“…”
มธุวันเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างเขาในรถอย่างเคลือบแคลงใจเมื่อเห็นว่ารถที่เขานั่งอยู่กำลังจะเลี้ยวเข้าไปในสนามยิงปืนที่เมฆาเคยพาเขามาหลายครั้งสมัยที่ยังคบกัน แต่สีหน้าของร่างสูงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อยเมื่ออีกฝ่ายหันมาหาเขา
“ไม่ชอบ?เห็นมีปืนในรถนี่”
“….”
มธุวันเบือนหน้าหนี ถึงแม้สิ่งที่เมฆาพูดออกมาจะยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าความทรงจำของร่างสูงยังไม่กลับมาอย่างที่เขาสงสัย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหัวใจของเขาจะไม่เจ็บปวดจากสายตาว่างเปล่าของอดีตคนรัก
พวกเขาเดินเข้าไปในสนามยิงปืนที่แทบไม่ค่อยมีคนในวันธรรมดาแบบนี้ หลังจากที่ใส่หูฟังตัดเสียงและแว่นตาป้องกันแล้ว มธุวันก็บรรจุกระสุนใส่ปืนที่เมฆาเช่ามาให้ แล้วปล่อยให้สมาธิของตนจดจ่ออยู่กับปลายกระบอกปืนอย่างเดียว แรงดีดที่คุ้นเคยและภาพของเป้ายิงที่ถูกกระสุนทะลวงอย่างแม่นยำทำให้จิตใจของมธุวันสงบลง ความเครียดที่ไม่รู้ว่าตนสะสมไว้มากมายแค่ไหนค่อยๆหายไปจากบ่าอันหนักอึ้ง มธุวันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาแทบจะไม่รับรู้ถึงตัวตนของเมฆาที่ยืนอยู่ข้างเขาด้วยซ้ำจนกระทั่งกระสุนที่ซื้อมาหมดลง
แชะ!
“…ยิ้มดีๆก็เป็นนี่”
เสียงกดถ่ายรูปเบาๆจากโทรศัพท์ของร่างสูงดังขึ้นทันทีที่มธุวันถอดเครื่องป้องกันเสียงที่ครอบหูของตัวเองออก ตอนนั้นเองที่ร่างโปร่งเพิ่งรู้ตัวว่าริมฝีปากของตนมีรอยยิ้มระบายอยู่ตลอดเวลาในตอนที่กำลังจมดิ่งสู่โลกส่วนตัวที่สร้างขึ้นมา รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปจากริมฝีปากบางทันที มธุวันหรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์ แบมือเป็นสัญญาณว่าให้เมฆาส่งโทรศัพท์เครื่องนั้นมาให้ตน
แน่นอน เมฆาดึงโทรศัพท์เครื่องนั้นเข้าหาตัวเองทันทีพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยที่ไม่เคยตามมาด้วยเรื่องดีๆ
“คุณเมฆา ลบรูปผมออกด้วยครับ”
มธุวันเอ่ยอย่างไม่พอใจ เมฆามีสิทธิ์อะไรมาถ่ายรูปเขาโดยพละการแบบนี้
“ไม่”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังสนุกกับการยั่วยุเลขาร่างโปร่งให้แสดงสีหน้าอย่างอื่นนอกจากหน้ากากนิ่งเฉยไม่หยี่ระต่อโลกที่เจ้าตัวชอบใช้เป็นเกราะกำบัง มธุวันเอื้อมคว้าโทรศัพท์ในมือของร่างสูง แต่เมฆายกขึ้นเหนือศีรษะก่อนที่อีกฝ่ายจะคว้ามันมาได้
“คุณ…”
“หอมก่อน”
ข้อแลกเปลี่ยนเดียวกับที่อีกฝ่ายเคยเสนอให้เขาในเดทแรกของพวกเขาทำให้มธุวันชะงักอย่างตกใจ แขนที่ยกขึ้นสูงหมายไขว่คว้าเอาโทรศัพท์เครื่องนั้นมาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ เช่นเดียวกับหัวใจที่เหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ
เมฆาขยับเข้ามาใกล้ วางมือบนกำแพงข้างศีรษะของมธุวันเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหน
“ว่าไง? สนใจข้อเสนอมั้ย?”
“…อยากโดนข้อหาคุกคามทางเพศในที่ทำงานมั้ยครับ?”
