“นี่มันหลายครั้งเกินไปแล้วนะ มึงแน่ใจนะว่าลูกกูไม่เป็นอะไร”
ธีรเชษฐ์ถามคเชนทร์ที่มาดูอาการของเมฆาทันทีที่มธุวันมาถึงโรงพยาบาล อาจารย์หมอหนุ่มเหลือบมองมธุวัน ก่อนจะถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
“ครั้งที่แล้ว คุณมธุวันก็เป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเมฆก่อนที่จะเกิดเรื่องใช่มั้ยครับ?”
“ครับ”
ร่างโปร่งพยักหน้า พยายามอย่างยิ่งที่จะฝืนไม่ยอมให้ตัวเองหันไปมองร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้
“ก่อนหน้าที่จะเกิดอาการพวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ พอจะบอกได้มั้ย”
“ก็…คุยกันปกติครับ ไม่มีอะไร”
มธุวันหลบสายตาจับผิดของอีกฝ่าย คเชนทร์ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปหาธีรเชษฐ์
“ทางสภาพร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ แสกนสมองออกมาก็ไม่มีลิ่มเลือด การบวม หรือบาดแผลอะไร คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับสภาพจิตใจของเมฆมากกว่า”
สีหน้างุนงงของเพื่อนสนิททำให้คเชนทร์รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีข้อมูลอะไรให้เขาได้มากกว่าที่เขารู้อยู่แล้ว ชายหนุ่มในชุดกาวน์ถอนหายใจ
“เอาอย่างนี้ ช่วงนี้ก็ให้เมฆกลับไปอยู่บ้าน หรือไม่ก็หาคนไปดูแลที่คอนโด แล้วก็สังเกตอาการว่าอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการนี้”
“หมอก กลับไปก่อนเถอะ คืนนี้ฉันจะอยู่ดีเมฆเอง”
ธีรเชษฐ์บอกเลขาที่มีสีหน้าไม่สู้ดีตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลมา เขาคิดว่ามธุวันน่าจะเหนื่อยล้ามาทั้งวันจากกันวิ่งวุ่นทำงานสองหน้าที่
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว สวัสดีครับท่านประธาน คุณหมอ”
มธุวันกล่าวลาคนทั้งสอง ถึงแม้ใจจริงอยากจะอยู่ดูอาการอีกฝ่ายเพียงใด แต่เขาไม่สามารถหาข้ออ้างในการขออยู่ต่อที่จะทำให้เขาไม่ถูกสงสัยได้
เมื่อลับร่างของเลขาหนุ่ม คเชนทร์จึงหันกลับมาหาธีรเชษฐ์
“มึงกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนหลานเอง”
“อ้าว มึงไม่มีตรวจต่อเหรอ?”
“ไม่แล้ว วันนี้เสร็จแล้ว”
เมื่อเพื่อนเสนอเช่นนั้น ธีรเชษฐ์จึงพยักหน้าอย่างขอบคุณแล้วเดินออกไปจากห้อง คเชนทร์ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงของหลานชาย แล้วหยิบแท็บเลตออกมาจากกระเป๋าเพื่ออ่านหนังสือฆ่าเวลา
“อือ…”
เสียงของคนไข้บนเตียงทำให้อาจารย์หมอเหลือบตาขึ้นจากบทความที่อ่านอยู่ เมฆาที่เพิ่งคืนสติเหลือบมองไปรอบกาย ก่อนจะมาหยุดที่ร่างของคเชนทร์ ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างสับสน
“อาคราม...ทำไม....”
“เราสลบไปน่ะ คงเพราะพิษไข้ คุณมธุวันเขาเป็นคนพามาส่ง”
คเชนทร์อธิบายสถานการณ์ เมฆาขมวดคิ้ว ความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้คือตอนที่เข้าไปนั่งในรถของมธุวันหลังจากทานอาหารเสร็จ แล้วหลังจากนั้น...
“เมฆ…จริงๆไม่ต้องมากินร้านนี้ทุกครั้งก็ได้นะ”
มธุวันในชุดนักศึกษาเอ่ยอย่างเกรงใจ ร่างโปร่งที่เขาเห็นในตอนนี้ดูบอบบางกว่าเจ้าของฉายาปีศาจน้ำแข็งในตอนนี้พอสมควร อาจเป็นเพราะคนตรงหน้าของเขาไม่ได้ใส่ชุดสูทราคาแพงสั่งตัดพอดีตัว และไม่มีแว่นไร้กรอบอันเล็กปกปิดประกายอ่อนโยนในดวงตาสีเทาอมฟ้าคู่นั้น
“แต่หมอกชอบไม่ใช่เหรอ?”
เมฆาได้ยินเสียงตัวเองถาม ก้มจดรายการอาหารลงในเมนู เมฆาไม่แน่ใจว่าตนรู้ได้อย่างไร แต่เขามั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจดเป็นของชอบของคนตรงหน้าทั้งนั้น
“ก็ชอบ...แต่หมอกกลัวเมฆเบื่อนี่นา”
“อย่าคิดมากสิ”
เมฆารู้สึกว่าตัวเองยิ้มให้อีกฝ่าย และดูจากใบหน้าเรียวที่ขึ้นสีเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูจะมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายพอตัว
และตัดสินจากหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างบ้าระห่ำในอกของเขา สีหน้าเขินอายของอีกฝ่ายก็มีอิทธิพลต่อเขาไม่แพ้กัน
อยากจูบชะมัด
จู่ๆความคิดนั้นก็แล่นเข้ามาในหัว
และความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามธุวันจะไม่โกรธ หากริมฝีปากสีชมพูน่ารักนั้นถูกเขาครอบครอง
“อาครับ ผมเป็นอะไรเหรอครับ?”
เมฆาถามอาจารย์หมอที่นั่งอยู่ข้างเตียงเขา คเชนทร์ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบตามความจริง
“สภาพร่างกายของเมฆปกติหมด อาติดต่อหมอที่เป็นคนผ่าตัดเมฆตอนที่ประสบอุบัติเหตุแล้ว คุณหมอคนนั้นเป็นหมอเฉพาะทางด้านนี้ น่าจะรู้อะไรมากกว่าอา”
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทันทีที่จบประโยค คุณหมอคนที่เมฆาจำได้ว่าเป็นคนที่ผ่าตัดให้เขาและแวะมาดูช่วงวันสองวันแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นหมอคนอื่นยิ้มทักทายเขา บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามา คุณหมอระพีพัฒน์มีออร่าของคุณหมอใจดีผิดกับคเชนทร์ที่แค่จะคุยออกนอกเรื่องคนไข้ส่วนใหญ่ก็คงไม่กล้า
“หมอขอดูชาร์ตก่อนนะครับ คุณเมฆา นามสกุลอะไรครับ?”
“ทรัพย์ดำรงครับ” เมฆาตอบ ระพีพัฒน์กวาดตาดูชาร์ตอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งคืนให้นายแพทย์รุ่นน้องแล้วถามคนไข้บนเตียงก่อน
“อาการนี้เกิดมานานรึยังครับ?”
“ประมาณสองสามเดือนครับ หลังจากผมกลับมาไทย” เมฆาตอบ
“แต่หลังจากผ่าตัด ไม่เคยมีอาการแบบนี้ใช่มั้ยครับ”คุณหมอถาม เมฆาส่ายหน้าปฎิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้าที่จะเกิดอาการทุกครั้ง คนไข้ทำอะไรอยู่ครับ?”
“ผม…” เมฆาหยุดคำพูดของตัวเองไว้ เขาไม่รู้ว่าจะบอกแพทย์ทั้งสองคนว่าอย่างไรให้เข้าใจ
“อธิบายตามที่คุณเข้าใจก็ได้ครับ” ระพีพัฒน์เอ่ยอย่างเข้าใจ
“ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ผมกำลังคุยกับคนคนนึงอยู่”เมฆาว่า
“ทะเลาะกันเหรอครับ?” ระพีพัฒน์หยิบปากกาออกมาจดอาการของคนไข้ลงในชาร์ตอีกใบ
“เปล่าครับ ไม่ใช่ทุกครั้ง” เมฆาขมวดคิ้ว “บางครั้งแค่เข้าใกล้ ยังไม่ได้พูดด้วยเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วมีอาการอื่นร่วมด้วยอีกรึเปล่าครับ?”
ระพีพัฒน์ถามต่อ เป็นอีกครั้งที่เมฆาลังเลที่จะตอบ แต่ความอยากรู้มีมากกว่าความรู้สึกไม่อยากพูด ชายหนุ่มจึงตอบคำถามนั้น
“ผม…เห็นภาพหลอนครับ”
“ภาพหลอน?” นายแพทย์ที่ซักถามอาการเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ผมเห็นคนคนนั้นตอนที่อายุน้อยกว่าตอนนี้ ผมเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ผมรู้ว่าไม่ใช่ความจริง”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?” คราวนี้คเชนทร์เป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“เพราะผมจำไม่ได้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นครับ” เมฆาตอบอย่างมั่นใจ
“การที่เมฆจำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นเสมอไปนะ”
คเชนทร์แย้งเสียงเรียบ แต่คนไข้บนเตียงส่ายหน้า
“ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ คนคนนั้นก็น่าจะจำได้ด้วยสิครับ คนคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะรู้จักผมด้วยซ้ำ”
ความสงสัยเรื่องที่มธุวันรู้เรื่องบางเรื่องของเขาก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาในหัว แต่เมฆาตัดสินใจที่จะมองข้ามมันไป
“อืม จริงๆแล้วการผ่าตัดในครั้งนั้นมีความเสี่ยงอยู่มากนะครับที่จะเกิดอาการความจำเสื่อม แต่ก็อย่างที่ว่า ถ้าคุณลืมจริงๆ คน
ที่คุณลืมก็น่าจะทักท้วงขึ้นมาบ้าง”ระพีพัฒน์ตั้งข้อสังเกต
“มันเป็นไปได้เหรอครับ ที่ผมจะลืมเรื่องของคนคนเดียว แต่จำเรื่องอื่นทั้งหมดได้”เมฆาขมวดคิ้ว
“มีความเป็นไปได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ระพีพัฒน์ตอบตามตรง “คล้ายๆกับการที่คุณจำอะไรก่อนเกิดอุบัติเหตุไม่ได้นั่นแหละครับ อาจจะมีตัวแปรอะไรซักอย่างที่ทำให้สมองของคุณเลือกที่จะไม่จำเรื่องราวของคนแค่คนเดียว”
ก็จริงอยู่ แต่เมฆาคิดเสมอว่านั่นเป็นแค่ระบบของสมองที่ปกป้องเขาจากความทรงจำที่เลวร้ายอย่างหมอเคยอธิบาย แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้เขาลืมมธุวันมันคืออะไรกันล่ะ?
“ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ที่น่ากลัวเท่านั้นที่ทำให้เราลืมหรอกนะ”คเชนทร์เอ่ยขึ้น “บางครั้ง ความรู้สึกโกรธ เกลียด รู้สึกผิด หรือแม้กระทั่งความรัก ก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เราลืมเรื่องเรื่องนั้นไปก็มี”
รัก...
เมฆารู้สึกเจ็บแปลบในอกทันทีที่ได้ยินคำนั้น เขายกมือขึ้นกุมหน้าอก แต่ความเจ็บปวดนั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็ว
“เมฆ เป็นอะไรมั้ย”
คเชนทร์ขยับเข้ามาใกล้อย่างเป็นห่วง เมฆาส่ายหน้า ระพีพัฒน์ใช้หูฟังกดนาบลงบนแผ่นอกของคนไข้ แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
“พอจะบอกได้มั้ยครับ ว่าคนที่พูดถึงมีความสัมพันธ์กับคุณยังไง”ระพีพัฒน์ถาม เมฆาเหลือบมองคเชนทร์แวบหนึ่ง แต่ก็คิดว่าอาจารย์หนุ่มน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคนคนนั้นเป็นใคร
“เขาเป็นเลขาของพ่อผมครับ”
“คุณมธุวันที่เพิ่งเดินออกไป พี่พีน่าจะเดินสวนกันอยู่นะครับ”
คเชนทร์ช่วยให้ข้อมูล ระพีพัฒน์มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้น หมอคิดว่าคุณเมฆาคงมีภาวะความจำเสื่อมอยู่บ้างนะครับ”
เมฆาขมวดคิ้วอย่างงุนงง เช่นเดียวกับคเชนทร์ที่หันกลับไปมองนายแพทย์รุุ่นพี่ของตนอย่างประหลาดใจ
“ทำไมเหรอครับ?”
“เพราะคุณมธุวัน เป็นคนแรกที่มาถึงโรงพยาบาลในวันที่คุณประสบอุบัติเหตุครับ”
--------
เฮลโหลววววว
คิดถึงคุณหมอกกันมั้ยยยยย

ขอบคุณที่รอนะครัช
