ตอนที่ 15 แต่งงาน
รุ่งขึ้นขุนทับตื่นแต่เช้าด้วยวันนี้ไม่ต้องเข้าวังไปราชการถึงเดินทางไปวัดสุวรรณเพื่อให้พระอาจารย์ช่วยดูฤกษ์งามยามดีเฉพาะสำหรับแต่งงานให้ตนกับเรือง
“นมัสการขอรับพระคุณเจ้า กระผมมีธุระอยากให้พระคุณเจ้าช่วยดูฤกษ์แต่งงานให้กระผมหน่อย”
“พ่อทับเอ็งจะแต่งงานแล้วรึ แต่งกับใครเล่าเอาคนรักเอ็งมาให้อาตมารู้จักบ้างสิ ถ้าพ่อเจ้ายังอยู่คงดีใจที่ลูกชายคนเล็กจะมีคนดูแลแล้ว” พระคุณเจ้าดีใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากตนนั้นเป็นอาจารย์สอนสั่งหนังสือหนังหาให้ขุนทับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก จึงเห็นขุนทับเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง
“เออคือ” ขุนทับไม่กล้าโกหกพระสงฆ์ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าตนจะแต่งงานกับใคร ส่วนที่ตนเลือกมาดูฤกษ์กับพระอาจารย์ที่นี้เพราะ อย่างน้อยก็อยากให้คนที่ตนเองเคารพรักสักคนรู้ว่าตนกำลังจะแต่งงานกำลังจะมีความสุข
“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอกไม่เป็นไร มา ๆ เอาวันเกิดของพวกเจ้าทั้งสองมาให้อาตมาดูเถอะ” พระคุณเจ้าไม่คิดจะซักไซ้กับขุนทับมากนัก เนื่องจากเคยดูดวงให้ขุนทับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กว่าดวงความรักของขุนทับนั้นแปลกประหลาดจากคนทั่วไปเป็นรักที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรับรู้ได้ แต่ไม่ได้ผิดศีลธรรมพื้นฐานคือแอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน “เออ ดวงเอ็งกับคู่เอ็งนี่ดีนะเป็นดวงที่เกื้อหนุนกัน ช่วยกันให้เจริญ ๆ ยิ่งขึ้นไป มาตั้งแต่ครั้งยังเล็กยังน้อยไม่เคยห่างกันเลยนิ แต่น่าเสียดายดวงแบบนี้มันมีข้อเสียที่น่ากลัวเชียวละคือเมื่อมีเหตุร้ายใหญ่โตอย่าได้ห่างกันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนใดคนหนึ่งจะต้องเลือดตกยางออก อย่างน้อยอาจแค่เจ็บตัว แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงดวงตกละถึงตายได้ ที่อาตมาเตือนก็เพราะรักเพราะห่วงดอกนะพ่อ อาตมารักพ่อเหมือนลูกแท้ ๆ ของอาตมาเลย”
“มีวิธีแก้รึไม่ขอรับพระคุณเจ้า” ขุนทับถามด้วยความเป็นกังวลอย่างมากยิ่งนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ออกศึกครั้งที่แล้วเมื่อตนกับเรืองพลัดหลงจากกันเรืองก็ได้แผลกลับมา ส่วนครั้งต่อมาตนก็ได้แผลถึงจะไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าเรืองก็เถอะ
“เจ้าทับเอ๋ย อาตมาเคยสอนว่าอย่างไร ชะตาฟ้ารู้ไว้ให้ระวังตัวไม่ใช่ให้เครียดจนหวาดระแวง เมื่อรู้ดวงของตนแล้วเจ้ากับคู่ก็ต้องระวังตัวกันมากขึ้น เข้าใจอาตมารึไม่ ส่วนฤกษ์แต่งอีก 8 วันข้างหน้าเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด ถ้าเจ้าเตรียมงานทัน”
“เข้าใจขอรับพระคุณเจ้า ส่วนเรื่องเตรียมงานนั้นไม่มีปัญหากระผมคุยกันว่าจะแต่งกันแบบเล็ก ๆ แต่กระผมขออย่างหนึ่งนะขอรับพระคุณเจ้าอย่าไปบอกคนอื่นได้รึไม่ว่าขอรับกระผมจะแต่งงาน”
“อาตมาไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“อย่างนั้นกระผมขอลาไปบอกคนรักก่อนนะขอรับ จะได้ช่วยกันเตรียมงานได้ทัน”
“เรืองพี่ไปคุยกับพระคุณเจ้าวัดสุวรรณให้ช่วยดูฤกษ์แต่งงานเราแล้วนะ” ขุนทับบอกเรืองทันทีเมื่อพบหน้า
“แล้วพระคุณเจ้าท่านว่าอย่างไรบ้าง ท่านสงสัยรึไม่ว่าพี่จะแต่งงานกับใคร แล้ว....”
