Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]  (อ่าน 77616 ครั้ง)

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
คนอ่านก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน  :sad4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ร้ายที่สุดไม่ใช่เวรกรรม แต่เป็นคนเขียนค่ะ (หัวเราะ)

ออฟไลน์ Supak-davil

  • สาว Y = Why I don't have a boyfriend ??????????
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ใครก็ไม่รู้ เอาเรื่องนี้ไปแชร์ในเฟส
เราก็หลวมตัวมาอ่าน
จริง ๆ เล้ยยยยยยยยยยย
ขอสมัครมาเป็นคนค้างด้วยอีกคน

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 28




“เฮ้ ออสติน ศพนั้นจะเสร็จก่อนบ่ายโมงไหม นี่โดนสารวัตรเร่งมา”

“บ่ายโมงเหรอ ล้อเล่นใช่ไหม ทำไมเขาไม่ขอผลตั้งแต่เมื่อวานเลยล่ะ”

“เย็นไว้พวก เพิ่งเจอศพเมื่อเช้า” แม็กซ์ ชู เพื่อนร่วมงานที่กำลังตรวจอีกศพตอบกลับอย่างอารมณ์ดีขณะตรวจสอบรอยช้ำบนร่างศพแล้วเริ่มขีดเขียนลงบนกระดาษ ส่วนของผมเป็นศพผู้ชายที่เจอมาพร้อมกัน เรียกได้ว่าตายแบบแพ็คคู่ในบ้านของตัวเอง น่าสงสาร และผมคงมีความเห็นใจให้มากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังโดนเร่งงานอยู่นี่

ผมเริ่มกลับมาทำงานตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ปิดต้นฉบับงานเขียนและส่งให้โรงพิมพ์เมื่อเดือนที่แล้ว ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่อยู่บ้านเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ หัวผมเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องในอดีต ถามย้ำกับตัวเองบ่อยๆ จนแทบจะเป็นโรคประสาท อย่างเช่นว่าถ้าตอนนั้นผมไม่ทำแบบนั้นตอนนี้จะดีกว่าเดิมไหม

ถ้าเกิดผมยอมให้โอกาสคริสเตียนคราวนั้น… ถ้าเกิดไซม่อนบอกความจริงกับผมแต่แรก…

บลาๆๆ คำว่าถ้าเยอะเกินขนาดที่ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นเงินได้ ป่านนี้ผมคงรวยเป็นมหาเศรษฐี

“เฮ้ ถ้าได้ผลทุกอย่างแล้วสรุปมาให้ฉันหน่อยได้ไหม หรือว่านายจะเป็นคนรับหน้าตำรวจคราวนี้?”

“ม่ายล่ะ” ผมลากเสียงยาว ขีดปากกาลงในกระดาษที่อยู่บนที่รอง “ฉันเกลียดตำรวจ”

“แต่ก็คบมาแล้วตั้งสองคน”

“ใช่ พิสูจน์มาแล้ว ไม่มีดีสักราย”

“ไม่ลองดูอีกสักคนเหรอ ได้ยินพวกผู้หญิงพูดมาว่าสารวัตรคนนี้หล่อนะ”

ผมหันไปทำตาขวางให้ชู อีกฝ่ายฉีกยิ้มอย่างขี้เล่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยักไหล่อย่างยอมแพ้

“ไม่เอาก็ไม่เอา อุตส่าห์อยากช่วยให้นายหายจมปลักกับรักเก่า”

“ใครบอกว่าฉันจมปลัก?” ผมถามกลับขณะดึงกระดาษแผ่นบนสุดส่งให้ชู เจ้าตัวรับไปเทียบกับรายงานของตัวเองก่อนจะพูดตอบ

“ก็ไอ้ท่าทีซังกะตายของนายนี่ไง เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงช่วงแรกๆ ที่นายกลับมาทำงานหลังจากที่… เอ่อ โดนจับตัวไป แต่ตอนนั้นแย่กว่านี้พอสมควรแฮะ”

“รอบนี้ฉันแค่อกหัก ไม่ได้โดนปล้ำนี่”

“ทำไมชีวิตรักของนายมันอาภัพจังวะ ออสติน ลองเปลี่ยนมาคบผู้หญิงดูบ้างไหม”

“นายอยากลองนอนกับผู้ชายบ้างไหมล่ะ” ผมถามกลับอย่างท้าทาย ชูสะดุ้งตัวทันที

“เอ่อ ฉันว่าฉันเข้าใจความรู้สึกนายแล้ว ไม่ดีกว่า”

“เข้าใจก็ดี”

“นี่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดเพศนะ!”

“รู้แล้ว”

ผมเดินออกมาจากที่ทำงานเพื่อตรงดิ่งไปยังโรงอาหารของโรงพยาบาล มีเวลาพัก 30 นาที อยากจะหาแซนด์วิชกินรองท้องแล้วค่อยกลับไปดูงานเอกสาร กาแฟร้อนๆ อีกสักถ้วยคงจะวิเศษมาก

“ออสติน”

เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ผมหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแองเจลีนในชุดสูทกึ่งทางการก้าวเข้ามาหา ท่าเดินของหล่อนดูกระฉับกระเฉงมั่นใจ เหมือนพวกนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ

“แองเจลีน คุณมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย”

“ฉันทำวิจัยพวกผลิตภัณฑ์ยาให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งน่ะค่ะ ไซม่อนไม่เคยบอกคุณเหรอคะ”

“อ่า เหมือนจะเคยบอกครับ” ผมว่า “แปลว่าคุณทำงานที่นี่เหรอ”

“ย้ายไปเรื่อยๆ มากกว่าค่ะ แต่ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในที่ทำงานฉันเหมือนกัน”

“แดนเป็นยังไงบ้างครับ”

“สบายดีค่ะ” หล่อนยิ้มสดใสให้ กระชับแฟ้มเอกสารในอ้อมแขนเล็กน้อย “เดี๋ยวอีกสักพักฉันก็ต้องไปรับแกจากที่โรงเรียนเหมือนกัน แต่ต้องเคลียร์งานเอกสารนิดนึงก่อน”

“พอมีเวลาไหมครับ ให้ผมเลี้ยงกาแฟสักแก้ว--”

“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ แต่ขอเป็นโอกาสหน้าเถอะ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปทำงานต่อแล้ว แล้วนี่… คุณกับไซม่อน…”

ผมส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เจ้าหล่อน และเหมือนรู้ความหมาย แองเจลีนพยักหน้ารับเนิบๆ ให้ก่อนจะยอมถอยอย่างรู้จังหวะ

“ฉันเข้าใจค่ะ เอาเป็นว่าไว้คุยกันนะคะ รักษาสุขภาพด้วย อย่าโหมงานมาก”

“ขอบคุณครับ”

ผมมองเจ้าหล่อนเดินจากไปก่อนจะหมุนตัวตรงไปที่ร้านขายเครื่องดื่มทันที ผมสั่งมอคค่าร้อนมาถ้วยหนึ่ง ประคองแก้วกระดาษร้อนกรุ่นนั่นวางบนโต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์สั่น ข้อความจากใครบางคนที่ไม่ได้ติดต่อผมเป็นเดือนปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอ



Simon McNair: คุณเป็นยังไงบ้างครับ ออสติน



ใจผมแกว่งไปวูบหนึ่ง ใคร่ครวญถึงความหมายของคำถามนั้นก่อนจะถอนหายใจเฮือก กดปุ่มพักหน้าจอที่อยู่ด้านข้างมือถือ ยกกาแฟจิบเบาๆ ขณะปล่อยให้ใจลอยไปหาคนที่ส่งข้อความมาให้

ผมเองก็ยังถามเขากลับเหมือนกัน

เขาหวังคำตอบแบบไหนจากคำถามนั้นเหรอ?





“เฮ้ ออสติน”

ผมหันกลับไปมองเจ้าหน้าที่สาวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคดีของผมมาเป็นปี เลิกคิ้วให้ฮันนาห์ด้วยความแปลกใจ หล่อนก้าวเดินฝ่าฝูงชนที่สวนกันขวักไขว่มาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“สวัสดีครับ ฮันนาห์ ได้เรื่องอะไรคืบหน้าเกี่ยวกับคดีแล้วเหรอ”

ใช่  หลังจากที่เลิกกับไซม่อนได้ไม่นานคดีที่ตามหาตัวคนร้ายที่เคยไล่ล่าผมก่อนหน้านี้ก็โดนเปลี่ยนมือไปให้ฮันนาห์ เพรซตอนแทน ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เพราะผมคงกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยถ้าต้องรับรู้ความคืบหน้าคดีจากแฟนเก่าที่จบกันแบบ… เอ่อ ไม่ค่อยสวย

“ไม่เชิงค่ะ แต่วันนี้ฉันตั้งใจมาเยี่ยมคุณ ดูว่าคุณสบายดีไหมก็เท่านั้นเอง”

“อ้อ ครับ” ผมว่า กระชับแฟ้มในมือเล็กน้อย เพรซตอนมองตามอย่างสังเกต

“ขอโทษค่ะ นี่ฉันมากวนเวลาคุณรึเปล่า ถ้าคุณไม่สะดวก--”

“อ้อ ไม่หรอกครับ แค่กำลังจะกลับไปสำนักงานพอดี ทำพวกงานเอกสารน่ะ มาด้วยกันไหมครับ จะได้นั่งคุยกัน”

“ตกลงค่ะ นำไปเลย”

ผมวางแฟ้มเอกสารที่หอบหิ้วมาลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ดึงเก้าอี้จากโต๊ะทำงานข้างๆ มาแล้วผายมือให้เจ้าหล่อน ฮันนาห์นั่งลงก่อนจะถามเข้าประเด็นทันที

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ ออสติน ยังมีคนคอยตามคุณอยู่รึเปล่า”

ผมยักไหล่ ตอบตรงๆ “ถ้าถามผมผมก็ว่าไม่มีนะ หรือถ้ามีผมก็คงไม่รู้ตัว แล้วนี่ทางตำรวจไม่ได้เบาะแสอะไรอะไรเลยเหรอครับ”

ฮันนาห์ส่ายหน้า นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วตั้งแต่เจอเรื่องที่โรงพยาบาลรอบนั้น ช่วงแรกๆ ผมเองก็ประสาทเสียกับเรื่องนี้พอสมควรเหมือนกัน แต่ตอนนั้นมีไซม่อนอยู่ด้วย แล้วหลังจากนั้น… พอได้รู้เรื่องไซม่อนที่หนักหนากว่าเรื่องที่ว่า ไอ้ความกลัวที่มีต่อคนร้ายก็เลือนๆ ไป

แต่ไอ้การที่ตำรวจไม่ได้เบาะแสอะไรเลยแบบนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน มันพาลให้คิดไม่ได้ว่าคนพวกนี้ทำงานกันจริงๆ รึเปล่า ถึงฮันนาห์จะคอยมาถามไถ่ผมเป็นระยะๆ ก็เถอะ

“ก็เหมือนที่เราคุยกันคราวก่อนล่ะค่ะ คงต้องรอให้คนร้ายลงมือทำอะไรก่อนเราถึงจะเริ่มสืบต่อได้”

ผมพยักหน้า กรณีรอคนร้ายให้ลงมือก่อเหตุซ้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ในการสืบสวน

“แล้วก็… ฉันบอกคุณหรือยังว่าทางการยืนยันแล้วว่าคนร้ายที่กรีดขาคุณไม่ใช่ฆาตกรตัวเลข”

“คุณบอกแล้วครับ ฮันนาห์ ตั้งแต่คราวก่อนนู้นแล้วมั้ง”

เจ้าหล่อนบอกว่าจากการเทียบแผลของผมกับเหยื่อฆาตกรตัวเลขรายอื่นๆ วิธีการที่คนร้ายลงมือกรีดแผลนั้นต่างกัน และหลักฐานหลายๆ อย่างก็บ่งชี้ว่ารูปแบบในการลงมือต่างกันมากเกินไป อย่างเช่นว่าคนร้ายเพียงแค่ช็อตไฟฟ้าผมจนสลบแล้วก็กรีดตัวเลขที่ขาในกรณีผม แต่กับเหยื่อคนอื่นๆ มันลงมือข่มขืนแล้วก็ฆ่า

อือ เรียกได้ว่าต่างกันเยอะเลย

“แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนร้ายจะเลียนแบบฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ทำไม แล้วอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงกันแน่”

“แต่คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอคะว่าตัวเลขที่คนร้ายกรีดบนขาตรงกับวันที่คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนลักพาตัวคุณไป”

ผมนิ่งคิดไป โน้มตัวลงหาคู่สนทนาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง “คุณว่าเป็นไปได้ไหมถ้ามันจะแค่บังเอิญ”

“บังเอิญเหรอคะ” เพรซตอนขมวดคิ้วมุ่น “ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกค่ะ บางทีคนที่ทำอาจจะอยากขู่คุณ คุณนึกไม่ออกจริงๆ เหรอคะว่าใครบ้างที่อาจอยากทำร้ายคุณหรือมีความแค้นต่อคุณ”

คำถามนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจถามผมมาหลายรอบแล้ว ผมก็คิดตามทุกรอบนะ แต่คำตอบก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี

“ไม่ครับ ผมคิดไม่ออกเลย แต่ตอนแรกๆ ผมมั่นใจว่าเป็นคริสเตียนแน่ แต่ในเมื่อหมอนั่นตายไปแล้วก็ตัดความเป็นไปได้ที่ว่านั่นออก ผมก็นึกถึงใครไม่ออกแล้วล่ะ”

เจ้าหน้าที่สาวพยักหน้า ก่อนจะเริ่มตัดบทอย่างสุภาพ “เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกโดนคุกคามล่ะก็ ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ หรือถ้ามีอะไรผิดสังเกต ยังไงก็แจ้งให้ฉันทราบด้วยแล้วกัน”

“คุณคิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนที่มีความแค้นต่อผมจริงๆ เหรอ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วจับมือกับคนตรงหน้า เพรซตอนยักไหล่ทีหนึ่ง

“การที่เขากรีดเลขนั่นซึ่งมีความหมายเชิงลบต่อคุณขนาดนั้น ยังไงก็เป็นความแค้นส่วนตัวไม่ผิดแน่”

“แล้วคุณคิดว่าเขาทำไปเพื่ออะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ ปั่นประสาทคุณล่ะมั้ง”

“งั้นต้องบอกว่าเขาทำได้ไม่เลวเลย” ถึงตอนนี้จะไม่ประสาทเสียเท่าตอนแรกๆ ที่โดนแล้วก็เถอะ

ผมนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศจนถึงเวลาเลิกงาน ตัดสินใจไม่ทำงานล่วงเวลาเพราะงานที่ค้างอยู่ก็ไม่เร่งด่วนอะไร ไม่ได้อยากได้โอทีด้วย ที่สำคัญ… ครั้งสุดท้ายที่ทำงานล่วงเวลาจนดึกก็โดนคนร้ายปริศนาวิ่งไล่ตามจนจำฝังใจอีกต่างหาก เรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นมาผมไม่เคยอยู่ในออฟฟิศดึกดื่นถึงขั้นต้องอยู่คนเดียวเลย

ก้าวเท้าไปตามโถงทางเดินของสำนึกงาน เสียงรองเท้าเสียดสีไปกับพื้นดังเอี๊ยดอ๊าดสะท้อนไปมา ก่อนมันจะชะงักลงเมื่อเห็นใครบางคนยืนพิงอยู่กับผนังตรงหน้า

ไซม่อนอยู่ในชุดลำลองที่เรียกได้ว่าไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ เจ้าตัวกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่ตามประสาคนสมัยใหม่ที่พอไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบมือถือขึ้นมากด

เขาเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนใครบางคนจ้องนานเกินไป เมื่อเห็นว่าเป็นผม เจ้าตัวก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้ ถึงนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาจะดูอ่อนล้าและเกร็งๆ อย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนระหว่างพวกเราขึ้นมาที น่าจะเป็นเรื่องปกติกับคู่รักที่เพิ่งแตกแยกกันไป แต่เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปสักพักมันก็จะดีขึ้นเอง

“สวัสดีครับ ออสติน”

“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ ไซม่อน”

เขานิ่งไปนิด สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบตรงๆ “ผมมาหาคุณ”

“คุณรู้ไหมว่านั่นทำให้ผมนึกถึงอะไร” ผมได้ยินน้ำเสียงเยาะหยันของตัวเอง “คริสเตียนไง ตอนที่เราเลิกกันแรกๆ เขาก็มาวอแวผมแบบนี้”

ไซม่อนขมวดคิ้วใส่ผม ผมรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้เทียบตัวเองกับคริสเตียน แต่ผมก็อดใจพูดแขวะไปไม่ได้อยู่ดี

“สำหรับคุณแล้ว ผมแย่พอๆ กับไอ้โรคจิตนั่นจริงๆ เหรอ”

“พูดว่าคนอื่นเขานี่ ไม่ดูตัวเองเลยนะ”

ไซม่อนเงียบไป เหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขอความเห็นใจจากผม แต่ไอ้ความเงียบนั่นแหละที่ดันทำให้ผมใจอ่อน

“คุณต้องการอะไร”

“ผม… เอ่อ ผมแค่สงสัยว่าเราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ไหม”

ผมเลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่งอย่างฉงนเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“เราเคยเป็นเพื่อนกันด้วยเหรอครับ”

“ก็… อย่างน้อยก็ตอนที่เราจะนอนด้วยกัน ก็คงเรียกว่าเพื่อนได้มั้ง”

“คำนิยามของคุณน่าสนใจดี แต่คุณไม่ได้เข้าหาผมเพราะอยากเป็นเพื่อนแต่แรกไม่ใช่เหรอครับ”

“ผมแค่อยากทำให้แน่ใจว่าคุณจะปลอดภัย”

ใจผมกระตุกวูบกับคำพูดเรียบง่ายและตรงไปตรงมานั่น

“แล้ว… ถ้าเรากลับไปเป็นเพื่อนกัน นั่นจะทำให้ผมปลอดภัยเหรอ”

“อย่างน้อยผมก็ไปมาหาสู่คุณได้บ้าง เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าคุณอยากให้ผมช่วย”

“จริงๆ แล้วผมก็มีเพื่อนเป็นตำรวจนะ ไม่ต้องรบกวนคุณขนาดนั้นก็ได้”

“คุณมีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่แล้ว เพิ่มผมไปอีกสักคนจะเป็นอะไรไป”

ข้ออ้างของเขาแทบทำให้ผมอ้าปากค้าง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมนึกถึงช่วงที่ไซม่อนเข้าหาผมใหม่ๆ หมอนี่ชอบเอาสีข้างถู มัดมือชกกันตลอด และเพราะคิดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาจนได้

“นั่น ยิ้มแบบนั้นแปลว่าคุณโอเคแล้ว”

ผมหุบยิ้มลงแทบไม่ทัน “ผมว่าผมขอเวลาคิดสักหน่อยดีกว่า”

“ไม่เอาน่า ออสติน” มือหนาเอื้อมมาคว้าข้อมือผมที่กำลังจะเดินหนีไปอีกทางไว้อย่างรวดเร็ว “แค่เป็นเพื่อนกัน ไม่เห็นต้องเสียเวลาคิดขนาดนั้นเลย คุณก็รู้ว่าผมเป็นห่วงคุณ อย่างน้อยก็อย่าปิดช่องทางกันเลย”

“เป็นห่วงผมเรื่องอะไรไม่ทราบ” ผมยกยิ้มหวานให้เขา เป็นยิ้มหวานเชื่อมที่แม้แต่ตัวเองยังต้องขนลุก “อยู่กับคุณ ผมว่าน่าจะอันตรายมากกว่า แล้วทำไมคุณจะต้องมาห่วงผม?”

