[จบแล้ว]Your Stranger รัก||ไม่||ลืม ตอนพิเศษ คห.1998 P.67 (13/3/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว]Your Stranger รัก||ไม่||ลืม ตอนพิเศษ คห.1998 P.67 (13/3/63)  (อ่าน 554970 ครั้ง)

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Chapter 26:[Then] ส้ม




“ฝ่ายศิลป์อย่าเพิ่งกลับนะ มาคุยกันตรงนี้ก่อน”




ขณะนี้มหาวิทยาลัยกำลังเข้าสู่ช่วงเปิดรั้วมหาวิทยาลัย เป็นงานที่เปิดโอกาสให้แต่ละคณะได้งัดเอาของดีมาแสดงให้เหล่าเด็กน้อยวัยมัธยมได้รู้ว่าคณะของตัวเองมีอะไรน่าสนใจ ซึ่งแม่งานของแต่ละคณะก็คงจะหนีไม่พ้นเหล่านักศึกษาปีสองที่คุ้นเคยกับคณะมากพอที่จะวางแผนงานแต่ไม่ได้มีงานท่วมหัวเหมือนปีสามและปีสี่



มธุวันที่ลงชื่ออยู่ฝ่ายศิลป์เพราะถูกญาวิกาบังคับให้มาช่วยเก็บข้าวของลุกตามเพื่อนตัวเล็กไปหาหัวหน้าฝ่ายที่ยืนรออยู่หน้าห้องเรียน




“ปีนี้เราจะมีซุ้มถ่ายรูปตั้งอยู่หน้าคณะนะ คืออยากให้มีพร็อพประกอบฉาก....”




ร่างโปร่งหยิบสมุดและปากกาออกมาจดรายละเอียดอย่างคล่องแคล่ว ญาวิกามักจะแซวเขาบ่อยๆว่ามธุวันน่าจะไปได้รุ่งในสายงานอย่างเลขานุการมากกว่างานบัญชี อันที่จริงในตอนนี้มธุวันก็ดำรงตำแหน่งเลขานุการของประธานชั้นปีของคณะ ซึ่งถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดว่านี่เป็นสายอาชีพที่เขาต้องการจะไปต่อ แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเขาค่อนข้างชอบตำแหน่งของตัวเองพอสมควร




“งั้นเราจะขอคนรับผิดชอบซุ้มกับพร็อพถ่ายรูปซักเจ็ดคนนะ”




“จ้า”




มธุวันสะดุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อญาวิกาจับมือเขายกขึ้นสูง ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงตัวเองก็ต้องโดนเพื่อนสาวลากไปทำงานด้วยทุกหนทุกแห่งก็ตาม




แค่นึกว่าปีหน้าญาวิกาที่เรียนโปรแกรมอินเตอร์จะต้องไปเรียนที่ต่างประเทศจนจบ มธุวันก็อดรู้สึกเหงาขึ้นมาไม่ได้




“โอเค หนึ่ง..สอง...ครบเจ็ดคนแล้ว งั้นแบ่งงานกันเอาเองเลยนะ ที่เหลือมาช่วยกันทำส่วนนิทรรศการในคณะ...”




ญาวิกากวักมือให้เพื่อนๆทั้งหกคนมารวมกลุ่มกันอีกทางเพื่อแจกแจงงาน มธุวันเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนึ่งในนั้นมีเด็กสาวสวมแว่นที่ชื่อส้ม ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนของญาวิกาอยู่ด้วย ดูจากสีหน้าของญาวิกาตอนที่มองเด็กสาวผมเปียที่ยืนก้มหน้ามองพื้น เพื่อนของเขาดูจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับสาวแว่นผมเปียที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้





“เขาบอกงานต้องเสร็จวันจันทร์ นี่ก็พฤหัสแล้ว ตอนนี้ร้านเครื่องเขียนหน้ามอยังไม่ปิด เดี๋ยวฉันกับหมอกจะออกไปซื้อของ พวกแกจะมาทำพรุ่งนี้หรือจะนัดกันเสาร์อาทิตย์”




เสียงส่วนใหญ่ขอมาทำวันศุกร์ ซึ่งมธุวันไม่มีปัญหาอะไร ดีเสียอีกวันเสาร์อาทิตย์เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเมฆาอย่างเต็มที่
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขายังมีไข้และรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ ถึงแม้เมฆาจะคอยดูแลเขาไม่ห่าง แต่นอกจากการช่วยเช็ดตัวแล้ว ร่างสูงไม่ได้แตะต้องอะไรเขาไปมากกว่านั้น ดูจากใบหน้าคร่ำเคร่งของคนรัก เมฆาคงจะรู้สึกอึดอัดอยู่พอตัว




ซึ่งนั่นทำให้มธุวันเชื่อว่าสุดสัปดาห์นี้จะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต




“ว่าแต่เราจะขนของกลับมาจากร้านยังไงเหรอ?”




ร่างโปร่งหันไปถามเพื่อนอย่างนึกขึ้นได้หลังจากที่เดินออกมาจากคณะ ญาวิกาฉีกยิ้ม ยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา




“จะมีเพื่อนไว้ทำไมถ้าไม่จิกหัวใช้มัน”








“นี่งานคณะมึงกูยังต้องมาช่วยอีกเหรอ?”




ณัฐภาสบ่นอุบ แต่ยังคงรับข้าวของที่ญาวิกาโยนให้มาถือไว้ ข้างกายมีเชฟโตมร คนรักที่เป็นเจ้าของรถกระบะที่ใช้ขนของกลับเข้ามหาวิทยาลัยในวันนี้ช่วยหอบโฟมหนาขนาดใหญ่หลายแผ่นเต็มสองแขน แต่ไม่บ่นอะไรสักคำ มิหนำซ้ำยังอาสาจะช่วยแบ่งของจากมธุวันเมื่อณัฐภาสปฎิเสธไม่ยอมให้ช่วยอีก




“เออน่า เดี๋ยวฉันกับหมอกเลี้ยงขนมปังสังขยา”




ญาวิกาเอ่ยอย่างขอไปที ณัฐภาสกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยังคงช่วยคนตัวเล็กหยิบจับข้าวของที่อยู่สูงเกินเอื้อมให้




“เออ ณัฐข้างๆคอนโดมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ วันนี้เราไปลองกันมั้ย?”




