดอยู่น้าาาา~ ใครสนใจแวะเข้าไปเล่นได้ตามลิงค์นี้เลย https://goo.gl/yVasvC
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ รักทุกคน ม้วฟ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ออสติน คุณหน้าขาวมากเลย ใช้ครีมอะไร เอ๊ย ไม่ช่ายยย ต้องเป็น คุณหน้าซีดมากเลย หรือเปล่าคะ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
เข้าใจออสตินเลย แต่ก็ไม่รู้เหตุผลของไซม่อนว่าเป็นยังไง รออ่านต่อน้า

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เพิ่งเห็นว่าคุณไอรินเอาเรื่องนี้มาลงในนี้ด้วย ดีใจจังค่ะ :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รำคาญไซม่อนเป็นบ้า  :z6: :z6: :z6:
พูดอยู่ได้ คุณต้องฟังผมๆๆๆๆๆ
แต่ไม่พูดออกมาซ้ากที   :z3: :z3: :z3:
มันมีอะไรนักหนา  :m16: :m16: :m16:
ลุ้นๆๆๆๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
ออสติน คุณหน้าขาวมากเลย ใช้ครีมอะไร เอ๊ย ไม่ช่ายยย ต้องเป็น คุณหน้าซีดมากเลย หรือเปล่าคะ

เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ล่ะค่ะะะ หน้าขาวใช้ครีมอะไรนี่ไม่ใช่ล่ะ 5555555 //มันเป็นสำนวนนะะะ แบบ หน้าขาวซีดอะไรงี้ไง เอ๊ะ หรือเขาไม่ใช่สำนวนนี้กันหว่า?

เข้าใจออสตินเลย แต่ก็ไม่รู้เหตุผลของไซม่อนว่าเป็นยังไง รออ่านต่อน้า

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามมมม มารอดูเหตุผลไซม่อนกัน อิอิ จะรีบเอาครึ่งหลังมาลงนะคะ XD

เพิ่งเห็นว่าคุณไอรินเอาเรื่องนี้มาลงในนี้ด้วย ดีใจจังค่ะ :pig4: :กอด1:

แฮ่~ ปกติไม่ค่อยเล่นเล้าเท่าไรน่ะค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ! //กอดดดด

รำคาญไซม่อนเป็นบ้า  :z6: :z6: :z6:
พูดอยู่ได้ คุณต้องฟังผมๆๆๆๆๆ
แต่ไม่พูดออกมาซ้ากที   :z3: :z3: :z3:
มันมีอะไรนักหนา  :m16: :m16: :m16:
ลุ้นๆๆๆๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

แต่ไซม่อนน่ารำคาญจริงค่ะ อยากให้เขาเชื่อ แต่ตัวเองก็ไม่พูดสักที 5555555 มาๆๆๆ มารอลุ้นกันว่านางมีอะไรของนางนักหนา

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]





“ผมรู้แล้วว่าคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนตายไปแล้ว” ผมมองหน้าเขาอย่างเจ็บปวด นัยน์ตาคู่สวยที่ทำให้ผมตกหลุมรักเบือนหนีไปอีกทาง “ทำไมคุณต้องปิดบังผมด้วย ไซม่อน คุณก็รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับผมแค่ไหน”

ไซม่อนส่ายหน้า “ไม่ ออสติน มันไม่สำคัญหรอก”

“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสิน!” ผมทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างหัวเสีย ไซม่อนลุกพรวดขึ้นมาเก้าอี้ จับข้อมือผมแน่น

“ออสติน เราค่อยๆ คุยกันดีๆ ได้ไหมครับ ผมขอโทษที่ปิดบังคุณ แต่… แต่… ผมอธิบายได้”

“คุณอธิบายได้?” ผมส่งยิ้มเย็นเยียบไปให้เขา ยกมือขึ้นกอดอก “เยี่ยมไปเลย ที่รัก เพราะผมกำลังต้องการคำอธิบายอยู่พอดี ไหน ลองว่ามาซิ”

“ผม… ผมตั้งใจจะบอกคุณเรื่องนี้อยู่แล้วแต่---”

“เฮ้ ไม่ดีกว่า แบบนี้ไม่ดีแน่” ผมยกมือห้ามเขาไม่ให้พูดต่อ “รู้ไหมผมรู้สึกยังไง ผมรู้สึกว่าคุณกำลังจะหาข้ออ้างเดิมๆ มาพูด อย่างเช่นอะไรนะ อ้อ ใช่ ‘ผมไม่รู้จะบอกคุณยังไงดี’ อะไรเทือกนั้นใช่ไหม? ขอทีเถอะ คุณเจ้าหน้าที่ คุณเคยใช้ข้ออ้างนั้นมาแล้ว อยากจะเปลี่ยนเป็นอะไรอย่างอื่นบ้างไหม”

“ออสติน--”

“ผมอยากดูสิ่งที่อยู่ในซีดีนั่น”

ประโยคนั้นทำให้ไซม่อนชะงักไปทันที “คุณว่าไงนะ”

“ซีดีที่เป็นหลักฐานนั่นไง มันรวมอยู่ในหลักฐานชิ้นอื่นๆ”

“ไม่มีซีดีสักหน่อย ออสติน”

ผมเหยียดยิ้ม จ้องตาเขาอย่างท้าทาย สะใจไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายหลบตา การที่เขาพยายามหลบเลี่ยงเรื่องนี้ แปลว่าในนั้นต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ หลักฐานชิ้นอื่นๆ ผมก็ได้เห็นในรูปถ่ายที่ฮันนาห์เอามาให้ดูหมดแล้ว เหลือแค่ด้านในซีดีนั่นที่ผมยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และผมจะต้องรู้ให้ได้

“งั้นก็ดีวีดี? ช่างแม่งเหอะว่ามันจะเป็นอะไร ถ้าคุณยังไม่เลิกเล่นเกมไร้สาระนี่กับผม ผมจะคว่ำกระดานนี้ต่อหน้าคุณ”

ผมมองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่ายอย่างรู้ดีว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจนักหรอก ผมรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเขามาหลายครั้งแล้ว แต่ไซม่อนก็ยังมีเรื่องปิดบังผมอยู่ดี

“คุณ… จะเลิกกับผมจริงๆ เหรอครับ ออสติน” น้ำเสียงนั้นเบาหวิวน่าใจหาย “ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอ?”