“เฮ้” ไซม่อนอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ผมใช้จังหวะนั้นดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา พอเริ่มตั้งสติได้เจ้าตัวก็รีบว่า “ไม่ยุติธรรมนี่ ผมเองก็ช่วยคุณมาตั้งหลายครั้ง อย่าง… เอ่อ ตอนที่คุณโดนคนร้ายวิ่งไล่จับน่ะ รู้ตัวรึเปล่าว่าคุณเกือบทำตัวเองตายเพราะยิงปืนมั่วซั่วแล้ว”

“อ้อ งั้นคุณก็มาช่วยผมจากตัวเองน่ะสิ ขอบคุณมากเลย ไซม่อน เป็นพระคุณจริงๆ”

“โอเค ฟังนะ” ไซม่อนสูดลมหายใจแรงๆ ทีหนึ่ง “ผมแค่อยากติดต่อกับคุณบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ต้องเป็นเพื่อนก็ได้ถ้าคุณไม่อยาก”

“แล้วถ้าผมบอกว่าผมไม่อยากให้คุณแวะมาหาเป็นครั้งคราวด้วยล่ะ?”

“ทำไมล่ะครับ”

“มันรบกวนผม”

คนผมน้ำตาลบลอนด์อ้าปากค้าง ดูเขาอึ้งไปไม่น้อยกัยการตัดเยื่อใยของผม ลึกๆ ผมก็รู้สึกผิดเหมือนกันแฮะ แต่ผมจำเป็นต้องปกป้องด้วยวิธีนี้ ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนใจอ่อน ถ้าผมยอมให้เขามาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ ล่ะก็… ผมคงยอมลงให้เขาหลายเรื่องแน่

ผมยกคิ้วให้เขาก่อนจะถามย้ำ “ว่าไงครับ”

“ก็… ถ้าคุณไม่อยากเจอผม ผมจะทำอะไรได้ล่ะ” เขาพูดคอตก ท่าทางผิดหวังอย่างรุนแรง ให้ตายเถอะ ไม่ยุติธรรมเลย หมอนี่ชอบทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่… จริงๆ แล้วที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาแท้ๆ

“ผมขอโทษ” ผมถอนหายใจเฮือกอย่างอดไม่อยู่ ส่ายหน้ารัวๆ ให้เจ้าตัว “แต่แบบนี้มันดีที่สุดแล้วสำหรับเราสองคน โอเคไหม คุณอยู่ส่วนของคุณ ผมอยู่ส่วนของผม… จริงๆ แล้วคุณควรจะดีใจนะที่ผมไม่แจ้งความเรื่องที่คุณทำก่อนหน้าที่เราจะแยกกันน่ะ”

“ใช่ ผมขอบคุณมากเลย เพราะงั้นให้ผมตอบแทน--”

เสียงเขาหายไปเมื่อเห็นตาวับๆ รู้เท่าทันของผม ไซม่อนถอนหายใจออกมาอีกเฮือก

“ผมจะบอกให้ว่าคุณจะตอบแทนผมได้ยังไง แค่ใช้ชีวิตของคุณก็พอ ไม่ต้องมายุ่งกับผม คดีผมตอนนี้คุณก็ไม่ได้เป็นคนทำแล้ว เพราะงั้นเราไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก”

“แล้วเหตุผลที่ผมรักคุณล่ะ?”

หน้าผมร้อนขึ้นวูบหนึ่งก่อนความหงุดหงิดจะเข้ามาแทนที่ความกระดากเขินอายนั้น

“ขอร้อง ไซม่อน อย่าพูดคำนั้นให้ผมได้ยินอีก ขนลุกชะมัด แล้วก็ขอโทษเถอะนะ แต่ผมต้องขอตัวล่ะ มีธุระต่อจากนี้”

“ทำไมคุณต้องโกหกความรู้สึกตัวเองด้วย ออสติน”

เขาคว้าแขนผมที่กำลังจะตรงดิ่งไปลานจอดรถอีกครั้ง เฮ้ย ครั้งแรกยังพอว่า ครั้งที่สองนี่ชักจะเยอะล่ะนะ เบื่อจริงๆ เลยพวกที่พูดจาไม่รู้เรื่องเนี่ย

“คุณพูดอะไรของคุณ” ผมมองเขาตาเขียว แต่ไซม่อนก็ไม่สะทกสะท้านเหมือนเคย

“ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ไปแจ้งความเรื่องผม”

ผมเงียบไป

“คุณก็ไม่ได้เกลียดผมอย่างที่คุณพยายามแสดงอยู่สักหน่อย”

“นี่ ไซม่อน แมคแนร์” ผมพูดอย่างอดทน กลบเกลื่อนท่าทีอ่อนไหวเพราะคำพูดเขามันไปจี้ใจดำเข้าอย่างจัง “ที่ผมไม่ไปแจ้งความเรื่องคุณน่ะ เพราะผมยังเห็นแก่เรื่องในอดีตของเรา เห็นแก่แดนแล้วก็แองเจลีนที่ยังต้องการคุณ คุณอาจจะไม่ใช่แฟนที่ดี แต่คุณก็เป็นอาที่ดี เป็นน้องสามีที่ดี อย่าโมเมไปหน่อยเลยว่าเพราะความรู้สึกของผมที่มีให้คุณ มันจบไปนานแล้ว”

“คุณโกหกไม่เก่งเลย รู้ตัวรึเปล่าครับ”

“คุณเองก็โคตรหลงตัวเองเลย รู้ตัวรึเปล่า” ผมย้อนคำพูดเขาพร้อมกับเดินหนีออกมา ซอยฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อไซม่อนเรียกชื่อผมไล่หลังมา

ผมตรงไปยังรถของตัวเอง ก้าวเข้าไปฝั่งที่นั่งคนขับ ปิดประตู จากนั้นก็ออกรถทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังคงพยายามตะโกนเรียกผม

“ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ ออสติน… เฮ้! ลงมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องเจอแต่กับไอ้พวกช่างตื๊อด้วยนะ

.
.
.
.
(50%)





--------------------------------------------
Talk: สุขสันต์วันศุกร์ค่ะทุกคน ^^ พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้วเนอะ แต่เราทำงานค่ะพรุ่งนี้ TvT เป็นวันเสาร์หลอกลวงแท้ๆ//กระซิก ตอนนี้เราเปิดนิยายเรื่องใหม่นะคะ แนวคล้ายๆ กับเรื่องนี้ เผื่อใครสนใจเข้าไปอ่านกันเนอะ>>http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.0

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เริ่มจะสงสารไซม่อนแล้วสิ อย่าโกรธกันนานเลย หน่วงเกิน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฮือออ เมื่อไหร่เค้าจะดีกันอ่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]






ไซม่อนส่งข้อความมาหาผมสามครั้งหลังจากนั้น โทรเข้ามาอีกสาย แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปสักอย่าง และเขาก็ไม่ได้ตื๊อผมมากไปกว่านั้น ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะถ้ามากกว่านี้ผมอาจจะตัดรอนรุนแรงกับเขา ซึ่งในใจส่วนลึกของผมยังไม่อยากทำแบบนั้น คือผมไม่อยากคุยกับเขา ไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้อยากจะแตกหักกับเขาถึงขนาดมองหน้ากันไม่ติด ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันบ้างล่ะ

ข้อความที่สี่ถูกส่งมาหาขณะที่ผมเดินนำนายตำรวจคนหนึ่งไปที่ห้องเก็บศพซึ่งเจ้าตัวติดต่อขอตรวจสอบศพที่ว่ามาก่อนหน้านี้แล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูขณะที่อีกมือผลักประตูห้องเข้าไป ไซม่อนไม่เคยส่งข้อความตัดพ้อหรือเวิ่นเว้อน่ารำคาญมาให้ ทุกครั้งที่เขาส่งมาจะเป็นประโยคสั้นๆ และตรงประเด็น ราวกับกลัวว่าผมจะรำคาญ ซึ่งเขาคิดถูกแล้ว แต่คำถามสั้นๆ ที่ถามมาว่าผมเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเลวร้ายเสียทีเดียว

บางที… ผมอาจจะเริ่มตอบเขาข้อความนี้ ที่เขามาเจอผมครั้งล่าสุดหลายสัปดาห์ก่อนแล้วนะ ถ้าไม่ตอบอะไรเขาเลยก็จะดูเย็นชาเกินไป…

“เอ่อ คุณหมอการ์ดเนอร์ครับ”

“โอ้ โทษทีครับ” ผมหันไปหานายตำรวจที่เดินตามผมเข้ามาในห้อง

เนื่องจากในนี้มีที่เก็บศพเยอะพอสมควร ผมจึงก้มลงไปอ่านชื่อที่อีกฝ่ายให้มาก่อนหน้านี้แล้วตรงไปเปิดประตูของช่องที่เก็บร่างไร้วิญญาณออกมาให้อีกฝ่ายดู

“นี่ศพของโจนาธาน ลัมเบิร์ก ถ้าตรวจสอบเสร็จแล้วยังไงรบกวนคุณเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยนะครับ” ผมว่าพร้อมกับวางบอร์ดที่มีกระดาษเอสี่ติดอยู่ด้านบนลงบนโต๊ะ อีกฝ่าหันหน้ามารับคำขณะก้มลงไปสำรวจศพที่ว่า ผมใช้จังหวะนั้นเปิดข้อความที่ไซม่อนส่งมาให้อีกรอบ มือกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปอยู่แล้ว หากเสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่รายเดิมทำให้ผมต้องกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

“ขอโทษด้วยครับ คุณช่วยผมดูตรงนี้หน่อยได้ไหม”

“ครับ?” ผมก้าวเข้าไปหาร่างที่ไร้วิญญาณนั่นก่อนจะเริ่มพิจารณาส่วนที่คนข้างตัวอยากรู้ ให้ตายสิ ใครแม่งรับผิดชอบศพนี้เนี่ย ไม่ได้เขียนรายละเอียดลงในใบรายงานหรือว่าเจ้าหน้าที่คนนี้อ่านไม่ละเอียดกันนะ ให้ตายเถอะ



หลังจากเสร็จงานทางนั้นแล้ว ผมเดินกลับไปที่สำนักงานของตัวเองที่อยู่อีกตึกเพื่อเตรียมเคลียร์งานเอกสารที่ค้างคาในส่วนของอาทิตย์นี้ อาทิตย์ที่แล้วค่อนข้างยุ่งหัวปั่นในส่วนของภาคปฏิบัติ งานนั่งโต๊ะเลยเหลือล้นจนทำไม่ทันกันเลยทีเดียว

“เฮ้ ออสติน” เสียงของชูดังมาให้ได้ยิน ยังไม่ทันที่ผมจะถึงโต๊ะทำงานของตัวเองเลย “งานของสัปดาห์ที่แล้วน่ะ ทางแอลเอพีดีเร่งมาแล้วนะ นายทำเสร็จรึยัง”

“ยัง” ผมตัดบทเสียงห้วน กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ ดับเบิ้ลคลิกเม้าส์เพื่อเรียกใช้งานคอมพิวเตอร์ เสียงเจื้อยแจ้วของคนที่นั่งทำงานอยู่ด้านหลังยังดังมาให้ได้ยิน

“ถ้าไม่รีบทำมีหวังเราโดนด่ายับแน่ เพื่อนเอ๊ย คราวก่อนก็เลทงานเขาไปรอบหนึ่งแล้ว จำได้ไหม นายช่วยเร่งให้เสร็จวันนี้ได้หรือเปล่า”

“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น มีทางเลือกอื่นให้ไหมล่ะ”

“เฮ้ ไม่ต้องมาทำเสียงประชด ฉันไม่ใช่คนที่สั่งงานนะโว้ย”

ไม่รู้แหละ พาลไว้ก่อน พวกตำรวจนี่มันน่าเบื่อจริงๆ คิดว่าทำงานแบบนี้มันง่ายนักรึไงวะ

ผมนั่งจ้องหน้าจอตลอดทั้งเย็น รู้ตัวอีกทีพวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว ชูเองก็เก็บของใส่กระเป๋า ปิดคอม เตรียมกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ผมรั้งอีกฝ่ายเอาไว้อย่างนึกขึ้นได้ทันที

“เฮ้ แม็กซ์”

“ว่าไง”

“ขอยืมปืนอีกได้รึเปล่า”

“หา?” เจ้าตัวว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ชี้นิ้วไปที่รูบนพื้นซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมเคยทำปืนลั่นเอาไว้ “ยังไม่เข็ดอีกใช่ไหมครับ ออสติน หรืออยากทำรูใหม่?”

“เถอะน่า ฉันไปเรียนวิธีใช้มาแล้ว คราวนี้ไม่พลาดหรอก” หลังจากที่ผมทำปืนลั่นไปคราวก่อน ไซม่อนเลยพาผมไปสอนวิธีการยิงปืนที่ถูกที่สนามฝึก ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็เถอะ แต่พวกพื้นฐานอะไรผมน่าจะทำได้แล้วล่ะ

“วันนี้ไม่ได้พกมาด้วยว่ะ”

“ไหงงั้น”

“คงไม่เป็นไรแล้วม้าง ไอ้คนที่ตามบ่านายไม่ได้โผล่มาตั้งหลายเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ คงแค่อยากแกล้งนายเล่นคราวนั้นแหละ แต่พอเห็นนายกลัวแล้วแจ้งตำรวจเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้นคงไม่กล้าทำอะไรแล้ว”

“คงงั้นมั้ง” ผมพึมพำ ตาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแล้ววกกลับมองเนื้องานบนหน้าจอ น่าจะกินเวลาอีกพักใหญ่เลยทีเดียว

“ทำไมไม่มาทำต่อพรุ่งนี้ล่ะ”

“นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต้องทำให้เสร็จวันนี้” ไอ้บ้าชูชักจะเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง

“อือ… ก็ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เสร็จวันนี้ไง แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ปะวะ”

“ช่างเถอะ นายกลับไปก่อนเลย ฉันคงส่งเท่าที่ทำไหวไปให้ฝั่งนั้นแหละ”

“อยู่คนเดียวได้แน่นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก บอสก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมว่าขณะชำเลืองมองโต๊ะทำงานของหัวหน้าที่ยังมีกระเป๋าวางอยู่

“งั้นก็โชคดี ออสติน อย่าหักโหมไม่เข้าเรื่องล่ะ เข้าใจไหม เกิดหัวใจวายขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ไม่รู้จะหาหัวใจมาเปลี่ยนให้นายได้อีกรึเปล่านะ”

“นั่นปากเหรอที่พูดน่ะ กลับไปได้แล้ว ไป กวนสมาธิทำงานหมด”

“โอ๊ย รักเพื่อนจังว่ะ” พูดด้วยท่าทีทะเล้นแล้วจึงจากไป ผมยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ อย่างนึกขันจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำงานต่อ ทุ่มสมาธิทั้งหมดไปให้สิ่งที่อยู่ในหน้าจอ

โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นอีกทีในอีกสองชั่วโมงต่อมา ผมก้มลงมองข้อความที่ปรากฎขึ้นมา ข้อความที่ห้าจากไซม่อนนั่นเอง จริงสิ ผมว่าผมจะตอบเขานี่นะ ลืมไปเลย

“อ่า” พอหลุดจากห้วงสมาธิ ร่างกายก็เริ่มประท้วงเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทำงานเพลินจนลืมกินข้าวเย็นจนได้ ว่าแล้วก็ไปหาอะไรกินสักหน่อยดีกว่า

ผมเดินไปซื้อแซนด์วิชจากโรงอาหารที่ตึกหลัก ถือมันกลับมากินที่ตึกฝั่งสำนักงาของตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดมากที่ต้องคอยเดินข้ามไปข้ามมาแบบนี้ อยากให้มีร้านสะดวกซื้อแบบเปิด 24 ชั่วโมงมาอยู่ตึกฝั่งนี้บ้าง จะได้ไม่ต้องเดินถ่อไปถึงฝั่งนั้น

ผมหยิบแซนด์วิชขึ้นมาจากชั้นและเตรียมไปหยิบกาแฟกระป๋องที่อยู่ในตู้ใกล้ๆ กันก็พอดีกับที่มีเสียงใครคนหนึ่งร้องห้ามไว้

“คุณหมอจะซื้อกาแฟกระป๋องกินเหรอคะ ที่สำนักงานไม่มีแบบชงเองให้หรอกเหรอ”

ผมหันไปมองตามต้นเสียงทันทีก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แองเจลีนน่ะเอง หล่อนยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่ผมเจอตอนกลางวัน และนี่มันก็เวลาดึกมากแล้วผมจึงถามเจ้าหล่อนอย่างแปลกใจ

“คุณ… ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกละครับ ไม่ใช่ว่าต้องไปรับแดนจากที่โรงเรียนหรอกเหรอ?”