“หยุดก่อนคนดี ฟังพี่นะพระคุณเจ้าท่านก็ถามด้วยพี่เคยเป็นศิษย์ แต่เมื่อพี่ไม่สามารถตอบได้ท่านก็ไม่ได้ว่าแต่อย่างใด ฤกษ์แต่งของเราคืออีก 8 วันข้างหน้า พระคุณเจ้ายังบอกอีกว่าดวงของเราทั้งสองเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี แต่ไม่ควรแยกจากกันเพราะ คนใดคนหนึ่งอาจบาดเจ็บได้” ขุนทับไม่กล้าบอกว่าอาจถึงตายเพราะ คิดว่าคงไม่มีอะไรทำให้ทั้งคู่ต้องห่างกันอีกแล้ว ด้วยสงครามก็จบสิ้นไปได้ 2 ปีแล้ว
“อีกแค่ 8 วันเองรึจ๊ะ ไวเสียจริง แล้วฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างจ๊ะ” เรืองนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงจะบอกใครไม่ได้รู้กันแค่สองคน แต่ก็ยังดีใจที่อย่างน้อยก็จะได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรัก
“พี่คิดว่าเราคงทำได้แต่ตักบาตรตอนเช้าเพราะ พิธีกรรมอื่น ๆ คงไม่สามารถทำได้ เจ้าพอใจรึไม่” ขุนทับถามเพราะ ถ้าเรืองต้องการมากกว่านี้ตนก็จะพยายามหาวิธีทำให้จนได้
“พอแล้วจ้ะ สำหรับฉันแค่พี่ทับขอฉันแต่งงานฉันก็พอใจแล้ว” แค่นี้ก็มากกว่าที่หวังไว้แล้วสำหรับเรือง
“มีอีกเรื่องตามความเชื่อแล้วคนจะแต่งงานห้ามเจอหน้ากัน 7 หรือ 3 วัน แต่เราทั้งสองคงทำไม่ได้เพราะ ถึงไม่เจอกันที่บ้านก็ยังต้องเจอกันในวังอยู่ดี พี่ไม่ถือเรื่องนี้ เจ้าถือหรือไม่”
“ไม่จ้ะฉันไม่ถือ อีกอย่างถ้าไม่เจอกันแค่ 2 วันคนอื่นก็คงสงสัยว่าเราทะเลาะกันเป็นแน่ ดังนั้นอย่าทำเลยจะดีกว่า” ทั้งสองเลยได้ข้อสรุปว่าเจอกันทุกวันเหมือนเดิมดีแล้ว
ก่อนถึงวันแต่งหนึ่งวัน เรืองก็บอกกับคุณย่าว่าตนกับขุนทับจะตักบาตรด้วยในเช้าวันพรุ่งนี้ ใจจริงทั้งสองอยากตักบาตรกันแค่สองคนตามธรรมเนียมประเพณี แต่ก็กลัวเป็นที่สงสัยเนื่องผู้ชายสองคนตักบาตรรวมขันเดียวกัน พระสงฆ์องค์เจ้าท่านคงไม่พูดว่าอะไร แต่คนอื่นที่เห็นคงนินทาเป็นแน่
“ฉันว่าพรุ่งนี้ถ้าเจ้าเรืองกับขุนทับอยากตักบาตร คุณย่าไม่ต้องไปก็ได้นะจ๊ะ ฉันได้ยินเสียงคุณย่าไอมาหลายวันแล้ว อย่าคิดว่าจะปิดฉันได้เชียว” เดือนพูดขึ้นหลังคุณย่าอนุญาตให้เรืองกับขุนทับไปตักบาตรด้วย
“คุณแม่ไม่สบายรึจ๊ะ แล้วทำไมไม่บอกลูก พรุ่งนี้ให้บ่าวไพร่ในเรือนทำอาหาร แล้วให้เจ้าเรืองกับขุนทับไปตักบาตร ส่วนคุณแม่นอนหลับพักผ่อนให้มาก ๆ ถือว่าลูกขอนะขอรับลูกเป็นห่วง ส่วนพวกเอ็งถือว่าข้าสั่งอย่าให้แม่ข้าลุกมาทำอะไรเด็ดขาด” นายช่างชิดห้ามปรามด้วยรู้ดีว่าเมื่อป่วยคุณแม่ของตนนั้นจะหายจากโรคยากเพียงใด
