Chapter 13: [Now] ผู้ชายเฮงซวย
ว่ากันว่าบางครั้ง โอกาสจะมาหาคนที่ไม่เสาะหามันเอง
“ฉันบอกให้เลื่อนนัดลูกค้าไปไง!”
“ท่านประธานพูดเหมือนมันทำได้ง่ายๆอย่างนั้นแหละครับ!”
“ถ้าฉันจ้างเลขามาทำงานง่ายๆฉันจ้างเด็กประถมมาทำก็ได้!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องของบิดาและเลขาคนสนิทที่ดังลั่นออกมาจากห้องที่ควรจะเก็บเสียงได้ระดับหนึ่งทำให้เมฆาที่กำลังจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองและพนักงานที่อยู่แถวนั้นเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ ตอนนี้คนที่อยู่ใกล้ชิดติดขอบสถานการณ์ที่สุดคือพนักงานแผนกการตลาดที่ชื่อเขารู้สึกว่าจะชื่อภรัณยูที่ยืนกอดแฟ้มหน้าซีดอยู่หน้าห้องทำงานของธีรเชษฐ์อย่างละล้าละลังไม่รู้ว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่
“เอาแล้วๆ ผัวเมียทะเลาะกันแล้ว”
เมฆาตวัดสายตาเย็นเยียบมองพนักงานปากมากที่ซุบซิบนินทาเจ้านายอย่างไม่ได้สนใจมองเลยว่าลูกชายของเขายืนอยู่ไม่ไกล หญิงสาวทั้งสองสะดุ้งแล้วเดินหนีไป ส่วนเมฆาก็หันกลับมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้าต่อ
มธุวันเปิดประตูออกมาด้วยแรงที่ไม่เบานัก เรียกได้ว่าหากประตูเปิดออกมาทางภรัณยู หน้าของร่างโปร่งอาจจะยุบไปครึงนึงแล้วก็ได้
เมฆาไม่รู้ว่ามธุวันคุยอะไรกับภรัณยูก่อนจะจ้ำอ้าวไปที่ลิฟต์โดยมีบิดาของเขาเดินตามออกมาพร้อมเอกสารกองโต ธีรเชษฐ์พูดอะไรบางอย่างกับภรัณยูพร้อมยัดเยียดแฟ้มเอกสารปึกใหญ่นั้นให้กับร่างโปร่งอย่างเร่งรีบ กว่าจะสั่งงานเสร็จมธุวันก็ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว
เมฆาไม่มั่นใจว่าทำไม แต่เขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ไหน ร่างสูงไม่รอให้ตัวเองนึกสงสัยสัญชาตญาณเหมือนที่ผ่านมา รีบไปที่ลิฟต์อีกตัวเพื่อไปดักหน้ารอมธุวันในที่ที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไป
อะไรกันนักกันหนา! เขาก็เป็นคนเหมือนกันนะ! บอกให้เลื่อนลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่มาจากต่างปนะเทศภายในสิบนาที จะบ้ารึไง!!!
แม้ภายนอกมธุวันจะดูเย็นและสงบลงจากที่ตะโกนแข่งกับเจ้านายที่แม้จะเคยทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ แต่จริงๆภายในร่างโปร่งยังคงขุ่นเคืองที่จู่ๆก็โดนสั่งให้ทำอะไรไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่ปกติไม่ว่าธีรเชษฐ์จะเหลวไหลแค่ไหนก็ไม่เคยทำให้งานสำคัญต้องเสียแท้ๆ
คนที่ร่างสูงจะต้องรีบไปหาจะเป็นนางแบบอกสะบึมระดับไหนกันนะ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เห็นแค่คุณวรินทร์ที่มาบ่อยๆแท้ แถมยังรู้ดีว่าควรมาตอนไหนไม่ให้กวนงานของประธานหนุ่ม มธุวันยังนึกดีใจอยู่เลยว่างานของตัวเองคงจะง่ายขึ้นเยอะหากธีรเชษฐ์คิดจะลงหลักปักฐานกับนายแบบหนุ่มจริง
แต่จริงๆมธุวันก็มีส่วนผิดอยู่บ้างที่ไประเบิดใส่ตอนที่ธีรเชษฐ์กำลังเดือด แต่เขาเองก็สะสมความเครียดและความกังวลจากทั้งเรื่องงานและเรื่องของเมฆาไว้มากพออยู่แล้ว...
ไม่! ยังไงคุณเชษฐ์ก็ผิด!
ร่างโปร่งนั่งลงที่โต๊ะประจำมุมในสุดของร้านกาแฟไอกรุ่น ร้านเล็กๆในซอยข้างบริษัทซึ่งเป็นสถานที่ที่มธุวันชอบมาสิงสถิตเวลามารอเมฆาที่ต้องเข้ามาดูงานในบริษัท ร้านนี้ค่อนข้างอยู่ลึกเข้ามาในซอยที่ค่อนข้างแคบ ทำให้ไม่ค่อยมีคนมานั่ง ส่วนใหญ่พนักงานที่รู้จักร้านจะมาสั่งน้ำกับขนมแล้วหิ้วกลับไปทานที่ออฟฟิศ ซึ่งเหมาะกับเวลาที่เขาอยากอยู่เงียบๆแบบนี้
เสียงถาดพลาสติกวางกระทบกับโต๊ะเรียกให้คนที่เพิ่งนั่งลงเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ลมหายใจของร่างโปร่งกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นน้ำเขียวโซดากับบลูเบอร์รี่ชีสเค้กหน้าตาน่าทานวางอยู่ในถาดนั้น
“ทำไม? ไม่ชอบเหรอ?”
คนที่ถือวิสาสะซื้อขนมมาให้เลขาของบิดาที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่คนเดียวถาม เมฆาลงมาด้วยลิฟต์ขนของทางด้านหลังและออกมาทางประตูหลังของบริษัท ซึ่งมีทางเชื่อมเล็กๆที่จะสามารถทำให้เขามาถึงร้านนี้ได้เร็วกว่าทางปกติ ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่ารู้ได้อย่างไร แต่เมฆาก็ดีใจที่เขาเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง
“ให้ผม?”
มธุวันถามเสียงเคลือบแคงใจ หรี่ตาลงอย่างจับผิดกับความใจดีผิดปกติของคนตรงหน้า
“กินของหวานซะบ้างจะได้หายดุ”
เมฆาถือวิสาสะนั่งลงโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต มธุวันตั้งท่าจะท้วง แต่เปลี่ยนใจด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าเถียงมีแต่จะทำให้ชายหนุ่มดื้อจะอยู่ต่อมากขึ้น
“ตกลงชอบมั้ย?”
เมฆาเลื่อนถาดขนมให้ร่างโปร่งในชุดสูท มธุวันเม้มปาก ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนี้เขารู้สึกไม่อยากปฎิเสธอีกฝ่ายเท่าไหร่
“ก็…ทานได้ครับ ของฟรี”
เมฆาลอบยิ้มกับคำตอบงึมงำผิดวิสัยคนพูดจาฉะฉานนั้น ร่างสูงไม่มีความรู้สึกผิดสักนิดที่เลือกฉวยโอกาสในเวลาที่มธุวันมีเรื่องเครียดเรื่องอื่นในหัว
“พ่อฉันเป็นคนใจร้อน”
เมฆก็ใจร้อนพอกันนั่นแหละ
มธุวันเผลอคิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบไล่ความคิดนั้นออกจากหัวก่อนจะได้แสดงสีหน้าอะไร
“ผมชินแล้วครับ”
“เหรอ? จากที่เห็นเมื่อกี้ไม่ใช่อย่างที่พูดนี่?”
ร่างสูงเอ่ยดักคอ ประโยคนั้นทำให้มธุวันไม่รู้จะพูดอะไรตอบโต้ ก้มลงดูดน้ำเขียวโซดาอึกใหญ่เพื่อตัดบทสนทนา
“นี่ มาทำกับฉันก่อนมั้ย?”
แค่ก!
มธุวันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่น้ำหวานไม่พุ่งออกมาจากรูจมูก
“ครับ?”
“งานน่ะ ย้ายมาห้องฉันมั้ย กลับไปก็ทะเลาะกันอีก”
เมฆาขยายความ มธุวันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการได้”
“ฉันไม่ได้บอกให้นายมาเป็นเลขา แค่ย้ายมาห้องทำงานฉัน” เมฆาว่า “ถ้าบรรยากาศในการทำงานไม่ดี คนรอบข้างก็อึดอัด จับนายแยกกับพ่อซักสองสามวัน คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาพลอยเสียงานเสียการเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
น้ำเสียงของเมฆาฟังดูเหมือนคนที่ตัดสินใจแล้ว และสีหน้าแบบนั้นไม่เคยเป็นเรื่องดีสำหรับมธุวันตั้งแต่สมัยที่คบกัน เขาไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรสถานการณ์ของเขาในตอนนี้
“นี่คุณคงไม่ได้ให้คนย้ายของจากโต๊ะผมไปแล้วหรอกนะครับ?”
“หึ แสนรู้”
คำชมที่ฟังดูไม่เหมือนคำชมซักนิดไม่ได้ทำให้มธุวันรู้สึกดีที่ทายถูก ร่างโปร่งเอนตัวพิงกับพนักที่นั่งอย่างอ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะต่อกรกับเรื่องนี้ในตอนนี้
หากมองในแง่ดี เขาจะได้สังเกตการณ์ด้วยว่าเมฆาได้ความทรงจำอะไรกลับมาอย่างที่เขากลัวหรือไม่
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรจะรู้สึกอย่างไรที่อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักกัน
‘ลืมไปซะ’
ถ้าเขาสามารถเดินออกไปถนนใหญ่ให้รถบรรทุกชน แล้วสามารถลืมทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเขากับเมฆาได้ มธุวันคงกระโจนตััดหน้ารถไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว
มือเรียวยกขึ้นมาบริเวณลำคออย่างลืมตัว ก่อนจะแสร้งทำเป็นจัดเนคไทค์เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว
อันตราย...
“วันนี้ฉันให้นายกลับไปพักผ่อนหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยมาทำงาน”
เมฆาเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง มธุวันขมวดคิ้ว
“แต่ว่า...”
“ฉันไม่ได้ขอ”
เมฆาเอ่ยเสียงเฉียบขาด ดวงตาสีควันบุหรี่ตวัดจ้องเขาอย่างไม่ยอมรับคำปฎิเสธ มธุวันที่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม เมื่อเห็นท่าทียอมแพ้ของอีกฝ่าย เมฆาจึงมีท่าทีอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ร่างสูงเดินออกจากร้านไปทั้งอย่างนั้น มธุวันมองตามชายหนุ่มที่บทจะมาก็มาบทจะไปก็ไปอย่างเพลียจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างโปร่งหยิบโทรศัพของตนขึ้นมา แล้วก็โทรออกหาที่พึ่งทางจิตใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาในเวลาแบบนี้
“ดิน? ไม่อะไร พี่แค่คิดถึงน่ะ สะดวกคุยมั้ย?”
แดนดิน น้องชายของเขาเรียนจบปริญญาตรีคณะมนุษยศาสตร์สาขาจิตวิทยาและครุศาสตร์ควบสองใบจากมหาวิทยาลัยใกล้บ้านของเขาที่ต่างจังหวัด ปัจจุบันร่างสูงย้ายมาอยู่ที่ห้องเช่าใกล้ๆโรงเรียนที่ตัวเองสอนอยู่ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกับบริษัทของเขา มธุวันจึงมักจะรู้สึกผิดเสมอที่ไม่ค่อยได้เจอกับน้องชายบ่อยเท่าที่ควร ปกติแดนดินมักจะไม่ถือสาเพราะตัวเองก็มีงานรัดตัวเช่นกัน แต่วันนี้หลังจากได้ยินเสียงของเขา แดนดินก็ยืนยันเสียงหนักแน่นว่าให้เขาออกมาทานข้าวด้วย
กว่าจะรู้ตัวมธุวันก็มาอยู่ที่หน้ากระจกในชุดไปรเวทกางเกงยีนส์สบายๆที่เขาไม่ได้ใส่มานาน ร่างโปร่งชอบเสื้อคอกว้าง ดังนั้นส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เสื้อเชิ้ตคอปกเขาก็จะมีแค่เสื้อคอกว้างทั้งนั้น โดยเฉพาะเสื้อสีเฉดเดียวกับดวงตาของเขาตัวนี้ที่เป็นเสื้อตัวโปรดของเขาซึ่งเมฆาซื้อให้สมัยยังคบกัน
ที่คอของเขามีสร้อยทองคำขาวเส้นเล็กละเอียดที่มีจี้เป็นเงินแท้รูปก้อนเมฆประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กหนึ่งเม็ดที่ปลายก้อนเมฆนั้น เช่นเดียวกับเสื้อของเขา เมฆาให้เครื่องประดับชิ้นนี้เป็นของขวัญกับเขา ซึ่งมธุวันไม่เคยถอดห่างกายนอกจากเวลาอาบน้ำ แต่เขารู้ว่าน้อยคนนักจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของสร้อยเส้นนี้ เพราะร่างโปร่งมักจะใส่มันไว้ไต้เสื้อทำงาน แนบสร้อยเย็นเฉียบติดกับผิวกายของเขาเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่ามันยังไม่หายไปไหน
มธุวันรู้ว่าการเก็บของพวกนี้ไว้ยิ่งทำให้เขาปล่อยมือจากอดีตได้ยากขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ มธุวันก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยากจะปล่อยมือจากมันจริงๆรึเปล่า
มธุวันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเมฆคนเก่าตายไปแล้ว และหากเขายอมปล่อยมือจากความทรงจำนั้นจริงๆ ตัวตนของเมฆคนเก่าที่เขาเคยรู้จัก จะหายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์แบบ
ทั้งที่อีกฝ่ายบอกให้ลืมแท้ๆ
ก๊อกๆ
“พี่หมอก”
เสียงของน้องชายต่างสายเลือดดังขึ้นจากหน้าประตู มธุวันผละจากหน้ากระจกไปเปิดประตูให้แดนดิน ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มปักตราสัญลักษณ์โรงเรียนที่ตนทำงานอยู่บนกระเป๋าอกเสื้อ ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน
“อ้าว วันนี้ไม่ได้หยุดหรอกเหรอ?”
วันนี้เป็นวันหยุดของโรงเรียน เขาจึงประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นน้องชายในสภาพนี้ แดนดินทำงานนี้ควบคู่ไปกับการเรียนต่อปริญญาโทเพื่อส่งเสียตัวเองและมารดา ทั้งที่มธุวันยืนกรานจะจ่ายให้ทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าอยากทำงานนี้เพราะชอบการเป็นครู คนเป็นพี่จึงได้แต่ปล่อยให้น้องชายทำสิ่งที่ตนชอบต่อไป
“พอดีผมมีนัดกับแม่ของเด็กในชั้นก่อนหน้านี้น่ะครับ”
ร่างสูงตอบ จังหวะเดียวกับที่ประตูของห้องข้างๆเปิดออก เพื่อนข้างห้องที่มธุวันไม่ค่อยเห็นอยู่ติดห้องเดินออกมา ใบหน้าของนาวินทร์ก้มติดกับโทรศัพท์จนไม่ได้มองทาง จึงชนเข้ากับแดนดินที่ยืนอยู่เต็มๆ ตามสัญชาติญาณ แดนดินรีบเอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ล้มลงไป ส่วนคนที่ชนอีกฝ่ายจนเซไปด้านหลังก็รีบคว้าข้อมือของแดนดินไว้
"เป็นอะไรมั้ยครับ?"
"โอ๊ะ ขอโทษครับ ผมมัวแต่คุยงาน เลยไม่ได้ดูทาง"
นาวินทร์รีบขอโทษขอโพย แต่กลับไม่ยอมขยับออกห่างจากร่างสูงเสียที
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยืนขวางทางคุณเอง"แดนดินตอบอย่างไม่ถือสา
"ผมนาวินทร์ครับ"
"แดนดินครับ ยินดีที่ได้รู้จัก"
"อะแฮ่ม!"
มธุวันกระแอมกระไอเมื่อรู้สึกว่าสองคนนี้ชักจะค้างอยู่ในท่านั้นนานเกินความจำเป็น นาวินทร์ผละจากแดนดินอย่างรู้งาน ทักทายเพื่อนเก่าที่ถึงแม้จะอยู่ห้องติดกันแต่ก็ไม่ได้เจอกันสักเท่าไหร่
"โย่ว ว่าไงหมอก โทษทีๆ เคลิ้มไปหน่อย แฟนหล่อนะเนี่ย"
ร่างสูงแซวเพื่อน มธุวันกอดอกกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายกับคำทักที่เขาได้ยินบ่อยๆเวลาอยู่กับแดนดิน
"เอ่อ ผมเป็นน้องชายน่ะครับ"
แดนดินแก้ข่าวแทนพี่ชาย นาวินทร์มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร มธุวันคิดว่าอีกฝ่ายคงนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นเด็ก
กำพร้าจึงไม่กล้าเอ่ยปมนั้นขึ้นมา
"โห หมอกมีน้องชายหล่อๆแบบนี้ก็ไม่บอกเพื่อนฝูงนะ"
นาวินทร์กอดคอร่างโปร่งอย่างสนิทสนม
"ก็กลัวเสือโหยแถวนี้มาขย้ำลงท้องไปตอนเราเผลอน่ะสิ"
มธุวันหลอกด่า ความเจ้าชู้ชอบเล่นหูเล่นตาของนาวินทร์ไม่ใช่เรื่องที่ชายหนุ่มปิดบัง จำได้ว่าบางครั้งที่มธุวันไปเที่ยวกับร่างสูงและเมฆา เขาเคยเห็นอีกฝ่ายนัวเนียกับผู้ชายและผู้หญิงอีกคนพร้อมๆกันในผับด้วยซ้ำ ถึงแม้แสงจะสลัวแนั่นก็ยังทำให้มธุวันรู้สึกขนลุกไม่หาย
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนที่ดี แต่เขาก็ไม่อยากให้น้องชายของเขาเสียคนเพราะคนอย่างนาวินทร์หรอกนะ
"โธ่หมอก อย่าพูดตัดเครดิตกันซึ่งๆหน้าแบบนี้สิ"
นาวินทร์โอดครวญ แต่ยังไม่วายขยิบตาข้างหนึ่งให้ร่างสูงในชุดสูท แดนดินที่เผลอไล่สายตามองตามรอยสักเต็มแขนของร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกจับได้
"แต่อยากเห็นทุกลายก็มาหาพี่ที่ห้องได้ตลอดนะ พี่จะถอดให้ดูชัดๆเลย"
"มะ...ไม่เป็นไรครับ"
แดนดินหน้าแดง ความจริงแล้วร่างสูงเป็นคนขี้อายกว่าพี่ชายเสียอีก มธุวันถอนหายใจแล้วหันไปหาคนที่ยังกล้าเล่นหูเล่นตากับน้องเขาหลังจากโดนเตือนทางอ้อมไป
"คุยงานอยู่ไม่ใช่เหรอ?"
"เอ้อ จริงด้วย งั้นไว้เจอกันนะ น้องดินด้วยนะครับ"ร่างสูงเรียกชื่อคนที่ยังหน้าขึ้นสีเล็กน้อยอย่างสนิทสนม "วันไหนมาหาหมอกแล้วเขายังไม่กลับก็มารอห้องพี่ได้นะ"
"ไปล่อเหยื่อที่อื่นเลยวิน ไปกันเลยมั้ยดิน?"มธุวันหันไปหาน้อง
"เอ่อ ผมขอเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ จะทิ้งสูทไว้นี่ด้วย"
แดนดินว่า เมื่อพี่ชายพยักหน้าอนุญาตร่างสูงก็เดินเข้าไปในห้องของพี่ชาย ทิ้งให้เพื่อนข้างห้องยืนอยู่กันสองคน
"วิน ถือว่าเราขอนะ น้องเราเป็นเด็กหัวอ่อน เขาไม่เข้าใจหรอกนะว่าวินไม่ได้จริงจัง"
มธุวันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาอยากตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ไม่อยากให้น้องชายต้องมาเสียใจเพราะเพื่อนของเขา
"ครับๆ ไม่ต้องห่วง ฉันก็แค่หยอดไปตามประสานั่นแหละ" นาวินทร์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "น้องชายนายก็เหมือนน้องชายฉันนั่นแหละน่า"
"ให้มันจริงเถอะ"มธุวันบ่นพึมพำ
"ไปกันเถอะครับพี่หมอก แล้วเจอกันนะครับพี่วิน"
เมื่อแดนดินกลับออกมา สองพี่น้องก็ออกไปจากห้องเพื่อไปทานอาหารกลางวันอย่างที่ตั้งใจไว้ นาวินทร์มองตามคนทั้งคู่ไปจนลับสายตา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตน
"วิน...ลดอุณหภูมิแอร์ให้หน่อยสิ พี่ร้อน"
เสียงหวานหยดดังขึ้นอย่างงัวเงียทันทีที่เขาเปิดประตูกลับเข้ามาทั้งที่ภายในห้องเย็นเฉียบจนแทบจะเป็นห้องดับจิตอยู่แล้ว เจ้าของเสียงนอนเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียงใหญ่ของนาวินทร์ ร่างเปลือยเปล่าขาวนวลเนียนไปทุกสัดส่วนถูกเส้นผมยาวสยายระสะโพกสีดำสนิทปกคลุมแผ่นหลัง ผ้าห่มที่เจ้าของห้องห่มให้ก่อนหลับถูกร่นไปกองอยู่ที่ข้อเท้า นาวินทร์ถอนหายใจ แต่ก็เดินไปหยิบรีโมทแอร์มากดลดอุณภูมิให้
"ใส่เสื้อผ้าซักชิ้นไม่ได้รึไงครับพี่ริน ผมยังไม่อยากเป็นตากุ้งยิงนะ"
"อะไรกัน รู้มั้ยว่าคนเขาจ่ายเงินกันหลายสิบล้านแค่ให้พี่ถอดเสื้อให้เลยนะ ฮึ? เจ้าเด็กไม่รู้จักของดี"
ดวงตาสีม่วงสดปรือขึ้นเล็กน้อย ร่างสูงโปร่งชันตัวขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจด้วยท่วงท่าที่งดงามประหนึ่งกำลังอยู่หน้ากล้องถ่ายแบบ
"ก็คนพวกนั้นไม่ได้เห็นพี่โป๊มาตั้งแต่เกิดแบบผมนี่ แค่นี้ผมก็มีภาพติดตาจนจะเป็นแผลใจอยู่แล้วนะ"
นาวินทร์โวยวาย ขนาดเขาที่ยางอายหายากยิ่งกว่าอะไรยังไม่สามารถมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของพี่ชายตรงๆได้เลย
"แหม ทีกับเด็กคนเมื่อกี้ยังมองตามตาเป็นมันเลยนะ" คนเป็นพี่แซวยิ้มๆ "อย่าคิดนะว่าพี่ไม่เห็นตอนวินมองตามเขาน้ำลายยืดน่ะ"
"ฮะ? พี่เห็น....เอ้อ..."
ร่างสูงหุบปากฉับแทบจะในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนติดกล้องวงจรปิดขนาดเล็กนั้นไว้หน้าห้องของมธุวันเอง
"อย่าลืมล่ะว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร"
เสียงของวรินทร์จริงจังขึ้นมาทันที นาวินทร์พยักหน้า ทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ตามองจอมอนิเตอร์หลายจอที่แสดงทั้งหน้าโต๊ะทำงานของมธุวัน ภายในห้องทำงานของธีรเชษฐ์ ภายในห้องนอนของมธุวัน รถของมธุวัน แม้กระทั่งภายในห้องของเมฆาที่คนของเขาเพิ่งแฝงตัวเข้าไปติดหลังจากได้ยินเรื่องที่เมฆาสั่งให้ย้ายข้าวของของมธุวันมาไว้ในห้องของเขา
"แล้วของคนน้องเมื่อกี้ติดเครื่องส่งสัญญานณไว้ที่ไหนล่ะ?"วรินทร์ถาม
"นาฬิกาข้อมือครับ ถ้ามีโอกาสจะหาที่ที่ปลอดภัยกว่านี้"
นาวินทร์รายงาน
"ดี ทำตามแผนไปก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง"
"พี่ครับ แล้วเรื่องที่สายรายงานมา..."
"ทารินกำลังสืบให้"
คนเป็นพี่ตอบก่อนที่น้องชายจะเอ่ยจบประโยค
"ทาริน? งานแบบนี้ใช้งานนิกิต้าไม่เหมาะกว่าเหรอครับ?"
นาวินทร์ถามอย่างสงสัย คนที่มีทักษะการสืบข้อมูลที่สุดในทีมของพวกเขาคือนิกิต้า โดยเฉพาะการล้วงข้อมูลที่ต้องใช้กำลัง
"หึ งานอันตรายแบบนี้ถ้าบอสกล้าเอานิกกี้ที่รักไปเสี่ยงตาย นายน้อยของเรารู้เข้าคงได้บ้านแตกกันไปข้างแน่"วรินทร์หาวหวอด "ไปหยิบครีมมาสก์หน้ามาให้หน่อยสิ พรุ่งนี้พี่มีถ่ายแบบที่ฮ่องกงตอนเช้า ต้องขึ้นเครื่องคืนนี้"
"ฮ่องกงอีกแล้ว? เดี๋ยวนี้พี่ไม่ถ่ายแบบที่นั่นบ่อยนะครับ"
นาวินทร์ทักหลังจากหยิบครีมมาสก์หน้าในตู้เย็นกลับมา พี่ชายในวัยยี่สิบเก้าปีที่หน้าเด็กกว่าเขาจนน่าหมั่นไส้ขยับหนุนศีรษะบนตักของน้องชายที่นั่งลงมา หลับตาพริ้มปล่อยให้นาวินทร์ละเลงครีมเย็นหนืดสีเขียวอ่อนลงบนใบหน้าของตน
"อือ...เขาจองคิวติดๆกันพอดีน่ะ"
ชายหนุ่มพึมพำไม่ให้ปากขยับมากนัก
"เหรอครับ ไม่ใช่ว่าไปถูกใจมาเฟียหน้าหยกที่ไหนเข้าหรอกนะครับ?"
ร่างสูงเอ่ยอย่างจับผิด
"หึ..."คนเป็นพี่หัวเราะในลำคอ "...เป็นห่วงพี่รึไง?"
"ผมไม่อยากให้พี่ตาย..."
เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความกังวลจากก้นบึ้งของหัวใจ
...ผมไม่อยากฆ่าพี่
คำพูดที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถูกส่งไปถึงอีกฝ่ายได้ผ่านทางความรู้สึก
"ไม่ต้องห่วง..." เสียงหวานเอ่ยอย่างหนักแน่น รอยยิ้มจางปรากฎบนริมฝีปากเรียว "ก็พี่สัญญากับบอสแล้วนี่นา"
'จนถึงลมหายใจสุดท้าย...
จนกว่าความตายจะพรากผมไปจากคุณ...'
----------
รันเลขตอนผิดอีกแล้ว เพิ่งสังเกต ฮืออออออ
ขอโทษนะคะ เบลอมากจริงๆ แต่ที่เช็คดูคร่าวๆเราลงตอนครบแล้วแหละ แต่เขียนเลขตอนผิดเฉยๆ