“ติดพันงานนิดหน่อยน่ะค่ะ” หล่อนตอบยิ้มๆ และเมื่อผมสังเกตดู เสื้อผ้าของเจ้าหล่อนดูยับและหลุดลุ่ยเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เรื่องปกติของคนที่ต้องทำงานล่วงเวลาอยู่แล้ว

“แล้วใครไปรับแกล่ะ”

“ฉันขอให้ไซม่อนจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ ขอให้เขาอยู่เป็นเพื่อนแกจนกว่าฉันจะกลับไปด้วย”

ชื่อของไซม่อนทำให้ผมชะงักไปนิด ก็แหงสินะ ก็หมอนั่นเป็นน้องชายของสามีที่ตายไปแล้วของเจ้าหล่อนนี่

“แล้วนี่… ตกลงว่าคุณจะซื้อกาแฟกระป๋องนั้นเหรอคะ มันไม่ค่อยอร่อยหรอกนะถ้าถามฉัน”

จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยกินไอ้ยี่ห้อที่กำลังจะหยิบด้วยสิ “แย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“อาจะแล้วแต่คนชอบค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มด่ำกับกาแฟล่ะก็ ฉันแนะนำร้านคาเฟ่ที่อยู่ใต้อาคารนี้มากกว่า ฉันกำลังจะไปร้านนั้นพอดี ให้ฉันซื้อมาเผื่อคุณด้วยไหมคะ”

ผมลังเลเพราะรู้สึกเกรงใจเจ้าหล่อน “ไม่รู้สิครับ เดี๋ยวผมต้องรีบกลับไปทำงานที่ออฟฟิศต่อด้วย”

“เดี๋ยวฉันซื้อแล้วยกขึ้นไปให้ค่ะ สำนักงานคุณอยู่ชั้นไหนคะ”

“ชั้นแรกครับ แต่ผมว่า--”

“อ๊ะ ห้ามปฏิเสธค่ะงานนี้ เอาเป็นว่าฉันไปจัดการตามที่พูดก่อนดีกว่า แล้วเจอกันนะคะ”

“งั้นผมฝากเงิน--”

“ไม่เอาค่ะ อย่าลืมสิคะว่าคุณเคยช่วยดูแลแดนไว้ขนาดไหน”

ไม่รู้จะเถียงอะไรดีเลยแฮะ




ผมเดินกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองพร้อมกับแซนด์วิชที่เพิ่งซื้อมา ยังไม่เปิดกินเพราะตั้งใจว่าจะรอกาแฟแก้วเด็ดที่หญิงสาวอีกคนตั้งใจนำเสนอเสียก่อน ก้มหน้าก้มตาทำงานไปได้เกือบสิบนาที แองเจลีนก็ก้าวเข้ามาในสำนักงานผมพร้อมกับแก้วกระดาษสองใบในมือ ยื่นใบหนึ่งให้ผม ผมเลยจัดแจงดึงเก้าอี้ของแม็กซ์มาให้เจ้าหล่อนนั่งข้างๆ โต๊ะแล้วเริ่มลงมือแกะแซนด์วิชกิน

“นี่คุณต้องทำงานดึกแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ คงลำบากแย่”

“เป็นครั้งคราวครับ แต่คูรเองก็ทำงานดึกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ น่าจะลำบากกว่าผม เพราะต้องคอยดูแลแดนด้วย”

“อ่า… ก็ลำบากนิดหน่อยเหมือนกันค่ะ” เจ้าหล่อนยังคงยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ออกไปทางฝืดฝืนสักหน่อย “แต่ตอนนี้ไม่มีแบรดแล้ว ฉันต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเยอะอยู่ ไม่ตั้งใจทำงานเห็นจะไม่ได้ค่ะ”

อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างตรงหน้ามันลายตาขึ้นมานิดหนึ่ง ผมต้องยกมือขึ้นมาบีบที่หว่างตาเล็กน้อยขณะที่เริ่มบ่นกับตัวเองในใจว่าสงสัยจะฝืนตัวเองมากไป เพิ่งจะเริ่มกลับมาทำงานได้นิดเดียวแท้ๆ ยังจะซ่าทำงานถึงดึกดื่นอีก ไม่เจียมสังขารตัวเองเอาซะเลย

ผมยกกาแฟขึ้นดื่มอีกอึก รู้สึกเหมือนได้ยินแองเจลีนเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังต่อแต่จับใจความไม่ได้ว่าหล่อนกำลังพูดอะไร จนกระทั่งน้ำเสียงนั่นเปลี่ยนไปเป็นความกังวลนั่นแหละผมถึงจะเริ่มฟังออก

“ออสตินคะ คุณเป็นอะไรรึเปล่า ดูสีหน้าคุณไม่ดีเลย ไหวรึเปล่าคะ”

“ไม่… ผมไม่เป็น…” แต่ผมพูดได้เพียงเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วเห็นรอยยิ้มที่ฉายความพึงพอใจปรากฏอยู่บนมุมปากผมก็ต้องชะงักไปทันที

และนั่น… ผมถึงเพิ่งคิดตามได้ทันว่าน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเมื่อครู่เป็นแค่การเสแสร้ง

“อย่าฝืนเลยค่ะ คุณหมอ ถ้าง่วงก็นอนพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง”

ผมเหลือบมองถ้วยกาแฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มันเลือนลางจนผมแทบมองไม่ออก “คุณทำอะไร…”

แต่ผมไม่มีสติมากพอที่จะอยู่ฟังคำตอบ






--------------------------------------------------
Talk: เต็มตอนมาแล้ว! บอกแล้วว่าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร 555555 คนร้ายออกโรง ถถถถถ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เอ้า อะไรกันอีกละเนี่ย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สังหรณ์ใจตั้งแต่เจอตอนแรกแล้วค่ะ  :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Supak-davil

  • สาว Y = Why I don't have a boyfriend ??????????
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ว่าจะดองไว้ก่อน แต่อดใจไม่ไหว
ค้างหนักเลย ทีนี้

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 29



เสียงออดดังขึ้นที่หน้าบ้านเรียกให้ใบหน้าคมละออกจากสมุดโน้ตที่อยู่ในมือ ไซม่อนวางข้อมูลที่เขาเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับคดีลง เปิดประตูให้หญิงสาวผู้เป็นพี่เลี้ยงของแดนที่เขากับแองเจลีนมักจะไหว้วานให้มาช่วยดูแลเด็กชายบ่อยๆ

"ขอบคุณที่มานะครับ แอน" ไซม่อนว่าหลังจากที่พวกเขาพูดทักทายกันพอเป็นพิธี เขาขยับตัวให้หญิงสาวเดินผ่านประตูเข้ามาด้านใน "จริงๆ ตอนแรกผมว่าจะอยู่รอจนกว่าแองจี้จะกลับมาเลย แต่พอดีผมมีงานล้นมือนิดหน่อย"

"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไซม่อน" แอนรับคำพร้อมรอยยิ้ม "ฉันยินดีช่วยอยู่แล้ว อีกอย่าง วันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่มีนัดหมายอะไรเป็นพิเศษ"

"ขอบคุณครับ" เขาว่า เบาใจไปได้เปราะหนึ่งแล้วว่าจะมีคนดูแลหลานชายที่นอนหลับไปแล้ว เขาขอให้แอนมาอยู่เป็นเพื่อนแดนด้วยคืนนี้เพราะตั้งใจจะกลับไปทำงานที่สำนักงานของตัวเองต่อ แองจี้อาจจะไม่พอใจที่เขาไม่ทำตามสัญญา แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน หล่อนคงพอเข้าใจ

ไซม่อนจัดการเก็บของเตรียมออกจากบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขารีบหยิบมันขึ้นมาโดยหวังว่าคนที่โทรหาเขาจะเป็นออสติน และความหวังที่ว่าก็ต้องดับไปอย่างรวดเร็วเมื่อสายที่โทรเข้ามาโชว์เบอร์โทรหราอยู่บนหน้าจอ บ่งบอกว่าเป็นเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกไว้นั่นเอง

"ครับ แมคแนร์พูด"

"เจ้าหน้าที่แมคแนร์ ขอโทษที่รบกวนดึกขนาดนี้นะครับ ผมไคล์ ไทเลอร์ คุณจำผมได้รึเปล่า"

ไซม่อนใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่จะนึกออกว่าปลายสายคือเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นเพื่อนของออสติน "ครับ ผมจำได้"

"ผมได้เบอร์มาจากเจ้าหน้าที่แลนดี้ ตอนนี้หล่อนกำลังติดพันนิดหน่อยเลยขอให้ผมเป็นคนโทรมาบอกคุณเรื่องนี้"

"เรื่องอะไรครับ"

"คืออย่างนี้ เราคิดว่าเราจับตัวคนที่เราเชื่อว่าเป็นคนร้ายที่วิ่งตามออสติน การ์ดเนอร์ที่โรงพยาบาลเมื่อหลายเดือนก่อนนี้ได้แล้ว เราไม่ได้จับกุมเขาด้วยข้อหานั้นหรอก เขาเป็นนักฆ่ารับจ้าง และตอนนี้เราพยายามสาวไปถึงการก่อเหตุอื่นๆ ที่เขาทำในอดีต แล้วมันเชื่อมโยงกับคดีของออสตินพอดี ผมก็เลยเรียกเจ้าหน้าที่แลนดี้ มาเพื่อให้ซักถามด้วย"

"เขาคือคนร้ายที่กรีดแผลลงบนขาออสตินเหรอครับ" ไซม่อนกระตือรือร้นขึ้นมาทันที หันหน้าไปโบกมือให้แอนที่นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกรอบหนึ่งเป็นเชิงขอตัวก่อนจะเปิดประตูเดินออกมาจากตัวบ้าน

"เปล่าครับ เขาได้รับการจ้างวานให้ข่มขู่ออสตินเพียงครั้งเดียว คนที่ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าแล้วกรีดขาออสตินเป็นคนอื่น เขาซัดทอดเรื่องนั้นให้คนที่ว่าจ้างเขา"

ไซม่อนเดินเข้ามานั่งในตัวรถแล้ว เขาปิดประตู คาดเข็มขัด เลื่อนโทรศัพท์มาหนีบกับบ่าโดยเอียงหูไปแนบติด "ใครคือคนที่ว่าจ้างเขาครับ"

คำพูดต่อจากนั้นแทบทำเอาไซม่อนตัวชาดิก

"แองเจลีน แมคแนร์… ภรรยาของพี่ชายที่ตายไปแล้วของคุณ"




สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือคือเพดานสีซีด หลอดไฟสีขาวที่ให้แสงสว่างมากเกินไปทำให้ผมต้องหรี่ตาลงอย่างเสียไม่ได้ ร่างกายของผมอ่อนแรง หัวก็ปวดตุ้บๆ เหมือนมีอะไรอยู่ด้านใน ครั้นพอจะขยับตัวลุกขึ้นผมก็ค้นพบว่าตัวเองถูกรัดติดไว้กับเตียงด้วยสายสีดำแบบเดียวกับที่ไช้รัดคนไข้เพื่อกันไม่ให้ดิ้นจนตกเตียง

ความกลัวท่วมท้นเข้ามาในใจทันทีที่รู้ถึงสถานะตัวเอง ประสบการณ์ที่โดนจับมัดเข้ากับอะไรสักอย่างไม่เคยเป็นเรื่องดี ท่ามกลางสติที่แสนเลือนราง ผมมองเห็นร่างของแองเจลีนที่กำลังพิจารณาแฟ้มในมือสลับกับเงยหน้าขึ้นมองตู้แช่ศพที่เรียงรายอยู่บนผนัง

น้ำเสียงของผมอ่อนระโหยทีเดียวยามที่พูดออกไป “คุณ… คิดจะทำอะไร”

เจ้าหล่อนเพียงแค่ระบายยิ้มบนมุมปากเป็นเชิงบอกว่าได้ยินคำพูดของผม แต่ไม่ตอบอะไร

ผมหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้า พยายามเรียกสติและความกล้าของตัวเองกลับมา ไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมไม่ให้เสียงสั่นภายใต้อุณหภูมิห้องที่ค่อนข้างต่ำและแรงกดดันที่หนักอึ้งซึ่งทับกดลงมาบนไหล่

“เป็น… คุณมาแต่แรก”

“เรื่องอะไรคะ” ในที่สุดเจ้าหล่อนก็ยอมปริปาก

“ทำไมรอบนี้คุณถึงไม่ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าอีกล่ะ”

ผมเห็นมุมปากเจ้าหล่อนยกยิ้มขันอีกรอบ “เครื่องช็อตไฟฟ้าก็ดีค่ะ ออสติน แต่ถ้ามีอะไรที่สะดวกกว่า ฉันก็เปลี่ยนไปใช้อันนั้นแหละ”

“เป็นคนยืดหยุ่นดีนะครับ”

“ค่ะ คนเราก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่เผชิญอยู่สิ ถูกไหมคะ”

ผมตัดสินใจกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาเล่นลิ้น

“คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

“ตายจริง ไม่ทราบหรือคะ” หล่อนว่าขณะออกแรงดึงช่องแช่แข็งช่องหนึ่งออกมา มีศพของชายวัยเจ็ดสิบกว่านอนนิ่งอยู่ในนั้น แองเจลีนปิดมันกลับไปอย่างรวดเร็ว “ฉันนึกว่าคนเป็นหมอจะฉลาดกันทุกคนเสียอีก”

จิกกัดได้เจ็บแสบดี

“เรื่องของแบรดงั้นเหรอ”

แองเจลีนนิ่งเงียบ และคราวนี้ไม่มีรอยยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ บ่งบอกให้รู้ว่าผมมาถูกทางแล้ว

“คุณเข้าใจผิด” เสียงผมแผ่วเบาจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ “หัวใจที่ผมได้มา… ไม่ใช่ของแบรด”

“โอ้ เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วค่ะ”

“แล้วทำไม…”

“คริสเตียนเป็นคนฆ่าแบรด”

ผมรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเยียบทีเดียวตอนที่เจ้าหล่อนพูดประโยคแสนเรียบง่ายนั้นออกมา จากนั้นอะไรๆ ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นในหัว

“เขาฆ่าแบรดเพราะว่าเขาอากจะช่วยชีวิตคุณ” นัยน์ตาของคนพูดว่างเปล่าอย่างน่าขนลุก “เพราะคุณ”

“ไม่…” ผมเค้นเสียงออกจากลำคออย่างยากลำบาก แค่ความรู้สึกผิดที่ว่าคนบริสุทธิ์สามคนต้องตายเพราะผมก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่มันแย่กว่านั้นอีก “ผมไม่ได้… อยากให้มันเป็นแบบนี้”

“อ้อ งั้นเหรอคะ”

“ได้โปรด” ปากผมว่าแบบนั้น หากสายตาพยายามกวาดมองสายที่รัดร่างตัวเองเอาไว้จะหาทางปลดมันออกได้อย่างไรบ้าง แต่ดูแล้วช่างไม่มีหวังเอาเสียเลย

อันที่จริงแล้วพื้นที่ส่วนตรงนี้เป็นพื้นที่เฉพาะเจ้าหน้าที่ จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดจึงจะสามารถผ่านเข้ามาได้ แต่ผมไม่สงสัยเลยว่าแองเจลีนเอาคีย์การ์ดที่ว่ามาจากไหน ก็ต้องจากในกระเป๋าของผมอยู่แล้ว

