ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 20
มิสเตอร์สมิธและรำไพพรรณบิดามารดาของกวินท์ยังคงพักอยู่ในบ้านพักในเขตของสถานทูต ทั้งคู่แปลกใจเมื่อเห็น
วิกเตอร์ดึงแขนชายหนุ่มที่จำได้ว่าเป็นเลขานุการของกษัตริย์ราชิดเข้ามาในห้องรับแขก เมื่อกล่าวทักทายกันแล้วทุกคนจึงได้นั่งสนทนา
กัน
วิกเตอร์เล่าให้ผู้อาวุโสฟังเรื่องที่กษัตริย์รีฮานสั่งโจมตีทั้งประชาชนฝ่ายต่อต้านและกองกำลังของโจรแห่งดาฟาร์ซึ่งคาดไว้
ว่ากวินท์ถูกควบคุมตัวอยู่ที่นั่น วิกเตอร์เว้นเรื่องที่คาลีลมีสายสัมพันธ์กับโจรเหล่านั้นไว้เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นความลับสุดยอดของคาลีล
“ไหนว่าจะทำทุกอย่างให้กวินท์ปลอดภัย แล้วนี่อะไร”
สมิธกรุ่นโกรธอย่างเห็นได้ชัด โดยปกติเขาจะเป็นคนใจเย็น แต่เพราะเป็นห่วงบุตรชายทำให้เขาหลุดอารมณ์ออกมาให้
เห็น
“สั่งโจมตีเช่นนี้ หากเกิดลูกหลงใส่กวินท์หรือไม่พวกโจรพวกนั้นจะใช้กวินท์เป็นเครื่องมือเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขา
ต้องการล่ะ”
คนเป็นบิดาห่วงจนสีหน้ามีแต่รอยยับย่น ตอนนั้นเองที่คาลีลได้พูดออกไป
“กองโจรแห่งดาฟาร์จะไม่ทำเช่นนั้นหรอกครับมิสเตอร์แอนเดอร์สัน พวกเขามีเกียรติมากพอที่จะไม่ใช้ใครเป็นเครื่องมือ
แลกเปลี่ยนความต้องการของพวกเขา”
“คุณพูดราวกับว่ารู้จักโจรพวกนั้นเป็นอย่างดี”
สมิธกังขา คาลีลอึกอักครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป
“ผมเพียงแต่มั่นใจว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรครับ”
“วันนี้คาลีลไปเสียงเข้าไปเตือนกษัตริย์ของเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น ผลคือเขาถูกไล่ออกและกักบริเวณครับ”
วิกเตอร์บอกเล่าให้ผู้สูงอายุได้รับฟัง
“ผมคิดว่าตอนนี้คาลีลกำลังเป็นที่จับตามองและอาจเป็นอันตรายได้ จึงอยากจะให้เขาหลบอยู่กับผมสักพัก”
คาลีลส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
“ผมไม่เห็นด้วย หากผมหลบอยู่ที่นี่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศขัดแย้งกันมากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผม
ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น”
“แต่ผมเห็นด้วยกับวิกเตอร์ อย่างน้อยก็ขอให้เหตุการณ์รุนแรงผ่านไปเสียก่อน อยู่เสียที่นี่เถอะ เพื่อความปลอดภัยของ
คุณ”
วิกเตอร์คลี่ยิ้มอย่างสมใจที่สมิธเห็นด้วยกับเขา คาลีลได้แต่ถอนหายใจเมื่อคำค้านของเขาไม่เป็นผล
สมเด็จพระราชาธิบดีราชิด ทัชฮดิน บิลซาฟาร์ อัลฟาดี ทอดพระเนตรรายงานข่าวสถานการณ์เร่งด่วนด้วยสีพระพักตร์
เฉยชา แม้จะได้รับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการประท้วงจนได้รับการทักท้วงจากนานาชาติ แต่พระองค์ก็ไม่มีพระดำรัสให้หยุดการใช้
กระสุนจริงกับผู้ชุมนุม ทรงละสายพระเนตรเมื่อได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ส่วนพระองค์ และเมื่อได้เห็นว่าเป็นเบอร์ของผู้ใด พระหทัยก็เต้น
แรงด้วยความเจ็บปวด
“รำไพพรรณ”
นามของหญิงไทยที่ประทับอยู่ในความทรงจำตั้งแต่ยังทรงอยู่ในวัยหนุ่ม นับตั้งแต่ได้รู้จักหญิงสาวที่สวยและฉลาด
คนนี้พระองค์ก็มิเคยรู้สึกล้ำลึกเช่นนี้กับสตรีใดอีกเลย เพียงแต่ว่าผู้หญิงที่ทำให้ทรงหวั่นไหวผู้นี้กลับไม่เลือกพระองค์เป็นคู่ชีวิต
“ผมไม่นึกว่าคุณจะจำเบอร์โทรศัพท์ของผมได้ เพราะคุณไม่เคยโทรหาผมมายี่สิบกว่าปีแล้ว”
เมื่อได้สนทนาเป็นการส่วนพระองค์ คำศัพท์ที่ใช้จึงกลับกลายเป็นเหมือนสมัยอดีตที่ผ่านมา เสียงของรำไพพรรณยังคง
หวานใส แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม
“ในฐานะเพื่อน ฉันยังคงระลึกถึงคุณเสมอค่ะราชิด”
รำไพพรรณตอบกลับมาด้วยคำสนทนาเช่นอดีตไม่ต่างกัน
“คุณต่างหาก ที่อาจไม่เคยคิดถึงเพื่อนอย่างฉัน”
“อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้นเพนนี”
ทรงเรียกชื่อของรำไพพรรณด้วยชื่อเล่น สุรเสียงฟังคล้ายเจ็บช้ำระคนเยาะหยัน
“เพราะฉันได้ข่าวว่าคุณสั่งให้โจมตีกองโจรกลุ่มนั้น ซึ่งอาจจะทำให้ลูกชายของฉันที่ถูกลักพาไปได้รับอันตรายไปด้วย
หากคุณคิดถึงฉันก็คงไม่ทำอะไรให้คนที่ฉันรักต้องเจ็บปวดหรอกค่ะ”
“แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือ ว่าเป็นเพราะคุณที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้กับผมมาก่อน จึงมีวันนี้เกิดขึ้น”
รำไพพรรณเงียบไปพักใหญ่กว่าจะส่งเสียงมาให้พระองค์ได้ฟังอีกครั้ง เสียงนั้นเจือเสียงสะอื้นแผ่วเบา
“ฉันคิดว่าฉันรู้จักคุณดีนะคะราชิด และยิ่งวันนี้ฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าฉันมองคนไม่ผิด ราชิดคะ ฉันขอพูดกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย
ฉันคิดว่าฉันตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกสมิธเป็นคู่ครอง”
เสียงโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว สมเด็จพระราชาธิบดีราชิดกลับทรงเจ็บปวดและคับแค้นพระทัยยิ่งกว่าเดิมกับคำตัดรอนซ้ำ
รอยเดิมของรำไพพรรณผู้เป็นมารดาของนักข่าวจากต่างประเทศคนนั้น ทรงต่อสายโทรศัพท์ไปหาบุคคลหนึ่งด้วยเบอร์ที่เป็นความลับ
รออย่างหงุดหงิดพักใหญ่กว่าปลายทางจะรับสาย
“ฉันให้เวลาแกสองวัน ไอ้ชารุกข์กับคนที่อยู่รอบตัวมันจะต้องตายทุกคนยกเว้นให้แค่ครอบครัวของแก แต่ถ้าแกทำไม่
สำเร็จ ครอบครัวของแกจะต้องตายเป็นครอบครัวแรก จำใส่หัวไว้”
กองคาราวานเบดูอินรอนแรมห่างจากหมู่บ้านยาคีนมาได้ไกลหนึ่งวันกับหนึ่งคืน จนกระทั่งถึงเขตภูเขาหินที่เป็นเหมือง
แร่ร้างจึงได้หยุดขบวนและพักแรมกันที่จุดนี้ กวินท์เพิ่งรับรู้ถึงความลำบากในการเดินทางหลบซ่อนของสตรี ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก โดยมี
บุรุษที่ติดตามรักษาความปลอดภัยมาด้วยเพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือยาก็อบที่ได้รับคำสั่งโดยตรงจากชารุกข์
ทุกคนเหนื่อยยากลำบาก อาหารและน้ำถูกแจกจ่ายอย่างประหยัด เนื้อตัวของกวินท์เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและฝุ่นทราย
คละคลุ้งจนเหนียวหนับ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลกับความปลอดภัยของชารุกข์ที่บัดนี้เขายังไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่า
เป็นเช่นใดบ้าง ไม่ต่างอะไรกับรีฮานผู้เป็นบิดาของชารุกข์ที่สีหน้าไม่คลายจากความเคร่งเครียด ชายสูงวัยเงียบขรึมจนไม่มีใครกล้าเข้า
หน้า
“ทำไมเราต้องมาอยู่ในสภาพนี้ด้วยนะ”
เสียงดังขึ้นจากความเหลืออดของซาดิยะ หญิงสาวที่เป็นญาติของชารุกข์
“ดูสิ อยู่ดีไม่ว่าดีต้องมาลำบากนอนกลางดินกินกลางทรายคอยหลบลูกกระสุน ไอ้เหตุการณ์ร้าย ๆ มันเกิดขึ้นก็นับตั้ง
แต่เชคฮชารุกข์พาคุณมานั่นแหละกวินท์”
กวินท์สะดุ้งสุดตัวเมื่อซาดิยะโยนความผิดมาให้เขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและได้แต่เม้มริมฝีปากเมื่อซาดิยะชี้หน้าด่าทอ
“ถ้าไม่ใช่เพราะไปชิงตัวคุณมาจากพวกนั้นเหรอถึงได้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา คุณนี่มันตัวซวยสำหรับพวกเราแท้ ๆ”
“หยุดนะ ซาดิยะ”
คนที่ห้ามปรามซาดิยะได้ในตอนนี้ก็คงมีแต่ยาก็อบที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายเท่านั้น เขาตรงเข้ามาขวางทางระหว่างซาดิยะกับ
กวินท์ไว้
“อย่าพาลกล่าวหาใครเช่นนี้อีก เรื่องนี้กวินท์ไม่ได้เป็นสาเหตุ เธอก็รู้ว่าถึงไม่มีกวินท์เหตุการณ์เหล่านี้ก็ต้องเกิดขึ้นไม่วัน
ใดก็วันหนึ่ง และพวกเราก็เตรียมพร้อมกับการต่อสู้ครั้งนี้อยู่แล้ว กลับไปตั้งกระโจมแล้วพักผ่อนได้แล้วซาดิยะ พรุ่งนี้เช้าเราจะต้องเดิน
ทางกันอีกไกล”
ยาก็อบส่งเสียงเด็ดขาดกว่าทุกครั้งจนซาดิยะได้แต่อ้ำอึ้ง หญิงสาวมองกวินท์อย่างเกลียดชังก่อนจะสะบัดหน้าหมุนตัว
กลับไป ยาก็อบหันมาสบตากวินท์อย่างละอายแก่ใจกับการกระทำของหญิงสาว
“ผมขอโทษแทนซาดิยะนะครับกวินท์ ความเป็นเด็กและเอาแต่ใจทำให้เธอพูดจาไม่ยั้งคิด”
“ช่างเถอะครับยาก็อบ ผมเข้าใจ ซาดิยะคงเหนื่อยมาก”
กวินท์ได้แต่ทรุดนั่งบนก้อนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งและกอดตัวเองไว้ เขาเกลียดความรู้สึกอ้างว้างขาดที่พึ่งอย่างในตอนนี้
เหลือเกิน ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ ในเวลาโพล้เพล้แสงอาทิตย์ใกล้อัสดง ชาวบ้านกว่าสามสิบชีวิตกำลังหุงหาอาหารประทังชีพ
ด้วยความอ่อนระโหย ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความอ่อนล้าหวาดระแวง ทุกคนคงอยากให้เหตุการณ์รุนแรงเจ็บลงโดยเร็ว
มีต่ออีกนิด....