เชฟโตมรหันมาถามคนรักอย่างนึกขึ้นได้ ณัฐภาสส่ายหน้า




“ไว้พรุ่งนี้ดีกว่าครับ แกงกะหรี่ที่พี่ใหญ่ทำไว้เมื่อวานยังไม่หมดเลย เสียดาย ทิ้งไว้นานกว่านี้เดี๋ยวกินไม่ได้เอา”




“โอ๊ย อิจฉาคนมีสามีทำกับข้าวกับปลาให้ ทำไมถึงมีแต่คนขายออกก่อนฉันหมดเลยเนี่ย”




ญาวิกาบ่นเสียงแหลม เบ้ปากอย่างหมั่นไส้ณัฐภาสที่บังอาจลงหลักปักฐานหอบข้าวหอบของไปอยู่กับผู้ชายก่อนหน้าเธอ แต่คนกินปูนร้อนท้องอย่างมธุวันกับแก้ตัวขึ้นมาอย่างร้อนรน




“อะ…อะไรยาหยี เรายังไม่มีแฟนซักหน่อย”




ญาวิกากับณัฐภาสลอบมองหน้ากันกับคำแก้ตัวของเพื่อน ก่อนที่เด็กสาวจะเป็นฝ่ายเอ่ยเสียงหยอกล้อ




“ร้อนตัวนะแก แหมๆ มีใครซุกไว้ไม่บอกเพื่อนฝูงป่ะเนี่ย?”




“ปะ...เปล่าซะหน่อย” คนโดนแกล้งส่ายหน้าพรืด ญาวิกาหัวเราะอย่างขบขันที่สามารถแหย่คนมีชะนักติดหลังได้ มีพิรุธขนาดนี้ยังคิดว่าจะพ้นหูพ้นตาพวกเธอไปได้อีกเหรอ




แต่ก็นะ ถ้ามธุวันไม่อยากให้พวกเธอรู้...พวกเธอก็จะไม่รู้




“เออๆ ไม่มีก็ไม่มี” เด็กสาวตบไหล่เพื่อนสนิท “แต่เอาจริงๆนะ แกไม่มีก็เหมือนมีนั่นแหละ”




“เอ๊ะ? ไหงงั้นล่ะ?” มธุวันถามอย่างไม่เข้าใจ




“ก็แหม คุณชายเมฆาเล่นส่งกระแสจิตไล่ทุกคนในรัศมีร้อยเมตรจากแกจนกระเจิงไปคนละทางทุกครั้งที่เจอขนาดนี้ จะไม่ให้พวกฉันคิดได้ไงล่ะ” ญาวิกาเอ่ยทีเล่นทีจริง ก้มหากระดาษสีตามชั้นวางจึงไม่เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วของคนถูกแกล้ง




“เราไม่ได้เจอเมฆบ่อยขนาดนั้นซะหน่อย”



“ไอ้บ่อยน่ะไม่บ่อย แต่เวลาเจอกันทีไร สายตาเงี้ยแทบจะเขมือบแกเข้าไปทั้งตัวอยู่แล้ว”ญาวิกายังคงเย้าให้เพื่อนลนลานเล่นๆ แต่เมื่อหันกลับมาเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เฮ้อ คิดแล้วก็อยากมีแฟน ทำไมผู้ชายดีๆถึงได้หายากหาเย็นแบบนี้”




“ผู้ชายดีๆน่ะมี เขาแค่ไม่เอามึง”




ณัฐภาสเอ่ยหน้าตาย ได้รับรางวัลเป็นฝ่ามืออรหันต์ดังป้าบเข้าที่กลางหลัง มธุวันยิ้มกับการหยอกกันของเพื่อนทั้งสอง อดโล่งใจลึกๆไม่ได้ที่หัวข้อสนทนาถูกเบี่ยงไปจากตัวเองเสียที













“หมอกเดี๋ยวแกทาสีโฟมอันนี้นะ เอาตามแบบที่ปริ๊นมาอ่ะ เดี๋ยวฉันทาอันนี้ จะได้เสร็จเร็วๆ”



ยาหยีจัดแจงแบ่งงานมอบหมายหน้าที่ให้มธุวันเสร็จสรรพ เด็กสาวใช้แปรงขนาดใหญ่ทาสีโฟมแผ่นหนาที่ซื้อมาจากร้านขายเครื่องเขียน มธุวันก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของเพื่อน นึกอยากให้งานเสร็จเร็วๆจะได้กลับไปหาเมฆาเสียที แค่เมื่อวานที่เขาไปซื้อของแล้วกลับค่ำ เขาก็ถูกงอนจนต้องตามง้ออยู่หลายยก



เอ...มาคิดๆดูแล้วปล่อยให้งอนต่อไปก็ไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายเท่าไหร่แฮะ




“อย่าเหม่อดิ๊ สีจะออกนอกกรอบแล้ว”




เสียงแหวของญาวิกาดึงสติของมธุวันให้กลับมาอยู่กับงานตรงหน้า ร่างโปร่งจุ่มสีมาปาดลงบนแผ่นโฟมขนาดใหญ่อย่างประณีตที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้พวกเขาทั้งเจ็ดกระจายตัวจับจองพื้นที่ทั่วโถงอาคารเพื่อเตรียมงาน แต่เด็กหนุ่มสังเกตว่าเด็กสาาวที่ญาวิกาไม่ชอบหน้านั้นนั่งทำงานหลบอยู่ในซอกหลืบมืดเพียงลำพัง ถึงแม้จะรู้ว่าญาวิกาจะต้องไม่พอใจกับการตัดสินใจของเขา แต่สุดท้ายมธุวันก็เลือกที่จะลุกไปหาเด็กสาวซึ่งไม่มีเพื่อนคนอื่นคิดจะนั่งใกล้




“เอ่อ...ส้ม...”




