รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61  (อ่าน 27811 ครั้ง)

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**********************************************

รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง)

แนะนำก่อนนะคะว่าเรื่องนี้ เมื่อครั้งกะโน้นนนน เมื่อปีพ.ศ. 2555
ได้นำมาลงแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้น แต่งไปด้วย ลงไปด้วย
และก็ทำเป็นหนังสือแล้วนะคะ
สนใจอยากเก็บ "อิงหนึ่ง" ติดต่อสอบถามได้ที่เพจนิยายนะคะ
เพราะตอนนี้มีหนังสืออยู่ในสต๊อกค่ะ พร้อมขายเต็มที่!
ตามลิ้งค่ะ https://www.facebook.com/byaeaw/
หรือตามลายเซนด้านล่างนะคะ

เรื่องรัก...ได้ไหม เป็นหนึ่งในซีรีส์ "รัก..." ของคนเขียน
ซึ่งเขียนจบไปแล้วสองเรื่องคือ "รัก...เธอ" กับ "รัก...เชิญครับ"
ใครยังไม่เคยอ่านก็ย้อนกลับไปอ่านได้ที่ลิ้งนี้ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=22615.0
(มีทั้งสองเรื่องในกระทู้เดียวกัน จบ "รัก...เธอ" ก็ต่อ "รัก...เชิญครับ" เลย)
เพราะเป็นตัวละครที่ต่อเนื่องกัน แต่แยกกันอ่านได้นะคะ แต่ว่าอ่านด้วยกันก็จะดี เพราะเนื้อเรื่องคาบเกี่ยวกันน้อยบ้างมากบ้าง

และทั้ง 3 เรื่องนี้ วางขายใน MEB แล้วนะคะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2018 04:52:33 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
1
“หนึ่ง...” 
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เรียกชื่อเจ้าของร่างเล็กที่เขากำลังหิ้วปีกลงจากรถ พลางหันไปส่งสัญญาณปฏิเสธความช่วยเหลือจากสาวใช้ที่วิ่งออกมาจากตัวบ้านในสภาพงัวเงีย ด้วยเวลานี้ดึกมากจนข้ามไปวันใหม่แล้ว พร้อมกับส่งกุญแจรถให้คนใช้หนุ่มอีกคนเอารถไปเก็บ
“หนึ่ง” เรียกคนตัวเล็กอีกครั้งและเขย่าตัวด้วย
“หื้ออออ...” คนเมาที่ไม่มีแรงเดิน ส่งเสียงครางอือตอบรับ ตาเล็กยิ่งเล็กลงกว่าเดิมเพราะความเมาและความง่วงเข้าครอบงำ
“ไหวไหม” อชิตะถาม กระชับเอวคนเมาแน่นขึ้น เพราะฝ่ายคนเมาทำท่าจะทรุดลงไปกองกับพื้นทางเดิน น้ำหนักตัวทั้งหมดของคนเมาถูกทิ้งมาให้เจ้านายหนุ่มร่างสูงใหญ่รับเอาไว้ทั้งหมด
“หวายยย...คร้าบบบ...บอสสสส...” ปากเล็กฉีกยิ้มตอบรับ คณิตพยายามปรือตามองใบหน้าคมเข้มของเจ้านายหนุ่มที่ก้มใบหน้ามาถาม 
เห็นใกล้แบบนี้แล้ว เจ้านายของเขาหล่อจริงสุดยอด หล่อกว่าไอ้เพื่อนสนิทของเขาเสียอีก คิดถึงเพื่อนสนิท คณิตก็นึกเซ็ง ตั้งแต่คืนดีกับคนรักรอบที่สอง มันหายหน้าหายตาไปจากวงเหล้านับแต่นั้นมาเลย แล้วมันยังทิ้งเขาหนีไปเปิดบริษัทของตัวเองอีก จะโทษภาคีก็ไม่ได้ เพราะเป็นอนาคตของมันและครอบครัว ส่วนเขายังเป็นลูกน้องของอชิตะไปอีกนานหลายสิบปีแน่ คิดไว้งั้นนะ หรือไม่ก็จนกว่าเจ้านายจะไล่ออก แต่ท่าจะยาก เขาน่ะซี้กับเจ้านายสุดหล่อขนาดไหนใครก็รู้ เรียกว่าลูกน้องคู่กายคู่ใจเชียวล่ะ ไม่มีวันที่อชิตะจะไล่เขาออก
นอกจากเป็นลูกน้องแล้ว เขาคิดว่าเขายังเป็นน้องชายของเจ้านายสุดหล่อด้วยนะ ทุกวันนี้ก็แทบจะกินนอนอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว ห้องทางปีกซ้ายของเรือนหอหลังงามที่เขามีส่วนช่วยออกไอเดีย ก็กลายเป็นห้องนอนประจำของเขาไปแล้ว
ข้าวฟรี เหล้าฟรี ที่นอนก็ฟรี นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าที่เมียของอชิตะนะ เขาจะขายคอนโดที่อยู่มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แล้วมาอยู่ที่นี่ซะเลย บอกตามตรงว่าเขาชอบบ้านหลังนี้มาก ไม่รู้ทำไม หรืออาจเป็นเพราะเขาใส่ไอเดียความชอบส่วนตัวของเขาไปกับมันพอสมควร
อาทิ...สระว่ายน้ำที่เจ้าของเรือนหอหลังงามไม่อยากได้ เพราะอยากเอาไว้ปลูกต้นไม้ให้เป็นสวนล้อมตัวบ้านมากกว่า แต่เมื่อเขาบอกว่าบ้านควรมีสระว่ายน้ำ อชิตะก็คล้อยตาม ก่อนจะอนุมัติให้แบ่งพื้นที่ของต้นไม้สีเขียวไว้ให้กับสระว่ายน้ำสีฟ้าใส น่าแหวกว่ายในวันพักผ่อน
ก่อนเดินเข้าบ้าน ต้องเจอสระว่ายน้ำก่อน และเมื่อเห็น วิญาณนักกีฬาว่ายน้ำประจำจังหวัดเมื่อครั้งยังใส่กางเกงขาสั้นก็เข้าสิ่งร่างคณิตทันที
“หนึ่ง...จะไปไหน” อชิตะร้องถามคนเมาที่จู่ๆ ก็ปัดมือเขาออกจากตัว แล้วเดินเป๋ไปเป๋มาไปทางสระว่ายน้ำ เจ้าตัวถอดร้องเท้าและตามถุงเท้าอย่างทุลักทุเลจนสำเร็จ
“อาบน้ำ”  คนเมาหันกลับตอบ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงน้ำแตกกระจาย เมื่อคณิตกระโดดลงสระน้ำทั้งชุดทำงาน  คนที่เดินตามหลังมาได้แต่ส่ายหน้า พลางย่อตัวลงนั่งบนพื้นข้างสระ นั่งดูคนเมาตีน้ำไปมาท่าทางมีความสุขในเวลาตีหนึ่งเกือบตีสองเช่นนี้
“ขึ้นมาเถอะหนึ่ง ดึกแล้ว เดี๋ยวเป็นหวัดเอา” อชิตะตะโกนบอกลูกน้องคนสนิท ที่เวลาเมามายมักซ่าเกินเหตุ เมื่อก่อนมีภาคีคอยกำราบปราบคนเมาให้ มาตอนนี้ไม่มีแล้วเพราะอดีตลูกน้องคงอยากใช้ค่ำคืนกับคนรักของตนมากกว่าจะเที่ยวดื่มกินกับพวกเหมือนแต่ก่อน ส่วนเขาก็ทำอะไรไม่ค่อยจะได้ เพราะเวลาปกติคณิตก็ไม่คิดจะฟังเขาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนเมา คณิตเป็นลูกน้องที่ไม่เหมือนลูกน้อง เหมือนน้องชายที่เอาแต่ใจตัวเองของเขามากกว่า น้องชายที่เขาไม่มีเนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของบิดาและมารดา
“บอสคร้าบบบ...ผมขึ้นไม่หวายยย...ช่วยหน่อยยย...” คณิตตะโกนบอกเสียงยาน จากนั้นหนุ่มหน้าตี๋ผู้มีใบหน้าขาว เล็กเรียวยาวลอยคอมาเกาะขอบสระใกล้ๆ ตรงเจ้านายหนุ่มนั่ง เขายื่นมือที่เริ่มซีดเป็นสัญญาณบอกให้คนข้างบนช่วงดึงตัวขึ้นจากสระ
“จริงๆ เลยนะ” อชิตะส่ายหน้า ปลงกับลูกน้องตัวดี ก่อนขยับตัวให้สะดวกที่จะดึงตัวคนในสระขึ้นมาข้างบน
“ช่วยหน่อยๆ หนาววววว บรื้อออ...” คำพูดและท่าทางหนาวสั่นหลอกล่อให้อชิตะหลงกลยื่นมือไปตรงหน้าคนเมา เพื่อดึงอีกฝ่ายขึ้นจากสระ หนีจากสายน้ำเย็นที่ทำให้ร่างกายเล็กออกอาการสั่น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังถูกลูกน้องตัวดีแกล้ง มารู้ตัวเมื่อเสียท่าไปเสียแล้ว
เพียงแค่มือเล็กเอื้อมขึ้นมาจับ แรงกระตุกเพียงเสี้ยววินาที ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่อชิตะตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ส่งเสียงร้องห้ามเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวินาทีนั้น
“อย่าหนึ่ง!!”
ทว่าไม่ทันแล้ว
ตุ้ม~~!!
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทันทีที่ร่างใหญ่โตของนายจ้างตกลงมาในสระน้ำตามแรงกระตุกลูกน้องหนุ่ม ทั้งที่คณิตไม่ได้ออกแรงอะไรมาก คงเป็นเพราะอชิตะไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้ระวังตัว ไม่คิดว่าจะโดนลูกน้องตัวดีแกล้ง ถึงได้เสียหลักตกลงมาอย่างง่ายดาย
“เล่นเป็นเด็กนะหนึ่ง เห็นไหมว่าผมเปียกไปหมดแล้ว” อชิตะว่าน้ำเสียงเซ็งจัด ทว่าไม่ได้โกรธ มือก็ปาดน้ำออกจากหน้าไปด้วย บอกตามตรงเขาเป็นพวกไม่ถูกกับน้ำ ไม่ชอบสภาพร่างกายเปียกๆ แถมยังต้องมาเปียกทั้งชุดแบบนี้อีกด้วย
“อ้าวว...บอสคร้าบบบ...ตกน้ำก็ต้องเปียกสิคร้าบบบ...เป็นไงคร้าบบบ...สดชื่นไหม...” คณิตยิ้มกว้างล้อ ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเจ้านาย ก็มันน่ากลัวชวนให้สะเทือนซะที่ไหนกัน 
“สดชื่นมาก ขึ้นได้แล้ว” อชิตะเอ่ยบอกแกมสั่ง ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันเสาร์ เขาไม่ต้องไปทำงาน แต่เจ้าลูกน้องตัวดีก็มีนัดคุยงานกับลูกค้า รายนี้เป็นเพื่อนเขาเองแต่ไม่ได้สนิทมากนัก ต้องการสร้างบ้าน Home Office สไตล์ Modern Tropical มันจึงไม่ใช่เวลามาแหวกว่ายในสระตอนตีหนึ่งเกือบตีสองเช่นนี้ เผลอๆ พรุ่งนี้อาจจะไม่สบายด้วยก็ได้   
“ก็ผมอยากว่ายน้ำ” คณิตทำหน้ายุ่ง ค้านคำสั่งของอชิตะ อาการเมาจางลงบ้างแล้วหลังจากที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำนานหลายนาที
“เอาไว้พรุ่งนี้หนึ่ง นี่มันดึกแล้ว เกิดไม่สบายขึ้นมาจะยุ่ง” อชิตะว่า ก่อนจะดึงตัวคนอยากเล่นน้ำขึ้นจากสระ แต่อีกฝ่ายก็สะบัดตัวออก ทำหน้ายุ่งกว่าเก่าเพราะโดนขัดใจ
ยามปกติ คณิตก็ไม่ค่อยจะฟังอชิตะอยู่แล้ว ยิ่งตอนเมาแล้วคงไม่ต้องพูดถึง ตัวดื้อวิ่งพล่านตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปปลายผมสั้นเลยเชียวละ
“ไม่เอา! ผมจะเล่น ไม่ต้องมาห้ามเสียให้ยากบอส!” หนุ่มหน้าตี๋เปลี่ยนเป็นหนุ่มหน้างอแล้วนาทีนี้ ด้วยเพราะความสนิทสนมทำให้คณิตหลงลืมบ่อยมากว่าอชิตะอยู่ในฐานะนายจ้างที่ตนต้องให้ความเคารพและเกรงกลัว ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเองแบบที่ทำในตอนนี้
คณิตเป็นลูกชายคนเล็ก ถูกพ่อแม่ตามใจมาตั้งแต่เล็ก ชายหนุ่มจึงมีนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเองมากหน่อย แล้วที่ผ่านมา อชิตะก็ไม่ได้ทำตัวเป็นเจ้านายที่สร้างความน่าเกรงกลัวให้คณิตสักเท่าไหร่ เจ้าตัวถึงได้ใจและไม่เกรงกลัวอชิตะในฐานะเจ้านายตน
“ตามใจละกัน” อชิตะมองหน้าลูกน้องแล้วส่ายหน้าด้วยความปลง ตอนไม่เมาก็พอพูดรู้เรื่องอยู่หรอก แต่เมาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที เจ้านายแสนดีอย่างอชิตะชินเสียแล้วกับลูกน้องผู้ยิ่งใหญ่รายนี้
“บอสของผมใจดีจริงๆ ครับ” อารมณ์ของคณิตเปลี่ยนเร็วมาก เมื่อครู่หน้าหงิกงอ แต่ตอนนี้กลับยิ้มแฉ่ง ถูกใจที่คนเป็นนายตามใจ
“เล่นให้สนุกละ” อชิตะบอก ตัดสินใจไม่ห้ามแล้ว อยากเล่นน้ำตอนดึกขนาดนี้ก็เอา ตามสบายของคนเมาละกัน ส่วนตัวเขาควรเอาตัวเองขึ้นจากสระเสียที อากาศตอนดึกถึงไม่เย็นจัดแต่ก็จัดว่าเย็น ยิ่งตัวเปียกอยู่ในสระด้วยแล้ว ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่เย็นอย่างเดียวละ เรียกว่าหนาวจนสั่น 
“ไปไหนครับบอส” ทันทีที่อชิตะหันหลังทำท่าจะปีนบันไดขึ้นจากสระ คณิตก็รีบคว้าแขนใหญ่เอาไว้ราวกับเด็กน้อยที่กลัวโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว
“ผมก็จะเข้าบ้านไง” อชิตะหันมาตอบ จะปีนขึ้นจากสระก็ไม่ได้เพราะคณิตยังจับแขนไว้ไม่ยอมปล่อย
“หูยยยย...บอสครับ ทิ้งกันได้ไง เล่นน้ำกับผมก่อน” คณิตรีบท้วงพลางจับแขนบอสหนุ่มแน่นขึ้น เขาชอบว่ายน้ำ แต่ให้ว่ายน้ำคนเดียวตอนดึกดื่นตีหนึ่งตีสองเช่นนี้แล้ว เขาก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ เกิดว่ายๆ อยู่แล้วมีอะไรมาดึงขาเขา ใครจะช่วยเล่า
มีอชิตะอยู่ด้วย อุ่นใจกว่าเยอะ
“เชิญคุณตามสบายเถอะหนึ่ง ขอผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะได้เอาเสื้อผ้ามาให้คุณด้วย” อชิตะบอก แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ยอม
“ไม่เอาครับบอส อยู่กับผมก่อนนะ บอสก็รู้ว่าผมกลัวผี บอสไม่อยู่ด้วยแล้วผมจะเล่นได้ไงครับ นะๆ บอส อยู่ด้วยกัน นะคร้าบๆๆ” หนุ่มตี๋เอ่ยอ้อนเสียงน่ารักจนน่าดีดกะโหลก   
“อ้าว...แล้วผมไม่กลัวเปียกหรือไง” คราวนี้อชิตะหันกลับมาทั้งตัว มองหน้าลูกน้องคนสนิทเป็นเชิงถาม ถึงเขาจะเปียกแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อยากแช่อยู่ในสระนานกว่านี้
“บอสก็...” คณิตทำหน้ายู่ ขัดใจ “อย่าใจร้ายนักซี่ครับ อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”
“ก็ได้ๆ ผมยังจะไม่ไปไหน แต่ขอขึ้นไปนั่งข้างสระรอคุณแล้วกัน” เห็นลูกน้องทำหน้ายุ่งแล้ว อชิตะก็ไม่อยากขัดใจ แล้วพอดีกับที่คนใช้สาวเดินเอาผ้าเช็ดตัวกับผ้าคลุมอย่างละสองชุดมาวางไว้บนโต๊ะข้างสระน้ำให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างรู้หน้าที่ อย่างน้อยขึ้นจากสระได้ เขาก็จะได้เปลี่ยนเอาเสื้อเปียกๆ ออกจากตัวไปก่อน เนื้อตัวจะได้สบายขึ้น จากนั้นก็คงนั่งเฝ้าคนเมาเล่นน้ำได้สบายๆ เพราะเขาไม่ได้ง่วงมากเท่าไหร่อยู่แล้ว ยิ่งเจอน้ำเย็นกับอากาศยามดึกเข้าให้ อาการง่วงมันก็จางลงเรื่อยๆ
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับบอส ให้ผมอยู่ในสระคนเดียว เกิดมีตัวอะไรมาดึงขาผมล่ะ ผมจะทำยังไง” คนขี้กลัวยังค้าน จะเอาให้ได้อย่างใจ แถมชักแม่น้ำมาโน้มแน้วเจ้าของบ้านอีกว่า “เกิดผมจมน้ำตายหน้าบ้านบอสล่ะ เรือนหอรอรักจะกลายเป็นเรือนหอหนึ่งเฮี้ยนน้า” 
“มันจะมีอะไรล่ะหนึ่ง” อชิตะส่ายหน้าเหนื่อยๆ ดูเรื่องที่ยกมากล่อมเขาเป็นสิริมงคลซะที่ไหน
“มีสิครับบอส”
“ถ้ากลัวก็ขึ้น”
“แต่ผมอยากว่ายน้ำ นะครับบอส ว่ายน้ำด้วยกันก่อน แข่งว่ายน้ำกันก็ได้ ใครแตะขอบสระก่อนชนะ คนแพ้เลี้ยงข้าว” คณิตเสนอทางเลือกที่จะทำให้เจ้านายหนุ่มอยู่ในสระกับตัวเองต่อไปอีกสักระยะ...จนกว่าเขาจะเหนื่อยแล้วอยากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ   
“อย่าเลยหนึ่ง” อชิตะปฏิเสธ เขาไม่ชอบแข่งขัน ถึงจะแข่ง เขาก็ชนะคนเมาอยู่แล้ว เลยไม่รู้จะแข่งไปทำไม และเขาอยากขึ้นจากสระเต็มทนแล้ว
“บอสกลัวแพ้ผมใช่ไหมล่ะ ถึงไม่ยอมแข่ง กล้าๆ หน่อยสิครับบอส” คณิตจงใจพูดยั่วด้วยคำท้าทาย หวังให้อีกฝ่ายตกหลุม ยอมแข่งว่ายน้ำกับเขา แต่อชิตะก็ไม่หลงกลคนเมา
“คงจะจริง ผมกลัวแพ้คุณ เอาเป็นว่าผมยอมแพ้คุณนะหนึ่ง คุณชนะแล้ว ผมขึ้นได้แล้วนะ” ว่าแล้วอชิตะก็หันกลับไปปีนบันไดขึ้นจากสระอีกครั้ง 
“หูยยยย...บอสอ่ะ อยู่กับผมก่อนสิครับ” คณิตว่าพร้อมกับดึงแขนบอสหนุ่มเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว
“ไม่เอาน่าหนึ่ง” ข้อมือข้างหนึ่งของอชิตะถูกดึงไว้ไม่ให้ปีนขึ้นจากสระได้ง่ายๆ ชายหนุ่มใช้มือข้างที่เหลือจับราวบันไดไว้ ฝืนตัวไว้ไม่ให้หลุดไปตามแรงดึงที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นของคนเมา
“แข่งว่ายน้ำกับผมก่อน” คณิตยังไม่ละความพยายาม ยิ่งอชิตะไม่อยากเล่นด้วย คณิตก็ยิ่งอยากเอาชนะ ด้วยการพูดให้อชิตะเปลี่ยนใจ “อย่าใจร้ายนักสิบอส ขอแค่นี้เอง เล่นน้ำเองนะ ไม่ได้ชวนบอสไปปล้นบ้านใครสักหน่อย”
“คุณไม่ใช่เด็กแล้วนะ”  ว่าน้ำเสียงระอานิดๆ ที่พูดเท่าไหร่คนเมาก็ไม่ฟัง สงสัยเขาใจดีกับคณิตมากเกินไป อีกฝ่ายถึงไม่กลัวเขาเลย ผิดกับภาคีที่คณิตดูจะเกรงใจมากกว่าเขาซะอีก สงสัยต่อไปนี้ต้องจริงจังและเข้มงวดกับคณิตให้มากขึ้น ต้องขีดเส้นให้ชัดเจนว่าเขาคือนายจ้าง ส่วนอีกฝ่ายคือลูกน้อง ขืนไม่ทำอะไรให้ชัดเจน มีหวังเขาเหน็ดแบบวันนี้บ่อยแน่   
“รู้ครับว่าไม่ใช่เด็ก แต่บอสก็อย่าขัดใจผมสิครับ แค่ว่ายน้ำแข่งกับผมรอบเดียวเอง นะครับบอส นะครับๆๆๆ” คณิตตีหน้าอ้อน ไม่ยอมหยุดความพยายามที่จะเปลี่ยนใจอชิตะให้ได้
อชิตะถอนหายใจยาว สบสายตาดื้อดึงนั้นแล้วก็ถอนใจอีกเฮือกใหญ่ แล้วจึงเอ่ย
“ก็ได้” สุดท้ายอชิตะก็ต้องยอมคนเมา
“ให้มันได้อย่างนี้สิครับบอส”
พอเจ้านายตกลงยอมเล่นด้วย คนเป็นลูกน้องก็ยิ้มร่าทันที แล้วจัดการแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตทันที ก่อนจะถอดมันออกจากตัว โยนไปกองบนขอบสระ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่มีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายมากพอสมควร จังหวะนั้นเองทำให้คนเมาเสียการทรงตัวไปชั่วขณะ ถลาไปด้านหน้า โชคดีอชิตะคว้าตัวได้เสียก่อนที่ใบหน้าจะมุดลงไปในน้ำ
อชิตะคว้าตัวคนเมาไว้ด้วยอารมณ์ตกใจ กลายเป็นว่ามือของเขาคว้าเข้าที่เอวอีกฝ่าย แล้วรวบดึงเข้ามาปะทะตัวอย่างจัง
“ระวังหน่อยหนึ่ง ผมบอกแล้วว่าให้ขึ้น ดูสิ ยืนจะไม่ไหวแล้วเห็นไหม” อชิตะดุคนในวงแขน ทุกครั้งที่อชิตะพูดหรือว่าอีกฝ่าย เจ้ามักจะชอบเถียง ทว่าคราวนี้ต่างออกไป คนตัวเล็กปิดปากเงียบ ไม่เถียงเอาความ ขณะที่ใบหน้าก้มต่ำ สมองคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนขึ้นมา
ความเงียบเข้าปกคลุมภายใต้ความมืดที่มีแสงจันทร์เต็มดวงให้ความสว่าง คณิตเงียบและอชิตะก็เงียบเช่นกัน ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในใจของผู้เป็นนายจ้าง สายตาของชายหนุ่มถูกตึงไว้ด้วยใบหน้าขาวเนียนติดจะซีดเพราะแช่ในสระเป็นเวลานาน มือที่ควรจะปล่อยอีกร่างหนึ่งให้เป็นอิสระกลับกระชับขึ้น เป็นผลให้คนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตา
แม้จะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าที่เขานึกชมว่าหล่อคมเข้ม เพราะรับรู้ถึงแรงกระชับที่มากขึ้นจากมือใหญ่ แต่คณิตก็ยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกพูดเรื่องไหนก่อน ระหว่างเรื่องที่อยู่ในหัวมาตลอดสองสัปดาห์ หรือเรื่องมือของอชิตะที่ยังไม่ยอมออกไปจากเอวเขา มือนั้นบีบกระชับสร้างความปั่นป่วนใจอยู่ลึกๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่ปกติเอาซะเลย ใจเขาก็ด้วย มันเต้นผิดจังหวะอย่างไรชอบกล
“...บอส” 
“หือ...” อชิตะมองเข้าไปในดวงตาเล็กที่เยิ้มเพราะรสเหล้าที่ตกค้างผสมด้วยความสับสนต่อความรู้สึกนึกคิดของตน มือข้างหนึ่งของอชิตะเลื่อนขึ้นมาวางบนกลุ่มผมเปียกของคนตัวเล็กว่า ครั้งแรกกระมังที่เขาทำเช่นนี้ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ใช่ทำเพราะนึกเอ็นดูหรือหมั่นไส้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“บอสเคย...”
“เคยอะไร?” เอ่ยกระตุ้น
แม้ปากจะถามคนที่ก้มหน้ามองน้ำในสระอีกครั้ง แต่มือที่เกี่ยวเอวเล็กซึ่งมันไม่หนาเช่นของตัวเองกลับเพิ่มแรงกระชับมากขึ้น แน่นอยู่แล้วยิ่งแน่นขึ้นอีก รวบถึงดึงให้เข้ามาใกล้กว่าที่เคย ผิวกายขาวที่เริ่มซีดเพราะแช่น้ำในสระเกือบครึ่งชั่วโมง บวกกับลมเย็นที่พัดมาแตะต้อง ทำให้ร่างกายที่คล้ายจะโอบกอดอยู่นี้สั่นน้อยๆ จนนึกอย่างดึงเข้ามากอดให้คลายอาการสั่นหนาว
อยากดึงเข้ามากอดงั้นเหรอ?
อชิตะตกใจกับความคิดของตัวเอง แต่เขากลับไม่ตกใจกับคำพูดที่เป็นคำถามจากปากคนที่ตนคิดอยากกอด
“...บอสเคยจูบผู้ชายไหม?”
ทันทีที่คำถามจบลง ก่อนที่คณิตจะได้รับคำตอบจากอชิตะ ระหว่างนั้นใบหน้าหล่อเหลาได้โน้มต่ำลงมาช้าๆ พร้อมแนบริมฝีปากบนกลีบปากเจ้าของคำถามเบาๆ คล้ายบอสหนุ่มทำไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะถอนสัมผัสเบาบางแต่ติดนานออกมา
“เคย” อชิตะตอบ รอยยิ้มสุขสมบางอย่างแตะแต้มริมฝีปาก ชายหนุ่มมองหน่วยตาเล็กที่เบิกกว้างคล้ายจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกินคาดถึง เนื้อตัวที่เขาสัมผัสถึงเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
“แล้ว...แล้ว...แบบใช้...ลิ้น...บอสเคยไหม?” แม้จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คณิตก็ยังรวบรวมสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วเอ่ยคำถามที่สองออกไป โดยลืมนึกถึงผลที่จะตามมาหลังจากนี้ ว่าก่อนที่เขาจะได้รับคำตอบนั้น ต้องเจอกับการกระทำแบบไหน
ไม่ต่างจากเดิมมากนัก เมื่อใบหน้าของอชิตะโน้มต่ำลงมาอีกครั้ง จุดหมายคือกลีบปากสีซีดและสั่นจนน่าบดขยี้ให้คลายอาการนั้นลง ไม่ใช่แค่คิด ทว่าอชิตะทำทุกอย่างอย่างที่สมองคิดและหัวใจมันแอบบ่งการอยู่ภายใน
ริมฝีปากของคนตัวเล็กกว่าแสนนุ่ม รสชาติหอมหวานที่ทำให้หลงใหลและเผลอไผลไปไกล ลิ้นร้อนทำหน้าที่ผ่านเข้าไปยังโพรงปากที่เจือด้วยรสชาติของน้ำสีอำพัน แล้วเกี่ยวเข้ากับลิ้นเล็กที่เริ่มต้นคล้ายจะหลบหลีก ก่อนจะยินยอมอย่างช้าๆ เมื่อโดนรุกไล่หนักยากจะหนีพ้น มือหนาที่จับเข้าตรงท้ายทอยคนตัวเล็กกว่าก็ช่วยกำราบแรงต่อต้านดิ้นหนีได้ดีเยี่ยม
แล้วคำตอบที่คณิตได้รับก็ไม่ได้ต่างจากคำตอบแรกเลย เมื่อลิ้นร้อนที่เกี่ยวพันถอนตัวออกอย่างผู้ชนะ ทิ้งให้เขาหอบเอาอากาศเข้าในปอดแทบไม่ทัน หัวใจเต้นระรัวเหมือนใครมาสาดกระสุนอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาในสายตาของเขาคลี่ยิ้มบางเบาแต่ปริ่มไปด้วยอารมณ์ที่คล้ายความปรารถนาของผู้ชายทุกคน
ชักไม่ดีแล้วสิ...
“เคย” สุ้มเสียงเบาบางไม่ต่างจากเสียงกระซิบในความเงียบ
“แล้ว...แล้วบอส...รู้สึก...ยังไง...” ถามอย่างไม่รู้จักเข็ด
“อยากจูบอีกครั้ง...มั้ง” อชิตะเอ่ยมันออกมาพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ
คำตอบของอชิตะทำเอาคณิตอึ้งไปชั่วขณะ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังปกป้องตัวเองให้พ้นจากภัยร้ายที่มาในรูปแบบของดวงตาคมระยับสื่อความต้องการเฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
สิ่งที่ตามมาคือคำพูดที่เปลี่ยนเป็นการกระทำ
“ผมอยากจูบคุณ”
“บอส...อื้ม...” ปากจะท้วง หากกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ถูกบดเบียดรุนแรงกว่าสองครั้งแรกมากเหลือเกิน...เกินไปเสียด้วยซ้ำ จนเขาต้องยกแขนทั้งสองข้างเกี่ยวต้นคอหนาเอาไว้ เพื่อให้รับสัมผัสได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่มือหนาของอีกคนลูบไล้สลับกับขย้ำไปทั่วแผ่นหลังเขา และตัวเขาก็เหมือนไม่ใช่ตัวเขาอีกแล้ว มันเหมือนใครก็ไม่รู้ที่มีแค่ความต้องการ แล้วลืมผิดถูกไปจนหมดสิ้น ไม่สนว่าผู้หญิงหรือผู้ชายที่มอบความหอมหวานที่รุนแรงนี้ให้กับเขา
และสิ่งที่จะเกิดตามมาคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...
จุดเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของอชิตะและคณิตจากนี้ไป...

จบตอนที่ 1
ติดตามตอนที่ 2 วันศุกร์นะคะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รอ ด้วยใจระทึก  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
2

เช้าวันนี้ ไม่ได้ต่างจากบางเช้าที่คณิตลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพบกับเพดานห้องสีโอรสและผ้าม่านสีส้มสดทั้งสามด้าน ที่เมื่อเปิดออกจะเจอผนังห้องกระจกใส และเมื่อเปิดประตูกระจกออกมาจะเจอระเบียงโปร่ง มองเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมด้วยตัวบ้านสไตล์โมเดลรูปทรงตัวยูแบบเหลี่ยมสูงสามชั้น
ห้องที่คณิตลืมตาตื่นในเช้าวันนี้ด้วยสภาพปวดหัวนิดตัวรุ่มๆ จากสภาพไข้เล่นงานเป็นห้องนอนของแขก ตัวห้องอยู่ตรงมุมริมสุดของตัวบ้านชั้นล่าง ผนังด้านหนึ่งมองออกไปเห็นสระน้ำสีน้ำเงินสวย ส่วนอีกสองด้านมองเห็นสวนสีเขียวชื่นตา
ทุกเช้าที่ตื่นในห้องนอนแขกที่แทบจะกลายเป็นห้องนอนส่วนตัวของตัวเองไปแล้วนั้น คณิตจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและกระโดดลงสระน้ำตรงระเบียงห้องทันที ทว่าวันนี้คงต้องเว้นไว้สักวัน เพราะโดนไข้เล่นงานเบาๆ ผลจากความซ่าและบ้าเมื่อคืน
เมื่อคืน...
มันไม่ได้มีแค่ความซ่าและบ้าบ้อที่กระโดดลงสระน้ำเย็นๆ เอาตอนตีหนึ่งตีสอง ดำผุดดำว่ายไปมาราวกับเจ้าปลาน้อยเพิ่งเจอน้ำ ซ้ำยังอวดเก่งแก้เสื้อซะงั้น
แต่เมื่อคืน...
เขายังทำเรื่องไว้อีกอย่างหนึ่งด้วย เรื่องที่งี่เง่าและบ้าบอคอแตกมาก แล้วจะเอาหน้าไปเจออชิตะได้ยังไงละเนี่ย คณิตยกมือขึ้นกุมขมับ ด่าทอตัวเองอย่างบ้าคลั่งในใจ
คณิตจำคำพูดของตัวเองได้แม่นยำ พิษไข้ที่น้อยนิดไม่สามารถทำลายความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนได้ เขายังจำได้ทุกคำพูดและทุกการกระทำ รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกในตอนนั้นว่ามันบ้าและกล้ามากแค่ไหน
“...บอสเคยจูบผู้ชายไหม?”
คำถามที่ได้คำตอบเป็นรสจูบที่แสนจะเบาบางแต่ติดนานมาก นานจนมาถึงตอนนี้ จนเผลอขบกลีบปากล่างของตัวเองเบาๆ
มันไม่ใช่จูบแรกของคณิต และไม่ใช่จูบแรกจากผู้ชาย คณิตเคยจูบกับผู้ชายมาแล้วซึ่งไม่ใช่อชิตะ เจ้านายหนุ่มที่ให้คำตอบได้ชัดเจนมาก มากจนทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในอก แล้วมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ถูกอชิตะจูบในค่ำคืนที่ผ่านมา มันมากกว่านั้น  มากจนต้องขอร้องให้หยุดเพราะเขาหายใจไม่ทันและหนาวแบบที่ไม่สามารถอยู่ในสระว่ายน้ำได้อีกต่อไป
อชิตะจูบเหมือนคนไม่รู้จักพอ...
ส่วนเขาก็เหมือนคนไร้สติ ไม่นึกถึงผิดชอบชั่วดี...
“มันเกิดได้ยังไงวะ แล้วจะทำหน้ายังไงเวลาเจอบอส ไอ้หนึ่งนะไอ้หนึ่ง ทำไมมึงเป็นคนอย่างนี้วะ” คณิตพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดเข้ามาในจังหวะนั้นเอง
คนที่คณิตยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเดินเข้ามาในห้อง ตรงมาที่เตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงข้างตัวเขา สาวใช้ที่เดินตามหลังอชิตะเข้ามาด้วยนั้น ถือถ้วยข้าวต้มหอมน่ากินที่ทำเอาท้องของคณิตเริ่มป่วนเพราะความหอมบวกความหิวมาด้วย หญิงสาวที่ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าคณิตสองสามปีวางถ้วยบนโต๊ะข้างเตียงนอน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพราะหมดหน้าที่ของตนเอง
ทั้งห้องเงียบ มันเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างเขากับอชิตะ
เมื่อคืน...เขาจำได้ว่าสาวใช้คนนี้เดินออกมาเห็นเขากับอชิตะจูบกันในสระด้วย
ให้ตายสิวะ! ทำไมเขาต้องบังเอิญเหลือบไปเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องรู้สึกอับอายจนอยากแทรกเตียงหนี หรือหายตัวกลับไปที่คอนโดมิเนียมของเขาในนาทีนี้เลย แล้วจะไม่โผล่มาที่บ้านหลังนี้อีกเลย
แต่ติดที่เขาหายตัวไม่ได้นี่แหละ!
ไอ้บ้าหนึ่งเอ๊ย! หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ 
“เป็นไงบ้างหนึ่ง รู้สึกปวดหัวอยู่ไหม” อชิตะถามทำลายความเงียบที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับคณิต พร้อมกับวางมือบนหน้าผากคนบนเตียง เห็นอีกฝ่ายหลบตาก็อดยิ้มไม่ได้ คณิตไม่เคยหลบสายตาเขาแบบนี้มาก่อน ไม่นับรวมเมื่อคืนนะ
“ก็...ก็นิดหน่อยครับบอส”
คณิตตอบไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบสายตายิ้มๆ ของเจ้านายหนุ่ม เขารู้สึกประหม่าบอกไม่ถูกมันมีความเขินอายผสมลงไปด้วย ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แล้วเขาก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าเหนืออาการตัวร้อนเพราะพิษไข้ที่ไม่มากนัก คือความร้อนผ่าวของใบหน้าเวลาที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาของคนตรงหน้าที่แปลกไปจากเดิม กลายเป็นว่าตอนนี้ถ้วยข้าวต้มเป็นที่ปักหลักสายตาของคณิตไปเรียบร้อยแล้ว
ทำไมตาของอชิตะต้องเป็นประกายวาววับราวกับพึงพอใจอะไรบางอย่างด้วยวะ ซึ่งอะไรบางอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันคือ ‘ตัวเขา’ เอง
ต้องไม่ใช่!
ต้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!
คณิตได้แต่ร้องเอ็ดอึงในใจตัวเอง
“งั้นกินข้าวต้มก่อนนะหนึ่ง กินเสร็จจะได้กินยาต่อ” อชิตะบอก 
คณิตก็เพิ่งเห็นว่าในมืออชิตะมีกระปุกยาอยู่ด้วย ก่อนที่จะวางมันไว้บนโต๊ะแทนที่ถ้วยข้าวต้มที่ยกขึ้นมาถือในมือ
“ผมยังไม่ได้แปรงฟันเลยครับ” คณิตบอก พลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองถ้วยข้าวต้มในมือเจ้าของบ้านมากกว่าที่จะมองหน้า
คณิตรู้สึกเขินที่อชิตะจับช้อนตักข้าวต้มจะป้อนเขา ถึงแม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายหนุ่มบริการดีแบบนี้ หลายครั้งหรืออาจจะนับครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำที่อชิตะทำแบบตอนนี้ ทุกครั้งที่เขาเมาหนักจนต้องมานอนค้างบ้านอชิตะ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าเจ้านายแสนดีจะดูแลเขาอย่างดีเสมอ แต่มันไม่ใช่เช้านี้ที่ผ่านเหตุการณ์ปากต่อปาก ลิ้นเกี่ยวลิ้นมาด้วยกัน แล้วเขาก็ไม่อยากจำด้วยซ้ำว่าอชิตะนอนกอดเขาบนเตียงหลังนี้ ไม่รู้ว่าทั้งคืนหรือเปล่า แต่ก็กอดจนเขาหลับไป ทั้งที่เขาไม่คิดเลยว่าจะข่มตาให้หลับได้อย่างไร หากไม่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็อาจจะนอนอึดอัดตาสว่างจนถึงเช้าก็ได้ 
“ทุกทีก็ไม่เห็นเป็นอะไร” เจ้านายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัย มองใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือความอาย แต่อชิตะกลับคิดว่าเป็นเหตุผลข้อหลังมากกว่า แล้วมันก็ทำให้อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขายอมรับว่าตลอดเวลาที่รู้จักคณิต ตั้งแต่วันแรกที่หนุ่มผิวขาวตาเล็กมาสมัครงานกับเพื่อนซี้อย่างภาคี จนกระทั่งถึงเมื่อคืนที่จะถูกแกล้งดึงตกสระ ลูกน้องคนนี้ทำให้เขายิ้มได้เสมอ เพราะคณิตเป็นคนพูดเก่ง คุยสนุก อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แต่ความสุขในตอนนี้ต่างจากความสุขที่ผ่านมา มันคล้ายมีอะไรบางอย่างที่เรียกว่า ‘พิเศษ’ แย้มบานอยู่ภายในใจของเขา จากเหตุการณ์เมื่อคืน เมื่อได้จูบและได้นอนกอดจนถึงเช้า...รู้สึกอิ่มเอม
อชิตะรู้ดี...
เขารู้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
แม้กระทั่งความรู้สึกตอนนี้ที่เขาอยากดึงเอาคนหน้าแดงที่ไม่กล้าสบตากับเขาเข้ามากอด
...ไม่รู้ทำไม แต่ก็ทำไป
ถ้วยข้าวต้มถูกวางกลับที่เดิม มือที่ว่างลงเอื้อมไปดึงตัวคนตาเล็กที่กำลังเบิกตาโตเข้ามากอด อีกฝ่ายดิ้นแต่ไม่มาก
“ขอผมกอดหน่อยนะ” อชิตะบอกคนในอ้อมกอดที่หยุดดิ้นไปแล้ว หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย และก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ต่างกัน อชิตะสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นแรงของคณิตได้
“.....”
“ตอนบ่ายจะไปพบลูกค้าไหวไหม” ถามน้ำเสียงเป็นห่วง ขณะที่ปากก็จูบซับบนกลุ่มผมนุ่ม เพิ่งรู้สึกเอาตอนนี้เองว่าผมของคณิตหอมชื่นใจได้ถึงเพียงนี้ 
“เอ่อ...ไหวครับ...บอส” สัมผัสเหนือศีรษะทำเอาคณิตใจเต้นตึกตัก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงยอมให้อชิตะกอดและจูบราวกับเป็นคนรักกัน แล้วเมื่อคืนอีกกับจูบที่ยาวนาน จนเขาต้องขอร้องให้หยุดก่อนจะขาดใจตายเป็นผีเฝ้าสระ
เป็นอะไรไปวะไอ้หนึ่ง! ตอนที่โดนไอ้ชิตจูบไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะเว้ย!
เพราะโดนชิตตะวันจูบและเขาไม่นึกรังเกียจนั่นแหละ ถึงทำให้เกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงไม่รังเกียจที่ถูกผู้ชายจูบ เขาเป็นเกย์อย่างนั้นหรือ หรือว่าก็แค่ ‘จูบ’ เอง ไม่ได้แก้ผ้าเอากันซะหน่อย จะเอาไปถามเพื่อนรักอย่างภาคีก็ไม่ได้ เดี๋ยวพิษบ้ามันกำเริบเพราะภาคีไม่ถูกกับชิตตะวันมานานมาก เลยกลุ้มใจอยากรู้ว่าตัวเองเป็นหรือไม่เป็นมาตั้งแต่วันนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าการเอาความหนักใจมาถามนายจ้างจะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น แทนที่จะได้คำตอบว่าผู้ชายจูบกับผู้ชายไม่ต้องเป็นเกย์เสมอไปก็ได้ แต่ดันมาถูกจูบถูกทำมากกว่าที่ชิตตะวันทำซะอีก   
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวผมโทรไปเลื่อนนัดให้” อชิตะบอกเอาใจ พลางคลายอ้อมกอดออก 
ลูกค้าที่คณิตนัดคุยงานด้วยเป็นเพื่อนของอชิตะ มันจึงไม่ใช่เรื่องลำบากมากนักหากจะโทรไปเลื่อนนัดให้ เพราะอยากให้คณิตพักผ่อน ถึงอาการไข้จะไม่ได้มากแต่เขาก็เป็นห่วง บวกกับอาการ ‘หวง’ แบบปัจจุบันทันด่วน เมื่อคิดไปถึงสายตาเพื่อนที่มองคณิตเมื่อวันนั้น รวมถึงคำพูดที่บอกกับเขาว่า ‘สนใจถึงขั้นจริงจังกับคณิต’
“จะดีหรือครับบอส คุณโก้จะไม่ว่าเอาเหรอครับ”
ตอนบ่ายคณิตมีนัดคุยงานกับลูกค้าที่เป็นเพื่อนเจ้านาย ความจริงแล้วเขาก็ไม่อยากไปเท่าไหร่หรอก อันที่จริงต้องบอกว่าไม่อยากรับงานนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ชอบสายตาเพื่อนของอชิตะ ชอบมองเขาแปลกๆ ถึงเนื้อถึงตัวเขาก็บ่อย  มิหนำซ้ำยังชอบนัดคุยงานในวันหยุดแทบทุกครั้ง
“ไม่เป็นไร คุณไม่สบายนี่”
“ก็ดีครับบอส บอกตรงๆ ผมไม่อยากไปเจอเพื่อนบอสเลย” คณิตทำหน้ายุ่ง นึกถึงเพื่อนเจ้านายทีไร ทำเอาเขาเซ็งทุกครั้ง
“ถ้าคุณไม่อยากทำงานนี้ ผมให้ปริญรับผิดชอบแทนคุณเลยดีไหม”
อชิตะก็รู้ว่าคณิตไม่อยากทำงานให้เพื่อนของเขา เคยขอให้เขาเอางานนี้ให้คนอื่นทำ โมโหเขาไปก็หลายรอบเพราะไม่ยอมทำตามคำขอ ตอนนั้นมันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเปลี่ยนให้คนอื่นมาทำแทน บวกกับเพื่อนของเขาก็เจาะจงคณิตคนเดียว เลยไม่อยากขัดใจเพื่อน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว
เขารู้สึกหวงคณิต อยากเก็บไว้มองคนเดียว ความรู้สึกนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน มันรุนแรงเสียจนเขาแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็ชัดเจนดีเหลือเกิน
“ดีมากครับบอส ขอบคุณนะครับบอส” นี่แหละที่คณิตต้องการมาเกือบสองเดือน ทั้งคุย ทั้งขอร้อง และทั้งขู่เจ้านายไปหลายครั้งให้หาคนไปทำงานแทนเขา แต่ไม่เคยสำเร็จสักที
ยิ้มกว้างที่แสดงถึงความดีใจของคณิต ทำเอาคนเป็นนายจ้องใบหน้านั้นไม่วางตา อชิตะนึกถามตัวเองในใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รอยยิ้มของคณิตทำเขาใจสั่นและหวั่นไหว แล้วก็ได้คำตอบแทบจะทันทีว่า ‘เมื่อคืน’
เมื่อคืน...ที่ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
“เอ่อ...บอส...อ่า...บอสครับ...ผม...ผมไป...แปรงฟันก่อน....นะ...ครับ” คำพูดของคณิตขาดเป็นห้วงๆ ความรู้สึกเขินอายที่หลงลืมไปกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อเจอสายตาที่ไม่ปกติของเจ้านายหนุ่ม ดวงตาคมนั้นฉ่ำหวานมองมาด้วยห้วงอารมณ์ปรารถนาที่คนตัวเล็กสัมผัสได้ชัดเจน... เหมือนจะกลืนกินก็ไม่ปาน
คณิตขยับตัว หย่อนขาทั้งสองลงข้างเตียง หวังจะหนีสถานการณ์ที่แสนจะไม่ปลอดภัยตรงหน้า ทว่าก็ถูกรั้งแขนไว้เสียก่อน
“หนึ่ง...” เสียงทุ้มเรียกชื่อแผ่วหวาน ท่วมท้นด้วยความรู้สึกพิเศษ ปรารถนาสิ่งเดียวกับเมื่อคืน ผิวกายเนียนลื่นที่เผลอขย้ำไปหลายหนกับกลีบปากนุ่ม และลิ้นนุ่มแสนหวาน อยากกินให้หายอิ่ม ถ้าเจ้าตัวจะยินยอม
“.....” คณิตช้อนตามองด้วยความรู้สึกล้าๆ กลัวๆ 
“เรื่องเมื่อคืน ผมคิดว่ามัน...”
“เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับบอส” คณิตพูดตัดบทขึ้นมาก่อน เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อคืน แล้วก็ไม่อยากให้อชิตะพูดถึงมันด้วย เขาไม่กล้าพอที่จะนั่งคุยกับอชิตะว่าเรื่องเมื่อคืนมันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเป็นเพราะอะไร หรืออารมณ์อะไรที่ทำให้มันเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา
“แต่เมื่อคืน...”
“ผมปวดฉี่ ขอผมเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” พูดจบคณิตเกาะนิ้วแกร่งออกจากข้อมือ ลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปทันที
*      *      *

‘...ผมไปส่งหวานที่สนามบิน แล้วจะรีบกลับมา อย่าเพิ่งไปไหนนะหนึ่ง รอผมก่อน...’
คณิตอ่านโน้ตที่อชิตะเขียนไว้ให้ หลังจากที่เขาหลบหน้าอีกฝ่ายกว่าสองชั่วโมงในห้องน้ำ จนแน่ใจว่าอชิตะไม่อยู่ในห้องแล้ว คณิตถึงได้ออกมา
“ใครจะไปอยู่รอวะ”
คณิตวางกระดาษโน้ตไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นในตู้มาใส่ ห้องนอนแขกห้องนี้เรียกว่าเป็นห้องของเขาเลยก็ว่าได้ เสื้อผ้าในตู้ก็ของเขาทั้งหมดซึ่งหอบหิ้วเอามาไว้ตั้งแต่อชิตะย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่จะใช้เป็นเรือนหอ
อชิตะกำลังจะแต่งงาน คือสิ่งที่เขารู้ แต่สิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้ล่ะ คือสิ่งที่เขาไม่รู้ เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่เห็นสายตาที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืนของคนที่จูบกับเขา คนที่นอนกอดเขาบนเตียงในห้องนี้
เขากลัว... กลัวตัวเองเป็นตัวแปรที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนรักกันพังทลายลง
เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย...
เขาต้องทำยังไง ต้องทำยังไงให้ทุกอย่างมันกลับไปเหมือนเดิม

*      *      *
 Rrrrrr…
ทันทีที่คณิตก้าวพ้นประตูรั้วออกมา คนที่คณิตกำลังนึกถึงและคิดจะโทรหาก็โทรเข้ามาราวกับรู้จังหวะเวลา รู้ความต้องการของเขา
“โทรมาได้จังหวะเลยนะมึง กูกำลังคิดถึงพอดีเลย”
“ดีใจมากครับที่หนึ่งคิดถึงชิต” ปลายสายตอบกลับมาด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลแกมหยอกเย้า
คณิตมักจะพูด “กูมึง” กับชิตตะวันเสมอ ส่วนชิตตะวันจะเรียกชื่อเขาและแทนตัวเองด้วยชื่อทุกครั้ง และพูดเพราะกับคณิตเสมอ
คณิตกับชิตตะวันรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง ทั้งที่ไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ที่รู้จักกันได้เพราะชิตตะวันขับรถเฉียวเขา อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนยาวนานมาถึงวันนี้
‘ฉันเพื่อน’ คงเป็นเขาฝ่ายเดียวที่คิดอย่างนั้น ส่วนอีกฝ่ายไม่ได้คิดกับเขาอย่างเพื่อนเลย แรกๆ เขาก็ไม่รู้ว่าชิตตะวันชอบเขา ชอบแบบคนรัก อยากได้มาเป็นแฟน แต่ก็สงสัยบ้างนิดหน่อย จากคำพูดของภาคีบ้างที่พยายามไม่ให้ชิตตะวันมาใกล้เขา ไม่ยอมให้เขาไปไหนกับชิตตะวันสองต่อสอง มาแน่ใจก็ตอนที่ถูกสารภาพรักเมื่อตอนเรียนจบ พร้อมกับยัดเยียดจูบแรกจากผู้ชายให้เขาเมื่อสองสัปดาห์ก่อนตอนที่มันมาหาเขาที่กรุงเทพฯและนอนค้างที่คอนโดฯ เขา ชิตตะวันแค่จูบและไม่ได้รุกล้ำด้วยลิ้นแต่อย่างใด
“ชิต”
“ครับ”
“มึงยังรักกูอยู่ไหม” แม้จะถามไปอย่างนั้น แต่คณิตก็แน่ใจว่าเขาต้องได้รับคำตอบที่ต้องการอย่างแน่นอน
“รัก...รักมากด้วย...แล้วก็รักมาตลอด”
“แล้วจะรักตลอดไปไหม”
“ถามแบบนี้ แสดงว่าจะรักชิตตอบเหรอครับ” สุ้มเสียงยินดีดังเข้ามาให้คณิตลอบถอนหายใจเบา ก่อนเอ่ยตอบ
“อืม...คงงั้น”
“เพราะจูบเมื่อคืนนั้นหรือเปล่า”
“คงงั้น”
“ถ้ารู้ว่าแค่จูบเดียว แล้วทำหนึ่งตกหลุมรักได้เนี่ย ชิตน่าจะทำซะตั้งแต่เห็นหน้าหนึ่งวันแรก” คนปลายสายพูดกลั้วรอยขำ
“เออ! งั้นก็รู้ไว้ซะ”
เพราะจูบเดียวของมึงนี่แหละที่ทำให้กูสับสน จนต้องไปตั้งคำถามบ้าๆ กับเจ้านายตัวเองจนเกิดเรื่องบ้าบอขึ้น แถมทำท่าจะลุกลามใหญ่โตเพียงเพราะจูบเดียวแต่หลายครั้งนั้นด้วย
ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้ากับสิ่งที่คิดและตัดสินใจทำลงไป แต่นาทีนี้คณิตขอเลือกใช้วิธีนี้เพื่อให้ทุกอย่างมันกลับไปเหมือนเดิมให้มากที่สุด...
เพราะเขาได้คำตอบแล้วว่า ผู้ชายจูบกันได้ แต่จูบที่ทำให้หัวใจเต้นแรงและหวาดกลัวไปพร้อมกันนั้นเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียวเท่านั้น

****
จบตอนที่ 2
ตามตอนที่ 3 วันอาทิตย์นะคะ
ปล.กดเป็ดให้ MAGNOLIA แล้วนะคะ สำหรับเม้นท์แรกในกระทู้อิงหนึ่ง
อย่าทิ้งกันไปไหนนะคะ เดี๋ยวเรามาดู #บอสเทเมีย ด้วยกัน
****
 :mew1:

ออฟไลน์ NOoTuNE

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +317/-15
มาเป็นกำลังใจให้ ตามมาตั้งแต่อันเก่า

หวังว่าอันนี้จะรอไม่นานนะคะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
3

“พี่อิงคะ ใจลอยไปไหนเนี่ย ไปสนามบินต้องเลี้ยวซ้ายนะคะ”
ณัชชามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนคู่หมั้นหนุ่ม นึกสงสัยวันนี้อชิตะเป็นอะไร ดูใจลอยๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ไปรับเธอที่คอนโดฯ แล้วล่ะ
“อ้าว...เหรอครับ...สงสัยพี่จะเครียดเรื่องงานไปหน่อย” อชิตะเอ่ยแก้ตัวด้วยคำพูดเดิม พลางหาจุดเลี้ยวรถ
“เครียดอะไรกันนักหนาคะพี่อิง นี่มันวันหยุดนะ หยุดคิดเรื่องงานบ้างก็ได้ หวานไม่ชอบเลย” หญิงสาวว่าแกมบ่นเล็กๆ อชิตะบอกเธอแบบนี้มาหลายรอบแล้วตั้งแต่ที่เจอหน้ากัน ซึ่งมันก็แปลก แต่ไหนแต่ไรคนรักของเธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หมายถึงว่าไม่เคยเก็บเรื่องงานมาคิดในวันหยุด หรือไม่ก็ตอนที่อยู่กับเธอ อชิตะแทบไม่เคยมีคำว่างานออกจากปากเลย
“พี่ขอโทษครับ” อชิตะเอ่ยคำขอโทษออกมาเบาๆ จากนั้นก็เหลือเพียงความเงียบและความสงสัยที่ดังกระหึ่มในใจของสาวคนรัก จนกระทั่งถึงสนามบิน
ณัชชาทั้งสงสัยและน้อยใจกับท่าทีผิดจากเดิมของคนรัก เพราะพอเธอเงียบเพื่อให้อชิตะง้อ แต่เขากลับเงียบและเหมือนจะพอใจเสียมากกว่าที่ไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน
“ถ้าพี่อิงเหนื่อยมากก็ไม่ต้องไปส่งหวานก็ได้นะคะเดี๋ยวหวานเดินไปเองได้” เธอบอกคนรักขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว   
            “ได้ไงล่ะครับ พี่จะปล่อยให้หวานเดินไปคนเดียวได้ไง อย่างอนนะครับ วันนี้พี่แค่เหนื่อยๆ ป่ะ...ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไม่ทัน” อชิตะส่งยิ้มให้คนรักเหมือนเดิมแต่เหมือนข้างในจะไม่เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เขาควรจะง้อหญิงสาวตั้งแต่เธอฟังคำขอโทษจากเขาแล้วก็เงียบไป เขาเหมือนไม่ใช่อชิตะคนเดิม ตั้งแต่เดินออกจากห้องนั้น ตั้งแต่ที่อีกคนหนึ่งเหมือนจะหลบหน้าเขา ใจเขาก็เหมือนไม่อยู่กับตัวเองเลย มันคอยคิดถึงแต่ลูกน้องคนสนิทที่เขาเขียนโน้ตทิ้งไว้ว่าให้รอเขาอย่าเพิ่งไปไหน... ไม่รู้จะเชื่อหรือเปล่า
*      *      *
            “ไม่ทราบว่ากูบอกมึงตอนไหนว่าจะเอาห้องหวานแต๋วแตกแบบนี้ห๊ะ...ไอ้คุณชิตตะวัน” คณิตหันไปถามคนที่เดินตามหลังเข้ามาในห้องพักบนชั้นสิบของโรงแรมระดับสี่ดาวติดทะเล เบื้องหน้าของเขาคือเตียงนอนขนาดใหญ่สีขาว กลีบกุหลาบสีชมพูถูกโรยเป็นรูปหัวใจ
คนถูกถามยิ้มกรุ่มกริ่ม เดินเข้าไปใกล้คนถามที่ยืนเท้าสะเอวมองหน้าตน คณิตทำหน้าไม่สบอารมณ์แบบไม่จริงจังนักแค่นี้ก็ทำให้ชิตตะวันรู้แล้วละว่า ความพยายามมาตลอดหลายปีของเขาเริ่มเห็นผลแล้ว อย่างน้อยหนุ่มหน้าขาวดวงตาเรียวเล็กก็เป็นฝ่ายมาหาเขาถึงที่นี่ แถมยังชวนเขาให้นอนเป็นเพื่อนในคืนนี้ด้วย
“หนึ่งไม่ชอบเหรอครับ”ชิตตะวันถามเสียงหวาน เขาดึงคนตัวเล็กเข้ามากอด คณิตตัวเล็กเพราะไม่ล่ำ ไม่อ้วน เรียกว่าผอมเลยก็ได้ และสูงเลยไหล่เขาไปแค่นิดเดียวเอง
“ถ้าบอกว่าไม่ชอบแล้วจะเปลี่ยนห้องให้ปะล่ะ” คณิตถาม หนุ่มหน้าขาวไม่ได้มองหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่ เพราะเขากำลังถูกกอด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคณิตคงไม่ยืนให้ผู้ชายกอดแบบนี้หรอก คงได้ศอกกลับแน่ๆ แต่เพราะเป็นตอนนี้เขาถึงยอม จำใจยอมเพื่อแผนการในหัว
สมองตื้นๆ ของเขาคงคิดได้แค่วิธีนี้แหละ วิธีที่จะหยุดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้...
“ห้องเต็มหมดแล้วเปลี่ยนไม่ได้หรอกครับหนึ่ง” น้ำเสียงของชิตตะวันฟังดูมีความสุขมาก ไม่มีครั้งไหนที่เขาได้กอดชายหนุ่มตัวเล็กแล้วไม่โดนเตะหรือโดนศอกเหมือนครั้งนี้ 
“ให้มันจริงเถอะ แล้วนี่ด้วย จะกอดทำไม ปล่อยได้แล้ว มึงชอบกอดผู้ชายมากหรือไง” คนตัวเล็กกว่าด่ากลายๆพลางดิ้นน้อยๆ ให้คนตัวใหญ่กว่าปล่อย เพราะเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะไม่แค่กอดธรรมดา เนื่องจากมือปลาหมึกชักจะเริ่มทำงาน
“ก็หนึ่งน่ากอด” ชิตตะวันเอ่ยย้อนด้วยรอยยิ้มเย้าแหย่ ก่อนจะปล่อยคณิตออกจากวงแขน ทั้งที่ในใจอยากจะกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แถมอยากจะอุ้มไปวางบนเตียงด้วยซ้ำไป แล้วอยากจะทำอะไรกับคนคนนี้ที่เดินไปเปิดประตูระเบียงพาตัวเองไปรับลมชมวิวทะเลเบื้องหน้าด้วยแต่ไม่กล้า ถ้ากล้านะ คณิตคงไม่รอดมือเขามาถึงทุกวันนี้หรอก ต่อให้ภาคีจะหวงคณิตเหมือนหมาแม่ลูกอ่อนก็ตาม ถ้าเขาจะเอาก็เอาได้ แค่ไม่อยากได้ตัวคณิตมาแบบที่เจ้าตัวไม่สมยอมมากกว่า เพราะกลัวถูกเกลียด 
“ชอบได้ไงวะนมก็ไม่มี ก้นก็ไม่มี แถมยังมีไอ้จ้อนเหมือนมึงอีก” คณิตถามเขาไม่ได้หันกลับไปมองเจ้าของโรงแรมที่เปิดห้องให้เขาพักฟรีๆ เท่าที่เขาอยากพัก กี่คืนกี่วันก็ได้ หรือจะตลอดไปก็ยังได้ แม้ไม่ได้หันไปมอง คณิตก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดินตามเขาออกมา
“ก็ชิตชอบหนึ่ง” เมื่อเดินมาถึง ชิตตะวันสวมกอดคนตัวเล็กกว่าจากด้านหลัง
“แค่ชอบเหรอ? กูนึกว่ามึงรักกูซะอีก แล้วก็เอามือออกจากเอวกูได้แล้ว ปากมึงด้วย ไม่เหม็นหรือไงกูไม่ได้สระผมมาหลายวันนะมึง” พูดสั่งก็เหมือนว่าอ้อนให้เจ้าของท่อนแขนรัดเอวเขาแน่นขึ้น
“รักสิครับ ชิตรักหนึ่งจะตายไป รักตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรก รักมาตลอดเลยนะครับอยากกอดหนึ่งอย่างนี้มานานแล้ว ให้ชิตกอดนะครับ”
“เออๆ อยากกอดก็กอด แต่อย่าล้วงกูแล้วกัน ไม่งั้นมึงโดนกูต่อยแน่” บอกไปแล้วก็เหมือนว่าใบหน้าที่เคยคลอเคลียอยู่บนหัวเขาก็เริ่มจะเลื่อนต่ำลงมาถึงแก้ม ก่อนจะจับตัวเขาหันกลับมาสบตา ใบหน้าที่เรียกว่าหล่อมากก้มเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งบังคับนิดๆ ให้เขารับรสปากของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ จูบนั้นเริ่มจากนุ่มนวลก่อนจะหนักหน่วงขึ้นตามระยะเวลาที่พัวพันกันมากขึ้น
“อื้อ...”
เสียงเล็กๆ ที่ผ่านออกมาจากปากบางทำให้ชิตตะวันฮึกเหิม เมื่อครู่แค่คิดจะแค่แตะเฉยๆ แต่เมื่อเจ้าของริมฝีปากไม่ขัดขืน ยินยอมไปกับการกระทำของเขา เลยทำให้ไม่อยากหยุด อยากทำเหมือนที่ใจอยากทำมาตลอด
“...อื้อ...กะ...กู...บอกว่าอย่าล้วงไง” คณิตผลักร่างใหญ่กว่าออกไป แต่ก็เหมือนผลักกำแพงหนา มั่นคง แข็งแรง ไม่เขยื้อนไปไหน
“ก็ชิตอยาก...” ชิตตะวันยิ้มเปี่ยมความหมาย
“อยากอะไรของมึง”
“อยาก...ได้หนึ่งเป็นเมีย” บอกยิ้มๆ แล้วหอมแก้มที่เหมือนจะขึ้นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ยิ่งมองยิ่งชอบ นี่แหละน่าถึงทำให้เขาหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น คณิตจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าตัวเองน่ารักมากขนาดไหน ตาเล็กๆ หน้าขาวๆ ปากบางๆทุกอย่างของคณิต มันโดนใจเขาไปหมด
“มึงไม่อายปากบ้างหรือไงวะ กูผู้ชายนะโว้ย ปล่อยๆ... ปล่อยเลยๆ กูหิว กูจะไปกินข้าว”ครั้งนี้คณิตออกแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าและมันพอที่จะทำให้หลุดออกมาได้
ชิตตะวันทำหน้าเสียดาย
“ชิตก็หิวครับ...”
คณิตมองหน้าคนที่บอกว่าหิว ดวงตาที่มองสบวิบวับราวกับดวงดาว
“...หิวหนึ่ง ถ้าได้กิน ชิตคงอิ่มไปถึงวันตาย”
คนพูดยิ้มกว้างแต่คนฟังได้แต่ส่ายหน้า ฟังมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ เมื่อก่อนคิดว่าพูดเล่นนานวันเข้าก็เริ่มรู้แล้วว่าเป็นคำพูดจริงจัง
“เอาเถอะ ว่างๆ แล้วกูค่อยให้มึงกิน แต่ตอนนี้กูหิวมาก มึงกรุณาพากูไปกินข้าวเดี๋ยวนี้ อ้อ...แล้วเลี้ยงกูด้วยนะ วันนี้กูมาแต่ตัว” คณิตรีบบอก ก็รู้แหละว่าถึงไม่บอกให้เลี้ยง ชิตตะวันก็เลี้ยงเขาทุกครั้งนั่นแหละเพราะมันรวยกว่าเขา 
“ยินดีอยู่แล้วครับ รู้ไหมว่าชิตอยากเลี้ยงหนึ่งไปตลอดชีวิตเลยนะครับ ถ้าหนึ่งจะยอม”
“ยอมให้มึงกินกูว่างั้น” คณิตยักคิ้วถาม กอดอกเอนตัวพิงราวระเบียง มองสบตาคนตรงหน้าเขาอยากค้นหาความจริงจากแววตาของอีกฝ่าย
“ใช่ครับ” น้ำเสียงที่บอกหนักแน่น
“ทำไมวะทำไมมึงถึงชอบกู กูเป็นผู้ชายนะ”
“ก็คงเหมือนเพื่อนสนิทของหนึ่งแหละ เคยถามเพื่อนตัวเองไหมว่าทำไมถึงรักชอบผู้ชายด้วยกันได้ คำตอบของชิตก็เหมือนเพื่อนของหนึ่ง ในเมื่อรักแล้ว ไม่เกี่ยวหรอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย รักก็คือรัก รักแล้วก็อยากครอบครอง อยากเอามาเป็นของตัวเอง อยากให้อยู่ใกล้ อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”
“จะเชื่อดีไหมว่ามึงชอบกูจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากลองของแปลกอย่างกู” คณิตว่าแก้เขิน ยอมรับเลยว่าฟังแล้วมันรู้สึกถึงความจริงใจของอีกฝ่ายที่ล้นทะลักออกมา
“เขินเหรอ” ชิตตะวันถาม เขาเห็นดวงตาเล็กมีแววเขิน แตกต่างจากทุกครั้งจนน่าแปลกใจ
“เออสิวะ...กูก็คนนะ มึงพูดแบบนี้ ส่งสายตาแบบนี้ ไม่ให้กูเขินแล้วจะให้กูแกล้งตายหรือไง” คณิตว่าหน้ามันร้อนๆ พานไม่อยากมองตาหวานๆ ของชิตตะวัน เลยต้องหันไปมองทะเลแทนกลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ชิตตะวันเข้ามาสวมกอดเขาอีกครั้ง
“ทำไมวันนี้หนึ่งน่ารักจังครับ” เขาถามอยู่ใกล้ใบหูเล็ก ก่อนจะหอมแก้มขึ้นสีทั้งซ้ายและขวา โดยที่เจ้าของแก้มไม่ว่าอะไรเขาเลยสักคำ
“ทุกวันกูไม่น่ารักว่างั้น” คณิตย้อนถาม
“น่ารักทุกวันครับ แต่วันนี้น่ารักเป็นพิเศษ” บอกเสียงหวาน
“ชมกูว่าหล่อเถอะว่ะ บอกว่ากูน่ารักแล้วมันทะแม่งๆ ว่ะ กูไม่ชอบ” คำว่า ‘น่ารัก’ ฟังแล้วไม่ใช่เขาเลยจริงๆ ผู้ชายแท้ที่ไหนว่าปลื้มที่ถูกชมว่าน่ารัก ยังไงซะเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ชายนะ แม้ตอนนี้ความคิดจะถูกสั่นคลอนและการกระทำกับลังพาตัวเองไปสู่สถานการณ์สุ่มเสี่ยงตกเป็นเมียของผู้ชายด้วยกันเองก็เถอะ
“ไหนขอดูหน้าหน่อย” ชิตตะวันดึงไหล่เล็กให้หันมาหาเขา ก่อนช้อนใบหน้าขาวให้เงยขึ้น ให้ดวงตาได้ประสานกัน  “ตรงไหนหล่อ ถ้าหล่อก็ต้องชิตนี่ แบบนี้ถึงเรียกว่าหล่อ”
“เออ! มึงหล่อ” คณิตดึงมือใหญ่ออกจากหน้าตัวเอง ความจริงชิตตะวันก็หล่อจริงๆ หล่อมาตั้งแต่เกิดแล้วมั้ง ส่วนเขายอมรับตรงๆ เลยว่าไม่ได้หล่อเลยสักนิด ก็แค่ผู้ชายหน้าตี๋ตาเล็กหาได้ทั่วไปตามท้องถนน
“หนึ่งครับ...” เป็นอีกครั้งที่ชิตตะวันดึงใบหน้าเล็กให้เงยขึ้นมาสบตาเขา เพราะอีกฝ่ายพยายามหันหน้าหนี “ชิตรักหนึ่งจริงๆ นะครับ ไม่ได้พูดเล่น แล้วตอนนี้ชิตก็อยาก...”
คำพูดที่มาพร้อมกับแววตาวิบวับ คณิตจะหลบสายตาก็ไม่ได้ เพราะมือใหญ่บังคับใบหน้าไม่ให้หนีไปไหน
“...อยากกินกู”
“อยากกินข้าวครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ชิตตะวันหัวเราะเสียงดังเมื่อเจ้าของใบหน้าขาวทำตาโตใส่เขา ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะด่า ก่อนจะกระแทกเสียงตอบด้วยอาการหงุดหงิดเพราะถูกแกล้งให้อาย
“เออ...กูก็หิว!”
Rrrrrr...
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของคณิตแผดเสียงร้อง  เจ้าตัวล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดตัดสาย 
“ใคร?” ชิตตะวันถาม
“กิ๊กกูว่ะ เลยไม่อยากรับ กลัวแฟนใหม่เสียใจ” คนตัวเล็กบอกขำๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วโยนโทรศัพท์ไปที่เตียงนอนกลางห้อง ขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกรอบ
Rrrrrr...         
“บอส...” ชิตตะวันที่เดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาอ่านชื่อบนหน้าจอสี่เหลี่ยม “...จะไม่รับหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มสงสัย
“วางไว้ตรงนั้น แล้วพากูไปกินข้าว กูหิว ไม่มีเวลามานั่งรับโทรศัพท์เจ้านายตอนวันหยุดหรอกนะโว้ย”
“แน่ใจ?”คำพูดของคนตัวเล็กยิ่งทำให้ชิตตะวันสงสัยมากขึ้น จากที่เคยพบเจอเจ้านายของคณิตทั้งคู่ดูจะสนิทสนมกันมาก 
“เออ! เร็วสิวะ กูหิว เข้าใจไหม หรือว่าจะให้กูขับรถกลับไปกินที่กรุงเทพ เอาไหม” คณิตขู่ และมันได้ผล
“ครับ” จำต้องวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะก้าวเท้าตามคนตัวเล็กที่เดินออกจากห้องไปแล้วแต่ความสงสัยก็ยังไม่หมดไป
*      *      *

อชิตะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากวางมันลงมือชั่วโมงก่อน เนื่องจากเจ้าของเบอร์โทรที่เขาโทรหาไม่ยอมรับสาย สี่สิบกว่าครั้งที่เขาเพียรโทรไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย ทั้งที่ก็รู้ว่าลูกน้องของเขาคงไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขาแน่ๆ แต่อดที่จะโทรไปหาไม่ได้
ชายหนุ่มตัดสินใจโทรอีกครั้ง
“รับหน่อยนะหนึ่ง ผมอยากคุยกับคุณ...”
เขากดโทรออกนั่งฟังเสียงสัญญาณจากอีกฝั่งหนึ่ง ไม่นานนักความหวังก็เป็นจริง
“...สวัสดีครับ”
“...หนึ่ง” อชิตะดีใจที่ความพยายามของเขาได้ผล
“ไม่ใช่ครับคุณอิง ผมชิตครับ”
เสียงปลายสายที่ตอบกลับมาทำให้ความดีใจเมื่อครู่ชะงักลงทันที ไม่ใช่คณิตอย่างที่เขาคิด
“ชิตเพื่อนหนึ่งใช่ไหม” เขาถามกลับ
“ใช่ครับ ผมชิต แต่ไม่ได้เป็นเพื่อนแล้ว ผมกับหนึ่ง เราเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วครับคุณอิง” เพราะอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในความสงสัย ทำให้ชิตตะวันบอกเจ้านายของคณิตไปอย่างนั้น
“.....”
คำบอกของปลายสายทำเอาอชิตะอึ้งไปชั่วขณะ เคยได้ยินภาคีพูดอยู่เหมือนกันเรื่องที่ชิตตะวันชอบคณิต เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจใส่ใจมากนัก ใครจะรักชอบคณิต หรือคณิตจะรักชอบใคร ไม่เกี่ยวกับเขา ทว่าวันนี้คำว่า ‘ไม่เกี่ยวกับเขา’ มันใช้ไม่ได้แล้ว ต้องบอว่า ‘เกี่ยวกับเขาไปซะแล้ว’
ในเมื่ออชิตะรู้สึกไปซะแล้วว่า ‘คณิตควรเป็นของเขา’
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวดเร็วแต่อยากจะลบล้างหรือทำลายลงได้
“เรียกหนึ่งมาคุยกับผมหน่อย” เขาสั่ง ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นลูกน้องคนหนึ่ง 
“หนึ่งอยู่ในห้องน้ำ มีธุระอะไรก็ฝากผมไว้ก่อน หนึ่งออกมาแล้วผมจะบอกให้ครับ”
“ไม่เป็นไร ผมค่อยโทรมาอีกครั้งจะดีกว่า บางเรื่องผมก็อยากจะคุยกับหนึ่งด้วยตัวเอง” อชิตะรู้สึกไม่พอใจกับคำบอกที่ได้ยินเป็นอย่างมาก
“แต่ผมกับหนึ่งเราคุยกันทุกเรื่องนะครับ เรื่องของหนึ่งก็เหมือนเรื่องของผม”
“แต่บางเรื่องผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องระหว่างผมกับหนึ่งแค่สองคน คนอื่นไม่เกี่ยว” ปลายเสียงบอกถึงความไม่สบอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้น อชิตะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมภาคีถึงไม่ชอบหน้าชิตตะวันนัก เจอกันทีไรแทบจะลงไม้ลงมือกันทุกครั้งร่ำไป 
“หรือครับ...” อีกฝ่ายจงใจลากเสียงยาวยั่วอารมณ์ต่ออย่างนึกสนุก “ตอนนี้อาจเป็นคนอื่น แต่ผ่านคืนนี้แล้ว ผมกับหนึ่งคงไม่ใช่คนอื่นแล้วครับ...อ้อ ผมลืมบอก หนึ่งฝากผมบอกคุณอิงว่าขอลาพักร้อนสักอาทิตย์หนึ่งนะครับ” น้ำเสียงยียวนส่งผ่านไปยังอีกฝั่ง ชิตตะวันอยากเห็นหน้าคนฟังนักว่าจะเป็นเช่นไร แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ชัดขึ้น ความสงสัยบางอย่างถูกคลี่คลายไปบ้างแล้ว
อชิตะต้องคิดไม่ซื่อกับคณิตของเขาแน่ๆ
“...คุยกับใครชิต”
เจ้าของโทรศัพท์เอ่ยถามขึ้นมาทันทีเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมา คณิตเห็นโทรศัพท์ของตนอยู่ในมือชิตตะวัน
“คุยกับบอสของหนึ่งไงครับคนดี” ชิตตะวันหันมาตอบ จงใจไม่ขยับโทรศัพท์ออกจากปากเพราะอยากให้คนอีกฝั่งได้ยินชัดเจน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าของเบอร์โทรว่าถึงขั้นไหนกันแล้ว
“แล้วใครบอกให้รับวะ เอามา” คณิตทำเสียงไม่พอใจ ยิ่งไม่พอใจเข้าหนักเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน ยังทำหน้าระรื่นเดินเข้ามาหาเขา แถมยังแกล้งพูดเสียงดัง ดังพอที่เขารู้ว่าคนอีกฝั่งหนึ่งต้องได้ยินชัดแจ๋วแน่
“...เมียใครก็ไม่รู้ตัวห้อมหอม ขอหอมหน่อยนะครับที่รักของชิต”
“เอาโทรศัพท์มา!” พูดพร้อมผลักใบหน้าที่ยื่นมาใกล้ให้ออกไป อีกมือก็แย่งโทรศัพท์ของตนคืนมา
คณิตคว้าโทรศัพท์ดึงโทรศัพท์คืนมาได้ จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไปคุยที่ระเบียง แต่ไม่วายที่ชิตตะวันจะเดินตามออกมาด้วย เจ้าตัวสวมกอดเขาจากด้านหลัง
“ชิต! ปล่อย แล้วเข้าไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะได้นอนด้วย” ถึงคำพูดจะเหมือนต่อว่าคนที่กอดเขาในตอนนี้ แต่คณิตก็อยากให้คนปลายสายได้ยินไปด้วยกัน เผื่อจะช่วยให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมได้เร็วขึ้น
“...ชิตรู้แล้วว่าทำไมหนึ่งถึงมาอยู่ตรงนี้กับชิต”ครั้งนี้ชิตตะวันพูดเบาๆ เขาไม่ได้ต้องการให้อีกคนหนึ่งที่อยู่ปลายสายได้ยิน
คณิตหลบสายตารู้เท่าทันสิ่งที่ตนทำ ก่อนจะหันหลังไปมองท้องฟ้าสีเทาด้านบน ชิตตะวันเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วคณิตถึงได้กรอกเสียงไปหาคนอีกฟากหนึ่ง
“ว่าไงครับบอส มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 
“ผมไม่ให้คุณลา! แล้วกลับมาเดี๋ยวนี้!” อชิตะใช้น้ำเสียงที่ไม่เคยใช้มาก่อนกับคณิต ทั้งวางอำนาจและเผด็จการในฐานะนายจ้างที่จ่ายเงินเดือน 
“ไม่ให้ลา...งั้นผมก็ลาออกแล้วกันนะครับบอส แค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยวก่อนหนึ่ง!...หนึ่ง...”
คณิตตัดสายทิ้งก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ ยืนรับลมยามค่ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องก็เจอเจ้าของโรงแรมยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงตั้งคำถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างหนึ่งกับคุณอิง”

*****
จบตอนที่ 3
ตามตอนที่ 4
วันที่ 18
****
คุณ NOoTuNE คะ รับรองว่าเรื่องนี้ไม่ค้าง ไม่ดอง มาวันเว้นวัน จบแน่นอนค่ะ ^_^
ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ เตรียมดราม่าน้ำตาแตก 55555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว ค้างมาก
แต่ละคนหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
4

‘เกิดอะไรขึ้นระหว่างหนึ่งกับคุณอิง’

เป็นคำถามที่คณิตไม่อยากตอบ แต่เหมือนว่าสายตาที่จ้องมาอย่างไม่กระพริบ จริงจังและขึงขังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอจากชิตตะวัน มันคงอยากได้คำตอบจากเขามากเหลือเกิน

“มึงจะถามกูทำไมวะ”

“ถามให้ได้ตอบไง”

“มันเรื่องส่วนตัวของกู มึงไม่ต้องรู้หรอก ไม่ใช่เรื่องของมึง” คณิตทำโวยวายแกล้งกลบเกลื่อน

“หนึ่งจะบอกหรือไม่บอก” เสียงแข็งๆ ไม่ได้ทำให้เจ้าของชื่อกลัวหรอก แต่สิ่งที่ทำให้กลัวในเวลานี้คือเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นต่างหาก

Rrrrrrrrr…..

‘ติน’ ชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอทำเอาคณิตร้อนๆ หนาวๆ

“ขี้ฟ้องซะมัด”

คณิตพึมพำกับตัวเองก่อนจะกดรับสายของภาคี ความจริงเขาไม่ได้อยากรับสายหรอก เพราะรู้อยู่ว่าเพื่อนบังเกิดเกล้าโทรมาเพราะอะไร คงรู้สินะว่าเขาอยู่กับศัตรูตัวฉกาจของมัน และไม่บอกก็รู้ว่าภาคีรู้จากใคร ก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาอยู่กับไหน อยู่กับใคร

คนที่เขาเพิ่งวางสายไปเมื่อครู่

คนที่ทำให้ทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทีละนิด

และเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกใจหวิวๆ เมื่อพูดคำว่า ‘ลาออก’ คำพูดที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเอ่ยมาในเวลารวดเร็วเช่นนี้

“มึงไปหามันทำไม กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะหนึ่ง!” ทันทีที่กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเข้มสุดๆ ของภาคีก็ดังขึ้นมาทันที ดังถึงขนาดที่ว่าชิตตะวันยังได้ยิน

“ครับพ่อตินของหนึ่ง...หนึ่งจะกลับเดี๋ยวนี้ละคร้าบบบบ พอใจแล้วใช่ไหมมึง” คณิตลากเสียงยาวตอบอย่างประชด ก่อนกดตัดสายทิ้งทันที แล้วหันไปบอกคนที่ยืนเท้าสะเอวทำหน้าเซ็งมองมาที่เขาก่อนแล้ว

“กูกลับละ”

“เมื่อไหร่มันจะเลิกเป็นมารขวางความรักกูซะทีวะ ไอ้เชี่ยนี่” ชิตตะวันบ่นอย่างหัวเสีย เขามองหน้าคนที่ออกอาการเซ็งไม่ต่างจากเขาเลย แต่คงคนละเรื่องกันอย่างแน่นอน เพราะเรื่องของเขาคือการอดได้กอด ส่วนคณิตคงเป็นเรื่องของเพื่อนและนายจ้างของตัวเอง

“ไม่กลับได้ไหมหนึ่ง หนึ่งก็รู้ว่าชิตรอวันนี้มานานแค่ไหน” ชิตตะวันปรับโหมด กลับมาอ้อนเสียงหวาน หวังให้คณิตเปลี่ยนใจ แม้จะดูไม่มีหวังเลยก็ตาม เขารู้ว่าคณิตจะต้องเลือกภาคีอยู่แล้ว 

“รอวันที่จะได้จับกูทำเมียน่ะนะ งั้นมึงรอไปก่อน วันนี้ดวงมึงไม่ดีว่ะ ไม่ได้จับนมแบนๆ ของกู เอาเป็นว่ามึงไปใช้บริการน้องหนูนมตูมๆ ของมึงเถอะ กูไปละ...บาย”

ว่าแล้วคณิตก็เปิดประตูห้องออกไป แต่ไม่วายหันกลับมาพูดให้ความหวังคนที่ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด ด้วยคำพูดที่ทำให้ใบหน้าหล่อของชิตตะวันยิ้มออกมาได้

“กูอนุญาตมึงแค่วันนี้วันเดียวนะเว้ย แต่หลังจากนี้ไป มึงห้ามไปยุ่งกับใครอีก ทั้งหญิง ทั้งชาย เพราะกูไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร เข้าใจนะครับคุณชิตตะวัน”

“ครับคุณหนึ่ง”

*      *      *

“คิดอะไรอยู่วะไอ้หนึ่ง มาทำไมวะ ทำไมไม่กลับบ้านไปนอนสบายๆ มึงมันหาเรื่องซวยจริงๆ”

คณิตด่าเสียงเบากับตัวเอง ขณะที่เดินตามหลังสาวใช้ของบ้านหลังใหญ่ที่เขาเพิ่งจากออกมาเมื่อเช้านี้ ก่อนจะปิดปากเงียบเมื่อเห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเทาเข้ม อชิตะมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้เขาร้อนหนาวขึ้นมาทันที

“.....”

“.....”

ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากของเจ้าของบ้านและแขกประจำของบ้าน มีเพียงคนตัวเล็กกว่าที่เดินถอนหายใจอยู่ตลอดเวลาขณะเดินตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวใหญ่กว่าไปตลอดทางเดินสู่ตัวบ้านชั้นบน

“ผมไม่ให้คุณลาออก” อชิตะเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างเขากับคนที่เดินตามหลังเข้ามาในห้องนอนของเขา คณิตยืนอยู่กลางห้องด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ

“เข้าใจนะหนึ่ง ว่าผมไม่อนุญาตให้คุณไปไหนทั้งนั้น” อชิตะกำชับย้ำอีกครั้ง เขาสกัดกั้นอารมณ์โกรธที่เดือดพล่านภายในอก มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนโทรไปหาคณิต แต่กลับเป็นชิตตะวันที่รับโทรศัพท์ ซ้ำยังพูดเรื่องไม่เข้าหูที่ทำให้เขาระอุยิ่งขึ้น นี่ถ้าไม่โทรไปบอกอดีตลูกน้องคนสนิทอย่างภาคี ป่านนี้คณิตคงไม่ได้มายืนตรงหน้าเขา ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้  อาจจะถูกโอบกอดอยู่บนเตียงที่ไหนสักแห่ง

...แค่คิดใจเขาก็ร้อนดังโดนไฟเผาไหม้ ทั้งที่เมื่อคืนเขาได้นอนกอด และคืนนี้กลับจะให้คนอื่นกอดแทนที่เขาอย่างนั้นหรือ
ไม่มีทาง!

ข้ามศพเขาไปก่อนเถอะ!

คนที่มีสิทธิ์กอดคณิตมีเพียงเขาคนเดียว...คนเดียวเท่านั้น คนอื่นหรือใครหน้าไหนก็ตามไม่มีสิทธ์มากอดคนของเขา คณิตคือคนของเขา!

ไม่ว่าคณิตจะอยู่ในฐานะลูกน้อง คนสนิท หรือคนที่เขากำลังต้องการอย่างหนักราวกับต้องการอากาศหายใจ คณิตก็ต้องเป็นคนของเขาตลอดไป

“ครับบอส” คณิตไม่กล้าสู้สายตาแข็งกร้าวบรรจุอารมณ์รุนแรงที่มองมายังเขาอย่างเข้มงวด บรรยากาศระหว่างเขากับอชิตะดูไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมาตลอด มันแปลกและเปลี่ยนไปจนตั้งรับไม่ทัน มันทำเขาเซและไร้ทางต่อสู้กับสิ่งที่แปลกและเปลี่ยนไปนี้

“ถ้าตินไม่โทรไปหาคุณ มันจะเกิดอะไรขึ้น”  ถามแล้วก็ต้องกดอารมณ์ที่มันเดือดพล่านอีกครั้งอย่างยากเย็น เขายังจำคำพูดของชิตตะวันได้ทุกคำ! ไม่ใช่แค่คำพูด รวมถึงน้ำเสียงเยาะเย้ยนั้นด้วย แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง เขาจะทำยังไง ถ้าผู้ชายตัวเล็กหน้าขาวที่ก่อกวนหัวใจของเขาจะกลายเป็นของคนอื่น

ความรู้สึกยามนี้คือ...คณิตต้องเป็นคนของเขาเท่านั้น ความรู้สึกและความคิดนี้จู่โจมเขามาตั้งแต่เมื่อคืน มันรุนแรงอย่างที่เขาก็ไม่อยากห้ามปรามความรู้สึกของตัวเอง ได้แต่ปล่อยให้มันไหลไปตามหัวใจต้องการ

“แต่บอสไม่น่าจะไปฟ้องตินมันเลยนะครับ สองคนนั้นเขาไม่ถูกกัน บอสก็รู้” คณิตแย้งเสียงเบา ชายหนุ่มร่างเล็กรู้สึกว่าเสียงของตนเบาเหลือเกิน มันเป็นเพราะความรู้สึกกลัวคนตรงหน้ามากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คณิตไม่เคยกลัวเจ้านายคนนี้เลย แต่นี่เป็นครั้งแรก

ใจสู้หน่อยสิวะหนึ่ง! จะกลัวทำไม!

คณิตได้แต่ปลุกปลอมหัวใจที่สั่นด้วยความรู้สึกกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

“หึ...” มีเพียงเสียงหึในลำคอ ก่อนที่ความเงียบจะก่อตัว

อชิตะมองใบหน้าขาวที่มองตอบเขามา แววตาในดวงตาเรียวเล็กนั้นดูเหมือนจะกลัวเขาอยู่ไม่น้อย แต่ก็พยายามที่จะสบตาเขาเพื่อแสดงออกว่าไม่กลัวเขา

“ไปอาบน้ำ...” อชิตะบอกแค่นั้น ก่อนจะลุกเดินไปหยิบเสื้อคลุมสีเทาเข้มกับผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้ามายัดใส่มือคนตัวเล็กกว่า

“คืนนี้นอนในห้องนี้...กับผม” 

“แต่ผมจะนอนที่...ก็...ก็ได้ครับ” คณิตอ้าปากท้วงว่าเขาจะไปนอนที่ห้องนอนประจำของตน แต่ท้ายแล้วก็ต้องรับคำอย่างจำยอมเพราะไม่อาจสู้กับสีหน้าที่จริงจังของอชิตะได้ เวลาที่อชิตะจริงจังขึ้นมา มันดูโหดและยากจะต่อกรด้วย ยากยิ่งกว่าภาคีเพื่อนของเขาซะอีก

“ทำไมต้องกลัวด้วยวะ ทำไมต้องทำตามคำสั่งด้วยวะไอ้หนึ่ง มึงนี่มันรนหาที่ตายชัดๆ” คณิตบ่นกับตัวเองอีกครั้ง เมื่ออชิตะเดินออกจากห้องไปแล้ว

*      *      *

“นั่ง...”

คำสั่งดังขึ้นทันทีที่คณิตเดินไปยังระเบียงห้องกว้างขวางที่มีพื้นที่ประมาณหนึ่งส่วนสามของตัวห้องนอน เขานั่งลงตามคำสั่งของอชิตะ พร้อมกับแก้วเบียร์ที่วางลงตรงหน้า แล้วก็คำสั่งอีกครั้ง!

“ดื่ม...”

“ครับ”

คณิตค่อยๆ ยกเบียร์ขึ้นจิบ ในหัวของเขาก็มีแต่คำถามที่ว่า ‘ทำไมเขาต้องกลัวอชิตะถึงขนาดนี้ ทำไมต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง ทำไมต้องเอาตัวมาเสี่ยงอันตรายอยู่ตรงนี้ด้วย’ รู้ทั้งรู้อยู่ว่าระหว่างเขากับอชิตะ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้วเจ้านายที่แสนดี
แค่คืนเดียวทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้เลยหรือไร? 

“หนึ่ง...”

“ครับบอส”

อชิตะเหมือนจะเอ่ยปากพูด แต่แล้วก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้วแทน แต่สายตานั้นยังคงจับจ้องใบหน้าขาวกับตาดวงเรียเล็กที่มีแววขลาดกลัวอยู่ในที เขารู้...ถึงแม้คนคนนี้จะปากดี ชอบตีผีปากกับเขา แต่เจ้าตัวก็เคารพและเกรงกลัวเขา หากเขาเอาจริงขึ้นมา อย่างเช่นตอนนี้

“บอส...ผมง่วง” คณิตเอ่ยบอกผ่านความเงียบที่ยาวนานเหลือเกินในความคิดของเขา ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ง่วง แล้วยังอยากดื่มเบียร์เย็นๆ ให้ชื่นใจ แต่นั่นต้องเป็นสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้ ที่ถูกจ้องมองอย่างไม่วางตา แม้อชิตะจะยกแก้วเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่า แต่สายตาไม่เคยละวางไปจากหน้าเขาเลย

ไม่มีคำพูดจากเจ้านายหนุ่ม มีเพียงสายตาที่ละไปจากใบหน้าลูกน้องคนสนิท แล้วมองไปยังความมืดเบื้องหน้า สักพักใหญ่ๆ ถึงมีคำพูดจากปาก ซึ่งก็ยังคงเป็นคำสั่งเช่นเดิม

“ดื่มให้หมดแก้ว” อชิตะสั่ง ก่อนจะลุกเดินไปหยิบโทรศัพท์ เรียกให้คนขึ้นมาเก็บข้าวของบนโต๊ะ

*      *      *

“นอน...”

มันเป็นคำสั่งอีกแล้ว คำสั่งของคนที่ก้าวขึ้นเตียงก่อนหน้าเขา คำสั่งที่คณิตต้องทำตามอย่างขัดไม่ได้ ทั้งที่เขาสามารถจะขัดคำสั่งต่างๆ ได้ หากเขาจะกล้าพอ แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำมัน

ไม่รู้สิ ความรู้สึกของอชิตะทำให้เขากลัวจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกล หากเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธทุกความต้องการของของอชิตะเช่นกัน มันเหมือนกับว่าในความกลัวมีแรงดึงดูดบางอย่าง คล้ายกับว่าลึกๆ แล้วเขารู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด

เหมือนอย่างที่คณิตคิดไว้ทุกอย่าง เพียงแค่ล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่าย เขาก็ถูกสวมกอดจากด้านหลังทันที ท่อนแขนใหญ่และแข็งแรงสอดเข้ามาโอบรัดตัวเขาไว้ แล้วดึงให้เข้าไปติดกับแผ่นอกกว้างอย่างแนบแน่น กับรอยสัมผัสจากกลีบปากที่จูบซับบนขมับของเขาอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ผมไม่ชอบสิ่งที่คุณทำวันนี้” อชิตะหมายถึงทุกเรื่อง เรื่องที่ไม่ทำตามคำสั่งเขา หนีเขาไป ขู่ว่าจะลาออก และเรื่องของชิตตะวัน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมคณิตถึงกลับมาหาเขา แต่ก็ไม่อยากถามเอาคำตอบ เพราะเขาพอใจกับการกลับมาของคณิตมากกว่า

“เรื่อง...อะไรครับ...บอส” คณิตทำใจดีสู้เสืออย่างอชิตะ ถามคำถามที่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องอะไร

“ทุกเรื่อง...โดยเฉพาะเรื่องของชิตตะวัน! ทำไมถึงไปหามัน” เสียงเสือร้ายดุดันขึ้น เพราะในใจมันเริ่มเดือดอีกจนได้

“ชิตเป็นเพื่อนผม ทำไมผมจะไปหาไม่ได้!” เมื่อคนที่กอดเขาแน่นมากๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปไหน พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มันเลยอดไม่ได้ที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกัน

“แน่ใจนะว่าเป็นเพื่อน!”

“แน่ใจครับ!” เมื่ออีกฝ่ายเสียงแข็งกลับมา คณิตก็เสียงแข็งกลับไป

“หึ...คิดว่าผมจะเชื่อเหรอ”

“งั้นก็ไม่ต้องเชื่อสิครับ”

คล้ายความอดทนของคณิตจะหมดลง เขาดิ้นสุดกำลังเอาตัวออกมาจากท่อนแข็งแกร่ง ลุกขึ้นมานั่งมองเจ้าของเตียงผ่านความมืดสลัว ก่อนแสงจากโคมไฟที่หัวเตียงจะสว่างขึ้น พร้อมกับร่างใหญ่ที่ลุกขึ้นมามองหน้าเขาตอบเช่นกัน

“อยากไปนอนให้มันเอามากหรือไง”

คำถามที่ทำเอาคณิตสะอึก ชายหนุ่มหน้าขาวกลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยแรงโกรธ กำหมัดแน่น อยากจะชกปากของอชิตะที่ปล่อยคำน่าเกลียดออกมามาก แต่เขาก็ต้องบังคับตัวเองเอาไว้ให้ มันไม่ดีแน่ถ้าจะทำ เพราะเขานี่แหละจะโดนตอบกลับที่รุนแรงมากกว่าหลายเท่า

“ตอบ!” อชิตะไม่ได้สนใจใบหน้าที่ขึ้นสีด้วยความโกรธแต่อย่างใด แม้เขาจะรู้สึกผิดที่ถามด้วยคำแรงคำนั้น แต่คำตอบคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด

“.....”

“ตอบสิ...หนึ่ง อยากไปนอนกับมันมากหรือไง!”

“ไม่ครับ แต่ก็ดีกว่าที่ต้องมานอนกลับคุณ!” คณิตใช้คำเรียกขานที่สร้างระยะเหินห่าง จาก ‘บอส’ เป็น ‘คุณ’

“งั้นเหรอ...”

น้ำเสียงเย็นเฉียบ กับใบหน้าที่ขึงโกรธ ทำเอาคณิตตัวเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ความกล้า ความโกรธเมื่อครู่ หายวับไปไหนหมดไม่รู้ ที่เหลืออยู่คือความกลัวและคำด่าทอตัวเองที่หาเรื่องใส่ตัวจนได้

ราวกับว่าเขากำลังได้รับเตือนจากสัญญาณอันตราย แต่ก็เหมือนมันจะช้าเกินไปเสียแล้วสำหรับคณิตกับความคิดที่จะเผ่นลงจากเตียง เพราะมือใหญ่ของคนร่วมเตียงคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะถูกดึงเข้ามาปะทะกับร่างแข็งแรงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
ในความใกล้แค่ปลายจมูกกั้น กับลมหายใจที่ปะทะกัน และสายตาที่ประสานกัน แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธ อยากเอาชนะในตอนแรก ทว่าในตอนนี้ความผูกพันในวันเก่ากำลังเริ่มเผยตัวทีละน้อยๆ ในแววตาของคนทั้งคู่

“หนึ่ง...ผม...”

น้ำเสียงของอชิตะคลายความร้อนแรงลง เขามองเข้าไปในดวงตาเรียวเล็ก ดวงตาที่เขาคิดว่าเขาคงจะชอบมามันนานแล้ว ความโกรธเมื่อครู่ราวกับถูกอะไรบางอย่างพัดหอบเอาจากไปหมด อะไรบางอย่างนั้นก็คือดวงหน้าที่อยู่ใกล้เหลือเกินนี้ ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมานานหลายปี

ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น ถึงรับเขามาทำงาน

“ผมขอ...”

เขามองแววตาที่เหมือนลูกกวางน้อยเข้าไปทุกที ยิ่งทำให้น่าหลงใหล ยากหักห้ามความรู้สึกเร่าร้อนในอก 

“...จูบ”

มันคือสิ่งที่เขาต้องการ มันเรียกร้องอยู่ในหัวมาตลอด เขาอยากครอบครองริมฝีปากที่ซ่อนความหวานไว้มากมาย อยากลิ้มรสให้เต็มอยากเหมือนอย่างค่ำคืนที่ผ่านมา เขาเหมือนเจอของอร่อย ยิ่งกินยิ่งอยาก ยิ่งอยากก็ยิ่งขาดไม่ได้

ไม่ใช่สิ! เขาปรารถนาได้ทั้งหมดที่เป็นคนคนนี้ต่างหาก

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากเรียวปากเล็กที่อชิตะอยากสัมผัสและครอบครอง มีเพียงดวงตาเรียวเล็กที่ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ ราวกับว่า มันคือคำตอบของคำขอเมื่อครู่

“.....อืออ”

ปากหนาที่ทาบลงบนปากเล็กอย่างช้าๆ ราวกับผีเสื้อกำลังสัมผัสกับเกสรดอกไม้ที่หวานฉ่ำชื่น ก่อนจะบดเบียดรุนแรงขึ้น แล้วดึง
ดันเข้าไปดูดดื่มความหวานหลังกลีบปากสวยที่ยินยอมอย่างเต็มใจ

“อื้มม......”

เมื่อปากทำหน้าที่ได้อย่างสวยงามแล้ว มือใหญ่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองโดยอัตโนมัติ สอดประสานกันอย่างดี เมื่อมันค่อยๆ คลายปมของเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างเล็กผิวขาวนวลเนียนเอาไว้

เมื่ออาภรณ์ถูกปลด ผิวขาวที่เคยคุ้นตามาตลอดก็ปรากฏให้เห็นชัดเต็มสองตา เมื่อครั้งก่อนนั้น ก่อนค่ำคืนแห่งจูบแรกจะเริ่มขึ้น อชิตะไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นผิวกายของคณิตเลย แต่หลังจากคืนนั้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง เขาอยากสัมผัสกับผิวกายขาวนี้เหลือเกิน

อยากสัมผัสเท่าที่ใจเขาต้องการ เท่าที่เจ้าของเรือนร่างนี้จะยินยอม... หรือไม่ยินยอม เขาก็จะเอามาให้ได้

“บะ...บอส...ไม่เอา...ผม...” เหมือนจะตื่นจากภวังค์ทันทีที่หลังเปลือยเปล่าของตัวเองสัมผัสกับเตียงนุ่ม โดยมีร่างกำยำใต้ชุด
คลุมสีเทาทาบทับลงมาติดๆ ปากหนาที่เคยดุนดัน ย้ายตัวเองลงมาระบายความเสียวซ่านอยู่บนซอกคอของเขา

“ผมขอนะ...หนึ่ง” เสียงนั้นแหบพร่าตามอารมณ์ที่คุกรุ่นพลุ่งพล่านตามแรงปรารถนาของบุรุษ เขาถอนใบหน้าจากซอกคอขาวมีกลิ่นหอมขึ้นมามองสบกับดวงตาคู่ฉ่ำเยิ้ม ไม่รู้คณิตจะรู้ไหมว่าสายตาแบบนี้ มันยั่วยวนคนมองมากแค่ไหน ความต้องการของเขากำลังใกล้บ้าคลั่งเต็มทนแล้ว ไม่เคยเลยจะรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แม้แต่คู่หมั้นก็ไม่เคย ไม่เคยอยากแตะต้องเท่าร่างกายของคณิต

แม้ไม่เคยทำกับผู้ชายมาก่อน แต่ด้วยวัยที่มีประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ตอนเรียนที่ต่างประเทศก็มีเพื่อนเกย์อยู่ในกลุ่ม เห็นผ่านตาก็หลายหนทั้งคลิปและของจริง มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินจะทำให้คนตัวเล็กมีความสุขและพาเขาขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน

“ตะ...แต่...บอส...ครับ...” น้ำเสียงของคณิตเบาหวิว หลบสายตาของอีกฝ่าย เขาไม่อยากสบตาที่เต็มไปดวงอารมณ์ความต้อง
การที่มองเขาราวกับจะกลืนกินให้ได้ เป็นเหยื่อชิ้นโอซะของเสือผู้โหยหิว แล้วอารมณ์ของเขาอีกล่ะ ถึงจะไม่เทียบเท่า แต่มันก็คงไม่น้อยกว่าไปมากนัก

ยอมรับตรงๆ เขาก็ต้องการ!

แต่เขาก็กลัว...

กลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นหลังจากผ่านคืนนี้ไป จากความคิดที่งี่เง่าของเขาในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่เขาเริ่มจะไม่มั่นใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ทั้งความรู้สึกและความต้องการที่เอ่อล้น มันเริ่มจากเมื่อค่ำคืนนั้นจริงหรือ...

หรือว่าแท้จริงแล้ว....

มันเกิดขึ้นมานาน

เพียงแค่ไม่รู้ตัว

“บะ...บอสครับ...ผมกลัว...” อชิตะจะรู้ไหมว่าสิ่งที่เขากลัวคืออะไร 

“ไม่ต้องกลัวนะหนึ่ง...ผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บ...” เสียงนั้นดังปลุกปลอบเอาใจอยู่ชิดใบหู

“บอสครับ ผมไม่ได้กลัวเรื่องเจ็บ แต่ที่ผมกลัวคือ...ผมกลัวจะทำให้คุณ...คุณหวานเสียใจ บอสจะแต่งงานกับคุณหวานแล้วนะครับ เราอย่าทำผิด อย่าทำให้คุณหวานเสียใจเลยนะครับ...บอส”

เขารู้แล้ว เขามาที่นี่เพื่ออะไร เพื่อที่จะจบเรื่องงี่เง่าที่เกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของเขาไงล่ะ

“....ไม่กี่เดือนบอสจะแต่งงานกับคุณหวานแล้วนะครับ บอสจำคำพูดที่บอกกับผม บอกกับทุกคนได้ไหมว่าบอสจะมีลูกสี่คน บอส
จะมีครอบครัวที่อบอุ่นกับคุณหวาน จะรักและดูแลคุณหวานไปตลอดชีวิต... อย่าให้เกิดเรื่องบ้าๆ อย่างที่เราสองคนกำลังทำอยู่เลยนะครับ...ผมขอร้อง...”

ไม่มีคำพูดใดจากปากของอชิตะ ชายหนุ่มเพียงแต่พลิกตัวลงนอนข้างคนตัวเล็ก ก่อนจะดึงเข้ามากอด อชิตะกอดร่างเล็กนั้นไว้แนบอก ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เขาหวงแหนมากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถครอบครองได้

นี่คือค่ำคืนสุดท้ายที่เขาจะทำแบบนี้ได้ จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว

...งั้นหรือ?

.....จบตอนที่ 4.......

ตามตอนที่ 5 วันที่ 20 นะคะ

เรื่องนี้จบแน่นอนค่ะ ตอนนี้คนเขีียนก็เร่งเขียนตอนพิเศษ แต่ไม่ได้เอาลงในเล้านะคะ
จะมีเฉพาะเป็นรูปเล่มและเล่มออนไลน์
ลงจนจบก็คงได้ฤกษ์ประกาศจองประมาณนั้น
แต่ต้องขอ id ขายของก่อนใช่ไหมค่ะ ต้องไปศึกษาข้อมูลก่อน

By สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มันแย่ตรงพระเอกมีคู่หมั้นอยู่แล้วนี่แหละ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เครียดไปอีกกกกกกก

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
5

“นี่...บอสเรียก”

คณิตเงยหน้าจากแปลนบ้านในมือขึ้นมา มองหน้าคนที่เอาสิ่งที่ตนไม่ต้องการมากที่สุดในโลกมาให้ถึงโต๊ะทำงานเป็นรอบที่ห้า...
มันเป็นรอบที่ห้าภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ที่นิรดาเดินมาตามเขาให้เข้าไปพบเจ้าของบริษัท นายจ้างของเขาที่เขาพยายามหลบหน้ามาถึงสองวัน   

“ไปบอกบอสได้ไหมว่าฉันยุ่งมาก” นี่คือคำตอบที่เขาให้นิรดาเป็นครั้งที่ห้า คำตอบเดิมเหมือนทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมา

“หึ...ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายกับบอสมีเรื่องอะไรกัน แต่ช่วยแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกได้ไหมยะ เพราะฉันไม่อยากถูกบอสอารมณ์เสียใส่เพราะเรื่องของนาย มันสมควรไหมที่ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ... แล้วนายรู้ไหมทุกครั้งที่ฉันเอาคำตอบของนายไปให้บอส ฉันเจออะไรบ้าง...” หญิงสาวร่ายยาวใส่อารมณ์พอสมควร เพราะเป็นคู่แค้นกันมาก่อนจากเรื่องของภาคีด้วยแหละ

สิ่งที่นิรดาเจอคืออารมณ์ที่หงุดหงิดมากขึ้นทุกครั้งที่เธอนำคำตอบของลูกน้องคนโปรดไปบอก เธอไม่เข้าใจเลยว่า ห้องทำงานของอชิตะกับโต๊ะทำงานของคณิต อดีตตัวขัดขวางความรักของเธอกับภาคี มันก็ใกล้แค่นี้ ทำไมถึงไม่มาตามเอง 

หญิงสาวเอามือท้าวโต๊ะทำงาน พร้อมกับยื่นวงหน้าฉ่ำเครื่องสำอางเข้าใกล้เจ้าของโต๊ะ บอกเสียงหนัก ราวกับใกล้หมดความอดทนเต็มที

“...ช่วยกรุณาเข้าไปหาบอสที่ห้องเดี๋ยวนี้ อย่าให้ฉันต้องพังโต๊ะทำงานของเธอ!” รับรองว่านิรดาไม่ได้ขู่ แต่เธอทำจริงแน่

“เออๆ ก็ได้”

ไม่ใช่เพราะกลัวนิรดาพังโต๊ะอย่างเจ้าตัวข่มขู่ คนอย่างคณิตหรือจะกลัวนิรดา แต่เพราะคำพูดของนิรดาให้เขาคิดได้ เขาควรจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่เขากลัวว่าไอ้คนที่จะแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวไม่ได้เป็นฝ่ายอชิตะมากกว่า

*      *      *

 “มีอะไรครับบอส” คณิตถามด้วยสีหน้าที่ไม่ยิ้มแย้ม มองหน้าคนที่เหมือนจะนั่งรอการมาของเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าที่บอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจน ว่าไม่พอใจสุดๆ

“ตอนนี้ทำอะไรอยู่” อชิตะไม่ได้ตอบคำถามลูกน้องของเขา แต่ถามกลับ มองหน้าลูกน้องที่ไม่ยอมแม้แต่จะนั่งลงคุยกับเขา

“ทำงานครับ” เขาตอบสั้นๆ

“เห็นว่ายุ่งมากเลยเหรอ ถึงได้ไม่ว่างเข้ามาหาผม” เจ้าของห้องถาม พลางถอนหายใจยาว คล้ายกับระบายอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นภายในออกมาช้าๆ เพื่อที่มันจะได้ไม่ปะทุออกมาทีเดียวตูมใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ มือหนาผสานเข้าหากัน แล้ววางมันไว้บนตัก รอฟังคำตอบ   

“ครับ”

“งานของคุณโก้ใช่ไหม” คำถามที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว ตอนนี้คณิตรับผิดชอบงานของเพื่อนเขาอยู่ เพื่อนที่บอกเขาว่าสนใจคณิตอย่างมาก 

“ครับ”

“แล้วไม่คิดจะนั่งคุยกับผมหรือไง”

“.....” คณิตยังยืนนิ่ง

“เชิญ”

เพราะน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น ทำให้คณิตจำต้องนั่งเสียไม่ได้ 

“งานของคุณโก้ ถ้ามันทำให้คุณยุ่งมากจนไม่มีเวลาเข้ามาพบผม อย่างนั้นก็...”

อชิตะทิ้งจังหวะลงเล็กน้อย มองใบหน้าขาวที่เขาไม่ได้มองแบบเต็มตาเช่นนี้มาสองวันแล้ว คณิตพยายามหลบหน้าเขา มาทำงานสาย และออกจากออฟฟิซเร็ว

“... ผมคงต้องให้คุณปริญดูแลงานคุณโก้แทน คุณจะได้ยุ่งน้อยลง มีเวลาให้ผมมากขึ้น”

“ได้ไงครับบอส งานนี้ผมทำได้เยอะแล้วนะครับ แล้วมันก็เป็นงานของผม ปริญจะมาทำแทนได้ไง” คณิตโวยวายขึ้นมาทันที ไอ้
ตอนที่เขาไม่อยากทำ ทำไมถึงยัดเยียดมาให้จัง แต่พอเขาทำไปเยอะแล้ว ดันจะมาดึงงานของเขาคืน มันได้ที่ไหนกัน ต่อให้เขายังรู้สึกว่าไม่อยากทำงานของเพื่อนอชิตะ ไม่อยากออกไปพบให้ถูกแทะโลมและแตะอั๋งในวันหยุดก็เถอะ   

“ได้...ทำไม่จะไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของผม ตอนนี้ผมส่งปริญไปคุยงานต่อกับคุณโก้เรียบร้อยแล้ว”  อชิตะบอกเสียงนิ่ง ไม่สนใจใบหน้าขาวที่แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างมาก แล้วความอารมณ์ก็คงพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาบอกอีกว่า

“แล้วงานของคุณไพโรจน์กับคุณนราวดี คุณก็ไม่ต้องทำแล้วนะ ผมให้ภัทรพลกับนิดาทำแทนคุณแล้ว”

“บอส! ทำแบบนี้หมายความว่าไง หรือบอสจะไล่ผมออกแค่เรื่องที่....ผมไม่ยอมนอนกับบอสนี่นะ...เหอะ” พูดไปก็อายปาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าอชิตะจะเป็นคนเช่นนี้ นี่แหละคือคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก

“ผมพูดสักคำไหมว่าจะไล่คุณออกเพราะเรื่องที่คุณไม่ยอมนอนกับผม” อชิตะย้อนถาม “แค่อยากให้คุณมีเวลาให้ผม ถ้างานมันทำให้คุณยุ่งจนไม่มีเวลา งั้นก็ไม่ต้องทำ” เขาไม่เคยใช้ความเป็นเจ้าของบริษัทมาข่มขู่ลูกน้อง โดยเฉพาะกับคณิต ที่เมื่อก่อนเขารักและเอ็ดดูเหมือนน้อง แต่ที่ต้องพูดเหมือนคนบ้าอำนาจ เผด็จการก็เพราะเขาห้ามความรู้สึกที่มันคุกรุ่นในอกไม่ได้ เขาไม่ชอบที่คณิตทำตัวห่างเหินออกไป ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขาไม่มีสมาธิทำงานเอาซะเลย
เขาเอาแต่คิดถึงคณิต... หนักไปกว่าความคิดถึงคือความปรารถนาที่อัดแน่นภายใน อยากสลัดทิ้ง 

“ถึงคุณจะไม่ไล่ผมออก แต่ผมก็ขอลาออกครับ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห
นั่นสินะ เขาควรใช้การลาออกเป็นหนทางออกจากชีวิตที่ผิดเพี้ยนนี้ เหตุการณ์แค่ข้ามคืนจากการกระทำโง่ๆ ของเขา ทำให้ทุกอย่างผิดรูปแบบไปหมด

มันรวน

มันป่วน

มันบ้าบอชะมัด!

เขาต้องออกไปจากความเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าสุ้มเสียงทรงอำนาจก็ขัดความขึ้นมาแทบจะทันที

“ผมไม่อนุญาต”

แต่เขาต้องไม่กลัว

“คิดว่าผมแคร์งั้นเหรอครับ ขอโทษ คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของผม และผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทนทำงานกับคนอย่างคุณอีกต่อไป
ลานะครับ หวังว่าเราคงจะไม่ต้องเจอกันอีก” ว่าแล้วคณิตก็ลุกขึ้น เขาหันหลังให้คนที่กลายเป็นอดีตเจ้านายนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

“เดี๋ยวหนึ่ง!”

เสียงเรียกที่มาพร้อมกับแรงกระชากที่ต้นแขน เขาถูกดึงให้เซปะทะร่างที่สูงกว่าและหนากว่ามาก ก่อนจะถูกรวบไว้ทั้งตัว

“ปล่อย!”

นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว ร่างที่เล็กกว่ายังถูกดันให้ไปติดพนังห้องอีกด้วย 

“ปล่อยผม!”

คณิตพยายามดิ้น แต่เหมือนไร้ประโยชน์ เขาสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ อชิตะตัวใหญ่กว่าเขา และใบหน้าคมนั้นก็ดูเหมือนจะโกรธเขามาก ตาคมกริบที่บรรจุลูกไฟร้อนไว้มองราวกับว่าเขาเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดในโลก

“ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ห๊ะหนึ่ง” อชิตะเค้นเสียงถาม เขากลัวว่าตัวเองจะหลุดอารมณ์ที่มันอัดแน่นอยู่ภายในจะระเบิดใส่คนตัวเล็ก อารมณ์ของเขาแทบจะขย้ำคณิตจนแหลกละเอียดได้ทีเดียว

อชิตะรู้ว่าตัวเขาผิดที่ยึดติดกับเรื่องคืนนั้นในสระนำ ผิดที่ไหลไปตามความต้องการส่วนลึกที่คล้ายจะขยายวงใหญ่ขึ้นทุกวินาที ผิดที่ลืมว่าตัวเองนั้นมีคู่หมั้นแล้วและกำลังจะแต่งงานกัน สร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน แต่เขาก็อยากให้คณิตช่วยอยู่ร่วมในความผิดนี้กับเขาด้วย ไม่ใช่ตัดรอนเขาไปซะทุกทาง ไร้เยื่อใย ไร้ความผิด ทั้งที่คณิตเองเป็นฝ่ายปลดปล่อยความปรารถนาเร้นลึกของเขาออกมา จนเขาไม่อาจควบคุมอะไรได้อีก

“ผมมากกว่าที่ต้องถามคุณ ทำไมคุณไม่หยุด” ดวงตาของคณิตวาวจัดยามถามกลับ

“เพราะผมหยุดไม่ได้ไงล่ะหนึ่ง ผมหยุดไม่ได้ คุณเข้าใจไหม ผมหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ได้ ผม...”

อชิตะสูดลมหายใจลึก ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา เพื่อพูดในสิ่งที่เขารู้สึก ความรู้สึกที่เกิดเพียงชั่วข้ามคืนจากจูบที่ยังติดตรึงจนถึงวินาทีนี้ และทำให้เขาไม่สามารถเป็นเขาคนเดิมได้อีกต่อไป

...มันไม่มีทางจะเหมือนเดิมอีกแล้ว

ทั้งหัวใจ สมอง และร่างกายบอกเขาเช่นนั้น

“...ผมรักหนึ่งนะ”

ความรู้สึก “รัก” ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเรื่องตลก แต่มันคงไม่ตลกสำหรับชีวิตของคนที่รู้สึกและพูดมันออกมาอย่างเขาเลย

...ความรักที่เป็นเหมือนความผิดเพี้ยนของชีวิต ไหลไปตามความปรารถนามากกว่าความถูกต้องที่มีมาแต่แรก 

อชิตะรู้ดีว่าทุกอย่างสามารถหยุดลงได้ นับตั้งแต่ค่ำคืนสุดท้ายคืนนั้น คืนที่เขาได้กอดคนตัวเล็กไว้ทั้งคืน มันเป็นคืนที่ยาวนานและเขาหลับตาไม่ลง ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมถึงคนที่เขานอนกอดด้วย

เขาควรหยุดตามคำพูดของคณิตที่ฉุดรั้งไม่ให้เกิดอะไรเกินเลยกว่าการสวมกอด แต่เขากลับไม่ยอมหยุดมัน เขากลับรู้สึกโหยหาผู้ชายที่ชื่อคณิต เขาหวงแหนความรู้สึกหลงใหลครั่งไคล้นี้ และอยากให้มันดำเนินต่อไปอีกแสนนาน นานตลอดไปอย่างคนที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

ใช่...เขามันคนเห็นแก่ตัว

และเมื่ออยากได้อะไรแล้ว เขาก็ต้องได้ ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องเอามาให้ได้ คนก็เป็นคนแบบนี้แหละ

“ฟังผมนะ” คณิตสะกดอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง เพื่อพูดให้อชิตะเห็นความจริงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ “มันไม่ใช่ความรัก มันก็แค่ความรู้สึกที่คิดไปเองของคุณ”

“คุณรู้ได้ไงว่ามันไม่ใช่ความรัก”

“ความรัก...มันมีจุดเริ่มต้น ต้องมีเรื่องราว แต่สิ่งที่คุณเรียกว่าความรัก แล้วปามันใส่ผม มันไม่มีอะไรเลย นอกจากอารมณ์ชั่ววูบของคุณ และคุณก็โมเมว่ามันเป็นความรัก” 

“แค่นี้เองเหรอที่มันทำให้คุณคิดว่าความรู้สึกของผมไม่ใช่ความรัก” อชิตะถาม ใช้สายตาผิดหวังมองอีกฝ่าย 

“หรือคุณคิดว่าไม่ใช่ อารมณ์ชั่ววูบที่คุณอยากได้ผมเป็นเมียไง คุณก็เลยต้องหลอกล่อตัวเองว่ามันคือความรัก”

คำพูดของคณิตไม่ถูกใจคนถามเลยสักนิด ถึงทำให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดุดันยิ่งขึ้น อชิตะยืนมองหน้าคณิตนิ่ง นานเกือบนาทีกว่าอชิตะเอ่ยคำถามสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง

“งั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ...แล้วก็ปล่อยผมได้แล้ว ผมจะไปเก็บของ ออกไปให้พ้นหน้าคุณ คุณจะได้หายบ้าเสียที”

“ที่ผมเป็นบ้าแบบนี้ มันก็เพราะคุณ...หนึ่ง”

อชิตะไม่ได้โยนความผิดให้อีกฝ่าย แต่มันคือความจริงที่สุดต่างหาก ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกทั้งรัก ทั้งหึง ทั้งหวง ปรารถนาจะกกกอดได้มากมายเพียงนี้ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ ทำไมถึงเกิดขึ้นได้รวดเร็วและมากมายนัก

“คุณเริ่มก่อนนะหนึ่ง คุณทำให้ผมต้องการคุณ คุณทำให้ผมคลั่งแทบจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม”

เขามองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนกำลังสำนึกถึงความผิดของตัวเอง คงนึกไปถึงคืนนั้น ในสระน้ำ กับคำถามที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป แล้วใบหน้าขาวก็ก้มหลบสายตาของเขา แต่มีหรือเขาจะยอม เขาปล่อยมือข้างหนึ่งที่กอดรัดให้ไม่คนตัวเล็กกว่าดิ้นหนีเขาไปเมื่อหลายนาทีก่อน เพื่อจะใช้มันบังคับให้ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตากับเขาอีกครั้ง

ให้คณิตได้เห็นความปรารถนาของเขาเต็มสองตา

“คุณรู้อะไรไหมหนึ่ง ว่าตอนนี้ผมอยากทำอะไรมากที่สุด”

“อยากจูบผม” มันคำตอบที่คณิตแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เพราะทั้งน้ำเสียง แววตา และกรอบหน้าคมเข้มที่อยู่ใกล้แค่คืบ

“แล้วผมจูบได้ไหม” คำตอบของคณิตทำให้อชิตะมีรอยยิ้มแต้มมุมปาก แล้วยังทำให้ความหงุดหงิดใจก่อนหน้าแทบจะหายไปจนหมด ที่มีเข้ามาแทนคือความพึงพอใจ

“ทำไมต้องถามด้วย ในเมื่อผมห้ามอะไรคุณไม่ได้อยู่แล้ว” คนถูกขอจูบบอกอย่างประชด ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกโกรธคนตรงหน้ามากเหมือนเมื่อหลายนาที ที่เหลือก็คงเป็นความรู้สึกผิด ผิดอย่างที่อชิตะพูดกรอกหูเขานั่นแหละ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นผล
มาจากคืนวันนั้นทั้งสิ้น เป็นผลมาจากคำถามโง่ๆ ของเขาเอง

“แค่อยากให้สมัครใจ” อชิตะยังคงยิ้ม พอใจที่คณิตไม่ต่อต้านเหมือนตอนแรก คล้ายกับว่าเจ้าตัวยอมแพ้ต่อความต้องการของเขา ไม่อาจสู้กับความปรารนาโลดแล่นอยู่ตรงหน้า

“แล้วถ้าผมไม่สมัครใจล่ะ” คณิตถามกลับ ตัวเขาเองก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาโกรธใครได้ไม่นาน และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะอชิตะใจเย็นลงด้วยแหละ เขาชอบใบหน้ามีรอยยิ้มพึงพอใจของอชิตะมากกว่าใบหน้าดุดันที่เขาไม่คุ้นเคย เพราะตลอดเวลาที่ทำงานกับอชิตะ เจ้านายหนุ่มของเขาไม่เคยสาดอารมณ์ไม่พอใจหรือหงุดหงิดใจอะไรใส่เขาเลย มีแต่เอาใจและดูแลเป็นอย่างดี เพราะอชิตะเคยทำดีกับเขามากไง เขาถึงไม่กล้าหาญพอจะหักหาญหรือต่อกรด้วยแบบเด็ดขาด ชนิดที่ว่าแตกเป็นแตก เขาแค่พยายามจะดื้อเพื่อให้อชิตะยอมถอยออกไป แต่ถ้าอชิตะไม่ยอมถอย เขาก็ยอมแพ้อย่างจำยอม และรอโอกาสจะดื้อต่ออีกครั้งจนกว่าอชิตะจะถอดใจไปเอง

“ไม่สมัครใจงั้นเหรอ?” ถามแล้วก็ยิ้ม มองกลีบปากเล็กที่ขยับยู่แสดงความไม่พอใจออกมาก่อนตอบคำถามของเขาว่า

“ใช่”

อชิตะค่อยๆ ละมือจากใบหน้าขาวลงมารวบเอวเล็กให้เข้ามาประชิดมากยิ่งขึ้น มีความสุขที่สถานการณ์ระหว่างเขากับคนตัวเล็กกว่าไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้ เขาดีใจที่คณิตอ่อนให้ หรือมันเป็นเพราะเขาอ่อนให้อีกฝ่ายก่อนกันแน่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นแบบนี้ดีมากแล้ว
เขาได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ หากเขาอยากทำให้คณิตยอม เขาควรยอมให้คณิตก่อน เพราะเมื่อเขาอ่อนลง คณิตก็อ่อนตาม อย่างเช่นตอนนี้ที่คณิตไม่มีทีท่าว่าจะโกรธหรือโมโหในการกระทำของเขา

“ผมคิดถึงรสชาติที่ได้จากปากของคุณมากรู้ไหม ผมรอให้คุณสมัครใจก่อนไม่ไหวหรอกนะ”

เมื่อคำพูดสิ้นสุด แล้วเจ้าของกลีบปากน่าบดขยี้ไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านกลับมาอย่างเผ็ดร้อน มีเพียงใบหน้าขึ้นสีอย่างช้าๆ เป็น
ปฏิกิริยาตอบกลับ ยิ่งทำให้อชิตะได้ใจโน้มใบหน้าลงต่ำ บดริมฝีปากตนกับกลีบปากบางสีหวานด้วยความโหยหาและปรารถนา เขายอมรับว่าหลงใหลกับความหวานที่ได้ลิ้มลองนี้เหลือเกิน

“อื้มมมม...” ลิ้นร้อนที่สอดแทรกเข้ามาให้คนถูกรุกล้ำต้องเผลอครางออกมาเบาๆ อย่างสุดกลั้นแล้ว 

คณิตนึกอายตัวเองที่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ ซ้ำร้ายเขายังเผลอยกมือขึ้นโอบรอบต้นคอหนาไว้ราวกับกลัวว่าริมฝีปากร้อนจะหนีห่าง แล้วร่างกายที่ถูกบังคับให้เบียดแนบแน่นกับร่างที่หนากว่าอีกล่ะ เขาไม่ควรรู้สึกดีไปกับจูบดูดกลืนนี้ ดีจนเขาอยากหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ให้นานที่สุด

เมื่อครู่เขาบอกอชิตะไปใช่ไหม ว่าความรักต้องมีจุดเริ่มต้น แล้วค่ำคืนกลางสายน้ำเย็นฉ่ำ กับคำถามโง่ๆ ที่หลุดออกจากปากเขา มันจะใช่จุดเริ่มต้นไหม?

