เรื่องสั้น : ปีศาจร้ายบนเครื่องบิน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่ๆ ใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้ามากกว่าบนดิน ผมได้ยินพวกมนุษยเรียกมันว่าเครื่องบินแต่ผมกลับไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของมันนัก คำว่ามังกรยังเข้าใจได้ง่ายกว่า
“คร่อกกกก”
ผมขมวดคิ้วหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงกรนดังลั่นจากมนุษย์ร่างท้วมที่มีพุงใหญ่กว่าหัวผม เขาน่ารำคาญจนผมอยากจะโยนเขาลงจากเครื่องบินหรือไม่ก็หักคอเขาทิ้งซะแต่ผมทำไม่ได้
หรือถ้าจะให้ผมยอมรับความจริงว่า ‘ตัวเองตายแล้ว’ ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นผมจะสงสัยต่อไป
ผมเลยก้าวอาดๆ ส่ายหายยาวๆ ของผมไปมา ยังไงซะก็ไม่มีคนเห็นผมอยู่ดี สุดท้ายผมก็มาหยุดยืนที่กระจกในห้องน้ำที่ตอนนี้ว่างพอดี ไม่อยากจะโม้เลยว่า ผมสามารถจำได้ทุกส่วนในเครื่องบินเลยล่ะ ก็มันว่างมากนี่นา
ผมหันซ้ายขวาสำรวจใบหนาของตัวเองอย่างพอใจที่มันยังหล่อเหมือนเดิม โดยเฉพาะเขาเล็กๆ กลางหน้าผากซึ่งเป็นสีฟ้าอมม่วงน่ารัก ผมว่างมากถึงขนาดตั้งชื่อมันว่า ม่วงม่วง เก๋ใช่ไหมล่ะ ไหนจะร่างโปร่งกล้ามเนื้อไร้ที่ตินี่อีก สุดยอดชะมัด ผมต้องเคยเป็นปีศาจที่มีชื่อด้านความงามมาก่อนแน่ๆ
แต่ก็นะผมไม่รู้หรอก เพราะผมจำอะไรไม่ได้เลยพอรู้คร่าวๆ ว่าตัวเองเป็นปีศาจเท่านั้น ส่วนระยะเวลาการอยู่บนเครื่องบิน ผมนับไม่เป็น เลยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว ผมอยากออกจากที่นี่นะแต่มันออกไม่ได้ มันเหมือนมีกำแพงใสๆ กั้นอยู่ไม่ให้ผมออกไป ผมเลยติดแหง็กอย่างนี้ไง
ผมหาวหวอดซึ่งก็ทำไปงั้น ผมไม่ง่วงหรอกแต่ก็อยากนอน ผมเดินเอื่อยๆ ทะลุผ่านประตูแล้วไปนอนบนเบาะชั้นที่ดูหรูๆ
“บัดซบ” ผมสบถเมื่อทุกที่ถูกจับจองจนเต็ม เอาเข้าจริงผมนอนทับพวกเขาได้เลยนะ แต่มันก็น่ารำคาญเวลาพวกเขาลุกหรือส่งเสียงงุ้งงิ้งเคี้ยวของกิน ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่น่ารำคาญมากกกก
ผมหน้างอลอยเอื่อยๆ กะจะไปนอนห้องนักบิน ที่นั่นกว้างดี สายตาขี้เกียจของผมมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย จะว่าไปมนุษย์ก็น่าอิจฉานะที่สามารถมีชีวิตของตัวเองได้ไม่เหมือนกับผม เฮ้อ
“..!” ผมสะดุ้งเมื่อถูกจ้องเขม็งจากมนุษย์คนหนึ่ง
ใบหน้าหล่อจัด ผมสีบรอนด์ทอง นัยน์ตาสีเขียวดุๆ และบนคอนั่นก็มีสร้อยคอห้อยไม้กางเขน
ไม่รู้ทำไมหัวใจของผมอยู่ๆ ก็บีบรัดแน่นจนเจ็บไปหมด ผมน้ำตาคลอสะอื้นฮัก รู้สึกเศร้าและเจ็บปวดเจียนตายโดยไม่รู้สักนิดว่าเพราะอะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองรู้จักมนุษย์คนนี้เป็นอย่างดี
“มานี่” เขาขยับปากและผมก็ทำตามคำสั่งไม่รู้ตัว ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของผม เขานั่งอยู่ในมุมที่ไม่มีคนสนใจนักและผมก็ยืนสะอื้นตรงหน้าเขา
“ทำไม..?” อยู่ๆ คำนี้ก็หลุดออกจากปากผม
เขายิ้มที่ทำให้ผมขนลุกและเศร้ามากกว่าเดิม “เพราะปีศาจมันน่ารังเกียจไงล่ะ สกูต” หากแต่สิ่งที่เขาทำกลับสวนทาง เขาดึงตัวผมไปนั่งบนตักและจูบ ผมที่ยุ่งอยู่กับการร้องไห้เลยไม่ได้สังเกตว่าเขาสามารถสัมผัสร่างกายผมได้
ในอกผมตอนนี้เหมือนกับกำลังจะพังทลาย มันเจ็บไปหมด
“และร่างกายของนาย ก็ยังร่านเหมือนเดิม” เขากระซิบข้างหูผมเสียงพร่าและใช้มือลูบสะโพกผมอย่างจาบจ้วง ผมผวาเฮือกถอยจากเขาเมื่อโดนไม้กางเขน มันร้อนจนแทบจะทำผิวผมไหม้ไปทั้งแถบ เขาสบถหยาบคายเหมือนไม่พอใจแต่ก็ถอดมันออกและวางมันบนเบาะข้างๆ
“มาสิ สกูต ร่างกายนายอยากได้จนตัวสั่นแล้วไม่ใช่เหรอ” เขายิ้มพรายจงใจจับมือผมไปจับลงบนเป้ากางเกงของเขาที่นูนเป็นลำอย่างเห็นได้ชัด “ฉันจะแทงเข้าไปในตัวนายเหมือนที่เคยแทงหัวใจนาย”
ผมผวาเฮือกเมื่ออยู่ๆ ความทรงจำก็ถาโถมกลับเข้ามา
ความทรงจำที่ว่าด้วยผมกับเขาเคยเป็นคนรักกัน
ผมกับเขาเป็นคู่รักที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดของโลกบิดเบี้ยวนี้ เขาเป็นคนของพระเจ้าที่มีหน้าที่กำจัดปีศาจ ส่วนผมก็เป็นปีศาจมีหน้าที่ล่อลวงมนุษย์ให้เข้าสู่ด้านมืดไปวันๆ
ผมเจอเขาครั้งแรกตอนที่กำลังหลอกให้ประธาธิบดีของประเทศไหนสักประเทศหันมาเคารพและสักการะซาตานที่รักยิ่งของผม อ้อ ตอนนั้นทั้งผมและเขาอยู่ในร่างมนุษย์ เขาปลอมตัวเป็นเลขาเข้ามาขัดขวางผมที่เกือบจะล้างสมองได้สำเร็จ
แปลก ที่เราไม่ฆ่ากันแต่กลับลอบมีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกัน ร่างกายของเราเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เวลาที่มีอะไรกันเขามักจะสบถจะฆ่าผมเวลาที่ผมแกล้งเขาเสมอ ตอนนั้นผมก็หัวเราะและออดอ้อนเขาต่อโดยไม่ใส่ใจอะไรนัก
แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะทำมันจริงๆ
เราทำกันครั้งสุดท้ายบนเครื่องบินลำนี้ เขาทำให้พวกมนุษย์มองไม่เห็นพวกเราและเริ่มต้นกันอย่างร้อนแรง เขาดันหลังผมให้ชิดกำแพงและยัดไอ้นั่นเข้ามา ผมครางดังลั่นและผวาเฮือกกับแววตาของเขา
“นายล่อลวง ฉันมาตลอด สกูต” เขาว่าด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว ไม่รู้ว่าเขาเอามีดเงินทีมีกลิ่นอายน่ากลัวขึ้นมาแนบลำคอผมตั้งแต่ตอนไหน
แต่ผมก็ยังฉีกยิ้มยียวนเขา “นายชอบมัน ฉันรู้ เผลอๆ มากกว่าจะฉันซะอีก” ผมแกล้งบดสะโพกใส่ซึ่งก็ทำเอาผมตัวอ่อนยวบ บ้าชะมัด แต่ก็ยังดีที่มันทำให้สีหน้าเฉยชานั่นเหยเกได้
“พระองค์ท่านรู้เรื่องนี้แล้วและฉันก็ยอมไม่ได้!” เขาตวาดกร้าวแววตาบ้าคลั่ง น่ากลัวจนผมเผลอน้ำตาไหลออกมา
ให้ตายสิ ผมต้องยอมรับว่าผมเผลอโง่รักเขาไปแล้ว มันไม่ควรเกิดขึ้นจริงๆ
“ต้องฆ่า ฆ่านายเท่านั้น ฉันถึงจะได้รับการอภัยโทษ”
เขาว่าด้วยแววตาเหม่อลอยแต่หัวใจผมกลับบีบรัดแน่นด้วยความเจ็บปวด เขาให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าผม
“ฮึก” ผมสะอื้น ไม่น่าเชื่อปีศาจที่แสนจะเย่อหยิ่งอย่างผมจะมีน้ำตากับเขาด้วย “อย่านะ”
เขาไม่ตอบแต่แสยะยิ้มร้ายและแทงมีดเข้ามา
แปลกที่ผมกลับรู้สึกเสียใจมากกว่าเจ็บปวด ผมถูกฆ่าและทิ้งร่างไว้ตรงนั้น ทุกอย่างจบลงผมตายแต่ดูเหมือนผมจะอาฆาตมากล่ะมั้ง วิญญาณผมเลยยังอยู่ที่นี่
“ฉันแปลกใจนะ ที่ยังเห็นนายที่นี่ ทั้งๆ ที่ร่างของนายโดนเผาเป็นจุลไปแล้ว” เขาว่าขณะที่ไล่จูบตามลำคอและอ้อยอิ่งบนหน้าอกผม
“สำหรับนาย ฉันไม่มีค่าเลยงั้นเหรอ” ผมถามเสียงเบาและเห็นดวงตาสีเขียวนั้นกระตุกวูบ
“ไม่มี ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว” เขาพูดราวกับกำลังย้ำกับตัวเอง
“..อืม” ผมยิ้มนิดๆ แล้วหลับตา ร่างกายมันชาไปหมด ถ้าผมต้องตายอีกครั้งผมก็ต้องบอกลา ม่วงม่วงสินะ แย่จัง..
“นายไม่โกรธฉันเหรอ สกูต”
ผมลืมตาขึ้นมามองเขาไม่พูดอะไร
สีหน้าของเขาเจ็บปวด “พูดอะไรบ้างสิ ด่าก็ได้ อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเลวไปกว่านี้เลย”
“มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อสำหรับนายแล้วปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่สมควรตาย” ผมยิ้มขื่น “ฆ่าฉันอีกรอบสิ เผื่อฉันจะไปเกิดเป็นเทวทูตผู้สูงส่งอย่างนายบ้าง”
ผมรักเขาไปแล้ว ผมไม่โกรธเขาหรอกที่เขาฆ่าผม ผมรู้จักเขาดีมากกว่าตัวเขาเองอีก
“นายสิ ฆ่าฉัน”
อยู่ๆ เขาก็หยิบมีดเงินยื่นให้ผมด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
“ฆ่าฉันเหมือนที่ฉันเคยทำกับนาย”
“ไม่” ผมทำไม่ได้
“รู้อะไรไหม ฉันได้เลื่อนตำแหน่งด้วยแต่มันไม่มีความสุขสักนิดเพราะตำแหน่งนั้น ฉันได้เพราะสามารถล่อลวงและฆ่าปีศาจชั้นสูงได้” เขาร้องไห้.. ผมไม่อยากเชื่อเลย “ฆ่าสิ่งที่ฉันรักที่สุดในชีวิต”
เขารวบมือผมไปจับมีดแต่ผมก็พยายามสุดชีวิตที่จะดึงมือตัวเองออก
“ฮึก ไม่เอา”
เขาใช้มืออีกข้างดึงคอผมลงไปจูบ มันเป็นจูบที่หวานที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยจูบกับเขามาและผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อมือที่ดึงคอของผมตกลง
และดอกไม้สีแดงก็ปรากฏขึ้นบนเสื้อเขา
“กรี๊ดดดดดดด”
ผมเพิ่งได้สติตอนได้ยินเสียงกรี๊ด
“ฮืออออออ ไม่! ไม่! ไม่!” ผมกุมหัวกรีดร้อง เขาตายแล้ว!! ผมสะอื้นฮัก มีคนมากมายมามุงดูแต่ผมไม่สนใจ
ในอกผมมันเจ็บร้าวกว่าเมื่อกี้นี้อีก
“ร้องไห้ทำไม” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูผมและสวมกอดแน่น “น่าอายชะมัดที่ตายในสภาพนั้น พวกมนุษย์ต้องนินทาฉันแน่ๆ เลย”
“ทำไม” ผมหยุดสะอื้น “นายถึงยังอยู่ที่นี่”
“ก็เหมือนกับนายมั้ง ตายแล้วไม่ไปไหน ถ้าให้ฉันเดาพวกยมทูตคงมารับไม่ถูก พวกนั้นโบราณกันจะตาย”
“แล้วเราก็ต้องอยู่กันอย่างนี้เหรอ”
เขากัดใบหูผมพร้อมนวดคลึงก้นผม “ก็ทำกันไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะมารับล่ะมั้ง”
ผมศอกใส่ท้องเข้าจนเขาร้องโอ๊ยถึงยอมปล่อยมือจากก้นผม
“นายพูดว่ารักฉันเหรอ”
เขาเป็นคนปากหนักมาก แต่ที่เขาพูดเมื่อกี้ทำให้ผมดีใจแทบบ้า เขารักผมด้วย.. ทั้งๆ ที่ผมหมดหวังไปนานแล้วแท้ๆ
“พูดว่าอยากต่างหาก” เขายิ้มหื่นโน้มลงมาจูบเขาผม
“นายนี่มันหื่นบัดซบไม่สมเป็นเทวทูตเลย” ผมบ่น เรื่องหื่นนี่เสมอต้นเสมอปลายมาก ไม่สมเป็นเทวทูตผู้สูงส่งที่เขาชอบพล่ามถึงสักนิด “อย่ายุ่งกับม่วงม่วง มันเป็นเพื่อนฉัน”
เขาทำหน้าเหยเก “ชื่อปัญญาอ่อนชะมัด” แล้วก็ยิ้มเอ็นดู “แต่ก็เหมาะกับนายดี”
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมก็เข้าไปกอดเขาแล้วร้องไห้
“นายไม่สมควรตายเพราะฉัน”
เขาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรกเพราะเขารังเกียจปีศาจเอามากๆ แค่ตอนมีอะไรกันเท่านั้นถึงจะยอมสัมผัสผม “ฉันเลือกนายไงล่ะ สกูต”
“โอ้พระเจ้า เขา.. อืมม” มนุษย์คนหนึ่งอุทานขึ้นมาเมื่อไปสำรวจร่างของเขาแถบช่วงล่าง
ผมหลุดขำและมองเขาพบว่าเขาหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายแล้วถลึงตาใส่ผม “เพราะนายนั่นแหละ สกูต!”
ผมหน้างอ “นายอยากเอง ช่วยไม่ได้”
เขาเหมือนไม่ได้ยินผม ยีหัวตัวเองเหมือนรับไม่ได้ เฮ้อ คนที่เคร่งครัดอย่างเขาชอบคิดมากไปซะทุกเรื่องแบบนี้แหละ เป็นผมคงไม่สนใจ ปล่อยเลยตามเลย
“ไปห้องอื่นเถอะ!” ว่าแล้วเขาก็ลากผมไปทันที
ผมหลุดหัวเราะแล้วมองตามหน้ายุ่งๆ ของเขา
ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะกลับมีความสุขได้อีก ตอนแรกที่ผมจำอะไรไม่ได้เลยคงเพราะผมเจ็บปวดจนเลือกที่จะลืมทุกอย่างไปซะ พอเจอเขาผมก็จำทุกอย่างได้
“ยิ้มอะไร มีอะไรน่าขำ”
เขาหันมาแยกเขี้ยวขู่แง่ง
ผมหัวเราะใส่หน้าเขา
ไม่รู้สิแต่ตอนนี้ผมมีความสุขเป็นบ้าเลยว่ะ
---------------
ปีศาจอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันทำไมชีวิตถึงวนๆ แต่เรื่องปีศาจ