[Special]หนึ่งวันของหมอคเชนทร์ 2
เขาไม่รู้ว่าเรื่องบ้าๆนี่จะดำเนินไปอีกนานเท่าไหร่
“น่านะ ถือว่าสงสารพี่เถอะ”
“ผมไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้เขามีบุญคุณอะไรกับพี่นักหนา พี่ถึงต้องคอยรองมือรองเท้าทำทุกอย่างตามเขาสั่งแบบนี้”
คเชนทร์เอ่ยอย่างฉุนเฉียว นี่ถ้าหากระพีพัฒน์ไม่ได้เป็นรุ่นพี่ที่เขาเคารพนับถือเขาอาจจะด่าอีกฝ่ายแรงกว่านี้แล้วก็ได้ วันนี้ทั้งวันเขาต้องวิ่งโร่สอนนักศึกษาตั้งแต่เช้า ประชุมที่คณะ แล้ววาร์ปกลับมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลมาดักรอเขาด้วยตัวเองตั้งแต่อาจารย์แพทย์หนุ่มก้าวขาเข้ามาในตัวตึก
“พี่ขอโทษที่ต้องรบกวนครามนะ ถ้าพี่ทำเองได้พี่ทำไปแล้ว ขอร้องล่ะ คุณนิโคไลเขาไม่น่าจะอยู่ที่นี่เกินเดือนสองเดือนหรอก ระหว่างนี้ถือว่าช่วยพี่เถอะนะ”
แทนที่วันนี้เขาจะได้ดูแลคนไข้ที่ต้องการเขาจริงๆ คเชนทร์กลับถูกเด้งให้ไปดูแลเด็กไม่รู้จักโตที่ต้องการให้คนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดเวลานั่นอีกครั้ง เคยแวะไปหาอีกฝ่ายที่ห้องสองสามครั้งหลังการผ่าตัดแทนการนัดมาดูอาการที่โรงพยาบาลเพราะระพีพัฒน์ขอร้องไว้ แต่เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแรงพอที่จะไม่จำเป็นต้องให้เขาไปตรวจที่ห้องแล้ว ทำไมเขาจะต้องถ่อไปที่นั่นอีก
“นะคราม เห็นแก่พี่เถอะ คนไข้พี่จะดูแลแทนให้ทั้งเวรเลย ครามดูแลคุณนิโคไลเสร็จกลับไปนอนเลยก็ได้”
ชายวัยกลางคนขอร้อง คเชนทร์ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาไม่อยากจะปฎิเสธรุ่นพี่ที่อุตส่าห์ขอร้องขนาดนี้
และนั่นเป็นสาเหตุที่ร่างสูงมายืนอยู่ที่หน้าห้องพักของผู้ชายที่เขามั่นใจว่าเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียซักแก๊งซึ่งมีบอดี้การ์ดที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดียืนรอเขากันอย่างครึกครื้นผิดปกติ
“คุณหมอมาแล้ว! He’s here!”
