เมฆาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหนักๆบนร่างกาย
“ฟี้….”
ก้อนหนักๆที่ว่านั้นคือร่างเปลือยเปล่าของมธุวันที่นอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขบนตัวของเขา อุณหภูมิของร่างโปร่งที่แผ่กระจายให้ความอบอุ่นในห้องแอร์เย็นเฉียบทำให้เมฆาอยากจะกอดอีกฝ่ายไว้แล้วนอนต่อแบบนี้ทั้งวัน
แต่รอยเขี้ยวที่กระจายตามหัวไหล่มนและซอกคอขาวทำให้คนที่ยังสะลึมสะลือตื่นเต็มตา บางจุดนั้นถึงขั้นมีรอยเหมือนมีเลือดซิบถึงแม้จะไม่มีเลือดออกมาแล้ว
“อือ…เช้าแล้วเหรอ...”
ร่างที่ถูกประทับรอยแสดงความเป็นเจ้าของแทบทุกซอกทุกมุมของร่างกายปิดปากหาว ขยี้ตาอย่างงัวเงีย มธุวันขยับลุกขึ้นจากร่างของคนรัก แต่ความรู้สึกปวดระบมที่สะโพกทำให้เขาต้องฟุบกลับลงไปที่เดิมแทบจะในทันที
“โอ๊ย..จะ..เจ็บ....”
“หมอก!เป็นอะไรมั้ย?”
ร่างสูงที่เห็นคนรักลูบสะโพกน้ำตาคลอหน่วยเริ่มเกิดอาการตกใจ ขยับพลิกให้อีกฝ่ายลงมานอนบนเตียงอย่างทะนุถนอมแล้วสำรวจความเสียหายที่ตัวเองก่อไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อเห็นคราบของเหลวสีแดงที่ต้นขาขาวปะปนกับของเหลวสีขาวขุ่น รวมถึงรอยเขี้ยวหลายแผลที่ประทับบนต้นขาด้านในซึ่งเมฆาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไว้
“เมฆ…เอ่อ...”
“ขอโทษ”
เมฆาไล้นิ้วไปตามรอยรักสีกุหลาบบนเรียวขาของคนรัก ไล่จุมพิตตามรอยประทับราวกับจะปลอบโยนผิวเนื้อเนียน เสียงทุ้มพร่ำขอโทษร่างโปร่งด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น
“เมฆ…คือว่า....”
“เมฆขอโทษ เมฆไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายหมอก”
เมฆาไล่ประทับริมฝีปากลงบนต้นขาที่บอบช้ำ หวังให้อีกฝ่ายหายโกรธเขาสักนิดก็ยังดี
แต่ทำขนาดนี้ ถึงหมอกจะโมโหจนบอกเลิกกับเขา เมฆาก็ไม่แปลกใจ นั่นเป็นสิ่งที่เขาสมควรโดน
“เมฆ…หมอกอายนะ!”
เสียงร้องของร่างโปร่งทำให้เมฆาที่มัวแต่ใช้ริมฝีปากปลอบประโลมผิวกายของคนรักชะงัก เมฆาเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่มธุวันพูด
ภาพที่เห็นคือดวงหน้าเรียวที่แดงก่ำอย่างอับอาย มือเรียวพยายามเอื้อมปิดช่องทางสีหวานที่แดงช้ำจากความรุนแรงเมื่อคืนก่อนซึ่งอยู่ตรงหน้าเมฆาในระยะที่คมชัดฟูลเอชดี ส่วนขาเรียวก็ถูกแยกพาดอยู่บนไหล่ของเมฆาข้างละขา ทำให้ไม่สามารถหุบเข้ามาเพื่อปิดบังอะไรได้เลย
ถึงเมื่อคืนมธุวันจะโยนความอายทิ้งไประหว่างทางตอนสติเริ่มหลุด แต่ตอนเช้าตรู่ตะวันส่องแสงสติครบถ้วนแบบนี้ เดี๋ยวก็จับขาเขาแยกออก เดี๋ยวก็ลูบนู่นเลียนี่ เขาก็มียางอายเหมือนกันนะ!
“….ขอโทษครับ”
เมฆารีบจัดที่จัดทางคนรักให้อยู่ในสภาพที่สามารถสนทนากันได้โดยไม่รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอีกรอบ ร่างสูงเอาหมอนมาตั้งล้อมไว้ให้ร่างที่เจ็บระบมไปทั้งตัวไม่ต้องทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงมากนัก ขยับสอดหมอนนุ่มใต้บั้นท้ายกลมกลึงที่ดูจะได้รับความเสียหายมากที่สุด ก่อนจะห่มผ้าให้อีกฝ่ายกันหนาวด้วย
“เมฆ…” มธุวันยังคงเรียกคนรักด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ ดวงหน้าแดงระเรื่อเบือนหนีหันไปมองทางอื่นที่ไม่ใช่เมฆา
“ครับ?” เมฆาเลิ่กลั่ก เขาทำให้อีกฝ่ายไม่สบายตัวกว่าเดิมรึเปล่า
“…เก็บอาวุธด้วย”
เมฆาก้มมองอาวุธที่เตรียมประจัณบานทุกเมื่อของตัวเอง ก่อนจะรีบก้มคว้าบ็อกเซอร์บนพื้นขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว
“หมอก...เจ็บมากมั้ย ไปหาหมอมั้ย?”
ร่างสูงค่อยๆนั่งลงข้างคนบนเตียง มธุวันส่ายหน้า ยิ้มให้อีกฝ่ายไม่ต้องรู้สึกเป็นกังวล ถึงแม้จะแอบรู้สึกเจ็บๆ แต่สภาพโดยรวมเขาคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก
“เมฆขอโทษนะครับ”
เมฆาเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างรู้สึกผิด
“เมฆ ถ้าหมอกพูดอะไรกับเมฆ เมฆอย่าโกรธหมอกได้มั้ย?”
มธุวันถามด้วยน้ำเสียงลังเล ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคนรักต้องการจะบอกอะไร แต่เมฆาก็พยักหน้าอย่างแข็งขัน
“ห้ามล้อ ห้ามแกล้ง ห้ามไปพูดให้ใครฟังด้วย”
ร่างโปร่งเสริม เมฆาพยักหน้าอีกครั้งแม้ในหัวจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เขาได้แต่หวังว่าสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดไม่เกี่ยวอะไรกับการจะผลักไสเขาไปหาคนอื่นเหมือนเมื่อคืนอีก
“คือ…”
มธุวันเม้มปาก คนฟังยิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีก เมฆาเงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“คือ…แรงๆ...ก็ดีนะ หมอกชอบ”
คนฟังแทบเสียศูนย์ทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อได้ยินดังนั้น มธุวันนึกอยากจะมุดลงไปใต้ผ้าห่มแล้วไปโผล่ขึ้นมาอีก แต่เขารู้ว่าหากตัวเองไม่พูดอะไร อีกฝ่ายคงจะตีความไปว่าเขาไม่ชอบ
“หมอก...ไม่กลัวเหรอ?”
เมฆาถามอย่างไม่เข้าใจ
“กลัว? กลัวอะไรเหรอ?”
ร่างโปร่งเอียงคออย่างไม่เข้าใจคำถาม
“ทุกครั้งที่เมฆเห็นหมอก เมฆรู้สึก...อยากครอบครอง...อยากขังหมอกไว้คนเดียว ไม่ให้ใครได้เห็น ไม่ให้ใครได้สัมผัส เมฆอยากทิ้งรอยของเมฆไว้ไม่ให้ใครกล้าเข้ามาใกล้หมอก”
เมฆาพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“เมฆกลัว ว่านิสัยแบบนั้นของเมฆจะทำร้ายหมอก จะทำให้หมอกเจ็บโดยที่เมฆไม่รู้ตัว”
“เมฆคิดว่าหมอกไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเมฆเหรอ?”
ร่างโปร่งถามย้อน เมฆาเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย มธุวันถอนหายใจ เอื้อมมือมาจับมือของคนรักไปบีบเล่นด้วยขยับร่างกายส่วนอื่นไม่ได้
“หมอกเชื่อใจเมฆ หมอกเชื่อว่าเมฆจะไม่มีวันทำร้ายหมอก”
“แม่ของเมฆก็เชื่อว่าพ่อจะไม่ทำร้ายแม่ แต่แม่ก็ยังร้องไห้ทุกวัน”
เมฆาเถียงเสียงอ่อน มธุวันที่พอจะรู้เรื่องครอบครัวของอีกฝ่ายอยู่บ้างยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมาจุมพิตลงบนหลังมือปลอบขวัญอย่างอ้อยอิ่ง
“เมฆคือเมฆ พ่อของเมฆก็คือพ่อ คนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำในสิ่งที่ตัวคิดว่าถูก หมอกเชื่อใจเมฆ เพราะฉะนั้นเมฆก็ต้องเชื่อใจตัวเองด้วยนะ”
ร่างสูงหน้า รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยท่ี่ได้คุยกับอีกฝ่าย
“แต่...เมื่อคืนหมอกไม่เจ็บเลยเหรอ?”
เมฆายังคงถามอย่างไม่อยากเชื่อ มธุวันนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยสีหน้าจริงจังถึงแม้แก้มเนียนขึ้นสีเลือดฝาดมากขึ้นก็ตาม
“แสบๆนิดหน่อย คงเพราะเลือดออกน่ะ แต่...เมื่อคืนหมอกรู้สึกดีมากเลยนะ”
เมื่อเห็นท่าทีเขินอายแสนน่ารักนั้น เมฆาก็โถมตัวเข้ากอดคนรักด้วยกลัวหากดึงอีกฝ่ายเข้ามาหาจะทำให้ร่างที่ปวดระบมบอบช้ำมากขึ้น
“อย่าไล่เมฆไปหาคนอื่นอีกนะครับ”
“อือ…ไม่ทำแล้วล่ะ ขอโทษนะ”
มธุวันกอดตอบด้วยแรงที่มีอยู่น้อยนิด รู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ไม่สนใจเขาอย่างที่คิดในตอนแรก
“ถ้าหายดีแล้ว…”เมฆาพึมพำ “เมฆทำต่อได้มั้ย?”
“บ้า” มธุวันตีไหล่คนรักเบาๆ แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากเรียวสื่อความหมายไปอีกทางอย่างชัดเจน “หมอกจะนอนแล้ว”
“งั้นหมอกพักผ่อนนะ เดี๋ยวเมฆไปหาอะไรมาให้กิน...”
เมฆาอาสาเอาอกเอาใจคนรักอย่างกระตือรือร้น แต่แขนเรียวดึงมือของเขาไว้เสียก่อน
“เมฆนอนด้วยกันสิ ไว้ตื่นแล้วค่อยไปก็ได้”
เสียงหวานออดอ้อนอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เมฆากลืนน้ำลายกับดวงหน้าเรียวที่ช้อนตามองเขาด้วยสีหน้าที่ร่างสูงปฎิเสธไม่ลง
“ปวดสะโพกอยู่ไม่ใช่เหรอ...”
“ทะลึ่งอ่ะ หมอกแค่ให้นอนเป็นเพื่อนเฉยๆ”
คนโดนเข้าใจผิดแก้ตัวหน้าแดงก่ำ งอนกลบเกลื่อนความเขินอายพลิกตัวหนีเขานอนไปเสียอย่างนั้น เมฆาอมยิ้มกับพฤติกรรมที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนักของคนรัก สอดกายเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนาแล้วโอบเอวบางของมธุวันไว้จากด้านหลัง ใบหน้าคมซุกไซร้ซอกคอขาวเนียน ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหูของคนรัก
“นอนเป็นเพื่อนไม่ได้ครับ เมฆนอนเป็นแฟนหมอกได้อย่างเดียว”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนในอ้อมกอด แต่จากใบหูที่ขึ้นสีจนเหมือนคนเป็นไข้ เมฆารู้ดีว่าอีกฝ่ายได้ยินเขาอย่างชัดเจน
“ผลตรวจออกมาแล้วครับ”
นาวินทร์ยื่นซองเอกสารให้กับพี่ชายบังเกิดเกล้าที่นั่งอยู่ในเก้าอี้อ่านหนังสือตัวโปรด วันนี้วรินทร์อยู่ในชุดคลุมผ้าไหมลื่นสีม่วงเข้ากับดวงตา ร่างโปร่งมักจะไม่ค่อยใส่สูทหากไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมทางการของตระกูล เพราะยังไงเสีย คนภายนอกแก๊งก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเงาของหัวหน้าตระกูลอัลฟอนโซ่คนปัจจุบันเป็นใคร
นาวินทร์ต้องยกความดีความชอบให้กับบรรพบุรุษของเขาที่ดูจะระแวงเหลือเกินว่าจะมีคนใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของสายเลือดอัลฟอนโซ่และเงาของเขามาเล่นงานคนที่พวกเขาควรปกป้อง การเก็บกฎของตระกูลไว้เป็นความลับ การสับขาหลอก ปล่อยข่าวลือ แม้กระทั่งใช้ตัวตายตัวแทนเพื่อหลอกล่อให้ผู้ประสงค์ร้ายเข้าใจว่าสามารถกำจัดเงาที่เป็นเหมือนด่านสุดท้ายได้แล้วเปลี่ยนไปทุกรุ่นตามความเหมาะสม
อย่างเช่นปีนี้ ที่นอกจากผู้อาวุโสของตระกูลเหลียนสิบกว่าชีวิตและทีมอารักขาส่วนตัวที่นิโคไลไว้ใจ ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่านาวินทร์ที่ดูมีศักยภาพในการดูแลนิโคไลมากกว่าคือเงาของร่างสูง
นั่นหมายความว่าค่าหัวของเขาก็สูงตามไปด้วย
เด็กหนุ่มอยากจะบอกผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูลเหลือเกินว่าไม่ต้องห่วงเรื่องที่พี่ชายของเขาจะเป็นตัวถ่วงความเจริญให้บอส เพราะด้วยนิสัยแบบนิโคไล ต่อให้อีกฝ่ายถูกยิงตายตรงหน้าร่างสูงก็คงจะทำแค่ไหวไหล่ แล้วบอกว่าพี่ชายของเขาอ่อนแอเอง
ส่วนวรินทร์นั้น ฉากหน้าคือนายแบบสุดฮอตที่คั่วกับผู้มีอิทธิพลมากมายทั่วโลก เป็นข่าวอื้อฉาวแต่กลับยืนหยัดอยู่ในวงการได้ด้วยฝีมือและทักษะการเอาตัวรอดที่มีเยอะเป็นทุนเดิม ทั้งที่ทุกคนที่ร่างโปร่งเข้าหา ล้วนแล้วแต่เป็นคำสั่งของเจ้านายที่วรินทร์ไม่อาจปฎิเสธได้
“พี่ริน เอายังไงต่อดีครับ”
ร่างสูงถาม เขารู้สึกเป็นกังวลตั้งแต่รู้ผลการตรวจ แต่นาวินทร์ก็ได้แต่ปลอบตัวเอง ว่าคนที่รู้มีแค่เขากับพี่ชายเท่านั้น นายแบบหนุ่มโยนซองเอกสารลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ในซองนั้น คืออิสระของนาย”
นาวินทร์พยักหน้าเข้าใจ ทันทีที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลกลับมา หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมาตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลกก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
“เพราะฉะนั้น พี่จะให้นายตัดสินใจ”
ประโยคนั้นทำให้คนที่ทำใจยอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเชื่อสิ่งที่หูของตัวเองกำลังได้ยิน
“อะไรนะครับ?”
“ชีวิตพี่เป็นของนิโคไล มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงหรือแก้ไขอะไรไม่ได้”
ร่างโปร่งเอนตัวนอนพิงพนักเก้าอี้ตัวโปรด หลับตาพริ้มอย่างสบายใจ ภาพตรงหน้าทำให้นาวินทร์นึกถึงเจ้าหญิงนิทราในนิทานที่เขาเคยฟังสมัยเด็ก
“แต่ก็มีหน้าที่เป็นพี่ชายของนาย เพราะฉะนั้นพี่จะให้โอกาสนายได้เลือก ว่าจะสวมปลอกคอนั่นรึเปล่า”
โอกาสที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับทำให้นาวินทร์คิดหนักเมื่อหยิบซองเอกสารกลับคืนมา ทีแรกเขาคิดว่าหากเขาต้องกลายเป็นเงาของมิคาเอลจริงๆ อย่างน้อยที่สุดเขายังสามารถโทษโชคชะตาและกฎบ้าๆของตระกูล แต่หากเขารายงานเรื่องนี้ให้กับนิโคไล เขาจะไม่สามารถโทษใครได้นอกจากตัวเอง
“พี่ให้เวลาสามวัน คิดดูดีๆแล้วกัน”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายบ่งบอกชัดว่าบทสนทนานี้จบลงแล้ว นาวินทร์โค้งกายทำความเคารพพี่ชาย ก่อนจะเดินกลับออกไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้งเป็นสองเท่าของขามา
------------
เอาอีกติ่งมาต่อละจุ๊บ

ในเด็กดีเราลงนิยายที่เราคิดว่าจะเอามาลงในเล้าหลังจากคุณเมฆจบไว้ ชื่อ Help ช่วยด้วยครับ ผมไม่อยากอยู่ในร่างมัน
แล้วก็ Rivals รับน้องสองคณะไว้ ถ้ใครไม่กลัวค้างอล้วอยากอ่านก่อนก็หาได้นะคะ จุ๊บๆ แต่ถ้าล็อตนี้จบจะทยอยเอามาลงในเล้าเพื่อความต่อเนื่องเน้อ