เจ้าของชื่อสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองเขาสั่นๆ ราวกับลูกนกตาโตที่กำลังตื่นตกใจ มธุวันหน้าเสีย รู้สึกผิดที่ทำให้คนตรงหน้าตกใจ




“คือ…ไปนั่งทำงานกับเรามั้ย ตรงนี้มันมืด”



“อะ…อือ…”



เด็กสาวตะกุกตะกัก ลนลานเก็บของจนมธุวันต้องรีบก้มลงมาช่วยด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำกระป๋องสีหกเลอะเทอะ ร่างเล็กหอบข้าวของเต็มอ้อมแขน ก้มหน้าก้มตาเดินตามมธุวันไปยังจุดที่ญาวิกายังคงจดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง เพื่อนสนิทของมธุ
วันขมวดคิ้วเมื่อรูสึกถึงเราร่างของใครบางคนที่นั่งลงบนพื้นไม่ใกล้ไม่ใกล้จากหางตา ญาวิกาเงยหน้าขึ้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าคนที่เธอไม่ชอบหน้าย้ายมานั่งทำงานเงียบๆอยู่ข้างมธุวัน




“ที่มีตั้งเยอะ จะมานั่งตรงนี้ทำไม”




ญาวิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง ส้มสะดุ้ง ก้มหน้าก้มตาระบายสีด้วยมือที่สั่นเทา ไม่ยอมพูดอะไรกับคนถาม มธุวันขมวดคิ้ว




“ไม่เห็นเป็นไรเลยยาหยี ส้มเขานั่งอยู่ตรงนั้นมืดๆเดี๋ยวจะปวดหัวเอา”



“หมอกเอ๊ย...แกนี่นะ” ญาวิกาส่ายหน้า “งั้นแกมานั่งตรงนี้นี่”




เด็กสาวตบมือปุลงบนพื้นให้เขานั่งลงตรงกลางระหว่างตนกับผู้มาใหม่ มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงตามคำสั่งของเพื่อน เขารู้สึกว่าร่างของส้มที่นั่งอยู่ข้างเขาสั่นมากขึ้นกว่าเดิม




“ส้ม เป็นอะไรรึเปล่า”



“…”




เด็กสาวส่ายหน้า ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเงียบเชียบ มธุวันจึงตัดสินใจก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป แต่ความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศรอบตัวทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เขาไม่ใช่คนพูดเก่งแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบให้รอบตัวของเขาเป็นป่าช้าแบบนี้ ปกติแล้วอย่างน้อยญาวิกาก็มักจะเป็นคนเม้าท์มอยตามประสาสาวช่างพูดให้เขาฟังเพลินๆไป แต่นอกจากร่างเล็กจะไม่พูดแล้ว สายตาของเพื่อนสนิทที่มองผ่านเขาไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่อีกข้างทำให้มธุวันรู้สึกสงสารเด็กสาวที่ชื่อส้มคนนี้ขึ้นมา




“เอ่อ...ส้มอยู่หอไหนเหรอ? นี่ก็เริ่มมืดแล้ว มีรถกลับมั้ย?”




หลังจากทนกับบรรยากาศอึมครึมนี้อยู่นาน มธุวันก็ถามขึ้นในที่สุด คนถูกถามที่ยังคงตัวสั่นเล็กน้อยจนเขาอดคิดไม่ได้ว่านั่นเป็นบุคคลิกของเจ้าตัวพึมพำอะไรฟังไม่ได้ศัพท์อยู่นาน ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นเสียงเบา




“เรา..อยู่บ้าน...”




“อ้าวเหรอ? แล้วแบบนี้กลับยังไงล่ะ?”




มธุวันขมวดคิ้ว ความทรงจำที่เห็นเด็กสาวเดินไปทางหอพักหญิงกลับเข้ามาในหัว แต่ร่างโปร่งไม่คิดจะถามด้วยเกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วง




อาจจะไปหาเพื่อนมั้ง?




“คนขับ...”




นิ้วที่สั่นเทาชี้ไปยังรถคันหนึ่งที่มธุวันเห็นจอดอยู่หน้าคณะมาสักพัก ร่างโปร่งพยักหน้าเข้าใจ กลับไปให้ความสนใจกับงานเมื่อไม่รู้ว่าจะชวนคุยอะไรต่อ




“สะ..เสร็จแล้ว... กลับนะ..”



เด็กสาวผมเปียพึมพำขึ้น หยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองสะพายไหล่แล้วเดิมดุ่มๆไปทางห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร มธุวันเก็บเอาโฟมที่เสร็จแล้วไปวางผึ่งลมใกล้กับของคนอื่นที่ทำเสร็จก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหลือเพียงเขากับญาวิกาที่รับอาสาทำงานชิ้นใหญ่สุดที่ยังอยู่ในโถงใต้คณะ




“นี่ ทำไมยาหยีถึงไม่ชอบส้มเหรอ?”



มธุวันถามขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาไม่รู้ว่าคำถามนี้จะไปเหยียบกับระเบิดอะไรให้เพื่อนตัวเล็กที่กระแทกแปรงจุ่มสีครั้งแล้วครั้งเล่ามาระยะหนึ่งเหวี่ยงใส่เขารึเปล่า แต่ญาวิกาเพียงถอนหายใจอย่างเพลียๆเท่านั้น




“ไม่ได้ไม่ชอบ แค่ไม่อยากให้แกเข้าใกล้”



“ทำไมล่ะ?”ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ




“ก็มันโรคจิตน่ะสิ แกรู้มั้ย หลังจากที่ฉันขอแกนั่งด้วยตอนเปิดเทอมวันแรกแล้วไม่ได้ที่ตรงนั้น ยัยนั่นกรี๊ดใส่หน้าฉันตอนที่ฉันติดรถมันกลับบ้าน แถมยังจะตบฉันจนคนขับรถเข้ามาแยก บรื๋อ” เด็กสาวทำท่าขนลุก “หลังจากนั้นฉันลาขาด ต่อให้แม่มันเป็นเจ้านายแม่ฉันก็เถอะ ฉันยังไม่อยากโดนฆ่าหมกป่าหรอกนะ”




“แล้ว...ทำไมส้มเขาอยากนั่งกับเราล่ะ”มธุวันยังคงสับสน ญาวิกาไหวไหล่ วางแปรงทาสีลงเมื่องานของตัวเองเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับมธุวัน




“เห็นกระดานชัดมั้ง ไม่รู้ว่ะ เสร็จละ งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนนะ เรียกไอ้นัทมารับมันโทรตามจะสิบสายอยู่ละ แล้วแกกลับไง?”