แองเจลีนไม่สนใจคำพูดขอร้องของผม หล่อนเปิดช่องที่เอาไว้ใส่ศพออกมาอีกช่อง ผมออกแรง ขยับทุกส่วนของร่างกายเพื่อดูว่าสายที่รัดนี้มันแน่นหนาขนาดไหน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อผมเริ่มดิ้น สายรัดที่ว่าก็กดทับเบียดเนื้อลงมาจนแสบไปหมด แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อวัตถุมีคนบางอย่างเฉือนเนื้อตรงบริเวณแขนซ้ายไป ปักส่วนปลายลงบนเตียงที่ผมกำลังนอนอยู่

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองแองเจลีนที่ปรายตามองมาทางผมด้วยสายตาวาวโรจน์ ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่พอใจที่ผมพยายามออกแรงดิ้นเท่าไร หญิงสาวดึงมีดเล่มเล็กซึ่งเป็นอาวุธทางการแพทย์ออกจากตรงนั้น แผลตรงนั้นไม่ใหญ่แต่บาดลึกทีเดียว ส่งผลให้เลือดหยดลงเป็นสาย ส่วนหนึ่งของมันซึมไปบนผ้าปูสีขาว ดูแล้วราวกับบาดแผลร้ายแรง จากนั้นก็ตามมาด้วยอาการปวดหัวจนภาพทุกอย่างพร่าเลือน

"คุณนี่มันดื้อด้านจริงๆ สงสัยยาที่ฉันใส่ไปจะยังไม่แรงพอ"

"ปล่อย... ผม"

อาการมึนหัววูบกลับมาอีกครั้ง ภาพทุกอย่างเริ่มเลือน แต่แล้วผมก้ต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างงุนงงเมื่อแองเจลีนปลดสายที่รัดตัวผมไว้กับเตียงออกจริงๆ

ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ แองเจลีนก็กระชากคอเสื้อผมให้ลุกขึ้นจากเตียง ผมหันไปมองตามทิศทางที่แรงนั้นพาไปก่อนหน้าจะต้องซีดลงเมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนเปิดช่องสำหรับแช่ศพที่ว่างเปล่าเอาไว้ให้รอท่าอยู่แล้ว ผมขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ฤทธิ์ยาที่ยังตกค้างอยู่ในตัวทำให้ร่างกายปวกเปียกไปหมด

หลังจากพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็ต้องจำยอมให้คู่กรณีทุกอย่างเมื่อแองเจลีนควักปืนขึ้นมาชูให้ผมดูจังหวะหนึ่งเป็นเชิงขู่ ผมชะงักนิ่งไปเลยเมื่อเห็นอาวุธชิ้นนั้น รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกยัดเข้าใส่ตู้แช่ศพที่เป่าลมเย็นไปถึงขั้วกระดูก แต่ผมไม่แน่ใจว่าที่ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่เป็นเพราะอุณหภูมิติดลบของไอ้ช่องแช่ศพนี่หรือว่าความกลัวที่บีบรัดเข้ามาจนอกแทบจะระเบิดกันแน่

"แอง--- อย่า ได้โปรด!"

หญิงสาวไม่ตอบ มีเพียงเสียงที่เหมือนลงกลอนประตูดังกริ๊กสั้นๆ ให้ได้ยิน ผมชาไปทั้งตัวเมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ของตัวเอง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝ่าม่านหมอกในหัวซึ่งเกิดจากฤทธิ์ยา พยายามขยับมือป่ายไปยังพื้นที่รอบๆ ที่โอบล้อมตัวเอาไว้ พื้นที่คับแคบพอดีตัวทำให้ผมรู้สึกราวกับร่างกายถูกบีบอัดลงมาเรื่อยๆ

ผมเริ่มทุบผนังด้านบนอย่างเสียขวัญ สติเฮือกสุดท้ายตะโกนบอกให้ผมรู้ว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าผมจะตายอยู่ในนี้แน่ถ้าไม่รีบหาทางออกไป ความกลัวทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งของตัวเอง

"ปล่อยผมออกไป ขอร้องล่ะ ปล่อยผม!"

แต่เสียงของผมเลือนหายไปในความมืด

.
.
.
.
.
.
(50%)





-----------------------------------------
Talk: ออสติน คุณช่างเป็นนายเอกที่น่าสงสารจริงๆ T.T ชีวิตมีแต่เรื่องเนอะ แถมเรื่องที่ว่าแต่ละเรื่องนี่ก็หนักๆ ทั้งนั้น ทำไมโลกมันโหดร้ายกับคุณจัง ถถถถถ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ไซม่อนต้องมาช่วยแหละใช่มั้ยย รออย่างมีความหวัง :mew2:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
เจอเรื่องร้ายๆไม่จบสักทีเลยยย ลุ้นว่าไซม่อนจะมาช่วยออสตินทันไหม?

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]



ไซม่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับรถมาถึงที่ทำงานของออสตินได้อย่างไร เขาพรวดพราดออกจากรถ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาล ไปที่ห้องทำงานภาคปฏิบัติของออสตินก่อนเป็นที่แรก มันว่างเปล่าไร้ผู้คน เขาต่อสายโทรหาออสตินอย่างร้อนรน ไม่มีการตอบรับ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ออสตินก็ไม่ค่อยตอบเขาอยู่แล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่การที่เขาโทรไปหาแองจี้แล้วอีกฝ่ายไม่รับสายเขาเช่นกันนี่สิที่เป็นเรื่องน่ากังวล

ชายหนุ่มวิ่งมาถึงสำนักงานของออสติน ประตูสำนักงานยังเปิดอยู่ เขาก้าวเข้าไปข้างในเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคนที่เขาต่อสายดังขึ้น ใจของเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ของออสตินสั่นครืดคราดอยู่บนโต๊ะ ข้างๆ กันนั้นมีแก้วกาแฟกับถุงพลาสติกที่บ่งบอกว่าเคยมีใครนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนที่เขาจะมาถึง หากไม่มีวี่แววของเจ้าของของพวกมันอยู่

เขาพรวดพราดออกมาจากสำนักงานนั้นอย่างร้อนรน กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังตึกหลักของโรงพยาบาล เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกทำให้ผู้คนบางตาอย่างน่าใจหาย

แล้วสายตาคู่คมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่เขาทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอ แองเจลีนก้าวเท้าฉับๆ อย่างที่หล่อนทำเป็นประจำ การย่างก้าวนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออก หากสีหน้าลุกลี้ลุกลนของหล่อนมันปิดได้ไม่มิด

ไซม่อนกัดฟันกรอด เขาถลาเข้าไปหาพี่สะใภ้อย่างรวดเร็ว แองเจลีนสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนาตะปบลงมาบนไหล่ หากวินาทีต่อมาหล่อนก็กลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว

“ไซม่อน อะไรกันคะเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วแดน--”

“ออสตินอยู่ที่ไหน”

ไซม่อนสังเกตเห็นอาการตกใจในแววตาของหญิงสาวได้ “คุณพูดเรื่องอะไร”

“อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น ผมรู้แล้วว่าคุณเป็นคนทำร้ายออสติน”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะ--”

“เขาอยู่ที่ไหน!”

เสียงตะโกนของชายหนุ่มเรียกให้ผู้คนบริเวณนั้นหันมามองอย่างสนใจ แองเจลีนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นก่อนจะพูดออกมาเสียงเบาอย่างอัดอั้น

“คุณหมอนี่เนื้อหอมจริงนะคะ ทั้งกับคุณแล้วก็กับคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

“แองจี้ ฟังนะ… เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของออสตินเลย”

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าเขาผิดนี่”

แต่แววตาของเจ้าหล่อนไม่ได้หมายความตามที่พูดเลย

“บอกผมมา… ได้โปรด แองเจลีน คุณเอาออสตินไปไว้ที่ไหน คุณฆ่าเขาไปแล้วเหรอ”

หญิงสาวกระตุกยิ้มบนมุมปากแบบที่ตีความหมายอย่างอื่นเป็นไม่ได้ ไซม่อนตัวชาวาบ แต่ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าเขาก็ยังไม่ยอมรับ

“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น ว่าแต่คุณมาอยู่ที่นี่แล้วแดน---”

“คุณแม่งบ้าไปแล้ว แองจี้ ทำไมถึงได้ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้ คุณเองก็มีลูกชายแท้ๆ ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าเขาจะเป็นยังไงถ้าไม่มีคุณ”

นัยน์ตาของเจ้าหล่นอวาวโรจน์ทีเดียว “ถ้าคุณยังไม่เลิกพูดจาไร้สาระ---”

“เราจับตัวคนที่คุณจ้างไปขู่ออสตินได้แล้ว”

คำพูดนั้นเหมือนไม้หน้าสามหวดลงกลางแสกหน้า เจ้าหล่อนหน้าชาและไซม่อนก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวของพี่สะใภ้ได้

เขาบีบบ่าหล่อนแน่น “บอกผมมา ได้โปรด ออสตินอยู่ที่ไหน ถ้าคุณรีบแก้ไขทุกอย่างเสียตั้งแต่ตอนนี้…”

“ทำใจเถอะค่ะ ไซม่อน” หญิงสาวจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”

แล้วสายตาของเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่แลบออกมาจากเสื้อตัวนอกของเจ้าหล่อน เขาคว้ามันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตอีกฝ่ายด้วยซ้ำ มันคือบัตรผ่านเข้าออกของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลนี้ และมันเป็นของออสติน

เขาหยิบมันขึ้นมาชูตรงหน้าอีกฝ่ายก่อนจะพูดด้วยความโกรธจัด

“เนี่ยเหรอที่คุณบอกว่าไม่รู้ว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร!”

“ไซม่อนคะ ฟังก่อน ฉัน--”

แต่เขาไม่ทำตามคำขอนั้น อะไรบางอย่างในตัวเขากำลังบอกว่าอีกฝ่ายแค่พยายามถ่วงเวลาเขาอยู่เท่านั้นเอง เขาวิ่งไปตามที่แองเจลีนเดินผ่านมาโดยหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามันจะช่วยนำทางเขาไปหาออสตินได้

แองเจลีนยังคงวิ่งตามเขามาพร้อมกับตะโกนไล่หลังเป็นเชิงให้เขาหยุด ไซม่อนวิ่งมาตามโถงทางเดินเรื่อยๆ สวนกับเจ้าหน้าที่บางคนที่หันมาเอ็ดเขาว่าห้ามวิ่งในพื้นที่นี้ และในที่สุดสายตาเขาก็สะดุดกับเก้าอี้ล้อเลื่อนที่เอาไว้ใช้เข็นคนป่วยที่อยู่ผิดที่ผิดทาง บางทีอาจจะแค่บังเอิญ แต่ไซม่อนไม่คิดแบบนั้นเช่นกัน

เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูบานกระจกซึ่งเป็นสถานที่ที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้า ไซม่อนยกบัตรผ่านของออสตินขึ้นแตะกับแผงเซ็นเซอร์พร้อมกับดันไหล่ เปิดประตูพรวดเข้าไปข้างใน วิ่งไปตามโถงทางเดินที่ปราศจากผู้คนอย่างร้อนรน

ไซม่อนเปิดประตูห้องแรกเพื่อดูว่ามีอะไรด้านใน แล้วเจ้าตัวก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นช่องประตูมากมายเรียงกันตามผนัง เขารู้ทันทีว่ามันคือช่องแช่แข็งที่เอาไว้ใส่ร่างที่ตายไปแล้วเพื่อคงสภาพศพเอาไว้ แล้วลองนึกไปว่าออสตินอาจจะอยู่ในไหนสักช่องของที่เก็บศพนี่แล้ว…

“ไซม่อน พอได้แล้ว คุณคิดจะทำอะไรน่ะ”

แองเจลีนที่วิ่งตามร่างสูงมาทันเอ่ยปากอย่างร้อนรนเมื่อเห็นอีกฝ่ายกระชากช่องเก็บศพออกมาดูทีละช่องอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มี… ไม่มีร่างของคนที่เขาตามหาอยู่ในห้องนี้

เขาผลักไหล่หญิงสาวออกก่อนจะวิ่งไปยังห้องต่อไป มันมีช่องประตูเรียงกันเป็นแถบเหมือนห้องที่แล้วไม่มีผิด ไซม่อนขมวดคิ้ว เขาเดินไปเตรียมจะเปิดช่องที่อยู่ขวาบนสุดก่อนแล้วจึงไล่เปิดไปเรื่อยๆ หากร่างสูงต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยิน หากหางตาเลื่อนไปเห็นคราบเลือดที่ติดอยู่บนขอบประตูที่เป็นร่องรอยบ่งบอกว่ามีการเช็ดเลือดออกไปตรงส่วนหน้าแต่คนเช็ดเร่งรีบเกินกว่าจะทำให้มันสะอาดหมดจดจริงๆ

มือหนาเอื้อมไปกระชากช่องนั้นให้เปิดออก ใจหายวูบเมื่อเห็นร่างของออสตินนอนขดตัวอยู่ด้านในสีผิวซีดเผือดไม่ต่างอะไรจากศพอื่นๆ ที่เขาเปิดเจอมาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

แต่ลมหายใจขมุกขมัวที่เป่ารดออกมาบางเบาทำให้ไซม่อนใจชื้นขึ้น มือหนาเอื้อมไปแตะแก้มของออสตินอย่างหวาดกลัว มันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเลยทีเีดยว ไซม่อนรู้สึกว่าลมหายใจขัดกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาพยายามประคองร่างของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาขณะเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ออสติน ออสตินครับ ได้ยินผมไหม”

นัยน์ตาสีเทาค่อยๆ ปรือขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ไออุ่นที่แผ่มาจากร่างของใครอีกคนให้ความรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไซ… ม่อน”

ปัง!

ร่างสูงล้มตัวกระแทกลงไปบนพื้นทันทีที่ลูกกระสุนเจาะเข้าตรงบริเวณหน้าท้อง ออสตินที่แม้จะยังได้สติไม่เต็มที่ส่งเสียงร้องสั้นๆ ออกมาด้วยความตกใจ เขามองเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากปากแผลของคนที่เกลือกกลิ้งบนพื้นขณะก้าวออกจากช่องเก็บศพที่ถูกยัดเข้าไปอย่างทุลักทุเล

ออสตินคลานมาจนถึงตัวอีกฝ่ายจนได้ เห็นบาดแผลที่เลือดที่ไหลอาบลงมาจากหน้าท้องของไซม่อนแล้วความหวาดกลัวก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจทันที ประเมินได้จากสายตาเลยว่ากระสุนฝังใน ปริมาณเลือดที่ทะลักออกมาอาจจะทำให้ไซม่อนตายได้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าด้วยซ้ำ บาดแผลที่โดนยิงที่ท้องนั้นเรียกได้เลยว่าเป็นตายเท่ากัน

หากเขาไม่มีเวลาห่วงอีกฝ่ายมากนัก สัมผัสเย็นเยียบของปากกระบอกปืนกดลงที่ข้างขมับ ออสตินได้ยินเสียงหัวใจที่เหมือนจะกระดอนออกมาจากอกด้วยความหวาดหวั่น มันปนเปไปกับเสียงครางเบาๆ ของไซม่อนที่นอนอยู่บนพื้น นัยน์ตาสีเทาชำเลืองไปมองนิ้วที่ค้างอยู่ที่ไกปืน แองเจลีนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“คุณนี่ทำเสียเรื่องจริงๆ ไซม่อน ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบแล้วแท้ๆ รักเขานักใช่ไหมคะ คนที่ทำให้พี่ชายของคุณตายน่ะ”

“อย่า…” ออสตินปิดเปลือกตาลงเมื่อเห็นนิ้วเจ้าหล่อนเคลื่อน เขารู้ดีว่าแองเจลีนต้องลั่นไกแน่ๆ เพราะนั่นเป็นจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่หล่อนทำเรื่องทั้งหมดนี้

ปัง!