มธุวันตอกกลับเมื่อดึงสติกลับเข้าร่างได้ แต่นอกจากจะไม่กลัวแล้วเมฆายังหัวเราะในลำคอ ดวงตาสีควันบุหรี่พราวระยับด้วยความสนุกสนาน
“ไหนๆก็จะโดนแล้ว ขอคุกคามให้สมกับข้อหาหน่อยแล้วกันนะ”
ไม่ว่าเปล่าใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ แต่คนที่ไม่มีทางหนีทีไล่ไม่ได้มีท่าทีที่จะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้นั่นจะสร้างความประหลาดใจให้กับเมฆา แต่ร่างสูงก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปง่ายๆ
“อุ่ก!”
หมัดลุ่นๆที่ซัดเข้าเหนือเข็มขัดเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเล่นเอาเมฆาตัวงอ ถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อครู่มธุวันไม่ได้ใส่แรงทั้งหมดของเจ้าตัว แต่นั่นก็ยังมากพอให้ร่างสูงกุมท้องด้วยความจุกอยู่ดี
“ขอบคุณสำหรับมือถือนะครับ”
มธุวันดึงเอาเจ้าเครื่องมือสื่อสารในมือของอีกฝ่ายมาลบเอารูปล่าสุดออกไปพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ ก่อนจะเปิดกล้องแล้วกดถ่ายรูปคนที่ก้มตัวงออยู่ตรงหน้าของตน
“หายกันนะครับ”
“แสบนักนะ...”
เมฆาพึมพำ นึกอยากจะจับอีกฝ่ายมาพาดบนตักแล้วลงโทษซักป้าบสองป้าบ แต่จากความทรงจำของเขา นั่นอาจจะเป็นรางวัลให้คนอย่างมธุวันเสียมากกว่า
“อ้าว คุณเมฆา เป็นอะไรครับ?”
เสียงทุ้มที่แฝงได้ด้วยสำเนียงแปร่งเล็กๆดังขึ้น เรียกให้มธุวันหันไปหาต้นเสียงอย่างงุนงง นิโคไลพยักหน้าทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม นักธุรกิจหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆดูแข็งแรงขึ้นกว่าที่มธุวันเจอรอบที่แล้วมาก ด้านหลังของนิโคไลมีบอดี้การ์ดสองคนยืนอยู่ มธุวันจำหนึ่งในนั้นได้จากแผลเป็นที่ลากยาวผ่านใบหน้าหล่อเหลา แต่อีกคนเขาไม่มั่นใจว่าเคยเจอหรือไม่ ในมือของบอดี้การ์ดที่มีรอยแผลบนใบหน้าถือกล่องที่คล้ายกับกล่องบรรจุปืนของมธุวันอยู่
“สวัสดีครับคุณนิโคไล”
มธุวันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรขึ้นกว่าน้ำเสียงยามปกติของตน ส่วนเมฆาที่ไม่ชอบขี้หน้าชายหนุ่มชาวต่างชาติเป็นทุนเดิมเพียงแต่ยืดตัวตรงแล้วพยักหน้าให้ตามมารยาท ซึ่งนิโคไลดูจะไม่ใส่ใจชายหนุ่มร่างสูงที่หรี่ตาจ้องเขาอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก
“คุณหมอกชอบยิงปืนเหมือนกันเหรอครับ?”
“ครับ ก็พอได้”
มธุวันพยักหน้า ถึงแม้จะรู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากที่จะมีปฎิสัมพันธ์อะไรกับลูกค้ามากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่อันตรายแบบนี้
“ยิงมานานแล้วเหรอครับ”
นิโคไลยังคงชวนคุย ไม่สนใจสายตาแผดเผาของเมฆาที่ส่งสัญญาณเตือนให้ถอยห่างจากร่างโปร่งตรงหน้า มธุวันพยักหน้า
“ตั้งแต่สมัยมหาลัยน่ะครับ คุณนิโคไลล่ะครับ?”