“อ๋อ เราเรียกแท็กซี่มาแล้ว น่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ”




เด็กหนุ่มโกหก พวกเขาช่วยกันทำความสะอาดเก็บกระดาษรองและอุปกรณ์บางส่วนลงถังขยะ ก่อนที่ญาวิกาจะโบกมือลาเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ของณัฐภาสมาจอดที่หน้าคณะ




มธุวันโบกมือส่งเพื่อนไปจนลับสายตา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนรักที่มารอเขาตั้งแต่เลิกเรียน




“ฮัลโหล? เมฆอยู่ไหนเหรอ?”




‘ลานจอดคณะหมอก’



“โอเค รออยู่นั่นแหละ”




ร่างโปร่งกดตัดสาย ก่อนจะออกเดินไปทางลานจอดรถของคณะของตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวอาคารมากนัก การหารถของเมฆานั้นไม่ยากนัก เนื่องจากเป็นเพียงคนเดียวที่จอดสตาร์ทอยู่ในลานจอดที่ว่างเปล่าแถมยังมืดสลัวจากเสาไฟที่มีเพียงไม่กี่ต้น มธุวันเคาะกระจกรถเบาๆ เจ้าของรถกดปลดล็อครถให้เขาพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่นับวันชักจะเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ชอบทำหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลาไปเสียแล้ว





“หิวมั้ย?” นั่นเป็นคำถามแรกที่ออกจากปากของเมฆา มธุวันพยักหน้า ดึงเข็มขัดนิรภัยมาเตรียมจะคาด




“ก็หิวอยู่นะ เมฆกินข้าวเย็นมา...อื้อ...”



ริมฝีปากนุ่มถูกครอบครองด้วยริมฝีปากของคนที่นั่งรอเขาอยู่หลายชั่วโมงตั้งแต่เลิกเรียน มธุวันหลับตา เผยอริมฝีปากปล่อยให้คนรักตักตวงความหวานจนพอใจ ก่อนจะดันแผงอกแกร่งออกเบาๆ ริมฝีปากเรียวบวมขึ้นเล็กน้อยจากการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว




“พอก่อนเมฆ...เดี๋ยวคนมาเห็น...”




“ไม่มีใครเห็นหรอก เขากลับกันหมดแล้ว”



เมฆาว่า มธุวันเลิกคิ้ว ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเลห่์จะผุดขึ้นบนริมฝีปากเรียว มือเรียววางลงบนตต้นขาของคนรัก



“งั้น...หมอกทำอะไรกับเมฆก็ได้ใช่มั้ย...”



“หมอก อย่าเล่น...อือ...”




ริมฝีปากของมธุวันบดจูบลงบนลำคอของเมฆา มือซุกซนขยับเคลื่อนจากต้นขาขึ้นมาตามกางเกงนักศึกษาสีดำสนิทช้าๆ ไล้นิ้วเรียววนสะกิดย้ำผ่านจุดที่ทำให้เมฆาเกร็งตัวขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสูงจัดการรวบข้อมือของคนช่างยั่วไว้ก่อนสติของตนจะเตลิดไปมากกว่านี้




“กลัวรถเลอะเหรอเมฆ?” มธุวันเอียงคอถามด้วยใบหน้าใสซื่อ




“กลัวคนบางคนจะสลบคาลานจอดรถมากกว่า”



เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาจากกึ่งกลางของร่างกาย คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ



“บางคนที่ว่านี่เมฆใช่มั้ย?”



“ถึงห้องเดี๋ยวก็รู้ครับที่รัก”




เมฆาเลียริมฝีปาก ดวงตาสีควันบุหรี่โลมเลียเรือนร่างเนียนในชุดนักศึกษด้วยสายตาที่อาจทำให้คนจิตไม่แข็งใจสั่นหวิว แต่มธุวันเพียงแค่หยิบเอาอมยิ้มที่ตนซื้อไว้เติมพลังออกมาแกะเปปลือกออกราวกับไม่เห็นสายตาของคนรัก แล้วส่งเจ้าแท่งอมยิ้มสีแดงสดเข้าปากของตัวเอง เมฆาเห็นการเคลื่อนไหวของลิ้นเรียวที่เขารู้ถึงพิษสงดีกว่าใครดุนดันอมยิ้มเบียดกระพุ้งแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะดึงก้านเอาตัวลูกกวาดสีสดออกมาพร้อมเสียงดัง’ป๊อบ’ ลิ้นเรียวที่ถูกย้อมเป็นสีแดงสดจากสีของอมยิ้มเลียรอบริมฝีปากของตนอย่างเชื่องช้าด้วยท่วงท่าที่ทำเอาเมฆาจิตไม่สงบมากกว่าเดิม




“ถ้าอย่างนั้นก็รีบออกรถสิครับ ที่รัก”




อา...นี่จะต้องเป็นการขับรถที่ท้าทายที่สุดในชีวิตของเขาแน่




เมฆาสวมวิญญาณสิงห์สนามแข่งรถบึ่งออกจากลานจอดไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สังเกตถึงเงาร่างเล็กที่แอบดูการกระทำทุกอย่างของพวกเขาอยู่หลังต้นไม้ด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา


-----------

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เดี๋ยวนะคะ..ส้มนี่ชอบหมอกสินะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Who is ส้ม คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก  :confuse:

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น้องส้ม น่ากลัวจริงๆด้วย

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
เหมือนจะมีหลายๆอย่างพร้อมถาโถม  รอ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
กลัวว่า การแยกจาก จะมาพร้อมกัน ..