“ได้โปรด เจ้าหน้าที่แมคแนร์ อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับผม คนผิดคือคุณนะ”

เขามองผมอย่างเจ็บปวด “อ้อ ตอนนี้ผมเป็นแมคแนร์แล้วเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับไซม่อนล่ะ”

“คุณไปหาอะไรก็ตามที่อยู่ในซีดีนั่นมาให้ผม เดี๋ยวนี้ หรือไม่เราก็จบกัน”

“ทำไมคุณถึงต้องสนใจมันนักหนาด้วย” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ “มันก็แค่ซีดีทั่วไป… แค่ไปปะปนในหลักฐานชิ้นอื่นๆ เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่อยากให้ผมดูขนาดนั้นล่ะถ้ามันเป็นแค่ซีดีทั่วไป?”

เรามองหน้ากันเหมือนหยั่งเชิง แต่ไซม่อนรู้ดีว่านี่คือจุดแตกหักของพวกเราจริงๆ แล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายพยายามเป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้าผมบอกว่าไม่มีซีดี… หรือสิ่งที่อยู่ในนั้นตอนนี้ล่ะ?”

“แล้วมันอยู่ที่ไหน ที่ทำงานคุณเหรอ? งั้นก็ไปหยิบกุญแจรถมา ผมจะไปสำนักงานกับคุณตอนนี้เลย”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ผมค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นบนมุมปากอย่างรู้ทัน

“ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปเอาไอ้ที่คุณเก็บไว้ในห้องทำงานมา ผมเห็นนะว่าในนั้นคุณมีกล่องที่รวบรวมแฟ้มคดีอยู่ อย่าตุกติกนะ ไซม่อน ผมรู้ทุกอย่างแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะปิดบังอะไรผมอีก”

ใบหน้าคมจ้องมองผมเนิ่นนาน ประเมินคำพูดนั้นก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ ออสติน คุณไม่รู้ทุกอย่างหรอก เพราะถ้าคุณรู้ คุณจะไม่นิ่งแบบนี้แน่”

“คุณคิดว่าผมกำลังนิ่งอยู่เหรอ!?”

“ผมจะไปเอาซีดีที่ว่านั่นมาให้” ไซม่อนก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัว ผมผงะถอยไปเล็กน้อยเพราะตั้งตัวไม่ทัน เกร็งตัวขึ้นเมื่อมือหนาแตะลงบนบ่าแล้วเลื่อนหน้าลงมาจูบ “รอผมแป๊บหนึ่ง”

ไซม่อนเดินกลับออกมาอีกทีตอนที่ผมเตรียมเปิดทีวีกับเครื่องเล่นซีดีในส่วนของพื้นที่นั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว ผมประสานมือทั้งสองข้างไว้บนตักด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่อุ้งมือทั้งสองข้างชุ่มไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เขามองตอบกลับมาด้วยแววตาหดหู่ นั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบลงทันที อยากจะลุกขึ้นไปกอดเขา บอกกับเขาว่าไม่เป็นไร ผมยกโทษให้ แต่ขณะเดียวกันแววตานั่นของเขาก็ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เล่นเกมกับผมแล้ว ไม่เอาซีดีที่ไหนรู้มาเปิดให้ผมดู ไม่หลอกผมด้วยวิธีโง่ๆ แบบนั้น”

“ท่าทีของผมมันเหมือนคนกำลังเล่นเกมกับคุณเหรอ ออสติน” น้ำเสียงเขาเรียบไม่ต่างกัน “แต่ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน เขาคือผู้ชายที่ลากคุณไปขังไว้ในบ้านร้างสองอาทิตย์ ขืนใจคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณหวังจะได้เห็นอะไรในวิดีโอที่เขาทิ้งไว้ให้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ วิดีโอตอนที่เขาขืนใจผมเหรอ?”

ไซม่อนไม่ตอบ ผมยักไหล่

“จะอะไรก็ได้แล้วครับตอนนี้ รีบๆ เปิดได้แล้ว”

ชายหนุ่มทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหลบไปหลังโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ผมได้ยินเขาถอนหายใจยาวขณะที่ภาพปรากฏขึ้นมาบนทีวี ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหน้าจอส่งยิ้มมาให้ผม ผมตัวชาดิกทันทีที่ได้ยินเสียงของเขาดังออกมา

“สวัสดีครับ ออสติน”

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน… ไอ้… ไอ้วิปริตนี่

“ผมกำลังลังเลใจอยู่เลยว่าควรจะทำอย่างนี้จริงๆ ดีรึเปล่า แต่ก็… ถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้วล่ะนะ ยังไงซะคุณก็ต้องรู้ความจริงทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะงั้นผมก็เลยตัดสินใจว่าขอเป็นบอกคุณด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า”

ผมหูอื้อ รู้สึกตาลายจนเหมือนมองภาพตรงหน้าไม่ชัด แต่สิ่งที่คริสเตียนพูดมากำลังซึมเข้ามาในหัวทั้งหมด ผมมองเขาขยับตัว ส่งยิ้มมาให้เหมือนตอนที่เรายังคบกัน เขาแทบไม่เปลี่ยนไปเลย อาจจะมีแค่ใบหน้าที่ดูซูบลง ขอบตาลึกเหมือนคนนอนไม่พอ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน

“อืม จะว่ายังไงดี จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองก้มหน้า ขยับมือของตัวเองไปมาอย่างคนคิดหนัก พื้นหลังของเขาเป็นผนังห้องสีขาวล้วน ส่วนข้าวของอย่างอื่นไม่ติดอยู่ในเฟรม “คือ… ผมรู้แล้วเรื่องที่คุณหัวใจล้มเหลว”

ผมกำหมัดแน่นขึ้น รู้สึกวูบขึ้นมาทันที เสียงที่ไหลผ่านเข้ามากระตุ้นอารมณ์ผมเรื่อยๆ

“ผมคอยสืบตามดูคุณตลอด คุณอาจจะไม่รู้ ตั้งแต่วันที่ผมจับตัวคุณมาเมื่อตอนนั้น แล้วพอปล่อยตัวคุณไปคุณก็โหมงานหนักจนไม่ได้พัก เพราะงั้นอีกไม่กี่เดือนต่อมาคุณก็เลยล้มไปเพราะเหตุผลนั้น คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกผิดมากเลย มันทำให้ผมคิดว่า… ไม่น่าปล่อยตัวคุณกลับไปเลย น่าจะขังคุณไว้ให้อยู่กับผม คุณจะได้ไม่ต้องโหมงานหนักขนาดนั้น”

มือที่ประสานกันแน่นของผมเริ่มสั่น ผมอยากจะครางออกมาใจจะขาด แต่ก็กลัวว่าเสียงของตัวเองอาจไปกลบเสียงจากวิดีโอนี้ ผมทั้งอยากฟังและไม่อยากฟังสิ่งที่คริสจะพูดต่อ

“แต่… ในเมื่อมันกลายเป็นแบบนั้นไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ พอรู้ว่าคุณอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมก็รู้สึกว่า… อืม บางทีผมคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ผมคงปล่อยให้คนที่ผมรักตายไม่ได้ รู้ไหมว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ผมคิดตอนรู้เรื่องนี้”

“คนที่รักเหรอ?” ผมกัดฟันกรอด ไม่อยากจะเชื่อว่าเขากล้าพูดคำนั้นออกมา เขาไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับคำคำนี้ เขาพูดมันออกมาได้ยังไงในเมื่อเป็นตัวเขาเองที่ทำลายมันลงจนไม่เหลือซาก กล้าพูดออกมาได้ยังไงในเมื่อเขาย่ำยีผมถึงขนาดนั้น

คนรักกันเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก

“เพราะงั้นผมก็เลย… ตั้งใจจะหาหัวใจดวงใหม่ให้คุณเป็นของขวัญ”

ร่างกายของผมชาวาบทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น นัยน์ตาเบิกกว้างมองหน้าจอโทรทัศน์ราวกับต้องมนตร์สะกดทำให้หันหน้าหนีไปทางอื่นไม่ได้ ผมเห็นรอยยิ้มที่อยู่บนมุมปากของเขา

“คุณจำของขวัญที่… อืม บุคคลปริศนาส่งไปให้คุณได้ไหม สร้อยคอของซาร่า คาร์ล นาฬิกาข้อมือของเจมส์ คามิลตัล รูปถ่ายครอบครัวของแบรด แมคแนร์ บางทีคุณอาจจะเก็บเอาคิดนะว่าของพวกนั้นมันเชื่อมโยงกันยังไง ให้ผมเฉลยให้คุณก็แล้วกัน ของพวกนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของพกติดตัวไว้ตลอด เป็นของสำคัญของพวกเขา และ ใช่… ผมเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาอย่างละเอียดจนรู้ลึกขนาดนั้น ผมเลือกพวกเขาที่มีหมู่เลือดเดียวกับคุณไว้เป็นของขวัญให้คุณ ผมค่อยๆ ฆ่าพวกเขาทีละคนโดยหวังว่าจะมีหัวใจของใครสักคนตกไปถึงมือคุณได้”

ผมรู้สึกถึงความร้อนที่หางตา ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนไปหมด ตัวของผมสั่น แต่ผมก็ยังนั่งดูสิ่งที่คนในหน้าจอพูดพร่ำต่อไปอย่างนั้น

“แต่ อืม… น่าเสียดายที่ความอ่อนหัดของผมทำให้อวัยวะภายในของทั้งสามคนนั่นอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงโรงพยาบาลไม่ทันเวลา มันเป็นความสะเพร่าของผมเองที่ไม่วางแผนให้ดี ถึงตอนนี้ผมก็คิดหนักแล้ว เพราะพวกตำรวจเองก็เริ่มสืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ว่าใครเป็นคนฆ่าสามคนนั้น เวลาของคุณก็นับถอยหลังลงเรื่อยๆ คุณคงนึกไม่ออกว่ามันทรมานขนาดไหนที่ต้องอยู่แบบนี้โดยที่ไม่สามารถช่วยคุณได้… และตอนนี้ผมว่าผมไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ”

ใบหน้าของคริสเตียนประดับด้วยรอยยิ้มสว่างไสวที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ผมกุมมือของตัวเองแน่นขึ้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ

“คุณก็รู้ใช่ไหมครับว่าเรามีหมู่เลือดเดียวกัน เรายังเคยพูดถึงเรื่องนี้ตอนที่เราคบกันใหม่ๆ ด้วย คุณจำได้ไหม” พูดพลางเจ้าตัวหยิบปืนกระบอกหนึ่งขึ้นมาถือ หันปลายกระบอกจ่อที่ขมับตัวเอง ผมกลั้นหายใจพร้อมกับเริ่มกรีดร้องในหัว