เสียงปืนดังลั่นตามที่ออสตินคาด แต่ร่างที่ล้มลงไปนอนไม่ใช่ตัวเขา ชายหนุ่มลืมตามองร่างของหญิงสาวที่ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะหันกลับไปทางที่เสียงปืนลั่นขึ้นมาอย่างตกใจ

ควันสีขุ่นลอยกรุ่นออกมาจากปากกระบอกปืนในมือของไซม่อน เขาหอบหายใจจนตัวโยนขณะค่อยๆ วางมันลงกลับพื้นอย่างอ่อนแรง หันหน้ากลับไปมองออสติน มองตาของอีกฝ่ายขณะที่ลดศีรษะลงราบไปกับพื้นตามเดิม ออสตินทาบมือลงบนแก้มของไซม่อนอย่างแผ่วเบาด้วยความหวาดกลัว รู้สึกว่าหางตาร้อนขึ้นมาเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะตายไปทั้งๆ อย่างนี้

“ไซม่อน” เขาได้ยินเสียงตัวเองเรียกคนบนพื้นอย่างโหยหา วินาทีนั้นเขาคิดแค่อย่างเดียว คือไม่อยากให้คนตรงหน้าจากเขาไป เจ้าตัวยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแตะบนแก้มเย็นเฉียบของตัวเอง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เย็นลงเหมือนกัน “อยู่กับผมนะ ไซม่อน อยู่กับผม”

“ออสติน” ชายหนุ่มปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างซีดเซียว “ในที่สุด… คุณก็ยอมให้ผมสัมผัสคุณ… สักที”

“แข็งใจไว้นะ ไซม่อน คุณต้องไม่เป็นไร”

“ออสติน” เสียงแหบแห้งนั่นเรียกเขาอย่างโหยหา ยิ่งบีบหัวใจของคนฟังมากขึ้น “ยกโทษ… ยกโทษให้ผมนะ ที่ผ่านมา”

ออสตินปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาบนแก้ม เขาออกแรงบีบมืออีกฝ่ายที่ยังอยู่บนแก้มเขาแน่นขึ้น

“ผมเสียใจ… จริงๆ”

“ผมรู้ ไซม่อน ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มว่า แม้จะเริ่มรู้สึกว่าสติค่อยๆ เลือนรางเพราะความอ่อนแอของร่างกาย แต่เขาก็พยายามฝืนให้ตัวเองให้มีสติอยู่กับคนตรงหน้า “ผมยกโทษให้คุณ แค่… แค่คุณอยู่กับผม นะ”

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากความเงียบระหว่างพวกเขาที่โรยตัวเข้ามาทำให้ออสตินนึกกลัว เขาเหลือบมองบริเวณที่กระสุนฝังเข้าไปอีกรอบก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองที่ใบหน้าคม ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ชิดจนลมหายใจเป่ารดใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาในห้องพร้อมกับเริ่มส่งเสียงเอะอะแล้ว แต่ออสตินไม่สน เขาเรียกชื่อของคนที่อยู่บนพื้นโดยที่หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบเขากลับอย่างที่ทำจนถึงเมื่อครู่

“ไซม่อน” ออสตินเรียก แต่ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา มือที่กุมมือของไซม่อนไว้แน่นยอมปล่อยเพื่อให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพาร่างของคนเจ็บไป เขาพยายามจะลุกขึ้นตาม หากร่างกายยังอ่อนแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนเฉยๆ ด้วยซ้ำ

“ไหวรึเปล่าคะ” เจ้าหน้าที่สาวอีกคนตรงปรี่เข้ามาทางเขาพร้อมกับช่วยประคองตัว ออสตินอยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าไม่ต้องห่วงเขา แต่ช่วยไปดูแลคนที่โดนยิงตรงนู้นดีกว่า

แต่แค่แรงจะเปิดเปลือกตาขึ้น เขายังไม่มีเลย





------------------------------------------------
Talk: อ๊ากกก ตอนหน้าก็จบแล้ว ว้ากกกกกก ยังไงก็ฝากขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ//ม้วฟ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
จะจบแล้วเหรอ อยากเห็นเค้าสวีทกันหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆซะที ขอบคุณคนแต่งนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เกลียดแองเจลีน ทำร้ายออสตินเพราะคริสเตียนฆ่าสามีตัวเอง
โอ๊ย นางรักแต่ผัวไม่คิดถึงลูกชายเลย รู้สึกนางบ้าไปแล้ว
ออสติน ไม่ได้ไปทำอะไรผัวนางสักนิด เฮ้อ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
น่าจะจับนางเข้าตู้แช่ศพบ้าง ว่ามันมีรสชาติอย่างไร เหอะ....ทำไปด้าย
สุดท้ายไซม่อนก็ต้องเป็นคนดูแลลูกนาง

ออสติน รู้แล้วสินะว่าคนที่ทำรายตัวเองคือแองเจลีน
ไม่ใช่ไซม่อน ก็เมื่อเกือบจะตาย แล้วไซม่อนก็มาช่วย
รอบทหวานๆ ของไซม่อน ออสติน
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แองจี้ไม่เผื่อใจไว้เลย ถ้าตัวเองเป็นอะไรแล้วแดนล่ะ คิดอะไรง่ายๆ ทำไมสามีจากไปคนนึงแล้ว แทนที่จะดูแลแดนให้ดี ใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ กลายเป็นพังอนาคตลูกซะงั้น เอาใจช่วยไซม่อนนะคะ

ออฟไลน์ Supak-davil

  • สาว Y = Why I don't have a boyfriend ??????????
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ว้าาาาา
พอปมคลายก็จบละ
ยังไม่อยากให้จบเลย
ขอ ตอนพิเศษ ซัก 10 ตอนนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 30




ผมรู้สึกตัวอีกทีในวันต่อมา แต่กว่าจะได้สติ เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ และพูดคุยกับหมอหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ต้องใช้เวลาสองวันเต็มในการพักฟื้นตัว

สิ่งแรกที่ผมถามหาทันทีที่เอ่ยปากได้คืออาการของไซม่อนที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดพร้อมๆ กับคนที่ยิงตัวเขา ผมรู้ดีว่าแองเจลีนคงมีเจ้าหน้าที่คอยคุมตัว แต่มันก็อดนึกภาพไม่ได้ว่าทั้งสองคนนั้นฟื้นมาเจอกันมันจะน่าตลกและกระอักกระอ่วนขนาดไหน

เมื่ออาการของผมดีขึ้นจนเกือบจะมากลับอยู่ในสภาวะปกติ อะแมนดาที่คอยมาดูอาการเรื่องหัวใจก็อนุญาตให้ผมแวะไปหาไซม่อนได้จนได้

ตอนที่ผมไปถึงห้องพักฟื้นของอีกฝ่าย สภาพของไซม่อนดูดีกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว และเนื่องจากแผลอยู่ใต้เสื้อผ้าที่เขาใส่ทำให้มองด้วยตาไม่เห็น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ เข้าไปอีก

เขาเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผมก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ที่บ่งบอกถึงความยินดีมาให้ ผมก้าวเท้าเข้าไปประชิดเตียงเขา เอื้อมมือไปกุมมือเขาราวกับต้องมนตร์

“ออสติน” น้ำเสียงนั่นอ่อนโยนจนผมกังวลว่าจะทำใจแข็งกับเขาอยู่ได้ยังไง “ดีจังที่คุณปลอดภัย”

“คุณน่าจะบอกตัวเองมากกว่านะ”

“ผมแค่โดนยิงเอง… ถ้าไม่ตายก็ไม่เป็นไรหรอก”

อ้อ เหรอ เพิ่งรู้ว่าพวกตำรวจเขาคิดกันแบบนี้

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับร่างของไคล์ที่ก้าวเข้ามา ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นเขาอยู่ที่นี่

“ขอขัดจังหวะหน่อยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับหยิบตราของตำรวจขึ้นมาให้พวกเราดู ซึ่งไม่จำเป็นเลยสักนิด ผมกับไซม่อนรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร และท่าทางที่ดูเป็นการเป็นงานนั่นก็บ่งบอกว่าเขาคงไม่ได้มาเยี่ยมไข้แน่ๆ “ผมเป็นคนรับผิดชอบคดีอยู่ มีคำถามจะถามคุณสองสามข้อ”

“ไม่มีปัญหาครับ” ไซม่อนว่าขณะที่ผมถดตัวให้ไคล์ก้าวมายืนอยู่ที่ข้างเตียงอย่างรู้หน้าที่ เขาหันมามองผมก่อนจะว่า

“จริงๆ แล้วฉันตั้งใจจะไปหานายเพื่อถามคำถามก่อน แต่พยาบาลบอกว่านายมาอยู่นี่”

“จะถามฉันกับไซม่อนพร้อมๆ กันเลยก็ได้นะ”

เขาพยักหน้า หากเริ่มหันไปไล่บี้กับคนที่นอนอยู่บนเตียงก่อน

“คุณมาอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อคืนได้ยังไง”

“เอ่อ ก็…” ไซม่อนพยายามเรียบเรียง เหลือบมามองทางผมก่อนจะตอบ “เมื่อวานหลังจากที่เราคุยกันทางโทรศัพท์ พอผมรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดเป็นใคร ผมก็นึกเป็นห่วงออสตินขึ้นมา”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าออสตินทำงานอยู่เวลานั้น มันเลยเวลาเลิกงานปกติของเขาไปแล้ว”

“บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกครับ คุณเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ ผมคิดจะไปหาเขาที่บ้านเหมือนกัน แต่วันนั้นแองเจลีนเพิ่งขอให้ผมอยู่เฝ้าแดนเพราะเจ้าหล่อนมีงานที่ค้างที่โรงพยาบาล… ซึ่งมันก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่ออสตินทำงานอยู่พอดี หลังจากนั้นผมก็โทรหาทั้งออสติน โทรหาแองจี้ แต่ติดต่อใครไม่ได้สักคน ผมเลยเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่นั่นก็หลังจากที่คุณจับตัวคนที่แองเจลีนจ้างได้แล้วโทรมาบอกข้อมูลนั้นกับผมน่ะนะ”

ผมฟังการซักถามระหว่างพวกตำรวจด้วยกันเอง รู้สึกว่าไคล์จะดูพึงพอใจที่อีกฝ่ายตอบได้ชัดเจนและละเอียดโดยที่เขาไม่ต้องถามเข้าไปในเชิงลึก เป็นนัยว่าต่างคนต่างรู้วิธีการทำงานของกันและกันดี ไคล์หันกลับมาถามคำถามผมอีกสองสามคำถาม และเมื่อเจ้าตัวได้ข้อมูลจนพอใจแล้วชายหนุ่มก็ปิดสมุดของตัวเองลง เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้นทำให้ผมพอรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในฐานะเพื่อนของผม ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ไทเลอร์แบบเมื่อครู่

“แล้วนายรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมถึงได้ลุกออกจากเตียงแบบนี้ ไม่ใช่ว่าต้องรอฟื้นตัวอีกสักพักเหรอ”

“ฉันพักมาสองวันแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ผมยิ้มตอบ

“แล้วนี่แองเจลีนเป็นยังไงบ้างครับ หล่อนได้สติหรือยัง” ไซม่อนหันมาถามไคล์ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมแอบรู้สึกว่าเขาอยากจะขัดบทสนทนาระหว่างเราทั้งคู่มากกว่า

“หล่อนเริ่มรู้สึกตัวแล้วครับ แต่ยังไม่มีสติมากพอที่จะให้การอะไรได้” ไคล์นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเปิดปากต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยิงหล่อนเข้าที่ท้องเหมือนกัน ป่านนี้หล่อนอาจจะฟื้นแบบเต็มที่แล้วก็ได้”

“ตอนนั้นผมจะไปเล็งอะไรได้ล่ะคุณ แค่ยิงโดนนั่นก็ปาฏิหาริย์แล้ว”

“แต่ก็นับว่าโชคดีที่คุณทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นออสตินคงตายไปแล้ว หรือไม่ก็คุณทั้งคู่”

ไซม่อนยักไหล่ แต่ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเจ็บแผลอยู่ “ผมก็ว่างั้น ถ้าไม่คับขันจริงๆ ผมก็ไม่อยากยิงพี่สะใภ้ตัวเองหรอก”

“คุณคงลำบากใจน่าดู”

“ผมเป็นห่วงหลานมากกว่า พ่อก็เสียแล้ว แม่ก็กำลังจะเข้าคุก จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีก”

พอไซม่อนพูดถึงแดนขึ้นมาผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที ไว้ผมต้องหาเวลาไปเยี่ยมแกสักหน่อย ถึงมันจะไม่สามารถแทนที่พ่อหรือแม่ของเด็กชายได้ก็เถอะ

“ว่าแต่… ผมถามได้ไหมว่าพวกคุณสองคนยังคบกันอยู่รึเปล่า”

ผมกับไซม่อนมองหน้ากันทันทีก่อนจะตอบพร้อมๆ กัน

“ครับ/เปล่า”

และคำตอบก็ไม่ได้ตรงกันด้วยนะ แล้วไอ้อ้บ้านี่มาบอกได้ไงว่าเรายังคบกันอยู่ มั่วนิ่มชัดๆ

ไคล์หันมาเลิกคิ้วให้ผมเป็นเชิงถาม คนที่นอนอยู่บนเตียงอึกอัก

“คือ… ผมว่าเราก็ยังไม่ได้บอกเลิกกันเป็นอย่างทางการนะ ออสติน”

“อ้อ ที่เราห่างกันไปเป็นเดือนๆ นี่ไม่ได้ช่วยบอกอะไรเลยสินะครับ” ถามเขาเสียงเย็น ไซม่อนดูเหมือนจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ กับความเย็นชาของผม ในที่สุดเขาก็ยอมรับ

“ก็… ตั้งใจจะง้อคุณจนกว่าคุณจะยอมกลับมาคบกับผมอีกรอบนั่นแหละ”

“เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังได้ไหม” ผมตัดบทอย่างอึดอัด ไม่อยากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของเรามาคุยต่อหน้าคนนอก

ไคล์ดูเหมือนจะเข้าใจในทันทีว่าผมหมายถึงอะไร เขาตั้งท่าจะเอ่ยปากขอตัวออกจากห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มีสายเข้าพอดี เขายกมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต กดรับสาย กรอกเสียงเป็นการเป็นงานลงไป ผมใช้จังหวะนี้ถลึงตาใส่ไซม่อนเป็นเชิงตำหนิ ขนาดที่ว่าถ้าตามันเปล่งเสียงได้มันคงพูดออกมาแล้วว่า ‘จะมาพูดเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม’

คนป่วยยักไหล่อีกรอบหนึ่งเป็นจังหวะที่ไคล์กดวางสายพอดี

“หล่อนได้สติแล้ว ตอนนี้ทีมผมคนหนึ่งกำลังสอบปากคำอยู่”

“แต่หลักฐานมันตำตาขนาดนั้น คงไม่มีอะไรต้องถามมากหรอกมั้ง” ผมพึมพำ นึกภาพตอนที่แองเจลีนยัดตัวเองใส่ลงไปในช่องแช่ศพกับภาพที่เจ้าหล่อนแทบจะเป่าหัวผมกระจายแล้วขนลุกซู่ขึ้นมา เชื่อเลยว่าตัวเองคงต้องเห็นฝันร้ายนั่นไปอีกหลายปีทีเดียว

“ฉันอาจจะต้องขอให้นายไปให้ปากคำในศาลด้วย ออสติน”

“ต้องขึ้นศาลอีกแล้วเหรอ” ผมคราง ความประทับใจล่าสุดกับสถานที่ราชการแห่งนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร ผมว่ามันก็ไม่ค่อยดีกับไคล์ด้วยนั่นแหละ แต่เขาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ดูให้ดีๆ นะครับว่าหล่อนได้ใครเป็นทนาย” ไซม่อนพูด น้ำเสียงเจือแววล้อเลียน “ถ้าได้คุณวินเซนต์ เลสเตอร์ล่ะก็คงต้องไปฟาดฟันกันอีกต่อแน่”

“ใครจะเป็นทนายก็ไม่สำคัญหรอกครับ” สีหน้าและน้ำเสียงของไคล์ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงทนายคนนั้น ผมว่ามันดูเย็นชาติดจะหยันๆ เล็กน้อย นั่นทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน ไคล์ไม่ค่อยแสดงท่าทีแบบนี้ให้เห็นเท่าไร “ถึงยังไงซะคนทำผิดก็คือคนทำผิด หลักฐานเราก็มีครบ แล้วมันก็แน่นหนาพอที่จะเอาชนะคดีได้แน่ ถ้าหล่อนกล้าจะปฏิเสธสักข้อกล่าวหาล่ะก็นะ”

“ไคล์” ผมสะกิดเพื่อนนิดหนึ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถึงอย่างไรแองเจลีนก็เป็นพี่สะใภ้ของไซม่อน… เป็นคนในครอบครัวของเจ้าตัว และนั่นทำให้ไคล์รู้ตัวขึ้นมา เขาหันไปมองคนบนเตียงด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้--”

“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนตัดบท “ยังไงเสียหล่อนก็ทำผิดจริงๆ แล้วผมก็เสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่”

มือหนาเลื่อนมากุมมือผมแน่นราวกับจะบอกว่าประโยคนั้นเขาตั้งใจพูดกับผม นั่นสินะ ถ้าคิดในมุมเขามันก็น่ากระอักกระอ่วนอยู่ ก็เขาบอกว่าเขารักผม… แต่คนในครอบครัวเขาอีกคนพยายามจะฆ่าผม มันก็สมควระลำบากใจอยู่หรอกนะ

ผมไม่ทันสังเกตเห็นว่าไคล์หลุบตาลงมองมือของไซม่อนที่จับมือผมอยู่ เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะถามต่อ

“นายจะกลับไปคบกับเขาอีกงั้นเหรอ”

ผมสะดุ้งไปอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่ไซม่อนเองยังชะงักไปด้วยความตกใจเช่นกัน แล้วนี่เรื่องส่วนตัวของผมมันกลายเป็นเรื่องส่วนรวมแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย

ไคล์หันกลับไปมองไซม่อนด้วยสายตาไม่สื่ออารมณ์ “ไม่ได้อยากจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ผมฟังเรื่องของคุณมาจากออสตินเยอะพอสมควร… ผมไม่อยากให้เพื่อนผมต้องเสียใจกับเรื่องความรักอีก”

“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนยอมรับโดยดุษณี หากเจ้าตัวก็ไม่หลบตาคู่สนทนา

“ออสตินเจอเรื่องหนักๆ มาเยอะแล้ว และให้บอกกันตามตรง ผมไม่อยากให้เขากลับไปคบกับคุณอีกหรอก ต่อให้คุณจะเป็นคนช่วยชีวิตเขาในเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ก็เถอะ”

โอ๊ย ดีนะที่ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ไซม่อนจับล่ามไว้กับเตียงสามวัน ไม่งั้นนอกจากเขาจะคัดค้านเรื่องเราสองคนแล้วเขาอาจโยนไซม่อนเข้าเรือนจำได้ แบบไม่ไว้หน้าเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอด้วย

“แต่เรื่องนั้นไม่ใช่การตัดสินใจของคุณไม่ใช่เหรอครับ” ไซม่อนตอบเสียงนุ่ม ยกยิ้มจางบนมุมปาก “มันเป็นเรื่องของผมกับออสติน”

ทีอย่างนี้ล่ะเป็นเรื่องส่วนตัวขึ้นมาเชียว

“ถูกของคุณ” ไคล์ว่า ก่อนจะพูดตัดบท “เอาล่ะ ผมคงต้องไปเสียที แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้าจะติดต่อมา”

“ขอบคุณครับ”

“ขอบใจนะ ไคล์” ผมรีบว่า หลังจากการซักถามเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าที่ไซม่อนไหวตัวมาช่วยผมไว้ได้ทันก็เพราะได้รับการติดต่อจากเพื่อนผมคนนี้ ไม่งั้นป่านนี้ผมคงแข็งเป็นไอติมแท่งอยู่ในช่องแช่ศพไปแล้ว

“ไม่เป็นไร” มีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนมุมปากเขาในรอบนี้ บ่งบอกให้รู้ว่าเขาพูดในฐานะเพื่อน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวน “ดูแลตัวเองนะ ออสติน ฉันอาจจะต้องพึ่งนายอีกหลายอย่างในคดีนี้”

“วางใจได้เลย”

ไคล์เดินออกจากห้องไป ทิ้งผมไว้กับไซม่อนตามลำพัง คุณเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งได้รับการผ่ากระสุนออกจากท้องเริ่มอ้อนทันที

"ออสติน ผมคอแห้งจังเลย เอาน้ำมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ"

ผมปรายตามองเขาอย่างเย็นชานิดหนึ่ง แต่เห็นสีหน้าเซียวๆ แบบคนป่วย นั่นแล้วก็ใจอ่อน ยอมเดินไปรินน้ำใส่แก้วส่งให้จนได้

เขายกแก้วขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า ผมขยับตัวไปช่วยพยุงอย่างเผลอตัว ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้ผม ทำเอาผมต้องรีบหลบหน้าไปอีกทางทันที

"เฮ้ อย่าเมินกันแบบนั้นสิครับ คุณหมอ ทีตอนเจ้าหน้าที่ไทเลอร์อยู่ด้วยยังไม่เมินขนาดนี้เลย"

"ผมเปล่าเมินสักหน่อย"

"งั้นมายิ้มให้ผมที ออสติน" พูดพลางดึงแขนผม เลื่อนมือมาจับหน้าให้หันไปหาเขา ผมส่งหน้าบูดสนิทไปให้ไซม่อน สัมผัสจากนิ้วของอีกฝ่ายที่แตะลงบนคางทำให้ผมร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไซม่อนเลื่อนคางผมให้ก้มลงไปมองตาเขา

แล้วให้ตายเถอะ... ไอ้สายตาแบบนั้น ผมเกลียดจริงๆ เวลาที่ได้สบตากับเขาตรงๆ แบบนี้

"ขนาดเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ คุณยังบอกขอบคุณเขาเลย" น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจนั่นทำให้คิ้วขวาผมกระตุก

"ก็เขาเป็นคนโทรบอกคุณเรื่องแองเจลีนไม่ใช่เหรอครับ ก็ถือว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้สิ"

"แล้วผมล่ะ ออสติน" คนโดนยิงเพราะมาช่วยผมทำน้ำเสียงออดอ้อนระคนตัดพ้อ

จะว่าใจอ่อนก็ใจอ่อน จะว่าหมั่นไส้ก็หมั่นไส้

ผมแกล้งยกยิ้มเหยียด "ไม่รีบร้อนทวงบุญคุณไปหน่อยเหรอครับ"

"ผมรู้ดีว่าคุณคงไม่หายโกรธผมง่ายๆ"

"ขอโทษทีเถอะ มันเลยคำว่าโกรธไปแล้วรึเปล่า คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองทำอะไรกับผมไปบ้าง"

"ผมรู้ครับ แต่คุณก็รู้ดีว่าผมทำแบบนั้นเพราะอะไร"

มือของเขาแตะลงบนมือผมอย่างระมัดระวัง ผมมองตาม ไซม่อนค่อยๆ ดึงมือผมออกแรงบีบมากขึ้น หมอนี่มันเก่งเรื่องทำให้ผมใจอ่อนตลอดเลย และตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากก้มลงไปกอดปลอบเขา

"คุณอยากให้ผมทำยังไง" อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ หลุดปากถามออกไปจนได้ "คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่"

"เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ กลับมาคบกันเหมือนเดิม"

"หลังจากที่คุณโกหกผมสารพัดแล้วก็จับผมขังไว้ในบ้านตัวเองสามวันน่ะเหรอ?"

"เราเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมครับ ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง"

"มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ไซม่อน" ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ "ผมไม่ใช่คนที่เจ็บแล้วไม่จำนะ ผมจำแม่นเลยด้วย และคิดว่าคงไม่มีทางลืมแน่"

"ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณลืมสักหน่อย ออสติน ผมขอให้คุณยกโทษให้ผม"

"ผมว่านั่นอาจจะยากกว่าขอให้ผมลืมอีก"

“อ้าว แต่ตอนนั้นคุณบอกว่าคุณยกโทษให้ผมแล้วนี่?”

เขาพูดตอนที่โดนยิงและกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่นั่น หน้าผมร้อนขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะเริ่มโวยวาย

“อันนั้นมันไม่นับสิ!”

“อ้าว เป็นแบบนั้นได้ไง แบบนี้ไม่เท่ากับว่าคุณพูดจากลับกลอกเหรอ”

อุก ถึงกับเถียงกลับไม่ออก

ผมหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างคนจนแต้ม ไซม่อนเงียบไป มือของเขาที่ยึดมือผมไว้แน่นเริ่มชื้นขึ้นนิดหนึ่ง "คุณไม่รู้สึกอะไรกับผมแล้วเหรอครับ ออสติน"

มาแล้วไง คำถามนี้ ผมหลุบตาต่ำลงอย่างหวาดกลัว กลัวว่าไซม่อนจะมองลึกเข้ามาแล้วกวาดเอาสิ่งที่ผมพยายามซ่อนไว้ข้างในไป

"ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร"

"คุณไม่รักผมแล้วเหรอ"

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเราสามารถพูดเรื่องน่าอายออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้

"ผมไม่เคยรักคุณ"

"มองตาผม ออสติน มองตาผมแล้วพูดแบบนั้น ถ้าคุณทำได้ ผมจะไม่ยุ่งอะไรกับคุณอีก"

หน้าของผมร้อนวูบด้วยความรู้สึกมากมายที่ปนเปกัน หันหน้าไปประสานสายตากับเขา ได้ยินหัวใจบนอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นยามที่ได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่แสนเยือกเย็นคู่นั้น สีหน้าของเขาสงบนิ่ง รอฟังคำพูดของผม

"ผมไม่เคยรักคุณ" ไซม่อนดึงตัวผมลงไป ประกบจูบลงบนริมฝีปากอย่างอ่อนโยนทั้งที่ผมยังพูดประโยคนั้นไม่จบ ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่ขัดขืนอะไรเลย

"โกหก"

"ผมไม่ได้รักคุณ ไซม่อน" ผมพยายามพูด หน้าร้อนผ่าวไปหมดเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของตัวเองตรงกันข้าม เขาเลื่อนหน้าผมลงไปจูบอีกครั้ง ยึดหลังคอผมไว้ให้รับสัมผัสของเขา

"คุณโกหก"

"ผมไม่ได้โกหก"

"งั้นทำไมถึงยอมให้ผมจูบล่ะ"

"ก็คุณดึงผมลงมาจูบนี่"

"คุณผลักผมออกก็ได้นี่ครับ ยังไงตอนนี้ผมก็สู้แรงคุณไม่ไหวอยู่แล้ว"

"ทำแบบนั้นก็กระเทือนแผลคุณสิ"

"ไม่เห็นต้องสนก็ได้นี่"

"น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนเลือดเย็นแบบนั้น"

"เพราะแบบนั้นไงผมได้รักคุณจนโงหัวไม่ขึ้น"

ผมอ้าปากค้าง มองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไซม่อนส่งยิ้มหวานมาให้ ท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ของเขาทำให้ผมอยากจะร้องตะโกนด้วยความขัดใจ รู้ตัวอีกผมก็ก้มหน้าลงไปจูบปิดปากเขาอีกรอบอย่างหงุดหงิด

หมอนี่แม่งโคตรขี้โกงเลย พูดคำนั้นออกมาง่ายๆ ทั้งที่ผมปวดหัวจนแทบบ้ากับการคิดเรื่องพวกนี้

ลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายชำแรกเข้ามาในโพรงปากผมอย่างนุ่มนวล ผมจูบตอบเขาขณะเลื่อนมือไปลูบหลังคอคนป่วยอย่างเคลิบเคลิ้ม เข่าข้างหนึ่งเกยขึ้นไปบนเตียงเพื่อขยับให้ขยับตัวและใบหน้าเข้าใกล้เขาได้สะดวกยิ่งขึ้น มือหนาล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อแล้วเปะป่ายไปทั่วแผ่นหลังของผมอย่างกระหาย รู้สึกราวกับว่าพวกเราห่างหายการสัมผัสร่างกายคนมานาน เหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกในการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไรอย่างนั้น

เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยร่างของใครบางคนที่เปิดประตูพรวดเข้ามา ไคล์รายงานความคืบหน้าที่เพิ่งได้มาอย่างรวดเร็ว "เราเพิ่งค้นบ้านของแองเจลีน แมคแนร์มา เราพบมีดที่คาดว่าหล่อนใช้ตอนที่--"

แล้วเสียงของคนพูดก็ขาดห้วงไป ผมกับไซม่อนผละออกจากกันทันที มือรีบเลื่อนไปดึงเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นลง หน้าร้อนไปถึงหู และมันคงแสดงออกชัดเจน

เจ้าตัวอ้าปากทำเหมือนจะพูดอะไรอย่างหนึ่งขณะเสมองไปทางอื่น ละสายตาไปจากผมด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย ส่วนผมตอนนี้อายจนแทบอยากจะมุดลงรูอยู่แล้ว ส่วนไซม่อนจัดแจงเสื้อคนไข้ของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดไคล์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา 

"เอ่อ ขอโทษนะที่เข้ามารบกวน"

"ไม่ ไม่ๆๆ ไม่เป็นไร" ผมพูดละล่ำละลัก แล้วก็รู้สึกตัวว่าไอ้คำว่าไม่เป็นไรในสถานการณ์แบบนี้แปลกๆ "ฉันหมายถึง เอ่อ เมื่อกี้นายกำลังพูดถึงอะไรนะ"

"เราเจอมีดที่คาดว่าน่าจะใช้กรีดขานายเมื่อคราวก่อน แล้วก็เครื่องช็อตไฟฟ้าด้วย" ไคล์ดูโล่งอกที่หัวข้อสนทนาดึงกลับไปเป็นเรื่องงานอีกครั้ง "แต่ยังไงอาจจะต้องรอยืนยันเรื่องนั้นอีกที แต่ไม่ผิดแน่ คนที่ช็อตไฟฟ้าแล้วก็กรีดขานายในตอนนั้นคือหล่อนแน่นอน ก็อย่างที่หล่อนบอกนายด้วยตัวเองล่ะนะ"

“อะ… อื้อ” ผมรับคำอึกอัก ยังรู้สึกหน้ายังร้อนไม่หาย

ไคล์มองผมสลับกับคนบนเตียงก่อนจะพูดขึ้นเหมือนทนไม่ไหว

"ออสติน นายมากับฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย"

นั่นไง หนีไม่พ้นจริงๆ

ผมเดินออกมาจากห้องพักฟื้นของไซม่อน ไคล์พาผมไปที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาลที่ไม่วุ่นวายมาก เจ้าตัวหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังทีเดียว

"นายแน่ใจแล้วเหรอ"

“หา?”

"เรื่องของไซม่อน แมคแนร์น่ะ"

ผมนิ่งเงียบไป

เข้าใจดีว่าไคล์เห็นที่ผมจูบกับไซม่อนแล้ว เข้าใจด้วยว่าคำถามของเขาหมายถึงเรื่องอะไร

"หมอนั่นโกหกนายเยอะมากนะ ออสติน แล้วก็เพราะเขาไม่ใช่เหรอที่ทำให้แองเจลีนพุ่งเป้าหานายแบบนี้"

"แต่เขาก็ช่วยฉันเรื่องที่เกือบโดนฆ่าเหมือนกัน"

"อืม ใช่ ถ้าไม่นับเรื่องเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้นายเกือบโดนฆ่าล่ะก็นะ แบบนั้นก็คงฟังดูเป็นบุญเป็นคุณได้อยู่"

ผมเงียบลงไปอีกรอบ ไคล์สังเกตเห็นท่าทีนั้นของผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือก

"นายรักผู้ชายคนนั้นงั้นเหรอ"

"ฉัน..." ผมอึกอัก "ฉันก็ไม่รู้"

"นายไม่รู้จริงๆ เหรอ?"

เฮ้อ เบื่อเล่นเกมตอบคำถามชะมัด

"ก็ได้ ฉันรักเขา คิดว่านะ” กลั้นใจพูดออกไปแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกเฮือก ยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความลำบากใจ "ฉันควรจะทำยังไงดี ไคล์"

"นายตอบคำถามนั้นของตัวเองแล้ว" เจ้าหน้าที่หนุ่มว่าพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ "ฉันต้องไปทำงานแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกัน"

ผมมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไป ถอนหายใจออกมาอีกรอบแล้วตรงกลับไปที่ห้องของไซม่อน แค่คิดว่าต้องไปเผชิญหน้ากับหมอนั่นทั้งที่เพิ่งจูบกันมา... โอย เอาเป็นว่าไม่คิดแล้วแล้วกัน


ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
[ต่อ]





ผมถูกเชิญมาที่โรงพักเพื่อฟังการให้ปากคำของแองเจลีน ผมมองขั้นตอนการสอบปากคำทั้งหมดที่อยู่หลังกระจกด้านเดียว เป็นด้านที่ผมมองเห็นคนที่อยู่ในห้อง แต่คนที่อยู่ภายในจะไม่เห็นผม ไคล์รับหน้าที่เป็นคนสอบปากคำทั้งหมด หญิงสาวนั่งอยู่บนรถเข็นผู้ป่วยเพราะสภาพร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงดี ข้อมือทั้งสองข้างถูกลงกุญแจมือวางไว้บนตัก แองเจลีนรับสารภาพทุกอย่างอย่างง่ายดาย รวมไปถึงบอกเล่าขั้นตอน ข้อมูลเกี่ยวกับผมที่ได้มาจากไซม่อน ช่วงระยะเวลาที่ผมอยู่ในโรงพยาบาลหรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เกือบลืมไปเลยว่าแองเจลีนเองก็ทำงานที่โรงพยาบาลนี้อยู่เหมือนกัน ถึงจะแค่ครั้งคราว แต่หล่อนก็มีเพื่อนสนิทหลายคนข้างใน ผมเห็นไคล์เริ่มลงมือจดรายชื่อคนที่ให้ข้อมูลพวกนั้นกับแองเจลีนบ้างแล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ย้ำนักหนาว่าทุกคนไม่รู้ว่าหล่อนจะเอาข้อมูลพวกนั้นไปทำไม

ผมหันกลับมามองไซม่อนที่ยืนอยู่ข้างตัว สีหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกหรอก เพราะแองเจลีนก็เป็นคนของครอบครัวเขา การที่เห็นคนในครอบครัวของตัวเองเป็นคนร้ายเสียเองแบบนี้คงไม่ดีต่อจิตใจของเขาเท่าไร

"คุณโอเคไหม" ถามพร้อมกับเลื่อนมือไปบีบมือเขาอย่างเผลอตัว ไซม่อนบีบมือผมตอบแน่น ตายังไม่ละไปจากพี่สะใภ้ซึ่งกำลังอธิบายรูปการณ์ต่างๆ ของคดีตามคำถามของไคล์

"หล่อนพยายามจะฆ่าคุณนะ ออสติน" น้ำเสียงเจ็บปวดของเขาทำให้ผมเงียบไป "ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดี"

แน่นอนว่าผมเองก็ไม่พอใจกับเรื่องที่แองเจลีนพยายามจะฆ่าผมหรอก แต่พอทุกอย่างผ่านมาถึงขั้นนี้แล้วผมก็ไม่นึกอยากเอาเรื่องอะไร แค่ให้หล่อนได้รับโทษไปตามกฎหมาย จากนั้นก็ถือว่าแล้วต่อกันกันไป อีกอย่าง... ผมเป็นห่วงอีกเรื่องมากกว่า

"แล้วตอนนี้แดนเป็นยังไงบ้างครับ แกรู้เรื่องของแม่แล้วหรือยัง"

"ยังครับ ผมให้พี่เลี้ยงแกพาไปโรงเรียนวันนี้ หลังจากนี้ไปผมจะเป็นคนดูแลแกเอง อย่างน้อยก็จนกว่าแองเจลีนจะออกจากคุก"

คำว่าคุกทำให้ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง แรงบีบที่มือหนักมากขึ้น ผมมองไซม่อนที่อยู่ในชุดลำลอง ท่าทีเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติทำให้ผมนับถือเขาในใจไม่น้อย รู้ดีว่าเจ้าตัวต้องเจ็บแผลและกำลังฝืนกดความเจ็บปวดพวกนั้นลงไปอยู่แน่

จากอีกฟากของกระจก ไคล์ลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้อง จากนั้นก็เปิดประตูเข้ามาหาพวกผมแทน "พวกนายจะเข้าไปคุยกับหล่อนไหม”

ผมกับไซม่อนเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามแองเจลีนโดยมีโต๊ะคั่นอยู่ตรงกลาง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองไซม่อนด้วยสีหน้าร้อนรน และคำถามแรกที่หลุดออกจากปากก็หนีไม่พ้นเรื่องลูกชาย

"แดนเป็นยังไงบ้าง ไซม่อน มีคนดูแลแกรึเปล่า แล้วใครไปส่งแกที่โรงเรียน"

"ผมให้แอนดูแลแกอยู่ครับ"

แองเจลีนพยักหน้าจากนั้นก็เบือนสายตามาทางผม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน

“นี่คุณพาออสตินมาด้วยทำไมคะเนี่ย มาเยาะเย้ยฉันงั้นเหรอ”

“เอ่อ เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น”

“อ้อ รู้ล่ะ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงยกยิ้มเหยียด “พวกคุณกลับมาคบกันแล้วล่ะสิ”

ผมกับไซม่อนไม่ตอบ แต่นั่นก็คงเป็นคำตอบในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นล่ะ

“น่าเสียดาย ต่อให้ฉันฆ่าคุณหมอไม่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็น่าจะทำให้พวกคุณเลิกกันได้อย่างเด็ดขาด”

“แองจี้” ไซม่อนพูดเสียงงวดขึ้นในขณะที่ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที แต่ทันทีที่ไซม่อนแตะหลังมือ ผมก็สงบความรู้สึกดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้หมายความอย่างที่พูดหรอก คุณไม่ได้อยากจะฆ่าออสตินจริงๆ”

“อ้อ เหรอคะ แล้วคุณมารู้อะไรเกี่ยวกับความคิดฉันล่ะ อ่านใจได้หรือไง”

“ถ้าคุณอยากจะฆ่าออสตินจริงๆ แล้วทำไมคุณไม่ฆ่าเขาตั้งแต่ตอนที่ช็อตไฟฟ้าใส่เขาที่โรงพยาบาลล่ะ แองจี้ ทำไมถึงแค่กรีดเลขงี่เง่านั่นลงบนต้นขาเขา”

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เพราะว่าวิธีนั้นน่าจะทำให้เขาทรมานมากกว่าเท่านั้นเอง ใช่ไหมคะ คุณการ์ดเนอร์”

การที่โดนใครสักคนที่มุ่งร้ายต่อเราถึงขนาดหมายเอาชีวิตหันมาส่งยิ้มหวานให้แล้วถามแบบนี้ เป็นอะไรที่ตอบไม่ถูกเลยจริงๆ

“เลิกงี่เง่าได้แล้ว แอง มันจบแล้ว คุณฆ่าเขาไม่ได้เพราะคุณไม่ได้คิดอยากจะฆ่าเขาจริงๆ ก็เท่านั้น แล้วตอนนี้แดนก็ต้องเป็นเด็กไม่มีพ่อ แถมแม่ก็เข้าคุก คงสมใจคุณแล้วใช่ไหม”

ไซม่อนตีได้ถูกจุด แองเจลีนหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอัดอั้นทันที จุดอ่อนของคนเป็นแม่ทุกคนอยู่ที่ลูกทั้งนั้น และเมื่อไซม่อนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาผมก็ใจอ่อนยวบอีกรอบ

“เอ่อ แองเจลีนครับ” ผมตัดสินใจพูดขึ้นมาแม้จะรู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะเกลียดผมเข้าไส้เลยก็เถอะ “ผมเสียใจด้วยจริงๆ เรื่องแบรด”

แองเจลีนกระพริบตาถี่ขึ้น ก้มหน้าลงมองมือตัวเองเพื่อซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ผมรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีแต่ความเจ็บปวด แต่ผมก็อยากให้หล่อนเข้าใจว่าผมเองก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน

“ผมเสียใจจริงๆ ที่เขาต้องมาตายแบบนี้”

“โอ้ หยุดพูดเถอะ คุณไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่ ฟังก่อน ผมเข้าใจจริงๆ ยิ่งตอนที่ผมได้รู้เรื่องทั้งหมด ผมเองก็ช็อคจนพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมแทบอยากจะควักเอาหัวใจของตัวเองออกมา ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแม้แต่นิดเดียวถ้าทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่ามันทรมานขนาดไหนกับความรู้สึกที่อยากจะกระชากเอาก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของตัวเองออก และสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือคุณทำแบบนั้นไม่ได้”

แองเจลีนเงยหน้าพรวดขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่หล่อนเผยให้ผมเห็นแววตาปวดร้าวที่ยากจะหยั่งลึกนั่น มันมาพร้อมกับความเข้าอกเข้าใจและเจ็บปวดพร้อมๆ กัน เหมือนได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง อารมณ์เจ็บปวดมันวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขไม่ได้ก็จริง แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครเจ็บน้อยไปกว่ากันแน่ในตอนนี้

“ฉันเสียใจที่ได้ยินแบบนั้นค่ะ ออสติน”

“ผมก็เหมือนกัน ผมแค่อยากบอกให้คุณรู้ว่าผมไม่เคยอยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” ผมปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงบนแก้มในขณะที่หญิงสาวตรงหน้าร้องไห้โฮอย่างอัดอั้น “ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว”

“ฉันขอโทษค่ะ ออสติน ฉันไม่ได้อยากทำร้ายคุณ”

แค่นั้นเอง แค่คำพูดสั้นๆ แค่นั้น แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกโล่งอกราวกับยกภูเขาออกจากอก

ไคล์เปิดประตูเข้ามาในห้องเพื่อบอกว่าการสนทนาของเราจบลงที่ตรงนี้ มีเจ้าหน้าที่อีกคนเข้ามาเข็นรถของแองเจลีนออกไปทั้งที่หล่อนยังยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา

ผมกระแทกหลังลงกับพนักพิงของเก้าอี้ หลับตาลงอย่างอ่อนล้า แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นหลังจากนี้ ไซม่อนเลื่อนมือมาบีบมือผมแน่น ผมลืมตาขึ้นมองเขาก่อนจะหลับลงอีกรอบเพื่อรับจูบที่อีกฝ่ายทาบลงมาอย่างนุ่มนวล ไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายรุกเข้ามามากขึ้น ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

ไคล์ยืนทำหน้าเซ็งอยู่ที่หน้าประตู “รบกวนช่วยกรอกเอกสารทำเรื่องด้วยครับ”

ไม่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้หน้าผมร้อนขนาดไหน… แบบที่ถ้าตอกไข่ลงไปสักฟองก็ได้ไข่ดาวแล้ว!





------------------------------------------
Talk: อั๊ย จบแล้ว ไม่น่าเชื่อ รู้สึกเหงานิดๆ เหมือนกันแฮะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ไว้อาทิตย์หน้าเราจะเอาบทส่งท้ายมาลง แล้วจะมาแจ้งข่าว+เล่าความรู้สึกตอนที่เขียนเรื่องนี้ให้ฟังนะ ^^ โง้ยยย  จะไม่มีสองคนนี้ให้เขียนถึงแล้ว
ยังไงก็ขอฝากอีกสองเรื่องที่เราเขียนอยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ Kill me gently,Faded Fog
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2017 16:14:55 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ยังดีที่คนเขียนไม่ใจร้ายพรากคนรักจากกัน (?)
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :mew1: ขอบคุณนะคะ คงจะคิดถึงไซม่อนออสตินแย่เลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
น่าจะคิดถึงผลที่ตามมานะแอนเจลีน
ว่าลูกชายที่กำพร้าพ่อ แล้วแม่ติดคุก
ไม่เห็นใจนางเลย นางทำเหมือนนางไม่มีลูก
นางก็โรคจิตแหล่ะ  :hao3:

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:  น่าสงสารไคล์
เข้าห้องทีไร เจอสองคนสวีทกันตลอด
ไซม่อน ง้อออสติน สำเร็จแล้ว  :L2: :L2: :L2:

ไซม่อน ออสติน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
งานนี้ไซม่อนได้กำไรเห็นๆ  :hao7:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
จะจบแล้วอ่ออ เรื่องนี้ลุ้นแล้วลุ้นอีกก คนเขียนเก่งมากเลยค่าา จะติดตามเรื่องอื่นนะคะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทส่งท้าย




“นี่ ออสติน”

“...”

“ออสตินครับ”

“...”

“ที่รัก”

“หือ อะไร” ผมถามเสียงห้วนขณะที่หักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวโค้งแยกถัดไป สะใจไม่น้อยที่ได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจของคนข้างตัว ไซม่อนยึดเบาะเพื่อทรงตัวไม่ให้ไหลไปตามแรงเหวี่ยงของรถแน่น เห็นท่าทางของหมอนี่แล้วแทบจะหลุดหัวเราะ แค่นี้ก็ทำเป็นรับไม่ได้ สาวน้อยจริงว่ะ

“เอ่อ คุณขับรถให้หวาดเสียวน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอครับ”

“ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องนั่งสิคุณ นู่น โบกแท็กซี่เอา”

“โหย ใจร้ายว่ะคุณ” ร่างสูงบ่นอุบ มือยังไม่ปล่อยจากที่จับที่อยู่เหนือศีรษะ “ขนาดตอนที่คุณขัยรถไม่ได้ ผมยังขับให้คุณนั่งตลอดเลย เป็นสารถีดีๆ นี่เอง พอถึงคราวผมขับไม่ได้บ้าง คุณกลับไล่ผมให้ลงไปนั่งแท็กซี่งั้นเหรอ”

“นี่ ถ้าคุณบ่นอีกคำเดียวผมจะไล่คุณลงจากรถจริงๆ แล้วนะ แล้วไอ้ที่ผมขับรถไปส่งคุณอยู่นี่ไม่ได้ขับให้อยู่รึไง”

“โอ๋ๆ ไม่งอนนะครับคนดี… เอ่อ ออสติน เบาหน่อยครับ แถวนี้รถมันเยอะ แล้วนี่คุณจะรีบขนาดนี้ทำไมเนี่ย!”

ผมเหยียบเบรคอย่างแรงทำเอาคนนั่งข้างๆ หน้าแทบคว่ำไปชนคอนโซลรถ ชิ ทำไมไม่กระแทกลงไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยนะ

“ผมก็ขับปกติของผมนี่แหละ”

“ปกติของคุณนี่มันฉวัดเฉวียนมากเลยนะ” ไซม่อนพูดงึมงำ แทบจะยกมือปาดเหงื่อรอมร่อ “ได้ใบขับขี่มายังไง ถามจริง”

“ลงจากรถไปเดี๋ยวนี้เลย คุณเจ้าหน้าที่ ลงจากรถไป”

“โว้วๆ ใจเย็นครับ อย่าหงุดหงิดนักซี่ เอาเป็นว่าผมไม่พูดอะไรแล้วก็ได้” พูดพลางโน้มหน้าเข้ามาจูบแก้มผมทีหนึ่งอย่างเอาใจ “แล้วนี่วันนี้คุณจะอยู่เล่นกับแดนหรือเปล่าครับ แกถามหาคุณแล้วน้า…. คุณน้าออสตินไม่ยอมมาเล่นด้วยสักที” เจ้าตัวว่าพร้อมกับหยิกแก้มผมเบาๆ ไปด้วย นึกว่าผมเป็นเด็กสามขวบรึไง

“อย่าน่า ไซม่อน ผมขับรถอยู่นะ”

“เอ่อ ผมว่าต่อให้ไม่มีอะไรมากวน คุณก็ขับได้น่าหวาดเสียวอยู่ดี”

“นี่คุณอยากจะ---”

“เอ้า ถึงแล้วๆ ชะลอหน่อยครับ คุณหมอ จอดๆๆ”

ผมแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจอดข้างทาง ปล่อยให้คนไซม่อนเปิดประตูลงจากรถไป หากร่างสูงไม่ยอมเดินเข้าบ้าน เจ้าตัวเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งคนขับของผมเฉย อะไรของไอ้หมอนี่เนี่ย

“นี่ ลงมาเถอะน่า ออสติน เดี๋ยววันนี้ผมทำข้าวเย็นอร่อยๆ ให้กิน นะครับ คนดี แดนเองก็อยากจะเจอคุณตั้งนานแล้ว”

“พรุ่งนี้ผมทำงานนะคุณ” พูดพลางถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะต้องสะดุ้งตัวเมื่อไซม่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะจูบปากกันอยู่แล้ว นี่มันเห็นไหมเนี่ยว่าเราอยู่กันกลางถนน ให้ตายเถอะ

“มาเถอะ ออสติน” เจ้าตัวกระซิบเสียงเบาข้างหูอย่างยั่วยวน และมันทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับมีคนมาจุดไฟเผา ผมแพ้ทางหมอนี่แบบนี้ตลอด “ผมต้องการคุณคืนนี้”

แล้วไม่ต้องถามอะไรผมสักคำเลยรึไง!?

แต่ถึงจะยึกยือท่านั้นท่านี้ รู้ตัวอีกทีผมก็เดินลงมาจากรถแล้วเดินตามหลังไซม่อนเข้าไปในตัวบ้านจนได้

บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้น ขนาดกลางๆ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกระหว่าง 3-4 คน ตั้งอยู่ย่านชานเมือง ชื่อของเจ้าของบ้านหลังนี้เดิมทีเป็นของแบรด และเมื่อชายหนุ่มเสียชีวิตมันก็ตกเป็นของแองเจลีนไปโดยปริยาย แต่เจ้าหล่อนขอร้องให้ไซม่อนมาอยู่ชั่วคราวเพื่อคอยดูแลแดน ซึ่งชั่วคราวที่เจ้าหล่อนว่านั้นคงกินเป็นหน่วยเวลาปีอยู่ แต่ผมคิดว่าการให้เด็กได้โตในบ้านที่เป็นหลังๆ ย่อมดีกว่าเอาแกไปอัดในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ ของไซม่อนอยู่แล้ว

"ไซม่อน!" เด็กชายที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่กับพื้นถลาเข้ามากอดผู้เป็นอาที่อ้าแขนรับอยู่แล้วแน่น ไซม่อนหัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดีขณะหันไปยิ้มให้แอน หญิงสาวที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงในช่วงเวลาที่ชายหนุ่มไม่อยู่ "วันนี้ไปโรงพยาบาลมาเป็นยังไงบ้างครับ แผลหายดีหรือยัง คุณหมอว่ายังไงบ้าง"

"โว้ว ใจเย็น ไอ้ตัวเล็ก ทีละคำถามสิครับ มารัวขนาดนี้อาจะตอบทันได้ไง"ไซม่อนว่าพร้อมกับยีหัวแดนแรงๆ เด็กชายหัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะกลับไปทำการบ้านต่อตามคำสั่งของแอน

 "งั้นยังไงวันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณแมคแนร์ คุณการ์ดเนอร์วันนี้มาค้างเหรอคะ ดีเลย แดนแกคงดีใจที่มีเพื่อนเล่นด้วยหลายคน"

"เอ่อ ครับ" ผมยิ้มแห้งๆ ตอบ จะบอกได้ไงล่ะว่าไม่ได้ตั้งใจจะค้าง แต่เหมือนทุกคนจะเหมารวมเป็นแบบนั้นไปแล้ว

ผมรับหน้าที่ดูแลแดนให้แกทำการบ้านให้เสร็จในขณะที่พ่อครัวใหญ่ขลุกตัวเตรียมข้าวเย็นอย่างที่ลั่นวาจาไว้เรียบร้อย ผมตรวจดูความเรียบร้อยของการบ้านที่แดนทำจนเสร็จจากนั้นจึงอนุญาตให้แกดูการ์ตูนทางโทรทัศน์ได้ ไซม่อนโผล่หน้ามาอีกทีตอนที่แดนนั่งเล่นอยู่บนตักผม ตาไม่ละจากหน้าจอ

"แวะมาดูความเรียบร้อยครับ เป็นยังไงกันบ้าง แล้วนี่เราทำการบ้านเสร็จหรือยัง"

"เสร็จแล้วครับ คุณอา น้าออสตินเลยยอมให้ดูทีวี" เจ้าตัวเล็กหันมาตอบเสียงใส ไซม่อนเลยหอมแก้มหลานแรงๆ ฟอดหนึ่งแล้วเผื่อแผ่มาให้ผมอีกฟอด ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ถลนตาใส่อีกฝ่ายที่ผุดลุกขึ้นยืนอีกรอบ นี่หมอนี่เห็นหรือเปล่าว่าหลานจ้องตาแป๋วอยู่เนี่ย

"อาไซม่อนขี้โกง!" ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวเคลื่อนหน้ามาหอมแก้มผมอีกข้างที่ไซม่อนไม่ได้ทาบริมฝีปากลงมา ให้ตายสิ แสบกันทั้งอาทั้งหลานเลย!