คุณนาวินทร์ที่ดูจะเป็นบอดี้การ์ดชาวไทยเพียงหนึ่งเดียวที่นิโคไลมีเปิดประตูตะโกนบอกด้านในด้วยท่าทีร้อนรนผิดวิสัย เช่นเดียวกับบอดี้การ์ดคนอื่นที่มีท่าทีกระสับกระส่ายผิดจากลุคนิ่งๆที่เขาเคยเห็น
“เชิญทางนี้เลยครับคุณหมอ”
นาวินทร์รีบเปิดประตูให้เขา อาจารย์แพทย์ร่างสูงก้าวตรงไปยังห้องที่เขารู้ดีว่าเป็นห้องนอนของอีกฝ่าย แต่เสียงหวาานที่ดังลอดออกมาจากห้องนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมบิดลูกบิดประตู
“นิค ให้ผมทำให้คุณเถอะนะ”
“Shame.You look so pretty with you mouth shut.(น่าเสียดาย นายดูน่ารักกว่าตั้งเยอะตอนไม่อ้าปากพูดอะไร)”
“เชิญครับคุณหมอ”
นาวินทร์เอื้อมมือมาเปิดประตูให้เมื่อเห็นว่าคเชนทร์ไม่ยอมเปิดเสียที ภายในห้อง ร่างสูงของนิโคไลนอนแผ่อยู่บนเตียงโดยศีรษะของชายหนุ่มพาดอยู่บนตักของร่างสูงโปร่งในชุดคลุมกำมะหยี่สีม่วงสด คเชนทร์ไม่ได้ติดตามวงการบันเทิงนัก แต่เขารู้สึกว่าเคยเห็นด้วยตาสีม่วงสดและเส้นผมสีดำสนิทยาวสลวยนั้นที่ปกนิตยาสารสักฉบับในโรงพยาบาล ใบหน้าเรียวสวยที่ก้มลงมองคนที่นอนตักตัวเองอยู่ด้วยสายตาเป็นกังวลช้อนตาขึ้นมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก
“ริน ออกไปรอข้างนอก”
นิโคไลสั่ง นายแบบหนุ่มพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้อย่างระมัดระวัง ช้อนศีรษะของชายหนุ่มผมทองขึ้นแล้ววางลงบนหมอนใบโตอย่างทะนุถนอม
“ฝากด้วยนะครับ คุณหมอ”
เสียงหวานกระซิบขณะที่สวนเขาออกไปข้างนอก หากก่อนหน้านี้คเชนทร์ดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายมาไม้ไหน ตอนนี้เขารู้แจ้งอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยใด เพราะหากลูกปัดสีม่วงสดคู่นั้นสามารถฆ่าคนได้ ต่อให้หมอเทวดาก็พาเขากลับมาไม่ทันการณ์แน่นอน
มีคนรักที่น่ากลัวขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ยังกล้าตอดเล็กตอดน้อยเขาอีก ช่างไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ
“หมอCrime~”
“คราม” เจ้าของชื่อแก้อย่างไม่สบอารมณ์
“เป็นอะไรมาครับ ทำไมวันนี้หน้าตาไม่สดใสเลย”คนที่นอนอยู่บนเตียงหัวเราะในลำคออย่างอ่อนเพลีย “ให้ผมตรวจภายในให้มั้ยครับ”
คเชนทร์เพียงแต่กลอกตาอย่างเบื่อหน่ายกับคำพูดสองแง่สามง่ามของอีกฝ่าย ร่างสูงในชุดกาวน์หิ้วกล่องอุปกรณ์เข้ามาใกล้คนที่นอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นเองที่คเชนทร์สังเกตเห็นว่าแผลเก่าของร่างสูงมีเลือดซึมออกมา รวมถึงมีบาดแผลถูกของมีคมแทงเพิ่มขึ้นมาที่บริเวณหน้าท้องและต้นแขนอีกด้วย ถึงแม้ปากแผลจะดูกว้าง แต่เขาคิดว่าแผลไม่น่าจะลึกมาก ถึงอย่างนั้นคเชนทร์ยังคิดว่านี่ไม่ใช่อะไรที่ควรจะใช้แค่กล่องปฐมพยาบาลทำแผลอยู่ดี
“นี่คุณ...”
“ขอโทษนะครับหมอที่ต้องเสียเวลามาดูผม...”
คนที่ดูอ่อนเพลียกว่าปกติยังมีหน้ามาพูดแบบนี้กับเขา คเชนทร์รีบคว้าโทรศัพท์ออกมาเตรียมเรียกรถพยาบาล แต่กลับถูกคนบาดเจ็บดึงข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“เจ็บขนาดนี้ถ้าไม่ไปโรงพยาบาลอาการคุณจะแย่เอานะ”
คเชนทร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจความดื้อของร่างสูง นิโคไลกระตุกยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่ยังคงคุณสมบัติความกวนบอวัยวะเบื้องล่างไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“เป็นห่วงผมเหรอครับ?”
ไอ้เด็กบ้านี่!