“คุณไม่ต้องห่วงนะ ออสติน” เขาส่งยิ้มมาให้กล้อง “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ผมเชื่อว่ารถพยาบาลจะมาถึงก่อนที่อวัยวะภายในของผมจะหยุดทำงานแน่ ให้โอกาสผมบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าผมรักคุณ… แล้วก็เกลียดคุณมากแค่ไหน คุณก็รู้ว่าผมรักคุณมาก ออสติน ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณ แต่คุณก็ยังทิ้งผมไป เพราะงั้นผมจะทำทุกอย่าง… ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในใจคุณ ผมหวังว่าคุณจะนึกถึงผมยามที่คุณสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัวว่าผมจะกลับไปเอาตัวคุณเมื่อไหร่ หวังว่าคุณจะนึกถึงผมยามที่ร่างกายได้สัมผัสกับใครก็ตาม ต่อให้คนคนนั้นจะไม่ใช่ผม

“แต่นอกเหนือจากนั้น… ผมจะทำให้คุณรู้ว่าผมนี่แหละที่เป็นคนช่วยชีวิตคุณเอาไว้ ผมยอมให้คุณทุกอย่างจริงๆ ออสติน ทั้งความรักของผม ชีวิตของผม ผมขอให้คุณจำไว้แค่อย่างเดียว ระลึกเอาไว้ว่าหัวใจที่คุณได้เคยเป็นของใคร ทุกลมหายใจของคุณ ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ชีวิตของคุณ… ทุกอย่างล้วนได้มาจากผมทั้งนั้น คุณเป็นของผมตลอดกาลแล้ว ออสติน จำเอาไว้ให้ดีแล้วกัน”

ผู้ชายที่อยู่ในหน้าจอลั่นไก เสียงปืนดังลั่นสะท้อนกับผนังห้องดังกังวาน เลือดสีแดงจำนวนหนึ่งกระเซ็นมาติดอยู่บนกล้อง

จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง





-------------------------------------
Talk: เต็มตอนมาแล้วค่ะ! พีคไปอีก... พีคไปอี๊กกก (ถถถถ)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โอ้ ชักจะเข้าใจเหตุผลของไซม่อนมาหน่อย ๆ ละ
อย่างคริสเตียนนี่ เกินกว่าทำดีเพราะรักนะ นี่มันทำดีหวังผล แถมดูโรคจิตอีกต่างหาก

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ความจิตจัดเต็มมาก อยากรู้ต่อเลย~

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 22



ความเย็นเยียบคืบคลานเข้ามาเกาะกุมอย่างเงียบเชียบ ผมยกแขนขึ้นกอดอกและห่อตัวเอาไว้ เจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดบนทุกส่วนของร่างกาย ตัวของผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ มีเพียงเสียงครางแผ่วเบาเท่านั้นที่หลุดออกมาจากลำคอ รู้สึกถึงน้ำดีที่แล่นขึ้นมาจนถึงคอหอย ผมยกมือขึ้นปิดปาก มืออีกข้างขยำเสื้อบริเวณอกข้างซ้าย ได้ยินเสียงหัวใจบนอกเต้นรัวขึ้นจนเหมือนจะหลุดออกมา

หัวใจที่เคยเป็นของคริสเตียนมาก่อน…

“ไม่…” ผมพูดออกมาได้เพียงแค่นั้นก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ถลาไปที่ห้องน้ำจากนั้นจึงโก่งคออาเจียนออกมาจนลำคอร้อนเหมือนถูกไฟลน

“แค่ก…”

“ออสติน” ผมได้ยินเสียงไซม่อนวิ่งตามมา แต่ผมยกมือสั่นเทาของตัวเองขึ้นเพื่อห้ามเขา รู้สึกถึงน้ำตาที่ค่อยๆ หยดลงมาอาบแก้ม

หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียน… เป็นของคนที่ผมเกลียดที่สุด

“ฮึก…” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากริมฝีปาก สัมผัสแผ่วเบาแตะลงบนบ่าแต่ผมปัดมันออกสุดแรง ผมลุกขึ้น ถลาตัวออกจากห้องน้ำอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงฝีเท้าของไซม่อนดังตามมาติดๆ

วิดีโอน่าสยดสยองนั่นถูกปิดไปแล้ว แผ่นยังคาอยู่ในเครื่อง

ผมจ้องหน้าจอโทรทัศน์ที่มืดสนิทราวกับมันปีศาจร้ายที่คอยจะไล่ฆ่าผม ไซม่อนก้าวเข้ามาประชิดที่ด้านหลัง ผมหันกลับไปปล่อยหมัดหนักๆ ใส่หน้าเขาอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติอย่างที่สมองผมยังประมวลผลไม่ทัน รู้ตัวอีกทีร่างสูงก็เซไปด้านหลังตามแรงต่อยของผม แต่แน่นอนว่านอกจากรอยช้ำนิดๆ หน่อยๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก

หมัดผมไม่ใช่หมัดของนักมวยหรือนักสู้ที่ไหน มันไม่ทำให้เขาเจ็บมากหรอก และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ผมรู้ว่าถ้าเขาคิดจะหลบเขาก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ เขาจงใจรับความโกรธนั้นของผมไป และนั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่ง

“คุณมันสารเลว! ไซม่อน!” ผมกรีดเสียงลั่น ถลาตัวจะต่อยเขาอีกรอบ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มหลบอย่างว่องไวทำให้ผมเป็นฝ่ายเซไปเสียเอง

ผมหันกลับมาหาเขาด้วยแววตาโกรธขึ้ง จ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“คุณรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว! คุณปิดบังผม! คุณโกหกผมทุกอย่าง! คุณทำแบบนี้ทำไม ไซม่อน ผมไปทำอะไรให้คุณ!”

“ออสติน ใจเย็นๆ… ใจเย็นๆ ก่อนครับ” เขาก้าวเข้ามา เอื้อมมือลงมาจับแขนผมทั้งสองข้าง ผมผลักเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี

“อย่ามาแตะตัวผม! คุณรู้อยู่แล้วว่าหัวใจที่ผมได้มาเป็นของใคร!” ผมกรีดเสียงอีกรอบ สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากซึมเข้ามาในสมอง ก้อนเนื้อบนอกข้างซ้ายชาวาบราวกับมีน้ำแข็งก้อนยักษ์ทาบลงมา

หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียน เป็นของเขา

ผมมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเขา

‘คุณเป็นของผมตลอดกาลแล้ว ออสติน’

ผมกรีดร้องอีกรอบอย่างอัดอั้น ยกสองมือขึ้นปิดหูตัวเองราวกับมันจะช่วยกลบเสียงที่ดังอยู่ในหัวตัวเองได้ ไซม่อนเรียกชื่อผมด้วยความตกใจก่อนจะถลาเข้ามา แรงของเขาโอบล้อมรอบตัว ผมพยายามผลักออกแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ผมคิดอะไรไม่ออก เหมือนในหัวมันขาวโพลนไปหมด ได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นและดังขึ้น มันมาพร้อมกับเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหู

‘ทุกลมหายใจของคุณ ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ชีวิตของคุณ…’

“ไม่!” ผมออกแรงดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนบ้า แรงของไซม่อนที่พยายามขืนไว้ทำให้ผมแทบคลั่ง อยากเอาเขาออกจากตัวเอง ผมเกลียดสัมผัสของเขา เกลียดน้ำเสียงอ่อนโยนที่พยายามพูดปลอบให้ผมสงบ แต่เหนือส่ิงอื่นใด… ผมเกลียดก้อนเนื้อที่เต้นตุบตุบอยู่ใต้อก

ผมอยากเอามันออกไป อยากควักหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายของตัวเอง

ผมไม่ต้องการมัน เอามันออกไป…

“เอามันออกไป!”

“ออสติน! ได้โปรด…” ไซม่อนพยายามอีกครั้ง เขาโอบร่างผมไว้แนบกับอก ผมส่ายหน้ารัวๆ ราวกับคนไม่มีสติ “ตั้งสติหน่อยคุณ มันไม่สำคัญหรอกว่าหัวใจที่คุณได้ไปเคยเป็นของใคร มันเป็นของคุณแล้ว ออสติน คุณ---”

“ผมไม่ต้องการมัน!”

“ให้ตายสิ โธ่เว้ย!”

ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา ความโกรธทำให้ผมมีเรี่ยวแรงมหาศาลก็จริง แต่ก็ยังสู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดี ไซม่อนล็อกตัวผม ออกแรงดันไปตามโถงทางเดิน กระชากประตูห้องนอนแล้วเหวี่ยงผมลงไปบนเตียง ผมออกแรงดิ้น พยายามผลักเขาออก อะดรีนาลีนสูดฉีดไปทั่วร่าง

“ไซม่อน ปล่อยผม!”

"ออสติน!" น้ำเสียงของชายหนุ่มตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าผมเริ่มทุบอกของตัวเองอย่างบ้างคลั่ง มือหนาเลื่อนมายึดข้อมือผมไว้แน่นก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น "ออสติน หยุดเถอะ ทำแบบนี้ไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น"

"ปล่อย! ไซม่อน! คุณไม่มีสิทธิ์มาจับผมไว้แบบนี้ ปล่อย!"

หากอีกฝ่ายไม่ทำตามที่ผมพูด มือข้างหนึ่งของเขากดหลังผมให้ติดกับพื้นเตียง ผมได้ยินเสียงสับกุญแจมือจากด้านหลัง ยึดข้อมือทั้งสองข้างไพร่หลังแล้วพันธนาการมันให้ติดทั้งสองข้าง โลหะเย็นเยียบแตะลงบนผิวบนข้อมือยิ่งทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า

เขากล้าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง คริสเตียนเคยสับกุญแจมือแล้วยึดผมไว้กับเขาสองอาทิตย์ ผมเกลียดสัมผัสเย็นเยียบนี้ ไซม่อนกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนี้กับผม!

“เอากุญแจมือนั่นออกไป!”

“ผมทำแน่ถ้าคุณสงบสติอารมณ์ได้แล้ว”

“สารเลว! ไซม่อน! ทั้งเรื่องหัวใจนี่แล้วก็เรื่องที่คุณทำอยู่นี่! คุณแม่งชั่วไม่ต่างอะไรกับไอ้โรคจิตนั่นเลยสักนิด เอามันออกไป!”

“ออสติน พอได้แล้ว ผมขอร้องล่ะ”

ผมโจนตัวออกจากเตียงหากมือหนาเอื้อมมากระชากผมกลับลงไปนอนเหมือนเดิม มือหนากดบ่าทั้งสองข้างเอาไว้ ผมเตะลงบนสีข้างเขาอย่างแรง ไซม่อนกัดฟันแน่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกดขาของผมราบลงไปบนพื้นเตียงด้วยเข่า

ผมรู้สึกได้ถึงความกลัวที่เอ่อล้นขึ้นมาผสมปนเปไปกับความโกรธแค้นอัดอั้นที่หาทางออกไม่ได้ ผมดิ้นตัวภายใต้การเกาะกุมของเขาราวกับคนบ้า ความรู้สึกมากมายพวกนี้กำลังกัดกร่อนจิตใจผม ทำให้ตัวผมแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

“เอามันออกไป!”

