พิมพ์หน้านี้ - Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Airiณ ที่ 07-05-2017 19:15:58

หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-05-2017 19:15:58
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************************************

สวัสดีค่ะ Airin_and เอง ^^
เรียกไอรินก็ได้น้า

สารบัญ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3630652#msg3630652)・บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3631952#msg3631952)・บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3633206#msg3633206)・บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3634996#msg3634996)・บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3636124#msg3636124)・บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3637209#msg3637209)・บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3639006#msg3639006)・บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3640268#msg3640268)・บทที่ 8.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3641406#msg3641406)・บทที่ 8.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3641407#msg3641407)・บทที่ 9.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3643168#msg3643168)・บทที่ 9.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3644402#msg3644402)・บทที่ 10.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3645375#msg3645375)・บทที่ 10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3647172#msg3647172)・บทที่ 11.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3648515#msg3648515)・บทที่ 11.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3649781#msg3649781)・บทที่ 12.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3651600#msg3651600)・บทที่ 12.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3652976#msg3652976)・บทที่ 13.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3654737#msg3654737)・บทที่ 13.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3655857#msg3655857)・บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3657127#msg3657127)・บทที่ 15.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3660085#msg3660085)・บทที่ 15.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3660086#msg3660086)・บทที่ 16.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3663717#msg3663717)・บทที่ 16.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3664333#msg3664333)・บทที่ 17.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3667748#msg3667748)・บทที่ 17.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3668885#msg3668885)・บทที่ 18.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3672110#msg3672110)・บทที่ 18.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3673051#msg3673051)・บทที่ 19.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3676117#msg3676117)・บทที่ 19.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3676973#msg3676973)・บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3680843#msg3680843)・บทที่ 21.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3683679#msg3683679)・บทที่ 21.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3684567#msg3684567)・บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3691262#msg3691262)・บทที่ 23.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3694303#msg3694303)・บทที่ 23.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3695191#msg3695191)・บทที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3698672#msg3698672)・บทที่ 25.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3701419#msg3701419)・บทที่ 25.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3702261#msg3702261)・บทที่ 26.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3704897#msg3704897)・บทที่ 26.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3705776#msg3705776)・บทที่ 27.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3708316#msg3708316)・บทที่ 27.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3709167#msg3709167)・บทที่ 28.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3711927#msg3711927)・บทที่ 28.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3712787#msg3712787)・บทที่ 29.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3715565#msg3715565)・บทที่ 29.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3716456#msg3716456)・บทที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3720495#msg3720495)・บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803.msg3723544#msg3723544)

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่ลงในเล้า
My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645)・ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61530)・Faded Fog หมอกเลือนรัก (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356)・Kill me gently จุมพิตอันธการ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745)

ถ้ามีอะไรผิดพลาด ยังไงก็ฝากให้คำแนะนำด้วยนะคะ

มาพูดคุยและติดตามกันได้ตามนี้เลยค่ะ
Facebook (https://www.facebook.com/airinand/)・Twitter (https://twitter.com/airin_yoku)

ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-05-2017 19:18:02
บทนำ



วินาทีที่หัวใจเหมือนถูกบีบรัดด้วยลวดหนามที่มองไม่เห็นจนบิดเป็นเกลียว ราวกับมีสัญญาณเตือนภัยบางอย่างร้องบอกให้รับรู้ถึงภยันอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตัว แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าสัญญาณเตือนภัยพวกนี้มักจะมาช้าเกินไปเสมอและมักจะทำให้ตั้งตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกที… ทุกอย่างก็สายจนเกินแก้

“อึก…” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทำงานของของตัวเอง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่รู้สึกเจ็บเจียนตายจนเหมือนจะล้มคว่ำลงไปอยู่แล้ว

ผมเอื้อมมือมาขยำเสื้อกาวน์ที่อกข้างซ้ายของตัวเอง ภาพทุกอย่างที่เห็นเริ่มพร่าเลือนเพราะความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ความเจ็บปวดทรมานนี้มาพร้อมกับสิ่งที่สมองกำลังกรีดร้องบอกผมถึงอาการและโรคที่เกิดขึ้น ผมว่ามันคงเป็นเรื่องปกติของคนเป็นหมอที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยและกำลังจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง ในหัวมันจะประมวลผลไปโดยอัติโนมัติว่าเรากำลังเป็นอะไร และดูเหมือนสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่อาการเบา ๆ เสียด้วย

“คุณหมอ… ตายแล้ว! คุณหมอคะ!”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับวูบไป ทุกอย่างกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนหน้าจอทีวีที่ถูกกระชากปลั๊กออกอย่างกะทันหัน มันให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย

ผมได้ยินเสียงโวยวายจากเพื่อนร่วมงานและเหล่าพยาบาลที่กรูกันเข้ามา เสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนมาจากที่ไกล ๆ

จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก






ลมทะเลที่เข้ามาปะทะใบหน้าทำให้เส้นผมสีน้ำตาลเทาของผมพัดปลิวไปตามแรงลม มือทั้งสองข้างของผมถือถุงที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบในการทำอาหาร ของใช้จิปาถะในชีวิตประจำวัน มันหนักมากจนมือของผม คงเป็นรอยแดงจากน้ำหนักที่กดลงมา

มีใครสักคนยืนอยู่หน้าบ้านของผม ใบหน้าคมสันของเขามองไปยังทะเลสีฟ้าครามที่เต็มไปด้วยเรือรูปแบบต่าง ๆ เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ที่เข้มจนเกือบดำ สายตาของผู้ชายคนนั้นไม่ละออกจากน้ำทะเลที่อยู่เบื้องหน้า แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้กำลังมองประกายคลื่นเหล่านั้นอยู่หรอก เหมือนเขามองทอดยาวออกไปแบบไม่มีจุดหมายมากกว่า

ร่างหนาของเขาดูกำยำอย่างชายหนุ่มสุขภาพดี เขาสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม เสื้อยืดด้านในตัวหนึ่งกับเสื้อกั๊กแขนสั้น ดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวแล้วก็ดูไม่เหมือนพวกที่เดินเรือแถวนี้เลยด้วย

ผมเสียเวลาพิจารณาใบหน้าคมสันอย่างไม่รู้ตัว นึกสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ หากเมื่อผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มคนนั้นและสังเกตเห็นปืนที่เหน็บอยู่ตรงบริเวณเข็มขัดผมก็ต้องชะงัก

ตำรวจงั้นเหรอ… ให้ตายเถอะ ผมเกลียดพวกพิทักษ์สันติราษฎร์ยิ่งกว่าอะไรดี คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่ค่อยชอบตำรวจกันอยู่แล้ว

“เฮ้ คุณ”

ชายหนุ่มคนนั้นไหวตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เบือนหน้ากลับมาทางผม เขามีนัยน์ตาสีฟ้าอมเทา ใบหน้าคมที่ดูเหมาะเจาะไปเสียทุกส่วน เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีมากจนนิยามคำว่าหล่อเหลาให้เขาได้เลยทีเดียว

หากเมื่อได้มองหน้าเขาตรง ๆ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผมรู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มตรงหน้านี้อย่างประหลาด แต่ถึงจะพยายามค้นเข้าไปในหัวเท่าไรก็นึกไม่ออกสักทีว่าไอ้คลับคล้ายคลับคลานี่มันเกิดขึ้นจากที่ไหนหรือเมื่อไหร่

ผมปัดความคิดที่ว่าออก บางทีผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้

“คุณมีธุระอะไรแถวนี้รึเปล่าครับ คุณตำรวจ”

ดูเขาไม่แปลกใจเท่าไรเรื่องที่ผมดูออกว่าเขาเป็นตำรวจ “ผมมาตามหาคนที่ชื่อออสติน การ์ดเนอร์ครับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ของที่ยังอยู่ในมือทั้งสองข้างกดข้อนิ้วผมจนปวดไปหมด แต่ผมจะวางมันลงบนพื้นตรงนี้ก็ไม่ได้ จะเอาไปไว้ในบ้านตอนนี้เลยก็ไม่ได้เพราะยังติดพันกับการสนทนากับชายคนนี้อยู่ ผมถอนหายใจสั้น ๆ ออกมาอย่างเผลอตัว รู้นะว่าเสียมารยาท แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ

“ผมเองแหละครับ ออสติน การ์ดเนอร์” ผมว่า ไหวตัวนิดหน่อยเมื่อเห็นมือหนาเลื่อนมาใกล้ ๆ กับมือผม ผมรีบถอยห่างจากเขาทันที และนั่นทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักไปนิดหนึ่งอย่างเสียหน้า

“ผมแค่อยากจะช่วยคุณถือ”

“เอ่อ คือ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” ผมว่า “แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ”

“ผมชื่อไซม่อน แมคแนร์” เขาว่าพร้อมกับหยิบตราบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“คุณจะรังเกียจไหมถ้าผมขอเข้าไปคุยกับคุณในบ้านน่ะ”

“คุณมีหมายศาลรึเปล่า” ผมตัดสินใจวางของลงกับพื้น ยกมือกอดอกแล้วมองเขาตรง ๆ “หรือว่าหมายค้น? แล้วไม่ทราบว่าผมกำลังจะโดนจับข้อหาอะไร”

เจ้าหน้าที่แมคแนร์ยกยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าหม่นระยิบระยับอย่างนึกขัน คงเพราะท่าทีตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยของผม… ปกติตำรวจทั่วไปจะหงุดหงิดนะกับการโดนราษฎรทำตัวใส่แบบนี้ แต่เขาเป็นเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลาง ก็คงไม่เหมือนตำรวจทั่วไปล่ะมั้ง หรือไม่… เขาก็แค่เพี้ยน

“ผมไม่มีหมายศาลหรือว่าหมายค้นอะไรทั้งนั้นแหละครับ คุณการ์ดเนอร์ ผมมาที่นี่ด้วยเรื่องส่วนตัว”

“เรื่องส่วนตัวแต่โชว์ตรานั่นให้ผมดูเนี่ยนะ?”

เขายังคงยิ้มน้อย ๆ อยู่ที่มุมปาก ผมชักเริ่มรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าแล้วสิที่ตีรวนใส่เขา

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ผมไม่รู้จักคุณ”

“ผมก็เพิ่งแนะนำตัวไปเองนี่ครับ ผมชื่อไซม่อน แมคแนร์ เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ทีนี้คุณก็รู้จักผมแล้ว”

น่ะ แอบกวนประสาทเหมือนกันนะนั่น

“แล้วคุณมีธุระอะไรอยากคุยกับผม?”

พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยหม่นลงนิดหนึ่ง “ผมอยากจะค่อย ๆ พูดเรื่องนี้ มันค่อนข้างละเอียดอ่อน”

อ่าฮะ

“อย่างน้อยก็ช่วยบอกหัวข้อเรื่องมาหน่อยได้ไหมครับ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์” ผมถอนใจนิดหนึ่ง “คือผมก็เข้าใจนะว่าคุณมีตราเอฟบีไอ… คงไม่ได้คิดจะมาปล้นบ้านผมหรืออะไรแบบนั้นแน่ แต่ผมมีงานต้องทำต่อจากนี้”

“ผมคิดว่าทางโรงพยาบาลให้คุณพักงานอยู่ตอนนี้เสียอีก?”

คำพูดประโยคนั้นทำให้ผมหน้าตึงทันที นี่จะมาคุยเรื่องส่วนตัวแบบไหนถึงได้ไปเช็คกันมาหมดแล้วแบบนี้?

“ผมเขียนหนังสืออยู่บ้านน่ะ และผมก็มีตารางเวลาของตัวเอง”

“ผมรู้เรื่องที่คุณผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ”

คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไป เบิกตากว้างขึ้นอย่างประหลาดใจก่อนจะหรี่ลงมองชายหนุ่มตรงหน้าที่สูงกว่าผมด้วยสายตาจับผิด

“คุณแอบตามสืบประวัติชีวิตผมเหรอ?”

“ผมอธิบายได้” เขารีบพูด “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวใจที่คุณได้ไป”

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองลืมวิธีการหายใจไปชั่วขณะ ผมไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของหัวใจที่ผมได้มาเพราะมันเป็นความลับของทางหน่วยงานอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังบอกว่าเขารู้เรื่องนั้นอย่างนั้นเหรอ?

“แล้ว… คุณรู้ได้ยังไง”

เจ้าหน้าที่หนุ่มยกยิ้มหากนัยน์ตาฉายแววเศร้าหมอง

“หัวใจที่คุณได้ไปน่ะ… มันเป็นของพี่ชายผมเอง”






-----------------------------------------
Talk: ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ ใครเล่นทวิตติดแท็ก #ไซคนด้าน กันนะคะ ทำไมถึงเอาแท็กนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะนางด้านยังไงล่ะ 555555 //โดนไซม่อนถีบ// เอาเป็นว่า แล้วเจอกันตอนต่อไปนะคะ >3<
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 07-05-2017 19:31:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 07-05-2017 20:07:05
อะไรยังไง รอ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 07-05-2017 23:21:24
รอ ๆ ๆ ไซคนด้าน

หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-05-2017 18:30:44

บทที่ 1



ผมนอนอยู่บนเตียงล้อเลื่อนที่กำลังถูกเข็นไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาล

ระหว่างที่เตียงกำลังเคลื่อนที่ไป ผมเหลือบไปเห็นห้องคนไข้ที่ภายในมีเด็กชายนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง มีสายเชื่อมต่อระหว่างเครื่องมือทางการแพทย์กับร่างของเด็กคนนั้น ที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นเองคือร่างของชายหนุ่มอีกคนซึ่งคงจะเป็นพ่อของเด็กคนนั้นมองดูอยู่อย่างสงบนิ่งไม่แพ้กัน

ผมสงสัยว่าเขากำลังหวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับลูกชายของเขา อย่างที่มันได้เกิดขึ้นกับผม

‘ในที่สุด’ อะแมนดา กอร์แมน แพทย์หญิงที่คอยดูแลผมมาตลอดพูดขึ้นยิ้ม ๆ ในวันที่เราได้รับข่าวดี ‘เราก็ได้หัวใจของคุณสักที’

ผมค่อนข้างแปลกใจตอนที่ได้ยินข่าวดีที่รอคอยมาตลอดหลายเดือนนี้ อันที่จริง เรื่องที่จะหาหัวใจมาปลูกถ่ายเพื่อสับเปลี่ยนกับหัวใจเน่า ๆ อันเดิมของผมน่ะ... ผมถอดใจมานานแล้ว
 
เลือดของผมเป็นกลุ่มเลือดที่พิเศษและหายากกว่าเลือดหมู่อื่น ๆ แทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะได้หัวใจจากผู้ที่ลงชื่อบริจาคอวัยวะของตนหลังจากเสียชีวิตลงและมีหมู่เลือดเดียวกันนี้ อันที่จริง วินาทีที่ผมล้มคว่ำลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองในวันนั้น ผมเตรียมใจไว้แล้วว่ายังไงก็คงไม่รอดแน่ และแม้ว่าผมจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที (ก็ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลนี่นะ) แต่การรอคอยอะไรที่ดูเป็นไปได้ยากช่างกัดกร่อนจิตใจ เพราะงั้นการที่จะช่วยตัวเองไม่ให้ตกไปอยู่ในจุดนั้น... หนทางที่ดูที่สุดคือตัดใจจากมันไปเสีย แค่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า แค่นั้นก็พอแล้ว

แต่แล้วอยู่ ๆ... วันหนึ่งผมก็ได้รับแจ้งว่ามีอวัยวะจากผู้ที่ลงชื่อบริจาคซึ่งมีหมู่เลือดเดียวกันกับผม จากนั้นไม่นานผมก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจโดยแพทย์หญิงที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ดูแลไข้ของผม หล่อนคอยกรอกหูผมเสมอว่าสักวันจะต้องมีอวัยวะจากผู้บริจาคสักคนมาถึงผม นับเป็นวิธีการคิดที่ฟังดูแล้วก็แปลกดี ถ้าถามผมนะ เพราะมันเหมือนเรากำลังรอคอยให้ใครสักคนตายเพื่อที่เราจะได้เก็บเกี่ยวอวัยวะภายในของพวกเขามา บางที... นั่นอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้ที่ผมเลือกที่จะไม่รอและตัดใจกับตัวเองไปเสีย

ผมไม่เคยคิดอยากให้สักคนตายเพื่อที่จะได้มีอวัยวะภายในตกทอดมาถึงผม ต่อให้มันจะเป็นอุบัติเหตุก็เถอะ ผมอุทิศตนทำงานเพื่อช่วยเหลือคนมาตลอดทั้งชีวิต ถึงมันจะไม่ได้ยาวนานอะไรมากเมื่อเทียบกับรุ่นใหญ่ ๆ แต่ผมก็ทุ่มเทให้กับงานของตัวเองเต็มที่ เรียกได้ว่าทั้งหมดที่ผมพยายามมามันมากพอแล้วสำหรับผม ผมไม่เสียดายชีวิตเลยต่อให้ต้องตายลงในวันนั้นทั้ง ๆ อย่างนั้น

แต่เหมือนดวงของผมจะยังไม่ตกต่ำลงถึงขั้นนั้น ผมเลยยังได้หัวใจของผู้บริจาคมาต่อชีวิตอย่างที่เป็น นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ผมคิดว่าตัวเองควรยินดีไปกับมัน

‘มันเป็นหัวใจของใคร คุณหมอ’ แปลกดีที่ตอนนี้ผมต้องมาเรียกเพื่อนร่วมงานว่าคุณหมอแบบนี้ แต่ผมคิดว่าอะแมนดาคงชอบ เพราะหล่อนยกยิ้มขันทีเดียวก่อนจะส่ายหน้า

‘คุณก็รู้ว่ามันเป็นความลับ คุณหมอ อย่ามาหลอกถามฉันเสียให้ยาก’

‘เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง’

หล่อนยังคงส่ายหน้ายิ้ม ๆ

‘เขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเหรอ’

‘ไม่เอาน่า ออสติน อย่าทำแบบนี้กับฉันเลย ฉันบอกอะไรคุณไม่ได้หรอก’

ถึงทีที่ผมจะยิ้มบ้างแล้วคราวนี้ ‘เราเลิกเล่นคุณหมอกับคนไข้แล้วเหรอ’

‘ไม่เห็นว่าเกมนี้จะมีคนไข้เลย มีแต่คุณหมอสองคน’ หล่อนตอบหน้าตาย

‘ขอผมเดาอะไรอย่างได้ไหม’

‘ว่าไงคะ’

‘คุณเองก็ไม่รู้เรื่องคนที่บริจาคหัวใจนี้มาให้ผม’

อะแมนดาถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง ‘ต่อให้ฉันรู้ ฉันก็บอกคุณไม่ได้หรอก คุณไม่ได้เป็นหมอนะตอนนี้ คุณคือคนไข้ต่างหาก’

‘เฮ้ อย่าพูดตัดรอนกันแบบนี้สิ เราเป็นเพื่อนกันนะ’

‘ใช่ และฉันเองก็รู้ว่าคุณแค่อยากกวนประสาทฉัน ไม่ได้อยากรู้เรื่องเจ้าของหัวใจคนก่อนของคุณเท่าไรหรอก เพราะคุณรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไงก็จะไม่มีทางรู้’

ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งคิดไป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างที่แพทย์สาวตรงหน้าบอกจริง ๆ หรือเปล่า ส่วนลึกในใจผม... บางทีผมอาจจะอยากรู้ก็ได้ว่าเจ้าของคนก่อนของหัวใจที่ผมเพิ่งได้มาครอบครองนั้นเป็นใคร แต่พอมาลองคิดในทางกลับกันดูอีกที... ถ้าเกิดว่าผมบริจาคร่างกายหรืออวัยวะให้ใคร ๆ ผมก็ไม่อยากให้คนคนนั้นรู้เรื่องของผมเท่าไหร่เหมือนกัน (ผมลงชื่อเข้าโครงการบริจาคไปเรียบร้อยแล้วด้วย อย่างที่ผมบอกว่าเลือดผมเป็นหมู่เลือดหายาก มันต้องมีประโยชน์กับใครอีกหลายคนที่กำลังรออย่างที่ผมเคยรออยู่แน่) เพราะงั้น... บางทีเจ้าของหัวใจที่ผมเพิ่งได้มาก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

‘ช่างเถอะ’ ผมตัดบท ‘ผมว่าผมไม่อยากรู้เรื่องผู้บริจาคแล้ว’

‘ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องจริงจังกันเถอะ’ จากนั้นเจ้าหล่อนก็เริ่มร่ายยาวถึงสิ่งที่ผมต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหลังจากนี้เป็นต้นไป หล่อนเห็นผมเป็นแค่คนไข้คนหนึ่งจริง ๆ เต็มตัวแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะถึงผมจะเป็นหมอ แต่ผมไม่ใช่หมอเชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างที่เธอเป็น ใช่ว่าเป็นหมอแล้วจะต้องรู้ศาสตร์การแพทย์ไปเสียทุกอย่างนะครับ





แต่ผมจะพูดถึงไอ้สิ่งที่ผมต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดที่ว่านี้ให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ผมยังมีอะไรที่เฉพาะหน้ากว่าให้ต้องรับมือ

ผู้ชายคนที่อ้างว่าเป็นน้องชายของเจ้าของหัวใจคนก่อน …หัวใจที่ผมกำลังใช้อยู่ตอนนี้… นั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องรับแขก ส่วนผมที่ยังรับมือกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ค่อยถูกได้แค่พูดขอตัวกับเขา อ้างว่าจะชงกาแฟให้แล้วผลุบเข้ามาอยู่ในครัวด้วยอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ …

หัวใจที่ไม่ได้เป็นของผมมาแต่เกิด

ผมสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว นี่ไม่ใช่เวลาพิรี้พิไรเสียหน่อย ผมกรอกน้ำในกาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า เปิดตู้แล้วหยิบกาแฟซองออกมาเทใส่แก้วสองใบ กำลังคิดอยู่ว่าควรจะต้องหาขนมง่าย ๆ ออกไปรับแขกหน่อยไหม มันจะดูเป็นพิธีรีตองมากไปรึเปล่า แถมอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน...

แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมอยากกินนี่หว่า นี่ออกไปซื้อของกลับมาตั้งใจจะทำอะไรกิน พ่อเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนี่ก็มาอยู่หน้าบ้านเสียแล้ว

แต่… เขาบอกว่าตัวเองเป็นน้องชายของ…

“คุณครับ”

ผมสะดุ้งสุดตัว แทบจะกระโดดไปติดกับฝาบ้าน ไซม่อนเดินเข้ามาประชิดตัวผมจนแทบจะสัมผัสตัวกันอยู่แล้ว ผมรีบก้าวถอยหนีออกจากอีกฝ่ายทันที จากนั้นจึงถามเจ้าตัวด้วยน้ำสเียงที่พยายามควบคุมให้สงบ

“นี่… คุณจะเข้ามาทำไมเนี่ย ทำไมไม่นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก?”

“เอ่อ ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจนะ” เขายกมือขึ้นเป็นเชิงขอโทษ “เห็นคุณหายเข้าครัวมานานผมเลยว่าจะมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”

“ไม่มี คุณ ผมแค่ต้มน้ำอยู่ มันเลยใช้เวลาหน่อย กลับไปรอที่เดิมเถอะ”

“คุณอยากให้ผมช่วยยกคุกกี้นี่ออกไปรึเปล่า” เขาชี้ไปที่ถาดซึ่งผมยกออกมาเตรียม ผมรีบพยักหน้าให้เขาเร็ว ๆ จะยังไงก็เอาเถอะ แค่ช่วยรีบ ๆ ออกไปจากตรงนี้ที

พวกเราทั้งคู่กลับออกมาอยู่ในห้องรับแขกอีกครั้ง ผมเลือกนั่งโซฟาเดี่ยวที่พอจะมีระยะห่างระหว่างผมกับไซม่อนอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจเขาหรืออะไรแบบนั้นนะครับ ผมแค่เป็นโรคไม่ค่อยชอบเข้าใกล้ผู้คน เคยมีคนบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ทำงานกับศพ… แต่ผมว่ามันก็ไม่เกี่ยวซะทีเดียวหรอก

“อ่า” ผมเกริ่นขึ้นมานิดหนึ่งหลังจากจิบกาแฟในแก้วไปอึกหนึ่ง “ตกลง… ที่คุณบอกว่าหัวใจที่ผมได้มานี่เป็นหัวใจของพี่ชายคุณ...”

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทานั่นดูหมองลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาสะกดมันกลับลงไปได้อย่างรวดเร็ว

“ครับ”

“คือ… อย่าหาว่าผมงั้นงี้เลยนะ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์”

“เรียกผมว่าไซม่อนก็ได้ครับ” เขาพูดอย่างสุภาพ นั่นทำให้ผมต้องยักไหล่ทีหนึ่ง

“งั้นก็เรียกผมว่าออสติน คืองี้นะ ผมว่ามันแปลกไปหน่อยที่อยู่ ๆ คุณจะเดินมาแล้วบอกผมว่า ‘เฮ้ หัวใจที่คุณได้ไปน่ะ ของพี่ผมนะ’ คุณพอจะเข้าใจอารมณ์ผมไหม”

“เขาชื่อแบรด แมคแนร์” อีกฝ่ายไม่สนน้ำเสียงประชดประชันของผม เขาพูดตอบกลับมาท่าทีเป็นการเป็นงาน แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเรื่อย ๆ

“คุณไม่ควรจะรู้สิว่าหัวใจของเขาจะถูกส่งไปให้ใคร แบบนี้มันผิดไม่ใช่เหรอ”

“อ่า” ไซม่อนเอนตัวไปด้านหลัง ยกถ้วยกาแฟในมือขึ้นจิบเบา ๆ ดูเขามาดดีไม่เหมือนพวกเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ผมเคยรู้จักมาเลย “ผมก็ไม่อยากจะลงลึกถึงเรื่องนี้มากหรอกนะครับ”

“เกรงว่าคุณคงต้องลงแล้วล่ะ”

“คุณก็รู้นี่ว่าผมเป็นเอฟบีไอ ใช่ไหม”

ผมนิ่งงันไปทันที นี่หมอนี่ใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อหาเหรอว่าใครเป็นคนได้หัวใจของพี่ชายตัวเองไป ไม่แย่ไปหน่อยเรอะ ทำแบบนี้น่ะ

“นี่ คุณ---”

“พี่ชายของผมถูกฆ่า”

คำพูดที่ขัดขึ้นมานั่นทำให้ผมอ้าปากที่กำลังจะตำหนิเขาค้างไว้อย่างนั้น รู้สึกเหมือนมีขวานมาจามลงบนกล่องเสียง พูดอะไรไม่ออก

“และด้วยความที่ผมค่อนข้างเป็นคนที่มุทะลุ…” เขาว่าเสียงเรียบ นัยน์ตาหลบต่ำลงมองของเหลวสีน้ำตาลในถ้วย “ผมก็เริ่มสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายผมจากทุกทาง ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูผิดสำหรับคุณ แต่ตอนนั้นผมไม่สนอะไรอีกแล้ว ผมแค่อยากหาตัวคนที่ฆ่าพี่ให้เจอเท่านั้น”

“แล้ว… แล้ว…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ผม “พวกเราจับตัวคนร้ายได้แล้ว ทุกคนได้รับความยุติธรรมแล้ว”

ความยุติธรรมเหรอ

“แต่ทีนี้พอผมรู้ว่าใครคือคนที่ได้หัวใจของพี่ชายผมไปใช้ ผมก็นึกอยากรู้จักเขาขึ้นมา”

ผมพยักหน้านิดหนึ่ง ยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นจิบอย่างไม่รู้ะพูดอะไร อันที่จริงผมพยายามไม่ดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะงั้นนี่คงจะเป็นอึกสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว

“ผมดีใจจริง ๆ ที่คุณเป็นคนได้หัวใจของเขาไป คุณหมอ พี่ชายของผมคือคนที่ช่วยชีวิตคุณ… คุณที่คอยช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด”

“เอ่อ… ก็ไม่เชิงหรอกครับ” ผมว่า “คือ… ผมเป็นทีมแพทย์นิติเวชน่ะ ไม่ได้รักษาคนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกครับ”

“อุ๊บ...” ไซม่อนยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมาทันที ผมเงยหน้าไปมองเขาทันทีอย่างงง ๆ “ฮะ ๆๆๆ คุณนี่ตลกนะ ‘ไม่ได้รักษาคนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่’ งั้นเหรอ เออ ก็ฟังดูเข้าท่านะคุณ”

หน้าของผมร้อนขึ้นนิดหนึ่ง “ก็มัน…!”

“ไม่หรอกครับ ถึงยังไงงานของนิติเวชก็สำคัญอยู่ดี อย่างที่คุณรู้ว่าผมเป็นเอฟบีไอ ผมต้องพึ่งหน่วยนี้มาก เข้าใจความสำคัญดีเลยล่ะครับ”

“อ่า” ผมพยักหน้ารับไปแกน ๆ ก็ไม่รู้จะตอบรับคำชมยังไงดี ถ้าเป็นคนปกติส่วนมาก เขาคงจินตนาการไปว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่กับศพไปวัน ๆ และมันคงดูน่าสยดสยองมากกว่าน่าชื่นชม ซึ่งผมก็ไม่โทษพวกเขาหที่คิดแบบนั้นรอกนะ

“แล้วก็… นี่ครับ ถ้าคุณยังไม่เชื่อล่ะก็” เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผมดู ผมก้มลงอ่าน รู้สึกหน้าชา ตัวชาขึ้นมาทันทีที่เห็นลายมือข้างในนั้น

นั่นเป็นจดหมายขอบคุณที่ผมเขียนด้วยตัวเอง… ขอบคุณสำหรับหัวใจดวงที่หนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขาได้ให้มา มันช่วยต่ออายุให้ผม และตอนนี้หนึ่งในครอบครัวที่ว่านั่นก็กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผมจริง ๆ

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าอ่อนโยนหากมีความเศร้าจาง ๆ ปนอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างแล่นมาจุกอยู่ที่คอหอย ผมคืนจดหมายฉบับนั้นให้เขา ขยับตัวให้หลังพิงกับพนักที่นั่งด้านหลัง รู้สึกเหมือนหน้าซีดลง ยิ่งนึกสาเหตุการตายของชายหนุ่มที่ชื่อแบรด แมคแนร์… เจ้าของหัวใจที่แท้จริงที่ผมหยิบยกมาใช้อยู่

ผมจำได้ว่าตัวเองเคยถกเรื่องนี้กับหมออะแมนดา มีหลายช่วงเวลาที่ผมสับสนว่าการทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอ การเอาอวัยวะภายในของคนอื่นมาใส่ในร่างกายของตัวเอง… มันสมควรแล้วเหรอ พวกที่เคร่งศาสนาหน่อยอาจจะเริ่มยกเรื่องพระเจ้าและสิ่งที่ท่านประทานให้มาพูด ผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่ส่วนหนึ่งในใจก็รู้สึกว่าการเคลื่อนย้ายอวัยวะจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแบบนี้เป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติอยู่ดี

ไซม่อนที่อยู่ตรงหน้าผมเริ่มขยับตัว เขาอาจจะจับสังเกตได้ว่าใบหน้าของผมซีดเผือดลง ก็คงเป็นอย่างนั้นแน่ล่ะเพราะตอนนี้ผมหัวปั่นไปหมด

“ออสตินครับ”

“ว่าไงครับ”

“ผมรู้ว่าการที่ผมมาแสดงตัวกับคุณแบบนี้คงทำให้คุณตกใจ”

โอ้โห อย่าเรียกว่าตกใจเลย เรียกว่าช็อคจนแทบสลบเลยจะดีกว่า

“ออสติน ผมว่าคุณหน้าซีดมากเลยนะ” ใบหน้าคมขมวดคิ้วมากขึ้น มือข้างหนึ่งเลื่อนมาจะแตะหน้าผากผม “รู้สึกไม่ค่อยดีหรือเปล่---”

เสียงเขาขาดห้วงไปเพราะผมถอยหนีสัมผัสของเขาอย่างรวดเร็ว โอเค มันชัดเจนไปหน่อย… จริง ๆ ก็ชัดมาหลายครั้งแล้วล่ะ แต่ไอ้หมอนี่มันจะอะไรนักหนาเนี่ย ทำท่าจะมาโดนตัวผมหลายรอบแล้วนะ กับคนอื่นที่ผมเพิ่งเคยเจอ เพิ่งเคยรู้จักแบบนี้ ไม่เห็นมีใครเคยทำเลย

“เอ่อ…” เขาอึกอัก ผมเองก็เหมือนกัน

“ขอโทษด้วยครับ” ผมพูดขึ้นมาก่อน “คือ… ผมเป็นโรคแบบ เอ่อ ถูกตัวคนไม่ได้น่ะ”

คนฟังกระพริบตาปริบ ๆ ทันที “อะไรนะครับ?”

“คือ… ผมไม่ค่อยชอบสัมผัส เอ่อ คนเท่าไร พวกสกินชิปอะไรงี้ก็ไม่ค่อยโอเค”

“อ่า”

“คือ ไม่ใช่ว่าผมถือหรือรังเกียจอะไรหรอกนะครับ” ผมรีบพูด คนส่วนใหญ่พอได้ยินแบบนี้แล้วจะเข้าใจผิด “ผมแค่… ไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนั้นเท่าไร เหมือนเป็นโรคน่ะครับ”

“ผมเข้าใจครับ” อีกฝ่ายว่า ผมว่าด้วยอาชีพของเขาแล้ว เขาคงเจอคนมาหลากหลายเหมือนกันแหละน่า “ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ เพราะผมไม่รู้ก็เลยไม่ทันได้ระวัง เอาเป็นว่าผมจะพยายามอยู่ห่าง ๆ คุณหน่อยดีไหมครับ”

“ดีครับ” ผมแทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เอ๊ะ… ฟังดูแล้วมันแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ “คือ… ไม่ต้องถึงกับห่างเป็นเมตรอะไรแบบนั้นก็ได้ครับ แค่ เอ่อ ไม่โดนตัวผมก็โอเคแล้ว ถ้าคุณพอจะทำให้ผมได้ก็คงจะขอบคุณมาก”

ไซม่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง รอยยิ้มนั่นทำให้ใบหน้าของเขาดูเด่นจับตาขึ้นจริง ๆ จากเดิมที่ดูดีอยู่แล้ว ผมเดาว่าเขาต้องเป็นคนที่ฮอตในหมู่สาว ๆ เป็นแน่

“คุณนี่ตลกจริง ๆ ด้วย ออสติน”

“เออ ขอบคุณที่ชมครับ” ผมว่า ไม่รู้หรอกว่าเขาประชดรึเปล่า แต่ฟังจากเสียงหัวเราะที่มาอีกระลอกนี่ เขาคงไม่ได้ตั้งใจชมแหง

“ว่าแต่สุขภาพคุณเป็นยังไงบ้าง”

ผมยักไหล่ให้คำถามนั้น “ก็… เรื่อย ๆ นะครับ ตอนนี้ก็เริ่มจะชินขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ต้องกินยาเยอะมาก ทั้งตอนเช้าแล้วก็ก่อนนอน”

“ผมเคยได้ยินมาว่ามีกรณีที่อวัยวะ… หรือหัวใจของคนที่รับไม่เข้ากัน”

“ใช่ครับ” ผมตอบ “บางทีก็มีกรณีที่อวัยวะปฏิเสธร่างกายของคนคนนั้น ซึ่งมันจะส่งผลออกมาให้เห็นในรูปแบบอย่าง ไข้ขึ้นสูง ท้องเสีย หรืออะไรแบบนั้น”

“แล้วคุณเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ผมเพิ่งไปตรวจครั้งล่าสุดมาเมื่อวันก่อน” ผมเริ่มหยิบคุกกี้ขึ้นมากิน หิวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว “หมอก็บอกว่าค่อนข้างดีเลยล่ะครับ ไม่มีการปฏิเสธอวัยวะ ทุกระดับก็ดูดีหมด นี่ที่หมอบอกมานะครับ”

“แล้วพวกไข้อะไรพวกนั้นที่คุณบอกมาล่ะ?”

“อืม… จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงนะครับ ก็มีวันที่แบบมีไข้ ตัวรุม ๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”

“แล้ววันที่เป็นแบบนั้นคุณทำยังไงครับ” สีหน้าของเขาฉายแววกังวลอย่างชัดเจนจนดูตลก “คุณอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวนี่ ใช่ไหม?”

“ครับ”

บ้านของผมเป็นบ้านสองชั้นเล็ก ๆ ที่อยู่ติดริมทะเล บรรยากาศตอนเช้าหลังจากที่พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นเป็นอะไรที่วิเศษมากในบ้านหลังนี้ ผมจะชอบตื่นแต่เช้ามานั่งเอกเนกอยู่ที่ห้องนั่งเล่นซึ่งมีหน้าต่างทอดออกไปให้เห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอก จริง ๆ แล้วบ้านหลังนี้เรียกได้ว่าใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียว ทุกวันนี้การทำงานบ้านก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมเหนื่อยหน่ายเหมือนกัน ผมจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดนะช่วงที่ยังทำงานอยู่ แต่ตอนนี้ทางโรงพยาบาลให้ผมพักงานแล้ว เพราะงั้นผมึงต้องมาแกร่วอยู่บ้านทุกวัน ๆ และพอเป็นแบบนั้น จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดก็ดูจะใช่ที่

ผมใช้เวลาว่างทุกวันนี้เขียนหนังสือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์นี่แหละ แต่ส่วนมากผมจะเขียนจากประสบการณ์ตัวเอง ซึ่งก็จะหนีไม่พ้น เอ่อ อะไร ๆ ที่เกี่ยวกับศพ ผมเคยเขียนบทความทางการแพทย์ร่วมกับคนอื่น ๆ มาก่อนนะ แต่ไม่เคยเขียนหนังสือเองมาก่อนเลย เพราะงั้นมันก็ถือเป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับผมเหมือนกัน

“คุณมีญาติใกล้ ๆ บ้างรึเปล่าครับเนี่ย”

ผมส่ายหน้า “ไม่มีครับ ป้าผมก็อยู่อังกฤษ พ่อกับแม่ก็เสียหมดแล้ว”

“แล้วพี่น้อง…”

“ผมเป็นลูกคนเดียวครับ”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมา เริ่มเดาได้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อจากนี้

“แบบนี้ถ้าคุณเป็นอะไรไป ใครจะมาคอยช่วยคุณล่ะครับ”

“เอ่อ สมัยนี้มีเทคโนโลยีที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถืออยู่นะครับ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์”

“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ” สีหน้าเขาดูกังวล ผมนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร เดาออกว่าเขาจะพูดอะไรต่อจากนี้ “ผมว่าถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมจะมาหา---”

“อย่าดีกว่าครับ” ผมพูดตัดบท “รบกวนคุณเปล่า ๆ”

ไซม่อนนิ่งไป ดูเขาอึ้งไม่น้อยที่ได้รับการปฏิเสธแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ นั่นทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย

“คือ… คุณก็รู้ว่าผมเป็นโรค.. แบบ เอ่อ ไม่ค่อยถูกกับผู้คน” ผมพยายามว่า

“เปล่า คุณไม่ได้พูดว่าคุณไม่ค่อยถูกกับผู้คน คุณบอกว่าไม่ถูกกับการสัมผัสผู้คนต่างหาก”

“เอ่อ…”

“ให้ผมได้แวะมาเยี่ยมคุณหน่อยเถอะ ถึงยังไงคุณก็ได้หัวใจของพี่ผมไป ผมอยากทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่สูญเปล่า” 

ผมรู้สึกสะอึกอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดประโยคนั้น และมันทำให้ผมต้องรีบแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ

“ผมดูแลตัวเองได้”

“ผมรู้ครับ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็เด็ดขาด “แต่ยังไงก็คงดีกว่าถ้ามีคนคอยมาเช็ค มาถามไถ่คุณเป็นระยะ ๆ แล้วนี่ปกติคุณไปโรงพยาบาลยังไงครับ คุณเพิ่งผ่าตัดหัวใจมาแบบนี้ คงไม่ได้ขับไปเองใช่ไหม”

“ไม่ครับ ปกติก็แท็กซี่”

“งั้นคราวหน้า คุณบอกผมนะครับ นัดกันไว้เลย เดี๋ยวจะพาคุณไปเอง”

เอ๊ะ… เดี๋ยว ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ?

“ถ้าอย่างนั้น… เดี๋ยววันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน ส่วนนี่นามบัตรผมนะครับ ในนั้นมีช่องทางการติดต่อทุกทาง” เขามัดมือชกเรียบร้อยเสร็จสรรพ จากนั้นก็หันมายิ้มหวานใส่ “คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมขอนามบัตรหรือเบอร์โทรติดต่อของคุณได้”

อื้อหือ มาถึงขนาดนี้… ยังจะมีหน้าถามอีก… ทำไมไม่ยกเค้าบ้านไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ

ผมควานหานามบัตรของตัวเองให้เขา เหลือบมองเสี้ยวหน้าคมของชายหนุ่มอีกครั้งอย่างนึกตงิด ๆ ในใจ

เหมือนผมเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อนจริง ๆ นะ แต่ก็นึกไม่ออกสักทีว่าไปเห็นที่ไหน

“เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้รึเปล่าครับ” ทนไม่ไหว ต้องถามออกไปจนได้ “แบบ… เราอาจจะเคยร่วมงานทำคดีไหนด้วยกันมาก่อน อะไรแบบนั้น”

“อ้อ ไม่หรอกครับ” ไซม่อนยิ้ม “เพราะถ้าเคยล่ะก็ คุณจะไม่มีทางลืมผมแน่”






-----------------------------------
Talk: ไซม่อนคะ... ความด้านนี้ ท่านได้แต่ใดมาคะ 555555 คือนางเนียนมาก อยู่ ๆ ก็แบบ มัดมือชกหมอหน้าตาเฉย ใครเล่นทวิตอย่าลืมแวะไปคุยกันได้นะ แท็ก #ไซคนด้าน ได้เลย มาเล่นเป็นเพื่อนที ไม่อยากแป้ก 55555
สำหรับนิยายเรื่องนี้ เราจะอัพทุกวัน อ. พฤ. อา. นะคะ ^^ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยน้า~
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 1) P.1 [9/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-05-2017 19:29:19
อื้อหือ รุกแรงจริงจัง
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 1) P.1 [9/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 11-05-2017 06:18:41
ไซม่อน ตะไม นายเนียนงี้คะ อื้อหื้ม หรือเคยชิน ทำบ่อยไรงี้ ???
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 1) P.1 [9/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-05-2017 19:03:15

บทที่ 2



เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งขับกล่อมอารมณ์ให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจได้เฉกเช่นเคย

ผมกระตุกเบ็ดตกปลาที่อยู่ในมือขึ้นมาจากน้ำ พิจารณาหนอนตัวอ้วนที่ติดอยู่ปลายตะขอจากนั้นจึงเริ่มออกแรงเหวี่ยงไปยังตำแหน่งอื่น ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กที่อยู่ริมชายหาดซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งที่ผมอยู่ไปไม่ใกล้ไม่ไกล มีครอบครัวพาลูกมาเล่นแถวริมหาดนี้ประปราย

ทะเลตรงนี้ถึงจะสวยแต่ค่อนข้างห่างไกลตัวเมือง การคมนาคมไม่ได้สะดวกอะไรมากนัก จำนวนนักท่องเที่ยวจึงไม่เยอะจนน่าปวดหัวแบบทะเลที่ใกล้เคียงกันแต่อยู่ในทำเลที่ดีกว่า ส่วนมากแล้วจะเป็นคนท้องที่นี้แหละที่จะพาลูกหลานมาเล่นกันในเวลาเช้า ๆ สาย ๆ แบบนี้

ผมนั่งตกปลาอยู่ตรงเขื่อนซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับตกปลาอยู่แล้ว มีคนคุ้นหน้าหลายคนแวะเวียนมา ผมก็ชวนพวกเขาคุยนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนเมื่อเริ่มสาย ๆ แดดเริ่มร้อนขึ้น บวกกับจำนวนปลาที่ผมตกมาได้ก็น่าจะมากพอแล้ว ผมจึงตัดสินใจเก็บเบ็ด เก็บข้าวของของตัวเองแล้วเดินกลับบ้าน

ระยะทางจากบ้านผมไปถึงเขื่อนที่ว่านั่นไม่ได้ไกลอะไรมาก แต่เพราะผมร่างกายอ่อนแอแบบนี้ไปแล้วไง มันเลยทำเอาผมหอบหายใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน

ให้ตายเถอะ การที่ร่างกายซึ่งเคยแข็งแรงต้องกลายสภาพมาเป็นแบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่าอึดอัดและไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ผมยกแขนที่ยังถือถุงพลาสติกซึ่งใส่ปลาที่ผมตกมาได้ขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้า ก้าวเท้าเข้าใกล้ตัวบ้านเรื่อย ๆ จากนั้นผมก็ต้องเอะใจเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งตรงปรี่เข้ามาทางผมด้วยความร้อนรน

เหวอ…! นั่นมันไซม่อนนี่นา?

นี่หมอนี่มาทำอะไรของเขาเนี่ย!?

“ออสติน!” เขาพูดพร้อมกับจับไหล่ผมทั้งสองข้างแน่น ผมรู้สึกเหมือนบริเวณที่เขาสัมผัสอยู่โดนไฟฟ้าช็อต “นี่คุณหายไปไหนมา ผมเป็นห่วงแทบแย่”

ผมปัดมือเขาออกจากจากบ่า ถอยหลังกรูดด้วยความตกใจ ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวขึ้น มือไม้เย็นเฉียบ รู้สึกได้เลยว่าหน้าซีดลง และเหมือนเขาจะรู้ตัวจากปฏิกิริยานั้นของผม

“ผมขอโท--”

“อย่า” ผมพูดขัด รู้สึกหัวเสียกับคนตรงหน้าขึ้นมาทันที “คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะ คุณเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะมาโวยวายใส่ผมหรือมาโดนตัวผมแบบนี้ ผมไม่เคยขอให้คุณมารอผมที่หน้าบ้านแบบนี้ ไม่ได้นัดกันไว้ด้วยซ้ำ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยรึไง”

อีกฝ่ายทำสีหน้ากระอึกกระอัก ถ้าไม่ใช่เพราะผมกำลังอารมณ์เสียอยู่ล่ะก็ อาจจะรู้สึกผิดก็ได้

“ผมขอโทษครับที่ทำให้คุณอึดอัด”

“ผมล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคุณไม่มีการมีงานทำรึไง” ผมพูดอย่างหงุดหงิด วางถังที่ใส่ปลาอยู่ลงบนพื้นขณะบิดลูกกุญแจเพื่อไขเข้าบ้าน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางนี่งานน้อยมากเลยเหรอ หรือช่วงนี้ไม่มีคดีให้ทำ”

“ผมพอจะหาเวลาว่างมาได้บ้างวันนี้น่ะ”

อันที่จริงหลังจากที่เขามาหาผมวันแรก นั่นก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว ถ้าพูดในเรื่องความถี่ที่เขามามันก็ไม่ได้มากมายจนถึงจะไปตัดสินว่าเขาว่างมากอะไรแบบนั้นหรอก ผมแค่ไม่ชอบใจที่อยู่ ๆ เขาก็โผล่มาแบบไม่บอกกล่าว แถมยังมาโทษที่ผมไม่อยู่บ้านอีก เขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนั้นวะ

“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผม” ผมหันไปถามเสียงเย็น ไม่คิดจะเชิญเขาเข้าบ้านด้วย และเหมือนไซม่อนจะรับรู้เรื่องนั้นด้วย สีหน้าของเจ้าตัวจึงเจื่อนลงสนิท

“ผมแค่เป็นห่วงคุณ”

“ขอทีเถอะ ทำแบบนี้มันน่ารำคาญนะ”

“แล้วทำไมคุณไม่รับโทรศัพท์”

คำถามนั้นทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นจึงตอบ “ผมไม่ได้เอาไปด้วยน่ะ เพราะคิดว่าแค่ไปตกปลาแถวนี้”

“ก็เพราะคุณไม่รับโทรศัพท์ผมน่ะสิ ผมถึงได้เป็นห่วง”

อ้าว กลายเป็นความผิดผมไปซะแล้วเหรอ

“คุณก็รู้อยู่ว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ไซม่อนว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ผมเริ่มบิดริมฝีปากอย่างไม่สบอารมณ์ นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นพ่อผมหรืออะไร “ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมา จะมีใครรู้ได้ยังไง ยิ่งคุณอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้อีก”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ--” พูดได้แค่นั้นแล้วต้องหุบปากลง นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมของเขาจ้องมองผมอย่างแน่วแน่ มันเป็นสายตาที่เหมือนจะสื่อว่า ‘นั่นเป็นหัวใจของพี่ผมนะ ช่วยเอาไปใช้ให้มันดี ๆ หน่อยได้ไหม’ เอ่อ โอเค ก็ได้… มันเกี่ยวกับเขาก็ได้

“ผมก็แค่อยากแน่ใจว่าคุณไม่เป็นไร”

“โอเค ๆ ผมเข้าใจแล้ว ผมผิดเองแหละ แต่คุณเองก็ผิดเหมือนกันนะ ถ้าอยากจะแวะมาตรวจสอบกันแบบนี้ก็หัดโทรมาบอกกันก่อน”

“เมื่อเช้าผมโทรแล้วนะครับ แต่คุณไม่รับสาย”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่าออกไปตกปลามา ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย แล้วขอที คุณโทรมากะทันหันแบบนั้น… โทรตอนนี้มาตอนนี้ ใครจะไปตั้งตัวทันล่ะคุณ อย่างน้อยก็บอกล่วงหน้ากันสักวันสองวันก็ยังดี”

“เวลางานผมมันไม่แน่นอนนี่ครับ พอมีเวลาปลีกตัวมาได้บ้าง ผมก็อยากแวะมาหาคุณเลย”

โอ๊ย ตาย

ผมขมวดคิ้วให้เขาอย่างไม่ปิดบัง “แล้วมันเรื่องอะไรของคุณที่ต้องมาคอยบงการชีวิตผมไม่ทราบ โอเค ผมอาจจะได้หัวใจของพี่ชายคุณมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายมาเป็นเจ้าชีวิตคอยบงการผมให้ทำนู่นนี่ได้นะ”

“เอางี้ครับ เรามาพบกันคนละครึ่งทาง” เขาพยายามผ่อนหนักเป็นเบา เสียงนุ่ม ๆ ของเขากับท่าทีที่ยอมถอยให้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กยังไงก็ไม่รู้ “ผมแค่ขอแวะมาหาคุณ… มาดูให้รู้ว่าคุณปลอดภัยดี อาทิตย์ละครั้งก็ยังดี แต่ผมขอแค่ให้คุณพกโทรศัพท์เท่านั้น เผื่อว่าผมจะมากะทันหันแบบวันนี้ หรือถ้าเกิดอะไรที่มันฉุกเฉินกับคุณ อย่างน้อยคุณก็ใช้โทรศัพท์โทรหาผม… หรือหาใครก็ได้ ได้ไหมครับ คุณหมอ ผมขอคุณแค่นั้นเอง ผมจะไม่ขอร้องคุณให้ทำอะไรมากไปกว่านี้เลย”

คำว่าคุณหมอที่เขาใช้เรียกทำให้ผมหน้าร้อนวูบขึ้นมา เหมือนมันเป็นสิ่งที่เขาใช้ตอกย้ำสำนึกและความรับผิดชอบของผมอย่างไรอย่างนั้น และนั่นทำให้ผมจำใจตอบรับห้วน ๆ ไปจนได้

“ก็ได้ครับ แค่พกโทรศัพท์ก็พอใช่ไหม งั้นผมเองก็ขอบ้างแล้วกัน… หนึ่งเลย ถ้าจะโผล่มาล่ะก็ ช่วยบอกกันก่อนล่วงหน้า มันทำให้ผมอึดอัด จริง ๆ นะ อย่างน้อยต้องบอกผมล่วงหน้าหนึ่งวัน ไม่งั้นก็ไม่ต้องมา สอง กรุณาอย่ามาโดนตัวผม ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่ชอบ ถ้าคุณทำตามสองข้อนี้ได้ ผมก็ยอมทำตามที่คุณขอ”

ไซม่อนนิ่งไป นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาของเขาจ้องตาผมอย่างหยั่งลึก มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เหมือน… ขนลุก? ไม่สิ เหมือนมีอะไรมวน ๆ ในท้องมากกว่า เหมือนกับสายตานั่นพยายามอ่านผมให้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และพร้อม ๆ กันนั่นก็พยายามทำให้ผมทำตามที่เขาต้องการไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น

“คุณเป็นหมอไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้ผมอยากใช้คำว่าเคยเป็นมากกว่า เพราะผมโดนสั่งพักงานอยู่”

“คุณเป็นหมอ แล้วเวลาคุณตรวจคนไข้ คุณไม่ต้องโดนตัวพวกเขารึไง”

“นี่ คุณ ผมเป็นหมอนิติเวชนะ ได้ฟังที่ผมพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย”

“แต่มันก็ต้องมีบ้างแหละที่คุณจำเป็นต้องรักษาคนที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ น่ะ”

ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เห็นสายตาของเขาที่มองมาอย่างมุ่งมั่นแล้วได้แต่นึกสงสัยในใจ นี่หมอนี่เป็นบ้าอะไรของเขากันนะ แค่เพราะผมได้หัวใจของพี่ชายตัวเองมา ทำไมต้องมาคอยเกาะติดกันขนาดนี้ด้วย สงสัยคงรักพี่มากจริง ๆ แฮะ

“ก็มีบ้างครับ ผมยอมรับ แต่ในช่วงเวลาแบบนั้นผมก็ทำได้นะ หมายถึง… สัมผัสคนน่ะ คือถ้ามันเป็นงาน แล้วมีคนกำลังบาดเจ็บอยู่ ผมก็เกี่ยงนั่นนี่ไม่ได้อยู่แล้ว ถูกไหม”

“แล้วคุณไม่คิดอยากรักษาให้มันหายบ้างเลยเหรอ ไอ้โรคถูกตัวคนไม่ได้ของคุณเนี่ย”

ผมไม่ตอบ ได้แต่ทอดสายตามองผ่านหลังเขาไปเพื่อบอกให้เจ้าหน้าที่หนุ่มรู้ตัวว่าผมไม่อยากคุยเรื่องนี้ ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ผมไม่สนหรอก เขาคิดว่าผมไม่เคยพยายามแก้ไขเรื่องนี้หรือไง ผมลองแล้วนะ ลองมาหลายครั้งแล้วก็หลายวิธีแล้ว… แต่เหมือนลึก ๆ ในใจผมรู้ดีว่ามันจะไม่มีวันหาย ตราบใดที่ผมยังไม่ได้รับความยุติธรรมจากผู้ชายคนนั้น

“เอาเถอะครับ” ไซม่อนพูดอย่างยอมแพ้ จากนั้นรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าแทนที่สีหน้าเคร่งเครียดแบบเมื่อครู่ “ผมสัญญาแล้วนี่นาว่าจะไม่ขอให้คุณทำอะไรอีก ตกลงครับ ผมจะทำตามสองข้อที่คุณบอกมา แต่คุณต้องพกโทรศัพท์แล้วก็รับโทรศัพท์ผมนะ แบบนั้นโอเคไหม”

“โอเค” ผมว่า รู้สึกผ่อนคลายลงกับท่าทีสบาย ๆ แบบนั้นของคนพูด ผมว่าไซม่อนเก่งเรื่องนี้นะ ให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจเนี่ย ติดแค่ว่าเขาเลือกจะทำมันในสถานการณ์นั้น ๆ รึเปล่าเท่านั้นเอง

และด้วยบรรยากาศระหว่างเราที่เริ่มดีขึ้น ผมจึงเอ่ยปากชวนอย่างเสียไม่ได้ “คุณจะเข้ามาข้างในก่อนไหมครับ ผมอาจจะชงกาแฟให้คุณได้สักแก้ว”

“วันนี้ขอตัวดีกว่าครับ เพราะผมตั้งใจจะมารับคุณไปทานข้าวนอกบ้าน”

ผมหันกลับไปมองเขาอย่างตะลึงงัน คาดไม่ถึง นี่ผมชักคิดจริง ๆ แล้วนะว่าเขาเข้าหาผมด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่าผมเป็นคนได้หัวใจของพี่เขาไปเนี่ย

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคุณ” ไซม่อนหัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะที่จริงใจและเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ผมจ้องมองรอยยิ้มของเขาตาไม่กระพริบ นึกสงสัยว่าตัวเองเคยยิ้มและหัวเราะได้เต็มเสียงแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ “ผมแค่หิวมากเท่านั้นเอง นี่ยังไม่ได้กินอะไรมาเลย เมื่อคืนงานหนักมาก”

พอฟังที่พูดและได้พิจารณาใบหน้าของไซม่อนดี ๆ แล้ว ผมก็เริ่มเข้าใจ หน้าเขาดูค่อนข้างอิดโรยและอ่อนล้าจริง ๆ เหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ผมรู้ดีว่าบางทีเวลาทำคดีบางคดี คุณก็เลือกเวลานอนไม่ได้ และตอนนี้เขาควรจะได้กลับไปพักผ่อนแท้ ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ถ่อมาหาเพื่อดูว่าผมสบายดีรึเปล่า

จากที่หงุดหงิดเพราะการทำอะไรตามอำเภอใจของเขา ตอนนี้ผมใจอ่อนยวบไปเรียบร้อยแล้ว

“โธ่เอ๊ย คุณ ถ้าเหนื่อยมากทำไมไม่กลับไปพัก แต่ช่างเถอะ คุณจะออกไปหาอะไรกินใช่ไหม จริง ๆ ถ้าคุณบอกผมล่วงหน้านะ ผมทำอะไรให้คุณกินยังได้เลย นี่ผมก็เพิ่งจะได้ปลาสวย ๆ เนื้อแน่น ๆ มาตั้งหลายตัว แต่กะทันหันแบบนี้ ผมเตรียมของไม่ทัน ถ้าคุณมีเวลารอ…”

“ผมคงมีเวลาอยู่กับคุณสักสองชั่วโมง” เขาพูดพร้อมกับพลิกดูนาฬิกาข้อมือ “ผมว่าเราออกไปหาอะไรทานกันเถอะ แถวนี้คงมีร้านอร่อยอยู่บ้าง”

“มีหลายร้านครับ แถวนี้ถิ่นผม ผมแนะนำได้”

“เยี่ยมเลยครับ” เขายิ้มหวานอีกรอบ ช่างเป็นคนที่ขยันยิ้มจริง ๆ

“งั้นขอผมเอาของไปเก็บแล้วก็เอาปลาไปแช่ก่อน คุณรอผมหน่อยนะ”




ผมพาไซม่อนมาที่ร้านอาหารซึ่งขับรถจากบ้านผมไปประมาณสิบนาที เป็นร้านอาหารติดทะเลที่ให้บรรยากาศสบาย ๆ

“คุณอยากดื่มอะไรรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามระหว่างดูเมนูอาหาร “พวกไวน์หรือเบียร์ ผมดื่มไม่ได้นะเพราะต้องขับรถ แถมไปทำงานต่ออีกต่างหาก”

“ผมก็ดื่มไม่ได้ครับ” ผมว่า การผ่าตัดเปลี่ยนใจทำให้มีข้อจำกัดหลายอย่างในการใช้ชีวิต และเหมือนคนถามจะรู้ตัวตอนนี้

“อ่า ขอโทษด้วยครับ”

“ขอโทษทำไมล่ะครับ” ผมว่า เลือกสลัดทูน่ากับสเต็กปลาดอลลี่ ส่วนคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเลือกสเต็กปลาทูน่าย่างมะนาวกับมันฝรั่งและหัวหอมทอด

ไซม่อนยกแก้วน้ำโคล่าของตัวเองดื่ม ทอดสายตาออกไปมองทะเลเบื้องหน้า เวลานัยน์ตาคู่นั้นมองผิวน้ำที่เป็นประกายนั่น มันทำให้เขาดูเสน่ห์ขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก

“ผมรู้ว่าคุณเองก็คงผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเหมือนกัน” เขาพูด ค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นดูดผมเข้าไปอีกครั้ง คือปกติแล้ว ไซม่อนจะดูเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน เวลาเขายิ้ม รอยยิ้มนั้นมันจะเลยขึ้นไปถึงดวงตาเขา คือดูจริงใจและตรงไปตรงมา แต่เวลาที่เขาไม่ได้ยิ้ม… หรือเวลาที่เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สายตานั้นจะเปลี่ยนไป มันดูลึกลับชวนให้ค้นหา เหมือนเป็นเหวที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ผมสงสัยว่าพวกตำรวจ พวกเอฟบีไอ หรือพวกที่ทำงานสืบสวนซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตคนและเหยื่อโดยตรงจะมีนัยน์ตาแบบนี้กันทุกคนรึเปล่า แฟนเก่าผมที่เป็นตำรวจก็มีตาน่าค้นหาแบบนี้เหมือนกัน และนั่นก็ทำให้ผมตกหลุมเขาไปเต็มเปา... ตกลงไปในเหวนั่นแบบยากที่จะถอนตัวขึ้น แต่นั่นก็เป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว และผมไม่ใช่คนที่เชื่อในรักนิรันดร์

“คุณหมายถึง” ผมดึงสติของตัวเองกลับมา “เรื่องที่ผมเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจน่ะเหรอ”

เขาไม่ได้ตอบ แต่ผมเดาว่านั่นเป็นการตอบรับอย่างหนึ่ง

“อืม… จะว่ายากลำบาก มันก็ยากลำบากแหละ หรือแม้แต่ทุกวันนี้ตอนไปตรวจที่โรงพยาบาล พวกเขาต้องเอากล้องใส่เข้าไปในตัวผมเพื่อตรวจสอบว่ามันอยู่เป็นสุขดีในอกของผมด้วยไหม บอกตรง ๆ เลย มันเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกขนลุกมาก เหมือนเอาเบ็ดตกปลาใส่เข้าไปในรูที่อกน่ะคุณ ส่อง ๆ ดูความเรียบร้อยข้างใน แล้วตอนเขาเอามันออกก็ต้องกระตุกขึ้น...” ผมหยุดคำพูดของตัวเองลง มองไซม่อนที่มีสีหน้าตั้งอกตั้งใจฟังอย่างยิ่งยวดแล้วต้องกระแอมออกมาเบา ๆ “โทษที ผมว่าคงไม่ควรพูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ผมอีกแล้ว “ผมชอบฟังเรื่องของคุณ”

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจสะดุดไปจังหวะหนึ่ง หน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเวลาเดียวกับที่อาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมรอจนบริการผละไปแล้วจึงยกมือกระแอม

“ถ้าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็ ผมคงนึกว่าคุณพยายามจะจีบผมอยู่”

“ฮะ ๆๆๆ” ไซม่อนหัวเราะรับ หยิบส้อมและมีดขึ้นมาถือในมือ “แล้วใครบอกล่ะว่าต่อให้คุณไม่ใช่ผู้หญิง ผมจะไม่พยายามจีบคุณ”

ผมแทบจะปล่อยส้อมที่จิ้มผักจากจานสลัดของตัวเอง อ้าปากค้างกับคำพูดสบาย ๆ นั่น ก่อนจะหรี่ตาลงมองชายหนุ่มอย่างจับผิด

“คุณจะบอกว่า… คุณกำลังจีบผมอยู่งั้นเหรอ?”

เขาไม่ตอบ ยกส้อมที่เสียบเนื้อปลาอย่างดีเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างละมุนละไม ผมวางส้อมของตัวเองลงแล้วเริ่มยกมือขึ้นกอดอกราวกับว่ามันเป็นปราการป้องกันให้ผมได้

“ผมว่าเราเริ่มชักจะไปกันใหญ่แล้ว”

“ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำเลยนี่” เขายิ้ม แต่มันไม่ใช่ยิ้มอ่อนโยนหรือสุภาพแบบนั้นอีกแล้ว แต่เป็นยิ้มแบบที่ผมให้คำจำกัดความว่า เอ่อ เจ้าเล่ห์ “แต่ขอโอกาสผมพูดอะไรอย่างสิ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าคุ้น ๆ หน้าผมที่ไหนมาก่อนใช่ไหมครับ”

“ใช่”

“แล้วคุณได้เก็บเรื่องนั้นไปคิดบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ได้คิด” ผมรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว และรู้สึกว่าพลาดไปหน่อยที่พูดเร็วเกินไป เพราะมันอาจทำให้ไซม่อนรู้ว่าผมกำลังโกหก “ทำไมผมจะต้องคิดเรื่องของคุณด้วย แค่คุณเข้ามาป่วนก็แย่พอแล้ว”

“ไม่เห็นต้องตัดรอนกันโหดร้ายขนาดนั้นก็ได้นี่นา ออสติน”

“ผมว่าคุณเลิกเล่นเกมทายคำถามกันดีกว่า ทำไมคุณไม่บอกผมมาเลยล่ะว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”

“คุณรู้จักบาร์ที่ชื่อไรท์แทรคไหมครับ ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมือง”

ผมนิ่งไปทันที นั่นเป็นบาร์ที่ผมแวะเวียนไปเป็นบางครั้งเมื่อมีโอกาส แต่ผมไม่ค่อยไปสถานที่แบบนั้นคนเดียวหรอกนะ ครั้งล่าสุดที่ผมไป ผมก็ไปกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม

ผมหน้าซีดลงทันที เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเขาพยายามจะพูดอะไร

“คุณไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ” อ๊ะ แย่ล่ะ หลุดคำว่า ‘เหมือนกัน’ ไปจนได้…

“ก็แวะเวียนไปบ้างครับ เท่าที่โอกาสอำนวย” เขายกยิ้มพราย เป็นยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกอยากคว่ำโต๊ะนี่ใส่หน้าเขา “คุณเองก็เหมือนกันเหรอ?”

ถ้าพวกคุณยังนึกไม่ออกนะว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่… ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน

ไรท์แทรคที่ว่านั่นเป็นบาร์เกย์

“ผมแค่ไปกับเพื่อนเท่านั้น” ผมเบือนหน้าหนีออกไปมองนอกหน้าต่าง ยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม

“แต่คุณก็มีรสนิยมทางนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ”

ผมไม่ตอบ แต่รู้ดีว่านั่นเป็นคำตอบที่ชัดเจนยิ่งกว่าพูดออกมาตรง ๆ เสียอีก

“ผู้ชายคนที่อยู่กับคุณน่ะ เขาเป็นแฟนคุณเหรอ หรือว่าคู่นอน?”

“เปล่า เขาเป็นเพื่อนผม เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน” ผมว่า รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เริ่มฝืดคอขึ้นมา

ไม่ใช่ว่าผมอับอายกับรสนิยมทางเพศของตัวเองอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ ยิ่งกับคนประเภทเดียวกันด้วย (อ้าว ก็หมอนี่ไปบาร์เกย์มา ก็ต้องแปลว่ามันเป็นด้วยน่ะสิ) แต่ผมรู้สึก… รู้สึกเหมือนกำลังโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว ไซม่อนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของผมมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้ผมอึดอัด

“เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแผนกสืบสวนนี่ ใช่ไหมครับ”

ทำไมหมอนี่มันรู้ดีจังวะ… ถึงจะบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอซึ่งเป็นสายงานใกล้เคียงกันก็เถอะ

“แปลกนะครับ” เขาถามต่อราวกับไม่รับรู้สีหน้าไม่พอใจของผม ผมรู้ว่าเขารู้ เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น “ผมนึกว่าคุณไม่ชอบพวกตำรวจเสียอีก ดูจากที่ปฏิกิรยาตอนเราเจอกันครั้งแรก”

“อ้อ แน่นอน ผมไม่ชอบพวกตำรวจหรอก” ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “พวกนั้นชอบเร่งฝ่ายผมให้ทำงานเร็ว ๆ จะเอาผลตรวจนั่นนี่อยู่นั่นแหละ อย่างกับเราเป็นหมอนั่งทางใน เห็นศพปุ๊บจะรู้ทุกอย่างเลย ขั้นตอนพวกนี้มันก็ใช้เวลาไม่น้อยนะคุณ แต่ตำรวจบางคนก็ไม่เข้าใจ”

“ผมนึกออกครับ” ไซม่อนว่า ดันจานที่มีมันฝั่งกับหัวหอมทอดมาให้ ผมเลยหยิบขึ้นมาจิ้มซอสแล้วเอาเข้าปาก “แต่ถึงคุณจะเกลียด คุณก็มีเพื่อนเป็นตำรวจนี่?”

“ก็นะ อย่างที่ผมบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ผมก็มีเพื่อนตำรวจคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกันนะ มันเหมือน… จะว่ายังไงดี ก็ตอนทำงาน เราก็เจอหน้ากันวนเวียนแถวนี้นี่ครับ ถึงจะมีไม่ถูกกันบ้าง แต่ก็หนีไปไหนไม่พ้น”

“นึกออกครับ”

“แต่ผมก็เลือกคบเฉพาะกับตำรวจดี ๆ เท่านั่นแหละ” ผมเริ่มจัดการอาหารในจานต่อ ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ดีกับการที่ได้รู้ว่าเขาเป็นเกย์และพยายามที่จะจีบผม “แต่คุณอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องได้ไหม กลับมาที่เรื่องที่คุณพูดก่อนหน้านี้ก่อน”

“ได้สิครับ”

ผมขมวดคิ้ว มองหน้ายิ้ม ๆ ของเขาอย่างไปต่อไม่ถูก

“ตกลงว่าคุณเข้าหาผม เพราะว่าผมได้หัวใจของพี่คุณมา ไม่ใช่เพราะผม... หรือเพราะรสนิยมทางเพศของผม ผมเข้าใจเรื่องนี้ถูกใช่ไหม”

ไซม่อนวางส้อมกับมีดลง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับเสมองไปอีกทาง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาแสดงท่าทีเหมือนไม่แน่ใจออกมาแบบนี้

“อ่า”

“คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์” ผมหรี่ตาลง

“แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ” เขาหันมาสบตาผมตรง ๆ อีกครั้ง ไม่มีร่องรอยล้อเล่นอยู่ในคำพูดนั้น ผมรู้สึกเหมือนนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นเริ่มดูดกลืนผมเข้าไปอีกครั้ง “คุณจะว่ายังไง”

ผมนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามนั้น

ผมไม่ได้ออกมากินข้าวกับเขาเพราะอยากได้ยินอะไรแบบนี้






-------------------------------------
Talk: อื้อหือ... แบบนี้ก็ได้เหรอคะ #ไซคนด้าน เจอกันไม่กี่ทีก็บุกแบบนี้ก็ได้เหรอคะ 5555555 ไม่เป็นไรค่ะ เรา #ทีมไซม่อน อยู่แล้ว (ฮา) ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านกันน้า อ่านแล้วก็ช่วยเม้นท์กันเป็นกำลังใจหน่อยนนะคะ ^^ รักทุกคนเลย~ //ส่งจูบ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-05-2017 19:30:43
อะไรทำให้คุณหมอกลายเป็นคนเกลียดกลัวการสัมผัสกับคนอื่นหนอ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 11-05-2017 23:11:49
เนื้อเรื่องสนุก น่าติดตามดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 13-05-2017 23:26:19
แหมมม คุณไซม่อนน แค่ 2 ตอน
แต่ทำออสตินอึดอัดกี่รอบแล้วเนี่ยย
55555 ชอบค่าาา ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 14-05-2017 18:19:57

บทที่ 3



เสียงแอพพลิเคชั่นของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนดังขึ้น ผมละหน้าออกจากหน้าจอที่พิมพ์งานค้างไว้ เลื่อนมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาดู อ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาแล้วผมถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มันมาจากไคล์ ไทเลอร์… เพื่อนสนิทของผมที่ห่างหายไปนาน เหมือนว่าช่วงนี้เจ้าตัวจะเจอมรสุมงานขั้นหนัก ผมส่งข้อความไปหาเขาเพื่อทักทายบ้าง แต่อีกฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาตอบกลับเท่าไหร่ หรือต่อให้ตอบก็เป็นคำตอบสั้น ๆ ซึ่งนั่นก็ชัดเจนพอแล้วว่าเจ้าตัวกำลังยุ่งกับคดีของตัวเอง

ผมไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับโน้ตบุ๊คที่ใช้เขียนงานอยู่ตอนนี้เพราะมันจะทำให้เสียสมาธิ เพราะงั้นถ้ามีใครส่งข้อความหรือพยายามติดต่อผมผ่านทางช่องทางออนไลน์ โทรศัพท์จะเป็นแค่อย่างเดียวที่รับข้อมูลนั้นได้

ผมขยับแว่นที่อยู่บนหน้าเล็กน้อย มันเป็นแว่นกรองแสงที่ผมใช้เวลาต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก้มลงอ่านข้อความนั้นแล้วตอบเขา ปกติถ้าเป็นตอนที่ผมยังทำงานอยู่ ผมคงตอบเขาไม่ได้รวดเร็วขนาดนี้หรอก แต่จริง ๆ เขาก็ไม่เคยส่งข้อความมาหาผมเวลาทำงานเลยน่ะนะ เราค่อนข้างเคารพซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้ผมเป็นแค่อดีตหมอชันสูตรศพ… เป็นหมอที่ถูกพักงานอยู่ จะเรียกอะไรก็ช่าง เอาเป็นว่าไคล์เองก็รู้เรื่องนี้ดีเหมือนกัน

ผมเริ่มกดหน้าจอเพื่อพิมพ์ตอบเขา



Kiel Tyler: ออสติน นายอยู่ไหม

Austin Gardner: อยู่ มีอะไรรึเปล่า

Kiel Tyler: นายจะว่างช่วงสิ้นเดือนนี้ไหม



ผมอมยิ้มออกมานิดหนึ่ง สงสัยเพื่อนผมคนนี้จะเริ่มหาเวลาว่างพอจะมากินข้าวกันได้แล้ว ไคล์ ไทเลอร์เป็นตำรวจแผนกสืบสวนคดีฆาตกรรมอยู่ประจำเขตพื้นที่ที่ห่างออกไปจากที่ผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ หมอนี่เป็นคนทื่อ ๆ ครับ แล้วก็ไม่ชอบการใช้เทคโนโลยีพวกสมาร์ทโฟนพวกนี้ในการสื่อสารเท่าไร เพราะงั้นเวลาคุยกันในหน้าจอกับไคล์ ทุกอย่างจะห้วนและสั้นไปหมด บทสนทนาระหว่างผมกับเขาในช่องแชทนี้แทบจะเป็นแพทเทิร์นเดียวกันหมด

ว่างไหม ออกมากินข้าวกันไหม อาทิตย์หน้าเป็นไง เจอกันร้านไหน

อะไรแบบนั้นแหละครับ



Austin Gardner: ว่างตลอดทุกวันนั่นแหละ ร้านไหนดีล่ะรอบนี้

Kiel Tyler: เอ่อ รอบนี้ฉันไม่ได้มาชวนกินข้าวน่ะ



คำตอบนั้นทำให้ผมต้องเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างแปลกใจ คือนอกจากเจอเพื่อนัดกินข้าวแล้ว ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าไคล์จะติดต่อมาทำไม

ช่วงที่ผมยังทำงาน เขาก็ติดต่อมาขอให้ผมไปช่วยงานฝั่งนั้นบ้างตอนที่ยุ่ง ๆ แล้วคนไม่พอ แต่ตอนนี้ร่างกายผมไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไคล์เองก็รู้ดีและไม่เคยขอร้องให้ผมช่วยงานเลยหลังจากที่ทรุดตัวลงตอนนั้น เอ… หรือว่าจะมีงานอะไรเร่งด่วนจริง ๆ ถึงอยากให้ผมไปช่วย

ผมก้มลงไปพิมพ์ต่อ เห็นข้อความขึ้นมาเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ต่อมาอยู่ แต่เรื่องความเร็วในการพิมพ์น่ะ ไคล์สู้ผมไม่ได้หรอก หมอนั่นพิมพ์เร็วกว่าหอยทากเดินนิดเดียวเอง



Austin Gardner: ทำไม? มีเรื่องอะไรเหรอ? หรืออยากให้ช่วยชันสูตรศพ?

Kiel Tyler: ฉันอยากให้นายมาเป็นพยานขึ้นให้การในศาลให้ฉันหน่อย



เปรียบความรู้สึกของผมตอนนี้ เหมือนคนที่เดินอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็ตกลงไปหลุมพรวดเพราะกับดักที่ถูกใบไม้แห้งปิดเอาไว้เลยทำให้มองไม่เห็น คือมันงงไปหมด คุณพอนึกออกไหม เหมือนคุณมีเพื่อนคนหนึ่งที่คอยติดต่อกันตลอดเพื่อนัดทานข้าวกันเป็นประจำ วันดีคืนดีเพื่อนคนนั้นของคุณก็ติดต่อมาแล้วก็บอก ‘เฮ้ ช่วยเป็นพยานในศาลให้หน่อย’ เป็นคุณจะไม่ตกใจเหรอ



Austin Gardner: อะไรนะ!? เกิดอะไรขึ้น ไคล์

Kiel Tyler: นายจำคดีของฆาตกรตัวเลขเมื่อปีก่อนนู้นได้รึเปล่า



ผมจำฉายาของฆาตกรคนนี้ได้ทันที มันเป็นคดีที่เขย่าขวัญชาวเมืองไม่น้อยในช่วงเวลาที่ฆาตกรคนนี้ออกอาละวาด สิ่งที่มันทำกับเหยื่อก็คือจัดการให้เหยื่ออ่อนแรงจนไม่สามารถขัดขืนได้ จากนั้นก็ขืนใจแล้วก็ฆ่าทิ้งด้วยปืน ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ไอ้ฆาตกรคนนี้ไม่เลือกเพศเลย จะผู้หญิงหรือผู้ชาย

ใช่แล้ว… ผมจำได้แม่นเลยว่าคดีนั้นมันฆ่าไปทั้งหมด 6 ศพ เป็นผู้ชายสองคนแล้วก็ผู้หญิงสี่คน ทุกคนล้วนมีเส้นผมสีบลอนด์ทองกันหมด ส่วนที่มันมีฉายาว่าฆาตกรตัวเลขก็เพราะฆาตกรรายนี้ชอบเขียนตัวเลขแปลก ๆ เหมือนเป็นรหัสไว้ตามตัวของศพ ไอ้พวกสัญลักลักษณ์แบบนี้ ทางการสืบสวนจะเรียกว่าลายเซ็นของฆาตกร กล่าวคือพวกมันจะทิ้งร่องรอยแบบนั้นไว้เพื่อแสดงตัวว่า… มันนี่แหละที่เป็นคนจัดการกับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น

ฟังดูโรคจิตใช่ไหมคครับ? แต่ในเชิงจิตวิทยาแล้ว การทำลายเซ็นไว้แบบนั้นเป็นการแสดงให้โลกได้รับรู้ว่ามันนี่แหละที่เป็นคนทำ มันนี่แหละคือผู้ชนะ ลายเซ็นพวกนี้มักจะเป็นการท้าทายพวกตำรวจและทีมสืบสวนเสมอ ฆาตกรพวกนี้มักจะหยิ่งผยองและภูมิใจที่มันสามารถแสดงออกได้ว่ามันเป็นคนฆ่า แต่ตำรวจก็หาตัวมันไม่พบ วิปริตชะมัด

เหตุผลที่ผมจำคดีนี้ได้ก็เพราะ ผมเคยถูกดึงตัวไปช่วยงานชันสูตรศพอยู่ครั้งสองครั้ง ศพที่ผมได้ตรวจสอบเป็นศพของผู้หญิง ผมบอกได้เลยจากการวิเคราะห์ว่าฆาตกรน่ะเป็นพวกโรคจิตชอบใช้ความรุนแรง อวัยวะเพศของร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นเสียหายอย่างหนัก… ผมจะไม่ลงลึกรายละเอียดมากนักแล้วกัน แต่เอาเป็นว่านอกจากมันจะข่มขืนเหยื่อด้วยแล้ว มันยังใช้วัตถุแปลกปลอมในการละเลงฉากฆาตกรรมของมันด้วย

คิดถึงตรงนี้… ผมก็เผลอยกมือขึ้นมาจับแขนลวก ๆ ราวกับต้องการโอบกอดตัวเอง

ผมเคยรับมือได้ดีกับงานที่ตัวเองทำมากกว่านี้ ผมเคยเป็นคนที่ลบอารมณ์ทั้งหมดได้เมื่ออยู่ในหน้าที่การงาน ไม่มีความรู้สึกสงสาร ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความรู้สึกสังเวชกับศพ เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนอย่างพวกเราทำงานต่อไปได้ แต่ผมเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาแล้วเมื่อไม่นานก่อนช่วงที่ผมจะพักงานจริง ๆ ผมเริ่มจินตนาการไปแล้วว่าเหยื่อพวกนั้นอ้อนวอนฆาตกรยังไงตอนที่มันกำลังข่มขืนพวกเขา และพวกเขาต้องทรมานขนาดไหนก่อนที่ฆาตกรจะลงมือยุติความเลวร้ายเหล่านั้น...

เอาล่ะ… ผมต้องหยุดคิด ผมต้องหยุดคิดเดี๋ยวนี้ก่อนที่ตัวเองจะเป็นบ้าไป ตอนนี้ผมไม่ได้แม้แต่กำลังทำงานอยู่ด้วยซ้ำ



Kiel Tyler: 6 ศพ ผมบลอนด์ ทั้ง ช. ญ.



เขาบอกรายละเอียดคร่าว ๆ ของคดีนั้นมาเพราะกลัวว่าผมจะไม่รู้ ซึ่งนั่นไม่จำเป็นเลย



Austin Gardner: จำได้

Austin Gardner: แล้วมันทำไมเหรอ? ก็นายจัดการฆาตกรคนนั้นได้ไปแล้วนี่



ใช่แล้วครับ ไคล์เป็นคนที่จับฆาตกรตัวเลขได้ ไม่สิ… อย่าเรียกว่าจับเลย เรียกว่าเป็นคนฆ่าเลยดีกว่า เพราะตอนที่เขากำลังทำการเข้าจับกุม ผู้ต้องสงสัยคนนั้นขัดขืนคำสั่งที่ว่าไม่ให้ขยับตัวของเขา และเนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ไคล์ที่บุกไปจับคนร้ายเห็นอีกฝ่ายขยับตัวเอื้อมมือไปจะหยิบปืน เขาก็เลยยิงผู้ชายคนนั้น ฆาตกรคนนั้นไม่ได้ตายในทันทีหรอก แต่ก็สิ้นใจก่อนถึงโรงพยาบาลอยู่ดี แต่ยังไงก็แล้วแต่ หลังจากวันนั้นเมืองก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ฆาตกรตัวเลขตายไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมอยู่ ๆ ไคล์จะต้องไปขึ้นศาลที่เกี่ยวกับคดีนี้ด้วย มันจบมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว



Kiel Tyler: ฉันโดนฟ้องว่าฆ่าผิดคน

Austin Gardner: ว่าไงนะ!!?



ผมอ้าปากค้าง แต่ด้วยสัญชาติญาณก็ยังพิมพ์ตอบไปต่ออยู่ดี



Austin Gardner: งี่เง่าชะมัด!! คนพวกนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่นทำกันแล้วรึไงวะ!?

Kiel Tyler: คนฟ้องเป็นภรรยา…. ไม่สิ เคยเป็นภรรยาของฆาตกรมาก่อน

Kiel Tyler: หล่อนบอกว่าฉันจัดการผิดคน

Austin Gardner: หลังจากที่ผ่านไปเป็นปี ๆ แล้วเนี่ยนะ? ไม่งี่เง่าไปหน่อยรึไง

Austin Gardner: หล่อนต้องอยากได้เงินชดเชยจากเรื่องนี้แน่ ๆ

Kiel Tyler: นายมาเป็นพยานให้ฉันได้ไหม ออสติน

Kiel Tyler: นายเคยชันสูตรศพเหยื่อรายหนึ่งตอนนั้น แล้วก็ได้ร่วมตอนที่ชันสูตรศพของฆาตกรตัวเลขด้วยไม่ใช่เหรอ

Austin Gardner: ก็ใช่อยู่หรอก ถึงจะไม่ได้อยู่ทั้งงานก็เถอะ

Austin Gardner: ฉันขึ้นให้ปากคำได้ ไคล์ นายใส่ชื่อฉันไปได้เลย

Kiel Tyler: เดี๋ยวอัยการของฉันคงจะติดต่อนายแบบเป็นทางการไปอีกที อันนี้ฉันมาเกริ่นไว้ก่อน

Austin Gardner: ฉันก็ต้องช่วยนายอยู่แล้ว แต่ให้ตายเถอะ คนฟ้องนายนี่… จริง ๆ เลย

Kiel Tyler: เรื่องค่าเดินทาง ค่าที่พักอะไร ทางนี้คงจ่ายให้นาย ยังไงก็รบกวนด้วยนะ

Austin Gardner: พูดอะไรแบบนั้น ฉันเป็นเพื่อนนายนะ

Kiel Tyler: เถอะน่า ยังไงก็เป็นเงินของรัฐอยู่แล้ว นายเก็บใบเสร็จมาเบิกแล้วกัน

Kiel Tyler: ขอบคุณมากจริง ๆ นะ ออสติน

Austin Gardner: ฉันว่าเราน่าจะนัดเจอกันเพื่อคุยเรื่องนี้กันก่อนสักครั้งสองครั้งนะ

Kiel Tyler: ไว้จะพยายามหาเวลา รายละเอียดต่าง ๆ ทนายฉันจะส่งไปให้

Kiel Tyler: ต้องไปทำงานแล้ว ไว้คุยกัน

Austin Gardner: โอเค พยายามเข้านะ



ผมจ้องมือถือของตัวเองเนิ่นนานแม้ว่าหน้าจอจะดับมืดไปเรียบร้อยแล้ว ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องที่เพิ่งคุยกับไคล์มา ปกติแล้วหมอนี่ไม่ค่อยขอร้องผมหรือใคร ๆ ให้ช่วยทำอะไรเท่าไรหรอก นอกจากจะเกินตัวจริง ๆ และนั่นทำให้ผมสงสัยว่าเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังอยู่ในที่นั่งลำบากขนาดไหน

ผมกดเปิดรูปพักหน้าจอของโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา อีกครึ่งชั่วโมงไซม่อนก็จะมาแล้ว หมอนี่นัดผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืนว่าจะมาวันนี้ ผมบอกเขาว่าจะเข้าครัวทำกับข้าวเลี้ยง ตอบแทนที่เขาเลี้ยงผมเมื่อตอนไปกินข้าวด้วยกันคราวก่อน ผมเดินเข้าครัวไปจัดแจงหยิบวัตถุดิบออกมาเตรียม และเมื่อเริ่มลงมือไปได้พักหนึ่งเสียงกดออดหน้าประตูก็ดังขึ้น ผมละมือจากทุกอย่างแล้วเดินไปเปิด ใบหน้าคมสันซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มหวานเป็นสิ่งแรกที่ผมได้เห็นเป็นอย่างแรก

“สวัสดีครับ” ไซม่อนเอ่ยทัก เขาอยู่ในชุดลำลองที่ดูดีกว่าปกติเล็กน้อย ใบหน้าก็ไม่ได้ดูอ่อนล้าเหมือนอดนอนมาทั้งคืน ตรงกันข้าม มันดูสว่างสดใสเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ

“อือ เข้ามาก่อนสิ”

ผมเดินเข้าข้างในก่อนเพื่อให้แขกเดินตามมา จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อจัดการเตรียมอาหารที่ทำค้างไว้อยู่ต่อ ไซม่อนเดินตามเข้ามาพร้อมกับเริ่มยื่นหน้ามาที่เตาเพื่อดูว่าผมทำอะไร ผมหันกลับไปมองเจ้าตัวเบื่อ ๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สลด ยิ้มรับหน้าตาเฉยอยู่นั่น ทำไมหมอนี่ถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ

“นี่ คุณ” ผมว่า “จะเข้ามาทำไมเนี่ย ไปรอข้างนอกสิครับ ใกล้เสร็จแล้วผมจะบอก”

“คุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”

ผมถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่มีครับ ผมไม่ชอบอยู่ใกล้คน เพราะงั้นตอนนี้ออกไปได้แล้ว”

“แต่ผมอยากอยู่ใกล้คุณนี่”

ผมถลึงตากับคำพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ นั่นของเขา แต่หมอนี่ไม่สะเทือนอะไเรเลยสักนิด แถมยังส่งยิ้มหวานที่คงทำให้ผู้หญิงเกือบทุกคนละลายไปกองกับพื้น แต่เสียใจเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะ ถึงจะแอบสะดุดกึกไปนิดหน่อยก็ตาม

‘แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ’

คำพูดที่ไซม่อนพูดไว้เมื่อคราวก่อนตอนออกไปกินข้าวด้วยกันลอยเข้ามาในหัว ในตอนนั้น… ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองตอบอะไรออกไป แต่คิดว่าไม่ได้พูดอะไรตอบเลย ก็ผมไม่ได้คิดกับเขาในแง่นั้นนี่ แล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรักใหม่อีกครั้งด้วย อดีตที่ผ่านมามันย้ำเตือนอยู่ในใจ ฝังรากลึกอยู่ในนั้นจนทำให้ผมเข็ดหลาบ

อีกอย่าง… ผมเพิ่งจะเจอกับเขาได้ไม่นานเท่านั้น แต่การที่เจ้าตัวรุกเข้ามาดื้อ ๆ แบบนั้นมันอะไรกัน นิสัยแบบนี้มันน่าสงสัยแล้วก็ไม่น่าไว้ใจสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ ถึงเขาจะดูจริงใจตอนที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก็เถอะ… แต่นี่ยังไม่นับเรื่องที่ผมเป็นโรคโดนตัวผู้คนไม่ได้อยู่อีกนะ คือแค่โดนนิดเดียวก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านวูบวาบชวนให้เจ็บแปลบไปหมดแล้ว แล้วผมจะมีความรักกับใครที่ไหนได้ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ?

“นะครับ ให้ผมช่วยคุณเถอะ คุณก็ไม่ค่อยสบาย ร่างกายไม่แข็งแรง ให้ผมปล่อยคุณทำกับข้าวอยู่ในครัวคนเดียวแล้วตัวเองไปนั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวีงี้… ผมคงรู้สึกแย่มากแน่ ให้ผมช่วยเถอะครับ อะไรง่าย ๆ ก็ได้”

“โอเค ๆ เข้าใจแล้ว” ผมตัดบทจากนั้นจึงเริ่มสั่งงานเขาให้มาเป็นลูกมือให้ผม

เริ่มลงมือกันไปได้ครู่หนึ่ง ไซม่อนก็เริ่มเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเชื่อมต่อบลูทูธกับสปีคเกอร์ของผมแล้วเปิดเพลงคลอ

ผมเหลือบมองใบหน้าคมที่ฮัมเพลงตามอย่างอารมณ์ดี เขาช่างเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมีสีสันขึ้นมาจริง ๆ

จะว่าไป… ไอ้บรรยากาศที่เหมือนมีสีสันแบบนี้… ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้นในบ้านของผมนี่ มันผ่านมานานเท่าไรแล้วนะ

“หืม?” ไซม่อนหันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ผมเพราะรู้สึกตัวว่าโดนจ้องมากเกินไป ผมรีบเบือนหน้าหนีทันที

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ในขณะที่หมอนี่ดูเป็นคนสร้างสีสัน แล้วทำไมตัวผมถึงได้ดูมืดมนแบบนี้น้อ…

เพลงของศิลปินที่ผมคุ้นหูอยู่คนหนึ่งดังลอยมาให้ได้ยิน ผมก้มลงมองมือที่กำลังหั่นผักอยู่ตรงหน้านิ่ง มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างเก่า แต่ก็ยังพอได้ยินอยู่เรื่อย ๆ เพราะค่อนข้างดัง

ผมได้ยินเสียงจังหวะของกลองที่สอดประสานกับเบสในเพลงนั้น ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตามจังหวะนั้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ราวกับว่าพื้นที่โดยรอบที่เคยสว่างไสวค่อย ๆ ถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในความมืด เหมือนกับสายตาเริ่มไม่สามารถจับโฟกัสอยู่ที่อะไรรอบตัวได้

ตึก… ตึก… ตึก….

ผมว่าผมคงต้องขอให้เขาเปลี่ยนเพลงได้แล้ว

“ออสติน”

ผมสะดุ้งเฮือกจนแทบจะกระโดดลอยจากพื้นเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาประชิดตัว มือหนาเลื่อนมาคว้าข้อมือที่ถือมีดของผมไว้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ สัมผัสจากมือของเขาทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่าน จากนั้นก็เป็นความรู้สึกแปลบ ๆ เหมือนมีไฟฟ้ามาช็อต

แต่ผมก็ยังปล่อยให้เขายึดแขนผมไว้แบบนั้น พวกเราสองคนจ้องตากันนิ่งราวกับจะพยายามล้วงลึกเข้าไปในจิตใจอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

ไซม่อนค่อย ๆ ผละมือออก

“ระวังหน่อยสิครับ คุณ… มันอันตรายนะ เกิดไปโดนคุณเข้าแล้วเป็นแผลขึ้นมาจะทำยังไง”

“ก็…  ก็คุณมาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ผมงึมงำตอบ มือที่กำด้ามมีดอยู่เริ่มชื้นเพราะเหงื่อ นี่ผมกำลังกลัวหรือว่ากำลังตื่นเต้นกันแน่? ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้เหมือนกัน

ไซม่อนจ้องหน้าผม สายตาของเขามองลึกลงมาอีกแล้ว ผมไม่ชอบให้เขามองแบบนี้… มันเหมือนผมกำลังเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าเขากำลังชอนไชเข้ามาในส่วนลึกที่สุดของตัวผมได้มากกว่าที่ผมเองจะทำได้จริง ๆ เสียอีก

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย… เขาบอกว่าเขาชอบผม

แล้วทำไมเขาถึงชอบผมล่ะ? ในเมื่อแม้แต่ตัวผมเองยังไม่ชอบตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“เมื่อกี้คุณหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมเลยนะ คุณหมอ”

“เอ่อ” ผมขยับตัว วางมีดลงบนเขียง เพลงที่เล่นผ่านสปีคเกอร์เปลี่ยนไปแล้ว และมันเป็นเพลงใหม่ของศิลปินที่ผมไม่รู้จัก ท่วงทำนองค่อนข้างสดใส ออกจะหลุดโลกนิดหน่อย แต่ยังไงมันก็ดีกว่าเพลงเมื่อกี้ สำหรับผมน่ะนะ

“คุณเหนื่อยหรือเปล่า ไปพักก่อนไหม”

“ไม่… ผมไม่เป็นไร”

“คุณไข้ขึ้นหรือเปล่า หรือว่ารู้สึกหน้ามืดบ้างไหม?” เขาว่า เลื่อนหลังมือมาทาบหน้าผากผม

ผมควรจะปัดมือเขาออกไป ควรจะถอยหนีจนหลังไปติดข้างฝา แต่ผมก็ทำเพียงแค่หลับตาแน่นปี๋แล้วปล่อยให้สัมผัสนั้นแตะลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา

รู้สึกวูบวาบไปหมด… รู้สึกมวนในช่องท้องด้วย

อยากจะปัดมันออก… อย่ามาโดนตัวกันได้ไหม…

“นี่ ออสติน” ไซม่อนว่า มือผละออกจากหน้าผากผมไปแล้ว ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้านั้นอยู่ห่างผมออกไปไม่ไกล มันใกล้มากจนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจของเขา ผมรู้สึกหัวหมุนไปหมดแล้ว

“อะ… อะไรครับ”

“ขอผมสัมผัสหน่อยได้ไหม” เขาว่า หลุบตาต่ำลงบนอกข้างซ้ายของผม “หัวใจของคุณน่ะ”

ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายผมเต้นตุบตับรัวขึ้น

หัวใจที่อยู่ในนั้น… หัวใจที่เคยเป็นของพี่ชายเขา…

“แต่.. แต่…” ผมอึกอัก

“แค่นิดเดียวจริง ๆ” เขาว่า นัยน์ตาสีฟ้ามุ่งมั้นจนผมอยากจะกรีดร้อง ก็รู้ ๆ อยู่ว่าไม่ชอบให้มาโดนตัว! ยังจะมีหน้ามาขออะไรแบบนั้นอีก!

แต่… อีกส่วนหนึ่งในใจผมก็เข้าใจดี เข้าใจตัวเขาที่สูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักไป และตอนนี้ส่วนหนึ่งของคน ๆ นั้นก็อยู่ในตัวผม เขาคงอยากจะรับรู้ถึงมัน…

“กะ… ก็ได้” รู้ตัวอีกที ผมก็หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นแล้ว “ก็ได้ครับ”

มือหนาค่อย ๆ เลื่อนมาแตะลงบนอกข้างซ้ายผมอย่างแผ่วเบา ผมอยากจะหลับตาแล้วกล้ำกลืนความรู้สึกที่ตัวเองแสนจะรังเกียจนี้ลงไป แต่ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่คมคู่นั้นกำลังดูดกลืนผมเข้าไปอีกแล้ว ผมแทบลืมหายใจตอนที่เห็นมันมองอยู่ที่แผ่นอกของผมโดยไม่ขยับไปไหน

ผมอ่านเขาไม่ออกเลย เขากำลังโหยหาถึงบุคคลที่เคยเป็นเจ้าของหัวใจนี้มาก่อนรึเปล่านะ? หรือว่ากำลังคิดอะไร... แล้วเขานึกเสียใจรึเปล่า ที่คนที่กำลังใช้หัวใจนี่อยู่ไม่ใช่พี่ชายของเขา แต่เป็นตัวผม… ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้

เขาค่อย ๆ ช้อนสายตาขึ้นมา ผมกลั้นใจ รู้สึกเหมือนลมหายใจจะขาดอยู่รอน ๆ อย่างบอกไม่ถูก เขายกมือขึ้นมานิด ทำท่าเหมือนจะแตะตัวผมอีกแล้ว ผมหลับตาแน่น สะดุ้งด้วยความตกใจ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ละมือไปจากผมอย่างอ้อยอิ่งเท่านั้น จากนั้นก็คลี่ยิ้ม… เป็นยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยอีกแล้ว ผมเคยเห็นแววตาแบบนั้นมาจากคนมากมาย คนที่เป็นญาติของผู้เสียชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อในอุบัติเหตุหรือคดีต่าง ๆ คนที่ถูกพรากคนที่ตัวเองรักไปอย่างกะทันหัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนพวกเขาตั้งตัวรับไม่ทัน

ใช่แล้ว… ผมรู้จักสีหน้าแววตาแบบนี้ดี

“ขอบคุณครับ ออสติน” เขาพูดยิ้ม ๆ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววจริงใจเฉกเช่นเคย “มันมีความหมายกับผมมากจริง ๆ”

...นี่ผมแค่คิดไปเองคนเดียว

หรือว่าหมอนี่เป็นผู้ชายที่รับมือด้วยยากจริง ๆ กันนะ?





---------------------------------------------
Talk: ไซม่อน... นายหลอกจับนมออสตินหราาา? 55555555 ด้านว่ะนาย แต่เราก็รักนายนะ (ฮา) แล้วเจอกันตอนต่อไปนะคะ~ ใครเล่นทวิตเจอกัน #ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 3) P.1 [14/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 16-05-2017 05:29:57
ไซม่อน กับแบรด จริง ๆ แล้วไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ ใช่ไหม เขามีอะไรพิเศษต่อกันใช่ไหม

ทำไม ไซม่อนแลดูโหยหาหัวใจแบรดแปลก ๆ ยังไงกันแน่ ??
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 3) P.1 [14/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-05-2017 18:53:36

บทที่ 4



“นี่ครับ” ไซม่อนพูดพร้อมกับยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งมาให้ผมบนโต๊ะอาหาร ผมจัดการกับผัดผักและปลาเผาไปจนจะหมดแล้ว แถมคนตรงหน้าผมยังเอาไก่ทอดกับน้ำผลไม้มาเสริมบนโต๊ะด้วยนะ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะไอ้หมอนี่กินจุชิบเป๋ง ส่วนเรื่องน้ำผลไม้… เจ้าตัวคงรู้แหละว่าผมงดแอลกอฮอล์ทุกชนิดเพราะร่างกายพัง ๆ ของตัวเองนี่ คิด ๆ ไปแล้วก็อนาถตัวเอง บางทีผมก็อยากดื่มด่ำกับไวน์รสเลิศหรือเบียร์เย็นเฉียบบ้างนะ แต่ต้องมาคอยระวังทุกอย่างแบบนี้… แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่ควรบ่นสินะ แค่ได้หัวใจมาใส่ร่างให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“อะไรเหรอครับ” ผมถามกลับ ยกรูปใบนั้นขึ้นมาดูแล้วก็รู้คำตอบได้เลยโดยไม่ต้องรอฟัง

มีคนสามคนอยู่ในรูปถ่ายใบนั้น ชายหญิงคู่หนึ่งกับเด็กชายตัวจ้อยที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งก็คงเป็นลูกของทั้งสองคนนั่นเพราะความคล้ายคลึงที่เห็นได้ชัดเจน พวกเขาอยู่ในชุดลำลองดูดีและถ่ายกับวิวของสถานที่ท่องเที่ยวด้านหลัง นี่คงจะเป็นรูปที่ได้จากการไปเยี่ยมเยียนที่นั่นมา

หญิงสาวที่อยู่ซ้ายมือเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่ง เส้นผมสีน้ำตาลแดงของหล่อนคลอไปกับใบหน้าไข่ได้รูป ผู้ชายด้านขวา…. แวบแรกที่ผมเห็นนึกว่าเป็นไซม่อนในแบบที่โตแล้วสักสามปี แล้วผมก็ตระหนักได้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้คือพี่ชายของเขา

แบรด แมคแนร์… เจ้าของหัวใจที่ผมได้มา

ผมรู้สึกสลดลงเมื่อเหลือบมองคนที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสองคน ทั้งภรรยาแล้วก็ลูกของเขาจะใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างไร พวกเขาคงจะรู้สึกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียหัวหน้าครอบครัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ แล้วลูกของพวกเขาก็เพิ่งจะตัวแค่นี้เอง…

“นั่นครอบครัวของแบรดครับ” ไซม่อนบอกผม ซึ่งก็ไม่จำเป็นเลย เพราะแค่เห็นรูปผมก็รู้อยู่แล้ว “ส่วนนี่แองจี้… พี่สะใภ้ผม ส่วนเด็กคนนี้ชื่อแดน ตอนนี้แกอายุ 7 ขวบแล้ว”

“อ่า” ผมกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกอารมณ์ในตัวปั่นป่วน ผมส่งรูปนั้นคืนให้เขาเพราะทนดูไม่ไหว แต่ไซม่อนส่ายหัว

“เก็บไว้เถอะครับ ผมอัดรูปนั้นมาให้คุณ”

ผมไม่อยากเก็บ… แต่ก็เข้าใจดีว่าไซม่อนคงอยากให้ผมคอยระลึกถึงพี่ชายของเขา… และบุคคลที่ต้องสูญเสียเขาไป

ผมยกมันขึ้นมาดูอีกรอบอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าคนทั้งหมดภายในรูปนั้นดีมีความสุขเพียงใด ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้น ทำไมกันนะ ครอบครัวที่เขาอยู่กันอย่างสงบสุขถึงต้องมาพังทลายลง

“คุณบอกผมว่า… จับตัวคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายคุณได้แล้ว”

“ใช่ครับ”

“เขา… ฆ่าพี่ชายคุณยังไงครับ”

ไซม่อนนิ่งไป นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ “ปืนครับ ระยะเผาขน”

“อ่า…”

“พี่ชายผมไปกดเอทีเอ็มก่อนกลับบ้าน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับยกน้ำพันช์ขึ้นดื่ม “แล้วที่ตรงนั้นค่อนข้างเปลี่ยวคน”

“พี่ชายคุณทำงานอะไร” ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการถลำลึกเข้าไปพัวพันกับเจ้าของหัวใจคนก่อนจะยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ

“บริษัทมาร์เก็ตติ้งน่ะครับ แล้วแบรดเลิกงานค่อนข้างดึก”

 “อ่า” ผมพยักหน้ารับ ก้มหน้าลงไปมองเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้วตัวเอง การเลิกงานดึกเป็นอะไรที่ไม่ดีเสมอนั่นแหละ

“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณรู้สึกแย่กับเรื่องนี้นะครับ” คนตรงหน้าผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ดีเสมอว่าจังหวะไหนควรรุก จังหวะไหนควรผ่อน “แต่ก็แค่คิดว่า ยังไงคุณก็ได้หัวใจของเขาไป บางที… คุณอาจจะอยากรู้เรื่องเขาบ้าง”

“คนร้ายที่คุณจับได้น่ะ” ผมถามต่ออย่างหวั่นเกรง… ผมรู้ดีว่าในประเทศนี้ ต่อให้มีการจับตัวคนร้ายได้ ตัวให้คสบคุมตัวได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเอาตัวของผู้ร้ายคนนั้นเข้าตารางหรือรับโทษอย่างสาสมจริง ๆ “เขา… ขึ้นศาลหรือยังครับ”

“แน่นอนครับ ศาลตัดสินโทษประหารชีวิตให้เขา”

คำตอบนั้นทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าได้ความยุติธรรม

“แล้วตอนนี้… ลูกของเขา ผมหมายถึงแดนน่ะครับ แกอยู่กับพี่สะใภ้คุณเหรอ”

“ครับ” ไซม่อนยกยิ้มเศร้า ๆ “ยังดีที่แกมีแม่เหลืออยู่ แต่ผมก็พยายามไปเยี่ยมแกแล้วก็แองจี้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นั้นแหละ ไม่อยากให้ทั้งคู่จมกับความเศร้ามากเกินไป”

“ดีครับ” ผมพยักหน้า “คุณต้องทำให้ทั้งสองคนร่าเริงขึ้นมาแน่ คุณเก่งเรื่องนั้น”

ไซม่อนชะงักกับคำชมตรง ๆ ไปนิดหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงก่อนเจ้าตัวจะคลี่ยิ้มหวาน เป็นยิ้มที่เลยไปถึงตาของเขาเลย และผมว่าผมไม่ค่อยชอบรอยยิ้มนี้ของเขาเท่าไร มันทำให้ผมใจเต้นแปลก ๆ

“ขอบคุณครับ เป็นครั้งแรกเลยนะที่คุณชมผม”

“อ่า” ผมขยับตัวอย่างอึดอัด นึกขึ้นได้ว่าผู้ชายตรงหน้าเพิ่งจะสารภาพรักกับผมไปเมื่อไม่นานมานี้ การที่ผมยังยอมปล่อยให้เขามาป้วนเปี้ยน มาวนเวียนอยู่ในชีวิต บางทีมันอาจเป็นการให้ความหวังเขา และผมไม่ชอบให้ความหวังใคร “ผมว่าเราต้องมาพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนอย่างจริงจังกันหน่อยแล้ว”

ไซม่อนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจจริง ๆ คราวนี้ ก่อนจะยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย แถมตายังประกายวิบวับเชียว เอ่อ ดูเหมือนเขากำลังเข้าใจผิดแล้วล่ะ

“คุณพร้อมจะบอกชอบผมแล้วเหรอครับ คุณหมอ”

“เอ่อ ไม่” เฮ้อ ทำไมหมอนี่ถึงได้เป็นคนแบบนี้กันนะ “ผมกำลังจะตอบปฏิเสธคุณต่างหากล่ะ ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องพูดตรง ๆ แต่ผมคงคบกับคุณไม่ได้หรอก ผมไม่พร้อมที่จะคบกับใคร”

ไซม่อนยังคงมองผมนิ่ง ตอนแรกผมเกร็งแล้วก็กังวลว่าจะได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของผู้ชายตรงหน้านี้ แต่ก็เปล่า ชายหนุ่มยังคงรักษาเรียบเฉยของตัวเองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนผมนึกสงสัย นี่มันชอบผมตามที่ปากพูดจริง ๆ รึเปล่าวะเนี่ย ทำไมถึงได้นิ่งนัก ปกติเวลาคนเราโดนหักอกต้องมีอาการกันบ้าง… แม้เพียงสักนิดก็ตามไม่ใช่เรอะ

“คุณตอบปฏิเสธผมซะเร็วเชียว” เจ้าตัวว่า เอียงคอมองผมราวกับมองเด็กตัวเล็ก ๆ ที่พูดอะไรไม่คิด “ผมยังไม่ทันสารภาพรักกับคุณเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ คุณเล่นมาบอกก่อนแบบนี้ได้ไง”

อ้าว

“ถึงคุณจะไม่ได้สารภาพรักออกมาตรง ๆ แต่ไอ้ที่คุณพูด… ไอ้สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้มันก็ชัดเจนพออยู่แล้วไม่ใช่หรือไงครับ” ผมว่า รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไรบอกไม่ถูกที่เห็นสีหน้าเฉย ๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรของเขา มันเหมือนเขากำลังเล่นตลกกับความรู้สึกผมอยู่งั้นแหละ

ไซม่อนยกยิ้มกว้าง จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมถดกลับไปในระยะทางที่เท่า ๆ กัน

“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ครับ คุณหมอ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเสียใจด้วย ผมน่ะ ความอดทนสูงกว่าที่คุณคิดเยอะนะ เราค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปไม่ดีกว่าเหรอครับ”

ก็ไอ้ความมั่นใจในตัวเองเกินร้อยแบบนี้…

“คุณจะรีบร้อนหรือค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปยังไง ผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนเดิมอยู่ดี” ผมพูดอย่างเชื่อมั่น พอมาคิดดูก็แปลกดี เพราะเราทั้งสองคนต่างเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง เขาเชื่อว่าตัวเองอาจจะเอาชนะใจผมได้ ผมเองก็เชื่อมั่นว่าจะไม่มีทางรักเขา ไม่สิ… ผมน่ะ เชื่อมั่นเลยล่ะว่าในชีวิตนี้คงไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว นี่ยังไม่นับว่าชีวิตผมมันเหลืออีกมากน้อยแค่ไหนด้วยนะ เอาจริง ๆ จากสุขภาพและสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้  มันอาจจะไม่ได้เหลืออะไรมากมายก็ได้

“ทำไมคุณถึงได้หัวดื้อนัก”

“เพราะผมรู้น่ะสิว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง” ผมพูด กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “เอาง่าย ๆ เลยนะ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์ ผมน่ะ แค่โดนตัวคุณ… หรือโดนตัวใคร ๆ ยังทำไม่ได้เลย คิดดูสิ เรื่องนี้น่ะ มันเป็นพื้นฐานทั่วไปของคนปกติเลยนะครับ แค่นี้ผมยังทำไม่ได้เลย แล้วจะให้ผมมีความรัก… เอ่อ ผมว่ามันเป็นอะไรที่ข้ามขั้นไปสักหน่อยสำหรับผมนะ เอาเป็นว่าขอตัดไฟตั้งแต่ต้นลมตรงนี้ดีกว่า”

“คุณก็หาเหตุผลไปเรื่อย” เสียงทุ้มพูดขัด คำพูดนั่นทำให้ผมรู้สึกฉุนขึ้นมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเป็นจริงเป็นจังของคนพูดแล้วก็ต้องหุบปากกลับลงไป “คุณกลัวงั้นเหรอ ออสติน กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหรอ ถ้าคุณเอาแต่ปิดตัวเองแบบนั้น แล้วคุณจะมีชีวิตใหม่นี่ไปเพื่ออะไร เรื่องที่คุณบอกว่าโดนตัวคนอื่นไม่ได้นั่นก็เหมือนกัน ผมถามจริง ๆ เถอะ คุณเคยเข้ารับการรักษาจริงจังรึเปล่า เคยนึกอยากหายจากอาการนั้นไหม ถ้าคุณพยายามล่ะก็ ยังไงซะมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชนะไม่ได้นะ”

“แล้วทำไมคุณต้องมาคอยพูดจาสั่งสอนผมแบบนี้ด้วย” ผมลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง กำมือแน่นขึ้นอย่างหงุดหงิด “คุณมีสิทธิ์อะไรมาคอยบงการชีวิตผมเหรอ หรือคุณจะอ้างอีกว่าเพราะผมได้หัวใจของพี่ชายคุณมา? ถ้าคุณอยากได้มันคืนขนาดนั้นก็เอาไปเลย ผมไม่อยากได้หรอก ผมขอบคุณพี่ชายคุณนะที่เขายังทำให้ผมมีชีวิตได้ต่อ แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็คือชีวิตของผม ถูกไหม คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดจากับผมแบบนี้”

ไซม่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ใบหน้าของเขาแดงด้วยความอับอาย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาแสดงอารมณืแบบนั้นเหมือนกัน และมันทำให้ผมอึ้งไป

ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง ก่อนจะเงยขึ้นพรวดอีกรอบแล้วสบตาผมตรง ๆ

“ผมขอโทษครับ ออสติน ผมพูดเกินไปหน่อย”

คำพูดนั่น… ท่าทางที่จริงใจของเขาทำให้ผมใจอ่อนยวบอีกแล้ว เป็นแบบนี้ทุกที

“คุณยกโทษให้ผมได้ไหม”

“อะ… อือ…” น่ะ แล้วผมก็ยกโทษให้เขาตามเคย “ช่างมันเถอะครับ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะบีบคุณหรืออะไรเลยนะ ถ้าคุณจะบอกว่าไม่ได้ชอบผม ผมก็ไม่ว่าอะไรเลย”

“ผมแค่จะบอกว่า… ผมรักใครอีกไม่ได้แล้วก็เท่านั้น” พูดพลางถอนหายใจออกมาสั้น ๆ เขาสบตาผมราวกับจะถามว่า อะไรคือสาเหตุให้ผมพูดออกไปแบบนั้น ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ยักไหล่ทีหนึ่ง “ก็แค่เจอรักแย่ ๆ มาเท่านั้นแหละครับ มันก็เลยทำให้ผมเข็ด ก็แค่นั้นเอง”

“มันไม่ได้ต้องแย่แบบนั้นเสมอไปนี่ครับ”

“ก็อาจใช่ครับ” ผมว่า “แต่ถึงยังไง… ผมก็โดนตัวใครไม่ได้อยู่ดี มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต”

“แต่เมื่อกี้ผมโดนตัวคุณได้นี่”

คำพูดง่าย ๆ นั่นของเขาทำให้ผมชะงักไป หันไปมองหน้าคนพูดเหมือนไม่อยากเชื่อหู อีกฝ่ายยักไหล่ให้ผมก่อนจะยิ้มยียวน “คุณยอมให้ผมแตะตัวคุณ”

ผมรู้สึกวูบวาบที่บริเวณอกด้านซ้ายขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คนตรงหน้าไม่ได้เลื่อนมือมาจับด้วยซ้ำ หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นทันที และไซม่อนต้องสังเกตเห็นแน่ ๆ ถึงได้ยิ้มแพรวพราวแบบนั้น ให้มันได้แบบนี้สิ!

“นั่น… มัน กรณีพิเศษ”

“เหรอครับ ดีเลย งั้นเรามามีกรณีพิเศษที่ว่าบ่อย ๆ ดีไหมครับ”

อ๊ากกกก ไอ้บ้านี่! ได้คืบจะเอาศอก!

“จริง ๆ แล้วผมเสียใจมากเลยนะครับ กับการตายของพี่” น้ำเสียงที่อยู่ ๆ ก็ฟังดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาของไซม่อนทำให้ผมหยุดความคิดที่จะโวยวายลง เจ้าตัวทอดสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างบ้านผม นัยน์ตาคู่นั้นดูลึกลับและอ่านยากอีกแล้ว

ผมชอบตาเขา… เอาเป็นว่าผมจะไม่ปฏิเสธเื่องนั้นแล้วกัน

“ก่อนหน้าที่แบรดจะจากไป พวกเราทะเลาะกัน… ค่อนข้างหนักน่ะ” ไซม่อนว่า ก้มลงมองฝ่ามือราวกับคนที่ไม่แน่ใจในตัวเอง ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมนึกเสียใจไปกับเขาด้วย มันทำให้ผมอยากเข้าไปปลอบ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะปลอบยังไง “ผม… ตั้งใจว่าจะไปขอโทษเขานะ แต่ก็ปล่อยให้มันยืดเยื้อมาแบบนั้น… จนกระทั่งทุกอย่างสายเกินไป”

ผมปล่อยให้ชายตรงหน้าระบาย วิธีการเยียวยาที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องแบบนี้คือการระบายมันออกมา และผมเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดี

“คุณอยากได้แชมเปญไหม” ผมถาม “ผมมีเก็บไว้ขวดหนึ่ง… และถึงยังไงผมก็ดื่มไม่ได้อยู่แล้ว”

“ขอเป็นโอกาสหน้าดีกว่าครับ” ชายหนุ่มยกยิ้มบาง ๆ “ผมต้องขับรถไปทำงานต่อจากนี้… ต่อนะครับ ผมแค่กำลังจะบอกว่าเรื่องที่ผมทะเลาะกับพี่ชายน่ะ เป็นเรื่องที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิตแล้ว สาเหตุที่เราทะเลาะกันก็เป็นเรื่องงี่เง่า ผมใช้กำลังกับเขา… คือคุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นเอฟบีไอ เรื่องทักษาะการต่อสู้น่ะ ยังไงผมก็เหนือกว่าเขาอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังใช้กำลังกับเขา…”

ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นแตะบ่าเขา แวบเดียว จากนั้นก็ชักกลับ ไม่เหมือนคนที่พยายามจะปลอบเลย เหมือนสะกิดไหล่เขามากกว่า ไซม่อนยกยิ้มบาง ๆ ให้เป็นเชิงขอบคุณ เขารู้ว่าแค่นั้นก็เกินความสามารถของผมแล้ว

“ก็… นั่นแหละครับ เพราะงั้น ที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ… ผมไม่อยากเสียใจอะไรที่ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว อย่างเรื่องของคุณก็เหมือนกัน ในท้ายที่สุด ต่อให้คุณจะปฏิเสธผมก็ไม่เป็นไร แต่ผมอยากให้คุณลองเปิดใจสักนิด… แค่นิดเดียวก็ได้จริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้ผมพยายามอย่างเต็มที่สักครั้ง ผมไม่อยากเสียใจเพราะไม่ได้ทำตอนที่ยังมีโอกาสอีกแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไร”

ผมพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า… ที่เขาพูดมันก็มีประเด็นอยู่…

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณลำบากใจ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มหมอง ๆ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่าทีเปราะบางและไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้… ปกติเขามักจะทำตัวเหมือนเชื่อมั่นตลอดว่าเขาทำให้ผมรักเขาได้ แต่ตัวเขาในตอนนี้ ดูไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย “ผมนี่… แย่จริง ๆ เลย คุณคงจะรำคาญผมใช่ไหมที่คอยมาระรรานคุณแบบนี้”

ถึงคราวที่ผมต้องนิ่งเงียบ ไตร่ตรองความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผู้ชายตรงหน้า จริงอยู่ที่ผมไม่ชอบใจอะไรในตัวเขาหลาย ๆ อย่าง รำคาญก็ออกจะบ่อย แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ต้องยอมรับว่าการที่มีเขาเข้ามาป้วนเปี้ยน มันช่วยสร้างสีสันให้กับชีวิตผม สีสันที่ผมขาดหายไปนาน

“ผม… ไม่ได้คิดว่าคุณระรานจริง ๆ หรอกนะ” ผมพยายามเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง อยากให้แน่ใจว่าสิ่งที่ออกมาจะผ่านการกรองในหัวมาแล้ว “แค่… เอาตรง ๆ นะ แค่กลัวคุณจะเสียใจ เพราะผมเองก็ดันเป็นซะแบบนี้ เลยไม่อยากให้คุณหวังอะไรมาก”

“คุณใจดีจัง” เขายิ้มกว้าง “แค่คุณกลัวว่าผมจะเสียใจ ผมก็ดีใจมากแล้วล่ะครับ”

เอ่อ ให้ตายเถอะ…

หมอนี่นี่ รับมือยาก…

“ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ทำกับข้าวให้กิน” เขาว่า เริ่มเก็บจานชามขึ้นจากโต๊ะ ผมลุกขึ้นตามแล้วพูดห้าม

“ไม่ต้องหรอก คุณ เดี๋ยวผมล้างเอง คุณเตรียมไปทำงานต่อเถอะ”

ผมพูดพร้อมกับฉุดจานมาจากมือเขา ตรงดิ่งเข้าไปในครัว ไซม่อนเดินตามเข้ามา เขาคว้ามือผมไปกุมในฝ่ามืออุ่นของตัวเองอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

ผมสะดุ้งเฮือก มองหน้าเขาเหมือนตั้งคำถาม พร้อม ๆ กันนั้นเองก็ค่อย ๆ แกะมือเขาออกไปด้วย

ให้ตายสิ… นี่ผมโดนตัวหมอนี่บ่อยมากเกินไปแล้วนะ ยิ่งมาวันนี้นี่… แทบจะนับไม่ถ้วนเลย แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น ผมก็ยังยอมให้เขา… เหมือนทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นนี่มันขัด ๆ กันยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นแก้ไขจากตรงไหน

“ผมแค่อยากให้คุณให้โอกาสผม จริง ๆ นะ”

“ผม… ผมไม่รู้” ผมตอบตรง ๆ ก้มหน้าลงไม่สบตาเขาเพราะกลัวว่าจะโดนดูดกลืนเข้าไปอีก

“ไม่เป็นไร ผมจะทำให้คุณยอมรับเอง”

เอ่อ… ความมั่นใจหมอนี่มันกลับมาเร็วดีจังแฮะ

“จริงสิ คุณหมอ วันจันทร์อาทิตย์หน้าน่ะ ผมมาเช้าหน่อยได้ไหมครับ พอดีว่างช่วงนั้นพอดี”

“อื้อ มาสิ” ผมตอบรับหลังจากคิดถึงตารางในหัว “เออ จริงสิ ไซม่อน ช่วงสิ้นเดือนน่ะ ฉันต้องไปขึ้นศาล”

“หา? อะไรนะครับ?” น้ำเสียงเขาดูตกใจ ผมจึงต้องรีบอธิบาย

“เปล่า ๆ ไปขึ้นให้การเฉย ๆ น่ะ เพื่อนฉันที่เป็นตำรวจเขาโดนฟ้องน่ะ”

“อ้อ” เขาพยักหน้ารับ สีหน้าครุ่นคิด “ไคล์ ไทเลอร์น่ะเหรอครับ?”

“อื้อ”

“โดนฟ้องเรื่องอะไร”

“ฆ่าผิดคน… คดีฆาตกรตัวเลขน่ะ”

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว” ไซม่อนส่ายหน้า นั่นทำให้ผมรีบพยักหน้าหงึก ๆ ตาม

“ใช่ไหมล่ะ ทำอย่างกับว่าทุกวันนี้ในศาลยังยุ่งไม่พอ แต่ช่างเถอะ ที่ฉันจะบอกก็คือ ฉันอาจจะต้องเข้าเมืองสักวันสองวัน เพราะไม่รู้ว่าไปเช้าเย็นกลับจะไหวไหม”

“คุณจะไปยังไงครับ”

“แท๊กซี่ล่ะมั้ง” ผมว่า ไซม่อนส่ายหน้าทันที

“อย่าเลยคุณ ให้ผมไปด้วยดีกว่า”

“แล้วคุณจะมีเวลาว่างแบบนั้นเลยเหรอ” ผมถามกลับอย่างงุนงง เขาทำหน้าครุ่นคิดทันที

“อือ… ถ้าคุณรู้วันเวลาแน่ ๆ แล้วลองบอกผมมาแล้วกัน ผมยังไม่กล้ารับปากตอนนี้”

“จริง ๆ แล้ว คุณไม่ต้องลำบาก---”

“ไม่หรอกครับ ถ้าผมพอปลีกตัวได้ ผมก็จะพาคุณไป ผมสัญญา”

โอ้โห… พูดมาถึงขนาดนี้ แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ

ผมเดินไปส่งไซม่อนที่รถ หันไปมองท่าเรือที่ไม่ได้คึกคักอะไรมากในเวลานี้ มองเลยไปยังน้ำทะเลสีครามเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะเข้าไปนั่งในรถ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดเรื่องของตัวเองออกไป แต่ผมก็เล่าเรื่องให้เขาฟัง

“ผมเอง… ก็มีเรื่องที่เสียใจมากที่สุดในชีวิตเหมือนกัน”

เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักกึกไปทันที เขาไม่ขึ้นรถเพราะตั้งใจรอฟังผมเล่าต่อ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดทีหนึ่ง ลมทะเลที่พักเข้ามาช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“แม่ผมเสียไปเมื่อห้าปีก่อนน่ะ ก่อนหน้าที่ท่านจะเสีย ท่านบอกว่า… อยากจะไปอยู่ไปอยู่ที่เกาะ… นั่นน่ะ คุณเห็นเกาะที่อยู่ตรงนั้นไหมครับ นั่นน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมกับครอบครัวเคยไปอยู่ที่นั่น มันเป็นเหมือนหมู่บ้านเล็ก ๆ มากกว่าจะเป็นเมืองจริง ๆ น่ะ”

“ฟังดูน่าสนุกดีนะครับ”

“ครับ” ผมอมยิ้มเมื่อคิดถึงความทรงจำวัยเยาว์ “บ้านผมค่อนข้าง… จะว่ายังไงดี ผูกพันธ์กับทะเลน่ะ ตอนที่ผมยังเด็ก เราเคยมีเรือลำหนึ่ง แบบ เรือแบบที่เราอาศัยอยู่ในนั้นได้น่ะ แล้วพวกเราสามคนก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจริง ๆ ด้วยนะ ถึงจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ”

ไซม่อนมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน มันทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นแปลก ๆ ในอก แต่ผมพยายามไม่คิดถึงมัน

“แต่นั่นแหละ ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ… ตอนบั้นปลายชีวิตของท่าน แม่ผมอยากจะกลับไปที่เกาะแห่งนั้นที่เราเคยอยู่ ท่านบอกว่ามันเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ของท่าน เป็นเหมือนที่พักพิง… เป็นที่ที่อยู่แล้วก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น สบายใจ รู้สึกปลอดภัย อะไรทำนองนั้น”

เขาไม่พูดอะไรขัดผมเลย แค่รอฟังเงียบต่อเท่านั้น

“แต่… ที่เกาะนั่นน่ะ มันไม่มีโรงพยาบาลใหญ่ ๆ พอจะช่วยรักษาคนป่วยแบบฉุกเฉินได้เลย แม้แต่คนไข้ที่นั่นเองก็ถูกส่งมารักษาที่ฝั่งนี้กันแทบทุกคน… เพราะงั้น ผมก็เลยบอกแม่ว่า ไม่ได้หรอก ยังไงท่านก็ควรมาอยู่ที่โรงพยาบาลของฝั่งนี้… ” ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ “แล้ว… แล้ววันหนึ่งท่านก็จากผมไป ผมไม่ได้แม้แต่อยู่ข้าง ๆ ท่านด้วยซ้ำเพราะวันนั้นผมทำงาน จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดนะว่า… รู้งี้น่าจะพาแม่ไปที่เกาะนั่นน่าจะดีกว่า บางที… แม่อาจจะอยากตายที่นั่นมากกว่าก็ได้”

ไซม่อนเอื้อมมือมาบีบมือผม ผมไหวตัวด้วยความตกใจในตอนแรก แต่ตอนที่เขาบีบลงมา… ความจริงใจที่ไหลผ่านมือของเขามานั้น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ ผมแทบจะลืมสัมผัสของมนุษย์จริง ๆ ไปแล้ว และมันก็ทำให้ผมต้องถามกับตัวเองว่า… มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกันแน่นะ ไอ้อาการกลัวสัมผัสงี่เง่านี่น่ะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ออสติน” น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล ปลอบโยน ชวนให้สบายใจ “ผมเชื่อว่าแม่คุณต้องเข้าใจ คุณก็แค่คิดว่าต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อท่านเท่านั้น”

ผมนิ่งไปนาน คิดและใคร่ครวญถึงคำพูดนั้นของเขา ก่อนจะตอบกลับไปตามที่ใจคิด

“บางที… สิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่นก็ได้นะครับ”

เขาไม่ตอบอะไรผม และผมก็ไม่พูดอะไรต่ออีก

แต่ไม่รู้ทำไม วินาทีแห่งความเงียบงันนั้นผมถึงได้รู้สึกว่าคนข้าง ๆ ตัวผมเข้าใจผมยิ่งกว่าใคร ๆ

แปลกดี…

ผมไม่ได้มีความรู้สึกสงบชวนให้สบายใจแบบนี้มานานแล้ว






--------------------------------------------------
Talk: อั๊นแน่ ออสติน เริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะซี่~~ XD ก็นะ ไซม่อนน่ารัก ใจดี อบอุ่นอ่อนโยน (ไม่ค่อยอวย) ใครจะต้านทานไหว~ 555555555 เหมือนเดิมนะคะ ใครเล่นทวิตเจอกัน #ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-05-2017 21:45:12
ด้วยอิทธิพลจากเม้นท์บน พออ่านเจอว่าผมใช้กำลังกับเขา... แอบคิดลึกเลยอ่ะ (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 17-05-2017 02:07:39
ด้วยอิทธิพลจากเม้นท์บน พออ่านเจอว่าผมใช้กำลังกับเขา... แอบคิดลึกเลยอ่ะ (หัวเราะ)


ใช่มะ ยิ่งอ่านตอนนี้ยิ่งรู้สึก เขาใช้กำลังกันก่อนหน้า แปลว่า ไซม่อนกับแบรดนี่ ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย

จิงจัง ไซม่อน ทำไม นายหาเรื่องเข้าใกล้ออสติน สรุปคือตั้งใจมาทวงหัวใจพี่ชายตัวเองให้กลับมาเป็นของตัวเองแบบนี้มะ ???
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-05-2017 02:17:07
ดีเนาะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 17-05-2017 03:46:09
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 18-05-2017 19:39:42

บทที่ 5




ผมลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกที่เหมือนโดนใครสักคนกำลังจ้องมองอยู่

มือเริ่มควานหาเครื่องช็อตไฟฟ้าที่เคยซื้อเก็บเอาไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมใช้ปืนไม่เป็นและก็คิดเสียใจทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ผมน่าจะฝึกวิธีการใช้ปืนไว้บ้างตอนที่ร่างกายยังพอมีเรี่ยวแรงให้ทำ แต่มานึกตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

ผมรู้ดีว่าไอ้เครื่องช็อตไฟฟ้าพวกนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรมากมายจริง ๆ หรอกถ้าหากมีใครคิดจะบุกเข้ามาทำร้ายจริง ๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันตัวเลย ผมอาจจะสามารถทำให้ใครคนนั้นกระตุกและลงไปชักบนพื้นได้ในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นผมก็จะใช้เวลาช่วงนั้นในการหนี เป็นแผนที่สั้น ง่าย กระชับดีใช่ไหมล่ะ แต่มันคงจะง่ายกว่านั้นถ้าผมมีปืน ซึ่งแน่นอนล่ะว่าถ้าผมพกไว้สักวันผมอาจจะทำมันลั่นตัวเองตายก่อนเพราะใช้งานไม่เป็น ซึ่งคิดถึงข้อนั้นแล้ว… ไม่เอาล่ะ ผมนิยมเพลย์เซฟมากกว่า

ผมเพ่งตามองเข้าไปในความมืด ห้องนอนของผมมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาเพราะผมปิดผ้าม่านจนหมด

ผมก้าวเท้าลงไปบนพื้น เริ่มสำรวจตัวห้องอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ตัวบ้านในส่วนอื่น ๆ ผมทำแบบนั้นเสมอเวลาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน และคืนนี้ก็เป็นเฉกเช่นครั้งก่อน ๆ

ไม่มีใครมาเยือนยามวิกาลทั้งนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมคิดไปเอง

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจยาวอย่างอ่อนล้า ค่อย ๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบน รู้สึกมึน ๆ หัวขึ้นมาเล็กน้อย ผมเลยตัดสินใจใช้โอกาสที่ตื่นขึ้นมานี้วัดอุณหภูมิร่างกายเสียเลย และปรากฎว่าผมมีไข้รุม ๆ

ผมจดอุณหภูมิร่างกายไว้ในกระดาษตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด รู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอกขึ้นมานิด ๆ หายใจลำบาก ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวใจดวงใหม่ของผมหรือเพราะความหวาดระแวงที่ทำให้ช่องท้องบิดเป็นเกลียวอยู่ในขณะนี้

ผมไม่ได้กลัวความมืด ไม่ได้กลัวการอยู่คนเดียว แต่ผมก็มีอะไรบางอย่างที่กลัวเหมือนกัน

ผมเดินกลับไปที่เตียง ซุกตัวลงในผ้าห่มแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีอะไรทรมานไปกว่าการต้องใช้ชีวิตอยู่แบบหวาดระแวงแบบนี้ การสะดุ้งตื่นขึ้นมาในค่ำคืนที่คุณควรจะนอนอยู่บนเตียงอย่างผาสุก… มันแย่พอ ๆ กับการที่คุณต้องกินข้าวไปด้วยร้องไห้ไปด้วยเพราะความขนขื่นในชีวิตนั่นแหละ

ผมเจอมาหมดแล้วทั้งสองอย่าง

“อึก….” ผมยกมือขึ้นปิดหู ทั้ง ๆ ที่ในยามค่ำคืนของละแวกนี้นั้นเงียบสงบ เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งนั้นแผ่วเบาขนาดที่ถ้าไม่เงี่ยหูฟังดี ๆ ก็อาจไม่ได้ยิน

ผมกำลังกลัวอะไรอย่างอื่น บางทีนอกจากจะหัวใจล้มเหลวแล้วผมยังอาจเป็นโรคประสาทหลอน ผมนึกถึงอาชีพชันสูตรศพที่ตัวเองเคยทำ นึกถึงศพที่ตัวเองเคยผ่า บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาผมอยู่ในตอนนี้ก็ได้ การได้หมกมุ่นอยู่กับการงานของตัวเองเคยช่วยทำให้ผมหายวิตกจริตหรือจมปลักอยู่ในห้วงความคิด…  ความรู้สึกแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมโดนพักงานอยู่ เพราะงั้นถึงต้องมาจมปลักอยู่กับความทรมานเดิม ๆ แบบนี้

ได้โปรด… เช้าเสียที เช้าสักทีเถอะ…

ผมหลับตาแน่น ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม วินาทีหนึ่งผมนึกถึงเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้น… คนที่คอยแวะเวียนมาหาผมไม่ขาด การที่ได้คิดว่าพรุ่งนี้จะได้เจอเขาช่วยบรรเทาจิตใจของผมได้นิดหนึ่ง อย่างน้อยผมก็ยังพอมีเรื่องให้คาดหวังอยู่บ้าง… ใช่แล้ว ผมอยากจะเจอเขา ที่จริงก็อยากเจอตอนนี้เลย

“ไซม่อน…” ผมพึมพำชื่อนั้นออกมาจนได้ มันหลุดออกมาจากปากโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

ผู้ชายคนนั้นบอกว่าชอบผม ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะชอบเขาหรือเปล่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามีอิทธิพลกับชีวิตในช่วงระยะหลังนี้เหลือเกิน

เขาเป็นสีสันของผม… อยู่กับเขาแล้วมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ผมจะไม่ปฏิเสธเรื่องนั้นแล้วกัน

“อ่า…”

ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองจะยังรักใครอีกได้ไหม แต่ผมคิดว่าตัวเองก็ชอบเขานะ อย่างน้อยก็ในฐานะคนรู้จัก… ในฐานะเพื่อน และตอนนี้ผมนึกอยากให้เขามาอยู่ตรงนี้กับผม เขาต้องช่วยให้ผมเลิกจมอยู่กับห้วงอารมณ์ปั่นป่วนและเคว้งคว้างที่เหมือนตกลงไปในเหวลึกนี่อยู่แน่ ๆ

พรุ่งนี้ผมก็จะได้เจอเขา… อดทนอีกนิดนะ ออสติน แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น

เดี๋ยวก็เช้าแล้ว






ผมว่าผมเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อนน้า...

ผมครุ่นคิดอยู่กับตัวเองหลังจากที่ดื่มด่ำกับกาแฟยามเช้าและครัวซองต์รสเลิศที่ซื้อมาติดตู้อาหารเอาไว้ จริง ๆ แล้วผมคิดวนเวียนเรื่องนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว และผมไม่แน่ใจว่าระหว่างตัวไซม่อนเองกับแบรด พี่ชายของเขา คนไหนคือคนที่ผมรู้สึกคุ้นหน้ามากกว่ากัน

เสียงข้อความเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ตรงหน้า ผมยกมันขึ้นมาดูพร้อมกับจิบกาแฟอึกหนึ่ง ข้อความนั้นมาจากไซม่อนนั่นเอง เป็นข้อความที่ยืนยันว่าเขาจะมาตรงตามเวลานัด ซึ่งนั่นก็คือในอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้

ผมตอบกลับเขาไปด้วยถ้วยคำง่าย ๆ เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแล้วตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นที่ชายหาดสักหน่อยก่อนที่เขาจะมา ผมบอกเขาเผื่อไว้เลยดีกว่า เดี๋ยวมาแล้วไม่เจอกันจะมาโวยวายอีก



Austin Gardner: เดี๋ยวผมจะออกไปเดินเล่นแถวชายหาดหน่อยนะ

Austin Gardner: จะพยายามกลับมาให้ทันก่อนคุณมา

Simon McNair: โอเคครับ



ว่าแล้วผมก็คว้าหนังสือที่อ่านค้างไว้อยู่ ตามด้วยโทรศัพท์มือถือ กุญแจบ้าน แล้วก็หมวกอีกหนึ่งใบก่อนจะปิดประตูลงกลอนบ้านของตัวเอง

ผมนึกถึงใบหน้าของแบรดซึ่งอยู่ในรูปถ่ายที่ไซม่อนเอามาให้ก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทอดน่องไปตามทาง

ผมคิดว่าผมเคยเห็นหน้าเขา… อันที่จริง ผมคิดว่าผมคุ้นกับหน้าของเขามากกว่าหน้าของไซม่อนอีก มันเป็นความรู้สึกเหมือนแบบ พอผมคุ้น ๆ หน้าแบรดแล้ว ผมก็เลยคุ้นหน้าของไซม่อนไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น ผมไม่คิดว่าตัวเองเคยเห็นไซม่อนที่บาร์ไรท์แทรคนั่นนะ คือเจ้าตัวอาจจะมองผม แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมเห็นเขาอย่างที่เขาเห็นผมรึเปล่า เพราะงั้นไอ้อาการคุ้น ๆ ที่ผมว่า… ไม่น่าจะเกิดที่บาร์นั้น

ผมเดินเลียบไปตามชายหาด ช่วงเวลานี้แดดยังไม่ร้อนมากเพราะยังค่อนข้างเช้าอยู่ บริเวณตรงนี้เงียบฉี่ ไม่มีใครสักคนอยู่ในระยะสายตาเลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ผมไม่ชอบอยู่ในฝูงชนมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนที่ผมเป็นโรคประหลาดโดนตัวคนไม่ได้นี่ด้วยซ้ำ

แต่แล้วผมก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งปรี่มาลิบ ๆ เข้ามาในระยะสายตา ผมหรี่ตาลงมองอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็ค้นพบว่าเด็กสาวคนนั้นดูตื่นกลัวอยู่จริง ๆ

“คะ… คุณน้าคะ!” เจ้าหล่อนเรียกผมพร้อมกับหอบหายใจแรง ๆ แกก้มตัวลง งอตัววางมือบนเข่าแล้วหอบใจเรื่อย ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกกังวลขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมวิ่งมาหน้าตาตื่น--”

“ชะ… ช่วยด้วยค่ะ คุณน้า! นะ… น้องชายหนูจมน้ำ!”

ผมใจหายวาบ หากวุฒิภาวะทำให้รีบตั้งสติแล้วถามกลับไป

“ไหน ตรงไหนครับ บอกน้ามาเลย”

“ทางนี้ค่ะ” เด็กหญิงผมดำที่ถักเปียสองข้างยกมือชี้จากนั้นจึงเริ่มออกวิ่งไปในทิศทางที่แกมาอีกครั้ง ผมออกวิ่งตาม ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวที่เป็นไปอย่างรีบร้อนทำให้หน้าอกจุกเสียด

ผมได้ยินตัวเองหายใจหอบถี่ขึ้น แต่ตอนนี้มีเด็กกำลังจะจมน้ำตาย แล้วผมจะหยุดตัวเองได้ยังไง

“นี่ค่ะ ตรงนี้ค่ะ! คุณน้าคะ..!”

“โอเค เธอรออยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องตามลงมา เข้าใจไหม” ผมหันไปกำชับกับเจ้าหล่อน โยนหนังสือ โทรศัพท์มือถือและเสื้อแขนสั้นที่ใส่คลุมตัวนอกออก โยนกองกับพื้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าลงไปในน้ำทะเลตามตำแหน่งที่เด็กสาวคนนี้เพิ่งชี้ ผมเห็นฟองอากาศจากใครอีกคนที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ก่อนแล้ว เรื่องพิกัดในการดำลงไปจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร ปัญหาคือร่างกายผมจะรับภาระทั้งหมดนี่ได้รึเปล่านี่สิ

ผมดำลงไปในท้องทะเล กวาดสายตาหาร่างของเด็กชายอีกคนที่กำลังจมดิ่งลงไป ไม่ต้องใช้เวลามากมายในการหาตัวเขาให้เจอ แต่ต้องใช้แรงไม่น้อยในการว่ายไปให้ถึงยังตำแหน่งนั้น

หัวใจของผมกำลังถูกบีบรัดด้วยลวดหนามที่มองไม่เห็นอีกครั้ง แต่เด็กคนนั้นกำลังจะตายอยู่ต่อหน้าต่อตาผมนะ ขอทีเถอะน่า ทะเลผืนนี้น่ะ ผมว่ายมาตั้งแต่จำความได้แล้วมั้ง กับอีแค่เรื่องแค่นี้…

ผมทะยานลงไป ยืดมือออกไปจนสุดแขนเพื่อไขว่คว้าร่างของเด็กคนนั้นที่ค่อย ๆ จมลงไปเรื่อย ๆ วูบหนึ่งผมรู้สึกคล้ายจะเป็นลมเพราะร่างกายรับกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่ไม่ไหว แต่สติอีกเฮือกหนึ่งก็ปลุกผมขึ้นมา รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังพาเด็กผู้ชายคนนั้นขึ้นมาบนฝั่งแล้ว

ผมหอบหายใจระรัวขณะที่วางร่างนั้นลงบนพื้นทราย โชคดีที่แกไม่ได้ตัวหนักอะไรมาก ไม่อย่างนั้นผมอาจจะช่วยแกไม่สำเร็จก็ได้

“เจคอบ… ทำใจดีไว้ ๆ นะ พระเจ้า คุณน้าคะ เขาจะตายไหม”

“ถอยออกไปก่อน” ผมยกมือห้ามไม่ให้เด็กสาวผมเปียเข้ามาจากนั้นจึงก้มลงประกบปากลงกับจมูกและปากของแกเพื่อทำการผายปอด ถ้าเป็นเด็กเล็ก วิธีนี้จะเป็นการช่วยหายใจ ผมเอื้อมมือไปดึงเสื้อของแกขึ้นมาเพื่อสังเกตการพองลมของท้อง มันพองโตขึ้นมานิดหนึ่ง ผมจึงกดลงบริเวณกลางช่องท้องเพื่อดันให้ลมออก วินาทีนั้น ผมลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองเคยเกลียดและกลัวการสัมผัสการผิวกายของผู้คนมากแค่ไหน สิ่งที่ผมคิดมีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องช่วยเหลือเด็กคนนี้

ในที่สุดเจ้าตัวก็สำลักเอาน้ำออกมาจากปาก ไอค่อกแค่กอีกสองสามทีแล้วจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

“เจคอบ!” คนเป็นพี่สาวเรียกพร้อมกับถลาตัวเข้ามากอดน้องชายแน่น “พระเจ้า…. ขอบคุณจริง ๆ ที่นายปลอดภัย ฮึก… ฉันนึกว่านายจะตายซะแล้ว”

“ออสติน!” เสียงใครบางคนที่เรียกชื่อทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง ไซม่อนนั่นเองที่วิ่งเข้ามาหาพวกเรา สีหน้าของเขาดูแตกตื่นและเป็นกังวล “นี่มัน…”

“เอมี่…” เจคอบที่เพิ่งได้สติกลับมาเรียกพี่สาวของตัวเองอย่างงง ๆ จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มได้สติคืนกลับมาแล้วเริ่มตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้อย่างเสียขวัญ

ผมหันไปมองผู้มาใหม่อย่างขอความช่วยเหลือทันที ไซม่อนคุกเข่าลงมาพร้อมกับปลอบเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย เด็กหญิงที่ชื่อเอมี่เองก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน ดูเหมือนพวกแกจะกลัวกันน่าดู นี่พ่อแม่ของเด็กสองคนนี้ไปอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมปล่อยเด็กมาเล่นน้ำตามลำพัง

“เอาล่ะ ๆ ไม่ร้องแล้วนะครับ คุณน้ามาช่วยแล้ว ปลอดภัยแล้ว”

หลังจากที่ปลอบกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราทั้งคู่ก็พาทั้งสองคนไปส่งที่บ้านซึ่งไม่ได้อยู่ไกลจากบริเวณนั้นเท่าไรนัก

“โอ๊ย ตายจริง” แม่ของเอมี่และเจคอบร้องอย่างเสียขวัญ จากนั้นก็ตรงมากอดลูกชายคนเล็กแน่น “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เดือดร้อน โอ๊ย ตายแล้ว ถ้าลูกเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำยังไง นี่นะ บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าแอบออกไปเล่นน้ำกันสองคน”

หลังจากที่จัดการเคลียร์เรื่องตรงนี้เสร็จ ไซม่อนก็รีบขอตัวพาผมออกมาโดยอ้างว่าผมเปียกไปหมดทั้งตัว เดี๋ยวจะไม่สบาย อยากให้ผมกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ซึ่งก็จริงของเขาแหละครับ ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกป่วยขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ยิ่งเมื่อคืนไข้ขึ้นหน่อย ๆ ด้วย คืนนี้คงเจอศึกหนักน่าดู

“โอย…” ผมครวญคราง พยายามฝืนยืนให้ตรงอยู่ตั้งนานตอนที่พาเด็กทั้งสองไปส่ง แต่ตอนนี้พอไม่ต้องเก๊กต่อหน้าใครแล้ว ผมก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ เวียนหัวไปหมด

“ไหวหรือเปล่าครับ ออสติน” ไซม่อนที่คอยประคองผมมาตลอดทางถามขึ้น ผมล้าเกินกว่าจะบอกให้เขาออกไปห่าง ๆ จากตัวผม อันที่จริงนะ ถ้าไม่มีเขาพยุงอยู่ ผมคงลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว เพราะงั้นผมคงจะว่าอะไรไม่ได้ “ให้ตายเถอะ ดูคุณสภาพแย่มากเลย มานี่เถอะครับ ขี่หลังผมไปแล้วกัน”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทรุดตัวลงตรงหน้าผมเพื่อให้ขึ้นไปขี่คอตามที่พูด จะบ้ารึไง ถึงผมจะไม่ได้สูงเท่าหมอนี่ แต่ตัวผมก็ไม่ใช่เล็ก ๆ

“ไม่เอาหรอกคุณ” ผมขมวดคิ้วมุ่น เริ่มเดินไม่ตรง มองข้างหน้าไม่ค่อยชัดแล้วตอนนี้ “คุณก็รู้ว่าผมเกลียดการสัมผัสกับคนอื่น แล้วจะให้ขี่คอคุณเนี่ยนะ โอย ขอบายดีกว่า ผมจะเดินกลับ… แค่ก ๆ”

“น่ะ ก็เพราะคุณชอบดื้อแบบนี้” ไซม่อนพูดเสียงดุราวกับผมเป็นเด็กสามขวบ ขอบใจมากเลย แต่ได้ข่าวว่าผมอายุมากกว่ามันอีกเถอะ แล้วนี่ผมก็ปวดหัวเกินกว่าจะมายืนเถียงกับใครแบบนี้นะ “ออสติน… คุณ!”

ร่างของผมร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงโลก แย่ล่ะสิ มึนจนตาลาย แต่เหมือนไซม่อนจะเข้ามารับผมไว้ทันแฮะ อีกฝ่ายจัดแจงเอาแขนผมขึ้นพาดคอของตัวเองจากด้านหลัง รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกยกลอยขึ้นเหนือพื้นเรียบร้อยแล้ว ผมได้ยินเสียงถอนใจเหมือนอ่อนใจของเขา

“ให้ตายเถอะ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักได้ไหมครับ แล้วนี่… จับแน่น ๆ นะคุณ เดี๋ยวผมรีบพาคุณกลับบ้าน จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”

ผมไม่พูดอะไรตอบหากมือกระชับแน่นขึ้นตามคำสั่งของเขา แรงสะเทือนจากการที่ไซม่อนย่ำเท้าลงบนพื้นทำให้ผมมึนหัวหน่อย ๆ แต่ผมคิดว่าไซม่อนคงทำดีที่สุดแล้วที่พยายามควบคุมแรงไม่ให้กระแทกมากเกินไป

เมื่อมาถึงบ้าน เจ้าตัวก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการให้ผมถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ เขาพูดอะไรเป็นเชิงว่าจะช่วย ซึ่งผมนี่ไม่โอเคอย่างแรง คือผมแค่มึนหัวนะ ไม่ได้พิการทำอะไรเองไม่ได้ขนาดนั้น

“คุณแน่ใจเหรอว่าจะอาบคนเดียวได้น่ะ?”

“อือ…” ผมงึมงำ รับผ้าเช็ดตัวผืมขาวมาจากมือเขา รู้สึกเบลอ ๆ “ผมอาบคนเดียวได้”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมช่วย?”

“อ้อ แน่ล่ะ ผมอยากให้คุณช่วยแน่” ผมขมวดคิ้วมุ่น เริ่มหงุดหงิด มือชี้ไปที่เก้าอี้มุมหนึ่งของห้อง “ช่วยไปนั่งรอตรงนั้นนิ่ง ๆ เลยนะคุณ ผมอาบแปปเดียวเท่านั้นแหละ จะรีบออกมา”

หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ผมก็เดินสะโหลสะเหลกลับออกมาเหมือนผีหาหลุมตัวเองไม่เจอ มือแกร่งเลื่อนมาช่วยพยุงตัวผมทันทีที่เดินเข้ามาใกล้ ผมสะดุ้งเฮือกพร้อมกับผลักเขาออกไปด้วยความตกใจ พออาบน้ำแล้วในหัวเริ่มโปร่ง สัญชาติญาณเดิม ๆ ก็กลับมา

ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นหม่นลงวูบในวินาทีที่ผมปัดมือเขาออก ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นจมเลย แต่ผมก็บอกเขาไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบให้ใครโดนตัวน่ะ รู้จักกันมาขนาดนี้แล้วก็น่าจะเข้าใจกันสิ ไม่เห็นต้องมาเสียอะไรเอาป่านนี้เลย

แต่พอเอ่ยปากพูดออกไปจริง ๆ ผมกับต้องพูดเสียงอ่อน

“ขอโทษทีครับ ผม… แค่ก”

“ออสติน” เขาทำท่าเหมือนจะเข้ามาจับตัวผมอีกครั้ง แต่ก็หยุดไว้ได้ทัน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นขึ้นราวกับจะคอยห้ามตัวเองเอาไว้ “คุณนั่งพักบนเตียงก่อนครับ เดี๋ยวผมไปเอายามาให้”

ผมพยักหน้ารับ บอกเขาว่ายาอยู่ที่ตู้ในห้องครัว จริง ๆ ผมยังมียาอีกเป็นตั้งเลยอยู่ที่ตู้ในห้องนอน แต่ยาพวกนั้นเป็นยาที่ต้องกินประจำ ไม่ใช่ยาลดไข้หรือแก้ปวด ผมขอให้เขาเอาเทอร์โมมิเตอร์มาวัดไข้ให้ด้วยเลย จากนั้นก็เขียนมันลงในแผ่นกระดาษที่ลงเวลาและวันที่อย่างเป็นระเบียบ

ไซม่อนกวาดตามองกระดาษแผ่นนั้นอย่างถี่ถ้วนขณะที่ผมเริ่มขยับตัว เตรียมจะยกขาขึ้นเหยียดนอนบนเตียง เป็นจังหวะเดียวกับที่ไซม่อนเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน

“โชคดีนะครับที่คุณไปช่วยเจคอบไว้ได้ทัน”

ผมนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็จริงนะ โชคดีที่ผมบังเอิญเดินไปแถวนั้นพอดี”

“ถ้าคุณไม่ไปที่นั่น ป่านนี้แกอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

“อืม” ผมว่า ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ “เด็กก็แบบนี้ ทำอะไรไม่คิดเลย แอบหนีออกไปกันแค่สองคน”

“แต่เจอแบบนี้เข้าไปคงมีบทเรียนแล้วล่ะครับ จากนี้คงไม่กล้าออกมาเล่นน้ำกันแค่สองคนแล้ว”

“นั่นสินะ ก็ดีแล้ว”

ไซม่อนสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวผมที่ยังนั่งบนขอบเตียง ขาของเขาสัมผัสกับเข่าของผม และมันทำให้ผมรู้สึกวูบวาบตรงบริเวณนั้นขึ้นมาทันที

ผมพยายามเบี่ยงตัวหนีอย่างสุภาพ แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งออกแรงกดที่เข่าผมไว้อย่างรู้ทัน นี่หมอนี่คิดจะทำอะไรของมันเนี่ย สรุปจะให้ผมนอนไหม

“คุณเคยบอกว่าตัวเองเป็นโรคกลัวการสัมผัสนี่”

“ก็ใช่---”

“แต่เมื่อกี้คุณช่วยผายปอดให้เจคอบ” ไซม่อนว่า จ้องลึกเข้ามาในตาผมราวกับจะคว้านไปให้ถึงไส้ใน ผมนิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อร่างสูงค่อย ๆ โน้มหน้าลงมาขณะที่พูด “แถมยังขี่หลังผมจนกลับมาถึงบ้านด้วย”

“ก็… นั่นมัน”

หัวใจดวงใหม่ของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ผสมปนเปกัน ทั้งหวาดกลัว ตื่นเต้น ใจสั่น อยากจะหนี แต่ก็อยากให้มันเกิดขึ้น

ผมหลุบตาต่ำ มองลงไปบนริมฝีปากอิ่มของคนตรงหน้าอย่างเผลอตัว รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก สงสัยว่าเขาเองก็กำลังมองปากของผมด้วยเหมือนกันรึเปล่า และเขากำลังมองมันด้วยความรู้สึกแบบไหน เขาจะรู้สึกกังวลหรือตื่นเต้นอย่างที่ผมเป็นไหม

โอย พระเจ้า ให้ตายเถอะ นี่ผมเป็นเด็กสาวม. ปลายที่เพิ่งมีความรักครั้งแรกหรือยังไง? แล้วทำไมหมอนี่ถึงได้ยื่นหน้าเขามาใกล้ขนาดนี้? ไหนมันเคยสัญญาแล้วไงว่าจะไม่โดนตัวผม ก็นั่นเป็นข้อแลกเปลี่ยนของเราไม่ใช่เหรอ…

ผมกำหมัดแน่นขึ้น เกร็งทุกส่วนของร่างกายด้วยความรู้สึกที่เหมือนหัวใจจะระเบิดออกมา ผมเดาว่ามันคงแสดงออกชัดเจนทางสีหน้า เพราะไซม่อนชะลอความเร็วลง แต่ไม่ถึงกับหยุดนิ่ง

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่เหมือนกับจะผลักคนมองให้ตกลงไปในเหวลึกจ้องตาผมไม่กระพริบ มันทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ จัง ๆ แล้ว กลัวว่าผมจะตกลงไปในเหวนั่นและหาทางขึ้นมาไม่ได้ตลอดไป

มือหนาของอีกฝ่ายค่อย ๆ เคลื่อนมาแตะลงบนแก้มผมอย่างแผ่วเบา แต่แค่นั้นก็ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวแล้ว นิ้วเรียวยาวของคนตรงหน้าคลอเคลียอยู่บนนั้นอย่างอ้อยอิ่ง และผมควรจะปัดมันออก…

“ก็นั่นมันอะไรครับ คุณหมอ?” เขาถามต่อ แววตาเป็นประกายรุ่งโรจน์น่ามอง ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย

“ก็… เด็กคนนั้น กำลังจมน้ำ” ผมพึมพำตอบราวกับสติสตังไม่อยู่กับตัว ผมไล่สายตาจากนัยน์ตาคู่สวยไปที่จมูกคมสันแล้วเลยไปถึงริมฝีปากของเขาอีกแล้ว “ผม… ก็ต้องช่วยสิ”

“แล้วถ้าเกิดว่าสถานการณ์เปลี่ยน” ไซม่อนพูด แม้แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มลึกของเขายังน่าฟัง นี่ผมกำลังต้องมนตร์ของชายตรงหน้าอยู่หรือยังไง “เป็นผมที่กำลังจะจมน้ำ… แทนที่จะเป็นเจคอบล่ะครับ?”

รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบิดเป็นเกลียวด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงบางอย่าง มันน่ากลัวนะ… แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกทรมานเหมือนอย่างตอนที่เจ็บหน้าอกเลย

“คุณจะช่วยผายปอดให้ผมไหม คุณหมอ”

อ่า ให้ตาย…. สายตาแบบนั้นมัน…

“ผม…” ได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ขณะที่ใบหน้านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “ผม… ก็ต้องช่วยคุณสิ ไซม่อน”

“อ่า” ชายหนุ่มครางในลำคออย่างพึงพอใจ เรารับรู้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกันแล้วในตอนนี้ “งั้นก็ช่วยผมด้วยสิครับ ออสติน”

“ผม…”

“ผมกำลังจมแล้ว”

จากนั้นริมฝีปากอุ่นก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของผม

มันแผ่วเบา อ่อนโยน ชวนให้ใจละลาย แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมกลัวมากด้วย

ผมกำมือแน่นทั้งสองข้าง เหงื่อเม็ดหนึ่งหยดลงจากหน้าผาก ไหลไปตามข้างแก้มจนลงมาถึงปลายคาง ไซม่อนขยับลิ้นแตะริมฝีปากผมเบา ๆ ผมสะดุ้งเฮือก นั่นเป็นตอนที่เขาค่อย ๆ ผละริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

ไซม่อนยกยิ้มบาง ๆ มองตาผมตรง ๆ ด้วยนัยน์ตาลุ่มลึกนั่นอีกครั้ง

อย่าบอกนะว่าผมโดนเขาผลักตกลงไปในเหวนั่นแล้ว?






------------------------------------------
Talk: เอ๊าาาา เอาล่ะซี้ มีใครก็ไม่รู้ตกหลุมแหละ... 555555555 เอ้า! จูบกันแล้ว ๆ มาลุ้นกันว่าเขาจะได้กันเมื่อไห---//แค่กๆ เขาจะรักกันตอนหนายยย ไรงี้ ถถถถถถถ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ รักทุกคนเลย ม้วฟฟฟ
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 5) P.1 [18/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-05-2017 20:36:32
พ่อคุณชอบนัวเนียเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 5) P.1 [18/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 18-05-2017 20:54:16
เนียนไปหรือป่าววววววววววววว :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 5) P.1 [18/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 21-05-2017 19:17:20

บทที่ 6



เสียงออดดังขึ้นที่หน้าบ้านทำให้ผมต้องละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังนิดหนึ่ง นั่งเขียนงานเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย และไซม่อนก็ช่างมาตรงเวลาเสียเหลือเกิน

ผมเดินไปเปิดประตูบ้าน ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์กับนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ดูเป็นประกายคุ้นเคยส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ผม ผมชะงักกึกไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบก้มหลบมองเด็กชายตัวจ้อยอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ไซม่อนจับบ่าเด็กคนนั้นเบา ๆ เขาบอกผมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะพาแดน… ซึ่งก็คือลูกของแบรดมาพบผมวันนี้ ไซม่อนบอกว่าแองจี้ฝากให้เขาช่วยดูแลเจ้าตัวเล็กสักหน่อยเพราะต้องไปทำธุระต่างเมือง ซึ่งพอไซม่อนถามถึงเรื่องนี้ผมก็ตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิด

“สวัสดีครับ ออสติน” ไซม่อนว่า จากนั้นก็หันไปสะกิดหลาน “แดนครับ ทักทายคุณน้าออสตินหน่อยเร็ว เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไง ที่อาเล่าให้ฟัง”

“สวัสดีครับ” เด็กชายพูดพร้อมกับส่งยิ้มอาย ๆ มาให้ ผมยิ้มตอบกลับโดยอัตโนมัติ มือเลื่อนไปจับกับเจ้าตัวตามธรรมเนียนแม้ว่านั่นจะต้องฝืนกับโรคไม่ชอบถูกตัวคนของผม แกเองก็จับมือผมตอบอย่างแหย ๆ ตามประสาเด็กที่ตื่นเกร็งตอนที่เจอกับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักครั้งแรก ผมรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกไปว่าแกต้องเจออะไรมาบ้าง

ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว ผมไม่ชอบให้ใครมาบ้านบ่อย ๆ หรอกนะ แต่พอคิดว่าเด็กชายที่อยู่ตรงนี้เป็นลูกชายของเจ้าของหัวใจคนก่อน… มันรู้สึกเหมือนต้องชดเชยบางอย่างให้แกยังไงก็ไม่รู้

ผมเชิญทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน สังเกตเห็นว่าแดนดูตื่นเต้นไม่น้อยกับบ้านหลังเล็กที่อยู่ติดทะเลของผม

“แกไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานแล้วน่ะครับ” ไซม่อนพูดหลังจากบอกให้แดนเข้าไปนั่งรอบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นก่อน “ผมเลยคิดว่าถือโอกาส… พาแกมาเที่ยวด้วย มาเยี่ยมคุณด้วย คุณสบายดีหรือเปล่าครับ ออสติน”

“ก็เรื่อย ๆ เหมือนเดิมแหละครับ” ผมว่าพลางขยับตัวห่างจากเขานิดหนึ่งอย่างทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนใบหน้าเริ่มร้อนขึ้น

ตั้งแต่ที่เราสองคนจูบกันเมื่อคราวก่อน ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเพราะไซม่อนบอกว่างานยุ่งมาก และพอหาเวลาว่างมาได้เขาก็พาหลานมาด้วย ซึ่งก็ดีนะสำหรับผม ถึงผมจะไม่ค่อยชอบอยู่ใกล้หรือสุงสิงกับคนเท่าไร แต่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง ผมก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงดีเหมือนกัน

“แล้วงานเขียนไปถึงไหนบ้างแล้วครับ” เขาถามต่อขณะก้าวเท้าตามมา ผมเหลือบมองแดนที่นั่งเรียบร้อยอยู่บนโซฟา ตามองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นวิวทะเลกว้างไกล ตาของเขาเหมือนของไซม่อนไม่มีผิดเลย แต่เส้นผมเป็นสีแดงเข้มเหมือนแม่

“ก็ยังมีที่ต้องแก้เยอะอยู่เหมือนกัน แล้วงานคุณล่ะ ไซม่อน” ผมถาม ตามองไปที่รอยช้ำจาง ๆ ที่อยู่บนแก้มของเขาอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เช่นเคย เลื่อนมือไปแตะตรงรอยนั้นทันที

“ก็ปะทะกับคนร้ายนิดหน่อยน่ะครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”

“ก็พอเดาได้ครับ งั้นเดี๋ยวคุณไปนั่งกับแดนก่อนนะ ผมไปเตรียมของก่อน จะได้ไปตกปลากัน สายกว่านี้เดี๋ยวคนจะเยอะ”

ผมคุยกับไซม่อนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วว่าจะพาแดนไปตกปลา ผมเลยเตรียมคันเบ็ดที่น้ำหนักเบามาเผื่อไว้ให้แก หยิบถังใบเล็กที่เอาไว้ใส่เหยื่อ จากนั้นพวกเราสามคนจึงมุ่งหน้าไปจัดแจงจองที่นั่งตกปลาบนสันเขื่อนที่ถูกทำไว้ให้เพื่อการนี้ มีคนอื่นที่มาตกปลาอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนมากก็คนที่ผมคุ้นตาทั้งนั้น ดูพวกเขาแปลกใจที่เห็นผมมากับไซม่อนและเด็กวัยประถมอีกคน

“นี่นะครับ แดน” ผมเริ่มสอนวิธีการตกปลาง่าย ๆ ให้แก “ขั้นแรกนะ เราต้องมีเหยื่อก่อน เดี๋ยวน้าใส่เหยื่อให้นะครับ เสร็จแล้วเดี๋ยวหนูเหวี่ยงลงไปแบบนี้”

ผมหยิบหางปลาหมึกที่ตัดเอาไว้ก่อนออกจากบ้านแล้วมาเสียบกับเหล็กกล้า สาธิตวิธีการให้เจ้าตัวดู แดนทำสีหน้าตั้งอกตั้งใจมากจนผมรู้สึกเขิน ผมต้องกลั้นใจจับแขนแกจากทางด้านหลังเพื่อสอนขั้นตอนพวกนั้น แต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ถึงขนาดหายใจไม่ออกอย่างที่เคยเป็น บางทีอาการงี่เง่านี้ของผมอาจจะเริ่มดีขึ้นแล้วก็ได้

“เสร็จแล้วหนูใช้นิ้วแตะไว้กับสายเบ็ดตรงนี้นะครับ เวลาที่ปลาติดเบ็ดแล้วหนูจะได้รู้ไง”

“เข้าใจแล้วฮะ” แดนว่า ยิ้มด้วยสีหน้าเป็นปลื้ม มันทำเอาผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“คิดว่าทำเองได้ไหมครับ”

“ฮะ แถวนี้ปลาเยอะมากไหมครับ คุณน้าออสติน”

“เยอะสิ” ผมว่า “น้าเคยตกปลาจากที่นี่ตั้งหลายครั้ง แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่ได้ปลากลับบ้าน”

“ถ้าผมตกปลาได้” เด็กชายเริ่มว่าอย่างตื่นเต้น “เราจะเอามันไปทำเป็นข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นได้ไหมครับ”

“ได้สิ” ผมว่า สายตาเหลือบไปมองไซม่อนที่กำลังยิ้มขณะมองดูหลานของตัวเอง ดูเขามีความสุขที่ได้เห็นหลานดีใจ เห็นรอยยิ้มนั่นของเขาแล้ว… ผมรู้สึกใจแกว่งยังไงไม่รู้แฮะ “โอเค งั้นพอเธอตกได้อะไรแล้วบอกนะครับ เดี่ยวน้าไปคุยกับอาของหนูหน่อย”

“ครับผม” รับคำหน้าชื่นทีเดียว ผมอยากให้แกตกได้ปลาสักตัวจัง

ไซม่อนเดินตามผมมา ไม่ได้ไกลจากเด็กชายมาก แค่อยู่ในระยะให้แกไม่ได้ยินเท่านั้น แต่ต่อให้อยู่ใกล้กว่านี้ ผมว่าแดนก็อาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำเพราะแกกำลังตั้งสมาธิอยู่กับผืนน้ำทะเลที่มีเบ็ดของตัวเองจุ่มลงไปอย่างมาก

เห็นแบบนั้นแล้วมันทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ตอนที่พ่อเพิ่งเริ่มสอนตกปลาให้ผม เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลย

“แล้วนี่ตกลงวันนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอครับ” ผมเอ่ยปากถาม เพราะเท่าที่คุยกันผ่านแชท ดูเหมือนไซม่อนจะยุ่งกับการสืบคดีตลอดเวลา ผมเข้าใจดีเพราะตอนที่ยังทำงาน ตัวผมเองก็ยุ่งตลอดแบบนั้นเหมือนกัน ต่อให้เป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็ตาม แต่ถ้ามีคดีเร่งด่วนขึ้นมา ต่อให้ไม่ใช่เวลางานก็ต้องไปทำ

“วันนี้หยุดได้ครับ คู่หูผมก็คอยอัพเดทนู่นนี่ให้ฟังตลอดอยู่แล้ว”

“แล้วพรุ่งนี้คุณจะทำยังไง” ผมถาม เพราะไซม่อนบอกก่อนแล้วว่าแองเจลีนหรือแองจี้ แม่ของแดนจะไม่อยู่บ้าน

“ผมตั้งใจจะพาแกไปฝากที่บ้านเพื่อนของแองจี้น่ะครับ เห็นว่าหล่อนติดต่อคุยกันไว้แล้ว”

ผมพยักหน้ารับ สายตามองตรงไปที่เด็กชายตัวจ้อยอย่างไม่อาจละออกได้

“ผมว่าคุณควรจะไปตกปลากับแกนะ” ผมว่า เพราะเตรียมเบ็ดมาเผื่อสำหรับเราทุกคน “พอคุณอยู่ใกล้ ๆ แกแล้ว คุณดูเหมือนพ่อแกไม่ผิด”

“อ่า ใช่ครับ” ไซม่อนยิ้ม ตามองที่แดนนิ่งเหมือนกัน “มีคนพูดแบบนั้นเยอะเหมือนกัน แม้แต่แบรดที่เป็นพ่อแท้ ๆ เองยังพูดเลย”

พูดจบแล้วเขาก็หัวเราะ แล้วรอยยิ้มนั่นก็ดูเศร้าสร้อยขึ้นมาราวกับมีอะไรกรีดลงกลางใจ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เข้าใจยากอะไรหรอก

“เขาเป็นคนดี” ผมพูด “ดูจากแดนผมก็รู้แล้ว ที่คุณพาเขามาเจอผม เพราะคุณต้องการบอกเรื่องนี้ใช่ไหม”

ไซม่อนไม่ตอบ เขาแค่ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปากเหมือนอย่างเคย “ขอโทษด้วยนะครับที่มากวนคุณแต่หัววันแบบนี้ มือกลางวันวันนี้ให้ผมเป็นเจ้ามือเถอะนะ”

“อย่าเลยคุณ” ผมรีบส่ายหัว “คุณกับแดนเป็นแขกนะ ผมจะเลี้ยงเอง กลางวันนี้เราจะพาแดนไปกินร้านเดิมไหมครับ ผมจะได้โทรไปจองโต๊ะไว้ก่อน”

คนข้างตัวผมยิ้มกว้างขึ้น มองผมด้วยนัยน์ตาคู่คมที่เหมือนกับเหวลึกนั่นอีกแล้ว ครั้งนี้ผมจ้องตอบมันกลับอย่างไม่เกรงกลัว ผมชอบตาของเขาจริง ๆ และบางทีเขาอาจจะรู้

“ร้านเดิมเหรอครับ” น้ำเสียงเย้าแหย่อยู่ในที “ผมชอบคำนี้จัง เหมือนร้านประจำที่เราไปกินด้วยกันบ่อย ๆ เลย”

“ก็แค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่เหรอคุณ อย่ามาเว่อร์ไปหน่อยเลย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงปั้นปึ่ง แต่ก็อดยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ได้เหมือนกัน

“คุณว่าคุณจะกินไวน์ได้เมื่อไหร่ครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ผมเดาได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร เขาอยากจะชวนผมจิบไวน์ด้วยกันกับเขา ผมนึกภาพตามนั้นแล้วรู้สึกล่องลอยไปกับมันเหมือนกัน แต่ยังอีกพักใหญ่เชียวล่ะกว่าผมจะแตะต้องของพวกนั้นได้

“น่าจะประมาณ 2-3 เดือนครับ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณกินได้ตามสบายเลย ผมไม่อยากให้คุณอดกินอะไรที่อยากกินเพราะผม”

“คุณชอบพูดดักคอแบบนี้อยู่เรื่อย”

ผมยักไหล่ เดินกลับไปที่ที่แดนนั่งตกปลาอยู่ จากนั้นก็บอกแกว่าอาของแกก็คิดอยากตกด้วยเหมือนกัน

พูดถึงตรงนี้ไซม่อนก็หน้าซีดลง ก้มตัวมากระซิบกับผมทันที

“คุณ จะบ้าเหรอ ผมตกปลาเป็นที่ไหนล่ะ ไปบอกหลานผมแบบนั้นได้ไง”

“อ้าว” ผมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีทันที ใครจะไปคิดล่ะว่าหมอนี่ไม่เคยตกปลา ยิ่งเป็นคนที่จับเบ็ดมาตลอดตั้งแต่จำความได้อย่างผมด้วยแล้ว ยิ่งนึกภาพไม่ออกเลยในโลกนี้จะมีคนที่ไม่เคยตกปลากับเขาอยู่ด้วย “ก็ฝึกสิครับ คุณอาไซม่อน แดนเองไม่เคยตก เขายังลองเลย”

ไซม่อนหน้าง้ำลงเล็กน้อยเหมือนเด็ก ๆ เพราะน้ำเสียงล้อเลียนนั่นของผม ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหู

“งั้นคุณก็ต้องสอนผมตกด้วยสิครับ ออสติน”

“เอ๊ะ… เอ่อ” เดี๋ยว ๆๆๆ ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้ง

“ทำไมครับ” ถึงทีเขายิ้มล้อเลียน “ทีกับแดน คุณยังสอนวิธีตกปลาให้เขาเลย พอเป็นผมแล้วคุณสอนให้ด้วยไม่ได้เหรอ?”

ว้อย… ทำไมไอ้หมอนี่ถึงชนะผมตลอดเลย

ผมสอนไซม่อนตกปลาแบบเดียวกับที่สอนให้แดน แต่หมอนี่ชอบมือลื่นมาจับตัวผมอยู่เรื่อย ทำเอาผมต้องรีบสะบัดออกแทบไม่ทัน ถึงเราสองคนจะ… เอ่อ จะ… จูบกันไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตตอนโดนตัวกันนี่จะหายไปนะครับ

“โห คุณอาก็ตกปลาด้วย” แดนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อไซม่อนทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ “มาแข่งกันไหมฮะ ว่าใครจะตกได้ก่อน”

“น้อย ๆ หน่อยเถอะเราน่ะ” ไซม่อนหันไปหัวเราะให้แดน ยกมือลูบศีรษะแกอย่างอ่อนโยน ดูเขารักหลานมากจริง ๆ “ท้าแข่งแบบนี้ ขืนแพ้ขึ้นมาก็เสียหน้าแย่ จะไปบอกกับแม่ยังไง หืม ทำไมไม่ลองท้าคุณน้าออสตินดูล่ะ ดูสิ ไม่เห็นยอมจับเบ็ดสักที เอาแต่มองพวกเราอยู่เนี่ย”

อ้าว นั่น ยังจะวกกลับมาทางผมเอง

“คุณน้าออสติน ตกปลากันเถอะครับ จะได้ได้ปลากลับไปทำกับข้าวกันเยอะ ๆ เลย”

“อ่า… ก็ได้ครับ” ผมยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้ เริ่มหยิบเบ็ดของตัวเองออกมา เล็งตำแหน่งแล้วเหวี่ยงลงไปทันที

นั่งอยู่อย่างนั้นสักพัก อยู่ ๆ สัมผัสบางเบาจากอีกฝ่ายก็เลื่อนมาแตะผม ผมสะดุ้งตัวนิดหนึ่ง หันกลับไปมองไซม่อนที่ยิ้มให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มือข้างหนึ่งของเขาเริ่มเลื่อนมาแตะแขนผมแล้ว

ผมเม้มริมฝีปากแน่น ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ผลักสัมผัสนั้นออก ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังขึ้น มันเป็นสัมผัสง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ผมรู้สึกใจเต้นรัวราวกับวิ่งมาเป็นระยะทางร่วมกิโลฯ แล้ว

อ่า… อยากปัดมันออก แต่ถ้าทำแบบนั้น ไซม่อนอาจจะเสียใจอีกก็ได้ ผมยังจำแววตาของเขาครั้งก่อนได้ ตอนที่ผมปัดมือเขาออก ถึงผมจะเคยผลักเขาไปไม่รู้กี่รอบแล้วก็ตาม ส่วนมากเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ยังตีหน้าทะเล้น ยิ้มหวาน ๆ ส่งคืนให้เหมือนเดิม แต่บางครั้งเขากับมีแววตาแบบนั้น… แบบที่แสดงออกมาให้เห็นว่าเสียใจกับการปฏิเสธของผม และบอกตามตรงเลย ผมไม่อยากเห็นแววตาแบบนั้นของเขา

“อ๊ะ! ผมตกได้แล้ว!” แดนอุทานขึ้นเสียงดังอย่างตื่นเต้นระคนตกใจ ผมรีบลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับตรงไปช่วยเด็กน้อยคนนั้น ส่วนอาของเจ้าตัวยังยิ้มยียวนกวนประสาทอยู่เลยตอนที่ผมช่วยแดนดึงปลาตัวนั้นขึ้นมา ผมพยายามไม่ช่วยแกมากเพราะให้แกคิดรู้สึกว่าเป็นผลงานของตัวเองจริง ๆ

หลังจากที่ตกปลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เอาปลาพวกนั้นกลับบ้าน ตัดสินใจว่าจะเอาปลาที่แดนตกได้ทำเป็นมือเย็น ส่วนมื้อกลางวันผมอาสาเป็นเจ้ามือพาทั้งคู่ไปเลี้ยงเอง

“แล้วคุณค่อยออกตอนซื้อวัตถุดิบมื้อเย็น” ผมพูดดักคอทันทีเมื่อเห็นไซม่อนอ้าปากจะค้าน “โอเคไหมครับ”

“ตกลงครับ” เป็นอันว่าคุยกันรู้เรื่อง

พวกเราเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง เป็นสิทธิพิเศษของผมที่เป็นลูกค้าประจำของร้านนี้เอง บวกกับเพราะโทรมาจองก่อนล่วงหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะได้ที่นั่งในร้านนี้ในช่วงเวลาเที่ยงตรงของวันได้ยาก

“โอ้โห” แดนร้องอุทานออกมาเมื่อกุ้งราดซอสกระเทียมถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า เจ้าตัวหันไปมองอาอย่างเป็นปลื้ม “คุณอาฮะ กุ้งตัวใหญ่มากเลย”

“เอาเลย แดน จัดการเลยครับ” ไซม่อนว่า มือหนาเลื่อนไปลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู “อยากถ่ายรูปไปให้คุณแม่ดูด้วยไหมว่ามากินอะไรกับอาแล้วก็น้าไซม่อนวันนี้”

“อื้อ!”

นั่นแหละ พวกเราถึงได้เซลฟี่กันสามคน บอกตามตรง… ผมลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ผมถ่ายรูปเซลฟี่น่ะ มันเมื่อไหร่ นี่พอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกชีวิตตัวเองมืดมนไร้สังคมยังไงก็ไม่รู้ นี่ผมปล่อยให้ตัวเองตกต่ำลงถึงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย

ผมอมยิ้มนิดหนึ่งเมื่อเห็นไซม่อนบังคับให้แดนกินผักในจานสลัดจนหมด และเมื่อเจ้าตัวจัดการตามนั้นไซม่อนก็ตบรางวัลให้โดยการยอมให้แดนสั่งไอศกรีมมากินเป็นของหวาน ผมขอกาแฟตบท้ายส่วนตัวเขาตกลงกับแดนว่าจะแบ่งกันกินไอศกรีมคนละลูก

ดู ๆ แล้วก็น่ารักดี… สองคนนี้เหมือนพ่อลูกกันจริง ๆ นั่นแหละ

พวกเรากลับไปขลุกอยู่ที่บ้านผมตลอดทั้งบ่าย ไซม่อนปล่อยให้แดนเล่นเกมในโทรศัพท์ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มตาปรือตามภาษาเด็ก ผมจึงบอกให้เขาพาหลานไปนอนที่ห้องนอนรับแขกบนบ้าน

ผมนั่งพิมพ์งานของตัวเองต่อในขณะที่ไซม่อนเองก็เริ่มหยิบแฟ้มคดีของตัวเองขึ้นมากางที่โต๊ะอาหาร ภายในตัวบ้านเงียบสงบอีกครั้งเมื่อพวกเราทุกคนจมอยู่กับโลกของตัวเอง

ผมขยับแว่นตาที่อยู่บนหน้านิดหนึ่งหลังจากที่อ่านทวนสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปอีกรอบ ได้ยินเสียงไซม่อนคุยโทรศัพท์แว่ว ๆ เจ้าตัวเดินออกไปคุยที่หน้าบ้านเพราะไม่อยากรบกวนผม ผมชอบที่เขาเป็นแบบนั้นนะ ถึงหลาย ๆ ครั้งจะรู้สึกเหมือนเขาก้าวล้ำเส้นของผมเข้ามามากเกินไป แต่เขาก็เคารพผมตลอด หรือแม้แต่ตอนที่เราจูบกัน พอผมบ่ายหน้าหนีอย่างอึดอัด เขาก็เข้าใจและไม่เซ้าซี้อะไรต่อ

ผมไม่ได้ปฏิเสธเขาตรง ๆ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรมากเกินไปกว่านั้น เขาเองก็คงพอรู้ ถึงได้ไม่เซ้าซี้อะไรอีก และหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์วันนั้นไปเขาก็ไม่ได้เก็บเอามาถามซ้ำ ๆ ผมรู้ว่าเขากำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะ นั่นแหละ ส่วนที่ผมชอบเกี่ยวกับตัวเขา

ไซม่อนเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้ง ผมตัดสินใจใช้จังหวะนี้พักงานของตัวเองแล้วออกไปหาเขาที่ห้องครัว เจ้าตัวกำลังรวบรวมเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีเข้าด้วยกัน เขาไม่ทันรู้ตัวว่าผมกำลังเดินเข้าไปหา ผมเหลือบมองรูปถ่ายใบหนึ่งด้วยความอยากรู้ ก่อนจะต้องรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนั้น เพราะในรูปนั่นคือเด็กชายคนหนึ่งอายุไม่น่าเกินเก้าขวบถูกห้อยแขวนคออยู่ในตู้เสื้อผ้า

“พระเจ้า” ผมอุทานออกมาเบา ๆ ไซม่อนสะดุ้งตัวอย่างแรงเพราะไม่ทันตั้งตัว เขารีบรวบเอกสารทั้งหมดขึ้นไปแล้วเก็บใส่ลงแฟ้ม จากที่ผมเห็น รูปถ่ายแบบนั้นไม่ได้มีแค่ใบเดียว และเด็กชายในรูปแต่ละคนก็ไม่ใช่คนเดียวกัน

ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองหน้าซีดลงขณะเอ่ยปากถาม “นั่นคดีที่คุณกำลังสืบอยู่เหรอ”

“ครับ ใช่” ไซม่อนตอบ สีหน้าไม่สบายใจเท่าไร “ผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ข้างหลัง คุณไม่น่าต้องเห็นเลย”

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกแกน่ะ” ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รูปถ่ายก็ตอบคำถามนั้นได้ดีอยู่แล้วแต่ผมก็ยังถามออกโง่ ๆ

“คนร้ายจับตัวพวกแกไปครับ มันซ่อนศพพวกแกไว้ในตู้เสื้อผ้า”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “กี่คนน่ะ”

“ตอนนี้ก็เจ็ดแล้วครับ”

“ตอนนี้เหรอ” ผมถามทวนเหมือนไม่อยากเชื่อ ถึงผมจะเคยทำงานคอยวิเคราะห์สภาพและการตายของศพมาก่อนก็เถอะ แต่พอมันเป็นเรื่องของเด็กตัวเล็ก ๆ แล้ว… ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วกเลย “หมายความว่ายังไง แล้วจะมีเพิ่มในอนาคตเหรอ”

“พวกเราเองก็พยายามเร่งสืบอยู่เพื่อไม่ให้มีจำนวนเพิ่มเหมือนกัน” เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สีหน้าของเขาดูอ่อนล้าต่างกับเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัดเลย ผมไม่ควรทำให้เขาเครียดเรื่องงานมากกว่าเดิมสิ

“คุณอยากได้แชมเปญไหม ที่ผมเคยบอกก่อนหน้านี้”

“แต่…” เจ้าตัวอึกอัก “คุณดื่มไม่ได้นี่นา”

“เถอะน่า ดื่มหน่อยเถอะ” ผมส่งยิ้มให้เขา รู้สึกได้เลยว่าไซม่อนงันนิดหนึ่ง นั่นสินะ ก็ผมไม่ค่อยยิ้มนี่นา “อย่างน้อยถ้าผมเปิดขวดให้คุณ ผมจะได้กลื่นของมันด้วยไง นั่นคงพอทำให้ผมชื่นใจขึ้นมาบ้าง”

ไซม่อนยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ เป็นรอยยิ้มแบบที่เขามักส่งมาให้ผมเสมอตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน

เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง ราวกับผมเป็นกวางที่ตื่นกลัวและอาจกระโดดหนีกลับไปอยู่หลังพุ่มไม้ได้ทุกเมื่อ ผมว่าตัวเองอาจจะขี้ขลาดกว่ากวางที่ว่าด้วยซ้ำ และครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองทำตัวอ่อนหัดแบบนั้นอีกแล้ว

ผมกำมือแน่น ก้มหน้าลงต่ำนิดหนึ่งขณะที่ไซม่อนค่อย ๆ แตะปลายนิ้วลงบนใบหน้าของผม เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา บริเวณที่เขาสัมผัสร้อนวูบ มันน่ากลัวเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผมรู้สึก แต่มันมีอะไรบางอย่างตามติดมาเหมือนเป็นเงา เป็นความรู้สึกวาบหวิวที่ชวนให้ใจเต้น แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงคำสารภาพรักอันแสนกำกวมของเขาขึ้นมา

‘แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ’

ผมหน้าร้อนขึ้นกว่าเดิม เหงื่อชุ่มเต็มอุ้งมืออีกรอบ แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนี ไซม่อนค่อย ๆ ทาบจูบลงมาบนริมฝีปากของผม มันอ่อนหวานกว่าคราวที่แล้วที่เราจูบกันอีก ผมครางเสียงแผ่วในลำคออย่างตื่นกลัว มือหนาเลื่อนมาประคองแก้มผมไม่ให้ผินหน้าหนี ลิ้นร้อนค่อย ๆ สอดเข้ามาภายในโพรงปากอย่างระมัดระวัง

ผมตัวสั่น มือที่สั่นระริกเอื้อมขึ้นไปวางลงบนบ่าของเขาอย่างหวาดกลัว มือค่อย ๆ กำเสื้อของเขาแน่นขึ้น สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อลิ้นนั้นกวาดขึ้นไปบนเพดานปาก ผมเกือบจะผลักบ่าเขาออกไปแล้วด้วยความตกใจ แต่ก็ยั้งตัวเองไว้อยู่ ทำเพียงขยำเสื้อของเขาแน่นขึ้นเท่านั้น

เหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมด รู้สึกตาลาย ในตัวมันร้อนรุ่มเหมือนไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น

ไม่เอาแล้ว… ผมกลัว

“อื้อ….” ผมคราง คราวนี้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ผมเผลอใช้มือที่อยู่บนบ่าเขาออกแรงผลักเขาออก ไซม่อนลืมตาขึ้นมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขาคมกริบอย่างน่าหวาดหวั่น ราวกับว่ามันกำลังเฉือนใจของผมออกเป็นชิ้น ๆ และผมก็อยู่นิ่ง ๆ บนเขียง ปล่อยให้เขาเชือดอยู่แบบนั้น

“อึก…” ไซม่อนไม่ปล่อยผมไปง่าย ๆ อีกแล้วคราวนี้ มือแกร่งยึดหลังต้นคอผม กดริมฝีปากลงมาพร้อมกับกวาดลิ้นร้อนไปทั่วทุกบริเวณอย่างกระหาย ผมสะดุ้งวาบ ตัวชาไปหมด ไม่มีแรงแม้แต่จะดิ้นขัดขืน… ไม่มีแรงแม้แต่จะผลักอกเขาออก

ผมตัวสั่น หลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างหวาดหวั่น เหงื่อไหลซึมไปทั่วทั้งตัวแล้วตอนนี้ และเหมือนไซมอนจะรู้ตัวว่าเขากำลังรุกล้ำผมมากเกินไป เขาเริ่มลดจังหวะลง แต่เหมือนความปรารถนาในตัวเขาก็มีมากเกินกว่าจะหยุดทุกอย่างได้ในทันที จูบร้อนแรงนั่นค่อย ๆ กลับมาเป็นอ่อนหวานอีกครั้ง นั่นไม่ได้ช่วยทำให้ผมหายกลัวเสียทีเดียว แต่ก็รู้สึกดีขึ้น

เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังลงบันไดมาทำให้พวกเราสองคนผละตัวออกจากกันอย่างอัตโนมัติทันที ผมเบือนหน้าหนี เดินหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ไซม่อนเองก็เหมือนกัน ก่อนที่เราจะผละออกจากกันแบบนั้น ผมเห็นว่าหน้าของเขาแดงเถือกไม่ต่างจากของผมเลย

นั่นทำให้ผมใจเต้น… ผมไม่คิดเลยว่าแม้แต่ไซม่อนเองก็ทำหน้าแบบนั้นได้ ก็หมอนี่มันสบาย ๆ ยิ้ม ๆ ไปหมดเสียทุกอย่าง มันอายเป็นกับเขาด้วยจริง ๆ สินะเนี่ย

“คุณอาไซม่อนครับ” แดนพูดด้วยเสียงงัวเงีย ยกมือขึ้นขี้ตาป้อย ๆ “ผมอยากเข้าห้องน้ำฮะ ห้องน้ำอยู่ตรงไหน”

“อ่า… เดี๋ยวน้าพาไปนะครับ” ผมรีบพูด เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไม่ให้แดนต้องลงมาเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่าง และก็เผื่อไปให้ห่าง ๆ จากตัวไซม่อนด้วย

ให้ตายเถอะ อยู่ ๆ ก็มาจูบกันกลางบ้านได้นะ ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน… ดีนะที่หลานไม่เห็น ถ้าโดนเห็นขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจเฮือก ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเหม่อลอย สัมผัสอบอุ่นถึงขั้นร้อนระอุนั่นยังติดอยู่… ยังรู้สึกเหมือนไออุ่นจากลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่เลย

แดนเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยตัวเอง ส่วนผมพิงตัวลงกับผนังด้านหลังแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้าที่ร้อนฉ่าของตัวเอง

หัวใจที่อยู่ในอกเต้นตุบตับเสียงดังราวกับจะกระเด็นหลุดออกมา






------------------------------------
Talk: ไซม่อน... เอาเด็กมาล่อออสตินว่ะ 5555555 เมื่อไหร่เขาจะได้กั---- แค่ก ก็แหม เห็นจูบมาหลายรอบละไง น่าจะเตรียมความพร้อมเสร็จแล้วไรงี้ 555555555
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 22-05-2017 16:01:23
ลุ้นตามไปด้วยเลยยย โอยยยย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-05-2017 17:59:01
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 23-05-2017 19:03:10
บทที่ 7

 
ผมกับไซม่อนเข้าครัวเพื่อจัดการเตรียมมื้อเย็นโดยยอมปล่อยให้แดนนั่งดูการ์ตูนในโทรทัศน์ได้ เห็นเจ้าตัวบอกว่าแองจี้กำชับไว้ว่าไม่อยากให้เล่นเกมหรือดูทีวีมากเกินไป ซึ่งผมว่าก็สมเหตุสมผลดี

แต่เมื่อผมกลับออกมาเพื่อเตรียมโต๊ะอาหาร แดนก็กำลังใช้ไอแพดคุยกับหญิงสาวผมแดง ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแองเจลีน แดนกำลังเล่าเรื่องที่ไปตกปลาและที่ไปกินข้าวมาวันนี้ให้เจ้าหล่อนฟัง ผมยิ้มออกมานิดๆ เมื่อเด็กชายเริ่มส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

อย่างที่ไซม่อนบอกนั่นแหละ โชคดีจริงๆ ที่แกยังมีแม่ แกเสียพ่อแกไปคนแล้ว แต่อย่างน้อย แกก็ยังมีใครสักคนให้ยึดเหนี่ยว

เสียงฟ้าร้องกระหน่ำที่ดังมาจากด้านนอกทำให้เด็กชายที่กำลังคุยกับผู้เป็นแม่สะดุ้งตัวเฮือก เจ้าตัวหันซ้ายหันขวาแล้วมาเจอผมที่กำลังจัดโต๊ะเข้าพอดี แดนแทบจะโผตัวมากอดขาผม

“คุณน้าออสติน” เขาร้องเรียกอย่างตื่นๆ “ฟ้าผ่าเสียงดังมากเลย”

“อะ… อือ ใช่” ผมพูด พยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่น นึกขำ… ทั้งขำทั้งอ่อนใจตัวเอง คือไม่รู้เลยว่าระหว่างผมกับแดนใครจะสั่นมากกว่ากัน ผมก้มลงไปหาเด็กชายตัวจ้อยพร้อมกับกอดเขาแน่น นั่นต้องใช้แรงกำลังใจมหาศาลมากนะ และถึงแม้ตอนนี้ผมจะกำลังกอดเขาอยู่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง ผมก็ยังรู้สึกใจเต้นแรงด้วยความกลัวอยู่ดี

แต่… ผมต้องหายจากอาการกลัวประหลาดๆ ของตัวเองนี่เข้าสักวันล่ะน่า… แต่ถ้าผมไม่ฝึก ไม่ฝืนเลย มันก็คงไม่มีทางหาย ผมอุ้มแดนกลับไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับลูบหัวเด็กชายด้วยมือที่สั่นนิดๆ ของตัวเอง นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่กลมจ้องผมนิ่งทีเดียว

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เอ่อ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่กำลังบอกเด็กหรือบอกตัวเอง “ไม่ต้องกลัวนะครับ น้าอยู่นี่แล้ว”

“แม่ฮะ” แดนว่า หันไปหยิบไอแพดที่วางไว้เมื่อครู่ขึ้นมาถือ “นี่ไงฮะ คุณน้าออสตินที่ผมพูดถึง”

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวในหน้าจอว่า ผมส่งยิ้มแหยๆ กลับไปให้เจ้าหล่อนแล้วทักทายกลับ “ขอโทษที่ไซม่อนพาแดนไปรบกวนนะคะ ไซม่อนนี่ก็จริงๆ เลย จะรบกวนคุณทำไมก็ไม่รู้ ร่างกายยิ่งไม่ค่อยแข็งแรงแท้ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมยิ้มตอบอย่างสุภาพ แดนที่นั่งอยู่ข้างผมเริ่มเอียงคอมองอย่างแปลกใจ

“คุณน้าออสตินไม่สบายเหรอครับ?”

“ไม่ค่อยแข็งแรงครับ แต่น้าสบายดี” ผมพูดตอบ แทบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นไซม่อนเดินออกมาจากครัวพร้อมกับอาหารที่เสร็จแล้ว ผมจึงส่งต่อไม้ให้ไซม่อนทันที

“หวัดดีครับ แองจี้” เจ้าตัวว่าพร้อมกับโบกมือให้กล้อง ผมใช้จังหวะนี้หลบเข้าครัวเพื่อหยิบเอาอาหารจานอื่นๆ ออกมาวางเรียง

เมื่อเดินกลับออกมา ไซม่อนก็ยังคุยกับแองเจลีนผ่านหน้าจออยู่อย่างนั้นโดยมีแดนเป็นลูกรับคอยเล่าเรื่องนู่นนี่เสริมให้ฟังตามประสาเด็ก ทั้งสามคนผลัดกันเล่าเรื่อง ผลัดกันหัวเราะ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอจ้องหน้าของไซม่อนอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียว รอยยิ้มของเขาสดใสจริงๆ เสียงหัวเราะของเขาดังกังวาน มันนำความเบิกบานมาให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวได้อย่างง่ายดาย ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแองเจลีนกับแดนถึงยังมีความสุขอยู่ได้ทั้งๆ ที่เสียแบรดซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวไป เพราะทั้งคู่ยังมีไซม่อนอยู่ยังไงล่ะ

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกรอบ ผมเหลือบไปเห็นแดนสะดุ้งตัวนิดหนึ่ง เจ้าตัวขยับเข้าใกล้ผู้เป็นอา เกาะแขนอีกฝ่ายทันที ผมเดินไปเลิกผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตอนนี้ฝนตกหนักมากจริงๆ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นวันเดียวกับเมื่อเช้าที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าโปร่ง ผมหันกลับไปหาอาหลานทันที

“ผมว่าคืนนี้พวกคุณค้างที่นี่เถอะครับ”

ไซม่อนหันขวับกลับมามองผมอย่างแปลกใจ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง อันที่จริงผมเองก็แปลกใจตัวเองที่ออกปากชวนแบบนั้นเหมือนกัน แต่… จะว่าไงดี ก็สองคนนี้ขับรถมาใช่ไหมล่ะ ขืนเกิดอุบัติเหตุขึ้นบนท้องถนน… อืม… จะบอกว่าผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายก็ได้นะ แต่แค่นี้ผมก็ติดหนี้ครอบครัวของไซม่อนและแดนมากพออยู่แล้ว ผมไม่อยากให้ใครเป็นอะไรไปอีก

“ได้เหรอครับ ได้เหรอครับ” แดนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที ผมพยักหน้ารับ แกจึงชูสองมือขึ้นเหนือหัวอย่างลิงโลด “เย้!”

“แต่… มันจะไม่รบกวนคุณเหรอครับ” ไซม่อนพูดอย่างไม่แน่ใจ ผมเลยเลิกคิ้วข้างราวกับจะถามว่า ‘จนป่านนี้แล้ว ยังจะมาเกรงใจกันอีกเหรอ’ คือที่ผ่านนี่ก็เป็นฝ่ายเขาทั้งนั้นที่รุกเข้าหาผมก่อน แต่พอผมเสนองี้ดันจะมาเกรงใจกันเสียอย่างนั้นน่ะนะ? ให้มันได้แบบนี้สิ

“ถ้าไม่รบกวนคุณหมอมากเกินไป ทั้งคู่พักที่นั่นก็ดีนะคะ” แองเจลีนที่ยังถือสายอยู่พูด สีหน้ากังวลเหมือนกัน ผมเข้าใจหล่อนดี หล่อนเสียสามีไปแล้ว คงไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายอีกคน “ขับรถตอนฝนตกอันตรายออก แถมเท่าที่ฟังเสียง ดูท่าจะตกหนักซะด้วย แล้วเรื่องเสื้อผ้า…”

“ของแดน ผมเตรียมมาเผื่อแล้วครับ เพราะคิดว่าแกอาจจะลงเล่นทะเลเลยเอามาเผื่อหลายตัวหน่อย”

“ผมไปเล่นน้ำพรุ่งนี้เช้าได้ไหมครับ” แดนเริ่มเขย่าขาคุณอาอย่างกระตือรือร้น วันนี้ช่วงเช้าหลังจากตกปลาเสร็จพวกเราก็ตรงดิ่งไปกินข้าวกลางวันทันที ตกบ่ายแดดก็แรงเกิน พอตอนเย็นฟ้าก็ครึ้มฝน เด็กน้อยที่ห่างหายจากทะเลมานานเลยไม่ได้เล่นเสียที

“ต้องดูก่อนนะครับ พรุ่งนี้อามีงานตอนสายๆ ด้วย”

“โธ่”

“ให้แกอยู่กับผมก่อนก็ได้ครับ” ผมว่า เห็นสีหน้าละห้อยของแดนแล้ว ใจนี่อ่อนยวบ “แล้วพอคุณเลิกงานค่อยมารับแกกลับ เพราะวันมะรืนแกต้องไปโรงเรียน ใช่ไหมครับ คนเก่ง”

“ครับ” แดนส่งยิ้มหวานมาให้ผม ผมยิ้มตอบนิดๆ ที่เขาว่ากันว่าเด็กใสซื่อและบริสุทธิ์คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ

“เฮ้อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ไซม่อนถอนหายใจเบาๆ อะไรของไอ้หมอนี่เนี่ย ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเคยเกรงใจอะไรกัน มาตอนนี้ล่ะทำเหนียม

ไซม่อนหันไปพูดอะไรสองสามคำกับคนในหน้าจอ แดนถลาตัวเข้ามาหาผม ยกแขนเล็กๆ ขึ้นกอดผมแน่น

“ขอบคุณนะฮะ คุณน้าออสติน น้าใจดีที่สุดเลย”

ผมหน้าร้อนขึ้น กอดเจ้าตัวเล็กตอบอย่างเงอะงะ มองเลยไปเห็นไซม่อนกำลังคลี่ยิ้มกว้างบนใบหน้าอย่างมีความสุข และรอยยิ้มนั่นก็ทำผมหน้าร้อนขึ้นกว่าเดิมอีก คือผมก็รู้มาแต่แรกแล้วว่านะว่ามันเป็นคนหน้าตาดี แต่พอมันยิ้มแล้ว… บรรยากาศรอบตัวดูแตกต่างจากเดิมไปเลย

ผมขุดหาเกมไพ่จากตู้เก็บของมาเล่นด้วยกันสามคนหลังจากที่เราอาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยเตรียมเข้านอน เพราะการดูโทรทัศน์ในคืนที่ฝนตกหนักขนาดนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร เล่นไปได้ไม่กี่เกม แดนก็เริ่มงัวเงีย ไซม่อนจึงตัดสินใจพาเด็กชายเข้านอน

“ไปนอนกันครับ เด็กดี เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว” พูดพลางช้อนตัวของเจ้าตัวเล็กขึ้นในอ้อมแขน แดนงอแงนิดหนึ่งเพราะยังสนุกอยู่กับเกมตรงหน้า ผมโบกมือให้เขานิดหนึ่งขณะบอกราตรีสวัสดิ์ และเมื่อไซม่อนพาแดนเข้าห้องนอนสำหรับแขกเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มรวบไพ่ทั้งหมดเก็บใส่กล่อง

ผมตัดสินใจเปิดโน้ตบุ๊คแล้วเริ่มลงมือทำงานต่อในห้องนอนของตัวเอง ตอนนี้ทุกอย่างค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว แต่ผมยังคิดว่าตัวเองอยากได้ใครสักคนมาช่วยอ่านต้นฉบับให้ หนังสือที่ผมเขียนจะเน้นไปที่ประสบการณ์การทำงานของผมเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกเคล็ดลับในการดูศพ เป็นเทคนิคเฉพาะทางที่ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะอ่านได้ ก็นะ… ก็งานที่ผมทำมามันมีแต่แบบนี้นี่หว่า

นั่งทำงานไปได้พักใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ที่ชั้นสอง บ้านผมมีทั้งหมดสามห้องนอน ห้องหนึ่งคือห้องที่ผมกำลังใช้อยู่ซึ่งเป็นห้องเก่าของพ่อกับแม่ ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนแขก อีกห้องกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว

ผมดึงแว่นตาออกจากหน้า เหลือบมองไปที่ประตูเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงคนเดินผ่าน

นั่นคงเป็นไซม่อน ว่าแต่หมอนี่ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอนอีก

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ไซม่อนคงเดินลงไปถึงด้านล่างแล้ว

คิดแบบนั้นผมก็ผุดลุกออกจากเก้าอี้ นึกขึ้นได้ ผมยังไม่ได้เปิดแชมเปญให้เขาเลยนี่นา นี่ขนาดพูดมาหลายครั้งแล้วนะว่าจะเปิด ต้องมีเรื่องนั่นนี่ให้ลืมทุกที

ผมก้าวออกมาจากห้อง เดินมาถึงชั้นล่าง ไซม่อนยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้แทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด สายฝนยังคงกระหน่ำอย่างรุนแรงภายนอกนั่น

ผมมองภาพสะท้อนจางๆ ของเขาที่อยู่บนบานกระจกหน้าต่าง เพราะเขาหันหลังให้แบบนี้ ผมเลยไม่เห็นตาของเขา และเงาสะท้อนของเขาก็จางเกินกว่าที่จะได้แววตาของเขาเช่นกัน

“ออสติน” เขาเอ่ยเรียกผมทั้งๆ ที่ยังไม่หันกลับมามองผม น้ำเสียงของเขาดูราบเรียบทำให้ผมเดาไม่ถูกว่าเขากำลังรู้สึกอะไร แต่เสียงทุ้มต่ำนั่นของเขาก็ทำให้ผมหยุดฝีเท้าลงในทันที ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น “คุณลงมาทำอะไรเหรอครับ”

ลงมาทำอะไรงั้นเหรอ… ลงมาทำอะไรงั้นเหรอ? เขาถามคำถามนั้นกับผมซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเนี่ยนะ?

“อ่า โทษที ผมถามแปลกๆ ใช่ไหม” เจ้าตัวยกยิ้ม ผมเห็นจากเงาสะท้อนของเขา

“แล้วคุณล่ะ… ลงมาทำอะไร” ผมถามย้อน ไซม่อนหันหน้ากลับมามองผมอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ กระชากใจผมอย่างแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่

“ผมเหรอ ผมลงมาหาอะไรดื่มน่ะ รู้สึกคอแห้งขึ้นมา”

“คุณอยากได้แชมเปญไหมครับ ผมบอกว่าจะเปิดให้คุณมาหลายรอบแล้วก็ไม่ได้เปิดสักที เดี๋ยวคุณจะหาว่าผมขี้โม้ พูดไปเรื่อยแต่ไม่หมายความอย่างนั้นจริงๆ” พูดพลางเดินลิ่วๆ เข้าครัว ได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายไล่ตามหลังมา

“ผมไม่พูดอะไรแบบนั้นหรอกน่า แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ออสติน”

ผมจัดแจงหยิบขวดแชมเปญกับแก้วไวน์ออกมาสองใบ แต่ผมดื่มแชมเปญนี่ไม่ได้หรอก เลยหยิบน้ำส้มกล่องจากในตู้เย็นติดมือมาด้วย รินของเหลวใส่แก้วสองใบ ยื่นแชมเปญให้เขา ยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาถือในมือ

เรายกแก้วของตัวเองขึ้นชนกันเบาๆ โรแมนติกจนแทบจะร้องไห้เลย ไซม่อนไม่ได้เปิดไฟในห้องนั่งเล่นนี่ด้วยซ้ำ เขาเปิดแค่โคมไฟตั้งโต๊ะอยู่ให้แสงสลัวๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ จากข้างนอกนั่นก็ช่างกระไร พูดเลย โรแมนติกกว่านี้มีอีกไหม

เขายกแชมเปญขึ้นจิบนิดหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มให้ผม

“รสดีเชียวล่ะครับ” แล้วเจ้าตัวก็ส่งแก้วที่ว่ามาให้ ผมขยับแก้วไวน์ในมือนิดหนึ่งจากนั้นก็จ่อจมูกเข้าไปใกล้ กลิ่นแอลกอฮอล์ของมันช่างน่าโหยหาจริงๆ ไว้รอให้ผมได้รับคำอนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ก่อนเถอะ

ผมส่งแก้วนั้นคืนให้เขา “แค่ได้กลิ่นก็พอรู้แล้วล่ะครับว่ารสดี”

“ฮะๆๆๆๆ” ไซม่อนหัวเราะเบาๆ ผมเริ่มยกน้ำส้มของตัวเองดื่ม “ขอโทษด้วยนะครับ… ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้ดื่มแชมเปญขวดอร่อยนี้ของคุณ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมดีใจนะที่คุณชอบ”

จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมพวกเราทั้งสองคน ผมปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเราเป็นอย่างนั้นครู่หนึ่ง และเมื่อน้ำส้มในแก้วผมหมดแล้ว ผมจึงเอ่ยปากถาม

“แล้วแดนล่ะครับ” ผมว่า มองก้นแก้วที่มีคราบสีส้มติดอยู่ “แกหลับสบายดีไหม”

“แกหลับสบายดีครับ ท่าทางแบบนั้นอะไรก็ปลุกไม่ตื่นหรอกจนกว่าจะถึงเช้า”

“คุณไปเยี่ยมแกบ่อยไหมครับ”

“ก็บ่อยเท่าที่ผมจะพอหาเวลาได้แหละครับ” เขาว่าพร้อมกับเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย ผมหันไปมองหน้าเขา

“คดีที่คุณกำลังทำอยู่น่ะ”

“ทำไมครับ”

“คุณจะจับตัวคนร้ายได้ไหม”

“ผมก็ทำเต็มที่นั่นแหละคุณ” เขาว่า แชมเปญในแก้วหมดแล้ว เขาหันมาทางผมเป็นเชิงถาม ผมเลยยกขวดแล้วรินใส่ให้เขาเลย ไซม่อนพูดขอบคุณเบาๆ “อืม… แต่ก็นะ คดีนี้น่ะมันผ่านมาสักพักแล้ว เหมือนมันเพิ่งถูกรื้อขึ้นมาทำใหม่ อะไรๆ ก็เลยยากสักหน่อย”

“อ่า”

“คุณเคยได้ยินไหมครับว่า” เขาว่า ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นเพราะฤทธิ์ของน้ำที่ดื่มเข้าไป “ช่วงเวลาที่ดีสุดในการไขคดีคือ 48 ชั่วโมงแรก ถ้าผ่าน 48 ชั่วโมงไปแล้วยังไขไม่ได้ โอกาสที่จะจับตัวคนร้ายได้ก็ลดลงฮวบฮาบอย่างน่าใจหายเชียวล่ะ”

“ผมเคยได้ยินมาบ้างครับ” ผมว่า ความที่ต้องทำงานกับพวกแผนกคดีฆาตกรรมก็เลยพอผ่านหูมา “แต่นี่เป็นคดีที่ถูกรื้อขึ้นมาอีกครั้ง?”

“อืม ใช่ครับ” เขาว่า “เด็กคนล่าสุดที่พบศพน่ะ… แกตายมาสองเดือนกว่าแล้ว”

“พระเจ้า…” ผมพึมพำ ถึงจะเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม แต่ก็ไม่เคยทำใจกับมันได้สักที ยิ่งเหยื่อเป็นแค่เด็กด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

“เราหยุดพูดเรื่องงานกันก่อนเถอะครับ” เขาว่า วางแก้วลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หันมามองหน้าผมตรงๆ ใจของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ผมอยากบอกขอบคุณคุณ”

“ขอบคุณผมเหรอ” น้ำเสียงผมแปลกใจไม่น้อย “เรื่องอะไรล่ะครับ”

“ก็ที่คุณช่วยดูแลแดนวันนี้ไง” เขาว่า เขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมถดตัวไประยะเท่ากับที่เขาขยับมา แต่ไซม่อนก็ยังเคลื่อนหน้ามาอยู่อย่างนั้น มุมปากยกยิ้มเล็กๆ “คุณยอมจับมือแก ยอมสอนแกตกปลา ยอมสัมผัสตัวแก ยอมกอดแก”

“เรื่องแบบนั้นใครๆ เขาก็ทำได้ทั้งนั้นแหละคุณ” ผมอ้อมแอ้ม รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนข้างตัวเพิ่งจะสารภาพรักผมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แถม… แถมเรายังเพิ่งจูบกันอย่างลึกซึ้งเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ด้วย

ผมจิกเท้าลงบนพื้นด้วยความเกร็ง ลืมนึกไปเลยว่าสถานการณ์อาจจะกลายมาเป็นแบบนี้ อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง… ชิบหายล่ะ นี่ผมเป็นเด็กป. 2 หรือไง ทำไมถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปได้

ไซม่อนส่ายหน้า “ไม่ใช่ คุณไม่ใช่ใครๆ ก็ได้ เพราะว่าเป็นคุณต่างหาก มันถึงได้พิเศษ… มันถึงได้มีความหมาย”

ผมหน้าร้อนขึ้น หลบสายตาเขาวูบด้วยความอาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น

ผมกำแก้วในมือแน่นขึ้น รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตัวเขาที่ค่อยๆ ขยับเข้ามา “คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง เนื้อตัวเริ่มสั่น ไม่รู้ว่าผมกำลังกลัวหรือว่าตื่นเต้น อาจจะเป็นทั้งสองอย่างที่ผสมปนเปกัน ผมเองก็ไม่แน่ใจ

“ผม… รู้ครับ”

“แต่คุณก็ยังลงมาข้างล่างแบบนี้” เขาว่า แขนแกร่งโอบตัวผมเข้าไปแนบชิดกับตัวเขามากขึ้น ผมสะดุ้งแรงๆ หายใจถี่ขึ้นเพราะหัวใจที่สูบฉีดแรงกว่าปกติ

เดี๋ยว! เดี๋ยวนะ! แบบนี้มันจะดีเหรอ?

ผมไม่ได้กังวลหรือว่าถือเรื่องเซ็กส์อะไรขนาดนั้น ในอดีตที่ผ่านมาเคยนอนกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่อาทิตย์เดียวมาก่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่ตัวผมในตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้วไง โดยเฉพาะไอ้อาการประหลาดๆ ที่เวลาโดนใครแตะแล้วรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาแบบนี้ ขนาดตอนนี้ที่เขาแค่โอบไหล่ผม ผมยังเหงื่อตกแล้วเลย แล้วจะให้ทำมากกว่านั้น…

“หน้าซีดลงนะคุณ” น้ำเสียงล้อเลียน แม้แต่รอยยิ้มก็ยียวนพอกัน

ผมเงยหน้าขึ้นไปจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะต้องชะงักไปด้วยความตกใจ แววตาของเขาอ่อนโยนและจริงใจผิดกับรอยยิ้มน่าถีบของเขาจริงๆ

ชายหนุ่มเลื่อนหัวแม่โป้งลงมาปาดเหงื่อที่ไหลอยู่บนแก้มของผมออก ก้มหน้าลงมาทาบริมฝีปากบริเวณนั้นก่อนจะเป่าลมหายใจรดต้นคอ ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว

“ไซม่อน… คุณ…!”

“คุณลงมาหาผมถึงข้างล่างแบบนี้ น่าจะเตรียมใจมาแล้วนะว่าจะเจอกับอะไรบ้าง”

ก็นั่นไงล่ะปัญหา… ผมไม่ได้ตั้งใจมาเจอกับอะไรทั้งนั้นแหละ!

หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 23-05-2017 19:03:57
“อื๊อ… อย่าครับ ไซม่อน ผมไม่--” ผมออกแรงดิ้นเบาๆ เมื่อใบหน้าคมเลื่อนต่ำลงซุกลงบนซอกคอผมอย่างออดอ้อน รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปดื้อๆ มือทั้งสองข้างที่พยายามผลักเขาออกสั่นเทาจนรู้สึกได้

ผมหลับตาลง ครางออกมาเสียงเบาเมื่อริมฝีปากร้อนขบลงบนบ่าผมเบาๆ ผ่านเนื้อผ้าเหมือนหยั่งเชิง ร่างของผมยิ่งสั่นหนัก กำลังจะเงยหน้าขึ้นไปด่าคนฉวยโอกาส อีกฝ่ายก็ก้มลงมาปิดปากผมด้วยปากตัวเองเสียก่อน

“อื้อ!” ผมร้องประท้วงด้วยความตกใจ ผลักบ่าของเขาออกทีหนึ่ง หากเมื่อมือหนาเลื่อนมาตะครุบมันไว้แน่นไม่ให้ผมขยับไปไหน ความวาบหวามก็เข้ามาแทนที่ความกลัว แรงปรารถนาทางกายที่ค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นมา

ความรู้สึกสองอย่างที่ตรงข้ามกันกำลังผสมกันอยู่ในตัวผมตอนนี้ มันทำให้ผมเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนจะไปต่อก็ยังไม่กล้าพอ จะก้าวถอยหลังก็ยังเสียดายเพราะอุตส่าห์เดินมาถึงตรงนี้

“ให้ตายสิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้น เจ้าตัวหอบหายใจออกมาเบาๆ ขณะพูด “คุณนี่มัน… ทำสายตาแบบนั้นแล้ว คิดว่าผมจะยอมปล่อยให้คุณกลับไปนอนง่ายๆ เหรอ”

“ไซม่อน ผม--- อุบ”

มือหนาผลักร่างผมให้นอนราบลงไปบนโซฟา กดจูบร้อนแรงลงมาอีกครั้งอย่างหื่นกระหาย

บ่าผมกระเพื่อมขึ้นลงเร็วขึ้นด้วยความกลัว นั่นทำให้คนด้านบนลดจังหวะจูบลงมาได้ ผมสังเกตเห็นสายตาที่เขามองใบหน้าผม หลุบต่ำลงมองเรือนร่างผม มันเต็มไปด้วยความห่วงใยและรักใคร่จนผมสัมผัสได้ มันทำให้ใจผมเต้นรัวขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่

เขามองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้ยังไงกัน… ที่เขาบอกว่าชอบผมก่อนหน้านี้ เขาหมายความตามนั้นจริงๆ เหรอ?

มันไม่ใช่สายตาของคนที่ปรารถนาเพียงการสัมผัสทางกาย มันล้ำลึกกว่านั้น ราวกับว่ามันคือความรัก ความคิดนั้นทำให้ผมเป็นสุขและตื่นกลัวไปพร้อมๆ กัน

“ออสติน” เขาเรียกชื่อผม อารมณ์ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำเสียงนั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบ มือหนาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของผมออกอย่างเชื่องช้าราวกับไม่แน่ใจ เหมือนเขาพยายามจะหยุดตัวเอง… แต่ก็พยายามจะฝืนก้าวต่อไปข้างหน้าด้วย “ออสติน… ออสตินครับ ผมต้องการคุณ”

ให้ตายสิ นี่หมอนี่เป็นหนุ่มน้อยเพิ่งริรักหรือยังไง

“คุณอยากจะ… นอนกับผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมว่า จ้องมือที่สั่นเทาของเขา อดนึกขันขึ้นมาไม่ได้ ผมก็สั่น เขาก็สั่น เอาสิ จบงานนี้ไปแผ่นดินจะไหวกี่ริกเตอร์คงต้องหาเครื่องมือมาวัด “อย่างคุณไม่น่าอดอยากปากแห้งเรื่องอย่างว่านะ คุณก็หน้าตาดีออก”

ไซม่อนหัวเราะเสียงใสกับคำพูดตรงๆ นั่นทีเดียว แต่ก็ใช่ว่ามันจะถ่อมตัวนะ

“ผมก็เลือกเหมือนกันนะคุณ”

“บังเอิญจัง” ผมว่าหน้าตาย “ผมก็เหมือนกันเลย”

“แล้วคุณจะเลือกผมได้ไหม”

ผมจ้องตาเขา พยายามคว้านไปให้ถึงด้านใน ไซม่อนสบตาผมตอบราวกับยินยอมจะให้ผมทำแบบนั้นอย่างเต็มใจ แต่ให้ตายเถอะ… ผมไม่เห็นอะไรนอกจากความจริงใจและอ่อนโยนของเขาเลย

“คบกับผมนะ ออสติน”

ประโยคง่ายๆ สั้นๆ นั่นทำเอาผมใจกระตุกวูบ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ยิ่งได้สบกับดวงตาคู่สวยของเขาตรงๆ

ไซม่อนคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ มันฉาบความไม่มั่นใจและกลัวการโดนปฏิเสธมาด้วยบางๆ ผมรู้ว่าเขาพยายามปกปิดส่วนนั้น แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นมันอยู่ดี

การที่ได้รู้ว่าเขากลัวที่จะโดนผมปฏิเสธ มันทำให้หัวใจพองฟูขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ชายหนุ่มโน้มหน้าลงมาจูบริมฝีปากของผมอีกครั้งราวกับขอกำลังใจ มันอ่อนนุ่มชวนให้ผมใจละลาย ผมจ้องหน้าเขา ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ

ผมพร้อมแล้วเหรอที่จะกระโดดลงไปในความสัมพันธ์รูปแบบนี้? เวลาที่ผ่านมาเยียวยาจิตใจผมได้เพียงพอแล้วเหรอ? แล้วถ้าผมตอบตกลงเขาไป แต่ทำตามความคาดหวังของเขาไม่ได้ มันจะไม่ยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจเขามากกว่าเดิมเหรอ?

“ทำหน้าแบบนั้น… คิดหนักเลยสิคุณ” เขาถามยิ้มๆ หากมันก็ยังปกปิดความไม่มั่นใจของตัวเองได้ไม่หมดอยู่ดี

“ก็ต้องคิดหนักสิ คุณเล่นมาขอผมคบในสถานการณ์แบบนี้”

“อ้าว” เจ้าตัวแกล้งตีหน้าเหลอหลาได้อย่างน่าถีบ “แล้วถ้าไม่ในสถานการณ์แบบนี้ มันต้องแบบไหนล่ะครับ”

“คุณขอตอนนี้ มันก็เหมือนแค่เพราะคุณอยากจะนอนกับผมเท่านั้น”

แววตาอ่อนโยนของเจ้าตัวประกายวูบขึ้นมาทันที ผมสะดุ้งนิดหนึ่ง และเมื่อมองลึกเข้าไปในนั้นรอบนี้ ผมเห็นแต่ความหนักแน่นมั่นคง ตรงไปตรงมาของเขา

“วันไนท์แสตนด์เหรอ? เห็นผมเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ คุณหมอ”

“เอ่อ ไม่ ผมแค่บอกว่า--”

“คุณคิดว่าผมจะขอคนที่อยากนอนด้วยแค่คืนเดียวคบอย่างนั้นเหรอ? คุณคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ ออสติน”

ไม่… ไม่คิด แค่…

ไซม่อนจ้องหน้าผมเนิ่นนาน ปล่อยให้ผมอึกๆ อักๆ จนสมใจแล้วจึงเลื่อนหน้าลงมาจูบผมอีกรอบ ผมปล่อยให้เขาทำแบบนั้นโดยไม่ขัดขืน อาการกลัวสัมผัสค่อยๆ เลือนไป เหมือนเอาแต่คิดเรื่องอื่นจนลืมนึกถึงมากกว่า

มือหนาเลื่อนลงมาช้อนหลังผมขึ้นจากโซฟา ดึงร่างผมไปกอดแนบอก ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นรัว ไม่สิ หรือว่านั่นเป็นของผมกันนะ? ผมเองก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน

“คุณรังเกียจผมเหรอครับ” เสียงนั้นกระซิบลงมาเหมือนตัดพ้อ

“เปล่า… เปล่าครับ” ผมว่า ร่างกายที่สัมผัสกับตัวเขายังเกร็งอยู่เป็นบางส่วน แต่ไม่ได้ตื่นกลัวจนอยากจะวิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว “ผม… ไม่ได้รังเกียจ”

“งั้น… เป็นผมได้ไหม ออสติน” ลมร้อนเป่าลงที่ข้างหูชวนให้วูบวาบ ผมหลับตาแน่น หูอื้อไปหมด ในอกจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ “ให้โอกาสผมได้ไหม ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณ”

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับการโดนขอคบครั้งนี้ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองรักเขารึเปล่า… บางทีอาจจะนึกนิยมอยู่บ้างที่เขาคอยมาดูแล และถ้าให้เลือกระหว่างชอบกับเกลียด… ก็คงเลือกได้ว่าชอบ แต่ถ้าถามว่ามันเรียกว่าความรักไหม ผมเองก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน

หงึก

แต่ถึงจะคิดวุ่นวายอยู่ในหัว ผมก็พยักหน้าให้เขาไปแล้ว ก่อนจะพูดเสียงเบา

“ตกลงครับ”

เขาถลาเข้ามากอดผมแน่นขึ้น วางคางลงบนบ่าผมแล้วเริ่มซุกหน้าลงมา “ผมรักคุณ”

ผมกลืนน้ำลาย เกือบจะพูดกลับไปว่า ‘ผมเองก็รักคุณ’ อยู่แล้ว คำบอกรักของเขามันทำให้ผมเคลิ้มจริงๆ นะ

ไซม่อนทาบริมฝีปากลงมาบนปากผมอย่างร้อนแรงอีกครั้ง กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก อาการหวาดกลัวของผมค่อยๆ กลับมาอีกรอบเมื่อคนด้านบนออกแรงกดริมฝีปากลงมามากขึ้น สอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างจาบจ้วง และเหมือนอีกฝ่ายจะจับสังเกตได้ เขาลดจังหวะของตัวเองลง ทาบริมฝีปากลงมาอย่างนุ่มนวล

ผมเอียงคอ เลื่อนแขนขึ้นโอบรอบคอเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่สัมผัสพวกนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

มือหนาผลักอกผมนอนราบลงไปกับโซฟาอีกรอบ ก้มลงมาจูบอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างถวิลหา ผมสงสัยว่าเขาต้องอดทนกับเรื่องนี้มานานเท่าไร… ต้องอดทนมามากแค่ไหนเพื่อรอช่วงเวลานี้

ไซม่อนช้อนร่างผมให้ลอยขึ้นมานิดหนึ่งจากนั้นก็กอดผมแน่นอย่างหวงแหน หน้าของผมเห่อร้อนไปหมด ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้อีก ไออุ่นจากร่างกายของใครอีกคนเป็นสัมผัสที่ผมห่างหายมาเนิ่นนานจนเกือบจะลืมไปแล้ว

ผมยอมรับนะว่าตัวเองยังกลัวอยู่ ตัวของผมสั่น ไหล่สะท้านขึ้นลงอย่างน่าสมเพช ลมหายใจเร็วและไม่คงที่ แต่ผมกลับต้องการมันมากพอๆ กับที่ผมกลัว

เขาก้มลงจูบที่แก้มผม จากนั้นก็กระซิบถามเสียงเบาด้วยน้ำเสียงยั่วยวน

“คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าเราไปทำกันที่ห้องของคุณ”

ผมขยับหน้าไปจูบปากเขาเร็วๆ ทีหนึ่ง มือเลื่อนไปสัมผัสเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเขา มันนุ่มกว่าที่คิด

“ไม่ว่าหรอกครับ”

“งั้นก็เยี่ยมเลย”

เราลุกออกจากโซฟา ผมลูบหัวของตัวเองนิดหนึ่งอย่างเคอะเขิน หากอีกฝ่ายเลื่อนมือมาจับมือผมมั่น

ไซม่อนเดินนำผมขึ้นไปโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือเลย หัวใจในอกข้างซ้ายของผมยังคงเต้นรัว อะดรีนาลีนในร่างกายสูบฉีดจนทำให้ปั่นป่วนไปหมด

ผมปล่อยให้เขาพาผมเข้าไปในห้องของตัวเอง เป็นความรู้สึกที่ตลกดี เขากุมมือของผมไว้แน่น ยกมันขึ้นไปจรดริมฝีปากลงบนหลังมือ ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายหรืออัศวินหรือยังไง ทำอะไรน่าอายเป็นบ้าเลย แต่ตัวผมเองที่ดันเขินไปกับการกระทำนั้นของเขาด้วยน่าจะบ้ามากกว่า

ไซม่อนเลื่อนมือมาถอดเสื้อผ้าของผมออก ผมทำตามเขา เลื่อนมือไปถอดเสื้อผ้าเขาบ้างอย่างกล้าๆ กลัวๆ เห็นไซม่อนยิ้มที่มุมปากกับท่าทีอ่อนหัดนั่นของผม ทำไงได้ล่ะ… ก็ผมยังไม่ชินกับการโดนตัวคนนี่นา

มือหนาดันให้ผมล้มลงไปนอนบนเตียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าผมจะเจ็บ ผมหลับตาแน่นปี๋ทันทีที่ร่างสูงเบียดลงมากอดผมแน่น เนื้อตัวของพวกเราทั้งคู่เปลือยเปล่า

ให้ตาย… สัมผัสแบบนี้… เหมือนผมกำลังละลายอยู่ในอ้อมกอดของเขาเลย

“ออสติน” เขาพึมพำเรียกชื่อผมขณะไล้มือลงบนแก้ม หน้าของเขาติดสีแดงจางๆ ผมมองเห็นเขาจากแสงไฟสลัวๆ ซึ่งมาจากโคมไฟบนหัวเตียง เขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จริงๆ ผมสงสัยเหลือเกินว่ามีผู้หญิงกี่คนที่พยายามเข้าหาเขา และเขารับมือกับพวกหล่อนยังไง

“อึก…” ผมเกร็งตัวเมื่อคนที่ขึ้นคร่อมผมด้านบนไล้สันจมูกลงมาบนซอกคอ ความกลัวพุ่งขึ้นมาจับใจก่อนเป็นอย่างแรกจากนั้นก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความเสียวซ่าน เขาเลื่อนหน้าเข้ามาจูบผมอีกรอบด้วยจังหวะที่เร็วและแรงขึ้น ผมป่ายมือไปเกาะบ่าเขาอย่างเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก อย่างกับคนที่ไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ไซม่อนคลอเคลียอยู่แถวๆ ซอกคอและใบหน้าของผมอย่างนั้นเนิ่นนาน เราแลกลิ้นกัน จูบตอบกันราวกับว่าร่างกายไม่เคยได้รับสัมผัสวาบหวามแบบนี้มานาน กับผมน่ะคงห่างหายมันมานานแน่ แต่สำหรับเขาแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ฮะ… แฮ่ก ไซ… อึก!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนด้านบนลากฝ่ามือสากไปตามผิวเนื้อเปลือยเปล่าแล้วเริ่มบดขยี้ลงบนยอดอก ผมใจหายวาบด้วยความกลัว สัมผัสของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงปรารถนา เขาก้มหน้าลงมาจูบผมอย่างอ่อนโยนราวกับจะปลอบ หากมือซุกซนข้างหนึ่งยังคงหยอกล้อกับแผ่นอกของผมไปมา มืออีกข้างช้อนตัวผมไว้จากด้านล่าง ยึดเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ผมดิ้นหนีไปไหน

ผมหลับตาแน่น ความรู้สึกภายในพลุ่งพล่านสลับกันระหว่างกลัวสุดขีดกับเป็นสุขอย่างล้นปรี่ เหมือนสองขั้วที่อยู่คนละด้านสลับกันไปมาจนทำให้ผมมึนงงไปหมด ร่างของผมสั่นอยู่ในอ้อมแขนเขา ไซม่อนจรดริมฝีปากลงมาอีกแล้ว ผมจูบตอบเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองสั่นแรงขึ้น น้ำใสๆ เริ่มเอ่อขึ้นมาบนหางตาทั้งสองข้าง มันมาจากความเสียวซ่านกับความหวาดหวั่นที่ผมมี ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรรุนแรงมากกว่า

“ออสติน” เสียงนั้นเรียกชื่อผมอย่างโหยหา สัมผัสอุ่นและชื้นจากลิ้นของเขาตวัดลงบนใบหู ผมกระตุกตัวด้วยความตกใจ ผิวกายของเขาที่แนบติดกับร่างผมชื้นไปด้วยเหงื่อ แผ่นอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อจนถึงหน้าท้องแนบอยู่กับร่างกายของผม ความร้อนจากเนื้อตัวของเขาทำให้ผมหอบหายใจถี่ขึ้นมาอีกครั้ง ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ควรกลัว แต่มันห้ามความรู้สึกไม่ได้จริงๆ “ออสตินครับ”

มือสากไล้ลงบนต้นขาผม สะดุดอยู่ตรงบริเวณรอยแผลจางๆ ฝ่ามือเขาไล้วนไปมาอยู่บริเวณนั้นครู่หนึ่ง ผมหวังว่าเขาจะไม่รู้ว่ารอยแผลนั่นเกิดจากอะไร… หวังว่าเขาจะไม่ได้พยายามเพ่งมองในความมืดเพื่อพิจารณามัน แผลตรงนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าดูอะไรนักหรอก

“อะ… อ๊ะ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนาเลื่อนต่ำลงไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวของผมอย่างเบามือ สัมผัสนั้นอ่อนโยนจนทำให้ผมอยากจะร้องไห้

ผมปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาข้างแก้ม ลืมตามองเขา ไซม่อนไล้สันจมูกลากลงตั้งแต่แผ่นอกของผมจนถึงหน้าท้อง เลื่อนหน้าไปโลมเลียอยู่แถวๆ ต้นขาของผม ทุกส่วนที่โดนเขาสัมผัสร้อนราวกับโดนไฟลวก

ผมตัวสั่น แม้แต่มือที่ยกมาปิดหน้าตัวเองยังสั่นจนผมยังนึกสังเวชตัวเอง ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ต้นขาของผมอย่างหยอกล้อ ผมได้ยินเขาเรียกชื่อผม มันผสมปนเปกับเสียงหวีดหวิวที่อยู่ในหัวของผม

“ออสติน” เขาว่า เสียงหอบหายใจที่ปนมาน้อยๆ กับคำพูดนั้นฟังดูเซ็กซี่เป็นบ้า เขากุมมือลงบนแกนกลางของผมแล้วเริ่มขยับขึ้นลง “ออสตินครับ ได้ยินผมไหม”

“ดะ… ได้ยิน” ผมขานรับอย่างมึนงง ในหัวมันตื้อไปหมด เหมือนจะเป็นลม

“ผิวคุณขาวจัง” เขาว่า นัยน์ตาสีฟ้าอมเทากวาดมองไปทั้งร่างของผมอย่างโลมเลีย ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว “ปกติเห็นแต่ผิวที่แขนกับขาคุณ… มันกลายเป็นสีนั้นเพราะคุณไปตกปลาบ่อยสินะ”

“ยะ… อย่ามอง” ผมพูดเสียงสั่น รู้ดีว่าผิวส่วนที่ไม่ได้โดนแดดของตัวเองขาวซีดขนาดไหน “อ๊ะ…. อึก! ไม่เอา…”

ผมเริ่มบิดตัวน้อยๆ เมื่อคนด้านบนเลื่อนหน้าลงมาครอบปากลงบนส่วนนั้นของผมแล้วเริ่มแทะโลมอย่างชำนาญ ผมเลื่อนมือไปจิกเส้นผมอ่อนนุ่มของเขา น้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้มมากขึ้น

ผมหลับตาแน่น รู้สึกถึงความกลัวที่ค่อยๆ เข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง ทั้งร่างเกร็งกระตุกเมื่อนิ้วเรียวถูกสอดเข้ามาจากปากทางเข้าด้านหลัง ผมกรีดร้องรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ราวกับอากาศกำลังจะหมดลงอย่างไรอย่างนั้น

“อะ… อ๊ะ!!! ไม่เอา! ไม่เอาแล้ว ได้โปรด! หยุดเถอะ ไม่นะ!!”

นั่นเป็นตอนที่นิ้วที่สองถูกสอดเข้ามาในตัวผม ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว รับรู้ได้เพียงแต่ความกลัวของตัวเอง นิ้วเรียวที่ขยับอยู่ในร่างผมหยุดลงแทบจะในทันที แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมถอนมันออกไป ผมอยากจะขยับตัวไปดึงมันออก แต่เหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปหมดแล้ว ทำอะไรไม่ได้นอกจากหายใจหอบถี่แบบนั้น

ผมกลัว… ไม่เอาแล้ว ทำไมต้องทำแบบนี้ ได้โปรด หยุดเถอะ พอเสียที

“ออสตินครับ” เสียงเรียกอย่างอ่อนโยนดังขึ้น แต่ผมไม่กล้าลืมตาขึ้นมอง ทำไมเขาไม่รีบๆ เอานิ้วออกไปจากตัวผมสักที ได้โปรด ผมกลัวแล้ว ผมไม่อยากทำแบบนี้ ผมทำอะไรผิด… “ออสตินครับ คนดี ลืมตาขึ้นมามองผมก่อน”

“ฮะ… ฮึก ไม่เอา ไม่เอาแล้ว ผมขอโทษ” ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำขณะที่พูดถ้อยคำพวกนั้นออกไป น้ำใสๆ ไหลอาบแก้ม “ได้โปรด ยกโทษให้ผมด้วย ไม่เอาแล้ว… ผมกลัว”

“ชู่ว” สัมผัสอ่อนโยนและบางเบาแตะลงบนแก้มของผม คนคนนั้นเลื่อนริมฝีปากลงมาจรดบนหน้าผาก จากนั้นก็แตะลงมาที่เปลือกตาผมอย่างแผ่วเบา “ได้โปรดเถอะครับ ออสติน ลืมตาขึ้นมาก่อนเถอะนะ ที่รักของผม ช่วยฟังคำขอของผมเถอะนะ”

ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างหวั่นเกรง นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นจ้องมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยนและรักใคร่ นัยน์ตาสีเหมือนกับเหวลึกนั่น นัยน์ตาที่ทำให้ผมยอมปล่อยตัวเองให้ทิ้งตัวลงไป จมดิ่งเข้าไปในนั้น

ความกลัวที่เกาะกินหัวใจผมอยู่ค่อยๆ หายไป ไซม่อนเลื่อนหน้าลงมาจุมพิตริมฝีปากอีกรอบอย่างแผ่วเบา

“ไม่ต้องกลัวแล้ว ออสติน”

“อะ… อ่า” ผมคราง น้ำอุ่นๆ หยดลงข้างแก้มอีกรอบ เขากดสันจมูกลงตรงนั้น มันอ่อนโยน ชวนให้สบายใจ

“มองผมนะครับ คนดี มองตาผม นี่ผมเอง ไซม่อนไง ไม่ใช่คนที่คุณกลัว”

“ไซ… ม่อน” ผมเรียกชื่อเขาราวกับจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง เขากดริมฝีปากลงมาอีกรอบ ผมเริ่มจูบตอบเขาอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกวาบหวามกลับมาอีกครั้ง เขาเริ่มขยับนิ้วที่อยู่ในร่างของผมไปมาอีกรอบ ผมกระตุกตัวด้วยความตกใจ ร่างกายของผมยังสั่นอยู่ แต่ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“ใช่แล้วครับ ออสติน” เขาพูด พรมจูบลงทั่วใบหน้าของผมอย่างหวงแหน ผมค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นไปโอบบ่าเขา ไม่ละสายตาไปจากหน้าของเขาเลย “คนดีของผม เชื่อผมเถอะนะ ผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บหรอก”

“อะ… อือ”

“ผมรักคุณ” เขาเอ่ยคำนั้นออกมาพร้อมกับจูบลงบนหน้าผากของผมอีกรอบ แขนผมสั่น… แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่เขาถ่ายทอดมาให้ผมรับรู้ต่างหาก

ไซม่อนประกบริมฝีปากลงมาอีกรอบ มันอ่อนหวาน ละมุนละไม ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ อยากให้เขาอยู่ตรงนี้กับผมไม่ไปไหน จูบของเขาแรงขึ้น นั่นทำให้ผมไหวตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่ผมก็จูบตอบเขา เขาเริ่มสอดนิ้วที่สามเข้ามาในตัวผมแล้ว ผมครวญครางด้วยความเสียวซ่าน สะดุ้งตัวเมื่อเขาค่อยๆ ถอนมันออกไปทีละนิ้ว

ผมหลับตาลงอีกรอบ ได้ยินเสียงฉีกถุงยางจากคนตรงหน้า พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าเขาจัดการใส่มันให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมหน้าร้อนวูบเมื่อคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ถึงมันจะมีความหวาดหวั่นปนมากับความตื่นเต้นนั้นด้วยก็เถอะ

“ไซม่อน…”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเลื่อนหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากของเขา ได้ยินเสียงหอบหายใจแรงๆ ของตัวเองปนไปกับเสียงหอบหายใจของเขา ไซม่อนค่อยๆ ดันแกนกลางของตัวเองเข้ามาในร่างของผม ผมเกร็งตัวแน่น เท้าจิกลงบนผ้าปูที่นอน นิ้วจิกลงบนแผ่นหลังของเขาอย่างหวาดกลัว ผมรู้ดีว่ากำลังทำให้เขาเจ็บ แต่เขาไม่ว่าอะไรสักคำ

เขาดันร่างเข้ามา หัวใจในอกของผมเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหวาดหวั่น หากเมื่อได้สบตากับเขา… ราวกับสายตาคู่นั้นกำลังบอกผมว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นไร นั่นแหละผมถึงยังคุมสติของตัวเองอยู่ได้

ผมเชื่อในตัวเขา… อย่างน้อยการที่ผมตัดสินใจนอนกับเขาแบบนี้ก็แปลว่าผมต้องเชื่อเขามากพอสมควร

อย่างน้อย… เวลาที่ได้อยู่กับเขา ผมก็รู้สึกสบายใจ

“อึก!” ผมอุทาน หลับตาลงพร้อมกับกอดเขาแน่นขึ้น ไซม่อนเลื่อนมือมาจับต้นขาผมให้เปิดกว้างออกเพื่อจัดท่า จากนั้นเขาจึงขยับสะโพกลงมาแล้วเลื่อนแขนมากอดผมไว้อย่างหวงแหน ผมกอดตอบ พยายามบังคับขาของตัวเองให้เปิดอ้าอยู่อย่างนั้นเพื่อให้เขากระแทกตัวลงมาโดยง่าย

“อือ…”

ผมได้ยินเสียงครางออกมาจากริมฝีปากนั้นของเขา ผมลืมตาขึ้นมอง เหงื่อเม็ดหนึ่งหยดลงจากปลายคางของเขา มันตกกระทบลงบนตัวผม ผมเองก็ร้อนไปหมดทุกส่วนเหมือนกัน ผมเลื่อนมือขึ้นลูบใบหน้าคมสันของเขาอย่างแผ่วเบา ร้องครางออกมาอีกระลอกเมื่อคนด้านบนขยับเอวด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น

อึก… กลัวจัง น่ากลัวชะมัด ใครก็ได้ เอาผมไปจากตรงนี้...

“ซะ… ไซม่อน” ผมเรียกชื่อเขาราวกับจะขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มลดจังหวะลงทันที ก้มหน้าลงมาจูบปากผมอย่างปลอบโยน หัวใจที่เต้นรัวด้วยความกลัวค่อยๆ สงบลง และเมื่อมันเลือนหายไป ผมก็ค่อยๆ ตวัดลิ้นไปเกี่ยวรับกับลิ้นร้อนของเขา จูบตอบเขาด้วยความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีเซ็กส์ และผมก็เคยทำได้ดีกว่านี้ หวังว่านั่นคงไม่ทำให้เขาผิดหวังมากจนเกินไป

“อึก…!” ร่างกายกระตุกเป็นครั้งสุดท้ายและน้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมาจากตัว ผมปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจจนตัวโยน เกี่ยวแขนขึ้นไปดึงร่างสูงลงมา

“ผมรักคุณ ไซม่อน” ผมกระซิบข้างหูเขาอย่างรู้ดีว่าเขากำลังรอคำนั้น

ไซม่อนผละตัวออกไปอย่างเชื่องช้า ไม่ละสายตาออกจากผม ผมมองตาเขาตอบก่อนจะส่งยิ้มให้ ขยับขึ้นไปหอมแก้มเขาเบาๆ เขาให้รางวัลด้วยการหอมแก้มผมตอบ จากนั้นก็ผลักผมให้ลงไปนอนบนหมอนแล้วพรมจูบลงทั่วหน้า

ผมหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะแบบที่ผมไม่ได้ทำมานานแล้ว เขาส่งยิ้มมาให้ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขาสวยจริงๆ ผมแทบไม่อยากให้เขามองอย่างอื่นนอกจากผมเลย

“คุณน่ารักเกินไปแล้ว ออสติน ให้ตายเถอะ” เจ้าตัวว่าเหมือนคราง ซุกหน้าลงมาบนบ่าผมอีกรอบ

“น่ารักเหรอ? คุณต่างหากล่ะ… ที่น่ารัก” ผมว่า เลื่อนมือไปเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเขาเล่น หลุดหัวเราะออกมาอีกรอบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพวกเราเป็นผู้ชายสองคนที่ต่างฝ่ายต่างบอกว่าอีกฝ่ายน่ารัก… ติงต๊องชะมัด ถ้าใครมาได้ยินเข้าคงต้องหัวเราะก๊ากแน่ๆ

“ขำอะไรน่ะคุณ?” เขาเลิกคิ้วถาม รอยยิ้มบนมุมปากยียวนไม่น้อย ผมดันร่างตัวเองขึ้นกอดเขาแน่นก่อนจะว่า

“คุณจำได้ไหม ไซม่อน เรื่องเกาะที่อยู่ห่างจากที่นี่… ที่ที่แม่ของผมเรียกมันว่าเป็นสถานที่ศักสิทธิ์น่ะ สถานที่ที่อยู่แล้วชวนให้สบายใจ รู้สึกปลอดภัย… แล้วก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้”

“จำได้ครับ”

“คุณรู้ไหม… ผมน่ะไม่จำเป็นต้องไปถึงที่เกาะนั่นหรอก” ผมหัวเราะออกมาอีกรอบ ทาบจูบลงบนริมฝีปากเขาอย่างหวงแหน “แค่ได้อยู่กับคุณก็พอ… ไซม่อน คุณคือสถานที่ศักสิทธิ์ของผม คือที่พักพิงของผม”

เขาตอบผมด้วยการทาบจูบอ่อนโยนลงมาอีกครั้ง มือเลื่อนลงมาประกบติดกับฝ่ามือของผม

ให้ตายสิ ผมห่างหายกับสัมผัสอ่อนหวานชวนให้ลุ่มหลงแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?





-------------------------------------------------
Talk: พอดีเรารีไรท์บทที่ 7 น่ะค่ะ เลยเอามาลงอีกรอบ ใครอ่านแล้วอ่านซ้ำก็ได้น้าาา อิอิ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-05-2017 21:41:02
ด้วยอิทธิพลจากเม้นท์บน พออ่านเจอว่าผมใช้กำลังกับเขา... แอบคิดลึกเลยอ่ะ (หัวเราะ)

ใช่มะ ยิ่งอ่านตอนนี้ยิ่งรู้สึก เขาใช้กำลังกันก่อนหน้า แปลว่า ไซม่อนกับแบรดนี่ ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย
จิงจัง ไซม่อน ทำไม นายหาเรื่องเข้าใกล้ออสติน สรุปคือตั้งใจมาทวงหัวใจพี่ชายตัวเองให้กลับมาเป็นของตัวเองแบบนี้มะ ???

เป๊ะเลย คิดเหมือน
ไซม่อน จริงจังมากกับการเข้าหาออสตินมากกกกก
แล้วออสติน ก็เปิดใจกับไซม่อน เอาชนะความกลัว การสัมผัส
แล้วทุกอย่างก็ไปได้สวย เหมือนธรรมชาติเป็นใจ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไซม่อน อ่อนโยน ใจเย็น เอ่อ....ที่ควรใจร้อน ก็ร้อน  สุดยอดดดด  :m25: :pighaun: :haun4:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-05-2017 22:42:36
เหมือนจะก้าวหน้าไปอีกขั้น
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 24-05-2017 06:35:43
ไซม่อนรุกเร็วมาก...
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-05-2017 19:17:05
บทที่ 8




คนข้างตัวผมเริ่มขยับตัวขยุกขยิกท่ามกลางความมืด

ความกลัวแล่นเข้ามาเกาะกุมในหัวใจผมเป็นอย่างแรก สัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงมาบนท่อนแขนทำเอาผมแทบสะดุ้ง เนื้อตัวเกร็งขึ้นด้วยความตกใจและหวาดกลัว หากเมื่อเพ่งมองในความมืด รับรู้ว่าคนที่อยู่ข้างกายเป็นใคร ความกลัวเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางลง อาจจะยังไม่หายไปทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลัวจนหัวใจแทบวายอีกแล้ว

“ออสติน” ไซม่อนเรียกชื่อผม ท่ามกลางความมืดที่มีแสงสลัว ๆ จากโคมไฟที่เจ้าตัวเอื้อมมือไปเปิด ผมเห็นเขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ “อรุณสวัสดิ์ครับ ขอโทษทีที่ทำให้คุณตื่น”

“อือ… ไซม่อน?” ผมพูดอย่างไม่แน่ใจ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เลื่อนมือไปแกะมือของเขาออกจากแขน คือ… เราสองคนเพิ่งจะนอนด้วยกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เองนะ แค่จับแขนแค่นี้นายจะกลัวอะไรนักหนาวะ ออสติน “ทำไมรีบตื่นจัง นี่เพิ่ง… ตีห้าเอง?”

“เดี๋ยวผมต้องรีบไปทำงานไงคุณ” เขาพูดยิ้ม ๆ เขยิบตัวขึ้นคร่อมผม ลงถ้าเขาล็อคไว้แบบนี้ แล้วผมจะหนีไปไหนได้ล่ะ “แต่ก่อนไป…. ผมอยากกอดคุณก่อน”

“คุณ….” ผมหรี่ตาลง มองคนด้านบนเหมือนเอือม ๆ แต่ก็รู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าแดงขึ้นมาแล้ว “จริง ๆ เลยนะ แล้วไม่คิดจะถามผมสักคำเลยรึไงว่าอยากรึเปล่าน่ะ?”

“ก็ตั้งใจจะถามตอนนี้แหละครับ” ไซม่อนว่าพร้อมกับโน้มหน้าลงมาหอมแก้มผมฟอด ผมเผลอเกร็งตัวนิดหนึ่งก่อนที่สัมผัสนั้นจะแตะลงมา ถึงไอ้อาการกลัวการถูกเนื้อต้องตัวของผมจะดีขึ้นจากเซ็กส์เมื่อคืน แต่มันก็ไม่ได้หายไปอย่างหมดจดจริง ๆ สินะ

ไซม่อนดูเสียใจนิดหน่อยกับอาการหวาดกลัวนั้นของผม “อ่า…”

“คือ… ผมไม่ได้ตั้งใจนะ” ผมอึกอัก รู้สึกไม่ดีเลยเวลาเห็นเขาทำหน้าแบบนั้น ผมพยายามพิสูจน์คำพูดตัวเองด้วยการเลื่อนมือไปประคองใบหน้าของเขา สัมผัสที่ปลายนิ้วโดนที่แก้มทำให้ผมรู้สึกแปลบ ๆ ขึ้นนิดหน่อย แต่พอทิ้งไว้แบบนั้น ครู่เดียวมันก็หายไป ผมไม่ได้กลัวการสัมผัสอีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มากเท่าเดิม ผมหมายถึง… ผมคงไม่กลัวไปตลอดชีวิตหรอก ถูกไหม? “ผมแค่ยังไม่ชินเท่านั้น แต่ผมไม่ได้รังเกียจคุณนะครับ”

ไซม่อนยกยิ้มให้กับความพยายามนั้นของผม เขาก้มลงแตะริมฝีปากที่แก้มผมอีกรอบ คราวนี้ผมไม่เกร็ง แค่หลับตาลงเบา ๆ ปล่อยให้เขาคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าและบริเวณซอกคอ เขาเลื่อนหน้าขึ้นมาจูบผมอย่างอ่อนหวาน ผมจูบเขาตอบ พร้อมกันนั้นก็เลื่อนแขนไปโอบรอบคอเขาราวกับต้องการพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมทำได้ ผมไม่ได้กลัวหรือรังเกียจเขา

ใช่ และตอนนี้ผมก็ไม่ได้กำลังฝืนตัวเองอยู่ด้วย

“อื้อ…” ผมครางในลำคอนิดหนึ่งเมื่อไซม่อนเริ่มกวาดลิ้นเข้ามาควานหาความหวานภายใน ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น เหมือนมันจะหลุดออกมาจากอกเลย

มือแกร่งเลื่อนลงมาเลิกเสื้อผมขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นหน้าท้อง ดึงกางเกงท่อนล่างลงพอประมาณ นั่นทำให้ผมตกใจนิดหน่อยเพราะมันรวดเร็วและรวบรัดกว่าเมื่อคืนมาก ๆ แต่ก็พอจะเดาได้ล่ะนะว่าเขาต้องรีบไปทำงานต่อ

...แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วยใช่ไหม ไอ้หมอนี่ ให้ตายสิ….

“อ๊ะ… อือ” ผมครางออกมาเบา ๆ ขณะที่คนด้านบนขยับสะโพกเอื่อย ๆ

สัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วลากลงมาบนยอดอก ผมบิดตัวน้อย ๆ พร้อมกับหอบหายใจระรัว ครั้งนี้มันไม่ได้รุนแรงเท่ากับครั้งแรก… ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ บางทีอาจเป็นเพราะครั้งนี้ผมไม่กลัวลนลานจนคิดอะไรไม่ออกแบบเมื่อคืนก็ได้

“ออสติน” ไซม่อนพึมพำเรียกผมขณะขยับเสื้อยืดที่ใส่อยู่ขึ้นไปกัดไว้ในปาก กล้ามเนื้อท้องเป็นมัด ๆ ของเขาที่เผยออกมาทำให้ผมหน้าร้อนวูบขึ้น เมื่อคืนมัวแต่สติแตกเลยไม่ได้สังเกตร่างกายของคนตรงหน้าเท่าไรเลย แต่หมอนี่หุ่นดีจริง ๆ สมแล้วที่ทำงานด้านนี้

“ฮะ… แฮ่ก” ผมหอบหายใจถี่ขึ้นเมื่อคนด้านบนเร่งจังหวะ ทุกส่วนของร่างกายที่ถูกเขาสัมผัสร้อนวูบวาบไปหมด มันยังทำให้ผมกลัวอยู่ แต่ก็ทำให้รู้สึกดีไปพร้อม ๆ กันด้วย แปลกดีที่คนเราสามารถกลัวอะไรบางอย่างที่อยากได้มากเหลือเกินไปพร้อม ๆ กันได้ด้วย แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

“อึก” ผมครางออกมาเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่ไซม่อนโน้มตัวลงมาปิดปากผมด้วยริมฝีปากของเขาอีกรอบ

ผมเลื่อนแขนไปโอบรอบคอเขาอย่างรักใคร่ รู้สึกถึงไออุ่นจากแผ่นอกที่เสียดสีลงมาบนร่าง เขาเลื่อนมือมาลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน ให้ตายเถอะ รู้สึกดีจนอยากจะร้องไห้ ความอบอุ่นจากร่างกายของมนุษย์เนี่ย ให้ความรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่าเพราะว่าเป็นเขา มันถึงได้ให้ความรู้สึกชวนให้สบายใจแบบนี้

“ขอบคุณครับ ออสติน” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูทำให้ผมเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ผมจูบปากเขาเบา ๆ อีกรอบก่อนจะถามกลับ “เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ทุกอย่างเลย” คนผมน้ำตาลบลอนด์ยิ้ม เป็นยิ้มที่เห็นแล้วทำให้ผมใจแกว่งในอก เขาก้มลงมาคลอเคลียแถวแก้มผมอีกรอบก่อนจะพูดต่อ “ทั้งเรื่องของแดน เรื่องที่ยอมให้ผมสัมผัส เรื่องที่ยอมเปิดใจให้ผม… ผมไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไงดี คุณนึกไม่ออกหรอกว่าตอนนี้ผมมีความสุขขนาดไหน”

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตามคำพูดของเขา ผมเลยอิงหน้าลงไปซบกับบ่าของเจ้าตัวเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ได้ยินเสียงไซม่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะเลื่อนมือมาลูบหัวผม จูบลงบนหน้าผากทีหนึ่ง สัมผัสของเขามันอ่อนหวานไปหมด พอเป็นแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่ามากที่กลัวไปใหญ่โตก่อนหน้านี้

ผมไล่ให้ไซม่อนไปอาบน้ำส่วนตัวเองแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ลงมาจัดการอาหารเช้าง่าย ๆ ให้เขา เช้ามากขนาดนี้แดนคงยังไม่ตื่น ส่วนอาของเขาก็ต้องไปทำงาน ผมจัดการชงกาแฟ ปิ้งขนมปัง ทอดไข่ดาวและเบคอน

“โห… ทำซะอลังการเลย” เขาว่าขณะที่ขยับมือผูกเนคไทบนคอ เดินเข้ามาหอมแก้มผมอีกรอบ และเนื่องจากว่าเราอยู่ไม่ได้อยู่บนเตียงกันคราวนี้ผมจึงสะดุ้งเฮือกพร้อมกับถอยหนีจากเขาไปอย่างรวดเร็ว หน้าร้อนไปหมด แถมไอ้หมอนี่ยังจะมาหัวเราะร่วนอีก

ผมยกมือขึ้นแตะแก้มของตัวเองนิดหน่อย มันร้อนจริง ๆ นะ แบบถ้าตอกไข่ลงไปคงสุกได้เลย

“ดูเหมือนคุณจะยังไม่ชินกับการถูกเนื้อต้องตัวอยู่ดีสินะครับ”

“อยู่ ๆ ใครจะไปชินง่าย ๆ แบบนั้นล่ะคุณ” ผมโวย

“ขนาดนอนด้วยกันไปแล้วเนี่ยนะ?”

“คงงั้นมั้ง”

“สงสัยผมต้องฝึกให้คุณบ่อย ๆ แล้วมั้งครับ” พูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ผมเลยถองศอกใส่สีข้างเขาไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ไซม่อนแกล้งเป็นโอดโอยจากนั้นเริ่มเข้ามานัวเนีย เอานิ้วชี้จิ้มแก้มผมเหมือนต้องการจะง้อ

ถามจริง… นี่เราเป็นเด็กมัธยมจีบกันอยู่รึไง ทำตัวปัญญาอ่อนชะมัด

“เออ คุณ” ผมว่าขณะยื่นแยมสตอเบอร์รี่ให้เขา เจ้าตัวเอาไปปาดใส่หน้าขนมปัง “ก่อนหน้านี้ที่ผมบอกต้องไปศาลน่ะ”

“อ้อ ใช่” ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองขณะกัดขนมปัง “อาทิตย์หน้าสินะครับ”

“คุณสะดวกหรือเปล่า”

“แน่นอน ออสติน ผมล็อกวันไว้ให้คุณแล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ดีใจกับคำพูดนั้นไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น… ผมฝากแดนไว้กับคุณหน่อยนะครับ เดี๋ยวเย็น ๆ ผมจะมารับแกตามสัญญา”

“ได้ครับ” ผมยิ้ม นึกถึงเด็กชายแสนเรียบร้อยคนนั้นแล้วก็อยากพาแกไปเล่นน้ำที่ชายหาดตามที่เจ้าตัวต้องการ บางทีเราอาจไปตกปลากันอีกสักรอบ “ตั้งใจทำงานนะ ไซม่อน”

“ครับผม” เขาว่า ผมเดินไปส่งเขาที่รถ เราจูบกันเบา ๆ อีกรอบก่อนที่เขาจะขึ้นรถแล้วขับออกไป

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า มันเปิดโล่ง สว่างสดใส ต่างกับเมื่อคืนที่ฝนตกหนักจนเหมือนพายุเข้า

วันนี้แดนคงได้เล่นทะเลสมใจอยากแล้ว

ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เข้าห้องน้ำอาบน้ำ ทำภารกิจในยามเช้าของตัวเองเป็นเรื่องเป็นราวบ้าง อีกสักพักแดนก็คงตื่น ผมจะหาอาหารเช้าดีๆ ให้แกกิน พาแกไปเดินเล่นริมทะเล…

คิดถึงตรงนี้ผมก็อดนึกขันตัวเองไม่ได้ นี่ขนาดผมเป็นคนพูดเองนะว่าไม่ชอบให้ใครต่อใครเข้ามายุ่มย่าม ไม่ได้ชอบเด็กแล้วก็ไม่ชอบดูแลคนอื่น แต่ดูเหมือนผมจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองแล้วในครั้งนี้ แดนเป็นเด็กดี และคนที่พาเขาเข้ามาหาผมก็ไม่เลวร้ายขนาดนั้นเหมือนกัน

น้ำจากฝักบัวที่ตกลงมากระทบใบหน้าให้ความรู้สึกสดชื่น ผมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงกับความคิดของตัวเองที่มีต่อผู้ชายคนนั้น คนที่ผมเพิ่งยอมให้เขาพาขึ้นเตียง… คนที่ผมเปิดใจให้แล้วยอมมีอะไรด้วยครั้งแรกในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน…

ผมเคลื่อนมือไปลูบหน้าของตัวเอง พิจารณาสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไซม่อนกับผม… ผมบอกว่าผมรักเขาตอนที่อยู่บนเตียง ผมหมายความตามนั้นจริงๆ หรือว่าพูดไปตามสถานการณ์เท่านั้นกันนะ

‘ออสติน’

เสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อผมอย่างโหยหานั่น… นัยน์ตาคู่คมที่ดูลึกล้ำอย่างยากที่จะหยั่งถึง แต่ตอนที่อยู่บนเตียง มันสะท้อนออกมาให้เห็นแต่ภาพผมเท่านั้น

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า รู้สึกเลยว่ามันร้อนขึ้นวูบไปทั้งแถบ

“รัก… เหรอ” ผมพึมพำ ยังรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนอยู่ หยดน้ำยังคงเกาะอยู่ทั่วใบหน้า ผมพิงศีรษะลงกับผนัง ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงมาเป็นสาย

นั่นสินะ บางทีมันอาจจะเร็วเกินกว่าจะเรียกว่าความรักได้ บางที… ถ้าผมจะหาคำจำกัดความมาให้ความสัมพันธ์นี้สักคำ ผมคงใช้คำว่าสบายใจมากกว่าล่ะมั้ง

“หึ” ผมยกยิ้ม เลื่อนมือไปปิดฝักบัว ยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากหน้าลวกๆ ทีหนึ่ง

เอาเถอะ… ยังไงผมก็ตอบตกลงคบกับเขาไปแล้ว

ค่อยๆ ดูกันต่อไปก็ได้

 
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-05-2017 19:17:41
[ต่อ]




ผมกับไซม่อนมาถึงโรงแรมในย่านตัวเมืองลอสแองเจลิสก่อนวันที่ผมต้องขึ้นศาลจริง ๆ หนึ่งวัน เขาบอกว่าไม่อยากให้พวกเรารีบร้อนออกจากบ้านแต่เช้าตรู่และทำอะไรที่เร่งรัดจนเกินไป เหมือนเขาจะกังวลเรื่องสุขภาพของผมจริง ๆ มากกว่าที่ผมรู้สึกเองเสียอีก แต่ผมไม่ได้ไม่แคร์อะไรเรื่องสภาพร่างกายของตัวเองอย่างที่เขาคิดจริง ๆ หรอกนะ

ผมปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด กินยาทั้งเช้าและก่อนนอนมากกว่าสิบเม็ดต่อครั้ง ตรวจอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะ ๆ เอาเป็นว่าผมเป็นคนไข้ที่ทำหน้าที่ดีจะตายไป บางทีไซม่อนก็ชอบทำให้ทุกอย่างดูเกินเหตุ

เราเปิดห้องโรงแรมใจกลางเมืองห้องหนึ่ง เป็นห้องที่มีเตียงเดี่ยวสองเตียง ผมตั้งใจมาทำงาน ขึ้นให้ปากคำกับไคล์ ไทเลอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม ไม่ได้ตั้งใจมาฮันนีมูน ผมหยิบแฟ้มเกี่ยวกับคดีฆาตกรตัวเลขขึ้นมาอ่านทวน พลิกดูเกี่ยวกับผลการชันสูตรศพที่ตัวเองเคยเขียนบันทึกเอาไว้ แน่นอนว่าผมยังจำได้เกือบทุกอย่าง แต่การจะขึ้นให้ปากคำแบบนี้ ผมจำเป็นต้องเป๊ะทุกเรื่อง ได้ยินไคล์บอกมาว่าทนายฝ่ายโจทก์ค่อนข้างอันตรายทีเดียว และผมไม่อยากพลาดท่าให้ตัวเองหน้าหงายในศาล เพราะการที่ผมซึ่งอยู่ฝ่ายจำเลยหน้าหงาย นั่นหมายความว่าไคล์เองก็จะหน้าหงายตามไปด้วย

ผมไม่อยากให้เพื่อนตัวเองอยู่ในสถานการณ์ตกที่นั่งลำบากมากกว่านี้ แค่ทุกวันนี้เท่าที่ฟังข่าวผ่านหูมาก็เหมือนเขาจะโดนโจมตีจากหลายทางอยู่แล้ว

“ออสตินครับ” ไซม่อนที่ลงไปซื้อน้ำกับของกินจิปาถะขึ้นมาบนห้องเอ่ยเรียก ผมกำลังจมอยู่กับบทความ หน้าข่าว เอกสารและหนังสือพิมพ์ทั้งหลายที่หยิบติดมือมา เสียงที่เขาเรียกจึงทำเอาผมอดสะดุ้งหน่อย ๆ ไม่ได้ เขาเดินมาประชิดตัวผม โน้มตัวลงมาแตะปลายจมูกบนผมแผ่วเบา ผมหลับตาแน่นอย่างทำตัวไม่ถูก คือใจเต้นน่ะ เต้นแน่ แต่ไม่รู้ว่าเต้นเพราะกลัวหรือเพราะตื่นเต้น ผมว่ามันคงเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน ผมยังไม่ชินกับการโดนตัวจริง ๆ นั่นแหละ “ผมเอาน้ำส้มกับแซนด์วิชมาฝาก”

“ขอบคุณครับ” ผมว่า พลางเบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างสุภาพ จากนั้นจึงรีบก้มลงอ่านเอกสารในมือต่อ

“โธ่ คุณนี่” เจ้าตัวเริ่มบ่น หยิบของที่ว่ามาออกจากถุงแล้วเอามาวางข้างผม “ไม่ยอมทำตัวหวานกับผมหน่อยเลยเหรอ ทีคราวก่อนที่เจอกันยังยอมให้ผมฟัดอยู่เลย”

“ผมมาทำงานนะคุณ” ผมว่า จริง ๆ แล้วการขึ้นปากคำก็ไม่ได้นับว่าเป็นงานจริง ๆ หรอก แต่ถึงยังไงผมก็อยากเต็มที่กับมัน ผมเป็นห่วงไคล์จริง ๆ เขาเป็นตำรวจที่ดี เขาทุ่มให้กับคดีที่เขาทำเต็มที่ทุกคดี เขาไม่สมควรโดนสังคมตราหน้าว่าเป็นฆาตกรเสียเอง

“งานคุณน่ะ พรุ่งนี้ต่างหาก” ไซม่อนว่า มีเสียงถอนใจปนมากับคำพูดนั้นเหมือนงอน ๆ เขาหยิบกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาเปิดแล้วเริ่มดื่ม ผมหันไปส่งยิ้มให้เขาอย่างเอาใจ รู้ดีว่าเขายอมไม่ดื่มเบียร์หรือแอลกอฮอล์เพราะผม น่ารักชะมัด “แต่นี่เวลาส่วนตัวของเรานะครับ คุณน่าจะวางมือจากเอกสารพวกนั้นบ้าง อีกอย่าง ยังไงซะคุณก็ตอบคำถามได้อยู่แล้ว”

“ผมแค่อยากจะรื้อฟื้นเท่านั้นแหละครับ ขอเวลาผมอีกนิดนะ” ผมต่อรอง ได้ยินไซม่อนแกล้งทำเสียงเหมือนครุ่นคิด ไม่พอใจ และนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมา

“ห้านาทีพอไหม”

“ให้เยอะจังคุณ ขอมากกว่านั้นอีกนิดเถอะ”

“สิบนาที”

“ชั่วโมงหนึ่ง คุณถอดเสื้อผ้ารอไว้ได้เลย”

ไซม่อนระเบิดหัวเราะออกมาเลยคราวนี้ ผมเองก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะเสียงดังตามเขาเหมือนกัน เขาเดินมาประชิดตัวผม ก้มลงจูบอีกรอบก่อนจะยอมผละไปในที่สุด

“มัดจำไว้ก่อนครับ”

“เหนียวตลอดเลย คุณเนี่ย”


 


 ผมถูกเบิกตัวขึ้นให้การหลังจากที่ศาลและคณะลูกขุนพักทานอาหารกลางวัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นให้ปากคำในศาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมห่างหายกับมันไปนาน และมันทำให้มือผมชื้นเหงื่อขึ้นมาด้วยความกังวลนิดหน่อย

ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบคณะลูกขุนทั้งหมด มองเลยไปยังฝ่ายโจทก์ที่มีทนายหนุ่มผมบลอนด์ทองอย่างสำรวจ หน้าตาของเขาหล่อเหลาเกินกว่าที่จะมาเป็นทนาย ข้าง ๆ ชายหนุ่มมีอดีตภรรยาของฆาตกรตัวเลข… หล่อนนี่เองที่เป็นคนรื้อฟื้นเรื่องทุกอย่างขึ้นมา

ผมหันกลับมาที่ฝ่ายอัยการหนุ่มที่มีรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างเขาคือจำเลยในคดีนี้ ไคล์ ไทเลอร์ ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มกับนัยน์ตาสีเดียวกันพยักหน้าให้ผมนิดหนึ่ง ส่วนไซม่อนที่มากับผมด้วยนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังสำหรับบุคคลทั่วไป มีคนมาดูการพิจารณาคดีในครั้งนี้พอสมควรถ้าเทียบกับครั้งอื่น ๆ ที่ผมเคยแวะเวียนมายังศาล มันทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทุกอย่างควบคุมได้ อย่างน้อยผมก็เชื่อแบบนั้นล่ะนะ

ผมเริ่มให้ปากคำอย่างละเอียดเกี่ยวกับศพของหญิงสาวคนหนึ่งที่เคยชันสูตร ผมรู้ว่าการเรียกผมขึ้นมาให้ปากคำเป็นแค่ของแถมเท่านั้นเพราะคนที่ถือข้อมูลเกี่ยวกับการชันสูตรเหยื่อทั้ง 6 ศพเป็นอีกคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะอธิบายทุกอย่างที่รู้อย่างละเอียดและใช้คำที่คนทั่วไปจะฟังเข้าใจง่ายที่สุด เวลาอยู่ในศาลมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ต่อให้ผมพูดศัพท์เชิงเทคนิคไป พวกทนายหรืออัยการจะชอบถามซอกแซกให้อธิบายศัพท์พวกนั้นให้เป็นคำที่ฟังดูเข้าใจง่ายอีกครั้ง เพราะงั้นผมถึงพยายามจะเลือกใช้คำให้มันง่ายแต่แรกเลย ยกเว้นบางคำที่ยังไงก็ไม่ได้จริง ๆ

ฝ่ายอัยการคือเด็กซ์เตอร์ เดล เขาถามคำถามที่ได้ซักซ้อมมาบ้างแล้วกับผม และผมก็ตอบไปตามนั้น จนกระทั่งถึงตอนที่ทนายฝั่งโจทก์จะขึ้นมาที่แท่นบ้างแล้ว นี่แหละคือช่วงเวลาที่เกมที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น

วินเซนต์ ดี. เลสเตอร์… หรือที่เขาชอบให้ใครต่อใครเรียกว่าวินมากกว่าก้าวขึ้นมาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ นัยน์ตาสีฟ้าของเขาดูเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ท้าทาย สายตาคมกริบ รอยยิ้มเล็ก ๆ บนมุมปากของเขาดูเจ้าเล่ห์มากเกินกว่าจะเรียกว่าพยายามผูกมิตร แต่ก็อย่างที่ใคร ๆ รู้กัน จะมีคำอะไรใช้เรียกทนายได้เหมาะสมไปกว่าคำว่าเจ้าเล่ห์อีกล่ะ

เขาเปิดสมุดโน้ตแบบฉีกของเขา ก้มลงมองนิดหนึ่งก่อนจะเริ่มเอ่ยปากถาม

“ผมขอรบกวนให้คุณช่วยบอกคณะลูกขุนหน่อยได้ไหมครับ เรื่องรายละเอียดการเชื่อมโยงระหว่างเหยื่อทั้งหกรายเข้าด้วยกัน อะไรคือสิ่งที่บอกว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกฆ่าโดยฆาตกรคนเดียวกัน”

“ตัวเลขตามร่างกายของพวกเขาครับ” ผมตอบคำถามนั้นอย่างระมัดระวัง แม้จะเชื่อว่าตัวเองได้พูดเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้แล้วตอนที่เดลเป็นฝ่ายขึ้นมาซักถามผมในรอบแรก แต่ผมไม่มีปัญหากับการพูดอะไรซ้ำซากอยู่แล้ว “ฆาตกรจะใช้มีดกรีดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายของเหยื่อให้มันเป็นตัวเลข และเหยื่อทุกรายก็มีเลขห้าหลักปรากฎขึ้นอยู่ทุกราย เหมือนเป็นรหัส แต่ทางเราก็ไม่ได้มีหน้าที่ไขรหัสพวกนั้นจึงไม่สามารบอกได้ว่ามันคือรหัสอะไร นั่นเป็นงานของเจ้าหน้าที่สืบสวน”

“แล้วจนถึงทุกวันนี้ ทางตำรวจพบไหมครับว่าตัวเลขเหล่านั้นมีความหมายว่าอะไร”

ผมยักไหล่ มองท่าทีการขยับตัวของทนายหนุ่มตรงหน้า เขาเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่ามอง สำเนียงอังกฤษแบบผู้ดีของเขาทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูดียิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมเรื่องใบหน้าที่ดูราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นสักเล่มนั่นอีก ถ้าคณะลูกขุนทั้งหมดเป็นผู้หญิง บางทีไคล์อาจจแพ้คดีนี้ก็ได้

“ไม่ทราบสิครับ” ผมยักไหล่ “ผมไม่ได้อยู่ในส่วนที่จะรับรู้เรื่องนั้นจริง ๆ”

“คุณกำลังจะบอกว่า… ศพทั้งหกถูกเชื่อมโยงเข้ากับฆาตกรเพราะตัวเลขที่อยู่บนร่างกายของพวกเขาเท่านั้นใช่ไหมครับ?”

“ใช่ครับ สำหรับผมแล้วก็คงได้ข้อสรุปแบบนั้น”

วินเซนต์พยักหน้าราวกับเข้าอกเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผมล่ะกลัวเวลาที่พวกทนายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคุณทำแบบนี้ที่สุดเลย

“มีการตรวจสอบดีเอ็นเอและซีรั่มไหมครับ”

“ไม่มีการตรวจสอบพวกนั้นหรอกครับ เพราะมัน...”

“ตอบแค่คำถามอย่างเดียวพอครับ คุณการ์ดเนอร์”

ผมอ้าปากค้างไว้อย่างนั้น นี่ผมเพิ่งโดนไอ้หมอนี่สั่งให้หยุดงั้นเหรอ พวกทนายนี่นะ...

เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสนเท่ห์ “แปลว่าทางทีมสืบสวนระบุทันที ทั้งที่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าฮิว ฮูเปอร์เป็นฆาตกรจริงหรือเปล่า อย่างนั้นเหรอครับ?”

“เรื่องนั้น…” ผมอ้าปากจะพูด หากคนผมบลอนด์ทองส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ นัยน์ตาสีฟ้าของเขาอ่านยาก แต่รอยยิ้มนั้นติดจะเยาะ ๆ อยู่ในที

“ผมรู้ครับว่าทางทีมสืบสวนตัดสินเรื่องนี้ว่ายังไง เขาตัดสินมันด้วยกระสุนปืน โดยที่คุณฮูเปอร์ไม่มีโอกาสได้แก้ต่างให้ตัวเอง” 

“ค้านครับ” เดลพูดแทรกขึ้นมา สีหน้าของเขาดูเหลืออด “ศาลที่เคารพครับ คุณเลสเตอร์ไม่มีสิทธิ์--”

“ยื่นตามคำค้าน” ผู้พิพากษาโอเว่นพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เขาเป็นชายผิวดำที่น่าจะอยู่ในวัยสี่สิบปลาย ๆ เขาปรายตามองวินเซนต์ผ่านเลนส์แว่นของเขาเป็นเชิงเตือน “ขอร้องล่ะครับ คุณเลสเตอร์ ไม่มีลูกเล่นหรืออคติใด ๆ ทั้งนั้นในศาล คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม”

“ขออภัยครับ ศาลที่เคารพ” เขาว่า นั่นอาจทำให้ดูเหมือนเขาลดแต้มตัวเอง แต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น… ผมแอบคิดว่านั่นเป็นวิธีการที่เขาใช้เพื่อเพิ่มคะแนนให้ตัวเองต่อสายตาคณะลูกขุน ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างเพราะแม้แต่ผู้พิพากษายังไม่เข้าข้าง หรือบางทีผมก็อาจคิดมากไปเองก็ได้

วินเซนต์เริ่มก้มลงมองสมุดในมือเขาก่อนจะถามต่อ “คุณการ์ดเนอร์ครับ ปกติแล้วเวลาคุณชันสูตรศพพวกนี้ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาถูกข่มขืนหรือสมยอม”

“ถ้าดูจากศพที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมกับทีมชันสูตรด้วย ศพนั้นแสดงให้เห็นถึงช่องคลอดที่ช้ำถลอกกว่าปกติ ต่อให้เป็นการร่วมเพศแบบสมยอมก็เถอะ” ผมพูด รู้สึกกระอักกระอ่วนในท้องขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมนั่งไล่อ่านทวนเอกสารเมื่อวาน แล้วก็ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้… ผมคิดว่าตัวเองจะรับมือกับมันได้นะ ผมเคยทำได้นี่ “สำหรับศพรายอื่นผมไม่แน่ใจ แต่สำหรับรายนี้ หล่อนถึงกับมีรอยฉีกขาดในผนังช่องคลอด จากการประเมินของผม ใช่ หล่อนถูกทารุณกรรมระหว่างร่วมเพศแน่นอน แต่ผมไม่รู้แน่ชัดในส่วนของรายอื่น ๆ”

วินเซนต์ก้มลงขีดฆ่าสิ่งที่อยู่ในสมุดของเขา สีหน้าของเขาราบเรียบอ่านไม่ออกเหมือนเดิมขณะถามคำถามต่อมา

“แต่ผู้หญิงคนนี้น่ะ ดูจากอาชีพของหล่อนแล้ว… ลักษณะการมีเพศสัมพันธ์ของพวกหล่อนน่าจะเรียกได้ว่าค่อนข้างโลดโผนและรุนแรงทีเดียว” เขาว่า และเรื่องที่เหยื่อคนนั้นเป็นโสเภณีก็เป็นเรื่องที่ผมรู้ดี “คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอถูกขืนใจในการร่วมเพศนั้น”

“รอยช้ำถลอกพวกนั้นบอกได้ชัดเจนครับว่ามันจะเป็นขั้นที่เจ็บปวดมาก” ผมพูด ห่อไหล่ทั้งสองข้างลงโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างกอดเข้ามากันหลวม ๆ รู้สึกเหมือนเหงื่อเริ่มไหลลงมาบนหน้า “ยิ่งช่องคลอดเป็นแผลฉีกขาดแบบนั้น…. ยังไงหล่อนก็โดนกระทำชำเรามาแน่ การตกเลือดก็ดูแล้วว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่หล่อนตาย ยังไงหล่อนก็โดนข่มขืนมาไม่ผิดแน่”

ทนายหนุ่มพยักหน้า ขีดเส้นลงในสมุดของเขาอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าเขาสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดลงไปของผมรึเปล่า ขอให้เขาไม่สังเกตเห็นมันก็แล้วกัน

“ขอผมเปลี่ยนเรื่องสักหน่อยนะครับ คุณหมอการ์ดเนอร์”

“ครับ” ผมแทบจะขอบคุณเขาอยู่ในใจอยู่แล้ว การพูดเรื่องนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่องเดิม ๆ ผมสาบานเลยว่าตอนที่ผมชันสูตรศพจริง ๆ ผมไม่ได้ทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ แต่พอนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาแบบนี้แล้ว… มันเป็นอะไรที่ชวนให้ปั่นป่วนในท้องจริง ๆ

“ผมได้ยินมาว่าคุณค่อนข้างสนิทกับคุณไทเลอร์ เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียน ถูกต้องไหมครับ”

“ครับ ใช่ครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณรู้รึเปล่าครับว่าสายสืบไทเลอร์เสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก แม่ของเขาเองก็เป็นผู้หญิงแบบที่ถูกเรียกว่าโสเภณีอย่างที่ศพที่คุณได้ชันสูตรถูกเรียก---”

“ค้านครับ!” เดลพูดขัดขึ้นมา นั่นทำให้ผมหันหน้ากลับไปมองเพื่อนสนิทของตัวเอง หน้าของเขาร้อนวูบขึ้นมาอย่างอับอายก่อนเจ้าตัวจะเบือนหน้าหนีผม ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และผมก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าเขาจะไม่อยากให้รู้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับกับการพิจารณาคดีนี้”

“ท่านครับ ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าการกระทำของสายสืบไทเลอร์นั้นมีที่มาที่ไป” เขาว่า และเมื่อผู้พิพากษาพยักหน้าให้เขาก็พยายามเรียบเรียงใหม่อีกครั้งขณะเบือนหน้ากลับมาหาผม “แม่ของเขาถูกฆ่าตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก… และแม่ของเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงจำพวกนั้น”

ผมเห็นไคล์กำมือแน่นขึ้นในที่นั่งจำเลยของเขา ผมเองก็รู้สึกได้ว่าเหงื่อชุ่มมือไปหมดเหมือนกัน รู้แล้วว่าทนายตรงหน้านี้กำลังเดินหมากไปในทิศทางไหน

เขากำลังจะบอกว่า…. สาเหตุที่ไคล์ยิงฮูเปอร์ที่เป็นฆาตกรตัวเลขนั้น เป็นเพราะความแค้นและปมส่วนตัวของเขาที่มีต่อฆาตกรที่ฆ่าผู้หญิงโสเภณี…. แล้วผมจะแก้หมากตานี้ให้ไคล์ยังไงล่ะ ผมไม่เคยรู้เรื่องที่ว่านี่มาก่อนด้วยซ้ำ

“คุณไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลยสินะครับ”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก่อนจะต้องยอมรับ “ไม่ครับ ผมไม่ทราบ”

“แต่คุณก็เชื่อว่าการกระทำอุกอาจของเขา… ที่ไปเผชิญหน้ากับผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวโดยไม่รอกำลังเสริม เป็นเหตุให้ถึงขั้นต้องยิงคุณฮูเปอร์น่ะ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว อย่างนั้นใช่ไหมครับ?”

“นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เจ้าหน้าที่ไทเลอร์จะทำได้ในสถานการณ์นั้น อย่างน้อย… นั่นก็คือสิ่งที่ผมเชื่อ”

วินเซนต์พยักหน้าอีกรอบ จากนั้นเขาก็ยื่นกระดาษปึกหนึ่งมาไว้ตรงหน้าผม

“คุณช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมครับว่านี่คืออะไร”

สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นทำให้ผมหน้าซีดเผือดลงกว่าเดิม มันคือสำเนาของใบเสร็จที่ทางมูลนิธินางฟ้าที่ผมส่งเงินบริจาคให้อยู่เกือบทุกเดือน แน่นอนล่ะว่าผมลดจำนวนเงินที่บริจาคให้มูลินิธนี้ลง แต่ผมก็ยังส่งให้ไม่ขาด

ถ้าคุณสงสัยล่ะก็… มูลนิธินี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อในการข่มขืนมาก่อน ผมรู้สึกว่ามือไม้ของตัวเองเย็นเยียบขึ้นมาทีเดียว

วินเซนต์เริ่มรุกถามคำถามผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังพูดอะไรตอบออกไปบ้าง ทิศทางการเดินหมากของเขามันชัดเจน เขาต้องการจะผลักไคล์ลงไปในหลุมที่เขาเพียรขุดขึ้นมา และการจะผลักเพื่อนผมลงไปได้เต็ม ๆ เขาต้องเริ่มจากฝังผมซึ่งเข้าข้างไคล์อย่างชัดเจนลงไปก่อน

“คุณมีความรู้สึกกับศพที่คุณชันสูตรไหม คุณหมอ”

“คุณเห็นอกเห็นใจพวกเขามากเกินกว่าที่ควรจะเป็นบ้างรึเปล่า”

“ก่อนหน้านี้มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง… เป็นโรงพยาบาลที่คุณเคยทำ มีชื่อตัวย่อของเหยื่อในข่าวนั้น”

“คุณเคยโดนข่มขืนมาก่อนเหรอ คุณหมอ” เสียงนั้นดังแว่ว ๆ อยู่ในหูผมราวกับมันมาจากที่ไกล ๆ “นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คุณเข้าข้างเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ใช่ไหม”

“ขอค้านครับ!” เสียงนั้นแทรกผ่านเสียงหวีดหวิวที่อยู่ในหูผมทั้งหมดเข้ามา นั่นคือเสียงของเดล จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงท่านผู้พิพากษาโอเว่นที่เอ็ดอึงวินเซนต์เป็นการใหญ่

ผมคิดอะไรไม่ออก ได้แต่เงยมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกอยากเอาหัวฟุบลงบนโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของทนายหนุ่มไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ตามเคย แต่รอยยิ้มบนมุมปากของเขาเผยให้เห็นถึงชัยชนะอย่างชัดเจน

“หมดคำถามครับ”

จากนั้นวินเซน์ ดี. เลสเตอร์ก็เดินลงจากแท่นซักถามพยานไป






--------------------------------------------------
Talk: พาทนายมารู้จักทุกคนค่ะ 5555555 แล้วก็แวะมาแจ้งด้วยว่าต่อจากนี้เราอาจจะมาลงได้แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง แล้วก้อาจจะครั้งละครึ่งตอน TvT แต่จะพยายามมาบ่อย ๆ นะคะ ถ้าลงตัวแล้วจะมาบอกนะว่าจะอัพทุกวันไหนบ้าง ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ!
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 8) P.2 [25/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-05-2017 19:43:21
อาชีพทนายนี่ทำเราทั้งชื่นชมทั้งเกลียดได้เลยนะนี่ (อาจจะไม่ใช่สองความรู้สึกกับคนเดียวกัน)
คือยังไงดี มันเหมือนพวกอาศัยวาทศิลป์ประกอบกับการใช้จิตวิทยาหากินในคราบผู้ใช้กฎหมาย (ซึ่งบางครั้งมันก็ดูเป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวฝ่ายตรงข้ามเกินไป) นอกจากนี้ยังดูเป็นคนปลิ้นปล้อน (คำนี้อาจจะแรงไป) ชอบพลิกลิ้น เจ้าเล่ห์อีกด้วย
เรียกได้ว่าถ้าเป็นคนซื่อคนทื่อนี่เป็นทนายไม่ได้อ่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 8) P.2 [25/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 27-05-2017 23:48:56
รู้สึกถึงความเกลียดขี้้หน้า ทำไมทนายโหดเบอร์นี้ อ่าส์ สรุปที่ออสตินกลัวสัมผัส คือมาจากเรื่องนี้ ไซม่อนนางรู้อยู่แล้ชัวร์ เพราะนางด้าน

นี่ยังคาใจกับหัวใจออสติน มันแปลก ๆ ตรงที่กลัวสัมผัส แต่ดันยอมนอนกับไซม่อน แล้วไซม่อนดูเร้ารือกับหัวใจมาก นางรักแบรดมากกว่าน้องชายพี่ชายใช่ไหมดีดดิ้น


แต่ถ้าเจอทนายขุดคำถามแบบนี้ มันละลาบละล้วงมาก เกลียดขี้หน้าทนาย ก็ชั่งสรรหา แต่อยากรู้ไปอีก ทนายนางจะโดนพ่อตำรวจเล่นไหม ฉีกหน้ากันหนักมาก
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 8) P.2 [25/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 28-05-2017 18:03:52

บทที่ 9



เดลกลับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่เพิ่งเสียหายยับเยินไป ผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมต้องตั้งสติ เรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา แต่ตอนนี้มือมันชื้นไปหมด รู้สึกได้เลยว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเอง ทั้งคณะลูกขุนและบุคคลทั่วไปที่นั่งอยู่ในศาล บางทีพวกเขาอาจสลับกันมองผมกับไคล์ก็ได้ เพราะหมอนั่นเองก็เพิ่งโดนเปิดโปงเรื่องส่วนตัวที่เขาคงเก็บมันไว้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนาดผมที่ถือว่าสนิทกับเจ้าตัวมากที่สุดยังไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ เพราะงั้น… การที่เขาจะหน้าซีดเผือดเป็นกระดาษแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ผมว่าผมเองก็หน้าซีดพอๆ กับเจ้าตัวนั่นแหละ

อัยการร่างท้วมตรงหน้ายกแขนขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย เขาเองก็คงรู้สึกกดดันไม่ต่างจากผมหรือไคล์เท่าไรนัก จากนั้นเจ้าตัวจึงเริ่มตั้งคำถาม “คุณการ์ดเนอร์ครับ ตอนที่ทนายฝ่ายโจทก์ถามเรื่องดีเอ็นเอกับซีรั่ม คุณบอกว่าไม่มีการตรวจสอบเรื่องนั้น เพราะอะไรครับ”

“เพราะไม่มีอะไรจะให้ทดสอบครับ” ผมว่า สูดลมหายใจเข้าปอดทีหนึ่งเพื่อผ่อนคลายตัวเอง “ฆาตกรใช้ถุงยางทุกครั้งที่ลงมือ ทำให้ไม่มีตัวอย่างน้ำอสุจิจากร่างกายของเหยื่อ ซึ่งสาเหตุนี้เราเลยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามันตรงกันกับดีเอ็นเอของคุณฮูเปอร์”

เดลพยักหน้า ก้มลงมองสมุดในมือ “ก่อนหน้านี้คุณได้อธิบายเราไปแล้วเรื่องที่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ตายสมยอมหรือถูกขืนใจในการร่วมเพศ แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าฆาตกรใช้ถุงยางล่ะครับ บางทีเขาอาจใช้วัตถุแปลกปลอมหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือครับ และถ้าเป็นแบบนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีน้ำอสุจิอยู่”

ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อยกับคำถามนี้ แต่ผมก็เดาได้อยู่แล้วว่ามันต้องมา “ก็อาจเป็นได้ครับ แต่ในกรณีของศพที่ผมร่วมชันสูตรด้วย ผู้ตายถูกข่มขืนโดยที่คนร้ายสวมถุงยางไว้แน่นอน เพราะว่าเราได้ทำเรปคิต-- ผมหมายถึง การทดสอบตัวอย่างที่เก็บมาจากร่างกายของคนที่อาจเป็นเหยื่อจากการข่มขืนน่ะครับ ในกรณีที่เป็นผู้หญิง เราจะกวาดเข้าไปในช่องคลอดและทวารหนัก แล้วก็กวาดบริเวณขนหัวหน่าวเพื่อหาขนหรือสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นหลักฐานในการไขคดีได้ ซึ่งสาเหตุที่ผมบอกว่าคนร้ายใช้ถุงยาง นั่นก็เพราะเจอสารอย่างหนึ่งจากการทำเรปคิตที่ว่านี่”

“สารที่ว่านั่นคืออะไรเหรอครับ”

“สารที่เราเจอในเหยื่อรายนี้เป็นสารหล่อลื่นกับถุงยางครับ ซึ่งจากการนำไปเทียบกับเหยื่อรายอื่นๆ ปรากฎว่ามีสารแบบเดียวกันตกค้างอยู่ด้วยเช่นกัน”

เดลพยักหน้าพร้อมกับเริ่มขีดฆ่าคำถามในสมุดของเขา “ผมได้ยินมาว่าคุณมีโอกาสได้ชันสูตรศพของคุณฮูเปอร์ด้วย ใช่หรือเปล่าครับ”

“ครับ” ผมว่า เกือบจะหลุดคำว่า ‘แค่นิดเดียว’ ออกไปแล้วแต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน อะไรที่ไม่ได้ช่วยให้ฝ่ายจำเลยดีขึ้น ผมต้องไม่พูด บางทีผมก็ลืมเรื่องนี้อยู่เรื่อย

“นอกจากที่คุณบอกพวกเรามาแล้ว มีอะไรอย่างอื่นที่คุณได้ตรวจสอบในคดีนี้อีกไหมครับ คุณหมอ”

ผมพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ “ครับ ทางเจ้าหน้าที่เอากล่องถุงยางอนามัยแบบมีสารหล่อลื่น… แบบเดียวกับที่เราตรวจพบในตัวผู้ตาย”

“หมดคำถามครับ” เดลว่า ปิดสมุดฉีกของตัวเองลง ก้าวเท้ากลับไปที่โต๊ะด้วยท่าทีมั่นใจมากขึ้นราวกับว่าเขาปิดฉากลงได้แล้วอย่างสวยงาม หากวินพูดแทรกขึ้นมาแทบจะในทันที

“เดี๋ยวก่อนครับท่าน”

“คุณเลสเตอร์ มีอะไรครับ” ผู้พิพากษาโอเว่นดูอ่อนใจ

ผมเริ่มเกร็งตัวขึ้นมาอีกรอบด้วยความรู้สึกมวนๆ ไอ้หมอนี่ขึ้นแท่นมาทีไรไม่ใช่เรื่องดีทุกที ก็ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามผม

“สั้นๆ เท่านั้นครับ ศาลที่เคารพ” เขาว่าพร้อมกับลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งแล้วตรงมาทางผม  “คุณการ์ดเนอร์ครับ คุณได้บอกว่าตอนที่ทำการตรวจสอบ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการหวีกวาดขนหัวหน่าวแปลกปลอม ถูกต้องไหมครับ”

นี่เราวกกลับมาประเด็นนี้อีกแล้วเหรอ “ใช่ครับ”

“ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นครับ”

“เพราะบางทีเราอาจเจอหลักฐานมัดตัวคนลงมือได้ครับ หลายครั้งที่เราสามารถเก็บเอาขนที่หลุดอยู่ติดมาได้ และบ่อยครั้งที่ขนที่ว่านี่เป็นของผู้ลงมือ หรือคนที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ตาย”

“แล้วมันไปติดอยู่ตรงนั้นได้ยังไงครับ”

ผมชะงักกึกไป หน้าร้อนวูบอย่างรู้สึกได้ มองหน้าคนถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ วินยังคงทำลอยหน้าลอยตาราวกับสิ่งที่เขาถามออกมานั้นแสนจะธรรมดา สีหน้าราบเรียบหากคาดคั้นจะเอาคำตอบ ทำไมเพื่อนผมต้องมาเจอทนายแบบไอ้หมอนี่ด้วยเนี่ย

“ก็… เอ่อ ผมเชื่อว่าในระหว่างร่วมเพศน่ะ แบบว่า… ร่างกายก็มีการเสียดสีกัน ถูกต้องไหมครับ”

“ผมเป็นคนถามคำถามนะครับ คุณการ์ดเนอร์ และคุณก็ต้องเป็นคนตอบคำถามนั้น”

มีเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างสุภาพลอยมาจากที่นั่งของบุคคลทั่วไป ผมรู้เลยว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงไปถึงหูแน่ ไม่กล้าหันไปมองไคล์หรือคนอื่นๆ เลย นี่ไอ้หมอนี่ต้องเก็บให้ได้ทุกเม็ดเลยใช่ไหม

"เอ่อ ก็ เวลาที่มีเพศสัมพันธ์ เป็นไปได้ว่าอาจมีการถ่ายโอนระหว่างกัน ทำให้ขนของอีกฝ่ายมาอยู่ติดอยู่กับอีกฝ่าย อะไรแบบนั้นแหละครับ"

อย่าถามต่อนะ เพราะถ้าเขายังถามต่อ คราวนี้ผมจะบอกให้เขาถกกางเกงแล้วสาธิตให้ดูแล้ว

"แล้วได้มีการตรวจสอบหาความสอดคล้องระหว่างขนหัวหน่าวแปลกปลอมที่ติดอยู่บนร่างของผู้ตายว่าตรงกับของคุณฮูเปอร์หรือเปล่าครับ"

เขากำลังก้าวมาในทิศทางนี้แล้ว มันเป็นทิศทางที่ผมอยากให้เขาหลุดเข้ามาตลอด แต่ก็เกรงกลัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่านี่เป็นกับดักของเขาอีกหรือเปล่า

"ไม่มีครับ ไม่มีการตรวจสอบหาความสอดคล้องดังกล่าว" ผมตอบ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นอย่างตื่นเต้น อยากจะรู้นักว่าคราวนี้หมากของใครจะถูกกิน

วินเซนต์เลิกคิ้วขึ้นทันที นัยน์ตาสีฟ้าของเขามีประกายแห่งชัยชนะวูบขึ้นมา

"เดี๋ยวก่อนนะครับ" เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง พูดอย่างมีชั้นเชิง แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจกับคำตอบนั้น "คุณบอกว่า... ไม่มีการตรวจสอบเทียบเพื่อพิสูจน์ในเรื่องนี้งั้นหรือ"

เขาพลาดแล้ว ถึงตรงนี้ ผมถึงกับยกยิ้มเล็กๆ บนมุมปากทันที แม้ว่าจะยังรู้สึกถึงเหงื่อที่ชื้นบนอุ้งมือก็ตาม "ใช่ครับ เพราะไม่มีขนแปลกปลอมอยู่บนร่างของผู้ตาย ผมพูดถึงทั้งเหยื่อและตัวคุณฮูเปอร์เองด้วยนะ เขาโกนขนตรงนั้นของตัวเองออกทั้งหมดตอนที่พวกเราชันสูตรศพเขา"

นัยน์ตาของวินฉายแววแปลกใจขึ้นมาวูบ จากนั้นมันก็เปลี่ยนไปเป็นว่างเปล่า เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น เกือบจะถอนหายใจออกมาอยู่แล้วแต่ก็กลั้นไว้ได้ เขาปิดสมุดในมือของตัวเองลงฉับ

"หมดคำถามครับ" จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง ผมยังคงมียิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนริมฝีปากแบบนั้น

ใช่แล้ว ฮิว ฮูเปอร์โกนขนตรงส่วนนั้นออกไปจนหมด ก็เพราะเขาวางแผนไว้แล้ว... เตรียมการไว้แล้วยังไงล่ะ ว่าขนพวกนั้นมันจะต้องไม่ไปติดอยู่บนตัวเหยื่อให้กลายมาเป็นหลักฐานย้อนกลับมาเล่นงานตัวเขาเอง

เขานั่นแหละคือฆาตกรตัวจริง

ดูเหมือนว่าผมจะกู้แต้มให้ไคล์ได้บ้างแล้ว



.
.
.
.
.
.
(50%)






---------------------------------
Talk: หลังจากเอาทนายมาออกโรง รู้สึกจะโดนเกลียดขี้หน้าไปเต็มที่เลย 555555 //โถ วิน ไม่ร้องนะคะ ลูก// ในที่สุดฉากเชือดเฉือนบนศาลก็จบ ใช้เวลาเขียนนานมากค่ะ บอกเลย ถ้าทุกคนสนุกไปกับฉากนี้บ้างก็คงดีน้าาา >w<
วันนี้เอา 50% มาให้ก่อนนะคะ ขอโทษด้วยน้าที่ไม่ได้มาเต็มตอนเหมือนเดิม >_<;;; แต่จะรีบเอาอีกครึ่งตอนที่เหลือมาลงนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ!
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 28-05-2017 18:41:02
เกลียดทนายแบบนี้มากกกก ไล่ต้อนๆ  จนดูเหมือนไม่มีมารยาท 5555 อินๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 28-05-2017 20:40:31
สนุกมากเลยค่ะ  ไม่ได้อ่านนิยายสนุก มีปมแบบนี้นานแล้ว  เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-05-2017 17:52:32
เกลียดทนายแบบนี้มากกกก ไล่ต้อนๆ  จนดูเหมือนไม่มีมารยาท 5555 อินๆ

โอ๊ย ทนายโดนเกลียด 5555555 แต่ยังไงก็ดีใจที่อินนะคะ ฮาาาาา


สนุกมากเลยค่ะ  ไม่ได้อ่านนิยายสนุก มีปมแบบนี้นานแล้ว  เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่ะ

แง้ ขอบคุณมากเลยค่าาาา แค่มีคนชอบเราก็ดีใจแล้วววว TvT ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ!
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 30-05-2017 19:09:45

[ต่อ]




“ไคล์”

“ออสติน”

ผมตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่สืบสวนผู้เป็นเพื่อนสนิทของผมทันทีที่ศาลเลิก เขาอ้าแขนออกเล็กน้อย ผมสวมกอดเขาหลวมๆ ทีหนึ่งจากนั้นก็ผละออก ตั้งแต่ที่ผมมีอาการไม่ถูกกับการสัมผัสโดนตัวคน ไคล์เป็นคนเดียวที่ผมสามารถแตะเนื้อต้องตัวได้โดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของไซม่อนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาต้องกำลังมองมาด้วยความแปลกใจแน่ๆ

"ขอบคุณที่มานะ" เขาพูดยิ้มๆ แม้ว่าสีหน้าจะบ่งบอกว่าอิดโรยราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ตาม ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอก บางทีคดีที่เขาสืบอยู่ตอนนี้คงค่อนข้างตึงมือ แล้วยังต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาลแบบนี้อีก "นายช่วยฉันไว้ได้เยอะจริงๆ"

"แต่ก็โดนถล่มไปหลายยกเหมือนกัน" ผมว่าพร้อมกับเบ้ปาก ถ้านี่คือสงคราม ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงต้องเรียกได้ว่าบอบช้ำไปพอๆ กัน แม้ว่าฝ่ายจำเลยอย่างไคล์จะดีกว่าหน่อยตรงที่ปิดท้ายสวย แต่ฝั่งทนายโจทก์ก็ทำแต้มไปไม่น้อยเหมือนกัน

"นายโอเคไหม" คนตรงหน้าถามผมด้วยสีหน้ากังวลขึ้น ผมนิ่งไปเล็กน้อย รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

"ฉันโอเค" ผมว่าพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง "แต่ยอมรับว่าตกใจมาก... ไม่คิดว่าหมอนั่นจะเล่นงานฉันหนักขนาดนี้ ไม่สิ ไม่คิดว่าหมอนั่นจะรู้”

"ใช่" ไคล์พยักหน้า "ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน"

ผมและไคล์ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบไปพักหนึ่ง เขารู้เรื่องของผม แต่ผมไม่เคยรู้เรื่องของเขา นั่นทำให้เรากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เรื่องเกี่ยวกับเขาที่ผมเพิ่งรู้มาค่อนข้างหนัก และผมคิดว่าเราเจออะไรหนักๆ มามากพอแล้วสำหรับวันนี้

"เอ่อ ไคล์ นี่ไซม่อน แมคแนร์ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เขาเป็นคนที่ขับรถพาฉันมานี่ ที่ฉันเล่าให้นายฟังไง"

"สวัสดีครับ" ชายหนุ่มทั้งสองคนจับมือทักทายกัน ไซม่อนเป็นคนส่งยิ้มแสดงความเป็นมิตรก่อน "เหนื่อยหน่อยนะครับในศาลวันนี้ แถมเรื่องที่โดนฟ้องนี่ก็หนักพอสมควรเลย ยังไงก็พยายามเข้านะครับ"

"ขอบคุณครับ" ไคล์ว่าพร้อมกับมองที่ไซม่อน จากนั้นก็เบือนสายตามาทางผม "แล้วนี่พวกคุณสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง ผมนึกว่าออสตินโดนสั่งพักงานอยู่เสียอีก"

"อ้อ ใช่ ฉันโดนสั่งพักงานอยู่แน่ล่ะ" ผมว่า รู้สึกว่าหน้าตัวเองเริ่มร้อนขึ้น "คือว่า... ฉันกับไซม่อนน่ะ เราเดทกันอยู่"

ผมไม่กล้ามองหน้าไคล์เต็มๆ กับไซม่อนยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ไคล์ดูชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ

"อย่างนี้นี่เอง"

“อื้อ”

ถ้าเป็นคนอื่น บางทีคนคนนั้นอาจจะเริ่มถามต่อแล้วว่าไปเจอกันที่ไหนหรืออะไรแบบนั้น แต่นี่คือไคล์ เขาเป็นคนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของเขาก็ตาม ซึ่งผมชอบในจุดนั้นของเขานะ ผมเองก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเจ้าตัวเหมือนกัน ไคล์พยักหน้ารับเรียบๆ จากนั้นจึงเลื่อนมือมาตบบ่าผม

"ยินดีด้วยนะ"

"ขอบใจ" ผมตอบ จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มให้ไซม่อนนิดหนึ่ง ใจแกว่งขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนตอบให้ผม

บทสนทนาของพวกเราชะงักไปเล็กน้อยเมื่อวินเซนต์เดินสวนผ่านมา นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบของเขาเหลือบมองมาทางพวกเราอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมเผลอสบตากับเขาเสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่พวกเราก็เบือนมันออกจากกันอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็อาจแค่ผมคนเดียว... ผมหมายถึง ก็เราเพิ่งปะทะกันมาในศาลนี่ ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงกับเขา

"แต่วินเซนต์ เลสเตอร์นี่ ร้ายมากนะ" ผมพูดออกมาอย่างอดไม่อยู่ อย่างน้อยก็แน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่แถวนี้แน่แล้ว "ขนาดฉันเป็นแค่คนที่จะขึ้นให้การ ไม่ใช่จำเลยแท้ๆ หมอนั่นยังไปขุดมาซะลึก สืบมาจนได้ นี่เขามีแหล่งข่าวที่ไหนกันแน่เนี่ย"

ไคล์ไม่ตอบ อาจเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบนั้นเหมือนกัน หากนัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาฉายแววครุ่นคิด และถ้าผมดูไม่ผิด... มันมีประกายโกรธกรุ่นคนที่พวกเรากำลังพูดถึงกันอยู่หน่อยๆ ด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหรอกที่เขาจะโกรธ ก็เพิ่งโดนฉีกหน้าไปกลางศาลแบบนั้น เพียงแต่ผมไม่ค่อยเห็นหมอนี่โมโหใครเท่าไรนัก ผมจึงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

ผมกับไซม่อนขอตัวแยกออกมา ไคล์เองก็บอกว่าเขาต้องรีบไปทำงานต่อเหมือนกัน ทันทีที่พวกเราประจำที่บนรถ ผมดึงเข็มขัดนิรภัยลงมาคาด คิดถึงเรื่องทีเกิดขึ้นในศาลและท่าทีที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความตกใจของคนข้างตัว ผมพูดออกมาเสียงเรียบ

"คุณรู้อยู่แล้ว" คนข้างตัวผมนิ่งเงียบ มือวางอยู่บนพวงมาลัยโดยที่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่อง นิ้วเรียวเคาะลงกับมันเล็กน้อยด้วยความประหม่า "คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไซม่อน"

ยังคงเงียบ

"คุณรู้ว่าผมเคยโดนข่มขืนมาก่อน"

ถึงตรงนี้ชายหนุ่มข้างตัวผมก็เสมองไปนอกหน้าต่างฝั่งคนขับ ผมได้ยินเขาสูดลมหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง

"ตอนที่เรานอนด้วยกันครั้งแรก คุณบอกผมว่าไม่ต้องกลัว คุณไม่ใช่คนที่ผมกลัว... คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว คุณรู้อยู่แล้วว่าผมเคยโดนข่มขืน"

ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกถึงอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้นของตัวเอง มือของผมเริ่มสั่นขณะที่ผมกำมันไว้แน่น ความปั่นป่วนภายในทำให้หัวของผมตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าโมโหคนข้างตัวจนแทบอยากจะถีบให้ตกจากรถ

"ทำไมคุณถึงได้เก็บเงียบเรื่องนี้ล่ะ คุณเจ้าหน้าที่ รู้สึกสังเวชผมงั้นเหรอ?"

"ไม่ใช่"  ใบหน้าของเขาเริ่มแดงด้วยความละอาย แต่หน้าผมก็แดงด้วยความโกรธอยู่เหมือนกัน ไซม่อนตวัดนัยน์ตาฟ้าอมเทาคู่สวยของเขากลับมามองหน้าผม มีร่องรอยตัดพ้อระคนสำนึกผิดอยู่ในนั้น "แต่คุณจะให้ผมพูดยังไงล่ะ ผมเพิ่งจะได้คุยกับคุณเป็นครั้งแรก ผมควรจะบอกว่า ‘เฮ้ หวัดดี คุณคือคนที่ได้หัวใจของพี่ชายผมไป แล้วผมก็รู้เรื่องที่คุณเคยโดนข่มขืนด้วย’ แบบนั้นเหรอ ออสติน คุณอยากให้ผมพูดแบบนั้นเหรอ"

ถึงคราวที่ผมต้องสูดลมหายใจแรงๆ เข้าปอดบ้าง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง สิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผลจนยากที่จะปฏิเสธ แต่ผมก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี รู้สึกเหมือนโดนเขาหลอก เหมือนเขามีเรื่องที่ปิดบัง แต่มันก็จริงของเขาอีกนั่นแหละที่อยู่ๆ จะให้เขามาพูดเรื่องแบบนี้ ยิ่งตัวผมเองอยากจะลืมมันไปอยู่แล้ว ที่เขาตัดสินใจไม่พูดถึงก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร

“ออสตินครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เขาเลื่อนมือมาจะแตะใบหน้าผมแต่ผมปัดมือนั้นออก นัยน์ตาคู่คมไหววูบทันที มันดูรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ และผมสัมผัสได้ถึงความกลัวของเขา สายตาแบบนั้นทำให้ผมใจอ่อนยวบทีเดียว “ผมขอโทษ ออสติน ผมไม่ได้คิดจะปิดบังคุณเรื่องที่ผมรู้ แต่… ผมก็แค่คิดว่าบางทีคุณคงอยากจะลืมมันและคงไม่อยากพูดถึงมันอีกก็เท่านั้น อีกอย่าง แค่เรื่องของพี่ผมก็หนักหนาสำหรับคุณเกินพอแล้ว อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น”

คำอธิบายของเขาในครั้งนี้ทำให้ความโกรธของผมหายไป อันที่จริง… ผมไม่เชิงว่าโกรธเขาหรอก มันเหมือนสับสนมากกว่า จะพูดยังไงดีล่ะ ผมเพิ่งเปิดใจให้เขาได้ไม่นาน ยอมนอนกับเขาทั้งที่หลายเดือนที่ผ่านมาผมไม่ยอมแตะต้องตัวใคร การที่เขารู้เรื่องที่ผมเคยโดนขืนใจมา… มันไม่ใช่อะไรที่น่ายินดีเลย

ผมรู้สึกว่าหางตาร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่ได้เสียใจที่เขารู้เรื่องนี้ ไม่ได้เสียใจที่เขาปิดบัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังเสียใจเรื่องอะไร มันน่าจะเรียกว่าอัดอั้น อึดอัดมากกว่าเสียใจ เรื่องนั้นมันผ่านมานานแล้วสำหรับผม ผมบอกกับตัวเองว่าผมต้องก้าวต่อไปข้างหน้า แต่จนแล้วจนรอดคนเราก็ไม่สามารถลบอดีตของตัวเองไปได้ใช่ไหม

ตอนที่อยู่ในศาล… ตอนที่ผมกำลังโดนเปิดโปงความลับของตัวเองต่อหน้าคนทั้งหมด รู้สึกราวกับโดนทนายหนุ่มคนนั้นเอาขวานจามลงมาบนเปลือกที่ผมสร้างเอาไว้รอบตัวเพื่อปกป้องตัวเองให้มันทลายลง ผมรู้สึกถึงความเปราะบางของตัวเอง ยิ่งคิดว่าไซ่ม่อนเองก็นั่งอยู่สถานที่แห่งนั้นแล้วตัวของผมยิ่งสั่น

ผมเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง คิดว่าตัวเองคงจะลืมเรื่องนั้นแล้วก้าวต่อไปได้ แต่จริงๆ แล้วไม่เลย สิ่งที่แสดงออกมาชัดเจนที่สุดคือเรื่องที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ยอมโดนตัวใครนี่ไง เหตุการณ์ในตอนนั้นมันฝังใจผม หยั่งรากลึกลงไปถึงส่วนลึกของจิตใจ

ผมกลัวที่จะต้องยอมรับความจริงเรื่องที่ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเหตุการณ์ตอนนั้น ผมกลัว ผมก็เลยเลือกที่จะสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เหรอ มันก็แค่กลไกตามธรรมชาติของมนุษย์เราที่ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดแบบที่เคยเจอมาซ้ำอีกครั้ง แต่หลายครั้งที่เราลืมไปว่าความเข้มแข็งที่เราคิดว่ามี ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เกราะบางๆ ฉาบไว้เท่านั้น หากมันถูกทำลายลงก็เหลือเพียงความเปราะบางที่เหมือนจะแตกหักได้ทุกเมื่อเท่านั้น

และตอนนี้… ผมก็กำลังกลัวว่าตัวเองจะแตกหัก

ผมยกมือขึ้นมากอดแขนหลวมๆ รู้สึกเหมือนรอบตัวเย็นขึ้นมาทั้งๆ ที่รถยังไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ

เขารู้เรื่องที่ผมเคยโดนข่มขืน…. ใช่สิ เขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว ในเมื่อเขาสืบประวัติผมมาก่อนที่จะมาเจอ ผมโง่เองที่ลืมคิดเรื่องนี้ไป แล้วไอ้ที่เขาจะไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดมันก็เรื่องปกติอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นความผิดพลาดของผมเองด้วยซ้ำที่ไม่ทันนึกให้ดีๆ เขาอาจจะคิดว่าผมต้องเดาได้อยู่แล้วก็ได้

โอย…. ปวดหัวกับตัวเองชะมัด

“ออสตินครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลคงเพราะเห็นว่าผมเงียบไป มือหนาเลื่อนมาประคองใบหน้าผมให้หันกลับไปมอง และคราวนี้ผมยอมหันไปแต่โดยดี “คนดี ยกโทษให้ผมได้ไหม?”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น ไม่บอกเขาว่าผมไม่ได้โกรธ แค่อึดอัด สับสน… ผมหลับตาลงช้าๆ ขณะที่ไซม่อนเลื่อนหน้าลงมาประทับจูบแผ่วเบา สัมผัสนุ่มๆ นั่นทำให้ผมคลายความกังวลลง ชวนให้ผ่อนคลายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

ไซม่อนค่อยๆ ผละหน้าออกพร้อมกับลืมตาขึ้น ผมมองตาเขา นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยคู่นั้น ตาที่ทำให้ผมตกลงไปในเหวของเขา มันมีร่องรอยกังวลใจรวมไปถึงไม่มั่นใจเล็กน้อยปนอยู่ในนั้น

“ออสติน” เขาเรียกผม เลื่อนมือมาเกลี่ยปอยผมที่แก้มเล็กน้อย สายตาของเขาเว้าวอนแกมร้องขอ “อย่าโกรธผมเลยนะ”

“อืม” ผมยอมพูดออกมาจนได้ และได้เห็นรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากเขาสมใจ
ใช่แล้ว… สีหน้าแบบนี้ของหมอนี่ต่างหากที่ผมชอบ เขาเคลื่อนตัวมากอดผม ทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากอย่างง้องอน ผมว่านี่ชักจะเยอะเกินไปล่ะ คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมัธยมปลายเรอะ

“พอๆๆๆ” ผมว่า ไม่สนหน้าที่ร้อนขึ้นของตัวเอง “สตาร์ทรถได้แล้ว คุณ เดี๋ยววันนี้ก็ไม่ถึงบ้านหรอก ค่ำๆ รถยิ่งติดอยู่”

ไซม่อนหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดูสดใสและร่าเริงเกินเหตุสำหรับคนที่เพิ่งจะสลด ทำเอาผมอยากจะถองสีข้างเขาสักที แต่มันขับรถให้ผมนั่งอยู่ไงครับ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาผมก็ตายด้วย ไม่คุ้มอย่างแรง

เสียงเพลงจากเครื่องเล่นดังคลอเบาๆ ผมได้ยินไซม่อนฮัมเพลงตามเนิบๆ แล้วอดอมยิ้มไม่ได้ เสมองออกไปมองนอกหน้าต่าง ในเมืองใหญ่นี่มันตึกเยอะจริงๆ ถึงยังไงผมก็ชอบใช้ชีวิตอยู่ติดทะเลมากกว่านั่นแหละ ถึงตอนที่ยังทำงานจะไปๆ มาๆ กับอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ใกล้ที่ทำงานกว่าก็เถอะ

“แล้ว” ไซม่อนพูดขึ้นระหว่างที่รถติดไฟแดง ผมหันกลับไปมองเขา “ที่คุณบอกเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ว่ากำลังเดทกับผม…”

ผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง ตอนนั้นมันมีหลายเรื่องเกินเหตุเลยนึกว่าเขาจะลืมมันไปแล้วเสียอีก ผมยกมือกระแอมทีหนึ่งก่อนจะยักไหล่ หันมองเขาพร้อมกับเลิกคิ้วให้

“ทำไมครับ? มีอะไรผิดพลาดตรงไหนกับสิ่งที่ผมบอกไคล์ไปเหรอ?”

ไซม่อนหัวเราะร่วน เขายื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ และนั่นยิ่งทำให้หน้าผมแดงขึ้นไปอีก ให้ตายสิ ไอ้หมอนี่… กระจกรถก็ไม่ได้ติดฟิล์มดำ คนข้างนอกเขาก็มองเห็น ไม่ได้อายสายตาใครเลย

“ไม่มีครับ คุณหมอ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

ไซม่อนขับรถไปเรื่อยๆ อีกครู่หนึ่ง ความเงียบที่แผ่เข้ามาชวนให้รู้สึกแปลกๆ แม้ว่าจะยังมีเสียงดนตรีคลออยู่ก็เถอะ ในที่สุดคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับก็เอ่ยปากถามผมขณะสาวพวงมาลัย

“เขาเอาตัวคุณไปนานเท่าไรครับ ออสติน”

ผมกลืนน้ำลายอีกใหญ่ลงคอ เขากำลังถามเรื่องที่ผมเคยโดนข่มขืน จากรูปคำถามแล้ว นั่นหมายความว่าเขารู้ว่าผมโดนจับตัวไป แต่ไม่รู้ระยะเวลางั้นเหรอ?

หรือบางทีเขาอาจอยากแค่ชวนผมคุย… ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ยังไงผมก็เปิดปากบอกเขาอยู่ดี ผมรู้ว่ามันทำใจยอมรับยาก แต่ตอนนี้ผมยกให้เขาเป็นคนที่ยืนอยู่เคียงข้างผมแล้ว ผมมีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกเขา… ต่อให้มันจะบีบคั้นจิตใจมากแค่ไหนก็เถอะ

“สองอาทิตย์…” ผมงึมงำ แทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองที่พูดออกไปด้วยซ้ำ รู้สึกว่ามือเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผมก้มหน้าลงต่ำ มองเห็นไซม่อนพยักหน้ารับจากหางตา

“ผมเสียใจด้วยครับ”

“อืม” ไม่รู้จะตอบยังไงดี มันเป็นอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนจริงๆ นะ

“ถ้าคุณไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อล่ะก็---”

“เขาชื่อคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน” ผมว่า สูดลมหายใจแรงๆ เข้าปอดทีหนึ่ง ปิดเปลือกตาลงแล้วเอนศีรษะไปพิงกับเบาะด้านหลัง รู้สึกอ่อนล้าจนอยากจะหลับๆ ลงไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ผมก็ยังพล่ามต่อไปอยู่ดี “เขาเป็นแฟนเก่าของผมเอง”

ผมไม่ได้เห็นไซม่อนพยักหน้าในครั้งนี้เพราะว่าหลับตาอยู่ แต่ผมเดาว่าเขาคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว ก็ถ้าเขาสืบเรื่องของผมมาหมดแลวล่ะก็… ไม่มีทางที่เขาจะพลาดแน่

ใช่…

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน

ผู้ชายที่ผมสัญญากับตัวเองว่าจะเคียดแค้นเขาไปตลอดชีวิต

ผมสัญญาว่าจะเอาความรู้สึกเกลียดชังเหล่านั้นลงโลงไปพร้อมกับผมด้วย






--------------------------------------
Talk: 100%!!! (เฮ~~) อ้าว ไซม่อน ทำไมนายปิดคุณหมอแบบนั้นล่ะคะะะ เดี๋ยวออสตินก็โกรธนายเอาหรอก - 3 -
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ! อย่าลืมคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยน้า >3< จะพยายามแวะมาตอบคอมเม้นท์ให้มากขึ้นค่ะ เพราะงั้น... ฝากด้วยๆ! XD
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-05-2017 19:28:06
สงสารออสติน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 30-05-2017 22:10:04
ทนายก็ยังคงเป็นทนาย แต่ทนายหล่อสินะ

นี่เราติดใจไซม่อนมากนะ รู้สึกนางไม่ธรรมดา ยิ่งสืบเรื่องออสตินมาก่อนหน้า คืออะไรกันแน่

ออสตินนี่ต้องรักไซม่อนมากแน่นอนอะ แบบให้อภัยง่ายมาก มันเกี่ยวกับหัวใจแบรดด้วยใช่ไหม คือแบรดกับไซม่อนเขาไม่ได้รักกันแบบพี่น้องใช่หรือเปล่าเนี่ย คือถึงจะบอกว่า สมองเป็นส่วนสั่งการความรู้สึก แต่หัวใจมันมีผลไหมอะ นี่สงสัยมากจริง ๆ นะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-05-2017 05:30:27
สงสารออสติน แต่พี่ไซขยันเต๊าะขนาดนี้ใครจะโกรธนานได้
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 01-06-2017 18:26:33

***เนื้อหาตอนนี้มีการพูดถึงการใช้ความรุนแรง และการละเมิดทางเพศ เตือนไว้ก่อนเนอะ***


บทที่ 10


 

ช่วงนั้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นช่วงที่ทางกรมตำรวจและหน่วยงานวุ่นวายมากที่สุดเท่าที่ผมจำได้

มีการจราจลก่อเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นในทุกๆ หนแห่งราวกับว่าเมืองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์อันเป็นผลมาจากการก่อเหตุความไม่สงบของเหล่าคนผิวสีในย่านนี้ พวกแก๊งต่างๆ ที่คอยทำงานและใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดมาตลอดรวมตัวขึ้นมาเพื่อประท้วงพวกตำรวจ

ทั่วทั้งเมืองเปรียบเสมือนพื้นที่ทำสงคราม มีเหตุเพลิงไหม้มากมาย มีการเกณฑ์คนมาปล้นสะดมร้านค้า ก่อความวุ่นวายในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งการฆาตกรรมหลายคดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการประท้วงพวกนั้น พวกฆาตกรแค่อาศัยจังหวะความวุ่นวายของพวกตำรวจที่รุดหน้าไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อยับยั้งเหตุการณ์เลวร้ายอย่างอื่น

ผมเองไม่ได้เป็นตำรวจก็จริง แต่ก็โดนเรียกตัวให้มาช่วยงานพวกหน่วยพยาบาลภาคสนาม อีกทั้งยังต้องคอยดูศพที่ถูกลำเลียงมาแบบสดๆ และด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดและน้อยนิดจนน่าใจหาย ส่วนมากแล้วการดำเนินคดีพวกนี้จะแทบไม่คืบหน้าเอาเสียเลย

แต่ถึงหน้าที่ชันสูตรศพจะสำคัญอย่างไร สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนั้นคือการช่วยเหลือคนเป็น และตัวผมในตอนนั้นที่ยังไม่เป็นโรคถูกตัวคนไม่ได้อย่างในตอนนี้ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

“โจชัว” ผมเรียกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่กำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งอย่างรีบร้อน แต่เพราะพยาบาลในเครื่องแบบอีกคนวิ่งตัดหน้าไปทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าลงนิดหนึ่ง ก็เข้าใจล่ะว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันทำเอาทุกคนหัวปั่นไปหมด “จอร์ช! หัวหน้าเรียกนายไปถามงานแน่ะ นายเข้าไปหาเขาหน่อย”

“อะไรกันนักหนาวะเนี่ย” เพื่อนผมสถบพลางละมือจากการรักษาคนเจ็บเบื้องหน้า วันนี้พวกเราไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลอย่างทุกที แต่เปลี่ยนสถานที่เป็นโรงยิมใจกลางเมืองที่มีขนาดกว้างมากพอที่จะรองรับ และง่ายต่อการเข้าถึงตัวคนเจ็บได้อย่างรวดเร็ว “นี่ก็กำลังทำงานอยู่นะ เห็นรึเปล่า หมอนั่นมันงี่เง่าชิบเป๋ง”

“ไปเถอะ เห็นว่ามันเกี่ยวกับรูปคดีด้วย เผื่อว่านายจะช่วยอะไรได้ เดี๋ยวฉันรักษาต่อเอง”

“เออๆ ฝากด้วย ขอบใจนะออสติน”

ผมล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สำรวจบาดแผลที่อยู่บริเวณบ่า ดูจากชุดเครื่องแบบของเขาแล้วไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้เลย เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โดนลูกหลงมาจากความวุ่นวายในตัวเมืองตอนนี้ เขาบอกผมว่ากระสุนถากเขาไปเล็กน้อย ไม่ได้หนักหนาอะไร ที่เขาพูดแบบนี้ได้เพราะรอบตัวคงมีแต่การนองเลือดที่รุนแรงกว่านี้หลายเท่า

ผมลงมือทำแผลให้เขาอย่างประณีตแต่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะว่ายังมีคนเจ็บคนอื่นๆ รออยู่อีกเพียบ เขาพูดขอบคุณสั้นๆ ขณะที่ผมขอตัวไปดูแลคนเจ็บรายอื่นต่อ

หลังจากปฐมพยาบาลให้คนเจ็บได้อีกสองคน ผมก็ถูกตามไปช่วยดูแลคนเจ็บอีกคนที่ถูกกระสุนยิงฝังใน สีหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงซีดเผือด และบรรยากาศรอบๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายคงไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้น ทุกอย่างในตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมดจนผมนึกอะไรไม่ออก แค่ต้องทำอะไรก็ตามที่ทำได้เท่านั้น

“ออสติน”

เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยทำให้ผมชะงักมือจากคนเจ็บไปเล็กน้อย ลังเลว่าควรจะหันกลับไปทักทายกลับก่อนไหม แต่จนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจทำแผลให้คนตรงหน้าจนเสร็จก่อนแล้วจึงหันไปหาเขา

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนยืนอยู่ด้านหลังผม ใบหน้าของเขามีเลือดออกซิบๆ ลักษณะเหมือนมีดกรีด มีแผลถลอกและรอยฟกช้ำตามจุดต่างๆ เขาดูปกติและสุขสบายดีมากถ้าเทียบกับคนไข้คนอื่นๆ ที่ผมรักษามาทั้งหมดในวันนี้ นี่ยังไม่นับรวมรอยยิ้มที่ฉีกไปเกือบถึงหูของเขาด้วยนะ นั่นยิ่งทำให้เขาดูสบายดีมากขึ้นไปอีก แต่พอเห็นสภาพเขาแล้วผมถึงกับลุกพรวดออกมาจากที่นั่งเดิม ตรงเข้าไปสำรวจแผลเขาด้วยความเป็นห่วง

“คริส” ผมว่า เลื่อนมือไปขยับหน้าเขาให้หันแก้มมาเพื่อให้เห็นถนัดตา ค่อยยังชั่วหน่อย แผลไม่ได้ลึกอะไรมาก แต่ไอ้หมอนี่ไม่คิดจะทำแผลดีๆ เลยหรือไง ทำเอาคนอื่นตกใจหมด “นายไปโดนอะไรมาเนี่ย แล้วทำไมไม่ทำแผล มานี่มา นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผม--”

แต่คริสเตียนไม่รอให้ผมพูดจบประโยค เขาดึงแขนผมให้หลบฉากออกมาจากความวุ่นวายเหล่านั้น ดันตัวผมเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ทางการกีฬาของโรงยิม มีตระกร้ารถเข็นขนาดใหญ่บรรจุลูกบาสเกตบอลและวอลเล่ย์บอลอยู่ที่มุมห้อง ผนังฝั่งตรงข้ามมีชั้นวางอุปกรณ์กีฬาต่างๆ และชุดเครื่องแบบของกีฬาเทควันโดเก่าๆ อยู่บนชั้นที่ว่า ตรงพื้นพบกล่องปฐมพยาบาลที่ทางหน่วยงานคงเอามาวางสุมๆ เอาไว้ มีกลิ่นอับชื้นตามแบบที่ยิมทั่วไปควรจะมี

คริสเตียนดันผมเข้าไปชิดผนังด้านหลังจากนั้นจึงทาบจูบร้อนลงมา ผมชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ ใจจริงแล้วไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่เขาทำแบบนี้เพราะผมยังอยู่ในช่วงเวลางาน และข้างนอกนั่นก็มีคนเจ็บอีกมากที่รอให้ผมไปดูแล หากลิ้นร้อนที่ตวัดจ้วงลงมาอย่างกระหายนั่นทำให้ผมต้องโอนอ่อนตามเขาไปจนได้

ผมเลื่อนมือไปโอบหลังรอบคอเขา ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบอยู่ครู่ใหญ่ และเมื่อจูบจนพอใจแล้วคริสก็ผละใบหน้าออกจากผม ในห้องเก็บของนี่ค่อนข้างมืดก็จริงแต่ผมก็ยังพอมองเห็นเขาจากแสงที่ลอดผ่านบานหน้าต่างอยู่บ้าง ผมมองเส้นผมสีบลอนด์ทองเป็นธรรชาติของเขาอย่างหลงใหล นัยน์ตาสีน้ำตาลดูยากที่หยั่งถึงคู่นั้นกำลังมองตอบผมด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน

ผมรู้จักแล้วก็คบหาดูใจกับคริสมาเกือบปีแล้วตอนนี้ เขามาพร้อมกับความวุ่นวายตอนที่ผมทำงานในโรงพยาบาล และด้วยความที่เขาเป็นตำรวจ… เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน เราถึงได้มีโอกาสคุยงานกันหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่เหมือนพวกตำรวจน่าเบื่อคนอื่นๆ ที่คอยจะเอาแต่เร่งงานฝั่งนิติเวช และหลังจากที่ได้คุยงานกันไม่กี่ครั้งเขาก็เริ่มรุกจีบผมอย่างจริงจัง นั่นแหละเราถึงได้คบกัน และด้วยอาชีพการงานของเราแล้ว เหมือนอะไรๆ ก็ดูจะยุ่งวุ่นวายตลอดเวลาเลย ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงจราจลแบบนี้

“ให้ตายเถอะ ออสติน” เขาพูดพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดแนบแน่น ซบหน้าลงบนบ่าผม มือหนาเลื่อนมาลูบหัวผมจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน นั่นทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นมานิดหนึ่ง ส่วนมากแล้วเขาจะชอบทำอะไรรุนแรงมากกว่าจะอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นการจูบ กอด หรือว่าบนเตียง เพราะงั้นการที่เขาจะทำอ่อนโยนกับผมสักครั้งจึงเป็นอะไรที่ชวนให้วาบหวิวมากๆ “ผมคิดถึงคุณจัง ช่วงนี้มันวุ่นวายไปหมด แล้วตอนที่ปะทะกับพวกข้างนอกเมื่อกี้ ผมนึกว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาเจอคุณเสียแล้ว”

“คุณก็พูดเกินไป คริส” ผมตอบยิ้มๆ หอมแก้มเขาทีหนึ่งอย่างเอาใจ “เจ็บน้อยกว่าคนอื่นตั้งเยอะ แต่เดี๋ยวผมทำแผลให้นะ ไหนๆ ดูซิ คุณเจ้าหน้าที่เฮฟเฟอร์แมนช้ำตรงไหนบ้าง ให้คุณหมอช่วยรักษาให้นะครับ”

“ฮะๆ” คริสหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยีหัวผม เขาก้มลงมาจูบผมอีกรอบ ดันผมไปติดกับด้านหลัง แต่ครั้งนี้ผมปล่อยให้เขาทำแบบนั้นเพียงครู่เดียว ผมต้องรีบกลับไปทำงานต่อแล้ว

“คริส…” ผมว่าขณะที่ค่อยๆ ผินหน้าออกอย่างสุภาพ “ผมต้องกลับไปทำงานต่อแล้วครับ คุณเองก็ควรไปทำแผล”

“อีกนิดไม่ได้เหรอ” เขาอ้อน ไล้สันจมูกลงบนแก้มผมแล้วประกบริมฝีปากลงมาอีกจนได้ “ผมคิดถึงคุณนี่นา”

“เราเพิ่งเจอกันเมื่ออาทิตย์ก่อนเองนะ” ผมเลิกคิ้ว “วันก่อนก็เจอในที่ทำงาน”

“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย” เขาพูดยิ้มๆ เลื่อนหน้าลงมากระซิบเสียงต่ำข้างหู “ผมอยากจะจัดการคุณให้หนำใจต่างหากล่ะ ออสติน คืนนี้มาบ้านผมนะ ผมอยากกอดุณ”

“คืนนี้ไม่ได้ครับ” ผมตอบ แน่นอนล่ะว่าผมไม่ได้อยากปฏิเสธเขาหรอก แต่งานรัดตัวจริงๆ “แล้วคุณเองก็ไม่น่าจะว่างไม่ใช่เหรอ คุณเจ้าหน้าที่ ยิ่งในสถานการณ์ที่เมืองลุกท่วมเป็นไฟแบบนี้”

“ก็จริงอยู่หรอกครับ” เขาถอนหายใจเฮือก สีหน้าผิดหวังแสดงออกชัดเจนอย่างไม่ปิดบัง คริสเตียนเริ่มไซร้ศีรษะลงบนซอกคอผมอย่างออดอ้อน “แต่ผมก็อยากมีเวลากับคุณบ้างนี่นา ทำงานเหนื่อยก็อยากจะชาร์ตพลังบ้าง”

“อย่างอแงนักเลยคุณ” ผมพูด เลื่อนมือไปลูบหัวเขาอย่างปลอบโยน “ช่วงนี้สถานการณ์มันแย่เกินกว่าเราจะทำอะไรแบบนั้นได้ ไปเถอะครับ ผมต้องไปทำงานแล้วจริงๆ และผมรู้นะว่าคุณเองก็ไม่ได้ว่าง อย่าอู้งานนักเลยน่า เรายังมีอะไรให้ทำอีกเพียบ”

ผมเดินตรงไปที่ประตู เปิดมันออก มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเพราะสนิมที่เกาะอยู่ มองเห็นสีหน้าไม่พอใจของชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังจากหางตา

“ทำไมไม่รู้นะ” เสียงของเขาไม่สบอารมณ์เลย “ผมรู้สึกว่าหมู่นี้คุณพยายามถอยห่างจากผม”

ผมแทบจะถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างอัดอั้น แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ก่อน ผมไม่ชอบเวลาเขาเป็นแบบนี้เลย รู้ดีว่างานตอนนี้มันเครียด สถานการณ์มันบีบคั้น แต่หน้าที่ของเราคือการทำเพื่อประชาชนแล้วก็คนบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ? เขาเองก็ทำงานสายนี้ตั้งหลายปีแล้วก็น่าจะเข้าใจ

และเอาตรงๆ นะ ตอนที่พวกเราคบกันใหม่ๆ เขาก็ไม่ได้งี่เง่าแบบนี้ อันที่จริง เหตุผลที่ผมชอบเขาก็เพราะความทุ่มเทในการสืบคดีต่างๆ ของเขานี่แหละ แต่ระยะหลังๆ มานี่ดูเหมือนความกระตือรือร้นในการทำงานของเขาจะลดลง แล้วก็มาเพิ่มที่ตัวผมแทน คือผมก็รู้สึกขอบคุณนะ แต่ผมเชื่อว่ายังมีคนเดือดร้อนอีกมากมายต้องการความช่วยเหลือและความกระตือรือร้นของเขามากกว่าตัวผมแน่

“คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น คริส”

คริสเตียนทำหน้างอลงเล็กน้อยเหมือนเด็กๆ “ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะรู้ล่ะ คุณหมอ ผมไม่รู้หรอก”

“นี่ ถ้าเราจะมายืนเถียงอะไรงี่เง่ากันแบบนี้ล่ะก็ ผมขอตัวกลับไปดูคนป่วยต่อดีกว่า นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ปกตินะ ทุกคนกำลังหัวปั่นข้างนอกนั่น” ผมเริ่มใส่อารมณ์บ้างแล้ว หงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของชายตรงหน้าขึ้นมาจริงๆ ผมเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นวาววับขึ้นมาด้วยความโกรธ หากวินาทีต่อมา คริสเตียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขามองผมด้วยสีหน้าสำนึกผิด

“โอเค ออสติน ผมขอโทษ ผมรู้ว่าเรามีงานล้นมือ ผมแค่เครียดมากไปหน่อย”

คำขอโทษง่ายๆ นั่นทำให้ผมใจอ่อนลง ปกติผมไม่ใช่คนที่โกรธใครได้นานอยู่แล้ว ยิ่งถ้าอีกฝ่ายสำนึกผิดด้วยแล้ว ผมเดินไปแตะแขนเขาแผ่วเบาอย่างปลอบโยน ช่วงเวลาที่ทุกอย่างบีบคั้นอย่างนี้เราควรจะให้กำลังใจซึ่งกันและกันมากกว่าจะมาตีกันเอง

เขาจูบขมับผมแผ่วเบา ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ผมยิ้มตอบให้เขาก่อนจะผละออกจากห้องเก็บของแห่งนั้น

เอาล่ะ ได้เวลาที่ต้องทำงานต่อสักที ดูเหมือนจะมีคนเจ็บถูกหามเข้ามาอีกแล้ว


.
.
.
(50%)
 





---------------------------------------
Talk: สวัสดีค่าาาา เอาครึ่งตอนแรกมาให้ทุกคนแล้วน้าาา >3<
เราจะลงทุกวัน อา. อ. พฤ. ครั้งละครึ่งตอนนะคะ เพราะงั้นฝากติดตามด้วยน้า <3
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(50%) P.2 [1/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-06-2017 18:53:56
 :katai5: แปะไว้ก่อน เดี๋ยวครบตอนค่อยมาอ่าน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(50%) P.2 [1/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-06-2017 19:15:42
***เนื้อหาตอนนี้มีการพูดถึงการใช้ความรุนแรง และการละเมิดทางเพศนะคะ เตือนไว้ก่อนเนอะ***


[ต่อ]






เสียงแก้วน้ำพลาสติกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะล้มลงดังขึ้น ของเหลวที่อยู่ด้านในไหลออกมาเจิ่งนองไปทั่วทั้งบริเวณนั้น

ผมถลาตัวไปคว้าเอกสารหลายแผ่นที่อยู่บนโต๊ะแทบไม่ทัน บางแผ่นเปียกซึมไปครึ่งหน้าจนตัวหนังสือเลือนไปหมด ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ปัดแก้วใบนั้นลงอย่างหัวเสีย

“นี่คุณทำอะไรของคุณเนี่ย? รู้ไหมว่าผมใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะสรุปรายงานพวกนี้ได้”

“แล้วถ้าผมไม่ทำแบบนี้คุณจะเงยหน้าขึ้นมาสนใจผมบ้างไหม”

ผมขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมนั่งทำงานอยู่ตรงนี้มาเป็นชั่วโมงๆ ใช้หัวคิดกับเนื้อหาด้านในจนแทบจะระเบิด ผมรู้ดีว่าเขาพยายามถามนู่นถามนี่ ชวนคุยเรื่อยๆ มาตลอดระยะเวลาที่ผมนั่งจมกับเอกสารของตัวเอง แต่ผมก็บอกเขาไปแล้วว่าผมต้องใช้สมาธิในการทำงาน แล้วทำไมเขาถึงต้องมากวนผมอยู่แบบนี้ด้วยนะ

“คุณไม่เห็นหรือไงว่าผมกำลังใช้สมาธิอยู่น่ะ” ผมว่า สะบัดหน้ากระดาษในมือลวกๆ บางแผ่นยังพอเห็นเนื้อหาที่อยู่ด้านใน แต่แผ่นที่เปียกมากๆ ตัวหนังสือเลือนหายไปจนอ่านอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ปัดโธ่เว้ย นี่ผมจะทำงานอย่างสงบๆ บ้างไม่ได้เลยใช่ไหม

“คุณเป็นคนบอกผมเองนะว่าจะมาหาก็ได้วันนี้น่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน “แต่พอผมมาจริงๆ คุณก็เอาแต่ทำงานอยู่นั่นแหละ ถ้าคุณจะชวนผมมาแล้วเมินกันแบบนี้ก็ไม่ต้องให้มาแต่แรกดีกว่าไหม”

คำพูดที่เหมือนจะโทษว่าเป็นความผิดของผมนั่นทำให้ผมเงยหน้าพรวดขึ้นมามองเขาอย่างหงุดหงิด อารมณ์ข้างในพลุ่งพล่านมากขึ้นจากที่โมโหเพราะโดนกวนเวลาทำงานอยู่แล้ว เขาเองก็เคยทำงานที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อมากๆ มาแล้ว ทำไมถึงไม่เข้าใจผมบ้างเลยนะ

“ผมบอกคุณแล้วไงว่าจะมาก็ได้ แต่ผมมีงานค้างที่ต้องทำต่อให้เสร็จ” ผมพูด พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านให้กลับไปอยู่ข้างใน แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ และความหงุดหงิดนั้นของผมก็ออกมาจากน้ำเสียงอย่างชัดเจน “แล้วนี่ผมก็บอกคุณแล้วว่าเวลาสักสองชั่วโมง ทำไมคุณไม่ไปดูทีวีรอผมหรือหาหนังสืออ่านเล่นสักเล่มล่ะ คริส ผมใช้เวลาไม่นานก็จะเสร็จอยู่แล้ว แต่นี่คุณมาทำงานผมพังเนี่ย ผมก็ต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิมไหมกว่าจะเรียบเรียงใหม่อีก”

“คุณยังไม่บอกผมเลยว่าลอว์รี่ ฮันต์ที่คุณคุยด้วยเมื่อคืนนี่เป็นใคร” น้ำเสียงของเขาหัวเสียและจับผิดอย่างชัดเจน แต่เดี๋ยวนะ แล้วนี่เขารู้ได้ยังไงว่าผมคุยกับใครเมื่อคืน

“นี่คุณเช็คโทรศัพท์ผมอีกแล้วเหรอ” ผมถามเสียงดังขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองเห็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาจากนั้นก็ตวัดสายตากลับไปมองคริสเตียนอย่างโกรธขึ้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามายุ่มย่ามกับของส่วนตัว เรื่องส่วนตัวของผม แต่ผมเคยขอร้องเขาแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น เขาเองก็เคยรับปากแท้ๆ แต่เขาก็ยังมายุ่งกับโทรศัพท์ของผมอีกจนได้

ผมรู้ดีว่ามันมีคนประเภท…ไม่สิ  คู่รักประเภทที่ต้องคอยเช็กมือถือกันตลอดเวลา ถึงบางคนอาจจะบอกว่าถ้าไม่ได้มีใครอื่นหรือทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหรือปิดบังอะไรเลยนี่ แต่สำหรับผม ผมถือคติว่าถ้ารักกันก็ต้องเชื่อใจกันและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งการที่มีแฟนมาคอยเช็คความเคลื่อนไหวของตัวเองทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ก้าวก่ายและเป็นการดูถูกกันอย่างร้ายแรงแบบหนึ่งเลยทีเดียว

ผมหมายถึง… ทำไมวะ? เราคบกันน่ะ เราไม่มีความเคารพให้กันเลยเหรอ ไม่เชื่อใจกันเลยใช่ไหมว่าผมจะไม่นอกใจเขาน่ะ ผมถือเรื่องนี้มากนะ เราเองก็คบกันมาตั้งนาน เขาก็ควรจะรู้

“ผมก็แค่อยากรู้ว่าเมื่อคืนคุณทำอะไรอยู่ทำไมถึงได้ตอบแชทผมช้านัก” คริสเตียนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ น้ำเสียงหงุดหงิดของเขายิ่งทำให้ผมรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก เหมือนเขาพยายามจะข่มว่าผมไม่มีสิทธิ์เถียงอะไรเขาเพราะผมมีความผิดติดตัวอยู่อย่างนั้นแหละ “และผมก็เห็นนะว่าคุณตอบแชทของไอ้หมอนี่ก่อนที่จะตอบผม ไม่สิ คุณคุยกับเขาเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็ปล่อยผมรอตั้งนานกว่าจะพิมพ์อะไรตอบมา”

“แล้วคุณไม่ได้ดูเนื้อหาที่อยู่ข้างในนั้นรึไง ไม่มีตาดูเหรอว่าผมคุยกับลอว์รี่เรื่องงาน” ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์โกรธของตัวเองที่พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ เขากล้าดียังไงมาทำเหมือนกล่าวหาว่าผมนอกใจแบบนี้ ผมไม่เคยทำตัวทุเรศแบบนั้น “แล้วผมบอกคุณกี่ล้านรอบแล้วว่าอย่ามายุ่งกับโทรศัพท์หรือของส่วนตัวของผม ผมไม่เคยคุยอะไรเกินเลยกับใครทั้งนั้นแหละ คริสเตียน เราเองก็คบกันมานาน คุณควรจะรู้เรื่องนั้นได้แล้ว”

“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะปิดผมจริงๆ แล้วทำไมคุณต้องไม่อยากให้ผมดูด้วย”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหมดความอดทน กลับมาอีกแล้วไงกับบทสนทนาเดิมๆ แบบนี้ ผมพูดเรื่องนี้กับเขามาเป็นล้านรอบ และเขาก็พูดคำเดิมๆ แบบนี้เป็นล้านรอบแล้วเหมือนกัน ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมคนเรารักกันแล้วถึงเชื่อใจกันไม่ได้ ไว้ใจกันไม่ได้ เคารพกันไม่ได้ แบบนี้แล้วความสัมพันธ์จะไปรอดได้ยังไง

“ฟังนะ คริสเตียน” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองแม้จริงๆ แล้วจะโกรธจนอยากถีบเขาสักรอบ เผื่อจะเข้าใจความคิดของผมขึ้นมาบ้าง “ผมไม่ได้นอกใจคุณ ไม่เคยทำและไม่เคยคิด ผมไม่มีความลับอะไรปิดบังคุณเหมือนกัน แต่ผมต้องการรักษาพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง ผมเองก็ไม่เคยไปก้าวก่ายคุณหรือเช็คโทรศัพท์ของคุณเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงทำให้ผมบ้างไม่ได้ล่ะ”

“ผมไม่เคยว่าเลยนะถ้าคุณอยากจะเช็คมือถือผม” เขายกมือกอดอกอย่างหงุดหงิด “คุณเอาไปดูได้เลย ออสติน ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับใครมากไปกว่าคุณเลย ผมบริสุทธิ์ใจมากด้วยถ้าคุณอยากจะดู”

“ผมไม่ได้อยากดู” ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนอีกฝ่ายดูถูกอย่างร้ายแรง แค่เพราะผมไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมือถือของผมก็กลายเป็นว่าผมกำลังนอกใจเขาแล้วเหรอ เขาเอาตรรกะแบบไหนคิดวะ ไม่เชื่อใจกันเลยใช่ไหม ผมมันไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ? “แล้วขอทีเถอะ การที่ผมไม่อยากให้คุณดูโทรศัพท์ของผมไม่ได้หมายความว่าผมมีเรื่องปิดบังคุณนะ แค่ผมเองก็มีสังคมของตัวเองเหมือนกันก็เท่านั้น แล้วบางอย่างเป็นเรื่องงาน มีข้อมูลของงาน หลายๆ อย่างก็เป็นความลับที่ผมไม่ควรให้คนนอกรู้”

“คนนอกเหรอ” เสียงของเขาห้วนขึ้น “เผื่อว่าคุณจะลืมนะ ออสติน ผมเองก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐคนหนึ่งเหมือนกัน”

“อย่าตีรวนได้ไหม คริส คุณก็รู้ว่าผมหมายความว่าอะไร” ผมพูดอย่างหงุดหงิด เรียงกระดาษลงบนเคาน์เตอร์ที่อยู่หน้าห้องครัว ครัวของผมมีผนังที่เจาะเป็นสี่เหลี่ยมตรงกลางเอาไว้แล้วมีเคาน์เตอร์ยื่นออกมา ผมหวังว่ากระดาษพวกนี้จะแห้งและยังพออ่านออกอยู่บ้าง แต่แผ่นที่เปียกไปเต็มๆ นี่คงต้องตัดใจแล้วทำใหม่ “ต่อให้มันเป็นเรื่องคดีก็เถอะ แต่ถ้ามันไม่ใช่คดีของคุณ คุณก็ไม่ควรจะได้รู้ คุณเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกกรมตำรวจเล่มเกมกันยังไง ผมเองก็ไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาเหมือนกัน”

คริสเตียนเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม ประชิดตัวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบเสียจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรต่อเขาก็คว้าไหล่ผม กระชากตัวผมให้หันไปทางเขาอย่างแรงจากนั้นก็บดริมฝีปากลงมา จูบนั่นทำให้ผมตกใจมากจริงๆ และเมื่อความตกใจเลือนไปความกลัวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ผมพยายามผลักอกของคนตรงหน้าออก แต่นั่นยิ่งทำให้เขาออกแรงเบียดลงมาบนร่างของผมมากขึ้น และเรื่องที่ต้องใช้แรงและพละกำลังแบบนี้ผมไม่เคยเอาชนะเขาได้อยู่แล้ว และดูเหมือนว่ายิ่งผมไปขัดขืนเขา เขาจะยิ่งโกรธเสียด้วย

“ฮะ… แฮ่ก…” ผมหอบหายใจออกมาเมื่อคนตรงหน้าผละริมฝีปากออกไป กลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูก เลือดไหลซิบออกมาจากริมฝีปากของผมเอง ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่นึกว่าคริสเตียนจะทำรุนแรงกับผมขนาดนี้ และมันทำให้ผมโกรธมากจริงๆ “นะ… นี่คุณทำอะไรของคุณน่ะ คริส! ประสาทกลับไปแล้วเหรอ!”

“นั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหากล่ะ!” เขาขึ้นเสียง มือเลื่อนมาบีบบ่าผมแน่นจนเจ็บแปลบไปหมด “คุณไม่พยายามทำความเข้าใจบ้างเลยว่าผมรู้สึกยังไง ว่าผมกระวนกระวายแค่ไหน ทุกครั้งที่ผมเห็นคุณคุยกับผู้ชายคนอื่น ทุกครั้งที่คุณตอบข้อความของคนอื่นก่อนผม ผมไม่ได้สำคัญที่สุดสำหรับคุณเหรอ ออสติน? กับไคล์ ไทเลอร์ที่คุณบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของคุณก็คนหนึ่งล่ะ แล้วนี่ยังมาลอว์รี่ ฮันต์อีก แล้วต่อไปคุณจะคุยกับใคร คุณอยากจะปั่นหัวผมเล่นใช่ไหม”

“บ้าไปใหญ่แล้ว! คริสเตียน!” ผมตะโกนอย่างหัวเสีย รู้สึกราวกับโดนมือที่มองไม่เห็นตบหน้า “ผมไม่เคยนอกใจคุณ! ได้ยินไหม คุณที่ผมคุยด้วยก็แค่เพื่อนเท่านั้น หรือไม่ก็เพื่อนร่วมงาน ส่วนมากผมก็คุยเรื่องงานทั้งนั้นแหละ ผมไม่เคยนอกใจคุณ หรือไปคุยกับใครคนอื่นอย่างที่คุณกล่าวหามาเลยสักครั้ง”

“แต่คุณชอบทำตัวมีลับลมคมในกับผม!”

“มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ! ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผมก็เท่านั้น คุณต่างหากล่ะ แค่เชื่อใจผมแค่นี้มันจะยากเย็นอะไรนักหนาวะ!?”

“แล้วทำไมคุณถึงต้องไม่อยากให้ผมก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณด้วย!?” เขาออกแรงบีบบ่าผมแรงขึ้น คราวนี้มันจิกลงมาเลยด้วยซ้ำ ผมครางออกมาเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด แต่คริสเตียนก็ไม่ยอมปล่อยมือสักที “ผมเป็นแฟนของคุณนะ ออสติน ผมเองก็เป็นหนึ่งในเรื่องส่วนตัวของคุณไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงต้องมีเรื่องปิดบังผมด้วยล่ะ ถ้ามันไม่ได้มีอะไรแล้วทำไมผมถึงรู้ไม่ได้?”

“ปล่อยผมนะ คริส!” ผมปัดมือของเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีจากนั้นก็หอบหายใจจนตัวโยน ความรู้สึกโกรธ ผิดหวัง อ่อนล้ามันประเดประดังเข้ามาจนมึนหัวไปหมด ผมว่าตอนนี้ต่อให้ใช้เหตุผลยังไง เราสองคนก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว “หลบไปซะ ผมจะไปสงบสติอารมณ์ข้างบน ส่วนคุณ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปซะ เดี๋ยวนี้เลย ผมไม่อยากคุยกับคุณ”

ผมกระแทกบ่าเขาแล้วตรงไปที่บันไดบ้าน หากมือแกร่งเลื่อนมาคว้าข้อมือผมหมับ บีบมันแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมนึกกลัวว่าข้อมืออาจจะหัก

“โอ๊ย…” ผมครางเบาๆ ขณะหันมาเผชิญหน้ากับเขา สะดุ้งสุดตัวมื่ออีกฝ่ายใช้มือข้างที่ว่างกระชากคอเสื้อผมขึ้นไปแล้วกดจูบลงมา ไหล่ทั้งสองข้างของผมเริ่มสั่น ผมกับคริสเตียนเคยทะเลาะกันมาหลายครั้งนะตั้งแต่คบกันมา แต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้ แล้วสาเหตุในการทะเลาะ… ก็ไม่เคยพ้นไปจากเรื่องเดิมๆ พวกนี้เลย

“คุณบอกว่าไม่อยากคุยกับผมงั้นเหรอ” คริสเตียนก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูผมอย่างข่มขู่ มันทำให้ผมใจหายวาบทีเดียว “แล้วคุณอยากจะคุยกับใครแทนล่ะ เพื่อนร่วมงานของคุณที่ชื่อฮันต์หรือว่าเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ เพื่อนสนิทของคุณดี”

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ คริสเตียน” ผมกัดฟันกรอด ทำไมเขาถึงได้ดูถูกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้นะ ทำไมเขาไม่ฟังที่ผมพูดบ้าง เอาแต่ยึดความคิดของตัวเองคนเดียว “ผมไม่เคยมีอะไรเกินเลยกับใครทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าคุณยังปรักปรำผมแบบนี้อยู่อีกล่ะก็… ผมก็จะไม่ทนอยู่กับคุณ”

สีหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นด้วยความโกรธ นัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับอย่างน่ากลัว แต่ผมเองก็กำลังโกรธจนหน้ามืดเหมือนกันจึงไม่ทันนึกหวาดหวั่น

“นี่คุณกำลังจะบอกเลิกผมเหรอ”

“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เวลาที่อารมณ์ร้อน ผมจะไม่พูดว่าขอเลิกออกมาพล่อยๆ แน่ “แต่ผมไม่ชอบเวลาคุณทำเหมือนดูถูกผมแบบนี้ ให้เกียรติผมบ้าง”

“แล้วคุณล่ะ ออสติน ที่คุณกำลังทำอยู่นี่ให้เกียรติผมมากเลยใช่ไหม”

“คริส คุณต้องปล่อยผมเดี๋ยวนี้” ผมพูดพร้อมกับออกแรงบิดข้อมือให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา แต่ก็ไม่เป็นผล บริเวณที่ถูกเขาบีบรัดชาไปหมด “เราเถียงกันแบบนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ ผมก็ใช้เวลาอยู่กับตัวเองสัก--- เดี๋ยว! คริสเตียน! คุณทำอะไรน่ะ!?”

ผมโวยวายด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็ช้อนตัวผมขึ้นไปพาดบ่าด้วยแรงมหาศาล ผมอ้าปากค้างด้วยความมึนงงในวินาทีแรกจากนั้นจึงเริ่มออกแรงดิ้นอย่างหนักเพื่อให้หลุดออกจากตัวเขา นี่หมอนี่ประสาทกลับไปแล้วเหรอ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ ต้องถึงขั้นนี้เลยใช่ไหม

“คริสเตียน! ปล่อยผมนะ นี่มันไม่ตลกเลยสักนิด!”

“แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าผมล้อเล่นอยู่ล่ะ?”

เขากระชากประตูห้องนอน เหวี่ยงผมลงไปบนเตียงอย่างรุนแรงจากนั้นก็ถลาขึ้นมาคร่อม บนริมฝีปากลงมา กดย้ำตรงบริเวณที่เลือดเพิ่งไหลซิบๆ ออกมาเมื่อครู่ ผมพยายามออกแรงผลักเขา พยายามเอาศอกถองหน้าท้องอีกฝ่ายแต่เจ้าตัวหลบได้อย่างรวดเร็วอย่างคนที่เก่งศิลปะป้องกันตัว

“อยู่เฉยๆ เถอะคุณ”

“อึก!”

เขาจับผมให้นอนคว่ำลงกับเตียง กดหัวผมจนหมอนยวบลงไป ผมดิ้นไม่หยุดขณะที่เขาพยายามหาอะไรมาพันธนาการมือทั้งสองข้างของผม ทันทีที่ผิวหนังสัมผัสกับโลหะเย็นเฉียบนั่น ผมก็รู้เลยว่าคริสเตียนใช้กุญแจมือที่เขายังมีอยู่ในกระเป๋าซึ่งเหน็บอยู่บนเข็มขัด ผมใจหายวาบด้วยความกลัว เพิ่งเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ มือของเขาเลื่อนมาปลดเข็มขัดแล้วดึงกางเกงของผมออกอย่างรวดเร็ว ผมไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนเขาได้เลยในตอนนี้

“คริส… อย่า…” ผมครางอย่างสิ้นหวัง สะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเริ่มไล้ฝ่ามือลงบนบริเวณนั้น นี่เขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไง แบบนี้มันขืนใจกันชัดๆ “คริส! ผมไม่--- อึก….! คริสเตียน! หยุดนะ!! คุณจะบ้าหรือไง!? ผมฟ้องคุณเรื่องนี้ได้เลยนะ! อ๊ะ… คริส!!! มันเจ็บนะ ได้โปรด…. อย่าทำแบบนี้”

แต่เขาไม่ฟังที่ผมพูด ไม่สนใจคำขอร้องของผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเขาถูกความโกรธครอบงำอยู่หรือว่านี่คือสิ่งที่เขานึกอยากจะทำมานานแสนนานอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ช่าง…

เขามันสารเลวที่สุด
 






-------------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแย้ววว นี่ คริสเตียน นายเป็นเด็กมีปัญหามาก่อนใช่ไหม ทำไมทำตัวแบบนี้ ถถถถถถถ
ช่วงนี้งานเรายุ่งมากเลยค่ะ ทุกคน เวลาเขียนนิยายแทบไม่มี จะลงแดงตายมาก ไม่ได้เขียนนิยายเนี่ย 5555555 ยังไงก็ฝากคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ >w<
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(100%) P.2 [4/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-06-2017 20:35:38
ง่า สงสารออสติน
แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่ออะ มีการแจ้งความหรืออะไรไหม แล้วคริสเป็นยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(100%) P.2 [4/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-06-2017 18:50:03
ง่า สงสารออสติน
แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่ออะ มีการแจ้งความหรืออะไรไหม แล้วคริสเป็นยังไงต่อ

มาค่ะะ เรามารอดูกันน >w<
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(100%) P.2 [4/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-06-2017 18:52:39

บทที่ 11




“คุณโกรธเขามากไหม ออสติน”

เสียงทุ้มต่ำที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ดังมาจากคนข้างตัว ทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ของตัวเอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเล่าอะไรให้เขาฟังไปบ้าง แต่ถ้าเขาฟังที่ผมเล่าแล้ว เขายังมีหน้าจะมาถามแบบนั้นอีกเหรอ

“ผมเหรอ” ผมเหยียดยิ้มเยาะ “อย่าใช้คำว่าโกรธเลยดีกว่าคุณ มันเลยจุดนั้นไปมากโขเลยทีเดียว ผมขอใช้คำว่าอาฆาตแค้นเลยจะดีกว่า ผมรู้ดีว่าความรู้สึกนี้ที่มีต่อเขาจะไม่มีวันหายไปจนกว่าเขาจะได้รับโทษที่สาสม”

ไซม่อนพยักหน้า นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายแววครุ่นคิดดูอ่านยากเหมือนเคย ผมปล่อยให้เขานิ่งไปแบบนั้น ส่วนหนึ่งในตัวนึกดีใจที่เขาไม่ได้แสดงท่าทีสงสารหรือว่าสมเพชผมอย่างที่คนทั่วไปมักจะทำกัน คนอื่นๆ มักจะมองคนที่เคยเป็นเหยื่อการคุกคามทางเพศด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจจนเกินเหตุ ยิ่งกับกรณีของผมที่ค่อนข้างหนักหนาด้วยแล้ว… ผมไม่โทษพวกเขาเหล่านั้นหรอก แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากให้ใครมาสังเวชผมหรอก และการที่ไซม่อนไม่ได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกมานับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว

“คุณแค้นเขาขนาดไหน ออสติน” ไซม่อนถามต่อ ตอนนี้เราอยู่กันบนฟรีเวย์ที่รถค่อนข้างแน่น ผมทอดสายตายาวออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกเลยผ่านรถคันอื่นๆ ออกไปอย่างไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด “แบบที่อยากให้กฎหมายลงโทษเขาอย่างสาสม… อยากให้เขาเข้าไปอยู่ในคุกอย่างอาชญากรคนอื่นๆ อะไรแบบนั้นงั้นเหรอ”

“หึ” ผมแค่นหัวเราะในลำคอ ยกมือกอดอกหลวมๆ รู้สึกถึงด้านมืดในจิตใจของตัวเองที่ค่อยๆ คืบคลานออกมา การยกเรื่องของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนมาคุยมักจะปลุกความดำมืดที่อยู่ในตัวผมออกมาได้เสมอ ที่น่ากลัวก็คือผมไม่รังเกียจจุดนี้ของตัวเอง “พูดตามตรงนะ คุณเจ้าหน้าที่ ต่อให้ทางตำรวจจับเขาได้ ต่อให้เขายอมมอบตัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเขาจะหาทนายดีๆ มาแก้ต่างให้ อาจถึงขั้นมีการยัดเงินใต้โต๊ะหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาเป็นตำรวจที่เก่ง ไซม่อน และเพราะว่าเขาเป็นคนเก่ง เมื่อเขาเลือกเส้นทางสายอาชญากรรมแล้วเขาก็จะเป็นอาชญกรที่เก่ง

“เขารู้กฎหมาย รู้ระเบียบขั้นตอนการทำงานของทางกรมตำรวจเพราะว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในนั้นมาก่อน เขาจะหาทางดิ้นจนหลุดได้แน่ เขาจะได้รับการลดโทษ เผลอๆ อาจจะไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกเลยด้วยซ้ำก็ได้ เพราะงั้นถ้าคุณถามผม ผมไม่ได้อยากเห็นเขาถูกตำรวจจับจริงๆ หรอก เพราะพอคิดว่าเขาอาจจะหลุดรอดจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เคยยุติธรรมจริงๆ ไปได้ มันก็ยิ่งทำให้ผมร้อนรุ่มจนแค้นใจไปหมดแล้ว ถ้าคุณถามผมนะ ผมอยากจะสำเร็จโทษเขา อยากให้พระเจ้าลงโทษเขา ไม่ต้องเป็นผมก็ได้ แต่ผมอยากให้เขาได้รับผลจากการกระทำที่สาสม และการที่เขาถูกยัดใส่ตารางดูไม่ใช่สิ่งที่สาสมแบบที่ผมพูดมาเลย”

“ถ้าเขามาอยู่ตรงหน้าคุณ คุณจะฆ่าเขาไหม”

จากในกระจกข้างตัวรถที่ผมมองอยู่ ผมเห็นนัยน์ตาสีเทาของตัวเองเป็นประกายวาบขึ้นมา “ฆ่า”

ไซม่อนเหยียดยิ้ม “ไม่ลังเลเลยนะ”

“ผมไม่สนหรอกว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไง” ผมพูด สิ่งที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจกำลังพรั่งพรูออกมา มันเป็นสิ่งที่ผมพยายามกดลงไปในหลุมดำมืด กลบฝังมันให้หลับใหลอยู่ในนั้น แต่มันไม่เคยหายไปไหนเลย มันอยู่กับผมตลอดเวลาแล้วก็จะอยู่ต่อไปด้วย “ผมไม่สนหรอกว่าตัวเองจะโดนตราหน้าเป็นฆาตกร ไม่สนถ้าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกหรือต้องโทษประหาร แต่ผมจะฆ่าเขาแน่ ขอแค่โอกาสให้ผมสักครั้งเถอะ”

“คุณไม่ทำแบบนั้นหรอก”

ผมหันหน้าขวับไปมองคนพูดด้วยสายตาวาวโรจน์ “คุณจะบอกว่าผมเป็นคนขี้ขลาดเกินกว่าจะทำแบบนั้นงั้นสิ?”

“เปล่าเลย ออสติน” ไซม่อนว่า สายตาไม่ละจากถนนเบื้องหน้า “แต่คุณเป็นคนดีกว่านั้น คุณจะไม่ฆ่าคนหรอก ต่อให้คุณจะแค้นคนคนนั้นมากแค่หนก็ตาม”

“หึ” ผมแค่นเสียง มุมปากยกขึ้นอย่างเหยียดหยัน ผมเบือนหน้าออกจากกระจกเพราะทนดูตัวเองไม่ได้ บางทีเรื่องที่ว่าผมเป็นคนขี้ขลาดอาจจะเป็นความจริงก็ได้ แต่ไอ้เรื่องที่ว่าผมเป็นคนดีอะไรนี่… “ไม่มีใครเป็นคนดีหรอก ไซม่อน แมคแนร์ ทุกคนล้วนมีหลุมดำมืดอยู่ในจิตใจทั้งนั้นแหละ จะเล็กหรือจะใหญ่ จะเห็นได้ชัดหรือแทบมองไม่เห็นเลย แต่ยังไงก็มีอยู่กันทุกคนแน่ ผมเองก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ ถูกเขาทำถึงขนาดนั้น ไม่มีทางที่ผมจะให้อภัยเขาได้แน่นอนล่ะ”

จากหางตา ผมเห็นไซม่อนยกยิ้มที่บ่งบอกความหมายบางอย่าง ราวกับว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดประโยคนั้นของผม แน่นอนล่ะ เขาเองย่อมต้องมีหลุมมืดอยู่ในใจของเขาอยู่แล้ว ผมไม่แปลกใจเรื่องนั้นหรอก

“คุณอยากจะฆ่าคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนจริงๆ เหรอครับ”

“อยาก”

“แล้วคุณได้ฆ่าเขาไหม”

ผมหันหน้าขวับกลับไปมองคนถามอีกรอบอย่างฉงนทันที “เปล่า”

“อือฮึ”

“ทำไมคุณถึงถามแบบนั้น?”

“เพราะว่าจนถึงตอนนี้ตำรวจก็ยังตามหาเขาไม่พบ ทั้งที่มันผ่านมาเป็นปีแล้ว” ไซม่อนว่า ยกมือขึ้นลูบคางเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด “แล้วคุณก็เพิ่งพูดให้ผมฟังว่าคุณอยากจะฆ่าเขา”

“อ้อ แน่ล่ะ ผมอยากจะฆ่าเขาแน่” ผมว่า “แต่ต่อให้ผมฆ่าเขาจริงผมก็คงไม่บอกคุณหรอก นี่คุณไม่ได้คิดถึงตรงจุดนี้บ้างเลยหรือไง”

ไซม่อนกระตุกยิ้ม “ก็เผื่อคุณหลุดปากพูดไงครับ เผื่อผมจะรู้อะไรดีๆ”

“เสียใจด้วยนะครับที่ไม่มีข้อมูลอะไรพอจะเพิ่มในแฟ้มผลงานของคุณได้” น้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อยนั่นทำให้เขาหัวเราะ มือแกร่งเลื่อนมาลูบหัวผมทีหนึ่งอย่างเอ็นดู มันทำเอาผมชะงักนิดหน่อยด้วยความตกใจ แต่นอกจากนั้นแล้วมันก็รู้สึกอบอุ่นดี ผมชอบสัมผัสแบบนี้ของเขา และคิดว่าเขาคงพอเดาได้

“ผมแค่ล้อเล่นเอง ออสติน”

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”

“งั้นคืนนี้ผมขอค้างที่บ้านคุณได้ไหมครับ”

“แล้วพรุ่งนี้ไม่มีการมีงานทำรึไงคุณ”

“เดี๋ยวผมตื่นเช้าๆ ไง แล้วให้คุณทำข้าวเช้าให้ผมกิน ดีไหม?”

“คนเรานี่นะ” ผมแกล้งบ่นงึมงำ เบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะหน้าเริ่มร้อนขึ้น “ได้คืบจะเอาศอกตลอด แย่จริงๆเลย”

ไซม่อนหัวเราะร่วนเป็นคำตอบ และนั่นทำให้ผมเผลอแอบยิ้มตามไปด้วย



 


ผมขอเวลาเขาสองชั่วโมงในการทำงานหน้าคอมตามที่วางแผนเอาไว้วันนี้ ไซม่อนไม่ขัดอะไรเลย เขาเอาเวลาตรงนั้นไปอาบน้ำ ดูทีวี และก็คงหยิบงานของตัวเองออกมาทำต่อเหมือนกัน คราวนี้ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่เดินเฉียดเข้าไปใกล้ตอนเขาทำงานอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจได้เห็นภาพชวนให้สลดหดหู่ใจอีกอย่างคราวก่อน

มันก็จริงอยู่หรอกนะที่ผมทำงานกับศพมานาน ควรจะชินกับอะไรพวกนั้นได้แล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะผมห่างหายจากงานประจำของตัวเองมานานพอสมควร ประกอบกับสิ่งที่อยู่ด้านในรูปภาพ… บางครั้งสิ่งที่เห็นในนั้นมันชวนให้รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเห็นศพจริงๆ เสียอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นี่ยังไม่นับว่าเหยื่อในคดีที่เขาทำอยู่เป็นแค่เด็กด้วยนะ ผมบอกเลย ไม่ว่าใครจะเป็นฆาตกรในคดี คนคนนั้นมันปีศาจในคราบมนุษย์ชัดๆ

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้นมาเรียกให้ผมเหลือบไปมอง ไซม่อนก้าวเท้าออกมาในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขามีหยดน้ำเล็กๆ เกาะพราวอยู่บนกล้ามเนื้อตั้งแต่หน้าท้องจนถึงแผ่นอก หน้าของผมร้อนฉ่า ผมรีบหันกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองแทบไม่ทัน หวังว่าไซม่อนจะไม่ทันเห็นหน้าผมเมื่อกี้นะ เพราะมันต้องน่าอายมากแน่ๆ

ผมพยายามเพ่งสมาธิทั้งหมดลงไปที่งาน แต่เสียงฝีเท้าของใครอีกคนในห้องที่เดินไปมาทำให้ผมไม่มีสมาธิเลย ไซม่อนไม่ได้ลงน้ำหนักเท้าเสียงดังจนน่าหนวกหูอะไร… แต่แค่ได้รู้ว่ามีเขาอยู่ในห้องเดียวกับผม… ห้องนอนของผมในตอนนี้ก็ทำเอาใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

ผมหยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมาควงเล่นในมืออย่างใจลอย ได้ยินเสียงเขาเปิดตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้ มันลั่นเอี๊ยดเบาๆ ให้ได้ยิน เขาคงหยิบเสื้อผ้าผมไปใส่แบบทุกครั้งเวลาที่มาค้าง เขาตัวใหญ่กว่าผมค่อนข้างมากก็จริงแต่ผมก็พอมีเสื้อกับกางเกงที่ตัวหลวมๆ พอที่ไซม่อนจะใส่ได้อยู่บ้าง

ตอนนี้เสียงฝีเท้าของเขาเริ่มไปอยู่ที่บริเวณเตียงแทนแล้ว ผมจินตนาการว่าเขาอาจจะหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่าน หยิบแฟ้มงานของตัวเองขึ้นมาพิจารณา หรืออาจจะกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างที่ใครต่อใครในยุคนี้ทำกัน

แล้ว… แล้วผมจะมานั่งเดาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่แบบนี้ทำไมเนี่ย!? ทำงานสิ ออสติน ทำงาน! นายเป็นคนขอเวลาเขามาทำงานของตัวเองไม่ใช่เรอะ! ตั้งสติหน่อย

ผมพิมพ์เนื้อหาลงไปอีกสองสามย่อหน้า อ่านทวนมันอยู่ครู่หนึ่ง หมุนปากกาในมืออีกรอบ ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษมาจากใครอีกคนที่อยู่ในห้อง ผมเหลือบไปมองเขาอย่างอดไม่อยู่จนได้ ไซม่อนใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่เพิ่งแห้งหมาดๆ พร้อมกับอ่านหนังสือเล่มหนึ่งไปด้วย เขาใส่กางเกงสีกากีที่ดูพอดีตัวอย่างน่าประหลาด ท่อนบนยังเปลือยเปล่าเหมือนเดิม มีเสื้อยืดสีขาววางอยู่บนท่อนขาของเขา เป็นนัยว่าถ้าผมแห้งสนิทเมื่อไหร่เขาค่อยหยิบมันขึ้นสวม

ผมได้ยินหัวใจของตัวเองเต้นดังและรัวขึ้นขณะที่ค่อยๆ เบือนสายตากลับมาอยู่บนหน้าจอ มือเลื่อนปลายปากกามาแตะบนริมฝีปากอย่างเผลอไผล ผมกดปากกาด้ามนั้นลงมาด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นๆ รู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทั้งๆ ที่ในห้องไม่ได้ร้อนอะไรเลย

ก็ได้ ยอมแพ้แล้ว งานส่วนของวันนี้คงได้แค่นี้แหละ

ผมวางปากกาลงบนโต๊ะ กดเซฟงานและปิดโปรแกรมต่างๆ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คแล้วตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า ไซม่อนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือนิดหนึ่ง

“ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ คุณหมอ”

“อือ” จะไม่ให้เสร็จได้ยังไงล่ะ ไม่มีสมาธิทำแล้วโว้ย! เรื่องนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องโทษใคร “ขอผมอาบน้ำแป๊บนะ”

“ไม่ต้องรีบมากก็ได้ครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอก” คนผมน้ำตาลยิ้มยียวนส่งมาให้ ผมหน้าร้อนขึ้น แทบอยากจะถลาไปศอกใส่คางคนพูดด้วยความหมั่นไส้ เกลียดรอยยิ้มของหมอนี่ที่ทำให้ผมใจเต้นได้ทุกทีจริงๆ

ผมกลับออกมาด้วยชุดนอนสีพื้นของตัวเอง ไซม่อนกำลังตอบแชทใครสักคนในโทรศัพท์ตอนที่ผมเดินออกมา เขากดปุ่มพักหน้าจอ วางมันลงบนชั้นวางของข้างหัวเตียงทันที ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ อ้าแขนออกทั้งสองข้างให้ผมเข้าไปหา ปัญหามันอยู่ที่ผมเองก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างว่าง่ายด้วยนี่สิ

ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัวตอนที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงไป วางเข่าไว้บนเตียงแล้วขึ้นนั่งบนร่างของเขา มือแกร่งเลื่อนมือโอบรอบเอวผม สีหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้ผมเผลอตัวก้มลงไปทาบจูบบนริมฝีปากของเขาอย่างเสียไม่ได้

ไซม่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งมาไล้ลงบนแก้มของผม จากนั้นก็เลยไปถึงเส้นผมที่ด้านหลัง เขาค่อยๆ ประคองใบหน้าของผมไว้ด้วยมือข้างนั้น ออกแรงเล็กน้อยให้ผมเอียงคอตามเพื่อรับสัมผัสบนริมฝีปากอย่างเต็มที่

“อือ…” ผมครางเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายเริ่มรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากผมมากขึ้นเรื่อยๆ ไซม่อนล้วงมือเข้ามาใต้เสื้อของผม ไล้ปลายนิ้วลงบนกระดูกสันหลังอย่างหยอกเย้า

ผมออกแรงกดริมฝีปากมากขึ้นเพื่อจูบเขาตอบ อะดรีนาลีนในร่างกายเริ่มพลุ่งพล่าน แขนทั้งสงอข้างของผมขยำเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเขาด้วยแรงอารมณ์ อยู่ๆ ผมก็นึกอยากเอาคืนเขา… เขาที่คอยเริ่มก่อนทุกครั้งสำหรับกิจกรรมบนเตียง และผมก็เป็นฝ่ายที่ต้องลงไปนอนหลอมละลายอยู่ในอ้อมแขนเขาราวกับเยลลี่ที่โดนช้อนบดทุกครั้งไป ผมอยากให้เขาละลายแบบนั้นด้วยฝีมือของผมบ้าง

“อ่า…” ไซม่อนครางออกมาเล็กน้อย ขณะที่เราถอนจูบออกจากกัน ผมมองนัยน์ตาคมเข้มของเขาด้วยแววตาฉ่ำเยิ้มของตัวเอง ผมกำลังอ่อนยวบไปกับสัมผัสของเขาอีกแล้ว แต่เขาเองก็ต้องเป็นเหมือนกันนั่นแหละน่า

ผมใช้จังหวะตอนที่เราทั้งคู่หอบหายใจเบาๆ เลื่อนมือไปดึงกางเกงบนตัวเขาลง ไซม่อนยกยิ้มบนมุมปาก หอมแก้มผมฟอดหนึ่งอย่างเอ็นดู เหมือนผู้ใหญ่ให้รางวัลเด็กที่พยายามทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง… นี่หมอนี่คิดจะล้อผมเล่นรึไง เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่


.
.
.
.
(50%)






--------------------------------------------------
Talk: ความตัดฉับนี้มันอะไรกัน 555555 ช่วงนี้เรายุ่งมากเลยล่ะค่ะทุกคน แบบว่า... งานล้นมือมากมาย แทบไม่มีเวลาแตะนิยายเลย ฮือออ เสียใจ แต่ยังไงก็สัญญากับทุกคนไว้แล้ว >__< จะพยายามมาอัพให้ได้ตลอดตามที่บอกนะคะ!
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-06-2017 20:27:25
โธ่ ตัดฉับเลย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 06-06-2017 20:53:18
ง้าวววววว ตัดดด อิอิ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-06-2017 18:35:30
[ต่อ]



“ออสติน”

“อะไรครับ” ผมว่า สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อฝ่ามืออีกฝ่ายขยับมาลูบไล้บนแผ่นอกอย่างหยอกเย้า ผมเม้มริมฝีปากขึ้นนิดหนึ่งเพื่อไม่ให้เสียงครางน่าอายหลุดออกมา ไม่ได้หรอก กระดานนี้ผมต้องเป็นฝ่ายทำให้เขาครางเพราะผมสิ จะให้ผมเป็นเบี้ยล่างให้เขาทุกยกเลยรึไง ไม่มีทางเสียล่ะ

“คุณกับเจ้าหน้าที่ไทเลอร์เนี่ย…” เขาลากเสียงยาว เว้นจังหวะนิดหนึ่งอย่างมีชั้นเชิง “มีความสัมพันธ์กันแบบไหนเหรอครับ”

“ก็เพื่อน… อ๊ะ” ผมหลุดอุทานออกมาจนได้เมื่อกางเกงท่อนล่างถูกกระชากออกไปกองบนพื้น ผมมองท่อนล่างเปลือยเปล่าของตัวเองและของเขา หน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ผมค่อยๆ ลดตัวลงไปซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในทีแรก แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียวผมก็รู้สึกผ่อนคลายในอ้อมแขนของเขา ได้ยินเสียงหัวใจบนอกข้างซ้ายดังมาให้ได้ยินด้วย รู้สึกดีจัง “ผมกับไคล์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียน… คุณไม่ได้ฟังที่คุณทนายนั่นซักตอนผมอยู่บนคอกพยานนั่นรึไง”

ไซม่อนหัวเราะออกมากับน้ำเสียงเป็นอริอย่างเต็มที่ของผม แหงสิ แค่นึกถึงวินเซนต์ เลสเตอร์ก็รู้สึกอยากจะกระโดดเข้าไปถีบหน้าสวยๆ ของหมอนั่น โจมตีกันรุนแรงเป็นบ้า นี่ยังดีนะที่ผมเอาคืนตอนช่วงท้ายๆ ได้บ้าง ไม่งั้นคงแค้นหนักกว่านี้แล้ว

“ผมก็พอรู้ว่าคุณเป็นเพื่อนของเจ้าหน้าที่ไทเลอร์คนนั้น”

“แล้วยังจะถามทำไมอีกครับ”

“คุณยอมให้เขาโดนตัวนี่”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตาเขาเพื่อดูว่าเขากำลังงอน ประชดหรืออะไรทำนองนั้นอยู่รึเปล่า แต่ไซม่อนก็ยังมีรอยยิ้มกวนๆ บนมุมปากเหมือนเดิม นี่มันจะมาไม้ไหน…

“ก็เขาเป็นเพื่อนผม”

“แต่ผมเชื่อว่ากับเพื่อนคนอื่น คุณคงไม่ยอมให้ใครถูกตัวง่ายๆ แน่ ไม่ใช่เหรอครับ?”

ผมถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมานั่งถามคำถามกันตอนเรากำลังจะมีเซ็กส์กันแบบนี้

“ใช่ คุณพูดถูก แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทผม พอใจรึยัง”
“สนิทระดับไหนล่ะครับ” เขายังคงยิ้ม แต่คราวนี้ผมสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าหม่นของไซม่อนวิบวับขึ้นมา หมอนี่กำลังหึง… นี่ผมคิดไปเองหรือว่าเขากำลังหึงจริงๆ?

ผมอึกอักนิดหน่อย เดาได้เลยว่าหน้าคงแดงขึ้นมาอีกแล้ว ปกติผมไม่ชอบให้แฟนหรือคนรักของตัวเองมาหึงไร้สาระนะ แต่… แต่กับหมอนี่ มันให้ความรู้ดีอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ทำตัวไร้สาระอย่างคนก่อนๆ ที่ผมเคยเจอมาก็ได้

ผมถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ปิดบังหมอนี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ “ผมเคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเขา”

“คุณสองคนคบกันเหรอ?”

“เปล่า ไม่ได้คบ”

“แต่นอนด้วยกัน?”

“เปล่า” ผมรีบพูด “แค่… เอ่อ แค่เกือบน่ะ”

“อือฮึ” ไซม่อนพยักหน้า ทำท่าเหมือนเข้าอกเข้าใจอย่างเสแสร้ง “แล้วทำไมถึงหยุดอยู่แค่เกือบล่ะครับ?”

แม่เจ้าโว้ยย จะถามอะไรนักหนาเนี่ย

แต่ผมไตร่ตรองคำตอบของคำถามนั้นอย่างระมัดระวัง และหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งผมก็เปิดปาก “คุณเคยได้ยินที่เขาว่ากันว่า… เวลาเรารักใครสักคน เราจะมีรังสีบางอย่างออกมาไหม เหมือนแบบ… ถ้าเรารักคนคนนั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าคนคนนั้นจะรู้ตัวว่าเรารักเขา อะไรแบบนั้น”

“อ่าฮะ ก็เคยได้ยินครับ”

“อืม” ผมพยักหน้าหงึก มือเริ่มไล้ไปทั่วบริเวณแผ่นอกของคนตรงหน้าอย่างเย้ายวน “ก็… ผมคิดว่าเขารักผมนะ ไคล์น่ะ อาจจะฟังดูเหมือนผมหลงตัวเอง และผมก็อาจจะแค่เข้าใจผิดไปเองด้วยซ้ำ แต่ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะงั้น… ผมก็เลยขอหยุดความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้แค่นั้น”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” เขาเอียงคออย่างแปลใจ มือเริ่มเลื่อนมาไล้บนร่างกายของผมบ้างแล้ว ไอ้หมอนี่นี่… ไม่ยอมเลยจริงๆ “ถ้าเกิดว่าเขารักคุณ แล้วมันมีปัญหาตรง---” ไซม่อนเงียบเสียงลง ทำสีหน้าอย่างคนที่เพิ่งเข้าใจ “คุณไม่ได้รักเขา”

“ไม่ใช่ในรูปแบบนั้น” ผมยอมรับ

ใช่แล้ว… บางทีมันอาจจะเป็นแค่สิ่งที่ผมทึกทักไปเอง แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าเขารักผม… และมันเป็นความรักในแบบที่ผมให้กลับไม่ได้ พอมาลองย้อนนึกดู… ตัวผมในตอนนั้นช่างอ่อนแอจริงๆ อ่อนแอขนาดที่เกือบจะปล่อยให้ความเป็นเพื่อนของเราเกินเลยไป อ่อนแอขนาดที่เกือบจะนอนกับเขา

บางที ถ้าไม่ใช่ว่าผมรู้สึกตัวในตอนนั้น รู้ว่าเขารักผม… บางทีผมอาจจะยอมนอนกับเขาก็ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะเป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน วินวินทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามันมีอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยว มันก็ไม่ได้แล้ว ผมไม่สามารถเอาเปรียบเพื่อนสนิทของตัวเองได้ถึงขนาดนั้น แม้ว่าคนที่เริ่มล้ำเส้นก่อนจะเป็นตัวผมที่แสนอ่อนแอในตอนนั้นก็เถอะ

แต่ผมทำไม่ได้ ผมทำร้ายไคล์ขนาดนั้นไม่ได้ ต่อให้ผมจะรู้สึกสิ้นหวังจนแทบอยากจะหายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอดก็ตาม แต่ผมเอาความอ่อนแอของตัวเองทำร้ายใครไม่ได้ มันเห็นแก่ตัวเกินไป ผมจะไม่เกาะใครเพื่อใช้คนคนนั้นเป็นเครื่องช่วงพยุง… เป็นสิ่งที่ช่วยดึงผมหลุดออกมาจากเหวมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั่นหรอก ผมไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งก็จริง แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอถึงขนาดทำตัวน่าสมเพชแบบนั้น

“เขาเป็นเพื่อนคนสำคัญของผม” ผมว่า สบตาของอีกฝ่ายตรงๆ “แต่มันสุดหนทางที่ตรงนั้น”

ไซม่อนพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มไซร้ลงมาบนซอกคอผมอย่างอ่อนโยน ผมครางเบาๆ ขณะที่เริ่มเลื่อนหน้าไปขบริมฝีปากบนไหล่ของเขาบ้าง สังเกตเห็นแผลบางๆ ที่อยู่บนบ่านั้น ไม่แปลกใจเลย ด้วยอาชีพแล้ว เขาคงต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เลือดตกยางออกไม่น้อยเหมือนกัน

“ดีจังที่ทางของผมไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น”

“จะบ้าเหรอคุณ” ผมหัวเราะออกมาจริงๆ คราวนี้ “เรานอนด้วยกันมากี่รอบแล้วเนี่ย ยังจะกล้าพูดแบบนั้นอีกนะ แล้วขอทีเถอะ เลิกพูดเรื่องคนอื่นสักที นี่มันเวลาของเราสองคนนะ ไซม่อน”

เขาช้อนตาขึ้นมามองผมยิ้มๆ เป็นยิ้มที่ทำให้ผมสะดุดไปได้เหมือนเคย มือหนาเลื่อนมานัวเนียอยู่แถวๆ บั้นท้ายของผม หน้าผมร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากสัมผัสของเขา ผมก้มลงไปจูบเขาอย่างเร่าร้อน นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมทำเหมือนรุกเขาอยู่แบบนี้

ผมสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปาก กวาดเข้าไปรอบๆ ตวัดเกี่ยวกับลิ้นร้อนของเขา ชอบใจกับเสียงครางเบาๆ ในลำคอนั่น ผมเลื่อนมือไปเกลี่ยบนยอดอกเขาครู่หนึ่งก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะลงบนปากทางเข้าด้านหลัง ผมหน้าร้อนไปทั้งแถบเลยทีเดียว

“ก็ผมรักคุณนี่นา ออสติน” เขาพูดเสียงออดอ้อน ดึงศีรษะผมลงไปเล็กน้อยเพื่อให้หน้าผากเราชนกัน ให้ตาย…. ตาเขาสวยเป็นบ้าเลย ผมชอบเวลาที่เขามองผมอย่างหลงใหลแบบนี้ “อยากรู้ทุกเรื่องของคุณ อยากรู้จัก อยากเห็นทุกซอกทุกมุมของคุณ อยากเป็นของคุณ…”

ผมอมยิ้มกับคำพูดสุดท้ายของเขา ผมคงไม่มีความสุขขนาดนี้แน่ถ้าเขาพูดว่าอยากให้ผมเป็นของเขา

ไซม่อนค่อยๆ สอดลิ้นเรียวของตัวเองเข้ามาในโพรงปากผม ผมตวัดลิ้นรับ เม้มมันแน่นอย่างยั่วยวน ได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองปนเปไปกับเสียงหอบหายใจของเขา ผมขยับสะโพกของตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขาสอดนิ้วเข้ามาอย่างเชื่องช้า

“อ๊ะ…” ผมครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน เลื่อนหน้าไปจูบปิดปากเขาขณะที่ไซม่อนดันนิ้วที่สองเข้ามาในร่างผมจนสุด ผมขยับสะโพกอย่างเชื่องช้าเพราะยังปรับตัวไม่ทัน บิดตัวเล็กน้อยเมื่อใบหน้าคมเลื่อนต่ำลงมาหยอกเย้าที่ยอดอก “อื้อ… ไซม่อน แฮ่ก อ๊ะ”

เขาค่อยๆ ถอนนิ้วออกไปอย่างเชื่องช้า ผมขยับเอวของตัวเองลงต่ำอย่างรู้หน้าที่ ครางออกมาในลำคอเบาๆ ขณะที่ใช้นิ้วเลื่อนเปิดปากทางให้ขยายกว้างขึ้น ไซม่อนเลื่อนมือเข้ามาช่วย มืออีกข้างประคองอยู่ที่หลังผม ให้ตายเถอะ ดูเหมือนจะทะนุถนอมผมไปหมดซะทุกอย่าง แล้วผมก็ดันดีใจกับเรื่องนั้นด้วยนะ

“อ๊ะ… แฮ่ก” ผมครางออกมาเป็นระลอกขณะที่ขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะเนิบๆ ผมมองตาคนตรงหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่คมหลุบต่ำลงมองร่างของผมที่เขื่อมต่อกันกับกายของเขา

อะ… ไอ้บ้าเอ๊ย! เห็นสายตาแบบนั้นของแล้วมัน… นะ… น่าอายชะมัด!

“อ๊ะ… อ๊ะ!” ผมร้องออกมาอย่างตกใจกับความรู้สึกเสียวซ่านที่ท่วมท้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ใบหน้าของเขาสีแดงเรื่อๆ เล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วทั้งหน้า ผมเร่งจังหวะในการขยับเอวของตัวเองมากขึ้นตามแรงอารมณ์และได้ยินเสียงครางต่ำของเขาสมใจ

ผมเลื่อนมือไปกอดคอเขา ดึงเขาเข้ามาจูบอีกรอบขณะกระแทกร่างลงไปเป็นระลอกสุดท้าย

ได้ยินเสียงครางอย่างสุขสมเบาๆ จากเขาขณะที่ผมละริมฝีปากออก ผมถอนร่างของตัวเองออกจากร่างของเขาจากนั้นจึงถลาเข้าไปกอดเขาอย่างออดอ้อน ไม่มีอาการหวาดกลัวหรือแปลบปลาบอะไรในการสัมผัสโดนตัวเขาอีกแล้ว ผมจูบปากเขา ไล้ต่ำลงมาจนถึงแก้มและเลยลงมาถึงซอกคอ

“อือ… ออสติน” เขาคราง เสียงนั้นทำให้ผมหลงใหลราวกับต้องมนตร์ ให้ตายเถอะ เขามันเซ็กซี่เป็นบ้า ผมชักอยากให้เขาเป็นของผมขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ “ออสติน ผมรักคุณ”

ผมปล่อยให้เขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอก น้ำเสียงที่เหมือนพร่ำเพ้อนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ เลื่อนหน้าขึ้นไปหอมแก้มเขาทีหนึ่งจากนั้นก็กระซิบข้างหู

“ผมก็รักคุณ ไซม่อน”

ผมเห็นเขาคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาอย่างมีความสุข และนั่นทำให้ผมดีใจมากเลย ให้ตายสิ



 


ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้าด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ราวกับมันทิ่มแทงลงไปถึงขั้วหัวใจและมันเป็นสิ่งที่ปลุกผมจากค่ำคืนอันแสนหวานและการนอนหลับที่แสนสุข ผมหันขวับไปมองคนข้างตัว แต่พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไซม่อนคงลุกก่อนผมไปนานแล้ว ดูจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอกนี่คงเป็นเวลาที่สายพอสมควร ผมนึกว่าเขาจะปลุกให้ผมไปทำอาหารเช้าให้เสียอีก แต่เปล่า เขาปล่อยให้ผมนอนต่อแล้วตัวเองไปทำงานตามปกติ เขาทิ้งโน้ตไว้ให้ผมแผ่นหนึ่งที่ชั้นวางข้างหัวเตียง บอกสั้นๆ แค่ว่าเขาขอตัวไปทำงานก่อนแล้วจะล็อกประตูบ้านให้ด้วยกุญแจสำรองที่ผมเคยให้เขาไป

ผมรู้สึกว่าใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ มีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจผมอย่างหนัก อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอในศาล

ผมรู้ดีว่าสิ่งที่วินเซนต์ เลสเตอร์เอามาเปิดโปงเรื่องผมเป็นอะไรที่ค่อนข้างหนัก ความร้ายแรงของมันไม่ได้ปรากฎออกมาชัดเจนตอนที่ไซม่อนอยู่ข้างๆ ผม แต่ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวแล้ว และผมรู้สึกเหมือนผมกำลังมองข้ามเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างไป

ผมลุกออกจากเตียง เดินวนไปมาเป็นวงกลมราวกับหนูติดจั่น เวลาที่พยายามนึกอะไรแต่นึกไม่ออกนี่ช่างเป็นสิ่งที่ทรมานจริงๆ

แต่ทันใดนั้นเองผมก็ตัวชาวาบไปทั้งตัว ผมรู้ดีว่าในหัวผมกำลังวนเวียนคิดถึงเรื่องอะไรหลังจากที่ออกมาจากศาลนั่น เรื่องของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนยังไงล่ะ ไอ้สารเลวนั่น… อยู่ๆ ผมก็นึกถึงพัสดุกล่องหนึ่งที่เคยได้รับมาเมื่อหลายเดือนก่อน มันมีแค่ที่อยู่ของผู้รับซึ่งถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์ ไม่มีทั้งชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง ผมเคยเดาไว้ว่ามันมาจากคริสเตียน… นอกจากไอ้สารเลวโรคจิตนั่นแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ผมเคยส่งมันให้ทางตำรวจเอาไปตรวจหารอยนิ้วมือ พิสูจน์หลักฐานหรืออะไรก็แล้วแต่ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไร ทุกวันนี้กล่องเจ้าปัญหาที่ว่าก็ยังอยู่ในส่วนลึกของห้องเก็บของบ้านผม

ผมสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ห้องนั้น เดินผ่านตู้เก็บเอกสารเก่าๆ ที่ถูกคลุมไปด้วยฝุ่น ของประดับบ้านชิ้นใหญ่ที่อยู่ในสภาพโทรมเต็มที่ เลยผ่านถุงกอล์ฟขาดๆ ที่เคยเป็นของพ่อ แล้วผมก็ได้กล่องที่ผมแสนจะแสลงใจมาอยู่ในมือจนได้ ผมเปิดมันออก ดูของที่อยู่ด้านใน

มีสร้อยคอเส้นหนึ่งที่มีจี้เป็นรูปดอกไม้ประดับเพชร มีนาฬิกาที่ดูมียี่ห้ออีกเรือนในนั้น นอกจากเจ้าสองอย่างนี้ยังมีรูปถ่ายเก่าๆ อีกหนึ่งใบอยู่ด้านใต้ ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าคริสเตียนจะส่งของพวกนี้มาทำไม เขาต้องการอะไรจากผม หรือแค่ต้องการจะทำให้ผมเป็นบ้าจากอาการประสาทหลอนเท่านั้น? ก็อาจเป็นไปได้ เขามันโรคจิตอยู่แล้ว

ผมคว้าเอารูปถ่ายเพียงใบเดียวขึ้นมาจากนั้นก็ถลากลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง หยิบรูปถ่ายครอบครัวของแบรด แมคแนร์ที่ไซม่อนเคยเอามาให้ จากนั้นก็เทียบทั้งสองรูปเข้าด้วยกัน

ใช่เลย… ชัดเจน

รูปถ่ายเก่าๆ ใบนั้นเป็นรูปของแบรดตอนที่ยังหนุ่ม ในนั้นมีเด็กทารกและภรรยาของเขา

ผมจ้องมองรูปถ่ายทั้งสองใบด้วยความฉงน

นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?







-------------------------------------------
Talk: หย่อนระเบิดหนึ่งลูก //ตุ้บ//
วันนี้ลางานค่ะ ปวดท้องมากเลย... วันนั้นของเดือน ปวดจนคิดว่าจะตาย ปวดจนคิดว่าขอตายเลยดีกว่า//ฮืออออ เกิดเป็นผู้หญิงนี่ช่างลำบากเหลือเกิน//บ่นๆๆๆ
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(100%) P.2 [8/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 08-06-2017 20:07:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(100%) P.2 [8/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-06-2017 23:18:47
ยังไงกันหนอ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(100%) P.2 [8/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-06-2017 17:03:44

บทที่ 12


 
ผมเก็บความสงสัยเกี่ยวกับรูปถ่ายของแบรดและตัวของแบรดเองเอาไว้ในใจ พยายามคิดถึงความเกี่ยวโยงระหว่างชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหัวใจคนก่อนที่ผมกำลังใช้อยู่กับคริสเตียน เอ่อ นั่นก็เป็นเจ้าของหัวใจคนก่อนอีกคน แต่คนละความหมายกัน อย่าเพิ่งงงกับผมนะตอนนี้ เพราะตอนนี้ผมสับสนมากพออยู่แล้ว นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าสองคนนี้ไปเชื่องโยงกันที่ตรงไหน

ไซม่อนส่งข้อความมาบอกผมว่าจะพาแดนมาหาวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือก็คือวันนี้ ผมอยากจะเจอเด็กชายผู้แสนเรียบร้อยคนนั้นนะ แต่ความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในอกนี่ทำให้ความอยากที่ว่าลดลงไปไม่น้อยเหมือนกัน อันที่จริงผมอยากให้เขามาคนเดียว ถ้าได้อยู่ด้วยกันแค่สองคน มันอาจช่วยให้ผมกล้าที่จะถามเขา ถึงแม้ว่าบางทีไซม่อนเองอาจจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของคริสเตียนกับแบรดก็ตาม

แต่ว่า… ทำไมคริสเตียนต้องส่งรูปถ่ายของแบรดมาให้ผมด้วย? ไหนจะยังนาฬิกาข้อมือกับสร้อยคอนั่นอีก มันมีความหมายอะไรกันแน่?

หรือว่าของพวกนั้นจะไม่ได้มาจากคริสแต่แรก? แต่ถ้าไม่ใช่ไอ้โรคจิตนั่นแล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ ส่งของแปลกๆ แบบนั้นมาให้แถมยังไม่ลงชื่อ ไม่บอกที่อยู่ผู้ส่ง… นอกจากไอ้บ้านั่นแล้ว ผมก็ไม่เคยมีศัตรูอะไรกับใครที่ไหนเลยนะ ยังไงผมก็เชื่อว่ากล่องที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมประสาทหลอนมาแล้วนั่นมาจากคริส เพียงแต่ผมยังไม่รู้เท่านั้นเองว่าทำไมเจ้าตัวถึงต้องส่งมันมาให้

เสียงออดดังขึ้นจากหน้าบ้านทำให้ผมสะดุ้งตัวอย่างแรงทันที เหมือนใจจะหล่นตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ให้ตายเถอะ ดันมากดได้ถูกจังหวะอะไรแบบนี้ คนกำลังคิดเรื่องเครียดๆ

“ออสติน” เสียงเรียกจากแขกที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านดังขึ้นเพราะผมไม่โผล่ไปเสียที “ออสตินครับ คุณอยู่บ้านรึเปล่า”

“ม่ายอยู่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มอุ้มหลานชายตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน สีหน้าคมเข้มนั่นติดจะลำบากใจกับแดนที่กำลังสะอึกสะอื้น ซุกหน้าอยู่บนบ่าของผู้เป็นอา แก้มของแกแดงก่ำอย่างน่าสงสารไปหมด และผมที่เอ็นดูแดนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วใจอ่อนยวบ แทบจะหลอมละลายไปกองกับพื้นอยู่แล้วด้วยความสงสาร “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นน่ะ คุณ นี่คุณทำอะไรหลาน--”

“เอ่อ คือ… ผมเปล่านะ” เขาทำหน้าแหยงๆ ขณะที่เริ่มกอดคอเขาแน่นขึ้น สะอื้นออกมาเป็นช่วงๆ ไซม่อนหันไปดุคนในอ้อมแขน “แดนครับ พอได้แล้ว เลิกงอแงได้แล้วนะ ไม่น่ารักเลย เดี๋ยวน้าออสตินก็ลำบากใจเอาหรอก”

“กะ… ก็ผมอยากไปสวนสนุกนี่นา” เจ้าตัวว่าเสียงขาดเป็นห้วงๆ “มะ… แม่สัญญาแล้วว่าจะพาผมไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ฮึก ฮือ…”

“อ้าว” ผมก้าวเท้าเข้าไปประชิดทั้งอาทั้งหลาน เลื่อนมือไปลูบเส้นผมของแดนอย่างปลอบโยนทันที “แล้วทำไมถึงไม่ได้ไปล่ะครับ คุณแม่ติดธุระเหรอ?”

“แม่ทำงาน….” แดนว่าพร้อมกับร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ ซุกหน้าลงบนแผ่นอกของร่างสูง ผมถอยไปด้านหลังนิดหนึ่งด้วยความตกใจ ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มเป็นเชิงขอโทษทันที “ละ… แล้วคุณอาไซม่อนก็ต้องมาหาน้าออสติน”

อ้าว ชิบหาย เวรกรรม นี่มันกลายเป็นความผิดผมไปแล้วรึเปล่าเนี่ย

“ไม่เอาสิครับ แดน เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่หนุ่มเริ่มดุขึ้นเรื่อยๆ “อาบอกแล้วใช่ไหมว่าเสาร์นี้จะพามาหาน้าออสตินน่ะ แล้วหนูก็ตอบตกลงแล้วถูกไหม ไม่งอแงสิครับ เป็นลูกผู้ชายร้องไห้แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

แดนเริ่มลดเสียงสะอื้นลงอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ร่างเล็กก็ยังหอบหายใจขึ้นลงอยู่ มือหนาเลื่อนไปตบหลังเจ้าตัวไปด้วยอย่างปลอบประโลม ผมรู้สึกแย่มากเลยตอนนี้ จริงๆ ไซม่อนน่าจะพาหลานไปเที่ยวที่แกอยากไปมากกว่า

“คุณพาหลานไปเที่ยวดีกว่าไหมครับ” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด “แกคงไม่ได้ไปสวนสนุกมานานมากแล้ว แม่แกก็คงยุ่ง คุณที่พอหาเวลาได้บ้างก็น่าจะพาแกไปเที่ยว”

“น้าออสตินไปด้วย…”

เสียงนั้นทำให้ผมชะงักไปทันทีอย่างคาดไม่ถึง แดนเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองผม หางตาแดงก่ำ ใบหน้าเลอะไปด้วยคราบน้ำมูกและน้ำตามอมแมมไปหมด ผมอยากเข้าไปหยิบทิชชู่มาเช็ดให้จัง

“นะครับ น้าออสตินมาด้วยกันนะ ผมอยากไปเที่ยว แต่ไม่อยากไปให้น้าออสตินอยู่บ้านคนเดียว”

เอ่อ เดี๋ยวนะ ไหงมันกลายเป็นแบบนั้น

“ไม่ได้นะครับ แดน อย่าพูดจาเอาแต่ใจสิ” ไซม่อนเอ็ด ตบๆ กระเป๋ากางเกงเพื่อหาทิชชู่หรืออะไรมาเช็ดหน้าหลาน แต่ไม่เจออะไรเหมือนกัน

“เข้ามาในบ้านก่อนเถอะครับ” ผมรีบว่า เปิดประตูให้ทั้งสองเข้ามาอย่างรวดเร็ว “แล้วจะยังไงก็ค่อยๆ ตกลงกัน นะครับ แดน เป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวน้าพาไปล้างหน้าก่อน”

หลังจากจัดการเช็ดน้ำหูน้ำตาให้เด็กชายตัวจ้อยเรียบร้อย เจ้าตัวก็เริ่มนั่งซึมเงียบๆ บนโซฟา สงสารจัง จริงๆ ก็แค่ไปสวนสนุกเท่านั้นเองนะ ผมว่าเราไปกันตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่แย่--

“แดน ไม่ใช่ว่าอาไม่อยากพาหนูไปนะครับ” ไซม่อนที่เห็นว่าเด็กเริ่มนิ่งแล้วให้เหตุผล “แต่หนูก็รู้ใช่ไหมว่าน้าออสตินร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าน้าเขาไปที่แบบนั้น เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

ผมอ้าปากค้างกับเหตุผลที่แสนไร้สาระนั่นของคนเป็นอา จะบ้าเรอะ นี่หมอนี่เห็นว่าผมเป็นตัวอะไร เป็นเชื้อแบคทีเรียอ่อนไหวที่เจอฝุ่นนิดเดียวก็ตายแล้วอะไรแบบนี้รึไง ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะโว้ย!

“น้าอยากไปสวนสนุกกับแดนจังเลยครับ” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เด็กชายตรงหน้า ไซม่อนเบิกกกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ แต่ผมไม่สนหรอก หมอนี่จะมาตัดสินอะไรเองคนเดียวแบบนี้ได้ไง อีกอย่างนี่มันร่างกายผม ผมย่อมรู้ตัวเองดี นี่ยังไม่นับเรื่องที่ผมเป็นหมออีกนะ (ถึงจะเป็นหมอชันสูตรศพก็เถอะ) ยังไงผมก็ต้องรู้ดีกว่าเขาอยู่แล้ว

เด็กชายช้อนสายตาขึ้นมามองผมตาใสทันที น้ำตาที่คลออยู่บนเบ้าหายวับไปราวกับสั่งได้ ผมชอบเด็กก็ตรงที่พวกแกใสซื่อแล้วก็บริสุทธิ์แบบนี้นี่แหละ น่าเอ็นดูชะมัด

“คุณน้าออสตินพูดจริงเหรอครับ?”

“จริงสิครับ น้าเองก็ไม่ได้ไปสวนสนุกมานานแล้วเหมือนกัน” ผมพูดยิ้มๆ และนั่นก็ไม่ใช่คำโกหกด้วย ครั้งล่าสุดที่ผมไปพวกธีมปาร์คคงผ่านมาเป็นสิบปีได้แล้วมั้ง ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าใสของเด็กชายระยิบระยับขึ้นมาอย่างลิงโลดทันที แต่ผมพูดดักคอก่อน “แต่… ต้องถามอาไซม่อนก่อนนะว่าจะยอมให้หนูแล้วก็น้าไปหรือเปล่า เพราะเมื่อกี้เขาดุเสียน่าดู สงสัยคุณอาคงไม่อยากให้อาไปด้วยเท่าไรหรอกมั้ง”

“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ ออสติน” คนที่โดนหางเลขไปด้วยเหงื่อตก สะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อแดนถลาเข้ามาเขย่าขาอย่างอ้อนวอน

“นะครับ คุณอาไซม่อน ให้น้าออสตินไปกับเราด้วยนะ คุณน้าเองก็อยากไปเหมือนกัน อาไม่สงสารคุณน้าเหรอครับ เพราะมีแต่คนบอกว่าไม่แข็งแรงเลยไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย นะครับ อาไซม่อน ผมก็อยากไปสวนสนุก น้าออสตินก็อยากไปสวนสนุก เราไปกันเถอะนะครับ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด ไม่มีเรียนอยู่แล้ว นะครับ นะ”

นัยน์ตาสีฟ้าหม่นคู่คมของไซม่อนหันขวับมามองผมอย่างคาดโทษทันที ผมยักคิ้วส่งให้เจ้าหน้าที่หนุ่มทีหนึ่งอย่างสะใจก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อไซม่อนเริ่มกระตุกยิ้มเหมือนคนที่รับคำท้า แต่ผมไม่ได้กำลังท้าทายอะไรเขาอยู่สักหน่อยนี่ ก็แค่สงสารหลานเท่านั้นเอง ตัวก็เล็กแค่นี้ ยังจะโดนอาใจร้ายใจดำห้ามไม่ให้ไปเที่ยวอีก

ห้ามไม่พอ… ยังจะเอาผมมาอ้าง งั้นก็เจอผมยุส่งไปเลย! ดีเหมือนกัน ผมก็อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง


 


ก็… คิดเอาไว้แบบนั้น…

“ออสตินครับ” ชายหนุ่มข้างตัวเอ่ยเรียกผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมมองตามแดนที่อุทานออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นคนในชุดมาคอตใหญ่เทอะทะที่คงเป็นคาร์แรกเตอร์มาจากตัวการ์ตูนสักเรื่อง ผมเดาว่านั่นคงเป็นตัวกระรอกสีน้ำตาลมีฟันเหยินยื่นออกมาสองซี่ ผมไม่ค่อยคลุกคลีกับการ์ตูนพวกนี้เท่าไรเลยไม่รู้จัก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้กระรอกนี่มันน่ารักตรงไหน แต่เหมือนเด็กอายุไล่เลี่ยกับแดนหลายคนจะชอบเหลือเกิน เข้าไปรุมล้อมกันใหญ่ แล้วไอ้สวนสนุกนี่มันอะไรกัน… ทำไมคนถึงได้เยอะขนาดนี้ “ออสอติน นี่คุณ ไหวรึเปล่าเนี่ย หน้าซีดลงรึเปล่า ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ เผื่อจะสดชื่นขึ้น”

ผมรับขวดน้ำที่ไซม่อนเปิดฝาดื่มไปเรียบร้อยแล้วขึ้นมากระดก เพิ่งรู้สึกตัวตอนที่จรดริมฝีปากลงไปว่ามันคือการจูบทางอ้อม…

อ่า สวัสดีนะตัวผมในเวอร์ชั่นสาวน้อยมัธยมปลาย ตั้งแต่คบกับไซม่อนนี่ดูเหมือนจะโผล่ออกมาให้เห็นบ่อยเหลือเกิน

“อ้าว คราวนี้ทำหน้าพิลึกเลย” เจ้าตัวว่าเสียงกลั้วหัวเราะ มือเลื่อนมาลูบหัวผมเบาๆ อย่างเอ็นดู แต่เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวผมเลยสะดุ้งนิดหนึ่ง สัมผัสจากฝ่ามือเขาแปลบขึ้นมาเล็กน้อย และมันก็ทำให้ใจเต้นรัวขึ้น… ให้ตาย ผมนี่ขี้ตื่นชะมัด จะทำยังไงถึงจะรักษาโรคนี้ได้ล่ะเนี่ย “ผมก็นึกอยู่แล้วว่าคุณมานี่คุณต้องเกร็ง เพราะคนมันเยอะไปหมด เอ้า เขยิบมาอีกนิดสิคุณจะได้ไม่ขวางคนอื่นเขา”

ไซม่อนว่าพร้อมกับเลื่อนแขนมาโอบเอว ออกแรงเล็กน้อยเพื่อขยับให้ผมชิดตัวเขามากขึ้นและหลบให้คนอื่นเดินผ่านไปสะดวก ผมรู้สึกได้เลยว่าหน้าร้อนวูบขึ้นมา จากที่ต้องคอยระแวงว่าใครจะมาเดินชนแขน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมขยับเข้ามาแนบชิดกับร่างสูงเต็มที่เสียอย่างนั้น

ผมเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้ไซม่อนสังเกตเห็นหน้าแดงเถือกของตัวเอง และสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในสวนสนุกแห่งนี้ก็ดูจะเป็นใจเหลือเกิน ร้านค้าที่เรียงรายกันตลอดถนนสายนี้เต็มไปด้วยผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย แต่ละร้านมีธีมของมันชัดเจน เช่นร้านที่ออกไปทางโทนสีชมพูหน่อยก็จะมีตุ๊กตารูปตัวการ์ตูนน่ารักๆ สำหรับเด็กผู้หญิงเรียงรายอยู่เต็มไปหมด มีของขายเป็นรูปตัวละครนั้นๆ ตั้งแต่ฝากระปุกลูกอมไปจนถึงเสื้อยืดที่สีฉูดฉาดเกินไป ถัดไปอีกร้านเป็นธีมสัตว์ประหลาดตัวเขียวหน้าตาพิลึก ตรงหน้าร้านมีรถขายป็อบคอร์นซึ่งมีกล่องพลาสติกเป็นรูปตัวการ์ตูนที่ว่า

ผมเหลือบมองราคา… คงจะจริงสินะว่าไอ้ที่พวกนี้มันที่ขายฝัน และฝันแต่ละอย่างนี่ดูจะแพงๆ กันทั้งนั้น

“หืม” คนข้างตัวผมว่าพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหายใจรดแก้ม ว้ากกก ไอ้บ้านี่! ตกใจหมด คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ! “กำลังดูอะไรอยู่เหรอครับ ออสติน อยากกินป๊อบคอร์นเหรอ?”

“เปล่าครับ” ผมว่า ก้มลงมองที่เอวของตัวเอง ไอ้มือปลาหมึกนี่ยังไม่ยอมปล่อยผมอีก นี่เราไม่ได้มาเดทกันนะโว้ย “นี่ ไซม่อน ปล่อยได้แล้วครับ ไปดูแดนได้แล้ว เดี๋ยวแกหายไปขึ้นมาจะทำยังไง”

“แกไม่ไปไหนหรอกครับ” เขาว่ายิ้มๆ ตามองที่หลานชายตัวจ้อยซึ่งกำลังต่อคิวรอลูกโป่งจากเจ้าตัวกระรอกที่ว่าอย่างรักใคร่ “แกเป็นเด็กดีจะตาย ถึงเช้านี้จะงอแงไปหน่อยก็เถอะ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ลากคุณมาที่นี่ได้ด้วยจนได้ ไม่นึกว่าคุณจะยอมมาด้วยจริงๆ นะครับเนี่ย”

ผมสะดุ้ง หันขวับไปมองคนพูดพร้อมกับถลึงตาใส่ทันที “นี่อย่าบอกนะว่าคุณวางแผนไว้หมดแล้ว!?”

“เฮ้ย เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ไซม่อนว่าจากนั้นก็หัวเราะออกมาดังๆ ผมนี่แทบอยากจะยกขาถีบมันให้ปลิวไปติดตัวอาคารซึ่งถูกตกแต่งด้วยสไตล์ยุโรปให้รู้แล้วรู้รอด “ผมไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้นแหละคุณ แต่ก็ไม่นึกว่าคุณจะยอมมาด้วยจริงๆ ทีแรกตั้งใจจะปลอบแดนให้สงบแล้วชวนคุณไปเช่าเรือสักลำ ไปแล่นเรือในทะเลสักรอบ เผื่อว่าแกจะยอมสงบลงบ้าง”

“แบบนั้นก็ฟังดูดีนะครับ” ผมว่า ชอบใช้ชีวิตอยู่กับทะเลอยู่แล้ว

“ไว้คราวหน้านะครับ” ไซม่อนยิ้ม เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนปากแทบจะชนกันอยู่แล้ว พอๆๆๆ พอเลย แดนเองก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เดี๋ยวหลานก็ช็อกตาตั้งกันก่อนพอดี

“คุณนี่มัน… จริงๆ เลย” ผมบ่นอุบขณะใช้มือดันอกของเขาด้วยแรงที่ไม่มากนัก แต่ไซ่อนก็ยอมผละออกไปแต่โดยดีด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนเคย เขารู้ว่าตอนไหนควรรุก ตอนไหนควรถอย นั่นเป็นอีกจุดที่ผมชอบเกี่ยวกับเขา… บางทีผมอาจจะเคยบอกเรื่องนี้ไปแล้ว

หลังจากที่แดนได้ลูกโป่งสมใจแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ผมต้องคอยเดินหลบคนที่เดินสวนมาจากทุกสารทิศ มีบ้างเหมือนกันที่หลบไม่พ้นแล้วทำให้ต้องไปโดนตัวอีกฝั่งบ้าง มันทำให้ผมรู้สึกแปลบขึ้นมานิดหนึ่ง แม้จะไม่ได้มากมายแบบเมื่อก่อนแล้วแต่ก็ยังรู้สึกอยู่ดี หรือแม้แต่สัมผัสของไซม่อนเอง ถ้าผมไม่ทันได้ตั้งตัวล่ะก็ สัมผัสของเขาก็ทำเอาเผลอสะดุ้งได้ไม่น้อยทีเดียวเหมือนกัน

แต่ไซม่อนเองก็ดูเมือนจะพัฒนาฝีมือขึ้นมาแล้ว เขาไม่ทำหน้าสลด เจ็บปวดหรือประหลาดใจให้ผมเห็นอีกต่อไป ชายหนุ่มเพีงแค่ยกยิ้มกวนๆ ส่งมาให้ตามเคยก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงยั่วยวน

“สงสัยผมคงต้องฝึกคุณให้หนักกว่านี้แล้วสินะครับ คุณหมอที่รัก”

นั่นทำเอาผมหน้าร้อนจนแทบจะระเบิดออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเลยทีเดียว…

อ๊าก! ไอ้บ้านี่! หลานก็เดินอยู่ข้างหน้านี่ ไม่เห็นรึไง!?



.
.
.
.
(50%)






------------------------------------------
Talk: อิจฉาสองคนนี้จังเลย ได้ไปเที่ยวด้วย ฮือออออ //งอแง// ช่วงนี้เรางานยุ่งมากเลยค่ะ หัวหมุนไปหมด อยากจิร้องไห้
ยังไงก็ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ! ยังไงก็ช่วยคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันหน่อยน้า~ ^^
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(50%) P.2 [11/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-06-2017 18:32:22
เหมือนไปเดท
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(50%) P.2 [11/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 13-06-2017 06:11:21
ไปเดทแค่เอาหลานมาบังหน้าสินะ 5
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(50%) P.2 [11/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 13-06-2017 19:14:37

[ต่อ]



ผมเดินจูงมือแดนสลับกับไซม่อนระหว่างที่เราเดินไปต่อแถวเครื่องเล่นต่างๆ แถวแต่ละแถวช่างยาวเหยียดจนทำให้ต้องปิดปากหาวอย่างอดไม่อยู่ เหลือบมองป้ายที่บอกเวลาที่ต้องรอในแถว ยังอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เล่นเจ้าเรือน้ำนี่ ผมหันกลับไปมองไซม่อนที่ดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่หลานเอาไปเล่นจากนั้นก็หัวเราะคิกคักกันสองคน

ผมยกยิ้มอย่างเผลอตัว ไซม่อนดูเหมือนพ่อของแดนจริงๆ น่ารักจัง ถ้าหมอนี่จะมีลูกสักคนก็คงมีแบบแดนนี่แหละ นึกภาพออกได้ไม่ยากเลย

“ออสตินครับ” ไซม่อนว่าหลังจากหยิบแท็บเล็ตเครื่องเล็กให้หลานชายเล่น เขาเปิดกล้องหน้าของสมาร์ทโฟนแล้วเริ่มยืดแขนออกเพื่อให้มีเราสองคนอยู่ในรูปนั่น “ถ่ายรูปกัน เราไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย”

เออ แต่ผมจำได้นะว่าเราเคยกันสามคนกับแดนด้วย

ผมขยับตัวเข้าไปในกล้อง ยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก รูปที่ออกมาดูเกร็งเล็กน้อย ก็ผมเป็นคนไม่ชินกับการถ่ายรูปนี่นา พอโดนบอกให้ยิ้มให้กล้องทีไรแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ทุกที ไม่เห็นจะเข้าใจที่ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติให้กล้องถ่ายรูปได้เลย ผมหมายถึง… มันไม่มีชีวิตด้วยซ้ำ

“ยิ้มดูดีขึ้นนะครับ” ถึงอย่างนั้นคนข้างตัวก็ชม ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบางๆ “ถ้าเทียบกับรูปที่เราเคยถ่ายกันสามคน”

“คนเราก็ต้องมีพัฒนาการบ้าง”

“แต่ก็ยังดูยิ้มฝืนๆ อยู่ดี”

ผมยักไหล่ “ก็ต้องค่อยๆ ไต่เต้าไปสิคุณ จะให้มาเก่งปุบปับเลยได้ไง”

ไซม่อนหัวเราะร่วนกับคำพูดนั้น

จะว่าไป… พอพูดถึงเรื่องถ่ายรูปแล้ว ผมก็นึกถึงรูปแบรดที่ไซม่อนเอามาให้ทันที จากนั้นก็รูปที่บุคคลปริศนาส่งมาให้… เหอะ แต่ยังไงผมก็เชื่อว่านั่นคือคริสเตียนอยู่วันยันค่ำ แต่… ทำไมล่ะ? แค่เรื่องนี้แหละที่ทำให้ผมสับสน อยากจะเข้าใจว่าคริสเตียนและพี่ชายของไซม่อนมีจุดเชื่อมโยงกันยังไง

ผมลังเลนิดหนึ่ง บางทีถ้าผมเริ่มต้นด้วยการเปิดประเด็นเรื่องแบรดขึ้นมาก่อน บางทีมันอาจ--

“คุณอาไซม่อนฮะ” แดนพูดแทรกความคิดผมขึ้นมาทำให้ผมต้องหยุดปากของตัวเองลง เด็กชายส่งไอแพดคืนให้อาหนุ่มแล้วเริ่มกางมือออกเป็นเชิงขอให้อุ้ม

“อะไรครับ คนเก่ง” ไซม่อนพูดยิ้มๆ ยกตัวหลานชายลอยขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดายจากนั้นจึงปล่อยให้แกซบลงบนแผ่นอกอย่างที่ชอบทำ สีหน้าของเด็กชายดูเศร้าหมองขึ้นมากะทันหัน มันไม่ใช่เศร้าแบบเด็กเอาแต่ใจอย่างเมื่อเช้า มันเป็นอะไรที่ลึกล้ำกว่านั้น เป็นแววตาแบบที่ผมเคยเห็นมาก่อน แววตาของคนที่สูญเสียคนรักไปอย่างฉุกละหุกและรวดเร็ว

มันทำให้ผมนึกสะท้อนใจ เด็กตัวแค่นี้ก็มีแววตาแบบนั้นได้เหมือนกันสินะ ไม่สิ เพราะว่าเป็นเด็กนี่แหละ มันถึงได้แจ่มชัดและลึกล้ำยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

“ผมคิดถึงพ่อจังเลยฮะ”

“อารู้ครับ” ไซม่อนว่า ทาบริมฝีปากลงบนขมับของแดนแผ่วเบา “อาก็คิดถึงเหมือนกัน แล้วอาก็เชื่อว่าคุณพ่อเองก็ต้องคิดถึงแดนแน่”

“ทำไมคุณพ่อต้องตายด้วยครับ” เจ้าตัวว่าขณะซุกหน้าลงไปบนแผ่นอก นัยน์ตากลมโตเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง “พ่อไม่ได้ทำอะไรผิด”

“บางทีพระเจ้าอาจจะอยากเจอคุณพ่อเร็วๆ ก็ได้นะ” ร่างสูงเริ่มปลอบ เขาขยับตัวไปมาราวกับต้องการจะกล่อมเด็กชายในอ้อมแขน ผมเบือนหน้าหนี อะไรบางอย่างทำให้ไม่กล้าสู้หน้าทั้งแดนและไซม่อน

ก็ผมเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนได้หัวใจของแบรดมา ผมมีชีวิตอยู่ก็เพราะการตายของเขา

โลกมันไม่ยุติธรรม และพระเจ้าก็ไม่เคยมีจริง



 
ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาตอนที่เราสามคนลากขากลับไปที่รถ แดนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของไซม่อนหลังจากที่เราเล่นเครื่องเล่นที่ต่อคิวยาวที่สุดเสร็จเป็นอย่างสุดท้าย การขึ้นไปนั่งบนเรือน้ำที่หมุนไปมาจนชวนให้อยากเอาอาหารมื้อสุดท้ายที่กินเข้าไปออกมาจากกระเพาะช่วยทำให้แดนร่าเริงขึ้นบ้าง และเมื่อเล่นจนเหนื่อยเจ้าตัวก็หลับไปในอ้อมแขนของคนเป็นอาอย่างง่ายดาย

ผมช่วยพยุงร่างของแดนเพื่อวางตัวแกนอนราบไปบนเบาะหลัง ส่วนตัวเองเดินกลับไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ เราสองคนแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยหลังจากแดนหลับไปเพราะกลัวว่าแกจะตื่น

ไซม่อนสตาร์ทเครื่องยนตร์ ผมหันไปมองนอกหน้าต่างเพื่อดูวิวของสวนสนุกแห่งนี้อีกครั้ง มันเป็นสถานที่ที่สวยงามและเต็มไปด้วยความฝันจริงๆ ผมหวังว่าแดนและไซม่อนจะสนุกไปกับมันอย่างที่คนอื่นๆ เป็นนะ มันคงช่วยทดแทนกับการที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยไปบ้าง แล้วตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวไปหมด คิดว่าไข้คงขึ้น ตอนที่ต่อคิวเครื่องเล่นเครื่องหนึ่งมีฝนตกลงมาพรำๆ ด้วย อาจจะเพราะตอนนั้นก็ได้

“คุณโอเครึเปล่าครับ ออสติน” คนข้างตัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่เริ่มปลดเกียร์ว่าง “ดูคุณเงียบๆ ไปนะช่วงหลังนี้ เหนื่อยเหรอครับ”

“ผมว่าผมไม่ค่อยสบาย” ผมตอบ ไซม่อนเลื่อนหลังมือมาแตะหน้าผากผม ไออุ่นจากร่างกายเขาให้ความรู้สึกดีจัง

“อือ ตัวรุมๆ เหมือนกัน” เขาว่า “งั้นเดี๋ยวผมพาแดนไปส่งที่บ้านแองจี้ก่อน แล้วค่อยพาคุณกลับไปพักที่บ้าน ดีไหมครับ”

“ครับ” ผมว่าปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า พอรู้ตัวว่าไข้ขึ้นก็เหมือนอาการจะออกมาเต็มที่เลย เบื่อจริงๆ ร่างกายที่ไม่ได้ดั่งใจของตัวเองนี่

“ขอโทษนะครับที่พาคุณมาลำบากแบบนี้”

ผมยิ้มขัน ส่ายหน้าเบาๆ เลื่อนมือไปแตะเข่าเขาเป็นการยืนยัน “ลำบากอะไรกันคุณ ไม่ได้มาออกสงครามนะ แล้วผมเองก็สนุกมากด้วย มาเสียท่าหน่อยตรงที่ไข้ขึ้นเอาตอนจบนี่แหละ ตกม้าตายทุกที”

“เดี๋ยวผมพยาบาลให้เองครับ คุณหมอ จะได้ปิดท้ายแบบสวยๆ ได้ไง”

ผมหัวเราะกับคำพูดนั้น หางตาเห็นรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัว รอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้น แต่แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นได้ เกี่ยวกับรูปถ่ายพวกนั้น

“คุณรู้จักคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนใช่ไหม ไซม่อน”

คำถามง่ายๆ นั่นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเลือนหายไป นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาดูไร้อารมณ์ขึ้นมาทันที “ครับ ก็รู้จากที่คุณเคยเล่าให้ฟัง”

“แล้วคุณคิดว่าแบรด พี่ชายคุณจะรู้จักเขาไหม”

มีร่องรอยที่แสดงถึงความตกใจระคนแปลกใจแว้บขึ้นมาในดวงตาคู่นั้น แค่เสี้ยววินาที… จากนั้นมันก็กลับไปเรียบเฉยเหมือนเดิม

“ผมไม่รู้เรื่องนั้นหรอกคุณ แต่ผมคิดว่าไม่นะ”

“งั้นเหรอ”

“ทำไมคุณถึงถามแบบนั้นล่ะครับ”

“เปล่าครับ ก็แค่…” ผมยกมือขึ้นโบกในอากาศ หันหน้าหนีออกไปทางนอกหน้าต่าง รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร “อืม… แค่ลองถามดู ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“คุณคิดว่าแบรดอาจจะรู้เหรอว่าคริสเตียนอยู่ที่ไหน”

นั่นเป็นแง่มุมที่ผมไม่ทันได้คิดมาก่อน มัวแต่คิดว่าสองคนนี้เชื่อมโยงกันยังไง แต่พอฟังที่เขาถาม… มันก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกัน

“ก็… อาจจะเป็นไปได้นี่ครับ ถ้าพวกเขารู้จักกัน” ผมว่า ห่อไหล่ของตัวเองเล็กน้อยขณะยกมือขึ้นกอดอก “แต่แบรดตายไปแล้ว และเราก็ยังหาคริสเตียนไม่พบเหมือนเดิม”

ไม่รู้ว่าความว้าวุ่นใจนี่มันหมายความว่ายังไง แต่อะไรบางอย่างในตัวกำลังบอกผม

ไซม่อนมีเรื่องที่ปิดบังผม และผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร

เรื่องแบรดเหรอ?

เรื่องคริสเตียนเหรอ?

หรือว่าเรื่องจุดเชื่อมโยงระหว่างสองคนนั่น

หมอนี่ก้าวเข้ามาในชีวิตผม นำเรื่องหัวใจของแบรดมาบอกให้ผมรู้

แบรดถูกฆ่าตาย รูปถ่ายจากคนที่ผมและทางตำรวจพยายามความหาในความมืด

ทั้งหมดนี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ?

ไม่หรอก ผมไม่เชื่อแบบนั้น






-------------------------------------------------
Talk: ช่วงนี้งานยุ่งมากค่ะ งานที่ทำงาน งานรอง งานๆๆๆ ทำงานทั้งวันทั้งคืน ยุ่งจนโมโหอะ ไม่ได้เหนื่อยนะ แต่โมโห 555555 อยากจะเขียนนิยายยาวๆ แบบจุใจก็ติดงาน ชีวิตจริงนี่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(100%) P.2 [13/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 14-06-2017 22:54:51
สนุกมากๆค่ะ น่าติดตามมากๆ :katai2-1: :katai2-1:
ชอบไซม่อนเว่อร์ รุกแรง แล้วเร็วได้ใจเจ๊มาก
ออสตินก็น่ารัก
แอบจุกที่โดนซักตอนอยู่ในศาล
ก้เข้าใจว่าอาชีพทนาย แต่นี่ก็เกินไป๊  :z6:
หวังว่าเรื่องรูปคงไม่มีอะไรหรอกนะ
ไซม่อนไม่ได้เข้ามาหวังอะไรใช่มั้ย ไม่อยากให้ออสตินต้องเจ็บเลย
ออสตินตอนนี้แตกง่ายกว่าแก้วอีก  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(100%) P.2 [13/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-06-2017 23:05:57
ยังไงหนอ

ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(100%) P.2 [13/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-06-2017 17:56:54

บทที่ 13




ดูเหมือนว่าคราวนี้ไข้ของผมจะหนักหนาสาหัสกว่าคราวที่แล้ว

ไซม่อนขับพาแดนไปส่งที่บ้านแล้วจึงขับมาที่บ้านของผม ผมไม่มีโอกาสได้ลงไปทักทายแองเจลีน่าครั้งนี้เพราะรู้สึกปวดหัวจนคอแทบจะพับอยู่แล้ว และไซม่อนก็กำชับนักหนาให้ผมนอนอยู่เฉย ๆ จนกว่าจะถึงบ้าน ซึ่งต่อให้หมอนี่ไม่พูดแบบนั้นผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แค่หายใจแรงขึ้นมานิดหนึ่งก็สะเทือนจนมึนหัวแล้วเนี่ย

“ออสติน” เสียงคนข้างตัวเอ่ยเรียกหลังจากที่รถจอดสนิท ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างไม่ชอบใจ การที่รถจอดแล้วก็หมายความว่าเราถึงบ้าน และถ้าเราถึงบ้านแล้ว ผมก็ต้องอดทนกัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านน่ะสิ

ไม่อยากลุกเลย… ปวดหัวเป็นบ้า ขอนอนในรถเลยได้ไหมเนี่ย

“ออสตินครับ คนดี” เสียงทุ้มต่ำว่าพร้อมกับเลื่อนมือลงมาแตะหน้าผมเบา ๆ สัมผัสอบอุ่นนั่นชวนให้รู้สึกดี แต่ตอนนี้ผมปวดหัว อยากจะอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่า “ลงจากรถกันเถอะครับ เดี๋ยวผมพาคุณไปนอนแล้วก็เช็ดตัวให้นะ แล้วคุณก็ต้องกินอะไรสักหน่อยจะได้กินยา”

“อืม” ผมครางรับงึมงำ นี่ผมเป็นหมอนะเว้ย ไม่สิ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ไม่ต้องเป็นหมอก็รู้ “ไซม่อน ผมปวดหัว”

“ผมรู้แล้วครับ ตัวคุณร้อนจี๋เลย คุณรอตรงนั้นแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวผมอุ้มคุณเอง”

อื๊อ? อะไรนะ เมื่อกี้ไอ้หมอนี่บอกจะอุ้มผมงั้นเหรอ?

เออ แต่มันก็เคยแบกผมขึ้นหลังมันขี่คอมาก่อนนี่หว่า เพราะงั้นจะปล่อยให้ไซม่อนอุ้มอีกสักรอบก็คงไม่ต่างอะไรกันมากเท่าไรหรอกมั้ง

ไซม่อนเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ ผมอาศัยฟังจากเสียงเอาเพราะตาทั้งสองข้างยังปิดสนิทอย่างอ่อนล้า มือหนาเลื่อนมาประคองร่างผมอย่างระมัดระวัง ผมรู้สึกได้ถึงความพยายามของเขาที่จะไม่ทำให้ร่างกายผมสะเทือนมากเท่าที่จะทำได้

ผมชอบที่เขาทำแบบนั้นจัง มันรู้สึกเหมือนเขาใส่ใจผมทุกอย่างจริง ๆ นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าเขามีเรื่องอะไรปิดบังผมไว้และเพราะอะไร

“อดทนหน่อยนะครับ ออสติน เดี๋ยวผมพาคุณขึ้นไปด้านบน อาจจะกระเทือนตอนขึ้นบันไดหน่อย”

ผมพยักหน้ารับแผ่วเบา รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ จนครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ทรมานจัง อยากกินยาแล้วนอนพักให้หายเร็ว ๆ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดต่อว่าจะถามไซม่อนยังไงดีเกี่ยวกับเรื่องของแบรด

ร่างของผมค่อย ๆ ถูกวางลงที่เตียง ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มอีกคนเดินห่างออกไป จากนั้นทุกอย่างก็ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไร เหมือนได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากก๊อก เสียงเปิดประตูสลับกับเสียงฝีเท้า สัมผัสของผ้าอุ่นที่แตะลงมาบนตัว เสียงโทรศัพท์มือถือ

นั่นไม่ใช่ริงโทนที่ผมตั้งค่าเอาไว้ ดังนั้นผมจึงแน่ใจว่ามันเป็นของไซม่อน ได้ยินเสียงเขากรอกคำพูดลงในนั้น มันฟังดูจริงจังและเคร่งเครียดไม่น้อย คงจะเป็นเรื่องงาน ผมอาจจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่เขากำลังคุยกับคนปลายสาย แต่ก็พอจะจับใจความได้

เขากำลังลังเลใจว่าควรจะไปสมทบกับคู่หูของเขาในภารกิจยามค่ำคืนรึเปล่า เขารู้ว่าเขาโดดมาทั้งวันเพื่อพาหลานเที่ยวแล้ววันนี้ เพราะงั้นเขาควรจะไปตามที่อีกฝ่ายขอ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก ผมไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยดูแลตอนป่วยนะ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น… ผมจับน้ำเสียงร้อนรนของเขาได้ว่าเขาอยากไปทำงาน

“ไปเถอะ ไซม่อน” ผมเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกขมคอไปหมด

ไซม่อนหันมามองผมด้วยสีหน้าลำบากใจทันที จากนั้นจึงกรอกเสียงลงในโทรศัพท์เพื่อบอกปลายสายว่าจะโทรกลับไปใหม่ในอีกสิบนาที ขาเรียวก้าวเข้ามาประชิดข้างเตียง

“แต่คุณ--”

“ผมไม่เป็นไรหรอก” ผมส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา ปล่อยให้อีกฝ่ายไล้ฝ่ามือลงมาบนแก้มอย่างอ่อนโยน ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาตอบ ใจจริงแล้วไม่อยากให้เขาไปเลย แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้รุนแรงมากเท่ากับที่อยากให้เขาไป “คุณไปทำงานเถอะ ไซม่อน วันนี้เล่นมาทั้งวันแล้ว”

“พูดอย่างกับผมเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นแล้วก็ไม่ยอมเรียนหนังสือหรือทำการบ้านไปได้” ชายหนุ่มแสร้งตีหน้ามุ่ยเหมือนงอน นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมานิดหนึ่ง

“ก็จริงไหมล่ะ คุณ ถ้าไม่ตั้งใจโฟกัสกับคดีคุณก็จับคนร้ายได้ยากนะ”

“ผมรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วน่า คุณหมอ” น้ำเสียงเขาออดอ้อนเล็กน้อย ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ กระตุกเสื้อให้อีกฝ่ายโน้มหน้าลงมานิดหนึ่งจากนั้นจึงหอมแก้มเขาแผ่วเบา

ไซม่อนยกยิ้มอย่างพึงพอใจทีเดียว “แค่แก้มเองเหรอครับ?”

“นี่คุณ ผมไม่สบายอยู่นะ แค่นี้ก็พอแล้ว” ผมว่า เห้นสายตาวับ ๆ ล้อเลียนของหมอนี่แล้วชักอยากถีบมันออกจากห้องตอนนี้เลย “ไปทำงาน… แค่ก ได้แล้วคุณ ยิ่งมีคุณมากวนผมยิ่งไม่หายแหง”

“กล่าวหากันแบบนี้ใจร้ายจัง” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ยี่หระ เอื้อมมือไปรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วเลื่อนมาบริเวณริมฝีปากผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นไปดื่มน้ำแก้วนั้น ไซม่อนก็หยุดมือลงเสียก่อน ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ นี่มันรู้ใช่ไหมเนี่ยว่าผมตัวร้อนไข้ขึ้นอยู่ “ผมว่าคุณคงลุกมาดื่มน้ำไม่ไหวใช่ไหม”

“ไม่ ผมลุกไหว” ผมว่าพลางใช้แขนดันตัวเองขึ้น แต่ไซม่อนดันร่างผมกลับลงไปบนเตียง ส่งยิ้มบางให้ก่อนจะกระดกน้ำในแก้วขึ้นดื่ม เลื่อนหน้าลงมาทาบริมฝีปากแน่น

ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ หลับตาแน่นขึ้น ของเหลวอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาในโพรงปาก ผมกลืนมันลงคอดังอึก และแทนที่จัดการงานของตัวเองเสร็จแล้วจะถอยออกไป ไซม่อนกลับกวาดลิ้นเข้ามาอย่างอ่อนหวาน มันลากบนเพดานปากไปมาทำเอาผมตัวสั่น มือเลื่อนไปพยายามดันอีกฝ่ายออก ไซม่อนตบท้ายจูบนั้นด้วยการลากลิ้นลงบนฟันล่าง จากนั้นจึงเลื่อนใบหน้าออกแล้วส่งยิ้มยียวนมาให้

“อะ… อือ” ผมครางออกมาเบา ๆ พร้อมกับเลื่อนมือผลักเขาออกด้วยความเขิน “ไปทำงานได้แล้วคุณ ให้คู่หูรอนานแย่แล้ว ผมเองก็ต้องพักนะ”

“คุณแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียวได้”

“ผมอยู่ได้น่า”

“ถ้าคุณอยากให้ผมหาใครมา--”

ผมโบกมือขึ้นกลางอากาศ ปฏิเสธข้อเสนอนั้น

“ผมแค่ต้องการนอนเงียบๆ น่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้ว คุณไม่เคยเป็นไข้หรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีวิธีรักษายังไง”

ไซม่อนยกยิ้มบาง จูบลงบนหน้าผากของผมอีกรอบอย่างแผ่วเบา

“ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ ออสติน ฝันดีครับ”

“อื้ม” ผมบีบมือเขาแน่นเป็นครั้งสุดท้าย สงสัยจะเพ้อจนเริ่มคิดอะไรไม่ออก “ระวังตัวด้วยนะ ไซม่อน”

เขารับปากยิ้มๆ หากเมื่อหันหน้ากลับไป ควักโทรศัพท์ขึ้นมารอยยิ้มอ่อนโยนพวกนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศรอบตัวเขาตอนอยู่กับผมกับตอนทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมสังเกตตั้งแต่ตอนที่เห็นเขานั่งอ่านแฟ้มคดีของตัวเองเงียบๆ ครั้งแรกแล้ว เหมือนมีบรรยากาศหนักอึ้งบางอย่างโอบรอบตัวเขาไว้เวลาที่เป็นเรื่องของคดี

ความเอาจริงเอาจังนั่น แววตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววเย็นชา ผมเดาว่านั่นคงเป็นสายตาที่เขามีให้คนที่ตัวเองกำลังตามล่าอยู่ มันต่างกับสายตาที่เขามองผมอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่รู้สินะ ผมชอบทั้งสองแบบเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมว่ามันเหมาะกับไซม่อนทั้งคู่

ผมปรือตาลงเพราะยาที่กินลงไปเริ่มออกฤทธิ์ ความเงียบสงบทำให้ความกลัวในเบื้องลึกของจิตใจผมค่อย ๆ คืบคลานออกมา

ผมล้วงมือลงไปใต้หมอน ควานหาเครื่องช็อตไฟฟ้าที่มักวางไว้ตำแหน่งนั้นเสมอ พอมือสัมผัสกับตัวเครื่องนั่นความกังวลใจของผมก็หายไปเปราะหนึ่ง บางทีเจ้าเครื่องนี้อาจจะมีประโยชน์ตรงนี้ก็ได้ ช่วยทำให้ผมหลับสบาย ก็เหมือนกับการที่คนเราเอาไม้กางเขนมาอยู่ใกล้ตัวเพราะเชื่อว่ามันจะขับไล่ปีศาจให้เราได้นั่นแหละ ถึงเราจะไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันจะได้ผลรึเปล่า แต่อย่างน้อยการได้มีติดตัวเอาไว้ก็ทำให้อุ่นใจ เครื่องช็อตไฟฟ้าของผมก็เป็นอะไรคล้ายๆ แบบนั้น

 พอความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม และผมอยู่ตัวคนเดียว ความคิดทั้งหมดทั้งปวงก็เริ่มโผล่ขึ้นมาตีกันในหัว

 ตอนแรกก็เริ่มจากสัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือของคนที่เพิ่งเดินจากไป ผมยังรู้สึกอุ่นซ่านบนแก้มตรงบริเวณที่เขาสัมผัสอยู่เลย การคิดถึงสัมผัสนั่นทำให้ผมอบอุ่นใจ ช่วยให้ผมผ่อนคลายตัวเองลงอย่างเต็มที่ หากความคิดที่ผ่านเข้ามาต่อจากนั้นก็ทำลายมันลง ความคิดที่ว่าบางทีไซม่อนอาจมีอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับผม ผมก็คงไม่สนใจมากนักหรอก แต่จากสิ่งที่ผมพบเจอมามันมากเกินกว่าที่ทุกอย่างนี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ

เขาจะปิดบังผมเรื่องแบรดกับคริสเตียนไปทำไม… ไซม่อนเคยปิดบังผมเรื่องที่เขารู้ว่าผมเคยโดนข่มขืนมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง นั่นทำลายความเชื่อใจของผมที่มีต่อเขาลงหน่อย แต่ผมก็แก้ตัวให้เขาไปว่ามันคงเป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดถึงลำบาก งั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันตกไป ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย แต่เรื่องที่ผมกำลังขบคิดอยู่นี่สิ มันดูไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ

ตกลงว่าคริสส่งของพวกนั้นมาทำไม?

เขาส่งรูปครอบครัวของแบรดมาให้ผมทำไม?

อะไรคือจุดเชื่อมโยงของของทุกอย่างนั่น?

บางทีผมอาจต้องแวะไปที่สถานีตำรวจแล้วคุยกับฮันนาห์ แลนดี้ เจ้าหน้าที่สืบสวนที่จัดการกับคดีคริสเตียนเสียหน่อยแล้ว เผื่อว่าหล่อนจะมีทฤษฎีดีๆ ที่เชื่อมโยงของทั้งหมดนั่นด้วยกันกับคริสเตียน แล้วก็เผื่อมีความคืบหน้าอะไรใหม่ๆ ด้วย

“อา…” ผมครางออกมาเบาๆ เพราะรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกระลอก พลิกตัวให้หันตะแคงไปอีกทาง แต่ไม่ว่าขยับตัวยังไงผมก็หาตำแหน่งที่นอนสบายๆ ไม่ได้เสียที

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน

ผมหยุดคิดเรื่องของเขาไม่ได้เลยตั้งแต่หลังกลับมาจากศาลนั่น และผมไม่ได้หมายถึงว่าผมกำลังคิดถึงเขาเพราะอาลัยอาวรณ์อะไรแบบนั้น ผมคิดถึงเขาเพราะนึกอยากฆ่าเขาให้ตายต่างหาก

“อึก” เสียงครวญครางดังออกมาอีกรอบเหมือนเด็กเล็ก ๆ นึกอยากให้คนที่เพิ่งจากไปอยู่กับผมตรงนี้ ความกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นโถมเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง และคราวนี้ผมหยุดมันไม่อยู่ รู้สึกได้เลยว่าร่างกายสั่นง่ก

ผมหนาวเพราะว่าเป็นไข้ และบางทีก็อาจจะเพราะอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นความดำมืดที่อยู่ในจิตใจของผมเอง หรือไม่ก็ภาพความทรงจำที่ย้อนกลับมาหลอกหลอนอยู่ซ้ำๆ

ผมข่มตาลง พยายามบังคับให้ตัวเองหลับๆ ไปซะจะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องพวกนั้น แต่แน่นอนล่ะว่านั่นทำได้ไม่ง่ายเลย

ผมไม่สามารถลบภาพในอดีตได้ และตอนนี้มันก็กำลังกลับมาเล่นงานผมอีกครั้ง
 





เช้าวันนั้น หลังจากที่คริสเตียนเหวี่ยงผมลงเตียงไปเมื่อคืน

ผมตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้า รู้สึกร่างกายปวดไปหมดทุกส่วนจนไม่อยากขยับไปไหน นัยน์ตากวาดมองรอบๆ ห้องนอนของตัวเองอย่างสำรวจ ทุกอย่างในนี้ยังคงปกติดี มีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ที่มุมห้อง โต๊ะสำหรับอ่านหนังสือแล้วก็ทำงานอยู่ข้างๆ ตู้หนังสือที่ทำจากไม้ซึ่งใช้งานมาหลายสิบปีแล้ว ทันใดนั้นเองผมก็สะดุ้งตัววาบด้วยความตกใจเมื่อนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ตัวเองจะลืมตาตื่นขึ้นมาแบบนี้

คริสเตียนเพิ่งจับผมกดลงกับเตียง ไอ้ระยำนั่น คิดว่าเป็นแฟนกันแล้วจะมาขืนใจกันแบบนี้ก็ได้เหรอ นี่ยังไม่นับรวมที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนของทางรัฐบาลด้วยนะ ไม่เลวไปหน่อยเหรอ ไม่กลัวเลยรึไงว่าผมจะเอาไปบอกที่ทำงานเขาแล้วมันจะกระทบถึงหน้าที่การงาน

“อือ…” ผมครางออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้มือยันตัวลุกขึ้นนั่งบนฟูกเตียง ผมก้มลงมองข้อมือของตัวเอง ตอนนี้มันเป็นอิสระออกจากกันแล้ว ขอบคุณมากเลยที่เอากุญแจมืองี่เง่านั่นออก หมอนั่นมันรู้ระเบียบของงานที่ตัวเองทำอยู่บ้างไหมวะ ที่เขาทำลงไปเมื่อคืนนั่นถือว่าอุกอาจมากเลยนะ แล้วเซ็กส์เมื่อคืนนั่น… ให้ตายสิ คือปกติเวลาที่เราทำกันมันก็ค่อนข้างรุนแรงนั่นแหละ เพราะงั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถ้าให้เทียบกับที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมมากเท่าไรหรอก ทางด้านกายภาพน่ะนะ แต่ถ้าพูดกันทางด้านจิตใจแล้ว… ผมบอกได้เลยว่าป่นปี้

เขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ก็เขาเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่ารักผม บอกว่าจะคอยดูแลผม แล้วไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันอะไรกัน มันสวนกับสิ่งที่เขาพูดออกมาชัดๆ คนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก ถูกไหม

“อุบ…” ผมยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนจนอยากจะสำรอกออกมา แต่ผมก็รู้ดีว่าต่อให้โก่งคอยังไงก็คงไม่มีอะไรออกมาหรอก ผมไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ปวดท้องชะมัด แล้วก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด

ผมเดินเซไปเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ที่หดหู่ถึงขีดสุด ผมต้องไปทำงาน… ตอนนี้งานของหน่วยล้นมือจนแทบจะต้องเกณฑ์คนจากเขตอื่นมาช่วย ผมไม่อยากขาดงานเพราะเหตุผลส่วนตัว โดยเฉพาะกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยแล้ว

ผมโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหลังจากที่อาบน้ำ เตรียมอาหารเช้าวางอยู่ตรงหน้าเรียบร้อย ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับดูสิ่งที่อยู่ในนั้น มีข้อความจากคริสเตียนส่งมาถึงผม ข้อความที่ว่านั่นยาวเหยียดราวกับรายงานปลายภาคการศึกษาของเด็กมหาลัย ผมกวาดตาอ่านข้อความที่ว่านั้นด้วยอารมณ์เฉยชา สรุปสั้นๆ ออกมาให้ได้ใจความก็คือ… เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปกับผมเมื่อคืน อยากจะขอโทษ อยากให้ผมให้อภัยเขา ทุกอย่างเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ

ไอ้ระยำเอ๊ย…

ผมสูดหายใจเฮือกเพื่อระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง กดปุ่มพักหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางมันบนโต๊ะด้วยแรงที่มากกว่าปกติเล็กน้อย ยกถ้วยกาแฟขึ้นมากรอกปากอีกรอบอย่างหัวเสีย กลิ่นหอมกรุ่นที่ลอยมาแตะจมูกไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีอะไรขึ้นมาเท่าไหร่นัก ผมต้องหาใครสักคนคุยด้วยเรื่องนี้ ผมต้องหาที่ระบาย มันอึดอัดจนเหมือนข้างในจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเนี่ย

“เฮ้อ…” อดไม่อยู่ ต้องถอนหายใจยาวออกมาจนได้ จนถึงตอนนี้ ผมมีแค่คำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวเท่านั้น

เขาทำกับผมได้ยังไง? นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เราทะเลาะกันมาทั้งหมดเลยนะ ก็ไหนเขาบอกว่ารักผมไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าเราสองคนรักกันหรอกเหรอ? แล้วทำไมมันถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ไปได้วะ?

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าอย่างอ่อนล้า รู้สึกถึงแรงกดดันที่กดทับลงมาบนบ่า มันหนักอึ้งจนแทบจะรับเอาไว้ไม่ไหว

ผมทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ




.
.
.
(50%)






-----------------------------------------------
Talk: เมื่อวาน.... ลืมอัพนิยาย 5555555 //แงงงง เค้าขอโทษ
มานึกขึ้นได้ตอนทำงานวันนี้ เหลือบไปมองปฏิทินแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง วันนี้วันศุกร์ ทำงานวันสุดท้าย
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า.... เมื่อวานวันพฤ... แต่ลืมอัพ
ถถถถถถถ ไม่มีใครทวงเลย!!!
#ไซออส #sweetsanctuary
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 13)(50%) P.2 [16/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 16-06-2017 19:13:19
เดามั่วๆนะ
คริสเป็นคนฆ่าพี่ชายไซม่อน เพื่อเอาหัวใจมาให้ออสติน
หรืออะไร โอ๊ยยยยยยย
มั่วมาก
ที่จริงคริสอาจจะตายแล้วงี้เปล่า แล้วไซม่อนก็สืบประวัติคนที่ฆ่าพี่
จนรู้ว่าเอาหัวใจมาให้ออสติน แล้วก็สืบประวัติออสติน เลยมาหา
มั่วมากจริง โปรดข้ามเม้นนี้ไป 555555555555555555555555555555555
ไปเรื่อยจริงๆเราเนี่ย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 13)(50%) P.2 [16/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 18-06-2017 18:14:50
[ต่อ]




ผมนัดเจอกับไคล์ในสุดสัปดาห์ต่อมาซึ่งเป็นเวลาที่เราว่างตรงกันพอดี สถานที่นัดหมายของพวกเราในครั้งนี้คือบาร์ไรท์แทรคที่ตั้งใจอยู่ในย่านชานเมือง มันเป็นบาร์เกย์ที่เต็มไปด้วยผู้ชายหลากหลายวัยตั้งแต่ยี่สิบต้นๆ จนไปถึงห้าสิบตอนปลายได้ ผมเดาว่าในความเป็นจริงแล้วอาจมีคนที่อายุน้อยกว่านั้นและมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เรื่องพวกนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคู่ ไคล์เองก็เหมือนกัน… บางทีนะ หรือถ้าเขามาหาคู่นอนด้วยที่นี่ ผมก็ไม่เคยรู้ เพราะทุกครั้งที่เรานัดเจอกัน เราจะหาอะไรกินกัน ดื่มเล็กน้อยพอเป็นพิธีจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ

เจ้าหน้าที่สืบสวนหนุ่มในชุดไปรเวทก้าวเข้ามาที่โต๊ะซึ่งผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวส่งยิ้มบางๆ มาให้ หากเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของผม ไคล์ ไทเลอร์ก็หุบยิ้มฉับลงอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ออสติน”

“ดื่มก่อนสิ” ผมพูดเนือยๆ ยกขวดเบียร์เทใส่แก้วที่ว่างเปล่าตรงหน้า “ค่อยๆ คุยกันก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน เรามีเวลากันทั้งคืน”

“เราเหรอ ไม่ถามอะไรผมสักคำเลยเหรอครับ คุณหมอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางยียวน คงหวังว่านั่นจะช่วยทำให้ผมยิ้มออกมาได้บ้าง ผมเองก็อยากจะยิ้มออกนะ แต่เหมือนมีอะไรมากดปากไว้ไม่ให้ขยับรอยยิ้มขึ้นเลย

สีหน้าของไคล์เคร่งเครียดขึ้นอีกรอบ “ฉันว่าหน้าดูเซียวไปหน่อยนะ”

“ดื่มก่อนเถอะ” ผมผลักแก้วไปตรงหน้าเขา ยกแก้วของตัวเองขึ้นมาเตรียมจะชนกับของอีกฝ่าย “ฉันอยากเมาก่อนสักหน่อยแล้วค่อยพูดเรื่องนี้”

เขาทำหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ปกตินายไม่เป็นแบบนี้นี่?’ แต่ก็ยอมยกแก้วชนด้วยจนได้

ผมยกแก้วขึ้นดื่มของเหลวสีอำพันรวดเดียวจนหมด ปล่อยให้มันไหลผ่านลงคอไป ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้น พอสติส่วนหนึ่งถูกบั่นหายไปแล้ว เหมือนความกล้าที่จะคุยเรื่องนี้กับไคล์จะเพิ่มมากขึ้น

ผมกระแทกแก้วเปล่าลงบนพื้นโต๊ะก่อนจะประกาศ “ฉันจะเลิกกับคริสเตียน”

ไคล์งันไปทันที สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ “ทำไมนายถึงคิดจะเลิกกับหมอนั่นล่ะ”

ผมยักไหล่ อยากจะพูดโพล่งออกไปตรงๆ เลยว่าเพราะโดนหมอนั่นใช้กำลังมา แต่อะไรบางอย่างกดลิ้นผมไว้

“ไปกันไม่ได้น่ะ”

ข้ออ้างสุดคลาสสิก ว้าว นี่ดีที่สุดเท่าที่คิดออกแล้วสินะ

“หลังจากคบกันมาเกือบปีเนี่ยนะ?”

“ทำไม? ทีคู่สามีภรรยาแต่งงานกันมาเป็นสิบๆ ปียังเลิกกันได้เพราะข้ออ้างนี้เลย”

ไคล์ยกยิ้มทันที “แปลว่ามันเป็นข้ออ้างสินะ”

ผมสะอึก เบือนหน้าหลบสายตารู้ทันของเขาแล้วเริ่มหันไปสั่งเบียร์ขวดใหม่จากพนักงานที่อยู่ใกล้ที่สุด ไคล์ส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนกับจะบอกว่าที่ผมกำลังทำอยู่มันไม่เข้าท่าเลย

“นายมีปัญหาอะไรกับคริสเตียน”

“ก็… ทะเลากันนิดหน่อยน่ะ” ผมยักไหล่ “เรื่องเดิมๆ”

“จริงๆ แล้วน่าจะเคลียร์กันได้นะ”

“ไม่ รอบนี้ไม่ได้” ผมส่ายหน้าอย่างจนปัญญา อันที่จริง ถ้าเขาไม่ถึงกับใช้กำลังลากผมขึ้นเตียงแบบนั้น ผมอาจจะนึกอยากปรับความเข้าใจกับเขาก็ได้ แต่พอเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมรู้ดีว่าผมจะไม่สามารถวางใจเขา… ไม่สามารถเชื่อใจเขาได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

คนเราเมื่อลงมือทำเรื่องชั่วๆ ครั้งแรกได้ ครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

“ฉันจะเลิกกับเขาจริงๆ”

“แค่เพราะทะเลาะกันเนี่ยนะ”

“หมอนั่นใช้กำลังกับฉัน”

จำได้แม่น นันย์ตาสีน้ำตาลที่กำลังฉายแววโกรธขึ้งขึ้นมา ทำให้ผมอกสั่น ผมเคยเห็นเขาทำสายตาแบบนั้นกับพวกคนร้ายมาก่อน มันไม่ใช่อารมณ์ที่ไคล์แสดงออกมาให้เห็นบ่อยๆ แต่แล้วเขากลับเผยด้านนั้นออกมาให้ผมเห็น บอกเลยว่ามันน่ากลัวมาก

“หมอนั่นทำอะไร ออสติน”

“ไม่… ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ผมพูดปัด สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกความจริงกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นตำรวจไป บางที… อาจเพราะเยื่อใยบางเบาที่ผมยังเหลือให้ผู้ชายคนนั้น ความทรงจำที่ได้ใช้ร่วมกับเขามันมีค่าสำหรับผมนะ แต่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว “ก็แค่ทะเลาะ… แล้วก็ลงไม้ลงมือบ้าง แต่ฉันไม่เป็นไร”

“ถ้านายอยากจะแจ้งความ…”

ผมส่ายหน้าทันที “ไม่หรอก ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น อีกอย่าง… ก็แค่แฟนทะเลาะตบตีกัน พวกตำรวจจะมาสนใจอะไรมากมายล่ะ จริงไหม?”

ไคล์ถอนหายใจกับสีหน้าเหมือนรู้ทันของผม แหงล่ะ ก็เขาเป็นตำรวจนี่ ไอ้เรื่องงี่เง่าแบบนี้ใครที่ไหนจะเอามาใส่ใจจริงๆ

“อย่างน้อยก็ป้องกันตัวเอง--”

“อ้อ ฉันป้องกันตัวเองแน่” ผมยื่นแก้วให้พนักงานสาวที่ถือขวดเบียร์มา ตอนนี้โต๊ะรอบๆ เริ่มเต็มไปด้วยผู้คนต่างจากตอนที่ผมเข้ามาจองโต๊ะแรกๆ บรรยากาศภายในเริ่มครึกครื้นและเต็มไปด้วยเสียงเฮฮา มันเหมือนดังมาจากอีกซีกโลกมากกว่าสำหรับผม

ผมรับแก้วมาจากพนักงานคนเดิมที่เดินจากไปแล้วหลังจากรินให้ไคล์ ยกมันขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้ยมาสบตาคนตรงหน้า “ด้วยการเลิกกับเขานี่ไงล่ะ ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่ชอบความรุนแรงนะ ไคล์ และถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่คริสทำแบบนั้น แต่ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ กับเรื่องนั้นแน่”

ไคล์พยักหน้ารับในที่สุด “งั้นก็ดีแล้ว”

ผมถอนหายใจ พยักหน้ารับแกนๆ ยกแก้วขึ้นมาดื่มต่อ “ชีวิตแม่งโหดร้ายเนอะ นายว่างั้นไหม”

“เรื่องที่นายต้องเลิกกับคริสเพราะเขาใช้กำลังกับนายน่ะเหรอ”

“เรื่องที่ว่า การที่เราพบใครสักคนแล้วคิดว่าเขาใช่ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนคนนั้นสำหรับเราต่างหากล่ะ” ผมเริ่มเพ้อเพราะฤทธิ์เหล้า หันไปสบตาไคล์ตรงๆ “นายไม่คิดงั้นเหรอ?”

“คิดสิ” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องตาผมตอบอย่างตรงไปตรงมา “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”



 


คริสเตียนยังพยายามมาตามตื๊อ วนๆ เวียนๆ อยู่รอบตัวผมหลังจากที่ผมบอกเลิกเขาไปได้แล้วสองอาทิตย์

“ออสติน!” เขาวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาผมหน้าตาตื่นทันทีที่เห็นผมแสกนบัตรประจำตัวเลิกงาน ผมแทบจะถอนหายใจยาวเมื่อได้เห็นหน้าเขา “ออสติน ออสตินครับ เรามาคุยกันก่อนได้ไหม อย่าทำกับผมแบบนี้”

“เราคุยกันมาหลายรอบแล้วครับ คริสเตียน” ผมว่าพลางหายใจแรงๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเขาเลื่อนมือมาบีบแขนผมแน่น สายตาของคนอื่นๆ ที่เดินสวนไปมาเริ่มหันมามองอย่างสนใจ หนึ่งในนั้นมีเพื่อนร่วมงานของผม หล่อนรู้ว่าผมคบกับคริส แต่พอมาเห็นแบบนี้คงพอจะเดาได้แล้วว่ามีปัญหากัน ผมไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมากระจายในที่ทำงานเลย ทำไมไอ้หมอนี่มันถึงได้ไม่รู้จักกาลเทศะอยู่เรื่อย

“ผมอยากขอโอกาสจากคุณ” น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยหมองตามคำพูดลงเช่นกัน ผมรู้สึกใจอ่อนยวบ อยากบอกให้เขารู้ว่าผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากเขาหรอก

“ไม่ คริส ได้โปรด เลิกมายุ่งกับผมเถอะ” ผมตัดใจดึงมือเขาออก ก้าวเท้าพรวดๆ ออกมาจากประตูด้านหลังของโรงพยาบาล คริสเตียนเดินตามอย่างไม่ลดละ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ “ผมตัดสินใจแล้ว เราไปกันไม่รอดหรอก เราควรจะจบมันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้มันเรื้อรังมาจนถึงตอนนี้ ตัดใจจากผมเถอะนะ คุณจะได้ไปเจอคนที่ดีกว่า”

“ไม่ ออสติน ผมรู้ว่าคุณโกรธเรื่องวันนั้น” ขายาวเรียวของเขาก้าวตามมา เดินหลบหลีกจากเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้อย่างคล่องแคล่วในขณะที่ผมเผลอไปชนไหล่กับพยาบาลสาวคนหนึ่ง ผมหันกลับไปขอโทษหล่อนทันที “ได้โปรด ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะนะครับ ผมสัญญา มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก คริส” ผมพูดอย่างอัดอั้น ใจหนึ่งก็นึกอยากกระโดดถีบหน้าหมอนี่สักรอบแล้วก็ตะโกนบอกว่า ‘จะบ้าเหรอวะ! โดนทำไปขนาดนั้นใครจะกลับไปคบกับแก!?’ แต่อีกใจหนึ่งก็เจ็บปวดเพราะความผูกพันธ์ที่มีให้เขายังคงอยู่

ผมสารภาพตามตรงก็ได้ว่าผมเองก็ยังรักเขาอยู่ ผมอยากหยุดฝีเท้าไว้ตรงนี้แล้วหันกลับไปกอดเขา อยากจูบ อยากบอกกับเขาว่าผมยอมยกโทษให้ทุกอย่าง ขอแค่ให้เขาสัญญามาว่าจะไม่ใช้กำลังกับผมอีก แต่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างมันไม่ง่ายดายอย่างนั้น

ผมใช้ชีวิตมาหลายสิบปี และยิ่งด้วยสายงานที่ทำอยู่ยิ่งทำให้เห็นหลากหลายเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง สะอิดสะเอียน และชวนให้หดหู่ใจ ผมเคยชันสูตรศพผู้หญิงคนหนึ่งที่ตายเพราะสามีเมาหนัก อาละวาดจนถึงขั้นหยิบมีดขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ และจากที่สืบประวัติของสามีภรรยาคู่นั้นแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะทำร้ายร่างกายผู้หญิงคนที่ว่ามานับครั้งไม่ถ้วน

ผมไม่ใช่ผู้หญิง ผมอาจจะปกป้องตัวเองได้ แต่ทำไมผมจะต้องอดทนหรือเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่สุ่มเสี่ยงกับการเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วย? นี่ยังไม่นับเรื่องที่คริสเตียนเป็นคนหัวร้อนแล้วก็มีปืนเหน็บอยู่ที่เอวของเขาอีกนะ เกิดวันไหนเขาสติขาดขึ้นมาอีก ลูกตะกั่วจะไม่เข้าไปฝังอยู่ในหัวผมเหรอ

ผมรู้ดีว่าตัวเองอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยในเมื่อความผิดที่เขาทำก็แค่ครั้งแรก แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่กลับไปหาเขา

ชายหนุ่มด้านหลังยังคงขอร้องอ้อนวอนซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาคิดว่าเขาเจ็บอยู่คนเดียวหรือไง ที่ผมต้องฝืนทำอยู่นี่มันก็หนักหนาสำหรับผมเหมือนกันนะ

“คริส พอสักที” ผมหันกลับไปมองหน้าเขาตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ตอนนี้เราอยู่ด้านนอกอาคาร กำลังลัดเลาะออกไปทางสวน ท้องฟ้ารอบตัวมืดสนิทจนแทบจะย้อมทุกอย่างเป็นสีดำ ไฟนีออนจากเสากระพริบเล็กน้อยทำให้ตาพร่าเลือน “เราจบกันดีๆ เถอะนะ ถือว่าผมขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ผมกลับไปคบกับคุณไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อที่คุณบอกว่าคุณจะไม่ทำอีกอะไรนั่นหรอกนะ มันก็แค่… แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว คุณเข้าใจไหม”

“ไม่ ผมไม่เข้าใจ” เขาพูดอย่างดื้อดึง ทำท่าจะเดินเข้ามาจับมือผมอีกรอบ ผมจึงรีบถอยกรูดหนี “ทำไมล่ะ ออสติน ผมทำผิดแค่ครั้งเดียว คุณจะไม่ยกโทษให้ผมเลยเหรอ ผมเสียใจจริงๆ ที่ทำแบบนั้นกับคุณ คุณให้ผมทำอะไรผมก็ยอม ขอแค่คุณกลับมา--”

“ไม่ พอเถอะ พอได้แล้ว” ผมตัดบท มองหน้าเขาตรงๆ ขณะพูด “ผมจะไม่กลับไปคบกับคุณอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้บนโลกนี้เหลือแค่คุณกับผม ผมก็จะไม่กลับไปคบกับคุณ มันก็ง่ายๆ แค่นั้น ทำไมคุณถึงต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากด้วยนะ”

ชายหนุ่มมีสีหน้าอึ้งกับน้ำเสียงเด็ดขาดนั้น ผมถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวขึ้นมา กลับถึงห้องเมื่อไหร่ผมจะล้มฟุบกับเตียงทันที โชคดีนะที่หอของผมไม่ได้ไกลจากที่ทำงานนัก และดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้ผมคงต้องหวังพึ่งมันมากทีเดียว

“ผมเสียใจ คริส แต่เราจบกันแล้วจริงๆ” ผมพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเดินต่อ

ผมไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่านัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นวาววับหรือเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ถ้าตอนนั้นผมเลือกย้อนกลับไปได้ ผมจะมองเขาให้มากกว่านี้ ว่าภาพใบหน้าของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน

ใต้แสงไฟนีออนที่ส่องลงมาเป็นแบบไหน แต่น่าเสียดายที่ผมหันหลังให้เขา จึงไม่อาจมองเห็นสัญญาณเตือนภัยนั่นและระวังตัวเองได้

ถ้าผมรู้ตัวสักนิดในตอนนั้นก็คงดี






-------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้วค่าาา >3< ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 13)(100%) P.3 [18/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-06-2017 18:44:54
ที่เล่ามามันยังไม่ถึงจุดที่ทำให้ออสตินมีแผลเป็น (ในใจ) อย่างทุกวันนี้สินะ ของจริงกำลังจะ (ถูกเล่า) มาหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 13)(100%) P.3 [18/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 19-06-2017 03:31:33
กลัวเด้อออออออ
เอาจริงถ้าต้องมีฉากถูกทำร้าย เราจะทนไหวมั้ย  :ling3: :ling3:
กลัวบีบคั้นจิตใจ
แผลในใจออสตินใหญ่มาก แสดงว่าสิ่งที่คริสเตียนทำต้องรุนแรงมาก
ฮือ ไม่อยากจะคิดเลย
 นังคริสเตียน :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 13)(100%) P.3 [18/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 19-06-2017 15:37:20
ที่เล่ามามันยังไม่ถึงจุดที่ทำให้ออสตินมีแผลเป็น (ในใจ) อย่างทุกวันนี้สินะ ของจริงกำลังจะ (ถูกเล่า) มาหรือเปล่า

น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ หึๆๆๆ (?)


กลัวเด้อออออออ
เอาจริงถ้าต้องมีฉากถูกทำร้าย เราจะทนไหวมั้ย  :ling3: :ling3:
กลัวบีบคั้นจิตใจ
แผลในใจออสตินใหญ่มาก แสดงว่าสิ่งที่คริสเตียนทำต้องรุนแรงมาก
ฮือ ไม่อยากจะคิดเลย
 นังคริสเตียน :fire: :fire: :fire:

โอ๋ๆๆ ใจเย็นๆน้าาา ออสตินไม่เป็นไรหรอก นางเข้มแข็ง แถมตอนนี้มีไซม่อนแล้วด้วย 55555
ต้องไม่เป็นไรสิ! //แต่ตอนนั้นคงไม่ไม่เป็นไรสินะ - -;;;
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 13)(100%) P.3 [18/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 19-06-2017 16:45:39
เศร้าจังค่ะ แต่ออสตินเข้มแข็งมากๆเลย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 13)(100%) P.3 [18/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 20-06-2017 18:48:54

บทที่ 14


 
ไซม่อนส่งข้อความมาหาผมในตอนเช้า ถามไถ่ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง ผมยังรู้สึกสะลึมสะลืออยู่ ตายังเปิดไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะพยายามเบิกมันกว้างขึ้นเพื่อจะได้มองหน้าจอแล้วพิมพ์ตอบเขาไป
 

Simon McNair: อาการเป็นยังไงบ้าง ออสติน

 
ข้อความที่ว่านั่นส่งมาเมื่อสามชั่วโมงก่อน ก็ประมาณตีห้าสินะ

 
Austin Gardner: ดีขึ้นมากแล้วครับ

 
ผมพิมพ์ตอบไปพร้อมกับวางมือถือลงกลับที่เดิมแล้วลุกจากเตียงไปอาบน้ำ หากยังไม่ทันจะได้ผละมือออก เสียงตอบจากหน้าแชทนั่นก็ดังขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้งอย่างตกใจ มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ไซม่อนตอบกลับข้อความนั้นมาเรียบร้อยแล้ว

 
Simon McNair: ค่อยยังชั่วหน่อย ผมกำลังนึกเป็นห่วงเลย

 
เฮ้ย! ตอบกลับมาเร็วขนาดนี้… นี่หมอนี่ไม่ต้องนอนหรือพักผ่อนบ้างหรือไง

 
Austin Gardner: นี่คุณได้นอนหรือยังครับเนี่ย

 
ผมพิมพ์ถามกลับอย่างเป็นห่วง ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงนิดๆ แล้ว แล้วตอนที่เขาทิ้งผมไปทำงานก็เที่ยงคืนกว่า ยังไม่นับวันที่แสนยาวนานที่ต้องเดินไปต่อแถวขึ้นเครื่องเล่นทั้งวันเมื่อวานอีกนะ เดี๋ยวร่างกายก็ช็อดกันพอดี

ไซม่อนไม่ได้ตอบกลับข้อความกลับมา เขาเปลี่ยนเป็นโทรหาผมด้วยโปรแกรมแชทที่ว่านี้แทน ผมร้องเหวอออกมานิดหนึ่งด้วยความตกใจ นี่ผมจะขวัญอ่อนอะไรขนาดนี้วะเนี่ย อีกหน่อยมีแมลงวันบินตัดหน้าไปสักตัวผมคงเป็นลมสลบเหมืดแหง

เขาโทรมาหาโดยที่ขอให้ผมเปิดกล้องด้วย ผมรีรอนิดหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มสีเขียวเพื่อตอบรับอีกฝ่าย

ใบหน้าของไซม่อนปรากฎขึ้นมาให้เห็นบนหน้าจอ เขาวางโทรศัพท์ไว้บนที่วางซึ่งติดอยู่กับคอนโซลรถอีกที หูเสียบสายหูฟังแบบบลูทูธเอาไว้ เขาส่งยิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนจะเบือนสายตากลับไปมองถนน

“อรุณสวัสดิ์ครับ ออสติน”

สีหน้าของเขาอิดโรยตามประสาคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน น้ำเสียงของเขาก็เช่นกัน ผมที่ตอนนี้หายไข้ดีจนเกือบจะเป็นปกติแล้วเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ

“ทำไมคุณยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกครับ หน้าคุณดูโทรมมากเลยนะ ถ้าป่วยขึ้นมาจะทำยังไง”

น้ำเสียงเอะอะของผมเรียกรอยยิ้มให้คุณในหน้าจอได้เล็กน้อย

“ถ้าผมป่วยจริงก็ดีสิครับ คุณหมอออสตินจะได้คอยพยาบาลให้ผมไง นี่ๆ ถ้าผมขอให้คุณใส่ชุดนางพยาบาลด้วยจะได้ไหมครับ”

“มะเหงกเถอะคุณ” ผมถลึงตาใส่กล้องแม้ว่าตอนนี้สายตาไซม่อนจะจับจ้องอยู่บนท้องถนน ไม่ใช่ที่หน้าผมก็ตาม “ผมชันสูตรศพแน่ะ อยากให้ผมลองผ่าข้างในคุณดูไหมล่ะ”

“โอ๊ย อย่านะครับคุณหมอ ผมกลัวมีดผ่าตัด” เขาแกล้งห่อตัวลง ทำเสียงตื่นๆ อย่างล้อเลียน ผมหัวเราะออกมากับบทสนทนาที่หาใจความสาระไม่ได้ของพวกเรา ยกมือขึ้นปัดผมเป็ดให้กลับลงไปนิดหนึ่ง สภาพเพิ่งตอนนอนนี่ดูไม่ได้เลย

“อ้าว คุณ อย่าปัดมันลงสิ ปล่อยไว้แบบนั้นก็น่ารักดีออก” ไซม่อนว่า ผมชะงักมือไปนิดหนึ่ง หน้าร้อนขึ้นกับคำพูดที่บอกว่า ‘น่ารัก’ ง่ายๆ ของเขา

“นี่! มองอะไรน่ะ ไซม่อน แมคแนร์ ขับรถอยู่ก็มองถนนสิคุณ ใครสั่งใครสอนให้มาเปิดกล้องคุยกันตอนขับรถเนี่ย เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง”

ไซม่อนหัวเราะตอบ นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ว่า “ผมไปบ้านคุณได้ไหม ออสติน”

“หา?”

“จากทางนี้ ผมไปถึงบ้านคุณเร็วกว่าน่ะ” เขาว่าพร้อมกับส่งยิ้มอ้อนๆ มาให้ ยัง ยังจะหันมาทางนี้อีก เดี๋ยวเกิดขับรถไปชนเสาไฟฟ้านะ ผมจะหัวเราะซ้ำ---

อือ… ไม่เอาดีกว่า อย่าให้เกิดอะไรขึ้นไม่ดีกับเขาเลย ผมว่าผมคงรับไม่ไหวหรอก

“ออสติน?” เขาเรียกผมแต่สายตายังจับจ้องไปที่เบื้องหน้า มือสาวพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยอย่างคล่องแคล่ว “ทำไมเงียบไปล่ะคุณ ตกลงผมไปไม่ได้เหรอ”

“มาสิ” ผมว่า “แต่เลิกเปิดกล้องคุยตอนขับรถได้แล้ว ตกลงไหมครับ มันอันตราย”

“ตกลงครับ” เขาว่ายิ้มๆ อย่างเอาใจ “งั้นอีกยี่สิบนาทีเจอกัน ผมวางก่อนนะ”

“แล้วคุณกินอะไรหรือยัง”

แต่อีกฝ่ายกดตัดสายไปก่อนแล้ว

ผมลุกขึ้นจากเตียง จัดการธุระยามเช้าของตัวเองแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้ทั้งตัวเองและคนที่กำลังจะมาถึง แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบจับอะไรเสียงรถของไซม่อนก็ตรงมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว มาเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ นึกว่าจะอีกสักพัก

“ไซม่อน” ผมเรียกเขาหลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามา เจ้าหน้าที่หนุ่มดูอ่อนล้ากว่าที่เห็นในกล้องเมื่อครู่เสียอีก เขาเลื่อนมือมากอดคอผมจากด้านหลังขณะที่ผมปิดประตูบ้าน ผมไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจเมื่อไซม่อนเริ่มไซร้คางลงมาบนลำคอ มันจั๊กจี้เล็กน้อยจากเคราที่ขึ้นแซมมา โอ๊ย แต่พอมันถูมาแรงๆ แบบนี้ก็ชักจะเจ็บแล้วนะ

“คิดถึงคุณจัง ออสติน” เขาว่าเหมือนคราง ผมพยายามผลักตัวเขาที่ทิ้งน้ำหนักลงมาออก แต่ไอ้บ้านี่ตัวหนักชะมัด

“คิดถึงอะไรล่ะคุณ เพิ่งจะแยกกันไม่ถึงชั่วโมง”

“โอย… ผมไม่ไหวแล้ว” ในที่สุดเจ้าตัวก็พูดเฮือกสุดท้าย ใช้แขนปวกเปียกของตัวเองดึงแขนผมให้ตามเขาขึ้นไปบนชั้นสอง “ออสติน ผมง่วงนอน พาผมเข้านอนหน่อย ผมจะสลบอยู่แล้ว”

ผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เวลาหมอนี่อ้อนแบบนี้นี่น่ารักชะมัด คือมันไม่ใช่เรื่องที่น่า… เอ่อ จะเป็นไปได้เท่าไรเลยนะที่จะเห็นผู้ชายตัวใหญ่อย่างกับหมีทำตัวน่ารักได้ หรือต่อให้คนคนนั้นพยายามจะทำ ภาพที่ออกมาคงไม่น่ารักเท่าที่ควร แต่ยกไอ้หมอนี่ให้เป็นกรณีพิเศษก็ได้

“ที่เอฟบีไอเขามีเจ้าหน้าที่กันไม่พอรึไง” ผมบ่นลอยๆ ยอมให้ไซม่อนวางมือพาดบ่า ทำเหมือนผมกำลังออกแรงลากเขาไปที่ห้องนอน แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวก็ก้าวขาขึ้นมาเองนั่นแหละ ผมลากไอ้หมีนี่ไม่ไหวหรอก “แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนดันโดดงานพาหลานไปเที่ยวเอง เอ้า คุณ ถึงเตียงแล้ว แล้วนี่ให้คนป่วยมาช่วยส่งนอนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

“จริงสิ คุณไม่สบายอยู่นี่นา” เขาพูดเหมือนนึกขึ้นได้ แต่น้ำเสียงดูเสแสร้งมาก

ผมเหวี่ยงร่างของไซม่อนให้ล้มลงบนเตียง เจ้าตัวเริ่มคลานไปมาเพื่อหาตำแหน่งที่นอนสบาย เห็นแบบนี้แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนหมอนี่เหนื่อยจนถึงขีดสุดจะเป็นแบบนี้เองสินะ เห็นแล้วอยากแกล้งชะมัด

“คุณหายดีรึยังครับ ออสติน” เขาว่าพลางพยายามเบิกตามองผม แต่เห็นได้ชัดว่าฝืนมาก คงอยากนอนเต็มแก่จริงๆ

“อือ ยังไงก็สภาพดีกว่าที่คุณเป็นแน่ล่ะ”

“หือ อะไรกัน สภาพผมก็ไม่แย่ขนาดนั้นสักหน่อย แค่เหนื่อยไปนิดเท่านั้นเอง”

อือ… เท่าที่เห็นตอนนี้นี่ก็ไม่ค่อยนิดเท่าไร

“แล้วไม่หิวเหรอคุณ” ผมถาม เลื่อนมือไปลูบเส้นผมสีำน้ำตาลบลอนด์ของเจ้าตัวอย่างเอ็นดู ตลกตรงที่เมื่อคืนเขายังเป็นฝ่ายลูบหัวผมอยู่เลย มาเช้านี้สลับตำแหน่งกันเสียแล้ว

“ผมกินแซนด์วิชมาแล้วครับ ผมต้องนอนจริงๆ” ถึงตรงนี้เขาก็ปิดเปลือกตาลงเต็มที่ เห็นแล้วสงสารจัง ผมนอนเสียจนเต็มอิ่มแล้ว ให้เขาพักบ้างดีกว่า

“ราตรีสวัสดิ์ ไซม่อน” ผมทาบริมฝีปากลงบนเปลือกตาเขา มุมปากของเจ้าตัวยกขึ้นนิดหนึ่ง

“อรุณสวัสดิ์ครับ ออสติน”

“ผมจะทำข้าวเช้าให้ตอนคุณตื่น

“ตอนนั้นคงต้องเป็นมื้อกลางวันแล้วมั้งครับ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

“ขอโทษนะที่พรุ่งนี้ผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาลไม่ได้”

คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ผมเคยส่งตารางการตรวจร่างกายของตัวเองให้เขา แน่นอนว่าไซม่อนจะคอยทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถรับส่งผมตลอดไม่ได้หรอก เขาเองก็มีการมีงานต้องทำ และผมเองก็ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาอะไร

ไซม่อนบอกผมล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาคอยขับรถไปส่งผมได้ไม่ได้วันไหนบ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีที่ต้องปล่อยให้ผมไปเองคนเดียวอยู่ดี

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เรื่องแค่นี้เอง” ผมถอนหายใจออกมายิ้มๆ เลื่อนมือไปลูบหน้าเขาก่อนจะผละออกเพราะเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ “งั้น… ฝันดีนะครับ ผมจะไปทำงานสักหน่อย นอนเยอะๆ ล่ะคุณ”

ไซม่อนพยักหน้า ไม่พูดอะไรตอบ แต่มุมปากยกยิ้มขัน ซึ่งนั่นทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้

ก็ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อเมื่อคืนเขายังเป็นฝ่ายพูดอะไรทำนองนี้กับผมอยู่เลย ตอนนี้สถานะเปลี่ยนเสียแล้ว จะไม่ให้แอบขำได้ไง


 


ผมเดินทางมาที่โรงพยาบาลอันเป็นสถานที่ทำงานเก่าของผม ส่วนที่ผมเคยทำจะอยู่คนละตึกกับอาคารที่ผมต้องมาตรวจร่างกายในวันนี้ โรงพยาบาลเซนต์วิลล์เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเดิม ผู้ป่วยจำนวนมากนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ซึ่งเรียงรายเป็นแถว เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลเดินสวนกันขวักไขว่ คุณหมอในชุดกาวน์คนหนึ่งกำลังก้าวเท้าเร็วๆ ตามนางพยาบาลอีกคนหนึ่งที่นำทางไป แค่เห็นบรรยากาศวุ่นวายนี่ก็ปวดหัวเต็มที่แล้ว ไม่ต้องนึกถึงตอนทำงาน ยินดีต้อนรับสู่่บ้านเก่านะ ออสติน

“คุณหมอการ์ดเนอร์” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ส่งยิ้มให้ผม รับบัตรผมไปคีย์ข้อมูล “มาตามนัดขอคุณหมอกอร์แมนสินะคะ ร่างกายเป็นยังไงบ้างคะ”

“ก็ปกติดีครับ ไม่มีอะไรน่ากังวลเป็นพิเศษ”

“มีไข้หรืออาการท้องเสียในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไหมคะ”

“ท้องเสียไม่มีครับ แต่มีไข้บ้าง”

หล่อนมองผมด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจทันที เป็นอันรู้กันอยู่ว่าถ้าถ้ามีอาการดังกล่าวอาจหมายถึงอวัยวะที่เพิ่งเปลี่ยนถ่ายมาไม่เข้ากับร่างกายของตัวเอง แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น

“คือผมไปตากฝนมานิดหน่อยน่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าร่างกายมันไม่รับหัวใจนี่หรอก” อีกอย่าง ผมก็ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ว่านี่มาหลายเดือนแล้วนะ แล้วที่ผ่านๆ มาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

“ระวังตัวหน่อยสิคะ คุณหมอ เดี๋ยวคุณหมอก็ว่าเอาหรอก เอ่อ ฉันหมายถึงคุณหมอกอร์แมนน่ะค่ะ”

“ลำบากแย่เลยนะ มีคนไข้เป็นหมอด้วยเนี่ย” ผมล้อเลียนหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะตรงดิ่งไปนั่งที่รอสำหรับคนไข้

ผมแค่อยากนั่งรอแล้วก็เดินเข้าห้องตรวจไปเหมือนคนไข้รายอื่นๆ แต่สักพักหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่เข็นเตียงมาให้ผมโดดขึ้นไปนอนบนนั้นจนได้ ผมแทบอยากจะกลอกตากับความเกินเหตุของอะแมนดาให้รู้แล้วรู้รอด ก็รู้หรอกนะว่ายัยนี่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบกับสิ่งที่แพทย์ควรปฏิบัติ แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ ผมบอกไปตั้งหลายรอบแล้วว่าให้เลิกเอาเตียงมารับผมสักที คนไข้คนอื่นๆ ที่เขารอคิวอยู่มองมากันใหญ่แล้วเนี่ย

“ทำไมฉันต้องขึ้นไปนอนเตียงนี่ด้วยนะ” ผมบ่นงึมงำ เจ้าหน้าที่หนุ่มอีกคนเพียงแค่ยักไหล่ เขาสวมผ้าปิดปากอยู่ ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขากำลังยิ้มรึเปล่า

“ถ้าไม่อยากให้ผมอุ้มคุณขึ้นเตียงก็ปีนมาดีๆ เถอะครับ อีกอย่าง คุณหมอกำลังรอคุณอยู่”

เยี่ยมเลย เพื่อนร่วมงานแสนประเสริฐ บางทีก็อดสงสัยไม่ได้นะว่านี่เป็นการแกล้งกันรึเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็ ยัยอะแมนดานี่เป็นหัวโจกแน่ๆ

ผมปล่อยให้อดีตเพื่อร่วมงานที่ตอนนี้กลายมาเป็นคุณหมอผู้ดูแลผมจัดการหย่อนกล้องเข้าไปในรูบนหน้าอกของตัวเอง ผมนอนมองเพดานนิ่งๆ ปล่อยให้อะแมนดาหันไปคุยกับผู้ช่วยหมออีกสองคน ดูเหมือนเจ้าหล่อนกำลังสอนงานอยู่ด้วย ก็ดีที่อาการป่วยของผมสามารถเป็นกรณีศึกษาให้แพทย์ฝึกหัดได้

อะแมนดาซักถามอาการเบื้องต้นของผมอย่างที่ทำมาเสมอหลังจากส่องกล้องดูอวัยวะภายในเรียบร้อยแล้ว ผมเกลียดเวลาที่เขากระตุกเอากล้องนั้นออกมาจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกระตุกเบ็ดกลับเข้ามางั้นแหละ สงสัยจังว่าปลาที่ตกมาหลายร้อยหลายพันตัวทั้งชีวิตจะมีความรู้สึกแบบนั้นไหม แต่มันคงแย่กว่าที่ผมรู้สึกอยู่หรอกมั้ง

“มีไข้สูงงั้นเหรอ” เจ้าหล่อนว่าขณะที่เคาะปากกาลงบนแฟ้มคนไข้อย่างครุ่นคิด “หนักมากไหมคะ”

“ไม่มากครับ กินยา นอนพักคืนเดียวก็หาย” ผมว่า เสริมต่อด้วยว่าจริงๆ เพิ่งจะเป็นเมื่อวานซืนนี้เอง

“ซอร์ร่าบอกฉันว่าคุณไปตากฝนมา” ซอร์ร่าคือหญิงสาวที่ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ

“ครับ ใช่”

“นี่คุณคิดว่าตัวเองร่างกายแข็งแรงมากสินะ”

“ผมก็ไม่ได้อาการแย่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย คราวก่อนคุณเองก็บอกนี่ว่าร่างกายรับอวัยวะใหม่ของผมดี คุณบอกด้วยซ้ำว่าหลังตรวจคราวหน้า ถ้าไม่มีอะไรผิดปกผมก็เริ่มกินแอลกอฮอล์ได้แล้ว”

“มันสำคัญที่ตรงนี้ใช่ไหมคะ” แพทย์สาวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “พวกผู้ชายนี่นะ”

“ก็แค่จิบๆ น่ะ” ผมอ้าง จริงๆ ก็แค่อยากกินไวน์หรือแชมเปญดีๆ กับไซม่อนตามลำพังสักครั้ง ตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมเปิดแชมเปญของตัวเองให้เขา ผมก็ไม่เคยเห็นเขาแตะเครื่องดื่มพวกนั้นให้เห็นอีกเลย คงกลัวว่าผมจะรู้สึกไม่ดี ซึ่งการที่เขาทำแบบนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากกลับมาดื่มได้เร็วๆ จะได้ดื่มกับเขา

“ขอห้ามไว้ก่อนแล้วกันค่ะ คุณเพิ่งมีไข้มา”

“ได้ไง” ผมตีหน้าบึ้งเหมือนเด็กๆ แต่ก็แค่แกล้งทำนั่นแหละ “คุณสัญญาแล้วนะครับ คุณหมอ แล้วผมก็เป็นไข้ที่ดีมาตลอด”

“ด้วยการเอาตัวไปตากฝนแล้วก็ไข้ขึ้นสูงน่ะเหรอคะ” หล่อนว่าพร้อมกับหัวเราะระร่วนอย่างอารมณ์ดี ผมส่งยิ้มให้เจ้าหล่อนนิดหนึ่ง ปล่อยให้อะแมนดาขีดเขียนลงในแฟ้มต่อ “ทำไมคุณไม่เล่าให้ฉันฟังล่ะคะว่านึกยังไงถึงไปตากฝนมา”

“ผมไปสวนสนุกน่ะ แล้วฝนมันตกพรำๆ ตอนยืนต่อแถว” ผมว่า “แล้วคุณก็น่าจะเดาออก ยืนต่อแถวกันมาเป็นชั่วโมงๆ คงไม่มีใครอยากสละสิทธิ์หรอก อีกอย่างหนึ่ง มันก็แค่นิดเดียว ผมแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำตอนมันเป็นละอองลงมา”

“อ้อ ใช่ๆ ฉันนึกออก พวกเครื่องเล่นพวกนี้ไม่รู้เขาจัดระบบกันยังไง ทำไมถึงทำให้รอน้อยกว่านั้นไม่ได้” อะแมนดาว่าก่อนจะชะงักมือไป หันหน้ากลับมามองผมด้วยสายตาอึ้งๆ ปนยินดี “เดี๋ยวนะ…. คุณเนี่ยนะ ไปสวนสนุก ออสติน?”

“ใช่แล้ว” ผมว่า “ผมไปเดทมา”

คราวนี้เจ้าหล่อนเลื่อนเก้าอี้ติดล้อเข้ามาใกล้ผมทันที สีหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้ผมแอบเขินนิดหนึ่ง พวกผูหยิงนี่ชอบเรื่องแบบนี้กันซะจริง

“ไม่เห็นคุณเคยเล่าให้ฉันฟังว่าคบกับใครอยู่”

“ก็กำลังเล่านี่ไงคุณ”

“เขาทำงานอะไรน่ะคุณ แล้วไปเจอกันที่ไหน”

ผมเดาได้อยู่แล้วว่าเจ้าหล่อนต้องถาม ผมกับอะแมนดาถือว่าสนิทกันในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็สนิทกันพอที่ผมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยโดนคริสเตียนโดนข่มขืนให้หล่อนฟังได้ จริงอยู่ที่ว่าคนในโรงพยาบาลนี้รู้เรื่องนี้กันไม่น้อย แต่คนที่รู้มาจากข่าวลือกับคนที่รู้มาจากปากผมน่ะ มันแตกต่างกันนะ

“เขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอน่ะ ชื่อไซม่อน แมคแนร์”

รอยยิ้มของเจ้าหล่อนดูจะเลือนไปนิดเมื่อได้ยินอาชีพของแฟนผม

“พวกถือปืนอีกแล้วเหรอ” หล่อนว่าเสียงเครียด แสร้งทำเป็นหันไปให้ความสนใจกับแฟ้มผมต่อ “คุณนี่ไม่เข็ดจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณหมอ”

“ใช่ว่าตำรวจต้องเลวไปหมดทุกคนเสียหน่อย”

“ใช่ค่ะ ฉันก็รู้ เพียงแต่…” ถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าอีกนิดหนึ่งแล้วจดมือลงไปในกระดาษขยุกขยิก หวังว่าหล่อนคงไม่ได้กำลังสั่งยาระงับประสาทหรืออะไรทำนองนั้นให้ผมอยู่นะ “คุณเจออะไรที่แย่มากๆ มา คุณก็รู้ว่าฉันพูดถึงอะไร”

“คุณรู้จักคนที่ชื่อแบรด แมคแนร์ไหม” ผมหย่อนคำถาม เหลือบมองปฏิกิริยานั้นของแพทย์สาว หากเจ้าหล่อนเพียงแค่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง ผมพยายามประเมินว่าหล่อนแกล้งทำรึเปล่า แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้เหมือนกัน

“แบรด แมคแนร์? เขาเป็นคนในครอบครัวของแฟนคนใหม่ของคุณเหรอคะ? ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จัก”

หืม ไม่มีอาการออกเลยเหรอ หรือว่าอะแมนดาเตรียมรับมือไว้แล้วตอนที่ผมพูดชื่อไซม่อนออกไปครั้งแรกนะ

ผมปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพวกเราทั้งคู่อยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินหมากต่อ

“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมล่ะว่าเจ้าของหัวใจที่ผมได้มาถูกฆ่าตาย ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ”

ได้ผล อะแมนดาชะงักมือลงทันที เจ้าหล่อนเบิกตากว้างขึ้นก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วสาวเท้ามาหาผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“คุณเอาอะไรของคุณมาพูดน่ะ ออสติน คิดจะหลอกถามอะไรจากฉันเหรอ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องนี้เป็นความลับ”

“ผมรู้ มันสมควรจะเป็นความลับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาหล่อนตอบ อะแมนดาดูโกรธและสับสนมากทีเดียว แปลว่าหล่อนรู้ว่าใครเป็นคนบริจาคหัวใจให้ผมอยู่แล้วสินะ ผมน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเชียว “แต่ตอนนี้มันก็ไม่ลับสำหรับผมแล้ว ก็ผู้ชายที่ผมกำลังเดทอยู่ด้วยนี่แหละเป็นคนมาบอกผมเองว่าผมได้หัวใจของพี่ชายเขามา อันที่จริงนะ เขาเข้าหาผมด้วยเหตุผลนั้นด้วยซ้ำ”

“เขาไม่ควรจะรู้เรื่องนั้นสิ”

“อ้อ ใช่ แต่บังเอิญเขาเป็นเอฟบีไอไง คุณจำได้ไหม และไม่ต้องมองหน้าผมแบบนั้น ผมไม่บังเอิญโง่ขนาดมีใครมาพูดอะไรก็เชื่อไปหมดหรอก เขามีจดหมายขอบคุณที่ผมเขียนด้วยลายมือตัวเอง มันเป็นจดหมายที่คุณขอให้ผมเขียนไง จำได้รึเปล่า”

“เขา… ไซม่อน แมคแนร์ใช่ไหมที่คุณพูดเมื่อกี้” อะแมนดาว่าพร้อมกับเคาะปากกาลงแฟ้มในมือเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างสับสนและหงุดหงิด หล่อนขมวดคิ้วชนกันจนแทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว เดาว่ากำลังหัวเสียกับการทำอะไรตามอำเภอใจของไซม่อน ไม่ค่อยแปลกใจหรอก ตอนแรกที่ไซม่อนมาที่บ้านผม ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน “ฉันจะต้องไปคุยกับเขา คุณมีช่องทางติดต่อหรืออะไร--”

“ไม่ ไม่ๆๆ ผมไม่ได้อยากให้คุณไปว่าอะไรเขา ผมแค่รู้สึก… เสียใจนิดหน่อยที่คุณไม่ได้บอกผมเรื่องเจ้าของหัวใจคนก่อน คุณทำเหมือนกับว่าผมได้หัวใจมาเพราะผู้บริจาคร่างกายเจออุบัติเหตุจนเสียชีวิต ผมรู้ว่าคุณอยากให้ผมสบายใจเรื่องนั้น แต่ถึงยังไง เราก็เป็นเพื่อนกัน---”

“เดี๋ยวๆๆๆ ออสตินคะ เดี๋ยวก่อนนะ” แพทย์สาวยกมือขึ้นห้ามผม หล่อนหลับตาลง สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งเพื่อรวบรวมสติ และเมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่ หล่อนก็จ้องตาผมเขม็ง “คุณบอกฉันว่าเจ้าหน้าที่ไซม่อน แมคแนร์บอกคุณว่า… หัวใจที่คุณได้มาเป็นของแบรด แมคแนร์… ซึ่งเป็นคนในครอบครัวของเขางั้นเหรอ?”

“เป็นพี่ชายน่ะ” ผมว่า “แบรดเป็นพี่ชายของไซม่อน แล้วก็ใช่ เขาบอกผมแบบนั้น”

อะแมนดามีท่าทีสับสน ดูหล่อนเป็นกังวลมากๆ ที่ผมดันมารู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้ ยิ่งกับคนที่เคร่งธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเจ้าหล่อนด้วยแล้ว… แต่ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย ผมไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยนี่

“นี่มันบ้ากันไปใหญ่… บ้ากันไปใหญ่แล้ว” หล่อนพึมพำอย่างร้อนรน และนั่นทำให้ผมเป็นกังวลขึ้นมาจริงๆ ผมรู้ดีว่าหล่อนมีความลับที่ต้องระวังไม่ให้คนไข้รู้ มันหนักหนาพอๆ กับความลับระหว่างหมอกับคนไข้นั่นแหละ แต่… อะไรบางอย่างกำลังบอกผมว่าเรื่องนี้มันแตกต่างไปจากนั้น แค่ผมรู้ว่าตัวเองได้หัวใจของใครมา ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์อะไร

“อะแมนดา…”

“คุณต้องเลิกติดต่อกับเจ้าหน้าที่คนนั้น” หล่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเสียจนผมยังต้องอึ้งไป นึกภาพตามคำที่หล่อนพูดแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างไรชอบกล “เลิกกับเขาซะ ออสติน ฉันว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล คุณเพิ่งคบกับเขาใช่ไหม ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอกนะ เลิกยุ่งกับเขาเถอะ คุณควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบแล้วก็พักอยู่ในบ้านของตัวเอง”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเจือแวหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง อยู่ๆ ความรู้สึกที่ว่าคนรอบตัวมีเรื่องปิดบังผม… ทั้งไซม่อนก็ดี อะแมนดาก็ดี… ความคิดนั่นทำให้ผมหัวเสียขึ้นมาทันที ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในกันด้วย “คุณกำลังบอกให้ผมเลิกกับแฟนที่เพิ่งคบกันหมาดๆ เนี่ยนะ? ตลกแล้ว อะแมนดา ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก นี่มันไร้เหตุผลชะมัด”

“เขามันตัวอันตราย ออสติน” หล่อนพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้ถึงทีที่ผมต้องชะงักลงไปบ้างแล้ว ผมถามต่ออย่างสับสนไม่ต่างจากแพทย์สาวตรงหน้าทันที

“ผมนึกว่าคุณไม่รู้จักไซม่อน แมคแนร์เสียอีก”

“อ้อ ไม่หรอก ฉันไม่รู้จักเขาหรอกค่ะ”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นตัวอันตราย”

หล่อนมองหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ผมเพิ่งถาม กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะตอบกลับมากระท่อนกระแท่น

“ก็ดูสิ่งที่เขาทำกับคุณสิ แค่ฟังคุณพูด ฉันก็ประเมินได้แล้ว”

“ยังไงครับ? ที่เขามาบอกผมว่าผมได้หัวใจของพี่ชายเขามาน่ะเหรอ? ผมรู้ว่าเขาก็ทำผิด แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรถึงขนาด---”

“นี่คุณเชื่อในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ เหรอ ออสติน การ์ดเนอร์” หล่อนหันขวับกลับมา น้ำเสียงเหลืออด “ที่เขาบอกว่าหัวใจที่คุณได้ไปเป็นของพี่ชายเขาน่ะ แค่เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไม่ได้หมายความว่าเขาจะโกหกคุณไม่ได้นะคะ แล้วคุณนี่ยังไง หูเบาอะไรขนาดนี้ เป็นถึงหมอนิติเวชแท้ๆ คุณน่าจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นความลับขนาดไหน”

“แต่ไซม่อน--” ผมอ้าปากจะพูดตอบโต้ แต่เหมือนหญิงสาวตรงหน้าสติขาดผึงไปแล้วขณะร่ายยาวต่อด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

“แล้วยังไง คุณจะบอกอะไรฉันอีก ถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนอื่นมามาบอกว่าคุณมีหัวใจของพ่อผม แฟนผม หรือน้องผม คุณก็จะเชื่อเหมือนกันหรือเปล่า หรือยังไง หรือเพราะคนนี้พิเศษ คุณก็เลยยอมเชื่อในสิ่งที่เขาบอกโดยที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นๆ เลย”

“แต่… แต่เขามีจดหมาย” ผมอึกอัก ตกใจไม่น้อยที่เห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของตัวเองเป็นแบบนี้

อะแมนดาหันหน้าขวับกลับมามองผมด้วยสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคือง แต่หล่อนกำลังโกรธใครล่ะ โกรธผมเหรอ?

แพทย์สาวถอนหายใจเสียงดังเฮือก กระแทกปึกเอกสารกับขอบโต๊ะเพื่อทุกแผ่นอยู่ในระดับเรียบเสมอกัน หล่อนสบตาผมตรงๆ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จะหาว่าชั้นยุแยงหรือหาเรื่องให้พวกคุณแตกคอกันก็ได้นะคะ ออสติน แต่ที่ฉันพยายามพูดอยู่นี่ก็เพราะฉันหวังดีกับคุณ คุณเป็นเพื่อนฉัน คุณเป็นคนดี แล้วคุณก็เคยเจอเรื่องแย่ๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมาแล้ว ฉันไม่สนใจจดหมายห่าเหวอะไรนั่นหรอกค่ะ ออสติน ฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันจะเป็นของจริงรึเปล่าฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่ฉันรู้คือ… แทบไม่มีใครรู้เรื่องหัวใจของคุณ มีคนจำนวนน้อยมากจริงๆ ที่รู้เรื่องนี้ ต่อให้แฟนใหม่คุณเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องนี้” 

“แต่… งั้น… เขาจะโกหกผมทำไมล่ะ” ผมพึมพำอย่างสับสน มองเห็นความเห็นใจจากแววตาหญิงสาวตรงหน้าวูบหนึ่ง หากวินาทีต่อมามันก็กลับไปแข็งกร้าวตามเดิม

“ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอกค่ะ ออสติน แต่ถ้าคุณไม่ได้หลงพ่อเอฟบีไอคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นล่ะก็… ฟังที่ฉันพูดไว้หน่อยก็แล้วกัน”

“ฟังที่คุณพูดเหรอ…” ผมว่าต่อเสียงแผ่ว สับสนไปหมดแล้วกับสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ในตอนนี้

อะแมนดากำลังเตือนผมเรื่องไซม่อนอยู่อย่างนั้นเหรอ แปลว่าหมอนั่นโกหกผมเรื่องหัวใจนี่จริงๆ ใช่ไหม

แล้ว… แล้วเขาจะโกหกผมเรื่องนั้นไปทำไมกันล่ะ?




---------------------------------------------
Talk: ขอแจ้งเรื่องการอัพนิยายนะคะ ต่อไปนี้เราคงอัพสัปดาห์ละครั้งแต่เป็น100%ทุกครั้งแล้ว ส่วนเรื่องวันที่จะมาอัพยังไม่กำหนดแน่นอน แต่กำลังคิดไว้ว่าเป็นช่วง ศ. ส. อา. ค่ะ ถ้ากำหนดชัดเจนแล้วจะแจ้งทุกคนอีกเนอะ นอกเหนือจากวันที่เราจะมาบอกทุกคน เราอาจจะมีการรีอัพนิยายบ้างในวันอื่นๆ ยังไงก็อย่าเพิ่งรำคาญกันก่อนน้า >_< ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆ นะคะ!
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 14)(100%) P.3 [20/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-06-2017 19:11:37
เอ้า ยังไงกันล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 14)(100%) P.3 [20/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 21-06-2017 01:52:07
ว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องไม่ง่าย
เริ่มรักก็จะให้เลิกรักมันยาก แต่หลายอย่างน่าสงสัยจริงๆแหละ
ขนาดเราเอะใจไว้แล้ว พอมาอ่านจริงๆก็แอบตกใจ
ตอนนี้อยากให้ออสตินใจเย็นๆ แล้วไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อน
อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเด้อ กังวลจริงๆ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 14)(100%) P.3 [20/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 25-06-2017 14:36:56
เราไม่ไว้ใจไซม่อนมาแต่แรกแล้วววว โอ้ยยยยยยย คุณหมอหญิง ช่วยเคาะสติออสตินทีค่าาา :serius2:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 14)(100%) P.3 [20/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-06-2017 15:10:23
บทที่ 15


ถ้าเกิดว่าไซม่อนโกหกผมเรื่องหัวใจของแบรด งั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกำลังปกปิดความเชื่อมโยงระหว่างแบรดกับคริสเตียนสิ?

ผมนั่งคิดพิจารณาเรื่องนี้ เป็นสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวผมตั้งแต่เมื่อวานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล หมุนปากกาในมือ เลื่อนสายตามองหน้าจอที่เขียนงานค้างเอาไว้อย่างเหม่อลอย

งานของผมไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยสักนิดทั้งที่ผ่านมาเกือบสองชั่วโมง ลมเย็นๆ ที่มีกลิ่นของทะเลพัดโชยเข้ามาจากทางหน้าต่างชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมมากเท่าไรหรอก

ผมตัดสินใจปิดไฟล์งาน ปิดคอมพิวเตอร์ลงอย่างยอมแพ้ ต่อให้นั่งจ้องมันไปอีกครึ่งวันก็ไม่มีอะไรโผล่มาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันหรอก ในเมื่อรู้ตัวตั้งแต่ตอนนี้ก็หยุดทำเสียเลยดีกว่า

ผมเดินไปหยิบกล่องที่ครั้งหนึ่งเคยขยาดจนไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องขึ้นมาวางบนโต๊ะกินข้าวใกล้ๆ กับห้องครัว เปิดฝาออกแล้วหยิบข้าวของทุกอย่างออกมาวางเรียง

สร้อยทองคำขาวที่มีจี้ห้อยคอเป็นรูปดอกไม้ประดับเพชร นาฬิกาเรือนแพง รูปถ่ายของแบรดและครอบครัวที่คงถ่ายมานานหลายปีแล้ว พยายามนึกถึงความเชื่อมโยงของของสามชิ้นนี้แต่ก็ยังนึกไม่ออก

อย่าว่าแต่ผมเลย ขนาดพวกตำรวจยังไม่ได้อะไรจากไอ้ของพวกนี้ ไม่มีลายนิ้วมือ ไม่มีอะไรที่จะสืบสาวต่อไปได้จากตรงนี้ เหมือนเผชิญหน้ากับทางตัน

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจขณะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง ข้างๆ โน้ตบุ๊คที่ถูกปิดพับครึ่งเรียบร้อยมีรูปถ่ายใส่กรอบอย่างดีซึ่งวางอยู่ เป็นรูปของผมกับไซม่อนแล้วก็แดนตอนที่ไปสวนสนุกด้วยกัน พ่ออาคนดีอัดให้หลานเก็บไว้แล้วก็เผื่อแผ่มาถึงผมด้วย ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ ถ้าไม่ติดตรงที่เจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรกำลังปิดบังผมอยู่ล่ะก็ ความน่ารักอาจจะฉายชัดกว่านี้ก็ได้

“นายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่เหรอ ไซม่อน” ผมงึมงำ “แล้วนายจะทำแบบนั้นทำไมกัน มีเหตุผลยิ่งใหญ่อะไรนักหนา ฮะ?”

แต่ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ในรูปก็ไม่ตอบ ตามปกติรูปภาพก็ไม่พูดตอบใครอยู่แล้ว

ไร้สาระชะมัด

ผมตัดสินใจเดินขึ้นบ้านไปอีกรอบเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจบ้านแล้วจึงเริ่มกดเบอร์ไปยังศูนย์ให้บริการรถแท็กซี่ ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานอยู่แล้ว ออกไปหาอะไอย่างอื่นทำดีกว่า

ผมขอให้คนขับพาไปที่สถานีตำรวจซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง จากบ้านผมกว่าจะไปถึงนั่นก็ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที ระยะทางก็เรื่องหนึ่ง สภาพการจราจรที่ค่อนข้างแน่นขนัดก็อีกเรื่องหนึ่ง

ผมปล่อยให้ความคิดของตัวเองลอยวนเวียนตลอดทางที่อยู่บนรถ กำลังขบคิดความเป็นไปได้หลายๆ อย่างของปริศนาที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้

ถ้าสมมติว่า… ถ้าเกิดไซม่อนโกหกผมเรื่องหัวใจจริงๆ ถ้าเกิดหัวใจที่ผมได้มานี่ไม่ใช่ของแบรด งั้นก็แปลว่าความเกี่ยวโยงระหว่างแบรดกับคริสเตียนก็จะหายไปงั้นเหรอ?

ก็ไม่… ไม่ใช่อีกอยู่ดี ทุกอย่างมันเหมาะเจาะเกินไป ลงตัวเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ

ผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเมื่อคิดว่าไซม่อนกำลังปิดบังอะไร… หรือถึงขั้นโกหกเรื่องใหญ่โตอย่างเรื่องหัวใจเอาไว้

“ถึงแล้วครับ คุณผู้โดยสาร” ผมไหวตัวนิดหนึ่งอย่างตกใจ ก่อนจะจ่ายเงินให้คนขับ ให้ทิปตามธรรมเนียมแล้วจึงลงจากรถ

อาคารที่ผมมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าใหญ่โตหลายสิบชั้น ตัวอาคารใหม่เอี่ยมทั้งภายในและายนอกเพราะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว พื้นหินอ่อนและการตกแต่งภายในที่เน้นสไตล์เรียบหรูดูเหมาะกับยุคใหม่ อาคารนี้ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่สถานีตำรวจเก่าที่อยู่ถัดจากตึกนี้ไปสองซอย ตอนนี้อาคารนั้นถูกปิดใช้งานไปแล้วหลังจากถูกใช้งานมากว่าสามสิบปี

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมหลังเคาน์เตอร์เอ่ยปากถาม ผมยื่นใบขับขี่ให้หล่อนทันทีอย่างรู้ขั้นตอน

“ผมมาหาเจ้าหน้าที่ฮันนาห์ แลนดี้ครับ”

“มีธุระอะไรกับเจ้าหน้าที่แลนดี้คะ?”

“ผมมาถามความคืบหน้าของคดีตามหาคน คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

“สักครู่นะคะ” หล่อนว่าพร้อมกับผลุบหายไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อติดต่อหมายเลขภายใน

ผมกวาดตามองรอบๆ ผู้คนเดินขวักไขว่สวนกันไปมาในสถานที่แห่งนี้ ทั้งคนในเครื่องแบบ ประชาชนที่มาร้องเรียน เจ้าหน้าที่จากแผนกต่างๆ ผมเห็นตำรวจหิ้วกล่องโดนัทเดินลิ่วๆ ตรงไปที่ลิฟต์ด้วย อดยิ้มไม่ได้เลยแฮะ ต่อให้เวลาจะเปลี่ยน สถานที่ทำงานจะเปลี่ยน แต่ตำรวจนี่ต้องคู่กับโดนัทจริงๆ

“ขอโทษที่ให้รอค่ะ” หล่อนว่า เรียกความสนใจของผมกลับไป “ขออภัยด้วยนะคะ คุณการ์ดเนอร์ แต่วันนี้เจ้าหน้าที่แลนดี้จับเครื่องบินไปนิวยอร์กตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ คงจะกลับมาอีกทีวันศุกร์”

“อ้าว” มาเสียเที่ยวเลยแฮะ

“มีอะไรจะฝากไว้ไหมคะ”

“คือ… ถ้ายังไงฝากบอกให้ติดต่อมาหาผมหน่อยได้ไหมครับ หรือยังไงขอเบอร์---”

“เกรงว่าทางเราจะให้เบอร์ของเจ้าหน้าที่ไม่ได้นะคะ”

ก็เดาไว้งั้นแหละ อันที่จริงผมเคยมีเบอร์เธอนะ แต่มันหายไปตอนไวรัสกินเจ้าโทรศัพท์ซังกะบ๊วยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นั่นเป็นเบอร์ที่หล่อนเต็มใจให้ผมเอง แต่ผมไม่คิดจะเซ้าซี้หรอก ยังไงระเบียบก็ต้องเป็นระเบียบ

“ถ้าอย่างนั้น รบกวนให้เธอติดต่อมาหน่อยแล้วกันครับ”

“รบกวนกรอกรายละเอียดตามนี้ด้วยค่ะ”

ผมเขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร อันเป็นธรรมเนียมแสนจะน่าเบื่อแต่จำเป็นลงในกระดาษใบนั้น หญิงสาวตรงหน้าทำหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ไม่รู้หรอกนะว่าทางนี้จะติดต่อไปหาคุณไหม แต่ยังไงก็ลองดูแล้วกัน’ บางทีก็นึกอยากให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์พยายามเก็บความรู้สึกที่หน้ากันบ้าง ไม่ว่าจะประชาสัมพันธ์ที่ไหนก็เถอะ

“ขอบคุณครับ ฝากบอกเธอด้วยว่านี่เป็นเรื่องด่วนจริงๆ”

“แล้วทางเราจะบอกให้ค่ะ”

ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงก็รู้ว่านั่นเป็นคำโกหก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

ผมเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกเซ็งสุดขีด โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสั่น ผมหยิบมันขึ้นมามองหน้าจอแล้วต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ นี่เป็นเบอร์ของที่ทำงานเก่าผม อย่างน้อยที่ทำงานเก่าซึ่งสั่งพักงานคุณก็คงไม่โทรมาพูดสวัสดี สบายดีไหมกับคุณทุกวันแน่ล่ะ

“ฮัลโหลครับ” ผมกรอกเสียงลงไป

“เฮ้ ออสติน” เสียงหัวหน้าที่แสนจะคุ้นเคยดังผ่านลำโพงมา “เป็นยังไงบ้าง นี่ผมโทรมารบกวนอะไรคุณรึเปล่าเนี่ย”

“อ้อ ไม่ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรพิเศษ” ไม่ได้ทำตั้งแต่โดนสั่งพักงานนั่นแหละ

“เหรอ แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนคุณอยู่ข้างนอก”

“อ้อ ครับ พอดีมาทำธุระในเมืองนิดหน่อย แต่เสร็จแล้วล่ะครับ หัวหน้ามีอะไรรึเปล่า”

“เอ้อ ร่างกายคุณเป็นยังไงบ้าง คุณสบายดีไหม”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความแปลกใจอีกครั้ง นี่ตกลงโทรมาเซย์เฮลโหลแล้วก็ถามไถ่สุขภาพกันจริงสิ?

“ก็… สบายดีครับ ดีขึ้นมากถ้าเทียบกับตอนที่เพิ่งผ่าตัดใหม่ๆ พักฟื้นมาก็นานแล้ว น่าจะกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วๆ นี้”

“อ้อ งั้นเหรอๆ เยี่ยมไปเลย นั่นถือเป็นข่าวดีนะ”

“ขอบคุณครับ” ผมพูดแล้วทิ้งช่วงเงียบเพื่อรอการตอบรับจากปลายสาย รู้ดีว่าการเกริ่นหัวข้อสนทนายุติลงตรงนี้

“เอ้อ ผมกำลังคิดอยู่ว่าคุณจะพอมาช่วยงานที่โรงพยาบาลเราได้ไหม”

ถ้าผมเลิกคิ้วได้สูงกว่าที่ทำไปตอนแรก ผมคงทำไปแล้ว แต่ผมก็ทำได้แค่เลิกคิ้วในระดับเดิมด้วยความประหลาดใจ ก็ตอนนี้ผมถูกสั่งพักงานอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วอยู่ๆ จะโทรมาให้ผมกลับไปทำงานเนี่ยนะ?

“คือ… ผมก็รู้ว่าสภาพร่างกายคุณมันไม่เหมือนเดิม แล้วคุณก็ถูกสั่งพักงานอยู่ตอนนี้” ปลายสายว่าราวกับเข้าใจความเงียบที่เกิดขึ้นจากผม “แต่เรากำลังคิดจะจ่ายให้คุณเป็นรายชั่วโมงน่ะ แล้วก็แค่งานนี้ สั้นๆ เท่านั้นเอง งานมันค่อนข้างด่วนน่ะ แล้วคนของเราก็งานล้นมือ”

ผมพอจะเดาสาเหตุนั้นได้ มีอดีตเพื่อนร่วมงานผมคนหนึ่งเพิ่งลาออกไปเพราะจะย้ายไปอยู่ที่รัฐอื่น นั่นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมโดนตามตัวอยู่นี่

“คุณคิดว่าพอจะมีเวลามาช่วยเราได้ไหม แล้วร่างกายคุณจะไหวรึเปล่า”

“ผมไปได้ครับ เดฟ” ผมว่า ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “จะให้ผมไปตั้งแต่ตอนนี้เลยไหม อาจจะต้องใช้เวลาเดินทางสักชั่วโมง รถติดมากเลยให้ตาย”

“ได้ๆ ถ้าคุณสะดวกล่ะก็มาเลย เดี๋ยวเรามาคุยเรื่องสัญญาระยะสั้นนี่กัน ส่วนพวกเครื่องแบบ… อืม เรามีทุกอย่างอยู่ในล็อกเกอร์คุณอยู่แล้วนี่ ใช่ไหม หรือถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวผมจะช่วยดูให้”

“ขอบคุณครับ งั้นอีกสักชั่วโมงเจอกัน” ผมว่าก่อนจะกดตัดสาย

เดินเข้าร้านซับเวย์เพื่อหาข้าวกลางวันติดมือก่อนจะตรงดิ่งไปเรียกแท็กซี่ ออกมาจากบ้านไม่ทันไรก็มีงานเข้าเลย แต่ผมไม่รังเกียจหรอก อันที่จริง ผมอยากจะกลับไปทำงานของตัวเองให้ได้ใจจะขาด





 


กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลลอยเข้ามาแตะจมูก มันเหมือนกลิ่นยาผสมกับแอลกอฮอล์อ่อนๆ ให้ความรู้สึกอนามัยพอๆ กับที่ชวนให้รู้สึกสยองหรือสลดหดหู่ตามมาด้วย ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะประสบพบเจอเหตุการณ์แบบไหนในโรงพยาบาลมา และเหตุการณ์ไหนจะฝังลึกอยู่ในใจคุณที่สุด

พื้นที่ทำงานของผมถูกแยกออกมาจาตึกหลักที่เอาไว้รักษาพวกคนไข้ อันที่จริงการทำงานของเรามันก้ำกึ่งระหว่างโรงพยาบาลกับสำนักงานชันสูตรศพ คือเหมือนว่าที่จริงแล้วเนื้องานจะมาจากทางฝั่งของสำนักงานชันสูตรศพมากกว่า แต่สำหรับคนที่ทำงานจะเซ็นสัญญาว่าจ้างผ่านทางโรงพยาบาล ก็แค่ความยุ่งยากซ้ำซ้อนของระบบเท่านั้นล่ะนะ

“เฮ้ ออสติน” เดวิด รอยล์ผู้เป็นคนโทรตามเขาเข้ามาทักทาย สีหน้าเขาดูโทรมเล็กน้อยเหมือนคนอดนอน “ดีจังที่คุณมาได้ กำลังต้องการกำลังเสริมเลย”

“หลายคดีเหรอครับ ช่วงนี้” ผมถามกลับ ก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะโล้นๆ สีขาวที่มาคู่กับเก้าอี้สองตัว โซฟายาวโทรมๆ ที่อยู่ถัดไปและตู้เย็นอีกบานสำหรับตุนข้าวของยามดึก

ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าคิดถึงเสียจริง

ผมกับรอยล์ใช้เวลาครู่หนึ่งในการเซ็นสัญญาที่จะให้เงินเป็นรายชั่วโมงที่ว่า งานของผมมารอท่าอยู่แล้ว และมันก็นอนแอ้งแม้งให้ผมไปจัดการผ่า ชันสูตร พิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยปฏิกิริยาทางเคมีหรือจะเรียกไงก็แล้วแต่

ผมเดินสวนกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง แม็กซ์ ชู เขาชายหนุ่มชาวอเมริกาเชื้อสายเอเชียที่ค่อนข้างช่างพูด เจ้าตัวเลื่อนมือมาตบบ่าผมก่อนจะพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ

“เฮ้ ว่าไง ออสติน เดฟเป็นคนตามนายให้มาดูศพล่าสุดล่ะสิ ดีแล้ว ฉันกำลังคิดอยู่ว่าอาจจะต้องอยู่โยงทั้งคืนถ้าไม่ได้ใครมือดีๆ มาช่วย ว่าแต่ร่างกายนายโอเคแล้วเหรอ หายดีหรือยัง แล้วชีวิตช่วงนี้เป็นไงบ้าง หัวใจที่เพิ่งผ่าตัดไปใช้การดีไหม”

“เฮ้ รู้อะไรไหม” ผมพูดแทรกด้วยน้ำเสียงยียวน “ผมเคยมีแฟนนะ แล้วแฟนผมก็ชอบทีละหลายๆ คำถามแบบนี้ ไม่เคยถามทีละอย่างสักที”

“โอเค ขอโทษด้วยแล้วกันที่อยากรู้อะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันทีเดียว”

“ศพนี้เป็นไง”

“โดนข่มขืนแล้วฆ่าน่ะ”

ผมหันขวับกลับไปมองคนพูดทันที ชูทำหน้าอึกอักนิดหนึ่ง เขารู้เรื่องที่ผมเคยโดนข่มขืนมา แล้วก็รู้ด้วยว่าผมไม่นึกอยากทำงานที่มาจากคดีแบบนี้เท่าไรนัก หากชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียก็ยักไหล่ในที่สุด

“ช่วยไม่ได้นี่หว่า งานของพวกเรามันเลือกไม่ได้นี่ ถูกไหม”

อืม ก็จริงของเขาแหละนะ

“เฮ้ คิดในแง่ดีสิ อย่างน้อยนายก็ไม่เจอแจ็คพอตอย่างฉัน” ชูพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “อาทิตย์ก่อนนะ มีคนไปเจอศพผู้ชายคนหนึ่งระหว่างที่กำลังพยายามโบกรถอยู่กลางพื้นที่โล่งที่ไม่มีบ้านหรือสักอย่างแถวนั้น มาระบุได้ทีหลังว่าเป็นคนเดียวกับที่หายตัวไปเมื่อฤดูร้อนปีก่อน แต่ตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรให้พิสูจน์แล้วนอกจากกระดูก ก็แน่ล่ะ ลองโดนฆ่าแล้วเอาศพไปวางที่โล่งแจ้งแบบนั้นดูสิ พวกสัตว์อะไรแถวนั้นคงจะปล่อยเอาไว้หรอก แล้วนายนึกภาพดิ สัตว์พวกนั้นมันจะเข้าไปทางตูดเพราะเป็นทางเข้าที่นุ่มที่สุด เสร็จแล้วพวกมันก็--”

“ฉันรู้น่า แม็กซ์” ผมพูดอย่างเหลืออด ดีใจขึ้นมาเลยที่กินข้าวกลางวันอิ่มไปพักใหญ่แล้ว หมอนี่จะเอารายละเอียดน่าขนลุกของงานตัวเองมาบอกผมทำไมเนี่ย ต้องแบ่งปันความขนหัวลุกให้ชาวบ้านรับรู้ด้วยใช่ไหม “เอาของรายฉันดีกว่า เป็นยังไงมายังไง”

“ของนาย… จากที่ดูแล้วก็ฟังมา เบื้องต้นน่าจะตายมาได้สักสองวันก่อนแล้ว”

ผมพยักหน้า เดินตามเพื่อนร่วมงานไปยังสถานที่ที่ศพถูกจัดวางอยู่ กลิ่นของมันยังไม่แย่มากถ้าเทียบกับศพที่ตายมานานกว่านี้แบบที่เคยเจอมา ใบหน้าของหล่อนคล้ำ ร่างเปลือยเปล่าที่ถูกผ้าคลุมไว้ซีดขาว บริเวณหน้าท้องโดนแทงทะลุไปอีกฝั่ง

ผมเคยมองดูศพได้ด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับตัวเองเป็นเพียงกล้องถ่ายรูปตัวหนึ่งที่ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกร่วมใดๆ ในการวิเคราะห์และการทำงานของผม ผมใช้เวลาหลายปีนะกว่าจะทำตัวไร้อารมณ์แบบนั้นได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว

“สงสัยหล่อนคงโดนฉุดระหว่างเดินทางกลับบ้าน มันมืดแล้ว แล้วผู้หญิงตัวคนเดียวเดินบนถนนเปลี่ยวๆ ตอนกลางคืนน่ะ ปลอดภัยซะที่ไหน” ชูที่เดินตามมาด้วยตั้งข้อสันนิษฐาน ผมรู้สึกว่ามือไม้ของตัวเองเย็นเยียบขึ้นมาทันที ขอเปลี่ยนศพของหล่อนเป็นกระดูกที่ชูชันสูตรไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแทนได้ไหม?

ผมไล่ชูกลับไปทำงานของตัวเองก่อนจะเริ่มลงมือตรวจศพขั้นพื้นฐาน มองปราดเดียวก็ดูออกว่าน่าจะเสียชีวิตมาสักสองวันแล้ว แผลที่หน้าท้องเหวอะหวะน่าสะอิดสะเอียน บ่งบอกให้รู้ว่าฆาตกรไม่ได้ลงมือแทงแค่ครั้งเดียว แต่คงกระหน่ำแทงซ้ำไปมาอย่างแค้นเคือง หรือไม่งั้นมันก็แค่โรคจิตเฉยๆ เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องหาคำตอบ เป็นหน้าที่ของหน่วยสืบสวนต่างหาก

“อึก…” ผมได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง พยายามสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อควบคุมอาการหวาดหวั่นที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา

หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 14)(100%) P.3 [20/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-06-2017 15:11:00

[ต่อ]



ผมแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังอะไรอยู่ ผมตรวจดูสภาพศพโดยรวมและเริ่มลงมือขีดเขียนลงในแฟ้มที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบราวกับมีผมอยู่เพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ ราวกับว่าศพของหญิงสาวคนนี้ไม่มีใครเหลืออีกนอกจากตัวผม

“เอาล่ะ” ผมพูดกับตัวเองเสียงเบาเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ กัดริมฝีปากล่างนิดหนึ่งตอนตัวเองเริ่มลงมือทำเรปคิต ตรวจดูช่องคลอดและทวารหนัก มันทำให้ผมหดหู่ใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ค้นพบว่าด้านในนั้นยับเยินขนาดไหน

ไม่เพียงแค่นั้น ตรงบริเวณหน้าอกที่อยู่เหนือบาดแผลจากการโดนแทงมีรอยช้ำขนาดใหญ่ปรากฎให้เห็น ผมบังคับให้ตัวเองจ้องมองรอยช้ำนั้นเพื่อที่จะได้เรียกความสนใจของตัวเองให้ไปอยู่ที่อื่นแทน ได้ยินเสียงหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้น มือเริ่มเย็นเฉียบ ทันใดนั้นเองสายตาผมก็ไปสะดุดกับอะไรเข้า เหมือนรอยแผลเล็กๆ ที่อยู่บริเวณข้อพับแขน เหมือนรอยตกสะเก็ด เมื่อกี้ผมไม่ทันดูตรงนี้ให้ละเอียดเหรอ?

ผมขยับแขนของร่างที่ไร้วิญญาณขึ้นมา มองตรงบริเวณใต้รักแร้และก็ได้เห็นกับบาดแผลที่ว่านั่นทันที บริเวณต้นแขนของหญิงสาวผมบลอนด์ที่นอนตัวแข็งเป็นหินคนนี้ถูกสลักตัวเลขห้าหลักด้วยของมีคมประเภทมีด

ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว อวัยวะทุกส่วนของร่างชาวาบ ยังไม่ทันที่สมองจะได้ประมวลผลอะไรไฟที่อยู่บนเพดานทั้งหมดก็ดับวูบลงราวกับรอช่วงเวลานี้อยู่ ได้ยินเสียงของชูโวยวายมาจากที่ใกล้ๆ แต่ช่างห่างไกลเหลือเกินในความรู้สึก เหลือบมองโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มันดับลงด้วยเช่นกัน มือของผมยังไม่ปล่อยแขนของเอ็มม่า เดนนิสออกราวกับใช้มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

อะไร เกิดอะไรขึ้น? ไฟดับงั้นเหรอ? แล้วไอ้ที่ผมเห็นเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน ตัวเลขห้าหลักนั่น

แบบนี้มันก็เหมือนกับ…

“ออสติน” เสียงเรียกของชูดังมาให้ผมได้ยิน ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นไฟทั้งหมดก็กลับมาสว่างไสวเหมือนเดิม ผมหันกลับไปมองเพื่อนร่วมงานที่เดินมาหาผม ผมรีบปล่อยแขนของศพตรงหน้าทันที “ตกใจหมดเลย เห็นนายเงียบไป เป็นอะไรรึเปล่า”

“เป็นอะไรล่ะ ก็แค่ไฟดับเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ” ผมว่า ควบคุมไม่ให้เสียงสั่น กำลังชั่งใจว่าจะบอกชูเรื่องตัวเลขที่เพิ่งเห็นตอนนี้เลยดีไหม แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก เจ้าคนพูดมากก็ตัดบทเสียแล้ว

“ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีล่ะ ไฟมาแล้วด้วย แต่ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ฉันเห็นนะว่าที่ตึกกลางไฟยังสว่างโร่อยู่เลย โคตรจะสองมาตรฐานเลยว่ะ ทางนั้นมีไฟสำรอง มีเครื่องปั่นไฟพร้อม แล้วนี่เห็นทางนี้เป็นอะไร ติ่งที่ไม่มีความสำคัญเท่าฝั่งโน้นเรอะ น่าโมโหชะมัด”

ผมไม่อยากจะค้านว่ามันก็ถูกต้องแล้วที่ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งอาคารกลางก่อน เพราะทางนั้นมีคนไข้เยอะกว่า แต่ก็รู้ดีนิสัยเพื่อนดีว่าเจ้าตัวชอบบ่นไปเรื่อยเปื่อยเลยไม่ได้เปิดปากพูดอะไร ที่สำคัญก็คือ… ไอ้ที่ผมเห็นก่อนหน้านี้

ผมขยับแขนของเอ็มม่า เดนนิสอีกครั้ง พลิกมันขึ้นดูรอยกรีดที่อยู่ใต้นั้น ตัวเลขห้าตัวที่ถูกเขียนด้วยเลือดออกสีซีดเพราะระยะเวลาที่ศพถูกทิ้งเอาไว้

01785

ผมสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไร หรือมันอาจจะไม่มีความหมายใดๆ เลยก็ได้ เหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนที่ฆาตกรตัวเลขอาละวาด มันทิ้งตัวเลขไว้บนตัวศพ แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจความหมายของเลขพวกนั้นจริงๆ และเมื่อฆาตกรคนที่ว่าตายไปแล้วก็คงไม่มีใครจะได้รู้

ถ้ามันตายไปแล้วจริงๆ น่ะนะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของไคล์ทันที เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังอยู่ในหูผมสี่ครั้งจากนั้นจึงมีเสียงกดรับ น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่หนุ่มดูแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่ผมติดต่อไป

“ฮัลโหล ว่าไง ออสติน มีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า”

ผมกลั้นใจไม่โพล่งถามเขาออกไปว่า ‘นายแน่ใจนะว่าเมื่อสามปีก่อน นายฆ่าฆาตกรตัวเลขถูกคน’ เขายังต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเรื่องนี้อยู่เลย และสิ่งที่ผมกำลังจะบอกเขาต้องทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงแน่

“ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมเริ่มเล่าแต่แรก หากอีกฝ่ายดูตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น---”

“เดี๋ยว ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่โดนตามตัวมาช่วยงานชั่วคราวน่ะ ฉันกำลังดูศพสาวผมบลอนด์คนหนึ่ง หล่อนชื่อเอ็มม่า เดนนิส อายุ 27 เพื่อนร่วมห้องหล่อนไปหาตำรวจแล้วบอกว่าหล่อนไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่สองวันที่แล้ว”

ปลายสายเงียบ คงกำลังซึมซับข้อมูล แต่ผมเดาว่าน้ำเสียงตื่นๆ ของผมคงพอทำให้ไคล์เดาสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ได้

“ฉันเจอตัวเลขห้าหลักบนร่างกายหล่อน”

“....ชิบหายเอ๊ย”

ใช่ แน่นอนสิ ฉิบหายกันหมดแน่

“นายตรวจดูศพ---” น้ำเสียงเขาคอนข้างระมัดระวัง “ที่โดนข่มขืนมา”

“อืม ใช่”

ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงเขาอ่อนลง มีร่องรอยความเห็นอกเห็นใจอยู่ในนั้น “นายไม่เป็นไรนะ ออสติน?”

“ไม่เป็นไรหรอก” ผมว่า ได้ยินเสียงตัวเองสูดหายใจดังเฮือกแล้วนึกขัน ตรงไหนที่ไม่เป็นไรกัน มือผมชื้นไปด้วยเหงื่อจนโทรศัพท์เปียกไปหมดแล้ว “นายจะมาดูไหม ไคล์”

“ฉันจะไป อาจจะใช้เวลาสักชั่วโมงกว่าจะถึง มีใครรู้เรื่องนี้รึยัง”

“ยัง ฉันโทรบอกนายก่อน คิดว่านายคงอยากดูด้วยตาตัวเอง… แต่เดี๋ยวฉันต้องบอกแม็กซ์กับเดฟนะ นายก็รู้ว่านี่มันหมายความว่าอะไร”

“ฉันจะรีบไป” เขาว่า จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ผมเองก็เช่นกัน รู้สึกเหมือนน้ำลายเหนียวคอขึ้นมาอย่างประหลาด มองร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาวตรงหน้า รู้สึกถึงความผิดพลาดที่เราทั้งคู่ทำเหมือนกัน “นายโอเคจริงๆ ใช่ไหม ออสติน?”

“อืม” ผมว่า ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ “นายรีบๆ มาเถอะ ฉันเป็นห่วงนายมากกว่าอีกตอนนี้ หลังจากนี้ต้องมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกเป็นพรวนแน่”

“เราจะคุยกันเรื่องนั้นตอนฉันไปถึง”

ฟุบ

“อื๊อ?” ผมเผลออุทานออกมาเมื่อบรรยากาศรอบตัวมืดสนิทลงอีกครั้ง ดูหมือนไฟจะดับอีกแล้ว ดับได้ดับดีจริงๆ สิน่า

“เกิดอะไรขึ้น ออสติน”

“ไฟดับน่ะ เมื่อกี้ก็ดับไปแล้วหนหนึ่ง” ผมพูดเป็นเชิงบ่น ก้าวเท้าไปที่ชั้นวางแบบติดล้อเลื่อนเพื่อดันของเข้าไปด้านในไม่ให้เผลอไปโดนอะไรให้บาดมือเข้า

รอบนี้ไม่มีเสียงโวยวายของชู มีแต่เสียงลมหายใจของผมสลับกับเสียงฝีเท้าของตัวเองสลับกัน

“แล้วไฟสำรองล่ะ?” ปลายสายถามขึ้น แสงจากหน้าจอโทรศัพท์พอจะช่วยให้เห็นภาพตรงหน้าเลือนรางบ้าง อยู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความเงียบที่เข้ามาโอบล้อมทำให้รู้สึกหวาดหวั่นแปลกๆ ผมก้มลงมองพื้นเพื่ระวังไม่ให้ตัวเองไปเหยียบหรือสะดุดอะไรที่ไม่ควรเข้า

“แป๊บหนึ่งนะ” ผมพูดกับคนปลายสาย ละมือถือออกจากหู

ชูอยู่ที่ห้องข้างๆ นี่ ผมควรจะไปหาเขา แต่ปกติหมอนั่นน่าจะโวยวายให้ได้ยินแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงยังเงียบอยู่อีกนะ

“แม็กซ์ นายอยู่---” ผมพูดออกมาได้แค่นั้น มือหนาของใครบางคนปะกบลงบนจมูกกับปากของผมอย่างรุนแรง ผมสะดุ้งสุดตัว พยายามจะส่งเสียงร้องพร้อมๆ กับผลักคนที่อยู่ด้านหลังออก แต่วินาทีถัดมาร่างกายของผมก็อ่อนเปลี้ยด้วยกระแสไฟฟ้าที่กระแทกเข้ามาผ่านร่าง

ความกลัวแล่นวาบเข้ามาทันที ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง ตัวชาไปหมดขณะที่ร่างกายค่อยๆ สูญเสียการควบคุม เซไปตามแรงที่คนด้านหลังผลักให้ลงไปอยู่ในอ้อมแขนเขา

ผมจำความรู้สึกนี้ได้ ความรู้สึกยามที่กระแสไฟฟ้าแล่นปราดเข้ามาในร่าง สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ตอนที่ร่างกายกระตุกอย่างทรมาน แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่โดนผู้ชายคนนั้นเอาตัวไปต่างหาก

ตุบ

ร่างของผมร่วงไปอยู่อ้อมแขนของคนคนนั้นอย่างง่ายดาย ยังพอมีสติรู้สึกตัวตอนที่เขาช้อนร่างของผมอุ้นขึ้นพาดบ่า แต่มันเลือนรางเต็มที ทุกอย่างพร่ามัวไปหมดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว

วินาทีนั้น ผมนึกอะไรไม่ออก สิ่งที่รับรู้เพียงอย่างเดียวคือความกลัวของตัวเอง

ไม่เอานะ… ผมอยากกรีดร้อง อยากอ้อนวอน อยากดิ้นหนี แต่ร่างกายเป็นไปในทิศทางตรงข้าม เรี่ยวแรงทั้งหมดค่อยๆ หายไป แค่กระดิกนิ้วตอนนี้ผมยังไม่มีปัญญาทำด้วยซ้ำ

ไม่เอาแบบนั้นแล้วนะ

แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลงราวกับโทรทัศน์ที่โดนกระชากปลั๊กออกกะทันหัน



 


เสียงพูดคุยของใครบางคนดังแว่วมาให้ได้ยินราวกับมาจากที่ไกลๆ เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นเคยดังผ่านโสตประสาทเข้ามา ผมพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้นเพื่อมองหาคนคนนั้น ฝ้าสีขาวของโรงพยาบาลเป็นอย่างแรกที่ผมได้เห็น สัมผัสของเตียงคนไข้ที่รองรับตัวผมไว้บอกยากว่ามันนุ่มหรือแข็งจริงๆ กันแน่ แสงไฟสาดส่องเข้ามาทำให้ตาพร่าไปหมด อยากจะปิดตากลับลงไปอีกรอบแต่ผมก็ฝืนลืมตาขึ้นมาจนได้

ใบหน้าเคร่งเครียดของไซม่อนปรากฎขึ้นมาให้เห็นแทบจะในทันที เจ้าตัวถลาเข้ามาจนหน้าแทบจะติดกับหน้าผมอยู่แล้ว

“ออสติน” น้ำเสียงร้อนรนทีเดียว “อาการเป็นยังไงบ้างครับ ปวดหัวไหม ให้ผมไปตามหมอ...”

“นี่ คุณ อย่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้คนป่วยขนาดนั้นสิ” รอบนี้เป็นเสียงของไคล์ ผมค่อยๆ หันกลับไปมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แบบพับได้ของโรงพยาบาล

วินเซนต์ เลสเตอร์ที่เป็นทนายฝ่ายตรงข้ามของไคล์นี่นา… เจ้าตัวกำลังกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองด้วยสีหน้าราบเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาเกินเหตุของเขาดูไม่เหมาะกับเก้าอี้นั่นจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ผมถามอย่างงุนงง เห็นไคล์กับไซม่อนหันไปมองหน้ากันอย่างลำบากใจ ไซม่อนเป็นฝ่ายหันกลับมาตอบเสียงเครียด

“คุณโดนใครสักคนจับตัวไป”

“อะไรนะ” ผมถามย้อนอย่างสับสน หากความทรงจำที่โดนชายปริศนาช็อตไฟฟ้าใส่ทะลักเข้ามาในหัวทันทีที่พูดออกไป

ผมตัวชาวาบ หน้าซีดลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกเหมือนอุณหภูมิภายในห้องลดต่ำลงอย่างเฉียบพลัน

“อึก” ผมยกมือขึ้นกอดอก ห่อตัวลงเพราะความหนาวที่น่าจะมาภายในมากกว่าภายนอก ไซม่อนขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมสันแสดงออกว่าเป็นห่วงผมชัดเจน

“คุณไหวรึเปล่า ออสติน เรียกหมอมาดีกว่าไหมครับ”

ผมส่ายหน้าเบาๆ เรียกหมอมาก็เท่ากับว่าผมต้องยุติการสนทนาทั้งหมดนี่ลง ผมหันไปมองไคล์ที่มองมาทางผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่แพ้กัน มองวินเซนต์ เลสเตอร์ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ผมอยากจะเห็นหน้าในช่วงเวลาแบบนี้ ไคล์มาอยู่ที่นี่ก็พอจะเข้าใจได้หรอก แต่ไอ้ทนายเลือดเย็นที่กำลังนั่งเล่นมือถือเหมือนไม่สนใจอะไรใครอยู่นี่มาได้ยังไงวะ

“พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ถ้าจะให้ตอบตรงที่สุด คงต้องบอกว่าขับรถมา” เขาว่าโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำ ผมอ้าปากค้าง นี่ถ้าไม่ใช่ว่าร่างกายยังล้าๆ อยู่คงโดดลงไปถีบหน้าสวยๆ นั่นสักรอบ

“วิน” ไคล์หันไปเอ็ดทนายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตำหนิ ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตอนที่เห็นวินเซนต์เบ้ริมฝีปากนิดหนึ่งเหมือนเด็กที่ไม่ชอบใจที่โดนผู้ใหญ่ดุ นี่ตกลงสองคนนี้ใช่คนเดียวกับที่ไปเชือดเฉือนกันที่ศาลจริงๆ เหรอ

ผมหันกลับไปมองไคล์อีกครั้ง นึกขึ้นได้ว่าเขามาทำไมที่นี่ จริงสิ… เรื่องรอยกรีดที่อยู่ใต้แขนของเอ็มม่า เดนนิส ผมต้องให้เขาดูศพ

“แล้ว… ศพ…” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่ไคล์มาอยู่ที่นี่ หากเจ้าตัวรีบส่ายหน้าทันทีพร้อมกับส่งสัญญาณ พยักเพยิดไปทางวินเซนต์เป็นเชิงบอกว่า ‘อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ หมอนี่อยู่ที่นี่ด้วย’ อ่า นั่นสินะ ถ้าเกิดอีกฝ่ายรู้เรื่องศพที่อาจเป็นฝีมือของฆาตกรตัวเลขเข้าล่ะก็ ไคล์ต้องลำบากกว่าเดิมในศาลแน่ๆ แค่นี้ที่ต้องประมือกับวินก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว

ผมบลอนด์ทองปรายตามองมาทางพวกเราอย่างเคลือบแคลงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไซม่อนเริ่มเลื่อนมือมาลูบใบหน้าผมพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ออสติน ตัวคุณ--”

“!!!” ผมผงะถอยหนีสัมผัสนั้นทันทีด้วยความตกใจ อีกฝ่ายที่ยื่นมือมาก็ดูตกใจไม่น้อยไปกว่าผมเช่นกัน อ่า… ให้ตายสิ กลับมาอีกแล้ว อาการบ้าๆ นี่ มันยังไม่หายขาดจริงๆ สินะ

“โทษทีครับ” กลับเป็นไซม่อนเสียเองที่เป็นฝ่ายขอโทษ เขาชักมือกลับอย่างรู้หน้าที่ “คุณคงกำลังตกใจ”

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้อง--” ผมขยับตัวนิดหนึ่ง จังหวะนั้นเองที่ผิวตรงขาไปสัมผัสกับเนื้อผ้าของกางเกงโรงพยาบพอดี ความรู้สึกเจ็บเหมือนมีอะไรบาดแล่นแปลบขึ้นมา

“อูย” ผมร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ ล้วงมือไปเลิกกางเกงยางยางยืดขึ้นเพื่อหาสาเหตุของความเจ็บเมื่อครู่ ไซม่อนเลื่อนมือลงมาจับมือข้อมือผมไว้เป็นเชิงห้าม ร่างผมกระตุกนิดหนึ่งเพราะสัมผัสกะทันหันนั่นของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยรอบนี้

ผมหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ จากหางตา เห็นวินเซนต์เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตรงมาทางนี้แทนแล้ว ดูเหมือนจะอยากเข้าร่วมวงสนทนาประหลาดๆ นี่ด้วย

“ทำอะไรน่ะ ไซม่อน ปล่อยผมนะ”

“ผมว่าคุณอย่าเพิ่ง… อย่าเพิ่งรู้ตอนนี้เลย”

“นี่คุณพูดเรื่องอะ---”

“มีอะไรเหรอครับ” วินเซนต์ที่ก้าวเข้ามาประชิดขอบเตียงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจบ้าง ท่าทางกระตือรือร้นของเขาทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“คุณมีแผลที่ต้นขา” ไซม่อนบอกเรียบๆ ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือผม “มันไม่ใช่อะไรร้ายแรงหรอกครับ แต่อย่าเพิ่งไปแตะต้องมันดีกว่า”

ใจผมกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่านั้น ผมมีเซ็กส์กับไซม่อนมาหลายครั้งก็จริง บางทีเขาอาจจะสังเกตเห็นแผลที่อยู่บนต้นขาผมมานานแล้วก็ได้ แต่เขาก็ไม่เคยพูดถึงมันและนั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจไม่น้อยทีเดียว

แต่ตอนนี้… มันชัดเจนแล้วว่าเขาเห็นแผลที่อยู่ตรงต้นขานั่นของผม แล้วไอ้ความเจ็บแปลบๆ ตรงนั้นมันอะไรกัน มันเป็นแผลเป็นที่แห้งสนิทไปนานแล้ว ไม่มีทางที่มันจะกลับมาเจ็บซ้ำ---

นอกจากว่า… มันจะเป็นแผลใหม่

ผมใช้จังหวะที่ไซม่อนผ่อนแรงที่ยึดข้อมือผมไว้อยู่กระชากผ้าออก เลิกกางเกงขึ้นดูแผลเก่าที่อยู่บริเวณต้นขาข้างซ้าย ไม่สนว่าวินเซนต์จะยังยืนอยู่ตรงนั้น ผมไม่อายเรื่องจะโดนผู้ชายด้วยกันเห็นอยู่แล้ว หากเมื่อเห็นแผลที่ถูกของมีคมกรีดทับอยู่บนแผลเก่าที่ผมมี ผมก็ต้องชะงักไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกอยากจะกรีดร้องตะโกนออกมาให้สุดเสียงอย่างอัดอั้น แต่ทุกอย่างมันจุกอยู่แค่ในลำคอ

วินเซนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ และเห็นแผลใหม่ของผมชะงักไปอย่างตกใจ เขาเดินตรงดิ่งไปที่ไคล์ก่อนจะพูดกับเจ้าหน้าที่หนุ่มด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“ไหนคุณมั่นใจนักหนาไงว่าคนที่คุณฆ่าไปเป็นฆาตกรตัวเลขน่ะ หือ?”

ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง มองต้นขาของตัวเองด้วยสีหน้าที่เริ่มเย็นวาบ

มีแผลใหม่ที่ต้นขา ซึ่งเป็นรอยจากการถูกของมีคมกรีดทับรอยแผลเก่าที่แห้งสนิทไปแล้วเป็นตัวหนังสือ

150819

มันสลักเอาไว้แบบนั้น ผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อจ้องต้นขาของตัวเองนานๆ เพราะในหัวรับรู้แล้วว่ามีแผลใหม่ปรากฎขึ้นอยู่บนนั้น

ว่าแต่… ตัวเลขพวกนี้มันอะไรกัน ทำไมมันถึงรู้สึกคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก เหมือนมันติดอยู่แค่นิดเดียว… แต่ก็คิดไม่ออก

“อะ…” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ความทรงจำที่มีต่อแผลเป็นรอยเดิมทะลักเข้ามาในหัวแทน

ผมฟุบหน้าลงบนเข่าที่ชันขึ้นมาอย่างหมดแรง ราวกับว่าความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เจอมาเพิ่งมาออกฤทธิ์เอาตอนนี้

“ออสติน” ไซม่อนเอ่ยเรียกผมอย่างเป็นห่วง มือแตะลงบนบ่าผมอย่างปลอบประโลม “ออสตินครับ”

ผมไม่ได้ตอบรับคำเรียก หากมือเย็นเฉียบของตัวเองเลื่อนไปบีบมือของไซม่อนแน่นราวกับต้องการกำลังใจ

สติของผมค่อยๆ พร่าเลือนลงไปอีกครั้ง อาการปวดหัวจี๊ดที่แล่นเข้ามาทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก รับรู้ได้เพียงสัมผัสแผ่วเบาจากมือหนาที่ขยับร่างผมให้ล้มลงไปนอนบนหมอน

“ไซม่อน” ผมเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ไม่สนว่าจะยังมีคนนอกอีกสองคนอยู่ในห้อง ร่างของผมกำลังสั่น “ผมกลัว”

ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ แล้วน้ำตามันก็เหมือนจะล้นลงมา





-----------------------------------------------
Talk: โอยยย ยาวมากเลยตอนนี้//คลาน// ดูเรื่องนี้แบบ ซับซ้อนเนอะ อะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะมากมาย ถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านมากนะคะ! แล้วเจอกันตอนต่อไปน้าาาา >3<
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-06-2017 15:40:45
ชักจะไม่ sweet เข้าไปทุกทีละนะ อ่านไประแวงไปตลอด ๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-06-2017 15:53:07
ว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องไม่ง่าย
เริ่มรักก็จะให้เลิกรักมันยาก แต่หลายอย่างน่าสงสัยจริงๆแหละ
ขนาดเราเอะใจไว้แล้ว พอมาอ่านจริงๆก็แอบตกใจ
ตอนนี้อยากให้ออสตินใจเย็นๆ แล้วไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อน
อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเด้อ กังวลจริงๆ  :ling1: :ling1:

น่านนนสิ มีแต่เรื่องน่าสงสัยเนอะะะ ไป ออสติน มีคนแนะนำให้ไปคุยกับไซม่อนให้รู้เรื่อง อย่าเพิ่งโวยวายนะคุณหมอ ถถถถถถถ

เราไม่ไว้ใจไซม่อนมาแต่แรกแล้วววว โอ้ยยยยยยย คุณหมอหญิง ช่วยเคาะสติออสตินทีค่าาา :serius2:

โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิค้าาา ไซม่อนเป็นพระเอกนะ! 5555555

ชักจะไม่ sweet เข้าไปทุกทีละนะ อ่านไประแวงไปตลอด ๆ

เหมือนจะไม่สวีทมานานแล้วนะคะ จริงๆ ก็... 55555555555
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-06-2017 19:03:58
เอาละสิ ไหนว่าไซม่อน ยิงฆาตกรตายไปแล้ว  o22

ทำไมยังมีศพถูกข่มขืน พร้อมหมายเลขสลักไว้ที่ศพอีก   :katai1:

แล้วทำไมฆาตกร ต้องมาจับตัวออสติน และสลักเลขที่ขาออสตินด้วย  :fire:
ออสติน ต้องมีอะไรเกี่ยวเนื่อง มาจากการพิสูจน์หลักฐานศพหรือเปล่า   o13

มันน่าสงสัยที่คริสเตียน คนรักเก่าทำไมต้องข่มขืนออสติน  :katai1:
แล้วไซ่ม่อน มาพูดเรื่องเจ้าของหัวใจที่ออสตินได้มา เรื่องจริงหรือเปล่า  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 25-06-2017 22:19:44
ปริศนาธรรมวันนี้ .........
งงเด้อ ยิ่งอ่านยิ่งน่าสงสัย
ทุกคนดูน่าระแวงไปหมด
ตอนนี้สงสัยทุกคนที่อยู่ใกล้ๆออสติน
จำไว้ เรากลุ่มพิทักษ์ออสติน  :z6:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2017 04:47:36
กลัว :ling3:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 27-06-2017 17:25:23
เอาละสิ ไหนว่าไซม่อน ยิงฆาตกรตายไปแล้ว  o22

ทำไมยังมีศพถูกข่มขืน พร้อมหมายเลขสลักไว้ที่ศพอีก   :katai1:

แล้วทำไมฆาตกร ต้องมาจับตัวออสติน และสลักเลขที่ขาออสตินด้วย  :fire:
ออสติน ต้องมีอะไรเกี่ยวเนื่อง มาจากการพิสูจน์หลักฐานศพหรือเปล่า   o13

มันน่าสงสัยที่คริสเตียน คนรักเก่าทำไมต้องข่มขืนออสติน  :katai1:
แล้วไซ่ม่อน มาพูดเรื่องเจ้าของหัวใจที่ออสตินได้มา เรื่องจริงหรือเปล่า  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ดูมีปริศนามากมายเหลือเกินนะคะ 55555555 มา มารอดูกันต่อไป~

ปริศนาธรรมวันนี้ .........
งงเด้อ ยิ่งอ่านยิ่งน่าสงสัย
ทุกคนดูน่าระแวงไปหมด
ตอนนี้สงสัยทุกคนที่อยู่ใกล้ๆออสติน
จำไว้ เรากลุ่มพิทักษ์ออสติน  :z6:

กลุ่มพิทักษ์ออสตินเหรอคะ ขอเราเข้าร่วมด้วย!

กลัว :ling3:

กลัวอะไรคะะะ ไม่มีอะไรน่ากลัวเยยย XD
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 15)(100%) P.3 [25/06/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 01-07-2017 12:49:30
บทที่ 16



   
ในวันนั้นเมื่อสองปีที่แล้ว...

ภาพแรกที่ปรากฏหลังจากที่สติสัมปชัญญะกลับมาคือความดำมืด ผมพยายามลืมตาเพื่อมองไปรอบๆ ตัว แต่ก็ค้นพบว่ามีผ้าผูกปิดตาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้

เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงหัวใจในอกข้างซ้ายของตัวเองที่เต้นรัวขึ้นด้วยความหวาดหวั่น สัญชาตญาณทำให้พยายามขยับร่างกายส่วนต่างๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่แล้วแขนทั้งสองข้างกลับไม่สามารถขยับได้ตามใจนึก ราวกับถูกผูกติดกับอะไรบางอย่างเหนือหัวของตัวเอง

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? แล้วผมอยู่ที่ไหน?

สิ้นความคิดผมก็เริ่มขยับขาทั้งสองข้างของตัวเองบ้าง โชคดีที่มันไม่ได้ถูกพันธนาการให้ติดกันไว้เหมือนข้อมือ ผมเริ่มป่ายขาไปมาอย่างร้อนรนจนกระทั่งไปชนกับขอบอะไรบางอย่าง นั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหลุมหรือบ่ออะไรสักอย่าง

“อ่า” ครางออกมาเบาๆ อย่างคนเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ ปากผมไม่ได้ถูกปิดเอาไว้อย่างที่นึกกลัว แต่สถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่น่าไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด ชั่ววูบความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา ถ้าผมตะโกนโวยวายดังๆ จะมีใครได้ยินแล้วมาช่วยไหมนะ ทว่าก็ไม่มีอะไรค่ำประกันว่ามันจะกลายเป็นเรียกไอ้คนที่จับผมมาให้ฆ่าผมเร็วขึ้นแทนหรือเปล่า?

เอี๊ยด

เสียงนั่นทำเอาผมขนลุกชัน มันคล้ายกับเสียงเปิดประตูเก่าๆ ไม่มีน้ำมันหล่อลื่น ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น ปากก็สั่นอย่างห้ามไม่ได้ เวลานี้มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ใครกัน?

สัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม สัญชาตญาณพาให้ผมใช้ส้นเท้าขยับร่างหนีไปยังทิศทางตรงข้ามกับเสียงฝีเท้าที่ไม่น่าไว้ใจนั่น ทว่ากลายเป็นร่างผมไปติดกับขอบที่ว่าอีกฝั่งหนึ่งแทน

“หยุดนะ! คุณเป็นใคร!?” เค้นเสียงถามออกไปจนได้ แต่ก็มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาเท่านั้น “แกต้องการอะไร”

คำตอบกลายเป็นเสียงแค่นหัวเราะสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

กระทั่งอยู่ๆ แรงสะเทือนบางอย่างเกิดขึ้นบนพื้นระยะประชิด ผมเกร็งตัวแน่น สัมผัสร้อนตะปบลงมาบนหลังคออย่างรวดเร็วทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ขณะที่เส้นผมของผมถูกกระชากจากด้านหลังท้ายทอยทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นบน แล้วหลังจากนั้น...

“อื้อ…” สัมผัสอุ่นนุ่มบางอย่างเบียดลงมาบนริมฝีปาก มันรุนแรงและรวดเร็วเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน

อะไรน่ะ ไอ้ชาติชั่วนี่กำลังจูบผม บ้าจริง!

ผมพยายามเบือนหน้าหนี หากแรงกระชากจากด้านหลังไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ

ได้ยินเสียงโลหะที่ตรวนข้อมือผมไว้กระทบกันจากข้างบนหัว ลิ้นน่ารังเกียจที่สอดเข้ามาอย่างจาบจ้วงทำให้ผมร้อนวูบ เหงื่อผุดขึ้นมาทั่วทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว เสียงของเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ขาดออกจากกันดังแคว่ก จากนั้นสัมผัสอุ่นของอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ก็แตะลงบนแผ่นอก แรงที่กระทำเคล้นคลึงผิวกายของผมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัวชาวาบ ขนลุกชัน เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายจับตัวผมมาทำไม เพราะมันไม่ได้ต้องการเรียกค่าไถ่หรือต่อรองอะไรทั้งนั้น!

มันต้องการร่างกายผม!

“อย่า!…” ผมร้องออกมาเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ ขณะที่กลีบปากอุ่นร้อนของอีกฝ่ายนาบลงบนซอกคอของผมแทน แล้วตามมาด้วยความเจ็บปวดจากฟันที่ฝังลงบนต้นคอ ผมกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นสะบัดอย่างแรง ใต้สะโพกสัมผัสได้ถึงมือหยายโลนที่กำลังเคล้นคลึงอย่างหื่นกระหาย

กึก! “หยุดนะ!”

รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายพยายามกระชากกางเกงของผมออก เลยพยายามขืนตัวไว้สุดแรงแต่ก็หยุดเขาไว้ไม่ได้

ฟรืบ! กางเกงถูกดึงออกไปแล้ว ตามด้วยเสียงผ้าตกกระทบลงบนพื้นสะท้อนกับผนังห้อง ผมเดาว่าไอ้โรคจิตนี่คงเหวี่ยงกางเกงผมทิ้งไปอย่างไม่แยแส

สันหลังหนาวสะท้านขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งเกาะพรมไปทั่วใบหน้า ไม่อยากคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นถัดไป แต่พระเจ้าไม่ให้เวลาผมทำใจนัก เมื่อไอ้ชั่วนั่นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนผ่าว มือหยาบกร้านเริ่มเคลื่อนแทรกเข้ามาที่ด้านหลังสะโพกที่ไร้การปกปิด

กรอบตาผมร้อนผ่าว ไม่ช้าก็สัมผัสได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างอ่อนแอ

ไม่นะ… หยุดนะ!

ใครก็ได้ช่วยผมด้วย


 


“ฮะ… ฮึก!” สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา แต่เสียงสะอื้นของตัวเองที่ผมเกลียดแสนเกลียดดังสะท้อนอยู่ในหู

ไซม่อนเป็นคนแรกที่รุกตัวเข้ามาประชิดตัวผมที่ข้างเตียง ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้ามากอดผมไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวผมเบาๆ อย่างปลอบประโลม

จังหวะนั้นเองผมถึงได้ยินเสียงอื่น เป็นเสียงเปิดประตูห้องคนไข้ ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไป คงเป็น ไคล์และวินเซนต์ ผมภาวนาให้พวกเขาทั้งคู่ออกไปจากห้อง เพราะผมไม่อยากให้ใครเห็นสภาพที่น่าสมเพชของตัวเองนอกจากไซม่อน

“ไม่เป็นไรนะครับ ออสติน” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ทาบริมฝีปากอุ่นลงบนขมับ “คุณแค่ฝันร้าย ผมอยู่นี่แล้ว ผมจะไม่ให้ใครมาทำอะไรคุณได้อีก ผมสัญญา”

“ทะ… ที่ขาผม” ผมสำลักคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด “หมอนั่น… กรีดวันที่ที่จับตัวผมไป”

ไซม่อนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง เหมือนตามคำพูดผมไม่ทัน

“วันที่เหรอครับ?”

“ชะ… ใช่” เสียงของผมสั่นไม่ต่างจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

“วันที่อะไรครับ”

“วันที่คริสจับผมไปไง!” ตะเบ็งเสียงดังอย่างอัดอั้น ไซม่อนออกแรงที่กอดผมไว้มากขึ้นราวกับกลัวว่าผมจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ

“ออสติน คุณใจเย็นๆ ก่อน” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหู “หมอนั่นมันก็แค่สุ่มตัวเลขไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณ--”

“คุณไม่เข้าใจใช่ไหมว่านี่มันหมายความว่ายังไง!” ตะโกนอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ผมผลักอกของอีกฝ่ายออกอย่างแรงจนไซม่อนเซออกจากเตียงไปเล็กน้อย “หมอนั่นมันกลับมาเล่นงานผม! แค่ตัวเลขที่อยู่บนขาผมนี่มันก็เห็นกันอยู่ชัดเจนอยู่แล้ว! คุณยังไม่เข้าใจอะไรอีก!”

นัยน์ตาสีฟ้าของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจที่เห็นผมโวยวายแบบนั้น หากวินาทีต่อมาร่างสูงก็ขยับเข้ามาประชิดตัวผมอีกรอบ มือเลื่อนมาแตะบนใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา หากเมื่อจับได้เขาก็ยึดไว้แน่น ประคองให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา

“ออสติน ได้โปรด ฟังผมก่อน”

ผมหุบปากของตัวเองลงฉับ อารมณ์พลุ่งพล่านจนเหมือนจะระเบิดในอกค่อยๆ ทุเลาลง ผมสบตาเขา มันมองมาที่ผมอย่างแน่วแน่ ไซม่อนค่อยๆ ขยับฝ่ามือมาไล้บนแก้มผม เลื่อนไปอยู่ที่ด้านหลังศีรษะแล้วประคองเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“ผมสัญญาว่าคุณจะไม่เป็นไร อย่างน้อยแค่ในตอนนี้ก็ได้ เชื่อผมเถอะ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง ขอแค่คุณเชื่อใจผม จะไม่มีใครหน้าไหนมาทำอันตรายคุณได้ทั้งนั้น”

ผมจ้องตาเขานิ่ง ไซม่อนมองตอบกลับมาอย่างมั่นคง เมื่อเห็นว่าผมสงบลงเขาก็ค่อยๆ โน้มหน้าลงมา วางหน้าผากของตัวเองแนบลงบนหน้าผากของผม ไออุ่นจากผิวกายเขาให้ความรู้สึกบางเบาชวนให้ผ่อนคลาย

ร่างสูงทาบริมฝีปากอุ่นลงมาจูบบนริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา จูบง่ายๆ แค่นั้นแต่กลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ไซม่อนละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ผมปล่อยให้เขาเลื่อนมือมาลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น ความเงียบปกคลุมพวกเราทั้งคู่ แต่ผมไม่ได้รู้สึกทรมานหรืออัดอั้นแบบเมื่อครู่แล้ว

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมหันไปมองตามต้นเสียงทันที ร่างของนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามาภายในพร้อมกับนางพยาบาลอีกคน พอกวาดตามองดูรอบห้องอีกทีก็พบว่าทั้งไคล์และวินเซนต์ไม่อยู่ในห้องนี้แล้วจริงๆ คงจะออกไปตอนที่ผมได้ยินเสียงเปิดประตูครั้งแรกอย่างที่ผมภาวนา

หมอคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องคงเป็นคนใหม่เพราะผมไม่คุ้นหน้า เขาหันไปบอกไซม่อนว่าจะขอประเมินอาการผมสักหน่อย ร่างสูงยอมผละออกไปอีกมุม

ผมก้มหน้าลงต่ำนิดหนึ่งขณะตอบคำถามพื้นฐานเพื่อประเมินคนไข้ของเขา ผมว่าร่างกายผมตอนนี้มันก็ปกติดีนั่นแหละ มีปัญหาแค่ด้านจิตใจเท่านั้นเอง

“คุณคือคนไข้ของคุณหมออะแมนดา กอร์แมนสินะครับ”

“ใช่ครับ”

“เสียดาย หล่อนไม่ได้เข้าเวรวันนี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องบึ่งมาหาคุณแล้ว”

“ไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้หล่อนรู้นะครับ” ผมว่า “เดี๋ยวจะเป็นห่วงกันไปหมด”

“เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่บอกไม่ได้หรอกครับ หรือต่อให้ผมไม่บอก ยังไงคุณหมอกอร์แมนก็ต้องได้ยินจากคนอื่นอีกอยู่ดี”

ผมยักไหล่ให้เขาอย่างจนปัญญา มองดูนายแพทย์หนุ่มเลื่อนมือขึ้นไปดันแว่นของตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้น… คุณอยากจะนอนค้างที่นี่สักคืนรึเปล่าครับ หรือว่าอยากจะกลับบ้านเลย เพราะเท่าที่ผมดูอาการก็ค่อนข้างทรงตัวแล้ว มีแค่แผลที่ขาที่อาจจะต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ กับยาแก้ปวด แต่ถ้ายังรู้สึกล้า--”

“ผมจะกลับครับ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด “ผมคิดว่าตัวเองไหวแล้ว คงไม่ต้องนอนค้างที่นี่หรอก”

“ตกลงครับ” อีกฝ่ายยอมรับอย่างว่าง่าย หันไปบอกกับนางพยาบาลให้เตรียมเอาสายน้ำเกลือออกพร้อมกับติดต่อแผนกการเงินเพื่อออกใบเสร็จค่ารักษา “งั้นรอสักครู่นะครับคุณการ์ดเนอร์ น่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงคุณก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

ผมมองแผ่นหลังของหมอคนใหม่ที่เดินออกจากห้องไปก่อนจะเบือนหน้าไปยังไซม่อนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมห้อง ป้องปากไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียงรบกวน แต่น่าแปลกที่ผมกลับได้ยินชัด

“เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนร้ายต้องการอะไร” เขากรอกเสียงลงในโทรศัพท์ เดาว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของตัวผมเอง งั้นแปลว่าคนที่อยู่ปลายสายอาจจะเป็นไคล์ก็ได้ “แบบนั้น… มันอันตราย”

ผมนั่งรออยู่บนเตียงเงียบๆ อย่างอดทน รอจนกระทั่งไซม่อนกดวางสายแล้วสาวเท้าเข้ามาหาผม คิ้วเรียวของเจ้าตัวขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ชายหนุ่มทิ้งน้ำหนักตัวลงมานั่งข้างๆ นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมของผมแผ่วเบา

“ผมอยากให้คุณไปนอนค้างบ้านผมครับ ออสติน”

“ทำไมล่ะครับ”

“อยู่ที่โรงพยาบาล… ก็เห็นแล้วว่าคนร้ายก็บุกเข้ามาเอาตัวคุณไปได้จนได้ บ้านคุณก็มีคุณอยู่แค่คนเดียว แถมแถวนั้นก็ไม่ค่อยมีคนอยู่ด้วย ไปบ้านผมดีกว่า อย่างน้อยผมก็คอยปกป้องคุณได้”

ประโยคที่ตรงไปตรงมาทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่านขึ้น ผมพยักหน้ารับ พิงหัวลงบนบ่าเขาอย่างหาที่พึ่ง ชอบสัมผัสจากฝ่ามือที่ไม่ลูบหลังผมเบาๆ มันทำให้ผมผ่อนคลายลงจริงๆ

“ไม่เป็นไร ออสติน” เสียงนั้นกระซิบที่ข้างหู “ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง ไม่ต้องกังวลหรอก”

คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน



.
.
.
.
.
(50%)





------------------------------
Talk: ขอมาหยอดครึ่งตอนแรกไว้ก่อนะคะ จะรีบเอาอีกครึ่งมาลงนะ งุงิ
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(50%) P.3 [1/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-07-2017 14:44:40
รอที่เหลือค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(50%) P.3 [1/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-07-2017 23:35:10
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(50%) P.3 [1/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 02-07-2017 12:53:20

[ต่อ]




ไซม่อนไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านแบบที่บ้านเป็นจริงๆ เหมือนของผม เขาอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ตัวอาคารคอนโดของเขาอยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่ แต่ภายในห้องของเจ้าตัวก็ดูกว้างขวางแล้วก็สะอาดใช้ได้

“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ” ไซม่อนว่าขณะถอดเสื้อตัวนอกออก แขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อ ทำมือให้ผมส่งของตัวเองไปให้เขาแขวนบ้าง “เดี๋ยวจะได้นอนพัก วันนี้เจออะไรหนักๆ มาเยอะแล้ว ไหนจะศพ ไหนจะตัวคุณเองที่ตอนนี้สภาพไม่ต่างกับศพ… อาบน้ำนอนกันเถอะครับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคิดกันต่อว่าจะทำยังไง”

ผมพยักหน้าอย่างเลื่อนลอยไปให้เขา ทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่ายโดยแทบไม่รู้สึกตัวอะไรเลย

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเห็นตัวเองนั่งยืดขาอยู่บนเตียงของไซม่อนเรียบร้อยแล้ว ผมเริ่มกวาดตามองสภาพห้องที่ดูเป็นระเบียบเกินกว่าจะเป็นห้องของชายหนุ่มที่อาศัยอยู่คนเดียว ตู้เสื้อผ้าแบบบิวด์อินถูกเปิดค้างเอาไว้ตอนที่ไซม่อนหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวให้ผม โทรทัศน์ที่ตั้งไว้อีกมุมของห้อง ตู้หนังสือที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาวิชาการ โต๊ะทำงานที่รกที่สุดมีเอกสารและแฟ้มต่างๆ กองเอาไว้

ผมก้มลงมองขาที่อยู่ในกางเกงนอนที่ไซม่อนให้ยืมมา เลื่อนมือไปสัมผัสที่ต้นขาข้างซ้ายอย่างแผ่วเบา แผลใหม่นั่นยังคงเจ็บแปลบอยู่ แค่คิดถึงมันผมก็รู้สึกอยากอาเจียน โคตรรู้สึกแย่เลย

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ไซม่อนก้าวเท้าออกมา เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ยังหมาดๆ อยู่ ผ้าขนหนูสีขาวถูกพาดไว้บนบ่า เขาอยู่ในชุดนอนง่ายๆ มือเลื่อนไปเช็ดผมเรื่อยๆ เพื่อให้มันแห้งสนิทขณะสาวเท้ามา

เขาหยุดฝีเท้าลงที่ขอบเตียง จ้องหน้าผมนิ่ง ยืนอยู่แบบนั้นราวกับกำลังรอคำอนุญาต ซึ่งคิดๆ ไปแล้วก็ตลกดีเพราะนี่มันบ้านเขา เตียงเขาเองแท้ๆ ยังจะต้องมารอผมอนุญาตทำไมเนี่ย

ผมขยับตัวไปอีกทาง ตบตรงที่ว่างข้างๆ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้แฟนหนุ่ม

“นั่งตรงนี้สิคุณ นั่งข้างๆ ผม”

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ จากนั้นจึงยิ้มตอบกลับมาให้แล้วล้มตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย ผมเลื่อนมือไปดึงหน้าเขาให้หันกลับมาสบตาผม นัยน์ตาที่ดูล้ำลึกจนเหมือนจะดูดกลืนทุกอย่างเข้าไปได้ ผมหลงใหลดวงตาของเขา

ไซม่อนเลื่อนหน้าลงมาจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่งอย่างเอ็นดู พอเขาผละริมฝีปากออกผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ มือหนาดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างมันเขี้ยว จากนั้นก็ดันตัวผมให้ลงไปนอนราบบนต้นขาเขา โน้มหน้าลงมาจูบปากผมอีกรอบ

“ให้ตายสิ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ตามองเพดานด้านบนอย่างเหม่อลอย “150819 งั้นเหรอ หมอนี่นี่มันรู้วิธีเขย่าประสาทผมได้ตลอดจริงๆ”

“คุณพูดถึงอะไรครับ”

“ก็คริสเตียนไง” ผมว่า เสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากเย็นชาอย่างชิงชังคนที่เพิ่งเอ่ยชื่อไป “แผลที่ขาผมนี่… ต้องเป็นฝีมือหมอนั่นไม่ผิดแน่ ไอ้สารเลว อย่าให้ตำรวจลากตัวมันออกมาได้นะ ผมจะไปจัดการมันก่อนคนแรกเลย”

ไซม่อนหัวเราะหึๆ ในลำคอเพราะรู้ดีว่าผมพูดไปตามแรงอารมณ์เท่านั้น เขาลูบเส้นผมสีเทาของผม เลื่อนปลายนิ้วมาไล้บนแก้ม ก่อนจะออกแรงหยิกเบาๆ อย่างมันเขี้ยว ในขณะที่ผมจ้องใบหน้าคมสันจากมุมต่ำแบบนี้ตาไม่กระพริบ เพิ่งได้เห็นไซม่อนจากมุมนี้เป็นครั้งแรก

“แล้วคุณแน่ใจได้ไงว่าแผลใหม่ของคุณนี่เป็นฝีมือเขา”

“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ” ผมว่าเสียงเย้ยหยัน ไซม่อนยักไหล่

“ไม่รู้สิ ฆาตกรตัวเลขมั้ง เราเพิ่งเจอศพที่คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของฆาตกรตัวเลขมาไม่ใช่เหรอครับ”

“เออ ใช่ ศพ…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณ มีเจ้าหน้าที่คนอื่นพาคุณไทเลอร์ไปดูศพของเอ็มม่า เดนนิสแทนคุณแล้ว ขึ้นศาลครั้งต่อไปเขาคงเจอศึกหนักทีเดียว”

“คุณเคยเห็นแผลที่ต้นขา… ผมหมายถึงแผลเก่าของผมน่ะ คุณเห็นมันมาก่อนแล้วใช่ไหม ไซม่อน”

คนผมน้ำตาลบลอนด์ชะงักไปนิดหนึ่ง นัยน์ตาคู่สวยช้อนขึ้นมองตรง เลี่ยงไม่สบตาผม

“ผมเคยเห็นมาก่อนแล้ว” ผมเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายรีบแก้ตัวเป็นพัลวันทันทีเมื่อเห็นท่าทีเหมือนไม่ชอบใจของผม “ผมหมายถึง… เราเองก็มีเซ็กส์ด้วยกันมาตั้งหลายรอบ แถมรอยกรีดที่ต้นขาคุณ… มันก็ชัดออกขนาดนั้น”

“ผมเข้าใจครับ” มันยากที่จะมองผ่านแน่ล่ะ ผมรู้ดี

“คุณโกรธผมรึเปล่าเนี่ย”

“เปล่า ผมแค่…” ผมถอนหายใจอีกเฮือก มือเลื่อนไปโอบหลังคอของคนด้านบน บังคับให้เขาก้มหน้าลงมาจูบกับผมทีหนึ่ง “อืม… มันน่าเกลียดมากใช่ไหม ไซม่อน แผลนั่นน่ะ”

แวบหนึ่ง ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเป็นประกายวูบขึ้นมาด้วยความโกรธ ผมรู้ว่าเขาโกรธคนที่ทำ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เหมือนมีใครมาช่วยแบ่งเบาความหนักอึ้งที่ตัวเองแบกรับไว้อยู่นี่ไปบ้าง

เขาก้มหน้าลงมาจูบผมอีกรอบ คราวนี้ออกแรงกดลงมามากขึ้น ยาวนานและวาบหวามมากขึ้น ผมเคลิ้มตาม ใบหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ที่ข้างหู “ผมไม่สนใจแผลนั่นหรอก ออสติน”

“จริงเหรอครับ”

“จริงสิครับ มันก็จริงอยู่ที่ผมโกรธคนที่ทำแบบนั้นกับคุณมาก แต่มันไม่ได้ทำให้คุณน่าเกลียดหรอกนะ”

“แต่ตอนนี้มันทุเรศกว่าเก่าอีก” ผมเบ้ริมฝีปากอย่างขมขื่น “คริสเตียน… หมอนั่นกรีดแผลใหม่ลงบนตำแหน่งเดิม วันที่นั่น… หมอนั่นมัน--”

“ชู่” คนข้างตัวโน้มหน้าลงมาจูบปิดปากผมในรอบนี้ ความอ่อนหวานที่แผ่ซ่านเข้ามาช่วยทำให้ผมสงบลง ไม่สิ จริงๆ มันทำให้ผมเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบแล้วล่ะ แต่เป็นในความหมายอื่น “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นกันตอนนี้ดีกว่าไหม ออสติน คุณอยู่กับผมบนเตียงแบบนี้… ผมไม่อยากได้ยินชื่อผู้ชายคนอื่นจากปากคุณเลย”

“พูดดีนี่คุณ” ผมหัวเราะ ไซม่อนประกบจูบลงมาอีกครั้งพร้อมกับเริ่มกวาดมือลงบนเรือนร่างของผม

ขอโยนเรื่องชวนปวดหัวทั้งหมดทิ้งไปก่อนแล้วกันนะตอนนี้
 



 


ผมหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะที่มีกล่องจากผู้ส่งปริศนาเปิดอ้าเอาไว้อยู่ กวาดตามองดูสิ่งของที่เคยอยู่ในกล่องนั้นซึ่งตอนนี้ถูกนำออกมาวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบข้างๆ

ผมหยิบสร้อยที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพิจารณาก่อน ประกายเพชรของมันวาววับจับตา แต่นั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับสิ่งที่ผมพยายามตามหาอยู่ วางมันลงที่เดิม คราวนี้หยิบนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่ที่หนักอึ้งขึ้นมาพลิกดู นึกสงสัยเหมือนกันว่าคนที่ใส่นาฬิกาหนักขนาดนี้เขาไม่ปวดข้อมือกันบ้างหรือไง ถึงดีไซน์การออกแบบของมันจะดูเฉี่ยวแล้วก็ล้ำสมัยดีก็เถอะ

ของชิ้นต่อไปคือปัญหา

เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผมในตอนนี้

ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดู มันราคาถูกที่สุดหากเทียบกับสิ่งของชิ้นอื่นๆ ในกล่องนี้ รูปของแบรด แมคแนร์ซึ่งกำลังยิ้มอย่างเริงร่าให้กล้องขัดใจผม โครงหน้าที่เหมือนลอกกันมากับของไซม่อนไม่มีผิดเพี้ยนนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

ผมวางมันลงเรียงกับของชิ้นอื่นๆ ทันใดนั้นเองที่ผมนึกได้ขึ้นมา เป็นความคิดที่ประกายวูบเล็กๆ เท่านั้น แต่บางทีมันอาจมากพอจะติดเชื้อเพลิงได้

กล่องที่วางต่อจากสิ่งของทั้งหมดที่ผมเพิ่งหยิบขึ้นมาพิจารณาต่างหากล่ะที่เป็นปัญหาใหญ่ ไม่มีชื่อของผู้ส่งระบุอยู่บนนั้น แม้แต่ชื่อผู้รับก็ยังถูกพิมพ์ออกมาทำให้ไม่สามารถแกะลายมือเพื่อสืบต่อได้

เจ้ากล่องที่ไม่มีชื่อผู้ส่งมานี่ต่างหากล่ะที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ข้าวของที่อยู่ด้านใน

“นี่” เสียงของใครบางคนดังขึ้นมา ผมหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจหมอนี่มัน… คริสเตียน

“นาย…!”

“ชู่ ไม่ต้องตะโกนเสียงดังขนาดนั้นก็ได้” เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากพร้อมกับส่งยิ้มยียวนมาให้ ผมแทบอยากจะพุ่งไปชกหน้าเขา “ว้า… มองกันแบบนั้น เย็นชาจังเลยนะคุณ”

“ทำไมแกถึง--”

“นี่ ออสติน คุณรู้อะไรไหม” คำพูดที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองซีดเผือดลง “ผมว่าคุณกำลังระแวงผิดคนอยู่นะ”

“หา?” ผมขมวดคิ้วมุ่น “หมายความว่ายยังไง?”

“ก็… นั่น” เขาชี้นิ้วไปที่ด้านหลังของผม ผมลังเล ไม่กล้าหันหลังกลับไปดูเพราะกลัวว่าเขาจะใช้จังหวะนั้นทำร้ายตัวเอง

หากอึดใจถัดมา คมมีดจากมือของใครบางคนก็เสียดแทงเข้ามาในอกด้านซ้าย มันทะลุมาจากด้านหลัง เลือดสีแดงสดสาดกระเด็นไปทั่วบริเวณนั้นราวกับน้ำพุ

“อั่ก…” ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น มองเห็นคริสเตียนส่งยิ้มยียวนมาให้เหมือนเดิม หากภาพของเขาค่อยๆ จางลง

“ผมไม่ใช่คนที่คุณควรจะระแวงหรอก ที่รัก” น้ำเสียงนั้นกลั้วหัวเราะอย่างนึกขัน “คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าใครคือคนที่ควรระวัง”

ผมค่อยๆ หันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า ตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณถือมีดที่อาบไปด้วยเลือดอยู่นั่นคือใคร

ไซม่อน แมคแนร์…

แฟนของผมเอง

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาของเขาก้มลงมองผมอย่างเย็นชา มองปากแผลที่เปิดออกของผมอย่างพิจารณา

“ซะ… ไซม่อ--”

ผมไม่ทันได้เรียกชื่อเขาด้วยซ้ำตอนที่ชายหนุ่มแทงปลายมีดลงมาบนอกข้างซ้ายของผมอีกรอบ ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าโดนไปขนาดนั้นแล้วทำไมยังมีสติอยู่ได้

“คุณ… ทำอะ--” ผมละล่ำละลักถาม เห็นนัยน์ตาว่างเปล่าคู่นั้นแล้วอยากจะร้องไห้

"ผมขอหัวใจพี่ชายผมคืน"

"อย่า… อย่าเอามันไป ได้โปรด" ผมอ้อนวอน แต่เหมือนคนฟังจะไม่สนใจ

"คุณฆ่าพี่ชายผม"

“ผะ… ผม… ไม่…” ผมไม่ได้เป็นคนทำ

"คุณฆ่าพี่ชายผม” เสียงราบเรียบนั้นว่า “และผมจะฆ่าคุณ”

ผมไม่ได้เป็นคนทำ!

แต่คำพูดนั้นมันไปไม่ถึงเขา


 


เฮือก!

ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา ตัวชาไปทั่วทั้งร่างราวกับโดนอะไรสักอย่างฟาดลงมาหลังหัวอย่างแรง เหงื่อมากมายเกาะพราวไปทั่วทั้งหน้า ผมเลื่อนมือไปแตะหน้าของตัวเอง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นตุบตับแรงและถี่ขึ้นอย่างน่ากลัว ผมเอื้อมมือไปกุมเหนือหัวใจ มันยังอยู่ดีในนั้น แต่อาการปวดแปลบนี่มันไม่ดีเลยจริงๆ

"ฮะ... แฮ่ก" ผมหอบหายใจแรง รู้สึกถึงหางตาที่ร้อนขึ้น

"ออสติน" เสียงเรียกจากชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างตัวผมดังขึ้นอย่างเป็นห่วง ไซม่อนขยับตัวเข้ามาโอบผมไว้ในอ้อมแขน หน้าตายังดูงัวเงียอยู่ "เป็นอะไรครับ ฝันร้ายเหรอคุณ?"

"อ่า..." ผมครางเบาแล้วหลับตา เลือดที่ไหลเวียนตรงหัวใจยังสูบฉีดอย่างแรงราวกับเพิ่งวิ่งมาหลายกิโลเมตร ทั้งหมดนั่นมันก็แค่ฝัน แค่ฝันเท่านั้น

บอกตัวเองเสร็จผมก็เหลือบไปมองนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่บนชั้นวางข้างหัวเตียง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว อาจจะถือว่าตื่นเร็วไปหน่อย แต่ก็ไม่เร็วเกินขนาดที่ควรจะข่มตาลงนอนต่อ

"ดูหน้าคุณซีดๆ นะ แย่มากเลยเหรอคราวนี้" พูดพลางเอื้อมมือมาปาดเหงื่อบนหน้าผากผมออก ตามด้วยจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปาก

"ไม่ค่อยดีครับ" ผมยอมรับ ปิดเปลือกตาลงอีกรอบแล้วเคลื่อนตัวไปกอดคนข้างตัว ไออุ่นจากร่างเขาช่วยทำให้ผมสบายใจขึ้น ผมยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวอยู่เลย

"อ่า... ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมอยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอก"

ผมปรือตาขึ้น มองท่อนบนเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แนบกับผิวเนื้อของผม นึกถึงเซ็กส์เมื่อคืน จากนั้นก็สิ่งที่เห็นในความฝัน ไซม่อนขยับตัวกระชับผมไว้ในอ้อมแขนมากขึ้น ก้มลงมาจูบหัวผมทีหนึ่งอย่างแผ่วเบา อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าเหงื่อซึมขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล

"แล้วนี่คุณหิวรึเปล่า ออสติน" พูดพลางเลื่อนปลายนิ้วลงเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากผมแผ่วเบา "เมื่อคืนก็ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วย"

"ก็... นิดหน่อยครับ" พอเขาทักแล้วก็ชักรู้สึกท้องโล่งๆ ขึ้นมา แต่เอาจริงก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากกินอะไรอยู่ดี

"งั้นคุณรอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวผมไปทำอะไรมาให้ทาน" ไซม่อนทาบริมฝีปากลงบนแก้มผมทีหนึ่งก่อนจะลุกออกจากเตียง "คุณนอนเล่นไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมยกมาเสิร์ฟให้ที่เตียง หรือถ้ายังเพลีย จะนอนต่ออีกหน่อยก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมปลุก"

"ตกลงครับ" ผมว่า มองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน

ผมพลิกตัวกลับมา ทอดสายตาขึ้นมองเพดานอย่างเหม่อลอย ความคิดมากมายประเดประดังเข้ามาในหัว และสิ่งที่เหมือนติดอยู่ในนั้นมากที่สุดก็คือฝันที่เพิ่งได้เห็นก่อนจะลืมตาตื่น

"อ่า... ให้ตายสิวะ" ผมสบถกับตัวเอง แต่เสียงที่ออกมาเหมือนครางมากกว่า

ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกครู่หนึ่ง คิดถึงเรื่องรอยแผลใหม่ที่ขา ร่องรอยที่สีข้างจากการโดนไฟฟ้าช็อต นึกถึงคำพูดของอะแมนดาที่เคยพูดเป็นนัยเรื่องหัวใจของผม จากนั้นก็วนกลับมาที่ไซม่อน ทั้งความฝันเมื่อคืนและวันแรกที่เราเจอกัน นึกถึงจุดประสงค์ที่เขาเข้ามาหาผม...

ปวดหัว... ไม่อยากคิดต่อแล้ว

ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียง ตรงไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ หยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมแล้วเดินออกจากห้อง

คอนโดของไซม่อนมีห้องอยู่สองห้อง ผมไม่แน่ใจว่าอีกห้องเขาใช้ทำอะไร อาจจะไว้ทำงานหรือเก็บของ เดินออกมาถึงบริเวณห้องโถงที่มีส่วนครัวแยกออกไปอย่างเป็นสัดส่วน ผมมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังง่วนอยู่กับของบนเคาน์เตอร์

‘คุณฆ่าพี่ชายผม’

อยู่ๆ สิ่งที่ไซม่อนพูดกับผมในความฝันก็สะท้อนขึ้นมาในหู ผมชะงักฝีเท้าของตัวเอง ลิ้นที่กำลัจะเคลื่อนไปเรียกเขาพานแข็งขึ้นมาดื้อๆ

นั่นสินะ... ผมไม่เคยคิดถึงมุมนี้มาก่อน เรื่องที่ว่าผมเป็นคนได้หัวใจพี่ของเขามา และบางทีเขาอาจจะนึกแค้นผมเพราะเรื่องนั้นก็ได้ เพราะต่อให้ผมจะไม่ได้เป็นคนฆ่าแบรดจริงๆ แต่ผมก็มีชีวิตอยู่ต่อได้เพราะหัวใจของเขาอยู่ดี

‘และผมจะฆ่าคุณ’

 รู้สึกราวกับว่าเสียงนั้นกระซิบอยู่ที่ข้างหู ผมแข็งทื่อ ไซม่อนที่รู้ตัวแล้วว่าผมเดินออกมาจากห้องหันกลับมามอง มีดที่อยู่ในมือเขาเป็นอย่างแรกที่ผมสังเกตเห็น และเมื่อช้อนสายตาขึ้นมองเขา ผมรู้สึกเหมือนกับกำลังจ้องมองเหวลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด

"ออกมาทำไมล่ะครับ ออสติน" ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "ผมอุตส่าห์บอกให้รออยู่บนเตียงแท้ๆ"

เขาบอกว่าเขาจะปกป้องผมจากใครก็ตาม… แต่มันคงไม่มีประโยชน์ ถ้าหากคนที่ลงมือทำเรื่องทั้งหมดคือตัวเขาเอง





-------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้วนะคะ! สรุปเรืองนี้มีพระเอกไหม ถามจริง 55555
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(100%) P.3 [2/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 02-07-2017 14:36:55
ใช่มะ จริงๆเราก็คิดแบบนั้น
ว่าไซม่อนคงไม่ได้มาดี
แต่นี่พระเอกนะเว้ยยยยยยยยยยย ต้องดีสิ
ในหัวตอนนี้ไม่รู้ว่าระหว่างออสตินกับเรา ใครคิดหนักกว่ากัน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(100%) P.3 [2/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-07-2017 15:27:49
หลอนมาก... คนเขียนทำเราระแวงไปเสียหมด
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(100%) P.3 [2/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-07-2017 15:52:03
ถึงแม้ออสติน ฝันแบบว่าคริสเตียนมาบอกว่าไม่ใช่เขานะ
แล้วไซม่อนแทงที่หัวใจออสติน

แต่มองไซม่อน แบบรักพี่ชายเกินพี่น้องธรรมดา
แล้วเลยตามมาหาคนที่ได้หัวใจพี่ชายไป

ถ้าไซม่อน ทำเพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย มันก็ เหี้- มากเลย
เพราะดูแล้วการสร้างสัมพันธ์กับออสติน
เขาทำแบบนุ่มนวล อ่อนโยนกันออสติน

หรือฆาตกร ที่สลักเลขเป็นคริสเตียน
คริสเตียนตามประกบแพทย์ที่ชันสูตรศพ
เพื่อจะได้รู้ว่าคดีคืบหน้าทาถงตัวเองหรือเปล่า
เห็นว่าออสตินเข้าใกล้ตัว เลยมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 16)(100%) P.3 [2/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-07-2017 17:52:58
บทที่ 17



“ออสติน?” ไซม่อนเรียกชื่อผมอย่างแปลกใจ สาวเท้าเข้ามาหานิดหนึ่ง "เป็นอะไรไปน่ะ คุณ ยังรู้สึกไม่ดีอีกเหรอ ให้ผมพากลับเข้าไปนอนดีกว่าไหม"

"มะ... ไม่" ผมอึกอัก ถดตัวถอยเขาไปเล็กน้อย ไซม่อนชะงักไปทันที เขาทำท่าเหมือนจะถอนหายใจแต่ก็หยุดมันไว้ได้ เจ้าตัวเปลี่ยนเป็นพยักเพยิดไปทางเก้าอี้แทน

"ถ้าอย่างนั้นไปนั่งรอผมก่อน อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะคุณ"

ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วหย่อนตัวนั่งลงอย่างว่าง่าย หากสายตาไม่ละจากร่างของอีกฝ่ายแม้แต่วินาทีเดียว ผมกำหมัดในมือแน่นขึ้น รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ไซม่อนยกจานที่มีไส้กรอก เบค่อนและไข่ดาวมาวางตรงหน้า มีถ้วยที่ใส่สลัดซึ่งเขาแยกไว้ให้ ผมมองมะเขือเทศที่ถูกหั่นเสี้ยวอย่างสวยงามในถ้วยที่ว่า มีดของเขาต้องคมมากแน่ เพราะรอยหั่นที่เห็นเฉียบมาก

"น้ำสลัดงาได้ไหมครับ ซีซาร์ผมหมดแล้ว" เขาว่า ยื่นขวดใส่น้ำสลัดมาให้ ผมรับมาถือ

"อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ"

เราลงมือรับประทานอาหารกันเงียบๆ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือว่าบรรยากาศระหว่างผมกับไซม่อนมันหนักอึ้งลงมาจริงๆ กันแน่

ผมเหลือบตาขึ้นมองเขา ชายหนุ่มกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือพร้อมกับยกส้อมที่จิ้มเบค่อนค้างเอาไว้เข้าปาก รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศตอนนี้จนเหมือนจะหายใจขัด สารภาพเลยว่าวินาทีที่ผมเห็นเขาถือมีดตอนอยู่ในครัวเมื่อครู่ ผมนึกว่าเขาจะพุ่งเข้ามาลงคมมีดบนหน้าอกข้างซ้ายของผมแล้ว

“คุณเงียบๆ ไปนะ ออสติน” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมว่า ตายังไม่ละขึ้นจากหน้าจอมือถือ “ยังไม่หายตกใจจากเรื่องเมื่อวานเหรอครับ”

“เปล่า… ไม่เชิงครับ” ผมงึมงำ

“แล้วคุณเป็นอะไร”

“ผมมีเรื่องอื่นที่กำลังคิดหนักอยู่”

“เช่นเรื่องอะไรครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนจะตอบตรงๆ

“ผมเคยได้รูปถ่ายของแบรดมาจากคริสเตียน”

คำพูดที่ทะลุขึ้นมาทำให้ไซม่อนชะงักไปอย่างรวดเร็ว ผมอาศัยจังหวะนั้นสังเกตปฏิกิริยาของเขา นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างขึ้น มีร่องรอยประหลาดใจฉายชัดขึ้นมาหากวินาทีถัดไปก็ดับวูบ ผมดูเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าที่เขามีแววตาแบบนั้นเป็นการแสร้งทำรึเปล่า

ไซม่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม "คุณพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ ออสติน"

“เมื่อหลายเดือนก่อนผมได้กล่องใบหนึ่งมาจากใครบางคน กล่องนั้นไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ส่ง แม้แต่ที่อยู่ผู้รับยังเป็นตัวตัวหนังสือพิมพ์เลย”

ไซม่อนนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคนที่ตามอะไรได้เร็ว “คุณก็เลยคิดว่าคริสเตียนเป็นคนส่งกล่องใบนั้นมาให้คุณ?”

“ใช่ครับ”

“แล้วคุณได้เอาให้ตำรวจ--”

“เรียบร้อยแล้วครับ แต่ก็แกะรอยต่อไม่ได้”

“แล้วประเด็นของเรื่องนี้คืออะ--” เขาหยุดพูด มองหน้าผมอย่างรู้ทัน “มีรูปของพี่ชายผมอยู่ในนั้นงั้นเหรอ”

“ใช่” ผมสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าอมเทาของเจ้าตัวเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง “แต่ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาคือพี่ชายคุณ ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันหมายความว่ายังไง นอกจากรูปแล้วก็ของอีกสองชิ้น แต่ผมก็ยังหาความเชื่อมโยงของมันไม่ได้อยู่ดี”

“แล้วคุณจะพูดอะไรครับ”

ผมรู้สึกเดือดปุดขึ้นมากับท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย ลืมความกลัวที่มีเมื่อครู่ไปจนหมด ผมลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ จ้องหน้าเขา หากน้ำเสียงที่ผ่านริมฝีปากออกมาเรียบสงบติดจะเย็นเยียบ

“ผมจะพูดอะไรงั้นเหรอ? ผมไม่มีอะไรจะพูดหรอก ไซม่อน คุณต่างหากที่มีอะไรจะพูด ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องปิดบังผม ทำไมคุณถึงไม่เริ่มจากเรื่องรูปของแบรดที่ผมได้จากคริสก่อนล่ะ”

“ออสติน คุณ...” เจ้าตัวดูเหวอไปนิดหนึ่ง หากยังรักษาท่าทีเยือกเย็นไว้ได้ “ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าไหมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่องของคริสกับ---”

“คุณจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ” ผมกัดฟันกรอด มองคนตรงหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าเจ้าตัวครุ่นคิด หากลักษณะเหมือนยอมรับนั่นทำให้ผมทั้งรู้สึกมีชัยและผิดหวังไปพร้อมๆ กัน “ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในด้วย ไซม่อน คุณรู้อะไรทำไมถึงไม่บอกมาตรงๆ”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่”

เหมือนเส้นความอดทนในหัวขาดผึง ผมกำมือแน่น จ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง หมุนตัวจ้ำเท้ากลับไปยังห้องนอน พอกันทีกับบทสนทนาที่ไม่คืบหน้าไปไหน ผมจะไม่ทนอยู่กับคนที่มีเรื่องปิดบังผมอย่างหมอนี่หรอก

“เดี๋ยวก่อน ออสติน” เสียงของเขาไล่หลังมา มือหนาพยายามเอื้อมมาคว้าแขนผม แต่ผมเบี่ยงหลบ

“ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ”

“ฟังก่อน ผมอธิบายได้ มันก็จริงอยู่ที่ผมมีเรื่องปิดบังคุณ”

ผมตรงไปหยิบชุดลำลองของตัวเองที่พับวางเอาไว้บนเก้าอี้ ถอดชุดนอนที่ไซม่อนให้ยืมออกแล้วหยิบของตัวเองขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็ทำหูทวนลมกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วย

“แต่ผมบอกคุณไม่ได้เพราะเรื่องพวกนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยจริงๆ มันเกี่ยวกับแบรด… และมันอาจจะเกี่ยวกับคริสเตียนด้วยก็ได้ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

“คุณจะบอกว่าเรื่องของคริสเตียนไม่เกี่ยวอะไรกับผมเหรอ?” ผมหันกลับไปถามเขาอย่างเอาเรื่อง ดวงตาวาววับขนาดที่ตัวเองยังรู้สึกได้ “คุณก็รู้ว่าผมเกลียดเขาแล้วก็อยากให้ตำรวจจับเขาได้มากแค่ไหน แต่พอคุณรู้อะไรที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงหมอนั่นได้ คุณกลับไม่บอกผมอย่างนั้นเหรอ?”

“ฟังก่อน ออสติน มันไม่---”

“ผมว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะ” ผมยกมือห้ามเขา หยิบข้าวของทุกอย่างของตัวเองขึ้นมา ตรงไปหยิบเสื้อนอกที่ไซม่อนบรรจงแขวนให้เมื่อคืนตอนผมมาที่นี่ “ยังไงคุณก็จะไม่เล่าให้ผมฟัง และยังไงผมก็จะไม่ฟังคำแก้ตัวของคุณ ถ้างั้นก็เชิญคุณอยู่กับความจริงที่คุณปิดบังผมไว้คนเดียวเลย อ้อ ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังนะ ผมจะหาทางเอง คุณคงคิดว่ามีแต่พวกตำรวจหรือนักสืบเท่านั้นสินะที่จะหาความจริงได้ ผมไม่ใช่คนโง่นะไซม่อน ต่อให้คุณจะคิดแบบนั้นอยู่ก็เถอะ”

“ไม่ ออสติน ผมไม่ได้คิด-- ออสติน เดี๋ยวครับ คุณไม่ควรอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้นะ เมื่อวานคุณเพิ่งจะ--”

แต่ผมไม่ฟังเขา เดินกระแทกเท้าออกจากห้องพักของเขาจากนั้นจึงตบท้ายด้วยการกระแทกประตูอีกที

ไม่อยากบอกความจริงให้ผมรู้งั้นเหรอ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ผมจะตามหามันด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ตามจากเขาด้วย!





“นี่นายยังจะมาทำงานอีกเหรอ” เสียงของเพื่อนร่วมงานฟังดูตื่นตะลึง เขามองหน้าผมที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องราวกับเห็นเอเลี่ยนจากดาวอังคารบุกมา “เพิ่งเจอเรื่องไปหมาดๆ ยังจะกล้ามาอีก นี่สปิริตหรือว่าบ้าเนี่ย? ออสติน”

“หนวกหูน่า แม็กซ์ แล้วตอนที่คนร้ายมันบุกเข้ามาเอาตัวฉันไปน่ะ นายไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ” ผมถามกลับอย่างหงุดหงิดขณะกระชับเครื่องแบบของตัวเองขึ้นสวม

“ตอนนั้นฉันไปตึกกลางพอดี… เฮ้ย แล้วนี่เดฟยอมให้นายมาทำงานเรอะ ถ้าหมอกอร์แมนรู้เรื่องนี้เข้ามีหวังโดนด่าแหลกแน่”

ผมเดินลิ่วๆ ไปที่เคสของตัวเอง ไม่สนใจคำพูดโวยวายของชู ผมจะใช้โอกาสที่ตัวเองได้บัตรพนักงานกลับมาใช้ตามหาความจริงด้วยตัวเอง จริงๆ แล้วผมเองก็เป็นหมอคนหนึ่ง… การที่จะเข้าถึงข้อมูลภายในไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย แต่ผมดันลืมนึกถึงข้อนี้ไปเสียได้

“เฮ้ แม็กซ์” ผมโผล่หน้าเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังตรวจสอบร่างไร้วิญญาณอีกร่างหลังจากที่ทำงานของตัวเองต่อไปได้อีกครู่ “ฉันว่าจะไปทำรายงานสรุปคืนนี้สักหน่อย ที่ออฟฟิศคอมฉันยังว่างอยู่ไหม”

“ว่าง” เขาตอบกลับโดยไม่หันหน้ามามองผม “ของริสก็ว่าง แต่ของนายเองน่าจะคุ้นกว่าล่ะมั้ง?”

“อื้อ” ผมตอบกลับก่อนจะขอตัวผละไปทำงานต่อ

หลังจากที่คิดว่ารวบรวมข้อมูลได้มากพอแล้วสำหรับวันนี้ ผมก็ตรงไปที่อาคารฝั่งตะวันตกที่อยู่เยื้องจากตึกที่ผมทำงานภาคปฏิบัติไป อันที่จริงมันก็ออกจะยุ่งยากไม่ใช่น้อยที่ต้องเดินจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งแบบนี้ แต่ตรงที่ทำงานจริงก็ไม่มีพื้นที่มากพอที่จะทำสำนักงาน ดังนั้นสำนักงานของเราจึงต้องมาอยู่ที่ตึกอีกตึกซึ่งเปิดเช่าให้องค์กรต่างๆ มาเช่าพื้นที่ แน่นอนว่าคนที่ใช้ไม่ได้มีแค่คนจากโรงพยาบาลของผมเท่านั้น

ผมนั่งลงทำรายงานสรุปไปได้ครู่ใหญ่ เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอีกทีท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำมืดแล้ว

“เฮ้ ออสติน” เสียงของแม็กซ์ดังขึ้น ผมขานรับในลำคอ ตายังไม่ละออกจากหน้าจอ “ฉันทำงานส่วนของฉันเสร็จแล้ว จะกลับบ้านล่ะนะ”

“อื้อ”

“เดฟเองก็กลับไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้ว”

“รู้แล้ว”

เขาเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือก

“นายแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียว”

“ไม่นานหรอก แม็กซ์ เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว” ผมว่า วางแผนในหัวเสร็จสรรพว่าพออีกฝ่ายไปจะจัดการหาข้อมูลที่ต้องการ

“นายเพิ่งโดนคนร้ายลากตัวไปเมื่อวานเองนะ” เขาพูดเสียงเป็นห่วง นั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ จะว่าไปไอ้ที่ผมกำลังทำอยู่นี่ถือว่าบ้าบิ่นมากๆ ยิ่งจะเหลือตัวคนเดียวอยู่ในอาคารที่แทบจะร้างผู้คนแล้วแบบนี้…

บางทีผมควรจะกลับตามที่ชูแนะนำ แต่ผมต้องหาข้อมูลนั่นจริงๆ

“แค่แป๊บเดียวจริงๆ”

ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของผมแล้วหย่อนอะไรบางอย่างลงไปในนั้น ผมมองตามก่อนจะต้องเบิกตากว้าง มันคือปืนพกสีดำขลับ สภาพดูค่อนข้างใหม่ ผมไม่รู้เรื่องยี่ห้อหรือรุ่นหรือขนาดอะไรพวกนั้นหรอกนะ รู้แต่ว่ามันคือปืนแน่แหละ

“อะไรเนี่ย” ผมถามทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่ามันคือปืน

“เผื่อนายต้องใช้… เอาเป็นว่าวันนี้ฉันลืมปืนเอาไว้ในสำนักงานก็แล้วกัน ถ้าใครถามน่ะนะ”

“แต่… นี่มัน” ผมอึกอัก จากที่ไม่กลัวอยู่จนถึงเมื่อครู่ ตอนนี้เริ่มหวาดหวั่นขึ้นมาจริงจัง “ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

“กันไว้ยังไงก็ดีกว่าแก้” เจ้าตัวว่าพร้อมกับยักไหล่ ผมหยิบปืนกระบอกนั้นขึ้นมาพิจารณา ว่าแต่ไอ้หมอนี่มีของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ไม่ยักรู้ “รู้วิธีใช้รึเปล่า นายต้องขึ้นนกตรงนี้ก่อน แล้วค่อยลั่นไก ทำเป็นใช่ไหม ลั่นไกน่ะ”

“รู้แล้วล่ะน่า” ผมชักสีหน้ากับน้ำเสียงล้อเลียนของอีกฝ่าย ยัดมันใส่กลับลิ้นชักที่เดิมก่อนจะบ่นอุบ “ยังไงก็ขออย่าให้ต้องได้ใช้เลย”

“นั่นสิ แล้วนี่นายแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียวได้”

“เถอะน่า ทิ้งปืนไว้ให้ฉันแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมว่า หันกลับไปให้ความสนใจกับหน้าจอตัวเองต่อ

“ตามใจ ยังไงก็อย่าประมาทแล้วกัน เจอกันนะ ออสติน”

ผมโบกมือลาเพื่อนร่วมงาน นั่งจมอยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำค้างต่ออยู่อีกครู่หนึ่ง

เหลือบตามองดูนาฬิกาอีกทีก็ผ่านมาเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว ผมเอาหนังสือที่ตัวเองเขียนค้างไว้อยู่มาทำต่อด้วย มันเลยเพลินกว่าที่ตั้งใจไว้ไปนิด

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ สำนักงานที่แสนคุ้นตา ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว ผมเองก็รู้เรื่องนั้นดีแต่ยังอดระแวงไม่ได้

ผมเปิดโปรแกรมที่เชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ทางการแพทย์ สิ่งที่ผมจะทำตอนนี้ก็คือหาผู้บริจาคอวัยวะและร่างกาย เดินไปหยิบโน้ตกระดาษซึ่งเป็นรหัสการเชื่อมต่อกับโอดีอาร์ มันคือชื่อย่อของศูนย์รับบริจาคโลหะและอวัยวะ รหัสตัวนี้เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่ใครหลายคนคิดมาก เพราะถึงแม้ว่าทางเบื้องบนจะกำหนดให้มีการเปลี่ยนรหัสทุกเดือน แต่เพราะเจ้าหน้าที่พยาบาลที่หมุนเวียนกันไปทำให้มีการเขียนรหัสผ่านแปะไว้ในโน้ตที่ว่า ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือมันเป็นความหละหลวมซึ่งถือเป็นความล้มเหลวของระบบ

แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ผมกำลังใช้ประโยชน์จากมัน เพราะงั้นมันก็ถือเป็นข้อดีสำหรับผมล่ะนะ

ผมเริ่มคีย์รหัสที่ได้มาลงในคอมพิวเตอร์หน้าจอของตัวเอง รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองเต้นดังและรัวขึ้นระหว่างที่มองลูกศรเปลี่ยนเป็นรูปวงกลมแล้วหมุนติ้วๆ อันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่ากำลังดาวน์โหลดข้อมูลอยู่


.
.
.
.
(50%)





---------------------------------------
Talk: เอาครึ่งตอนแรกมาฝากค่า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ >3<
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 17)(50%) P.3 [7/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-07-2017 12:55:19
[ต่อ]



ผมเริ่มคลิกเข้าไปในตัวโปรแกรมของโอดีอาร์ ไม่ค่อยได้เข้ามาใช้บริการเท่าไหร่หรอก แต่ตัวโปรแกรมก็ออกแบบมาได้เข้าใจง่ายดี

ภายในตัวโปรแกรมดังกล่าวขึ้นชื่อของผู้บริจาคยาวออกมาเป็นพรืด ผมเริ่มจากคีย์ข้อมูลให้จำกัดวงแคบลงมาโดยเหลือแต่ผู้บริจาคที่มีหมู่เลือดเอบี สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือมองหาชื่อของแบรด แมคแนร์

เวลายังคงเดินไปอย่างปกติ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้มันจบ ความกดดันดังกล่าวจึงกดทับบ่าลงมา

ผมยกลิ้นขึ้นเลียริมฝีปาก กวาดตามองรายชื่อทั้งหมดอย่างร้อนรน จนกระทั่งสายตาไปสะดุดอยู่บนชื่อของแบรดเข้า เกือบจะอุทานออกมาด้วยความยินดีอยู่แล้วแต่ก็กลั้นไว้ได้ ผมตวัดสายตามองที่หลังชื่อเขาอย่างรวดเร็ว มีเครื่องหมายดอกจันและตัวอักษรดีอยู่ท้ายชื่อของเขา

ผมรู้ความหมายของตัวอักษรดีนี่ มันเป็นตัวย่อ หมายถึงผู้บริจาคอวัยวะ คนพวกนี้จะลงชื่อเอาไว้เผื่อเวลาที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ทางโรงพยาบาลจะมองเห็นสัญลักษณ์นี่บนใบขับขี่หรืออะไรก็ตามเพื่อที่จะได้เอาอวัยวะไปได้อย่างทันท่วงที

แต่ดอกจันสามดอกนี่… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหมายความว่าอะไร

“อืม…” ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด ไล่หารายชื่ออื่นๆ ดู บางชื่อก็มีทั้งสัญลักษณ์ตัวดีและดอกจัน บางชื่อก็มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง

ผมกดเข้าไปดูในส่วนอื่นๆ ของทางเว็บ ในที่สุดก็ค้นพบว่าเครื่องหมายดอกจันนี่หมายถึงซีเอ็มวีเนกาทีฟ จะว่ายังไงดี… คนส่วนใหญ่แล้วจะมีไวรัสในกระแสเลือดซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตที่เรียกว่าซีเอ็มวี แต่การที่มีเครื่องหมายดอกจันนี่แปลว่าคนคนนั้นไม่มีซีเอ็มวีที่ว่า นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญเวลาใช้จับคู่ระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับบริจาคอวัยวะ แปลว่าเราสามารถหาข้อมูลตัวนี้ผ่านทางโอดีอาร์ได้ด้วยสินะ

ผมยกลิ้นเลียริมฝีปาก กดปุ่มปรินท์รายชื่อของผู้บริจาคกรุ๊บเลือดเอบีออกมาทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะได้ใช้ประโยชน์อะไรไหม แต่ก็อยากจะเก็บเผื่อเอาไว้หน่อย

ผมพยายามดูว่าตัวเองจะเข้าไปถึงลข้อมูลเชิงลึกกว่านี้ได้ไหม ผมกดปุ่มที่เป็นเครื่องหมายไอค่อนรูปหัวใจบนหน้าจอ มันขึ้นมาให้ใส่รหัสผ่าน ผมพิมพ์รหัสเดิมที่อยู่บนกระดาษเข้าไป แต่ไม่ได้ผล มันไม่ใช่รหัสเดียวกัน

“ฮืม...” ผมพ่นลมหายใจออกมาเพื่อผ่อนคลายตัวเอง ตัดสินใจลุกไปป้วนเปี้ยนที่คอมของเดวิดอันเป็นที่ที่ผมได้รหัสตัวแรกมา ควานหาโน้ตหรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นรหัสได้ ผมเจอมาสองสามใบเหมือนกัน ดีที่ผมเริ่มลงมือทำตามแผนในเวลาที่ไม่มีใครอยู่แบบนี้ ไอ้เรื่องที่อาจโดนใครจับได้อาจไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเกิดว่าผมโดนจับได้ขึ้นมาจริงๆ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าละเมิดกฎไปนานแล้ว แต่มาถึงขั้นนี้…

ผมคีย์รหัสใหม่ที่ได้มาเข้าไปอีกครั้ง เข้าไปยังฐานข้อมูลที่ต้องการด้วยรหัสอันที่สองจากที่หยิบมา เกือบจะร้องตะโกนด้วยความยินดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าผมมีเรื่องสำคัญอย่างอื่นให้ทำก่อนล่ะก็นะ

“เอาล่ะ แบรด แมคแนร์… แบรด แมคแนร์” ผมไล่สายตาหาชื่อเจ้าของหัวใจคนก่อนของผม เจอไฟล์ข้อมูลของเขาแล้ว

ผมคลิกเข้าไปดูแล้วไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็ว รู้สึกเหมือนอะดรีนารีนสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง ก่อนความลิงโลดจากการค้นพบนั้นจะค่อยๆ มอดลงเมื่อผมอ่านเนื้อหาสั้นๆ ที่ระบุอยู่ด้านใน



เสียชีวิตระหว่างถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล อวัยวะภายในไม่สามารถใช้การได้



ผมตัวชาวาบ รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทาบลงมาบนตัว

คำอธิบายที่อยู่ในไฟล์นั้นสั้น กระชับและได้ใจความ

ผมพยายามหาปุ่มเพื่อเพื่อกดคลิกดูรายละเอียดอย่างอื่นเกี่ยวกับแบรด แต่ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่าสิ่งที่ระบุอยู่ในหน้าแรกอีกแล้ว

แบรดตายก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล อันที่จริงต่อให้คุณตายไปแล้วแต่ถ้าอวัยวะด้านในยังใช้งานได้อยู่ มันก็มีสิทธิ์ที่จะโอนถ่ายไปให้คนอื่นได้ เอ่อ เวลาที่เกิดการโอนถ่ายระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับบริจาคก็เป็นแบบนั้นแหละ เราไม่สามารถโอนถ่ายอวัยวะภายในของคนที่ยังไม่ตายมาให้อีกคนได้อยู่แล้ว

แต่จากรายงานที่เห็นนี่… สรุปได้ใจความสั้นๆ ง่ายๆ เลยว่าอวัยวะภายในของเขาไม่ได้เกิดการโอนถ่ายใดๆ มันหยุดทำงานลงไปก่อนแล้วตั้งแต่ตอนที่ร่างของเขาอยู่ระหว่างการเดินทางมาโรงพยาบาล

ผมได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงในคออย่างอึดอัด รู้สึกเหมือนโดนความจริงตบลงมาจนหน้าชาไปทั้งแถบ

ไซม่อนโกหกผม…

เรื่องนี้ชัดเจนมากพอแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าควรรู้สึกกับเรื่องนี้ยังไงดี หรือว่าควรจะพูดกับเขายังไงหลังจากนี้ รู้อยู่อย่างเดียวคือโกหกผม และมันก็ทำให้ผมโกรธมาก ในหัวตื้อไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก

ไอ้สารเลวไซม่อน ทำกันได้นะ

ผมกดออกโปรแกรม ปิดหน้าจอ ปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วนำโน้ตรหัสไปวางที่เดิม ในใจโกรธกรุ่นไปหมด นึกสาปแช่งเจ้าหน้าที่หนุ่มจอมโกหกคนนั้นจนคิดเรื่องอื่นไม่ออก

ผมโยนกระดาษรายชื่อที่เพิ่งปรินท์ออกมาเข้ากระเป๋าส่วนตัว รวบของทั้งหมดยัดลงไป ปิดไฟและล็อกห้องทำงาน มุ่งหน้าไปตามโถงทางเดินด้วยอารมณ์ที่ปะทุอยู่ด้านใน กระแทกประตูกระจกของตัวอาคารอย่างหัวเสีย ก้าวเท้าฉับๆ เข้ามาในลานจอดรถซึ่งจะเชื่อมไปยังพื้นที่ด้านนอก ผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถไปไหนมาไหนได้เอง แท็กซี่จึงเป็นทางเลือกเดียวของผม

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินตัดผ่านลานจอดไปยังถนนภายนอกได้ ผมก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกจากมุมมืดของลานจอดรถ

เขาอยู่ห่างออกไปจากผมราวสี่สิบเมตรได้ รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ สวมหมวกปีกกว้างที่ปิดต่ำลงมาทำให้เห็นหน้าได้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก เขาสวมเสื้อคอปกอยู่ด้านในเสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำ จังหวะการก้าวเดินของเขามีรังสีคุกคามบางอย่างแผ่ออกมา ไม่ว่าจะด้วยสัญชาติญาณหรืออะไรก็ตาม สายตาผมเหลือบไปเห็นสิ่งที่เหมือนปลายด้ามมีดสั้นอยู่ใต้เสื้อแจ๊คเก็ตที่เปิดออกในจังหวะที่เขาย่างก้าว

ผมหยุดฝีเท้าของตัวเองลงทันที ตัวแข็งเป็นหิน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายตรงมาที่ตัวเองยิ่งทำให้ความกลัวทาบเข้ามาในอก วินาทีนั้นราวกับว่ามีแค่ผมกับชายคนนั้น ผมมีทางเลือกอยู่แค่สองทางในหัวตอนนี้ จะสู้หรือจะหนี ความกดดันนั้นกระตุ้นให้ผมเลือกอย่างรวดเร็ว สมองผมประมวลผลออกมาฉับพลัน มันบอกผมว่าชายคนนี้คือคนที่ลากตัวผมไปกรีดแผลที่ขาเมื่อวาน และเขามีอาวุธ

และตอนนี้สมองก็กำลังสั่งให้ผมวิ่ง!

ผมหมุนตัวและออกวิ่งกลับไปยังตัวอาคารที่เพิ่งออกมา

“อึก!” ผมหลุดเสียงออกมาสั้นๆ ความหวาดกลัวที่ล้นปรี่ขึ้นมาทำให้สมองคิดหาทางหนีทางไล่อย่างรวดเร็ว และผมก็นึกถึงปืนที่ชูทิ้งไว้ให้ในลิ้นชักออกทันที

ปืน… ต้องไปเอาปืน!

ผมต้องเป็นฝ่ายฆ่าไม่งั้นก็โดนฆ่า ซึ่งผมไม่ขอเป็นอย่างหลังแน่ล่ะ

เนื่องจากนี่เป็นเวลาหลังเลิกงาน ประตูอาคารจึงล็อกอัตโนมัติหลังจากที่ผมเดินออกมา ผมรีบวิ่งกลับไปทางเดิม ล้วงกระเป๋า กระชากคีย์การ์ดขึ้นมาไว้ในมือ เศษเหรียญจากในนั้นหล่นลงกระทบกับพื้น เสียงฝีเท้าของชายคนนั้นยังดังไล่หลังมา ผมหอบหายใจถี่ขึ้นด้วยความกลัว อะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วร่างจนร้อนผ่าวไปหมด

ผมแตะคีย์การ์ดลงบนเครื่องแสกนที่อยู่บนผนังข้างประตู ผลักประตูเข้าไปอย่างแรงเมื่อได้ยินเสียงติ๊ดสั้นๆ ซึ่งบ่งบอกว่าล็อกถูกเปิดออกแล้ว ผมถลาเข้าไปข้างในตามโถงทางเดิน วิ่งตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง จากหางตา ผมเห็นชายคนนั้นคว้าประตูที่กำลังจะงับปิดลงได้ทัน ผมสบถออกมาอย่างร้อนรน

หมอนั่นยังตามมาอยู่… ถ้าไม่รีบไปเอาปืนล่ะก็…

คีย์การ์ดยังอยู่ในมือ ผมรีบทาบมันลงเครื่องแสกนของห้องทำงาน สัญญาณไฟสีแดงกระพริบขึ้นมาบ่งบอกว่าไม่สามารถเปิดประตูออกได้ ผมอ้าปากค้างอย่างตกใจ พยายามขยับตัวบัตรลงบนเครื่องแสกนอีกรอบ ก็เมื่อตอนช่วงเย็นผมยังใช้มันเปิดประตูได้อยู่เลย

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายยังไล่ตามมาด้านหลัง ผมพลิกบัตรพนักงานของตัวเองไปอีกฝั่ง สัญญาณไฟสีเขียวกระพริบขึ้นมา ประตูเปิดออกในที่สุด ผมดันตัวเข้าไปในห้องทำงาน รีบหันกลับไปกระแทกประตูปิดลงก่อนจะลงล็อก ถลาไปเปิดสวิทช์ไฟ เดินผ่านโต๊ะที่เป็นเหมือนแผนกต้อนรับ ผ่านโต๊ะตัวอื่นที่เรียงรายกันจนไปถึงโต๊ะของตัวเอง กระชากลิ้นชักเปิดออก หยิบปืนออกมาจากซองด้วยมือที่สั่นเทา ได้ยินเสียงกุกกักที่อยู่ข้างนอกนั่น

ผมเล็งปืนไปที่บริเวณเสียงนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหลับตาแน่น ยกปืนขึ้นเหนือหัวแล้วยิงนัดแรกขึ้นเพดาน แรงดีดกลับทำให้ไหล่ชาไปทั้งแถบ มือก็หนักอึ้งไปหมด เสียงสะท้อนดังลั่นอยู่ในพื้นที่ปิดที่คับแคบ

เอาซี่… ถ้าอยากจะเข้ามาล่ะก็…

เข้ามาเลย!

ผมยังได้ยินเสียงของคนด้านนอก ผมตัดสินใจยิงปืนขึ้นบนเพดานอีกนัดหนึ่ง ดูเหมือนคราวนี้เสียงฝีเท้าที่ผมกลัวนักหนาจะเริ่มห่างออกไป บางทีมันอาจจะถอยตั้งแต่ได้ยินเสียงปืนนัดแรกแล้วก็ได้ แต่ผมไม่ทันจับสังเกตเท่านั้นเอง

“แฮ่ก… แฮ่ก” ผมทิ้งน้ำหนักลงบนขาทั้งสองข้าง มันโงนเงนเหมือนจะล้ม รู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาดื้อๆ ผมเอื้อมมือไปควักโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาไซม่อนอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด วินาทีนั้นความโกรธที่มีต่อเขาไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว

โชคดีที่อีกฝ่ายรีบสายเร็วทันใจ เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาหลังจากกริ่งที่สอง

“ฮัลโหล ว่าไงครับ ออสติน นี่คุณได้อ่านข้อความที่ผม---”

“คนร้ายคนนั้นกลับมาหาผม!”

ปลายสายนิ่งไปทันที “คุณว่าไงนะ”

“ก็ไอ้คนที่จับตัวผมไปเมื่อวานไง!” ผมพูดเสียงดังและค่อนข้างรัวด้วยอารามตกใจ ตอนนี้ร่างผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นเรียบร้อยแล้ว “มัน… มันวิ่งตามผมเข้ามาในสำนักงานเมื่อกี้!”

“ออสติน ใจเย็นๆ ก่อน ตั้งสติหน่อย ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้วคนร้ายที่ว่าอยู่ที่ไหน”

ผมหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย เสียงที่ผมกรีดลงไปในโทรศัพท์เมื่อกี้ดูเหมือนคนจนตรอกมาก ความเครียดในช่วงเวลานี้มันบีบอัดเข้ามาจนจะทำให้ผมเป็นบ้า

ผมพยายามเรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับคืนด้วยการสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อสติเริ่มกลับคืนมาผมจึงกรอกเสียงลงไปอีกครั้ง

“ผมอยู่ที่สำนักงานของหน่วยผมน่ะ ไม่ใช่ในโรงพยาบาลนะ แต่เป็นตึกข้างๆ ผมเจอมันที่ลานจอดรถ ก็เลยวิ่งกลับเข้ามาในตึก มันตามผมเข้าด้วย แต่ตอนนี้ไอ้คนร้ายมันไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมยิงปืนไปสองนัดแล้วมันก็--”

“นี่คุณมีปืนด้วยเหรอ” น้ำเสียงของเขาดูตกใจ

“ใช่ ก็มีน่ะสิ! แต่มันไม่สำคัญหรอก” ผมตะโกนกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า ปัดโธ่เว้ย คนกลัวจนประสาทจะเสียอยู่แล้วยังจะมาถามอะไรไม่เข้าท่าอีก

“เอาล่ะ ออสติน ฟังผมนะครับ ผมจะไปถึงที่นั่นภายในสิบนาที คุณรออยู่ข้างในสำนักงานนั่นของคุณ ถ้าไม่ใช่ผมล่ะก็ ห้ามเปิดประตูรับใคร เข้าใจไหม”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ไปไหนแน่ แล้วก็จะไม่เปิดประตูรับใครด้วย”

“พอผมไปถึงแล้ว อย่ายิงผมเข้าแล้วกันไม่ว่าจะตั้งใจหรืออุบัติเหตุก็แล้วแต่ ผมยังไม่อยากตาย”

“แต่ถ้าคุณไม่รีบมา ผมอาจจะตายก่อนจริงๆ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวอย่างน่าสมเพช

“เขาต้องการตัวคุณไปทำไมกัน”

“ผมจะไปรู้ได้ไง”

“คุณเห็นหน้าเขารึเปล่า--”

“นี่ ทำไมคุณถึงไม่เลิกถามคำถามแล้วรีบๆ มาหาผมสักที!” ผมเริ่มพูดด้วยอาการลนลานขึ้นมาอีกรอบ และเพราะใส่อารมณ์มากเกินไปผมถึงได้บีบมือแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เสียงปืนดังลั่นขึ้นนัดหนึ่งอย่างน่ากลัว ลูกกระสุนฝังลงไปในพื้น ผมสะดุ้งสุดตัวราวกับเป็นคนที่โดนยิงเสียเอง

“ออสติน!” ไซม่อนเรียกชื่อผมอย่างเสียขวัญ “เกิดอะไรขึ้น!? คุณโอเครึเปล่า?”

ผมนิ่งเงียบไป ยังตกใจเสียงปืนเมื่อครู่อยู่

“ออสติน!!”

“ผะ… ผมโอเค” ผมอึกอัก หน้าร้อนขึ้นอีกครั้งด้วยความอาย “ผมปลอดภัยดี”

“คุณยิงเขางั้นเหรอ ออสติน คุณยิงโดนเขาเหรอ?”

ผมไม่ตอบ ไม่รู้จะตอบยังไงดีมากกว่า

“เขาตายรึเปล่า”

“รีบๆ มาหาผมเถอะ” ผมคราง “ได้โปรด”

ปลายสายมีสุ้มเสียงอ่อนลงทันที “ผมจะรีบไปครับ รอผมหน่อยนะ”





----------------------------------------------------
Talk: ครึ่งหลังนี่ดูมีอะไรเยอะจนไม่รู้จะจับประเด็นไหนดีเลยค่ะ เอาเรื่องที่ไซม่อนโกหกหรือเรื่องที่คนร้ายวิ่งตามออสตินหรือเรื่องที่นางทำปืนลั่นดี 55555555 //ส่วนตัวแล้วชอบฉากออสตินทำปืนลั่นมาก น่ารัก(?)
#ไซออส #sweetsanc
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 17)(100%) P.3 [9/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 09-07-2017 16:47:12
ร้องห๊ะดังมาก
แล้วไซม่อนโกหกไปเพื่ออะไร
หรือหัวใจของออสตินตอนนี้จริงๆเป็นของคริสเตียน
แต่ไม่อยากบอกให้ออสตินรู้กลัวจะรังเกียจ
พอคิดงี้แล้วไซม่อนก็แทบไม่เกี่ยวอะไร
งงในงง
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 17)(100%) P.3 [9/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-07-2017 17:20:34
ร้องห๊ะดังมาก
แล้วไซม่อนโกหกไปเพื่ออะไร
หรือหัวใจของออสตินตอนนี้จริงๆเป็นของคริสเตียน
แต่ไม่อยากบอกให้ออสตินรู้กลัวจะรังเกียจ
พอคิดงี้แล้วไซม่อนก็แทบไม่เกี่ยวอะไร
งงในงง

งง งงเด้ๆๆ  :really2: :really2: :really2:
ไม่เข้าใจไซม่อน
แทนที่จะรีบมาช่วย มัวแต่ซักถามเห็นหน้าคนร้ายไหม
มันยังไง หรือไซม่อนรู้เห็น การข่มขู่นี่ด้วย
ที่แน่ๆ ไซม่อนโกหกเรื่องหัวใจที่ว่าเป็นของแบร็ดและ เพิ่ออะไร  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 17)(100%) P.3 [9/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 12-07-2017 19:11:37
ตอนนี้ไม่รู้นะว่าไซม่อนเข้ามาเพราะเรื่องอะไร
อาจจะอ้างเรื่องแบรดเพราะคิดว่ายังไงออสตินก็ไม่น่ารู้ว่าคนที่บริจาคเป็นใคร จะไปสืบก็ไม่ได้เพราะถูกพักงานอยู่ เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆค่อยดูแลปกป้องก็ได้

แต่ตอนนี้ระทึกกับคนที่จะลอบมาทำร้ายออสตินมาเลย คือเกร็งทีเดียวอ่ะตอนนี้ ต้องขอบคุณโชจริงๆที่ทิ้งปืนไว้ไม่งั้นแย่แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 17)(100%) P.3 [9/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 14-07-2017 17:49:27

บทที่ 18



ไซม่อนมาถึงในอีกแปดนาทีต่อมา แต่ผมรู้สึกเหมือนรอเขานานเป็นชั่วโมง

เงาตะคุ่มๆ สีดำปรากฏอยู่บนกระจกฝ้าของห้องทำงาน อีกฝ่ายเคาะประตูรัวๆ ขณะเอ่ยเรียกผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ออสติน! นี่ผมไซม่อนเอง เปิดประตูให้ผมที”

ผมกระชับปืนในมือตัวเองให้มั่นขึ้นแม้จะรู้สึกเหงื่อที่ซึมออกมาจนด้ามจับเปียกไปหมดก็ตาม ลุกขึ้นไปปลดล็อกให้ชายผู้มาใหม่ ไซม่อนก้าวเข้ามา ในมือของเขามีปืนอยู่เช่นกัน ท่าทีระแวดระวังหน้าหลังของเขาดูเป็นมืออาชีพมาก ต่างกับผมที่เกือบจะทำปืนหลุดมือไปหลายรอบแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นบ้างครับหลังจากที่คุณวางสาย”

“ไม่… ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผมว่าหมอนั่นคงตกใจเสียงปืนที่ผมยิงขึ้นเพดานไป”

“อะไรนะ”

ผมปิดประตูลงกลอนออฟฟิศทำงานของตัวเองด้วยความหลอนก่อนจะชี้นิ้วไปที่รูบนเพดานซึ่งเกิดจากกระสุนในปืนที่ผมถือ

“แล้วนัดสุดท้ายนั่นล่ะครับ”

“เอ่อ…” ผมหน้าร้อนวูบขึ้น ชี้นิ้วไปที่รูโหว่ที่อยู่บนพื้นแทน ไซม่อนมองตามมือผม ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อ ผมยักไหล่ “ปืนมันลั่นน่ะ”

“คุณนี่มัน…”

“ผมไม่เคยยิงปืนมาก่อนนี่”

“ส่งปืนคุณมาให้ผมดีกว่าครับ ก่อนที่คุณจะทำมันลั่นจนตัวเองตาย”

ผมส่งปืนให้เขาอย่างว่าง่าย ไซม่อนรับมันไปเหน็บไว้กับขอบกางเกง

“คุณไม่มีปืนที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมายนี่ ผมเช็คดูแล้ว”

“อะไรนะ คุณพูดว่าคุณเช็คอะไรนะ?”

“เฮ้ ผมเคยเช็คเรื่องคุณมาก่อนที่จะไปหาคุณที่บ้านไง จำได้ไหม” เขารีบพูดเมื่อเห็นท่าทีเดือดดาลของผม “แล้วตกลงปืนนี่มันยังไง”

“เป็นของเพื่อนร่วมงานผมที่ชื่อแม็กซ์ ชูน่ะ”

ไซม่อนพยักหน้ารับ เงยหน้ามองรูบนเพดานสองรูและรูบนพื้นอีกรอบก่อนจะส่ายหน้า ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบกับท่าทีอ่อนใจของเขา หากยังไม่ทันได้โวยวายอะไร ร่างสูงก็ตรงเข้ามากอดผมแนบกับอก ผมเบิกตากว้างนิดหนึ่งอย่างตกใจ และเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขาผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตอนที่เผชิญหน้ากับคนร้ายเมื่อครู่ทำให้ผมกลัวแค่ไหน

“ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่” เสียงอ่อนโยนกระซิบที่ข้างหู “กลัวว่าคุณจะเป็นอะไร”

ผมไม่ตอบ นึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองผลุนผลันออกจากคอนโดของเขามาเมื่อเช้าแล้วทำให้ไม่อาจทำตัวอ่อนหวานกับเขาอย่างทุกทีได้ แถมยังมีเรื่องหัวใจที่ผมเพิ่งค้นพบอีก เรามีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันยาวเกินไป และผมไม่อยากให้ความหวานของรูปแบบความสัมพันธ์เรามาขัด

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” ผมพูดตรงๆ

“เราจะนั่งคุยกันตรงนี้เลยไหมครับ”

ผมส่ายหน้า “คุณขับพาไปที่บ้านผมได้ไหม แต่แวะซื้อของสดก่อนกลับหน่อยนะ ที่บ้านผมไม่มีอะไรติดตู้เย็นเลย” นี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ข้าวกลางวันก็ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังต้องมาเจออะไรแบบเมื่อกี้อีก หิวจะตายอยู่แล้ว

“งั้นมาที่ห้องผมดีกว่าไหมครับ ผมพอมีเนื้อกับ--”

“ไม่ ผมไม่ไปห้องคุณ” ผมจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ไซม่อนก็เหมือนรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องถอยให้ผม ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้ผมหลุดมือไปเลย

“ได้ครับ เราไปบ้านคุณก็ได้ ผมจะขับพาคุณไปเอง”

พวกเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงระหว่างทาง ผมเลือกเนื้อในการทำสเต็กใส่รถเข็น หยิบเส้นสปาเกตตี้ใส่ตามเพราะตั้งใจจะทำเป็นเครื่องเคียง ผมถามไซม่อนว่าโอเคกับเมนูที่ว่าไหมและเขาก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เขาหยิบเบียร์ใส่รถเข็นมากระป๋องหนึ่ง ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยดื่มเวลาอยู่กับผม เพราะเขาไม่อยากให้ผมรู้สึกไม่ดีที่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แต่เหมือนวันนี้จะเกินขีดจำกัดของเขาเหมือนกัน

เราแทบไม่พูดจาอะไรกันเลยตลอดทาง พอหายตกใจเรื่องที่คนร้ายวิ่งไล่ผม อารมณ์คุกรุ่นที่สั่งสมก็เริ่มปะทุออกมาอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากจะโพล่งถามออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้านสุขุมของผมเตือนเอาไว้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ยิ่งเพราะเราเพิ่งทะเลาะกันเมื่อเช้า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ตอนนี้เรียกได้ว่าแขวนอยู่บนเส้นด้ายทีเดียว และเพราะสายใยกับความรู้สึกที่ยังมีให้เขา ผมจึงยังอยากรักษามันไว้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนผมรึเปล่า

ทันทีที่ถึงบ้าน ผมไล่ให้ไซม่อนไปอาบน้ำเพื่อที่ตัวเองจะได้เตรียมข้าวเย็น

“ออสติน” เจ้าตัวยิ้มบางๆ เหมือนลำบากใจ น้ำเสียงเอาอกเอาใจทีเดียว “ไปอาบด้วยกันไหมครับ จะได้ออกมาช่วยกันทำทีเดียว”

“คุณไปเถอะ” ผมตอบกลับอย่างเย็นชา “ผมไม่มีอารมณ์อยากอาบกับใครวันนี้”

นั่นแหละเขาถึงยอมถอยไปได้ หน้าเจื่อนสนิททีเดียว แต่นี่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้นแหละ

ผมผสมเนื้อกับซอสให้เคล้าเข้ากัน นำเส้นสปาเกตตีใส่หม้อต้มระหว่างที่หมักเนื้อไปด้วย พอได้ขยับตัว คิดเรื่องสูตรผสมแทนเรื่องวุ่นวายอื่นๆ ที่อยู่ในหัว ผมก็รู้สึกว่าความตึงเครียดของตัวเองลดลง

ไซม่อนเข้ามาวุ่นวายในครัวหลังจากที่อาบน้ำเสร็จสรรพ อยู่ในชุดนอนเรียบร้อย ผมยังทำตัวเย็นชากับเขาอยู่ แต่ก็ยอมให้เจ้าตัวช่วยยกอาหารออกไปจัดวางในท้ายที่สุด

หลังจากที่ลงมารับประทานอาหารกันไปได้กว่าครึ่ง สปาเกตตี้ที่เป็นเครื่องเคียงพร่องลงไปเกือบหมดแล้ว อารมณ์ของผมก็กลับมาคงที่และสงบพอที่จะถามเขาตรงๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่เด็ดขาด

“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงต้องหลอกผมเรื่องหัวใจ”

มือของไซม่อนที่กำลังใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเต็กคำสุดท้ายเข้าปากค้างอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างน่าขัน แต่ผมไม่มีอารมณ์หัวเราะออกมา

ผมรู้ดีว่าเขาคงไม่ทันรับมือกับเรื่องนี้ เมื่อเช้าผมคาดคั้นเขาเรื่องรูปถ่ายของแบรดที่คริสเตียนส่งมาให้ผม ตกเย็นผมคาดคั้นเขาเรื่องหัวใจที่ไม่ได้เป็นของแบรดอย่างที่เขากล่าวอ้าง ไซม่อนจนแต้มแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นให้เขานอกจากเล่าความจริงให้ผมฟัง

เขาตัดสินใจเอาสเต็กชิ้นนั้นเข้าปากหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมยกแก้วน้ำเปล่าของตัวเองขึ้นดื่มในขณะที่มองกระป๋องเบียร์ข้างเขา ผมมีเวลารอเขากินเสร็จอยู่แล้ว ไม่ได้รีบร้อนอะไร

“ทำไมคุณถึงคิดว่าหัวใจที่คุณได้ไปไม่ใช่ของแบรดล่ะครับ”

ผมเหยียดยิ้ม แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนอ่อนใจ ก่อนจะตอบกลับ

“คุณจะเอาแบบนี้ใช่ไหมครับ ไซม่อน อยากเล่นเกมกับผมใช่ไหม แล้วคุณจะประหลาดใจมากถ้ารู้ว่าผมทำอะไรได้บ้างกับกระดานเกมนี้ของพวกเรา”

“ไม่” เป็นเขาเองที่ต้องหลุบตาต่ำลง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยนั่นฉายแววหวาดหวั่น “ผมไม่ได้อยากเล่นเกมกับคุณ”

“คุณโกหกผมเรื่องหัวใจทำไม”

เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมตรงๆ หลังจากรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้อีกครั้ง

“คุณเข้าไปในเว็บของโอดีอาร์ใช่ไหม”

“ตอบคำถามผม ไม่ใช่ตั้งคำถาม ไซม่อน หมากเกมนี้ผมคือคนคุม ถ้าทำตามไม่ได้ก็ไสหัวออกไปจากบ้านผมซะ”

ร่างสูงดูอึ้งไปกับท่าทีเด็ดขาดแบบนั้นของผม ผมก็รู้แหละว่าตัวเองใจร้ายที่บอกให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนกับตัวเองเมื่อชั่วโมงก่อน แต่มาตอนนี้ก็ทำท่าจะไล่เขากลับบ้านเสียแล้ว

เจ้าหน้าที่หนุ่มลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ถอนหายใจยาวออกมาอย่างจำยอมก่อนจะวางส้อมในมือลงบนจานที่ว่างเปล่า

“ผมแค่อยากเข้าหาคุณ”

ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกว่ารอฟังคำอธิบายต่อจากนั้น

“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าผมชอบคุณมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”

“ที่เจอผมในบาร์น่ะเหรอ” ผมแสยะยิ้ม รินน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม “พูดจาเป็นเด็กม. ปลายไปได้ รักแรกพบเหรอคุณ? ไม่คิดว่ามันน้ำเน่าไปหน่อยรึไง”

“ความรักไม่ต้องมีเหตุผลหรอก”

ผมระเบิดหัวเราะออกมาทันทีกับคำพูดซื่อๆ นั่น ยิ่งเห็นสีหน้าแววตาของเขาที่หมายความตามนั้นจริงๆ แล้วยิ่งทำให้อดหัวเราะไม่อยู่ ไซม่อนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นกับเสียงหัวเราะของผม สีหน้าไม่พอใจของชายหนุ่มทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ให้ตายสิ นี่หมอนี่อายุ 17 เหรอ หรือว่ายังไง

“หัวเราะอะไรนักหนาครับ ออสติน”

“เปล่าครับ แค่คาดไม่ถึงน่ะ” ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ พันเส้นสปาเกตตี้ด้วยส้อม “เพิ่งรู้ว่าคุณมีมุมสาวน้อยแบบนั้นด้วย น่ารักดี”

“แล้วคุณไม่ได้คิดแบบนั้นหรือไง ความรักของคุณใช้เหตุผลเหนือกว่าความรู้สึกงั้นเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ ไม่เคยคิดเรื่องนั้นจริงจังสักที”

แปลกดีที่เรามานั่งเจาะลึกความคิดในด้านความสัมพันธ์กันเอาป่านนี้ หลังจากขึ้นเตียงด้วยกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ผมก็ไม่ได้ถือหรอกนะ ยังไงเสียการคบกันก็คือการเรียบรู้กันอยู่แล้ว และถ้าเขายังรักจะอยู่ด้วยกันต่อล่ะก็ เขาต้องรู้ว่าการหลบเลี่ยงตอบคำถามเรื่องข้ออ้างที่เขาหยิบยกขึ้นมาใช้ตอนเข้าหาผมนั้นคงไม่ทำให้ผมประทับใจเท่าไร

ผมวกกลับมาที่หัวข้อหลัก “สรุปว่าคนหลอกผมเรื่องหัวใจเพื่อที่จะเข้าหาผมอย่างนั้นเหรอ คุณเจ้าหน้าที่”

“ใช่ครับ”

“แล้วเรื่องรูปถ่ายของแบรดล่ะ”

“ผมไม่รู้”

ผมสบตาเขา มองลึกเข้าไปราวกับจะคว้านไปจนถึงภายใน ผมไม่แน่ใจว่าเขาโกหกผมอยู่รึเปล่า ลองถ้าเขาโกหกเรื่องใหญ่โตอย่างเรื่องหัวใจพี่ชายเขาได้ เขาจะโกหกอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ

“ต่อให้คุณจะบอกว่าคุณทะเลาะกับแบรดทำให้ห่างๆ กันไปก่อนที่เขาจะตายก็เถอะ แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่กลับไปสืบเรื่องของพี่ชายตัวเองหลังจากที่เขาตาย “

ไซม่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นนิดหนึ่ง “แน่นอนว่าผมสืบเรื่องเขา ในการทำคดี ผมจำเป็นต้องตรวจดูทุกมุมมอง”

“แล้วเรื่องคริสเตียนล่ะ”

“ผมไม่รู้จริงๆ”

“คุณเข้าหาผมด้วยจุดประสงค์อะไร”

เขาทำหน้าอึ้งๆ อย่างไม่อยากเชื่อหู “คุณถามอะไรของคุณ”

“ขอที คุณคิดว่าผมจะเชื่อคุณจริงๆ เหรอที่คุณบอกว่าเข้าหาผมเพราะชอบผมน่ะ คุณอาจจะอยากมีเซ็กส์กับผมนะ ไซม่อน แต่เรื่องรักใคร่ชอบพอกันเนี่ย ขอทีเถอะ คุณเห็นผมเป็นเด็กอมมือรึไง”

หน้าของชายหนุ่มแดงขึ้นด้วยความอับอาย นัยน์ตาคู่สวยของเขามีร่องรอยตัดพ้อกับท่าทีเย็นชานั้นของผม ผมยักไหล่ให้เขา ผมเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์ทำแบบนั้นนะ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายที่หลอกลวงผมก่อน แล้วไอ้เรื่องที่เขาหลอกก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

“ผมชอบคุณมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว”

“เหอะ ผมไปบาร์นั่นครั้งแรกก็เมื่อหลายปีก่อนเหมือนกัน”

“ไม่ใช่” เขาขัดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “คุณอาจจะจำไม่ได้นะ ออสติน แต่คุณเคยทำแผลให้ผม ช่วงประมาณ 4-5 ปีก่อน ตอนที่มีจราจลในเมือง”

ผมจำเหตุการณ์ที่ว่านั้นได้ทันที มันเป็นช่วงที่วุ่นวายและสับสนที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ผมงานมา ผมเบิกตามองเขาอย่างแปลกใจระคนอึ้งๆ เห็นนัยน์ตาสีฟ้าหลบต่ำลงมองมือที่อยู่บนตักอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่ค่อยแสดงท่าทีแบบนั้นให้ผมเห็นมากเท่าไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทำแบบนั้น มันคือการบ่งบอกว่าผมเป็นต่อเขาอยู่

“อ่า” ผมครางในลำคอ พยักหน้ารับเนิบๆ “ผมนึกออก ตอนนั้นวิ่งวุ่นหัวปั่นไปหมด”

“ผมถูกยิงเข้าที่บ่า กระสุนแค่ถากไป แต่ตอนนั้นผมเพิ่งเคยโดนยิงจริงๆ เป็นครั้งแรก มันก็เลย… ค่อนข้างน่ากลัวล่ะมั้ง ผมเข้าไปทำแผลที่โรงยิมที่ตอนนั้นทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยกับหน่วยพยาบาลใช้เป็นค่าย… แล้วคุณก็เป็นคนมาทำแผลให้ผม”

ผมเงียบ สัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาจากน้ำเสียงและคำพูดเขา มันเต็มไปด้วยความประทับใจและความรู้สึกร่วมที่มีต่อเหตุการณ์นั้นอย่างเต็มที่ นั่นทำให้ผมขยับตัวนิดหนึ่งอย่างทำตัวไม่ถูก เกือบจะเรียกได้ว่าอายเลยด้วยซ้ำที่เขาดูรู้สึกกับมันมากขนาดนี้

“ผมรู้ว่ามันฟังดูงี่เง่า” ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นอย่างเขินอาย ซึ่งนั่นทำให้ผมหน้าร้อนตาม “แต่วินาทีที่ผมเห็นคุณครั้งแรกที่นั่น ผมก็ตกหลุมรักคุณไปแล้ว คุณมาแทนเพื่อนของคุณที่ถูกเรียกตัวไปตอนที่เริ่มดูแผลให้ผม ทุกอย่างรอบตัวเราเสียงดังแล้วก็วุ่นวายมาก แต่ผมรู้สึกเหมือนทั้งโลกมีแค่คุณกับผมตอนที่คุณลงมือทำแผลให้”

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเองอย่างเผลอตัว มันร้อนฉ่าอย่างน่าอาย แล้วไอ้คนที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วอยู่นี่ไม่กระดากปากเลยรึไง ท่าทีตรงไปตรงมาแบบนั้นของเขาทำให้ผมเขินจริงๆ นี่เราไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะมานั่งจีบกันด้วยถ้อยคำหวานซึ้งอย่างรักแรกพบอะไรแบบนั้นแล้วนะ แล้วเรื่องนั้นมัน…

“จริงๆ ก่อนหน้าที่ผมจะพบคุณ ผมก็ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย” ไซม่อนว่าหน้าตาเฉย กระดกกระป๋องเบียร์ให้ไหลผ่านลงคอ ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะฤทธิ์เหล้า แต่เมื่อเขาเปิดปากพูดออกมา ผมก็รู้ว่าเขายังมีสติครบถ้วนดี “ผมยังตกใจตัวเองเลย แต่ก็เชื่อนะว่านั่นเป็นความรักจริงๆ”

“เด็กมัธยมชัดๆ” ผมงึมงำ ไซม่อนหัวเราะร่วน

“ก็นะ”

ผมนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะถามอะไรต่อ เหลือบตาไปมองกระป๋องเบียร์ของเจ้าตัว เพิ่งมารู้สึกเสียดายที่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ก็ตอนนี้ ผมอยากจะดื่มกับเขาบ้าง

เหมือนรับรู้ความทุกข์ใจเล็กๆ นั่นของผม ไซม่อนลุกออกจากที่นั่งของตัวเองแล้วเดินมาหยุดอยุ่ที่หน้าผม เลื่อนมือลงแตะแก้มผมอย่างแผ่วเบาราวกับหยั่งเชิง ผมยอมให้เขาแตะตัวเองในครั้งนี้ และเมื่อฝ่ามือหนาทาบลงมาเต็มๆ ไซม่อนก็เลื่อนริมฝีปากลงมาจูบผมอย่างนุ่มนวลอย่างง้องอน

ผมหลับตา รับสัมผัสอ่อนหวานนั่นจากเขา บางทีผมอาจจะไม่ควรจะแซะเขาเรื่องเด็กมัธยมปลายอะไรที่ว่านั่นก็ได้ เพราะตัวผมเองพอได้ยินคำสารภาพที่ฟังดูบริสุทธิ์แบบนั้นของเขาแล้วก็เอาใจอ่อนยวบลงไปเหมือนกัน ความโกรธที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อเช้าตลอดจนถึงช่วงเย็นเหมือนจะมลายหายไป

ไซม่อนเลื่อนมือมาบนแผ่นหลังผม รับรู้ได้ถึงความต้องการทางกายของกันและกัน ผมปรือตาขึ้น มองหน้าเขาที่ทาบจูบลงมาอย่างโหยหา พอใจไม่น้อยกับแก้มที่แดงระเรื่อนั่นของเจ้าตัวและจังหวะจูบที่ประดักประเดิดกว่าทุกครั้งราวกับไม่แน่ใจในตัวเอง ดูเหมือนว่าที่ผมระเบิดอารมณ์ใส่เขาจะทำให้เจ้าตัวกังวลไม่น้อยทีเดียว

“ไซม่อน” ผมเอื้อมมือไปปิดปากเขาที่ทำท่าจะจูบลงมาอีกรอบ “ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“ไว้ทีหลังก็ได้นี่ครับ”

ก็เป็นซะแบบนี้


.
.
.
.
.
.
(50%)






-------------------------------------------
Talk: งุ้ยยย ค่อยๆ กระเทาะเปลือกกัน แง้มๆ กันไปนะคะ 555555 ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านน้า จะขอบคุณมากเลยถ้าส่งกำลังใจกันด้วยคอมเม้นท์คนละนิดหน่อย ช่วงนี้ท้อนิดนึงค่ะ ขอกำลังใจให้เค้าหน่อยนะ TvT
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(50%) P.4 [14/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2017 18:50:01
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(50%) P.4 [14/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2017 19:05:32
คนเขียนจุดความระแวงในใจเราแล้ว... ความระแวงที่ว่านี้มันจะยังไม่หายไปง่าย ๆ หรอกนะ หึหึ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(50%) P.4 [14/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-07-2017 13:28:53

[ต่อ]



ผมส่ายหน้าเหมือนอ่อนใจ แต่ก็ยอมให้แขนแกร่งรวบลงมาดึงร่างผมให้ลุกออกจากเก้าอี้ ไซม่อนถอดเสื้อเชิ้ตของผมออกตอนเรากอดป่ายกันไปมาที่ชานบันได ผมถอดเข็มขัดของเขาตาม เหมือนเรากำลังเล่นเกมโชว์อะไรสักอย่างอยู่อย่างนั้น เร่าร้อนเสียไม่มี

ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ทาบลงมาแทบจะทำให้ผมละลายในครั้งนี้ ทุกส่วนในร่างกายตื่นตัวจากการสัมผัสเล้าโลมที่ลากยาวตั้งแต่บนโต๊ะอาหารจนถึงห้องนอนชั้นสอง กางเกงซึ่งเป็นเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนร่างผมถูกถอดออกไป ผมปล่อยให้เขาคลอเคลียอยู่ที่บริเวณซอกคอและแผ่นอกสลับกันไปมา

ผมเลื่อนมือไปกุมใบหน้าเขาให้ก้มลงมามองผมเต็มๆ ตา เห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ของเขาแล้วใจละลายอีกรอบ ไซม่อนก้มลงมาจูบแผ่วเบา และเมื่อเขาผละออกไปผมก็ออกปากถามทันที

“ใครคือเจ้าของหัวใจคนก่อนของผมเหรอ”

ร่างสูงหยุดการกระทำของตัวเองไปนิดหนึ่ง หากวินาทีต่อมาก็ไล้สันจมูกลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าของผมต่อ

“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะรู้ล่ะ”

“อ้าว” มันผิดกับตอนที่เขาบุกมาหาผมที่บ้านตอนแรกนี่หว่า “ก็คุณสืบเรื่องของผมมาหมดแล้วไม่ใช่เรอะ”

“เรื่องผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะมันเป็นความลับทางการแพทย์นะครับ ออสติน” น้ำเสียงเหมือนกำลังสอนเด็กไม่ประสีประสา ทำเอาผมอยากจะถีบให้ปลิวไปติดกับเพดานด้านบน

“โอ้โห ไม่บอกไม่รู้เลยนะครับเนี่ย คุณเจ้าหน้าที่จอมโกหก”

“ฮื้อ อย่าสิคุณ ผมก็ขอโทษอยู่นี่ไง”

“ผมยังไม่ยกโทษให้หรอกนะ”

ไซม่อนทำสีหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจ จากนั้นจึงโน้มหน้ามาจูบอีกรอบเป็นเชิงง้อ “โธ่ ออสตินคร้าบ ยกโทษให้ผมเถอะน้า ผมยอมทำทุกอย่างเลย”

“จริงเหรอครับ คนเก่ง” ผมเลื่อนมือไปดึงแก้มเขาอย่างมันเขี้ยว เขาซุกหน้าลงบนซอกคอผมอย่างอ้อนๆ

“ออสติน” เสียงนั้นพูดอย่างพร่ำเพ้อ จุมพิตลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้ง กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก เซ็กซี่ชะมัด

ผมเลื่อนแขนไปเกาะแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายขยับส่วนกลางของตัวเองถูไถลงบนปากทางเข้าด้านหลังเพื่อกระตุ้นอารมณ์

“อื้อ” ผมครางออกมานิดหนึ่ง ไหวตัวเมื่อไซม่อนไล่ปลายนิ้วลงบนยอดอกแล้วเริ่มออกแรงบีบมากขึ้น “อ๊ะ! เดี๋ยว--”

“หืม?” อีกฝ่ายแกล้งส่งเสียงครางเป็นเชิงไม่เข้าใจในลำคอ ขยับหน้าลงมาจูบปิดปากผมที่นอนราบอยู่บนเตียงอีกรอบ พร้อมๆ กันนั้นก็แตะนิ้วลงบนปากทางด้านหลัง สอดผ่านเข้าไปในช่องแคบให้ผมสะดุ้งอีกเฮือก หากเมื่อนิ้วเรียวผ่านเข้าไปจนสุดผมก็ใช้สองมือที่โอบคอเขาไว้ให้ลดต่ำลงมาเพื่อรับจูบร้อนแรงจากผม

ลิ้นทั้งสองตวัดเกี่ยวรับกันอย่างรู้จังหวะ ลมหายใจอุ่นของเขาที่เป่ารดลงมาอุ่นซ่าน มือที่เล้าโลมอยู่แผ่นอกเลื่อนต่ำลงไปวางอยู่บริเวณสะโพก ผมครางออกมาเบาๆ อย่างเสียวซ่านเมื่อนิ้วที่สองและที่สามถูกใส่เข้ามาในตัว

ไซม่อนจูบหน้าผากผมก่อนจะกระซิบข้างแก้มผมอย่างยั่วยวน

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกลัวสัมผัสแล้วนี่ คุณหมอ?”

“แฮ่ก… ก็นะ มีเรื่องอื่นให้กลัวมากกว่ามั้งครับ” ผมตอบยิ้มๆ พร้อมกับหายใจหอบไปด้วย

“อืม… แบบนั้นก็เรียกว่าเป็นเรื่องดีไม่ได้สิ?”

“ช่าย… ไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“ออสติน” เขาเริ่มเรียกชื่อผมอย่างพร่ำเพ้ออีกครั้ง ผมแพ้ทางกับท่าทีออดอ้อนแบบนี้ของเขาทุกที

ไซม่อนถอนนิ้วออจากร่างผม เตรียมจะขยับกายเข้ามาหากผมเลื่อนมือไปดันแผ่นอกเขาออกก่อนเป็นเชิงห้าม อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน ผมดันตัวเขาให้ถอยหลังลงไปนั่งกับเตียง คลานเข้าไปประชิดตัวก่อนจะโน้มหน้าต่ำลง จรดปลายลิ้นลงบนแกนกลางของเขาแผ่วเบา

“ออสติน? คุณไม่เป็นไรเหรอ?” เสียงเขาอึกอัก นั่นทำให้ผมนึกขันในใจ ถามอะไรแปลกๆ ชะมัดหมอนี่ ถ้าผมไม่โอเคจะยอมทำให้เหรอวะ

“อ๊ะ” เสียงครางสั้นๆ ของเขากระตุ้นอารมณ์ผมอย่างบอกไม่ถูก ไซม่อนเลื่อนมือมาจับเส้นผมของผมไว้แน่นขณะที่ผมวุ่นวายอยู่กับการแทะโลมส่วนอ่อนไหวของเขา “อึก… ออสติน แฮ่ก อ่า… ชะ… ช้าหน่อยครับ ถ้าคุณเร่งจังหวะแบบนั้น---”

ผมไม่ฟังคำห้ามไร้สาระของเขา เพราะรู้ดีว่าคำพูดนั้นมันแปลความหมายได้อีกต่อหนึ่งว่า ‘แบบนั้นแหละ เยี่ยมไปเลย’

โพรงปากที่ครอบลงบนส่วนนั้นของเขาร้อนระอุจนทำให้ผมหน้าแดงตามไปด้วย คนตรงหน้าเกร็งตัวแน่นขึ้น บิดร่างเล็กน้อยก่อนที่แรงปรารถนาจะไต่ไปจนถึงจุดสูงสุด น้ำอุ่นๆ ทะลักเข้ามาในปาก กลิ่นคาวของมันอบอวลไปหมด

“อะ… อึก” ไซม่อนว่าขณะเลื่อนฝ่ามือมาแตะแก้มผมแผ่วเบา หน้าแดงขึ้นอีกรอบเมื่อเห็นว่าผมกลืนน้ำของเขาลงลำคอเอื๊อกใหญ่ “อะ… ออสติน คุณ---”

“อะไรครับ” ผมส่งยิ้มหวานให้เขา ชอบใจที่เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงไปถึงหูแบบนั้น “ไม่ชอบใจที่ผมทำเหรอ?”

“เปล่าครับ” ไซม่อนว่า มือหนากุมลงบนเอวทั้งสองข้างของผมให้ขยับตัวขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตักเขา “แค่ตกใจว่าคุณพัฒนามาได้ถึงขั้นนี้แล้วเหรอเท่านั้นเอง ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกันคุณยังร้องไห้น้ำตาซึมอยู่เลย”

“ผมเป็นคนมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดน่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็รู้”

ผมปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขา มือหนาไล้ต่ำลงบนสะโพกผม ยึดเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไปไหน มือหนาไล้ต่ำลงมาที่โคนขาข้างซ้าย รอยแผลที่เป็นตัวเลขยังอยู่ตรงนั้น ใต้มันมีตัวหนังสืออีกเจ็ดคำสลักอยู่ ผมไหวตัวนิดหนึ่ง ชักสีหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“อย่าจับตรงนั้นสิครับ” ผมคราง เขาหอมแก้มผมฟอดหนึ่งเหมือนขอโทษ

“ไม่ได้ตั้งใจครับ แค่เห็นก็เลยเผลอไป”

“มัดชัดมากสินะ” ผมงึมงำ อีกฝ่ายพยักหน้ารับหน้าตาเฉย

“ชัดสิครับ ยิ่งผิวคุณขาวขนาดนี้”

มือหนาเริ่มลูบไล้บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง ผมสะดุ้งเฮือกนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือไปตีบั้นท้ายผมทีหนึ่งเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ผมถลาหน้าเข้าไปจูบเขาแนบแน่น เคลิ้มไปกับจังหวะเร่งเร้าที่อีกฝ่ายจูบตอบกลับมา

เราสองคนจูบกันอีกครั้งอย่างเนิ่นนาน ไซม่อนใช้จังหวะนี้เอื้อมไปหยิบถุงยางที่อยู่ในลิ้นชักของชั้นวางข้างหัวเตียง ผมได้ยินเสียงดังกรอบแกรบที่เขาแกะมันออกจากซอง ผมเอี้ยวตัวไปมองมือหนาที่สวมใส่มันอย่างชำนาญเล็กน้อย

“อ่า…” ผมครางเสียงเบา มือที่อยู่บนบ่ากว้างของเขาจิกนิ้วลงไป ในหัวเริ่มจินตนาการถึงความสุขสมที่ร่างสูงจะปรนเปรอให้ได้

แรงจากมือของไซม่อนดันร่างผมไปจ่อปากทางด้านหลังตรงส่วนปลายของแกนกลางเขา ผมหลุดครางออกมาอีกรอบ โน้มหน้าลงไปจูบปากเขาทีหนึ่งอย่างขอกำลังใจ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง เลื่อนมือ ขยับปลายนิ้วไปเปิดทางที่ว่าให้กว้างขึ้นจากนั้นจึงค่อยๆ กดสะโพกลงต่ำ ได้ยินเสียงครวญของตัวเองปนไปกับเสียงหายใจกระเส่าของไซม่อน

“อื้อ… ออสติน”

“ฮะ… แฮ่ก”

ผมจูบแก้มเขาอย่างหลงใหล เหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของพวกเราทั้งคู่ ผมเคลื่อนสะโพกลงต่ำเรื่อยๆ รับรู้ถึงท่อนนั้นของอีกฝ่ายที่แทรกผ่านร่างเข้ามาลึกขึ้นๆ ผมครางด้วยความเสียวซ่าน แหงนหน้าขึ้นตามแรงอารมณ์ ไซม่อนใช้จังหวะนั้นงับฟันลงมาบนซอกคอผมเต็มแรง ผมสะดุ้งอีกเฮือก ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่น ไซม่อนเลื่อนมือไปยึดใต้ข้อพับเข่าแล้วอ้าขาผมออกให้เปิดกว้างมากขึ้น ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะกระซิบลงมาที่ข้างหู

“ออสติน… คุณจำที่คุณเคยพูดกับผมตอนเรามีเซ็กส์กันครั้งแรกได้ไหม”

“อ๊ะ… อือ เรื่องอะไรครับ” ผมสะดุ้งตัวสุดแรงเมื่อมือหนากดเอวผมลงจนจมลงมิดด้าม ผมจิกปลายเท้าลงบนผ้าปูเตียงก่อนจะส่งเสียงอ้อนวอน “อึก ไซม่อน อย่าแรง…”

“อ่า โทษทีครับ เผลอไปหน่อย” ไม่พูดเปล่า ลิ้นร้อนของเจ้าตัวตวัดลงบนหู ให้ตายสิ หมอนี่ชอบทำตัวได้คืบเอาศอกแบบนี้ตลอด “ก็… ที่คุณบอกว่าผมเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคุณไงครับ คุณบอกว่าคุณอยู่กับผมแล้วรู้สึกสบายใจแล้วก็ปลอดภัยไงครับ”

“อือ” ผมก้มลงมองหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ของเขา ไล่ขึ้นมาจนถึงแผ่นอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเหมือนกัน รู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมา “จำ… จำได้ครับ”

“ตอนนี้… ผมยังเป็นสถานที่นั้นของคุณอยู่รึเปล่าครับ?”

ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ไล้ริมฝีปากลงไปคลอเคลียที่ข้างแก้มเขาก่อนจะตอบ “แล้วถ้าไม่ใช่… ผมจะยอมอยู่กับคุณตรงนี้เหรอครับ ที่รัก?”

ไซม่อนยกยิ้มอย่างพึงพอใจ จูบแก้มผมเหมือนให้รางวัล “พูดดีจังครับ ออสติน”

ผมขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ เสียงหอบหายใจกระเส่าของคนตรงหน้าทำให้แรงอารมณ์ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ

เสียงครางสุดท้ายของพวกเราสอดประสานกัน ผมหอบหายใจระรัวขณะที่ค่อยๆ ถอนร่างของตัวเองออกมา กำลังจะผละตัวออกจากเขา หากมือหนาโอบรัดรอบตัวผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน เสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ของเขาทำให้หน้าผมร้อนขึ้น

“ออสติน… ออสตินครับ ผมรักคุณ”

อ่า… ให้ตายเถอะ หมอนี่ รู้วิธีที่จะปั่นหัวกันตลอด

ผมทาบริมฝีปากลงข้างขมับเขา ส่งยิ้มจริงใจให้อีกฝ่ายก่อนจะว่า “ผมก็รักคุณครับ ไซม่อน”



หลังจากที่จัดการเคลียร์เนื้อตัวจนสะอาดเรียบร้อยอีกครั้ง พวกเราทั้งคู่ก็นอนเหยียดกันบนเตียงเตรียมจะเข้านอน มือหนาที่เลื่อนลงบนเส้นผมของผมเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ หลังจากเจอเรื่องระทึกมาแบบนั้นร่างกายก็ล้าจัดจนตอนนี้ชักเคลิ้ม หากเสียงของคนข้างตัวพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้

“คุณอยากลงบันทึกเรื่องที่โดนคนร้ายไล่ตามวันนี้รึเปล่าครับ ออสติน”

“เอ… นั่นสินะ แล้วคุณตำรวจว่ายังไงล่ะครับ” ผมถามย้อนเขาด้วยน้ำเสียงล้อเลียน รู้ดีว่าคนที่รับผิดชอบคดีของผมในตอนนี้คือไซม่อน เขาบอกตั้งแต่ตอนที่ผมฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้ว เห็นว่าเขามีตำรวจอีกคนที่รับคดีนี้คู่กับเขาด้วย

“อืม… ผมโทรบอกคู่หูผมตอนที่เราอยู่กันในซุปเปอร์แล้ว แต่พวกลักษณะที่คุณบอกผมมามันยังไม่ค่อยชัดเท่าไร แต่อย่างน้อยก็จำกัดพื้นที่กับช่วงเวลาลงไปได้บ้าง”

“แล้วพวกกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลล่ะครับ ได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว”

ไซม่อนส่ายหน้านิดหนึ่ง สีหน้าผิดหวัง “ตอนนั้นไฟดับใช่ไหมครับ กล้องที่ถ่ายติดไม่มีระบบอินฟาเรด ส่วนตัวที่มีก็ดันมาเสียพอดี อันนี้จากที่คู่หูผมบอกมานะ”

“อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น” ผมว่าเสียงเยาะหยัน

เราทั้งคู่เงียบลงไปอีกพักหนึ่ง จมลงในห้วงความคิดของตัวเองก่อนไซม่อนจะว่า

“ผมจะจับคนร้ายคนนั้นให้ได้แน่ คุณไม่ต้องห่วงนะ”

“อือ” ผมซุกหน้าลงบนแผ่นอกเขาอ้อนๆ “ยังไงคุณก็จะปกป้องผมใช่ไหมล่ะ”

“แน่นอน” เขายิ้ม กระชับอ้อมแขน ดึงผมไปกอดแน่นขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “แล้ว… จากลักษณะท่าทาง คุณคิดว่าคนนั้นคือคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนรึเปล่าครับ”

ผมนิ่งไปกับคำถามตรงๆ นั่น อ้อมแอ้มไปว่า “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็เห็นแค่ผ่านๆ เท่านั้น ไม่ทันได้สังเกตดีๆ”

“งั้นเหรอครับ” เขาว่า หากน้ำเสียงรู้ทัน นั่นทำให้ผมหน้าแดงขึ้นนิดหนึ่ง

ผมรู้ดีว่าคนที่วิ่งไล่ตามผมวันนี้ไม่ใช่คริสแน่นอน อีกฝ่ายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าแฟนเก่าคนนั้นของผม และส่วนหนึ่งมันทำให้ผมเสียดายและผิดหวังไม่น้อย เพราะถ้าคนร้ายในครั้งนี้คือคริส โอกาสที่จะจับตัวเขาได้ก้จะมีมากขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่… นอกจากจะจับคริสไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องน่าปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกว่าอีกฝ่ายเป็นใครและต้องการอะไร

แล้วทำไม… ตัวผมถึงได้มีแต่คนต้องการไม่จบไม่สิ้นเสียทีนะ

ไม่เข้าใจจริงๆ





-----------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้วค่ะ! ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ :)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(50%) P.4 [14/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-07-2017 13:29:57
คนเขียนจุดความระแวงในใจเราแล้ว... ความระแวงที่ว่านี้มันจะยังไม่หายไปง่าย ๆ หรอกนะ หึหึ


งุ้ยยย อย่าระแวงนักเลย ไม่มีอะไรหรอกน่าาาา 5555555
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(100%) P.4 [16/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-07-2017 14:04:44
อือออออ.......นั่นสิ ออสติน มีอะไรให้เหล่าคนร้าย เข้าหานะ  :z3: :z3: :z3:

แต่ไซม่อน ออสติน รักกัน เข้าาใจกันแล้ว ยอดเยี่ยมเลย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(100%) P.4 [16/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-07-2017 14:30:04
ยังสรุปอะไรไม่ได้
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 18)(100%) P.4 [16/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 21-07-2017 17:33:02
บทที่ 19




ไซม่อนบอกว่าใช้ข้ออ้างเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเพื่อเข้าหาผม แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของคนก่อนของอวัยวะชิ้นนี้เป็นใคร…

ผมกดปากกาที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิด นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตัวโทรมที่อยู่ในห้องพักของเจ้าหน้าที่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ผมหยิบขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหลครับ”

เสียงของไคล์ดังมาให้ได้ยิน “ออสติน ช่วงบ่ายนี้พอจะมีเวลาให้ผมพาญาติของเอ็มม่า เดนนิสไปดูศพหล่อนหน่อยไหมครับ”

“อ่า” ผมครางในลำคออย่างแปลกใจเล็กน้อย นึกว่าญาติของเคสผมรายนี้จะไม่มาแสดงตัวเสียแล้ว “ได้ครับ คุณจะมาสักกี่โมง”

“ถ้าอีกสักครึ่งชั่วโมงไปหา คุณจะสะดวกรึเปล่า”

“มาได้ครับ แล้วเจอกันนะ ไคล์”

ไคล์มาพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่แนะนำตัวเองว่าเป็นพี่สาวของเอ็มม่า เดนนิส เจ้าหล่อนมีรูปร่างผอมโกรก มีผ้าปิดปากปิดเอาไว้ จมูกแดง หางตาแดงเหมือนคนไม่สบาย เวลาพูดกับไคล์ก็มีเสียงค่อนข้างอู้อี้ในลำคอ

“ฉันป่วยหนักมาก ก็เลยปลีกตัวมาดูศพเอ็มม่าไม่ได้ แถมยังอยู่กันคนละรัฐอีก” หล่อนว่าขณะที่หางตาเริ่มแดงขึ้น น้ำใสๆ คลอขึ้นมาที่ขอบตา

ผมปล่อยให้ไคล์รับหน้าที่ปลอบและพูดคุยกับหญิงสาวเป็นส่วนใหญ่ อย่างที่ผมบอก… ผมเคยเห็นแววตาเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรักแบบนี้มาเยอะแล้ว และหล่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ของของผู้ตายมีแค่นี้เองเหรอ ออสติน” ไคล์ว่าหลังจากที่ผมส่งซองซึ่งใส่เครื่องประดับของเอ็มม่า เดนนิสไว้ให้ หลักฐานชิ้นอื่นๆ ถูกทางตำรวจนำไปตรวจสอบหมดแล้ว ยกเว้นพวกเครื่องประดับเล็กๆ ที่ติดมากับศพ แล้วก็เสื้อผ้า “ต่างหูรูปดาวนี่ มีแค่ข้างเดียวเหรอ”

“อ่า ใช่ครับ” ผมว่าหลังจากชะโงกหน้าไปตามนิ้วที่ไคล์ชี้ “มันติดมากับศพแค่ข้างเดียว อีกข้างไม่อยู่แต่แรกแล้ว”

“เป็นไปได้ไหมว่ามันหล่นในรถตอนเคลื่อนย้ายศพ”

ผมยักไหล่ “ไม่คิดแบบนั้นนะ คราวก่อนผมไปที่รถมาก็ไม่เห็นมีอะไรตกหล่น แต่ถ้าในที่เกิดเหตุนี่ก็ไม่แน่เหมือนกัน”

ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ท่าทีแบบนั้นทำให้คนเป็นพี่สาวของศพกระตุ้นทันทีด้วยความใคร่รู้

“ทำไมเหรอคะ คุณตำรวจ มีความคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอคะ”

“ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่คุณพอจะรู้ไหมว่าต่างหูนี่มีความสำคัญอะไรกับน้องสาวคุณหรือเปล่า”

ผมมองหญิงสาวคนเดียวในห้องทำหน้าครุ่นคิด หางตาหล่อนยังมีน้ำตาซึมอยู่แต่ดีขึ้นกว่าตอนแรกที่ก้าวเข้ามามาก

“เอ็มม่าเคยบอกฉันว่ามันเป็นคู่โปรดของหล่อน… คือหล่อนก็มีต่างหูหลายคู่แหละค่ะ แต่คู่นี้เอ็มม่าชอบเป็นพิเศษ เห็นบอกว่าใส่แล้วจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ หล่อนมักจะใส่คู่นี้เวลาเป็นช่วงเวลาสำคัญ อย่างสัมภาษณ์งานหรือว่าอะไรแบบนั้น”

ไคล์พยักหน้ารับ ยังคงนิ่งเงียบ หากนัยน์ตาฉายแววอะไรบางอย่างออกมา

“ทำไมเหรอคะ มันสำคัญตรงไหนเหรอ”

“เปล่าครับ ผมกำลังคิดถึงความเป็นไปได้อยู่”

“ความเป็นไปได้อะไรคะ” หล่อนถามต่อ ตอนนี้ผมก็เริ่มเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้บ้างแล้ว ไคล์อธิบาย

“คือตอนแรกเราคิดว่าฆาตกรลงมือฆ่าแบบสุ่มถูกไหมครับ แต่ถ้ามีของที่เหยื่อเห็นว่าเป็นของสำคัญหายไปแบบนี้มันก็อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ อย่างเช่นว่า ฆาตกรเป็นคนเอาไป ถ้าเป็นในลักษณะนี้ นั่นจะหมายความว่าคนร้ายได้จับตาดูเหยื่อมาระยะหนึ่งแล้วก่อนที่จะลงมือก่อเหตุ อย่างน้อยก็สังเกตจนรู้ได้ว่าของสำคัญของเหยื่อคืออะไร”

“แล้วมันจะสำคัญยังไงคะ” สุ้มเสียงของหญิงสาวมีร่องรอยโกรธราวกับแค้นที่ทางตำรวจยังไม่สามารถจับตัวคนที่ทำให้น้องสาวหล่อนนอนแข็งไปแล้วได้ ไคล์ยังคงอธิบายต่อเสียงราบเรียบ

“มันสำคัญสิครับ เพราะนั่นอาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนทั้งหมด การที่คนร้ายลงมือเลือกเหยื่อแบบสุ่ม กับการซุ่มสังเกตเหยื่อก่อนจะลงมือฆ่า… เรียกได้ว่าต้องพลิกรูปแบบการสืบสวนทั้งหมด”

“จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ รีบๆ จับตัวคนที่ฆ่าน้องสาวฉันให้ได้สักที”

ผมลอบมองไคล์ที่ต้องรับมือกับญาติของผู้ตายด้วยสายตาเห็นใจ จากนั้นจึงขอตัวกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

หลังเวลาเลิกงาน ผมไม่ได้ตรงดิ่งกลับบ้านเพราะวันนี้ไซม่อนบอกว่าจะมารับไปนอนที่บ้านเขา ผมจงใจบอกเวลาค่ำกว่าที่ตัวเองเลิกจริงๆ เพื่อที่จะปลีกตัวไปหาอะแมนดา กอร์แมนที่ทำงานอยู่ที่อาคารหลัก

ผมมุ่งหน้าไปตามทางเชื่อมอาคาร ตรงไปยังห้องทำงานของหมอผู้ดูแลไข้ของผมอย่างชำนาญ วันนี้ผมอยู่ในเครื่องแบบ ไม่จำเป็นต้องรอคิวเรียกชื่อก่อนจะพบคุณหมอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำเป็นต้องแจ้งพยาบาลซึ่งประจำอยู่หน้าห้องหล่อนอยู่ดี

“ผมมาหาคุณหมอกอร์แมน”

“อุ๊ย คุณหมอการ์ดเนอร์” พยาบาลสาวเรียกผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “กลับมาทำงานแล้วเหรอคะ แล้วคุณหมอกอร์แมนทราบ--”

“ผมก็กำลังจะไปคุยกับหล่อนอยู่เนี่ย ช่วยบอกให้หน่อยได้ไหมครับ”

“สักครู่นะคะ” หล่อนบอกให้ผมเข้าไปรอในห้องพักหมอ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากห้องพักชั้นล่างของผมเองเท่าไรนักหรอก เพียงแต่ข้าวของทุกอย่างใหม่กว่าเท่านั้นเอง

ผมนั่งรออยู่บนโซฟา หยิบนิตยสารแฟชั่นที่เหมือนวางๆ เอาไว้ไม่ให้โต๊ะโล่งขึ้นมาเปิดผ่านตา เสียงเปิดประตูดังขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นไปและได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของอะแมนดาทันที

“ออสติน” หล่อนว่าเสียงเขียว “ฉันได้ยินเรื่องจากคุณรอยล์แล้ว ที่เขาขอให้คุณมาทำงานชั่วคราวน่ะ แสบจริงๆ เลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวที่ได้ยินมานั่น และถ้าไม่ใช่เพราะฉันโทรไปถามเขาล่ะก็ ฉันก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

“อย่าหัวเสียขนาดนั้นเลยครับ ผมตอบตกลงไปเอง อยู่แต่บ้านก็เบื่อ แถมตอนนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้ว”

“ฉันได้ยินเรื่องที่คุณโดนคนร้ายจับตัวไปแล้ว” หล่อนว่า สีหน้าซีดเผือดลงอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อวินาทีก่อนมันยังแดงจัดด้วยความโกรธกรุ่นอยู่เลย “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

“ผมปลอดภัยดี” ผมว่า ขยับตัวให้แพทย์สาวล้มตัวลงมานั่งข้างๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดเข้าเรื่อง “ผมรู้เรื่องที่คุณบอกแล้ว อะแมนดา ที่ว่าหัวใจของผมไม่ได้เคยเป็นของคนที่ชื่อแบรด แมคแนร์น่ะ”

สีหน้าของเจ้าหล่อนเปลี่ยนเป็นราบเรียบทันที จากที่เมื่อกี้ยังหน้าซีดขาว มองผมด้วยสายตากังวล ผู้หญิงนี่ช่างเป็นส่ิงมีชีวิตที่เข้าใจยากจริงๆ

“หรือคะ ไม่อยากเชื่อนะว่าแฟนคุณจะยอมบอกความจริงคุณแล้ว”

“แน่ล่ะ เขาไม่ยอมบอกหรอก ผมคาดคั้นเขาต่างหาก” ผมไม่บอกเรื่องที่ตัวเองแหกกฎโดยการเข้าไปในเว็บของโอดีอาร์ ไม่อย่างนั้นผมคงโดนเจ้าหล่อนสาปแช่งหนักกว่าที่หล่อนทำกับไซม่อนเป็นแน่

“ก็ยังดีค่ะที่คาดคั้นแล้วเขายังยอมบอก แล้วยังไงคะ พวกคุณเลิกกันหรือยัง”

“เอ่อ เปล่า” เมื่อคืนยังนอนด้วยกันอยู่เลย

“น่าเสียดายนะคะ คบกับคนที่โกหกคุณเรื่องใหญ่โตแบบนี้จะดีเหรอ เชื่อใจได้เหรอคะ”

ผมเบ้ปากนิดหนึ่ง “ช่างเรื่องส่วนตัวผมเถอะน่า ผมมานี่เพราะอยากถามคุณ”

“เรื่องอะไรคะ”

“ใครคือเจ้าของอวัยวะที่ผมได้มา?”

อะแมนดาถอนหายใจเฮือกทันที “คุณก็รู้ว่าฉันบอกไม่ได้”

“ไม่ คุณบอกได้ เรื่องนี้มันสำคัญกับผมนะ”

“สำคัญยังไง ออสติน” หล่อนว่าเสียงเย็น ตวัดสายเย็นเยียบกลับมามอง “หัวใจของคุณไม่ใช่ของแบรด แมคแนร์อย่างที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้นว่า ความจริงมันก็มีอยู่แค่นั้น แล้วคุณจะยังอยากรู้อะไรอีก”

“ผมอยากแน่ใจจริงๆ ว่าหัวใจที่ได้มาไม่ใช่ของแบรด”

อะแมนดามองหน้าเขาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ยกมือกุมขมับ จากนั้นก็ส่ายหน้ารัวๆ

“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

อันที่จริงแล้ว ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่สัญชาตญาณในตัวกลับร่ำร้องบอกว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ต่อให้หัวใจนี้จะเป็นของใครก็ตามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องทั้งหมด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ทั้งเรื่องที่มันดึงให้ไซม่อนมาหาผม เรื่องที่มันทำให้ผมรับรู้เรื่องการตายของแบรด และตัวตนของแบรดซึ่งโยงไปหาคริสเตียนอีกที

จุดเริ่มต้นอยู่ที่มัน… และถ้าผมคิดจะเดินหน้าต่อ ผมต้องถอยหลังให้สุด

“ผมคิดว่ามันอาจช่วยให้ผมตามหาตัวคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนได้”

ได้ผล แพทย์หญิงหันกลับมามองหน้าผมอย่างตกตะลึง สีหน้าอ่อนใจเมื่อครู่กลับมาเป็นขาวซีดอีกครั้ง หล่อหรี่ตามองผม ถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

“ยังไงคะ”

“เอาตรงๆ นะ ผมไม่รู้หรอก”

“ออสติน--”

“คุณบอกอะไรผมไม่ได้เลยเหรอ” ผมครางอย่างสิ้นหวัง ถึงในใจจะมีแผนสำรองแล้วว่าถ้าอะแมดาไม่บอกอะไร ผมจะกลับไปย้อนดูรายชื่อผู้บริจาคอวัยวะหมู่เลือดเอบีที่ปรินท์ออกมา ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจต้องเข้าระบบของโอดีอาร์อีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้จริงๆ รึเปล่า และถ้าเป็นไปได้จริงๆ ผมก็ไม่อยากเข้าแล้วด้วย

อะแมนดานิ่งไปครู่ใหญ่ ดูคิดไม่ตก ท่าทางลังเลแบบนั้นของหล่อนทำให้ผมมีความหวังมากขึ้น

และในที่สุด หล่อนก็ถอนหายใจเฮือกออกมา “ฉันอาจจะบอกทั้งหมดกับคุณไม่ได้”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบว่า “แค่แง้มสักนิด--”

“ทำไมคุณไม่ลองไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ชื่อลูซี่ เพรซตอนดูล่ะ”

ผมรู้สึกผิดหวังวูบขึ้นมาทันที แต่ก็ยังกัดฟันถามต่อ “หล่อนเป็นใครครับ”

“ตำรวจที่ประจำอยู่เขตเคาน์ตี้” อะแมนดาว่า ลุกออกจากโซฟา “คุณรอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ ฉันจะไปเอาเบอร์ติดต่อของหล่อนมาให้”

“แล้วหล่อนจะช่วยอะไรผมได้”

หญิงสาวยักไหล่ “ไม่รู้สิคะ แต่ฉันว่าอาจจะช่วยได้มากกว่าเอฟบีไอจอมโกหกของคุณก็แล้วกัน”

ผมชักสีหน้าไม่พอใจนิดหนึ่ง จริงอยู่ที่ไซม่อนโกหกผมอย่างที่เจ้าหล่อนว่าจริงๆ แล้วก็จริงอยู่ที่ผมว่าเขาแบบนั้น แต่ผมไม่ชอบให้ใครมาว่าแฟนตัวเองแบบนั้นเท่าไร ยิ่งย้ำหลายๆ รอบแบบนั้น

ผมได้ชื่อและเบอร์โทรติดต่อของลูซี่ เพรสตอนมา น่าจะเรียกว่าถูกยัดเยียดมามากกว่า

“คุณโทรหาหล่อนนะ บอกว่าคุณเป็นใคร บอกว่าฉันให้เบอร์คุณมา หล่อนคงช่วยคุณได้”

ประเด็นก็คือว่า เรื่องที่ผมอยากรู้คือผมได้หัวใจของเขามาใช้ ซึ่งเรื่องนี้อะแมนดาย่อมต้องรู้ดีอยู่แล้ว สังเกตจากที่หล่อนฟันธงอย่างเด็ดขาดมาว่าหัวใจที่ผมได้มานี่ไม่ใช่ของแบรด แมคแนร์… แต่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเจ้าหน้าที่ที่ชื่อลูซี่ เพรสตอนคนนี้จะช่วยอะไรผมได้

ผมหมายถึง… หัวใจของผมไม่ใช่ของพี่ชายไซม่อนอย่างที่เจ้าตัวอ้าง แต่เป็นของพี่ชายหรือญาติคนใดคนหนึ่งของลูซี่ เพรสตอนรึไง? ทำไมคนเราต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากซ้ำซ้อนนักหนาด้วยนะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย



ไซม่อนมารอผมอยู่ที่หน้าประตูทางออกของเจ้าพนักงานอยู่แล้ว

ผมส่งยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะเดินขนาบข้างไปกับเจ้าตัว ไซม่อนเลื่อนมือมาคว้ากระเป๋าจากมือผมไปถือ เดินสวนกับคนอื่นๆ ที่เทียวเข้าออกอาคารแห่งนี้ เขาเลือกจังหวะที่ผู้คนบางตาแตะริมฝีปากลงบนขมับผม ผมสะดุ้งเฮือกเลยทีเดียว

“ไซม่อน คุณ…!”

“ฮะ ๆๆๆ” พ่อตัวดีหัวเราะร่วน “ยังไม่ผ่านนะครับ ต้องฝึกอีกหน่อย”

“ผ่านอะไร”

“ก็ไอ้โรคกลัวสัมผัสของคุณไง สะดุ้งแรงขนาดนี้แปลว่ายังไม่หายกลัว ไม่ผ่านการทดสอบนะ”

“ทดสอบอะไร! คุณเล่นตอนทีเผลอแบบนี้เป็นใครก็ต้องสะดุ้งทั้งนั้นแหละ”

“เหรอ คุณลองจูบผมตอนทีเผลอบ้างสิ ผมจะไม่สะดุ้งให้ดู”

ผมเลยถองศอกใส่คนทะเล้นไปทีหนึ่งแรงๆ เจ้าตัวร้องโอดครวญอย่างเสแสร้ง ถ้าไม่ติดว่าเดินอยู่บนถนนคงลงไปนอนดิ้นกับพื้นแล้ว

“สม”

“ใจร้าย ออสติน เดี๋ยวเถอะ คืนนี้ผมจะเอาคืน”

“ฮะ?” ผมกลั้นเสียงหัวเราะไวได้ทัน แกล้งตีหน้านิ่ง “อะไร? คุณเนี่ยนะ? มีปัญญาเหรอ?”

“โอ้โห พูดแบบนี้เอามีดแทงกันเลยดีกว่า” ไซม่อนทิ้งน้ำหนักแขนลงบนบ่าผมแรงๆ จากนั้นเราก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

ไซม่อนขับรถออกจากโรงพยาบาลมาได้พักหนึ่งผมก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการบอกให้เขาแวะซุปเปอร์เพื่อซื้อของสดไปทำเย็นนี้ พอเจ้าตัวหันกลับมาถามว่าผมจะทำอะไรเป็นมื้อเย็นผมก็ตอบกลับหน้าตาเฉย

“ผมเหรอจะเป็นคนทำ? คุณต่างหากต้องเป็นคนทำ”

“อ้าว” เขาโวยวาย “ได้ไงอ้ะ ผมขี้เกียจทำนี่”

“ขี้เกียจได้ไงคุณ เมื่อวานผมก็ทำแล้วไง วันนี้ก็ต้องตาคุณสิ”

คนขับรถทำสีหน้าไม่ชอบใจนิดหนึ่งก่อนจะเริ่มต่อรอง “พิซซ่าได้ไหมครับ ผมออกเอง”

“ไม่เอาครับ”

“งั้นเคเอฟซีเป็นไง”

“ไม่ครับ” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในรถและเขาเป็นคนขับ ผมคงจะประเคนฝ่าเท้าลงกลางหลังเจ้าตัวไปแล้ว มีอย่างเหรอ ผมเพิ่งทำสเต็กชั้นดีให้เขากินเมื่อคืน คืนนี้จะให้ผมกินไก่ผู้พันแซนเดอส์เหรอ ฝันไปเถอะ



.
.
.
.
.
(50%)






---------------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนมาแล้วค่าาาา ขอโทษที่ให้รอนะคะทุกคนนนน >3<
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(50%) P.4 [21/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-07-2017 20:03:04
จะเป็นผู้เฝ้าดู ไม่คาดเดาละ ฮา
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(50%) P.4 [21/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-07-2017 21:44:05
มีปมเพิ่มเข้ามาอีก  :z3:
ปมเดิมยังไม่คลี่คลายเลย  :really2:

แต่เหมือน มีไรๆเข้ามานะ
ขำที่ออสติน อยากประเคนเท้าไปที่หลังไซม่อน  :katai2-1:
เรื่องที่ไซม่อนจะเบี้ยวทำอาหารเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(50%) P.4 [21/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: askmes ที่ 22-07-2017 08:54:45
รอติดตาม
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(50%) P.4 [21/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-07-2017 07:57:28
เขียนได้ดีมากจริงๆ ครับ เหมือนอ่านนิยายสืบสวนสอบสวนที่แปลมาจากนักเขียนชื่อดังเลย จริงๆ ไม่ค่อยชอบอะไรที่อ่านไปแล้วเสียวสันหลังไปแบบนี้เท่าไหร่แต่เรื่องนี้มันสนุกจนหยุดไม่ได้ คิดว่ายังมีอะไรดาร์คๆ ซ่อนอยู่อีกเยอะ อยากให้มีคนมาอ่านเยอะๆ ให้สมกับที่คนแต่งตั้งใจขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(50%) P.4 [21/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 23-07-2017 10:59:05

[ต่อ]


หลังจากแวะซื้อของเสร็จสรรพ กลับมาถึงคอนโดของไซม่อน ผมก็แทบจะโดดถีบเจ้าของห้องเข้าครัวให้ไปจัดการมื้อเย็นเร็วๆ

“โห่ ออสตินอ่า” ร่างสูงบ่นงึมงำขณะง่วนอยู่หน้าเตา ขณะที่ผมนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาพร้อมกับเปิดทีวีทิ้งไว้ ตามองจอมือถือ “ใจร้ายจังคุณ มาช่วยผมหั่นแครอทนี่หน่อยได้ไหม นะครับ คนดี ทำกับข้าวคนเดียวเหงาจัง”

“ทำไปคุณ อย่าบ่น” ผมว่า กวาดตาอ่านข่าวที่อยู่ในหน้าจอก่อนจะเงยหน้าอย่างนึกขึ้นมาได้

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบนาทีแล้วดูจากนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ผมลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋าทำงานของตัวเอง หยิบโน้ตแผ่นเล็กที่อะแมนดาให้มาอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่าโทรไปตอนนี้จะดึกเกินไปรึเปล่า อีกฝ่ายคงเลิกงานแล้ว แต่คิดอีกที ถ้าโทรตอนกลางวันแล้วอีกฝ่ายยังทำงานอยู่ อาจจะเป็นการรบกวนมากกว่าเสียอีก

ผมตัดสินใจเสี่ยงโทรไปตามเบอร์ที่ได้มาดู เสียงกริ่งดังอยู่ในหูก่อนจะมีเสียงผู้หญิงกรอกลงมาตามสาย

“สวัสดีค่ะ”

“เอ่อ สวัสดีครับ คุณใช่เจ้าหน้าที่ลูซี่ เพรซตอนรึเปล่าครับ”

“ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ”

“ผมชื่อออสติน การ์ดเนอร์นะครับ เป็นหมอนิติเวช-- เอ่อ แต่ตอนนี้โดนสั่งพักงานอยู่”

“อ้อ ค่ะ” แล้วก็เงียบไปนิดหนึ่ง ผมกระแอมออกมาเบาๆ

“คือ… ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่คุณรู้จักคุณหมออะแมนดา กอร์แมนไหมครับ”

“รู้จักค่ะ”

“หล่อนเป็นคนแนะนำให้ผมโทรหาคุณ”

ปลายสายเงียบไปอีก ผมเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนกันกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป ดูมันสะเปะสะปะและไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“คือ… พอดีว่าผมอยากรู้เรื่องหัวใจ---”

“อ่า… ฉันคิดว่าฉันพอเดาได้แล้วค่ะว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร”

โอ้โหเฮ้ย… รู้ด้วยแฮะ ได้ไงเนี่ย

“เอ่อ แล้วคุณ---”

“เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ คุณการ์ดเนอร์ ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่นิดหน่อย ไว้ฉันค่อยติดต่อคุณไปทีหลังได้ไหมคะ?”

“คุณประจำสำนักงานของเคาน์ตี้ใช่ไหมครับ” ผมรีบถามดักคอ อีกฝ่ายดูอึกอักไปนิดก่อนจะตอบ

“ใช่ค่ะ”

“ผมจะไปหาคุณพรุ่งนี้ ขอเวลาคุณไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น สักตอนเที่ยงเป็นไงครับ นั่นน่าจะเป็นเวลาพักของคุณ ผมจะได้ไม่รบกวนเวลางาน”

“อืม” น้ำเสียงคิดหนัก ก่อนจะตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ “เที่ยงก็ฟังดูดีค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันค่ะ”

“ค่ะ สวัสดีนะคะ คุณการ์ดเนอร์”

นัดแนะเป็นที่เรียบร้อยแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำอะไรคืบหน้าไปอีกหน่อย ผมยกยิ้มให้ตวเองอย่างพึงพอใจ กลิ่นหอมฉุยที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ต้องรีบหันกลับมาช่วยไซม่อนจัดโต๊ะอาหาร วันนี้เจ้าตัวทำลาซานย่ากับไก่อบซอสบาร์บีคิวมาเป็นมื้อเย็น จริงๆ ก็ดูหมอนี่มีฝีมือในการทำอาหารไม่เลว แต่ทำไมยังจะงอแงไม่อยากทำอีกก็ไม่รู้ สงสัยจะขี้เกียจ

“คุยกับใครเหรอครับ ออสติน เพื่อนที่ทำงานเหรอ”

“เปล่าครับ ผมเพิ่งโทรนัดเจ้าหน้าที่ลูซี่ เพรซตอนให้เจอกันวันพรุ่งนี้น่ะ”

ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววตกใจจริงๆ ขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไป แต่ผมว่าผมมองไม่พลาดนะ

“คุณรู้จักเขาเหรอ” ผมถาม ไซม่อนทำหน้าเหมือนไม่อยากพูดนิดหนึ่ง แต่เมื่อโดนผมจ้องหน้าเข้าไปก็ถอนหายใจเฮือก ยอมรับออกมาเสียงอ่อย

“ครับ ก็… เคยทำงานด้วยกันมา”

เออ นั่นสินะ ยังไงก็อยู่ในวงการแถบๆ นี้ก็คงหนีกันไปไหนไม่พ้น ทำไมผมถึงลืมคิดไปได้ล่ะเนี่ย

“หล่อนนิสัยดีไหม”

“ก็ดีครับ… แล้วทำไมคุณต้องไปพบหล่อนด้วยล่ะ”

“นั่นสิน้า อาจจะเพราะว่าผมกำลังคิดหาทางนอกใจคุณอยู่ก็ได้ล่ะมั้ง?” ผมแกล้งลากเสียงยาว ส่งยิ้มหวานไปให้เขา แต่พอเห็นอีกฝ่ายตีหน้าเคร่งกลับมา ไม่ขันด้วย ทำเอาผมต้องหุบยิ้มลงเลย “ก็… ผมอยากจะคุยกับหล่อนเรื่องหัวใจน่ะ จริงๆ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าคุณเพรซตอนจะช่วยอะไรหรือบอกอะไรที่ผมอยากรู้ได้บ้าง แต่อะแมนดาแนะนำมา”

“คุณหมอของคุณน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ”

ไซม่อนดูนิ่งไปนิดหนึ่ง ท่าทีแบบนั้นทำเอาผมเริ่มกังวลขึ้นมา “อะไร ไซม่อน นี่อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าผมจะนอกใจคุณจริงๆ?” ถ้าใช่นี่คิดหนักเลยนะ ยิ่งมีประสบการณ์ในอดีตยิ่งทำให้ผมระแวงแจไปหมด แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นไซม่อนมีท่าทางแบบ--

“ใครบอกล่ะครับว่าผมกลัวว่าคุณจะนอกใจ” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถลาเข้ามาล็อกตัวผมไว้แน่น ผมร้องเหวอออกไปอย่างตกใจก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่ออีกฝ่ายถูคางลงบนซอกคอผมอย่างหยอกล้อ ไอ้บ้าเอ๊ย จั๊กจี้นะเว้ย เล่นอะไรเป็นเด็กๆ! “อีกอย่างนะ คนฉลาดอย่างคุณน่ะ ถ้าจะนอกใจจริงคงไม่มาบอกผมซึ่งๆ หน้าแบบนี้หรอก แต่ก็น้า… คุณจะนอกใจผมได้ยังไงกัน ก็ทั้งรักทั้งหลงผมขนาดนี้”

“หลงตัวเอง” ผมส่งยิ้มให้เขา อีกฝ่ายเลื่อนปากลงมาประกบเร็วๆ ทีหนึ่งก่อนจะผละออก ไซม่อนเดินกลับไปที่โต๊ะที่มีอาหารทุกอย่างวางเรียงรายก่อนจะเริ่มอ้อน

“รีบกินกันเถอะครับ ออสติน ผมหิว อยากกินคุณจะแย่อยู่แล้ว” นั่น ดูนะ คนเรา

“แล้วไม่ต้องกินไอ้พวกนี้หรือไงครับ” ถามกลับด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

“กินเสร็จแล้วจะได้กินคุณต่อเร็วๆ ไง”

ทำไมไอ้หมอนี่มันไม่อายปากกับเรื่องแบบนี้บ้างเลยนะ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ






ผมจมอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

ฝันร้ายที่วนกลับมาฉายซ้ำร้ายซ้ำเล่าราวกับมันจะไม่มีวันจบสิ้น ผมสัมผัสได้ถึงความชื้น เสียงหอบหายใจของตัวเองที่ดังอย่างสม่ำเสมอ ดวงตาที่ถูกปิดสนิทด้วยผ้าจนมองอะไรไม่เห็น ความเงียบที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกทำให้ความกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกหมอนั่นจับมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว รู้แต่ว่ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานเหลือเกิน ผมอยากจะให้มันจบลงเร็วๆ

อยากให้ใครสักคนมาช่วยผม หรือถ้านั่นเป็นการขอที่มากเกินไป… อย่างน้อยขอให้คริสเตียนฆ่าผมเลยก็ยังดี เอาแบบให้ตายเร็วๆ ด้วยนะ ไม่อยากทรมานนาน

“แฮ่ก… อึก” ผมครางกับตัวเอง เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งจนน่ากลัว

ผมไม่รู้ตัวเองโดนคนที่จับมาขืนใจไปกี่รอบแล้ว ไม่คิดอยากจะนับหรอก แต่อย่างน้อยจำนวนพวกนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคือคริสเตียน แฟนเก่าของผมไม่ผิดแน่

ทำไมน่ะเหรอ? ให้ตายเถอะ ผมนอนกับหมอนั่นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตอนที่เราคบกัน ผมจำมันได้ทั้งหมดแหละ สัมผัสของเขา กลิ่นกายของเขา เสียงหอบหายใจและจังหวะการร่วมรักพวกนั้น…

มันเคยเป็นความช่วงเวลาที่ดีนะ แต่การที่โดนผู้ชายคนเดียวกันบังคับขืนใจทำลายมันไปทั้งหมด กลายเป็นว่าผมกลัวสัมผัสใดๆ ก็ตามที่อาจจะคืบคลานเข้ามาหาตัวเมื่อไหร่ก็ได้ไปแล้ว ผมกลัวว่าเขาจะกลับมาที่นี่ จากนั้นก็ลงมืออ้าขาผมออกแล้วกระแทกร่างลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่เขาต้องการ

“อุบ…” นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาแล้วผมอยากจะอาเจียน

ผมพยายามขยับขาที่เป็นอิสระไปมา ออกแรงบังคับให้มันพาตัวผมลุกขึ้นยืน เสียงด้านนอกมันเงียบไปหมด แปลว่าคริสจะต้องไม่อยู่ที่นี่แน่ๆ ผมต้องรีบใช้จังหวะนี้… หาทางรอดให้ตัวเอง แม้ว่าจะดูริบหรี่มากก็เถอะ แต่ยังไงผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเนี่ย

ผมขยับแขนที่ถูกพันธนาการติดกันด้วยโลหะ ซึ่งผมเดาว่าเป็นกุญแจมือ ขยับมันขึ้นลงจากด้านหลัง รู้สึกได้ถึงโลหะหนักๆ ที่รัดกับกุญแจมือไว้อีกทอด ผมคลำมือไปมาอย่างสะเปะสะปะ สัมผัสเจ้าสิ่งที่ล่ามกุญแจมือบนข้อมือของตัวเองเอาไว้ คลำไปมาสักพักก็พอจะรู้ได้ว่ามันคือโซ่เส้นหนา ฉลาดคิดนี่ กลัวผมจะหนีเต็มที่เลยสิท่า

แขนทั้งสองข้างยังคงคลำต่อไปเรื่อยๆ อย่างเก้กัง พยายามสาวไปให้ถึงจุดที่โซ่เส้นนี้สิ้นสุด และในที่สุดมือผมก็สัมผัสกับแผ่นไม้… อืม ใช่ น่าจะนะ เหมือนกับว่าโซ่ถูกตรวนเข้ากับแผ่นไม้นี่ไว้อีกที แล้วคราวนี้ยังไงต่อล่ะ

“โอย…” ผมครางออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างกายร้อนผ่าวไปหมดเพราะต้องเกร็งตัวขยับแขนไปมาทั้งที่มองอะไรไม่เห็น มือที่เลื่อนไปเจอเนื้อไม้พยายามป่ายไปหาขอบของมัน แล้วในที่สุดก็เจอ

เหงื่อหยดหนึ่งไหลเข้ามาในปากผม ความเค็มนั่นทำให้เผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความระทึก มือผมควานไปรอบๆ โดยพยายามจับเฉพาะส่วนที่เป็นไม้ ลากมือวนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมือก็สัมผัสได้ถึงโลหะที่เป็นวางกลมในเนื้อไม้นั่น

ไม่ผิดแน่… นี่คงเป็นหัวตะปู ถ้าผมกระชากแผ่นไม้นี่ออกได้ มือผมก็จะหลุดออกจากตรงนี้ได้

เอาล่ะ… ลองดูซักตั้งแล้วกัน

“แฮ่ก” ผมป่ายมือไปยึดขอบของแผ่นไม้อย่างเก้กัง พยายามออกแรงกระชากมันออกจากผนัง นิ้วมือข่วนไปมาอย่างเปะปะจนมันแสบไปหมด รู้สึกของเหลวอุ่นบนมือ คาดว่าคงเป็นเลือดไม่ก็เหงื่อของผมเอง

ผมยกขาขึ้นมายันกับผนังเพื่อใช้เป็นแรงส่ง จินตนาการภาพของตัวเองเพื่อให้เคลื่อนไหวได้ถูกทิศทาง จากนั้นจึงออกแรงถีบแล้วใช้แรงกระชากแขนขึ้นมาอีกรอบ น้ำหนักที่รัดมือผมไว้ฉุดผมลงไปเล็กน้อย ได้ยินเสียงของแผ่นไม้ตกกระทบบนพื้นตามด้วยเสียงโลหะ ผมคลำมือไปมา พยายามหาทางเอาโซ่ออกจากกุญแจมือ

ผมเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงเปิดประตูดังขึ้นมาให้ได้ยินเสียก่อน

ผมสะดุ้งสุดตัว ถอยหลังหนีไปยังทิศทางตรงข้ามกับต้นเสียงโดยอัตโนมัติ ลืมหายใจไปชั่วขณะ

“คะ… คริส?” ผมเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรตอบเช่นเคย เขาไม่เคยพูดอะไรเลยตั้งแต่จับผมมาขังไว้ที่นี่

ซึ่งบอกตามตรง… มันน่ากลัวมากๆ ความเงียบนั่นของเขาทำให้ผมประสาทหลอน แต่ตอนนี้เสียงฝีเท้าที่คืบคลานเข้ามาทำให้ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ดะ… เดี๋ยว คริส ผมขอโทษ” ผมพยายามก้าวเท้าถอยให้ห่างจากเสียงฝีเท้านั่น แต่ขาชนกับขอบด้านหลังเสียแล้ว และจนถึงตอนนี้… ผมเริ่มเดาได้แล้วว่ามันคือขอบของอ่างอาบน้ำ น่าจะนะ “ปละ… ปล่อยผมไปเถอะ ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่าง ได้โปรดอย่า-- อึก!”

แรงมหาศาลกระชากผมขึ้นไปจากนั้นก็เหวี่ยงลงในหลุมที่ผมเพิ่งหลุดออกมาได้อีกรอบ แรงกระแทกอย่างหนักกดทับลงบนสีข้างผม ได้ยินเสีนงกรีดร้องลั่นของตัวเองสะท้อนไปมา ความหวังเล็กๆ ที่จะหนีออกไปจากที่นี่หายวับไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงความกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้เท่านั้น

“อะ!?” ผมอุทาน ร่างกายสะดุ้งสุดแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายแหลมของอะไรบางอย่างกดลงมาบนต้นขา

วินาทีแรกที่วัตถุนั้นกินเนื้อเข้ามาผมยังสับสนอยู่ หากเมื่ออาการงุนงงหายไป ความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่ ผมรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ทะลักออกมาจากเนื้อของตัวเอง ไหลอาบลงบนต้นขา ปลายแหลมที่แทงเข้ามาบาดลึกเหมือนจะคว้านไปให้ถึงกระดูก

“อ๊ากกก!!!” ผมกรีดร้องลั่น ออกแรงดิ้นเหมือนคนบ้า แต่แรงยึดนั่นไม่ปล่อยให้ผมหนีไปไหน

ผมได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้อง คร่ำครวญอ้อนวอนขอให้เขาหยุด แต่ปลายมีดนั่นก็ยังคว้านลึกเข้ามาในผิวเนื้อของผมอยู่ดี

ผมไม่มีสติมากพอที่จะรับรู้ในตอนนั้น มีดที่กรีดลงมาคือถ้อยคำที่ชายคนนั้นพยายามจะสื่อสารกับผม

‘Don’t Run’

ผมมีโอกาสพิจารณาแผลนั่นชัดๆ ตอนที่ตัวเองหลุดพ้นออกมาจากสถานการณ์นั่นมาแล้ว

แต่ทุกครั้งที่เห็นมัน… ผมจะเห็นภาพของตัวเองกลับไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น โดนมีดกรีดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า





----------------------------------------------
Talk: เต็มตอนจัดไป! ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์มากเลยค่ะ เป็นกำลังใจที่สำคัญมากจริงๆ ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเม้นท์มาบอกกันได้น้า~ 1 คอมเม้นท์ ล้านกำลังใจเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(100%) P.4 [23/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-07-2017 11:22:41
มันอยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:
คนที่ทำคริสเตียนใช่ป่ะ
ทำอย่างนี้กับออสตินเพื่ออะไร  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(100%) P.4 [23/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-07-2017 13:51:34
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(100%) P.4 [23/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-07-2017 14:13:20
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 19)(100%) P.4 [23/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 30-07-2017 11:19:47

บทที่ 20


   
“เดี๋ยวนะ คุณหมายความว่ายังไง” ผมได้ยินเสียงของตัวเองดังขึ้นในสำนักงานของเขตเคาน์ตี้ซึ่งเป็นที่ทำงานของลูซี่ เพรซตอน

หญิงสาวประจำโต๊ะหลุบสายตาลงมองแฟ้มที่เปิดกางอยู่ตรงหน้า แผ่นกระดาษเอกสารที่ถูกเรียงเป็นระเบียบบ่งบอกว่าเจ้าหล่อนกำลังศึกษามันอย่างถี่ถ้วน แต่ผมไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอกถ้าหากเจ้าหล่อนจะทำตามที่เราตกลงกันไว้แล้วยอมคุยกับผมดีๆ ตามที่เราตกลงกันทางโทรศัพท์เมื่อวาน

“ฉันเสียใจค่ะ คุณการ์ดเนอร์” เพรซตอนละหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ มองตาผมนิ่ง “ฉันเข้าใจว่าคุณอยากคุยธุระของคุณ แต่ฉันมีงานล้นมือต้องทำ”

โต๊ะทำงานของลูซี่ เพรซตอนตั้งอยู่ลึกที่สุดของห้อง มีโต๊ะของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เรียงรายก่อนที่จะมาถึงโต๊ะหล่อน นั่นหมายความว่าตำแหน่งของเจ้าหล่อนคงจะสูงอยู่ไม่น้อย แต่ดูสิ่งที่หล่อนทำสิ นี่เหรอมืออาชีพ?

“คุณบอกว่าให้ผมมาพบคุณได้” ผมว่าหลังจากสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดเพื่อควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเอง “คุณเป็นคนพูดเองตอนที่เราคุยทางโทรศัพท์กันเมื่อวาน”

ผมมาตามนัดที่เราสองคนตกลงกันไว้ ยืนยันกับเจ้าหล่อนว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอะไรทั้งนั้น แค่บอกเรื่องที่หล่อนรู้เกี่ยวกับหัวใจที่ผมได้มาจากใครก็ไม่รู้ บอกเหตุผลที่อะแมนดาบอกให้ผมมาคุยกับเจ้าหล่อนแบบนี้… และที่เราโทรคุยกันเมื่อวานหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำยาวประบ่าตรงหน้านี้ก็รับปากไว้ดิบดี แต่พอผมมาหาเจ้าหล่อนถึงสำนักงานจริงๆ กลับบอกว่าตอนนี้ยุ่งมากจนไม่มีเวลาคุยกับผมเนี่ยนะ? แล้วจะไม่ให้ผมอารมณ์เสียได้ไง?

“ฟังนะคะ คุณการ์ดเนอร์” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนอ่อนลง มองผมด้วยสายตาเห็นใจระคนสำนึกผิด “ฉันขอโทษจริงๆ ที่ทำตามที่ทำตามที่เราคุยกันเมื่อวานไม่ได้ แต่ตอนนี้มีคดีเร่งด่วนเข้ามาและฉันกับทีมจำเป็นต้อง--”

“คุณแค่บอกผมมาเท่านั้นเองว่าทำไมอะแมนดาถึงบอกให้ผมมาคุยกับคุณ”

เพรซตอนสูดลมหายใจลึกๆ ที่หนึ่งเหมือนอดกลั้นอะไรสักอย่าง ดูจากภายนอกแล้วหล่อนน่าจะอยู่ในช่วงสามสิบตอนกลางถึงตอนปลาย แต่งกายด้วยชุดกึ่งลำลองกึ่งทางการที่คล้ายกับสูทหากสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่ว มีตราตำรวจเหน็บไว้ที่เอวเช่นเดียวกับปืน

“คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้บริจาคอวัยวะของผม?”

“ขอโทษค่ะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกจะคุยเรื่องนี้กับคุณจริงๆ”

“ตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อวาน คุณไม่ได้พูดแบบนี้นี่”

“แล้วคุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าเรื่องผู้บริจาคกับผู้รับบริจาคอวัยวะเป็นความลับทางการแพทย์” น้ำเสียงหล่อนเชือดเฉือนเสียจนผมต้องถอนหายจยาวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน กลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างหมดความอดทน รู้สึกถึงสายตาของพนักงานคนอื่นๆ ที่มองมาทางตัวเองและเพรซตอน รวมถึงลูกทีมของหล่อนด้วย เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งกำลังเหลือบมองมาราวกับดูท่าทีว่าผมจะเริ่มลงมือทำอะไรบ้าบิ่นกับเจ้านายตัวเองรึเปล่า ซึ่งแน่ล่ะ ต่อให้ผมโกรธแค่ไหน ผมก็ไม่ลงมือทำอะไรบ้าๆ ในสถานที่ที่ทุกคนมีปืนเหน็บอยู่ตรงเอวหรอก

“ใช่ แน่นอน ผมรู้” น้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายอย่างไม่คิดปิดบัง การโดนปฏิเสธกะทันหันทำให้ผมผิดหวังมากจริงๆ “แต่ผมมีความจำเป็นบางอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องหัวใจนี่ เพราะงั้นผมถึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากอะแมนดา แล้วหล่อนก็ซัดมาให้คุณ”

“ทำไมคุณถึงมาอยากรู้เรื่องผู้บริจาคของคนเอาตอนนี้คะ คุณการ์ดเนอร์ ฉันได้ยินมาว่าคุณเองก็ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาหลายเดือนแล้ว”

“เรื่องนั้นอะแมนดาบอกคุณงั้นเหรอ”

หล่อนไม่ตอบ แต่นั่นก็เป็นคำตอบอย่างหนึ่ง อะแมนดาบอกให้ผมมาหาเพรซตอน แปลว่าสองคนนี้ต้องคอยติดต่อกันอยู่แล้ว

“ผมหวังว่ามันจะพาผมไปหาคนที่เคยลักพาตัวผมไปทรมานเมื่อสองปีก่อนได้” ผมตอบ และมันอาจจะได้ผล เพราะเพรซตอนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความตกใจทันที ก่อนเจ้าหล่อนหล่อนจะหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวังมากขึ้น

“ทำไมคุณถึงคิดว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันล่ะคะ?”

ผมยักไหล่ “ผมไม่รู้หรอกครับ คุณเพรซตอน บอกตามตรงว่าที่ผมกำลังอยู่นี่คือการคลำทางไปเปะปะในความมืด แต่ผมว่าผมเห็นแสงลิบๆ อยู่ที่ปลายทางนี่แล้ว และทางที่ว่าก็กำลังชี้มาทางนี้ หัวใจที่ผมได้มาเป็นตัวเชื่อมมันไว้ ผมต้องคลำทางย้อนกลับไปที่มัน”

“คุณเป็นหมอไม่ใช่เหรอคะ คุณการ์ดเนอร์” หญิงสาววางปากกาในมือลง จ้องตาผมตรงๆ “เรื่องสืบหาตัวคนร้ายน่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสืบแล้วก้ตำรวจเถอะ”

“อ้อ แน่นอนครับ ผมคงทำแบบนั้นแน่” น้ำเสียงห้วนสั้น จ้องตาเจ้าหน้าที่ตรงหน้ากลับอย่างท้าทาย “ถ้าไม่ใช่ว่าพวกตำรวจ พวกคุณ หรือเจ้าหน้าที่คนไหนก็แล้วแต่ปิดบังผมเรื่องพวกนี้ล่ะก็ ผมคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแน่”

“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ” หล่อนตัดบท หยิบปากกาขึ้นมาถือต่อ ตาหลุบต่ำลงบนเอกสารเหมือนเดิม “วันนี้ฉันคงช่วยคุณได้แค่นี้”

อยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่า คุณช่วยอะไรวะ?

“ผมต้องการคำอธิบาย คุณเป็นคนบอกว่า---”

“เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ คุณการ์ดเนอร์” เจ้าหน้าที่สาวหาทางออกอย่างสวยงาม “รอให้ฉันติดต่อคุณไปอีกครั้งได้ไหมคะ ไม่เกินสองวัน ฉันสัญญา ตอนนั้นฉันจะเอารายละเอียดทุกอย่างที่มีให้คุณดู”

“ไม่เกินสองวันเหรอ” ผมกัดฟันกรอด ยังรู้สึกถึงความโกรธของตัวเอง หน้ายังร้อนอยู่เลย “ถ้าคุณมีไอ้รายละเอียดทั้งหมดที่คุณว่านั่นอยู่แล้ว ทำไมคุณไม่แค่เอามาให้ผมดูตอนนี้? ผมสัญญาว่าจะรบกวนเวลาคุณไม่เกินสิบนาที แค่ผมได้--”

“ฉันเสียใจค่ะ คุณการ์ดเนอร์ แต่คุณกลับไปเถอะ วันนี้ไม่สะดวกสำหรับฉันจริงๆ”

คำพูดตัดบทนั่นทำให้ผมหน้าชาขึ้น ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพลิกหน้ากระดาษดูคดีตรงหน้าโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองยิ่งทำให้ผมอารมณ์ขึ้น

มันเป็นความรู้สึกว่าหล่อนให้ความสนใจกับคดีพวกนั้นได้ แต่กลับไม่ให้ความสนใจกับเรื่องของผม มันรู้สึกแย่นะ เหมือนเรื่องของตัวเองไม่มีความสำคัญ ไม่มีความหมายอะไรเลยกับผู้หญิงตรงหน้า

“อีกสองวัน” ผมย้ำ คราวนี้เพรซตอนยอมละหน้าขึ้นมามองตาผม “คุณสัญญาแล้วนะ”

“ค่ะ” น้ำเสียงของเจ้าหล่อนหนักแน่น ราวกับจะช่วยเสริมความมั่นใจให้ผมได้

แต่บอกตามตรง ผมไม่มีไอ้ความมั่นใจอะไรที่เจ้าหล่อนอยากส่งมาให้เลยสักนิดว่ะ ยิ่งอีกฝ่ายผิดคำพูดกับตัวเองแบบนี้…

ผมยักไหล่อย่างผิดหวังให้เจ้าหล่อนอีกรอบ ถึงยังไงผมก็ง้างปากให้ใครๆ พูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการไม่ได้อยู่แล้ว

“ก็ได้ครับ คุณเจ้าหน้าที่ ยังไงผมก็รอมาสองปีแล้ว รอคุณอีกแค่สองวันมันจะเป็นอะไรไป ถูกไหม?”

เพรซตอนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกรอบอย่างอดทน ก็ดี ดูเหมือนเราทั้งคู่จะรู้สึกเหมือนกันเลย

“คุณไปได้แล้วค่ะ”

ผมผละออกจากหน้าโต๊ะทำงานของเจ้าหล่อนด้วยอารมณ์ผิดหวังอย่างแรง หากเดินไปเพียงสามก้าวผมก็หันกลับไปย้ำกับเจ้าตัวอีกรอบ

“ผมขอแค่อย่างเดียว อย่าผิดสัญญากับผมอีก”

“ฉันสัญญาจริงๆ ว่าจะติดต่อไป”

ผมพยักหน้าแล้วจึงหมุนตัวกลับมาก้าวออกจากสำนักงานแห่งนั้น

ให้ตายสิ ผมเริ่มจะระลึกได้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้เกลียดพวกตำรวจ






ผมมาขอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนด้วยอารมณ์บูดสนิท แต่โชคดีที่คราวนี้พนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับพาผมไปรอในห้องว่างๆ ที่มีเพียงโต๊ะตัวเดียวกับเก้าอี้อีก 3-4 ตัว วางเรียงกันไว้ ลักษณะเหมือนเป็นห้องประชุม หรือไม่ก็ห้องสอบสวนผู้ต้องสงสัย เรียกว่าเป็นห้องอนเกประสงค์แล้วกัน

ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาไถดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรออยู่ด้านใน เสียงเคาะประตูดังขึ้นในอีกไม่ถึงห้านาทีต่อมา ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจนิดๆ เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง

สองโมงสิบนาทีตามเวลานัด… นับว่าเจ้าหล่อนทำเวลาได้ไม่เลวเลย

“สวัสดีค่ะ ออสติน” ฮันนาห์ แลนดี้ก้าวเข้ามาภายใน หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยเอาเรื่อง เรือนผมสีบลอนด์ทองถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยมักมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับบนริมฝีปาก หญิงสาวเข้ามาในห้องมือเปล่า ไม่มีแฟ้มหรืออะไรติดมือมาด้วย มีเพียงความจริงใจที่ส่งผ่านมายังดวงตาอย่างชัดเจน

“สวัสดีครับ ฮันนาห์” ผมเอื้อมมือไปจับมือหล่อนเขย่าก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง “คุณเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า”

“สบายดีค่ะ อาจจะวุ่นไปหน่อยเพราะคดีเยอะเหลือเกิน แต่โดยรวมก็ถือว่าเรื่อยๆ ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ?”

“ผมก็เหมือนกันครับ อาจจะว่างหน่อยเพราะโดนสั่งพักงานอยู่” ผมยกยิ้มบนมุมปาก อีกฝ่ายยิ้มกลับมาให้อย่างจริงใจ ช่วงที่ผมติดต่อกับหล่อนบ่อยๆ เรื่องคดีของคริสทำให้เราสนิทกันระดับหนึ่ง และผมพูดได้เลยว่าหล่อนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดี ซึ่งไม่ใช่ทุกคนหรอก

“นั่นสินะ ฉันได้ยินว่าคุณผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับ” ผมว่า แปลกใจเหมือนกันที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้คุยกับหญิงสาวตรงหน้ามานานพอสมควร ซึ่งนั่นหมายความว่าผมไม่ได้ตามเรื่องคริสเตียนมานานขนาดนั้น “ผมว่าผมคงพักฟื้นอีกสักพักแล้วคงจะกลับไปทำงานต่อ”

“เยี่ยมเลยค่ะ แต่ยังไงก็อย่าฝืนตัวเองนะคะ”

“ครับ” ผมตอบ รู้ดีว่าควรจะจบการคุยเล่นลงตรงนี้แล้วรีบเข้าเรื่อง แต่การที่ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่สองคนในเวลาไล่เลี่ยกันและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำให้ผมอดพูดออกมาไม่ได้ “ดีจังที่คุณยอมมาคุยกับผมตามที่เรานัดกันไว้จริงๆ ยิ่งเพราะเราเพิ่งตกลงกันเมื่อเช้า ผมเลยไม่แน่ใจว่าคุณจะสะดวกคุยกับผมไหม”

“แหม ก็ต้องสะดวกสิคะ” เจ้าหน้าที่แลนดี้พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็เราตกลงกันไว้เมื่อเช้าแล้วนี่นา ฉันก็ต้องล็อกเวลาให้คุณตามที่พูดสิ”

“ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจคิดเหมือนคุทุกคนคงดี” ผมว่า น้ำเสียงปนการทอดถอนใจเบาๆ

ฮันนาห์เลิกคิ้วยิ้มๆ “ทำไมคะ? ไปเจอเจ้าหน้าที่คนไหนเบี้ยวนัดเข้าหรือยังไง?”

“ครับ… วันนี้ผมมีนัดพบกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่ชื่อลูซี่ เพรซตอนน่ะ แต่ดันโดนอีกฝ่ายเบี้ยว”

“เจ้าหน้าที่เพรซตอนเหรอคะ” สีหน้าหล่อนแปลกใจนิดๆ “แปลกจัง ปกติหล่อนออกจะ… เอ่อ แบบว่า เคร่งนิดหนึ่ง ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะเบี้ยวนัดใครได้ นึกภาพไม่ออกเลยค่ะ”

ผมยักไหล่ “คงงานเร่งด่วนกะทันหันมั้งครับ ผมก็เข้าใจนะว่ามันช่วยไม่ได้ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี”

“อย่าถือสาเลยค่ะ งานของเราก็เป็นแบบนี้แหละ”

“ครับ ก็พยายามคิดงั้น”

“แต่อย่างน้อยคุณก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เพรซตอนมาบ้างแล้วสินะคะ”

“อืม… ไม่รู้สิ ผมขอใช้คำว่าคุยกันไม่รู้เรื่องมากกว่า หล่อนบอกว่าจะติดต่อผมมาใหม่ในอีกสองวัน”

“อ้าว” ฮันนาห์อุทานอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอียงคอยิ้มๆ แล้วพูดเป็นเชิงแหย่ “แหม ข้ออ้างแบบนั้นมันก็คือการไล่ดีๆ นี่เอง มิน่า คุณหมอออสตินถึงได้ดูอารมณ์บูดนัก”

“ผมเปล่านะ” ผมรีบว่า หากพอเห็นสายตาไม่เชื่อถือของอีกฝ่ายผมก็ต้องยักไหล่อย่างเสียไม่ได้ “ก็ได้ ผมก็ต้องหงุดหงิดบ้างแหละ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ วันนี้ผมมาหาคุณด้วยเรื่องคดีของคริสเตียน”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า “คุณอยากจะรู้อะไรคะ”

คำถามนั่นทำให้ผมกระพริบตาปริบทันที “เอ่อ… ก็ ความคืบหน้าของคดีมั้งครับ?”

“หือ? ความคืบหน้าของคดีเหรอคะ”

ผมผายมือสองข้างออกจากกัน “ก็คุณเป็นคนรับผิดชอบคดีของคริสเตียนไม่ใช่เหรอครับ”

ฮันนาห์เบิกตากว้างขึ้นทันทีอย่างตกตะลึง เห็นท่าทีแบบนั้นของเจ้าหล่อนแล้วผมถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ มองเจ้าหล่อนกลับด้วยความตกใจไม่แพ้กัน รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที

“ก็… ก็คุณ--” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูด รู้สึกหัวตื้อๆ ขึ้นมาอย่างไรพิกล มือเผลอยกขึ้นมาเคาะกับโต๊ะ “คุณ… รับผิดชอบสืบหาตัวคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนไม่ใช่เหรอครับ”

“คือ-- เอ่อ ก็… ต้องบอกว่าเคยรับผิดชอบคดีนั้นมากกว่า” เจ้าหน้าที่สาวที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า ไม่รู้เลยว่าระหว่างผมกับหล่อนใครจะสับสนงุนงงกว่ากัน “แต่… ฉันไม่ได้ทำคดีนั้นมานานแล้วนะคะ นี่คุณ---”

“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะครับ” ผมยกมือห้ามเป็นเชิงขอให้หล่อนหยุดพูด มืออีกข้างเลื่อนมากุมขมับของตัวเอง สูดลมหายใจอีกเฮือกเพื่อตั้งสติ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับคู่สนทนา “สรุปว่าคุณไม่ได้ตามหาคริสเตียนต่อแล้วหรอกเหรอ?”

“เอ่อ คือ… มีเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นรับไปทำแทน-- เดี๋ยวนะ คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ผมถามอย่างสับสน บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่หล่อนไม่ได้ติดต่อมาเลยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี่ และบางที… ถ้าดูจากท่าทีงุนงงของหล่อนแล้ว หล่อนคงคิดว่าที่ผมไม่ได้ติดต่อหล่อนเพราะผมรู้เรื่องนี้แล้ว

“ก็… หลายเดือนแล้วค่ะ อาจจะถึงปีแล้วด้วยซ้ำ ไม่ ไม่สิ คงไม่ถึง น่าจะสัก… 7-8 เดือนก่อน?”

“ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้”

ใบหน้าของฮันนาห์ดูกังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว “ฉันก็ไม่ทราบค่ะ ทางเอฟบีไอบอกว่าจะติดต่อทางคุณ ฉันก็นึกว่าพวกเขาดำเนินการเรียบร้อยแล้ว แต่… มันเป็นคดีเย็นด้วยมั้งคะ ทางนั้นก็อาจจะไม่ได้แตะต้องมันมากเท่าไร หรือไม่ตอนที่พวกเขาพยายามติดต่อคุณ คุณอาจจะติดต่อไม่ได้พอดีหรืออะไรแบบนั้น มันก็มีความเป็นไปได้หลายอย่าง”

“ติดต่อผมไม่ได้เนี่ยนะ?” ขอทีเถอะ ถ้าเป็นเรื่องคดีของคริสเตียนล่ะก็ แค่พูดชื่อเขามาผมก็ยอมทิ้งทุกอย่างไปฟังรายละเอียดความคืบหน้าอยู่แล้ว “ผมไม่เคยเปลี่ยนเบอร์ ไม่เคยเปลี่ยนที่อยู่ บ้านผมมีตู้จดหมายนะ รู้ไหม หรืออีเมล์ก็ได้ พูดมาได้ยังไงว่าติดต่อผมไม่ได้เนี่ย”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิคะ ฉันแค่จะบอกว่ามันก็มีความเป็นไปได้เท่านั้น”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด เรียกสติของตัวเอง ถ้าคิดตามที่หล่อนพูด มันไม่ใช่ความผิดของฮันนาห์เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นความผิดของไอ้หน่วยงานที่รับคดีไปต่างหาก

“หน่วยงานไหนรับคดีของคริสไปทำนะครับ” ผมถามหลังจากที่ทิ้งช่องว่างให้ความเยือกเย็นกลับมาอีกครั้ง

“เอฟบีไอค่ะ”

“ผมขอทราบชื่อได้ไหมครับ”

“คุณรอฉันสักครู่ได้ไหมคะ” ฮันนาห์ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ สีหน้าของเจ้าหล่อนเคร่งเครียดขึ้นราวกับเป็นคนละคนตอนเดินเข้ามาในห้องนี้ “ฉันจะไปเอาแฟ้มคดีมาให้ ฉันอาจจะไม่ได้มีทุกอย่างที่ทางเอฟบีไอมีเพราะทางนั้นเป็นคนจัดการคดีนี้ แล้วฉันก็ไม่มีสิทธิ์--”

“ผมเข้าใจครับ”

หล่อนนิ่งไปนิดหนึ่ง พยักหน้ารับ จ้ำเท้าพรวดๆ ไปที่ประตู เปิดมันออก แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป ฮันนาห์ก็หันมามแงหน้าผมด้วยสีหน้าฉงน

“เดี๋ยวนะคะ ถ้าคุณไม่รู้เรื่องที่เอฟบีไอรับคดีนี้ไปทำ… แปลว่าคุณก็ไม่รู้เรื่องที่…”

หล่อนไม่พูดต่อ หากยกนิ้วชี้ขึ้นมาลากเป็นวงกลมกลางอากาศราวกับว่านั่นจะช่วยบอกใบ้อะไรได้ ผมขมวดคิ้วมุ่น มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องอะไรครับ”

“เอาแบบนี้ดีกว่า สิ่งที่คุณอัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือตอน--”

“ตอนที่ผมมาหาคุณคราวก่อนนู่น ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ผมเพิ่งได้กล่องจากบุคคลปริศนาที่เราสันนิษฐานว่าเป็นคริสเตียน ที่มีสร้อยคอ นาฬิกา แล้วก็รูปถ่ายอยู่ข้างใน”

“นั่นคืออัพเดทล่าสุดของคุณเหรอคะ?” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมา

“ผมวุ่นวายกับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจน่ะ โอเคไหม”

ฮันนาห์พยักหน้า สีหน้าซีดลงเล็กน้อย

“รอฉันแป๊บหนึ่งค่ะ”

แล้วประตูก็ปิดลง

ผมมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวไปอย่างสับสน หันกลับมาก้มลงมองมือตัวเอง ความเงียบและความกดดันกดทับลงบนบ่า รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่มันก็แค่เรื่องภายใน คดีถูกเปลี่ยนมือไปให้หน่วยอื่นทำ เรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วไปอยู่แล้ว แต่ทำไมผมถึงได้สังหรณ์ใจแปลกๆ อย่างนี้ก็ไม่รู้

ประตูถูกกระชากเปิดออก ฮันนาห์เดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับแฟ้มคดีบางๆ ในมือ หล่อนเดินหลังตรงด้วยท่าทีสง่าอย่างที่ผมเห็นมาตลอด หากคราวนี้ใบหน้าที่มักระบายรอยยิ้มอยู่เสมอกลับไม่เหลือเค้านั้นเลย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เข้าไปใหญ่

หล่อนวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะ วางแขนข้างหนึ่งลงตาม ผมรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะโดนสอบปากคำด้วยท่าทีแบบนั้นของเจ้าหล่อน มันอาจจะเป็นความเคยชินของพวกตำรวจก็ได้ ยิ่งห้องนี้เป็นห้องสำหรับสอบปากคำด้วยแล้ว

“ถ้าคุณไม่ได้อัพเดทเรื่องของคริสมานานขนาดนั้น ฉันว่าคุณต้องตกใจกับเรื่องนี้มากแน่ๆ”

“ทำไมครับ” ผมถามอย่างระมัดระวัง “แปลว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับเขาใช่ไหม”

ฮันนาห์มองผมด้วยสายตาระวังมากขึ้น เป็นสายตาของพวกตำรวจเวลาใช้มองผู้ต้องสงสัยที่ต้องให้ปากคำ แต่ขอทีเถอะ ผมเป็นผู้เสียหายในคดีนี้นะ

เจ้าหน้าที่สาวหยิบแฟ้มขึ้นมาพลิกเปิดด้วยท่าทีที่เหมือนจะเล่นเกมกับผม “ขอฉันดูก่อนนะคะ คนที่รับคดีนี้ไปทำ… อืม เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ชื่อไซม่อน แมคแนร์”

ผมรู้สึกเหมือนโดนชื่อนั้นตบหน้าแรงๆ

“คุณว่าอะไรนะ?”

“เขารับคดีนี้ไปทำตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่… อืม ใช่ เขาทำคดีนี้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ลูซี่ เพรซตอน แต่คนรับผิดชอบจริงๆ น่ะคือตัวของแมคแนร์เอง”

“ไซม่อน แมคแนร์เหรอ” ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าซีดลง คิดย้อนกลับไปตอนที่เขามาหาผมที่บ้านครั้งแรก นั่นเป็นหลังจากที่ไซม่อนรับคดีของคริสไปทำแล้วเป็นเดือนๆ “แล้ว… เขา…”

“นี่คุณไม่รู้เรื่องเลยเหรอคะ” หล่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจจริงๆ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย หล่อนมองตอบกลับมา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้น “บางทีเขาอาจจะจับตาดูคุณมานานแล้วก็ได้ ออสติน เขาอาจจะเฝ้ามองดูคุณอยู่ตลอด”

“แต่… ผมไม่…”

ครืน!

โทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงสั่นพร้อมกับแผดร้องลั่น ผมสะดุ้งสุดตัวราวกับโดนไฟฟ้าช็อตเข้าที่ต้นขา ล้วงมือกระชากมันออกมาวางบนโต๊ะราวกับมันเป็นถ่านร้อนๆ ที่อาจทำให้มือลวกได้หากถือไว้นานเกินไป

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดลง ขนเส้นเล็กๆ ลุกเกลียวไปหมด เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

ไซม่อน แมคแนร์!





---------------------------------------------------
Talk: วันนี้เอาเต็มตอนมาลงค่ะ~ แล้วก็ตอนนี้เราจัดกิจกรรมอยู่ในเพจล่ะค่ะ ^^ ใครสนใจแวะเข้าไปเล่นกันน้า~ตามลิงค์นี้เลย https://goo.gl/yVasvC
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 20)(100%) P.4 [30/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-07-2017 13:03:05
สงสารออสติน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 20)(100%) P.4 [30/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-07-2017 14:24:36
อู้ยยย........อะไรกันเนี่ย  :katai1: :katai1: :katai1:
 
หรือนี่ ทำให้ลูซี่ไม่พูดเรื่องเจ้าของหัวใจกับออสติน
แล้วถ้าออสตินไม่แวะไปหาฮันน่าห์
ก็คงไม่รู้เรื่องว่าไซมอน รับทำคดีต่อ
แล้วฮันน่าห์ กว่าจะพูดว่าเอฟบีไอ ที่ทำคดีคริสเตียนคือไซม่อน
ก็ย้ำอยู่นั่นแหละ ว่าคุณไม่รู้เหรอๆๆๆ มันอะไรกัน
บอกก็ไม่บอก ทำไมทำเหมือนออสตินแกล้งไม่รู้ มันแปลกๆนะ

ออสติน คงรู้สึกเหมือนถูกหลอกซ้ำ อะไรกัน
แล้วนี่จะเชื่อใจไซม่อนไดอีกหรือ
ที่เข้ามาใกล้ชิดออสติน ไม่ใช่เพราะชอบ
แต่เพราะจะได้ติดตามเข้าใกล้ เหยื่อของคริสเตียนง่ายๆ แค่นั้นใช่มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 20)(100%) P.4 [30/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 30-07-2017 15:37:08
เหมือนออสตินถูกไซม่อนโกหกซ้ำไปซ้ำมา นี่มันทำให้ความไว้ใจจะหมดแล้วมั้ง เป็นกำลังให้คนเขียนกับออสตินค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 20)(100%) P.4 [30/07/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-08-2017 17:08:54

บทที่ 21



“ออสติน” ไซม่อนเรียกพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าผมหลังประตูห้องคอนโดของตัวเอง

ผมส่งยิ้มคืนให้เขา ก้าวเข้าไปภายในตัวคอนโด ส่งกระเป๋าทำงานให้อีกฝ่ายที่ยื่นมือมาคอยรับอยู่แล้ว ปล่อยให้ไซม่อนโน้มหน้าลงมาทาบริมฝีปากลงบนแก้มผมแผ่วเบา อีกฝ่ายดึงมือผมไปกุมจากนั้นจึงพาไปยังส่วนของพื้นที่นั่งเล่นภายใน

เขาวางกระเป๋าผมบนโต๊ะรับแขก ผมทิ้งน้ำหนักตัวลงบนโซฟาพร้อมกับเอื้อมมือไปปลดเนคไทออกจากคอ ไซม่อนก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับช่วยดึงเนคไทเส้นนั้นออกจากเสื้อเชิ้ตของผม มือหนาไล้ลงบนแก้มขณะส่งสายตาที่สื่อความหมายมาให้ ผมมองตาเขาตอบ ส่งยิ้มให้เขาเหมือนเดิม ร่างสูงปีนขึ้นมาคร่อมด้านบนก่อนจะทาบจูบร้อนลงมาด้วยความกระหาย

ผมจูบตอบเขา ตวัดลิ้นรับสัมผัสวาบหวามที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ไซม่อนผละริมฝีปากออก วางหน้าผากของตัวเองลงบนหน้าผากผม ยิ้มของเขากว้างจนแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว เขาขยับตัวมานั่งข้างๆ แล้วดึงผมไปกอดแน่น

“นึกว่าวันนี้คุณจะไม่มาหาผมซะแล้ว โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย”

“ผมกำลังคุยธุระกับคนอื่นอยู่น่ะ กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว เลยคิดว่ามาหาคุณซะเลยน่าจะดีกว่าเสียเวลาโทรกลับ”

“ไม่รับสายแบบนี้ผมเป็นห่วงนะ ยิ่งคุณเพิ่งโดนไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ตามล่าอยู่แบบนี้”

ผมยิ้มหวานให้เขา นิ้วเกลี่ยลงบนผมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเบามือ “แล้วมีอะไรคืบหน้าบ้างล่ะครับ คุณตำรวจ เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักที”

“ผมทำหลายคดีพร้อมกันนะคุณ ขอเวลาหน่อยสิ”

“ข้ออ้างไม่ได้เรื่องเลย”

“ผมรู้น่า อดทนอีกนิดนะครับ ผมจะรีบจับคนร้ายมาให้”

ไซม่อนยกหลังมือผมขึ้นจูบ ผมเลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่ง พ่อตัวแสบเพียงแค่หัวเราะ เลื่อนหน้ามาจูบปากผมเร็วๆ อีกที หากพอเขาทำท่าจะก้มลงมาจูบผมอีกครั้งหนึ่งผมกลับเบือนหน้าหนีเขา อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกอย่างเก้อเขิน

“เอ่อ โทษทีครับ คุณคงจะเหนื่อย”

“ก็… นิดหน่อยมั้งครับ” ผมยิ้ม

“หิวรึเปล่าคุณ แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรนะ บางทีคืนนี้เราน่าจะสั่งพิซซ่ามากินกัน คุณว่าไหม”

“ตามใจคุณเลย เพราะวันนี้ผมจะไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วย”

ครั้งนี้ไซม่อนดูตกใจจริงๆ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของเขาเบิกกว้างขึ้น มองผมอย่างงุนงง ผมผละออกจากตัวเขา ลุกออกจากโซฟา เอื้อมมือไปหยิบเนคไทที่ไซม่อนถอดออกจากคอมาถือ ลังเลว่าควรจะใส่มันกลับที่เดิมไหม แต่ถึงยังไงนี่มันก็ค่ำเกินกว่าจะต้องทำตัวพิธีรีตรองอยู่แล้ว ผมเดินไปหย่อนเนคไทเส้นนั้นลงในกระเป๋า

“ทำไมล่ะครับ ออสติน” เขาถาม “คุณมีนัดอะไรกับใครเหรอ ไม่เห็นคุณบอกผม---”

“อ้อ เปล่าหรอกครับ” ผมตอบเรียบๆ เดินไปในห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำจากเหยือกลงแก้ว มองสีหน้าสับสนของแฟนของตัวเองแล้วรู้สึกดีไปอีกแบบ ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะหย่อนระเบิด “ผมแค่กำลังคิดว่าจะเลิกกับคุณวันนี้”

ไซม่อนอ้าปากค้าง มองผมอย่างไม่เชื่อหู แต่ผมเพียงแค่ส่งยิ้มหวานกลับไปให้เขา อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ผมไม่เข้าใจออสติน”

“ไม่เข้าใจอะไรครับ คุณแมคแนร์” ผมว่า เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าวแทน “ไม่เข้าใจคำว่าเลิกเหรอ? มันหมายถึงเราจะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วไง ไม่มีการเดท ไม่มีการบอกรัก แล้วก็ไม่จูบกันด้วย”

“ทำไมอยู่ๆ คุณถึงคิดจะเลิกกับผมล่ะ” เขาลุกออกมาจากโซฟา ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมแล้วนั่งลงอย่างร้อนรน ผมปรายตามองท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของเขา เขาเป็นคนที่เล่นละครได้เก่งจริงๆ

“ไม่รู้สิครับ เพราะอะไรกันน้า... ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ? คุณน่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ออสติน” ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือดลง ผมสัมผัสได้ถึงความกลัวของเขา มันฉายชัดออกมาจากดวงตา กล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้น ผมยังส่งยิ้มกลับไปให้เขาหากนัยน์ตาว่างเปล่า เขาเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมแน่น “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“อ้อนวอนขอโอกาสสุดท้ายสิ ที่รัก” ผมว่า “ลองเล่าความจริงทั้งหมดให้ผมฟังดูดีไหม บางทีคุณอาจใช้เรื่องนั้นต่อรองก็ได้นะ เหมือนตอนขึ้นศาลไง ถ้าจำเลยสารภาพผิด บางทีศาลอาจจะยอมลดโทษให้บ้างก็ได้”

“ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด” เขาว่า หากสายตาหลบไปทางอื่น ผมมองหน้าเขานิ่ง ปล่อยให้ความเงียบนั่นกดดันเขา แต่ไซม่อนก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีกอยู่ดี

ผมยกยิ้ม เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงตา แต่สำคัญตรงไหนล่ะ

“ผมรู้ว่าคุณชอบเล่นเกมกับผม ไซม่อน แต่ผมสาบานว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณ… ไม่ใช่สิ เป็นโอกาสสุดท้ายของเราจริงๆ”

เขาเงยหน้าพรวดขึ้นมา มองผมด้วยสายตาเจ็บปวดและตัดพ้อ ตลกชะมัด มันควรจะเป็นผมรึเปล่าที่จะมีแววตาแบบนั้น

“ถ้าคุณพูดถึงเรื่องหัวใจ--”

“คุณเป็นคนรับผิดชอบทำคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

ไซม่อนหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ “ใครเป็นคนบอกคุณ… เพรซตอนเหรอ”

ผมยิ้มให้เขา ไม่ตอบคำถาม

“ผม… ผม…”

“คุณเป็นคนบอกห้ามเพรซตอนไม่ให้บอกอะไรผม คุณรู้ว่าผมจะไปหาหล่อนเพราะว่าผมบอกคุณเมื่อคืน”

“ออสติน คุณฟังนะ ผม…”

“แน่นอนล่ะ หล่อนเป็นคู่หูของคุณนี่ หล่อนก็ต้องทำตามที่คุณขออยู่แล้ว ส่วนผมเป็นใคร ก็แค่คนนอกที่เป็นผู้เสียหายกับคดีอะไรเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร”

“มันไม่ใช่แบบนั้น ออสติน ผมไม่ได้ตั้งใจจะ---”

“ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ แมคแนร์ ว่าทำไมคุณถึงได้มั่นใจนักรอยมีดใหม่ที่กรีดบนขาผมนี่ไม่ใช่ฝีมือคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน?”

ไซม่อนคราง เขายกมือขึ้นลูบหน้า สูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่งเพื่อเรียกสติ ผมพยายามระงับตัวเองไม่ให้ยกขาขึ้นถีบขาเก้าอี้ของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะ

“ออสติน ได้โปรด---”

“พูดออกมา แมคแนร์ พูดออกมา!” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ กระชากคอเสื้อเขาด้วยแรงอารมณ์ ไซม่อนหลบตา ก่อนที่ภาพทุกอย่างตรงหน้าผมจะพร่าเลือนไปด้วยน้ำตา ผมยกหลังมือปาดมันออกลวกๆ “ทำไม… ทำไมคุณไม่บอกผมว่าคริสเตียนตายแล้ว! คุณอมอะไรไว้ในปากเหรอ หรือว่าสมเพชผมจนพูดความจริงออกมาไม่ได้!”

ผมออกแรงเหวี่ยงอีกฝ่ายกระแทกลงกับเก้าอี้อย่างหัวเสีย รู้สึกได้เลยว่าหน้าร้อนขึ้น ยิ่งเห็นคู่กรณีหน้าซีดเผือดลง ยิ่งทำให้ผมอยากจะทำร้ายเขามากขึ้น

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“คุณรู้อะไรไหม แมคแนร์ หุบปากเถอะวะ” ผมชี้หน้าเขาอย่างหยาบคาย เหมือนหลุดการควบคุมตัวเองไปแล้ว “ฟังนะ คุณจะเกลียดผมก็ได้ไม่ว่า จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว จะทิ้งผม จะทำโทษผม จะอะไรก็ได้ แต่อย่ามาสมเพชผม รู้สึกแย่เป็นบ้า แล้วที่คุณบอกว่ารักผมน่ะ นั่นก็เป็นความสมเพชของคุณเหมือนกันด้วยใช่ไหม”

“ไม่ใช่! ออสติน คุณต้องฟังผม”

“ผมฟังอยู่! แล้วทำไมคุณไม่พูดมันออกมาสักที!? เรื่องที่คุณรับคดีของคริสเตียนไปทำ เรื่องที่คุณเป็นคนพบศพเขาเป็นคนแรก!”

ไซม่อนอ้าปากค้าง มองผมที่เหมือนสติหลุดไปแล้วอย่างตกตะลึง อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ผมก็ตกใจตัวเองเหมือนกันที่รู้สึกได้มากขนาดนี้ เหมือนทุกอย่างมันจุกอยู่ในอกจนอัดแน่นไปหมด จะหาทางเอามันออกมาก็ทำไม่ได้ มันถึงได้ทรมานอยู่ข้างในขนาดนี้





เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ผมมองรูปถ่ายที่ฮันนาห์เอามาให้ผมดู รูปพวกนั้นอยู่ในแฟ้มคดีที่เจ้าหล่อนไปหามา มันเป็นแฟ้มของคดีที่ถูกปิดไปแล้ว ข้างในนั้นระบุวันที่ที่ริสเตียนเสียชีวิตและสาเหตุการตาย กระสุนถูกเจาะเข้าไปทางขมับด้านขวา อาวุธสังหารอยู่ในมือของผู้เสียชีวิต

เจ้าหน้าที่ระบุชัดเจนว่านั่นเป็นการฆ่าตัวตาย

ง่ายดายแค่นั้นเอง

ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาที่ผมนึกระแวงเขา แค้นเขา อาฆาตเขา แต่เขากลับหาทางออกให้ตัวเองง่ายๆ ด้วยการฆ่าตัวตายเนี่ยนะ?

ผมรู้ว่าผมควรจะดีใจ ควรจะร้องตะโกนด้วยความยินดีว่าในที่สุดไอ้บ้านี่ก็หายไปจากโลกเสียที แต่ผมกลับรู้สึกโกรธ โกรธที่เขาสามารถเลือกวิธีการตายให้ตัวเองได้ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด บางทีถ้าเขาถูกฆ่า… ไม่ใช่เพราะตายด้วยเจตนาของตัวเอง ผมอาจรู้สึกยินดีกับการตายของเขาได้จริงๆ

“ทำไม” ผมหลุดคำถามนั้นออกจากริมฝีปาก กัดฟันกรอดอย่างคับแค้นใจ มองรูปศพของเขาที่อยู่ในมือ ออกแรงที่จับรูปนั้นมากขึ้นจนมันเริ่มยับ “นี่มันไม่ยุติธรรมเลย”

“ออสติน” เจ้าหน้าที่สาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมขยับตัวอย่างอึดอัด “ฉันว่าคุณควรจะดีใจนะคะ อย่างน้อยคุณก็---”

“ไม่ ผมไม่…” ผมสำลักคำพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดลง รู้สึกว่ามือสั่น “พระเจ้า ผมไม่รู้อะไรเลย ผมรู้สึกตัวเองตาบอด---”

“ออสติน คุณหน้าขาวมากเลย คุณไม่เป็น---” หล่อนเอื้อมมือจะมาแตะตัวผม แต่ผมเบี่ยงหลบ มือของฮันนาห์ค้างอยู่กลางอากาศ เจ้าหล่อนชักมือกลับอย่างเก้อๆ “เอ่อ ขอโทษค่ะ”

“ไม่ ผมสิต้องขอโทษ ผมนึกว่าตัวเองไม่เป็นไรกับเรื่องนี้แล้ว แต่--” ผมพูดรัวจนลิ้นพันกัน และผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ระยะหลังนี่ผมแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีโรคประสาทที่ไม่ชอบสัมผัสเนื้อตัวผู้คน ผมจับมือทักทายกับคนอื่นๆ ได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือน แต่ตอนนี้โรคเก่าที่ว่ากลับมาทักทายผมอีกครั้งแล้ว “นะ… นี่มันอะไรน่ะ ฮันนาห์”

“เอ่อ” หล่อนชะงักค้างไปเมื่อรูปที่ผมหยิบขึ้นมา

รูปที่เป็นหลักฐานพวกนี้มีหลายอย่าง ทั้งหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอัน รอยเลือดซึ่งถือเป็นหลักฐานในที่เกิดเหตุ หรือแม้แต่รูปห้องนอนที่เป็นสถานที่เกิดเหตุ รูปที่ผมหยิบขึ้นมาให้ฮันนาห์ดูเป็นรูปถ่ายของอัลบั้มรูปอีกทีและในอัลบั้มที่ว่าก็มีแต่รูปถ่ายของผม

ฮันนาห์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “คือ… คุณก็รู้ใช่ไหมว่าคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนคลั่งไคล้คุณมากขนาดไหน และ เอ่อ เขาก็เคยคบกับคุณ”

“ไอ้โรคจิตนี่” ผมกัดฟันกรอด ต่อให้คริสตายไปแล้วผมก็ยังแค้นเขาอยู่ดี อาจจะแค้นขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ผมดูรูปถ่ายซึ่งเป็นหลักฐานของคดีทั้งหมด รู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา อัลบั้มรูปถ่ายที่ว่าไม่ได้มีแค่ในรูปใบนั้นใบเดียว ผมเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปส่วนส่วนใหญ่ที่คริสมีเป็นรูปแอบถ่าย นี่มันสะอิดสะเอียน… น่าขยะแขยงเป็นบ้า ขนาดรู้ว่าไอ้โรคจิตนี่ตายไปแล้วนะ

“นี่อะไรครับ” ผมยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งที่มีแผ่นซีดีสองแผ่นอยู่ในนั้น บนหน้าแผ่นซีดีพวกนั้นไม่มีอะไรเขียนอยู่ แต่ถ้ามาอยู่ในรูปพวกนี้ก็แปลว่าเป็นหลักฐานในที่เกิดเหตุด้วยเหมือนกัน “ในซีดีนี้มีอะไร”

“ฉันไม่ทราบค่ะ ออสติน สิ่งที่ฉันได้มามีแค่รูปถ่ายของหลักฐานพวกนี้ คดีนี้ไม่ใช่คดีของฉันอย่างเป็นทางการแล้วด้วย”

ผมพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วคนที่รู้ว่าในซีดีนี้มีอะไร… เอฟบีไอใช่ไหมครับ”

“ค่ะ พวกเขาคงยังเก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด”

“ขอบคุณครับ ฮันนาห์” ผมส่งรูปคืนให้หล่อน ปรายตามองโทรศัพท์ที่โชว์บนหน้าจอว่าไซม่อนโทรมาเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว ผมเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ขอโทษนะคะที่ช่วยคุณได้แค่นี้”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมส่งยิ้มให้เจ้าหน้าที่สาวตรงหน้า “เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเอง”

“คุณจะทำอะไรคะ”

ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น

.
.
.
.
.
(50%)






------------------------------------------------
Talk: วันนี้เอาครึ่งตอนมาลงก่อน เดี๋ยววันอาทิตย์โผล่มาอีกครึ่งนะคะ:) กิจกรรมในเพจยังจัดอยู่น้าาาา~ ใครสนใจแวะเข้าไปเล่นได้ตามลิงค์นี้เลย https://goo.gl/yVasvC
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ รักทุกคน ม้วฟ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(50%) P.4 [4/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-08-2017 17:45:21
ออสติน คุณหน้าขาวมากเลย ใช้ครีมอะไร เอ๊ย ไม่ช่ายยย ต้องเป็น คุณหน้าซีดมากเลย หรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(50%) P.4 [4/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 04-08-2017 19:25:42
เข้าใจออสตินเลย แต่ก็ไม่รู้เหตุผลของไซม่อนว่าเป็นยังไง รออ่านต่อน้า
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(50%) P.4 [4/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 04-08-2017 19:38:08
เพิ่งเห็นว่าคุณไอรินเอาเรื่องนี้มาลงในนี้ด้วย ดีใจจังค่ะ :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(50%) P.4 [4/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-08-2017 21:26:17
รำคาญไซม่อนเป็นบ้า  :z6: :z6: :z6:
พูดอยู่ได้ คุณต้องฟังผมๆๆๆๆๆ
แต่ไม่พูดออกมาซ้ากที   :z3: :z3: :z3:
มันมีอะไรนักหนา  :m16: :m16: :m16:
ลุ้นๆๆๆๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(50%) P.4 [4/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-08-2017 17:49:35
ออสติน คุณหน้าขาวมากเลย ใช้ครีมอะไร เอ๊ย ไม่ช่ายยย ต้องเป็น คุณหน้าซีดมากเลย หรือเปล่าคะ

เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ล่ะค่ะะะ หน้าขาวใช้ครีมอะไรนี่ไม่ใช่ล่ะ 5555555 //มันเป็นสำนวนนะะะ แบบ หน้าขาวซีดอะไรงี้ไง เอ๊ะ หรือเขาไม่ใช่สำนวนนี้กันหว่า?

เข้าใจออสตินเลย แต่ก็ไม่รู้เหตุผลของไซม่อนว่าเป็นยังไง รออ่านต่อน้า

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามมมม มารอดูเหตุผลไซม่อนกัน อิอิ จะรีบเอาครึ่งหลังมาลงนะคะ XD

เพิ่งเห็นว่าคุณไอรินเอาเรื่องนี้มาลงในนี้ด้วย ดีใจจังค่ะ :pig4: :กอด1:

แฮ่~ ปกติไม่ค่อยเล่นเล้าเท่าไรน่ะค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ! //กอดดดด

รำคาญไซม่อนเป็นบ้า  :z6: :z6: :z6:
พูดอยู่ได้ คุณต้องฟังผมๆๆๆๆๆ
แต่ไม่พูดออกมาซ้ากที   :z3: :z3: :z3:
มันมีอะไรนักหนา  :m16: :m16: :m16:
ลุ้นๆๆๆๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

แต่ไซม่อนน่ารำคาญจริงค่ะ อยากให้เขาเชื่อ แต่ตัวเองก็ไม่พูดสักที 5555555 มาๆๆๆ มารอลุ้นกันว่านางมีอะไรของนางนักหนา
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(50%) P.4 [4/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-08-2017 11:09:12

[ต่อ]





“ผมรู้แล้วว่าคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนตายไปแล้ว” ผมมองหน้าเขาอย่างเจ็บปวด นัยน์ตาคู่สวยที่ทำให้ผมตกหลุมรักเบือนหนีไปอีกทาง “ทำไมคุณต้องปิดบังผมด้วย ไซม่อน คุณก็รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับผมแค่ไหน”

ไซม่อนส่ายหน้า “ไม่ ออสติน มันไม่สำคัญหรอก”

“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสิน!” ผมทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างหัวเสีย ไซม่อนลุกพรวดขึ้นมาเก้าอี้ จับข้อมือผมแน่น

“ออสติน เราค่อยๆ คุยกันดีๆ ได้ไหมครับ ผมขอโทษที่ปิดบังคุณ แต่… แต่… ผมอธิบายได้”

“คุณอธิบายได้?” ผมส่งยิ้มเย็นเยียบไปให้เขา ยกมือขึ้นกอดอก “เยี่ยมไปเลย ที่รัก เพราะผมกำลังต้องการคำอธิบายอยู่พอดี ไหน ลองว่ามาซิ”

“ผม… ผมตั้งใจจะบอกคุณเรื่องนี้อยู่แล้วแต่---”

“เฮ้ ไม่ดีกว่า แบบนี้ไม่ดีแน่” ผมยกมือห้ามเขาไม่ให้พูดต่อ “รู้ไหมผมรู้สึกยังไง ผมรู้สึกว่าคุณกำลังจะหาข้ออ้างเดิมๆ มาพูด อย่างเช่นอะไรนะ อ้อ ใช่ ‘ผมไม่รู้จะบอกคุณยังไงดี’ อะไรเทือกนั้นใช่ไหม? ขอทีเถอะ คุณเจ้าหน้าที่ คุณเคยใช้ข้ออ้างนั้นมาแล้ว อยากจะเปลี่ยนเป็นอะไรอย่างอื่นบ้างไหม”

“ออสติน--”

“ผมอยากดูสิ่งที่อยู่ในซีดีนั่น”

ประโยคนั้นทำให้ไซม่อนชะงักไปทันที “คุณว่าไงนะ”

“ซีดีที่เป็นหลักฐานนั่นไง มันรวมอยู่ในหลักฐานชิ้นอื่นๆ”

“ไม่มีซีดีสักหน่อย ออสติน”

ผมเหยียดยิ้ม จ้องตาเขาอย่างท้าทาย สะใจไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายหลบตา การที่เขาพยายามหลบเลี่ยงเรื่องนี้ แปลว่าในนั้นต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ หลักฐานชิ้นอื่นๆ ผมก็ได้เห็นในรูปถ่ายที่ฮันนาห์เอามาให้ดูหมดแล้ว เหลือแค่ด้านในซีดีนั่นที่ผมยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และผมจะต้องรู้ให้ได้

“งั้นก็ดีวีดี? ช่างแม่งเหอะว่ามันจะเป็นอะไร ถ้าคุณยังไม่เลิกเล่นเกมไร้สาระนี่กับผม ผมจะคว่ำกระดานนี้ต่อหน้าคุณ”

ผมมองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่ายอย่างรู้ดีว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจนักหรอก ผมรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเขามาหลายครั้งแล้ว แต่ไซม่อนก็ยังมีเรื่องปิดบังผมอยู่ดี

“คุณ… จะเลิกกับผมจริงๆ เหรอครับ ออสติน” น้ำเสียงนั้นเบาหวิวน่าใจหาย “ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอ?”

“ได้โปรด เจ้าหน้าที่แมคแนร์ อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับผม คนผิดคือคุณนะ”

เขามองผมอย่างเจ็บปวด “อ้อ ตอนนี้ผมเป็นแมคแนร์แล้วเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับไซม่อนล่ะ”

“คุณไปหาอะไรก็ตามที่อยู่ในซีดีนั่นมาให้ผม เดี๋ยวนี้ หรือไม่เราก็จบกัน”

“ทำไมคุณถึงต้องสนใจมันนักหนาด้วย” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ “มันก็แค่ซีดีทั่วไป… แค่ไปปะปนในหลักฐานชิ้นอื่นๆ เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่อยากให้ผมดูขนาดนั้นล่ะถ้ามันเป็นแค่ซีดีทั่วไป?”

เรามองหน้ากันเหมือนหยั่งเชิง แต่ไซม่อนรู้ดีว่านี่คือจุดแตกหักของพวกเราจริงๆ แล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายพยายามเป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้าผมบอกว่าไม่มีซีดี… หรือสิ่งที่อยู่ในนั้นตอนนี้ล่ะ?”

“แล้วมันอยู่ที่ไหน ที่ทำงานคุณเหรอ? งั้นก็ไปหยิบกุญแจรถมา ผมจะไปสำนักงานกับคุณตอนนี้เลย”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ผมค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นบนมุมปากอย่างรู้ทัน

“ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปเอาไอ้ที่คุณเก็บไว้ในห้องทำงานมา ผมเห็นนะว่าในนั้นคุณมีกล่องที่รวบรวมแฟ้มคดีอยู่ อย่าตุกติกนะ ไซม่อน ผมรู้ทุกอย่างแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะปิดบังอะไรผมอีก”

ใบหน้าคมจ้องมองผมเนิ่นนาน ประเมินคำพูดนั้นก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ ออสติน คุณไม่รู้ทุกอย่างหรอก เพราะถ้าคุณรู้ คุณจะไม่นิ่งแบบนี้แน่”

“คุณคิดว่าผมกำลังนิ่งอยู่เหรอ!?”

“ผมจะไปเอาซีดีที่ว่านั่นมาให้” ไซม่อนก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัว ผมผงะถอยไปเล็กน้อยเพราะตั้งตัวไม่ทัน เกร็งตัวขึ้นเมื่อมือหนาแตะลงบนบ่าแล้วเลื่อนหน้าลงมาจูบ “รอผมแป๊บหนึ่ง”

ไซม่อนเดินกลับออกมาอีกทีตอนที่ผมเตรียมเปิดทีวีกับเครื่องเล่นซีดีในส่วนของพื้นที่นั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว ผมประสานมือทั้งสองข้างไว้บนตักด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่อุ้งมือทั้งสองข้างชุ่มไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เขามองตอบกลับมาด้วยแววตาหดหู่ นั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบลงทันที อยากจะลุกขึ้นไปกอดเขา บอกกับเขาว่าไม่เป็นไร ผมยกโทษให้ แต่ขณะเดียวกันแววตานั่นของเขาก็ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เล่นเกมกับผมแล้ว ไม่เอาซีดีที่ไหนรู้มาเปิดให้ผมดู ไม่หลอกผมด้วยวิธีโง่ๆ แบบนั้น”

“ท่าทีของผมมันเหมือนคนกำลังเล่นเกมกับคุณเหรอ ออสติน” น้ำเสียงเขาเรียบไม่ต่างกัน “แต่ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน เขาคือผู้ชายที่ลากคุณไปขังไว้ในบ้านร้างสองอาทิตย์ ขืนใจคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณหวังจะได้เห็นอะไรในวิดีโอที่เขาทิ้งไว้ให้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ วิดีโอตอนที่เขาขืนใจผมเหรอ?”

ไซม่อนไม่ตอบ ผมยักไหล่

“จะอะไรก็ได้แล้วครับตอนนี้ รีบๆ เปิดได้แล้ว”

ชายหนุ่มทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหลบไปหลังโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ผมได้ยินเขาถอนหายใจยาวขณะที่ภาพปรากฏขึ้นมาบนทีวี ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหน้าจอส่งยิ้มมาให้ผม ผมตัวชาดิกทันทีที่ได้ยินเสียงของเขาดังออกมา

“สวัสดีครับ ออสติน”

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน… ไอ้… ไอ้วิปริตนี่

“ผมกำลังลังเลใจอยู่เลยว่าควรจะทำอย่างนี้จริงๆ ดีรึเปล่า แต่ก็… ถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้วล่ะนะ ยังไงซะคุณก็ต้องรู้ความจริงทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะงั้นผมก็เลยตัดสินใจว่าขอเป็นบอกคุณด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า”

ผมหูอื้อ รู้สึกตาลายจนเหมือนมองภาพตรงหน้าไม่ชัด แต่สิ่งที่คริสเตียนพูดมากำลังซึมเข้ามาในหัวทั้งหมด ผมมองเขาขยับตัว ส่งยิ้มมาให้เหมือนตอนที่เรายังคบกัน เขาแทบไม่เปลี่ยนไปเลย อาจจะมีแค่ใบหน้าที่ดูซูบลง ขอบตาลึกเหมือนคนนอนไม่พอ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน

“อืม จะว่ายังไงดี จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองก้มหน้า ขยับมือของตัวเองไปมาอย่างคนคิดหนัก พื้นหลังของเขาเป็นผนังห้องสีขาวล้วน ส่วนข้าวของอย่างอื่นไม่ติดอยู่ในเฟรม “คือ… ผมรู้แล้วเรื่องที่คุณหัวใจล้มเหลว”

ผมกำหมัดแน่นขึ้น รู้สึกวูบขึ้นมาทันที เสียงที่ไหลผ่านเข้ามากระตุ้นอารมณ์ผมเรื่อยๆ

“ผมคอยสืบตามดูคุณตลอด คุณอาจจะไม่รู้ ตั้งแต่วันที่ผมจับตัวคุณมาเมื่อตอนนั้น แล้วพอปล่อยตัวคุณไปคุณก็โหมงานหนักจนไม่ได้พัก เพราะงั้นอีกไม่กี่เดือนต่อมาคุณก็เลยล้มไปเพราะเหตุผลนั้น คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกผิดมากเลย มันทำให้ผมคิดว่า… ไม่น่าปล่อยตัวคุณกลับไปเลย น่าจะขังคุณไว้ให้อยู่กับผม คุณจะได้ไม่ต้องโหมงานหนักขนาดนั้น”

มือที่ประสานกันแน่นของผมเริ่มสั่น ผมอยากจะครางออกมาใจจะขาด แต่ก็กลัวว่าเสียงของตัวเองอาจไปกลบเสียงจากวิดีโอนี้ ผมทั้งอยากฟังและไม่อยากฟังสิ่งที่คริสจะพูดต่อ

“แต่… ในเมื่อมันกลายเป็นแบบนั้นไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ พอรู้ว่าคุณอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมก็รู้สึกว่า… อืม บางทีผมคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ผมคงปล่อยให้คนที่ผมรักตายไม่ได้ รู้ไหมว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ผมคิดตอนรู้เรื่องนี้”

“คนที่รักเหรอ?” ผมกัดฟันกรอด ไม่อยากจะเชื่อว่าเขากล้าพูดคำนั้นออกมา เขาไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับคำคำนี้ เขาพูดมันออกมาได้ยังไงในเมื่อเป็นตัวเขาเองที่ทำลายมันลงจนไม่เหลือซาก กล้าพูดออกมาได้ยังไงในเมื่อเขาย่ำยีผมถึงขนาดนั้น

คนรักกันเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก

“เพราะงั้นผมก็เลย… ตั้งใจจะหาหัวใจดวงใหม่ให้คุณเป็นของขวัญ”

ร่างกายของผมชาวาบทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น นัยน์ตาเบิกกว้างมองหน้าจอโทรทัศน์ราวกับต้องมนตร์สะกดทำให้หันหน้าหนีไปทางอื่นไม่ได้ ผมเห็นรอยยิ้มที่อยู่บนมุมปากของเขา

“คุณจำของขวัญที่… อืม บุคคลปริศนาส่งไปให้คุณได้ไหม สร้อยคอของซาร่า คาร์ล นาฬิกาข้อมือของเจมส์ คามิลตัล รูปถ่ายครอบครัวของแบรด แมคแนร์ บางทีคุณอาจจะเก็บเอาคิดนะว่าของพวกนั้นมันเชื่อมโยงกันยังไง ให้ผมเฉลยให้คุณก็แล้วกัน ของพวกนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของพกติดตัวไว้ตลอด เป็นของสำคัญของพวกเขา และ ใช่… ผมเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาอย่างละเอียดจนรู้ลึกขนาดนั้น ผมเลือกพวกเขาที่มีหมู่เลือดเดียวกับคุณไว้เป็นของขวัญให้คุณ ผมค่อยๆ ฆ่าพวกเขาทีละคนโดยหวังว่าจะมีหัวใจของใครสักคนตกไปถึงมือคุณได้”

ผมรู้สึกถึงความร้อนที่หางตา ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนไปหมด ตัวของผมสั่น แต่ผมก็ยังนั่งดูสิ่งที่คนในหน้าจอพูดพร่ำต่อไปอย่างนั้น

“แต่ อืม… น่าเสียดายที่ความอ่อนหัดของผมทำให้อวัยวะภายในของทั้งสามคนนั่นอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงโรงพยาบาลไม่ทันเวลา มันเป็นความสะเพร่าของผมเองที่ไม่วางแผนให้ดี ถึงตอนนี้ผมก็คิดหนักแล้ว เพราะพวกตำรวจเองก็เริ่มสืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ว่าใครเป็นคนฆ่าสามคนนั้น เวลาของคุณก็นับถอยหลังลงเรื่อยๆ คุณคงนึกไม่ออกว่ามันทรมานขนาดไหนที่ต้องอยู่แบบนี้โดยที่ไม่สามารถช่วยคุณได้… และตอนนี้ผมว่าผมไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ”

ใบหน้าของคริสเตียนประดับด้วยรอยยิ้มสว่างไสวที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ผมกุมมือของตัวเองแน่นขึ้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ

“คุณก็รู้ใช่ไหมครับว่าเรามีหมู่เลือดเดียวกัน เรายังเคยพูดถึงเรื่องนี้ตอนที่เราคบกันใหม่ๆ ด้วย คุณจำได้ไหม” พูดพลางเจ้าตัวหยิบปืนกระบอกหนึ่งขึ้นมาถือ หันปลายกระบอกจ่อที่ขมับตัวเอง ผมกลั้นหายใจพร้อมกับเริ่มกรีดร้องในหัว

“คุณไม่ต้องห่วงนะ ออสติน” เขาส่งยิ้มมาให้กล้อง “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ผมเชื่อว่ารถพยาบาลจะมาถึงก่อนที่อวัยวะภายในของผมจะหยุดทำงานแน่ ให้โอกาสผมบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าผมรักคุณ… แล้วก็เกลียดคุณมากแค่ไหน คุณก็รู้ว่าผมรักคุณมาก ออสติน ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณ แต่คุณก็ยังทิ้งผมไป เพราะงั้นผมจะทำทุกอย่าง… ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในใจคุณ ผมหวังว่าคุณจะนึกถึงผมยามที่คุณสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัวว่าผมจะกลับไปเอาตัวคุณเมื่อไหร่ หวังว่าคุณจะนึกถึงผมยามที่ร่างกายได้สัมผัสกับใครก็ตาม ต่อให้คนคนนั้นจะไม่ใช่ผม

“แต่นอกเหนือจากนั้น… ผมจะทำให้คุณรู้ว่าผมนี่แหละที่เป็นคนช่วยชีวิตคุณเอาไว้ ผมยอมให้คุณทุกอย่างจริงๆ ออสติน ทั้งความรักของผม ชีวิตของผม ผมขอให้คุณจำไว้แค่อย่างเดียว ระลึกเอาไว้ว่าหัวใจที่คุณได้เคยเป็นของใคร ทุกลมหายใจของคุณ ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ชีวิตของคุณ… ทุกอย่างล้วนได้มาจากผมทั้งนั้น คุณเป็นของผมตลอดกาลแล้ว ออสติน จำเอาไว้ให้ดีแล้วกัน”

ผู้ชายที่อยู่ในหน้าจอลั่นไก เสียงปืนดังลั่นสะท้อนกับผนังห้องดังกังวาน เลือดสีแดงจำนวนหนึ่งกระเซ็นมาติดอยู่บนกล้อง

จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง





-------------------------------------
Talk: เต็มตอนมาแล้วค่ะ! พีคไปอีก... พีคไปอี๊กกก (ถถถถ)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(100%) P.4 [6/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-08-2017 13:11:33
โอ้ ชักจะเข้าใจเหตุผลของไซม่อนมาหน่อย ๆ ละ
อย่างคริสเตียนนี่ เกินกว่าทำดีเพราะรักนะ นี่มันทำดีหวังผล แถมดูโรคจิตอีกต่างหาก
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(100%) P.4 [6/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 06-08-2017 17:59:48
ความจิตจัดเต็มมาก อยากรู้ต่อเลย~
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 21)(100%) P.4 [6/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 19-08-2017 15:29:33

บทที่ 22



ความเย็นเยียบคืบคลานเข้ามาเกาะกุมอย่างเงียบเชียบ ผมยกแขนขึ้นกอดอกและห่อตัวเอาไว้ เจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีดบนทุกส่วนของร่างกาย ตัวของผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ มีเพียงเสียงครางแผ่วเบาเท่านั้นที่หลุดออกมาจากลำคอ รู้สึกถึงน้ำดีที่แล่นขึ้นมาจนถึงคอหอย ผมยกมือขึ้นปิดปาก มืออีกข้างขยำเสื้อบริเวณอกข้างซ้าย ได้ยินเสียงหัวใจบนอกเต้นรัวขึ้นจนเหมือนจะหลุดออกมา

หัวใจที่เคยเป็นของคริสเตียนมาก่อน…

“ไม่…” ผมพูดออกมาได้เพียงแค่นั้นก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ถลาไปที่ห้องน้ำจากนั้นจึงโก่งคออาเจียนออกมาจนลำคอร้อนเหมือนถูกไฟลน

“แค่ก…”

“ออสติน” ผมได้ยินเสียงไซม่อนวิ่งตามมา แต่ผมยกมือสั่นเทาของตัวเองขึ้นเพื่อห้ามเขา รู้สึกถึงน้ำตาที่ค่อยๆ หยดลงมาอาบแก้ม

หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียน… เป็นของคนที่ผมเกลียดที่สุด

“ฮึก…” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากริมฝีปาก สัมผัสแผ่วเบาแตะลงบนบ่าแต่ผมปัดมันออกสุดแรง ผมลุกขึ้น ถลาตัวออกจากห้องน้ำอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงฝีเท้าของไซม่อนดังตามมาติดๆ

วิดีโอน่าสยดสยองนั่นถูกปิดไปแล้ว แผ่นยังคาอยู่ในเครื่อง

ผมจ้องหน้าจอโทรทัศน์ที่มืดสนิทราวกับมันปีศาจร้ายที่คอยจะไล่ฆ่าผม ไซม่อนก้าวเข้ามาประชิดที่ด้านหลัง ผมหันกลับไปปล่อยหมัดหนักๆ ใส่หน้าเขาอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติอย่างที่สมองผมยังประมวลผลไม่ทัน รู้ตัวอีกทีร่างสูงก็เซไปด้านหลังตามแรงต่อยของผม แต่แน่นอนว่านอกจากรอยช้ำนิดๆ หน่อยๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก

หมัดผมไม่ใช่หมัดของนักมวยหรือนักสู้ที่ไหน มันไม่ทำให้เขาเจ็บมากหรอก และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ผมรู้ว่าถ้าเขาคิดจะหลบเขาก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ เขาจงใจรับความโกรธนั้นของผมไป และนั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่ง

“คุณมันสารเลว! ไซม่อน!” ผมกรีดเสียงลั่น ถลาตัวจะต่อยเขาอีกรอบ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มหลบอย่างว่องไวทำให้ผมเป็นฝ่ายเซไปเสียเอง

ผมหันกลับมาหาเขาด้วยแววตาโกรธขึ้ง จ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“คุณรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว! คุณปิดบังผม! คุณโกหกผมทุกอย่าง! คุณทำแบบนี้ทำไม ไซม่อน ผมไปทำอะไรให้คุณ!”

“ออสติน ใจเย็นๆ… ใจเย็นๆ ก่อนครับ” เขาก้าวเข้ามา เอื้อมมือลงมาจับแขนผมทั้งสองข้าง ผมผลักเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี

“อย่ามาแตะตัวผม! คุณรู้อยู่แล้วว่าหัวใจที่ผมได้มาเป็นของใคร!” ผมกรีดเสียงอีกรอบ สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากซึมเข้ามาในสมอง ก้อนเนื้อบนอกข้างซ้ายชาวาบราวกับมีน้ำแข็งก้อนยักษ์ทาบลงมา

หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียน เป็นของเขา

ผมมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเขา

‘คุณเป็นของผมตลอดกาลแล้ว ออสติน’

ผมกรีดร้องอีกรอบอย่างอัดอั้น ยกสองมือขึ้นปิดหูตัวเองราวกับมันจะช่วยกลบเสียงที่ดังอยู่ในหัวตัวเองได้ ไซม่อนเรียกชื่อผมด้วยความตกใจก่อนจะถลาเข้ามา แรงของเขาโอบล้อมรอบตัว ผมพยายามผลักออกแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ผมคิดอะไรไม่ออก เหมือนในหัวมันขาวโพลนไปหมด ได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นและดังขึ้น มันมาพร้อมกับเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหู

‘ทุกลมหายใจของคุณ ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ชีวิตของคุณ…’

“ไม่!” ผมออกแรงดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนบ้า แรงของไซม่อนที่พยายามขืนไว้ทำให้ผมแทบคลั่ง อยากเอาเขาออกจากตัวเอง ผมเกลียดสัมผัสของเขา เกลียดน้ำเสียงอ่อนโยนที่พยายามพูดปลอบให้ผมสงบ แต่เหนือส่ิงอื่นใด… ผมเกลียดก้อนเนื้อที่เต้นตุบตุบอยู่ใต้อก

ผมอยากเอามันออกไป อยากควักหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายของตัวเอง

ผมไม่ต้องการมัน เอามันออกไป…

“เอามันออกไป!”

“ออสติน! ได้โปรด…” ไซม่อนพยายามอีกครั้ง เขาโอบร่างผมไว้แนบกับอก ผมส่ายหน้ารัวๆ ราวกับคนไม่มีสติ “ตั้งสติหน่อยคุณ มันไม่สำคัญหรอกว่าหัวใจที่คุณได้ไปเคยเป็นของใคร มันเป็นของคุณแล้ว ออสติน คุณ---”

“ผมไม่ต้องการมัน!”

“ให้ตายสิ โธ่เว้ย!”

ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา ความโกรธทำให้ผมมีเรี่ยวแรงมหาศาลก็จริง แต่ก็ยังสู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดี ไซม่อนล็อกตัวผม ออกแรงดันไปตามโถงทางเดิน กระชากประตูห้องนอนแล้วเหวี่ยงผมลงไปบนเตียง ผมออกแรงดิ้น พยายามผลักเขาออก อะดรีนาลีนสูดฉีดไปทั่วร่าง

“ไซม่อน ปล่อยผม!”

"ออสติน!" น้ำเสียงของชายหนุ่มตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าผมเริ่มทุบอกของตัวเองอย่างบ้างคลั่ง มือหนาเลื่อนมายึดข้อมือผมไว้แน่นก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น "ออสติน หยุดเถอะ ทำแบบนี้ไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น"

"ปล่อย! ไซม่อน! คุณไม่มีสิทธิ์มาจับผมไว้แบบนี้ ปล่อย!"

หากอีกฝ่ายไม่ทำตามที่ผมพูด มือข้างหนึ่งของเขากดหลังผมให้ติดกับพื้นเตียง ผมได้ยินเสียงสับกุญแจมือจากด้านหลัง ยึดข้อมือทั้งสองข้างไพร่หลังแล้วพันธนาการมันให้ติดทั้งสองข้าง โลหะเย็นเยียบแตะลงบนผิวบนข้อมือยิ่งทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า

เขากล้าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง คริสเตียนเคยสับกุญแจมือแล้วยึดผมไว้กับเขาสองอาทิตย์ ผมเกลียดสัมผัสเย็นเยียบนี้ ไซม่อนกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนี้กับผม!

“เอากุญแจมือนั่นออกไป!”

“ผมทำแน่ถ้าคุณสงบสติอารมณ์ได้แล้ว”

“สารเลว! ไซม่อน! ทั้งเรื่องหัวใจนี่แล้วก็เรื่องที่คุณทำอยู่นี่! คุณแม่งชั่วไม่ต่างอะไรกับไอ้โรคจิตนั่นเลยสักนิด เอามันออกไป!”

“ออสติน พอได้แล้ว ผมขอร้องล่ะ”

ผมโจนตัวออกจากเตียงหากมือหนาเอื้อมมากระชากผมกลับลงไปนอนเหมือนเดิม มือหนากดบ่าทั้งสองข้างเอาไว้ ผมเตะลงบนสีข้างเขาอย่างแรง ไซม่อนกัดฟันแน่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกดขาของผมราบลงไปบนพื้นเตียงด้วยเข่า

ผมรู้สึกได้ถึงความกลัวที่เอ่อล้นขึ้นมาผสมปนเปไปกับความโกรธแค้นอัดอั้นที่หาทางออกไม่ได้ ผมดิ้นตัวภายใต้การเกาะกุมของเขาราวกับคนบ้า ความรู้สึกมากมายพวกนี้กำลังกัดกร่อนจิตใจผม ทำให้ตัวผมแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

“เอามันออกไป!”

ไซม่อนสูดลมหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นติดกัน ไม่พูดอะไร ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าคำพูดไม่สามารถช่วยอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้

“เอามันออกไปจากตัวผม!” ได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้จนคำพูดแหบพร่า รู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บนหางตาและแก้ม

หัวใจที่อยู่ในอกผมนี่เป็นของคริสเตียนเหรอ น่าหัวเราะเป็นบ้า หัวใจที่เคยเป็นของคนที่ผมเกลียดที่สุดกำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ในตัวผม ผมมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมัน

แต่...ถ้าผมทำลายมันล่ะ? ถ้าผมหยุดการทำงานของมันลงได้ ก็เหมือนกับว่าผมสามารถฆ่าคริสเตียนได้ด้วยเหมือนกันใช่ไหม

ผมเหลือบไปมองด้ามปืนที่คาดเอวของคนด้านบน กระชากขาออกจากเข่าของร่างสูงที่กดลงมาจนหลุด จากนั้นก็เตะเอาปืนกระบอกนั้นหลุดออกมาจากซอง ไซม่อนอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาจับตัวผมพลิกคว่ำลงอีกครั้ง ดึงแขนผมขึ้นแล้วเหยียดจนตึง ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับมันจะถูกฉีกขาดออกจากร่าง ความเจ็บปวดนั่นทำให้ความกลัวล้นปรี่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ผ่อนคลาย ออสติน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคุณจะหายเจ็บ”

ผมยังฝืนตัวดิ้น ก่อนจะต้องคำรามออกมาเพราะความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น แรงที่ยึดแขนผมไว้อยู่เพิ่งมากขึ้น

“อยู่นิ่งๆ คุณหมอ ใจเย็นๆ ค่อยๆ หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วความเจ็บจะหายไปเอง ใช่ แบบนั้นแหละครับ แบบนั้นแหละ”

ผมหายใจช้าลง รู้สึกว่าลมหายใจหนักขึ้น หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง ความเจ็บปวดเมื่อครู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นด้านชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร มือหนาค่อยๆ คลายออกจากแขนของผม วางมันแนบลงกับแผ่นหลังอย่างเบามือ จากนั้นสัมผัสอบอุ่นก็ไล้ลงบนศีรษะผมอย่างปลอบโยน

ผมสะอื้นจนตัวโยน เบี่ยงหนีสัมผัสเขา เขาทำกับผมขนาดนี้ คิดว่าผมจะยอมรับการปลอบใจของเขาง่ายๆ งั้นเหรอ

“ผมเจ็บนะ ไซม่อน” ผมครวญ ขยับข้อมือที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันทั้งสองข้าง “ทำแบบนี้ทำไม”

“ผมขอโทษ ออสติน”

“คุณทำแบบนี้ทำไม” ฟุบหน้าลงกับผ้าปูที่นอน เนื้อตัวสั่นเทา “หลอกผมทำไม… ไซม่อน ทำแบบนี้กับผมทำไม ผมทำอะไรผิด”

"ออสติน" เสียงนั้นเรียกชื่อผมอย่างอ่อนโยน มันมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัว แต่มันไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น "ผมขอโทษครับ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมขอโทษ"

ผมส่ายหน้ารัวๆ ในอ้อมแขนเขา ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงอย่างอ่อนล้า รู้สึกราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ผมได้หัวใจของคนที่เกลียดที่สุดมาอยู่ในตัว ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากกระชากมันออก โยนมันออกไปให้ไกลแสนไกลเท่าที่จะทำได้ อยากจะวิ่งไปหยิบมีดแล้วคว้านมันออกไปเลยเสียเดี๋ยวนี้ ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะต้องตายหากทำแบบนั้น

ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอวัยวะของไอ้สารเลวนั่น... ผมเลือกที่จะไม่มีชีวิตต่อไปน่าจะดีกว่า!

"ชู่... ไม่เป็นไร ออสติน" มือหนาไล้ลงบนใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา "หลับตาเถอะนะครับ คนดีของผม ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งนั้น ปล่อยมันไปซะ"

เสียงปลอบโยนของเขาดังแว่วเข้ามาในหู และเมื่อผมสงบลง หอบหายใจจนตัวโยน มือหนาก็เลื่อนมาปัดผมที่ปรกหน้าผากของผมออก มันเต็มไปด้วยเหงื่อ

“ไม่เป็นไร ออสติน ไม่เป็นไร ผมอยู่นี่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ”

ผมทำตามที่เขาบอกโดยอัตโนมัติ หลับตาทั้งสองข้างลงอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ติดบนกรอบตา สัมผัสแผ่วเบาเลื่อนมาปาดมันออก และเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยของไซม่อนก็กำลังจับจ้องผมนิ่งอย่างห่วงใย

"ทำไม..." เสียงของผมแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ "ทำไมต้องเป็นหัวใจของหมอนั่นด้วย"

ไซม่อนไม่ตอบ เขาดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีกรอบ เลื่อนให้ใบหน้าผมไปเกยอยู่บนบ่าของเขาโดยที่ยังนอนราบอยู่กับเตียง ไออุ่นจากร่างกายเขาทำให้ผมหลับตาลงอีกครั้ง อย่างน้อยนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวในตอนนี้

"ทำไม..." น้ำเสียงผมพร่ำเพ้อ "ทำไมคุณต้องโกหกผมด้วย ไซม่อน"

เขาไม่ตอบ หากเสียงกลืนน้ำลายดังๆ นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังประหม่าและรู้สึกผิดจากคำถามนั้น

"ผมขอโทษ"

ผมส่ายหน้าเบาๆ กับคำพูดนั้น ความเหนื่อยล้าทำให้ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ผมทิ้งตัวลงในความมืดดำที่ค่อยๆ โอบอุ้มร่างเอาไว้

มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ





ผมไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยมานานเท่าไรตั้งแต่ที่โดนคริสจับตัวมาอยู่ที่นี่

เสียงลมหายใจฟืดฟาดของตัวเองดังแผ่วเบาอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงสะอื้น ภาพทุกยังคงเป็นสีดำมืดเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาการเจ็บแปลบบนต้นขาที่เพิ่งโดนของมีคมกรีดลงมาเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ มือทั้งสองข้างของผมยังคงถูกพันธนาการติดกันเหมือนเดิม โลหะเย็นเยียบสัมผัสกับข้อมือ รู้สึกว่ามันเย็นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ผมเอนหน้าลงไปพิงกับขอบอะไรสักอย่าง ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัวไปไหน ร่างกายยังช็อกจากอาการบาดเจ็บส่งผลให้มันยังสั่นเทาอยู่เบาๆ แต่ต่อเนื่อง

ได้ยินเสียงจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลดังเข้ามาหู เหมือนเสียงโลหะหรือเหล็กหนักๆ กระทบกัน หรือไม่ก็เหมือนมีอะไรตกลงพื้น นี่ก็อีกเรื่อง ผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเอง เสียงแผ่วเบาของใครอีกคนที่จับผมมา มากสุดก็มีแค่เสียงหัวเราะเบาๆ ข้างหูที่ชวนให้ประสาทหลอน แต่คริสไม่เคยปริปากพูดอะไรกับผม ความเงียบพวกนั้นเริ่มทำให้ผมกลัวที่จะส่งเสียงออกมา มันให้ความรู้สึกเหมือนผมจะแหกกฎอะไรบางอย่าง

แต่แล้วเสียงดนตรีที่คลอมาเบาๆ ก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท เสียงท่วงทำนองที่แสนคุ้นเคยที่เหมือนไม่ได้ยินมานานแสนนาน เสียงของนักร้องชื่อดังที่สอดประสานเข้ากับเสียงกีต้าร์และกลอง เนื้องเพลงที่ฟังดูเหมือนไม่มีความหมายแต่กลับติดหูและเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก

ผมเคยร้องเพลงนี้กับคริสในรถช่วงที่เราคบกันแรกๆ ผมบอกเขาว่าชอบเพลงนี้มาก ยังจำได้ดีตอนที่เขาหันกลับมายิ้มให้และบอกว่า เขาเองก็ชอบมันมากเหมือนกัน

แก้มของผมอุ่นซ่านขึ้นเพราะของเหลวหยดหนึ่งไหลออกจากตา ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าผ้าที่ปิดตาผมอยู่จะชื้นขนาดไหน ผมร้องไห้จนเหมือนน้ำจะหมดตัวได้อยู่แล้ว

เสียงของคริสร้องคลอกับเพลงดังมาให้ได้ยิน เสียงที่ดัดให้เข้ากับท่วงทำนองเพลงนั่นฟังดูไม่เหมือนเสียงเขาเลย และมันก็กำลังทำให้ผมตัวสั่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

“อึก” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ฟุบหน้าลงกับอะไรก็แล้วแต่ที่กั้นผมเอาไว้ ผมอยากจะเกลือกกลิ้งลงกับพื้นมากกว่า แต่แค่จะทำแค่นั้นผมยังทำไม่ได้เลย

เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้เสียงเพลงที่ลอยมาจากนอกห้องชัดเจนขึ้นตาม เสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามาอีกครั้ง ผมไม่อยากรับรู้แล้วว่าตัวเองจะโดนอะไรอีก

“ได้โปรด” เสียงแหบแห้งของตัวเองเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก “ปล่อยผมไปเถอะ”

มีเพียงเสียงเพลงคลอแผ่วเบาเพลงนั้นเป็นคำตอบให้ผม






สิ่งแรกที่ได้เห็นหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าคือเพดานห้องนอนที่คุ้นตา ผมหลับตาลงอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็วเพราะแสงที่ส่องผ่านม่านตาเข้ามามีมากเกินไป ผมปรับตัวไม่ทัน

แรงหนักๆ ที่พาดอยู่บนลำตัวผมทำให้ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้นอีกครั้ง มองชายหนุ่มอีกคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา เท่าที่สังเกตดูจากขอบตาอีกฝ่ายแล้วไซม่อนก็คงได้นอนน้อยพอๆ กับผมเหมือนกัน ใต้ตาของเจ้าตัวลึกเข้าไปทีเดียว ถ้าส่องกระจกคู่กันตอนนี้คงเหมือนซอมบี้สองตัวที่หาหลุมตัวเองไม่เจอ

“อ่า...” ผมครางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ขยับแขนขึ้น กุญแจมือเมื่อคืนถูกปลดออกไปแล้ว ผมหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ข้างตัวก่อนจะยกมือกุมหัวที่หนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินมาถ่วงเอาไว้พร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ผมดูวิดีโอที่คาดคั้นไซม่อนให้เอามาให้ แล้ว…

“อุบ” แค่คิดถึงมันก็รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอีกรอบ

ผมไอแห้งๆ ออกมาสองสามที เสียงไอของผมทำให้คนบนเตียงเริ่มขยับตัว ไซม่อนปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะหันมามองตามต้นเสียง นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขามองผมอย่างห่วงใยขณะเลื่อนมือออกมา

“ออสติน”

“อย่าครับ” ผมขยับตัวหนีสัมผัสเขา ยกมือขึ้นจับแขนตัวเองราวกับจะใช้มันเป็นป้อมปราการไม่ให้ใครก้าวล้ำเข้ามา “อย่าเพิ่ง… อย่าแตะผม ผมขอร้อง”

ไซม่อนครางออกมาแผ่วเบาขณะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง สภาพของเขาดูย่ำแย่เหมือนกัน ผมเผ้าชี้ไปคนละทิศละทาง เคราครึ้มโผล่ขึ้นมาให้เห็นประปรายที่รอบคาง เขามองมาทางผมด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างชัดเจน

“คุณโอเครึเปล่าครับ ดีขึ้นบ้างไหม”

ผมขยับตัวถอยหนีทันทีที่เขาทำท่าจะเคลื่อนตัวเข้ามา นั่นทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักไป ผมเห็นแววตาเจ็บปวดของเขาแวบหนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาคู่สวยนั่นก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบว่างเปล่า

ดีจัง ผมว่าตอนนี้เราน่าจะมีแววตาเหมือนกันเลย

“หิวรึเปล่าครับ ออสติน”

ไม่เลย ผมไม่หิวเลยสักนิด หรือต่อให้ท้องว่างยังไง ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกลืนอะไรลงอยู่ดี

“ให้ผมไปทำอะไรให้ทานไหม”

ผมนิ่งเงียบไป เหมือนคิดไม่ออกว่าควรจะตอบยังไงดี ผมไม่อยากอยู่กับเขาแล้วตอนนี้ ทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา เรื่องโกหกของเขา มัน… มันมากเกินกว่าที่ผมจะรับไว้ ผมรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้วขณะที่คิดหาทางหนีทีไล่ ผมตัดสินใจพูดกับเขาเสียงเรียบ

“ผม… ผมอยากอาบน้ำ ไซม่อน ถ้าเป็นไปได้ คุณเตรียมน้ำใส่อ่างให้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้ครับ” เขาว่า ทำท่าจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนี้ระหว่างเราทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมถอยหนีสัมผัสของเขา ไซม่อนไหล่ตกลงนิดหนึ่ง หากเจ้าตัวก็พยักหน้าเบาๆ ราวกับจะสื่อว่าเขาเข้าใจ ก็มันช่วยไม่ได้นี่ อะไรทำนองนั้น

ผมมองร่างสูงของเจ้าตัวชะงักฝีเท้าลงที่ประตู เขาหันกลับมามองหน้าผมก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจัง

“ออสติน เรื่องที่ผมปิดบังคุณ… ผมเสียใจ”

“ผมรู้แล้วครับ” ผมว่า ก้มหน้าลงต่ำ ไม่สบตาเขา “คุณบอกผมแล้วเมื่อคืน”

เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปแล้วปิดประตูลง ผมทิ้งช่วงเล็กน้อย รออยู่นิ่งๆ แบบนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำจากก๊อกที่ไหลลงในอ่างดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมใช้จังหวะนี้ฉวยโอกาสหยิบข้าวของของตัวเองแล้วก้าวเท้าฉับๆ ออกจากคอนโดของไซม่อน

อย่างกับว่าผมจะยอมอยู่กับเขาต่อหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานอย่างนั้นแหละ



ผมเรียกแท็กซี่และนั่งกลับบ้านไปทั้งๆ อย่างนั้น เหลือบมองทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่างโปร่งใส เงาของตัวเองสะท้อนออกมาเล็กน้อย นั่นทำให้ผมต้องรีบเลื่อนมือไปปัดผมเป็ดที่กระดกขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นี่ยังไม่นับใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนตายมาแล้วนี่อีกนะ สงสัยจังว่าคนขับแท็กซี่จะคิดยังไงตอนรับผมขึ้นมาบนรถ แต่ที่แน่ๆ หลังจากผมบอกที่อยู่แล้ว เขาไม่ชวนผมคุยสักคำ ก็ดี

“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมเอ่ยปากหลังจากที่ตัวรถวิ่งเข้าสู่ถนนในเขตที่ผมอยู่ ถัดจากพื้นคอนกรีตนี่ไปก็เป็นหาดทรายแล้ว บ้านของผมอยู่ห่างจากตรงนี้ออกไปไม่ไกล “จอดตรงนี้เลยครับ”

ผมจ่ายเงิน ลงจากรถ จากนั้นก็เดินทอดน่องไปตามริมหาด ดูดดื่มไปกับลมทะเลและคลื่นแผ่วเบาที่ซัดลงบนข้อเท้า เหม่อมองออกไปยังเกาะอีกฟาก สถานที่ศักสิทธิ์ของแม่ผม สถานที่ที่อยู่แล้วรู้สึกสบายใจและปลอดภัย

แม่ของผมไม่ได้ไปที่นั่นในช่วงบั้นปลายของชีวิต แม้ว่าหล่อนจะต้องการมากแค่ไหน

ผมเองก็เหมือนกัน ผมกลับไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไม่ได้แล้ว การที่เราต้องการไปยังสถานที่พิเศษของเราแต่ไม่สามารถไปได้ทั้งที่มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม มันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

ผมปล่อยให้ความคิดมากมายลอยวนอยู่ในหัว สิ่งที่ทำให้ผมระส่ำระส่ายจริงๆ ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องไซม่อน แต่เป็นเรื่องของก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายของตัวเองต่างหาก นึกถึงเจ้าของคนก่อนของมัน นึกถึงสิ่งที่ไอ้บ้าคริสนั่นทำเอาไว้ก่อนจะลาโลกนี้ไป

มันฆ่าคนบริสุทธิ์ไปสามคน… และตอนนี้หัวใจของไอ้ฆาตกรนั่นก็อยู่ในตัวผม

ระยำสิ้นดี

สามคนนั้นต้องตายก็เพราะผม เพราะหัวใจที่ผมไม่ได้ร้องขอ… ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยซ้ำถ้าทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้

หาดรอบตัวผมแทบจะไม่มีผู้คน ผมทอดสายตามองผืนมหาสมุทร นึกถามตัวเองในใจเล่นๆ ว่าอยากจะเดินลงไปในนั้นเลยไหม แต่น่าเสียดายที่ผมรักตัวเองเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้

ผมมุ่งหน้าไปที่บ้านของตัวเอง ตัวบ้านปรากฎสู่สายตาแล้ว ผมล้วงมือลงในกระเป๋าเพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมาก่อนจะต้องนิ่งไปเมื่อสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ที่หน้าประตูบ้าน

ผมชะงักฝีเท้าลง ตัวชาวาบขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นกลัว

‘ให้ตายสิ’ ผมอยากจะคราง แต่อ่อนล้าเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ ‘ทุกอย่างนี่จะไม่มีวันจบสิ้นจริงๆ  ใช่ไหม’





--------------------------------------------
Talk: ขอโทษที่อาทิตย์ที่แล้วหายไปนะคะ! พอดีติดเดินทาง เลยวุ่นๆ นิดหน่อย เอาเป็นว่ารอบนี้เอาเต็มๆ ตอนมาฝากเลยแล้วกัน จะได้ไม่ค้างกันเนอะ! //นี่ไม่ค้างแล้วนะ 5555555
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 22)(100%) P.4 [19/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-08-2017 17:29:57
ทำไมรู้สึกว่าตอนนี้สั้น ฮา
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 22)(100%) P.4 [19/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 20-08-2017 20:55:10
มีเรื่องให้ลุ้นตลอด แอบกลัวใจออสตินจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า แต่ก็รู้ว่าออสตินคงคิดเยอะอยู่แล้ว อยากรู้ความสัมพันธ์ของออสตินกับไซม่อน และอยากรู้ตอนต่อไป สุ้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 22)(100%) P.4 [19/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 20-08-2017 23:41:19
น่ากลัว น่ากลัว ตอนนี้น่ากลัวมากก คริสน่าขยะแขยงมาก
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 22)(100%) P.4 [19/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-08-2017 17:03:13

บทที่ 23



ไซม่อนเม้มริมฝีปากแน่นขณะหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่ในกล่องรวมกับแฟ้มคดีอีกมากมาย กล่องนี้เป็นคดีที่ปิดแล้ว เขาพลิกเปิดมันขึ้นมาก่อนจะมองกล่องแผ่นซีดีที่อยู่ด้านใน เขาหยิบออกมาแต่ตัวแผ่น ก้าวเท้ากลับไปที่ห้องนั่งเล่น ออสตินจัดแจงเปิดทีวีและเครื่องเล่นให้แล้วเรียบร้อย

ร่างสูงเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น รู้สึกถึงมือที่ชื้นเหงื่อ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาตวัดกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ เขาสังเกตเห็นว่าออสตินเองก็ดูอึดอัดกับสถานการณ์ตอนนี้เช่นกัน แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวของเขาเองที่ทำให้เรื่องทั้งหมดวุ่นวายแบบนี้

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เล่นเกมกับผมแล้ว” คนผมเทาว่า ไซม่อนเบือนหน้ากลับไปมองเขา “ไม่เอาซีดีที่ไหนรู้มาเปิดให้ผมดู ไม่หลอกผมด้วยวิธีโง่ๆ แบบนั้น”

“ท่าทีของผมมันเหมือนคนกำลังเล่นเกมกับคุณเหรอ ออสติน” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่ภายในใจรู้สึกอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก “แต่ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน เขาคือผู้ชายที่ลากคุณไปขังไว้ในบ้านร้างสองอาทิตย์ ขืนใจคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณหวังจะได้เห็นอะไรในวิดีโอที่เขาทิ้งไว้ให้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ วิดีโอตอนที่เขาขืนใจผมเหรอ?” น้ำเสียงนั้นแฝงแววท้าทาย แต่ดูตื่นกลัวด้วยเช่นกัน

ไซม่อนไม่ตอบ เขาหลบตาออสตินไปอีกทาง

“จะอะไรก็ได้แล้วครับตอนนี้ รีบๆ เปิดได้แล้ว”

ชายหนุ่มทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย เขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำขณะที่ใส่แผ่นลงเครื่องและภาพบนหน้าจอเริ่มปรากฎ

ตาของไซม่อนมองตามวิดีโอในนั้น แต่ในหัวของเขาตอนนี้ไม่ได้โฟกัสอยู่ที่หน้าจอนั่นเลยแม้แต่น้อย

เขายังจำได้ดี วันที่พี่ชายของเขาถูกยิง

“ไซม่อน ทะ… ทำยังไงดี มีตำรวจ… ทะ… โทรมาบอกว่า แบรดตายแล้ว”

นั่นเป็นสายจากแองเจลีน พี่สะใภ้ของเขา ครั้งแรกที่ได้ยินถ้อยคำบอกเล่านั้นผ่านทางสายโทรศัพท์ ชายหนุ่มยังแทบไม่อยากเชื่อหูเลยว่าตัวเองได้ยินถูกต้องชัดเจน

เขาผละออกจากแฟ้มคดีตรงหน้าทั้งหมดของตัวเอง วิ่งออกจากที่ทำงานแล้วตรงดิ่งไปที่รถ ขับมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หญิงสาวปลายสายบอก ศพของพี่ชายเขาถูกเคลื่อนย้ายไปที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วตอนเขาไปถึง จำได้ว่าแองเจลีนพุ่งเข้ามากอดเขาพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร หล่อนปล่อยแดนที่เข้านอนไปเรียบร้อยแล้วอยู่ที่บ้าน

เขาขอดูศพของแบรดในฐานะน้องชาย ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหน้าที่เอฟบีไออย่างที่ผ่านมา เขาไม่จำเป็นต้องยกตราให้ใครดู เขาพิจารณาร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นด้วยความรู้สึกคับแค้นในอก

รอยกระสุนสองนัดที่แผ่นอก กับเงินไม่กี่ดอลลาห์ที่คนร้ายขโมยไป… เงินแค่นั้น กับชีวิตของพี่ชายเขาเนี่ยนะ

“ไม่ต้องห่วงนะ แองจี้” เขาให้สัญญากับหญิงสาวที่ยกมือปิดหน้า คู้ตัวลงอย่างน่าสงสาร “ผมจะหาตัวคนที่ทำแบบนี้กับแบรดมาแน่ๆ ผมสัญญา”

ไซม่อนทำตามที่เขาพูดไว้จริงๆ เริ่มต้นด้วยการเข้าไปคุยกับตำรวจท้องที่ที่รับผิดชอบคดีของพี่ชายเขา โชคดีที่คนที่รับผิดชอบคดีนี้เป็นคนที่เขารู้จัก

“สวัสดีครับ ลูซี่” เขาว่าหลังจากที่เดินมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของอดีตเพื่อนร่วมงาน พวกเขาเคยทำคดีด้วยกันมาก่อน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะส่งยิ้มให้ ผายมือไปที่เก้าอี้

“นั่งก่อนสิคะ ไซม่อน ไม่ได้เจอกันนานเลย วันนี้ทางเอฟบีไอมีอะไรให้รับใช้คะ”

“เอ่อ ก็… ไม่เชิงครับ ผมไม่ได้มาในฐานะของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเสียทีเดียวหรอก”

คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวเลิกคิ้ว แต่มันดูเสแสร้งสำหรับไซม่อน เขามีความรู้สึกว่าเจ้าหล่อนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาจะโผล่หน้ามา

“ผมมาพบคุณด้วยเรื่องคดีของแบรด แมคแนร์”

“ผู้ชายที่ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าตู้เอทีเอ็มสินะคะ เขาเป็นญาติคุณเหรอ”

“พี่ชายครับ”

หล่อนพยักหน้ารับ จ้องตาคู่สนทนานิ่ง

“ผมอยากร่วมมือกับคุณสืบคดีนี้ ลูซ” เขาว่า หญิงสาวทำหน้าราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าไซม่อนจะพูดแบบนี้

เพรซตอนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเริ่มวางท่าเป็นการเป็นงานขึ้นมามากขึ้น ท่าทีแบบนั้นทำให้ไซม่อนเริ่มมองเห็นคำตอบที่จะได้จากอีกฝ่ายลางๆ

“คือ… ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจความรู้สึกของคุณนะคะ ไซม่อน”

“อะไร” ชายหนุ่มห้ามอารมณ์ผิดหวังของตัวเองไม่อยู่ เขายอมรับว่าหวังพึ่งความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันระหว่างตัวเองกับเพรซตอน นึกกับตัวเองไปว่าอีกฝ่ายคงเห็นแก่ที่ทำงานด้วยกันมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมใจมาฟังคำบอกปัด “นี่คุณกำลังจะปฏิเสธผมเหรอครับ รวดเร็วแบบนี้เลยเหรอ”

“ไซม่อนคะ” เพรซตอนว่าอย่างใจเย็น “คดีนี้เป็นคดีที่ตำร้องท้องถิ่นได้รับมอบหมายให้ทำ และเราไม่ได้ติดต่อทางเอฟบีไอเพื่อขอให้ช่วย สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ถือเป็นการก้าวก่ายงานนะคะ”

ชายหนุ่มมองหน้าคู่สนทนาเหมือนไม่อยากเชื่อ เขาเคยทำงานร่วมกับเพรซตอนมา รู้ว่าหญิงสาวไม่ใช่คนที่ทระนงตัวสูงขนาดที่กลัวว่าหน่วยงานอื่นจะเข้ามาแทรกแซงงานและได้หน้าไปแทนที่ตน หล่อนอุทิศตัวให้กับงานอย่างจริงจัง หวังที่จะจับคนร้ายและช่วยให้บ้านเมืองสงบมากกว่าจะทำเพราะอยากเอาหน้า แล้วไซม่อนก็พอจะเดาอะไรได้

“คุณโดนสั่งห้ามจากเบื้องบนมาก่อนแล้วใช่ไหม”

หญิงสาวยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งของตัวเองได้ แต่ชายหนุ่มคิดว่าเขาเดาไม่ผิด

“คุณเป็นญาติของผู้ตาย ไซม่อน” น้ำเสียงของหล่อนแฝงร่องรอยความเห็นใจมาด้วย “คุณก็รู้ว่างานของเราไม่ควรมีอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยว”

“แต่เขาเป็นพี่ชายผม” ชายหนุ่มพูดออกไปอย่างเผลอตัวและรู้สึกว่าตัวเองพลาด เพราะสายตาของหญิงสาวตรงหน้ามองมาราวกับจะตอกย้ำเรื่องที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป ไซม่อนกำมือแน่นขึ้น พยายามอีกครั้ง “ลูซี่ ฟังนะ ผมจำเป็นต้องจับตัวคนที่ฆ่าแบรดให้ได้จริงๆ พี่สะใภ้ผมต้องเลี้ยงลูกคนเดียวตอนนี้ คุณคิดว่าผมรู้สึกยังไงที่ต้องเห็นครอบครัวพี่ชายตัวเองเป็นแบบนี้”

“มันเป็นเรื่องน่าเศร้าค่ะ ฉันเข้าใจดี” หล่อนว่า หากน้ำเสียงหนักแน่นขณะพูด “แต่นี่เป็นงานของทางฉัน เป็นคดีปล้นชิงทรัพย์ที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องให้เอฟบีไอเข้ามาเกี่ยว เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ ถ้าทางเราเจออะไรที่มีน้ำหนักมากพอที่จะขอความร่วมมือจากเอฟบีไอได้ ฉันจะแจ้งให้คุณทราบเรื่องนี้เป็นคนแรกเลย ดีรึเปล่าคะ”

ไซม่อนมีสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน เขาขอตัวจากหญิงสาวตรงหน้าแล้วลุกออกจากเก้าอี้ เพรซตอนพูดกับเขาก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวออกจากที่ทำงานของหล่อนไป

“คุณเป็นเหยื่อนะคะ ไซม่อน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในคดีนี้”

คนผมน้ำตาลบลอนด์ไม่พูดอะไรตอบ เขาก้าวเท้าออกจากที่นั่นอย่างเงียบงัน




ไซม่อนตัดสินใจว่าเขาไม่อาจอยู่เฉยๆ แล้วรอให้อีกฝ่ายตามจับตัวคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายเขาได้

ชายหนุ่มลงมือสืบหาเบาะแสไปเรื่อยๆ ตามขั้นตอนอย่างที่เขาทำคดีแบบที่ผ่านๆ มา และแน่นอนว่าทุกอย่างเป็นความลับ เขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ไม่หยิบตราของเอฟบีไอขึ้นมาใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ

ไซม่อนมองหาคดีที่คล้ายกันซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ จำกัดเขตพื้นที่ สอบถามคนท้องถิ่นและสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์

คดีที่ใกล้เคียงกันซึ่งเป็นการชิงทรัพย์ในช่วงระยะเวลานั้นมีอีกสองคดี คดีของซาร่า คาร์ลกับเจมส์ คามิลตัล ชายหนุ่มกางแผนที่รัฐพร้อมกับเริ่มวงจุดเกิดเหตุเพื่อพิจารณาเชิงภูมิศาสตร์ คดีของซาร่า คาร์ลนั้นเป็นคดีการปล้นที่เกิดในร้านขายของชำ ส่วนของเจมส์นั้นเป็นการจี้ชิงทรัพย์ตอนที่ชายหนุ่มเดินกลับบ้านในตรอกร้างผู้คน ทุกคดีล้วนเกิดขึ้นตอนกลางคืนและเป็นสถานที่ที่แทบไม่มีผู้คน ทำให้การหาพยายากมากขึ้น

“แองจี้ครับ” ไซม่อนเอ่ยถามหลังจากที่เอนหลังลงพิงกับพนักโซฟา รอให้อีกฝ่ายจัดแจงชงชามาให้ตามที่เจ้าหล่อนออกตัว ในมือของเขามีสมุดโน้ตที่มีข้อมูลต่างๆ ที่เขาสืบหามาด้วยตัวเอง “คุณได้ของของแบรดคืนมาหมดแล้วใช่ไหมครับ ของมีค่าของเขามีอะไรหายไปบ้างรึเปล่า”

“อืม ของที่หายไปเหรอ ขอฉันนึกก่อนนะคะ” หญิงสาวว่าขณะประคองถาดที่มีกาน้ำชาและถ้วยเปล่าอีกสองใบวางลงบนโต๊ะ สีหน้าของหล่อนยังดูอิดโรยและอ่อนล้า ความเสียใจและความกดดันที่เสียสามีไปคงเป็นสาเหตุของอาการพวกนั้น “นอกจากเงินแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ… ฉันคิดว่านะคะ”

“จริงเหรอครับ” เขาเคาะลงหน้ากระดาษที่เขียนข้อมูลเรื่องสิ่งของที่หายไปจากตัวผู้ตายที่เขาไปสืบมา “คุณแน่ใจเรื่องนั้นจริงๆ เหรอ? อะไรก็ได้ครับที่คุณพอจะนึกออก แหวน นาฬิกา สร้อย อะไรที่มีความสำคัญกับเขา ไม่จำเป็นต้องมีราคานักก็ได้”

“อันที่จริง…” หญิงสาวพึมพำ “ก็… รูปถ่ายค่ะ”

“รูปถ่ายเหรอครับ?”

“ค่ะ เป็นรูปครอบครัวของพวกเรา เขามักจะพกไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอด แต่ตอนที่ฉันเปิดดูมันหายไปแล้ว บางทีอาจจะไปตกหล่นที่ไหนก็ได้”

ไซม่อนไม่คิดแบบนั้น เขารีบจดข้อมูลที่เพิ่งได้มาลงในสมุดทันที “ขอบคุณครับ แองจี้”

แองเจลีนนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว รินชาใส่ถ้วยก่อนจะมองน้องสามีอย่างฉงน “ทำไมเหรอคะ ไซม่อน คุณคิดว่าเรื่องนี้สำคัญเหรอคะ? มันก็แค่รูปถ่ายเก่าๆ ใบเดียว”

“แต่มันมีความหมายกับแบรด”

“ก็… ค่ะ” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง “แล้วยังไงคะ”

“ก็มีความเป็นไปได้หลายอย่างครับ แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยก็ตัดเรื่องที่ว่าคนร้ายสุ่มเลือกเหยื่อออกไปได้หนึ่ง แล้วก็… เป้าหมายของมันไม่ใช่เรื่องเงิน”

“แล้วะเป็นอะไรไปได้คะ แบรดไม่เคยมีศัตรูที่ไหน แล้วเขาก็ไม่เคยทำอะไรอันตรายสักหน่อย”

“ผมยังต้องตามสืบต่อครับ” เขาตัดบทไว้เพียงเท่านั้น

.
.
.
.
.
(50%)





---------------------------------------------
Talk: ครึ่งบทมาแล้วค่าาา~ กระดึ๊บๆ มามากกับเรื่องหมอ 55555 อีกครึ่งบทจะรีบมานะคะ XD
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 23)(50%) P.4 [25/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 27-08-2017 11:10:08

[ต่อ]



ไซม่อนขับรถไปยังย่านชานเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าไปในร้านที่เขาแวะเวียนไปบ้างบางคราว ทันทีที่ดับเครื่องยนตร์ ชายหนุ่มก็ทิ้งน้ำหนักตัวแรงๆ ลงกับเบาะ รู้ดีว่าเขาควรจะโฟกัสกับการสืบสวนของตัวเองมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้คือทำงานหลักที่ทางเอฟบีไอป้อนมาให้ พร้อมๆ กับพยายามสืบเรื่องของคนที่ฆ่าแบรดด้วยตัวเอง การทำสองอย่างนี้รวมกันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา และเขาไม่ควรมามัวหาความสุขด้วยการมาที่บาร์ในเวลาแบบนี้

เคาะนิ้วลงกับพวงมาลัยสองสามทีก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมา บอกกับตัวเองสั้นๆ ว่าช่างเถอะ เขาต้องการการพักผ่อนบ้าง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกเหมือนเชือกตึงจนใกล้จะขาดเต็มทน ถ้าเขายังฝืนตัวเองต่อไปอาจจะกลายเป็นบ้าได้

ขาเรียวก้าวเข้ามาในร้าน เสียงพูดคุยจากลูกค้าแต่ละโต๊ะผสมปนเปไปกับเสียงดนตรีที่เปิดคลอ เสียงหัวเราะจากโต๊ะใหญ่ที่มีแขกกว่าสิบกว่าคนดูเหมือนจะดังหนวกหูที่สุด ไซม่อนทรุดตัวนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ สั่งเบียร์กับกับแกล้มเบาๆ อย่างคุ้นเคยกับเมนูของร้าน กวาดตาสำรวจไปรอบๆ อันเป็นนิสัยที่เขาติดมาตั้งแต่เริ่มเป็นตำรวจ

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทามองคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มที่มุมหนึ่งของร้าน ทั้งสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในบาร์เกย์อยู่แล้ว แก้วเบียร์ขนาดใหญ่ถูกวางลงตรงหน้า เขายกมันขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ควักโทรศัพท์ขึ้นมาไถหน้าจอเรื่อยเปื่อย แก้วน้ำใบหนึ่งวางลงตรงหน้า มีผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ ถูกเฉือนแล้วประดับอยู่ที่ขอบแก้ว เขาเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วให้บาร์เทนเดอร์เป็นเชิงถาม อีกฝ่ายผายมือไปอีกทาง

“สุภาพบุรุษท่านนั้นเป็นคนฝากมาให้ครับ”

เขาหันไปมองตาม อีกฝ่ายเป็นชายผมบลอนด์ทองแต่งกายสุภาพ น่าจะอายุน้อยกว่าสักสองถึงสามปี รูปร่างค่อนข้างบางและคงเตี้ยกว่าเขาไปพอสมควร เจ้าตัวส่งยิ้มบางๆ มาให้พร้อมกับโค้งศีรษะให้นิดหนึ่ง ไซม่อนเอ่ยปากขอบคุณแล้วโค้งให้เจ้าตัวกลับ ยกแก้วขึ้นจรดปาก กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนแตะจมูกทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนจีบที่นี่ และมุกแบบนี้ก็คลาสสิกดี

บางทีเขาอาจจะยอมตามเกมของอีกฝ่ายสักหน่อย เปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง เขาเองก็ไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมานานแล้วเพราะเอาแต่ยุ่งเรื่องงาน บางทีคราวนี้อาจจะเป็นโอกาสดี

“รบกวนช่วยเอาแบบเดียวกันนี่ให้เขาด้วยได้ไหมครับ” เขาหันไปพูดกับบาร์เทนเดอร์ อีกฝ่ายพยักหน้า

“รับทราบครับ”

กับแกล้มของเขาถูกเสิร์ฟลงตรงหน้าพอดี ไซม่อนใช้ส้อมจิ้มไก่ทอดในจานเข้าปาก หันมองไปตามทิศทางของชายผมบลอนด์คนนั้น หากยังไม่ทันได้มองหน้าอีกฝ่าย สายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะสำหรับสองคน

คนที่ทำให้ไซม่อนสะดุดตาคือชายผู้เป็นเจ้าของเรือนผมที่เทา ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั่นทำให้ชายหนุ่มใจเต้นสะดุดไปอย่างรวดเร็ว เขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครแม้เพียงได้เห็นแค่ใบหน้าด้านข้าง

ออสติน การ์ดเนอร์

เขาเป็นหมอที่เคยทำแผลให้เขาช่วงที่ไซม่อนเพิ่งเข้าบรรจุใหม่ๆ ยังไม่ได้เป็นเอฟบีไอ แล้วก็เป็นแผลที่โดนยิงเป็นครั้งแรก อาการไม่ได้สาหัสอะไร แต่เขากลับฝังใจกับชายหนุ่มคนที่ทำแผลครั้งนั้นให้เขาเหลือเกิน

เขาลอบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับออสตินแล้วรู้สึกเหมือนความหวังเล็กๆ ที่ประกายขึ้นมาในใจดับวูบลง เห็นท่าทีที่สนิทสนมกันของทั้งสองคนแล้วไซม่อนก็พอจะดูออกว่าทั้งคู่คงไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ยิ่งมาอยู่ในสถานที่แบบนี้… ถ้าไม่ใช่แฟนก็คงเป็นคู่ขากัน

ชายหนุ่มจิ้มของที่อยู่ในจานเข้าปากอีกชิ้นหนึ่งอย่างเหม่อลอย ยกแก้วเบียร์ที่พร่องลงไม่ถึงครึ่งตาม รู้สึกได้เลยว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้า เหล้าที่เขากินไปแก้วเมื่อกี้แรงไม่น้อย และตอนนี้เขาก็ยังเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกายต่ออีก

ใครคนหนึ่งทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ไซม่อนชะงักไปนิด ชายผมบลอนด์ที่ส่งเหล้าให้เขาเมื่อครู่นั่นเอง ในมือของอีกฝ่ายมีแก้วเหล้าอีกใบที่เขาสั่งให้ไปเมื่อครู่ รอยยิ้มออกหวานบนมุมปากอีกฝ่ายดูน่ามองไม่น้อยทีเดียว

“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายว่า ขยับขึ้นไขว่ห้างอย่างมีชั้นเชิง อากัปกริยาทั้งหมดดูดีไม่น้อยทีเดียว “ขอบคุณสำหรับแก้วนี้นะครับ ผมเมสัน ริออส”

“ไซม่อน แมคแนร์ครับ”

ริออสพยักหน้าเนิบๆ ขณะยกแก้วขึ้นจิบ “คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ คุณแมคแนร์”

“ก็เป็นครั้งคราวครับ ผมมีอีกร้านสองร้านที่ไปประจำเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบแล้วก็คงมาที่นี่บ่อยสุดมั้ง”

“อย่างนี้นี่เอง” เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ไซม่อนรู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาทกับคนข้างตัว แต่เขาก็เผลอลอบมองชาหนุ่มผมทองที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้านหลังถัดจากริออสไปอยู่ดี “แล้ว… คุณทำงานอะไรเหรอครับ ผมถามได้รึเปล่า”

ไซม่อนนิ่งคิดนิดหนึ่ง คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเท่าไร แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่เห็นข้อดีของการโกหกเรื่องอาชีพตัวเองเหมือนกัน

“ผมเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอครับ”

ริออสดูชะงักไปทันที ไซม่อนยกแก้วขึ้นจิบอึกหนึ่ง

“เอ่อ โทษทีครับ ผมตกใจไปหน่อย” คนผมบลอนด์ว่า วางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ “แต่… คือ… คุณไม่ได้อยู่ในหน้าที่ตอนนี้ใช่ไหม แบบว่า กำลังตามดูคนอยู่”

“อ้อ ไม่ครับ ผมใช้เวลาส่วนตัวอยู่ นอกเวลางานน่ะ” ไซม่อนเผลอเหลือบมองไปทางออสตินอีกแล้วตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสนั่นของเจ้าตัว มันทำให้ใจเขาเต้นรัวขึ้น

ไซม่อนอยากจะหยุดมัน แต่ยิ่งคิดอยากจะหยุด ใจเขาก็ยิ่งลอยไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่ไม่ได้ห่างไปจากเขาเท่าไรนักมากขึ้น

“ค่อยยังชั่วหน่อย เฮ้ ฟังนะ ผมไม่ได้เกลียดพวกตำรวจหรอก โอเคไหม แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ครับ” เขายิ้มให้กับคนข้างตัว อีกฝ่ายหยักหน้าหงึกหงักก่อนจะพูดต่อ

“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารน่ะ ออฟฟิศห่างไปจากนี้สองบล็อก เพราะงั้นก็เลย นั่นแหละ มาที่นี่บ่อยล่ะมั้งครับ”

“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายลง เขารับรู้ได้ว่าริออสกำลังประหม่า อาจจะเพราะรู้ว่าเขาเป็นตำรวจ หรืออาจจะเพราะอีกฝ่ายพยายามสานความสัมพันธ์กับเขาอย่างจริงจัง หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองอย่าง

“เอ่อ” ริออสกำแก้วที่อยู่ในมือแน่นขึ้น และไซม่อนก็สังเกตุเห็น “แล้ว… อืม หลังจากนี้คุณมีธุระอะไรรึเปล่า ไซม่อน เอ่อ ผมเรียกแบบนั้นได้ใช่ไหมครับ”

ไซม่อนเลิกคิ้ว ชั่งใจกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่น้อย เขาเองก็เพิ่งบอกตัวเองแท้ๆ ว่านี่เป็นโอกาสที่จะเปิดใจให้ใครสักคน แต่สายตาของเขาเผลอเหลือบมองไปทางออสตินอีกแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นหน้าแดงขึ้นเพราะฤทธิ์เหล้า คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเลื่อนมือไปแตะบ่าออสตินอย่างเป็นห่วง

ภาพที่เห็นทำให้ไซม่อนใจหายวูบ รับรู้ในทันทีว่าเขายังไม่พร้อมจะเปิดใจให้ใคร

เขาเรียกบาร์เทนเดรอ์มาเก็บเงินก่อนจะหันไปยิ้มอย่างสุภาพให้คนข้างตัว

“ขอโทษครับ แต่ผมมีงานต้องทำต่อจากนี้ ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงเครื่องดื่มผม ผมต้องขอตัวก่อน”

“เอ่อ งั้น… อย่างน้อย ผมขอช่องทางการติดต่อของคุณได้ไหม”

คนผมน้ำตาลบลอนด์ยิ้มอย่างสุภสพให้อีกฝ่าย

“เอาไว้คราวหน้าแล้วกันครับ ถ้าเราบังเอิญเจอกันอีก บางทีตอนนั้นผมอาจจะใจอ่อนก็ได้ ไปก่อนนะครับ ริออส”

ไซม่อนก้าวเท้าออกจากร้าน ชะงักฝีเท้าลงนิดหนึ่ง หักห้ามใจไม่ให้เหลือบไปมองทางออสติน มือยึดที่จับตรงประตูแน่น แต่ผลสุดท้ายเขาก็หันกลับไปมองทางโต๊ะของคนผมเทาจนได้

ออสตินฟุบหน้าไปกับโต๊ะเรียบร้อยอย่างหมดสภาพ ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนเรียกพนักงานเก็บเงิน

ไซม่อนก้าวเท้าออกจากร้าน ตรงดิ่งไปที่รถ

เขายังมีอะไรอีกหลายอย่างต้องทำ






ชายหนุ่มได้ไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อที่เขาเข้าไปคุยกับลูกชายเจ้าของร้านด้วยตัวเอง ร้านที่ว่าเป็นที่ก่อเหตุซึ่งคร่าชีวิตของซาร่า คาร์ลและเลียม ริสบี้ซึ่งประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์ตอนที่คนร้ายเข้ามาก่อเหตุ อเล็กซ์ ริสบี้เป็นคนเชิญให้เขาเข้ามาด้านหลังร้านเพื่อเปิดวิดีโอจากกล้องวงจรปิดให้ดู ไซม่อนถามว่าเขาจะขอก็อปปี้วิดีโอพวกนี้ได้ไหม ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับจัดแจงเตรียมเอาวิดีโอดังกล่าวใส่ลงแผ่นให้เขาทันที

“ผมหวังว่าจะจับตัวคนร้ายได้เร็วๆ” น้ำเสียงของเขาแค้นเคืองขณะที่อยู่หน้าคอม สีหน้าอิดโรย “แม่ของผมทำใจรับไม่ได้เลยที่พ่อเสีย แถมยังเป็นในร้านของตัวเอง ที่นี่ แล้วพอแม่ป่วยแบบนี้ก็มีแค่ผมคนเดียวที่ต้องประจำหลังเคาน์เตอร์นั่น ภาวนาในใจตลอดเวลาว่าจะไม่มีไอ้บ้าที่ไหนเข้ามายิงใส่กันอีก”

“ทำไมถึงยังทำร้านอยู่ล่ะครับ”

ริสบี้ยักไหล่ เขาใส่ไฟล์วิดีโอที่ว่าลงแผ่น รอเวลาอัปโหลด “ใช่ว่าคนเราจะมีทางเลือกนักนี่คุณตำรวจ ไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน แล้วเราก็มีร้านของเรามาตั้งนานแล้ว”

ไซม่อนกดดูวิดีโออีกรอบระหว่างที่รออเล็กซ์เดินไปหากล่องมาใส่แผ่นซีดีที่อัดเสร็จแล้วมาให้ มุมกล้องทำให้เห็นพื้นที่ด้านนอกตัวร้านส่วนหนึ่ง มีรถจอดอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะจดป้ายทะเบียน สีและรุ่นยี่ห้อรถลงบนโน้ตของตัวเอง เขาเห็นคนร้ายวิ่งพุ่งออกไปจากร้าน นั่นคือสิ่งที่กล้องวงจรปิดให้เขาได้ทั้งหมด

“น่าเสียดายนะที่กล้องถ่ายหน้าเขาไว้ไม่ได้” ไซม่อนเอ่ยขณะที่อเล็กซ์ตีหน้าบูดบึ้ง ยื่นกล่องที่ใส่แผ่นซีดีนั่นให้เขา

“ใช่สิ เสียเงินไปกับไอ้กล้องเวรนี่ไม่รู้ตั้งเท่าไร ถึงเวลาจริงๆ ดันไม่ได้เรื่องอะไรเลย น่าโมโหเป็นบ้า”

ไซม่อนหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่าย “ค่าแผ่นครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”

เขาขอร้องให้เพื่อนที่ไหว้วานได้สืบหาเจ้าของรถตามเลขทะเบียนที่ได้มา และเมื่อได้ทั้งชื่อ ที่อยู่ และช่องทางในการติดต่อเจ้าของรถคนที่ว่า ไซม่อนเสี่ยงถามไปว่าในรถคั้นนั้นมีกล้องวงจรปิดอยู่ไหม สมัยนี้รถส่วนมากก็มีกล้องวงจรปิดกันเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคัน

“อ้อ มีครับ” ทันทีที่อีกฝ่ายตอบมาผ่านสายโทรศัพท์ ชายหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “เมื่อสองเดือนก่อนรถผมเพิ่งถูกงัดไป ผมก็เลยไปติดกล้องมา แล้วก็เปิดไว้ตลอดด้วย ถ้ายังไง ผมจะเตรียมไว้ให้แล้วกันครับ ติดต่อผมมาได้ตลอดเลย”

และในที่สุดไซม่อนก็ได้วิดีโอจากในรถที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อมาได้สมใจ คุณภาพในวิดีโอที่ได้มาอาจจะไม่ชัดเจนมากนัก แต่เขาสามารถจัดการเรื่องนั้นได้ ไซม่อนจัดการไหว้วานคนที่เขาเคยติดต่องานด้วยให้ช่วยซูมภาพในวิดีโอดังกล่าว

ชายหนุ่มร่างผังเวลาช่วงที่เกิดเหตุอย่างละเอียด หาช่องโหว่ หารอยต่อของเวลา เชื่อมเข้ากับคำให้การของพยานที่โทรมาแจ้ง 911 หลังจากเกิดเหตุ

และแล้วไซม่อนก็ค้นพบอะไรบางอย่างในช่องโหว่ของเวลาเหล่านั้น เขาเคาะปากกาลงบนโต๊ะที่กางเอกสารมากมายอยู่ สายตาเหลือบมองหน้าจอที่เปิดวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ในร้านสะดวกซื้อที่คร่าหญิงสาวที่ชื่อว่าซาร่า คาร์ลลง รูปแบบการลงมือของคนร้ายรายนี้คือจ่อปลายกระบอกปืนเข้าที่หว่างตาแล้วลั่นไก พี่ชายของเขาเองก็โดนยิงที่ตำแหน่งเดียวกันนี้เอง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สายมาจากคนที่เขาขอร้องให้ช่วยเรื่องซูมรูปจากวิดีโอนั่นเอง ไซม่อนกดรับสาย อีกฝ่ายบอกมาสั้นๆ ว่าส่งอีเมล์ให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงละมือออกจากเอกสารตรงหน้าแล้วเปิดโน้ตบุ๊คขึ้นมาเปิดอีเมล์

ทันทีที่คลิกดูรูปที่ได้รับการปรับแต่งมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงกับต้องผิวปากออกมาเบาๆ

ชายที่อยู่ในรูปนั่นไม่ใช่ใครอื่น คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนนั่นเอง คนที่ทางตำรวจตามหาตัวอยู่เป็นปี แต่ตอนนี้เขามาอยู่ตรงนี้แล้ว

ไซม่อนหมุนปากกา อันที่จริงสิ่งที่เห็นในรูปนี้ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้แปลกในเสียทีเดียว เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาตั้งแต่ตอนเห็นในวิดีโอแล้ว แต่มันไม่ชัดเจนขนาดนี้ก็เท่านั้น

ชายหนุ่มขยับมือเลื่อนไปหยิบกระดาษที่ระบุหมู่เลือดของเหยื่อซึ่งเหมือนกันหมดทุกคนจากบนโต๊ะ ถัดจากกระดาษแผ่นนั้นไปเป็นรายชื่อของผู้ที่ลงทะเบียนบริจาคเลือดและอวัยวะของหน่วยงานโอดีอาร์ ไซม่อนไฮไลท์ลงบนชื่อของเหยื่อทั้งสามคนไว้หมดแล้ว และทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ลงชื่อยินยอมบริจาคร่างกายทั้งสิ้น

“บิงโก” เขาพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนคือคนที่ลงมือก่อเหตุทั้งหมดนี่ แถมเจ้าตัวยังอุกอาจไม่เบาที่สวมบทเป็นพยานเสียเอง แถมยังใจดีโทรมาบอกล่วงหน้าก่อนจะลงมือก่อเหตุด้วยนะ ดูจากช่วงเวลาที่คลาดเคลื่อนนี่แล้ว… เรียกได้ว่าท้าทายตำรวจไม่เบา ถึงหมอนั่นจะเคยเป็นตำรวจเองมาก่อนด้วยก็เถอะ

ส่วนเรื่องแรงจูงใจของเจ้าตัวก็ชัดเจน… หมอนี่รู้เรื่องที่ออสตินต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ไม่ว่ามันจะรู้ด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่ และคนที่คลั่งไคล้แฟนเก่าของตัวเองขนาดจับเขาไปขังแล้วก็ข่มขืนตั้งสองอาทิตย์อย่างหมอนี่คงทนไม่ได้ถ้าออสตินจะตายจากไปจริงๆ แน่

ก็สมเหตุสมผลดี

ไซม่อนเอื้อมมือไปหยิบที่อยู่ของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ที่ลงชื่อเอาไว้ มองที่อยู่ในนั้นอย่างชั่งใจ รู้ดีว่ามันอาจเป็นของปลอม เป็นกับดัก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไซม่อนรู้ดีว่าเขาสามารถสืบหาต่อได้จากตรงนั้น

เอาล่ะ ได้เวลาลงมือตามล่าฆาตกรต่อแล้ว





-------------------------------------------
Talk: จบไปอีกบท~ วู้ววว มีแต่เรื่องวุ่ยวายเนอะคู่นี้ 555555
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 23)(100%) P.5 [27/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-08-2017 11:36:29
ตื่นเต้น ๆ เหมือนดูหนังเลยอะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 23)(100%) P.5 [27/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-08-2017 11:45:31
ไซม่อน ฝังอกฝังใจกับออสติน
ที่เคยทำแผลให้
แต่รูปคดีที่เจอก็ทำให้พบคนที่ข่มขืนออสติน
เอ่อ......สองเรื่องพัวพันกัน
จะแยกจากกันมันก็ทำไม่ได้
ออสตินจะเข้าใจมั้ยนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 23)(100%) P.5 [27/08/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-09-2017 11:04:10

บทที่ 24




ใครบางคนมายืนอยู่หน้าบ้านผม จะใช่ไอ้คนที่วิ่งไล่ผมเมื่อคราวก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้

ระหว่างที่ผมกำลังลังเลว่าควรจะเอ่ยเรียกหรือออกตัววิ่งหนีเลยดี อีกฝ่ายก็รู้ตัวเสียก่อนว่าผมอยู่ด้านหลังเขา ชายคนนั้นเอื้อมมือลงไปที่เอว ซึ่งคงกำลังจะหยิบปืนขึ้นมาแน่ ผมตัวแข็งไปทันที

“อ้าว ออสติน” ชายคนนั้นเอ่ยเรียกอย่างงงๆ “มาซะเงียบเชียว ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง”

“ไคล์!” ผมร้องด้วยความโล่งใจทันที ก่อนจะเริ่มโวยวายใส่ “นายต่างหาก มายืนหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้ทำไมกัน ฉันนี่ใจหายวาบเลย นึกว่าไอ้บ้าที่ไหนพยายามจะเอาตัวฉันไปอีก”

อีกฝ่ายจ้องผมเขม็งกับคำพูดนั้น ผมยักไหล่อย่างเสียไม่ได้

“เอาเป็นว่า เข้ามาก่อนสิ แล้วนี่นายมานานหรือยัง ทำไมไม่โทรมา”

“บังเอิญผ่านทางเลยแวะมาน่ะ เอาพวกเบเกอรี่มาฝากด้วย ตอนแรกก็ว่าจะกลับแล้วเพราะเห็นนายไม่อยู่บ้าน”

ไคล์นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกอย่างคุ้นเคย ผมรินชาให้เขา เปิดถุงมองทาร์ตไข่ที่เจ้าตัวซื้อมาฝากพร้อมกับสโคน กลิ่นหอมของมันลอยมาแตะจมูก แต่ผมไม่มีความอยากเลย

“หน้านายดูโทรมมากเลยนะ ออสติน”

“ขอบใจ อรุณสวัสดิ์เหมือนกัน ไคล์ นายหาคำอื่นเปิดบทสนทนาดีกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่ไหม”

เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มออกมานิดหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

ผมมองมือของตัวเองที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ มันสั่นไปหมด อีกฝ่ายมองตามหน้านิ่ง

“ฉันรู้อะไรที่ไม่ควรรู้มาน่ะ”

“อะไรเหรอ”

“ก็… หลายอย่าง” ผมตอบกำกวม ยกชาขึ้นมาจิบ เฝื่อนคอชะมัด “นายคิดว่าตอนนี้คริสเป็นยังไง”

“คริสเตียนเหรอ” ไคล์ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ผมลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา แล้วก็คิดลงความเห็นว่ามันเป็นของจริง “ทำไมอยู่ๆ พูดถึงหมอนี่ขึ้นมา หรือว่าคนที่ทำคดีนี้ได้ความคืบหน้าอะไร”

“อืม จะว่างั้นก็ได้มั้ง”

“เขาว่าไงล่ะ”

ผมมองตาเขาอย่างค้นคว้า ไคล์ทำสีหน้างุนงงมาให้ผม

“อะไร ออสติน ทำไมมองฉันแบบนั้น”

“แค่อยากรู้ว่านายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่รึเปล่า”

ไคล์ทำหน้าฉงน “ฉันจะปิดบังอะไรนายทำไม เดี๋ยวก่อน นี่เรื่องของคริสเตียนใช่ไหม นายรู้อะไรมา ออสติน”

“คริสตายแล้ว ไคล์”

อีกฝ่ายเบิกตากว้างขึ้นอย่างอึ้งๆ หมอนี่ตกใจจริงๆ ไม่ได้โกหก ผมคบกันมันมานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเป็นยังไงถ้าโกหกหรือปิดบังบางอย่าง เสียดายที่ผมไม่ได้รู้จักไซม่อนนานพอที่จะจับสังเกตได้แบบนี้

“งั้นเหรอ พวกเขาเจอศพคริสเตียนแล้วเหรอ”

ผมนิ่งเงียบไป อันที่จริงก็ไม่ได้เห็นศพเต็มๆ ในวิดีโอนั่นหรอก แค่เลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วเท่านั้นเอง

แต่… หัวใจนี่ ถ้ามันเป็นของคริสจริงๆ ก็แปลว่าหมอนั่นต้องตายไปแล้วแน่ล่ะ

“นายไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกันใช่ไหม ไคล์”

“ไม่ ฉันไม่รู้เลย เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคริสตายมานานแล้ว”

“อืม” คำนวนจากช่วงเวลาหลายเดือนที่ผมได้หัวใจนี่มา ก็นานแล้วนะ “เดี๋ยววันนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล”

“อะไร” น้ำเสียงชายหนุ่มงุนงงเมื่อเห็นผมซดชาหมดรวดเดียวแล้วเดินเอาไปเก็บในครัว “นายยังจะไปทำงานอีกเหรอ ก็ไม่ใช่ว่าแค่ชั่วคราวรึไง”

“ชั่วคราวแหละ แต่ฉันต้องไปคุยกับเพื่อนฉันเรื่องหัวใจบ้าบอนี่”

“คนที่เป็นเจ้าของไข้นายน่ะเหรอ”

“ใช่”

“แล้วมันมีปัญหาอะไร”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีความลับอะไรกับเพื่อนคนนี้ แต่ตอนนี้ผมเองยังไม่แน่ใจในข้อมูลที่เพิ่งได้มา ครั้งก่อนผมก็โดนไซม่อนหลอกไปแล้วว่าหัวใจที่ได้มาเป็นของพี่ชายเจ้าตัว มาคราวนี้เขาก็เป็นฝ่ายที่เอาวิดีโอนั่นให้ดู

ผมหมายถึง… ผมเองแหละที่เป็นคนคาดคั้นเขาเรื่องนั้น แต่ผมไม่มีทางรู้นี่ว่าหัวใจที่ได้มาเป็นของคริสจริงๆ ใช่ไหม?

แต่… อะแมนด้าต้องรู้ และส่วนลึกในตัวผมก็รู้ แต่ผมจะต้องยืนยันเรื่องนี้ ให้มันเด็ดขาดกันไปข้าง

“ฉันจะบอกนาย หลังจากแน่ใจแล้วก็แล้วกัน” ผมตัดบท เดินขึ้นบ้านไปเพื่อจัดการตัวเอง ผมเสียเวลาคร่ำครวญสติแตกมาเยอะแล้วเมื่อคืน ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงเสียที





“คุณยังจะมาหาฉันด้วยเรื่องนี้อีกเหรอคะ ออสติน” นั่นคือสิ่งแรกที่อะแมนดาพูดหลังจากที่ผมเริ่มต้นสนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยค

ผมเหลือบตาไปมองที่ประตูห้อง เช็คให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาช่วงเวลานี้ หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานถอนหายใจ ยอมลุกขึ้นไปล็อกประตูออฟฟิศของตัวเองแล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม

“ฉันบอกให้คุณไปหาคนที่พอจะพูดด้วยได้บ้างแล้วนี่”

“ขอทีเถอะ อะแมนด้า คุณก็รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมเคารพคุณมาตลอด ให้เกียรติคุณ ไว้ใจคุณ คุณไม่ควรทำแบบนี้กับผม”

ท่าทีของเจ้าหล่อนดูอึดอัดขึ้นทันทีอย่างคนมีชนักติดหลัง ผมรีบรุกต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดช่องให้หล่อนหยุดคิดนาน

“คุณรู้ว่าคริสเตียนตายแล้วใช่ไหมครับ”

ใบหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือดลงอย่างน่าใจหาย นั่นประไร ถ้าเกิดว่าจี้ให้ถูกจุดล่ะก็ ต่อให้อีกฝ่ายอยากจะปกปิดหรือโกหกแค่ไหนก็ได้ได้ไม่เนียนหรอก

ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับหัวใจโดนกดทับ ผมเอ่ยปากถามต่อเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว ผมจี้มาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้

“แล้วตอนนี้หัวใจของหมอนั่นก็อยู่ในตัวผมใช่ไหม”

หญิงสาวครางออกมาอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ ราวกับความอดกลั้นทั้งหมดได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เห็นอีกฝ่ายฟุบหน้าลงไปบนฝ่ามืออย่างอ่อนล้าแล้วผมรู้สึกอยากจะครางดังๆ บ้าง

ไม่มีการพลิกผันใดๆ ในเรื่องนี้ หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียนจริงๆ ลึกๆ ลงไปแล้วผมก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไร้สาระแล้วก็ย้ำให้ผมแน่ใจ หาหลักฐานอย่างอื่นมาให้ผมว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกนี่เคยเป็นของคนอื่นมาก่อน ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คริส

“ทำไม” ผมพูดเหมือนคราง “คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ทำไมไม่บอกผมสักคำ”

“คุณไม่ควรจะรู้เรื่องนี้” หล่อนส่ายหน้า ปาดน้ำตาด้วยหลังมือ ผมเลื่อนกล่องทิชชู่ไปให้ “มันควรจะเป็นความลับ มันควรจะเป็นความลับไปตลอดกาลด้วยซ้ำ”

“แต่ผมไม่มีทางรู้ว่าคริสเตียนตายแล้ว และผมไม่ยอมแค่ลืมเรื่องของหมอนั่นไปง่ายๆ แน่”

“ถ้าแค่ทางเจ้าหน้าที่งี่เง่าพวกนั้นบอกคุณว่าคริสเตียนตายแล้ว เรื่องก็ควรจะจบแล้วแท้ๆ” แพทย์หญิงพูดอย่างอัดอั้นระคนโกรธเคือง “ทุกอย่างนี่มันวุ่นวายไปหมดเพราะพวกเขาทำให้มันเป็นเรื่องยากทั้งนั้น ถ้าแค่บอกคุณว่าคริสเตียนตายไปแล้ว เรื่องก็จบ คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องหัวใจนี่เลย ยังไงมันก็เป็นความลับทางการแพทย์อยู่แล้ว ทำไมมันถึงได้---”

“พอแล้วครับ” ผมตัดบท รู้สึกช่องท้องปั่นป่วนขึ้นมา แต่ผมก็ทำเพียงแค่ลุกออกจากเก้าอี้ “ผมจะไปหาเจ้าหน้าที่เพรซตอนแล้ว ขอบคุณมากครับที่บอกความจริงกับผม”

“คุณจะไปหาลูซี่เหรอคะ” หล่อนถามอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ ทั้งหมดที่ฉันพูดนี่ยังไม่พออีกเหรอ”

“งั้นคุณบอกผมมา อะแมนดา” ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อระคนแค้นเคือง เรื่องนี้ทำให้ผมเป็นต่อเจ้าหล่อนอยู่นิดหน่อย “คุณรู้จักเจ้าหน้าที่เพรซตอน รู้เรื่องหัวใจของผม เพราะเพรซตอนเป็นเจ้าหน้าที่ที่พบศพของคริสเตียนใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“คุณได้ดูวิดีโอนั่นรึเปล่า”

หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ไม่ตอบ ผมพยักหน้ารับแกนๆ ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ประตู ปลดล็อกมัน หากยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป เสียงเบาหวิวจากคนด้านหลังก็รั้งเขาไว้

“คุณไม่ควรดูมันเลย ออสติน ไม่ควรเลย”

ผมเห็นด้วยกับคำพูดเจ้าหล่อนสุดหัวใจเลยล่ะ







ไซม่อนโทรเข้ามือถือผมเป็นครั้งที่สิบของวัน ผมปรายตามองชื่อของเขาอย่างเย็นชาก่อนจะปล่อยมันเงียบไปเองเหมือนที่ทำเมื่อเก้าครั้งก่อน

ก้าวเท้าเข้าไปในสำนักงานที่เพรซตอนอยู่ พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่เคยพาผมไปถึงโต๊ะทำงานของเพรซตอนจำผมได้ และไม่กี่อึดใจต่อมาผมก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องสองต่อสองกับเจ้าหน้าที่คนนี้

หล่อนยกมือประสานขึ้นไว้บนโต๊ะ ท่าทางเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ทั่วไปที่กำลังจะสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ผมไม่ถือเรื่องนั้นหรอก มันอาจกลายเป็นบุคลิกที่ติดเป็นนิสัยไปแล้วของพวกตำรวจก็ได้ แต่ผมแค่สงสัยวารอบนี้ ใครจะสอบปากใครกันแน่

“ฉันอยากจะขอโทษคุณเรื่องคราวก่อนที่ขอให้คุณกลับไป ขอโทษที่ผิดสัญญากับคุณนะคะ คุณหมอการ์ดเนอร์”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” ผมว่าเสียงเรียบ ลอบมองปฏิกิริยาของคู่สนทนา “ผมรู้ว่าคุณคงขัดคำขอของไซม่อนไม่ได้ เขาขอไม่ให้คุณพูดถึงเรื่องคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนกับผมใช่ไหม”

หล่อนหายใจแรงขึ้นนิดหนึ่ง ผมอาจจะไม่ใช่คนที่จับพิรุธเก่งนะ แต่ถ้าลองมานั่งในห้องเงียบๆ สองต่อสองแบบนี้ ยิ่งอีกฝ่ายมีความรู้สึกผิดต่อผม ความอึดอัดมันจะปรากฎออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นพอๆ กับความจริงที่เพรซตอนปิดไว้

“และการที่อะแมนดาแนะนำให้ผมมาหาคุณเพื่อถามเรื่องหัวใจ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า--”

“เรื่องหัวใจนั่น มันควรจะเป็นความลับนะคะ คุณการ์ดเนอร์”

ผมยกยิ้มเหยียด “ใช่ นั่นสินะครับ คุณพูดถูก แต่เรื่องคริสเตียนเองแหละ ผมแจ้งความเรื่องหมอนั่นไปเป็นชาติ ตำรวจเองก็ตามตัวหมอนั่นเป็นปี แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็คือได้หัวใจของไอ้โรคจิตนั่นมาอยู่ในตัว คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ความจริงก็คือหมอนั่นยังไม่ตายหรอก มันอยู่ในตัวผมนี่แหละ เต้นตุบอยู่ในอกข้างซ้ายนี่ คุณรู้ไหมว่ามันให้ความรู้สึกยังไง”

“คงจะรู้สึกเหมือนอยากควักหัวใจนั่นออกมาเลยมั้ง” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายที่ผมไม่รู้จักก้าวเข้ามา ชายหนุ่มคนนั้นมีรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้า เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาชี้ไปมาไม่เป็นทรง แต่งกายสุภาพและดูไม่มีท่าทีเคร่งขรึมหรือระวังตัวแจเหมือนตำรวจทั่วไป

“คัลเลน!” เพรซตอนหันไปแหวใส่ผู้มาใหม่ สีหน้าตกใจ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาโดยพลการน่ะ แล้วนี่มาทำอะไร---”

“โว้วๆๆ ใจเย็นๆ สิครับ คุณเจ้าหน้าที่เพรซตอน ไม่เห็นต้องดุกันเลย”

“คุณเป็นใครครับ” ผมถามงงๆ หงุดหงิดไม่น้อยที่โดนขัดจังหวะ กำลังจะลากเข้าเรื่องสำคัญกับเจ้าหน้าที่สาวตรงหน้าแท้ๆ ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนรู้ทัน ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ผมเฟรดเดอริค คัลเลนครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ออสติน การ์ดเนอร์ครับ” แนะนำตัว เอื้อมมือไปจับมือเขาอย่างเสียไม่ได้ คัลเลนทำสีหน้าอย่างหนึ่งตอนได้ยินชื่อผม เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองรัวๆ

“คุณนั่นเองที่ไซม่อน---”

“คัลเลน” เพรซตอนพูดเสียงเฉียบขาด นั่นทำให้ผมหันหน้าขวับไปมองเจ้าหล่อนทันที ความสงสัยพรั่งพรูออกมา

“คุณรู้จักไซม่อนด้วยเหรอครับ แล้ว… ทำไมครับ เขาพูดอะไรถึงผม”

“อ้อ ก็… หลายอย่างครับ” คัลเลนยกนิ้วเคาะริมฝีปากอย่างยียวน ดูจากภายนอกแล้วเขาน่าจะอยู่ในช่วงกลางถึงปลายสามสิบแล้วแท้ๆ แต่ไอ้ความยียวนที่แสดงออกมานี่ยังกับเด็กวัยรุ่น “เฮ้ เพรซตอน คุณได้บอกเขาเรื่องที่เขาได้อวัยวะของคนที่ข่มขืนตัวเองไปรึเปล่า?”

“คัลเลน!”

ผมหน้าชา นึกอยากถีบผู้มาใหม่คนนี้ไปให้ไกลสุดเท้าเลย เพรซตอนพยายามดันไหล่อีกฝ่ายออกจากห้อง หากชายหนุ่มคนนั้นก้มลงไปกระซิบอะไรบางอย่างกับหญิงสาว และในที่สุดก็ออกไปด้วยกันทั้งคู่

อะไรของมันวะ…

ผมทิ้งน้ำหนักหลังลงบนพนักพิงของเก้าอี้ ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นอย่างบ้าคลั่ง ผมควักออกมา ไซม่อนโทรหาผมเป็นครั้งที่สิบเอ็ด

ผมเหวี่ยงเจ้าเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดออกอีกรอบ แต่คนที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่เพรซตอน หากเป็นเฟรดเดอริค คัลเลนที่ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าตั้งแต่ความประทับใจแรก ผมถามอีกฝ่ายทันทีอย่างอดทน

“แล้วเจ้าหน้าที่เพรซตอนล่ะครับ”

"ติดงานนิดหน่อยน่ะ พวกงานเอกสารก็วุ่นวายแบบนี้แหละ ชอบบ่นให้ฟังตลอด"

ผมหรี่ตาลงมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเห็นรอยยิ้มทะเล้นๆ ของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกได้เลยว่านั่นต้องเป็นคำโกหก ผมลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ หวังจะไปตามเพรซตอนกลับมาเหมือนเดิม หากคัลเลนคว้าข้อมือผมไว้อย่างรวดเร็ว ผมสะดุ้งเฮือก ดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมนั้นด้วยสีหน้าที่ซีดลง

"โอ้ เอ่อ โทษที" คนผมน้ำตาลอ่อนว่า ยกนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้ "กลัวการสัมผัสสินะครับ?"

"เพรซตอนไม่มีทางกลับไปทำงานเอกสารได้หรอก" ผมพูดอย่างเหลืออด "คราวก่อนหล่อนก็ผิดสัญญากับผมด้วยข้ออ้างนี้ ผมเชื่อว่าหล่อนจะไม่ทำแบบเดิม"

คัลเลนส่งยิ้มอย่างไม่อนาทรร้อนใจมาให้ เห็นแล้วแทบอยากจะกระโดดถีบกลางหน้า เผื่อรอยยิ้มกวนประสาทนั่นจะหายไปสักที

"ก็ได้ คุณการ์ดเนอร์ ผมยอมรับแล้ว ผมเป็นขอให้หล่อนไปเอง เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้มีเวลาคุยกับคุณตามลำพัง"

"ผมไม่ได้ต้องการคุยกับคุณ ผมมีธุระกับเจ้าหน้าที่เพรซตอนคนเดียว"

คัลเลนส่งยิ้มบางๆ ให้ผมเช่นเคยก่อนจะส่ายหน้า "คุณไม่เข้าใจ คุณหมอ เพรซตอนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มตัว หล่อนไม่สามารถตอบคำถามทั้งหมดของคุณได้โดยที่ไม่ทำผิดจรรยาบรรณ นั่นในกรณีที่หล่อนรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนะ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าไม่"

ท่าทีบางอย่างของเขาทำให้ผมคล้อยตามอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงเนิบๆ ที่ดูใจเย็นนั่น ท่าทีที่ดูมีลับลมคมในแต่ก็พร้อมจะเปิดใจนั่นดูขัดแย้งกันเองพิกล

"คุณเป็นใครกันแน่" ผมขมวดคิ้ว "คุณบอกว่าถ้าเจ้าหน้าที่เพรซตอนเป็นคนพูดจะผิดจรรยาบรรณ แต่ถ้าคุณพูด จะไม่ผิดงั้นเหรอครับ?"

"อ้อ ใช่ อันดับแรกเลย ผมไม่ใช่ตำรวจ ผมเป็นผู้ช่วยเท่านั้น เป็น อืม... นักจิตวิทยาล่ะมั้ง คอยวิเคราะห์ที่เกิดเหตุ วิเคราะห์ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่น ใช่ ผมไม่ใช่ตำรวจ และใช่ ผมรู้จักไซม่อน แมคแนร์ เคยทำคดีร่วมกับเขา สนิทกับเขามากกว่าที่เพรซตอนสนิทด้วย หลังๆ มานี่ผมไม่ค่อยได้ร่วมงานกับเขาเพราะมาประจำอยู่กับหน่วยของเพรซตอนแทน แต่ก็ยังนัดเจอกับไซม่อนบ่อยๆ นะ ถ้าคุณอยากรู้ และเชื่อได้เลย ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากกว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนๆ จะรู้แน่

“ส่วนเหตุผลที่ผมอยากจะคุยกับคุณเรื่องเขา หนึ่งก็คือไซม่อนเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง ผมเองก็อยากลองคุยดูว่าคุณเป็นคนยังไง สอง เพราะเรื่องคดีที่คุณมาหาเพรซตอนเกี่ยวข้องกับคุณค่อนข้างมาก แต่เพรซตอนจะตอบคำถามคุณได้ไม่หมด โดยเฉพาะกับเรื่องไซม่อนด้วยแล้ว ไม่ใช่ว่าหล่อนอยากจะปิดบังอะไรแต่หล่อนเองก็รู้ไม่หมดเหมือนกัน เอาล่ะ คุณมีคำถามอะไรอีก"

"หา?" ไอ้หมอนี่มันพูดบ้าอะไรออกมาบ้างวะเนี่ย

"เอางี้ ขอผมถามคุณดีกว่า" อีกฝ่ายยกมือขึ้นประสานตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าของเขาราวกับจะอ่านทะลุไปถึงสิ่งที่อยู่ในหัวผมได้ "คุณมาที่นี่ด้วยเรื่องของไซม่อน เฮฟเฟอร์แมน หรือว่าเรื่องหัวใจที่คุณได้ไป?"

"ผมก็มาด้วยเรื่องทั้งหมดนั่นแหละ" ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากอีกฝ่ายยกมือดีดนิ้วอย่างพึงพอใจ ทำท่าราวกับจะบอกผมว่า 'นั่นแหละ!' เพี้ยนชะมัด

"หมายความว่าคุณเจอความเชื่อมโยงในนั้นใช่ไหม ระหว่างสองคนนั่นกับหัวใจของคุณ คราวนี้ก็มาที่ตัวคุณ"

"คุณจะพูดอะไรกันแน่"

"คุณรู้จักการสะกดจิตรึเปล่า คุณการ์ดเนอร์"

คัลเลนย้อนคำถามกลับมา ผมขมวดคิ้วมุ่นนิดหนึ่งแต่ก็ยอมตามน้ำ "ก็เคยได้ยินมาบ้างครับ แต่ถ้าใช้วิธีนั้นในการสืบคดีล่ะก็ มันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ"

"แล้วแต่กรณีครับ คุณหมอ ถ้าเราใช้วิธีสะกดจิตพยานที่เห็นเหตุการณ์ล่ะก็ ทางศาลจะไม่อนุญาตให้พยานคนดังกล่าวขึ้นให้การได้ แต่การที่เราจะลงมือเสี่ยงสะกดจิตพยานสักคน เราต้องมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า การสะกดจิตเป็นภาวะหนึ่งของจิตไร้สำนึก สิ่งที่ต้องทำในขั้นตอนพวกนี้ก็คือ ทำให้คนที่เราสะกดจิตเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงจุดที่คนคนนั้นสามารถเข้าถึงทุกส่วนของจิตใจได้และดึงเอาข้อมูลที่อยู่ในนั้นออกมา ผมเคยรับอาสาสะกดจิตผู้หญิงที่ถูกข่มขืนหนึ่ง เธอสามารถบรรยายรายละเอียดของรอยสักที่อยู่บนตัวผู้ร้ายได้ละเอียดยิบเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเธอนึกอะไรไม่ออกเลยเกี่ยวกับต่อคนก่อเหตุ”

“แล้วคุณจะบอกอะไรผมกันแน่”

“ผมเคยสะกดจิตไซม่อนมาก่อน คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าอะไรอยู่ข้างในจิตใต้สำนึกของเขา”

“ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเกี่ยวอะไรกับผม” แน่ล่ะ ถ้าไซม่อนจะโดนสะกดจิตเพื่อระลึกเอาสิ่งที่เขาเห็นในที่เกิดเหตุหรืออะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรนี่

“มันเป็นเรื่องคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

“คริสเตียนฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามกลับอย่างสับสน รอยยิ้มขี้เล่นของคนตรงหน้าหายไปแล้ว “ทำไมคุณถึงใช้คำว่าคดีล่ะ”

“ก่อนที่ผมจะพูด ผมต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองรับสะกดจิตเพื่อบำบัดให้คนที่มีอาการย่ำแย่ทางด้านจิตใจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมา ถ้าเป็นเรื่องของคนไข้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพราะเรามีข้อตกลงที่ต้องดูแลความลับของคนไข้ แต่ไซม่อนไม่ใช่คนไข้ของผม เขาเป็นเพื่อนผม เขายอมปล่อยให้ผมลงไปเดินเล่นในจิตใต้สำนึกของเขา ยอมบอกความลับของเขาให้ผมฟังเพื่อที่มันจะได้ช่วยเหลือตัวเขาเอง ผมแค่ดึงเขาออกมาจากเหวอันดำมืดในจิตใจของตัวเอง คุณเข้าใจไหม และผมไม่เคยบอกสิ่งที่อยู่ในนั้นให้ใครรู้ แต่ผมจะบอกคุณ ผมคิดว่าคุณมีสิทธิ์ที่ควรได้รู้เรื่องนี้”

“ผมไม่เข้าใจ” ในหัวผมมันสับสนไปหมดแล้วจริงๆ

เฟรดเดอริค คัลเลนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ขณะพูดเสียงเรียบ

“ไซม่อนเป็นคนส่งปืนให้คริสเตียนฆ่าตัวตาย”





--------------------------------
Talk: อ้าว เดี๋ยวๆๆ ยังจะมีอะไรพลิกได้อีกเหรอ 555555
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 24)(100%) P.5 [3/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 03-09-2017 11:24:45
ยิ่งอ่านยิ่งพลิก กลัวใจคนเขียนแล้วจ้า :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 24)(100%) P.5 [3/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-09-2017 12:13:20
โอ๊ยยยย......อะไรกันนี่  ค้างงงงงง :ling1: :ling1: :ling1:

สุดๆไปเลย ออสติน ชีวิตน่ะล้มคว่ำคะมำหงายจริงๆ
มีอะไรไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเกิดกับออสตินจริงๆ

คัลเลน ฟังออสตินดีๆ อย่าไปขัดล่ะ
เขา อุตส่าห์เอาความลับของไซม่อนมาปูดให้รู้
มีแต่คนเขาปิดเงียบกัน
เพิ่งมีรายนี้เปิดให้ฟังทั้งที่ไม่ถาม เจ๋งมากๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 24)(100%) P.5 [3/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-09-2017 13:07:27
อ่านแล้วรู้สึกอยากลงไม้ลงมือ แต่ไม่รู้จะทำกับใคร... คนเขียนดีมะ หึหึ (ทำหน้าโรคจิต)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 24)(100%) P.5 [3/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-09-2017 16:38:36

บทที่ 25




ไซม่อนค่อยๆ เปิดประตูห้องของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ที่เขาตามสืบมาได้ นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองไปรอบๆ อย่างสุขุม มือทั้งสองข้างกุมด้ามปืนไว้แน่นขณะที่สอดส่ายหาใครก็ตามที่อาจอยู่ในนั้น

แต่ไม่มี นอกจากเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่จำเป็นในการดำรงชีพแล้ว ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น

เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ โทรทัศน์ ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของที่แทบไม่มีอะไรวางอยู่

เขาปิดประตูลงกลอน จากนั้นจึงเริ่มสำรวจข้าวของภายในห้องอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าเจ้าของห้องนี้มีของน้อยชิ้นเหลือเกิน เขาจึงแทบไม่ต้องเสียเวลามากเลยในการตรวจสอบสิ่งของทั้งหมด แต่น่าแปลกที่เขายังไม่เจออะไรที่ตามหา

“ฮืม” ชายหนุ่มครางในลำคอแผ่วเบา หรือว่าเขามาผิดงั้นเหรอ? หรือว่าคริสเตียนเอาของไปซ่อนที่อื่น? ไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าเขามองข้ามอะไรบางอย่างไป?

ไซม่อนเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าที่สำรวจไปแล้วรอบหนึ่งอีกครั้ง ควานหาบริเวณด้านบนตรงส่วนที่เป็นแผ่นไม้ และในที่สุดเขาก็ค้นพบว่ามีซองอะไรบางอย่างถูกแปะติดไว้บนนั้น เขาดึงออกมาเทสิ่งที่อยู่ในซองออก และเขาก็ได้เจอกับของที่กำลังตามหาเสียที

“บิงโก” ชายหนุ่มพึมพำ ดูเหมือนเขาจะติดคำนี้ไปเสียแล้ว เวลาเจอเบาะแสในคดีทีไรชอบหลุดปากทุกที เพื่อนร่วมทีมที่ทำงานกับเขาบ่อยๆ จะแซวเรื่องนี้ตลอด

ในซองที่เขาเพิ่งเทออกมามีนาฬิกาข้อมือ สร้อยคอที่มีจี้รูปดอกไม้ รูปถ่ายอีกใบ แค่นี้ทุกอย่างก็เป็นหลักฐานแน่นหนาพอที่จะเอาผิดเจ้าของห้องนี้ได้แล้ว แต่เขาจะไม่ปล่อยให้กฎหมายเล่นงานผู้ชายคนนี้หรอก บางครั้งกฎหมายก็ทำงานช้า แล้วก็ไม่เที่ยงตรงอย่างที่พวกคนใหญ่คนโตเขาโม้กัน

ใช่ และตัวเขาที่คลุกคลีอยู่ในวงในมาตลอดย่อมรู้ดี

คนผมน้ำตาลบลอนด์ผิวปากเบาๆ ขณะดึงเก้าอี้ออกมา เตรียมตัวรับมือเพื่อรอเจ้าของห้องกลับมา

ไซม่อนพลิกข้อมือดูนาฬิกา ตอนนี้ทำได้แค่ใจเย็นแล้วรอเวลาเท่านั้น





เสียงไขกุญแจห้องดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลั่นของประตูดังเอี๊ยดแผ่วเบา คนที่เพิ่งไขกุญแจก้าวเท้าเข้ามาหันไปปิดประตูลงกลอน เสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังขึ้นในความมืด และเมื่อเจ้าของห้องเลื่อนมือไปกดสวิทช์ไฟ ร่างของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับยกปืนมาทางเขาก็ปรากฎขึ้นมาให้เห็น

ชายหนุ่มผมทองชะงักไปทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจก่อนจะค่อยๆ ยกมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวอย่างรู้หน้าที่

“สายันห์สวัสดิ์ครับ คุณเฮฟเฟอร์แมน” ไซม่อนยกยิ้มประดับริมฝีปาก พยักเพยิดไปทางโซฟาที่อยู่อีกมุมของห้องเป็นเชิงให้เจ้าตัวค่อยๆ เดินไปทางนั้น “โอ๊ะโอ รบกวนหยิบปืนที่คาดอยู่บนเอวคุณออกด้วยครับ อย่าคิดว่าผมไม่ทันเห็นนะ  นั่นแหละ ทีนี้ค่อยๆ วางมันลงกับพื้นแล้วขยับตัวไปทางนั้น ขอบคุณครับ”

เขาหยิบปืนของคริสขึ้นเหน็บไว้ที่เอวอย่างคล่องแคล่ว ขยับปืนให้อีกฝ่ายเดินไปนั่งลงบนโซฟา ส่วนตัวเองหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม ขยับมันให้หันหน้าเข้าหาคู่กรณี

คริสเตียนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง เหลือบมองตราตำรวจที่เหน็บอยู่ที่เอวของอีกฝ่ายก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ผมต้องการทนาย”

ไซม่อนเปิดปากหัวเราะ คริสเตียนส่งสายตาพิศวงมาให้เขา และเมื่อคนผมทองทำท่าจะขยับตัว ไซม่อนก็กระชับปืนในมือแล้วจ่อเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น

“คุณขยับตัวอีกทีเดียว ลูกตะกั่วได้เข้าไปอยู่ในหัวแน่ๆ ช่วยตระหนักไว้หน่อยนะคุณฆ่าพี่ชายผมไป ต่อให้ผมเป็นตำรวจที่ดีเลิศแค่ไหนผมก็คงไม่ยกโทษให้คุณง่ายๆ แน่”

“นาย…” คริสเตียนเอนหลังลงไปพิงกับพนักโซฟาตามเดิม ไซม่อนสังเกตเห็นความหวาดกลัวที่อยู่ในแววตาอีกฝ่ายได้ แต่คนผมทองก็กลบเกลื่อนมันได้ไม่เลว คริสยกมือขึ้นกุมหัวนิดหนึ่ง ทำท่าเหมือนคิดหนัก ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วชี้ไปที่หน้าของไซม่อน “แมคแนร์จากเอฟบีไอสินะ”

ไซม่อนหรี่ตาลงนิดหนึ่งอย่างระมัดระวัง จำเลยของเขามีท่าทีผ่อนคลายลง มันเป็นสัญญาณง่ายๆ ของคนร้ายที่อยากให้คู่กรณีตายใจ แต่เขาไม่หลงกลหรอก

“น้องชายของแบรด แมคแนร์” คริสเตียนพยักหน้าเนิบๆ ราวกับกำลังทำความเข้าใจ รอยยิ้มเสแสร้งบนมุมปากทำให้ไวม่อนกระชับปืนในมือมากขึ้น “ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมรู้สึกคุ้นๆ แต่เอ… ตอนที่ผมตามสะกดรอยเขาไม่ยักกะเห็นวี่แววของคุณเลยนี่นา ไม่ค่อยถูกกันเหรอ”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

คริสเตียนหันมายิ้มกว้างให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม “ทะเลาะกันมาล่ะสิ”

“คุณเห็นปืนในมือผมรึเปล่า?”

“ขอที คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์ ถ้าคุณคิดจะยิงล่ะก็ คุณยิงตั้งแต่วินาทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องแล้ว”

“อย่ามั่นใจนัก คริส ผมไม่ใจดีแบบนั้นหรอก”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม”

ไซม่อนโยนแผ่นซีดีซึ่งอยู่ในกล่องลงบนโต๊ะ คริสเตียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน ไซม่อนส่งสัญญาณมาให้ คริสเตียนจึงลุกขึ้นไปใส่มันลงในเครื่องเล่นที่ต่อกับทีวีโดยมีปากกระบอกปืนเคลื่อนตามอยู่ด้านหลัง

คริสเตียนมองสิ่งที่อยู่ในนั้น เป็นวิดีโอที่อยู่ในรถคันหนึ่ง รออยู่ไม่กี่วินาทีภาพตอนที่เขาถลาออกมาจากร้านหลังจากที่ยิงซาร่า คาร์ลก็ปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอ ไซม่อนลอบมองปฏิกิริยาเฉยเมยของคริสเตียน อีกฝ่ายหันกลับมามองเขาอย่างสนเท่ห์ก่อนจะว่า

“นี่เหรอดีสุดที่คุณทำได้ ภาพมันแตกเป็นพิกเซลจนมองอะไรไม่ออกเลยด้วยซ้ำ”

ไซม่อนโยนแผ่นกระดาษที่เป็นใบหน้าของชายในวิดีโอซูมขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจน และนั่นก็เป็นหน้าของคริสไม่ผิดแน่ คนผมทองหน้าซีดลงทันที

“โอ๊ะโอ”

“และถ้าคุณยังไม่รู้นะ คริส ผมจะส่งวิดีโอนี้ให้ออสติน การ์ดเนอร์”

เป็นครั้งแรกที่คริสเตียนมีปฏิกิริยารุนแรงขึ้นมา เขาดูเกรี้ยวกราดและหวาดกลัวพร้อมๆ กันขณะถามกลับอย่างเสแสร้ง

“ออสตินมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ไม่ทราบ”

“ขอที เลิกเล่นละครได้แล้ว ผมสืบมาหมดแล้วว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร… ออสติน การ์ดเนอร์ใช่ไหม คุณต้องการหาหัวใจไปให้เขา”

“นั่นคุณพูดเอง”

“เหยื่อสามคนของคุณมีหมู่เลือดเดียวกัน เป็นผู้ลงชื่อบริจาคอวัยวะเหมือนกัน และทั้งหมดอยู่ในโครงการโอดีอาร์ซึ่งโรงพยาบาลที่รับไข้ออสตินใช้บริการอยู่ด้วย”

“ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงๆ นะ ทำไมคุณไม่จับผมไปโรงพักแล้วเรียกทนายมาให้ผมล่ะ”

ไซม่อนนิ่งไป และเหมือนคริสเตียนจะเดาได้ว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มตรงหน้าคิดอะไรอยู่

“อยากฆ่าผมมากกว่าเหรอ” คนตรงหน้าเหยียดยิ้มให้ “งั้นก็เอาเลย แมคแนร์ แต่จำไว้นะว่าเมื่อคุณลั่นไกเมื่อไหร่ อาชีพของคุณก็จบลงเท่านั้น”

หมอนี่คิดว่าเขาสนเรื่องพรรค์นั้นเหรอ

“คุณเป็นคนที่ลักพาตัวออสตินไปเมื่อปีก่อน”

“แล้วไงครับ” เลิกคิ้วให้อย่างท้าทาย

“คุณขืนใจเขา คริสเตียน”

อีกฝ่ายจ้องลงบนปากกระบอกปืนที่ชี้มาที่ตัวเอง “งั้นแปลว่าคุณก็แค้นผมเพราะเรื่องนั้น”

ไซม่อนไม่ตอบ

“คุณชอบเขางั้นสิ?”

“ผมว่าเรามาทำให้เรื่องนี้จบกันดีกว่า” ไซม่อนว่า ขยับปืนไปทางขมับของอีกฝ่าย คริสยกมือขึ้นห้าม สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มซีดเผือดลง

ไซม่อนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามถ่วงเวลา แต่เขาก็ยอมให้คริสทำแบบนั้น บางที… เขาเองก็อาจจะอยากถ่วงเวลาด้วยเหมือนกัน

“คุณจะฆ่าผมแบบนี้ไม่ได้นะ”

“ผมไม่คิดแบบนั้นแฮะ”

“คุณเป็นตำรวจ… และถ้าคุณฆ่าผม คุณก็จะกลายเป็นฆาตกรไม่ต่างจากผม”

ไซม่อนยิ้มเหยียด "ผมไม่อยากให้คนที่ลงมือข่มขืนแฟนเก่าของตัวเองแล้วก็ฆ่าคนไปสามคนมาพูดจาแบบนั้นใส่หรอก"

“คุณต้องการอะไร… บอกผมสิ”

"งั้นคุณไปสารภาพกับออสตินเลยเป็นไงครับ? บอกเขาตรงๆ ว่าคุณทำอะไรลงไปบ้าง"

คริสเตียนหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่เขา ก่อนจะพูดเสียงเย็น “ไม่… ออสตินจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ ผมตั้งใจหาหัวใจให้เขา แต่เขาไม่จำเป็นต้องรู้”

“คุณฆ่าคนเพื่อเขา” ไซม่อนแก้ “เขาคงดีใจน้ำตาไหลแน่ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะ คริส ผมจะส่งของพวกนี้ไปให้เขา อีกไม่นานออสตินจะต้องรู้แน่ว่าคุณทำอะไรลงไปบ้าง”

คริสเตียนหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นสิ่งของสามอย่างที่เขาเก็บเอาไว้อยู่ในซองพลาสติกใส เจ้าตัวกัดฟันกรอด

"เอาของพวกนั้นคืนมาให้ผม"

"ผมไม่เห็นเข้าใจเลย คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน ของที่คุณเอามาจากผู้ตายไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมาย และเท่าที่เห็น คุณก็ไม่ได้ฆ่าคุณเพราะเงิน แต่คุณก็ยังเก็บของพวกนี้มา และมันก็กำลังผูกมัดตัวคุณเอง"

คริสเตียนนิ่งไป เขาเก็บของมีค่าทุกทางจิตใจของผู้ตายมาไม่ใช่เพราะมันเป็นของที่มีราคาอะไร มันแค่เป็นจุดเล็กๆ อะไรบางอย่างที่อยู่ในใจเขา จุดสีดำที่เปื้อนมาตั้งแต่เยาว์วัย เขาที่เคยถูกพรากของมีค่าหลายอย่างในชีวิต อย่างสุนัขที่เขาเคยเลี้ยงเอาไว้อย่างดี วันหนึ่งพ่อของเขากลับยกมันให้กับใครบางคนเพื่อแลกเศษเงินเพียงน้อยนิด ของเล่นชิ้นโปรดที่พี่ชายซึ่งเป็นลูกคนละแม่ช่วงชิงไป และต่อให้เขาจะพยายามบอกพ่อกับแม่และเรียกร้องมันกลับคืนก็ไม่เคยมีใครสน

หรือแม้แต่ความรักของออสตินที่เขาควรจะได้… ของสำคัญที่ถูกพรากไปโดยที่เขาไม่เต็มใจพวกนั้น

แค่เพราะจุดเล็กๆ นั่นกลับทำให้เขารู้สึกต้องการช่วงชิงของมีค่าของใครคนอื่นบ้างแบบไม่ทันรู้ตัวเลย

หากยามที่เขาตอบ คริสเตียนกลับยกยิ้มที่มุมปากแล้วพูดเฉไฉไป

"ก็แค่ของที่ระลึกน่ะ คุณเจ้าหน้าที่ ระหว่างเหยื่อกับฆาตกรน่ะ มันเป็นความผูกพันธ์รูปแบบหนึ่ง เหมือนมีสายสัมพันธ์บางๆ ที่มองไม่เห็นอยู่ อืม... ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าล่ะมั้ง แต่พูดไปคุณคงไม่เข้าใจ"

"งั้นคุณคงอยากไปหาเพื่อนเก่าแล้วสิ"

"อย่างเช่นพี่ชายคุณใช่ไหม"

"คุณคิดว่าผมไม่กล้ายิงจริงๆ สินะ"

คริสเตียนสูดลมหายใจแรงๆ ทีหนึ่ง "แมคแนร์… ฟังนะ"

“ไม่ คุณต่างหากที่ต้องฟัง หันหลังไป สองมือไพร่หลัง”

คริสเตียนถอนหายใจออกมาเสียงเบาขณะทำตามคำสั่ง เขารอให้อีกฝ่ายสับกุญแจมือลงบนข้อมือเขา ในหัวพยายามนึกหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงนี้ หากยังไม่ทันได้คิดอะไรน้ำหนักของวัตถุบางอย่างก็กระแทกลงที่ท้าทอยเขา ไซม่อนมองร่างของอีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า

เขาไม่คิดจะจับกุมคริสเตียนแต่แรกอยู่แล้ว

.
.
.
.
.
(50%)





-------------------------------
Talk: ทำไมพระเอกหนูดาร์คจังคะ ใครก็ได้บอกที - -;;;;
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 25)(50%) P.5 [8/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 10-09-2017 15:45:11

[ต่อ]




คริสเตียนไม่รู้ว่าเขาอยู่ในสถานที่ปิดตายแห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว พื้นคอนกรีตเย็นเฉียบทำให้เขาห่อไหล่ลงยกแขนขึ้นกอดอกเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย แม้แต่ผนังที่เขาพิงอยู่ด้านหลังก็เย็นยะเยือกพอๆ กัน เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากภายนอกเรียกให้ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมามองด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้ดีว่าคนที่อยู่ข้างนอกเป็นใคร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“นี่ แมคแนร์” คริสตะโกนขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆ หย่อนถุงอาหารที่เอามาให้เขาประทังชีวิตผ่านช่องที่อยู่บนประตูโลหะ มาลองคิดดูตอนนี้แล้ว อยู่แบบนี้ก็ไม่ต่างจากอยู่ในคุกเลยแฮะ แต่เขาแค่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เอาเขาเข้าคุกไปอย่างเป็นทางการให้เสียรู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องลำบากมาคอยส่งน้ำส่งข้าวแบบนี้ “นายจะขังฉันไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหนวะ ทำแบบนี้มันช่วยให้นายสะใจมากขึ้นเหรอ”

คนที่อยู่หลังประตูหัวเราะในลำคอ “คุณรู้ไหมว่าส่วนที่ง่ายที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร”

คริสเตียนเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบ

“มันง่ายตรงที่ว่าคุณคือผู้ร้ายที่พยายามหลบหนีจากตำรวจมาตลอด เพราะงั้นการที่คุณหายตัวไปแบบนี้ย่อมไม่มีใครนึกสงสัยอยู่แล้วยังไงล่ะ”

“ทำไมนายไม่ฆ่าฉัน” เขาถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “นายตั้งใจจะทำแบบนั้นแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ”

แล้วก็อย่างที่ไซม่อนพูด ถึงยังไงเสียเขาก็เป็นคนที่คอยหลบหนีมาตลอดอยู่แล้ว และการที่อีกฝ่ายจับเขามาในที่รกร้างซึ่งปราศจากผู้คนแบบนี้ได้ แค่ฆ่าเขาแล้วปล่อยศพเอาไว้แบบนั้นก็สิ้นเรื่อง อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่คริสคิดจะทำถ้าเขาอยู่ในฐานะของไซม่อนล่ะนะ

เสียงหัวเราะหยันๆ ดังมาให้ได้ยินอีกระลอก “คงเพราะเลือดคุณมันสกปรกเกินกว่าที่ผมจะยอมให้เปื้อนมือได้มั้งครับ”

“โห ซึ้งใจจังว่ะ” พูดพลางถีบประตูแรงๆ รอบหนึ่งอย่างหัวเสีย อย่าให้เขาหาทางออกไปได้นะ… “แล้วนี่ยังไง จะกักขังหน่วงเหนี่ยวกันไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหน หา? นี่คือการแก้แค้นของนายงั้นเหรอ”

“ผมจะไม่ฆ่าคุณหรอก คริสเตียน วางใจเถอะ” น้ำเสียงนั้นสงบเยือกเย็นจนคนฟังนึกหวั่นใจ

“หมายความว่ายังไง”

“ผมส่งของสามอย่างนั่นไปให้ออสตินแล้วนะ”

“บัดซบเอ๊ย!” พูดพลางถีบประตูแรงๆ อีกรอบอย่างอัดอั้น ดวงหน้าขาวแดงก่ำไปหมดอย่างแค้นเคืองคนที่จับเขามาขังไว้ที่นี่ “แกบ้าไปแล้วเหรอไงวะ! ถ้าออสตินรู้ว่า--”

“อ้อ เขาต้องรู้แน่ล่ะ สักวัน อีกไม่นานหรอก และคุณก็ต้องเป็นคนบอกเขา”

“ฉันไม่บอก”

เสียงจากคนข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“ออสตินกำลังจะตาย”

คนผมทองชะงักกึกไปทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง แค่ได้ยินว่าชายหนุ่มผมเทาคนนั้นกำลังจะตาย ร่างกายของเขาก็สะท้านไปหมดด้วยความหวาดหวั่นแล้ว

คริสเตียนยกมือขึ้นมากอดแขนโดยไม่รู้ตัวขณะทรุดนั่งลงไปกับพื้นอีกครั้งอย่างหมดแรง

“ไม่จริง…” เขาพึมพำ ก้อนเนื้อบนอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

เขาพยายามมาตลอดเพื่อหาหัวใจให้กับชายคนนั้น ชายผู้เป็นที่รักของเขา แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาติดแหงกอยู่นี่ขณะที่ออสตินกำลังจะตาย

เขาต้องออกไปจากที่นี่… เขาต้องออกไปแล้วหาทางเอาหัวใจของใครก็ตามมาให้ออสติน

“ปล่อยฉันออกไป!”

“ปล่อยให้คุณไปฆ่าคนบริสุทธิ์อีกงั้นเหรอ ผมว่าไม่ล่ะ นี่ คุณอยากช่วยออสตินหรือเปล่า คริส คุณอยากให้เขาตายหรือเปล่า”

“ไม่!”

“ผมมีวิธีดีๆ มานำเสนอล่ะ แต่จริงๆ ผมว่าคุณอาจจะเคยแอบคิดถึงมันอยู่บ้างก็ได้”

คนผมทองขมวดคิ้วขึ้นอย่างฉงน ก่อนจะไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อมีถุงผ้าหล่นตุ้บลงมาทับลงบนถุงอาหารที่ไซม่อนหย่อนลงมาก่อน เขาลุกขึ้นไปหยิบมันมาเปิดดู มีกล้องวิดีโออยู่ด้านในพร้อมกับอุปกรณ์ที่พ่วงมากับมัน เรียกได้ว่าพร้อมใช้งานเสร็จสรรพ

“คุณตั้งใจจะทำอะไรเนี่ย?”

“ผมเหรอ? ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ คริสเตียน คุณต่างหากต้องเป็นคนลงมือทำ ก่อนอื่นนะครับ ขอให้ผมยืนยันอะไรกับคุณก่อน คุณรู้รึเปล่าว่าตัวเองกรุ๊ปเลือดอะไร คุณเฮฟเฟอร์แมน”

คนผมทองชะงักไปทันที ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว แต่การที่โดนอีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้น มันเริ่มทำให้หัวของเขาปั่นป่วน

“ไม่…” คริสเตียนสำลักคำพูดนั้นออกมาอย่างยากเย็น หากคนที่อยู่หลังประตูกลับหัวเราะในลำคอราวกับเยาะเย้ยเขา

“ให้ผมเดานะ”

“หยุดนะ”

“คุณกรุ๊ปเลือดเดียวกับออสติน”

“ผมไม่เล่นเกมบ้าๆ นี่ของคุณหรอก”

“คุณคิดว่านี่คือเกมเหรอ”

“ปล่อยผมออกไป!”

“ฟังให้ดีๆ นะ เฮฟเฟอร์แมน” น้ำเสียงนั้นเฉียบขาดและเย็นเยียบอย่างน่าขนลุก “ผมไม่ปล่อยคุณไปฆ่าใครเพื่อหาหัวใจให้ออสตินหรอก แต่ผมก็รู้ว่าคุณไม่อยากปล่อยให้ออสตินตาย ถูกไหม”

“ผมไม่เข้าใจ” น้ำเสียงเขาอึกอัก ไซม่อนเชื่อว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีเชียวล่ะว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่

“หลังจากนี้ผมจะส่งปืนให้คุณ คริสเตียน ในนั้นมีกระสุนแค่นัดเดียว แค่นัดเดียวเท่านั้น คุณอาจจะพยายามใช้มันในการออกมาจากห้องนั้นก็ได้ แต่คนฉลาดอย่างคุณน่าจะรู้ดีว่าผมจะไม่ปล่อยให้คุณหนีไปง่ายๆ แบบนั้นแน่ ส่วนเรื่องกล้องนั่น… อืม ผมรู้ดีว่าคุณไม่เคยลงทะเบียนบริจาคอวัยวะร่างกายมาก่อน เพราะงั้นถ้าคุณอยากทำให้มันง่ายขึ้น บางทีคุณอาจจะข้อความบอกไว้ในวิดีโอนั้นได้”

“คุณคิดว่าผมจะยอมทำตามแผนโง่ๆ นี่ของคุณจริงๆ งั้นเหรอ”

“ผมไม่ใช่คนตัดสินเรื่องนั้นหรอก คริสเตียน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ “คุณต่างหากที่จะเป็นคนตัดสินทุกอย่าง คิดดูให้ดีแล้วกัน คุณอยากให้ออสตินตายจริงๆ หรือเปล่า คุณพยายามมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ อยากให้มันจบลงแค่นี้จริงๆ เหรอ?”

คริสเตียนไม่ตอบ เขาเงียบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ไม่กี่อึดใจต่อมาปืนกระบอกหนึ่งก็ถูกหย่อนลงมาจากช่องบนประตูนั้น มันกระแทกลงบนถุงที่ใส่กับข้าวของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาถือในมือ ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ด้านนอกเดินจากไป

ไอ้ระยำเอ๊ย… จะบ้าหรือไงวะ มาบอกให้เขาฆ่าตัวตายเพื่อเอาหัวใจให้ออสตินงั้นเหรอ ถึงเขาจะรักชายคนนั้นมากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่คิดจะสละชีวิตตัวเองให้หรอกนะ

แต่… ออสตินกำลังจะตายงั้นเหรอ นั่นสินะ ตั้งแต่ที่อาการหัวใจวายเฉียบพลันของเขากำเริบขึ้นก็ผ่านมานานมากแล้ว และถ้าเจ้าตัวไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเร็วๆ นี้ล่ะก็… ออสตินต้องตายจริงๆ แน่

ไม่นะ… แบบนั้น

ไม่ยุติธรรมเลย เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยออสตินแท้ๆ เขากำลังจะทำได้สำเร็จอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะโดนไอ้โรคจิตนั่นจับมาขังแบบนี้ล่ะก็…

“แฮ่ก…” คริสเตียนได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังขึ้น มันขาดเป็นห้วงๆ ด้วยความสับสนและร้อนรุ่ม มือที่จับด้ามปืนอยู่เริ่มลื่นเพราะชื้นไปด้วยเหงื่อ

เอาจริงเหรอ… เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?

เขาอยากจะอยู่กับชายหนุ่มคนนั้น อยากจะช่วยหาออสตินหาหัวใจดวงใหม่เพื่อให้เจ้าตัวอยู่กับเขาไปนานๆ แท้ๆ แต่หมอนั่นกลับบอกให้เขาเอาหัวใจให้ออสตินเนี่ยนะ…

ไม่ เขาจำเป็นต้องทำแบบนั้นเสียหน่อย เขาแค่ต้องหาหัวใจของใครสักคนไปให้ชายผมเทาคนนั้นก็เท่านั้นเอง เขาเกือบจะทำได้แล้ว ไม่จำเป็นต้อง…

นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดกลับไปมองกระเป๋าที่ใส่กล้องเอาไว้อีกครั้ง เดินไปหยิบมันขึ้นมาโดยที่ในหัวไม่ได้ประมวลผลอะไร

เขาเปิดมันขึ้นมาเพื่อดูว่ายังใช้งานได้หรือไม่ จากนั้นก็หันไปที่กระบอกปืนซึ่งวางอยู่บนพื้นที่เขาวางไว้เมื่อกี้

คริสเตียนปล่อยให้ความเงียบครอบงำเขา ได้ยินเสียงตีกันในหัววุ่นวายไปหมด เขาโดนปั่นประสาทเต็มรูปแบบแล้ว ชายหนุ่มตระหนักถึงเรื่องนั้นได้ แต่เขาก็ไม่สามารถลบมันไปจากหัวได้

ออสตินกำลังจะตาย

เป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเขาตอนนั้น

ไม่… เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นตายหรอก ไม่ใช่แบบนี้ ถึงยังไงซะต่อให้เขาไม่ทำแบบนี้ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็คงจะหาวิธีฆ่าเขาอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจปล่อยให้เขาตายอยู่ในนี้ก็ได้

แต่ตอนนี้เขามีโอกาส… มีโอกาสที่จะได้สื่อสารกับออสตินอีกครั้ง และจริงๆ แล้ว… เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียอย่างเดียวด้วย

เขามีชีวิตต่อไปได้… มีชีวิตอยู่ในร่างของออสติน การ์ดเนอร์

“อ่า” เจ้าตัวครางออกมาเสียงเบา ในหัวนึกถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูดกับชายคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นคริสเตียนก็ยกมุมปากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว

เขาหยิบกระบอกปืนขึ้นมาถืออีกครั้งหลังจากที่คิดว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว





-------------------------------
Talk: ออสสติน โสดไหมลูก ดูเป็นทางเลือกที่ดีสุดล่ะ ถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 25)(100%) P.5 [10/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-09-2017 17:22:29
มันช่างยากยิ่งสำหรับคริส ที่จะตัดสินใจ
เพราะเป็นทางเลือกที่มีชีวิตตัวเองไปเกี่ยวด้วย
ใจน่ะอยากให้ออสตินมีชีวิตต่อไป
เลยพยายามหาหัวใจใหม่ให้

แต่ตัวเองมาถูกไซม่อนจับขังซะอีก
ทางเลือกอีกทางที่ไซม่อนชี้แนะ ก็ไม่ออกไปจากสมองซะด้วย
แล้วที่สุดคริสก็เลือกให้ออสตินมีชีวิตต่อ

ไซม่อนสุดยอด ยิงนกทีเดียวได้สองตัว
คริสที่ข่มขืนออสตินตาย
แล้วออสตินได้หัวใจ
แต่เมื่อออสตินรู้มันคงไม่ง่ายดายแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 25)(100%) P.5 [10/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-09-2017 19:04:05
ชักจะเห็นด้วยกับทอล์คของคนเขียนละค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 25)(100%) P.5 [10/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 10-09-2017 19:36:34
ไซม่อนกับด้านมืดของเขา.. :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 25)(100%) P.5 [10/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 11-09-2017 01:01:26
อ่านแล้วลุ้นตลอดอ่ะ ดูแล้วไซม่อนก็จิตๆเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 25)(100%) P.5 [10/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 15-09-2017 16:23:27

บทที่ 26




ผมนั่งเหม่อมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ราวกับว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ตัวหนังสือผุดขึ้นมาบนหน้าจอได้

หลายวันที่ผ่านมานี้ผมพยายามหลบหน้าไซม่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มคนนั้นส่งข้อความมาหาบ้าง โทรศัพท์มา หรือแม้แต่บุกมาถึงที่บ้านเลยก็มี แต่ผมไม่ได้เปิดรับเขาแล้วแกล้งทำเป็นไม่อยู่บ้านแทน

แต่สองวันที่ผ่านมานี่ไซม่อนไม่ติดต่ออะไรมาเลย อาจจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคอยตามตื๊อผมแบบนั้น ผมเกลียดพวกชอบตื๊อ และสิ่งที่เขาทำช่วงที่ผ่านมาทำให้ผมนึกถึงคริสเตียนขึ้นมา และนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย

มือของผมเลื่อนไปจับเสื้อที่บริเวณอกด้านซ้ายอย่างเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับงานตรงหน้าแล้ว จมดิ่งเข้าไปในห้วงความคิดของตัวเองอย่างที่เป็นช่วงนี้บ่อยๆ นึกถึงสิ่งที่เฟรดเดอริค คัลเลนเล่าให้ฟังเกี่ยวกับไซม่อน แต่แล้วผมก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงกดออดที่หน้าประตู

ผมชะเง้อมองไปทางหน้าต่างเพื่อดูว่ารถของไซม่อนจอดอยู่ที่หน้าบ้านหรือเปล่า แต่รถที่อยู่หน้าบ้านตอนนี้ไม่ใช่ของหมอนั่น

ผมเดินไปเปิดประตู เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแดนกับแองเจลีนยืนอยู่ที่หน้าประตู เด็กชายที่สูงประมาณเอวผมเท่านั้นฉีกยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเริงร่าแบบเด็กๆ

“สวัสดีครับ คุณน้าออสติน ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันนะคะ คุณการ์ดเนอร์” หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น ความสูงของหล่อนทำให้ผมตะลึงไปครู่หนึ่ง ผมเคยเห็นหล่อนจากในกล้องและในรูปภาพก็จริง แต่ไม่เคยได้มาเจอตัวเป็นๆ แบบนี้ แองเจลีนสูงกว่าผมไปพอสมควรเลย “แต่พอดีว่าแดนงอแงอยากจะมาเจอคุณให้ได้ แล้วฉันก็เห็นว่าไซม่อนกับแดนเคยมารบกวนไว้หลายครั้งแล้วเลยซื้อขนมมาฝาก”

“ไม่น่าลำบากเลย แต่ก็ขอบคุณมากครับ” ผมว่า ขยับตัวเข้าด้านในแล้วเปิดประตูออกกว้างขึ้น “เชิญเข้ามาก่อนเลยครับ”

ผมเข้าไปในครัว ตั้งเตาเพื่อต้มน้ำ เตรียมชาใส่กาก่อนจะยกออกไปเสิร์ฟบนโต๊ะ ขนมที่แองเจลียเอามาให้ถูกนำออกมาวางเรียงอยู่แล้ว

แองเจลีนบอกให้แดนไปนั่งเล่นแถวๆ โซฟาหน้าทีวีก่อน จากนั้นเจ้าหล่อนจึงเริ่มประสานมือเข้าไว้ด้วยกัน บรรยากาศที่บอกว่าอยากจะคุยเรื่องจริงจังฉายชัดทันที

“คือ… ขอบคุณก่อนหน้านี้มากนะคะที่ช่วยดูแลแดน คุณการ์ดเนอร์”

“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องทางการนักก็ได้ แล้วก็เรียกผมว่าออสตินเถอะ”

“ตกลงค่ะ แล้วช่วงนี้คุณกับไซม่อนเป็นยังไงบ้างคะ”

ผมชะงักมือที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจรดปากไปนิดหนึ่ง จากนั้นจึงยักไหล่

“ก็… ไม่ค่อยดีมั้งครับ”

“พวกคุณสองคนทะเลาะกันอยู่จริงๆ ด้วยสินะคะ”

ทะเลาะเหรอ ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้คำว่าทะเลาะได้ไหม ดูเหมือนมันเกินคำนั้นไปมากแล้วนะ

“แต่พวกคุณยังไม่ได้เลิกกันใช่ไหมคะ ฉันหมายถึง… มันเป็นเรื่องปกติที่คู่รักจะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องเลิกกันนี่”

“แค่ก” ผมสำลักออกมานิดหนึ่งด้วยความคาดไม่ถึง แองเจลีนมีสีหน้าตกใจ กระวีกระวาดส่งทิชชู่แผ่นหนึ่งให้ ผมรับมาซับมุมปากเบาๆ ก่อนจะถามกลับตะกุกตะกัก

“ไซม่อนบอกคุณเหรอครับ?”

“เอ่อ ค่ะ ขอโทษนะคะ เป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้หรือเปล่า?”

“ไม่ๆๆ ผมแค่…” ผมโบกมือกลางอากาศ “แบบ… ผมไม่ค่อยมีใครให้บอกเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองเท่าไรน่ะครับ เลยลืมนึกไปว่ามันก็ปกติอยู่แล้วที่จะเล่าให้ใครต่อใครฟัง”

“ครอบครัวของคุณไม่ยอมรับเรื่องนี้เหรอคะ”

“อ้อ เปล่าครับ เพียงแต่ตอนนี้ผมมีครอบครัวแค่คนเดียว แถมอยู่ต่างประเทศด้วย เพื่อนก็ไม่ได้มีเยอะอะไร”

แองเจลีนพยักหน้ารับทีหนึ่ง “แล้ว… ตกลงพวกคุณยังไม่ได้เลิกกันใช่ไหมคะ?”

“เอ่อ” จะว่ายังไงดีล่ะ ก็ถ้าให้พูดกันอย่างเป็นทางการก็ยังไม่ได้บอกเลิกกันหรอก แต่เจอเรื่องขนาดนี้เข้าไปแล้วจะยังถือว่าคบกันได้อยู่อีกเหรอ? “ก็… ยังมั้งครับ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก”

“อ้าว” หล่อนอุทานออกมาอย่างตกใจระคนผิดหวัง “ทำไมล่ะคะ คุณไม่รักเขาแล้วเหรอ”

อืม… ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นเรื่องนี้ไปได้ล่ะเนี่ย

“ไซม่อนขอให้คุณมาช่วยโน้มน้าวผมเหรอครับ? ให้ผมยกโทษให้เขา?”

“อุ๊ย ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ไซม่อนไม่ได้บอกอะไรฉันเลยเรื่องที่เขาทะเลาะกับคุณ”

ผมมองหล่อนเป็นเชิงถาม แองเจลีนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะว่า

“ฉันสังเกตจากท่าทีเขาตอนมาหาแดนที่บ้าน่ะค่ะ ดูไม่ค่อยร่าเริงเลย ฉันถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกฉันว่าไม่มีอะไร ฉันก็เลยเดาไปเองว่าคงเป็นเรื่องความรัก เพราะถ้าเป็นเรื่องงานละก็ เขาบอกฉันประจำแหละค่ะ”

“คุณสนิทกับเขาพอสมควรสินะครับ”

“ค่ะ ฉัน แบรด แล้วก็ไซม่อน พวกเราสนิทกันมาก”

คำพูดนั้นทำให้ผมปวดหนึบในใจขึ้นมา ถ้าหล่อนรู้ว่าสาเหตุการตายของสามีหล่อนมาจากไหนล่ะก็…

“ไซม่อนเล่าให้ฉันฟังทุกเรื่องแหละค่ะ” นัยน์ตาคู่สวยของเจ้าหล่อนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นทะเลได้ เป็นมุมที่ผมชอบเสมอล่ะ “เรื่องที่ทำงาน เรื่องคดี… เอ่อ เขาไม่ได้ลงรายละเอียดที่บอกคนนอกไม่ได้หรอกนะคะ แต่เขาเป็นเพื่อนคุยที่ดีมาก เข้าอกเข้าใจคนอื่นเสมอ ยิ่งหลังจากที่แบรดตายแล้ว… เขาก็ยิ่งดูแลทั้งฉันและแดนดีขึ้น”

ผมพยักหน้ารับเรียบๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะคิดยังไงกับเรื่องความสัมพันธ์ของไซม่อนกับแองเจลีนดี แต่ที่แน่ๆ ผมสงสัยเรื่องตัวไซม่อนเองมากกว่า

“คุณคิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ”

“อะไรนะคะ”

“ไซม่อนน่ะ คุณคิดว่าเขาเป็นคนดี เข้าอกเข้าใจคนอื่น แล้วก็คอยดูแลเอาใจใส่ทุกคนอย่างนั้นเหรอ”

แองเจลีนชะงักไปนิด หล่อนวางถ้วยชาลงบนจานรองก่อนจะรีบพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“ออสตินคะ ฉันรู้ว่าคุณอาจจะยังโกรธไซม่อนอยู่ แต่ทั้งฉันและคุณต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี”

ผมยิ้มเหยียด และนั่นคงชัดเจนไปหน่อยเพราะสาวเจ้าผงะไปทันที

“คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอคะ?”

“ผมคิดว่าคนเรามีหลายด้านครับ คนบางคนก็เก่งที่จะซ่อนด้านที่แย่ที่สุดของตัวเองไว้”

แองเจลีนขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น สีหน้าเจ้าหล่อนเคร่งเครียดจริงจังทีเดียว

“ฟังนะ ออสติน ฉันไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมา แต่บางทีคุณอาจเข้าใจผิด--”

“หรืออาจจะถูกครับ ไม่รู้สิ ผมไม่รู้หรอกว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือเปล่า เขาโกหกผมมาหลายเรื่องมาก แองเจลีน และเขาอาจจะโกหกคุณอยู่ก็ได้”

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกยาวทีหนึ่ง ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมคุณต้องปกป้องเขาขนาดนั้นด้วยครับ”

“ฉันแค่อยากให้พวกคุณสองคนคืนดีกัน”

ผมนิ่งไป ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมหล่อนต้องอยากรักษาความสัมพันธ์ของผมกับไซม่อนไว้ด้วย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหล่อนเสียหน่อย

“ฟังนะคะ ออสติน ตอนที่ไซม่อนรู้แบรดถูกฆ่า สภาพของเขาย่ำแย่… แย่มาก เขาแทบไม่ยิ้มให้เห็นด้วยซ้ำ ท่าทางเหมือนเชือกตึงที่พร้อมจะขาดได้ตลอด หรือแม้แต่ตอนที่เขาจับคนร้ายได้แล้ว เขาก็ยังมีท่าทางแบบนั้นอยู่”

แปลว่าหมอนั่นโกหกแองเจลีนว่าจับคนร้ายได้เหมือนที่โกหกผมงั้นเหรอ

“แต่พอเขาได้เจอคุณ พอเขาได้อยู่กับคุณ… เขาเปลี่ยนไปเหมือนคนละคน ไม่สิ ต้องบอกว่า เขากลับไปเป็นเขาคนเก่ามากกว่า”

“ผมขอโทษนะครับ แองเจลีน” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ “แต่ผมไม่อยากคุยเรื่องไซม่อนจริงๆ ไม่ใช่ตอนนี้ และพูดตามตรง ยิ่งคุณพยายามแก้ต่างให้เขาแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกแย่”

“ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณหมอ” เจ้าหล่อนตัดบท สีหน้าสำนึกผิด “ไม่ทันได้คิดถึงความรู้สึกของคุณเลย เอาเป็นว่าฉันขอโทษแล้วกันนะคะ”

“ไม่ครับ ผมต่างหาก ผมแค่… ไม่อยากคิดถึงมันตอนนี้” ผมตัดบท ยกมือขึ้นกุมหัวเล็กน้อยเพราะรู้สึกล้าขึ้นมา “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม ถ้าแดนอยากมาล่ะก็ จะพามาเมื่อไหร่ก็ได้ครับ ผมต้อนรับเสมอ”

ผมใช้เวลาครู่หนึ่งกับทั้งสองคน หลังจากที่ตัดบทการสนทนาเรื่องไซม่อนไป แองเจลีนก็ไม่หยิบยกขึ้นมาพูดอีก

หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาหลังจากที่ปล่อยให้ลูกชายคุยเล่นสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยกับผมก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วบอกกับเจ้าตัวว่าถึงเวลาที่ต้องกลับเสียที ผมไปส่งคนทั้งคู่ที่หน้าประตู โบกมือให้แดนที่หันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะปีนขึ้นรถไป แองเจลีนหันกลับมาหาผมพร้อมกับบอกลา

“ขอบคุณมากนะคะ ออสติน ขอโทษที่รบกวนเวลาคุณ”

“ด้วยความยินดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ รักษาตัวด้วยค่ะ”

หญิงสาวหันหลังกลับไปจะขึ้นรถ และอยู่ๆ ผมก็รุ็สึกว่าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

“เดี๋ยวครับ”

แองเจลีนชะงักกึก หันกลับมามองผมอย่างงุนงงทันที “มีอะไรเหรอคะ”

“คือ… เรื่องของไซม่อนน่ะครับ”

“ค่ะ?”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนที่อยู่กับคุณเขาเป็นยังไง เขาอาจจะเป็นคนดีมากๆ ตอนที่อยู่กับคุณก็ได้”

“เขาทำตัวแย่กับคุขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“เอ่อ” ผมอึกอัก มันก็ไม่ใช่ว่าไซม่อนทำตัวแย่กับผมหรอกนะ แต่ทุกอย่างที่เจ้าตัวทำมาก็ไม่น่าจะเรียกได้ว่าคนดีได้หรอก “คุณเคยคุยกับคนที่ชื่อเฟดเดอริค คัลเลนไหมครับ?”

แองเจลีนทำสีหน้าครุ่นคิด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะส่ายหน้าดิก “ฉันไม่รู้จักเขาค่ะ เขาเป็นใครเหรอคะ”

“เพื่อนของไซม่อนน่ะครับ เป็นนักจิตวิทยาที่ทำงานกับทางกรมตำรวจ”

“เขาทำไมเหรอครับ”

“บางที… ถ้าคุณนึกอยากรู้จักเขามากกว่านี้… รู้จักอีกด้านหนึ่งของเขา คนน่าจะลองไปคุยกับคุณคัลเลนดู”

แองเจลีนมองผมอย่างพิศวง สายตานั่นราวกับจะกล่าวหาว่าผมมองไซม่อนในแง่ร้ายเกินไปแล้ว ก็อยากเจ้าหล่อนรู้ในสิ่งที่ผมได้รู้มาเหมือนกัน ถึงตอนนั้นแองเจลีนคงเข้าใจผมแน่

“ฉันอยากให้คุณลองปรับความเข้าใจกับเขาจริงๆ นะคะ”

“ไว้ผมจะลองคิดดูนะครับ”

“ค่ะ เอาเป็นว่าฉันก็จะลองคิดดูเรื่องที่คุณบอกมาเหมือนกัน”

สงสัยคงไม่ไปเจอคัลเลนแหง

ผมคิดแบบนั้นระหว่างที่มองรถของแองเจลีนออกห่างจากตัวบ้านไป



.
.
.
.
.
(50%)





--------------------------------------
Talk: ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วค่ะ! เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน TvT เดี๋ยวนิยายเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ฝากตามต่อให้จบด้วยล่ะ! XD
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(50%) P.5 [15/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 17-09-2017 10:42:04

[ต่อ]





ผมพลิกนามบัตรที่อยู่ในมือไปมาอย่างเหม่อลอยระหว่างที่ย่ำเท้าลงบนหาดทราย ในนั้นเขียนชื่อและช่องทางการติดต่อของเฟดเดอริค คัลเลนเอาไว้

ผมคิดจะโทรหาผู้ชายคนนั้นหลายรอบแล้ว แต่ยังนึกถึงเหตุผลหรือหัวข้อสนทนาที่จะคุยกับเขาไม่ได้อยู่ดี

ในหัวคิดวนเวียนถึงเรื่องไซม่อนไม่ขาดสาย ยอมรับว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างและก้าวต่อไปข้างหน้าเสียที

ไซม่อนไม่ได้ติดต่อมาหาผม ผมเองก็ไม่ติดต่อเขามาเกือบเดือนแล้ว พอลองให้เวลาตัวเองไตร่ตรองถึงสิ่งที่ไซม่อนทำลงไป บางทีผมอาจจะเข้าใจเขามากกว่าที่ตัวเองคิดก็ได้

คริสเตียนฆ่าพี่ชายของไซม่อน และไซม่อนก็อยากจะแก้แค้นให้แบรด มันก็สมเหตุสมผลดี ถ้าลองคิดดูในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง บางทีถ้าผมอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา ผมอาจจะทำแบบนั้นก็ได้ ไม่สิ ผมอาจจะเป็นคนฆ่าคริสเตียนด้วยตัวเองเลยก็ได้ ไม่ปล่อยให้เจ้าตัวตัดสินใจจบชีวิตตัวเองแบบนั้นหรอก

‘แต่เขาไม่ได้คิดจะแก้แค้นคริสเตียนด้วยเรื่องของแบรดเพียงอย่างเดียวหรอก’ สิ่งที่คัลเลนเคยบอกผมไว้ลอยอยู่ในหัว ‘เขาตั้งใจจะแก้แค้นให้คุณด้วย นั่นคือเหตุผลที่ผมคิดว่าควรบอกให้คุณรู้เรื่องนี้ยังไงล่ะ’

ผมจำได้ว่าตัวเองมองเขากลับด้วยสายตาว่างเปล่า พูดตอบกลับไปโดยที่ในหัวไม่ได้ประมวลผลอะไรเลยด้วยซ้ำ

‘คุณอยากให้ผมนึกขอบคุณเขาเรื่องนั้นงั้นเหรอ คุณคัลเลน? เขาส่งปืนให้ผู้ชายคนหนึ่งฆ่าตัวตาย’

อีกฝ่ายเหยียดยิ้มตอบกลับให้ผม มันเป็นยิ้มยียวนแบบเดียวกับที่เขาส่งให้ผมครั้งแรกที่โผล่หน้าเข้ามาในห้อง แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรเลย

‘ผู้ชายที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ผู้ชายที่ฆ่าพี่ชายเขา ผู้ชายที่ข่มขืนคุณ’ เฟรดเดอริคจิ้มนิ้วลงบนอกผมทีหนึ่งขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ‘แล้วก็เพื่อช่วยชีวิตคุณ’

ได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเฮือกขณะเก็บนามบัตรของชายคนนั้นเข้ากระเป๋ากางเกง ก้มลงไปปัดทรายออกจากเท้าลวกๆ แล้วสวมรองเท้าแตะที่ถืออยู่ในมือเพื่อเดินกลับบ้าน ในหัวนึกถึงหนังสือที่กำลังจะปิดต้นฉบับและงานของทางโรงพยาบาลที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงเดือนหน้า ร่างกายผมเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว หมดเวลาจมอยู่กับตัวเองแล้วเอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นสักที อย่างน้อยต่อให้ผมต้องเลิกกับไซม่อนจริงๆ แต่ถ้าผมยังมีอะไรให้ทำให้ตัวเองยุ่งบ้าง ผมคงพอทำใจลืมเขาได้

นึกถึงตรงนี้แล้วก็อดยิ้มหยันออกมาไม่ได้ นี่มันเหมือนกับตอนคริสเตียนไม่มีผิด ตอนที่ผมเลิกกับเขาผมก็มุงานหนักขึ้น หรือแม้แต่ตอนที่เขาจับผมไปขังแล้วข่มขืนเกือบสองสัปดาห์นั่น… พอผมรอดกลับมาผมก็กลับไปทำงานทันทีที่ฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่างานของผมก็ยาที่ใช้ฟื้นฟูสภาพจิตใจต่างหาก

แต่ก็อีกนั่นแหละ… เพราะไอ้การมุงานหนักนั่นทำให้หัวใจผมล้มเหลวเฉียบพลันจนกลายมาเป็นแบบนี้ แล้วตอนนี้ยังไงล่ะ ได้หัวใจของคนที่ตัวเองเกลียดที่สุดมา แล้วยังไงต่ออีก? ทำได้แค่ต้องมีชีวิตต่อไปแบบนี้ใช่ไหม

“อ่า…” ผมครางออกมาอย่างอ่อนล้าเมื่อเห็นรถของไซม่อนจอดอยู่หน้าบ้าน ร่างของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมน้ำตาลบลอนด์ยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาหันกลับมามองผมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมหันหลังเตรียมเดินหนี ได้ยินเสียงเขาตะโกนไล่หลังมาอย่างคนหมดความอดทน

“ออสติน การ์ดเนอร์” ไซม่อนตะโกน น้ำเสียงของเขาแหบกว่าที่เคยจำได้ “คุณจะหนีไปถึงเมื่อไหร่กัน เราจะคุยกันดีๆ สักครั้งไม่ได้เลยเหรอ”

ผมหันกลับไปมองเขาด้วยแววตาขุ่นมัว เขากล้าดียังไงมาพูดเหมือนเป็นความผิดของผมที่ไม่ให้โอกาสเขา ผมให้นะ ให้มามากแล้ว แต่ทุกอย่างมันมีขีดจำกัดทั้งนั้น

“ผมรู้ว่าผมผิด ออสติน” ชายหนุ่มคราง แต่ผมจะไม่ใจอ่อนกับน้ำเสียงอ้อนวอนและนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยของเขาอีกแล้ว “แต่ผมต้องคุยกับคุณ ผมปล่อยให้เรื่องของเราจบลงทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ ผมรับไม่ได้จริงๆ”

ผมไม่พูดตอบอะไรเขา แค่เดินกลับมาที่บ้านของตัวเอง เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปข้างใน เตรียมจะปิดมันลงหากชายหนุ่มเอื้อมมือมาคว้าขอบได้อย่างรวดเร็ว ร่างสูงก้าวพรวดเข้ามาในตัวบ้าน ท่าทีคุกคามของเขาทำให้ผมถอยกรูด ไม่เคยเห็นไซม่อนเป็นแบบนี้มาก่อน

“ออกไปจากบ้านผม”

“คุณไปเจอคัลเลนมาอย่างนั้นเหรอ”

“ทำไมคุณไม่ไปถามเขาเองล่ะ เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่หรือไง”

“คุณคุยอะไรกับเขา”

ผมยกยิ้มเหยียด กางแขนออกสองข้าง

“ขอพูดคำเดิมแล้วกัน ทำไมคุณไม่ไปถามเขาเองล่ะครับ?” พูดจบแล้วผมก็เดินหนีไปอีกทาง ไซม่อนเอื้อมมือมาคว้าบ่าผมหมับ ให้ความรู้สึกเหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อตไม่มีผิด ผมพยายามสะบัดมือเขาออก แต่มือแกร่งกลับบีบลงมาแรงขึ้น และมันก็เริ่มทำให้ผมกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“คุณทำแบบนี้ทำไม ออสติน คุณจะตามสืบเรื่องผมทำไม มีอะไรอยากรู้ทำไมไม่มาถามผม”

“อย่างกับว่าถามคุณแล้วผมจะได้ความจริงอย่างนั้นแหละ!” ผมแกะแขนเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี มือเขาเคลื่อนออกจากบ่าผม “อย่ามาทำเหมือนผมไม่เคยให้โอกาคุณเลย ไซม่อน ผมให้โอกาสคุณเยอะมากแล้ว ให้เยอะกว่าตอนที่ให้คริสเตียนเสียอีก”

“ทำไมคุณต้องพูดถึงเขาขึ้นมาด้วย แล้วคุณกล้าเอาผมไปเทียบกับหมอนั่นได้ยังไง หมอนั่นมันปล้ำคุณนะ ออสติน หรือว่าคุณชอบแบบนั้นมากกว่า?”

“หา?” ผมพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนดีมากเลยงั้นสิ เอาตัวผู้ชายคนหนึ่งไปขัง ทำให้เขารู้สึกหมดหวังแล้วก็ส่งปืนให้เขาฆ่าตัวตายเนี่ย”

ใบหน้าของไซม่อนแดงขึ้นด้วยความโกรธ หากวินาทีต่อมาเขาก็ตะปบมือลงบนบ่าผมทั้งสองข้างพร้อมกับแรงบีบมากขึ้น ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสติได้อีกฝ่ายก็กระชากผมขึ้นไปพาดบ่าเขา ทำไมคนพวกนี้ชอบเห็นผมเป็นตุ๊กตาอยู่เรื่อยเลยนะ น้ำหนักผมก็ไม่ใช่น้อยๆ แท้ๆ

“ไซม่อน! ปล่อยผมลงนะ! ผมไม่เอา--- ไม่นะ ไซม่อน ปล่อยผม ปล่อยผม!”

เพิ่งรู้สึกว่าตัวสั่นอย่างแรงขณะที่ทุบมือลงบนหลังเขา ดิ้นตัวด้วยแรงทั้งหมดที่มี ความกลัวแล่นไปทั่วทั้งร่างกาย ภาพของวันที่คริสลากผมขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองฉายซ้ำเข้ามาในหัว และตอนนี้ไซม่อนก็กำลังทำแบบเดียวกันเปี๊ยบ

ชายหนุ่มโยนตัวผมลงบนเตียงอย่างแรง โถมน้ำหนักตัวลงมากดผมไว้ไม่ให้หนีไปไหน ใบหน้าคมซุกลงมาบนซอกคออย่างคุกคาม ผมตัวชาไปหมด ไม่รับรู้อะไรนอกจากความกลัวของตัวเอง

ไซม่อนกระชากแขนข้างซ้ายของผมขึ้นไปเหนือหัว หยิบกุญแจมือจากเอวขึ้นมาสับลงบนข้อมือจากนั้นก็คล้องเข้ากับหัวเตียงที่เป็นซี่กรง

ผมอยากจะกรีดร้องให้สุดเสียง อยากถีบคนที่อยู่ด้านบนให้กระเด็นไปติดเพดาน แต่ผมทำอะไรไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหมือนถูกสูบไปหมด

ได้ยินแค่เสียงสะอื้นของตัวเองที่หลุดออกมาจากริมฝีปาก จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ทุกส่วนของร่างกายเกร็งไปหมดด้วยความหวาดกลัวว่าจะโดนทำอะไรที่ไม่ต้องการ ผมส่ายหน้าระรัวขณะที่ป่ายมือข้างที่ยังเป็นอิสระอยู่ไปดันอกเขาออก แต่ไม่มีแรงเหลือแล้วจริงๆ ที่ทำอยู่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาไม้จิ้มฟันไปงัดท่อนซุง

“คุณทำแบบนี้ทำไม ออสติน คุณจะตามสืบเรื่องผมทำไม”

“ไม่ ไซม่อน ปล่อย...”

“ตอบคำถามผม!”

“ไซม่อน ได้โปรด…”

“ทำไมคุณต้องทำเหมือนผมทำผิดนักหนาด้วย” เหมือนอีกฝ่ายเองก็สติขาดพอกัน เขาเขย่าตัวผมแรงขึ้น “คุณทำเหมือนกับว่าผมเลวพอๆ กับเฮฟเฟอร์แมนอย่างนั้นแหละ ผมรู้นะว่าตัวเองทำผิดกับคุณหลายอย่าง แต่ผมทำไปก็เพื่อคุณ ผมโกหกก็เพื่อคุณ ผมปิดบังทุกอย่างก็เพื่อคุณ แต่คุณกลับบอกว่าผมเลวพอๆ กับคนที่ข่มขืนคุณงั้นเหรอ?”

“ไซ---”

“เลิกตามสืบเรื่องผมได้แล้ว!”

“ไซม่อน ผมกลัว” ผมร้องไห้ออกมาพร้อมกับยกแขนข้างขวาพาดปิดตา เท้าจิกลงบนเตียงแน่น “อย่าทำแบบนี้ ฮึก ได้โปรด ผมขอโทษ ผมขอโทษ”

เหมือนท่าทางนั้นจะเรียกสติของเขากลับมาได้ ชายหนุ่มหน้าซีดเผือดลงทันที คลายมือที่บีบบ่าผมไว้แน่นก่อนจะเปลี่ยนมาแตะใบหน้าแผ่วเบา

“ออสติน” คนด้านบนครางออกมาเสียงแหบพร่า ผมทำได้แค่งอตัวลง พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะหนีจากสัมผัสของเขา กระดุมเสื้อเม็ดบนของผมถูกกระชากออกไปแล้ว เพราะงั้นแผ่นอกส่วนหนึ่งของผมจึงเผยออกมาให้เห็น

“พอแล้ว ไซม่อน… ฮึก อย่าทำแบบนี้ ผมขอโทษ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ปล่อยผม” พูดพลางขยับแขนข้างซ้ายที่ถูกล่ามติดกับหัวเตียง เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ จากแรงนั้น “ปล่อยผมไปเถอะ”

เขาไม่ตอบอะไรผม ไม่ทำตามที่ผมขอ ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้หนักขึ้น มือหนาแตะลงมาบนแก้มผม ไล้ลงบนลำคอ ผมเกร็งตัวแน่น หวาดกลัวสัมผัสของเขาจนตัวสั่นไปหมด แต่ไซม่อนก็ยังไม่ยอมละมือออกเสียที

“ออสติน” เขาครางอย่างสิ้นหวัง โอบกอดร่างของผมเอาไว้อย่างนุ่มนวล

อย่างกับผมจะสนเรื่องนั้น

“ปล่อย… ผม ไซม่อน ปล่อย” ผมได้แต่พูดซ้ำไปมาอยู่แบบนั้น และไซม่อนก็เอาแต่กอดผมอยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อย

ฝ่ามืออุ่นลูบลงบนเส้นผมสีเทาของผมอย่างปลอบประโลมไม่ขาดสาย ผมปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความหวาดกลัวกินพลังงานเฮือกสุดท้ายของผมไปแล้ว

ผมได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผมอย่างอ่อนโยนขณะที่สติเฮือกสุดท้ายค่อยๆ หลุดลอยไป

นี่ตกลงว่าพวกเราเพี้ยนกันไปหมดแล้วใช่ไหม?





------------------------------------------------------
Talk: กรี๊ดดดดด หนูกลัว! ไต้ฝุ่นเข้าค่ะ //ฮะ? อะไรนะ ไม่เกี่ยวกับนิยายเหรอ โทดๆๆ// แต่แบ นี่มันระทึกมากนะ เขียนนิยายเนื้อเรื่องก็ระทึกพอล่ะ ยังต้องมาระทึกกับเสียงลมเสียงฝนเสียงสัญญาณเตือนภัยจากโทรศัพท์อีก เขาส่งสัญญาณเตือนมาแบบ ให้อพยพ... แล้วหนูจะอพยพยังไงคะ หนูมีแค่จักรยาน ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 17-09-2017 11:27:34
ไซม่อน...  :z6:  :z6: สงสารออสตินมาก  ถ้าเป็นแบบนี้อยู่คนเดียวคงดีกว่า
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-09-2017 13:26:59
ยังไม่กล้าอ่าน มาจิ้มเป็ดไว้ก่อนค่า
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 17-09-2017 15:52:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-09-2017 17:38:24
ไซม่อน ออสติน เมื่อไหร่จะเขาใจกันซักที  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 20-09-2017 18:04:49
ลุ้นไม่หยุดเลยย รออ่านตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-09-2017 03:36:41
โหยยย ค้างมากเลยค่ะ ลุ้นมาก ประเด็นคือยังหาฆาตกรตัวเลขไม่เจอเนี่ยสิ ประเด็นเพื่อนออสตินอีก ดูมีความลับ เขียนดีมากกกกก เราอยากจะกรี๊ดแรงๆ ดีใจที่ได้อ่านงานเขียนดีๆแบบนี้ ช่วงแรกๆนี่ดูเนิบๆสบายๆระแวงไซเบาๆ ครึ่งหลังแทบไม่ได้หยุดหายใจ สนุกมากเลยค่ะ ทั้งปมทั้งอะไรวางแผนมาดีมาก เหมือนดูซีรี่ส์สืบสวนฝรั่งแบบ Criminal minds เลย ทั้งเรื่องออสตินเป็นหมอ เขียนดีมากตอนตรวจศพ เรานี่แบบหูยยย สำนวนภาษาก็ดีมาก รออ่านตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 26)(100%) P.5 [17/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 22-09-2017 16:37:56

บทที่ 27





“ออสติน… ออสตินครับ”

เสียงเรียกที่เหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ทำให้ผมขยับตัวนิดหนึ่ง รู้สึกว่าหัวหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินทับอยู่บนนั้น  ผมพยายามขยับเปลือกตาให้เปิดขึ้น ภาพพร่าเลือนของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาให้เห็น

ผมกระพริบตาด้วยความงุนงง พยายามขยับตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็พบว่าข้อมือข้างซ้ายถูกผูกติดกับหัวเตียงด้านบนด้วยกุญแจมือ

แล้วอยู่ๆ ภาพความทรงจำทั้งหมดก่อนที่ผมจะสลบไปก็ไหลเข้ามาในหัว ผมยกแขนข้างขวาที่เป็นอิสระขึ้นมาถูหน้าแรงๆ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น ข้อมือซ้ายที่ถูกพันธนาการติดกับเตียงอยู่นี่ทำให้ขยับตัวลำบากชะมัด แล้วไอ้คนที่จับผมล่ามไว้แบบนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น ไอ้คนที่นั่งอยู่บนเตียงเดียวกับผมนี่ไง

“ออสติน ไหวรึเปล่าครับ คอแห้งไหม ให้ผมเอาน้ำมาให้รึเปล่า”

“ไซม่อน…” ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามา ทำท่าเหมือนจะช่วยผมพยุง ผมใช้จังหวะนั้นกระชากคอเสื้อเขาลงมา ความโกรธภายในพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ผมพูดเสียงต่ำ “คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

“เดี๋ยวก่อน… ฟังก่อนครับ ออสติน” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน… ไม่สิ เหมือนกำลังขอร้องอยู่มากกว่า “ผมแค่อยากจะ---”

“ปลดกุญแจมือให้ผมเดี๋ยวนี้”

“ฟังผมก่อนครับ”

“ปล่อยผม ไซม่อน” ผมดึงคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น นั่นทำให้ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยสลดลงอย่างชัดเจน “ปล่อยผม แล้วออกไปจากบ้านผมซะ"

"ผมแค่อยากจะคุยกับคุณ" เขาพูดเสียงแผ่วเบา สายตาที่มองมาอ้อนวอนจนน่าสงสาร แต่ผมจะไม่มีวันหลงกลเขาอีกแล้ว

"ผมไม่อยากคุย"

"แค่ฟังผมหน่อยได้ไหม"

"ผมฟังมามากแล้ว! คุณแม่งไม่รู้ตัวเลยเหรอวะ!" ผมตะโกนอย่างหัวเสีย กำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่นขึ้นก่อนจะผลักไปด้านหลังเต็มแรง รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นสูงเรื่อยๆ

"ออสติน ผมรู้ว่าคุณโกรธ"

"มันเลยคำนั้นมานานแล้ว ปล่อยผมเดี๋ยวนี้"

"คุณใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม"

"นี่คุณประสาทกลับไปแล้วรึไง!?" ผมพูดเสียงดังพร้อมกับกระชากแขนข้างซ้ายเข้าหาตัว แต่แน่ล่ะว่ามันแทบไม่ขยับออกจากหัวเตียง "ใครแม่งจะไปใจเย็นกับสถานการณ์แบบนี้ได้วะ! ปล่อยผมได้แล้ว ไอ้โรคจิต!"

"ผมว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ตอนนี้" ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเตียง ยกมือจัดปกเสื้อที่ยับยู่ยี่เล็กน้อย ท่าทางนั้นทำให้ผมโกรธจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ

สายตาผมเหลือบไปเห็นโคมไฟที่ตั้งอยู่บนชั้นข้างหัวเตียง ผมคว้ามันขึ้นมาอย่างแรงจนปลั๊กถูกกระชากออกจากนั้นก็เขวี้ยงใส่ผู้ชายตรงหน้าก่อนจะรู้ตัวเสียอีก ไซม่อนอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับกระโดดหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของเขาซีดเผือดลงขณะก้มมองดคมไฟที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บนพื้น ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

"ออสติน... คุณ..."

"ปล่อย ผม เดี๋ยว นี้"ผมเน้นย้ำทีละคำขณะที่หอบหายใจถี่ๆ ออกมา รู้สึกโกรธจนเหมือนจะฆ่าคนได้อยู่แล้ว และไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำฝห้ผมคลั่งได้ขนาดนี้ก็ทำได้แค่หน้าสลด

"ผมแค่อยากจะคุยกับคุณ"

"เราไม่มีอะไรต้องคุยกันทั้งนั้น!" ผมย้ำคำเดิม หันหน้ากลับไปมองหาข้าวของอย่างอื่นที่สามารถปาใส่เขาได้ ไซม่อนถอยไปด้านหลังอย่างรู้ทัน

"ออสติน ผมว่าเราค่อยๆ --"

"ไม่คุย! ผมไม่คุยอะไรกับคุณทั้งนั้น ผมฟังเรื่องโกหกของคุณมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยผมไปสักที!"

ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะกระแทกใจเขาอย่างแรง ไซม่อนมองผมด้วยสายตาตัดพ้อ และนั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่งด้วยความโมโหขึ้นมาอีกรอบ เขากล้าดียังไงมาทำหน้าแบบนั้นกับผม เขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความเห็นใจอะไรจากผมทั้งนั้น!

"ไว้ผมจะมาหาคุณใหม่" เขาพูดตัดบทพร้อมกับหมุนตัวเตรียมก้าวออกไปนอกห้อง

ผมอ้าปากค้าง กระชากข้อมือข้างซ้ายอย่างแรงซ้ำไปมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงโลหะที่ดังกระทบกันทำให้ผมใจแกว่งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมเรียกชื่อเขาอย่างหงุดหงิด

"ไซม่อน แมคแนร์! นี่คุณบ้าไปแล้วรึไง! ปล่อมผมออกไปนะ คุณไม่มีสิทธิ์ล่ามผมไว้แบบนี้ คุณไม่มีสิทธิ์!"

หากร่างสูงก้าวเท้าออกจากห้องไปแล้ว ผมหอบหายใจจนตัวโยนขณะทรุดลงบนเตียงอีกรอบอย่างเหนื่อยอ่อน ผมก้มลงมองมือตัวเอง ลากสายตามองไปยังข้อมือข้างซ้ายที่มีกุญแจมือผูกติดอยู่ รอบข้อมือเริ่มเป็นรอยแดงช้ำเพราะโลหะที่เบียดเข้าไปในผิวเนื้อ นี่มันเหมือนตอนที่คริสเตียนจับผมไปไม่มีผิด จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหม

"โธ่เว้ย" ผมสบถกับตัวเอง หันไปง่วนกับกุญแจมือที่อยู่บนหัวเตียงแทน กระชากมันไปมาราวกับจะมีทางดึงโลหะพวกนี้ให้หลุดออกจากกันได้

ทุกครั้งที่โลหะนั้นกินผิวเนื้อขึ้นมาจนเจ็บไปหมด ในหัวผมนึกโทษแต่ใครอีกคนที่จับผมล่ามกับเตียงตัวเองนี่

ที่ผมเจ็บอยู่แบบนี้ก็เพราะไซม่อนแท้ๆ ที่ผมต้องมาทรมานอยู่แบบนี้ก็เพราะหมอนั่น ทั้งหมดเป็นความผิดของมันคนเดียว!

"ไอ้บ้าไซม่อน!"  ผมตะโกนลั่น และเชื่อว่าถ้าหมอนั่นยังอยู่ในบ้านหลังนี้ มันจะต้องได้ยินแน่ "ไปตายซะเถอะวะ ไอ้สารเลว ผมเกลียดคุณ! ได้ยินไหมว่าผมเกลียดคุณ!"

แขนข้างซ้ายของผมสั่นไปหมดเพราะออกแรงมากเกินไป ผมถอนหายใจเฮือกก่อนจะยกมือขวาขึ้นปิดหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ความโกรธภายในกินพลังงานผมไปจนหมด

ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าไซม่อนกล้าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง

ผมมอบความไว้ใจให้เขา แล้วดูสิ่งที่เขาตอบแทนให้ผม

"ไปตายซะเหอะวะ ไซม่อน" ผมพึมพำกับตัวเองอย่างคับแค้นใจ มือข้างที่เป็นอิสระทุบลงบนหมอนที่วางอยู่บนเตียง

ใช่... ผมมีคำพูดประโยคเดียวที่จะมอบให้เขาถ้าเขายืนยันอยากจะคุยกับผมนัก

ไปตายซะเหอะวะ






ไซม่อนกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผมกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างคนหมดอาลัยตายอยากตอนที่ประตูเปิดเข้ามา ผมไม่หันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำตอนที่อีกฝ่ายเปิดปากพูด

"สงบลงบ้างหรือยังครับ ออสติน"

ผมไม่ตอบคำถามเขา สายตายังมองเพดานห้องด้านบนอยู่อย่างนั้น พื้นที่เตียงว่างๆ ที่อยู่ถัดจากผมไปยวบลงตามแรงน้ำหนักของชายหนุ่มที่นั่งลงมา

กลิ่นหอมของอาหารบางอย่างลอยมาแตะจมูกทำให้ผมต้องปรายหางตาไปมองอย่างเสียไม่ได้ ในมือเขามีจานข้าวสองจานอย่างละข้าง เจ้าตัววางจานหนึ่งลงบนชั้นวางที่ใกล้ฝั่งของตัวเอง อีกจานยื่นมาตรงหน้าผม มันคือสปาเกตตี้ราดซอสเห็ดที่ผมชอบ แต่ผมกลับรู้สึกแขยงอาหารจานนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

"ทานไหมครับ"

ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยใช้มือข้างขวาดันร่างขึ้นมา เบี่ยงตัวหลบมือหนาที่ทำท่าจะเอื้อมมาช่วยประคอง รับจานนั้นมาถือไว้ในมือก่อนะเขวี้ยงมันลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ผมสังเกตเห็นว่าไซม่อนสะดุ้งนิดหนึ่งตอนที่จานกระทบลงพื้นแล้วแตกดังเพล้ง เศษจานพวกนั้นไปรวมกับเศษแก้วจากโคมไฟก่อนหน้านี้แล้วเรียบร้อย

"ออสติน" ไซม่อนเรียกชื่อผมเหมือนคราง ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างท้าทาย

"ผมไม่หิว"

"ไม่เห็นต้องขว้างทิ้งแบบนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ" น้ำเสียงเขาน้อยอกน้อยใจ "ผมตั้งใจทำเพื่อคุณมากเลยนะ"

ผมหันไปมองหน้าเขาตาขวาง

"คุณคิดว่าผมจะยอมยกโทษให้ถ้าคุณทำตัวดีๆ กับผมงั้นเหรอ"

 "ผมแค่--"

"คุณรู้อะไรไหม คุณแม่งเป็นคนที่ทุเรศที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย โกหกผมแม่งทุกเรื่องยังไม่พอ ยังจะมาจับล่ามกันไว้แบบนี้อีก คุณคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงได้ทำอะไรตามใจชอบโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้"

"ผมขอโทษ"

"เหอะ" ผมแค่นเสียงหยันๆ ให้กับคำพูดนั้น อย่างกับว่ามันมีความหมายนักล่ะ

"ผมพูดจริงๆ นะครับ ออสติน ผมไม่เคยคิดอยากทำร้ายคุณเลย"

"เก็บคำแก้ตัวของคุณไปหลอกเด็กอมมือเถอะ แล้วนี่คุณต้องการอะไรถึงได้จับผมขังไว้ในห้องตัวเองแบบนี้ อยากจะปล้ำผมเหรอ? แค่นี้มันยังไม่สาแก่ใจคุณใช่ไหม ต้องย่ำยีผมให้แหลกกันไปข้างเลยใช่ไหมคุณถึงจะพอใจ"

"ไม่" ไซม่อนพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ สีหน้าของเขาดูสับสน "ไม่ๆๆ ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผมแค่อยากอยู่กับคุณ"

"อ้อ เหรอ ผมเองก็อยากนอนกับแบรด พิทท์เหมือนกัน น่าเสียดายนะที่คนเราไม่สามารถได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ"

"แต่คุณก็อยู่กับผมตรงนี้นี่" ไซม่อนพูดอย่างดื้อดึง และนั่นเกือบทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา

"ก็คุณล่ามผมไว้ไม่ใช่เรอะ"

"ผมขอเวลาสามวัน" คำพูดทื่อๆ นั่นทำให้ผมต้องหันขวับกลับไปมองคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

"นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ ไซม่อน"

"ขอแค่ให้ผมได้อยู่กับคุณ" ชายหนุ่มหันกลับมาสบตาผมตรงๆ และนั่นทำให้ใจผมวูบไป รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไปหมด "แค่สามวันเท่านั้น ถ้ายังไงเสียคุณก็จะไม่มีวันยกโทษให้ผมตลอดชีวิตล่ะก็"

"คุณพูดถูก" ผมไม่หลบตาเขา "ผมจะไม่มีวันยกโทษให้คุณตลอดชีวิต เพราะงั้นสามวันที่คุณขอ มันไม่มีค่าอะไรเลย"

"มันมีค่าสำหรับผม ถ้าผมได้อยู่กับคุณ"

"มันมีค่าจริงๆ เหรอ ไซม่อน" ผมถามเขากลับด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด "คุณล่ามผมไว้แบบนี้ คุณก็ได้แค่ตัวผมเท่านั้น แต่คุณไม่มีทางได้ใจผมอีกแล้ว"

ไซม่อนมองผมตอบด้วยแววตาร้าวลึก สายตานั่นทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะเจ็บปวดพอๆ กับที่ผมเจ็บก็ได้ แต่มันมีทางเป็นแบบนั้นหรอก ผมคือผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์นี้นะ เขาไม่มีทางเจ็บไปมากกว่าหรือพอๆ กับผมได้หรอก

"แล้วผมเคยได้มันมาก่อนไหม" น้ำเสียงเขาไม่แน่ใจเอาเสียเลย "หัวใจของคุณน่ะ"

"คุณเคยได้ ไซม่อน" ผมยอมรับ "ผมเคยรักคุณมาก"

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นอย่างอัดอั้น

"แต่คุณทำลายมันไปแล้ว"

ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั่นแทบทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ






ไซม่อนทำอาหารมาให้ผมอีกรอบในเช้าวันถัดมา หากรอบนี้เขาฉลาดพอที่จะวางไว้บนชั้นวางข้างๆ หัวเตียงแทนที่โคมไฟซึ่งกลายเป็นเศษซากไปแล้วเมื่อวาน ตอนนี้บนพื้นอันเป็นที่เกินเหตุสะอาดเพราะไซม่อนจัดการเก็บกวาดไปแล้วเรียบร้อย

ผมไม่ได้เขวี้ยงจานอาหารเช้าอันประกอบด้วยไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน กับผักประดับจานทิ้ง แต่ก็ไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมากินเหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้ท้องผมจะเริ่มร้องครวญครางเพราะไม่มีอะไรตกไปถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ตาม

ไซม่อนเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำส้มและขวดซอสมะเขือเทศ ชายหนุ่มหันมาถามผมยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ดูเป็นปกติ

“เติมซอสหน่อยไหมครับ ออสติน”

“ไม่เอา”

“งั้นดื่มน้ำส้มนี่หน่อยนะครับ ผมวางไว้ให้ตรงนี้นะ” พูดพลางวางของทั้งสองอย่างลงบนชั้นข้างๆ จานอาหารซึ่งเป็นระยะที่ผมเอื้อมถึง ผมหันไปมองอาหารและเครื่องดื่มด้วยสายตาราบเรียบ ท่าทีนิ่งเฉยของผมทำให้ไซม่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“ออสติน คุณไม่ยอมกินอะไรเลยนะครับ อย่างน้อยก็ดื่มอะไรสักหน่อยเถอะ”

ผมยิ้มเหยียด “แล้วถ้าผมบอกว่าไม่คุณจะทำไม บังคับผมเหรอ”

“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“นั่นไม่ได้ช่วยทำให้คุณเป็นคนดีขึ้นหรอก ไซม่อน อย่าพยายามเลย”

ชายหนุ่มหน้าแดงขึ้นด้วยความอาย ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ผมคิดว่าตัวเองน่าจะสะใจนะที่เห็นเขามีสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้น แต่มันเหมือนสะใจไม่เต็มที่ยังไงไม่รู้

ไซม่อนยกแก้วน้ำขึ้นมาถือในมือ “คุณพูดถูก” จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ วางแก้วลงที่เดิม และก่อนที่ผมจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็เบียดริมฝีปากเข้ามา มือข้างหนึ่งเลื่อนมาบีบแก้มผมให้เผยอเปิดออก

 “อย่า—“ เสียงผมขลุกขลัก มือพยายามผลักไหล่ออกอย่างเต็มที่ แต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหวอยู่ดี

ของเหลวพวกนั้นไหลเข้ามาในลำคอ ความหวานอมเปรี้ยวแผ่ซ่านในริมฝีปาก ลิ้นของอีกฝ่ายล้วงเข้ามาในโพรงปาก ลากลงบนฟันอย่างรวดเร็ว ผละออกก่อนที่ผมจะขบฟันลงบนนั้นอย่างรู้ทัน

ผมมองเขาตาขวางทันทีที่ไซม่อนผละจูบนั้นออกไป มองสายตาคู่สวยที่มองมาอย่างอ้อนวอนระคนตัดพ้อแล้วโกรธจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ มือข้างที่เป็นอิสระฟาดลงบนใบหน้าเขาก่อนที่จะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

ใบหน้าคมหันไปตามแรง เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเล็กน้อยหากไม่พูดอะไร ไม่หันกลับมามองผมด้วยสายตาแบบเมื่อครู่หากก้มหน้าลงต่ำราวกับรู้สึกผิด

ผมเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนนี้ “ไหนบอกจะไม่ทำอะไรไง”

เขาเงียบ

“คุณแม่งไม่เคยทำอะไรตามที่พูดได้เลย”

“ผมขอโทษ”

“ผมไม่รับคำขอโทษคุณ และถ้าคุณไม่คิดจะปล่อยผมตอนนี้ล่ะก็ ไสหัวไปจากสายตาผม ถือว่าผมขอร้องก็ได้”

เขาผุดลุกขึ้น เดินไปที่ประตูอย่างว่าง่าย ผมมองตามแผ่นหลังเขาไปด้วยสายตาโกรธจัด แต่ที่มากกว่านั้นคือความเสียใจที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เหมือนความเจ็บมันอัดอยู่ในอกแต่หาทางระบายออกมาไม่ได้

ไซม่อนหันกลับมานิดหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “อย่างน้อยก็กินอะไรสักหน่อยนะครับ ถ้าคุณเป็นอะไรไป---”

“ไส หัว ไป”

ผมจะเป็นอะไรที่สุดก็เพราะมีไอ้บ้านี่อยู่ด้วยนี่แหละ

ชายหนุ่มทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย เสียงปิดประตูดังขึ้น ผมสูดลมหายใจแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะซบหน้าลงกับมือข้างขวาอย่างเหนื่อยอ่อน รสจูบหอมหวานนั่นยังคละเคล้าอยู่ในปาก ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมที่เต้นตึกตักรัวๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดค่อยๆ ทุเลาลงหลังจากที่ไซม่อนออกไปจากห้อง ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อเรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา มันช่วยได้ไม่มากเท่าไร ใจผมร้อนรุ่มไปหมดด้วยความกังวลและหวาดกลัว

เหงื่อเม็ดเล็กซึมขึ้นมาทั่วร่าง ผมยกแขนขวาของตัวเองขึ้นก่ายหน้าผาก เหม่อมองขึ้นไปบนเพดานสีซีดที่คุ้นตา รู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะอาการปวดหัวของตัวเอง

ผมไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านมานานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ไซม่อนออกจากห้องไป อาจจะเกือบชั่วโมง แต่รู้สึกเหมือนผ่านมาชาติหนึ่ง เวลาที่ความกดดันมันทับลงมาจนแทบทำให้หายใจไม่ออกนี่มันช่างทรมานจริงๆ และความทรมานที่ว่าที่ว่าก็ทำให้เวลาเดินช้าลง

เลื่อนแขนข้างที่ก่ายหน้าผากอยู่ออกแล้วตะแคงไปทางซ้ายเพื่อคลายความตึงจากกุญแจมือที่พันธนาการข้อมือผมไว้ ความเยือกเย็นของผมค่อยๆ กลับมา แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีความคุกรุ่นที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อถ้าหากมีเชื้อเพลิงมาเติมสักนิด ผมแค่กดความคุกรุ่นนั่นลงไป แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น ไม่หายไปไหน

ความเงียบเริ่มทำให้ผมฟุ้งซ่านอีกครั้ง การอยู่คนเดียวทำให้ผมนึกทบทวนเรื่องต่างๆ ที่ประสบในช่วงหลังมานี้ คิดถึงเรื่องของตัวเองกับไซม่อน คิดถึงเรื่องที่เคยเกือบจะเป็นไปได้ของเรา นึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วหัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมาอีกรอบ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วไง ทั้งๆ ที่ผมเคยคิดว่ามันวิเศษขนาดนั้นแท้ๆ

ไอ้บ้าไซม่อน…

ผมกัดริมฝีปากเบาๆ ขณะปิดเปลือกตาลงอีกรอบ ที่ทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียว

...เจ็บชะมัดเลย



.
.
.
.
.
(50%)





-----------------------------------------
Talk: ตกลงคู่นี้เขาจะได้รักกันไหมคะ ใครก็ได้บอกนู๋ที ถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ทุกคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เราเสมอน้าาา >3<
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(50%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-09-2017 01:47:49
เอาอีกๆ ให้ไซม่อนเสียใจคืนเยอะๆเลย มีโอกาสตั้งหลายรอบไม่ยอมใช้ โดนให้สะใจไปเลยค่าาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(50%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 23-09-2017 17:51:20
เอาอีกๆ ให้ไซม่อนเสียใจคืนเยอะๆเลย มีโอกาสตั้งหลายรอบไม่ยอมใช้ โดนให้สะใจไปเลยค่าาา  :katai2-1:

ดูแค้นไซม่อนมากเลยนะคะ 5555555
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(50%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 23-09-2017 21:04:32
รู้สึกอึดอัดและหน่วงกับช่วงนี้มาก อยากให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว เข้าใจแล้วก็สงสารทั้งสองคนเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(50%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 24-09-2017 11:01:44

[ต่อ]



ลืมตาขึ้นมาอีกทีท่ามกลางความเงียบงัน ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น หากความเงียบทำให้ผมได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มันช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหนึ่ง

ตวัดสายตากลับเข้ามาในตัวห้อง หางตาผมมองเห็นจานข้าวที่ใครอีกคนเอามาวางไว้ให้เพื่อเป็นมื้อกลางวัน แต่แน่นอนล่ะว่าผมไม่แม้แต่จะแตะขอบจาน แล้วตอนนี้ท้องผมก็เริ่มร้องประท้วงแล้ว

ผมเขยิบตัวขึ้นไปติดกับหัวเตียงเพื่อจะเปลี่ยนจากนอนเป็นนั่ง เปลี่ยนได้ไปมาแค่สองท่านี่แหละ แต่อย่างน้อยก็ช่วยพอให้หายเมื่อยได้บ้าง

ท้องของผมส่งสัญญาณประท้วงอีกครั้งเพราะประสาทสัมผัสรับรู้ว่ามีอาหารตั้งอยู่ตรงหน้า และมันก็กำลังขอร้องให้ผมหาอะไรลงไปให้มันเสียที

ผมคู้ตัวลงในท่านั่ง ราวกับว่านั่นจะช่วยหยุดเสียงท้องร้องของตัวเองได้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมๆ กันแทบจะทำให้ผมสะดุ้ง ตวัดสายตากลับไปมอง ร่างสูงของไซม่อนก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่มาตามสายลม

“ออสตินครับ”

ผมเกร็งตัวขึ้น ริมฝีปากเม้มแน่นขณะสายตาก้มลงไปเห็นกุหลาบช่อโตที่อยู่ในอ้อมแขนเขา ผมมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า ริมฝีปากยกยิ้มหยันขึ้นอย่างนึกขัน

นี่เขาคิดว่าผมเป็นสาวน้อยเพิ่งริรักงั้นเหรอ? คิดว่ากุหลาบสวยๆ สักช่อจะทำให้ผมใจอ่อนได้หรือไง?

ชายหนุ่มมันวางลงบนปลายเตียง ทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่งข้างๆ มือหนาเลื่อนลงมาทำท่าจะแตะแก้มผม ผมเบือนหน้าหนีเขาพร้อมกับพูดเสียงดังด้วยความรังเกียจ

“อย่ามาแตะต้องตัวผม!”

น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและจริงจังพอจะทำให้อีกฝ่ายชะงักไปได้อึดใจหนึ่ง แต่ไซม่อนก็คือไซม่อน เขาไม่ยอมแพ้ ขยับมือมาจับหน้าผมให้หันกลับไปมองจนได้ ผมสะดุ้งตัวด้วยความตกใจราวกับบริเวณตรงนั้นโดนไฟฟ้าช็อต มองหน้าเขาอย่างผิดหวังเพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะกล้าก้าวก่าย หากเมื่อได้สบตากับเขาตรงๆ… นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววเว้าวอนนั่นก็ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก

สัมผัสของเขาไม่ได้รุนแรง มันแผ่วเบาแต่ก็ดื้อดึง และเมื่อไม่เหลือที่ให้หนีแล้ว ผมก็ได้แต่ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายลูบแก้มของผมอยู่แบบนั้นอย่างไม่มีทางเลือก

ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากมือเขาทำให้ผมใจแกว่ง ยิ่งเขาทำดีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งจำเป็นต้องเกลียดเขามากขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดนั่นก็เพื่อป้องกันตัวเองจากเขา แต่เหมือนยิ่งพยายามปิดกั้นเขาเท่าไร การมีตัวตนของเขากลับยิ่งซึมเข้ามาในใจเรื่อยๆ

ผมปล่อยให้ชายหนุ่มไล้หัวแม่มือวนอยู่ที่ข้างแก้ม เลื่อนต่ำลงมาเกลี่ยริมฝีปาก เคลื่อนมาอยู่ถึงปลายคางแล้วก็วนขึ้นไปใหม่ หัวใจของผมไม่ได้เต้นรัวจนเหมือนจะระเบิดออกมาเหมือนครั้งที่ผ่านมา หากเต้นสม่ำเสมอและอุ่นซ่านไปทั่วทั้งใจ

นั่นไงล่ะ เอาอีกแล้ว ผมเผลอใจอ่อนกับเขาอีกแล้ว แค่เขาทำดีด้วยหน่อย ใจผมก็ละลายเสียแล้ว ช่างเป็นคนที่หนักแน่นอะไรขนาดนี้นะ ออสติน

“ออสติน” เหมือนรับรู้เสียงที่อยู่ในใจผม ไซม่อนก้มหน้าต่ำลงมากดริมฝีปากลงบนข้างขมับผมอย่างรักใคร่ หน้าผมร้อนวูบ มือข้างขวาที่ยังว่างอยู่พยายามปัดเขาออก ไซม่อนเอื้อมมือมายึดข้อมือผมไว้ไม่ให้ทำตามใจชอบ ผมครางเบาๆ อย่่างหมดแรงในขณะที่คนตรงหน้าครางเรียกชื่อผมอย่างเจ็บปวด

เขาไล้สันจมูกลงบนแก้ม ผมหลับตาแน่น รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นจากเขา

“แค่นิดเดียว” เสียงกระซิบอ้อนวอนนั่นอยู่ข้างหู ผมกำลังจะหันไปบอกอยู่แล้วว่านิดเดียวก็ไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงทาบริมฝีปากลงมาปิดปากผมสนิท จูบแผ่วเบาของเขาผละออกแล้วประทับลงมาใหม่อย่างไม่มั่นใจราวกับคนที่จูบไม่เป็น

น่าแปลกที่จูบครึ่งๆ กลางๆ นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกใจหวิวยิ่งกว่าจูบร้อนแรงเมื่อช่วงเช้าของวันเสียอีก อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากลงบนริมฝีปากล่างของผมเพื่อให้โพรงปากเผยอออก ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาอย่างเชื่องช้าและอ่อนหวาน แตะลงกับปลายลิ้นด้านใน

ผมสะดุ้งเบาๆ ด้วยความตกใจ รู้สึกได้ว่าร่างเริ่มสั่น หากไซม่อนไม่รุกเข้ามามากกว่านั้น ชายหนุ่มเพียงแค่ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งราวกับเสียดาย มือหนาเลื่อนไปหยิบช่อดอกกุหลาบที่วางหมิ่นเหม่ไว้ที่ปลายเตียงจากนั้นก็ยื่นให้ผม ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ หากเจ้าตัวยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่ริมฝีปากจางๆ

“ผมซื้อมาให้คุณครับ ออสติน”

“ไซม่อน...” ผมเรียกชื่อเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสับสน โกรธเคือง และตื้นตัน แปลกดีที่คนเราสามารถรู้สึกได้หลายอย่างขนาดนี้ในเวลาเดียวกัน

เขาประคองช่อดอกไม้นั้นลงในมือผมช้าๆ ก้มลงจรดริมฝีปากลงบนแก้มผมอีกรอบ

“ผมรักคุณ”

คำพูดนั้นทำให้ผมกำช่อดอกไม้ในมือแน่นขึ้น อารมณ์ที่ผสมปนเปกันจนชวนให้สับสนเมื่อครู่ ตอนนี้มีเพียงแค่ความโกรธที่วิ่งพุ่งขึ้นมานำความรู้สึกอื่นๆ

เขากล้าพูดคำนั้นออกมาได้ยังไง ในเมื่อเขาเองคือคนที่ทำลายความรักของผมจนยับเยิน

ผมเงื้อกุหลาบช่อนั้นขึ้นกลางอากาศ และก่อนที่จะทันได้คิดอะไรต่อมือของผมก็จับดอกไม้ช่อนั้นฟาดลงบนหน้าของไซม่อน

ใบหน้าคมหันไปตามแรง กลีบกุหลาบจำนวนหนึ่งหลุดกระจายออกมา ไซม่อนมีเลือดซิบออกมาที่ข้างแก้มเพราะหนามแหลมที่อยู่บนก้านไปเกี่ยวเข้า

ใจผมกระตุกวูบหนึ่งทันทีที่เห็นแผลนั่น หากผมกลบเกลื่อนมันด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่ห้วนสั้นที่สุด

“แต่ผมเกลียดคุณ”

ไซม่อนไม่พูดอะไรตอบ เขายกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเอง แตะบริเวณที่เลือดซึมออกมาจากนั้นก็หันมายิ้มอ่อนโยนให้ผมอีกครั้งราวกับม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมผงะถอยจากเขาทันทีที่ร่างสูงก้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้งจนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร”

“ถอยไปนะคุณ” ผมพยายามผลักไหล่เขาออก เคลื่อนตัวหนี แต่กุญแจมือนั่นยังคงตรึงข้อมือผมไว้กับหัวเตียงไม่ให้หนีไปไหน

ไม่มีที่ให้หนี และแรงของไซม่อนก็ไม่เคยน้อยกว่าแรงของผม เขาเชยคางผมไปรับสัมผัสจูบอ่อนหวานของเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่เคลิ้มง่ายๆ ผมพยายามผินหน้าหนีจูบของเขา แต่มันเป็นความพยายามที่ไร้ค่าเหลือเกิน

ลิ้นร้อนสอดเข้ามาอีกครั้งจนได้ ครั้งนี้มือหนาเอื้อมไปยึดหลังศีรษะของผมไม่ให้หันหน้าหนีไปไหน มือข้างที่เป็นอิสระของผมถูกไซม่อนยึดไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว และเมื่อไม่มีทางต่อต้าน ผมก็ต้องจูบกับเขาอีกจนได้

“ออสติน” เสียงอ้อนวอนของเขาฟังดูอ่อนระโหยจนน่าสงสาร ผมเม้มปากแน่นทันทีที่เขาเคลื่อนจูบออก ไล้ริมฝีปากลงบนหน้าผาก เลื่อนต่ำมาบนจมูกแล้วจบลงที่ริมฝีปากอีกรอบ จากนั้นจึงไล้ไปบนแก้ม นัวเนียอยู่ข้างหู กระซิบแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเหมือนจะขาดใจ “ผมขอโทษ”

“อึก” ผมก้มหน้าลงต่ำ ไซม่อนคลายมือที่ยึดข้อมือผมลง ผมใช้จังหวะนั้นกระชากมันขึ้นมาแล้วตบหน้าเขาอย่างแรงด้วยความอัดอั้น

เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัดภายในห้อง ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเพื่อข่มความเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่ามันเทียบไม่ได้กับบาดแผลในใจของผม

“คุณมันทุเรศ ไซม่อน คุณมันบัดซบสิ้นดี”

สิ้นคำพูดผมก็รู้สึกเหมือนเส้นความอดทนมันขาดผึง น้ำตาที่กลั้นไว้ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก ผมซบหน้าลงกับมือที่เหลือข้างเดียว ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไปหมดด้วยความรู้สึกอึดอัดที่ไหลวนอยู่ภายใน

อยากจะหนีไปจากคนข้างตัว แต่มือหนาก็เอื้อมมาแตะลงบนบ่าผม ออกแรงบีบแน่นขึ้นแล้วไซร้หน้าลงมาที่ซอกคอ ผมพยายามดิ้นตัวหนี แต่ทำยังไงก็ไปไม่พ้นจากสัมผัสพวกนี้อยู่ดี

ไซม่อนจูบผมอีกรอบ กระซิบถ้อยคำมากมายที่ข้างหูซ้ำไปมาราวกับแผ่นเสียงตกร่อง หากน้ำเสียงของเขาไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น

ผมลืมตาขึ้นไปมองหน้าเขา เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เราสบตากัน ผมรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้พังทลายลงมาหมดแล้ว

ทั้งเขาและผม ถ้าเราจะต้องพังพินาศกันไปทั้งสองข้างแบบนี้… ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าทั้งหมดนี่มันเพื่ออะไรกัน

“ผมเสียใจจริงๆ ที่ต้องทำให้คุณเจ็บปวดแบบนี้” น้ำเสียงของเขาทำให้ผมขอบตาร้อนขึ้นมาอีกจนได้ และทั้งๆ ที่ตัวเองเจ็บเจียนตายขนาดนี้ ผมยังสามารถนึกสงสารคนที่ทำให้ผมเจ็บได้ขนาดนี้อีก ไซม่อนก้มลงจูบขมับของผมอีกรอบ และครั้งนี้ผมสังเกตเห็นว่าหางตาของเขาเริ่มแดง “ผมขอโทษนะ”

ผมไม่ตอบอะไรเขา แต่อาการขัดขืนเริ่มหายไปแล้ว

ไซม่อนจูบผมอีกครั้งอย่างหวงแหนและอาวรณ์ เขารู้ดีว่าเวลาตรงนี้เหลือน้อยเต็มทน ผมก็รู้เหมือนกัน แต่ผมอยากให้ทุกอย่างจบลงเร็วๆ ในขณะที่อีกฝ่ายอยากให้มันอยู่ไปชั่วนิรันดร์

แต่มันต้องจบ… ก็นั่นคือความต้องการของผมนี่ และไซม่อนก็สัญญาแล้วว่าจะรั้งผมไว้แค่สามวัน

ชายหนุ่มวางหน้าลงมาบนบ่าของผมอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่จูบจนพอใจแล้ว ผมยอมให้เขาทำแบบนั้นโดยไม่ขัดขืน ไม่มีแรงแล้ว รู้สึกอึดอัดในอกไปหมดจนเหมือนหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ มือขวาผมเลื่อนไปขยำเสื้อที่ไหล่ของเขา ทำท่าเหมือนจะดึงมันให้พ้นไปจากตัวในตอนแรก แต่ผมกลับแค่จับเสื้อเขาไว้แบบนั้น

แรงรัดที่โอบรอบตัวผมอยู่เพิ่มมากขึ้น วินาทีหนึ่งผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นของเขา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วจนผมอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะแค่คิดไปเอง

ไซม่อนผงกหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกรอบ กรอบตาของเขาแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ หรือไม่ก็ร้องไปแล้ว แต่ใครสนกันล่ะ

ริมฝีปากคู่สวยทับลงมาบนเปลือกตาที่ยังชื้นน้ำตาของผม ไล้ปลายจมูกอ้อยอิ่งลงบนซอกคอ มืออีกข้างลูบเส้นผมของผมแผ่วเบาเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ผมเผลอลดการ์ดของตัวเองลงอย่างไมรู้ตัวเลยจนกระทั่งไซม่อนเริ่มขยับตัว ผละอ้อมกอดออกจากตัวผมนั่นแหละ ผมหันไปมองตาม ไซม่อนหยิบกล่องเล็กๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ หยิบแหวนออกมาแล้วสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายผมอย่างเงียบเชียบ

ผมเบิกตากว้างมองเขาอย่างตกตะลึง กำมือซ้ายที่ถูกพันธนาการติดไว้กับเตียงแน่น แต่มันสายเกินไปแล้ว แหวนวงที่ผมไม่ได้ปรารถนามาอยู่บนนิ้วแล้วเรียบร้อย มือขวาผมเลื่อนไปเตรียมจะเอามันออก หากไซม่อนคว้าข้อมือผม ออกแรงบีบเล็กน้อยราวกับจะอ้อนวอน หากยอมคลายลงในวินาทีต่อมา

“ผมเข้าใจว่าคุณไม่ต้องการมัน ออสติน”

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

“เพื่อบอกให้คุณรู้ว่าผมรักคุณจริงๆ… ผมกำลังขอคุณแต่งงานไง”

“เลือกเวลาได้ดีนะ” น้ำเสียงประชดประชัน แขนขวาออกแรงขัดขืนเพื่อจะกระชากแหวนนั่นออก ไซม่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“ถ้าคุณอยากจะโยนมันทิ้ง… ก็ช่วยทำตอนที่ผมไม่อยู่ได้ไหม”

“ทำไมผมต้องฟังคำพูดคุณด้วย”

นัยน์ตาสีฟ้าฉายแวววิงวอนจนผมใจอ่อนยวบ “ได้โปรด”

ผมนิ่งเงียบ แต่ก็ยอมปล่อยให้แหวนวงนั้นอยู่ในนิ้วต่อไปแบบนั้น

“อีกเดี๋ยวคุณก็จะไม่เห็นหน้าผมแล้ว”

“ผมเฝ้ารอเวลานั้นใจแทบขาด”

“ไม่ต้องย้ำนักก็ได้ครับ”

“ผมเกลียดคุณ”

“แต่ผมรักคุณจริงๆ”

“ขอที… ผมไม่อะไรในท้องให้เอาออกมานะ”

“เราจะคุยกันดีๆ สักห้านาทีเลยไม่ได้หรือไงครับ”

ผมขยับข้อมือซ้ายเพื่อให้กุญแจมือกระทบกับราวบนหัวเตียง “คุณล่ามผมไว้แบบนี้แล้วยังจะอุตส่าห์หวังอีกเหรอ”

“ใช่ ผมหวัง”

“ผมไม่ต้องการแหวนของคุณ”

“ถ้าอย่างนั้นก็โยนมันทิ้งไปครับ ออสติน ถ้าความรู้สึกที่อยากจะขอโทษ… ความรู้สึกผิดของผม ความรักของผมมันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับคุณก็โยนมันทิ้งไป มันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง”

ผมเม้มปากแน่น ผินหน้าหนีอีกฝ่ายที่พยายามเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนริมฝีปากแทบจะชนกัน ไซม่อนผละออกไปเล็กน้ออย่างรู้หน้าที่ เขาไม่ได้บังคับให้ผมจูบเขาในครั้งนี้ หากฝ่ามือไล้วนอยู่บนใบหน้าผมไม่หยุด

“ผมเสียใจจริงๆ ที่ทุกอย่างกลายมาเป็นแบบนี้”

ผมเองก็เหมือนกันนั่นแหละ

“ขอผมกอดคุณได้ไหม แค่กอดเท่านั้น ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้”

“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ”

“งั้นผมก็จะไม่ทำ แต่ผมอยากขอร้องคุณ ได้โปรดเถอะนะ”

น้ำเสียงของเขาอ้อนวอนจนผมเริ่มใจอ่อน หางตาเหลือบมองแหวนวงเกลี้ยงที่อยู่บนชั้นวาง อ้อนแขนของเขาโอบกอดลงมา ไซม่อนซบหน้าลงบนบ่าผมอย่างคนเริ่มหมดหวัง

“ได้โปรด ออสติน เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว… ผมเหลือเวลาอยู่กับคุณอีกไม่มากแล้ว”

ผมไม่ได้ตอบรับคำขอนั้น แต่ก็ยอมให้ไซม่อนกอดผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขัดขืนเขา แต่ก็ไม่ได้กอดเขาตอบ

หาก… ลึกลงในใจผม ผมเองก็หวังให้ช่วงเวลาทุกอย่างหยุดลงตรงนี้เหมือนกัน

ถ้าเกิดว่าเราสามารถลบเรื่องราวในอดีตทุกอย่างออกไปได้ ลบวันพรุ่งนี้ทิ้งไปได้ เหลือแค่ช่วงเวลาตอนนี้ บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด







แต่เวลาไม่เคยหยุดเดิน ทันทีที่ผมลืมตาตื่นขึ้นในเช้าอีกวัน ผมก็เห็นแผ่นหลังของไซม่อนอยู่ที่ปลายหัวเตียง กำลังติดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ต เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ถูกจัดแต่งอย่างดี กุญแจมือที่ข้อมือข้างซ้ายผมหายไปแล้ว ผมใช้มืออีกข้างลูบข้อมือของตัวเองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อีกฝ่ายยังคงจัดแต่งเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดถามออกมาไม่ได้

“แล้วหลังจากนี้คุณจะทำยังไง” ผมถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “ถ้าผมไปแจ้งความ คุณคงต้องเข้าไปอยู่ในคุกแหง หรือว่าจะสู้คดี? หาทนายเก่งๆ มาแก้ต่างให้”

ไซม่อนหันกลับมาก่อนจะยิ้มเศร้าๆ มาให้ผม “ไม่หรอก ถ้าคุณอยากให้ผมเข้าไปอยู่ในคุกจริงๆ ผมก็จะไป”

“งั้นก็เริ่มเตรียมตัวได้แล้วมั้งครับ”

“ผมยอมแล้ว ออสติน” เขาโน้มหน้าลงมาทาบจูบอ่อนหวาน มือเริ่มไล้ผิวกายของผมอีกครั้ง ผมสะดุ้งเบาๆ ตามสัมผัสวาบหวามนั่น “ผมคิดจะใช้เวลาสามวันนี้ง้อคุณ ทำให้คุณใจอ่อน และเราคงได้กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้ามันไม่ได้ผล ผมก็ยอมรับผลที่จะตามมาทั้งหมด”

“ความเสี่ยงสูงนะคุณ”

“ผมยอม”

“งั้นก็ขอให้โชคดี”

“โชคดีของผมขึ้นอยู่กับคุณ”

ผมไม่ตอบอะไรเขากลับรอบนี้ ก้มหน้าลงมองข้อมือข้างซ้ายที่เป็นรอยให้เห็น

“ขอผมจูบคุณได้ไหม”

ผมไม่ตอบเขาอีกเช่นกัน และเหมือนนั่นเป็นคำอนุญาต

ไซม่อนก้มลงมาจูบผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลิ้นร้อนกวาดเข้ามาจ้วงความหวานอย่างโหยหา นัวเนียลงมาบนซอกคอ พ่นลมหายใจร้อนให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว ทั้งที่ผมสาบานไว้กับตัวเองแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ไซม่อนทำอะไรอีก

แต่ผมก็ห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้มันเหมือนกินดาร์กช็อกโกแล็ตที่ให้รสชาติหวานและติดขมที่ปลายลิ้น ความขมตรงนั้นจะช่วยเน้นรสชาติหวานที่ว่าให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น

ชายหนุ่มผละจูบออกจากผมได้ในที่สุด เขาหยิบข้าวของของตัวเองก่อนจะหันกลับยิ้มบางๆ ให้ผม นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววร้าวลึกนั่นทำให้ผมลืมหายใจไปชั่วครู่ ผมทำได้แค่หลบตาเขาไปอีกทาง

“ผมไปก่อนนะ ออสติน”

ผมไม่พูดอะไรตอบ แล้วเขาหวังจะได้อะไรจากผมล่ะ คำอวยพรเหรอ?

“ผมรักคุณ”

แบบนั้นมันขี้โกงนี่

ผมไม่พูดอะไรตอบ เพียงแค่นั่งนิ่งๆ เงียบๆ บนเตียงระหว่างที่มองดูเขาปิดประตูไล่หลังไป มีความรู้สึกแปลกๆ แล่นเข้ามาในอกวูบหนึ่ง เหมือนหัวใจส่วนหนึ่งถูกกระชากออกไป

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีก





----------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้ววว รู้สึกเหมือนสองคนนี้จะรักกันยากจริงๆ TvT รักกันเถอะนะคะะะ ดีกันเถอะ //หลังจากทรมานทรกรรมกันมาขนาดนี้? นี่ชาติที่แล้วทำเวรทำกรรมอะไรกันมาไว้คะเนี่ยยย ถถถถถ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(100%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 24-09-2017 12:04:41
คนอ่านก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน  :sad4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(100%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-09-2017 12:52:26
ร้ายที่สุดไม่ใช่เวรกรรม แต่เป็นคนเขียนค่ะ (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(100%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 27-09-2017 10:36:12
ใครก็ไม่รู้ เอาเรื่องนี้ไปแชร์ในเฟส
เราก็หลวมตัวมาอ่าน
จริง ๆ เล้ยยยยยยยยยยย
ขอสมัครมาเป็นคนค้างด้วยอีกคน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 27)(100%) P.5 [22/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-09-2017 16:23:26

บทที่ 28




“เฮ้ ออสติน ศพนั้นจะเสร็จก่อนบ่ายโมงไหม นี่โดนสารวัตรเร่งมา”

“บ่ายโมงเหรอ ล้อเล่นใช่ไหม ทำไมเขาไม่ขอผลตั้งแต่เมื่อวานเลยล่ะ”

“เย็นไว้พวก เพิ่งเจอศพเมื่อเช้า” แม็กซ์ ชู เพื่อนร่วมงานที่กำลังตรวจอีกศพตอบกลับอย่างอารมณ์ดีขณะตรวจสอบรอยช้ำบนร่างศพแล้วเริ่มขีดเขียนลงบนกระดาษ ส่วนของผมเป็นศพผู้ชายที่เจอมาพร้อมกัน เรียกได้ว่าตายแบบแพ็คคู่ในบ้านของตัวเอง น่าสงสาร และผมคงมีความเห็นใจให้มากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังโดนเร่งงานอยู่นี่

ผมเริ่มกลับมาทำงานตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ปิดต้นฉบับงานเขียนและส่งให้โรงพิมพ์เมื่อเดือนที่แล้ว ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่อยู่บ้านเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ หัวผมเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องในอดีต ถามย้ำกับตัวเองบ่อยๆ จนแทบจะเป็นโรคประสาท อย่างเช่นว่าถ้าตอนนั้นผมไม่ทำแบบนั้นตอนนี้จะดีกว่าเดิมไหม

ถ้าเกิดผมยอมให้โอกาสคริสเตียนคราวนั้น… ถ้าเกิดไซม่อนบอกความจริงกับผมแต่แรก…

บลาๆๆ คำว่าถ้าเยอะเกินขนาดที่ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นเงินได้ ป่านนี้ผมคงรวยเป็นมหาเศรษฐี

“เฮ้ ถ้าได้ผลทุกอย่างแล้วสรุปมาให้ฉันหน่อยได้ไหม หรือว่านายจะเป็นคนรับหน้าตำรวจคราวนี้?”

“ม่ายล่ะ” ผมลากเสียงยาว ขีดปากกาลงในกระดาษที่อยู่บนที่รอง “ฉันเกลียดตำรวจ”

“แต่ก็คบมาแล้วตั้งสองคน”

“ใช่ พิสูจน์มาแล้ว ไม่มีดีสักราย”

“ไม่ลองดูอีกสักคนเหรอ ได้ยินพวกผู้หญิงพูดมาว่าสารวัตรคนนี้หล่อนะ”

ผมหันไปทำตาขวางให้ชู อีกฝ่ายฉีกยิ้มอย่างขี้เล่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยักไหล่อย่างยอมแพ้

“ไม่เอาก็ไม่เอา อุตส่าห์อยากช่วยให้นายหายจมปลักกับรักเก่า”

“ใครบอกว่าฉันจมปลัก?” ผมถามกลับขณะดึงกระดาษแผ่นบนสุดส่งให้ชู เจ้าตัวรับไปเทียบกับรายงานของตัวเองก่อนจะพูดตอบ

“ก็ไอ้ท่าทีซังกะตายของนายนี่ไง เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงช่วงแรกๆ ที่นายกลับมาทำงานหลังจากที่… เอ่อ โดนจับตัวไป แต่ตอนนั้นแย่กว่านี้พอสมควรแฮะ”

“รอบนี้ฉันแค่อกหัก ไม่ได้โดนปล้ำนี่”

“ทำไมชีวิตรักของนายมันอาภัพจังวะ ออสติน ลองเปลี่ยนมาคบผู้หญิงดูบ้างไหม”

“นายอยากลองนอนกับผู้ชายบ้างไหมล่ะ” ผมถามกลับอย่างท้าทาย ชูสะดุ้งตัวทันที

“เอ่อ ฉันว่าฉันเข้าใจความรู้สึกนายแล้ว ไม่ดีกว่า”

“เข้าใจก็ดี”

“นี่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดเพศนะ!”

“รู้แล้ว”

ผมเดินออกมาจากที่ทำงานเพื่อตรงดิ่งไปยังโรงอาหารของโรงพยาบาล มีเวลาพัก 30 นาที อยากจะหาแซนด์วิชกินรองท้องแล้วค่อยกลับไปดูงานเอกสาร กาแฟร้อนๆ อีกสักถ้วยคงจะวิเศษมาก

“ออสติน”

เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ผมหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแองเจลีนในชุดสูทกึ่งทางการก้าวเข้ามาหา ท่าเดินของหล่อนดูกระฉับกระเฉงมั่นใจ เหมือนพวกนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ

“แองเจลีน คุณมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย”

“ฉันทำวิจัยพวกผลิตภัณฑ์ยาให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งน่ะค่ะ ไซม่อนไม่เคยบอกคุณเหรอคะ”

“อ่า เหมือนจะเคยบอกครับ” ผมว่า “แปลว่าคุณทำงานที่นี่เหรอ”

“ย้ายไปเรื่อยๆ มากกว่าค่ะ แต่ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในที่ทำงานฉันเหมือนกัน”

“แดนเป็นยังไงบ้างครับ”

“สบายดีค่ะ” หล่อนยิ้มสดใสให้ กระชับแฟ้มเอกสารในอ้อมแขนเล็กน้อย “เดี๋ยวอีกสักพักฉันก็ต้องไปรับแกจากที่โรงเรียนเหมือนกัน แต่ต้องเคลียร์งานเอกสารนิดนึงก่อน”

“พอมีเวลาไหมครับ ให้ผมเลี้ยงกาแฟสักแก้ว--”

“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ แต่ขอเป็นโอกาสหน้าเถอะ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปทำงานต่อแล้ว แล้วนี่… คุณกับไซม่อน…”

ผมส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เจ้าหล่อน และเหมือนรู้ความหมาย แองเจลีนพยักหน้ารับเนิบๆ ให้ก่อนจะยอมถอยอย่างรู้จังหวะ

“ฉันเข้าใจค่ะ เอาเป็นว่าไว้คุยกันนะคะ รักษาสุขภาพด้วย อย่าโหมงานมาก”

“ขอบคุณครับ”

ผมมองเจ้าหล่อนเดินจากไปก่อนจะหมุนตัวตรงไปที่ร้านขายเครื่องดื่มทันที ผมสั่งมอคค่าร้อนมาถ้วยหนึ่ง ประคองแก้วกระดาษร้อนกรุ่นนั่นวางบนโต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์สั่น ข้อความจากใครบางคนที่ไม่ได้ติดต่อผมเป็นเดือนปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอ



Simon McNair: คุณเป็นยังไงบ้างครับ ออสติน



ใจผมแกว่งไปวูบหนึ่ง ใคร่ครวญถึงความหมายของคำถามนั้นก่อนจะถอนหายใจเฮือก กดปุ่มพักหน้าจอที่อยู่ด้านข้างมือถือ ยกกาแฟจิบเบาๆ ขณะปล่อยให้ใจลอยไปหาคนที่ส่งข้อความมาให้

ผมเองก็ยังถามเขากลับเหมือนกัน

เขาหวังคำตอบแบบไหนจากคำถามนั้นเหรอ?





“เฮ้ ออสติน”

ผมหันกลับไปมองเจ้าหน้าที่สาวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคดีของผมมาเป็นปี เลิกคิ้วให้ฮันนาห์ด้วยความแปลกใจ หล่อนก้าวเดินฝ่าฝูงชนที่สวนกันขวักไขว่มาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“สวัสดีครับ ฮันนาห์ ได้เรื่องอะไรคืบหน้าเกี่ยวกับคดีแล้วเหรอ”

ใช่  หลังจากที่เลิกกับไซม่อนได้ไม่นานคดีที่ตามหาตัวคนร้ายที่เคยไล่ล่าผมก่อนหน้านี้ก็โดนเปลี่ยนมือไปให้ฮันนาห์ เพรซตอนแทน ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เพราะผมคงกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยถ้าต้องรับรู้ความคืบหน้าคดีจากแฟนเก่าที่จบกันแบบ… เอ่อ ไม่ค่อยสวย

“ไม่เชิงค่ะ แต่วันนี้ฉันตั้งใจมาเยี่ยมคุณ ดูว่าคุณสบายดีไหมก็เท่านั้นเอง”

“อ้อ ครับ” ผมว่า กระชับแฟ้มในมือเล็กน้อย เพรซตอนมองตามอย่างสังเกต

“ขอโทษค่ะ นี่ฉันมากวนเวลาคุณรึเปล่า ถ้าคุณไม่สะดวก--”

“อ้อ ไม่หรอกครับ แค่กำลังจะกลับไปสำนักงานพอดี ทำพวกงานเอกสารน่ะ มาด้วยกันไหมครับ จะได้นั่งคุยกัน”

“ตกลงค่ะ นำไปเลย”

ผมวางแฟ้มเอกสารที่หอบหิ้วมาลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ดึงเก้าอี้จากโต๊ะทำงานข้างๆ มาแล้วผายมือให้เจ้าหล่อน ฮันนาห์นั่งลงก่อนจะถามเข้าประเด็นทันที

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ ออสติน ยังมีคนคอยตามคุณอยู่รึเปล่า”

ผมยักไหล่ ตอบตรงๆ “ถ้าถามผมผมก็ว่าไม่มีนะ หรือถ้ามีผมก็คงไม่รู้ตัว แล้วนี่ทางตำรวจไม่ได้เบาะแสอะไรอะไรเลยเหรอครับ”

ฮันนาห์ส่ายหน้า นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วตั้งแต่เจอเรื่องที่โรงพยาบาลรอบนั้น ช่วงแรกๆ ผมเองก็ประสาทเสียกับเรื่องนี้พอสมควรเหมือนกัน แต่ตอนนั้นมีไซม่อนอยู่ด้วย แล้วหลังจากนั้น… พอได้รู้เรื่องไซม่อนที่หนักหนากว่าเรื่องที่ว่า ไอ้ความกลัวที่มีต่อคนร้ายก็เลือนๆ ไป

แต่ไอ้การที่ตำรวจไม่ได้เบาะแสอะไรเลยแบบนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน มันพาลให้คิดไม่ได้ว่าคนพวกนี้ทำงานกันจริงๆ รึเปล่า ถึงฮันนาห์จะคอยมาถามไถ่ผมเป็นระยะๆ ก็เถอะ

“ก็เหมือนที่เราคุยกันคราวก่อนล่ะค่ะ คงต้องรอให้คนร้ายลงมือทำอะไรก่อนเราถึงจะเริ่มสืบต่อได้”

ผมพยักหน้า กรณีรอคนร้ายให้ลงมือก่อเหตุซ้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ในการสืบสวน

“แล้วก็… ฉันบอกคุณหรือยังว่าทางการยืนยันแล้วว่าคนร้ายที่กรีดขาคุณไม่ใช่ฆาตกรตัวเลข”

“คุณบอกแล้วครับ ฮันนาห์ ตั้งแต่คราวก่อนนู้นแล้วมั้ง”

เจ้าหล่อนบอกว่าจากการเทียบแผลของผมกับเหยื่อฆาตกรตัวเลขรายอื่นๆ วิธีการที่คนร้ายลงมือกรีดแผลนั้นต่างกัน และหลักฐานหลายๆ อย่างก็บ่งชี้ว่ารูปแบบในการลงมือต่างกันมากเกินไป อย่างเช่นว่าคนร้ายเพียงแค่ช็อตไฟฟ้าผมจนสลบแล้วก็กรีดตัวเลขที่ขาในกรณีผม แต่กับเหยื่อคนอื่นๆ มันลงมือข่มขืนแล้วก็ฆ่า

อือ เรียกได้ว่าต่างกันเยอะเลย

“แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนร้ายจะเลียนแบบฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ทำไม แล้วอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงกันแน่”

“แต่คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอคะว่าตัวเลขที่คนร้ายกรีดบนขาตรงกับวันที่คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนลักพาตัวคุณไป”

ผมนิ่งคิดไป โน้มตัวลงหาคู่สนทนาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง “คุณว่าเป็นไปได้ไหมถ้ามันจะแค่บังเอิญ”

“บังเอิญเหรอคะ” เพรซตอนขมวดคิ้วมุ่น “ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกค่ะ บางทีคนที่ทำอาจจะอยากขู่คุณ คุณนึกไม่ออกจริงๆ เหรอคะว่าใครบ้างที่อาจอยากทำร้ายคุณหรือมีความแค้นต่อคุณ”

คำถามนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจถามผมมาหลายรอบแล้ว ผมก็คิดตามทุกรอบนะ แต่คำตอบก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี

“ไม่ครับ ผมคิดไม่ออกเลย แต่ตอนแรกๆ ผมมั่นใจว่าเป็นคริสเตียนแน่ แต่ในเมื่อหมอนั่นตายไปแล้วก็ตัดความเป็นไปได้ที่ว่านั่นออก ผมก็นึกถึงใครไม่ออกแล้วล่ะ”

เจ้าหน้าที่สาวพยักหน้า ก่อนจะเริ่มตัดบทอย่างสุภาพ “เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกโดนคุกคามล่ะก็ ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ หรือถ้ามีอะไรผิดสังเกต ยังไงก็แจ้งให้ฉันทราบด้วยแล้วกัน”

“คุณคิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนที่มีความแค้นต่อผมจริงๆ เหรอ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วจับมือกับคนตรงหน้า เพรซตอนยักไหล่ทีหนึ่ง

“การที่เขากรีดเลขนั่นซึ่งมีความหมายเชิงลบต่อคุณขนาดนั้น ยังไงก็เป็นความแค้นส่วนตัวไม่ผิดแน่”

“แล้วคุณคิดว่าเขาทำไปเพื่ออะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ ปั่นประสาทคุณล่ะมั้ง”

“งั้นต้องบอกว่าเขาทำได้ไม่เลวเลย” ถึงตอนนี้จะไม่ประสาทเสียเท่าตอนแรกๆ ที่โดนแล้วก็เถอะ

ผมนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศจนถึงเวลาเลิกงาน ตัดสินใจไม่ทำงานล่วงเวลาเพราะงานที่ค้างอยู่ก็ไม่เร่งด่วนอะไร ไม่ได้อยากได้โอทีด้วย ที่สำคัญ… ครั้งสุดท้ายที่ทำงานล่วงเวลาจนดึกก็โดนคนร้ายปริศนาวิ่งไล่ตามจนจำฝังใจอีกต่างหาก เรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นมาผมไม่เคยอยู่ในออฟฟิศดึกดื่นถึงขั้นต้องอยู่คนเดียวเลย

ก้าวเท้าไปตามโถงทางเดินของสำนึกงาน เสียงรองเท้าเสียดสีไปกับพื้นดังเอี๊ยดอ๊าดสะท้อนไปมา ก่อนมันจะชะงักลงเมื่อเห็นใครบางคนยืนพิงอยู่กับผนังตรงหน้า

ไซม่อนอยู่ในชุดลำลองที่เรียกได้ว่าไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ เจ้าตัวกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่ตามประสาคนสมัยใหม่ที่พอไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบมือถือขึ้นมากด

เขาเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนใครบางคนจ้องนานเกินไป เมื่อเห็นว่าเป็นผม เจ้าตัวก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้ ถึงนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาจะดูอ่อนล้าและเกร็งๆ อย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนระหว่างพวกเราขึ้นมาที น่าจะเป็นเรื่องปกติกับคู่รักที่เพิ่งแตกแยกกันไป แต่เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปสักพักมันก็จะดีขึ้นเอง

“สวัสดีครับ ออสติน”

“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ ไซม่อน”

เขานิ่งไปนิด สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบตรงๆ “ผมมาหาคุณ”

“คุณรู้ไหมว่านั่นทำให้ผมนึกถึงอะไร” ผมได้ยินน้ำเสียงเยาะหยันของตัวเอง “คริสเตียนไง ตอนที่เราเลิกกันแรกๆ เขาก็มาวอแวผมแบบนี้”

ไซม่อนขมวดคิ้วใส่ผม ผมรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้เทียบตัวเองกับคริสเตียน แต่ผมก็อดใจพูดแขวะไปไม่ได้อยู่ดี

“สำหรับคุณแล้ว ผมแย่พอๆ กับไอ้โรคจิตนั่นจริงๆ เหรอ”

“พูดว่าคนอื่นเขานี่ ไม่ดูตัวเองเลยนะ”

ไซม่อนเงียบไป เหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขอความเห็นใจจากผม แต่ไอ้ความเงียบนั่นแหละที่ดันทำให้ผมใจอ่อน

“คุณต้องการอะไร”

“ผม… เอ่อ ผมแค่สงสัยว่าเราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ไหม”

ผมเลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่งอย่างฉงนเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“เราเคยเป็นเพื่อนกันด้วยเหรอครับ”

“ก็… อย่างน้อยก็ตอนที่เราจะนอนด้วยกัน ก็คงเรียกว่าเพื่อนได้มั้ง”

“คำนิยามของคุณน่าสนใจดี แต่คุณไม่ได้เข้าหาผมเพราะอยากเป็นเพื่อนแต่แรกไม่ใช่เหรอครับ”

“ผมแค่อยากทำให้แน่ใจว่าคุณจะปลอดภัย”

ใจผมกระตุกวูบกับคำพูดเรียบง่ายและตรงไปตรงมานั่น

“แล้ว… ถ้าเรากลับไปเป็นเพื่อนกัน นั่นจะทำให้ผมปลอดภัยเหรอ”

“อย่างน้อยผมก็ไปมาหาสู่คุณได้บ้าง เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าคุณอยากให้ผมช่วย”

“จริงๆ แล้วผมก็มีเพื่อนเป็นตำรวจนะ ไม่ต้องรบกวนคุณขนาดนั้นก็ได้”

“คุณมีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่แล้ว เพิ่มผมไปอีกสักคนจะเป็นอะไรไป”

ข้ออ้างของเขาแทบทำให้ผมอ้าปากค้าง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมนึกถึงช่วงที่ไซม่อนเข้าหาผมใหม่ๆ หมอนี่ชอบเอาสีข้างถู มัดมือชกกันตลอด และเพราะคิดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาจนได้

“นั่น ยิ้มแบบนั้นแปลว่าคุณโอเคแล้ว”

ผมหุบยิ้มลงแทบไม่ทัน “ผมว่าผมขอเวลาคิดสักหน่อยดีกว่า”

“ไม่เอาน่า ออสติน” มือหนาเอื้อมมาคว้าข้อมือผมที่กำลังจะเดินหนีไปอีกทางไว้อย่างรวดเร็ว “แค่เป็นเพื่อนกัน ไม่เห็นต้องเสียเวลาคิดขนาดนั้นเลย คุณก็รู้ว่าผมเป็นห่วงคุณ อย่างน้อยก็อย่าปิดช่องทางกันเลย”

“เป็นห่วงผมเรื่องอะไรไม่ทราบ” ผมยกยิ้มหวานให้เขา เป็นยิ้มหวานเชื่อมที่แม้แต่ตัวเองยังต้องขนลุก “อยู่กับคุณ ผมว่าน่าจะอันตรายมากกว่า แล้วทำไมคุณจะต้องมาห่วงผม?”

“เฮ้” ไซม่อนอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ผมใช้จังหวะนั้นดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา พอเริ่มตั้งสติได้เจ้าตัวก็รีบว่า “ไม่ยุติธรรมนี่ ผมเองก็ช่วยคุณมาตั้งหลายครั้ง อย่าง… เอ่อ ตอนที่คุณโดนคนร้ายวิ่งไล่จับน่ะ รู้ตัวรึเปล่าว่าคุณเกือบทำตัวเองตายเพราะยิงปืนมั่วซั่วแล้ว”

“อ้อ งั้นคุณก็มาช่วยผมจากตัวเองน่ะสิ ขอบคุณมากเลย ไซม่อน เป็นพระคุณจริงๆ”

“โอเค ฟังนะ” ไซม่อนสูดลมหายใจแรงๆ ทีหนึ่ง “ผมแค่อยากติดต่อกับคุณบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ต้องเป็นเพื่อนก็ได้ถ้าคุณไม่อยาก”

“แล้วถ้าผมบอกว่าผมไม่อยากให้คุณแวะมาหาเป็นครั้งคราวด้วยล่ะ?”

“ทำไมล่ะครับ”

“มันรบกวนผม”

คนผมน้ำตาลบลอนด์อ้าปากค้าง ดูเขาอึ้งไปไม่น้อยกัยการตัดเยื่อใยของผม ลึกๆ ผมก็รู้สึกผิดเหมือนกันแฮะ แต่ผมจำเป็นต้องปกป้องด้วยวิธีนี้ ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนใจอ่อน ถ้าผมยอมให้เขามาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ ล่ะก็… ผมคงยอมลงให้เขาหลายเรื่องแน่

ผมยกคิ้วให้เขาก่อนจะถามย้ำ “ว่าไงครับ”

“ก็… ถ้าคุณไม่อยากเจอผม ผมจะทำอะไรได้ล่ะ” เขาพูดคอตก ท่าทางผิดหวังอย่างรุนแรง ให้ตายเถอะ ไม่ยุติธรรมเลย หมอนี่ชอบทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่… จริงๆ แล้วที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาแท้ๆ

“ผมขอโทษ” ผมถอนหายใจเฮือกอย่างอดไม่อยู่ ส่ายหน้ารัวๆ ให้เจ้าตัว “แต่แบบนี้มันดีที่สุดแล้วสำหรับเราสองคน โอเคไหม คุณอยู่ส่วนของคุณ ผมอยู่ส่วนของผม… จริงๆ แล้วคุณควรจะดีใจนะที่ผมไม่แจ้งความเรื่องที่คุณทำก่อนหน้าที่เราจะแยกกันน่ะ”

“ใช่ ผมขอบคุณมากเลย เพราะงั้นให้ผมตอบแทน--”

เสียงเขาหายไปเมื่อเห็นตาวับๆ รู้เท่าทันของผม ไซม่อนถอนหายใจออกมาอีกเฮือก

“ผมจะบอกให้ว่าคุณจะตอบแทนผมได้ยังไง แค่ใช้ชีวิตของคุณก็พอ ไม่ต้องมายุ่งกับผม คดีผมตอนนี้คุณก็ไม่ได้เป็นคนทำแล้ว เพราะงั้นเราไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก”

“แล้วเหตุผลที่ผมรักคุณล่ะ?”

หน้าผมร้อนขึ้นวูบหนึ่งก่อนความหงุดหงิดจะเข้ามาแทนที่ความกระดากเขินอายนั้น

“ขอร้อง ไซม่อน อย่าพูดคำนั้นให้ผมได้ยินอีก ขนลุกชะมัด แล้วก็ขอโทษเถอะนะ แต่ผมต้องขอตัวล่ะ มีธุระต่อจากนี้”

“ทำไมคุณต้องโกหกความรู้สึกตัวเองด้วย ออสติน”

เขาคว้าแขนผมที่กำลังจะตรงดิ่งไปลานจอดรถอีกครั้ง เฮ้ย ครั้งแรกยังพอว่า ครั้งที่สองนี่ชักจะเยอะล่ะนะ เบื่อจริงๆ เลยพวกที่พูดจาไม่รู้เรื่องเนี่ย

“คุณพูดอะไรของคุณ” ผมมองเขาตาเขียว แต่ไซม่อนก็ไม่สะทกสะท้านเหมือนเคย

“ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ไปแจ้งความเรื่องผม”

ผมเงียบไป

“คุณก็ไม่ได้เกลียดผมอย่างที่คุณพยายามแสดงอยู่สักหน่อย”

“นี่ ไซม่อน แมคแนร์” ผมพูดอย่างอดทน กลบเกลื่อนท่าทีอ่อนไหวเพราะคำพูดเขามันไปจี้ใจดำเข้าอย่างจัง “ที่ผมไม่ไปแจ้งความเรื่องคุณน่ะ เพราะผมยังเห็นแก่เรื่องในอดีตของเรา เห็นแก่แดนแล้วก็แองเจลีนที่ยังต้องการคุณ คุณอาจจะไม่ใช่แฟนที่ดี แต่คุณก็เป็นอาที่ดี เป็นน้องสามีที่ดี อย่าโมเมไปหน่อยเลยว่าเพราะความรู้สึกของผมที่มีให้คุณ มันจบไปนานแล้ว”

“คุณโกหกไม่เก่งเลย รู้ตัวรึเปล่าครับ”

“คุณเองก็โคตรหลงตัวเองเลย รู้ตัวรึเปล่า” ผมย้อนคำพูดเขาพร้อมกับเดินหนีออกมา ซอยฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อไซม่อนเรียกชื่อผมไล่หลังมา

ผมตรงไปยังรถของตัวเอง ก้าวเข้าไปฝั่งที่นั่งคนขับ ปิดประตู จากนั้นก็ออกรถทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังคงพยายามตะโกนเรียกผม

“ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ ออสติน… เฮ้! ลงมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องเจอแต่กับไอ้พวกช่างตื๊อด้วยนะ

.
.
.
.
(50%)





--------------------------------------------
Talk: สุขสันต์วันศุกร์ค่ะทุกคน ^^ พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้วเนอะ แต่เราทำงานค่ะพรุ่งนี้ TvT เป็นวันเสาร์หลอกลวงแท้ๆ//กระซิก ตอนนี้เราเปิดนิยายเรื่องใหม่นะคะ แนวคล้ายๆ กับเรื่องนี้ เผื่อใครสนใจเข้าไปอ่านกันเนอะ>>http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356.0
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(50%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 29-09-2017 16:33:21
เริ่มจะสงสารไซม่อนแล้วสิ อย่าโกรธกันนานเลย หน่วงเกิน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(50%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-09-2017 16:52:12
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(50%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 30-09-2017 23:00:36
ฮือออ เมื่อไหร่เค้าจะดีกันอ่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(50%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 01-10-2017 11:13:42

[ต่อ]






ไซม่อนส่งข้อความมาหาผมสามครั้งหลังจากนั้น โทรเข้ามาอีกสาย แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปสักอย่าง และเขาก็ไม่ได้ตื๊อผมมากไปกว่านั้น ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะถ้ามากกว่านี้ผมอาจจะตัดรอนรุนแรงกับเขา ซึ่งในใจส่วนลึกของผมยังไม่อยากทำแบบนั้น คือผมไม่อยากคุยกับเขา ไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้อยากจะแตกหักกับเขาถึงขนาดมองหน้ากันไม่ติด ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันบ้างล่ะ

ข้อความที่สี่ถูกส่งมาหาขณะที่ผมเดินนำนายตำรวจคนหนึ่งไปที่ห้องเก็บศพซึ่งเจ้าตัวติดต่อขอตรวจสอบศพที่ว่ามาก่อนหน้านี้แล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูขณะที่อีกมือผลักประตูห้องเข้าไป ไซม่อนไม่เคยส่งข้อความตัดพ้อหรือเวิ่นเว้อน่ารำคาญมาให้ ทุกครั้งที่เขาส่งมาจะเป็นประโยคสั้นๆ และตรงประเด็น ราวกับกลัวว่าผมจะรำคาญ ซึ่งเขาคิดถูกแล้ว แต่คำถามสั้นๆ ที่ถามมาว่าผมเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเลวร้ายเสียทีเดียว

บางที… ผมอาจจะเริ่มตอบเขาข้อความนี้ ที่เขามาเจอผมครั้งล่าสุดหลายสัปดาห์ก่อนแล้วนะ ถ้าไม่ตอบอะไรเขาเลยก็จะดูเย็นชาเกินไป…

“เอ่อ คุณหมอการ์ดเนอร์ครับ”

“โอ้ โทษทีครับ” ผมหันไปหานายตำรวจที่เดินตามผมเข้ามาในห้อง

เนื่องจากในนี้มีที่เก็บศพเยอะพอสมควร ผมจึงก้มลงไปอ่านชื่อที่อีกฝ่ายให้มาก่อนหน้านี้แล้วตรงไปเปิดประตูของช่องที่เก็บร่างไร้วิญญาณออกมาให้อีกฝ่ายดู

“นี่ศพของโจนาธาน ลัมเบิร์ก ถ้าตรวจสอบเสร็จแล้วยังไงรบกวนคุณเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยนะครับ” ผมว่าพร้อมกับวางบอร์ดที่มีกระดาษเอสี่ติดอยู่ด้านบนลงบนโต๊ะ อีกฝ่าหันหน้ามารับคำขณะก้มลงไปสำรวจศพที่ว่า ผมใช้จังหวะนั้นเปิดข้อความที่ไซม่อนส่งมาให้อีกรอบ มือกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปอยู่แล้ว หากเสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่รายเดิมทำให้ผมต้องกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

“ขอโทษด้วยครับ คุณช่วยผมดูตรงนี้หน่อยได้ไหม”

“ครับ?” ผมก้าวเข้าไปหาร่างที่ไร้วิญญาณนั่นก่อนจะเริ่มพิจารณาส่วนที่คนข้างตัวอยากรู้ ให้ตายสิ ใครแม่งรับผิดชอบศพนี้เนี่ย ไม่ได้เขียนรายละเอียดลงในใบรายงานหรือว่าเจ้าหน้าที่คนนี้อ่านไม่ละเอียดกันนะ ให้ตายเถอะ



หลังจากเสร็จงานทางนั้นแล้ว ผมเดินกลับไปที่สำนักงานของตัวเองที่อยู่อีกตึกเพื่อเตรียมเคลียร์งานเอกสารที่ค้างคาในส่วนของอาทิตย์นี้ อาทิตย์ที่แล้วค่อนข้างยุ่งหัวปั่นในส่วนของภาคปฏิบัติ งานนั่งโต๊ะเลยเหลือล้นจนทำไม่ทันกันเลยทีเดียว

“เฮ้ ออสติน” เสียงของชูดังมาให้ได้ยิน ยังไม่ทันที่ผมจะถึงโต๊ะทำงานของตัวเองเลย “งานของสัปดาห์ที่แล้วน่ะ ทางแอลเอพีดีเร่งมาแล้วนะ นายทำเสร็จรึยัง”

“ยัง” ผมตัดบทเสียงห้วน กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ ดับเบิ้ลคลิกเม้าส์เพื่อเรียกใช้งานคอมพิวเตอร์ เสียงเจื้อยแจ้วของคนที่นั่งทำงานอยู่ด้านหลังยังดังมาให้ได้ยิน

“ถ้าไม่รีบทำมีหวังเราโดนด่ายับแน่ เพื่อนเอ๊ย คราวก่อนก็เลทงานเขาไปรอบหนึ่งแล้ว จำได้ไหม นายช่วยเร่งให้เสร็จวันนี้ได้หรือเปล่า”

“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น มีทางเลือกอื่นให้ไหมล่ะ”

“เฮ้ ไม่ต้องมาทำเสียงประชด ฉันไม่ใช่คนที่สั่งงานนะโว้ย”

ไม่รู้แหละ พาลไว้ก่อน พวกตำรวจนี่มันน่าเบื่อจริงๆ คิดว่าทำงานแบบนี้มันง่ายนักรึไงวะ

ผมนั่งจ้องหน้าจอตลอดทั้งเย็น รู้ตัวอีกทีพวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว ชูเองก็เก็บของใส่กระเป๋า ปิดคอม เตรียมกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ผมรั้งอีกฝ่ายเอาไว้อย่างนึกขึ้นได้ทันที

“เฮ้ แม็กซ์”

“ว่าไง”

“ขอยืมปืนอีกได้รึเปล่า”

“หา?” เจ้าตัวว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ชี้นิ้วไปที่รูบนพื้นซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมเคยทำปืนลั่นเอาไว้ “ยังไม่เข็ดอีกใช่ไหมครับ ออสติน หรืออยากทำรูใหม่?”

“เถอะน่า ฉันไปเรียนวิธีใช้มาแล้ว คราวนี้ไม่พลาดหรอก” หลังจากที่ผมทำปืนลั่นไปคราวก่อน ไซม่อนเลยพาผมไปสอนวิธีการยิงปืนที่ถูกที่สนามฝึก ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็เถอะ แต่พวกพื้นฐานอะไรผมน่าจะทำได้แล้วล่ะ

“วันนี้ไม่ได้พกมาด้วยว่ะ”

“ไหงงั้น”

“คงไม่เป็นไรแล้วม้าง ไอ้คนที่ตามบ่านายไม่ได้โผล่มาตั้งหลายเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ คงแค่อยากแกล้งนายเล่นคราวนั้นแหละ แต่พอเห็นนายกลัวแล้วแจ้งตำรวจเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้นคงไม่กล้าทำอะไรแล้ว”

“คงงั้นมั้ง” ผมพึมพำ ตาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแล้ววกกลับมองเนื้องานบนหน้าจอ น่าจะกินเวลาอีกพักใหญ่เลยทีเดียว

“ทำไมไม่มาทำต่อพรุ่งนี้ล่ะ”

“นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต้องทำให้เสร็จวันนี้” ไอ้บ้าชูชักจะเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง

“อือ… ก็ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เสร็จวันนี้ไง แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ปะวะ”

“ช่างเถอะ นายกลับไปก่อนเลย ฉันคงส่งเท่าที่ทำไหวไปให้ฝั่งนั้นแหละ”

“อยู่คนเดียวได้แน่นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก บอสก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมว่าขณะชำเลืองมองโต๊ะทำงานของหัวหน้าที่ยังมีกระเป๋าวางอยู่

“งั้นก็โชคดี ออสติน อย่าหักโหมไม่เข้าเรื่องล่ะ เข้าใจไหม เกิดหัวใจวายขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ไม่รู้จะหาหัวใจมาเปลี่ยนให้นายได้อีกรึเปล่านะ”

“นั่นปากเหรอที่พูดน่ะ กลับไปได้แล้ว ไป กวนสมาธิทำงานหมด”

“โอ๊ย รักเพื่อนจังว่ะ” พูดด้วยท่าทีทะเล้นแล้วจึงจากไป ผมยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ อย่างนึกขันจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำงานต่อ ทุ่มสมาธิทั้งหมดไปให้สิ่งที่อยู่ในหน้าจอ

โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นอีกทีในอีกสองชั่วโมงต่อมา ผมก้มลงมองข้อความที่ปรากฎขึ้นมา ข้อความที่ห้าจากไซม่อนนั่นเอง จริงสิ ผมว่าผมจะตอบเขานี่นะ ลืมไปเลย

“อ่า” พอหลุดจากห้วงสมาธิ ร่างกายก็เริ่มประท้วงเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทำงานเพลินจนลืมกินข้าวเย็นจนได้ ว่าแล้วก็ไปหาอะไรกินสักหน่อยดีกว่า

ผมเดินไปซื้อแซนด์วิชจากโรงอาหารที่ตึกหลัก ถือมันกลับมากินที่ตึกฝั่งสำนักงาของตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดมากที่ต้องคอยเดินข้ามไปข้ามมาแบบนี้ อยากให้มีร้านสะดวกซื้อแบบเปิด 24 ชั่วโมงมาอยู่ตึกฝั่งนี้บ้าง จะได้ไม่ต้องเดินถ่อไปถึงฝั่งนั้น

ผมหยิบแซนด์วิชขึ้นมาจากชั้นและเตรียมไปหยิบกาแฟกระป๋องที่อยู่ในตู้ใกล้ๆ กันก็พอดีกับที่มีเสียงใครคนหนึ่งร้องห้ามไว้

“คุณหมอจะซื้อกาแฟกระป๋องกินเหรอคะ ที่สำนักงานไม่มีแบบชงเองให้หรอกเหรอ”

ผมหันไปมองตามต้นเสียงทันทีก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แองเจลีนน่ะเอง หล่อนยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่ผมเจอตอนกลางวัน และนี่มันก็เวลาดึกมากแล้วผมจึงถามเจ้าหล่อนอย่างแปลกใจ

“คุณ… ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกละครับ ไม่ใช่ว่าต้องไปรับแดนจากที่โรงเรียนหรอกเหรอ?”

“ติดพันงานนิดหน่อยน่ะค่ะ” หล่อนตอบยิ้มๆ และเมื่อผมสังเกตดู เสื้อผ้าของเจ้าหล่อนดูยับและหลุดลุ่ยเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เรื่องปกติของคนที่ต้องทำงานล่วงเวลาอยู่แล้ว

“แล้วใครไปรับแกล่ะ”

“ฉันขอให้ไซม่อนจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ ขอให้เขาอยู่เป็นเพื่อนแกจนกว่าฉันจะกลับไปด้วย”

ชื่อของไซม่อนทำให้ผมชะงักไปนิด ก็แหงสินะ ก็หมอนั่นเป็นน้องชายของสามีที่ตายไปแล้วของเจ้าหล่อนนี่

“แล้วนี่… ตกลงว่าคุณจะซื้อกาแฟกระป๋องนั้นเหรอคะ มันไม่ค่อยอร่อยหรอกนะถ้าถามฉัน”

จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยกินไอ้ยี่ห้อที่กำลังจะหยิบด้วยสิ “แย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“อาจะแล้วแต่คนชอบค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดื่มด่ำกับกาแฟล่ะก็ ฉันแนะนำร้านคาเฟ่ที่อยู่ใต้อาคารนี้มากกว่า ฉันกำลังจะไปร้านนั้นพอดี ให้ฉันซื้อมาเผื่อคุณด้วยไหมคะ”

ผมลังเลเพราะรู้สึกเกรงใจเจ้าหล่อน “ไม่รู้สิครับ เดี๋ยวผมต้องรีบกลับไปทำงานที่ออฟฟิศต่อด้วย”

“เดี๋ยวฉันซื้อแล้วยกขึ้นไปให้ค่ะ สำนักงานคุณอยู่ชั้นไหนคะ”

“ชั้นแรกครับ แต่ผมว่า--”

“อ๊ะ ห้ามปฏิเสธค่ะงานนี้ เอาเป็นว่าฉันไปจัดการตามที่พูดก่อนดีกว่า แล้วเจอกันนะคะ”

“งั้นผมฝากเงิน--”

“ไม่เอาค่ะ อย่าลืมสิคะว่าคุณเคยช่วยดูแลแดนไว้ขนาดไหน”

ไม่รู้จะเถียงอะไรดีเลยแฮะ




ผมเดินกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองพร้อมกับแซนด์วิชที่เพิ่งซื้อมา ยังไม่เปิดกินเพราะตั้งใจว่าจะรอกาแฟแก้วเด็ดที่หญิงสาวอีกคนตั้งใจนำเสนอเสียก่อน ก้มหน้าก้มตาทำงานไปได้เกือบสิบนาที แองเจลีนก็ก้าวเข้ามาในสำนักงานผมพร้อมกับแก้วกระดาษสองใบในมือ ยื่นใบหนึ่งให้ผม ผมเลยจัดแจงดึงเก้าอี้ของแม็กซ์มาให้เจ้าหล่อนนั่งข้างๆ โต๊ะแล้วเริ่มลงมือแกะแซนด์วิชกิน

“นี่คุณต้องทำงานดึกแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ คงลำบากแย่”

“เป็นครั้งคราวครับ แต่คูรเองก็ทำงานดึกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ น่าจะลำบากกว่าผม เพราะต้องคอยดูแลแดนด้วย”

“อ่า… ก็ลำบากนิดหน่อยเหมือนกันค่ะ” เจ้าหล่อนยังคงยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ออกไปทางฝืดฝืนสักหน่อย “แต่ตอนนี้ไม่มีแบรดแล้ว ฉันต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเยอะอยู่ ไม่ตั้งใจทำงานเห็นจะไม่ได้ค่ะ”

อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างตรงหน้ามันลายตาขึ้นมานิดหนึ่ง ผมต้องยกมือขึ้นมาบีบที่หว่างตาเล็กน้อยขณะที่เริ่มบ่นกับตัวเองในใจว่าสงสัยจะฝืนตัวเองมากไป เพิ่งจะเริ่มกลับมาทำงานได้นิดเดียวแท้ๆ ยังจะซ่าทำงานถึงดึกดื่นอีก ไม่เจียมสังขารตัวเองเอาซะเลย

ผมยกกาแฟขึ้นดื่มอีกอึก รู้สึกเหมือนได้ยินแองเจลีนเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังต่อแต่จับใจความไม่ได้ว่าหล่อนกำลังพูดอะไร จนกระทั่งน้ำเสียงนั่นเปลี่ยนไปเป็นความกังวลนั่นแหละผมถึงจะเริ่มฟังออก

“ออสตินคะ คุณเป็นอะไรรึเปล่า ดูสีหน้าคุณไม่ดีเลย ไหวรึเปล่าคะ”

“ไม่… ผมไม่เป็น…” แต่ผมพูดได้เพียงเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วเห็นรอยยิ้มที่ฉายความพึงพอใจปรากฏอยู่บนมุมปากผมก็ต้องชะงักไปทันที

และนั่น… ผมถึงเพิ่งคิดตามได้ทันว่าน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเมื่อครู่เป็นแค่การเสแสร้ง

“อย่าฝืนเลยค่ะ คุณหมอ ถ้าง่วงก็นอนพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง”

ผมเหลือบมองถ้วยกาแฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มันเลือนลางจนผมแทบมองไม่ออก “คุณทำอะไร…”

แต่ผมไม่มีสติมากพอที่จะอยู่ฟังคำตอบ






--------------------------------------------------
Talk: เต็มตอนมาแล้ว! บอกแล้วว่าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร 555555 คนร้ายออกโรง ถถถถถ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(100%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 01-10-2017 11:24:03
เอ้า อะไรกันอีกละเนี่ย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(100%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-10-2017 01:44:57
สังหรณ์ใจตั้งแต่เจอตอนแรกแล้วค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(100%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 02-10-2017 16:37:34
ว่าจะดองไว้ก่อน แต่อดใจไม่ไหว
ค้างหนักเลย ทีนี้
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 28)(100%) P.6 [29/09/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-10-2017 15:42:19

บทที่ 29



เสียงออดดังขึ้นที่หน้าบ้านเรียกให้ใบหน้าคมละออกจากสมุดโน้ตที่อยู่ในมือ ไซม่อนวางข้อมูลที่เขาเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับคดีลง เปิดประตูให้หญิงสาวผู้เป็นพี่เลี้ยงของแดนที่เขากับแองเจลีนมักจะไหว้วานให้มาช่วยดูแลเด็กชายบ่อยๆ

"ขอบคุณที่มานะครับ แอน" ไซม่อนว่าหลังจากที่พวกเขาพูดทักทายกันพอเป็นพิธี เขาขยับตัวให้หญิงสาวเดินผ่านประตูเข้ามาด้านใน "จริงๆ ตอนแรกผมว่าจะอยู่รอจนกว่าแองจี้จะกลับมาเลย แต่พอดีผมมีงานล้นมือนิดหน่อย"

"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไซม่อน" แอนรับคำพร้อมรอยยิ้ม "ฉันยินดีช่วยอยู่แล้ว อีกอย่าง วันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่มีนัดหมายอะไรเป็นพิเศษ"

"ขอบคุณครับ" เขาว่า เบาใจไปได้เปราะหนึ่งแล้วว่าจะมีคนดูแลหลานชายที่นอนหลับไปแล้ว เขาขอให้แอนมาอยู่เป็นเพื่อนแดนด้วยคืนนี้เพราะตั้งใจจะกลับไปทำงานที่สำนักงานของตัวเองต่อ แองจี้อาจจะไม่พอใจที่เขาไม่ทำตามสัญญา แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน หล่อนคงพอเข้าใจ

ไซม่อนจัดการเก็บของเตรียมออกจากบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขารีบหยิบมันขึ้นมาโดยหวังว่าคนที่โทรหาเขาจะเป็นออสติน และความหวังที่ว่าก็ต้องดับไปอย่างรวดเร็วเมื่อสายที่โทรเข้ามาโชว์เบอร์โทรหราอยู่บนหน้าจอ บ่งบอกว่าเป็นเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกไว้นั่นเอง

"ครับ แมคแนร์พูด"

"เจ้าหน้าที่แมคแนร์ ขอโทษที่รบกวนดึกขนาดนี้นะครับ ผมไคล์ ไทเลอร์ คุณจำผมได้รึเปล่า"

ไซม่อนใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่จะนึกออกว่าปลายสายคือเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นเพื่อนของออสติน "ครับ ผมจำได้"

"ผมได้เบอร์มาจากเจ้าหน้าที่แลนดี้ ตอนนี้หล่อนกำลังติดพันนิดหน่อยเลยขอให้ผมเป็นคนโทรมาบอกคุณเรื่องนี้"

"เรื่องอะไรครับ"

"คืออย่างนี้ เราคิดว่าเราจับตัวคนที่เราเชื่อว่าเป็นคนร้ายที่วิ่งตามออสติน การ์ดเนอร์ที่โรงพยาบาลเมื่อหลายเดือนก่อนนี้ได้แล้ว เราไม่ได้จับกุมเขาด้วยข้อหานั้นหรอก เขาเป็นนักฆ่ารับจ้าง และตอนนี้เราพยายามสาวไปถึงการก่อเหตุอื่นๆ ที่เขาทำในอดีต แล้วมันเชื่อมโยงกับคดีของออสตินพอดี ผมก็เลยเรียกเจ้าหน้าที่แลนดี้ มาเพื่อให้ซักถามด้วย"

"เขาคือคนร้ายที่กรีดแผลลงบนขาออสตินเหรอครับ" ไซม่อนกระตือรือร้นขึ้นมาทันที หันหน้าไปโบกมือให้แอนที่นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกรอบหนึ่งเป็นเชิงขอตัวก่อนจะเปิดประตูเดินออกมาจากตัวบ้าน

"เปล่าครับ เขาได้รับการจ้างวานให้ข่มขู่ออสตินเพียงครั้งเดียว คนที่ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าแล้วกรีดขาออสตินเป็นคนอื่น เขาซัดทอดเรื่องนั้นให้คนที่ว่าจ้างเขา"

ไซม่อนเดินเข้ามานั่งในตัวรถแล้ว เขาปิดประตู คาดเข็มขัด เลื่อนโทรศัพท์มาหนีบกับบ่าโดยเอียงหูไปแนบติด "ใครคือคนที่ว่าจ้างเขาครับ"

คำพูดต่อจากนั้นแทบทำเอาไซม่อนตัวชาดิก

"แองเจลีน แมคแนร์… ภรรยาของพี่ชายที่ตายไปแล้วของคุณ"




สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือคือเพดานสีซีด หลอดไฟสีขาวที่ให้แสงสว่างมากเกินไปทำให้ผมต้องหรี่ตาลงอย่างเสียไม่ได้ ร่างกายของผมอ่อนแรง หัวก็ปวดตุ้บๆ เหมือนมีอะไรอยู่ด้านใน ครั้นพอจะขยับตัวลุกขึ้นผมก็ค้นพบว่าตัวเองถูกรัดติดไว้กับเตียงด้วยสายสีดำแบบเดียวกับที่ไช้รัดคนไข้เพื่อกันไม่ให้ดิ้นจนตกเตียง

ความกลัวท่วมท้นเข้ามาในใจทันทีที่รู้ถึงสถานะตัวเอง ประสบการณ์ที่โดนจับมัดเข้ากับอะไรสักอย่างไม่เคยเป็นเรื่องดี ท่ามกลางสติที่แสนเลือนราง ผมมองเห็นร่างของแองเจลีนที่กำลังพิจารณาแฟ้มในมือสลับกับเงยหน้าขึ้นมองตู้แช่ศพที่เรียงรายอยู่บนผนัง

น้ำเสียงของผมอ่อนระโหยทีเดียวยามที่พูดออกไป “คุณ… คิดจะทำอะไร”

เจ้าหล่อนเพียงแค่ระบายยิ้มบนมุมปากเป็นเชิงบอกว่าได้ยินคำพูดของผม แต่ไม่ตอบอะไร

ผมหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้า พยายามเรียกสติและความกล้าของตัวเองกลับมา ไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมไม่ให้เสียงสั่นภายใต้อุณหภูมิห้องที่ค่อนข้างต่ำและแรงกดดันที่หนักอึ้งซึ่งทับกดลงมาบนไหล่

“เป็น… คุณมาแต่แรก”

“เรื่องอะไรคะ” ในที่สุดเจ้าหล่อนก็ยอมปริปาก

“ทำไมรอบนี้คุณถึงไม่ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าอีกล่ะ”

ผมเห็นมุมปากเจ้าหล่อนยกยิ้มขันอีกรอบ “เครื่องช็อตไฟฟ้าก็ดีค่ะ ออสติน แต่ถ้ามีอะไรที่สะดวกกว่า ฉันก็เปลี่ยนไปใช้อันนั้นแหละ”

“เป็นคนยืดหยุ่นดีนะครับ”

“ค่ะ คนเราก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่เผชิญอยู่สิ ถูกไหมคะ”

ผมตัดสินใจกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาเล่นลิ้น

“คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

“ตายจริง ไม่ทราบหรือคะ” หล่อนว่าขณะออกแรงดึงช่องแช่แข็งช่องหนึ่งออกมา มีศพของชายวัยเจ็ดสิบกว่านอนนิ่งอยู่ในนั้น แองเจลีนปิดมันกลับไปอย่างรวดเร็ว “ฉันนึกว่าคนเป็นหมอจะฉลาดกันทุกคนเสียอีก”

จิกกัดได้เจ็บแสบดี

“เรื่องของแบรดงั้นเหรอ”

แองเจลีนนิ่งเงียบ และคราวนี้ไม่มีรอยยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ บ่งบอกให้รู้ว่าผมมาถูกทางแล้ว

“คุณเข้าใจผิด” เสียงผมแผ่วเบาจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ “หัวใจที่ผมได้มา… ไม่ใช่ของแบรด”

“โอ้ เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วค่ะ”

“แล้วทำไม…”

“คริสเตียนเป็นคนฆ่าแบรด”

ผมรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเยียบทีเดียวตอนที่เจ้าหล่อนพูดประโยคแสนเรียบง่ายนั้นออกมา จากนั้นอะไรๆ ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นในหัว

“เขาฆ่าแบรดเพราะว่าเขาอากจะช่วยชีวิตคุณ” นัยน์ตาของคนพูดว่างเปล่าอย่างน่าขนลุก “เพราะคุณ”

“ไม่…” ผมเค้นเสียงออกจากลำคออย่างยากลำบาก แค่ความรู้สึกผิดที่ว่าคนบริสุทธิ์สามคนต้องตายเพราะผมก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่มันแย่กว่านั้นอีก “ผมไม่ได้… อยากให้มันเป็นแบบนี้”

“อ้อ งั้นเหรอคะ”

“ได้โปรด” ปากผมว่าแบบนั้น หากสายตาพยายามกวาดมองสายที่รัดร่างตัวเองเอาไว้จะหาทางปลดมันออกได้อย่างไรบ้าง แต่ดูแล้วช่างไม่มีหวังเอาเสียเลย

อันที่จริงแล้วพื้นที่ส่วนตรงนี้เป็นพื้นที่เฉพาะเจ้าหน้าที่ จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดจึงจะสามารถผ่านเข้ามาได้ แต่ผมไม่สงสัยเลยว่าแองเจลีนเอาคีย์การ์ดที่ว่ามาจากไหน ก็ต้องจากในกระเป๋าของผมอยู่แล้ว

แองเจลีนไม่สนใจคำพูดขอร้องของผม หล่อนเปิดช่องที่เอาไว้ใส่ศพออกมาอีกช่อง ผมออกแรง ขยับทุกส่วนของร่างกายเพื่อดูว่าสายที่รัดนี้มันแน่นหนาขนาดไหน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อผมเริ่มดิ้น สายรัดที่ว่าก็กดทับเบียดเนื้อลงมาจนแสบไปหมด แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อวัตถุมีคนบางอย่างเฉือนเนื้อตรงบริเวณแขนซ้ายไป ปักส่วนปลายลงบนเตียงที่ผมกำลังนอนอยู่

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองแองเจลีนที่ปรายตามองมาทางผมด้วยสายตาวาวโรจน์ ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่พอใจที่ผมพยายามออกแรงดิ้นเท่าไร หญิงสาวดึงมีดเล่มเล็กซึ่งเป็นอาวุธทางการแพทย์ออกจากตรงนั้น แผลตรงนั้นไม่ใหญ่แต่บาดลึกทีเดียว ส่งผลให้เลือดหยดลงเป็นสาย ส่วนหนึ่งของมันซึมไปบนผ้าปูสีขาว ดูแล้วราวกับบาดแผลร้ายแรง จากนั้นก็ตามมาด้วยอาการปวดหัวจนภาพทุกอย่างพร่าเลือน

"คุณนี่มันดื้อด้านจริงๆ สงสัยยาที่ฉันใส่ไปจะยังไม่แรงพอ"

"ปล่อย... ผม"

อาการมึนหัววูบกลับมาอีกครั้ง ภาพทุกอย่างเริ่มเลือน แต่แล้วผมก้ต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างงุนงงเมื่อแองเจลีนปลดสายที่รัดตัวผมไว้กับเตียงออกจริงๆ

ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ แองเจลีนก็กระชากคอเสื้อผมให้ลุกขึ้นจากเตียง ผมหันไปมองตามทิศทางที่แรงนั้นพาไปก่อนหน้าจะต้องซีดลงเมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนเปิดช่องสำหรับแช่ศพที่ว่างเปล่าเอาไว้ให้รอท่าอยู่แล้ว ผมขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ฤทธิ์ยาที่ยังตกค้างอยู่ในตัวทำให้ร่างกายปวกเปียกไปหมด

หลังจากพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็ต้องจำยอมให้คู่กรณีทุกอย่างเมื่อแองเจลีนควักปืนขึ้นมาชูให้ผมดูจังหวะหนึ่งเป็นเชิงขู่ ผมชะงักนิ่งไปเลยเมื่อเห็นอาวุธชิ้นนั้น รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกยัดเข้าใส่ตู้แช่ศพที่เป่าลมเย็นไปถึงขั้วกระดูก แต่ผมไม่แน่ใจว่าที่ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่เป็นเพราะอุณหภูมิติดลบของไอ้ช่องแช่ศพนี่หรือว่าความกลัวที่บีบรัดเข้ามาจนอกแทบจะระเบิดกันแน่

"แอง--- อย่า ได้โปรด!"

หญิงสาวไม่ตอบ มีเพียงเสียงที่เหมือนลงกลอนประตูดังกริ๊กสั้นๆ ให้ได้ยิน ผมชาไปทั้งตัวเมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ของตัวเอง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝ่าม่านหมอกในหัวซึ่งเกิดจากฤทธิ์ยา พยายามขยับมือป่ายไปยังพื้นที่รอบๆ ที่โอบล้อมตัวเอาไว้ พื้นที่คับแคบพอดีตัวทำให้ผมรู้สึกราวกับร่างกายถูกบีบอัดลงมาเรื่อยๆ

ผมเริ่มทุบผนังด้านบนอย่างเสียขวัญ สติเฮือกสุดท้ายตะโกนบอกให้ผมรู้ว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าผมจะตายอยู่ในนี้แน่ถ้าไม่รีบหาทางออกไป ความกลัวทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งของตัวเอง

"ปล่อยผมออกไป ขอร้องล่ะ ปล่อยผม!"

แต่เสียงของผมเลือนหายไปในความมืด

.
.
.
.
.
.
(50%)





-----------------------------------------
Talk: ออสติน คุณช่างเป็นนายเอกที่น่าสงสารจริงๆ T.T ชีวิตมีแต่เรื่องเนอะ แถมเรื่องที่ว่าแต่ละเรื่องนี่ก็หนักๆ ทั้งนั้น ทำไมโลกมันโหดร้ายกับคุณจัง ถถถถถ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(50%) P.6 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 06-10-2017 16:08:06
ไซม่อนต้องมาช่วยแหละใช่มั้ยย รออย่างมีความหวัง :mew2:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(50%) P.6 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 07-10-2017 08:43:07
เจอเรื่องร้ายๆไม่จบสักทีเลยยย ลุ้นว่าไซม่อนจะมาช่วยออสตินทันไหม?
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(50%) P.6 [6/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-10-2017 11:05:05

[ต่อ]



ไซม่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับรถมาถึงที่ทำงานของออสตินได้อย่างไร เขาพรวดพราดออกจากรถ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาล ไปที่ห้องทำงานภาคปฏิบัติของออสตินก่อนเป็นที่แรก มันว่างเปล่าไร้ผู้คน เขาต่อสายโทรหาออสตินอย่างร้อนรน ไม่มีการตอบรับ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ออสตินก็ไม่ค่อยตอบเขาอยู่แล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่การที่เขาโทรไปหาแองจี้แล้วอีกฝ่ายไม่รับสายเขาเช่นกันนี่สิที่เป็นเรื่องน่ากังวล

ชายหนุ่มวิ่งมาถึงสำนักงานของออสติน ประตูสำนักงานยังเปิดอยู่ เขาก้าวเข้าไปข้างในเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคนที่เขาต่อสายดังขึ้น ใจของเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ของออสตินสั่นครืดคราดอยู่บนโต๊ะ ข้างๆ กันนั้นมีแก้วกาแฟกับถุงพลาสติกที่บ่งบอกว่าเคยมีใครนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนที่เขาจะมาถึง หากไม่มีวี่แววของเจ้าของของพวกมันอยู่

เขาพรวดพราดออกมาจากสำนักงานนั้นอย่างร้อนรน กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังตึกหลักของโรงพยาบาล เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกทำให้ผู้คนบางตาอย่างน่าใจหาย

แล้วสายตาคู่คมก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่เขาทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอ แองเจลีนก้าวเท้าฉับๆ อย่างที่หล่อนทำเป็นประจำ การย่างก้าวนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออก หากสีหน้าลุกลี้ลุกลนของหล่อนมันปิดได้ไม่มิด

ไซม่อนกัดฟันกรอด เขาถลาเข้าไปหาพี่สะใภ้อย่างรวดเร็ว แองเจลีนสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนาตะปบลงมาบนไหล่ หากวินาทีต่อมาหล่อนก็กลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว

“ไซม่อน อะไรกันคะเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วแดน--”

“ออสตินอยู่ที่ไหน”

ไซม่อนสังเกตเห็นอาการตกใจในแววตาของหญิงสาวได้ “คุณพูดเรื่องอะไร”

“อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น ผมรู้แล้วว่าคุณเป็นคนทำร้ายออสติน”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะ--”

“เขาอยู่ที่ไหน!”

เสียงตะโกนของชายหนุ่มเรียกให้ผู้คนบริเวณนั้นหันมามองอย่างสนใจ แองเจลีนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นก่อนจะพูดออกมาเสียงเบาอย่างอัดอั้น

“คุณหมอนี่เนื้อหอมจริงนะคะ ทั้งกับคุณแล้วก็กับคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

“แองจี้ ฟังนะ… เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของออสตินเลย”

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าเขาผิดนี่”

แต่แววตาของเจ้าหล่อนไม่ได้หมายความตามที่พูดเลย

“บอกผมมา… ได้โปรด แองเจลีน คุณเอาออสตินไปไว้ที่ไหน คุณฆ่าเขาไปแล้วเหรอ”

หญิงสาวกระตุกยิ้มบนมุมปากแบบที่ตีความหมายอย่างอื่นเป็นไม่ได้ ไซม่อนตัวชาวาบ แต่ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าเขาก็ยังไม่ยอมรับ

“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น ว่าแต่คุณมาอยู่ที่นี่แล้วแดน---”

“คุณแม่งบ้าไปแล้ว แองจี้ ทำไมถึงได้ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้ คุณเองก็มีลูกชายแท้ๆ ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าเขาจะเป็นยังไงถ้าไม่มีคุณ”

นัยน์ตาของเจ้าหล่นอวาวโรจน์ทีเดียว “ถ้าคุณยังไม่เลิกพูดจาไร้สาระ---”

“เราจับตัวคนที่คุณจ้างไปขู่ออสตินได้แล้ว”

คำพูดนั้นเหมือนไม้หน้าสามหวดลงกลางแสกหน้า เจ้าหล่อนหน้าชาและไซม่อนก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวของพี่สะใภ้ได้

เขาบีบบ่าหล่อนแน่น “บอกผมมา ได้โปรด ออสตินอยู่ที่ไหน ถ้าคุณรีบแก้ไขทุกอย่างเสียตั้งแต่ตอนนี้…”

“ทำใจเถอะค่ะ ไซม่อน” หญิงสาวจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”

แล้วสายตาของเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่แลบออกมาจากเสื้อตัวนอกของเจ้าหล่อน เขาคว้ามันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตอีกฝ่ายด้วยซ้ำ มันคือบัตรผ่านเข้าออกของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลนี้ และมันเป็นของออสติน

เขาหยิบมันขึ้นมาชูตรงหน้าอีกฝ่ายก่อนจะพูดด้วยความโกรธจัด

“เนี่ยเหรอที่คุณบอกว่าไม่รู้ว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร!”

“ไซม่อนคะ ฟังก่อน ฉัน--”

แต่เขาไม่ทำตามคำขอนั้น อะไรบางอย่างในตัวเขากำลังบอกว่าอีกฝ่ายแค่พยายามถ่วงเวลาเขาอยู่เท่านั้นเอง เขาวิ่งไปตามที่แองเจลีนเดินผ่านมาโดยหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามันจะช่วยนำทางเขาไปหาออสตินได้

แองเจลีนยังคงวิ่งตามเขามาพร้อมกับตะโกนไล่หลังเป็นเชิงให้เขาหยุด ไซม่อนวิ่งมาตามโถงทางเดินเรื่อยๆ สวนกับเจ้าหน้าที่บางคนที่หันมาเอ็ดเขาว่าห้ามวิ่งในพื้นที่นี้ และในที่สุดสายตาเขาก็สะดุดกับเก้าอี้ล้อเลื่อนที่เอาไว้ใช้เข็นคนป่วยที่อยู่ผิดที่ผิดทาง บางทีอาจจะแค่บังเอิญ แต่ไซม่อนไม่คิดแบบนั้นเช่นกัน

เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูบานกระจกซึ่งเป็นสถานที่ที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้า ไซม่อนยกบัตรผ่านของออสตินขึ้นแตะกับแผงเซ็นเซอร์พร้อมกับดันไหล่ เปิดประตูพรวดเข้าไปข้างใน วิ่งไปตามโถงทางเดินที่ปราศจากผู้คนอย่างร้อนรน

ไซม่อนเปิดประตูห้องแรกเพื่อดูว่ามีอะไรด้านใน แล้วเจ้าตัวก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นช่องประตูมากมายเรียงกันตามผนัง เขารู้ทันทีว่ามันคือช่องแช่แข็งที่เอาไว้ใส่ร่างที่ตายไปแล้วเพื่อคงสภาพศพเอาไว้ แล้วลองนึกไปว่าออสตินอาจจะอยู่ในไหนสักช่องของที่เก็บศพนี่แล้ว…

“ไซม่อน พอได้แล้ว คุณคิดจะทำอะไรน่ะ”

แองเจลีนที่วิ่งตามร่างสูงมาทันเอ่ยปากอย่างร้อนรนเมื่อเห็นอีกฝ่ายกระชากช่องเก็บศพออกมาดูทีละช่องอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มี… ไม่มีร่างของคนที่เขาตามหาอยู่ในห้องนี้

เขาผลักไหล่หญิงสาวออกก่อนจะวิ่งไปยังห้องต่อไป มันมีช่องประตูเรียงกันเป็นแถบเหมือนห้องที่แล้วไม่มีผิด ไซม่อนขมวดคิ้ว เขาเดินไปเตรียมจะเปิดช่องที่อยู่ขวาบนสุดก่อนแล้วจึงไล่เปิดไปเรื่อยๆ หากร่างสูงต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยิน หากหางตาเลื่อนไปเห็นคราบเลือดที่ติดอยู่บนขอบประตูที่เป็นร่องรอยบ่งบอกว่ามีการเช็ดเลือดออกไปตรงส่วนหน้าแต่คนเช็ดเร่งรีบเกินกว่าจะทำให้มันสะอาดหมดจดจริงๆ

มือหนาเอื้อมไปกระชากช่องนั้นให้เปิดออก ใจหายวูบเมื่อเห็นร่างของออสตินนอนขดตัวอยู่ด้านในสีผิวซีดเผือดไม่ต่างอะไรจากศพอื่นๆ ที่เขาเปิดเจอมาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

แต่ลมหายใจขมุกขมัวที่เป่ารดออกมาบางเบาทำให้ไซม่อนใจชื้นขึ้น มือหนาเอื้อมไปแตะแก้มของออสตินอย่างหวาดกลัว มันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเลยทีเีดยว ไซม่อนรู้สึกว่าลมหายใจขัดกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาพยายามประคองร่างของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาขณะเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ออสติน ออสตินครับ ได้ยินผมไหม”

นัยน์ตาสีเทาค่อยๆ ปรือขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ไออุ่นที่แผ่มาจากร่างของใครอีกคนให้ความรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไซ… ม่อน”

ปัง!

ร่างสูงล้มตัวกระแทกลงไปบนพื้นทันทีที่ลูกกระสุนเจาะเข้าตรงบริเวณหน้าท้อง ออสตินที่แม้จะยังได้สติไม่เต็มที่ส่งเสียงร้องสั้นๆ ออกมาด้วยความตกใจ เขามองเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากปากแผลของคนที่เกลือกกลิ้งบนพื้นขณะก้าวออกจากช่องเก็บศพที่ถูกยัดเข้าไปอย่างทุลักทุเล

ออสตินคลานมาจนถึงตัวอีกฝ่ายจนได้ เห็นบาดแผลที่เลือดที่ไหลอาบลงมาจากหน้าท้องของไซม่อนแล้วความหวาดกลัวก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจทันที ประเมินได้จากสายตาเลยว่ากระสุนฝังใน ปริมาณเลือดที่ทะลักออกมาอาจจะทำให้ไซม่อนตายได้ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าด้วยซ้ำ บาดแผลที่โดนยิงที่ท้องนั้นเรียกได้เลยว่าเป็นตายเท่ากัน

หากเขาไม่มีเวลาห่วงอีกฝ่ายมากนัก สัมผัสเย็นเยียบของปากกระบอกปืนกดลงที่ข้างขมับ ออสตินได้ยินเสียงหัวใจที่เหมือนจะกระดอนออกมาจากอกด้วยความหวาดหวั่น มันปนเปไปกับเสียงครางเบาๆ ของไซม่อนที่นอนอยู่บนพื้น นัยน์ตาสีเทาชำเลืองไปมองนิ้วที่ค้างอยู่ที่ไกปืน แองเจลีนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“คุณนี่ทำเสียเรื่องจริงๆ ไซม่อน ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบแล้วแท้ๆ รักเขานักใช่ไหมคะ คนที่ทำให้พี่ชายของคุณตายน่ะ”

“อย่า…” ออสตินปิดเปลือกตาลงเมื่อเห็นนิ้วเจ้าหล่อนเคลื่อน เขารู้ดีว่าแองเจลีนต้องลั่นไกแน่ๆ เพราะนั่นเป็นจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่หล่อนทำเรื่องทั้งหมดนี้

ปัง!

เสียงปืนดังลั่นตามที่ออสตินคาด แต่ร่างที่ล้มลงไปนอนไม่ใช่ตัวเขา ชายหนุ่มลืมตามองร่างของหญิงสาวที่ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะหันกลับไปทางที่เสียงปืนลั่นขึ้นมาอย่างตกใจ

ควันสีขุ่นลอยกรุ่นออกมาจากปากกระบอกปืนในมือของไซม่อน เขาหอบหายใจจนตัวโยนขณะค่อยๆ วางมันลงกลับพื้นอย่างอ่อนแรง หันหน้ากลับไปมองออสติน มองตาของอีกฝ่ายขณะที่ลดศีรษะลงราบไปกับพื้นตามเดิม ออสตินทาบมือลงบนแก้มของไซม่อนอย่างแผ่วเบาด้วยความหวาดกลัว รู้สึกว่าหางตาร้อนขึ้นมาเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะตายไปทั้งๆ อย่างนี้

“ไซม่อน” เขาได้ยินเสียงตัวเองเรียกคนบนพื้นอย่างโหยหา วินาทีนั้นเขาคิดแค่อย่างเดียว คือไม่อยากให้คนตรงหน้าจากเขาไป เจ้าตัวยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแตะบนแก้มเย็นเฉียบของตัวเอง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เย็นลงเหมือนกัน “อยู่กับผมนะ ไซม่อน อยู่กับผม”

“ออสติน” ชายหนุ่มปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างซีดเซียว “ในที่สุด… คุณก็ยอมให้ผมสัมผัสคุณ… สักที”

“แข็งใจไว้นะ ไซม่อน คุณต้องไม่เป็นไร”

“ออสติน” เสียงแหบแห้งนั่นเรียกเขาอย่างโหยหา ยิ่งบีบหัวใจของคนฟังมากขึ้น “ยกโทษ… ยกโทษให้ผมนะ ที่ผ่านมา”

ออสตินปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาบนแก้ม เขาออกแรงบีบมืออีกฝ่ายที่ยังอยู่บนแก้มเขาแน่นขึ้น

“ผมเสียใจ… จริงๆ”

“ผมรู้ ไซม่อน ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มว่า แม้จะเริ่มรู้สึกว่าสติค่อยๆ เลือนรางเพราะความอ่อนแอของร่างกาย แต่เขาก็พยายามฝืนให้ตัวเองให้มีสติอยู่กับคนตรงหน้า “ผมยกโทษให้คุณ แค่… แค่คุณอยู่กับผม นะ”

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากความเงียบระหว่างพวกเขาที่โรยตัวเข้ามาทำให้ออสตินนึกกลัว เขาเหลือบมองบริเวณที่กระสุนฝังเข้าไปอีกรอบก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองที่ใบหน้าคม ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ชิดจนลมหายใจเป่ารดใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาในห้องพร้อมกับเริ่มส่งเสียงเอะอะแล้ว แต่ออสตินไม่สน เขาเรียกชื่อของคนที่อยู่บนพื้นโดยที่หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบเขากลับอย่างที่ทำจนถึงเมื่อครู่

“ไซม่อน” ออสตินเรียก แต่ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา มือที่กุมมือของไซม่อนไว้แน่นยอมปล่อยเพื่อให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพาร่างของคนเจ็บไป เขาพยายามจะลุกขึ้นตาม หากร่างกายยังอ่อนแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนเฉยๆ ด้วยซ้ำ

“ไหวรึเปล่าคะ” เจ้าหน้าที่สาวอีกคนตรงปรี่เข้ามาทางเขาพร้อมกับช่วยประคองตัว ออสตินอยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าไม่ต้องห่วงเขา แต่ช่วยไปดูแลคนที่โดนยิงตรงนู้นดีกว่า

แต่แค่แรงจะเปิดเปลือกตาขึ้น เขายังไม่มีเลย





------------------------------------------------
Talk: อ๊ากกก ตอนหน้าก็จบแล้ว ว้ากกกกกก ยังไงก็ฝากขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ//ม้วฟ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 08-10-2017 11:57:45
จะจบแล้วเหรอ อยากเห็นเค้าสวีทกันหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆซะที ขอบคุณคนแต่งนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2017 12:41:45
เกลียดแองเจลีน ทำร้ายออสตินเพราะคริสเตียนฆ่าสามีตัวเอง
โอ๊ย นางรักแต่ผัวไม่คิดถึงลูกชายเลย รู้สึกนางบ้าไปแล้ว
ออสติน ไม่ได้ไปทำอะไรผัวนางสักนิด เฮ้อ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
น่าจะจับนางเข้าตู้แช่ศพบ้าง ว่ามันมีรสชาติอย่างไร เหอะ....ทำไปด้าย
สุดท้ายไซม่อนก็ต้องเป็นคนดูแลลูกนาง

ออสติน รู้แล้วสินะว่าคนที่ทำรายตัวเองคือแองเจลีน
ไม่ใช่ไซม่อน ก็เมื่อเกือบจะตาย แล้วไซม่อนก็มาช่วย
รอบทหวานๆ ของไซม่อน ออสติน
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-10-2017 14:05:37
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2017 01:18:07
แองจี้ไม่เผื่อใจไว้เลย ถ้าตัวเองเป็นอะไรแล้วแดนล่ะ คิดอะไรง่ายๆ ทำไมสามีจากไปคนนึงแล้ว แทนที่จะดูแลแดนให้ดี ใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ กลายเป็นพังอนาคตลูกซะงั้น เอาใจช่วยไซม่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 10-10-2017 12:37:15
ว้าาาาา
พอปมคลายก็จบละ
ยังไม่อยากให้จบเลย
ขอ ตอนพิเศษ ซัก 10 ตอนนะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 15-10-2017 16:08:32
บทที่ 30




ผมรู้สึกตัวอีกทีในวันต่อมา แต่กว่าจะได้สติ เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ และพูดคุยกับหมอหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ต้องใช้เวลาสองวันเต็มในการพักฟื้นตัว

สิ่งแรกที่ผมถามหาทันทีที่เอ่ยปากได้คืออาการของไซม่อนที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดพร้อมๆ กับคนที่ยิงตัวเขา ผมรู้ดีว่าแองเจลีนคงมีเจ้าหน้าที่คอยคุมตัว แต่มันก็อดนึกภาพไม่ได้ว่าทั้งสองคนนั้นฟื้นมาเจอกันมันจะน่าตลกและกระอักกระอ่วนขนาดไหน

เมื่ออาการของผมดีขึ้นจนเกือบจะมากลับอยู่ในสภาวะปกติ อะแมนดาที่คอยมาดูอาการเรื่องหัวใจก็อนุญาตให้ผมแวะไปหาไซม่อนได้จนได้

ตอนที่ผมไปถึงห้องพักฟื้นของอีกฝ่าย สภาพของไซม่อนดูดีกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว และเนื่องจากแผลอยู่ใต้เสื้อผ้าที่เขาใส่ทำให้มองด้วยตาไม่เห็น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ เข้าไปอีก

เขาเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผมก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ที่บ่งบอกถึงความยินดีมาให้ ผมก้าวเท้าเข้าไปประชิดเตียงเขา เอื้อมมือไปกุมมือเขาราวกับต้องมนตร์

“ออสติน” น้ำเสียงนั่นอ่อนโยนจนผมกังวลว่าจะทำใจแข็งกับเขาอยู่ได้ยังไง “ดีจังที่คุณปลอดภัย”

“คุณน่าจะบอกตัวเองมากกว่านะ”

“ผมแค่โดนยิงเอง… ถ้าไม่ตายก็ไม่เป็นไรหรอก”

อ้อ เหรอ เพิ่งรู้ว่าพวกตำรวจเขาคิดกันแบบนี้

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับร่างของไคล์ที่ก้าวเข้ามา ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นเขาอยู่ที่นี่

“ขอขัดจังหวะหน่อยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับหยิบตราของตำรวจขึ้นมาให้พวกเราดู ซึ่งไม่จำเป็นเลยสักนิด ผมกับไซม่อนรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร และท่าทางที่ดูเป็นการเป็นงานนั่นก็บ่งบอกว่าเขาคงไม่ได้มาเยี่ยมไข้แน่ๆ “ผมเป็นคนรับผิดชอบคดีอยู่ มีคำถามจะถามคุณสองสามข้อ”

“ไม่มีปัญหาครับ” ไซม่อนว่าขณะที่ผมถดตัวให้ไคล์ก้าวมายืนอยู่ที่ข้างเตียงอย่างรู้หน้าที่ เขาหันมามองผมก่อนจะว่า

“จริงๆ แล้วฉันตั้งใจจะไปหานายเพื่อถามคำถามก่อน แต่พยาบาลบอกว่านายมาอยู่นี่”

“จะถามฉันกับไซม่อนพร้อมๆ กันเลยก็ได้นะ”

เขาพยักหน้า หากเริ่มหันไปไล่บี้กับคนที่นอนอยู่บนเตียงก่อน

“คุณมาอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อคืนได้ยังไง”

“เอ่อ ก็…” ไซม่อนพยายามเรียบเรียง เหลือบมามองทางผมก่อนจะตอบ “เมื่อวานหลังจากที่เราคุยกันทางโทรศัพท์ พอผมรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดเป็นใคร ผมก็นึกเป็นห่วงออสตินขึ้นมา”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าออสตินทำงานอยู่เวลานั้น มันเลยเวลาเลิกงานปกติของเขาไปแล้ว”

“บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกครับ คุณเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ ผมคิดจะไปหาเขาที่บ้านเหมือนกัน แต่วันนั้นแองเจลีนเพิ่งขอให้ผมอยู่เฝ้าแดนเพราะเจ้าหล่อนมีงานที่ค้างที่โรงพยาบาล… ซึ่งมันก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่ออสตินทำงานอยู่พอดี หลังจากนั้นผมก็โทรหาทั้งออสติน โทรหาแองจี้ แต่ติดต่อใครไม่ได้สักคน ผมเลยเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่นั่นก็หลังจากที่คุณจับตัวคนที่แองเจลีนจ้างได้แล้วโทรมาบอกข้อมูลนั้นกับผมน่ะนะ”

ผมฟังการซักถามระหว่างพวกตำรวจด้วยกันเอง รู้สึกว่าไคล์จะดูพึงพอใจที่อีกฝ่ายตอบได้ชัดเจนและละเอียดโดยที่เขาไม่ต้องถามเข้าไปในเชิงลึก เป็นนัยว่าต่างคนต่างรู้วิธีการทำงานของกันและกันดี ไคล์หันกลับมาถามคำถามผมอีกสองสามคำถาม และเมื่อเจ้าตัวได้ข้อมูลจนพอใจแล้วชายหนุ่มก็ปิดสมุดของตัวเองลง เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้นทำให้ผมพอรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในฐานะเพื่อนของผม ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ไทเลอร์แบบเมื่อครู่

“แล้วนายรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมถึงได้ลุกออกจากเตียงแบบนี้ ไม่ใช่ว่าต้องรอฟื้นตัวอีกสักพักเหรอ”

“ฉันพักมาสองวันแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ผมยิ้มตอบ

“แล้วนี่แองเจลีนเป็นยังไงบ้างครับ หล่อนได้สติหรือยัง” ไซม่อนหันมาถามไคล์ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมแอบรู้สึกว่าเขาอยากจะขัดบทสนทนาระหว่างเราทั้งคู่มากกว่า

“หล่อนเริ่มรู้สึกตัวแล้วครับ แต่ยังไม่มีสติมากพอที่จะให้การอะไรได้” ไคล์นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเปิดปากต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยิงหล่อนเข้าที่ท้องเหมือนกัน ป่านนี้หล่อนอาจจะฟื้นแบบเต็มที่แล้วก็ได้”

“ตอนนั้นผมจะไปเล็งอะไรได้ล่ะคุณ แค่ยิงโดนนั่นก็ปาฏิหาริย์แล้ว”

“แต่ก็นับว่าโชคดีที่คุณทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นออสตินคงตายไปแล้ว หรือไม่ก็คุณทั้งคู่”

ไซม่อนยักไหล่ แต่ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเจ็บแผลอยู่ “ผมก็ว่างั้น ถ้าไม่คับขันจริงๆ ผมก็ไม่อยากยิงพี่สะใภ้ตัวเองหรอก”

“คุณคงลำบากใจน่าดู”

“ผมเป็นห่วงหลานมากกว่า พ่อก็เสียแล้ว แม่ก็กำลังจะเข้าคุก จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีก”

พอไซม่อนพูดถึงแดนขึ้นมาผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที ไว้ผมต้องหาเวลาไปเยี่ยมแกสักหน่อย ถึงมันจะไม่สามารถแทนที่พ่อหรือแม่ของเด็กชายได้ก็เถอะ

“ว่าแต่… ผมถามได้ไหมว่าพวกคุณสองคนยังคบกันอยู่รึเปล่า”

ผมกับไซม่อนมองหน้ากันทันทีก่อนจะตอบพร้อมๆ กัน

“ครับ/เปล่า”

และคำตอบก็ไม่ได้ตรงกันด้วยนะ แล้วไอ้อ้บ้านี่มาบอกได้ไงว่าเรายังคบกันอยู่ มั่วนิ่มชัดๆ

ไคล์หันมาเลิกคิ้วให้ผมเป็นเชิงถาม คนที่นอนอยู่บนเตียงอึกอัก

“คือ… ผมว่าเราก็ยังไม่ได้บอกเลิกกันเป็นอย่างทางการนะ ออสติน”

“อ้อ ที่เราห่างกันไปเป็นเดือนๆ นี่ไม่ได้ช่วยบอกอะไรเลยสินะครับ” ถามเขาเสียงเย็น ไซม่อนดูเหมือนจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ กับความเย็นชาของผม ในที่สุดเขาก็ยอมรับ

“ก็… ตั้งใจจะง้อคุณจนกว่าคุณจะยอมกลับมาคบกับผมอีกรอบนั่นแหละ”

“เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังได้ไหม” ผมตัดบทอย่างอึดอัด ไม่อยากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของเรามาคุยต่อหน้าคนนอก

ไคล์ดูเหมือนจะเข้าใจในทันทีว่าผมหมายถึงอะไร เขาตั้งท่าจะเอ่ยปากขอตัวออกจากห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มีสายเข้าพอดี เขายกมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต กดรับสาย กรอกเสียงเป็นการเป็นงานลงไป ผมใช้จังหวะนี้ถลึงตาใส่ไซม่อนเป็นเชิงตำหนิ ขนาดที่ว่าถ้าตามันเปล่งเสียงได้มันคงพูดออกมาแล้วว่า ‘จะมาพูดเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม’

คนป่วยยักไหล่อีกรอบหนึ่งเป็นจังหวะที่ไคล์กดวางสายพอดี

“หล่อนได้สติแล้ว ตอนนี้ทีมผมคนหนึ่งกำลังสอบปากคำอยู่”

“แต่หลักฐานมันตำตาขนาดนั้น คงไม่มีอะไรต้องถามมากหรอกมั้ง” ผมพึมพำ นึกภาพตอนที่แองเจลีนยัดตัวเองใส่ลงไปในช่องแช่ศพกับภาพที่เจ้าหล่อนแทบจะเป่าหัวผมกระจายแล้วขนลุกซู่ขึ้นมา เชื่อเลยว่าตัวเองคงต้องเห็นฝันร้ายนั่นไปอีกหลายปีทีเดียว

“ฉันอาจจะต้องขอให้นายไปให้ปากคำในศาลด้วย ออสติน”

“ต้องขึ้นศาลอีกแล้วเหรอ” ผมคราง ความประทับใจล่าสุดกับสถานที่ราชการแห่งนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร ผมว่ามันก็ไม่ค่อยดีกับไคล์ด้วยนั่นแหละ แต่เขาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ดูให้ดีๆ นะครับว่าหล่อนได้ใครเป็นทนาย” ไซม่อนพูด น้ำเสียงเจือแววล้อเลียน “ถ้าได้คุณวินเซนต์ เลสเตอร์ล่ะก็คงต้องไปฟาดฟันกันอีกต่อแน่”

“ใครจะเป็นทนายก็ไม่สำคัญหรอกครับ” สีหน้าและน้ำเสียงของไคล์ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงทนายคนนั้น ผมว่ามันดูเย็นชาติดจะหยันๆ เล็กน้อย นั่นทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน ไคล์ไม่ค่อยแสดงท่าทีแบบนี้ให้เห็นเท่าไร “ถึงยังไงซะคนทำผิดก็คือคนทำผิด หลักฐานเราก็มีครบ แล้วมันก็แน่นหนาพอที่จะเอาชนะคดีได้แน่ ถ้าหล่อนกล้าจะปฏิเสธสักข้อกล่าวหาล่ะก็นะ”

“ไคล์” ผมสะกิดเพื่อนนิดหนึ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถึงอย่างไรแองเจลีนก็เป็นพี่สะใภ้ของไซม่อน… เป็นคนในครอบครัวของเจ้าตัว และนั่นทำให้ไคล์รู้ตัวขึ้นมา เขาหันไปมองคนบนเตียงด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้--”

“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนตัดบท “ยังไงเสียหล่อนก็ทำผิดจริงๆ แล้วผมก็เสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่”

มือหนาเลื่อนมากุมมือผมแน่นราวกับจะบอกว่าประโยคนั้นเขาตั้งใจพูดกับผม นั่นสินะ ถ้าคิดในมุมเขามันก็น่ากระอักกระอ่วนอยู่ ก็เขาบอกว่าเขารักผม… แต่คนในครอบครัวเขาอีกคนพยายามจะฆ่าผม มันก็สมควระลำบากใจอยู่หรอกนะ

ผมไม่ทันสังเกตเห็นว่าไคล์หลุบตาลงมองมือของไซม่อนที่จับมือผมอยู่ เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะถามต่อ

“นายจะกลับไปคบกับเขาอีกงั้นเหรอ”

ผมสะดุ้งไปอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่ไซม่อนเองยังชะงักไปด้วยความตกใจเช่นกัน แล้วนี่เรื่องส่วนตัวของผมมันกลายเป็นเรื่องส่วนรวมแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย

ไคล์หันกลับไปมองไซม่อนด้วยสายตาไม่สื่ออารมณ์ “ไม่ได้อยากจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ผมฟังเรื่องของคุณมาจากออสตินเยอะพอสมควร… ผมไม่อยากให้เพื่อนผมต้องเสียใจกับเรื่องความรักอีก”

“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนยอมรับโดยดุษณี หากเจ้าตัวก็ไม่หลบตาคู่สนทนา

“ออสตินเจอเรื่องหนักๆ มาเยอะแล้ว และให้บอกกันตามตรง ผมไม่อยากให้เขากลับไปคบกับคุณอีกหรอก ต่อให้คุณจะเป็นคนช่วยชีวิตเขาในเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ก็เถอะ”

โอ๊ย ดีนะที่ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ไซม่อนจับล่ามไว้กับเตียงสามวัน ไม่งั้นนอกจากเขาจะคัดค้านเรื่องเราสองคนแล้วเขาอาจโยนไซม่อนเข้าเรือนจำได้ แบบไม่ไว้หน้าเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอด้วย

“แต่เรื่องนั้นไม่ใช่การตัดสินใจของคุณไม่ใช่เหรอครับ” ไซม่อนตอบเสียงนุ่ม ยกยิ้มจางบนมุมปาก “มันเป็นเรื่องของผมกับออสติน”

ทีอย่างนี้ล่ะเป็นเรื่องส่วนตัวขึ้นมาเชียว

“ถูกของคุณ” ไคล์ว่า ก่อนจะพูดตัดบท “เอาล่ะ ผมคงต้องไปเสียที แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้าจะติดต่อมา”

“ขอบคุณครับ”

“ขอบใจนะ ไคล์” ผมรีบว่า หลังจากการซักถามเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าที่ไซม่อนไหวตัวมาช่วยผมไว้ได้ทันก็เพราะได้รับการติดต่อจากเพื่อนผมคนนี้ ไม่งั้นป่านนี้ผมคงแข็งเป็นไอติมแท่งอยู่ในช่องแช่ศพไปแล้ว

“ไม่เป็นไร” มีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนมุมปากเขาในรอบนี้ บ่งบอกให้รู้ว่าเขาพูดในฐานะเพื่อน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวน “ดูแลตัวเองนะ ออสติน ฉันอาจจะต้องพึ่งนายอีกหลายอย่างในคดีนี้”

“วางใจได้เลย”

ไคล์เดินออกจากห้องไป ทิ้งผมไว้กับไซม่อนตามลำพัง คุณเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งได้รับการผ่ากระสุนออกจากท้องเริ่มอ้อนทันที

"ออสติน ผมคอแห้งจังเลย เอาน้ำมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ"

ผมปรายตามองเขาอย่างเย็นชานิดหนึ่ง แต่เห็นสีหน้าเซียวๆ แบบคนป่วย นั่นแล้วก็ใจอ่อน ยอมเดินไปรินน้ำใส่แก้วส่งให้จนได้

เขายกแก้วขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า ผมขยับตัวไปช่วยพยุงอย่างเผลอตัว ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้ผม ทำเอาผมต้องรีบหลบหน้าไปอีกทางทันที

"เฮ้ อย่าเมินกันแบบนั้นสิครับ คุณหมอ ทีตอนเจ้าหน้าที่ไทเลอร์อยู่ด้วยยังไม่เมินขนาดนี้เลย"

"ผมเปล่าเมินสักหน่อย"

"งั้นมายิ้มให้ผมที ออสติน" พูดพลางดึงแขนผม เลื่อนมือมาจับหน้าให้หันไปหาเขา ผมส่งหน้าบูดสนิทไปให้ไซม่อน สัมผัสจากนิ้วของอีกฝ่ายที่แตะลงบนคางทำให้ผมร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไซม่อนเลื่อนคางผมให้ก้มลงไปมองตาเขา

แล้วให้ตายเถอะ... ไอ้สายตาแบบนั้น ผมเกลียดจริงๆ เวลาที่ได้สบตากับเขาตรงๆ แบบนี้

"ขนาดเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ คุณยังบอกขอบคุณเขาเลย" น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจนั่นทำให้คิ้วขวาผมกระตุก

"ก็เขาเป็นคนโทรบอกคุณเรื่องแองเจลีนไม่ใช่เหรอครับ ก็ถือว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้สิ"

"แล้วผมล่ะ ออสติน" คนโดนยิงเพราะมาช่วยผมทำน้ำเสียงออดอ้อนระคนตัดพ้อ

จะว่าใจอ่อนก็ใจอ่อน จะว่าหมั่นไส้ก็หมั่นไส้

ผมแกล้งยกยิ้มเหยียด "ไม่รีบร้อนทวงบุญคุณไปหน่อยเหรอครับ"

"ผมรู้ดีว่าคุณคงไม่หายโกรธผมง่ายๆ"

"ขอโทษทีเถอะ มันเลยคำว่าโกรธไปแล้วรึเปล่า คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองทำอะไรกับผมไปบ้าง"

"ผมรู้ครับ แต่คุณก็รู้ดีว่าผมทำแบบนั้นเพราะอะไร"

มือของเขาแตะลงบนมือผมอย่างระมัดระวัง ผมมองตาม ไซม่อนค่อยๆ ดึงมือผมออกแรงบีบมากขึ้น หมอนี่มันเก่งเรื่องทำให้ผมใจอ่อนตลอดเลย และตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากก้มลงไปกอดปลอบเขา

"คุณอยากให้ผมทำยังไง" อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ หลุดปากถามออกไปจนได้ "คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่"

"เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ กลับมาคบกันเหมือนเดิม"

"หลังจากที่คุณโกหกผมสารพัดแล้วก็จับผมขังไว้ในบ้านตัวเองสามวันน่ะเหรอ?"

"เราเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมครับ ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง"

"มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ไซม่อน" ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ "ผมไม่ใช่คนที่เจ็บแล้วไม่จำนะ ผมจำแม่นเลยด้วย และคิดว่าคงไม่มีทางลืมแน่"

"ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณลืมสักหน่อย ออสติน ผมขอให้คุณยกโทษให้ผม"

"ผมว่านั่นอาจจะยากกว่าขอให้ผมลืมอีก"

“อ้าว แต่ตอนนั้นคุณบอกว่าคุณยกโทษให้ผมแล้วนี่?”

เขาพูดตอนที่โดนยิงและกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่นั่น หน้าผมร้อนขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะเริ่มโวยวาย

“อันนั้นมันไม่นับสิ!”

“อ้าว เป็นแบบนั้นได้ไง แบบนี้ไม่เท่ากับว่าคุณพูดจากลับกลอกเหรอ”

อุก ถึงกับเถียงกลับไม่ออก

ผมหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างคนจนแต้ม ไซม่อนเงียบไป มือของเขาที่ยึดมือผมไว้แน่นเริ่มชื้นขึ้นนิดหนึ่ง "คุณไม่รู้สึกอะไรกับผมแล้วเหรอครับ ออสติน"

มาแล้วไง คำถามนี้ ผมหลุบตาต่ำลงอย่างหวาดกลัว กลัวว่าไซม่อนจะมองลึกเข้ามาแล้วกวาดเอาสิ่งที่ผมพยายามซ่อนไว้ข้างในไป

"ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร"

"คุณไม่รักผมแล้วเหรอ"

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเราสามารถพูดเรื่องน่าอายออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้

"ผมไม่เคยรักคุณ"

"มองตาผม ออสติน มองตาผมแล้วพูดแบบนั้น ถ้าคุณทำได้ ผมจะไม่ยุ่งอะไรกับคุณอีก"

หน้าของผมร้อนวูบด้วยความรู้สึกมากมายที่ปนเปกัน หันหน้าไปประสานสายตากับเขา ได้ยินหัวใจบนอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นยามที่ได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่แสนเยือกเย็นคู่นั้น สีหน้าของเขาสงบนิ่ง รอฟังคำพูดของผม

"ผมไม่เคยรักคุณ" ไซม่อนดึงตัวผมลงไป ประกบจูบลงบนริมฝีปากอย่างอ่อนโยนทั้งที่ผมยังพูดประโยคนั้นไม่จบ ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่ขัดขืนอะไรเลย

"โกหก"

"ผมไม่ได้รักคุณ ไซม่อน" ผมพยายามพูด หน้าร้อนผ่าวไปหมดเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของตัวเองตรงกันข้าม เขาเลื่อนหน้าผมลงไปจูบอีกครั้ง ยึดหลังคอผมไว้ให้รับสัมผัสของเขา

"คุณโกหก"

"ผมไม่ได้โกหก"

"งั้นทำไมถึงยอมให้ผมจูบล่ะ"

"ก็คุณดึงผมลงมาจูบนี่"

"คุณผลักผมออกก็ได้นี่ครับ ยังไงตอนนี้ผมก็สู้แรงคุณไม่ไหวอยู่แล้ว"

"ทำแบบนั้นก็กระเทือนแผลคุณสิ"

"ไม่เห็นต้องสนก็ได้นี่"

"น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนเลือดเย็นแบบนั้น"

"เพราะแบบนั้นไงผมได้รักคุณจนโงหัวไม่ขึ้น"

ผมอ้าปากค้าง มองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไซม่อนส่งยิ้มหวานมาให้ ท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ของเขาทำให้ผมอยากจะร้องตะโกนด้วยความขัดใจ รู้ตัวอีกผมก็ก้มหน้าลงไปจูบปิดปากเขาอีกรอบอย่างหงุดหงิด

หมอนี่แม่งโคตรขี้โกงเลย พูดคำนั้นออกมาง่ายๆ ทั้งที่ผมปวดหัวจนแทบบ้ากับการคิดเรื่องพวกนี้

ลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายชำแรกเข้ามาในโพรงปากผมอย่างนุ่มนวล ผมจูบตอบเขาขณะเลื่อนมือไปลูบหลังคอคนป่วยอย่างเคลิบเคลิ้ม เข่าข้างหนึ่งเกยขึ้นไปบนเตียงเพื่อขยับให้ขยับตัวและใบหน้าเข้าใกล้เขาได้สะดวกยิ่งขึ้น มือหนาล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อแล้วเปะป่ายไปทั่วแผ่นหลังของผมอย่างกระหาย รู้สึกราวกับว่าพวกเราห่างหายการสัมผัสร่างกายคนมานาน เหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกในการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไรอย่างนั้น

เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยร่างของใครบางคนที่เปิดประตูพรวดเข้ามา ไคล์รายงานความคืบหน้าที่เพิ่งได้มาอย่างรวดเร็ว "เราเพิ่งค้นบ้านของแองเจลีน แมคแนร์มา เราพบมีดที่คาดว่าหล่อนใช้ตอนที่--"

แล้วเสียงของคนพูดก็ขาดห้วงไป ผมกับไซม่อนผละออกจากกันทันที มือรีบเลื่อนไปดึงเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นลง หน้าร้อนไปถึงหู และมันคงแสดงออกชัดเจน

เจ้าตัวอ้าปากทำเหมือนจะพูดอะไรอย่างหนึ่งขณะเสมองไปทางอื่น ละสายตาไปจากผมด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย ส่วนผมตอนนี้อายจนแทบอยากจะมุดลงรูอยู่แล้ว ส่วนไซม่อนจัดแจงเสื้อคนไข้ของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดไคล์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา 

"เอ่อ ขอโทษนะที่เข้ามารบกวน"

"ไม่ ไม่ๆๆ ไม่เป็นไร" ผมพูดละล่ำละลัก แล้วก็รู้สึกตัวว่าไอ้คำว่าไม่เป็นไรในสถานการณ์แบบนี้แปลกๆ "ฉันหมายถึง เอ่อ เมื่อกี้นายกำลังพูดถึงอะไรนะ"

"เราเจอมีดที่คาดว่าน่าจะใช้กรีดขานายเมื่อคราวก่อน แล้วก็เครื่องช็อตไฟฟ้าด้วย" ไคล์ดูโล่งอกที่หัวข้อสนทนาดึงกลับไปเป็นเรื่องงานอีกครั้ง "แต่ยังไงอาจจะต้องรอยืนยันเรื่องนั้นอีกที แต่ไม่ผิดแน่ คนที่ช็อตไฟฟ้าแล้วก็กรีดขานายในตอนนั้นคือหล่อนแน่นอน ก็อย่างที่หล่อนบอกนายด้วยตัวเองล่ะนะ"

“อะ… อื้อ” ผมรับคำอึกอัก ยังรู้สึกหน้ายังร้อนไม่หาย

ไคล์มองผมสลับกับคนบนเตียงก่อนจะพูดขึ้นเหมือนทนไม่ไหว

"ออสติน นายมากับฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย"

นั่นไง หนีไม่พ้นจริงๆ

ผมเดินออกมาจากห้องพักฟื้นของไซม่อน ไคล์พาผมไปที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาลที่ไม่วุ่นวายมาก เจ้าตัวหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังทีเดียว

"นายแน่ใจแล้วเหรอ"

“หา?”

"เรื่องของไซม่อน แมคแนร์น่ะ"

ผมนิ่งเงียบไป

เข้าใจดีว่าไคล์เห็นที่ผมจูบกับไซม่อนแล้ว เข้าใจด้วยว่าคำถามของเขาหมายถึงเรื่องอะไร

"หมอนั่นโกหกนายเยอะมากนะ ออสติน แล้วก็เพราะเขาไม่ใช่เหรอที่ทำให้แองเจลีนพุ่งเป้าหานายแบบนี้"

"แต่เขาก็ช่วยฉันเรื่องที่เกือบโดนฆ่าเหมือนกัน"

"อืม ใช่ ถ้าไม่นับเรื่องเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้นายเกือบโดนฆ่าล่ะก็นะ แบบนั้นก็คงฟังดูเป็นบุญเป็นคุณได้อยู่"

ผมเงียบลงไปอีกรอบ ไคล์สังเกตเห็นท่าทีนั้นของผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือก

"นายรักผู้ชายคนนั้นงั้นเหรอ"

"ฉัน..." ผมอึกอัก "ฉันก็ไม่รู้"

"นายไม่รู้จริงๆ เหรอ?"

เฮ้อ เบื่อเล่นเกมตอบคำถามชะมัด

"ก็ได้ ฉันรักเขา คิดว่านะ” กลั้นใจพูดออกไปแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกเฮือก ยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความลำบากใจ "ฉันควรจะทำยังไงดี ไคล์"

"นายตอบคำถามนั้นของตัวเองแล้ว" เจ้าหน้าที่หนุ่มว่าพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ "ฉันต้องไปทำงานแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกัน"

ผมมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไป ถอนหายใจออกมาอีกรอบแล้วตรงกลับไปที่ห้องของไซม่อน แค่คิดว่าต้องไปเผชิญหน้ากับหมอนั่นทั้งที่เพิ่งจูบกันมา... โอย เอาเป็นว่าไม่คิดแล้วแล้วกัน

หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 29)(100%) P.6 [8/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 15-10-2017 16:09:08
[ต่อ]





ผมถูกเชิญมาที่โรงพักเพื่อฟังการให้ปากคำของแองเจลีน ผมมองขั้นตอนการสอบปากคำทั้งหมดที่อยู่หลังกระจกด้านเดียว เป็นด้านที่ผมมองเห็นคนที่อยู่ในห้อง แต่คนที่อยู่ภายในจะไม่เห็นผม ไคล์รับหน้าที่เป็นคนสอบปากคำทั้งหมด หญิงสาวนั่งอยู่บนรถเข็นผู้ป่วยเพราะสภาพร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงดี ข้อมือทั้งสองข้างถูกลงกุญแจมือวางไว้บนตัก แองเจลีนรับสารภาพทุกอย่างอย่างง่ายดาย รวมไปถึงบอกเล่าขั้นตอน ข้อมูลเกี่ยวกับผมที่ได้มาจากไซม่อน ช่วงระยะเวลาที่ผมอยู่ในโรงพยาบาลหรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เกือบลืมไปเลยว่าแองเจลีนเองก็ทำงานที่โรงพยาบาลนี้อยู่เหมือนกัน ถึงจะแค่ครั้งคราว แต่หล่อนก็มีเพื่อนสนิทหลายคนข้างใน ผมเห็นไคล์เริ่มลงมือจดรายชื่อคนที่ให้ข้อมูลพวกนั้นกับแองเจลีนบ้างแล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ย้ำนักหนาว่าทุกคนไม่รู้ว่าหล่อนจะเอาข้อมูลพวกนั้นไปทำไม

ผมหันกลับมามองไซม่อนที่ยืนอยู่ข้างตัว สีหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกหรอก เพราะแองเจลีนก็เป็นคนของครอบครัวเขา การที่เห็นคนในครอบครัวของตัวเองเป็นคนร้ายเสียเองแบบนี้คงไม่ดีต่อจิตใจของเขาเท่าไร

"คุณโอเคไหม" ถามพร้อมกับเลื่อนมือไปบีบมือเขาอย่างเผลอตัว ไซม่อนบีบมือผมตอบแน่น ตายังไม่ละไปจากพี่สะใภ้ซึ่งกำลังอธิบายรูปการณ์ต่างๆ ของคดีตามคำถามของไคล์

"หล่อนพยายามจะฆ่าคุณนะ ออสติน" น้ำเสียงเจ็บปวดของเขาทำให้ผมเงียบไป "ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดี"

แน่นอนว่าผมเองก็ไม่พอใจกับเรื่องที่แองเจลีนพยายามจะฆ่าผมหรอก แต่พอทุกอย่างผ่านมาถึงขั้นนี้แล้วผมก็ไม่นึกอยากเอาเรื่องอะไร แค่ให้หล่อนได้รับโทษไปตามกฎหมาย จากนั้นก็ถือว่าแล้วต่อกันกันไป อีกอย่าง... ผมเป็นห่วงอีกเรื่องมากกว่า

"แล้วตอนนี้แดนเป็นยังไงบ้างครับ แกรู้เรื่องของแม่แล้วหรือยัง"

"ยังครับ ผมให้พี่เลี้ยงแกพาไปโรงเรียนวันนี้ หลังจากนี้ไปผมจะเป็นคนดูแลแกเอง อย่างน้อยก็จนกว่าแองเจลีนจะออกจากคุก"

คำว่าคุกทำให้ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง แรงบีบที่มือหนักมากขึ้น ผมมองไซม่อนที่อยู่ในชุดลำลอง ท่าทีเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติทำให้ผมนับถือเขาในใจไม่น้อย รู้ดีว่าเจ้าตัวต้องเจ็บแผลและกำลังฝืนกดความเจ็บปวดพวกนั้นลงไปอยู่แน่

จากอีกฟากของกระจก ไคล์ลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้อง จากนั้นก็เปิดประตูเข้ามาหาพวกผมแทน "พวกนายจะเข้าไปคุยกับหล่อนไหม”

ผมกับไซม่อนเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามแองเจลีนโดยมีโต๊ะคั่นอยู่ตรงกลาง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองไซม่อนด้วยสีหน้าร้อนรน และคำถามแรกที่หลุดออกจากปากก็หนีไม่พ้นเรื่องลูกชาย

"แดนเป็นยังไงบ้าง ไซม่อน มีคนดูแลแกรึเปล่า แล้วใครไปส่งแกที่โรงเรียน"

"ผมให้แอนดูแลแกอยู่ครับ"

แองเจลีนพยักหน้าจากนั้นก็เบือนสายตามาทางผม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน

“นี่คุณพาออสตินมาด้วยทำไมคะเนี่ย มาเยาะเย้ยฉันงั้นเหรอ”

“เอ่อ เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น”

“อ้อ รู้ล่ะ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงยกยิ้มเหยียด “พวกคุณกลับมาคบกันแล้วล่ะสิ”

ผมกับไซม่อนไม่ตอบ แต่นั่นก็คงเป็นคำตอบในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นล่ะ

“น่าเสียดาย ต่อให้ฉันฆ่าคุณหมอไม่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็น่าจะทำให้พวกคุณเลิกกันได้อย่างเด็ดขาด”

“แองจี้” ไซม่อนพูดเสียงงวดขึ้นในขณะที่ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที แต่ทันทีที่ไซม่อนแตะหลังมือ ผมก็สงบความรู้สึกดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้หมายความอย่างที่พูดหรอก คุณไม่ได้อยากจะฆ่าออสตินจริงๆ”

“อ้อ เหรอคะ แล้วคุณมารู้อะไรเกี่ยวกับความคิดฉันล่ะ อ่านใจได้หรือไง”

“ถ้าคุณอยากจะฆ่าออสตินจริงๆ แล้วทำไมคุณไม่ฆ่าเขาตั้งแต่ตอนที่ช็อตไฟฟ้าใส่เขาที่โรงพยาบาลล่ะ แองจี้ ทำไมถึงแค่กรีดเลขงี่เง่านั่นลงบนต้นขาเขา”

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เพราะว่าวิธีนั้นน่าจะทำให้เขาทรมานมากกว่าเท่านั้นเอง ใช่ไหมคะ คุณการ์ดเนอร์”

การที่โดนใครสักคนที่มุ่งร้ายต่อเราถึงขนาดหมายเอาชีวิตหันมาส่งยิ้มหวานให้แล้วถามแบบนี้ เป็นอะไรที่ตอบไม่ถูกเลยจริงๆ

“เลิกงี่เง่าได้แล้ว แอง มันจบแล้ว คุณฆ่าเขาไม่ได้เพราะคุณไม่ได้คิดอยากจะฆ่าเขาจริงๆ ก็เท่านั้น แล้วตอนนี้แดนก็ต้องเป็นเด็กไม่มีพ่อ แถมแม่ก็เข้าคุก คงสมใจคุณแล้วใช่ไหม”

ไซม่อนตีได้ถูกจุด แองเจลีนหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอัดอั้นทันที จุดอ่อนของคนเป็นแม่ทุกคนอยู่ที่ลูกทั้งนั้น และเมื่อไซม่อนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาผมก็ใจอ่อนยวบอีกรอบ

“เอ่อ แองเจลีนครับ” ผมตัดสินใจพูดขึ้นมาแม้จะรู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะเกลียดผมเข้าไส้เลยก็เถอะ “ผมเสียใจด้วยจริงๆ เรื่องแบรด”

แองเจลีนกระพริบตาถี่ขึ้น ก้มหน้าลงมองมือตัวเองเพื่อซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ผมรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีแต่ความเจ็บปวด แต่ผมก็อยากให้หล่อนเข้าใจว่าผมเองก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน

“ผมเสียใจจริงๆ ที่เขาต้องมาตายแบบนี้”

“โอ้ หยุดพูดเถอะ คุณไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่ ฟังก่อน ผมเข้าใจจริงๆ ยิ่งตอนที่ผมได้รู้เรื่องทั้งหมด ผมเองก็ช็อคจนพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมแทบอยากจะควักเอาหัวใจของตัวเองออกมา ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแม้แต่นิดเดียวถ้าทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่ามันทรมานขนาดไหนกับความรู้สึกที่อยากจะกระชากเอาก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของตัวเองออก และสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือคุณทำแบบนั้นไม่ได้”

แองเจลีนเงยหน้าพรวดขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่หล่อนเผยให้ผมเห็นแววตาปวดร้าวที่ยากจะหยั่งลึกนั่น มันมาพร้อมกับความเข้าอกเข้าใจและเจ็บปวดพร้อมๆ กัน เหมือนได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง อารมณ์เจ็บปวดมันวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขไม่ได้ก็จริง แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครเจ็บน้อยไปกว่ากันแน่ในตอนนี้

“ฉันเสียใจที่ได้ยินแบบนั้นค่ะ ออสติน”

“ผมก็เหมือนกัน ผมแค่อยากบอกให้คุณรู้ว่าผมไม่เคยอยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” ผมปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงบนแก้มในขณะที่หญิงสาวตรงหน้าร้องไห้โฮอย่างอัดอั้น “ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว”

“ฉันขอโทษค่ะ ออสติน ฉันไม่ได้อยากทำร้ายคุณ”

แค่นั้นเอง แค่คำพูดสั้นๆ แค่นั้น แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกโล่งอกราวกับยกภูเขาออกจากอก

ไคล์เปิดประตูเข้ามาในห้องเพื่อบอกว่าการสนทนาของเราจบลงที่ตรงนี้ มีเจ้าหน้าที่อีกคนเข้ามาเข็นรถของแองเจลีนออกไปทั้งที่หล่อนยังยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา

ผมกระแทกหลังลงกับพนักพิงของเก้าอี้ หลับตาลงอย่างอ่อนล้า แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นหลังจากนี้ ไซม่อนเลื่อนมือมาบีบมือผมแน่น ผมลืมตาขึ้นมองเขาก่อนจะหลับลงอีกรอบเพื่อรับจูบที่อีกฝ่ายทาบลงมาอย่างนุ่มนวล ไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายรุกเข้ามามากขึ้น ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

ไคล์ยืนทำหน้าเซ็งอยู่ที่หน้าประตู “รบกวนช่วยกรอกเอกสารทำเรื่องด้วยครับ”

ไม่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้หน้าผมร้อนขนาดไหน… แบบที่ถ้าตอกไข่ลงไปสักฟองก็ได้ไข่ดาวแล้ว!





------------------------------------------
Talk: อั๊ย จบแล้ว ไม่น่าเชื่อ รู้สึกเหงานิดๆ เหมือนกันแฮะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ไว้อาทิตย์หน้าเราจะเอาบทส่งท้ายมาลง แล้วจะมาแจ้งข่าว+เล่าความรู้สึกตอนที่เขียนเรื่องนี้ให้ฟังนะ ^^ โง้ยยย  จะไม่มีสองคนนี้ให้เขียนถึงแล้ว
ยังไงก็ขอฝากอีกสองเรื่องที่เราเขียนอยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ Kill me gently (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745),Faded Fog (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356)
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 30)(100%) P.6 [15/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-10-2017 17:19:09
ยังดีที่คนเขียนไม่ใจร้ายพรากคนรักจากกัน (?)
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 30)(100%) P.6 [15/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 15-10-2017 17:28:37
 :mew1: ขอบคุณนะคะ คงจะคิดถึงไซม่อนออสตินแย่เลย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 30)(100%) P.6 [15/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-10-2017 18:24:19
น่าจะคิดถึงผลที่ตามมานะแอนเจลีน
ว่าลูกชายที่กำพร้าพ่อ แล้วแม่ติดคุก
ไม่เห็นใจนางเลย นางทำเหมือนนางไม่มีลูก
นางก็โรคจิตแหล่ะ  :hao3:

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:  น่าสงสารไคล์
เข้าห้องทีไร เจอสองคนสวีทกันตลอด
ไซม่อน ง้อออสติน สำเร็จแล้ว  :L2: :L2: :L2:

ไซม่อน ออสติน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 30)(100%) P.6 [15/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-10-2017 17:05:08
งานนี้ไซม่อนได้กำไรเห็นๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 30)(100%) P.6 [15/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 20-10-2017 19:07:37
จะจบแล้วอ่ออ เรื่องนี้ลุ้นแล้วลุ้นอีกก คนเขียนเก่งมากเลยค่าา จะติดตามเรื่องอื่นนะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทที่ 30)(100%) P.6 [15/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 21-10-2017 12:12:37
บทส่งท้าย




“นี่ ออสติน”

“...”

“ออสตินครับ”

“...”

“ที่รัก”

“หือ อะไร” ผมถามเสียงห้วนขณะที่หักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวโค้งแยกถัดไป สะใจไม่น้อยที่ได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจของคนข้างตัว ไซม่อนยึดเบาะเพื่อทรงตัวไม่ให้ไหลไปตามแรงเหวี่ยงของรถแน่น เห็นท่าทางของหมอนี่แล้วแทบจะหลุดหัวเราะ แค่นี้ก็ทำเป็นรับไม่ได้ สาวน้อยจริงว่ะ

“เอ่อ คุณขับรถให้หวาดเสียวน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอครับ”

“ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องนั่งสิคุณ นู่น โบกแท็กซี่เอา”

“โหย ใจร้ายว่ะคุณ” ร่างสูงบ่นอุบ มือยังไม่ปล่อยจากที่จับที่อยู่เหนือศีรษะ “ขนาดตอนที่คุณขัยรถไม่ได้ ผมยังขับให้คุณนั่งตลอดเลย เป็นสารถีดีๆ นี่เอง พอถึงคราวผมขับไม่ได้บ้าง คุณกลับไล่ผมให้ลงไปนั่งแท็กซี่งั้นเหรอ”

“นี่ ถ้าคุณบ่นอีกคำเดียวผมจะไล่คุณลงจากรถจริงๆ แล้วนะ แล้วไอ้ที่ผมขับรถไปส่งคุณอยู่นี่ไม่ได้ขับให้อยู่รึไง”

“โอ๋ๆ ไม่งอนนะครับคนดี… เอ่อ ออสติน เบาหน่อยครับ แถวนี้รถมันเยอะ แล้วนี่คุณจะรีบขนาดนี้ทำไมเนี่ย!”

ผมเหยียบเบรคอย่างแรงทำเอาคนนั่งข้างๆ หน้าแทบคว่ำไปชนคอนโซลรถ ชิ ทำไมไม่กระแทกลงไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยนะ

“ผมก็ขับปกติของผมนี่แหละ”

“ปกติของคุณนี่มันฉวัดเฉวียนมากเลยนะ” ไซม่อนพูดงึมงำ แทบจะยกมือปาดเหงื่อรอมร่อ “ได้ใบขับขี่มายังไง ถามจริง”

“ลงจากรถไปเดี๋ยวนี้เลย คุณเจ้าหน้าที่ ลงจากรถไป”

“โว้วๆ ใจเย็นครับ อย่าหงุดหงิดนักซี่ เอาเป็นว่าผมไม่พูดอะไรแล้วก็ได้” พูดพลางโน้มหน้าเข้ามาจูบแก้มผมทีหนึ่งอย่างเอาใจ “แล้วนี่วันนี้คุณจะอยู่เล่นกับแดนหรือเปล่าครับ แกถามหาคุณแล้วน้า…. คุณน้าออสตินไม่ยอมมาเล่นด้วยสักที” เจ้าตัวว่าพร้อมกับหยิกแก้มผมเบาๆ ไปด้วย นึกว่าผมเป็นเด็กสามขวบรึไง

“อย่าน่า ไซม่อน ผมขับรถอยู่นะ”

“เอ่อ ผมว่าต่อให้ไม่มีอะไรมากวน คุณก็ขับได้น่าหวาดเสียวอยู่ดี”

“นี่คุณอยากจะ---”

“เอ้า ถึงแล้วๆ ชะลอหน่อยครับ คุณหมอ จอดๆๆ”

ผมแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจอดข้างทาง ปล่อยให้คนไซม่อนเปิดประตูลงจากรถไป หากร่างสูงไม่ยอมเดินเข้าบ้าน เจ้าตัวเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งคนขับของผมเฉย อะไรของไอ้หมอนี่เนี่ย

“นี่ ลงมาเถอะน่า ออสติน เดี๋ยววันนี้ผมทำข้าวเย็นอร่อยๆ ให้กิน นะครับ คนดี แดนเองก็อยากจะเจอคุณตั้งนานแล้ว”

“พรุ่งนี้ผมทำงานนะคุณ” พูดพลางถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะต้องสะดุ้งตัวเมื่อไซม่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะจูบปากกันอยู่แล้ว นี่มันเห็นไหมเนี่ยว่าเราอยู่กันกลางถนน ให้ตายเถอะ

“มาเถอะ ออสติน” เจ้าตัวกระซิบเสียงเบาข้างหูอย่างยั่วยวน และมันทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับมีคนมาจุดไฟเผา ผมแพ้ทางหมอนี่แบบนี้ตลอด “ผมต้องการคุณคืนนี้”

แล้วไม่ต้องถามอะไรผมสักคำเลยรึไง!?

แต่ถึงจะยึกยือท่านั้นท่านี้ รู้ตัวอีกทีผมก็เดินลงมาจากรถแล้วเดินตามหลังไซม่อนเข้าไปในตัวบ้านจนได้

บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้น ขนาดกลางๆ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกระหว่าง 3-4 คน ตั้งอยู่ย่านชานเมือง ชื่อของเจ้าของบ้านหลังนี้เดิมทีเป็นของแบรด และเมื่อชายหนุ่มเสียชีวิตมันก็ตกเป็นของแองเจลีนไปโดยปริยาย แต่เจ้าหล่อนขอร้องให้ไซม่อนมาอยู่ชั่วคราวเพื่อคอยดูแลแดน ซึ่งชั่วคราวที่เจ้าหล่อนว่านั้นคงกินเป็นหน่วยเวลาปีอยู่ แต่ผมคิดว่าการให้เด็กได้โตในบ้านที่เป็นหลังๆ ย่อมดีกว่าเอาแกไปอัดในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ ของไซม่อนอยู่แล้ว

"ไซม่อน!" เด็กชายที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่กับพื้นถลาเข้ามากอดผู้เป็นอาที่อ้าแขนรับอยู่แล้วแน่น ไซม่อนหัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดีขณะหันไปยิ้มให้แอน หญิงสาวที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงในช่วงเวลาที่ชายหนุ่มไม่อยู่ "วันนี้ไปโรงพยาบาลมาเป็นยังไงบ้างครับ แผลหายดีหรือยัง คุณหมอว่ายังไงบ้าง"

"โว้ว ใจเย็น ไอ้ตัวเล็ก ทีละคำถามสิครับ มารัวขนาดนี้อาจะตอบทันได้ไง"ไซม่อนว่าพร้อมกับยีหัวแดนแรงๆ เด็กชายหัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะกลับไปทำการบ้านต่อตามคำสั่งของแอน

 "งั้นยังไงวันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณแมคแนร์ คุณการ์ดเนอร์วันนี้มาค้างเหรอคะ ดีเลย แดนแกคงดีใจที่มีเพื่อนเล่นด้วยหลายคน"

"เอ่อ ครับ" ผมยิ้มแห้งๆ ตอบ จะบอกได้ไงล่ะว่าไม่ได้ตั้งใจจะค้าง แต่เหมือนทุกคนจะเหมารวมเป็นแบบนั้นไปแล้ว

ผมรับหน้าที่ดูแลแดนให้แกทำการบ้านให้เสร็จในขณะที่พ่อครัวใหญ่ขลุกตัวเตรียมข้าวเย็นอย่างที่ลั่นวาจาไว้เรียบร้อย ผมตรวจดูความเรียบร้อยของการบ้านที่แดนทำจนเสร็จจากนั้นจึงอนุญาตให้แกดูการ์ตูนทางโทรทัศน์ได้ ไซม่อนโผล่หน้ามาอีกทีตอนที่แดนนั่งเล่นอยู่บนตักผม ตาไม่ละจากหน้าจอ

"แวะมาดูความเรียบร้อยครับ เป็นยังไงกันบ้าง แล้วนี่เราทำการบ้านเสร็จหรือยัง"

"เสร็จแล้วครับ คุณอา น้าออสตินเลยยอมให้ดูทีวี" เจ้าตัวเล็กหันมาตอบเสียงใส ไซม่อนเลยหอมแก้มหลานแรงๆ ฟอดหนึ่งแล้วเผื่อแผ่มาให้ผมอีกฟอด ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ถลนตาใส่อีกฝ่ายที่ผุดลุกขึ้นยืนอีกรอบ นี่หมอนี่เห็นหรือเปล่าว่าหลานจ้องตาแป๋วอยู่เนี่ย

"อาไซม่อนขี้โกง!" ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวเคลื่อนหน้ามาหอมแก้มผมอีกข้างที่ไซม่อนไม่ได้ทาบริมฝีปากลงมา ให้ตายสิ แสบกันทั้งอาทั้งหลานเลย!

"แดนครับ วันนี้วันศุกร์แล้ว ไปเอาใบถึงผู้ปกครองมาให้อาดีกว่า ดูซิว่าอาทิตย์นี้ทางโรงเรียนมีอะไรอัพเดทบ้าง"

"ได้ครับ" เจ้าตัวว่าพร้อมกับวิ่งขึ้นชั้นสองไปอย่างกระตือรือร้น ไซม่อนมองตามหลังหลานชายไปก่อนจะหันมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผม

คราวนี้อะไรของไอ้คุณอาอีกล่ะ…

"อะไรครับ" ผมถามเจ้าตัวอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ยิ่งเห็นไซม่อนยิ้มกว้างขึ้นด้วยแบบนี้

"เหมือนหลังๆ มานี่คุณจะไม่ค่อยกลัวสัมผัสแล้วนะ"

ผมเลิกคิ้วให้เขาข้างหนึ่ง จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้สังเกตตัวเองเรื่องนั้นเหมือนกันแฮะ มัวแต่วุ่นวายเรื่องนู้นเรื่องนี้ พอโดนทักมาแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนจะจริงแฮะ

ผมยักไหล่ให้อีกฝ่ายทีหนึ่ง "ก็คงแบบนั้นมั้งครับ ผมคงเป็นไอ้โรคประหลาดนั่นไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก"

“ไม่ต้องบอกก็รู้สินะครับว่าได้ครูฝึกดี”

“อะไรนะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ไซม่อนหัวเราะนิดหนึ่ง ก้มลงมาจูบปากผมเร็วๆ

“เห็นไหม ตอนนี้คุณไม่เป็นอะไรแล้ว สะดุ้งยังไม่สะดุ้งเลย”

“คุณกำลังจะบอกว่าที่ผมหายกลัวสัมผัสได้นี่เป็นเพราะคุณเหรอ?”

“ใช่สิครับ” พูดลอยหน้าลอยตามาก “ถ้าไม่ใช่เพราะผมแล้วจะเพราะใคร”

“เหอะ คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำให้อาการมันแย่ลง”

อย่างตอนที่มันจับผมขังไว้ในห้องตัวเองนะ… ให้ตายเถอะ ผมกลัวแทบบ้า ตอนนั้นร่ำๆ จะสลบตั้งหลายรอบ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะผ่านอะไรแบบนั้นมาได้

เหมือนไซม่อนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เจ้าตัวดึงร่างผมไปกอด เลื่อนหน้ามานัวเนียที่ซอกคอ

“เอาน่า ลองคิดในแง่ดีสิ ถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น ป่านนี้คุณอาจจะยังไม่หายกลัวสัมผัสก็ได้”

เหอะ พูดเอาแต่ได้

พวกเราสามคนรับประทานอาหารมื้อค่ำโดยมีไซม่อนคอยถามแดนเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน เรื่องครู เรื่องที่โรงเรียน สรรหาเรื่องมาคุยสารพัดราวกับพ่อเห่อลูกก็ไม่ปาน

แดนจิ้มเนื้อชิ้นสุดท้ายที่อยู่ในจานของตัวเอง นัยน์ตาสดใสของเจ้าตัวสลดลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา

“เมื่อไหร่คุณแม่จะกลับบ้านได้สีกทีครับ คุณอาไซม่อน”

ไซม่อนหันหน้ามามองผมนิดหนึ่งอย่างลำบากใจ ผมเองก็เหมือนกัน จะมีอะไรแย่ไปกว่าการตอบคำถามนี้จากเด็กอีกล่ะ

“ก็คงอีกสักพักล่ะครับ คนเก่ง แต่ถ้าหนูเป็นเด็กดี อาพาไปเยี่ยมคุณแม่ได้นะ”

แดนพยักหน้ารับทีหนึ่ง หากสีหน้ายังดูไม่ค่อยร่าเริงเท่าไร ในที่สุดไซม่อนก็ยอมแพ้ ต้องพาแกขึ้นห้องไปอาบน้ำส่งเข้านอนก่อนจนได้ แถมยังใจดีอนุญาตให้เจ้าตัวเล่นเกมในแท๊บเล็ตของตัวเองก่อนนอน ยังดีที่ว่าแดนเด็กพอที่จะสดใสขึ้นด้วยของง่ายๆ แบบนั้นได้

ไซม่อนเดินกลับลงมาอีกทีตอนที่ผมล้างจานอยู่ในครัว ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาก่อนจะว่า

“ไม่น่าลำบากคุณเลย ผมว่าจะมาล้างอยู่แล้วแท้ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณทำกับข้าวแล้วผมก็ล้างจานไง ผลัดกัน”

“เหมือนคู่สามีภรรยาเลย” พูดพลางสาวเท้าเข้ามากอดผมจากด้านหลัง ผมขมวดคิ้วตอบกลับไปให้เขา ก้มหน้าล้างจานต่อ

“พูดไปเรื่อยแหละคุณน่ะ”

“ผมเหรอ? เปล่านะ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ”

“อ้อ เหรอครับ แล้วไหนแหวนแต่งงาน”

“ก็วงที่ผมให้คุณไปคราวก่อนไง!”

“อ้อ นั่นน่ะเหรอ” ผมแกล้งยกยิ้มเหยียด “มีปัญญาหาแหวนแต่งงานมาได้แค่นั้นเหรอคุณ”

“ถ้าผมเอาแบบของจริงมาให้คุณ คุณจะยอมรับไหมล่ะ”

ผมแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “ต้องดูก่อนครับว่ากี่กะรัต”

“เฮ้ย” เจ้าหน้าที่หนุ่มสะดุ้ง “เอาจริงดิ ทำไมเคี่ยวนักล่ะ คุณหมอ”

“กับคุณเป็นกรณีพิเศษครับ ไม่เคี่ยวไม่ได้ ชอบทำตัวออกนอกลู่นอกนอกทาง”

“ใจร้ายว่ะ ออสติน ผมไม่เคยทำตัวเหลวไหลเลยน้า… มีคุณคนเดียว” พูดพลางซบหน้าลงมาบนบ่าผมจากด้านหลัง

ก็ไอ้แบบนั้นแหละที่น่ากลัวน่ะ

ไซม่อนแวะเข้าไปดูแดนอีกรอบที่ห้องของแกก่อนจะกลับมาหาผมที่นอนเหยียดตัวอ่านหนังสือที่แม็กซ์ให้ยืมมาเมื่อวันก่อน ตอนแรกที่ก้าวลงจากรถอุตส่าห์บอกตัวเองแล้วเชียวนะว่ายังไงวันนี้ก็จะไม่ค้างที่นี่ แล้วเป็นไงล่ะ โดนอาหารอร่อยๆ ของหมอนี่ล่อเข้าไป เจอลูกอ้อนของแดน ตบท้ายด้วยน้ำเสียงเว้าวอนจากไซม่อนผมก็จบลงที่นี่จนได้ แต่เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ผมอาบน้ำอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว แถมยังผ่อนคลายถึงขีดสุดแบบนี้ อะไรก็มาทำลายความสุขผมไม่ได้แล้ว

“แดนเป็นไงบ้างครับ” ผมว่าขณะพลิกนังสือหน้าถัดไป ตอนแรกนึกว่ารสนิยมของไอ้แม็กซ์จะแปลกๆ ซะอีก แต่เอาจริงๆ นิยายเล่มนี้สนุกใช้ได้เลยแฮะ “หลับรึยัง”

“สนิทเลยครับ ออสติน คุณคิดว่าจะเลิกอ่านหนังสือนั่นสักห้านาทีได้ไหม”

“ห้านาทีเลยเหรอ” ผมแกล้งคราง ไซม่อนเดินมาล้มตัวนอนเหยียดบนเตียงข้างๆ ผม สีหน้ายิ้มๆ แบบนั้นไว้ใจไม่ได้เลยสุดๆ เลยล่ะ

“จริงๆ ผมว่าคืนนี้คุณเลิกอ่านนิยายนั่นก่อนดีกว่า”

“แต่มันสนุกมากเลยนะ”

“ผมมีเรื่องสนุกกว่านั้นให้คุณทำแน่”

ได้ยินน้ำเสียงยั่วยวนของหมอนี่แล้วต้องจำใจปิดนิยายลงจนได้ ผมวางหนังสือเล่มนั้นลงที่โต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะนอนเหยียด หันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มอย่างพึงพอใจมาให้

“ผมว่าหมู่นี้คุณชักจะทำตัวลามกมากเกินไปแล้วนะ เมื่อกี้ก็หอมแก้มผมต่อหน้าหลานไปรอบหนึ่ง”

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ” ยักไหล่หน้าตาเฉย “เรื่องที่ผมคบกับคุณไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว”

“แต่ก็ไม่ต้องแสดงออกชัดมากก็ได้”

“เถอะน่า ออสติน นี่คุณหงุดหงิดอะไรมาเนี่ย” ไซม่อนดึงผมไปกอดแนบอก ไล้สันจมูกลงบนแก้ม ลากยาวไปถึงซอกคอ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่รดบนผิวเนื้อทำให้ผมร้อนวูบขึ้นทันที ผลสุดท้ายก็ทนความต้องการของตัวเองไม่ไหว ต้องดึงเขาเข้ามาจูบปาก ก่ายขาขึ้นบนสะโพกเขาแล้วจิกนิ้วลงบนเสื้อด้านหลังอย่างแรง จูบนั่นทำให้ไซม่อนหัวเราะออกมาทันที

“ขำอะไรคุณ”

“เปล่าครับ ไม่ได้ขำสักหน่อย แล้วนี่คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าวันนี้หงุดหงิดอะไรมา”

“เปล่า”

“เถอะน่า นี่มันจะหมดวันอยู่แล้วนะ คนดี บอกผมมาเถอะ”

ผมถอนหายใจเฮือกทีหนึ่ง “หมอให้ยาระงับอาการปวดคุณมากขึ้น ไซม่อน”

“อ้อ ใช่ครับ นี่คุณดูยาผมหมดแล้วเหรอ”

“คุณไม่ระวังตัวเองเลย”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ผมก็พยายามเต็มที่แล้วนา แต่บางทีมันก็เผลอฝืนตัวไปหน่อย”

“คุณรู้รึเปล่าว่ายาพวกนั้นมันแรง ถ้าคุณกินมากๆ เข้ามันก็ส่งผลข้างเคียงกับร่างกายคุณ แถมถ้าคุณไม่ระวังดีๆ คุณอาจมีสิทธิ์ติดได้เลยนะ แล้วติดยาระงับอาการเจ็บพวกนี้มันไม่ได้แก้ได้ง่ายๆ นี่ฟังที่ผมพูดอยู่รึเปล่า”

“คุณห่วงเกินไปแล้วน่า ออสติน”

“สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการคือมีแฟนติดยาแก้ปวดนี่แหละ”

“โอ๊ะ ในที่สุดคุณก็ยอมรับว่าผมเป็นแฟนคุณสักที” พูดอย่างคนที่ไม่ยอมปล่อยช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ให้หลุดลอยไป ผมนี่แทบจะกลอกตาขึ้นเพดาน “ถึงเราจะเป็นแฟนกันมาตั้งนานแล้วก็เถอะ”

“ที่ผมยอมนอนกับคุณนี่มันยังไม่ชัดเจนพอรึไงครับ”

“ชัดครับ” ไซม่อนปีนขึ้นมาคร่อมบนตัวผม ปลดกระดุมเม็ดแรกออก ผมได้ยินหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นดังขึ้นขณะมองตาเขา “แต่ผมอยากได้ยินจากปากคุณมากกว่า”

“มากกว่านอนกับผมน่ะนะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิ” ไซม่อนหัวเราะ ก้มลงมาจูบปากผมอีกครั้งเนิ่นนาน ผมจูบตอบเขาอย่าเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดออกจากตัวไปทีละชิ้น ครางเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายถูไถใบหน้าลงบนเรือนร่าง บิดตัวเล็กน้อยยามที่ลิ้นอุ่นแตะลงบนผิวเนื้อ

ได้ยินเสียงเขาครางเรียกผมอย่างแผ่วเบาและโหยหา “ออสติน”

“อือ… อะไรครับ” ผมถามกลับ แต่ไม่ได้คิดอยากรู้จริงๆ หรอก

“จำที่คุณพูดเรื่องสถานที่ศักสิทธิ์ก่อนหน้านี้ได้ไหม”

ดูเหมือนไซม่อนจะชอบเรื่องนี้จริงๆ แฮะ ให้ตาย

“อื้อ” ผมตอบแบบขอไปที และได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังแผ่วเบาที่ข้างหู ผมหลับตาลงแน่นเมื่ออีกฝ่ายฝังเขี้ยวลงมาบนคอ นิ้วเรียวที่นัวเนียอยู่ด้านล่างเริ่มชอนไชเข้ามาในปากทางด้านหลัง เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ชักจะคิดอะไรไม่ออกแล้วสิ

“จริงๆ แล้ว…. คุณต่างหาก ออสติน” เสียงทุ้มนั่นกระซิบที่ข้างหู ผมจิกปลายเท้าลงบนผ้าปูที่นอน

“คุณต่างหาก… ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผม”

ผมได้ยินคำพูดประโยคนั้นที่แสนแผ่วเบา

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะน่า





- Fin -





-------------------------------------------
(ทอล์คคราวนี้จะยาวมากๆ เลยนะคะ โปรดทำใจก่อนอ่าน)

Talk: จบ แล้ว เย่! //ปรบมือให้กับทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ได้... ไม่นับคนที่แอบกดข้ามบทอื่นมาอ่านก่อนนะ XD
ยินดีด้วยค่ะ คุณได้ผ่านกระบวนการพังไตมาพร้อมกับคนเขียนได้อย่างสำเร็จสวยงาม นับว่าต้องทนจริงๆ ถึงจะอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบได้ (ฮา)

ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้นอกจากตับไตคนอ่านจะผุกร่อนแล้ว คนเขียนก็ย่ำแย่ไม่แพ้กันค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราแตะมาทางสืบสวนมากขนาดนี้ (เรื่องก่อนๆ ก็มีแซมบ้าง แต่จะไม่หนักขนาดนี้) แล้วก็เป็นนิยายเรื่องแรกของเราที่ไม่แฟนตาซีค่ะ! (ก่อนหน้านี้มาแต่ทางแฟนตาซีวาย ฮา) สารภาพกันตามตรงเลยว่าตอนเขียนใช้พลังงานเยอะมาก ข้อมูลก็พยายามไปหา แล้วก็เป็นเรื่องแรกที่ใช้เวลาเขียนนานขนาดนี้ (ใครอ่านเรื่องก่อนๆ ของเราจะรู้ว่าปกติ1-2 เดือนก็จบหนึ่งเรื่องแล้ว เรื่องนี้ลากยาวมามากเลย)

และว่ากันตามตรง มันอาจจะไม่ใช่นิยายที่ดีสมบูรณ์แบบอย่างที่เราหรือหลายๆ คนคาดหวังไว้ แต่ก็เปรมใจมากค่ะที่เข็นมันออกมาจนจบได้ ยิ่งด้วยเราไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับหมอหรือเอฟบีไอหรือการตรวจศพ หรืออะไรมากมายที่ต้องใช้ในเรื่อง การจะเขียนออกมาได้จึงเป็นอะไรที่กินพลังงานสุดๆ และเราก็ตั้งใจว่าในเรื่องต่อๆ ไปเราจะพยายามพัฒนาตรงจุดนี้ให้มากขึ้นค่ะ ยังไงก็ขอกำลังใจจากทุกคนด้วยนะคะ (ฮา)

สำหรับคดีฆาตกรตัวเลขที่ยังเหลืออยู่ เราจะเอาเรื่องนี้ไปเฉลยในคู่ของวินเซนต์กับไคล์นะคะ (คู่พ่อทนายสุดที่รักของเรานั่นเอง ฮาาา) ยังไม่รู้ว่าจะได้เริ่มเขียนเมื่อไหร่ อาจจะเป็นช่วงปีหน้าค่ะ ฝากติดตามกันด้วยนะ >w<

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ขอขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจกัน เราทุ่มเทให้กับนิยายเรื่องนี้มากจริงๆ และคาดหวังจะทำได้ดีกว่านี้ในอนาคต ถ้ามีข้อเสนอแนะหรืออยากสอบถามพูดคุยอะไรก็ทักมาได้ที่หน้าเพจ, ทวิตเตอร์ หรือคอมเม้นท์บอกกันตรงนี้ก็ได้ค่ะ ^^ เราอยากฟังความเห็นจากทุกคนเลยว่าคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้บ้าง ยังไงก็เล่าให้ฟังกันบ้างน้า~

ก่อนจะจาก! ขอโฆษณาล่วงหน้าว่านิยายเรื่องนี้จะเปิดจองช่วงเดือนธ.ค. ที่จะถึงนี้นะคะ กำเงินในมือให้มั่น และขอฝากไซม่อนกับออสตินไว้ในอ้อมอกของทุกคนด้วยค่ะ แล้วมีอะไรจะนำมาอัพเดทให้ทุกคนทราบเรื่อยๆ //โค้ง

ท้ายสุดจริงๆ ล่ะ ฝากไปอ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ที่เรากำลังเขียนค้างไว้อยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ
จิ้ม>>Kill me gently จุมพิตอันธการ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745), Faded Fog หมอกเลือนรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356), ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61530)

หวังว่าจะได้เจอกับทุกคนอีกเร็วๆ นี้นะคะ ^^
Airin_and
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 21-10-2017 12:44:30
หวีดด  หวานกันซะทีหลังจากปวดตับมาตั้งนาน :hao7:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-10-2017 19:42:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 22-10-2017 20:20:40
สนุกมากเป็นกำลังใจให้แค่งเรื่องต่อไปสนุกๆแบบนี้อีกนะคะะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-10-2017 19:56:20
ไซม่อนเป็นอะไรที่น่าหมันไส้จนตอนจบ ดีใจที่ออสตินหายจากโรคกลัวสัมผัส มีชีวิตที่สงบสุขสักทีนะ ส่วนแดนน่าสงสารมาก เอาใจช่วยให้แองจี้ได้ออกมาเจอลูกไวๆ สุดท้ายสำหรับคนเขียน ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ เราสนุกมากๆเลย ขอบคุณมากค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 24-10-2017 01:03:07
สำนวนดีมาก โรแมนติก ลึกลับ และ สืบสวนสอบสวน
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-10-2017 10:36:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-10-2017 11:00:50
จบแล้ว   :mew1: :mew1: :mew1:
 
ไซม่อน หวานใส่ออสติน มุ้งมิ้งชอบบบบบ   
ไซม่อน ออสติน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณผู้แต่งมากกกกกกกกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 26-10-2017 16:51:03
แฮปปี้มากกกกก สนุกและลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบคุณมากๆๆเลยนะคะ

ป.ล.ชอบเรื่อง Kill me gently มากเหมือนกัน ตอนแรกเจอที่อีกเว็บนึง ไม่คิดว่าจะเป็นคนแต่งคนเดียวกันน เรื่องนั้นก็จะติดตามนะคะ สนุกมากๆเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-10-2017 22:24:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 30-10-2017 03:34:31
ไซม่อนนี่บทจะดาร์คก็สุดๆไปเลย ถ้าไม่ติดเรื่องขังและล่ามออสติน(ที่มีแผลใจเรื่องนี้)ไว้สามวัน เราคงจะเชียร์สุดตัว หึหึ  o3

เราว่าจริงๆคริสกับไซม่อนคล้ายกันมากนะ ทั้งนิสัยความคิดอาชีพ ติดแค่คริสหึงหวงออสตินแบบบ้าคลั่งไปหน่อย

น่าจะเสริมเรื่องคดีตัวเลขไว้ในตอนจบด้วยน้า บอกไว้นิดนึงว่าคดีนั้นยังไม่ปิด ตอนแรกเราก็งงๆว่าตกลงอะไรยังไง จนมาอ่านทอล์คถึงจะรู้ว่ามีต่อในอีกเรื่อง

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 05-11-2017 09:25:59
ผูกปมไว้ดีมาก เอาซะเดาไม่ถูกเลย

นี่ถึงขั้นเดาว่า หรือคนร้ายจะเป็นไคลน์

นับถือความใจแข็งของออสติน คือนางไม่เข็ดจริงๆที่บอกเลิกกับพวกในเครื่องแบบเนี้ย

ยิ่งเจอไซม่อนมาดักมาตื้อ ยิ่งน่ากลัวว่าจะเหมือนคริส

นี่อ่านจบตอนตีสาม อ่านจนมึนไปเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายมันๆปมแน่นๆ จะติดตามคดีฆาตรกรตัวเลขต่อไปนะคะ

มันยังค้างคาใจ ว่า เอ้ะ ยังไง หวังว่าจะได้รู้เร็วๆนี่ ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-11-2017 16:51:29
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-11-2017 20:43:02


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 16-11-2017 22:08:19
เจ๋งอะ อ่านแล้วรู้เลยว่าตั้งใจวางพล๊อตมาเป็นอย่างดี แล้วก็คุมจังหวะของเรื่องอยู่ด้วย อ่านไปแทบเอาทีนก่ายหน้าผากแทนออสตินเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: popuri ที่ 29-11-2017 11:54:34
สนุกมากกกกกกกกกก ค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย เราเป็นคนชอบนิยายสืบสวนมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะผันตัวมาสายนิยายวายอ่านแต่สืบสวนมาตลอด พอมาสายนี้ก็หวังให้มีสืบสวนวายๆที่สนุกมีปมให้ลุ้นมานาน สุดท้ายก็เจอสักที ประทับใจมากค่ะ ทั้งภาษาการดำเนินเรื่อง ปมต่างๆสนุกจนวางไม่ลงทีเดียว คู่คุณทนายน่าสนใจจริงๆค่ะ รออ่านอยู่นะคะ
ปล เราชอบภาษาคุณมาก ตอนนี้ตามทุกเรื่องที่คุณเขียนเลยค่ะ คู่เอลเลียตก็สนุกมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-11-2017 13:22:16
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 14-12-2017 19:06:53
สนุกมากเลยค่ะ ตื่นเต้น แต่ก็แอบหัวร้อน5555 บางทีบุคลิกแต่ล่ะคนน่าเอาอะไรฟาด แบบกวนตรีนเกิ๊น5555 แต่ก็สนุก ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (บทส่งท้าย) P.6 [21/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-12-2017 16:04:39

ตอนพิเศษ




“ให้ตายสิ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณจะพาผมมาที่นี่จริงๆ ” ออสตินว่าขณะก้าวเท้าเข้าไปในบาร์ที่มีแสงสีสลัวๆ และเพลงสบายๆ ที่เปิดคลอมาเบาๆ

“ทำไมล่ะครับ ออสติน” ไซม่อนพูดยิ้มๆ มือข้างหนึ่งแตะลงบนบ่าของคนข้างตัวราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ “คุณก็มาร้านนี้กับคุณไทเลอร์บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วไอ้ท่าทางเซ็งสุดขีดแบบนั้นมันอะไรกัน”

“มากับไคล์ก็แบบหนึ่ง มากับคุณก็อีกแบบหนึ่ง…” ออสตินว่าหน่ายๆ ขณะที่พนักงานต้อนรับหนุ่มน้อยที่แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางจัดไปนิดพาเขาทั้งคู่ไปที่โต๊ะว่างตัวหนึ่งที่อยู่ติดหน้าต่าง หมอหนุ่มกำลังพิจารณาหูของพนักงานคนดังกล่าวที่ถูกเจาะไม่ต่ำกว่าห้ารู

ไซม่อนสั่งเครื่องดื่มพร้อมกับอาหารอีกสองสามอย่าง ออสตินเอนหลังไปพิงกับพนักเก้าอี้ขณะทอดสายตาไปยังถนนนอกหน้าต่าง มีกลุ่มวัยรุ่นที่ท่าทางจะเมาแล้วได้ที่กำลังตะโกนโหวกเหวกแข่งกับอีกกลุ่มที่ดูจะเมาไม่แพ้กัน แต่เท่าที่ประเมินดูสถานการณ์แล้วอีกไม่นานต่างฝ่ายก็คงล่าถอยเพราะไม่มีใครถืออาวุธหรือของที่ดูเป็นอันตรายติดมือชวนให้น่าหวั่นใจ

“ยินดีต้อนรับสู่เมืองศิวิไลซ์” ริมฝีปากคู่สวยพึมพำเป็นเชิงประชด ไซม่อนหันไปมองตามก่อนจะยกยิ้มนิดหนึ่ง

“เดี๋ยวก็เลิกรากันแล้วครับ ดูสิ เริ่มถอยกันไปแล้ว”

ออสตินยักไหล่ทีหนึ่ง นัยน์ตาสีเทาจับจ้องอยู่ที่ด้านนอก และเมื่อเลื่อนกลับมามองหน้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่มก็ต้องชะงักไปนิดเพราะใบหน้าคมคายจ้องมาที่เขาด้วยสายตาอ่อนโยน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างมีความสุขทำเอาออสตินหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็กลบเกลื่อนมันด้วยการขมวดคิ้วมุ่นทันที

“มองอะไรครับ ไซม่อน”

“มองแฟน”

“เพื่ออะไรครับ”

“ความสุขทางใจ”

โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย เลี่ยนได้อีก

“ผมจะไปเข้าห้องน้ำ” พูดพร้อมกับลุกพรวดขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาแกล้งเบิกกว้างขึ้นเหมือนตกใจ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ออสติน อยากให้ผมไปด้วยไหม”

“นั่งนิ่งๆ ตรงนั้นไปเลยคุณ” พูดเสียงเย็นก่อนจะก้าวเท้าฉับๆ จากไป

และเมื่อพ้นสายตาของไซม่อนมา ออสตินก็เริ่มยกมือแตะหน้าที่ร้อนขึ้นของตัวเอง เดาได้เลยว่าไซม่อนต้องรู้แน่ว่าเขาหน้าแดงตั้งแต่รอบแรกแล้ว และพอเขาเดินจากมาแบบนี้ หมอนั่นต้องกำลังยิ้มขำอยู่แน่

บ้าชะมัด ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเขาต้องตกเป็นรองไอ้บ้านั่นตลอดด้วย แล้วทำไมไซม่อนถึงได้หน้าหนานักนะ เล่นมองเขาด้วยสายตาหยาดเยิ้มแบบนั้น… ไม่อายคนอื่นที่อยู่รอบๆ บ้างรึไง

ออสตินจัดการธุระของตัวเองก่อนจะกลับออกมาหลังจากคิดว่าจะรับมือกับเดทครั้งนี้ของพวกเขาต่อไปยังไง หากคนผมเทาก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของเขากับไซม่อน เส้นผมสีบลอนด์ที่ถูกตัดแต่งรับกับใบหน้าละอ่อนนั่นเรียกได้ว่าดูดี แต่สำหรับออสตินที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเอื้อมมือไปแตะบ่าแตะไหล่แฟนหนุ่มของเขาด้วยกิริยาที่มากกว่าสกินชิปทั่วไปแบบนั้นแล้ว ออสตินก็รู้สึกไม่ชอบใจชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาสักเท่าไร

เขาเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนคิ้วกระตุกเมื่อเห็นทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเกินเหตุ และเนื่องจากอยู่ไกลบวกกับเสียงเพลงภายในร้านที่ดังพอประมาณ ออสตินจึงไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นกำลังคุยอะไรกัน

“ขอโทษด้วยนะครับ ริออส แต่วันนี้ผมมากับคนอื่น” ไซม่อนว่าพร้อมกับดึงมืออีกฝ่ายออกอย่างสุภาพ “ไม่สะดวกคุยกับคุณเท่าไร”

“นั่นแน่ะ คุณจำชื่อผมได้” ชายหนุ่มว่าอย่างมีชัย รอยยิ้มเริงร่านั่นทำเอาออสตินที่มองเห็นจากไกลๆ คิ้วกระตุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “แปลว่าคุณก็ต้องคิดถึงกันบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ”

“ผมจำชื่อคนที่ซื้อน้ำให้ผมได้ทุกคนแหละครับ” พูดพร้อมกับส่งยิ้มสุภาพให้

หน็อย มันยังจะหยอดยิ้มกลับ กล้านักนะไอ้คุณเจ้าหน้าที่ มากับเขาแท้ๆ แต่ยังจะมาจีบกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตา

“คุณบอกว่าถ้าเจอกันคราวหน้า เราอาจจะไปกันได้ไกลกว่านี้” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวเชยคางของคนตรงหน้าที่นั่งอยู่ให้เงยขึ้นมาสบตา “ไม่อยากปฏิเสธเพื่อนของคุณสักครั้งแล้วไปสานอะไรๆ กันหน่อยเหรอครับ คุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

“ผมมากับแฟนครับ” ไซม่อนดึงมืออีกฝ่ายออกอย่างสุภาพ หากคำพูดเรียบง่ายนั่นทำเอาริออสชะงักไปอย่างคาดไม่ถึง อ่านจากสีหน้า ไซม่อนก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายหงุดหงิดและไม่พอใจสุดๆ ที่พลาดจากเขาไป

“แฟนคุณโชคดี”

“ผมว่าเจ้าตัวอาจจะไม่คิดแบบนั้นเท่าไรหรอก”

“ถ้าเบื่อเขาแล้วก็มาหาผมนะ” พูดพลางทำท่าจะก้มหน้าลงต่ำมาคลอเคลียที่ข้างหู หากร่างสูงบ่ายตัวหนีให้พอไม่น่าเกลียด ริออสรู้สึกหน้าเสียไปไม่น้อย แต่เขาก็แก้ลำได้อย่างรวดเร็วด้วยการยิ้มกลบเกลื่อนไป “คุณก็รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เจอผม”

“ผมว่าผมคงไม่มาเจอคุณหรอกครับ” ตอบอย่างหนักแน่น แม้จะรู้ดีว่ายิ่งเป็นการหักหน้าอีกฝ่าย แต่เขาหมายความตามนั้นจริงๆ นอกจากออสตินแล้วเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะรักใครได้อีก

เจ้าหน้าที่หนุ่มได้ยินริออสจิ๊ปากอย่างขัดใจเต็มที่

“เรื่องอนาคตคุณไม่มีทางรู้หรอก” แล้วเจ้าตัวก็กระแทกเท้าเดินไปอีกทางหนึ่ง

ออสตินเดินกลับมาที่โต๊ะราวกับรู้คิว ไซม่อนเงยหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้หวานใจตัวเองที่ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างสงบ บรรยากาศรอบตัวของคนที่เพิ่งกลับมาเย็นลงอย่างน่าใจหาย แต่ไซม่อนที่ไม่ทันสังเกตกลับยื่นสลัดกุ้งที่ถูกประดับอยู่ในแก้วทรงสูงให้คนตรงหน้าพร้อมกับส้อมอีกคัน

“คุณกลับมาพอดีเลย ของคุณมาถึงพอดี กินกันเถอะครับ แล้วจะสั่งอะไรแก้วใหม่ไหม”

“ไม่เป็นไรครับ” ตอบเสียงเรียบจากนั้นก็เริ่มลงมือกินเงียบๆ

ถึงตรงนี้ไซม่อนก็เริ่มรู้สึกได้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มยังนึกไม่ออกว่าเรื่องอะไร และแม้เขาจะพยายามเอาใจออสตินมากขึ้นด้วยการบริการทุกอย่าง คอยตักนั่นนี่ให้ เทน้ำให้ เลื่อนเก้าอี้ แต่อีกฝ่ายก็ยังทำเย็นชากับเขาจนน่าหวั่นอยู่ดี

นี่เขาไปทำอะไรพลาดตอนไหนเนี่ย?

หลังจากจบมื้ออาหารที่ออสตินไม่ได้สนุกไปกับเสียงเพลงหรือแสงสีภายในร้านอย่างที่เคยเป็นเท่าไร ไซม่อนก็ขับรถมาส่งอีกฝ่ายที่อพาร์ทเม้นท์เพราะตัวเองต้องกลับไปนอนบ้านเพื่อดูแลแดน เนื่องจากพี่เลี้ยงประจำตัวติดธุระช่วงเช้าในวันรุ่งขึ้นกะทันหัน

ตอนแรกเขาก็ตั้งใจจะหาทางตะล่อมแฟนหนุ่มให้ไปนอนบ้านเขาอยู่หรอก แต่เห็นท่าทีเงียบๆ ถามคำตอบคำแถมยังทำเหมือนไม่เห็นหัวเขาแบบนั้นแล้วไซม่อนก็รู้เลยว่าออสตินต้องไม่ยอมไปค้างกับเขาคืนนี้แน่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่เขาไม่สบายใจเลยที่คนผมเทาทำตัวหมางเมินใส่แบบนี้

“ขอบคุณที่มาส่งครับ” ออสตินพูดเสียงเรียบ เปิดประตูรถเตรียมจะก้าวลง หากมือหนาเลื่อนมายึดแขนเขาไว้เสียก่อน

“ออสตินครับ”

คนผมเทาหันมามองไซม่อนด้วยสายตาเรียบเฉยจนน่ากลัว

“ครับ? ”

“นี่คุณโกรธอะไรผมอยู่รึเปล่าเนี่ย”

“ก็เปล่านี่ครับ”

“งั้นคุณเป็นอะไร”

“เป็นอะไรที่ว่าของคุณหมายถึงอะไรล่ะ”

“ก็คุณเงียบๆ นี่วันนี้”

“ผมง่วงนอน” พูดพลางออกแรงดึงแขนตัวเองกลับ แต่ไซม่อนรั้งไว้ด้วยแรงเท่าๆ กัน

“มันยังไม่ถึงเวลานอนของคุณสักหน่อย”

“ปล่อยนะ ไซม่อน ผมจะเข้าบ้านแล้ว”

“ไม่ปล่อยครับ”

“นี่คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย? ”

“มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

ออสตินถอนหายใจเฮือกอย่างแรงก่อนจะกระแทกตัวกลับลงไปนั่งบนเบาะ “เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”

“ปิดประตูด้วยครับ”

“ทำไมผมจะต้อง--”

“ผมขอร้อง”

คนผมเทากลอกตาขึ้นบนรอบหนึ่งก่อนจะยอมทำตามที่อีกฝ่ายขอ มือสองข้างยกขึ้นมากอดอก “มีอะไรครับ คุณเจ้าหน้าที่ ต้องรีบกลับไปดูแลหลานไม่ใช่เหรอ”

“ผมจะกลับก็ต่อเมื่อคุณบอกผมว่าโกรธอะไรผม”

“ผมไม่ได้โกรธคุณ”

“โกหก” ไซม่อนพูดพร้อมกับพยายามคิดย้อนกลับไปว่าวันนี้เขาพลาดอะไรไป “ก็ตอนที่ผมไปรับคุณก่อนไปบาร์นั่น คุณยังดีๆ อยู่เลย”

“ผมก็เหมือนเดิม”

“อ้อ” อยู่ๆ เขาก็นึกถึงชายหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นขึ้นมาได้ “คุณเห็นตอนผมคุยกับริออสงั้นเหรอ”

ออสตินเบิกตากว้างเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “นี่ถึงขนาดถามชื่อแซ่กันด้วยเหรอ ทำไมไม่ชวนเข้าโรงแรมไปนอนด้วยกันซะเลยล่ะ”

“ผมเคยเจอเขามาก่อนครั้งหนึ่งที่นั่น แต่แค่คุยด้วยเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรกัน” ไซม่อนอธิบาย รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ กับปฏิกิริยาแบบนี้ของคนรัก “นี่… อย่าบอกนะว่าคุณหึงน่ะ ออสติน? ”

“ผมเนี่ยนะ? ” ย้อนถามเสียงสูง หากใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย และไซม่อนสังเกตเห็นได้แม้ว่ารอบตัวพวกเขาจะมืดพอประมาณก็ตาม “ผมไม่ใช่คนขี้หึง”

“ผมรู้ และคุณก็ไม่ชอบคนขี้หึงด้วย แต่มันก็ต้องมีโมเม้นท์แบบนั้นบ้าง ถูกไหม”

“ผมเปล่า”

“งั้นคุณโกรธผมเรื่องอะไร”

ออสตินไม่ตอบ

“คุณเห็นผมกับผู้ชายคนนั้นใช่ไหม คนที่ผมบลอนด์ ตัวเล็กๆ ”

ออสตินหันขวับกลับมามองไซม่อนตาขวาง “แล้วใครใช้ให้คุณไปอ่อยเขาทั้งๆ ที่มาเดทกับผมล่ะ”

“ผมเนี่ยนะ? ” เป็นทีไซม่อนเหวอบ้าง “เขาต่างหากมาอ่อยผม ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“มันผิดที่คุณเกิดมาหน้าตาดีงั้นสิ? ”

“พอคำชมนั้นมันออกมาจากปากคุณผมก็ดีใจนะ”

คนผมเทากลอกตาอีกรอบ ทำท่าจะเปิดประตูรถแล้วก้าวพรวดออกไป แต่ไซม่อนก็รั้งไว้ทันอยู่ดี

“ผมไม่มีคนอื่นหรอก ออสติน แล้วผมก็ไม่มีอะไรกับผู้ชายคนนั้นจริงๆ ”

“คุณยอมให้เขาเชยคางคุณไปด้วยซ้ำ ต่อให้คุณจะบอกว่าเขาอ่อยคุณก็เถอะ แล้วยังไง ถ้าเขาจูบอ่อยคุณคุณก็จะจูบเขากลับเหรอ”

ไซม่อนเลื่อนหน้าลงไปจูบปิดปากคนหึงแต่ไม่ยอมรับว่าหึงทีหนึ่งอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี และนั่นยิ่งทำให้ออสตินทั้งอายและหงุดหงิดขึ้นไปอีก

“ไซม่อน! ”

“ขอโทษครับที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี” พูดพร้อมกับดึงมือออสตินขึ้นไปแนบกับแก้มตัวเอง ส่งยิ้มหวานอบอุ่นเอาใจไปให้ “งั้นคราวหน้าผมจะระวังกว่านี้นะ ครั้งนี้ยกโทษให้ผมเถอะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้โกรธ” พูดอุบอิบ พยายามจะดึงมือกลับ แต่ไซม่อนก็ไม่ปล่อยง่ายๆ “ผมไม่ชอบคนขี้หึง และผมก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นด้วย”

“แต่ผมชอบคนขี้หึงนะ”

“! ”

“โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเป็นคุณ”

“ไซม่อน พอแล้ว ผมจะเข้าบ้าน--” แต่แน่นอนล่ะว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ

ไซม่อนดึงเขาเข้าไปจูบอย่างอ่อนหวาน จากนั้นเจ้าตัวก็เลื่อนมือไปปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อขยับตัวไปจูบคนผมเทาที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับได้ถนัด ออสตินพยายามจะเบือนหน้าหนีสองรอบ แต่หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ไซม่อนทำตามใจชอบอยู่ดี

แค่นั้นยังไม่พอ รู้ตัวอีกทีออสตินก็เอื้อมมือไปยึดหลังคออีกฝ่ายแล้วตวัดลิ้นรับ จูบตอบร่างสูงอย่างเคลิบเคลิ้มแบบไม่รู้ตัว

ไซม่อนผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่มองมาที่เขาอย่างฉ่ำเยิ้มและเต็มไปด้วยแรงปรารถนาทำให้ออสตินที่หน้าแดงอยู่แล้วแดงเถือกเข้าไปอีก เจ้าตัวยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำหน้ายังไงดี

“วันนี้ไปบ้านผมได้ไหมครับ” พูดด้วยสีหน้าอ้อนๆ “แดนก็อยากเจอคุณนะ”

“คุณก็ชอบเอาหลานมาอ้างตลอด”

“ผมก็อยากอยู่กับคุณด้วย”

“! ” เอาหลานมาอ้างเหมือนเดิมเถอะ!

“นะครับ คนดีของผม ผมอยากนอนกับคุณคืนนี้”

“ออกลายเหมือนเดิม ตลอดแหละ คุณน่ะ”

“คุณไม่อยากเหรอ”

“ไม่อยาก”

“เดี๋ยวผมทำให้อยากเอง”

“...” หมดคำจะพูด

“มานะครับ” พูดพร้อมกับจูบออสตินอีกรอบอ้อนๆ “ผมรักคุณนะ ตามใจผมหน่อย”

“ก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย” ปากว่างั้นงี้ แต่เจ้าตัวก็ยอมเอื้อมมือไปปิดประตูรถกลับเข้ามา ดึงสายเข็มขัดลงมาคาด “บอกก่อนนะ ผมแค่จะไปหาแดน ไม่ได้เจอแกตั้งหลายวันแล้ว”

“ตกลงครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มหวานทีเดียว

สงสัยคราวหน้าเขาต้องซื้อขนมกับของเล่นไปเซ่นหลานชายตัวเองเยอะๆ ซะแล้ว






-------------------------------------------------
Talk: อะแฮ่มๆ สวัสดีค่ะทุกคน! แวะเอาตอนพิเศษมาฝากค่ะ XD
แล้วก็ขอถือโอกาสนี้โฆษณานิยายเปิดจองหน่อย นิยายเรื่องไหนน่ะเหรอ... ก็ต้องเรื่องนี้แหละค่ะ! 5555555
อย่างที่เคยบอกไปก่อนนี้แล้วว่าจะเปิดจองไซม่อนออสตินวันที่ 25/12 ตอนนี้ทางสนพ. ก็เปิดจองเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ^^

ระยะเวลาในการพรีฯ: 25/12/2017 - 20/02/2018 
ของแถม: ที่คั่น / โปสการ์ด / สมุดบันทึกปากคำไซม่อน แมคแนร์ (เฉพาะรอบจองเท่านั้น)
สั่งจองได้ที่: http://diamondystore.lnwshop.com/ (http://diamondystore.lnwshop.com/)
ฝากไซม่อนกับออสตินไว้ในอ้อมแขนทุกคนด้วยนะคะ >3< 
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 16-12-2017 19:30:49
แหม ออสติน ปากแข็งนะคะ อยากก็บอกว่าอยาก  :ling1: พรีเรียบร้อยแล่วค่ะ ❤ รักคู่นี้ แม้จะหมั่นไส้พระเอกอยู่บ้าง
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 16-12-2017 21:11:37
ถ้าบอกว่าหมั่นไส้ไซม่อนจะมีใครว่าอะไรเราไหมค่ะ 55555 ออสตินก็น่ารักจังเลยมีแอบขี้หึงเบาๆ หนูลูกไม่ต้องไปยอมไซมากนะคะออสตินข้อหาน่าหมั่นไส้ให้อดไปสักเดือนนึงจะสะใจมาก
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-12-2017 22:51:47
ดีใจ ไรท์มาลงตอนพิเศษให้  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ไซม่อน ออสติน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ออสตินขี้หึงเหรอเนี่ย  :z3:
แต่ไซม่อนชอบนะ  :mew1:
ขอบคุณไรท์
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: super hero ที่ 17-12-2017 16:07:01
ขอบคุณมาก
เนื้อเรื่องสนุกมากเลย
ขอตอนพิเศษอีกได้ไหม

 o18

 :กอด1:

 :L2:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PUN ที่ 17-12-2017 19:55:46
นายเอกสตรองมากที่สติไม่แตก แต่ละเรื่องหนักๆทั้งนั้น

เป็นเรื่องที่ชวนติดตามมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-12-2017 20:28:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 02-01-2018 13:56:03
 o13
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 24-03-2018 13:53:04
สนุกมากกกกกก
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 02-06-2018 14:10:55
อะไรมันจะซับซ้อนขนาดดดดด o
หัวข้อ: Re: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 14-07-2018 00:01:52
 :hao4: จริงๆแล้วพระเอกน่าสงสารมากๆเลย