คเชนทร์นึกอยากบีบคอคนป่วยที่เล่นไม่รู้เรื่องทั้งที่สภาพของตัวเองเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะไกลหัวใจหรืออวัยวะสำคัญแค่ไหน แต่ถ้าไม่รีบให้การรักษาอีกฝ่ายก็ยังมีสิทธิ์ช็อคเพราะขาดเลือดได้อยู่ดี
“หมอครับ...”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “คนของผมทุกคนผ่านการเทรนมาระดับนึงแล้ว สามารถเป็น
ลูกมือหมอได้ถ้าหมอต้องการ”
“แต่อุปกรณ์....”
“ผมมีห้องผ่าตัดอยู่ข้างห้องนี้”
อะไรนะ?
คเชนทร์ถึงกับเอ๋อไปกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือไม่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดแล้ว ร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์เปิดประตูชะโงกหน้าออกไปเห็นลูกน้องหลายชีวิตยืนออกันอยู่หน้าห้องของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมขอคนที่พูดภาษาไทยได้สองคน”
ในเมื่อนิโคไลเชื่อใจว่าลูกน้องของตนสามารถช่วยเขาได้ คเชนทร์ก็ขอเลือกคนที่สามาถสื่อสารกับเขาได้แล้วกัน
นาวินทร์ก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าแปลกใจคือนายแบบหนุ่มที่เดิมทีเขาคิดว่าเป็นเพียงคนรักหรือไม่ก็คู่ขาของร่างสูงก็ก้าวออกมาด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้คเชนทร์ไม่มีเวลาเคลือบแคลงใจสงสัยอะไรมากนัก
“ย้ายเขาไปห้องผ่าตัดที่เขาว่าหน่อย”
เขาไม่หวังจะได้เห็นเตียงขนย้ายแบบในโรงพยาบาล แต่ยิ่งกระทบกระเทือนนิโคไลน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี นาวินทร์พยักหน้า ก่อนจะหันกลับไปสั่งให้ลูกน้องทำตามคำสั่งของนายแพทย์หนุ่ม
หลังจากเปลี่ยนชุดใน”ห้องปลอดเชื้อ”ที่เขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ร่างสูงก็เดินตามนาวินทร์กับนาย
แบบหน้าสวยคนนั้นไป เมื่อประตูของห้องที่คเชนทร์คิดมาตลอดว่าเป็นห้องนอนสำรองเปิดออก ร่างสูงก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างกับความพร้อมสรรพของห้องผ่าตัดของร่างสูง
บางอย่างในนี้เขาไม่คิดว่าโรงพยาบาลเล็กๆจะมีด้วยซ้ำ
“ผมต้องกังวลเรื่องนั้นมั้ย?”
อาจารย์หมอหนุ่มชี้ไปที่ตู้เก็บเลือดมาตรฐานสากลที่มีถุงเลือดบรรจุอยู่ภายใน ในหัวนึกไปถึงภาพหัวหน้าแก็งมาเฟียที่จับลูกหนี้มารีดไถเลือดเก็บไว้เป็นการขัดดอก นาวินทร์ส่ายหน้า
“บอสถ่ายเลือดเก็บไว้เผื่อเวลาแบบนี้น่ะครับ ส่วนเซ็ทด้านล่างเป็นของพวกผมที่สามารถเข้ากับเลือดบอสได้ เทสต์หมดแล้วครับไม่ต้องห่วง”
คเชนทร์ถอนหายใจ แม้จะไม่อยากทำแต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะกับลูกน้องเป็นสิบชีวิตที่ขัดปืนรออยู่ด้านนอก ถึงจะห่วงตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ
หลังจากการเย็บปิดปากแผลเสร็จสิ้นลงอย่างปลอดภัยโดยที่เขาไม่โดนกระสุนฝังหัว ร่างสูงในชุดกาวน์นั่งมองคนที่ตอนนี้นอนพิมพ์งานอยู่บนเตียงโดยไม่ดูสังขารของตัวเองสักนิด สิ่งเดียวที่ทำให้คเชทนร์รู้ว่าอีกฝ่ายตระหนักว่าตัวเองเพิ่งโดยเย็บแผลไปไม่รู้กี่สิบเข็มคือตอนที่นิโคไลบ่นกับลูกน้องว่าสายน้ำเกลือทำให้เขาทำงานไม่ถนัด เพราะคเชนทร์ดันเจาะมือซ้ายของชายหนุ่มด้วยความเคยชิน โดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มถนัดซ้าย
“ทีนี้ก็รู้แล้วนะครับว่าทำไมเขาต้องซักประวัติก่อนทำอะไร”
คนที่ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรซักอย่างนอกจากชื่อและอายุของอีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่แฝงความสะใจเล็กๆอย่างห้ามไม่ได้
“ขอโทษครับ เป็นความผิดของผมเอง”
แต่คนที่ขอโทษกลับเป็นนายแบบหนุ่มที่ชื่อรินคนนั้นแทนเสียอย่างนั้น
“ช่างเถอะ ผ่านไปแล้ว” คนป่วยที่ไม่สำนึกว่าตัวเองผิดเอ่ยอย่างไม่ถือสา “เออนี่ ริน”
“ครับ?”
เจ้าของชื่อยืดตัวตรงรอรับคำสั่ง
“ทำไมคุณหมอถึงยังไม่มีน้ำหรือของว่างมาเสิร์ฟเลยล่ะ”
ร่างสูงถามเสียงเรียบ ดูจะไม่พอใจเรื่องที่คเชนทร์ไม่ได้น้ำดื่มมากกว่าเรื่องที่ตัวเองทำงานได้ไม่คล่องเสียอีก
“ผมจะไปทำให้เดี๋ยวนี้ครับ”
นาวินทร์รีบอาสา แต่เจ้านายของคนทั้งสองกลับตวัดสายตามองชายหนุ่มในชุดสูทสีดำด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฉันสั่งริน”
“จริงสิครับ ผมนี่เสียมารยาท คุณหมอ ผมจะไปเตรียมของว่างให้นะครับ”
ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวกรอมเท้าย่อตัวลงทำความเคารพชายหนุ่มบนเตียงอย่างชดช้อยสวยงาม ถึงแม้ใบหน้าสวยหวานจะมึนตึงเสียจนคเชนทร์รู้สึกได้ เช่นเดียวกับนาวินทร์ที่มีสีหน้าประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด
“ไม่ต้องลำบากหรอก ยังไงผมก็ว่าจะกลับ...”
“ถ้ายังไง คืนนี้รบกวนคุณหมออยู่ดูอาการผมที่นี่ได้มั้ยครับ”
นิโคไลเอ่ยแทรกขึ้นก่อนเขาจะพูดจบ คเชนทร์ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้กลอกตาไปมาอย่างเหลืออด ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่อาการของร่างสูงไม่ได้น่าเป็นห่วงถึงขั้นปล่อยไว้ไม่ได้ และเขารู้ว่าอีกฝ่ายก็รู้ดี
ช่างเถอะ เขาไม่ได้มีธุระจะต้องรีบไปไหนอยู่แล้วนี่
“ของว่างครับ”
เสียงของคนที่ออกไปเอาของว่างตอนไหนก็ไม่รู้ดังขึ้น วรินทร์วางจานไดฟุกุหน้าตาน่ารับประทานลงข้างๆชาร้อนบนโต๊ะข้างเขา ถึงแม้ขนมตรงหน้าจะดูน่าทานเพียงใด แต่สัญชาตญาณของคเชนทร์บอกให้เขาอยู่ห่างจากขนมจานนั้นให้มากที่สุดเท่า
ที่จะทำได้
“ถ้าอย่างนั้นผมลงไปหาข้าวเย็นกินเลยดีกว่า ผมไม่ค่อยค่อยชอบกินจุบจิบเท่าไหร่”
ชายหนุ่มในชุดกาวน์อ้างพร้อมลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นพาคนของผมลงไปด้วยซักคนนะครับ” นิโคไลยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มออดอ้อนอวัยวะเบื้องล่างที่เขาเคยชินแต่อย่างใด “ผมเป็นห่วง”
“เชิญครับคุณหมอ”
ทั้งนาวินทร์และวรินทร์ลุกขึ้นพร้อมกัน คเชนทร์เดินนำทั้งสองออกมาจากห้องนอนของนิโคไล ชายในชุดสูทสองคนเดินเข้าไปแทนที่คนที่ออกมาทันทีโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนคำพูดใดๆ
ก่อนที่อาจารย์แพทย์หนุ่มจะเดินออกไปจากห้อง ร่างสูงหันกลับมาหาชายหนุ่มทั้งสองที่เดินตามเขาเงียบๆเยี่ยงเงาตามตัว
“แค่คุณนาวินทร์คนเดียวก็พอครับ”
“ทำไมครับ? มีผมไปด้วยไม่ดีตรงไหนเหรอครับ?”
ดวงตาสีม่วงสดจ้องเขาอย่างแข็งกร้าวโดยไม่คิดจะปิดบัง ถึงแม้รอยยิ้มหวานนั้นไม่เคยละไปจากใบหน้างาม ราวกับว่ามันเป็นตราประทับที่ไม่สามารถแกะออกมาได้
แต่คนอย่างคเชนทร์ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครใช้สายตาข่มแล้วจะหงอหนีไป เขาไม่ได้อยู่มาจนอายุเท่านี้โดยไม่ทำให้ใครเหม็นขี้หน้า
“พูดตรงๆนะครับ...ผมไม่วางใจความปลอดภัยของผมกับคนที่ทำหน้าเหมือนอยากจะเชือดคอผมตลอดเวลาเท่าไหร่”
คเชนทร์ตอบตามตรง เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนฟังได้เป็นอย่างดี
“เก่งจริงๆครับคุณหมอ” วรินทร์ชมด้วยสีหน้าตรงข้ามกับทุกสิ่งที่พูดอย่างสิ้นเชิง “แต่คงฉลาดกว่านี้ถ้าคุณไม่พูดสิ่งที่คิดกับคนที่คุณไม่รู้กำลังแบบนี้”
“เหรอครับ....”คเชนทร์ลากเสียง ไอ้เด็กนี่ชักจะเริ่มทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เสียแล้ว“ถ้าคุณเก่งนัก ทำไมถึงยังต้องวิ่งโร่
เอาน้ำชามาเสิร์ฟให้ผมอยู่ล่ะ?”
ชายหนุ่มไม่รอคำตอบเดินออกจากห้องไปโดยมีนาวินทร์รีบกุลีกุจอเดินตามมาไม่ห่าง ถามว่าเขากลัวมั้ยที่ไปปีนเกลยวลูกน้องมาเฟียแบบนั้ ก็นิดหน่อย แต่ถ้าคนหัวหน้ายังไม่กล้าทำอะไรเขา คเชนทร์ก็ไม่เห็นเหตุผลที่ตัวเองจะต้องตกเป็นเป้านิ่ง
ให้วรินทร์เล่นงาน
“ขอโทษแทนคุณวรินทร์ด้วยนะครับ ปกติเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ”
นาวินทร์กล่าวขอโทษขอโพยแทนคนที่เสียมารยาทกับแขกของบอสอย่างผิดวิสัย ปกติวรินทร์เป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่ครั้งนี้เขาก็เข้าใจพี่ชายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะหลังจากที่ถูกแทง บอสก็ปฎิเสธไม่ยอมให้ใครแตะต้องแม้แต่วรินทร์ที่มักจะได้รับความไว้วางใจให้ดูแลชายหนุ่มในทุกเรื่อง จะรอคุณหมอคเชนทร์มาเย็บแผลให้ท่าเดียว แถมยังไม่ยอมให้พวกเขาบอกคุณหมอระพีพัฒน์ด้วยว่าตัวเองเป็นอะไร นาวินทร์จึงทำได้แค่ขอร้องให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกลี้ยกล่อมคุณหมอคเชนทร์ให้มาที่นี่ให้เร็วที่สุด นี่ยังถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่นิโคไลไม่ได้เสียเลือดจนเข้าภาวะช็อกไปเสียก่อน แต่ด้วยเหตุนี้สำหรับวรินทร์ คเชนทร์ในตอนนี้ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคด้านความปลอดภัยของบอส และในสายตาของเงาคนนั้น คุณหมอจึงกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดลอดสายตาไปได้
“ผมไม่ถือหรอกครับ เขาคงเป็นห่วงบอสของคุณมาก”
คเชนทร์เอ่ยอย่างเข้าใจ เขาต้องรับมือกับอารมณ์ของญาติผู้ป่วยที่กังวลว่าจะสูญเสียคนสำคัญของตัวเองไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาก็พอจะเห็นอกเห็นใจวรินทร์อยู่บ้างที่มีคนรักงี่เง่าแบบนั้น แต่ถึงกระนั้นท่าทีปรปักษ์อย่างเปิดเผยของคนอายุน้อยกว่าก็ทำให้เขาแอบหงุหงิดเล็กๆไม่ได้
“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
นาวินทร์ตอบยิ้มๆ ถึงแม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าที่พี่ชายของเขาดูจะไม่ชอบหน้าคนหมอมากกว่าเดิมน่าจะเป็นเพราะโดนใช้ให้ไปเอาของว่างมาให้อีกฝ่ายมากกว่า
เพราะขนาดภรรยาคนแรก หรือแม้แต่เอเดรียน ลูกชายแท้ๆของนิโคไลยังไม่เคยได้รับเกียรตินั้นเลยด้วยซ้ำ
คเชนทร์กวาดสายตาผ่านชั้นวางอาหารแช่แข็งที่วางเรียงกันเป็นตับลวกๆเพื่อหาของที่อยากกิน ถึงแม้เขาจะเป็นหมอและต้องบอกคนไข้อยู่เสมอให้ดุแลสุขภาพและทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่เขามักจะยึดอาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มน้ำตาลสูงต่างๆเป็นที่พึ่งทางพลังงานเสมอเนื่องจากความเร็วและสะดวกของพวกมัน
“ไม่ต้องถือตะกร้าให้ผมก็ได้”
เขาหันไปบอกร่างสูงในชุดสูทที่เดินถือตะกร้าตามเขาต้อยๆจนคนมองกันเป็นแถบแล้ว แต่นาวินทร์ยังคงส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”
คเชนทร์ขี้เกียจเถียงกับคนอายุน้อยกว่า จึงหยิบอาหารแช่แข็งไปเวฟโดยไม่คิดจะใส่ลงในตะกร้านั้น แล้วเดินไปหยิบน้ำหวานจากตู้แช่เย็น ก่อนจะนึกขึ้นได้
“วันนี้ให้คนไข้ทานอาหารอ่อนๆจืดๆก่อนนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะให้เชฟของโรงแรมจัดการให้”
นาวินทร์รีบรับคำ หยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมต่อสายตรงหาห้องอาหาร
“แค่ข้าวต้มเปล่ากับไข่ตุ๋น ผัดผัก แล้วก็ผลไม้ คงไม่ต้องให้เชฟดูแลหรอกมั้ง?”
อาหารพื้นๆแค่นี้คนเราจะต้องให้เชฟโรงแรมจัดการให้เลยเหรอ? ครัวก็มีไม่ใช่รึไง?
ถึงจะไม่ใช่เงินของเขา แต่คเชนทร์ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ที่มันจะต้องเสียเปล่าไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“คือ…นอกจากคุณวรินทร์ พวกผมไม่มีใครทำอาหารเป็นเลยครับ แล้วเขาก็คงกลับไปแล้วด้วย”
บอดี้การ์ดหนุ่มสารภาพอายๆ คนเดียวที่ทำกับข้าวได้จริงๆในทีมของพวกเขาคือนิกิต้า แต่ถึงกระนั้นก็เป็นแค่ระดับที่สามารถเจียวไข่ได้ทอดไก่เป็นอะไรแนวๆนี้แค่นั้น
“…ตามที่พวกคุณสะดวกแล้วกัน”
อาจารย์แพทย์ควักกระเป๋าเงินออกมาจ่ายค่าอาหารของตนโดยไม่หันกลับไปหาบอดี้การ์ดหนุ่ม
เมื่อกี้...เขาเกือบจะเสนอตัวทำกับข้าวให้ไอ้เด็กบ้านั่นไปแล้ว
คเชนทร์ทำอาหารเป็นอยู่บ้าง เพียงแต่เขาไม่มีเวลาทำเท่านั้น และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงคิดจะทำกับข้าวให้ไอ้เด็กกปากเสียที่ชอบลูบชอบคลำ แตะนู่นแตะนี่เขาตลอดเวลาทุกครั้งที่มาตรวจด้วย ทั้งๆที่ตัวเขาเองยังกินอาหารแช่แข็งอยู่
เลย
คงเพราะอีกฝ่ายเป็นคนป่วยล่ะมั้ง
“เอ่อ พรุ่งนี้คุณหมอจะให้พวกผมหาเสื้อผ้าให้ หรือจะให้ไปส่งคุณหมอที่ห้องตอนเช้าดีครับ?”
นาวินทร์เพิ่งวางสายจากการจัดการเรื่องอาหารการกินของบอสตัวเองเสร็จหันมาถามเขา คเชนทร์ส่ายหน้า
“ผมมีชุดสำรองในรถ พรุ่งนี้ผมจะตรงไปโรงพยาบาลเลย”
“ถ้าอย่างนั้นให้พวกผมขับไปส่งมั้ยครับ จะได้ไม่ง่วง”
“ผมไม่ไว้ใจฝากชีวิตของตัวเองไว้กับฝีมือการขับรถของคนอื่นหรอกนะ”
“แต่บอสสั่งว่า...”
“ที่ผมมาช่วยดูอาการบอสของพวกคุณครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองเป็นเพราะผมเกรงใจพี่พี่ที่จะต้องรับแรงกดดันจากพวกคุณหรอกนะ” คเชนทร์เอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะฉะนั้นอย่ามาทำเหมือนผมเป็นอีหนูเด็กเก็บของบอสของคุณที่คุณจะต้องมาดูแลปกป้อง ถ้าจะมีใครทำอะไรผม ผมคงตายไปตั้งแต่มาดูอาการบอสของคุณครั้งแรกแล้ว เพราะฉะนั้น กรุณาเลิกยุ่งกับชีวิตของผมมากกว่าที่ทำอยู่ในตอนนี้จะเป็นพระคุณมาก ไม่อย่างนั้นผมรับรองได้ว่าบอสของคุณจะไม่เห็นหน้าผมอีก”
“ครับ ต้องขอโทษจริงๆครับ”นาวินทร์ก้มศีรษะให้เขาอย่างขอโทษขอโพย
คเชนทร์ได้แต่หวังว่าคืนนี้จะจบลงโดยเร็ว เขาอยากจะกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่ควรจะอยู่แต่ในนิยายหรือละครบู๊ที่เหล่าพยาบาลในวอร์ดติดกันงอมแงมเท่านั้นเต็มแก่แล้ว
“ไม่กิน”
บางทีเขาก็อยากจะรู้นักว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นบอสของแก๊งอิทธิพลอำนาจมืดในอิตาลีจริงๆ หรือเป็นเพื่อนเด็กวัยรุ่นที่ติดอยู่ในร่างของผู้ใหญ่วัยสามสิบปีกันแน่
“บอสครับ ทานหน่อยเถอะนะครับจะได้ทานยา”
“ไม่หิว”
บทสนทนาของนาวินทร์กับนิโคไลที่ดังลอดออกมาจากห้องนอนกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วทำให้คเชนทร์นั่งทำงานอยู่กับบอดี้การ์ดคนอื่นของคนป่วยได้แต่ส่ายหน้าด้วยความสงสารกึ่งสมเพชเวทนาบอดี้การ์ดหนุ่ม
“He won’t(เขาไม่ทำหรอก)”
จู่ๆเสียงของนิกิต้าที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวถัดจากเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คเชนทร์เงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์ของตน ไม่มั่นใจว่าชายหนุ่มเจ้าของแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้านั้นกำลังพูดถึงใคร
“He won’t eat his dinner unless his work is done. Let alone all those meds.(เขาจะไม่กินข้าวถ้ายังทำงานไม่เสร็จ ไม่ต้องพูดถึงยาเลย)”
นิกิต้าขยายความเสียงเรียบ แต่คเชนทร์ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเขาอยู่
“You know being Young master’s favorite won’t save you from a bullet. Right?(นายรู้ใช้มั้ยว่าการเป็นคนโปรดของนายน้อยไม่ได้ช่วยให้นายไม่โดนเก็บน่ะ)”
ทาริน บอดี้การ์ดอีกคนที่เขาจำได้เพราะเป็นคนเดียวที่ดูจะอายุพอๆกับเขาเอ่ยขึ้น
“Better me than him.(ฉันตายก็ดีกว่าเขาตาย)”
นิกิต้าว่า คเชนทร์ไม่อยากยุ่งกับนิโคไลมากเกินความจำเป็น แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คนไข้ไม่ทานยาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจไม่ได้
“บอสครับ....”
“บอกว่าไม่กิน”
นิโคไลยังคงง่วนอยู่กับจอคอม อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังพูดว่าอะไร คำว่าไม่กินนั้นเป็นเพียงแค่คำตอบอัติโนมัติที่ออกจากปากเขาขณะที่กำลังจดจ่อกับงานตรงหน้าอยู่ก็เท่านั้น
หึ...คิดว่าทำงานแบบเขาไม่ต้องมีเอกสารงั้นสิ?
หากเหล่าแฟนคลับหนังมาเฟียได้มาเห็นจริงๆว่าวันคืนส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับงานเอกสารและการติดต่อธุรกิจ คงจะฝันสลายกันเป็นแถว
“คุณ…”
“ไม่กิน”
พึ่บ!
หน้าจอคอมของเขาถูกดันให้ปิดลง นิโคไลเงยหน้าขึ้นมองคนที่บังอาจรบกวนเวลาเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นาวินทร์อย่างที่เขาคิด
“จะกินดีๆหรือจะให้ผมสอดท่อลงกระเพาะคุณ?”
คเชนทร์ถาม สีหน้าของอีกฝ่ายไม่มีเค้าของการล้อเล่นสักนิด
“แล้วถ้าผมยอมกินคุณหมอจะยอมป้อนผมมั้ยครับ?”
แต่ผิดคาด แทนที่หมอคเชนทร์จะตอกกลับมาอย่างทุกที ร่างสูงกลับยกถาดขึ้นมาวางบนโต๊ะเล็กบนเตียง แล้วเริ่มต้นตักอาหารขึ้นมา
อุ่ก!
ช้อนอาหารถูกจับยัดเข้าปากของคนป่วยเรื่องมากอย่างไม่ปราณี คเชนทร์ตอบโต้ศีลธรรมในใจที่กำลังด่าเขายังโคตรเหง้าว่าที่เขาทำเพื่อให้อีกฝ่ายกินยาได้ ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายคนไข้แต่อย่างใด
แต่นอกจากคนตรงหน้าจะไม่โกรธเขาแล้ว อีกฝ่ายยังยกยิ้มกวนโอ๊ยให้เขาทันทีที่คุณหมอดึงช้อนออกจากปากของตน
“ชอบลึกๆก็ไม่บอก ผมก็ชอบนะครับ”
ถ้าเขากระทืบคนไข้เพื่อไล่อาหารให้ลงคอเร็วขึ้น นั่นก็ยังถือเป็นการช่วยคนไข้อยู่ใช่มั้ย?
นาวินทร์ได้แต่นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองควรจะเข้าไปห้ามดีมั้ย แต่อย่างน้อยที่สุดผลลัพธ์ที่ออกมาคือการที่บอสของเขายอมทานอาหารจากฝีมือการป้อนอัน...นิ่มนวล(?)ของคุณหมอคเชนทร์ และยอมกินยาตามในที่สุดล่ะนะ
--------
สอบเสร็จล้าววววววววววววว
ตกแน่ๆ555555 แต่ไม่เป็นไร แวะมาอัพก่อนละกัน555555