ไซม่อนสูดลมหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นติดกัน ไม่พูดอะไร ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าคำพูดไม่สามารถช่วยอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้

“เอามันออกไปจากตัวผม!” ได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้จนคำพูดแหบพร่า รู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บนหางตาและแก้ม

หัวใจที่อยู่ในอกผมนี่เป็นของคริสเตียนเหรอ น่าหัวเราะเป็นบ้า หัวใจที่เคยเป็นของคนที่ผมเกลียดที่สุดกำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ในตัวผม ผมมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมัน

แต่...ถ้าผมทำลายมันล่ะ? ถ้าผมหยุดการทำงานของมันลงได้ ก็เหมือนกับว่าผมสามารถฆ่าคริสเตียนได้ด้วยเหมือนกันใช่ไหม

ผมเหลือบไปมองด้ามปืนที่คาดเอวของคนด้านบน กระชากขาออกจากเข่าของร่างสูงที่กดลงมาจนหลุด จากนั้นก็เตะเอาปืนกระบอกนั้นหลุดออกมาจากซอง ไซม่อนอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาจับตัวผมพลิกคว่ำลงอีกครั้ง ดึงแขนผมขึ้นแล้วเหยียดจนตึง ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับมันจะถูกฉีกขาดออกจากร่าง ความเจ็บปวดนั่นทำให้ความกลัวล้นปรี่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ผ่อนคลาย ออสติน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคุณจะหายเจ็บ”

ผมยังฝืนตัวดิ้น ก่อนจะต้องคำรามออกมาเพราะความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น แรงที่ยึดแขนผมไว้อยู่เพิ่งมากขึ้น

“อยู่นิ่งๆ คุณหมอ ใจเย็นๆ ค่อยๆ หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วความเจ็บจะหายไปเอง ใช่ แบบนั้นแหละครับ แบบนั้นแหละ”

ผมหายใจช้าลง รู้สึกว่าลมหายใจหนักขึ้น หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง ความเจ็บปวดเมื่อครู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นด้านชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร มือหนาค่อยๆ คลายออกจากแขนของผม วางมันแนบลงกับแผ่นหลังอย่างเบามือ จากนั้นสัมผัสอบอุ่นก็ไล้ลงบนศีรษะผมอย่างปลอบโยน

ผมสะอื้นจนตัวโยน เบี่ยงหนีสัมผัสเขา เขาทำกับผมขนาดนี้ คิดว่าผมจะยอมรับการปลอบใจของเขาง่ายๆ งั้นเหรอ

“ผมเจ็บนะ ไซม่อน” ผมครวญ ขยับข้อมือที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันทั้งสองข้าง “ทำแบบนี้ทำไม”

“ผมขอโทษ ออสติน”

“คุณทำแบบนี้ทำไม” ฟุบหน้าลงกับผ้าปูที่นอน เนื้อตัวสั่นเทา “หลอกผมทำไม… ไซม่อน ทำแบบนี้กับผมทำไม ผมทำอะไรผิด”

"ออสติน" เสียงนั้นเรียกชื่อผมอย่างอ่อนโยน มันมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัว แต่มันไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น "ผมขอโทษครับ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษ"

ผมส่ายหน้ารัวๆ ในอ้อมแขนเขา ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงอย่างอ่อนล้า รู้สึกราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ผมได้หัวใจของคนที่เกลียดที่สุดมาอยู่ในตัว ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากกระชากมันออก โยนมันออกไปให้ไกลแสนไกลเท่าที่จะทำได้ อยากจะวิ่งไปหยิบมีดแล้วคว้านมันออกไปเลยเสียเดี๋ยวนี้ ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะต้องตายหากทำแบบนั้น

ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอวัยวะของไอ้สารเลวนั่น... ผมเลือกที่จะไม่มีชีวิตต่อไปน่าจะดีกว่า!

"ชู่... ไม่เป็นไร ออสติน" มือหนาไล้ลงบนใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา "หลับตาเถอะนะครับ คนดีของผม ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งนั้น ปล่อยมันไปซะ"

เสียงปลอบโยนของเขาดังแว่วเข้ามาในหู และเมื่อผมสงบลง หอบหายใจจนตัวโยน มือหนาก็เลื่อนมาปัดผมที่ปรกหน้าผากของผมออก มันเต็มไปด้วยเหงื่อ

“ไม่เป็นไร ออสติน ไม่เป็นไร ผมอยู่นี่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ”

ผมทำตามที่เขาบอกโดยอัตโนมัติ หลับตาทั้งสองข้างลงอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ติดบนกรอบตา สัมผัสแผ่วเบาเลื่อนมาปาดมันออก และเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยของไซม่อนก็กำลังจับจ้องผมนิ่งอย่างห่วงใย

"ทำไม..." เสียงของผมแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ "ทำไมต้องเป็นหัวใจของหมอนั่นด้วย"

ไซม่อนไม่ตอบ เขาดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีกรอบ เลื่อนให้ใบหน้าผมไปเกยอยู่บนบ่าของเขาโดยที่ยังนอนราบอยู่กับเตียง ไออุ่นจากร่างกายเขาทำให้ผมหลับตาลงอีกครั้ง อย่างน้อยนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวในตอนนี้

"ทำไม..." น้ำเสียงผมพร่ำเพ้อ "ทำไมคุณต้องโกหกผมด้วย ไซม่อน"

เขาไม่ตอบ หากเสียงกลืนน้ำลายดังๆ นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังประหม่าและรู้สึกผิดจากคำถามนั้น

"ผมขอโทษ"

ผมส่ายหน้าเบาๆ กับคำพูดนั้น ความเหนื่อยล้าทำให้ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ผมทิ้งตัวลงในความมืดดำที่ค่อยๆ โอบอุ้มร่างเอาไว้

มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ





ผมไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยมานานเท่าไรตั้งแต่ที่โดนคริสจับตัวมาอยู่ที่นี่

เสียงลมหายใจฟืดฟาดของตัวเองดังแผ่วเบาอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงสะอื้น ภาพทุกยังคงเป็นสีดำมืดเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาการเจ็บแปลบบนต้นขาที่เพิ่งโดนของมีคมกรีดลงมาเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ มือทั้งสองข้างของผมยังคงถูกพันธนาการติดกันเหมือนเดิม โลหะเย็นเยียบสัมผัสกับข้อมือ รู้สึกว่ามันเย็นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ผมเอนหน้าลงไปพิงกับขอบอะไรสักอย่าง ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัวไปไหน ร่างกายยังช็อกจากอาการบาดเจ็บส่งผลให้มันยังสั่นเทาอยู่เบาๆ แต่ต่อเนื่อง