“พูดกันอย่างนี้จะให้แม่ ให้ย่าแก่ ๆ คนนี้ตอบว่าอย่างไร นอกจากได้” คุณย่าใหญ่นั้นไม่อยากดื้อมากด้วยรู้ว่าที่ลูกหลานทำไปทั้งหมดก็เพราะ เป็นห่วง
เรืองเก็บว่าความดีใจไว้แทบไม่มิด นอกจากจะได้ตักบาตรกับพี่ทับแค่สองคนแล้ว คนอื่นก็ไม่สงสัยด้วย เห็นทีตอนไปราชการขากลับต้องหาซื้ออะไรมาฝากพี่เดือนสักหน่อยแล้ว ถึงจะไม่รู้เรื่องก็ถือว่าช่วยได้มากจริง ๆ
“หลังทานอาหารเสร็จมาหาพี่ก่อนนะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” เดือนหันมากระซิบบอกเรืองระหว่างทานอาหาร
“มีอะไรรึจ๊ะ วันนี้พี่ทับมานอนที่เรือนริมน้ำ เห็นว่ามีราชการจะปรึกษา”
“ประเดี๋ยวดอกน่า พี่ไม่ทำให้พี่ทับของเจ้ารอนานดอก น่าอิจฉาเสียจริงพี่พลาดไปตอนไหนนะ เจ้าถึงติดคนอื่นมากกว่าพี่ชายแท้ ๆ คนนี้”
“โธ่! อย่างอนสิจ๊ะพี่ชายคนดีของน้อง น้องรักพี่เดือนยิ่งกว่าใคร” ไม่พูดเปล่าเรืองกอดแขนพี่เดือน พร้อมเอาหัวพิงกับแขนด้วย
“กระซิบกระซาบกันตอนกินอาหารไม่พอ ยังมากอดกันไม่อายบ่าวไพร่มันอีก โตเป็นหนุ่ม ๆ กันแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ นะ เจ้าเดือน เจ้าเรือง แล้วนี่ถ้าจะกระซิบกันดังขนาดนี้ไปพูดกันในห้องเถอะ” คุณย่าใหญ่พูด
“อย่างนั้นเรืองตามพี่เข้าห้อง” กล่าวแล้วเดือนก็จูงมือน้องชายเข้าห้องของตน
“มีอะไรรึจ๊ะ พูดตอนทานอาหารก็ไม่ได้ แถมยังต้องปิดห้องอย่างกับกลัวใครจะมาได้ยินเสียอย่างนั้น”
“เรื่องสำคัญวันพรุ่งตอนเจ้าใส่บาตรกับไอขุนทับมัน มือของเจ้าต้องอยู่ตรงยอดทัพพีเข้าใจพี่รึไม่”
“ไม่เข้าใจจ้ะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย ฉันคิดว่าฉันจับแค่ปลายเสื้อพี่ทับก็น่าจะพอแล้ว” เรืองสงสัย
“ไอขุนทับไม่ยอมให้เจ้าจับแค่ปลายเสื้อเป็นแน่ มันต้องให้เจ้าจับทัพพีเดียวกับมันหรือไม่ก็สลับกันตักคนละทัพพี ดังนั้นถ้ามันให้จับทัพพีเดียวกันเจ้าต้องวางมือของเจ้าอยู่เหนือมือของมันเข้าใจรึไม่”
“เข้าใจจ้ะ” ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เรืองก็รับปากไปก่อนแล้วค่อยไปถามพี่ทับเอาก็ได้ว่าทำไม เพราะดูจากท่าทีแล้วพี่เดือนไม่มีทางบอกตนแน่
“ทำไมมาช้าจังเลยเล่าวันนี้” เมื่อเรืองมาถึงเรือนริมน้ำขุนทับก็ถามขึ้น
“พี่เดือนเรียกเข้าไปคุยจ้ะ วันพรุ่งคุณย่าไม่ไปตักบาตรกับเราสองคนนะจ๊ะ พี่เดือนเห็นว่าคุณย่าท่านไม่สบายเลยให้เราไปตักบาตรกันแค่สองคน”
“อย่างนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยสิ เหมือนกับเราทำได้ทำพิธีแต่งงานแบบถูกต้องควรถ้วนแถมยังไม่มีคนสงสัยอีกด้วย”
“เออพี่ทับจ๊ะ ทำไมตอนตักบาตรมือของฉันต้องอยู่บนยอดทัพพีด้วยละจ๊ะ ฉันสงสัย”
“ใครบอกเจ้าเรื่องนี้มา” ขุนทับทั้งแปลกใจและตกใจเพราะ ไม่คิดว่าเรืองจะไปหาเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อแบบนี้ ดังนั้นต้องมีคนมาบอกเรืองเป็นแน่
“ทำไมรึจ๊ะ มันมีปัญหาอะไรทำไมพี่ทับต้องตกใจขนานนี้ด้วย คือที่ฉันมาช้าก็เพราะ พี่เดือนเรียกฉันไปคุยเรื่องนี้ละจ้ะ บอกว่าวันพรุ่งนี้ให้ตักบาตรแบบนี้หรือไม่ก็สลับตักกันคนละทัพพี”
“คือมันเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่าเมื่อแต่งงานมือของใครที่อยู่ยอดทัพพีคนนั้นจะเป็นผู้ปกครองบ้านหรือเป็นผู้นำ ส่วนมากไม่ค่อยมีผู้หญิงคนไหนได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ดอก นอกจากเป็นครอบครัวใหญ่มีบ่าวไพร่เยอะแล้วต้องการให้ผู้หญิงคุมบ่าวไพร่ในบ้านได้ แต่ความเชื่อนี้มันเป็นความเชื่อวันแต่งงานทำไมเดือนถึงพูดกับเจ้าอย่างนั้นเล่า” ขุนทับเป็นกังวลเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้เดือนชอบทำตัวหรือพูดจาแปลก ๆ
“หรือว่าพี่เดือนจะรู้เรื่องของเรา ทำอย่างไรดีละจ๊ะที่นี้” เรืองเป็นกังวลตามไปด้วย
“อย่าพึ่งคิดมากถ้าเดือนยังไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะ เดือนเองก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไม่บอกคนอื่นเป็นแน่” ขุนทับปลอบน้องให้คลายกังวล แล้วคิดว่าตนคงต้องหาเวลาไปคุยกับเดือนแบบจริงจังสักครั้งถึงเรื่องนี้เพราะตนเองก็คิดเหมือนเรืองว่าเดือนต้องรู้ความสัมพันธ์กับตนกับเรืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่ “ตอนนี้นอนก่อนดีกว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นไปตักบาตรกันแต่เช้า”
เรืองตื่นตั้งแต่ยามสาม*ด้วยความตื่นเต้นทำให้นอนหลับไม่สนิท อีกไม่นานตนกับขุนทับก็จะแต่งงานกันแล้ว ต่อไปตนควรทำตัวอย่างไรให้สมกับการเป็นคู่แต่งงานดี เรื่องการดูแลบ้านเรือนกับตุงหาอาหารเกรงว่าคงทำไม่ได้เพราะ ตนไม่เคยทำมาก่อน แล้วที่นี่ตนควรทำอะไรดีให้ขุนทับมีความสุขและรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานกับตน
“ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับรึเรือง” ขุนทับถามขึ้น
“ฉันทำให้พี่ทับตื่นรึจ๊ะ ขอโทษด้วยฉันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับจริง ๆ” เรืองตอบเขิน ๆ
“เปล่าดอกพี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน อีกไม่นานเราทั้งสองก็จะเหมือนคน ๆ เดียวกันแล้วนะ”
“หลังแต่งงานฉันควรทำตัวอย่างไรให้สมกับการเป็นคู่ชีวิตพี่ทับดีจ๊ะ ฉันทำอาหารไม่เป็นด้วย การบ้านการเรือนฉันก็ไม่เคยทำ”
“โธ่! คิดว่ากังวลเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้เองพี่ไม่ได้หวังให้เจ้าต้องทำอาหารหรืองานบ้านงานเรือนอะไรดอก ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นเหมือนคู่แต่งงานกับพี่อยู่แล้ว ไม่ว่าเวลาสุขหรือเวลาทุกข์เราทั้งสองต่างนำมาพูดคุยปรึกษากัน นี้ต่างหากสิ่งที่คู่ชีวิตสมควรทำจริง ๆ ดังนั้นเจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องอื่นไป นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอนเราคุยแบบนี้กันไปจนถึงเวลาตักบาตรก็ได้ อย่างไรเสียวันพรุ่งก็เป็นวันหยุด ถ้าเจ้าง่วงที่หลังค่อยหลับตอนบ่าย ๆ ก็ยังได้”
พอถึงเวลาอันควรแล้วขุนทับกับเรืองก็อาบน้ำเตรียมตัวไปตักบาตร บ่าวไพร่ในเรือนต่างช่วยกันตระเตรียมอาหารสำหรับตักบาตรให้แล้ววางเตรียมไว้หน้าเรือนเพื่อรอเวลาพระภิกษุสงฆ์มาเดินบิณฑบาต
“พวกเจ้าไม่ต้องรอดอก ไปทำงานอย่างอื่นเถอะหลังตักบาตรเสร็จฉันกับเรืองจะยกไปเก็บเอง” ขุนทับไม่อยากให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนเห็นวิธีการตักบาตรของตน
“ไม่เป็นไรขอรับกระผมอยู่ทำเองดีกว่า ประเดี๋ยวนายหญิงใหญ่รู้เข้าพวกกระผมจะโดนว่าเอาได้” บ่าวไพร่ไม่กล้าตอบตกลง
“ไอดำ วันนี้มีเหล็กกล้าดีมาที่โรงตีดาบข้าว่าจะไปดูให้ตนเองกับเรืองสักหน่อย เอ็งไปกับข้าเถอะให้สองคนนี้เก็บของเองก็ได้ อย่างไรเสียวันนี้ทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปราชการอยู่แล้ว อีกอย่างคุณย่าใหญ่คงยังไม่หาป่วยในวันสองวันนี้ พวกเจ้าทั้งสองตักบาตรเพิ่มอีกสักสองวันแล้วกันนะ คนที่เหลือแค่ตระเตรียมอาหารแล้วก็เก็บก็พอไม่ต้องมาดูตอนทั้งสองตักบาตรดอก ผู้ชายสองคนตักบาตรด้วยกันก็ดูแปลก ๆ แล้ว อย่ามามองกดดันให้ทั้งคู่รู้สึกแปลก ๆ ไปมากกว่านี้เลย” เดือนที่อยู่ ๆ ก็เดินมาพร้อมออกคำสั่งเสียยาว แล้วพาไอดำออกจากเรือนไป
การพูดของเดือนยิ่งทำให้ขุนทับสงสัยมากเข้าไปอีกว่าเดือนต้องรู้เรื่องของตนกับเรืองเป็นแน่เพราะ การตักบาตรในวันแต่งงานนั้นอันที่จริงคงตักบาตรสามหรือห้าวัน
“พี่ทับจ๊ะ พระมาแล้วจ๊ะ เชิญนิมนต์มาทางนี้ด้วยจ๊ะ”
จริง ๆ แล้วขุนทับอยากให้เรืองกับตนนั้นตักบาตรทัพพีเดียวกันเสียด้วยซ้ำไปแต่ด้วยคิดว่าคงไม่เหมาะสมถึงต้องจำใจสลับตักบาตรคนละครั้งกับน้องแทนเพราะ การตักบาตรรูปแบบนี้ก็เป็นหนึ่งในการตักบาตรเมื่อแต่งงานเหมือนกัน
“พิธีแต่งงานเราก็เสร็จสมบูรณ์กันแล้วนะจ๊ะ ฉันดีใจจริง ๆ” เรืองกล่าวเขิน ๆ หลังตักบาตรเสร็จ
“ใครบอกพิธีของเรายังไม่จบสักหน่อย ถ้าให้จบอย่างสมบูรณ์ต้องคืนนี้ต่างหากละ”
“คนบ้าพึ่งทำบุญมาแท้ ๆ คิดอกุศลอีกแล้วนะ” เรืองตบเข้าไปที่ไหล่ของขุนทับด้วยความเขิน
ขุนทับเห็นท่าทีน้องอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจูงมือเรืองเข้าเรือนเพื่อให้ได้นอนพักผ่อนเพิ่ม ส่วนเรืองเมื่อได้ตักบาตรก็คายความกังวลที่มี เมื่อหัวถึงหมอนก็นอนหลับสนิทในทันที
เวลาวันนี้ผ่านไปไวยิ่งเพราะ หลังทานอาหารเย็นเสร็จก็เป็นเวลาที่ขุนทับรอคอย ขุนทับจึงรีบชวนเรืองกลับเรือนริมน้ำในทันทีโดยอ้างว่ามีเรื่องปรึกษากับเรือง
“เมื่อเช้าก็ตื่นเช้าแล้วพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นมาตักบาตรอีก คืนนี้เรารีบนอนกันไว ๆ ดีกว่านะจ๊ะพี่ทับ” เรืองหาเรื่องเพื่อยังไม่ต้องเข้าหออย่างแท้จริง
“พี่รอมาตั้ง 8 วันแล้วนะอย่าให้พี่ต้องรออีกเลยนะคนดี อีกอย่างพี่เป็นคนพาเจ้าเข้านอนตอนกลางวันเองนะ อย่าคิดว่าพี่จะลืมสิ”
“แต่ฉันกลัวนิจ๊ะเรายังไม่ทำกันวันนี้ไม่ได้รึจ๊ะ”
“เจ้าไม่เชื่อใจพี่รึ ไม่ต้องกลัวดอกเราทั้งสองต้องผ่านคืนนี้ไปอย่างมีความสุขเป็นแน่ มีอะไรบ้างที่พี่ทำไม่ได้ ดังนั้นคืนเชื่อใจพี่นะคนดี” ว่าแล้วขุนทับก็บรรจงจูบที่ปากของเรืองก่อนจะไล่ลงมาที่ซอกคอ แล้วถอดเสื้อผ้าของตนและเรืองออกช้า ๆ สายตาจ้องสำรวจเรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า ก่อนก้มลงสัมผัสหัวนมสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าแล้วดูดเบา ๆ
“อะ อื้อ พี่ทับจ๊ะฉันรู้สึกแปลก ๆ อย่างไรไม่รู้” เรืองรู้สึกร้อนไปทั้งตัวแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เมื่อได้ยินแทนที่จะหยุดขุนทับกลับดูดหนักขึ้นโดยดูดสลับไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ส่วนมือนั้นก็เลื่อนสัมผัสไปทุกส่วนของร่างกายจนมาหยุดอยู่ที่เรืองน้อย
“อะ อ๊ะ ตรงนั้น อย่าหยุดนะจ๊ะพี่ทับ อ๊ะ อ๊ะ” เรืองรู้สึกดีจนเกร็งไปทุกส่วน เล็บจิกและข่วนไปทั่วทั้งหลังขุนทับ “ไม่ไหวแล้วพี่ทับจ้า ไวอีกหน่อยสิจ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ากกกกกกก” ในที่ส่วนเรืองก็ปลดปล่อยน้ำที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมหอบหายใจถี่ ๆ
“ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหากละ” ว่าแล้วขุนทับก็สะโลมน้ำมันที่นิ้วของตนเองและรูเล็ก ๆ ของเรือง ก่อนสอดนิ้วใส่เข้าไปในรูนั้น
“จะ เจ็บ ฉันเจ็บพี่ทับหยุดก่อนฉันไม่ไหวแล้ว” เรืองร้องลั่นพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมา
ขุนทับเองก็อยากจะหยุดให้น้องอยู่หรอกเมื่อเห็นน้ำตาใส ๆ นั้น แต่ร่างกายของตนเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จึงก้มลงจูบซับน้ำตานั้นพร้อมกระซิบบอกว่า “ทนอีกนิดได้ไหมคนดีแล้วเราจะมีความสุขไปด้วยนะ แต่ถ้าเจ้าทนไม่ไหวจริง ๆ พี่หยุดให้ก็ได้นะ”
“ไม่ ๆ อย่าหยุดนะพี่ทับ ฉันกับพี่ทับรอวันนี้มาตั้งนานแล้ว อีกแค่นิดเดียวเราก็จะมีความสุขกันแล้ว ฉันทนได้”
ขุนทับได้ยินอย่างนั้นก็เพิ่มนิ้วเข้าไปมากขึ้นจากหนึ่งเป็นสองและสามตามระดับ แล้วค่อย ๆ ขยับจากช้า ๆ จนเร็วขึ้น “เป็นอยากไรดีขึ้นไหม พอไหวรึไม่ ถ้าไหวพี่จะเริ่มเอาจริงแล้วนะ” ขุนทับยิ้มเจ้าชู้ใส่
“คนบ้า” เรืองเขินหน้าแดง ตัวแดง พร้อมพยักหน้าช้า ๆ
เมื่อได้เห็นว่าเรืองอนุญาตขุนทับก็เอานิ้วของตนเองออก แล้วจับเรืองอ้าขาออกช้า ๆ แทนพร้อมแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างขานั้น มือใหญ่ประคองส่วนนั้นจ่อไปที่รูเล็กก่อนค่อย ๆ ใส่เข้าไปในรูนะ
“อะ อ๊ะ พี่ทับ พี่ทับจ้า พี่ทับ” เรืองร้องพร้อมจิบแขนของขุนทับแน่น
“ดีเหลือเกิน ข้างในเจ้าตอดรัดพี่แบบสุด ๆ ไปเลย อ๊าก พี่ทนไม่ไหวแล้ว” จากขยับช้า ๆ ขุนทับเริ่มขยับเร็วขึ้น เร็วขึ้น
“อะ อะ อ๊ะๆๆๆๆๆ” เรืองร้องออกมาด้วยความเสี่ยว ยิ่งเสี่ยวมากเท่าไรเรืองก็ยิ่งตอดรัดขุนทับมากขึ้นเท่านั้น
“ใจเย็น ๆ คนดีถ้าเจ้ายังตอดรัดแบบนี้ พี่จะเสร็จเอาได้นะ” ขุนทับพยายามห้ามตนเอง
“ฉัน ฉัน อะ อะ ฉันก็ไม่ไหวแล้ว มันจะออกมาอีกแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นขุนทับยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นจนในที่สุด
“อ๊ากกกกกกกกกก” / “อ๊ากกกกกกกกก” ขุนทับปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาภายในตัวเรือง ส่วนเรืองก็ปลดปล่อยออกมาเต็มหน้าท้องตนเองและขุนทับ
“พี่มีความสุขเหลือเกินคนดี” ขุนทับกล่าวพร้อมจุมพิตที่หน้าผากมน “ถ้าไม่ติดว่าวันพรุ่งนี้เราต้องใส่บาตรกันอีก อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะได้นอน” แล้วโอบกอดเรือง
เรืองเองก็รักสัมผัสที่อบอุ่นนี้ ขยับตัวให้อ้อมกอดขุนทับโอบล้อมตนได้ทั้งตัว แล้วทั้งสองก็นอนหลับไป
*ยามสามคือ เวลาหลังเที่ยงคืนถึงตีสาม ในสมัยก่อนคนไทยนับเวลาตอนกลางคืนเป็นยามโดยแบ่งเป็นสี่ยามเริ่มตั้งแต่ 6โมงเย็นถึง 6โมงเช้า โดยเวลาที่เรืองตื่นประมาณตีสาม
เน็ตแย่มากกว่าจะได้ TT เมื่อวานไปสัมภาษณ์งานกว่าจะถึงบ้านสลบเลยจ้าาาาาา