คำถามนั้นหลุดออกจากปากไปก่อนที่ร่างโปร่งจะได้ใคร่ครวญอะไรมากกว่านั้น กว่าจะรู้ว่านั่นเป็นคำถามที่ไม่ควรจะถามเจ้า
พ่อมาเฟีย คนถูกถามก็ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ตั้งแต่ที่พ่อผมถูกฆ่าตายตอนผมยังเด็ก...ล่ะมั้งครับ”
คำตอบนั้นทำเอามธุวันถึงกับไปไม่เป็น ได้แต่เอ่ยแสดงความเสียใจด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ซึ่งนิโคไลรับไว้พร้อมรอยยิ้มราวกับสิ่งที่ตนพูดถึงเป็นเรื่องของคนอื่น
“นี่ก็เย็นมากแล้ว พวกผมคงต้องขอตัวก่อน”
โชคดีที่เมฆาที่ยืนเงียบมาตลอดบทสนทนาเลือกเวลานี้เอ่ยแทรกขึ้นมา มธุวันพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของรองประธานหนุ่ม
“ไปหาอะไรทานกันก่อนมั้ยครับ? ผมกำลังจะกลับพอดี”
นิโคไลเอ่ยชวน มธุวันเหลือบมองเมฆา ก่อนจะปฏิเสธอย่างสุภาพ
“พวกผมเพิ่งทานมาน่ะครับ”
“จริงเหรอครับ? ไปร้านไหนกันเหรอครับ? มีร้านเด็ดๆแนะนำมั้ยครับ?” นิโคไลถาม
“ร้านส้มตำที่ไม่ไกลจากตรงนี้น่ะครับ อยู่ข้างร้านกุ้งเผา..”
“หืม? ใช่ร้านกุ้งเผาที่โดนรถชนรึเปล่าครับ?”
นิโคไลถามต่ออย่างสนใจ มธุวันขมวดคิ้ว ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรจากคำอธิบายเพียงแค่นั้น
“ก็ใช่ครับ แต่ว่าคุณรู้....”
“ผมให้คนคอยตามดูแลคุณทุกฝีก้าวตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมพบคุณแล้วล่ะครับ...”นิโคไลตอบด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่คนฟังทั้งสองมีท่าทีระแวดระวังตัวขึ้นมาทันที “...ล้อเล่นน่ะครับ เมื่อกี้ผมอ่านเจอในข่าว เห็นว่าใกล้แถวนี้เลยลองถามดู”
“อย่าล้อเล่นแบบนี้สิครับ”มธุวันเอ่ยด้วยความรู้สึกโล่งอก เล่นทำหน้าจริงจังขนาดนั้นเป็นใครใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ“แต่วันนี้พวกผมคงต้องขอตัวจริงๆนะครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
“ครับ ไว้เจอกันวันเสาร์นะครับ”
“วันเสาร์?” มธุวันทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“ครับ งานวันเกิดของคุณเชษฐ์ ผมได้บัตรเชิญมาน่ะครับ”
ชายชาวต่างชาติขยายความ มธุวันพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะกล่าวลาอีกฝ่ายอีกครั้งแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับเมฆา รถของคนขับรถยังจอดรอพวกเขาอยู่ในลานจอดรถ ระหว่างทางกลับ มธุวันแสร้งหลับตาเอนพิงหน้าต่างรถไปตลอดทาง ส่วนหนึ่งไม่อยากจะสนทนาอะไรกับร่างสูง และอีกส่วนหนึ่งไม่อยากที่จะคิดถึงริมฝีปากที่ขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะสัมผัสกับริมฝีปากของเขา
ไม่อยากจะคิดถึงเสี้ยววินาทีเล็กๆของความอ่อนแอที่เขาเกือบจะยอมให้อีกฝ่ายประทับริมฝีปากที่เขาไม่เคยรู้ตัวว่าตนเฝ้าคิดถึงมาโดยตลอดลงมาอย่างเต็มใจ
ผลั่ก!
ผลั่ก!
ผลั่ก!
เสียงหมัดลุ่นๆกระแทกกับผิวเนื้อของมนุษย์ทำให้วรินทร์ที่เพิ่งลากกระเป๋าเดินทางกลับเข้ามาในห้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถอดแว่นกันแดดอันโตออกเสียบไว้ที่คอเสื้อ แล้วเปิดประตูห้องของนิโคไลออก
ภาพของทารินและลูกน้องอีกสองคนที่ลงไปกองกับพื้นพร้อมด้วยเลือดที่กบปากทำให้นายแบบหนุ่มพอจะเดาสภาพจิตใจที่นิโคไลเป็นอยู่ในขณะนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาเหตุที่ทำให้นิโคไลคุ้มคลั่งได้ขนาดนี้
“นิค นั่งพักก่อนนะครับ แผลคุณยังไม่หายดี เดี๋ยวไหมจะหลุดเอา”
วรินทร์ก้าวเข้าไปประชิดร่างของคนที่กำลังอยู่ในโหมดทำลายล้าง คล้องแขนกับแขนของอีกฝ่ายแล้วออกแรงดึงเบาๆ คนที่ออกแรงทั้งที่ยังไม่หายดีจนเหนื่อยหอบชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมทรุดตัวลงบนโซฟาแต่โดยดี โดยมีร่างของนายแบบหนุ่มที่ทรุดตัวลงบนพื้นไม่ห่างกาย วรินทร์ดึงมือขาวที่ข้อนิ้วขึ้นสีแดงก่ำจากการประเคนหมัดใส่หน้าลูกน้องที่บังอาจทำงานผิดพลาดจนรถของพวกลูกสมุนที่แก๊งกาวิโน่ส่งคอยตามราวีมธุวันราวกับแมลงหวี่แมลงวันพุ่งเข้าชนกับร้านกุ้งเผาขึ้นมา ริมฝีปากนุ่มประทับจุมพิตลงบนข้อนิ้วแต่ละข้อราวกับจะสามารถดูดซับความเจ็บปวดจากมือของนิโคไลมาไว้ที่ตัวเองได้
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ตระกูลกาวิโน่ส่งคนเข้ามาวุ่นวายรอบตัวมธุวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทุกครั้งเป็นเพียงการหยอกเอินแสดงอำนาจข่มขู่ให้นิโคไลรู้ว่าพวกมันรู้จุดอ่อนของร่างสูง และเหล่าลูกสมุนปลายแถวนั้นมักจะถูกคนของอัลฟอนโซ่จัดการโดยที่มธุวันไม่ได้ระแคะระคายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ตระกูลกาวิโน่จะยังห่างไกลจากความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรมืดที่มีอิทธิพลมาร่วมร้อยปีอย่างตระกูลอัลฟอนโซ่ แต่ก็ยังถือว่าเป็นแก๊งมาเฟียใหญ่ที่ไม่สามารถกำจัดถอนรากถอนโคนได้ง่ายๆ นิโคไลใช้มาตรการตั้งรับ คำนึงถึงความสุขของมธุวันเป็นที่ตั้งเสมอในการดำเนินการให้เงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ช่วงหลังๆ ‘การหยอก’ของพวกกาวิโน่ชักจะแข็งข้อขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลแทนหัวหน้าคนก่อนที่เพิ่งจะป่วยเสียชีวิตไป ทำให้ผู้นำคนใหม่ต้องการที่จะแสดงอำนาจให้ผู้คนในโลกมืดเห็น
“Sent out a hit. (ส่งมือปืนออกไป)”
นิโคไลเอ่ยขึ้นเรียบๆ แต่คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“ถ้าทำแบบนั้นเราจะเข้าสู่สงครามอย่างเปิดเผยนะครับ”
วรินทร์ว่า คำพูดของนายแบบหนุ่มไม่ใช่การโต้แย้ง ไม่ใช่การทักท้วง หรือสงสัยในการตัดสินใจของชายหนุ่ม เป็นเพียงการแจ้งข้อมูลถึงผลกระทบที่เป็นไปได้จากการตัดสินใจในครั้งนี้
“Then we go to war.”
นิโคไลตอบด้วยน้ำเสียงไม่หยี่ระ วรินทร์โค้งศีรษะรับคำสั่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น แต่มือของเจ้านายดึงข้อมือเรียวไว้ ร่างโปร่งทรุดลงบนตักของชายหนุ่มผมทองอย่างรู้งาน เส้นผมยาวสลวยถูกนิ้วเรียวยาวของนิโคไลพันเกี่ยวอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเวลาที่มีเรื่องให้คิด
“Stay with me.(อยู่กับฉัน)”
“Til death do us part.(จนกว่าความตายจะพรากเราจะกัน)”
วิรนทร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม นิโคไลไล้นิ้วหัวแม่มือตามกลีบปากนุ่มที่มักจะเอื้อนเอ่ยคำที่เขาอยากได้ยินเสมอ
“Good boy.(เด็กดี)”
เขี้ยวคมฝังลงบนซอกคอขาว วรินทร์หลับตาลงรับความเจ็บปลาบที่แล่นไปทั่วร่าง เขารู้ดีว่าสิ่งที่นิโคไลทำไม่มีอะไรมากกว่าการแสดงความเป็นเจ้าของ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสมองของเขาจะแปรเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ก็นี่...เป็นรางวัลของเด็กดีอย่างเขาไม่ใช่เหรอ?
--------
มาล้าวววววว