ได้ยินเสียงจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลดังเข้ามาหู เหมือนเสียงโลหะหรือเหล็กหนักๆ กระทบกัน หรือไม่ก็เหมือนมีอะไรตกลงพื้น นี่ก็อีกเรื่อง ผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเอง เสียงแผ่วเบาของใครอีกคนที่จับผมมา มากสุดก็มีแค่เสียงหัวเราะเบาๆ ข้างหูที่ชวนให้ประสาทหลอน แต่คริสไม่เคยปริปากพูดอะไรกับผม ความเงียบพวกนั้นเริ่มทำให้ผมกลัวที่จะส่งเสียงออกมา มันให้ความรู้สึกเหมือนผมจะแหกกฎอะไรบางอย่าง

แต่แล้วเสียงดนตรีที่คลอมาเบาๆ ก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท เสียงท่วงทำนองที่แสนคุ้นเคยที่เหมือนไม่ได้ยินมานานแสนนาน เสียงของนักร้องชื่อดังที่สอดประสานเข้ากับเสียงกีต้าร์และกลอง เนื้องเพลงที่ฟังดูเหมือนไม่มีความหมายแต่กลับติดหูและเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก

ผมเคยร้องเพลงนี้กับคริสในรถช่วงที่เราคบกันแรกๆ ผมบอกเขาว่าชอบเพลงนี้มาก ยังจำได้ดีตอนที่เขาหันกลับมายิ้มให้และบอกว่า เขาเองก็ชอบมันมากเหมือนกัน

แก้มของผมอุ่นซ่านขึ้นเพราะของเหลวหยดหนึ่งไหลออกจากตา ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าผ้าที่ปิดตาผมอยู่จะชื้นขนาดไหน ผมร้องไห้จนเหมือนน้ำจะหมดตัวได้อยู่แล้ว

เสียงของคริสร้องคลอกับเพลงดังมาให้ได้ยิน เสียงที่ดัดให้เข้ากับท่วงทำนองเพลงนั่นฟังดูไม่เหมือนเสียงเขาเลย และมันก็กำลังทำให้ผมตัวสั่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

“อึก” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ฟุบหน้าลงกับอะไรก็แล้วแต่ที่กั้นผมเอาไว้ ผมอยากจะเกลือกกลิ้งลงกับพื้นมากกว่า แต่แค่จะทำแค่นั้นผมยังทำไม่ได้เลย

เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้เสียงเพลงที่ลอยมาจากนอกห้องชัดเจนขึ้นตาม เสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามาอีกครั้ง ผมไม่อยากรับรู้แล้วว่าตัวเองจะโดนอะไรอีก

“ได้โปรด” เสียงแหบแห้งของตัวเองเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก “ปล่อยผมไปเถอะ”

มีเพียงเสียงเพลงคลอแผ่วเบาเพลงนั้นเป็นคำตอบให้ผม






สิ่งแรกที่ได้เห็นหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าคือเพดานห้องนอนที่คุ้นตา ผมหลับตาลงอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็วเพราะแสงที่ส่องผ่านม่านตาเข้ามามีมากเกินไป ผมปรับตัวไม่ทัน

แรงหนักๆ ที่พาดอยู่บนลำตัวผมทำให้ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้นอีกครั้ง มองชายหนุ่มอีกคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา เท่าที่สังเกตดูจากขอบตาอีกฝ่ายแล้วไซม่อนก็คงได้นอนน้อยพอๆ กับผมเหมือนกัน ใต้ตาของเจ้าตัวลึกเข้าไปทีเดียว ถ้าส่องกระจกคู่กันตอนนี้คงเหมือนซอมบี้สองตัวที่หาหลุมตัวเองไม่เจอ

“อ่า...” ผมครางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ขยับแขนขึ้น กุญแจมือเมื่อคืนถูกปลดออกไปแล้ว ผมหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ข้างตัวก่อนจะยกมือกุมหัวที่หนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินมาถ่วงเอาไว้พร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ผมดูวิดีโอที่คาดคั้นไซม่อนให้เอามาให้ แล้ว…

“อุบ” แค่คิดถึงมันก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอีกรอบ

ผมไอแห้งๆ ออกมาสองสามที เสียงไอของผมทำให้คนบนเตียงเริ่มขยับตัว ไซม่อนปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะหันมามองตามต้นเสียง นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขามองผมอย่างห่วงใยขณะเลื่อนมือออกมา

“ออสติน”

“อย่าครับ” ผมขยับตัวหนีสัมผัสเขา ยกมือขึ้นจับแขนตัวเองราวกับจะใช้มันเป็นป้อมปราการไม่ให้ใครก้าวล้ำเข้ามา “อย่าเพิ่ง… อย่าแตะผม ผมขอร้อง”

ไซม่อนครางออกมาแผ่วเบาขณะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง สภาพของเขาดูย่ำแย่เหมือนกัน ผมเผ้าชี้ไปคนละทิศละทาง เคราครึ้มโผล่ขึ้นมาให้เห็นประปรายที่รอบคาง เขามองมาทางผมด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างชัดเจน

“คุณโอเครึเปล่าครับ ดีขึ้นบ้างไหม”

ผมขยับตัวถอยหนีทันทีที่เขาทำท่าจะเคลื่อนตัวเข้ามา นั่นทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักไป ผมเห็นแววตาเจ็บปวดของเขาแวบหนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาคู่สวยนั่นก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบว่างเปล่า

ดีจัง ผมว่าตอนนี้เราน่าจะมีแววตาเหมือนกันเลย

“หิวรึเปล่าครับ ออสติน”

ไม่เลย ผมไม่หิวเลยสักนิด หรือต่อให้ท้องว่างยังไง ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกลืนอะไรลงอยู่ดี

“ให้ผมไปทำอะไรให้ทานไหม”

ผมนิ่งเงียบไป เหมือนคิดไม่ออกว่าควรจะตอบยังไงดี ผมไม่อยากอยู่กับเขาแล้วตอนนี้ ทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา เรื่องโกหกของเขา มัน… มันมากเกินกว่าที่ผมจะรับไว้ ผมรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้วขณะที่คิดหาทางหนีทีไล่ ผมตัดสินใจพูดกับเขาเสียงเรียบ

“ผม… ผมอยากอาบน้ำ ไซม่อน ถ้าเป็นไปได้ คุณเตรียมน้ำใส่อ่างให้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้ครับ” เขาว่า ทำท่าจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนี้ระหว่างเราทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมถอยหนีสัมผัสของเขา ไซม่อนไหล่ตกลงนิดหนึ่ง หากเจ้าตัวก็พยักหน้าเบาๆ ราวกับจะสื่อว่าเขาเข้าใจ ก็มันช่วยไม่ได้นี่ อะไรทำนองนั้น

ผมมองร่างสูงของเจ้าตัวชะงักฝีเท้าลงที่ประตู เขาหันกลับมามองหน้าผมก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจัง

“ออสติน เรื่องที่ผมปิดบังคุณ… ผมเสียใจ”

“ผมรู้แล้วครับ” ผมว่า ก้มหน้าลงต่ำ ไม่สบตาเขา “คุณบอกผมแล้วเมื่อคืน”

เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปแล้วปิดประตูลง ผมทิ้งช่วงเล็กน้อย รออยู่นิ่งๆ แบบนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำจากก๊อกที่ไหลลงในอ่างดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมใช้จังหวะนี้ฉวยโอกาสหยิบข้าวของของตัวเองแล้วก้าวเท้าฉับๆ ออกจากคอนโดของไซม่อน

อย่างกับว่าผมจะยอมอยู่กับเขาต่อหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานอย่างนั้นแหละ



ผมเรียกแท็กซี่และนั่งกลับบ้านไปทั้งๆ อย่างนั้น เหลือบมองทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่างโปร่งใส เงาของตัวเองสะท้อนออกมาเล็กน้อย นั่นทำให้ผมต้องรีบเลื่อนมือไปปัดผมเป็ดที่กระดกขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นี่ยังไม่นับใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนตายมาแล้วนี่อีกนะ สงสัยจังว่าคนขับแท็กซี่จะคิดยังไงตอนรับผมขึ้นมาบนรถ แต่ที่แน่ๆ หลังจากผมบอกที่อยู่แล้ว เขาไม่ชวนผมคุยสักคำ ก็ดี

“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมเอ่ยปากหลังจากที่ตัวรถวิ่งเข้าสู่ถนนในเขตที่ผมอยู่ ถัดจากพื้นคอนกรีตนี่ไปก็เป็นหาดทรายแล้ว บ้านของผมอยู่ห่างจากตรงนี้ออกไปไม่ไกล “จอดตรงนี้เลยครับ”

ผมจ่ายเงิน ลงจากรถ จากนั้นก็เดินทอดน่องไปตามริมหาด ดูดดื่มไปกับลมทะเลและคลื่นแผ่วเบาที่ซัดลงบนข้อเท้า เหม่อมองออกไปยังเกาะอีกฟาก สถานที่ศักสิทธิ์ของแม่ผม สถานที่ที่อยู่แล้วรู้สึกสบายใจและปลอดภัย

แม่ของผมไม่ได้ไปที่นั่นในช่วงบั้นปลายของชีวิต แม้ว่าหล่อนจะต้องการมากแค่ไหน

ผมเองก็เหมือนกัน ผมกลับไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไม่ได้แล้ว การที่เราต้องการไปยังสถานที่พิเศษของเราแต่ไม่สามารถไปได้ทั้งที่มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม มันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

ผมปล่อยให้ความคิดมากมายลอยวนอยู่ในหัว สิ่งที่ทำให้ผมระส่ำระส่ายจริงๆ ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องไซม่อน แต่เป็นเรื่องของก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายของตัวเองต่างหาก นึกถึงเจ้าของคนก่อนของมัน นึกถึงสิ่งที่ไอ้บ้าคริสนั่นทำเอาไว้ก่อนจะลาโลกนี้ไป

มันฆ่าคนบริสุทธิ์ไปสามคน… และตอนนี้หัวใจของไอ้ฆาตกรนั่นก็อยู่ในตัวผม

ระยำสิ้นดี

สามคนนั้นต้องตายก็เพราะผม เพราะหัวใจที่ผมไม่ได้ร้องขอ… ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยซ้ำถ้าทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้

หาดรอบตัวผมแทบจะไม่มีผู้คน ผมทอดสายตามองผืนมหาสมุทร นึกถามตัวเองในใจเล่นๆ ว่าอยากจะเดินลงไปในนั้นเลยไหม แต่น่าเสียดายที่ผมรักตัวเองเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้

ผมมุ่งหน้าไปที่บ้านของตัวเอง ตัวบ้านปรากฎสู่สายตาแล้ว ผมล้วงมือลงในกระเป๋าเพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมาก่อนจะต้องนิ่งไปเมื่อสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ที่หน้าประตูบ้าน

ผมชะงักฝีเท้าลง ตัวชาวาบขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นกลัว

‘ให้ตายสิ’ ผมอยากจะคราง แต่อ่อนล้าเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ ‘ทุกอย่างนี่จะไม่มีวันจบสิ้นจริงๆ  ใช่ไหม’





--------------------------------------------
Talk: ขอโทษที่อาทิตย์ที่แล้วหายไปนะคะ! พอดีติดเดินทาง เลยวุ่นๆ นิดหน่อย เอาเป็นว่ารอบนี้เอาเต็มๆ ตอนมาฝากเลยแล้วกัน จะได้ไม่ค้างกันเนอะ! //นี่ไม่ค้างแล้วนะ 5555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด