บทที่ 14
ไซม่อนส่งข้อความมาหาผมในตอนเช้า ถามไถ่ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง ผมยังรู้สึกสะลึมสะลืออยู่ ตายังเปิดไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะพยายามเบิกมันกว้างขึ้นเพื่อจะได้มองหน้าจอแล้วพิมพ์ตอบเขาไป
Simon McNair: อาการเป็นยังไงบ้าง ออสติน
ข้อความที่ว่านั่นส่งมาเมื่อสามชั่วโมงก่อน ก็ประมาณตีห้าสินะ
Austin Gardner: ดีขึ้นมากแล้วครับ
ผมพิมพ์ตอบไปพร้อมกับวางมือถือลงกลับที่เดิมแล้วลุกจากเตียงไปอาบน้ำ หากยังไม่ทันจะได้ผละมือออก เสียงตอบจากหน้าแชทนั่นก็ดังขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้งอย่างตกใจ มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ไซม่อนตอบกลับข้อความนั้นมาเรียบร้อยแล้ว
Simon McNair: ค่อยยังชั่วหน่อย ผมกำลังนึกเป็นห่วงเลย
เฮ้ย! ตอบกลับมาเร็วขนาดนี้… นี่หมอนี่ไม่ต้องนอนหรือพักผ่อนบ้างหรือไง
Austin Gardner: นี่คุณได้นอนหรือยังครับเนี่ย
ผมพิมพ์ถามกลับอย่างเป็นห่วง ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงนิดๆ แล้ว แล้วตอนที่เขาทิ้งผมไปทำงานก็เที่ยงคืนกว่า ยังไม่นับวันที่แสนยาวนานที่ต้องเดินไปต่อแถวขึ้นเครื่องเล่นทั้งวันเมื่อวานอีกนะ เดี๋ยวร่างกายก็ช็อดกันพอดี
ไซม่อนไม่ได้ตอบกลับข้อความกลับมา เขาเปลี่ยนเป็นโทรหาผมด้วยโปรแกรมแชทที่ว่านี้แทน ผมร้องเหวอออกมานิดหนึ่งด้วยความตกใจ นี่ผมจะขวัญอ่อนอะไรขนาดนี้วะเนี่ย อีกหน่อยมีแมลงวันบินตัดหน้าไปสักตัวผมคงเป็นลมสลบเหมืดแหง
เขาโทรมาหาโดยที่ขอให้ผมเปิดกล้องด้วย ผมรีรอนิดหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มสีเขียวเพื่อตอบรับอีกฝ่าย
ใบหน้าของไซม่อนปรากฎขึ้นมาให้เห็นบนหน้าจอ เขาวางโทรศัพท์ไว้บนที่วางซึ่งติดอยู่กับคอนโซลรถอีกที หูเสียบสายหูฟังแบบบลูทูธเอาไว้ เขาส่งยิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนจะเบือนสายตากลับไปมองถนน
“อรุณสวัสดิ์ครับ ออสติน”
สีหน้าของเขาอิดโรยตามประสาคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน น้ำเสียงของเขาก็เช่นกัน ผมที่ตอนนี้หายไข้ดีจนเกือบจะเป็นปกติแล้วเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ
“ทำไมคุณยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกครับ หน้าคุณดูโทรมมากเลยนะ ถ้าป่วยขึ้นมาจะทำยังไง”
น้ำเสียงเอะอะของผมเรียกรอยยิ้มให้คุณในหน้าจอได้เล็กน้อย
“ถ้าผมป่วยจริงก็ดีสิครับ คุณหมอออสตินจะได้คอยพยาบาลให้ผมไง นี่ๆ ถ้าผมขอให้คุณใส่ชุดนางพยาบาลด้วยจะได้ไหมครับ”
“มะเหงกเถอะคุณ” ผมถลึงตาใส่กล้องแม้ว่าตอนนี้สายตาไซม่อนจะจับจ้องอยู่บนท้องถนน ไม่ใช่ที่หน้าผมก็ตาม “ผมชันสูตรศพแน่ะ อยากให้ผมลองผ่าข้างในคุณดูไหมล่ะ”
“โอ๊ย อย่านะครับคุณหมอ ผมกลัวมีดผ่าตัด” เขาแกล้งห่อตัวลง ทำเสียงตื่นๆ อย่างล้อเลียน ผมหัวเราะออกมากับบทสนทนาที่หาใจความสาระไม่ได้ของพวกเรา ยกมือขึ้นปัดผมเป็ดให้กลับลงไปนิดหนึ่ง สภาพเพิ่งตอนนอนนี่ดูไม่ได้เลย
“อ้าว คุณ อย่าปัดมันลงสิ ปล่อยไว้แบบนั้นก็น่ารักดีออก” ไซม่อนว่า ผมชะงักมือไปนิดหนึ่ง หน้าร้อนขึ้นกับคำพูดที่บอกว่า ‘น่ารัก’ ง่ายๆ ของเขา
“นี่! มองอะไรน่ะ ไซม่อน แมคแนร์ ขับรถอยู่ก็มองถนนสิคุณ ใครสั่งใครสอนให้มาเปิดกล้องคุยกันตอนขับรถเนี่ย เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง”
ไซม่อนหัวเราะตอบ นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ว่า “ผมไปบ้านคุณได้ไหม ออสติน”
“หา?”
“จากทางนี้ ผมไปถึงบ้านคุณเร็วกว่าน่ะ” เขาว่าพร้อมกับส่งยิ้มอ้อนๆ มาให้ ยัง ยังจะหันมาทางนี้อีก เดี๋ยวเกิดขับรถไปชนเสาไฟฟ้านะ ผมจะหัวเราะซ้ำ---
อือ… ไม่เอาดีกว่า อย่าให้เกิดอะไรขึ้นไม่ดีกับเขาเลย ผมว่าผมคงรับไม่ไหวหรอก
“ออสติน?” เขาเรียกผมแต่สายตายังจับจ้องไปที่เบื้องหน้า มือสาวพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยอย่างคล่องแคล่ว “ทำไมเงียบไปล่ะคุณ ตกลงผมไปไม่ได้เหรอ”
“มาสิ” ผมว่า “แต่เลิกเปิดกล้องคุยตอนขับรถได้แล้ว ตกลงไหมครับ มันอันตราย”
“ตกลงครับ” เขาว่ายิ้มๆ อย่างเอาใจ “งั้นอีกยี่สิบนาทีเจอกัน ผมวางก่อนนะ”
“แล้วคุณกินอะไรหรือยัง”
แต่อีกฝ่ายกดตัดสายไปก่อนแล้ว
ผมลุกขึ้นจากเตียง จัดการธุระยามเช้าของตัวเองแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้ทั้งตัวเองและคนที่กำลังจะมาถึง แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบจับอะไรเสียงรถของไซม่อนก็ตรงมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว มาเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ นึกว่าจะอีกสักพัก
“ไซม่อน” ผมเรียกเขาหลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามา เจ้าหน้าที่หนุ่มดูอ่อนล้ากว่าที่เห็นในกล้องเมื่อครู่เสียอีก เขาเลื่อนมือมากอดคอผมจากด้านหลังขณะที่ผมปิดประตูบ้าน ผมไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจเมื่อไซม่อนเริ่มไซร้คางลงมาบนลำคอ มันจั๊กจี้เล็กน้อยจากเคราที่ขึ้นแซมมา โอ๊ย แต่พอมันถูมาแรงๆ แบบนี้ก็ชักจะเจ็บแล้วนะ
“คิดถึงคุณจัง ออสติน” เขาว่าเหมือนคราง ผมพยายามผลักตัวเขาที่ทิ้งน้ำหนักลงมาออก แต่ไอ้บ้านี่ตัวหนักชะมัด
“คิดถึงอะไรล่ะคุณ เพิ่งจะแยกกันไม่ถึงชั่วโมง”
“โอย… ผมไม่ไหวแล้ว” ในที่สุดเจ้าตัวก็พูดเฮือกสุดท้าย ใช้แขนปวกเปียกของตัวเองดึงแขนผมให้ตามเขาขึ้นไปบนชั้นสอง “ออสติน ผมง่วงนอน พาผมเข้านอนหน่อย ผมจะสลบอยู่แล้ว”
ผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เวลาหมอนี่อ้อนแบบนี้นี่น่ารักชะมัด คือมันไม่ใช่เรื่องที่น่า… เอ่อ จะเป็นไปได้เท่าไรเลยนะที่จะเห็นผู้ชายตัวใหญ่อย่างกับหมีทำตัวน่ารักได้ หรือต่อให้คนคนนั้นพยายามจะทำ ภาพที่ออกมาคงไม่น่ารักเท่าที่ควร แต่ยกไอ้หมอนี่ให้เป็นกรณีพิเศษก็ได้
“ที่เอฟบีไอเขามีเจ้าหน้าที่กันไม่พอรึไง” ผมบ่นลอยๆ ยอมให้ไซม่อนวางมือพาดบ่า ทำเหมือนผมกำลังออกแรงลากเขาไปที่ห้องนอน แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวก็ก้าวขาขึ้นมาเองนั่นแหละ ผมลากไอ้หมีนี่ไม่ไหวหรอก “แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนดันโดดงานพาหลานไปเที่ยวเอง เอ้า คุณ ถึงเตียงแล้ว แล้วนี่ให้คนป่วยมาช่วยส่งนอนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”
“จริงสิ คุณไม่สบายอยู่นี่นา” เขาพูดเหมือนนึกขึ้นได้ แต่น้ำเสียงดูเสแสร้งมาก
ผมเหวี่ยงร่างของไซม่อนให้ล้มลงบนเตียง เจ้าตัวเริ่มคลานไปมาเพื่อหาตำแหน่งที่นอนสบาย เห็นแบบนี้แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนหมอนี่เหนื่อยจนถึงขีดสุดจะเป็นแบบนี้เองสินะ เห็นแล้วอยากแกล้งชะมัด
“คุณหายดีรึยังครับ ออสติน” เขาว่าพลางพยายามเบิกตามองผม แต่เห็นได้ชัดว่าฝืนมาก คงอยากนอนเต็มแก่จริงๆ
“อือ ยังไงก็สภาพดีกว่าที่คุณเป็นแน่ล่ะ”
“หือ อะไรกัน สภาพผมก็ไม่แย่ขนาดนั้นสักหน่อย แค่เหนื่อยไปนิดเท่านั้นเอง”
อือ… เท่าที่เห็นตอนนี้นี่ก็ไม่ค่อยนิดเท่าไร
“แล้วไม่หิวเหรอคุณ” ผมถาม เลื่อนมือไปลูบเส้นผมสีำน้ำตาลบลอนด์ของเจ้าตัวอย่างเอ็นดู ตลกตรงที่เมื่อคืนเขายังเป็นฝ่ายลูบหัวผมอยู่เลย มาเช้านี้สลับตำแหน่งกันเสียแล้ว
“ผมกินแซนด์วิชมาแล้วครับ ผมต้องนอนจริงๆ” ถึงตรงนี้เขาก็ปิดเปลือกตาลงเต็มที่ เห็นแล้วสงสารจัง ผมนอนเสียจนเต็มอิ่มแล้ว ให้เขาพักบ้างดีกว่า
“ราตรีสวัสดิ์ ไซม่อน” ผมทาบริมฝีปากลงบนเปลือกตาเขา มุมปากของเจ้าตัวยกขึ้นนิดหนึ่ง
“อรุณสวัสดิ์ครับ ออสติน”
“ผมจะทำข้าวเช้าให้ตอนคุณตื่น
“ตอนนั้นคงต้องเป็นมื้อกลางวันแล้วมั้งครับ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“ขอโทษนะที่พรุ่งนี้ผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาลไม่ได้”
คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ผมเคยส่งตารางการตรวจร่างกายของตัวเองให้เขา แน่นอนว่าไซม่อนจะคอยทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถรับส่งผมตลอดไม่ได้หรอก เขาเองก็มีการมีงานต้องทำ และผมเองก็ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาอะไร
ไซม่อนบอกผมล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาคอยขับรถไปส่งผมได้ไม่ได้วันไหนบ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีที่ต้องปล่อยให้ผมไปเองคนเดียวอยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เรื่องแค่นี้เอง” ผมถอนหายใจออกมายิ้มๆ เลื่อนมือไปลูบหน้าเขาก่อนจะผละออกเพราะเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ “งั้น… ฝันดีนะครับ ผมจะไปทำงานสักหน่อย นอนเยอะๆ ล่ะคุณ”
ไซม่อนพยักหน้า ไม่พูดอะไรตอบ แต่มุมปากยกยิ้มขัน ซึ่งนั่นทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้
ก็ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อเมื่อคืนเขายังเป็นฝ่ายพูดอะไรทำนองนี้กับผมอยู่เลย ตอนนี้สถานะเปลี่ยนเสียแล้ว จะไม่ให้แอบขำได้ไง
…
ผมเดินทางมาที่โรงพยาบาลอันเป็นสถานที่ทำงานเก่าของผม ส่วนที่ผมเคยทำจะอยู่คนละตึกกับอาคารที่ผมต้องมาตรวจร่างกายในวันนี้ โรงพยาบาลเซนต์วิลล์เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเดิม ผู้ป่วยจำนวนมากนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ซึ่งเรียงรายเป็นแถว เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลเดินสวนกันขวักไขว่ คุณหมอในชุดกาวน์คนหนึ่งกำลังก้าวเท้าเร็วๆ ตามนางพยาบาลอีกคนหนึ่งที่นำทางไป แค่เห็นบรรยากาศวุ่นวายนี่ก็ปวดหัวเต็มที่แล้ว ไม่ต้องนึกถึงตอนทำงาน ยินดีต้อนรับสู่่บ้านเก่านะ ออสติน
“คุณหมอการ์ดเนอร์” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ส่งยิ้มให้ผม รับบัตรผมไปคีย์ข้อมูล “มาตามนัดขอคุณหมอกอร์แมนสินะคะ ร่างกายเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ปกติดีครับ ไม่มีอะไรน่ากังวลเป็นพิเศษ”
“มีไข้หรืออาการท้องเสียในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไหมคะ”
“ท้องเสียไม่มีครับ แต่มีไข้บ้าง”
หล่อนมองผมด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจทันที เป็นอันรู้กันอยู่ว่าถ้าถ้ามีอาการดังกล่าวอาจหมายถึงอวัยวะที่เพิ่งเปลี่ยนถ่ายมาไม่เข้ากับร่างกายของตัวเอง แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
“คือผมไปตากฝนมานิดหน่อยน่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าร่างกายมันไม่รับหัวใจนี่หรอก” อีกอย่าง ผมก็ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ว่านี่มาหลายเดือนแล้วนะ แล้วที่ผ่านๆ มาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ระวังตัวหน่อยสิคะ คุณหมอ เดี๋ยวคุณหมอก็ว่าเอาหรอก เอ่อ ฉันหมายถึงคุณหมอกอร์แมนน่ะค่ะ”
“ลำบากแย่เลยนะ มีคนไข้เป็นหมอด้วยเนี่ย” ผมล้อเลียนหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะตรงดิ่งไปนั่งที่รอสำหรับคนไข้
ผมแค่อยากนั่งรอแล้วก็เดินเข้าห้องตรวจไปเหมือนคนไข้รายอื่นๆ แต่สักพักหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่เข็นเตียงมาให้ผมโดดขึ้นไปนอนบนนั้นจนได้ ผมแทบอยากจะกลอกตากับความเกินเหตุของอะแมนดาให้รู้แล้วรู้รอด ก็รู้หรอกนะว่ายัยนี่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบกับสิ่งที่แพทย์ควรปฏิบัติ แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ ผมบอกไปตั้งหลายรอบแล้วว่าให้เลิกเอาเตียงมารับผมสักที คนไข้คนอื่นๆ ที่เขารอคิวอยู่มองมากันใหญ่แล้วเนี่ย
“ทำไมฉันต้องขึ้นไปนอนเตียงนี่ด้วยนะ” ผมบ่นงึมงำ เจ้าหน้าที่หนุ่มอีกคนเพียงแค่ยักไหล่ เขาสวมผ้าปิดปากอยู่ ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขากำลังยิ้มรึเปล่า
“ถ้าไม่อยากให้ผมอุ้มคุณขึ้นเตียงก็ปีนมาดีๆ เถอะครับ อีกอย่าง คุณหมอกำลังรอคุณอยู่”
เยี่ยมเลย เพื่อนร่วมงานแสนประเสริฐ บางทีก็อดสงสัยไม่ได้นะว่านี่เป็นการแกล้งกันรึเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็ ยัยอะแมนดานี่เป็นหัวโจกแน่ๆ
ผมปล่อยให้อดีตเพื่อร่วมงานที่ตอนนี้กลายมาเป็นคุณหมอผู้ดูแลผมจัดการหย่อนกล้องเข้าไปในรูบนหน้าอกของตัวเอง ผมนอนมองเพดานนิ่งๆ ปล่อยให้อะแมนดาหันไปคุยกับผู้ช่วยหมออีกสองคน ดูเหมือนเจ้าหล่อนกำลังสอนงานอยู่ด้วย ก็ดีที่อาการป่วยของผมสามารถเป็นกรณีศึกษาให้แพทย์ฝึกหัดได้
อะแมนดาซักถามอาการเบื้องต้นของผมอย่างที่ทำมาเสมอหลังจากส่องกล้องดูอวัยวะภายในเรียบร้อยแล้ว ผมเกลียดเวลาที่เขากระตุกเอากล้องนั้นออกมาจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกระตุกเบ็ดกลับเข้ามางั้นแหละ สงสัยจังว่าปลาที่ตกมาหลายร้อยหลายพันตัวทั้งชีวิตจะมีความรู้สึกแบบนั้นไหม แต่มันคงแย่กว่าที่ผมรู้สึกอยู่หรอกมั้ง
“มีไข้สูงงั้นเหรอ” เจ้าหล่อนว่าขณะที่เคาะปากกาลงบนแฟ้มคนไข้อย่างครุ่นคิด “หนักมากไหมคะ”
“ไม่มากครับ กินยา นอนพักคืนเดียวก็หาย” ผมว่า เสริมต่อด้วยว่าจริงๆ เพิ่งจะเป็นเมื่อวานซืนนี้เอง
“ซอร์ร่าบอกฉันว่าคุณไปตากฝนมา” ซอร์ร่าคือหญิงสาวที่ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ
“ครับ ใช่”
“นี่คุณคิดว่าตัวเองร่างกายแข็งแรงมากสินะ”
“ผมก็ไม่ได้อาการแย่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย คราวก่อนคุณเองก็บอกนี่ว่าร่างกายรับอวัยวะใหม่ของผมดี คุณบอกด้วยซ้ำว่าหลังตรวจคราวหน้า ถ้าไม่มีอะไรผิดปกผมก็เริ่มกินแอลกอฮอล์ได้แล้ว”
“มันสำคัญที่ตรงนี้ใช่ไหมคะ” แพทย์สาวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “พวกผู้ชายนี่นะ”
“ก็แค่จิบๆ น่ะ” ผมอ้าง จริงๆ ก็แค่อยากกินไวน์หรือแชมเปญดีๆ กับไซม่อนตามลำพังสักครั้ง ตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมเปิดแชมเปญของตัวเองให้เขา ผมก็ไม่เคยเห็นเขาแตะเครื่องดื่มพวกนั้นให้เห็นอีกเลย คงกลัวว่าผมจะรู้สึกไม่ดี ซึ่งการที่เขาทำแบบนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากกลับมาดื่มได้เร็วๆ จะได้ดื่มกับเขา
“ขอห้ามไว้ก่อนแล้วกันค่ะ คุณเพิ่งมีไข้มา”
“ได้ไง” ผมตีหน้าบึ้งเหมือนเด็กๆ แต่ก็แค่แกล้งทำนั่นแหละ “คุณสัญญาแล้วนะครับ คุณหมอ แล้วผมก็เป็นไข้ที่ดีมาตลอด”
“ด้วยการเอาตัวไปตากฝนแล้วก็ไข้ขึ้นสูงน่ะเหรอคะ” หล่อนว่าพร้อมกับหัวเราะระร่วนอย่างอารมณ์ดี ผมส่งยิ้มให้เจ้าหล่อนนิดหนึ่ง ปล่อยให้อะแมนดาขีดเขียนลงในแฟ้มต่อ “ทำไมคุณไม่เล่าให้ฉันฟังล่ะคะว่านึกยังไงถึงไปตากฝนมา”
“ผมไปสวนสนุกน่ะ แล้วฝนมันตกพรำๆ ตอนยืนต่อแถว” ผมว่า “แล้วคุณก็น่าจะเดาออก ยืนต่อแถวกันมาเป็นชั่วโมงๆ คงไม่มีใครอยากสละสิทธิ์หรอก อีกอย่างหนึ่ง มันก็แค่นิดเดียว ผมแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำตอนมันเป็นละอองลงมา”
“อ้อ ใช่ๆ ฉันนึกออก พวกเครื่องเล่นพวกนี้ไม่รู้เขาจัดระบบกันยังไง ทำไมถึงทำให้รอน้อยกว่านั้นไม่ได้” อะแมนดาว่าก่อนจะชะงักมือไป หันหน้ากลับมามองผมด้วยสายตาอึ้งๆ ปนยินดี “เดี๋ยวนะ…. คุณเนี่ยนะ ไปสวนสนุก ออสติน?”
“ใช่แล้ว” ผมว่า “ผมไปเดทมา”
คราวนี้เจ้าหล่อนเลื่อนเก้าอี้ติดล้อเข้ามาใกล้ผมทันที สีหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้ผมแอบเขินนิดหนึ่ง พวกผูหยิงนี่ชอบเรื่องแบบนี้กันซะจริง
“ไม่เห็นคุณเคยเล่าให้ฉันฟังว่าคบกับใครอยู่”
“ก็กำลังเล่านี่ไงคุณ”
“เขาทำงานอะไรน่ะคุณ แล้วไปเจอกันที่ไหน”
ผมเดาได้อยู่แล้วว่าเจ้าหล่อนต้องถาม ผมกับอะแมนดาถือว่าสนิทกันในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็สนิทกันพอที่ผมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยโดนคริสเตียนโดนข่มขืนให้หล่อนฟังได้ จริงอยู่ที่ว่าคนในโรงพยาบาลนี้รู้เรื่องนี้กันไม่น้อย แต่คนที่รู้มาจากข่าวลือกับคนที่รู้มาจากปากผมน่ะ มันแตกต่างกันนะ
“เขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอน่ะ ชื่อไซม่อน แมคแนร์”
รอยยิ้มของเจ้าหล่อนดูจะเลือนไปนิดเมื่อได้ยินอาชีพของแฟนผม
“พวกถือปืนอีกแล้วเหรอ” หล่อนว่าเสียงเครียด แสร้งทำเป็นหันไปให้ความสนใจกับแฟ้มผมต่อ “คุณนี่ไม่เข็ดจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณหมอ”
“ใช่ว่าตำรวจต้องเลวไปหมดทุกคนเสียหน่อย”
“ใช่ค่ะ ฉันก็รู้ เพียงแต่…” ถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าอีกนิดหนึ่งแล้วจดมือลงไปในกระดาษขยุกขยิก หวังว่าหล่อนคงไม่ได้กำลังสั่งยาระงับประสาทหรืออะไรทำนองนั้นให้ผมอยู่นะ “คุณเจออะไรที่แย่มากๆ มา คุณก็รู้ว่าฉันพูดถึงอะไร”
“คุณรู้จักคนที่ชื่อแบรด แมคแนร์ไหม” ผมหย่อนคำถาม เหลือบมองปฏิกิริยานั้นของแพทย์สาว หากเจ้าหล่อนเพียงแค่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง ผมพยายามประเมินว่าหล่อนแกล้งทำรึเปล่า แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้เหมือนกัน
“แบรด แมคแนร์? เขาเป็นคนในครอบครัวของแฟนคนใหม่ของคุณเหรอคะ? ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จัก”
หืม ไม่มีอาการออกเลยเหรอ หรือว่าอะแมนดาเตรียมรับมือไว้แล้วตอนที่ผมพูดชื่อไซม่อนออกไปครั้งแรกนะ
ผมปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพวกเราทั้งคู่อยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินหมากต่อ
“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมล่ะว่าเจ้าของหัวใจที่ผมได้มาถูกฆ่าตาย ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ”
ได้ผล อะแมนดาชะงักมือลงทันที เจ้าหล่อนเบิกตากว้างขึ้นก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วสาวเท้ามาหาผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“คุณเอาอะไรของคุณมาพูดน่ะ ออสติน คิดจะหลอกถามอะไรจากฉันเหรอ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องนี้เป็นความลับ”
“ผมรู้ มันสมควรจะเป็นความลับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาหล่อนตอบ อะแมนดาดูโกรธและสับสนมากทีเดียว แปลว่าหล่อนรู้ว่าใครเป็นคนบริจาคหัวใจให้ผมอยู่แล้วสินะ ผมน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเชียว “แต่ตอนนี้มันก็ไม่ลับสำหรับผมแล้ว ก็ผู้ชายที่ผมกำลังเดทอยู่ด้วยนี่แหละเป็นคนมาบอกผมเองว่าผมได้หัวใจของพี่ชายเขามา อันที่จริงนะ เขาเข้าหาผมด้วยเหตุผลนั้นด้วยซ้ำ”
“เขาไม่ควรจะรู้เรื่องนั้นสิ”
“อ้อ ใช่ แต่บังเอิญเขาเป็นเอฟบีไอไง คุณจำได้ไหม และไม่ต้องมองหน้าผมแบบนั้น ผมไม่บังเอิญโง่ขนาดมีใครมาพูดอะไรก็เชื่อไปหมดหรอก เขามีจดหมายขอบคุณที่ผมเขียนด้วยลายมือตัวเอง มันเป็นจดหมายที่คุณขอให้ผมเขียนไง จำได้รึเปล่า”
“เขา… ไซม่อน แมคแนร์ใช่ไหมที่คุณพูดเมื่อกี้” อะแมนดาว่าพร้อมกับเคาะปากกาลงแฟ้มในมือเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างสับสนและหงุดหงิด หล่อนขมวดคิ้วชนกันจนแทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว เดาว่ากำลังหัวเสียกับการทำอะไรตามอำเภอใจของไซม่อน ไม่ค่อยแปลกใจหรอก ตอนแรกที่ไซม่อนมาที่บ้านผม ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน “ฉันจะต้องไปคุยกับเขา คุณมีช่องทางติดต่อหรืออะไร--”
“ไม่ ไม่ๆๆ ผมไม่ได้อยากให้คุณไปว่าอะไรเขา ผมแค่รู้สึก… เสียใจนิดหน่อยที่คุณไม่ได้บอกผมเรื่องเจ้าของหัวใจคนก่อน คุณทำเหมือนกับว่าผมได้หัวใจมาเพราะผู้บริจาคร่างกายเจออุบัติเหตุจนเสียชีวิต ผมรู้ว่าคุณอยากให้ผมสบายใจเรื่องนั้น แต่ถึงยังไง เราก็เป็นเพื่อนกัน---”
“เดี๋ยวๆๆๆ ออสตินคะ เดี๋ยวก่อนนะ” แพทย์สาวยกมือขึ้นห้ามผม หล่อนหลับตาลง สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งเพื่อรวบรวมสติ และเมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่ หล่อนก็จ้องตาผมเขม็ง “คุณบอกฉันว่าเจ้าหน้าที่ไซม่อน แมคแนร์บอกคุณว่า… หัวใจที่คุณได้มาเป็นของแบรด แมคแนร์… ซึ่งเป็นคนในครอบครัวของเขางั้นเหรอ?”
“เป็นพี่ชายน่ะ” ผมว่า “แบรดเป็นพี่ชายของไซม่อน แล้วก็ใช่ เขาบอกผมแบบนั้น”
อะแมนดามีท่าทีสับสน ดูหล่อนเป็นกังวลมากๆ ที่ผมดันมารู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้ ยิ่งกับคนที่เคร่งธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเจ้าหล่อนด้วยแล้ว… แต่ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย ผมไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยนี่
“นี่มันบ้ากันไปใหญ่… บ้ากันไปใหญ่แล้ว” หล่อนพึมพำอย่างร้อนรน และนั่นทำให้ผมเป็นกังวลขึ้นมาจริงๆ ผมรู้ดีว่าหล่อนมีความลับที่ต้องระวังไม่ให้คนไข้รู้ มันหนักหนาพอๆ กับความลับระหว่างหมอกับคนไข้นั่นแหละ แต่… อะไรบางอย่างกำลังบอกผมว่าเรื่องนี้มันแตกต่างไปจากนั้น แค่ผมรู้ว่าตัวเองได้หัวใจของใครมา ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์อะไร
“อะแมนดา…”
“คุณต้องเลิกติดต่อกับเจ้าหน้าที่คนนั้น” หล่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเสียจนผมยังต้องอึ้งไป นึกภาพตามคำที่หล่อนพูดแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างไรชอบกล “เลิกกับเขาซะ ออสติน ฉันว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล คุณเพิ่งคบกับเขาใช่ไหม ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอกนะ เลิกยุ่งกับเขาเถอะ คุณควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบแล้วก็พักอยู่ในบ้านของตัวเอง”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเจือแวหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง อยู่ๆ ความรู้สึกที่ว่าคนรอบตัวมีเรื่องปิดบังผม… ทั้งไซม่อนก็ดี อะแมนดาก็ดี… ความคิดนั่นทำให้ผมหัวเสียขึ้นมาทันที ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในกันด้วย “คุณกำลังบอกให้ผมเลิกกับแฟนที่เพิ่งคบกันหมาดๆ เนี่ยนะ? ตลกแล้ว อะแมนดา ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก นี่มันไร้เหตุผลชะมัด”
“เขามันตัวอันตราย ออสติน” หล่อนพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้ถึงทีที่ผมต้องชะงักลงไปบ้างแล้ว ผมถามต่ออย่างสับสนไม่ต่างจากแพทย์สาวตรงหน้าทันที
“ผมนึกว่าคุณไม่รู้จักไซม่อน แมคแนร์เสียอีก”
“อ้อ ไม่หรอก ฉันไม่รู้จักเขาหรอกค่ะ”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นตัวอันตราย”
หล่อนมองหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ผมเพิ่งถาม กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะตอบกลับมากระท่อนกระแท่น
“ก็ดูสิ่งที่เขาทำกับคุณสิ แค่ฟังคุณพูด ฉันก็ประเมินได้แล้ว”
“ยังไงครับ? ที่เขามาบอกผมว่าผมได้หัวใจของพี่ชายเขามาน่ะเหรอ? ผมรู้ว่าเขาก็ทำผิด แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรถึงขนาด---”
“นี่คุณเชื่อในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ เหรอ ออสติน การ์ดเนอร์” หล่อนหันขวับกลับมา น้ำเสียงเหลืออด “ที่เขาบอกว่าหัวใจที่คุณได้ไปเป็นของพี่ชายเขาน่ะ แค่เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไม่ได้หมายความว่าเขาจะโกหกคุณไม่ได้นะคะ แล้วคุณนี่ยังไง หูเบาอะไรขนาดนี้ เป็นถึงหมอนิติเวชแท้ๆ คุณน่าจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นความลับขนาดไหน”
“แต่ไซม่อน--” ผมอ้าปากจะพูดตอบโต้ แต่เหมือนหญิงสาวตรงหน้าสติขาดผึงไปแล้วขณะร่ายยาวต่อด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
“แล้วยังไง คุณจะบอกอะไรฉันอีก ถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนอื่นมามาบอกว่าคุณมีหัวใจของพ่อผม แฟนผม หรือน้องผม คุณก็จะเชื่อเหมือนกันหรือเปล่า หรือยังไง หรือเพราะคนนี้พิเศษ คุณก็เลยยอมเชื่อในสิ่งที่เขาบอกโดยที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นๆ เลย”
“แต่… แต่เขามีจดหมาย” ผมอึกอัก ตกใจไม่น้อยที่เห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของตัวเองเป็นแบบนี้
อะแมนดาหันหน้าขวับกลับมามองผมด้วยสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคือง แต่หล่อนกำลังโกรธใครล่ะ โกรธผมเหรอ?
แพทย์สาวถอนหายใจเสียงดังเฮือก กระแทกปึกเอกสารกับขอบโต๊ะเพื่อทุกแผ่นอยู่ในระดับเรียบเสมอกัน หล่อนสบตาผมตรงๆ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“จะหาว่าชั้นยุแยงหรือหาเรื่องให้พวกคุณแตกคอกันก็ได้นะคะ ออสติน แต่ที่ฉันพยายามพูดอยู่นี่ก็เพราะฉันหวังดีกับคุณ คุณเป็นเพื่อนฉัน คุณเป็นคนดี แล้วคุณก็เคยเจอเรื่องแย่ๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมาแล้ว ฉันไม่สนใจจดหมายห่าเหวอะไรนั่นหรอกค่ะ ออสติน ฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันจะเป็นของจริงรึเปล่าฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่ฉันรู้คือ… แทบไม่มีใครรู้เรื่องหัวใจของคุณ มีคนจำนวนน้อยมากจริงๆ ที่รู้เรื่องนี้ ต่อให้แฟนใหม่คุณเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องนี้”
“แต่… งั้น… เขาจะโกหกผมทำไมล่ะ” ผมพึมพำอย่างสับสน มองเห็นความเห็นใจจากแววตาหญิงสาวตรงหน้าวูบหนึ่ง หากวินาทีต่อมามันก็กลับไปแข็งกร้าวตามเดิม
“ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอกค่ะ ออสติน แต่ถ้าคุณไม่ได้หลงพ่อเอฟบีไอคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นล่ะก็… ฟังที่ฉันพูดไว้หน่อยก็แล้วกัน”
“ฟังที่คุณพูดเหรอ…” ผมว่าต่อเสียงแผ่ว สับสนไปหมดแล้วกับสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ในตอนนี้
อะแมนดากำลังเตือนผมเรื่องไซม่อนอยู่อย่างนั้นเหรอ แปลว่าหมอนั่นโกหกผมเรื่องหัวใจนี่จริงๆ ใช่ไหม
แล้ว… แล้วเขาจะโกหกผมเรื่องนั้นไปทำไมกันล่ะ?
---------------------------------------------
Talk: ขอแจ้งเรื่องการอัพนิยายนะคะ ต่อไปนี้เราคงอัพสัปดาห์ละครั้งแต่เป็น100%ทุกครั้งแล้ว ส่วนเรื่องวันที่จะมาอัพยังไม่กำหนดแน่นอน แต่กำลังคิดไว้ว่าเป็นช่วง ศ. ส. อา. ค่ะ ถ้ากำหนดชัดเจนแล้วจะแจ้งทุกคนอีกเนอะ นอกเหนือจากวันที่เราจะมาบอกทุกคน เราอาจจะมีการรีอัพนิยายบ้างในวันอื่นๆ ยังไงก็อย่าเพิ่งรำคาญกันก่อนน้า >_< ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆ นะคะ!
#ไซออส #sweetsanc