Chapter 15: [Now] วอดก้า
มธุวันเคาะประตูห้องของอีกฝ่ายอย่างร้อนรน ในหัวคิดไปต่างๆนานาแล้วว่าคนในห้องมีอันตรายอะไรรึเปล่า คนอย่างเมฆาไม่น่าจะโทรหาเขาเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ร่างโปร่งแทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงเมฆาเดินมาเปิดประตู
สิ่งแรกที่มธุวันเห็นคือแผงอกเปลือยเปล่าที่เขาไม่ได้เห็นมานานเกาะพราวไปด้วยหยดน้ำ บนศีรษะมีผ้าขนหนูผืนเล็กโปะอยู่ มธุวันใช้ลมปราณทั้งหมดในร่างกายหยุดสายตาตัวเองไม่ให้ไล่ลงมาตามหน้าท้องที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามไปจนถึงกางเกงเอวต่ำที่เผยเนินกระดูกรูปตัววี....
มธุวัน!ตั้งสติเดี๋ยวนี้!
“เข้ามาสิ”
เมฆาเปิดประตูอ้าออกกว้างให้เขาเดินตามเข้ามา มธุวันเดินตามรองประธานหนุ่มเข้าไปในห้อง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาในห้องนี้ เมฆาเคยพาเขามาค้างบางคราวตอนที่ทำงานดึกในบริษัท เพราะคอนโดที่นี่ใกล้บริษัทกว่าคอนโดของพวกเขาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัย
“ตกลงเรียกผมมามีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ?”
มธุวันถาม เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง สภาพในห้องดูเปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น โชคดีที่มธุวันไม่เคยเอาอะไรที่เป็นของตัวเองมาใส่ไว้ในนี้ทำให้ตอนที่เก็บของไม่ได้เข้ามา จะมีก็แต่พวกจานชาม ไม่ก็อุปกรณ์ที่เมฆาน่าจะไม่ได้สนใจ
“ทำนี่เสร็จแล้วทำครีมยังไงต่อ”
ร่างสูงชี้ไปที่ตะแกรงซึ่งวางเค้กขนาดหนึ่งปอนด์ที่มีเพียงเนื้อเค้กเปล่าๆไว้ แม้จะบิดๆเบี้ยวแต่ก็ถือว่าสามารถมองผ่านเป็นเค้กก้อนหนึ่งได้ มธุวันอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่านี่คือสาเหตุที่เขาถูกเรียกมาอย่างกระทันหันทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนบอกให้เขาไปพักเองแท้ๆ
“นี่มัน...ด่วนตรงไหนครับ”
“ก็ฉันจะกินตอนนี้”
ชายหนุ่มตอบหน้าตาย หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายดูจริงจังกับคำพูดของตัวเองขนาดนี้ เขาจะนึกว่าเมฆาตั้งใจจะกวนประสาทเขาถึงขั้นลงทุนอบเค้กทั้งที่ปกติไม่เข้าครัวด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น มธุวันก็รู้สึกคิ้วกระตุกกึกและคันยุบยิบที่ฝ่าเท้าอย่างช่วยไม่ได้
“ไป..แต่งตัวก่อนมั้ยครับ?”
มธุวันไม่อยากยอมรับว่าถึงแม้จะเคยลูบเคยจับ เคยอิงแอบแนบชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันมาหลายต่อหลายครั้งจนเขามั่นใจว่าเขาน่าจะรู้ทุกซอกทุกมุมของร่างกายอีกฝ่ายดีกว่าร่างกายตัวเอง แต่ร่างโปร่งก็ยังรู้สึกหวั่นไหวกับแผงอกน่าซบและท่อนแขนแข็งแรงที่ผิวขาวๆของชายหนุ่มทำให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาจากการออกกำลังกายเป็นประจำเป็นลวดลายชัดเจนนั้น
“ไม่ล่ะ เมื่อกี้ก็เปื้อนจนต้องอาบน้ำไปทีแล้ว เสียดายเสื้อ” เจ้าของห้องปฎิเสธด้วยเหตุผลที่เหมือนจะฟังขึ้นอย่างไรชอบกล
“แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าผมทำขนมเป็น?”มธุวันถาม หรี่ตาลงอย่างจับผิด
“ก็เห็นดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนดี”เมฆาตอบหน้าตาย
ไอ้คำพูดเมื่อกี้หมายความว่าไงวะครับ?!
“นี่คุณ...”
“สร้อยสวยดีนะ”
เมฆาเอ่ยขัดคนที่กำลังขึ้นเสียง มือเรียวยกขึ้นตะครุบสร้อยคอของตัวเองอย่างตกใจ มธุวันรีบร้อนมาที่นี่มากถึงขั้นลืมไปว่าต้องถอดสร้อยออก แต่ดูจากปฎิกิริยาของเมฆา ดูเหมือนเขาจะโชคดีที่อีกฝ่ายดูจะจำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้
ทั้งที่ควรจะรู้สึกโล่งใจ แต่มธุวันก็อดรู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็กๆทิ่มแทงหัวใจไม่ได้
“มีอะไรที่ทำฟรอสติ้งได้ในตู้บ้างครับ”
มธุวันเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นความทรงจำของอีกฝ่ายให้มากที่สุด ร่างโปร่งถือวิสาสะรื้อค้นตู้และตู้เย็นเพื่อหาวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้
“ฉันเอาผ้าไปตากนะ”
เมฆาเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ชูผ้าขนหนูผืนเล็กที่ตนใช้เช็ดผมเมื่อให้อีกฝ่ายดู มธุวันพยักหน้าโดยไม่หันกลับมามอง ก้มๆเงยๆหาของในตู้ใต้ซิงค์น้ำอย่างขะมักเขม้น เมฆายังคงยืนแช่อยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่ง ปฎิเสธไม่ได้ว่าวิวของส่วนโค้งเว้าในกางเกงขายาวเผยสัดส่วนที่ส่ายไปมายามหาของนั้นเป็นทิวทัศน์ที่เจริญหูเจริญตาจริงๆ
“ถ้ามองจนพอใจแล้วก็เอาผ้าไปตากได้แล้วครับ”
มธุวันเอ่ยขึ้นทั้งที่ศีรษะยังมุดหาหม้ออยู่ในตู้ คนลามกที่รู้สึกตัวรีบเดินออกไปจากตรงนั้น ส่ายหัวกับความหื่มกามไม่รู้เวลาของตัวเอง
สิ่งที่มธุวันไม่รู้ คือความจริงแล้วอาการปวดหัวโจมตีเมฆาจนหน้ามืดทันทีที่เห็นสร้อยเส้นนั้น แต่ลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เมฆาเริ่มเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ความเจ็บปวดนั้นไหลซึมผ่านร่างไปพร้อมๆกับความทรงจำที่ไหลทะลักเข้ามาในหัว
‘สวยมากเลยเมฆ...’
‘หมอกจะได้มีเมฆอยู่กับหมอกไปทุกที่ไง’
ร่างโปร่งยิ้มเขินอายกับคำพูดของคนรัก
‘อย่างเวลาหมอกไปเข้าห้องน้ำ....’
‘เมฆ! หมดมู้ดเลยอ่ะ’
เสียงหัวเราะหวานใสของร่างโปร่งยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหัวแม้จะผ่านมาหลายนาทีแล้ว ชายหนุ่มวักน้ำเย็นใส่หน้าอีกทีเพื่อเรียกสติกลับคืนมา
เขาไม่เข้าใจ...
ทั้งที่จากความทรงจำของเขา มธุวันก็ดูจะรักเขามากแท้ๆ และจากความรู้สึกพองโตในหัวใจทุกครั้งที่ความทรงจำใหม่ๆผุด
ขึ้นมาในสมอง เมฆาก็รู้ว่าเขารักมธุวันไม่แพ้กัน
แล้วทำไม...
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่?
“จะทำบัตเตอร์ครีมธรรมดาใช่มั้ย? นี่คุณ ฟังผมอยู่มั้ยเนี่ย?”
มธุวันถามคนที่เรียกเขามาช่วยแท้ๆ แต่เอาเข้าจริงก็เปิดหาสูตรในอินเทอร์เน็ตแล้วทำตามเสียอย่างนั้น เมฆาพยักหน้าหงึกหงัก เทส่วนผสมอะไรไม่รู้เยอะแยะลงไปแล้วคนให้เข้ากัน สรุปแล้วก็ให้เขามาดูเฉยๆไม่ใช่รึไงกัน
“แล้วนี่...จู่ๆทำไมถึงรีบร้อนอยากทำเค้กขึ้นมาล่ะครับ?”มธุวันอดถามไม่ได้
“วันเกิดซัน ฉันสัญญาไว้ว่าถ้ามันสิบแปดเมื่อไหร่จะอบเค้กให้”
เมฆาตอบอ้อมแอ้ม สัญญาปัญญาอ่อนที่เขาเคยเออออตามสมัยยังเป็นเด็ก ไม่คิดว่าน้องชายคนเล็กจะจำได้
“แต่นั่นอีกตั้งสามเดือนนี่ครับ?”
คนฟังแย้งขึ้นก่อนจะห้ามตัวเองได้ทัน เมฆาเลิกคิ้ว
“พ่อฉันบอกนายอีกแล้วล่ะสิ?”
“ครับ”
มธุวันตอบหน้านิ่ง ถึงข้อแก้ตัวนั้นจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่การบอกความจริงก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เขามี
“ฉันอยากทำให้มันออกมาดี เลยจะฝึกแต่เนิ่นๆ” เมฆาว่า โปะครีมลงบนเค้กที่วางอยู่บนแท่นหมุนแล้วเริ่มปาดครีมอย่างทุกลักทุเล มธุวันที่ทนไม่ไหวเอื้อมมือมาจับแผ่นเหล็กที่ใช้ปาดเค้กส่วนที่อยู่เหนือมือของเมฆาเพื่อให้มันไม่เขยื้อน ส่วนมืออีกข้างก็หมุนแท่นเค้กอย่างสม่ำเสมอ
แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องอยู่ใกล้กับเมฆาเกินความสะดวกใจเช่นกัน
“เห็นมั้ย..แม่บ้านแม่เรือน ฉันพูดผิดที่ไหน?”
เมฆาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“อย่าเอาความไร้ฝีมือของคุณมาเป็นตัวตัดสินความสามารถของคนอื่นครับ”
มธุวันตอกกลับเสียงเรียบ แต่ผิดคาดเมื่อเมฆาไม่ได้เถียงอะไรกลับ เพียงแค่ศึกษาการทำงานของเขาเงียบๆจนกระทั่งแต่งหน้าเค้กเสร็จ
“อ่ะ”
เมฆาตัดเค้กออกมาชิ้นนึง แล้วใช่ส้อมตักเอาเค้กสีขาวหน้าตาพอดูได้นั้นยื่นให้มธุวัน ร่างโปร่งหรี่ตามองเจ้าขนมสีขาวด้วยสายตาไม่ไว้ใจ กลิ่นอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยในนั้นทำให้เขายิ่งรู้สึกระแวงมากขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไรครับ”
“ช่วยฉันชิมหน่อยน่า” เมฆาเอ่ยเสียงติดรำคาญ “ให้ฉันชิมคนเดียวฉันก็ไม่รู้หรอกว่าโอเคมั้ย”
“….”
เอาเถอะ เมฆาคงไม่ได้เกลียดเขาถึงขั้นใส่ยาเบื่อหนูเข้าไปหรอก
มธุวันได้แต่หวังว่าอย่างนั้น ร่างโปร่งรับส้อมคันเล็กมาจากอีกฝ่ายแล้วเอาเข้าปาก รสชาติขมปร่าบาดคอและกลิ่นตลบอบอวลในปากนั้นทำให้มธุวันสำลักออกมาจนคนทำต้องเข้ามาช่วยลูบหลังให้
“คุณ..แค่ก...คุณใส่อะไรเข้าไปในนั้นน่ะ”
มธุวันรู้สึกแสบจมูกไปหมด เมฆาฉีกยิ้มยิงฟันที่เรียงตัวสวยอวดฟันเขี้ยวที่แหลมผิดมนุษย์ของตน ยกขวดแก้วใสขนาดใหญ่ที่พร่องลงไปเกินครึ่งขึ้นให้ร่างโปร่งเห็นก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดด้วยสำเนียงรัสเซียหนักๆ
“водка”
วอดก้า...
ไอ้บ้านี่ใส่วอดก้าครึ่งขวดเข้าไปในเค้กวันเกิดเด็กอายุสิบแปดเนี่ยนะ?!
“นี่คุณจะบ้าเหรอ?”
มธุวันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ลิ้นไม่ถึงก็อย่าโวยวาย”
ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ตักเค้กเข้าปากอย่างไม่สะทกสะท้าน ถึงเมฆาจะชื่นชอบเหล้าแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับไอ้ขนมหวานที่ไม่ควรเรียกตัวเองว่าขนมหวานก้อนนี้ ของแบบนี้เอาไปให้ใครกินมันก็ไม่อร่อยทั้งนั้นแหละ!
“ผมจะรอดูข่าวหน้าหนึ่งคนท้องเสียยกงานวันเกิด”
ร่างโปร่งเหน็บ รสชาติขมปร่าของเหล้าและความเลี่ยนของครีมยังคงติดค้างอยู่บนลิ้นไม่จางหาย
“เอ้า กินเข้าไป ล้างปาก”
เมฆายื่นแก้วน้ำให้ มธุวันรีบรับแก้วที่บรรจุของเหลวสีใสมากระดกเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะรีบวางแก้วลงบนเคาท์เตอร์เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นที่ตลบอบอวลกว่าสิ่งที่ใส่อยู่ในเค้กหลายเท่าและรสชาติที่ปาดลำคอ แต่ร่างโปร่งยังคงอมวอดก้าดีกรีแรงไว้ในปากโดยไม่รู้จะกลืนหรือจะบ้วนทิ้งดี
“ถ้าคออ่อนนักจะบ้วนทิ้งก็ได้นะ”
เมฆายกแก้วที่มธุวันดื่มพร่องไปเพียงหนึ่งในสี่ ยกขึ้นดื่มโดยไม่รังเกียจว่านั่นเป็นแก้วของเลขาคนเก่งที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งผิดวิสัยคนมีที่โลกส่วนตัวสูงอย่างชายหนุ่มเป็นอย่างมาก
แต่มธุวันไม่มีเวลามาสงสัยอีกฝ่าย ลำพังแค่จะทำอย่างไรกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปากที่รสชาติแรงขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลาที่อมไว้ก็ลำบากพออยู่แล้ว
แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้มธุวันกลืนวอดก้าที่บาดคอแสบลงไปถึงกระเพาะคือแววตาท้าทายในดวงตาสีควันบุหรี่นั้น
“เล่นบ้าอะไรของคุณ...”
“สบถอีกแล้ว ไม่น่ารักเลย”
เมฆาหยอกเย้าคนที่หน้าแดงเล็กน้อยจากฤทธิ์เหล้า ถึงแม้มธุวันจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่คนคอแข็ง แต่คนขาวๆอย่างเขาแค่ดื่มนิดดื่มหน่อยก็แดงไปจนถึงใบหูแล้ว
“หลีก”
ร่างโปร่งใช้ร่างดันอีกฝ่ายให้พ้นทางโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะเป็นเจ้าของห้อง เขายังไม่ได้ทานอะไรมา ทำให้แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อครู่ร้อนวูบวาบในท้องมากกว่าที่ควรจะเป็น มธุวันเทน้ำเย็นใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มหลายอึก หวังให้ช่วยบรรเทาฤทธิ์ของวอดก้าส่งตรงจากรัสเซียที่เขารู้ว่าเป็นของโปรดของอดีตคนรัก
“ฉันก็แค่อยากให้นายผ่อนคลายบ้าง...ทำตัวแบบนี้คนที่บริษัทจะไม่อยากเข้าหาเอานะ”
คนที่มีทักษะในการเข้าสังคมติดลบขยับเข้ามาใกล้มธุวัน ร่างโปร่งอยากจะบอกเมฆาเหลือเกินว่าชายหนุ่มน่าจะเป็นคนเดียวบนโลกที่ไม่มีสิทธิ์สั่งสอนเขาเรื่องนี้
“ดูจากระยะห่างของคุณกับผมตอนนี้ ผมว่ามันน่าจะตรงกันข้ามมากกว่านะ”
มธุวันเลิกคิ้ว ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านกับลมหายใจกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆที่รินรดบนใบหน้า ทั้งที่ภายในนั้นสั่นไปจนถึงขั้วหัวใจ
“บังเอิญฉันไม่ค่อยชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น”
ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มมุมปาก สัญญาณอันตรายแทบทุกดวงในร่างกายของเขากระพริบไฟส่งเสียงหวอเตือนลั่น
“ผมจะกลับแล้ว”
มะุวันผลักร่างสูงออกด้วยแรงที่ไม่เบานัก เดินดุ่มๆผ่านอีกฝ่ายไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของลูกชายคนโตของเจ้านายที่ดังตามมา
“เดี๋ยวสิ...โอ๊ย!”
เสียงร้องของเมฆาทำให้ฝีเท้าของร่างโปร่งหยุดชะงัก มธุวนหันกลับไปพบเมฆาทรุดตัวลงบนพื้น มือทั้งสองข้างกุมศีรษะของตัวเองไว้อย่างทรมาน
“คุณเมฆา! ไหวมั้ยครับ”
มธุวันรีบเข้าไปประคองร่างสูงที่ดูจะพอมีสติอยู่บ้างไปที่ห้องนอน ถึงแม้ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเคยชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้ร แต่มธุวันก็คิดว่าเขาพอจะรู้ว่าต้องทำอะไร ร่างโปร่งว่างเจ้าของห้องลงบนเตียง เมฆาหมดสติแทบจะในทันทีซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับเลขาหนุ่มเป็นอย่างมาก
“คุณเมฆา...คุณเมฆาครับ....เมฆ....”
ร่างโปร่งเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองมธุวันจึงคว้าโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของหมอคเชนทร์ทันที แต่มือของคนที่เขาคิดว่าสลบไปกลับเอื้อมมาดึงเขาไว้อย่างอ่อนแรง
“ไม่ต้อง..ตามหมอ...” เสียงทุ้มพึมพำ “เมื่อกี้ฉันคงวูบไป”
“ไหวมั้ยครับ ผมว่าไปโรงพยาบาลหน่อยดีกว่านะ” มธุวันว่าอย่างเป็นห่วง ถึงแม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้แสดงมันออกมาผ่านทางน้ำเสียง แต่เมฆายังคงส่ายหน้าน้อยๆ
“แค่…อยู่เป็นเพื่อนฉันซักพัก”
“แต่...”
“ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มตัดบท ขยับพลิกตัวหนีมธุวันที่ยืนอยู่ปลายเตียง มาอีหรอบนี้ร่างโปร่งจะทำอะไรได้ จะให้เขาทิ้งคนป่วยกลับไปเฉยๆ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่เมฆาเขาก็ทำไม่ลง
“ขออนุญาตนะครับ”
ร่างโปร่งลากเก้าอี้เขียนหนังสือมานั่งข้างเตียงของคนที่ยังคงนอนหันหลังให้เขา ใช้โทรศัพท์เช็คอีเมลล์ทำงานเอกสารที่คั่งค้างของตนเพื่อฆ่าเวลา เพราะเขาเห็นว่าเมฆาดูไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงแล้วหรอกนะถึงได้ยอม แต่ถ้าอีกฝ่ายปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเหมือนเมื่อครู่อีก เขาโทรหาคุณหมอคเชนทร์แน่
---------------
ความขยันลงนี้ยิ่งใหญ่นัก
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์น้า

มาเติมน้ำตาลให้ทุกคนแบบงงๆ