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทำไมรู้สึกใจหวิวๆ

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
หรืองานจะเข้าหมอก

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ว่าแล้วส้มต้องชอบหมอก แต่ดูน่ากลัวอ่ะ เหมือนโรคจิตเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ obofe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ธีรเชษฐ์ เป็นเจ้านายที่ห่วยแตก  คนประสบความสำเร็จ แต่นิสัยแบบนี้มีแต่ในนิยาย  ชีวิตจริงคนนิสัยแบบนี้ ไม่สามารถสร้างกิจการจนรุ่งเรืองได้หรอก

เอกสารสำคัญ  หนูไม่ต้องกลัว  เอาไปมอบให้เลย  เขาจะเซ้นต์ไม่เซ็นต์งานด่วนของเขา  เรื่องของเขา  ถ้าเจ้านายยังไม่เห็นค่าของงานด่วนงานเร่ง  ลูกน้องก็ไม่เทค action หรอก

การทำงานของเจ้าสัวคนดังท่านหนึ่ง  ท่านมีเลขามาคอยสับเปลี่ยนตัวเวลาทำงานด้วยซ้ำ  ออกไอเดียต่างๆ แล้วให้เลขาประสานงานต่อ  ต้องมีเลขาประจำตัวมากกว่า 1 เพราะตัวเองทำงานเรื่อยๆ ไม่หยุด (แต่เลขาต้องยุดไง)

คืนอ่านบทของธีรเชษฐ์ แล้วมันไม่สมจริงมากๆ ชีวิตนี้แลดูไม่มีศึลธรรม  ไม่มีความสามารถอะไรเลย  อ่านแล้วขัดใจสุดๆ  คนเป็นลูกก็ดูชินชากับนิสัยห่วยแตกแบบนี้ของพ่อเหลือเกิน  เป็นเราคงทนไม่ได้    นี่มันไม่ใช่พ่อแล้ว  นิสัยยังกับแว็นวัยรุ่นไม่รู้จักโต

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
 :hao6: :hao6:ส้ม??

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อะไรละนะ จะมีเรื่องสินะ

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
สั้น แต่เข้าโหมด ดราม่า แล้ว
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:

ออฟไลน์ pannuna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
น่ากลัวอะ ส้มทำไมดูจิตๆ

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ใยคู่นี้ถึงมีสลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมากมายจริงๆ

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ตามอ่านทันแล้ว เย้!!! นี้เรามาได้กี่เปอร์เซ?ฯบองเรื่องแล้วค่ะเนี่ย

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ส้ม ทำอะไรได้บ้างกับเรื่องของเมฆกับหมอก

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
ชื่อของเธอ..คือสริญญา


ชื่อเล่นของเธอคือส้ม แต่ชื่อที่เธอคุ้นหูมากกว่าชื่อทั้งสองของตัวเองคือ’นังเด็กบ้า’




ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เสียงแรกที่เธอได้ยินคือเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนด่าทอของบิดามารดา ภาพแรกที่เห็นเมื่อดวงตาสามารถจับภาพได้คือภาพของคนทั้งคู่ตะโกนใส่หน้ากัน ขว้างปาข้าวของใส่กันราวกับคนเสียสติ



“แง้!!!!!”




“หุบปากซะที!!! ฉันบอกให้หุบปาก!!!!”




เสียงกรีดร้องของเด็กทารกมักจะได้รับการตอบรับเป็นการปลอบโยนของผู้ใหญ่รอบข้าง แต่กับเด็กหญิงตัวน้อยที่เกิดมาในบ้านของตระกูลผู้ดีมีหน้ามีตาทางสังคม ที่ทั้งบิดาและมารดาเกลียดหน้ากันจนไม่อยากจะใช้อากาศหายใจร่วมกัน สิ่งที่เธอได้รับคือเสียงกรีดร้องของมารดาแข่งกับเสียงที่ร้องด้วยความหิวโหยของเธอ ก่อนที่หญิงสาวจะหนกลับไปกรีดร้องใส่บิดาที่เมาหยำเปและเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงจนแสบจมูก เป็นเหมือนแผ่นหนังสะดุดที่เล่นภาพฉากฉากนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาสิบเก้าปีที่เธอมีชีวิตอยู่บนโลก




สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงการทุบตีที่มาพร้อมกับเสียงก่นด่านั้น




“พอได้แล้ว..พอ...พอ...กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!!”




ครั้งแรกที่เธอได้รับรู้ถึงรสชาติของชัยชนะคือตอนที่เธออายุห้าปี




พี่เลี้ยงที่ถูกจ้างมาดูแลเธอทุบตีเธออย่างรุนแรงเพียงเพราะเธอไม่ยอมทำตามคำสั่งง่ายๆเช่นการทานอาหาร เด็กน้อยที่ทนความเจ็บปวดแทบไม่ไหวมีเพียงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสัตว์อยู่ในหัว เด็กหญิงกัดเข้าที่แขนของพี่เลี้ยงวัยรุ่นจนจมเขี้ยวเท่าที่แรงฟันน้ำนมของตนจะมี ไม่ยอมปล่อยคนที่ตนกัดถึงแม้อีกฝ่ายจะสะบัดแค่ไหน เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทำให้คนทั้งบ้านวิ่งกรูกันเข้ามา เด็กหญิงรู้สึกถึงแรงกระชากที่ดึงเธอออกมาจากอีกฝ่าย แต่ความเจ็บปวดจากร่างที่ถูกดึงกระชากอย่างแรงไม่ได้กลบความรู้สึกพึงพอใจที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างเป็นครั้งแรกหลังจากลืมตาดูโลกเมื่อเห็นแววตาของพี่เลี้ยงยามที่จ้องมาที่เธอ




แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว









หลังจากนั้น เธอก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้สิ่งที่เธอต้องการ



เพล้ง!!




“ฉันไม่กิน!!! ไปเอาอย่างอื่นมา!!!”



เด็กรับใช้รีบก้มหลบถ้วยชามที่ถูกขว้างปาใส่ตัวเอง รีบกลับเข้าไปในครัวเพื่อหาอย่างอื่นมาให้คุณหนูตัวน้อยที่ส่งคนรับใช้คนแล้วคนเล่าเข้าโรงพยาบาล ความรุนแรงบาดแผลที่เด็กสาวสร้างให้แก่คนรอบข้างเพิ่มขึ้นตามอายุ และในที่สุด หลังจากการหลับหูตาหลับตาหนีปัญหาอยู่นานหลายปี บิดาและมารดาของเธอก็พ้องต้องกันเป็นครั้งแรกในชีวิตการแต่งงานจอมปลอมที่สาเหตุที่ยังคงไม่จบลงมีเพียงเพราะคนทั้งคู่มีหน้าต้องรักษาเกินกว่าจะยอมให้ข่าวเสียหายมาทำลายชื่อเสียงของพวกตน




เธอถูกส่งไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชก่อนที่เธอจะขึ้นมัธยม ถึงแม้ผู้คนภายนอกจะถูกบอกว่าเธอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็ตาม



ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น เด็กหญิงไม่เคยรู้สึกสงบ ทั้งยาและการทำจิตบำบัดทำให้ความเกรี้ยวกราดในใจของเธอน้อยลงเพียงแค่ไม่กี่วันก็ตีตื้นกลับขึ้นมา การเพิ่มจำนวนยามีแต่จะทำให้เธอรู้สึกแย่ลง ไม่รวมถึงยาที่เธอไม่ได้กินลงไปจริงๆ แต่ไม่นานนัก เธอก็รู้ว่าการทำลายข้าวของและทำร้ายร่างกายตัวเองและผู้อื่นมีแต่จะทำให้เธออยู่ในนี้นานขึ้น
เธอต้องดูปกติ




เด็กหญิงรู้ดีว่าเธอไม่จำเป็นต้องหลอกหมอหรือพยาบาล แค่เสแสร้งทำตัวสงบเงียบกับพวกคนรับใช้ที่พ่อกับแม่สั่งให้มาดูอาการเธอ ก็มากพอที่จจะทำให้บิดามารดาที่เริ่มหมดข้ออ้างเรื่องการหายตัวไปของลูกสาวคนเดียวที่นักข่าวดูจะพยายามขุดคุ้ยขึ้นมาเหลือเกินรีบพาเธอออกมาโดยไม่สนใจคำคัดค้านของหมอ



รสชาติของอิสระนั้นช่างหอมหวานเสียยิ่งกว่าคาวเลือด







การเล่นละครกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา




ภายใต้หน้ากากของเด็กสาวผมเปียสวมแว่นหนาเตอะที่มักจะพูดจะตะกุกตะกักพึมพำไม่ได้ศัพท์ มีเด็กสาวที่พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการมาครอบครองซ่อนอยู่




เธอไม่เคยมีเพื่อน คนที่เข้ามาหาเธอมีเพียงคนที่พ่อกับแม่เธอจ้างมาคุมความประพฤติและพวกเหลือบไรที่ต้องการเป็นเพื่อนกับเงินของเธอเท่านั้น แค่เห็นว่าเธอดูหัวอ่อนจูงจมูกง่าย โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นเพียงหมากที่ทำให้เธอผลาญเงินในบัญชีของบุพการีที่ห่วงแต่หน้าตาเท่านั้น




น่าขยะแขยง




เวลาล่วงเลยมาหลายปีจนถึงวันที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จำนวนคนที่ถูกสั่งให้จับตาดูเธอลดลงไปตามจำนวน ‘อุบัติเหตุ’ภายในบ้านที่ลดน้อยลง พ่อกับแม่ของเธอยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ถึงแม้เสียงทะเลาะเบาะแว้งและถ้อยคำก่นด่าจะแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบและสงครามประสาทที่ไม่มีท่าทีจะสงบลงในเร็ววันก็ตาม




เธอเฝ้าฝันถึงวันที่จะมีเจ้าชายรูปงามเข้ามาในชีวิต คนที่จะมาช่วยฉุดเธอออกจากฝันร้ายนี้




และในที่สุด เจ้าชายรูปงามในฝันของเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้า คุกเข่าลงแทบเท้าของเธอด้วยรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวในพริบตา




เจ้าชายของเธออยู่ในชุดนักศึกษาเช่นเดียวกับเด็กปีหนึ่งที่เข้ามารายงานตัวทุกคน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะรองเท้าคัชชูบ้าๆที่กัดข้อเท้าของเธอจนเป็นแผลเปิด ทีแรกเด็กสาวตั้งใจว่าจะไม่สนใจ แต่ยิ่งเดิน การเสียดสียิ่งกรีดรอยแผลลึกเสียจนเธอต้องนั่งพักบนม้านั่ง




“ขอโทษนะครับ...”




เด็กสาวที่พยายามก้มมองแผลของตัวเองตวัดสายตาขึ้นตามเสียงเรียกอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นดวงหน้าที่ถอดแบบมาจากชายในฝันที่เธอเฝ้าจินตนาการการถึง ถ้อยคำด่าทอที่กำลังจะหลุดออกมาจากริมฝีปากถูกกลืนหายลงไปในลำคอในทันที
ใบหน้าเรียวผสมผสานโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกอย่างลงตัว เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนล้อแสงอาทิตย์ ดวงตาเรียวสวยสีเทาอมฟ้าที่ทอประกายสีเขียวยามต้องแสงแดดก้มมองเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล




“ถ้าไม่รังเกียจ ใช้นี่ก็ได้นะครับ...”




พลาสเตอร์สองอันถูกยื่นมาให้เธอ เด็กสาวก้มมองเจ้าแผ่นพลาสติกในมือของเด็กหนุ่มราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“จริงสิ ใส่กระโปรงแบบนี้คงก้มยาก...” คิ้วเรียวของเจ้าชายของเธอขมวดมุ่น แต่ใบหน้าที่แสนงดงามของอีกฝ่ายยังคงดูสมบูรณ์แบบแม้ในยามครุ่นคิด “ขออนุญาตนะครับ”




เธอพยักหน้าราวกับตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายขออนุญาตเรื่องอะไร




เด็กหนุ่มคุกเข่าลงบนพื้น จับรองเท้าของเธอถอดออกอย่างเบามือ ก่อนจะแปะพลาสเตอร์ทับลงบนแผลแล้วสวมรองเท้า
กลับเข้าไป สัมผัสของนิ้วเรียวที่ข้อเท้าของเธอทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นตึกตักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน




เธอรู้ได้ในวินาทีนั้น ว่าเธอและเขาจะมีครอบครัวที่มีความสุขด้วยกันไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต




“อ๊ะ ขอโทษนะครับ เขาประกาศเรียกคิวผมแล้ว”




แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามชื่อของอีกฝ่าย เจ้าชายของเธอก็ลุกจากไปทางเต็นรายงานตัวที่มีคนยืนออกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครเสียแล้ว





เธอได้เจอเจ้าชายอีกครั้งในวันแรกของการเปิดเทอม เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานรับน้องเพราะมีีนัดพบจิตแพทย์เพื่อติดตามอาการและรับยารอบใหม่




“ส้มอยากนั่งตรงไหน?”



เสียงแหลมเล็กของญาวิกา ลูกสาวของลูกน้องแม่เธอถามขึ้น ถึงแม้จะรู้สึกรำคราญเสียงแหลมวี้ดว้ายและท่าทางมั่นอกมั่นใจเกินความจำเป็นของเด็กสาวผมแกละ แต่การมีตัวดึงดูดความสนใจให้หลบอยู่ข้างหลังถือเป็นเรื่องที่ดี สริญญาจึงเลือกที่จะปล่อยให้เหลือบไรที่แม่เธอส่งมาเป็น’เพื่อน’ให้อยู่ข้างๆเธอต่อไป




“ขะ..ข้างหลังก็ได้”




เด็กสาวสวมแว่นเอ่ยขึ้นเสียงเบา ชี้ไปที่ที่เจ้าชายของเธอนั่งอยู่ซึ่งอยู่ค่อนไปทางด้านหลังของห้อง แต่เพราะห้องบรรยายถูกสร้างคล้ายอัฒจรรย์ ทำให้มองเห็นภาพจากโปรเจคเตอร์อย่างชัดเจน




เธอคิดไปเองว่าญาวิกาคงจะคิดว่าเธอไม่อยากนั่งด้านหน้ามากนัก ตอนนี้คนเข้ามาจับจองที่นั่งค่อนข้างเยอะมากแล้ว ส่วนที่ว่างอยู่บ้างจึงมีแค่ด้านหน้าสุดๆ กับตรงที่เจ้าชายของเธอนั่งอยู่




นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ




ญาวิกาหันมามองหน้าเธออย่างประหลาดใจ ก่อนจะหันไปหาเจ้าชายแล้วหันกลับมาหาเธออีกครั้ง รอยยิ้มรู้ทันปรากฎขึ้นบนริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสด




“ฮั่นแน่...รู้นะว่าคิดไรอยู่อ่ะ ไม่ต้องห่วงๆ เดี๋ยวยาหยีจัดให้”



เธอไม่รู้ว่าแววตาของเธอบอกอะไรให้ญาวิการู้ แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรมากกว่านั้น อีกฝ่ายก็เดินดุ่มๆขึ้นไปหาเจ้าชายของเธอที่นั่งอยู่ด้านบนราวกับเจ้าชายรูปงามบนหอคอยปราสาทสูง




เด็กสาวมัวแต่ชื่นชมความงดงามดั่งรูปวาด ไม่ได้สนใจญาวิกาจนกระทั่งเด็กสาวผมแกละที่ยืนคุยกับเจ้าชายอย่างสนิทสนมจนน่าหงุดหงิดชี้มาที่เธอ




นินทาอะไรอยู่ล่ะ...




สริญญาเบือนหน้าหนี ไม่อยากเสี่ยงให้เจ้าชายเห็นแววตาโกรธเคืองภายใต้กรอบแว่นถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ไกลแค่ไหน
เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะว่างด้านหน้าสุด ไม่อยากหันกลับไปมองภาพของผู้หญิงชั้นต่ำที่พยายามยั่วยวนเจ้าชายของเธอให้หงุดหงิดใจไปมากกว่านี้








“เป็นอะไรรึเปล่าส้ม หน้าตาดูไม่ดีเลย”




ญาวิกาที่นั่งอยู่ข้างๆเธอในรถที่พ่อเธอส่งมารับจากมหาวิทยาลัยถาม แต่ความโกรธที่เพิ่มพูนมาจากในคาบเรียนทำให้น้ำเสียงที่ออกมาจากปากของเด็กสาวผมแกละเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟที่กำลังลุกโชน




เธอรู้สึกตัวอีกที่ตอนที่คนขับรถกระชากเธอออกจากญาวิกาที่กรีดร้องอย่างตกใจ มือยกขึ้นปกป้องใบหน้าของตัวเองอย่างขวัญเสีย




“นังบ้า! อย่าเข้ามาใกล้ฉันอีกนะ!”




และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ญาวิกาพูดกับเธอ หลังจากนั้น นังอสรพิษร้ายก็เข้าไปตีสนิทกับเจ้าชายของเธอราวกับจะเยาะเย้ยที่เธอไม่มีความกล้าพอที่จะทำความรู้จักกับอีกฝ่าย




นอกจากญาวิกายังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่เธอสืบรู้มาว่าเป็นรูมเมทของเจ้าชาย แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะศัตรูของเธอ คือพวกผู้หญิงชั้นต่ำที่บังอาจส่งสายตาให้เจ้าชายของเธอต่างหาก





เธอเริ่มจากขโมยชุดชั้นในของญาวิกา โทรศัพท์หาเบอร์ของห้องพักในหอของเด็กสาวเพื่อให้อีกฝ่ายกระวนกระวายจนนอนไม่หลับ แต่ดูจากท่าทีไม่สะทกสะท้าน ดูเหมือนญาวิกาจะโง่เกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ




แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ญาวิกา เธอทำแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนที่กล้าส่งสายตาให้เจ้าชายของเธอ




เธอถึงกับเคยกรีดยางล้อรถของณัฐภาส รูมเมทของเจ้าชายเพราะความสนิทสนมที่มากเกินความจำเป็นของคนทั้งคู่ แต่หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีคนรักแล้ว เธอจึงยอมปล่อยให้ณัฐภาสใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป




เธอยังจำได้ถึงความรู้สึกสะใจยามที่เห็นร่างที่ชักกระตุกบนตีนบันไดอาคารเรียนของเด็กสาวที่ทำงานอยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าชายหลังจากที่เธอผลักมันลงไป หึ...ทำเป็นหัวร่อส่อกระซิก จับแขนแตะไหล่ คิดว่าคนอื่นเขาดูไม่ออกหรือยังไง




เธอจะทำได้มากกว่านี้หากพ่อของเธอไม่ส่งคนมารับส่งเธอเช้าเย็นตรงเวลาทุกครั้ง แต่โชคดีที่นอกจากนังญาวิกา เจ้าชายของเธอดูไม่คิดจะสุงสิงกับผู้หญิงคนไหนนัก




เธอวางยาเบื่อแมวจรจัดใต้หอที่ญาวิกาเอ็นดูหนักหนาไปโยนไว้หน้าห้องของมัน แต่นั่นทำให้เธอรู้ความจริงที่ว่านังงูพิษรี่ไปขอนอนกับเจ้าชายมาตั้งแต่ตอนที่เธอขโมยชุดชั้นในของมันไปตั้งแต่คราวก่อน โชคดีของเธอที่หลังจากนั้นเจ้าชายของเธอต้องย้ายออกจากหอ ทำให้ญาวิกาต้องกลับไปนอนที่บ้าน สร้างระยะห่างระหว่างมันกับเจ้าชายไปได้อีก




ถึงเธอจะไม่เคยรู้ว่าเจ้าชายไปพักที่ไหนหลังจากนั้นก็ตาม




แต่ถึงแม้จะทำอย่างนั้น ญาวิกาก็ยังไม่วายลากเจ้าชายของเธอไปไหนมาไหนราวกับคนรับใช้ส่วนตัว ถึงขนาดให้ไปยืนรอลองชุดที่ร้านขายเสื้อผ้าตลาด จนเธอทนไม่ไหวใช้ถังรองน้ำคาวปลาของร้านอาหารทะเลข้างๆสาดใส่ผ้ารูด้านบนของห้องรองเสื้อ ถึงแม้นั่นจะยิ่งทำให้ญาวิกาได้รับความเอ็นดูจากเจ้าชายมากขึ้นไปอีกก็ตาม




เธอเกลียดมัน เธอเกลียดนังผู้หญิงแพศยานั่นทุกลมหายใจเข้าออก




แต่เจ้าชายของเธอก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจมันมากไปกว่าเพื่อน ซึ่งนั่นทำให้สริญญารู้ว่าเจ้าชายยังคงรอให้เธอมาเป็นเจ้าหญิงยืนอยู่ข้างกาย




 จนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอได้เห็นเต็มตาว่าเจ้าชายของเธอถูกผู้ชายคนนั้นหลอกปั่นหัวจนหลงคิดไปว่าตัวเองเป็นพวกวิปริตชอบผู้ชายด้วยกัน เธอได้แต่ยืนมองภาพของคนทั้งสองในรถด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม





“ไม่..ไม่..ไม่ๆๆๆ ม๊ายยยย!!!!!!”





เด็กสาวกรีดร้องอย่างสุดเสียงในลานจอดรถที่ว่างเปล่า







เจ้าชายต้องเป็นของเธอเท่านั้น!!!!!


------------

30%หลังมีแต่ส้ม55555

สำหรับคนที่ถามว่าเรื่องนี้ดำเนินมากี่เปอร์แล้ว ตอบได้แค่ว่าเกินครึ่งทางแล้วค่ะ5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ส้มโรคจิตน่ากลัวจังเลย เป็นคนทำให้เมฆบอกเลิกหมอกใช่มั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มีส้มเข้ามาป่วนชีวิตหมอกอีก
หล่อแบบเจ้าชาย เลยถูกจับจ้องจับตา
จากคนที่หลงใหลความหล่อ สง่างามของเจ้าชาย  :z3: :z3: :z3:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ส้มนี่ตัวแปรสำคัญนี่หว่าาาาาาาา

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
       ทำไมเราอ่านแล้วสงสารส้มจังเลยค่ะเพราะเราทำงานทางด้านนี้ด้วยแหละค่ะเด็กจะโตมาแบบไหนปัจจัยสำคัญคือครอบครัวซึ่งส้มโชคร้ายที่ตกในภาวะแบบนั้นส้มคือตัวอย่างความผิดพลาดที่ไร้ซึ้งความรับผิดชอบของพ่อและแม่
ยิ่งอ่านและรู้ภูมิหลังของนางยิ่งสงสารนาง :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เพราะส้มใช่มั้ย? น่ากลัวจัง แต่ก็สงสารนางด้วยแหละ #พ่อแม่รังแกฉัน

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
โดนรังแก ..

ออฟไลน์ lek2512

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z6: ส้ม น่ากลัวมากกกกก หรือส้มเป็นตัวแปรในการเลิกกันเนี่ยโอ๊ยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เป็นเรื่องที่ยาวนานมาก

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ส้มเธอมันโรคจิต :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด