29
“คนเก่ง...”
ริมฝีปากอุ่นร้อนพรมจูบบนต้นคอขาว ไล่ลงมายังแผ่นหลังบอบบาง ปลุกอารมณ์ที่มอดดับของร่างเล็กที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีแดงและรอยกัดทั่วร่างขึ้นมาอีกครั้ง
สองวันแล้วที่กกกอดร่างกายหอมหวานนี้ ไม่อยากจากพรากไปไหน อชิตะทำให้โลกทั้งใบมีแค่ตัวเขากับคณิต...เพียงสองคน
“อื้อ...ไม่เอา...แล้ว” คณิตปัดมือของคนที่ทอดกายอยู่ด้านหลัง มือหนาคลำไปทั่วร่างกายเขาเท่าที่มันจะไปถึง เป็นสัญญาณอันตรายว่า ร่างกายเขาต้องรับบทหนักอีกรอบ หลังจากที่เพิ่งปลดปล่อยรอบที่สองไปไม่กี่นาทีก่อน ก่อนจะร้องเสียงแหบแห้งเมื่อฟันคมกัดย้ำไปตามแผ่นหลังของตน “จะ...เจ็บ...บะ...เบาหน่อย...อื้อออ...” มันเป็นความเจ็บที่มาพร้อมกับความเสียวซ่าน ยอมรับว่ามันเร้าอารมณ์ให้กระเจิง แต่ทว่ามากเกินไปเขาก็เหนื่อยตายได้นะ
อชิตะชอบกัด พอๆ กับที่ชอบเข้ามาในตัวเขา กัดเมื่อไร อีกไม่นานช่องทางด้านหลังของเขาก็ต้องรองรับความแข็งแกร่งที่โหมแรงใส่ไม่ยั้งอีกตามเคย
เขาเกลียดการเป็นของเล่นของอชิตะ แต่ไม่เคยปฏิเสธได้เลยว่า เวลา ‘ถูกเล่น’ เขากลับหลงใหลไปกับวิธีการเล่นของอีกฝ่าย
เขาด่าอชิตะว่าโรคจิตกี่ร้อยพันครั้งแล้วไม่รู้ ทว่าเขาก็ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองให้คนโรคจิตทุกครั้งร่ำไป
“ไม่...เอา...ผมไม่ไหวแล้วบอส...อือ...” เพียงแค่ต้นขาถูกยกพาดไหล่หนา แท่งเนื้อร้อนระอุก็จ่อชิดเตรียมบุกรุกเข้ามาในช่องทางด้านให้สุดทางอย่างเช่นทุกครั้ง จากนั้นก็จะเป็นลีลาเร่าร้อน...ยากปฏิเสธ
มันควรเป็นเช่นนั้น หากไม่มีเสียงเคาะประตูรัวเร็วไร้จังหวะดังขัดขึ้นเสียก่อน ราวกับคณิตได้รับการปลดปล่อยจากกรงเล็บของเสือร้าย คนตัวเล็กถอนหายใจโล่งอก แม้กระนั้นคณิตก็ยังแปลกใจกับเสียงเคาะประตูเรียกที่ดังรัวราวกับไม่เกรงใจผู้เป็นเจ้าของบ้าน ตลอดสองวันมานี้ ไม่เคยสักครั้งจะมีใครมาเคาะประตูห้องใต้ดิน ไม่มีใครกล้ามายุ่งย่ามให้อารมณ์หื่นกระหายของอชิตะสะดุดลงแม้แต่ครั้งเดียว
อชิตะก็คิดเช่นเดียวกับคนตัวเล็ก และคิดมากไปกว่านั้นอีก คนใช้ภายในบ้านถูกสั่งไม่ให้เข้ามายุ่งกับโลกที่มีเพียงเขากับคณิต
เขาเชื่อว่าไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งที่จะได้รับโทษคือการไล่ออก เว้นเสียแต่ว่ามีใครที่มีอำนาจเด็ดขาดพอๆ กับเขา
คนคลั่งรักระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด มันปนไปกับความยุ่งยากใจที่ไม่รู้จะอธิบายการกระทำของตัวเองแก่ผู้มาเยือนอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่าการกระทำของเขาไม่ใช่เรื่องปกติ
...จับผู้ชายมาขัง ใช้เวลาไปกับเรื่องเซ็กซ์ทั้งวันทั้งคืน
“ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป” อชิตะก้มลงบอกชิดริมฝีปากเล็ก ฝังจมูกบนแก้มนวลเนียน พร้อมกับฝากรอยฟันไว้ตรงซอกคอขาวไว้กับรอยเดิม “ผมจะไม่ให้ใครเอาตัวคุณไปจากผมเด็ดขาด” อชิตะย้ำ นั่นก็คือการย้ำบอกตัวเองด้วย
“ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คุณต้องการทั้งหมดหรอก” คณิตจ้องตากลับ “...สักวันผมจะไปจากคุณ”
“ไม่มีวันนั้นหนึ่ง” ดวงตาของอชิตะแน่วแน่ในคำพูดของตัวเอง “ผมจะทำให้คุณเห็นวันที่เราใช้ชีวิตด้วยกันทุกวัน ทุกวันของผมจะมีคุณ” อชิตะจ้องตอบสายตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ของคณิต ปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังอยู่อย่างนั้น ดังแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อหน่วยตาเรียวเล็กเป็นฝ่ายล่าถอยก่อน นั่นแหละอชิตะถึงลงจากเตียง
อชิตะก้มเก็บเสื้อคลุมขึ้นมาสวม ผูกปมแน่นแล้วถึงก้าวเท้าในจังหวะที่เป็นปกติ ไม่รีบร้อนและไม่ช้าเพื่อถ่วงเวลา เหยียบบันไดแต่ละขั้นด้วยความมุ่งมั่นว่าจะไม่ให้ใครก็ตามเอาตัวคณิตไปจากเขาเด็ดขาด
เมื่อเปิดประตู เสียงแหลมสูงเต็มอารมณ์โมโหก็แหวกอากาศออกมาทันที
“อิง! แกทำอะไรห๊ะ!” คุณเอมอรมองหน้าลูกชายคนเล็กด้วยความโกรธปนไปกับความผิดหวัง “แกเอาเด็กนั่นมาขังไว้...” ยังไม่ทันได้ถามจนจบประโยค เสียงแหบแห้งด้านล่างก็ตะโกนแทรกขึ้นมา
“ช่วยผมด้วยครับ ผมอยู่ข้างล่าง”
“คุณแม่กลับไปก่อนเถอะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมกับเมีย เป็นเรื่องของครอบครัวผม คุณแม่ไม่ควรเข้ามายุ่ง” อชิตะบอกมารดา
“อย่าไปฟังครับ ผมไม่ใช่เมียของเขา ผมถูกจับมาขัง ผมอยากออกไปจากที่นี่ ช่วยผมด้วย” เสียงแหบแห้งยังคงตะโกนขอความ
ช่วยเหลือเป็นระยะ
“นี่แกเป็นลูกฉันจริงใช่ไหม ทำไมถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้” คนเป็นแม่มองหน้าลูกชายเขม็ง คุณเอมอรไม่เคยโกรธลูกชายคนเล็กเท่าครั้งนี้มาก่อน เธอมาเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่สีฟ้าผู้เป็นลูกชายของคุณกฤษและคุณอุษากล่าวหาลูกชายเธอนั้นไม่ใช่ความจริง
สีฟ้ามาหาเธอและสามีถึงที่บริษัทพร้อมกับคนรัก...ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
โธ่...โลกนี้ ผู้ชายกับผู้ชายรักกัน อยู่ด้วยกันเป็นคู่ผัวตัวเมีย บอกตามตรงเธอทำใจยอมรับไม่ได้ มันไม่ปกติสำหรับเธอเลย เธอยังมองว่าผู้ชายควรคู่กับผู้หญิง เพื่อมีทายาทสืบสกุล ดูแลธุรกิจที่คนต้นตระกูลสร้างเอาไว้ให้ สานต่อให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปในทุกรุ่น ให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบ
แต่...โลกเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่ามันเปลี่ยนไปนานมากแล้ว แต่เธอเพิ่งรู้ เพิ่งประจักษ์ เพราะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว นั่นคือลูกชายของเธอเอง
คนทั้งคู่มาด้วยเรื่องของลูกชายคนเล็กที่เธออยากจะตัดหางปล่อยวัดนัก หลังจากสร้างเรื่องปวดหัวให้เธอกับสามีถูกถอนหงอกกับเรื่องของณัชชาถึงสองครั้ง แต่สามีเธอไม่อยู่ เขาไปต่างประเทศ จึงมีแต่เธอที่ต้องรับรู้เรื่องราวที่ลูกชายก่อซ้ำกับคนเดิม
ผู้ชายคนเดิมที่ลูกชายเธอเรียกว่า ‘เมีย’ ได้อย่างเต็มปาก ทำเอาคนเป็นแม่อย่างเธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดหาทางจำกัดเด็กหนุ่มที่ชื่อคณิตออกไปจากชีวิตลูกชาย หากก็ถูกแม่สามีขอร้องให้หยุดคิดที่จะทำร้ายเด็กคนนี้ ซึ่งคำขอร้องของแม่สามีก็ไม่ต่างจากคำสั่งที่ต้องปฏิบัติ ดังนั้นเธอจึงต้องจำใจหยุดวุ่นวายกับชีวิตรักและรสนิยมของลูกชายคนเล็ก แบกหน้าไปพูดเรื่องถอนหมั้นกับครอบครัวของณัชชา
แต่เพียงไม่นานก็ต้องกลับไปขอลูกสาวเขาอีกครั้ง เพราะลูกชายเข้ามาบอกเธอกับสามีว่าทำณัชชาท้อง แต่เรื่องก็พลิกกลับอีกตลบใหญ่ เมื่อณัชชาไม่ได้ท้องกับลูกชายเธอ งานแต่งงานถูกยกเลิก เจ้าบ่าวถูกเปลี่ยนตัว เธอก็คิดว่าลูกชายคงจะกลับไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ก็เปล่า จนเธอคิดว่าลูกชายคงหายจากอาการวิปริตผิดเพศและกลับมาเป็นปกติแล้ว จนกระทั่งเมื่อชั่วโมงก่อนที่สีฟ้ามาขอร้องให้เธอช่วยพาคณิตออกมาจากลูกชายของเธอ เด็กหนุ่มรุ่นลูกบอกเธอว่าอชิตะเอาตัวคณิตไปขังไว้
คุณเอมอรไม่อยากเชื่อคำของคู่รักสีฟ้ากับภาคีที่ใส่ร้ายลูกชายเธอ ไม่เชื่อว่าลูกชายจะบ้าถึงขั้นจับคนไปขัง แต่จะปฏิเสธหรือยืนยันว่าลูกชายไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ได้เข้าขั้นบ้าที่จับใครมาขังตามใจชอบ มันก็พูดได้ไม่เต็มปาก ก็ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงเกิดขึ้นมาแล้ว ที่คณิตเข้ามาหาเธอที่บริษัท มาเรียกร้องค่าเสียหายที่โดนลูกชายเธอข่มขืน พร้อมหลักฐานเต็มตัว ดังนั้น เธอจึงต้องมาเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง
ครึ่งหนึ่งเธอไม่เชื่อว่าลูกชายจะทำได้ กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ชายนี่นะ ผู้ชายคนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีพ่อมีแม่ เกิดพ่อแม่เขาเอาเรื่องล่ะ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียชื่อเสียงกันทั้งตระกูลแน่ แน่นอนว่าเธอห่วงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แต่ที่ห่วงมากกว่าคือลูกชายที่จะถูกกฎหมายลงโทษ คนเป็นแม่ที่คลอดลูกออกมา เนื้อตัวร่างกายและแม้แต่เลือดในกายก็เป็นดังชีวิตของเธอจะไม่ให้ห่วงยิ่งกว่าชีวิตได้อย่างไร
ลูกเจ็บ...เธอก็เจ็บยิ่งกว่า
ลูกทุกข์...เธอก็ทุกข์ยิ่งกว่า
ลูกไม่มีความสุข...เธอก็ไม่มีความสุขยิ่งกว่า
ลูกทำความผิด...ก็เหมือนเธอได้ร่วมก่อความผิดไปด้วย ในเมื่อเธอคือแม่ คือครูคนแรกที่ต้องสอนผิดชอบชั่วดีให้กับลูกของตัวเอง
สำหรับเธอ ทุกเรื่องที่ลูกทำ เธอต้องร่วมรับผิดชอบ ฉะนั้นเธอต้องแก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ลูกชายติดคุกติดตะรางแน่
และตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่า สิ่งที่สีฟ้ากับภาคีพูดเป็นความจริง ลูกชายเธอจับผู้ชายมาขังไว้จริงๆ
“หลีกไปอิง” คุณเอมอรสั่งน้ำเสียงเข้ม เมื่อลูกชายยืนขวางประตูไม่ให้เธอลงไปยังห้องด้านล่าง นี่ก็อีกเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ว่าบ้านหลังนี้มีห้องใต้ดิน กว่าจะเค้นความลับเรื่องห้องลับจากปากคนรับใช้ในบ้านได้ ก็ต้องขู่ว่าจะไล่คนรับใช้ที่บ้านใหญ่ออกทั้งหมด เนื่องจากคนรับใช้ทั้งสองบ้านก็เป็นกลุ่มญาติที่ชักชวนกันมาจากต่างจังหวัดทั้งนั้น เธอรับปากด้วยว่าถ้าทั้งห้าคนถูกไล่ออก
(ตามคำขู่ของลูกชายเธอ) เธอก็จะรับกลับไปทำงานที่บ้านเหมือนเดิม แถมจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงยอมเปิดปากกันได้
“ผมไม่ให้คุณแม่เอาหนึ่งไปเด็ดขาด” อชิตะยืนยันความต้องการของตัวเอง “คุณแม่ครับ ผมขอได้ไหม คุณแม่อย่ายุ่งเรื่องผมกับหนึ่งเลย แล้วผมจะไม่ขออะไรคุณแม่อีก”
“ถ้าแกไม่ยอมให้ฉันลงไปเอาเด็กนั่นขึ้นมา งั้นฉันก็คงต้องเดินไปบอกคุณย่าของแกให้ลงไปเอามันขึ้นมาเอง ว่าไงอิง คุณย่านั่ง
รอแกอยู่ในห้องนั่งเล่น” คุณเอมอรข่มขู่ด้วยชื่อของผู้หญิงที่อชิตะเคารพรักและเชื่อฟังที่สุด หญิงชราที่เธอเชื่อว่าจัดการลูกชายคนเล็กของเธอได้ดีกว่าใคร ดีกว่าแม่อย่างเธอด้วยซ้ำ
มันเป็นความบังเอิญที่พอรถของคุณเอมอรจอดหน้าบ้านลูกชาย รถของแม่สามีก็วิ่งมาจอดต่อท้ายทันที
“คุณย่าก็มาด้วยหรือครับ” ลูกชายถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ ลำพังแค่คนเป็นแม่ อชิตะรับมือได้ แต่สำหรับหญิงชราที่เขารักเท่ากับผู้ให้กำเนิด เขาไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง เสียใจกับพฤติกรรมเลวร้ายของเขา
“เลือกเอานะอิง จะให้ฉันหรือย่าแกจัดการ” คุณเอมอรถามซ้ำ คำตอบที่ได้ก็คือการที่ลูกชายหันหลังก้าวนำเธอลงไปตามบันไดโค้งวน ลงไปสู่ห้องลับใต้ดินที่มองไปตรงไหนก็เจอแต่สีดำทะมึน ชวนให้อึดอัดหายใจไม่ออก
ครั้งลงมาแล้วเจอสภาพเตียงยับย่น กลิ่นคาวที่เธอย่อมรู้ดีว่ามาจากสิ่งใด เป็นคุณแม่ที่มีลูกถึงสี่คน ไม่รู้ก็แย่แล้ว และสภาพของคนที่นั่งกองอยู่บนพื้นข้างเตียงนั่นอีกเล่า เจ้าตัวเหมือนพยายามเอาร่างกายอ่อนแรงของตนไปหาความช่วยเหลือซึ่งก็คือเธอ เห็นสภาพแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะคว้าตัวลูกชายเอาไว้ ก่อนจะฟาดมือบนใบหน้าลูกชายเต็มแรง แทนความรู้สึกเจ็บปวดของแม่เด็กผู้ชายคนนี้ หากได้มาเห็นลูกชายของตนถูกกระทำย่ำยีจนหมดสภาพ
“ตั้งแต่วันที่ฉันคลอดแกมา ฉันไม่เคยผิดหวังในตัวแกเท่ากับวันนี้เลย” สายตาของคนเป็นแม่ผิดหวังรุนแรง “แกทำได้ยังไงห๊ะ! แกเอาเขามาขัง เอาเขามาข่มขืน มันใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายทำกันไหม ฉันผิดหวังกับแกมาก ลูกฉันมันบ้าไปแล้ว” สุ้มเสียงของคนเป็นแม่เจ็บปวดเหลือเกิน
“ผมกำลังปรับความใจกับหนึ่งครับ” ลูกชายอธิบาย
“สภาพเขาเป็นแบบนี้นี่นะ ปรับความเข้าใจ” คุณเอมอรถามกลับเสียงสูง ลองเป็นลูกคนใดคนหนึ่งของเธอตกอยู่ในสภาพแบบคณิตละก็ หัวใจเธอคงสลาย “แกว่าแม่โง่หรือไง ดูไม่ออกว่าแกทำอะไรลูกเขา นี่ถ้าพ่อแม่เขารู้ เอาเรื่องขึ้นมา แกจะทำยังไงห๊ะ บอกมาสิตาอิง บอกแม่มา”
“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
“เข้าไปรับผิดชอบในคุกน่ะสิ” คนเป็นแม่เสียงอ่อนลง ยังไงก็ลูก ทำผิดก็ต้องช่วยเหลือ คุณเอมอรถอนหายใจ ก่อนหันไปถามคนที่ถูกกระทำ “เดินไหวไหม ถ้าไม่ไหว ฉันจะเรียกคนมาช่วยอุ้ม”
ได้ยินคำว่า ‘อุ้ม’ ลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรก็พุ่งเข้าไปกอดคนตัวเล็กอย่างหวงแหนทันที
“ผมไม่ให้ใครแตะต้องคนของผมเด็ดขาด”
คุณเอมอรมองภาพลูกชายโอบกอดผู้ชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่า ภาพที่เห็นทำให้นึกไปถึงตอนอชิตะอายุสี่ขวบ ลูกชายเธอเก็บลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้ได้ ครั้นเธอจะขอคืน เพื่อให้คนสวนปีนเอาลูกนกไปเก็บไว้ในรังตามเดิม อชิตะกลับกำมันไว้แน่น ไม่ยอมส่งให้เธอตามคำขอ สุดท้ายลูกนกก็ตายในกำมือน้อยๆ ของเด็กชายวัยสี่ขวบ จากนั้นลูกชายก็ร้องไห้ทั้งวัน เสียใจที่ลูกนกตาย ตกดึกก็ไข้ขึ้น เพ้อหาแต่นกตัวนั้น แม้เธอกับสามีจะซื้อลูกนกราคาแพงมาให้ อชิตะก็ไม่ยอมแม้แต่จะชายตามอง ทุกวันก็ไปนั่งเฝ้าหลุมฝังซากลูกนกด้วยใบหน้าเศร้าหมอง มีน้ำตาอาบแก้มยุ้ย นานเกือบสามเดือนเลยกว่าที่ลูกชายของเธอจะกลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม
แล้วถ้าเธอจับทั้งคู่แยกกัน ลูกชายเธอจะเป็นอย่างไร ไม่อยากยอมรับว่าลูกรักผู้ชาย รักและหวงถึงขั้นเอามาขังไว้ ไม่ให้ไปไหน แต่ก็ต้องยอมรับวันนี้แหละ แต่เธอจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด ลูกชายเธอทำผิด จับคนมาขังไว้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
“ช่วยผมด้วยนะครับเอมอร ผมไม่อยากอยู่กับลูกชายคุณ ผมอยากกลับบ้าน” คณิตรีบบอก กลัวว่าคุณเอมอรจะเข้าข้างลูกชายของเธอ แล้วเปลี่ยนใจไม่ช่วยเขา
“สัญญากับฉันก่อน ถ้าฉันช่วยเธอ เธอจะไม่แจ้งตำรวจมาเอาเรื่องลูกชายฉัน” เธอยื่นข้อเสนอ เพราะอชิตะคือลูกที่เธอต้องปกป้อง ต่อให้เขาทำผิด เธอก็ต้องช่วยให้โทษของความผิดน้อยลง หรือไม่มีเลยยิ่งดี
“ครับๆ ผมสัญญา” คณิตรีบรับปากทันที เขากำลังจะรอดแล้ว ไม่ต้องเป็นของเล่นของอชิตะอีกแล้ว แต่วูบหนึ่งก็มีความรู้สึกเสียดายผุดขึ้นมา
...เสียดายที่จะไม่ได้เป็นของเล่นของอชิตะ
โธ่โว้ยไอ้หนึ่ง! จะนึกเสียดายทำไมวะ ดีแล้วไม่ใช่หรือไงที่ไม่ต้องตกเป็นของเล่น เป็นเครื่องระบายความใคร่ของใคร
“อย่าเอาหนึ่งไปได้ไหมครับคุณแม่” อชิตะขอร้องมารดา น้ำเสียงวิงวอน ดวงตาที่ได้จากมารดามานั้นอ่อนแสงเหมือนตะวันใกล้ดับ “ให้ผมกับหนึ่งได้ปรับความเข้าใจกันก่อนนะครับ”
“ไม่มีอะไรที่ผมกับคุณต้องมาปรับความเข้าใจกัน” ...ไม่มีเลยสักนิด ที่มีก็แค่ความทรมานที่แสนหวาน
“ไม่ได้อิง” คุณเอมอรเอ่ยเสียงเฉียบขาด แม้จะสงสารลูกมากเพียงไร แต่จะให้ลูกชายคนอื่นถูกขังและถูกทรมานร่างกายเพื่อความสุขของลูกชายเธอ เธอก็ใจร้ายไม่พอ “จะให้แม่เรียกคนมาอุ้ม หรือแกจะพาเขาขึ้นไปเอง”
“คุณแม่ไม่มีสิทธิ์เอาหนึ่งไปจากผม” ลูกชายย้ำเป็นการปฏิเสธทางเลือกของมารดา “หนึ่งเป็นของผม เขาเป็นเมียผม เขาต้องอยู่กับผม”
“แกมากกว่าที่ไม่มีสิทธิ์” คนเป็นแม่ตอบกลับด้วยสุ้มเสียงที่เริ่มจะไม่พอใจอีกครั้ง “ถามเขาหรือยังว่าต้องการแก อยากอยู่กับแก เขาเต็มใจเป็นเมียแกหรือเปล่า แล้วถามเขาหรือยังว่ารักแกไหม”
“ผมเกลียดลูกชายคุณ” คณิตเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เขาทรมานผม”...ทรมานด้วยการเห็นเขาเป็นของเล่น เป็นเครื่องระบายอารมณ์ใคร่ล้วนๆ สองวันมาแล้วที่อชิตะทำเหมือนเขาเป็นตุ๊กตายาง สอดใส่เข้ามาในช่องทางของเขาเหมือนคนไม่รู้จักพอ ส่วนเขาก็ดิ้นขัดขืนไปเถอะ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของอชิตะ...ของเขาด้วย
“ได้ยินชัดไหมอิง”
“หนึ่งแค่ประชดผม” อชิตะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกรุม
“ผมไม่ได้ประชด” คณิตรีบเอ่ยแก้ทันควัน มองหน้าคนที่กอดเขาไว้แน่นจนเจ็บ “ผมอาจเคยหลงคิดว่ารักคุณ แต่ความจริงผมไม่ได้รักคุณ”...ก็แค่พูดไม่ตรงกับความจริง
“อย่าโกหกหนึ่ง คุณรักผม ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มีความสุขทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” เสียงครางแผ่วหวานคือส่วนหนึ่งของความเต็มใจ
“ผมไม่ได้โกหก!” ตะโกนใส่หน้าคนหน้าไม่อาย ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนซะหน่อย “ผมเกลียดคุณ เกลียดก็คือเกลียด เข้าใจไว้ด้วย!”
“พิสูจน์ไหมหนึ่ง”
“ไม่!” คณิตเกลียดคำว่า ‘พิสูจน์’ จากปากของอชิตะเหลือเกิน เพราะมันมีความหมายไม่ต่างจากคำโกหก “คุณเอมอรช่วยพาผมออกไปทีนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจจับลูกชายคุณ แล้วผมจะหนีไปให้ไกล ไม่ให้ลูกชายคุณหาตัวผมเจอ” เขาหันไปบอกคนที่จะช่วยเหลือเขาได้ หวังว่าเธอจะช่วย เพราะเธอต้องการให้เขาออกไปจากชีวิตอชิตะอยู่แล้ว
“คุณหนีไม่พ้นหรอกหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แม้แต่ในนรก ผมก็จะตามไปหาคุณจนเจอ แล้วอย่าให้ผมเจอคุณนะ เพราะคุณจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป แม้แต่ฝั่งคุณทั้งเป็น ผมก็ทำได้!”
“อิง!” คุณเอมอรเรียกชื่อลูกชายอย่างเหลืออด ทนฟังคำพูดเหมือนคนโรคจิตของลูกชายไม่ได้อีกต่อไป “อย่าให้แม่ต้องโทรไปแจ้งตำรวจจับแกเลยนะอิง” เธอตรงไปกระชากแขนลูกชายให้ปล่อยตัวคณิต แต่ลูกชายไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังกอดรัดคณิตไว้แน่นยิ่งขึ้น ฝ่ายนั้นถึงกับร้องเสียงหลง น้ำตาคลอเพราะความเจ็บ
“โอ้ย...บอสปล่อย...ผมเจ็บ...”
เสียงร้องและใบหน้าแสดงอาการเจ็บปวดยามถูกลูกชายเธอกอด ยิ่งทำให้คุณเอมอรนึกถึงภาพลูกนกในมือลูกชาย เพราะกลัวโดนแย่งเอาไป จึงกำไว้แน่น แน่นจนนกตัวน้อยบี้แบนและสิ้นลมหายใจคามือเล็กๆ
“อิง” เธอทรุดตัวลงนั่งข้างลูกชาย จับมือติดจะสั่นๆ เพื่อเรียกสติคนเป็นลูก พูดบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “น้องเจ็บเห็นไหม ลูกไม่ห่วงน้องหรือไง ปล่อยน้องก่อนนะลูก” คุณเอมอรเปลี่ยนสรรพนามเรียกคนที่ลูกชายกอดด้วยคำที่น่าฟัง แสดงให้ลูกชายเห็นว่าเธอปรานีคนที่เจ้าตัวรัก...ยอมรับ เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น
เธอเป็นแม่ที่ชอบบงการชีวิตลูกก็จริง แต่เธอก็รักลูกทุกคนอย่างสุดหัวใจ ปรารถนาให้ลูกพบเจอแต่ความสุข แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาตามปลอบลูกเหมือนตอนลูกเป็นเด็กน้อยเช่นนี้เลย
“ตัวโตเสียเปล่า อายน้องไหม กล้าเอาตัวน้องมาขัง แต่พอแม่จะเอาน้องไป ทำไมถึงอ่อนแอนักนะ แม่ไม่ได้เอาน้องไปฆ่าแกงที่ไหนซะหน่อยนะอิง...” คุณเอมอรหลอกล่อลูกชายให้ผ่อนความหวงแหนลง “ปล่อยน้องนะลูก ปล่อยก่อน น้องจะได้ไม่เจ็บ” พูดพลางลูบแผ่นหลังลูกชายไปด้วย
อชิตะยอมคลายวงแขนลงแต่ก็ยังกอดคณิตไว้อยู่ เขาเอ่ยกับคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบขึ้น
“คุณแม่กลับไปก่อนได้ไหมครับ ผมขอเวลาปรับความเข้ากับน้องก่อน” เขาเรียกขานคนตัวเล็กตามคำที่มารดาใช้ คิดว่ามันเหมาะกับคณิตไม่น้อย ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม “น้องยังโกรธผมเรื่องหวาน ไม่ยอมให้อภัยผมเลย”
“ไม่ใช่ซะหน่อย ผมไม่ได้โกรธเรื่อง...” คณิตพูดสวนขึ้น แต่ต้องหุบปาก หุบความคิดลง เมื่อคุณเอมอรตวัดสายตามองมาอย่างตำหนิ กล่าวโทษว่าเขากำลังจะทำเรื่องให้ยากขึ้น...ก็ได้ เขาจะปิดปากเงียบ
“เอาละ แม่เชื่อว่าลูกอยากปรับความเข้าใจกับน้อง แต่เอาไว้วันหลังนะอิง วันนี้แม่ขอเอาตัวน้องไปก่อน”
“ผมไม่ให้คุณแม่เอาน้องไป” เพราะหากปล่อยไป อาจเป็นการปล่อยไปตลอดชีวิต
“น้องเป็นคน มีหัวใจนะ ลูกจะบังคับให้น้องอยู่กับลูก ทั้งที่น้องไม่เต็มใจไม่ได้ ส่วนลูก งานการก็ต้องไปทำไม่ใช่หรือไง ไม่เข้า
บริษัทมากี่วันแล้ว” คุณเอมอรแอบตำหนิกลายๆ “สิ่งที่ลูกทำ มีแต่จะทำให้น้องกลัว ปล่อยน้องไปก่อน ให้น้องได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ถ้าน้องรักลูก น้องก็จะไม่ไปไหน...หรือลูกไม่มั่นใจว่าน้องรักลูก”
“ผมมั่นใจว่าน้องรักผม” อชิตะเลื่อนสายตากลับมายังใบหน้าเล็กในวงแขน “เพียงแต่น้องปากแข็ง ไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง” พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจกว่าครั้งไหน คณิตรีบหันหน้าหนีสายตาเขาทันที แต่เขาก็ทันได้เห็นใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ พอให้ชื้นใจขึ้นมาบ้าง
“เมื่อลูกมั่นใจว่าน้องรักลูก ลูกก็ไม่ต้องมีอะไรต้องกังวลนี่ ให้น้องกลับบ้านนะ” คุณเอมอรหว่านล้อม หวังให้ลูกชายเชื่อ
“แต่น้องจะหนี” เอ่ยสิ่งที่หวั่นใจออกมา “น้องดื้อ ไม่ยอมรับความรู้สึกตัว เอาแต่พูดว่าเกลียดผม ทั้งที่ยอมให้ผมกอดทุกคืน” เหมือนจะพูดเพื่อฟ้องมารดาไปด้วย ใบหน้าแสนงอนหันมาค้อนตาขวาง ปากเล็กขยับขมุบขมิบเหมือนจะด่าแบบไม่ออกเสียง
“แม่จะดูแลน้องเอง ไม่ให้หนีไปไหน” คุณเอมอรเสนอตัวช่วยเหลือ เผื่อลูกชายเธอจะได้หมดห่วง แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะดูแลคนที่ลูกชายรักยังไง จะห้ามไม่ให้หนีไปไหนได้แน่เหรอ
“ผมไม่อยากให้คุณแม่ลำบาก” ความหมายที่แท้จริงคือ...ยังไม่ไว้ใจมารดาเท่าไรนัก อชิตะกลัวว่าคนเป็นแม่จะพูดเพื่อให้เขาตายใจ แล้วปล่อยให้คณิตหนีไปภายหลัง
“ไม่ไว้ใจแม่ใช่ไหม” คุณเอมอรถามอย่างรู้ทันความคิดลูกชาย เมื่อลูกชายไม่ตอบแปลว่ายอมรับ เธอจึงพูดต่อ “งั้นแม่จะให้คุณย่าดูแลน้องให้เอง ดีไหม”
“แต่ผมไม่...” คนที่ปิดปากเงียบมาหลายนาทีเอ่ยขัดขึ้น ว่าเขาจะไม่ไปอยู่กับใครที่ไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณเอมอรหรือคุณย่าที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ไปอยู่ด้วยก็เท่ากับว่าถูกจองจำไม่ต่างกันเลย แต่ก็ต้องหุบปากลงเพราะถูกคุณเอมอรส่งสายตาเข้มจัดมาปรามคำพูดที่เหลือของเขา... ก็ได้ ไม่พูดก็ได้ ทำไมเรื่องของเขาแท้ๆ ถึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงเพื่อปกป้องตัวเองนะ คณิตได้แต่คิดอย่างขัดเคืองใจ
“ตกลงตามนี้นะอิง” คุณเอมอรหันมาสรุปกับลูกชาย เมื่อเห็นว่าลูกชายยังลังเล เธอก็รีบเอาแม่สามีมาอ้างอีกครั้ง “แม่ว่าคุณย่ารอพวกเรานานแล้ว ไปเถอะ พาน้องขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แม่จะไปคุยกับคุณย่าเรื่องน้องก่อน”
“คุณแม่จะบอกคุณย่าไหมครับ” อชิตะถาม หมายถึงเรื่องที่เขาเอาคณิตมาขังไว้ในห้องใต้ดิน
“อยากให้แม่บอกไหม” มารดาถามกลับ
“ผมจะบอกคุณย่าเองครับ” ให้คนเป็นย่าได้ฟังจากปากเขาเองดีกว่า
“ไป อุ้มน้องไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว” คุณเอมอรสั่งลูกชายซ้ำอีกครั้ง
“ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” คณิตสะบัดตัวหนีเมื่ออชิตะจะช้อนตัวเขาขึ้น
“ให้พี่เขาอุ้ม อย่าดื้อ” คุณเอมอรรีบปราม เมื่อเห็นว่าคณิตไม่ยอมให้ลูกชายเธออุ้ม แล้วขู่ซ้ำ “ถ้าพี่เขาบ้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วไม่ยอมให้เราไปกับแม่ แม่ก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ เพราะถือว่าเราดื้อเอง ก็ต้องโดนพี่เขากำราบให้หายดื้อด้วยวิธีของเขา” เป็นอีกครั้งที่คุณเอมอรเลือกใช้คำแทนสถานะตัวเองกับอีกฝ่ายเพราะขึ้น สนิทสนมขึ้น เพื่อแสดงถึงการยอมรับ ทั้งหมดก็เพื่อลูกชายเธอ
คณิตคิดว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ที่ได้ยินคุณเอมอรแทนตัวเองว่า ‘แม่’ กับเขา รวมถึงคำที่เรียกขานแทนตัวเขาด้วย เรียกเขาว่า ‘น้อง’ นี่นะ ฟังแล้วไม่ใช่ตัวเขาเลย แถมน้ำเสียงที่พูดกับเขาก็นุ่มนวล ราวกับเป็นคนละคนกับที่เคยตบหน้าเขากลางบริษัท
แต่ก็ช่างเถอะ เขาควรโฟกัสที่คำเตือนของคุณเอมอรมากกว่า อชิตะบ้าได้เกินกว่าที่เขาจะคาดถึง คุณเอมอรก็ขู่ในน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วว่าจะไม่ช่วยเขาอีก หากลูกชายตัวเองเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็ได้...เขาจะยอมให้อชิตะอุ้ม
อุ้มไปสู่อิสรภาพที่ต้องการ
เขาต้องการอิสรภาพจริงใช่ไหม อิสรภาพที่ปราศจากอ้อมกอดของอชิตะ เขาต้องการมันจริงๆ เหรอ?
V
V
อ่านต่อด้านล่าง