"แดนครับ วันนี้วันศุกร์แล้ว ไปเอาใบถึงผู้ปกครองมาให้อาดีกว่า ดูซิว่าอาทิตย์นี้ทางโรงเรียนมีอะไรอัพเดทบ้าง"

"ได้ครับ" เจ้าตัวว่าพร้อมกับวิ่งขึ้นชั้นสองไปอย่างกระตือรือร้น ไซม่อนมองตามหลังหลานชายไปก่อนจะหันมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผม

คราวนี้อะไรของไอ้คุณอาอีกล่ะ…

"อะไรครับ" ผมถามเจ้าตัวอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ยิ่งเห็นไซม่อนยิ้มกว้างขึ้นด้วยแบบนี้

"เหมือนหลังๆ มานี่คุณจะไม่ค่อยกลัวสัมผัสแล้วนะ"

ผมเลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่ง จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้สังเกตตัวเองเรื่องนั้นเหมือนกันแฮะ มัวแต่วุ่นวายเรื่องนู้นเรื่องนี้ พอโดนทักมาแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนจะจริงแฮะ

ผมยักไหล่ให้อีกฝ่ายทีหนึ่ง "ก็คงแบบนั้นมั้งครับ ผมคงเป็นไอ้โรคประหลาดนั่นไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก"

“ไม่ต้องบอกก็รู้สินะครับว่าได้ครูฝึกดี”

“อะไรนะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ไซม่อนหัวเราะนิดหนึ่ง ก้มลงมาจูบปากผมเร็วๆ

“เห็นไหม ตอนนี้คุณไม่เป็นอะไรแล้ว สะดุ้งยังไม่สะดุ้งเลย”

“คุณกำลังจะบอกว่าที่ผมหายกลัวสัมผัสได้นี่เป็นเพราะคุณเหรอ?”

“ใช่สิครับ” พูดลอยหน้าลอยตามาก “ถ้าไม่ใช่เพราะผมแล้วจะเพราะใคร”

“เหอะ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำให้อาการมันแย่ลง”

อย่างตอนที่มันจับผมขังไว้ในห้องตัวเองนะ… ให้ตายเถอะ ผมกลัวแทบบ้า ตอนนั้นร่ำๆ จะสลบตั้งหลายรอบ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะผ่านอะไรแบบนั้นมาได้

เหมือนไซม่อนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เจ้าตัวดึงร่างผมไปกอด เลื่อนหน้ามานัวเนียที่ซอกคอ

“เอาน่า ลองคิดในแง่ดีสิ ถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น ป่านนี้คุณอาจจะยังไม่หายกลัวสัมผัสก็ได้”

เหอะ พูดเอาแต่ได้

พวกเราสามคนรับประทานอาหารมื้อค่ำโดยมีไซม่อนคอยถามแดนเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน เรื่องครู เรื่องที่โรงเรียน สรรหาเรื่องมาคุยสารพัดราวกับพ่อเห่อลูกก็ไม่ปาน

แดนจิ้มเนื้อชิ้นสุดท้ายที่อยู่ในจานของตัวเอง นัยน์ตาสดใสของเจ้าตัวสลดลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา

“เมื่อไหร่คุณแม่จะกลับบ้านได้สีกทีครับ คุณอาไซม่อน”

ไซม่อนหันหน้ามามองผมนิดหนึ่งอย่างลำบากใจ ผมเองก็เหมือนกัน จะมีอะไรแย่ไปกว่าการตอบคำถามนี้จากเด็กอีกล่ะ

“ก็คงอีกสักพักล่ะครับ คนเก่ง แต่ถ้าหนูเป็นเด็กดี อาพาไปเยี่ยมคุณแม่ได้นะ”

แดนพยักหน้ารับทีหนึ่ง หากสีหน้ายังดูไม่ค่อยร่าเริงเท่าไร ในที่สุดไซม่อนก็ยอมแพ้ ต้องพาแกขึ้นห้องไปอาบน้ำส่งเข้านอนก่อนจนได้ แถมยังใจดีอนุญาตให้เจ้าตัวเล่นเกมในแท๊บเล็ตของตัวเองก่อนนอน ยังดีที่ว่าแดนเด็กพอที่จะสดใสขึ้นด้วยของง่ายๆ แบบนั้นได้

ไซม่อนเดินกลับลงมาอีกทีตอนที่ผมล้างจานอยู่ในครัว ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาก่อนจะว่า

“ไม่น่าลำบากคุณเลย ผมว่าจะมาล้างอยู่แล้วแท้ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณทำกับข้าวแล้วผมก็ล้างจานไง ผลัดกัน”

“เหมือนคู่สามีภรรยาเลย” พูดพลางสาวเท้าเข้ามากอดผมจากด้านหลัง ผมขมวดคิ้วตอบกลับไปให้เขา ก้มหน้าล้างจานต่อ

“พูดไปเรื่อยแหละคุณน่ะ”

“ผมเหรอ? เปล่านะ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ”

“อ้อ เหรอครับ แล้วไหนแหวนแต่งงาน”

“ก็วงที่ผมให้คุณไปคราวก่อนไง!”

“อ้อ นั่นน่ะเหรอ” ผมแกล้งยกยิ้มเหยียด “มีปัญญาหาแหวนแต่งงานมาได้แค่นั้นเหรอคุณ”

“ถ้าผมเอาแบบของจริงมาให้คุณ คุณจะยอมรับไหมล่ะ”

ผมแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “ต้องดูก่อนครับว่ากี่กะรัต”

“เฮ้ย” เจ้าหน้าที่หนุ่มสะดุ้ง “เอาจริงดิ ทำไมเคี่ยวนักล่ะ คุณหมอ”

“กับคุณเป็นกรณีพิเศษครับ ไม่เคี่ยวไม่ได้ ชอบทำตัวออกนอกลู่นอกนอกทาง”

“ใจร้ายว่ะ ออสติน ผมไม่เคยทำตัวเหลวไหลเลยน้า… มีคุณคนเดียว” พูดพลางซบหน้าลงมาบนบ่าผมจากด้านหลัง

ก็ไอ้แบบนั้นแหละที่น่ากลัวน่ะ

ไซม่อนแวะเข้าไปดูแดนอีกรอบที่ห้องของแกก่อนจะกลับมาหาผมที่นอนเหยียดตัวอ่านหนังสือที่แม็กซ์ให้ยืมมาเมื่อวันก่อน ตอนแรกที่ก้าวลงจากรถอุตส่าห์บอกตัวเองแล้วเชียวนะว่ายังไงวันนี้ก็จะไม่ค้างที่นี่ แล้วเป็นไงล่ะ โดนอาหารอร่อยๆ ของหมอนี่ล่อเข้าไป เจอลูกอ้อนของแดน ตบท้ายด้วยน้ำเสียงเว้าวอนจากไซม่อนผมก็จบลงที่นี่จนได้ แต่เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ผมอาบน้ำอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว แถมยังผ่อนคลายถึงขีดสุดแบบนี้ อะไรก็มาทำลายความสุขผมไม่ได้แล้ว

“แดนเป็นไงบ้างครับ” ผมว่าขณะพลิกนังสือหน้าถัดไป ตอนแรกนึกว่ารสนิยมของไอ้แม็กซ์จะแปลกๆ ซะอีก แต่เอาจริงๆ นิยายเล่มนี้สนุกใช้ได้เลยแฮะ “หลับรึยัง”

“สนิทเลยครับ ออสติน คุณคิดว่าจะเลิกอ่านหนังสือนั่นสักห้านาทีได้ไหม”

“ห้านาทีเลยเหรอ” ผมแกล้งคราง ไซม่อนเดินมาล้มตัวนอนเหยียดบนเตียงข้างๆ ผม สีหน้ายิ้มๆ แบบนั้นไว้ใจไม่ได้เลยสุดๆ เลยล่ะ

“จริงๆ ผมว่าคืนนี้คุณเลิกอ่านนิยายนั่นก่อนดีกว่า”

“แต่มันสนุกมากเลยนะ”

“ผมมีเรื่องสนุกกว่านั้นให้คุณทำแน่”

ได้ยินน้ำเสียงยั่วยวนของหมอนี่แล้วต้องจำใจปิดนิยายลงจนได้ ผมวางหนังสือเล่มนั้นลงที่โต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะนอนเหยียด หันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มอย่างพึงพอใจมาให้

“ผมว่าหมู่นี้คุณชักจะทำตัวลามกมากเกินไปแล้วนะ เมื่อกี้ก็หอมแก้มผมต่อหน้าหลานไปรอบหนึ่ง”

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ” ยักไหล่หน้าตาเฉย “เรื่องที่ผมคบกับคุณไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว”

“แต่ก็ไม่ต้องแสดงออกชัดมากก็ได้”

“เถอะน่า ออสติน นี่คุณหงุดหงิดอะไรมาเนี่ย” ไซม่อนดึงผมไปกอดแนบอก ไล้สันจมูกลงบนแก้ม ลากยาวไปถึงซอกคอ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่รดบนผิวเนื้อทำให้ผมร้อนวูบขึ้นทันที ผลสุดท้ายก็ทนความต้องการของตัวเองไม่ไหว ต้องดึงเขาเข้ามาจูบปาก ก่ายขาขึ้นบนสะโพกเขาแล้วจิกนิ้วลงบนเสื้อด้านหลังอย่างแรง จูบนั่นทำให้ไซม่อนหัวเราะออกมาทันที

“ขำอะไรคุณ”

“เปล่าครับ ไม่ได้ขำสักหน่อย แล้วนี่คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าวันนี้หงุดหงิดอะไรมา”

“เปล่า”

“เถอะน่า นี่มันจะหมดวันอยู่แล้วนะ คนดี บอกผมมาเถอะ”

ผมถอนหายใจเฮือกทีหนึ่ง “หมอให้ยาระงับอาการปวดคุณมากขึ้น ไซม่อน”

“อ้อ ใช่ครับ นี่คุณดูยาผมหมดแล้วเหรอ”

“คุณไม่ระวังตัวเองเลย”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ผมก็พยายามเต็มที่แล้วนา แต่บางทีมันก็เผลอฝืนตัวไปหน่อย”

“คุณรู้รึเปล่าว่ายาพวกนั้นมันแรง ถ้าคุณกินมากๆ เข้ามันก็ส่งผลข้างเคียงกับร่างกายคุณ แถมถ้าคุณไม่ระวังดีๆ คุณอาจมีสิทธิ์ติดได้เลยนะ แล้วติดยาระงับอาการเจ็บพวกนี้มันไม่ได้แก้ได้ง่ายๆ นี่ฟังที่ผมพูดอยู่รึเปล่า”

“คุณห่วงเกินไปแล้วน่า ออสติน”

“สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการคือมีแฟนติดยาแก้ปวดนี่แหละ”

“โอ๊ะ ในที่สุดคุณก็ยอมรับว่าผมเป็นแฟนคุณสักที” พูดอย่างคนที่ไม่ยอมปล่อยช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ให้หลุดลอยไป ผมนี่แทบจะกลอกตาขึ้นเพดาน “ถึงเราจะเป็นแฟนกันมาตั้งนานแล้วก็เถอะ”

“ที่ผมยอมนอนกับคุณนี่มันยังไม่ชัดเจนพอรึไงครับ”

“ชัดครับ” ไซม่อนปีนขึ้นมาคร่อมบนตัวผม ปลดกระดุมเม็ดแรกออก ผมได้ยินหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นดังขึ้นขณะมองตาเขา “แต่ผมอยากได้ยินจากปากคุณมากกว่า”

“มากกว่านอนกับผมน่ะนะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิ” ไซม่อนหัวเราะ ก้มลงมาจูบปากผมอีกครั้งเนิ่นนาน ผมจูบตอบเขาอย่าเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดออกจากตัวไปทีละชิ้น ครางเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายถูไถใบหน้าลงบนเรือนร่าง บิดตัวเล็กน้อยยามที่ลิ้นอุ่นแตะลงบนผิวเนื้อ

ได้ยินเสียงเขาครางเรียกผมอย่างแผ่วเบาและโหยหา “ออสติน”

“อือ… อะไรครับ” ผมถามกลับ แต่ไม่ได้คิดอยากรู้จริงๆ หรอก

“จำที่คุณพูดเรื่องสถานที่ศักสิทธิ์ก่อนหน้านี้ได้ไหม”

ดูเหมือนไซม่อนจะชอบเรื่องนี้จริงๆ แฮะ ให้ตาย

“อื้อ” ผมตอบแบบขอไปที และได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังแผ่วเบาที่ข้างหู ผมหลับตาลงแน่นเมื่ออีกฝ่ายฝังเขี้ยวลงมาบนคอ นิ้วเรียวที่นัวเนียอยู่ด้านล่างเริ่มชอนไชเข้ามาในปากทางด้านหลัง เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ชักจะคิดอะไรไม่ออกแล้วสิ

“จริงๆ แล้ว…. คุณต่างหาก ออสติน” เสียงทุ้มนั่นกระซิบที่ข้างหู ผมจิกปลายเท้าลงบนผ้าปูที่นอน

“คุณต่างหาก… ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผม”

ผมได้ยินคำพูดประโยคนั้นที่แสนแผ่วเบา

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะน่า





- Fin -





-------------------------------------------
(ทอล์คคราวนี้จะยาวมากๆ เลยนะคะ โปรดทำใจก่อนอ่าน)

Talk: จบ แล้ว เย่! //ปรบมือให้กับทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ได้... ไม่นับคนที่แอบกดข้ามบทอื่นมาอ่านก่อนนะ XD
ยินดีด้วยค่ะ คุณได้ผ่านกระบวนการพังไตมาพร้อมกับคนเขียนได้อย่างสำเร็จสวยงาม นับว่าต้องทนจริงๆ ถึงจะอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบได้ (ฮา)

ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้นอกจากตับไตคนอ่านจะผุกร่อนแล้ว คนเขียนก็ย่ำแย่ไม่แพ้กันค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราแตะมาทางสืบสวนมากขนาดนี้ (เรื่องก่อนๆ ก็มีแซมบ้าง แต่จะไม่หนักขนาดนี้) แล้วก็เป็นนิยายเรื่องแรกของเราที่ไม่แฟนตาซีค่ะ! (ก่อนหน้านี้มาแต่ทางแฟนตาซีวาย ฮา) สารภาพกันตามตรงเลยว่าตอนเขียนใช้พลังงานเยอะมาก ข้อมูลก็พยายามไปหา แล้วก็เป็นเรื่องแรกที่ใช้เวลาเขียนนานขนาดนี้ (ใครอ่านเรื่องก่อนๆ ของเราจะรู้ว่าปกติ1-2 เดือนก็จบหนึ่งเรื่องแล้ว เรื่องนี้ลากยาวมามากเลย)

และว่ากันตามตรง มันอาจจะไม่ใช่นิยายที่ดีสมบูรณ์แบบอย่างที่เราหรือหลายๆ คนคาดหวังไว้ แต่ก็เปรมใจมากค่ะที่เข็นมันออกมาจนจบได้ ยิ่งด้วยเราไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับหมอหรือเอฟบีไอหรือการตรวจศพ หรืออะไรมากมายที่ต้องใช้ในเรื่อง การจะเขียนออกมาได้จึงเป็นอะไรที่กินพลังงานสุดๆ และเราก็ตั้งใจว่าในเรื่องต่อๆ ไปเราจะพยายามพัฒนาตรงจุดนี้ให้มากขึ้นค่ะ ยังไงก็ขอกำลังใจจากทุกคนด้วยนะคะ (ฮา)

สำหรับคดีฆาตกรตัวเลขที่ยังเหลืออยู่ เราจะเอาเรื่องนี้ไปเฉลยในคู่ของวินเซนต์กับไคล์นะคะ (คู่พ่อทนายสุดที่รักของเรานั่นเอง ฮาาา) ยังไม่รู้ว่าจะได้เริ่มเขียนเมื่อไหร่ อาจจะเป็นช่วงปีหน้าค่ะ ฝากติดตามกันด้วยนะ >w<

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ขอขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจกัน เราทุ่มเทให้กับนิยายเรื่องนี้มากจริงๆ และคาดหวังจะทำได้ดีกว่านี้ในอนาคต ถ้ามีข้อเสนอแนะหรืออยากสอบถามพูดคุยอะไรก็ทักมาได้ที่หน้าเพจ, ทวิตเตอร์ หรือคอมเม้นท์บอกกันตรงนี้ก็ได้ค่ะ ^^ เราอยากฟังความเห็นจากทุกคนเลยว่าคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้บ้าง ยังไงก็เล่าให้ฟังกันบ้างน้า~

ก่อนจะจาก! ขอโฆษณาล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะเปิดจองช่วงเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้นะคะ กำเงินในมือให้มั่น และขอฝากไซม่อนกับออสตินไว้ในอ้อมอกของทุกคนด้วยค่ะ แล้วมีอะไรจะนำมาอัพเดทให้ทุกคนทราบเรื่อยๆ //โค้ง

ท้ายสุดจริงๆ ล่ะ ฝากไปอ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ที่เรากำลังเขียนค้างไว้อยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ
จิ้ม>>Kill me gently จุมพิตอันธการ, Faded Fog หมอกเลือนรัก, ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์

หวังว่าจะได้เจอกับทุกคนอีกเร็วๆ นี้นะคะ ^^
Airin_and
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2017 15:25:12 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
หวีดด  หวานกันซะทีหลังจากปวดตับมาตั้งนาน :hao7:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด