ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 4
ปีศาจร้ายแห่งดาฟาร์ยืนอยู่เบื้องหน้า
รูปร่างสูงราวร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ไหล่กว้างกำยำ ช่วงลำตัวหนาแข็งแกร่ง กวินท์เพ่งมองใบหน้าในความมืดเห็นเพียง
โครงหน้ามีสันกรามอย่างเช่นชาวอาหรับ จนกระทั่งเจ้าของกระโจมใช้ไฟแช็คจุดตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่บนโต๊ะสร้างแสงสว่างและเงาวูบ
ไหวไปกับผืนผ้ากระโจมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ตอนนั้นเองที่กวินท์มองเห็นเขาเต็มสองตา
ผิวหน้าของเขามีสีน้ำตาลคล้ายผืนทราย จมูกโด่งเป็นสันคมยาวตั้งแต่หัวคิ้ว ริมฝีปากหนาหยักล้อมไว้ด้วยหนวดและ
กลุ่มเครา กวินท์เลื่อนสายตาขึ้นมองดวงตาลึกบนโหนกแก้ม เขาพลันใจสั่นเมื่อเห็นว่าดวงตาสีเทาใต้คิ้วดกสีดำสนิทกำลังจ้องมองเขา
อยู่เช่นกัน
“เอ่อ...คุณ...”
พูดจาตะกุกตะกักจนต้องกัดริมฝีปากไว้ กวินท์ต่อว่าตัวเองอยู่ในใจเมื่อนักข่าวฝีปากกล้าเช่นเขากลับกลายเป็นนึกคำ
พูดใดไม่ออกราวกับดวงตาสีเทาคู่นั้นสะกดเขาไว้เสียอยู่หมัด
“อาจีลิส”
คำสั่งภาษาอารบิกและผายมือไปยังแคร่ไม้เพื่อบอกให้กวินท์นั่งลงที่นั่น แต่กวินท์ก็ยังยืนขาแข็งอยู่จนคิ้วเข้มของ
ชารุกข์ยกขึ้นสูง
“ไม่เมื่อยหรือไง”
กวินท์อ้าปากค้าง เขาจ้องหน้าปีศาจร้ายแห่งดาฟาร์อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คุณพูดอะไรนะ”
“ไม่เมื่อยหรือไง”
ประโยคเดิมย้ำชัด และเป็นภาษาอังกฤษชัดแจ๋วเหมือนเจ้าของภาษามายืนพูดอยู่ต่อหน้าแถมยังพูดด้วยเสียงทุ้มและนุ่ม
เหมือนคนอ่านข่าวทางช่องข่าวของกวินท์เสียด้วย คราวนี้เองที่กวินท์ได้สติ เขามองชารุกข์อย่างขัดเคือง
“คุณพูดอังกฤษได้ แล้วทำไมไม่พูดกับผมตั้งแต่แรก”
ชารุกข์ยักไหล่ ดวงตาสีเทาเปล่งประกายล้อกับแสงไฟจากตะเกียงจนกวินท์นึกอยากจะควักมันออกทิ้งเสียให้สาแก่ใจที่
เขาทำให้กวินท์ประสาทเสีย
“ก็พูดตอนนี้มันจะต่างจากตั้งแต่แรกของคุณยังไง”
ไม่นึกเลยว่าหัวหน้ากองโจรในทะเลทรายอันเลื่องชื่อจะกวนประสาทได้ดีพอกับฝีมือดาบ ความหวาดหวั่นของกวินท์ลด
น้อยลงตามลำดับเมื่อความขัดเคืองใจเริ่มจะมีมากกว่า
“ช่างเถอะ”
กวินท์เก็บความเคืองไว้ก่อน เขามีข้อสงสัยที่ต้องการคำตอบจากชารุกข์ เซรีม
“ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกที่แต่งชุดดำมาจับผมที่รถจี๊ปเป็นใคร แล้วทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นด้วย”
ป้อนคำถามที่สงสัยมาหลายชั่วโมงไปเป็นชุด แต่ชารุกข์กลับทรุดนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่าคร่ำและเงยหน้าถามกวินท์
“ตกลงว่าจะไม่นั่งเหรอ”
ชิท!
กวินท์กรอกตามองบน เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้แล้วกระแทกก้นลงนั่งตามคำสั่ง
“นี่ไง นั่งแล้ว แล้วคุณจะตอบคำถามของผมได้หรือยังคุณหัวหน้ากองโจร”
ชารุกข์กลั้นยิ้ม ดีที่เขายังไม่ได้โกนหนวดเคราจึงกลายเป็นที่กำบังขณะริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้า
ของอาคันตุกะที่ไปชิงตัวและพามายังอัลกามาร์ เขามองสีหน้าขัดเคืองของนักข่าวจากไอซีเอ็นอย่างอารมณ์ดี
“ก็ไปพูดจาขัดหูใครเข้าหรือเปล่าล่ะ”
คำตอบของชารุกข์ทำให้กวินท์เอะใจ เขามองชารุกข์อย่างคาดคั้น
“คุณรู้เหรอว่าผมไปพูดขัดหูใคร คุณอยู่แต่ในทะเลทรายจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“ทะเลทรายน่ะมันมีจิตวิญญาณ และอย่าลืมว่าพวกคุณเรียกผมว่าปีศาจ”
ชารุกข์เอ่ยตอบเสียงเรียบ หากแต่ไม่ได้ช่วยไขความข้องใจแม้แต่นิดเดียว
“แล้วทำไมพวกนั้นต้องใส่เสื้อผ้าเหมือนคุณ ใช้อาวุธเหมือนคุณด้วย พวกเขาปลอมตัวเป็นพวกคุณใช่ไหม”
กวินท์ป้อนคำถามต่อ ชารุกข์ลุกขึ้นยืนก้าวเดินไปยังตู้เสื้อผ้าแสนเก่าฝั่งหนึ่งของกระโจมและหยิบผ้าห่มกลิ่นฉุนจมูก
ออกมาผืนหนึ่งโยนให้กวินท์
“ศัตรูของรัฐบาลบุกชิงตัวนักข่าวปากจัดที่เป็นแขกของทางการ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนนักข่าวต่างประเทศ น่าจะเดา
ออกนะว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป”
นั่นสินะ ตอนนี้วิกเตอร์เพื่อนสนิทของเขาคงหัวปั่นอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นเขาถูกชิงตัวไปต่อหน้าต่อหน้า รวมถึงนักข่าวจาก
สำนักข่าวอื่นที่ขึ้นรถมาพร้อมกับเขา กวินท์คงกลายเป็นข่าวดังทั่วโลกไปแล้ว เขานึกกังวลว่าบิดามารดาของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อรู้
ข่าวนี้
“ยานัม”
ชารุกข์สั่งให้กวินท์นอน ร่างสูงเอนกายไปกับผืนผ้ากระดำกระด่างที่ปูอยู่บนพื้นอย่างไม่นึกรังเกียจราวกับมันเป็นส่วน
หนึ่งในชีวิตของเขา
“อย่ากังวลกับอนาคต ปัจจุบันคือคุณต้องพักผ่อนแล้ว มิสเตอร์แอนเดอร์สัน”
“คุณนอนลงได้ยังไง”
กวินท์ย่นหัวคิ้วมองคนที่ทอดกายเป็นส่วนหนึ่งกับผืนทรายด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมที่มีทั้งเหงื่อและกลิ่นคาวเลือด
“ผมเหม็นเหงื่อตัวเอง อยากอาบน้ำ”
“ไม่มีใครอาบน้ำเวลานี้กันหรอก ทนนอนไปดีกว่าแล้วผมจะพาคุณไปอาบน้ำตอนเช้า อากาศนอกกระโจมในตอนกลางคืน
จะเย็นจนคุณนึกไม่ถึงเชียวล่ะ”
ชายหนุ่มจากแดนไกลไม่เชื่อ เขาก้าวไปที่ทางเข้าของกระโจมและโผล่หน้าออกไป พลันอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนแตกต่าง
จากยามกลางวันทำให้กวินท์ชะงัก เขาเดินกลับมาที่แคร่ก่อนจะเอนกายลงนอนช้า ๆ
หันไปมองคนที่เสียสละแคร่ไม้ให้เขา กวินท์เห็นชารุกข์หลับไปแล้วอย่างง่ายดาย แสบไฟริบหรี่จากตะเกียงพาดผ่านจน
เกิดเงาบนใบหน้าทำให้เขายิ่งน่าครั่นคร้าม กวินท์หันใบหน้ากลับมาเขาจ้องมองยอดสูงของกระโจมขณะครุ่นคิดอยู่ในใจ
พวกที่มาชิงตัวเขาตั้งใจให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าชารุกข์ เซรีมบุกไปชิงตัวกวินท์ที่เป็นแขกของรัฐบาลมา หากแต่ความจริง
แล้วกองโจรจากดาฟาร์กลับแย่งตัวเขามาอีกทอดหนึ่งโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ปัจจุบันนี้กวินท์ยังมีลมหายใจอยู่ที่โอเอซิสอัลกามาร์
ท่ามกลางผู้คนของชารุกข์ กวินท์ไม่กล้าคาดเดาเลยว่าหากตอนนี้เขายังตกอยู่ในการควบคุมของโจรปลอมจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
สิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้ต่างหาก ปัญหาจะบานปลายแค่ไหนเมื่อเรื่องของเขากลายเป็นข่าวดัง บิดาของกวินท์คงไม่ยอมอยู่
เฉย ๆ เป็นแน่ กวินท์เดาใจของชารุกข์ไม่ออกว่าคน ๆ นี้จะทำอะไรต่อจากนี้
กวินท์หลับตาลงช้า ๆ ความอ่อนเพลียทำให้เขาคล้อยหลับลงไป ความหนาวเย็นของทะเลทรายอาบไล้ไปทั่วจนต้อง
นอนห่อตัวงอเป็นกุ้ง กวินท์ไม่รู้เลยว่าคนที่นอนอยู่กับผืนทรายลุกขึ้นมาคลี่ผ้าห่มคลุมให้เขาก่อนจะกลับไปนอนที่เดิมอีกครั้ง
เสียงแพะร้องปลุกกวินท์ให้ตื่นจากนิทรา เขาลืมตาตื่นขึ้นมามองเห็นยอดสูงของกระโจมเป็นสิ่งแรก มันทำให้เขา
มั่นใจว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ไม่ใช่ความฝัน และเมื่อมั่นใจแล้วเขาก็รีบเหลียวหาเจ้าของกระโจมทันที
มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีปีศาจร้ายแห่งดาฟาร์อยู่ภายในกระโจม กวินท์รีบผุดลุกจากเตียงและก้าวไปยัง
เบื้องนอกทันที และภาพที่เขามองเห็นในรุ่งอรุณของวันใหม่สร้างความประทับใจให้แก่กวินท์จนตะลึง
ฟากฝั่งหนึ่งทางทิศตะวันออกปรากฏแสงสีส้มของดวงอาทิตย์กำลังแรกแย้มความสว่างอาบทอผืนทรายสุดลูกหูลูกตา
ตัดกับท้องฟ้าส่วนที่ยังดำมืดราวกับดวงไฟลูกโตค่อย ๆ ขับไล่มันออกไปทีละนิด ฝูงแพะที่ชาวเบดูอินเลี้ยงไว้เพื่อใช้ผลิดตน้ำนมถูก
ต้อนไปอีกด้านหนึ่งของแอ่งน้ำใสกลางโอเอซิสให้พวกมันได้แทะเล็มยอดหญ้าริมแอ่งน้ำ
เสียงภาชนะกำลังตักน้ำขึ้นมาไม่ไกลจากกระโจมของชารุกข์ทำให้กวินท์รีบก้าวตามเสียงไปทันที ต้นกำเนิดเสียงก็คือ
บุคคลที่เขากำลังมองหาอยู่ กวินท์หายใจขัดเมื่อเห็นภาพนั้นเต็มตาเมื่อชารุกข์ยืนอวดร่างกายของเขาที่เกือบจะเปลือยเต็มขั้นมีเพียง
กางเกงชั้นในชายเท่านั้นที่ยังมีหลงเหลืออยู่ ร่างสูงใหญ่อุดมไปด้วยมัดกล้ามอวดลอนซิกแพ็คจนกวินท์นึกอิจฉาและบัดนี้กวินท์มอง
เห็นแล้วว่าสีผิวของชารุกข์เป็นสีน้ำตาลอ่อนไม่ต่างจากฝืนทราย
ปีศาจแห่งดาฟาร์ใช้ถังพลาสติกตักน้ำขี้นมาจากบ่อน้ำเพื่อรดไปทั่วร่างกายของเขา กวินท์ได้ยินเสียงผิวปากเป็น
ทำนองเพลงที่เขาไม่รู้จักพร้อมกับที่เจ้าตัวใช้สบู่ถูตามเนื้อตัวอย่างอารมณ์ดี ครั้นพอชารุกข์มองเห็นว่ากวินท์กำลังจ้องอยู่ก็กวักมือเรียก
กวินท์ไปทันที
“มาสิคุณ อยากอาบน้ำไม่ใช่เหรอ”
กวินท์กะพริบตาปริบ ๆ เขาก้าวเดินลงไปยังแอ่งน้ำใสเบื้องล่างและหยุดยืนเบื้องหน้าชารุกข์ เมื่อเข้ามาใกล้กวินท์ก็
ลอบกลืนน้ำลายเมื่อมองเห็นลอนกล้ามเนื้อเต็มตา เขาพยายามจะไม่ก้มต่ำไปมองเบื้องล่างและนึกขอบคุณที่ชารุกข์ยังเหลือปราการ
ด่านสุดท้ายปกป้องจากสายตาของกวินท์อยู่
“ผมลงไปว่ายน้ำข้างล่างไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้” ชารุกข์ตอบในทันที
“น้ำเป็นสิ่งสำคัญมากในทะเลทราย ฝนไม่ได้ตกบ่อย ๆ และน้ำใต้ดินก็หมดลงได้ พวกเราถือว่าน้ำเป็นส่วนกลาง เราใช้
มันสำหรับกินอยู่ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ใช้น้ำเพื่อการส่วนตัว”
กวินท์รับรู้ เหตุผลที่เขาไม่อยากอาบน้ำอยู่บนฝั่งเพราะไม่อยากเผชิญกับดวงตาสีเทาคู่นี้ต่างหาก แต่เมื่อก้มมองสภาพ
ตัวเองแล้ว จำเป็นที่เขาจะต้องชำระร่างกายเสียที
“ผมไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
ชารุกข์เอียงคอมองเขาอีกครั้งด้วยสายตาพิจารณา อันก่อให้เกิดอาการหน้าร้อนกับกวินท์อย่างไม่มีสาเหตุ ครู่หนึ่ง
ชารุกข์ก็เอ่ยออกมา
“รูปร่างของคุณน่าจะพอ ๆ กับเจ้ายาก็อบ เดี๋ยวผมจะไปขอยืมเสื้อผ้าของมันมาให้คุณ”
“เอ่อ แล้วเสื้อผ้าเก่านี่ล่ะ ผมจะซักมันได้ไหม”
“ได้สิ อาบน้ำแล้วคุณก็ซักมันไปตากที่ราวเชือกตรงที่เจ้าบาฮาอยู่นะ”
กวินท์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ใครคือบาฮา”
เหมือนกวินท์จะมองเห็นร่องรอยความขำขันอยู่ในดวงตาสีเทาคู่นั้น มันทำให้ความน่าเกรงขามของบุรุษตรงหน้าลด
น้อยลงไปมาก
“คุณรู้จักบาฮาแล้วนี่ ก็ม้าที่คุณขี่มากับผมไงล่ะ”
กวินท์ร้องอ๋ออยู่ในใจ เขามองตามแผ่นหลังเปลือยของชารุกข์ที่ก้าวเดินกลับไปยังกระโจม กวินท์เหลียวซ้ายแลขวา
ก่อนจะใช้ถังพลาสติกตักน้ำขึ้นมารดใส่ตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายด้วยซ้ำ
มีต่ออีกนิด...