จุดเริ่มต้นโง่ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนและความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปไกล

จูบแรกจากความมึนเมา ความสับสนในใจลึกๆ จนมาถึงจูบปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและอารมณ์ความต้องการ 
‘แกร็ก’

เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของอชิตะ เรียกสติของคณิตกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาต้องผลักอชิตะออกไปให้ไกลที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว และอชิตะก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเอวของเขาด้วย ดีหน่อยที่ยังพอจะเลิกจูบเขาอย่างพวกหิวโซซะที
ไม่ว่าใครจะเข้ามาเห็นความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยนระหว่างเขากับอชิตะ เขาก็ขายหน้าอยู่ดี แต่ตอนนี้มันยิ่งกว่าขายหน้าซะอีก ในเมื่อคนที่เข้ามาคือ...

“บอสคะ...คุณภารินีมาแล้วนะคะ...ว้ายยย...! …เอ่อ...ยะ...ยุ่งอยู่หรือคะ....งั้น...นะ...นุ่น...ออกไปบอกให้คุณภารินีรอก่อนนะคะ” เพราะอรอุมาเลขาของอชิตะลาป่วยมาสองวันแล้ว นิรดาถึงต้องรับหน้าที่แทน เนื่องจากเธอสนิทกับอรอุมาที่สุด และยังเป็นญาติห่างๆ ซึ่งห่างมากของอชิตะด้วย

นิรดาคือผู้โชคดีที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้า หญิงสาวไม่คิดว่าการเข้ามารายงานอชิตะว่าลูกค้าที่นัดไว้มาถึงแล้ว จะเป็นการเปิดประตูเข้ามาพบความจริงอันเป็นความลับอชิตะกับคณิต ที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้กันได้

‘มิน่าละ อชิตะถึงตามใจคณิตนัก’

นิรดาแอบสรุปในใจ

“ปล่อยก่อน” คณิตเสียงเขียวบอกเจ้าของท่อนแขนที่ไม่ยอมปล่อยเขาเป็นอิสระเสียที ทั้งที่มีคนเข้ามาเห็นเต็มสองตา แถมเป็น
อริเขาด้วย และอชิตะควรรักษาชื่อเสียงของตัวเองหน่อยไหม เป็นถึงเจ้าของบริษัทนะ คนที่เข้ามาเห็นก็เป็นคนที่ปากมากที่สุดในบริษัท เรื่องนี้ได้กระฉ่อนบริษัทแน่ๆ

แทนที่อชิตะจะทำตามที่คนตัวขาวบอก เขากลับโอบเอวเล็กให้แน่นขึ้น พลางหันไปบอกนิรดาว่า

“นุ่นช่วยพาคุณภารินีไปที่ห้องประชุมนะ แล้วไปบอกให้คุณเกียรติศักดิ์เข้าไปคุยงานแทนผม ส่วนนัดอื่นๆ วันนี้ให้โทรไปเลื่อนเป็นอาทิตย์หน้าให้หมด บอกไปว่าผมไม่สบาย”

“เอ่อ...ค่ะ”

“ส่วนเรื่องผมกับหนึ่ง หวังว่าจะไม่ถึงหูคนอื่นนะ เข้าใจใช่ไหมนุ่น” เขาก็พอรู้ว่านิรดาเป็นคนช่างเม้าธ์ จึงต้องห้ามไว้ก่อน ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ดูหน้าคณิตแล้วนึกสงสาร คงไม่อยากถูกเม้าธ์ไปทั่วบริษัทแน่

“ค่ะบอส”

“อีกอย่างนะ ผมกับหนึ่งจะไปต่างจังหวัด ถ้ามีงานด่วนอะไรก็โทรเข้ามือถือของผม ส่วนงานไหนที่ต้องให้เซ็นเอกสาร ก็วางไว้บนโต๊ะไปก่อน กลับมาแล้ว ผมจะรีบจัดการให้”

“ค่ะบอส”


*      *      *


‘แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย ทำไมคนที่เข้ามาเห็นต้องเป็นยัยนุ่นด้วยว่ะ ซวยจริงไอ้หนึ่ง’

นี่คงเป็นคำถามที่ดังวนเวียนอยู่ในหัวของคณิต ตั้งแต่เดินออกจากบริษัทพร้อมกับอชิตะ โดยมีสายตาของนิรดามอง

ตามอย่างอยากรู้อยากเห็นจนตัวสั่น จนกระทั่งตอนนี้ที่เขากำลังเปิดประตูเข้ามาในห้องของตัวเอง แน่นอนว่าอชิตะต้องตามเข้ามาด้วย   

“หนึ่ง”

“ครับ”

คณิตหันกลับไปมองคนที่เดินตามเขาเข้ามา ห้องของเขาเป็นสถานที่ที่อชิตะคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะเมื่อมีสังสรรค์หลังเลิกงานกันทีไร ไม่คอนโดฯ ของอชิตะ ก็คอนโดของเขา ต้องกลายเป็นที่หลับนอนของสองคนเมา แล้วเชื่อไหมล่ะว่าอชิตะน่ะ มีกุญแจห้องของเขาด้วยนะ

กุญแจสำรองที่ถูกยึดไว้นานมากแล้ว   

“อย่าคิดมากน่า ผมก็บอกนุ่นแล้วว่าอย่าเอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟัง” เขาบอกคนที่ทำหน้าเซ็งมาตลอดทาง แถมยังไม่ยอมเปิดปากพูดคุยกับเขาสักคำ

“บอสพูดเหมือนกับไม่รู้จักยัยนุ่น” คณิตนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจความคิดง่ายๆ ของคนพูด 

“เอาน่า ไปเก็บกระเป๋าก่อน” อชิตะตัดบท

“บอส...”

“ว่า...”

“บอสอย่าทำเนียนได้ไหม เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะทำเรื่องบ้าๆ ด้วยกัน ผมว่าพอเถอะนะครับบอส...หยุดเถอะนะครับ” แววตาที่มองไปยังเจ้านายหนุ่มเต็มไปด้วยความร้องขอ ขอให้เชื่อเขาบ้าง ฟังเขาบ้าง ไม่ใช่แค่ฟังแต่ไม่ยอมทำตาม จนเกิดเรื่องให้นิรดาเห็น

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่า....”

อชิตะพูดช้าๆ เขาเดินเข้าไปรวบร่างเล็กเข้ามากอด กดศีรษะได้รูปแนบกับอก ไม่มีอาการต่อต้าน เขาเลยยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เผื่อว่าคณิตจะได้รับรู้ว่าเขารู้สึกมากมายแค่ไหนกับเจ้าตัว

“...ผมหยุดไม่ได้” หรือต่อให้เขาหยุดมันได้ เขาก็ไม่หยุด เลือกไปแล้ว หลงไปแล้ว ยังไงก็ต้องทำทุกอย่างให้ได้มาทั้งกายและหัวใจ

“แต่...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ให้โอกาสผมนะหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มันมีจุดเริ่มต้น มันมีเรื่องราว และมันจะดำเนินต่อไปอย่างที่ทั้งผมและคุณต้องการ”

“แต่ผมไม่ได้ต้องการ” คณิตฝืนตัวออกมา เงยหน้ามองสบตา

“แต่ผมต้องการ”

“ผมไม่อยากเป็นมือที่สาม บอสมีคุณหวานอยู่แล้วนะครับ” นึกถึงหน้าคู่หมั้นของอชิตะแล้ว เขาก็อยากร้องไห้จริงๆ ณัชชาเป็นคนดี สมควรแล้วเหรอที่จะโดนหักหลัง

“เรื่องของหวาน ผมจะ...”

Rrrrrrrrrr…

เสียงโทรศัพท์ของอชิตะดังขัดจังหวะ เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมันออกมาดู เป็นณัชชาที่โทรทางไกลมาจากต่างประเทศ

“คุณหวานใช่ไหมครับ” คณิตตั้งคำถาม คำตอบก็เดาเอาจากสีหน้าของอชิตะ

“คุณไปเก็บกระเป๋าก่อน” เขาสั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูระเบียง เพื่อคุยสายกับคนที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง

*      *      *

อชิตะใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีคุยกับคู่หมั้นสาว ก่อนจะเดินกลับเข้ามาภายในห้อง เจ้าของห้องนั่งอยู่บนโซฟา ข้างตัวมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่วางอยู่ เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวเล็ก เอื้อมจับมือเล็กกว่ามากุมไว้ เขากำลังหลงรักผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก

“บอสไม่รู้สึกผิดต่อคุณหวานเลยหรือครับ” คณิตหันมาถาม หลังจากนั่งเงียบใส่อชิตะไปหลายนาที คำถามที่บาดลึกหัวใจเขาเช่นกัน

ทุกครั้งที่จูบกับอชิตะ ในหัวเขาแทบไม่ได้นึกถึงณัชชาหรือความผิดต่อหญิงสาวเลย เหมือนเขาถูกมอมเมาจนลืมผิดถูกไปซะหมด

“ผม...”

“บอสไม่สงสารคุณหวานบ้างหรือครับ”

“ผม...”

“บอสไม่คิดบ้างหรือครับว่าคุณหวานจะเสียใจมากแค่ไหน”

“ผม...”

“บอสรู้ไหมครับว่าบอสเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด” และหลอกให้เขาเห็นแก่ตัวไปด้วยอีกคน

“พอหนึ่ง!”

******** จบตอนที่ 5 *********
 :katai2-1:
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
...รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ...
หนึ่งก็ห้ามแต่ปาก แต่การกระทำเหมือนจะคล้อยตามทุกอย่าง
ตอนนี้ความรักทำให้บอสตาบอด หูหนวก ไม่สนว่าปัญหาอะไรจะตามมา

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารหนึ่ง พี่อิงไม่คิดห้ามใจตัวเองเลยนี่นา

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
6

‘พอหนึ่ง!’

เสียงตวาดที่ดังทั่วห้องเป็นประโยคสุดท้ายของบทสนทนาระหว่างคนสองคนที่นั่งภายในรถคันสีเทา ที่แล่นออกจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดจันทบุรี เพราะหลังจากคำพูดนี้ถูกปล่อยออกมาจากเจ้านายหนุ่มอย่างอชิตะแล้ว ทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างก็หันหน้ากันไปคนละทาง ต่างไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา มีเพียงความเงียบที่ชวนให้อึดอัด ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะคว้ากระเป๋าของคณิตขึ้นมาถือ จากนั้นก็กึ่งดึงกึ่งลากคนตัวเล็กออกจากห้องในคอนโดฯ พาขึ้นรถ แล้วมุ่งหน้าสู่เมืองจันท์ 

สองชั่วโมงนิดๆ ที่อชิตะพาตัวเองและลูกน้องคนสนิทที่นั่งเช็ดน้ำตามาตลอดทาง จนถึงหน้ารีสอร์ตที่มีทรายหาดสีขาวทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา คณิตไม่ได้ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย แต่เบ้าตาก็ปริ่มน้ำตาตลอดระยะทางจากกรุงเทพถึงเมืองจันท์ ไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับตัวเองหรือเปล่า หรือเพราะกลัวที่เขาขับรถเร็วแบบไม่มีผ่อนเลย ตั้งแต่หลุดออกมา
จากกรุงเทพได้ เขาก็เหยียบมิด แถมแซงรถทุกคันที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะรถเล็กหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ มีบางครั้งที่เขาหันไปมองคนหน้าซีดที่กำมือวางไว้บนตักแน่นเพราะความกลัว

อชิตะรู้คณิตกลัวการขับรถเร็ว เนื่องจากตอนอยู่ที่ต่างจังหวัด คณิตเคยนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์เพื่อนไปประสบอุบัติเหตุ คณิตได้รับบาดเจ็บหนักพอสมควร แต่ไม่ถึงกับต้องหามส่งห้องฉุกเฉินเพราะไถลแล้วกลิ้งไปตกพงหญ้าข้างทาง แต่เพื่อนของคณิตกลับเสียชีวิตทันทีเพราะตัวยังคาอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ ก่อนถูกรถที่สวนมาด้วยความเร็วสูงเหยียบทับ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้คณิตกลัวจนไม่กล้าขับรถเร็วอีกเลย เรื่องนี้เจ้าตัวบอกเขาเอง แถมยังเปิดแผลเป็นตรงบั้นเอวข้างซ้ายให้เขาดูด้วย รอยแผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดอะไร เป็นแค่รอยแผลจางๆ แต่ยาวพอสมควร

รู้ทั้งรู้ว่าคณิตกลัวความเร็ว แต่เขาก็ยังทำ เพียงแค่อยากให้คณิตหันมาเปิดปากพูดกับเขาก่อน เพราะทุกครั้งที่เขาขับรถเร็ว คณิตจะโวยวายใส่เขาเสมอให้ขับช้าๆ หรือไม่ก็แย่งเขาขับซะเอง

“กลัวไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่บอกให้หยุด”

ใช่...ทำไมถึงไม่บอกให้เขาหยุด ทำไมถึงไม่โวยวายเรียกสติของเขากลับมา ทำไมถึงปล่อยให้เขาเหยียบเสียมิด เหยียบเสียจนบางครั้งเขาก็นึกกลัวว่าตัวเองจะบ้าระห่ำขับข้ามเลนไปชนกับรถที่วิ่งสวนมาเสียด้วยซ้ำ

“หนึ่ง...”

“...ฮึก...”

พอถูกเรียกเป็นครั้งที่สองด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น คนที่นั่งตัวเกร็งมาตลอดทางก็น้ำตาไหลทะลักแรงกว่าครั้งไหน คณิตพยายามจะข่มความกลัวเอาไว้ด้วยการกัดปากตัวเองมาตลอดทาง จากความเจ็บเปลี่ยนเป็นความชาที่กลีบปากสีซีด อชิตะรู้ว่าเขากลัวความเร็ว เขาไม่เคยจับมอเตอร์ไซด์อีกเลยตั้งแต่เหตุการณ์ชีวิตวันนั้น และไม่เคยนั่งข้างคนขับรถเร็วเหมือนจะไปตายอย่างที่อชิตะทำ เขากลัว เขาอยากจะร้องขอให้อชิตะหยุด แต่ปากมันก็หนักและไม่อยากยอมแพ้ที่ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน แต่พออีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเท่านั้นแหละ ความอัดอั้นผสมความกลัวมันก็ทะลักทลายออกมาในสภาพของน้ำตาท่วมหน้า

“ถ้า...คุณ...อยาก...ตาย...คุณ...ก็...ตาย...ไป...คน...เดียว...อย่า...เอา...ผม...ด้วย...เพราะ...ผม...ไม่...อยาก...ตาย...พร้อม...คุณ”

คณิตอยากจะตะโกนด่าใส่หน้าคนที่กำพวงมาลัยรถแน่น จนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือชัดเจน แต่ทุกคำมันช่างเบาและแหบแห้งคล้ายคนที่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ 

“ถ้าผมจะตายเมื่อไหร่.....”

อชิตะกดเสียงต่ำ พยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้มันระเบิดออกมาเพราะคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะละมือจากพวงมาลัยรถ ปลดเข็มขัดนิรภัยให้คนตัวเล็ก ก่อนกระชากเจ้าตัวเข้ามาหา   

“...ผมจะเอาคุณไปด้วย!”

“...อึก..” น้ำตาคณิตไหลไม่หยุด ไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่ แต่เป็นเพราะคณิตกลัวสายตาของอชิตะ กลัวแรงดึงจากมือใหญ่ที่ค่อยๆ ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน คณิตอยากดิ้นหนี เขาอยากผลักใบหน้าคมเข้มที่คุ้นเคยมานานหลายปีที่โน้มเข้ามาใกล้ พร้อมกับริมฝีปากที่กดลงมาบนกลีบปากของเขา เขาอยากต่อต้านแต่เหมือนร่างกายมันไม่พร้อมจะทำตามคำสั่งของสมอง

ทั้งที่สามารถหันหน้าหนีสัมผัสที่รุกรานได้ แต่ก็ไม่ เขากลับทำตรงข้ามกับความถูกต้อง กลีบปากบางเผลอออกเพื่อต้อนรับ คณิตยอมรับรสจูบของอีกฝ่ายอย่างปราศจากแรงต่อต้าน เขาสมยอมไปตามจังหวะของหัวใจแสนโง่เง่า หัวใจที่สิ้นคิด

อชิตะรู้ดีว่าคณิตแค่แข็งนอก แกล้งทำตัวดื้อ แต่หัวใจดวงน้อยกลับพร้อมจะยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ ทำในสิ่งที่เขาปรารถนาจะทำ แม้กระทั่งปล่อยให้เขาสอดมือผ่านชายเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเนียนที่ลื่นมือ เมื่อก่อนอชิตะไม่เคยพิศวาสผิวเนื้อขาวจัดราวกับแสงจากหลอดไฟที่นวลตาของคณิตเลย แต่เดี๋ยวนี้เขากลับร่ำร้องอยากจะสัมผัสและครอบครองเอาไว้คนเดียว!

“.....”

นานกว่าที่อชิตะจะถอนจูบดูดดื่มจากปากเล็กที่เปลี่ยนจากสีซีดเป็นเจ่อแดง ไม่ต่างจากใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ตาดวงเรียวเล็กก้มต่ำมองของตัวเองแทนใบหน้าของเขา

“ชอบไหม...จูบของผม” 

มันเป็นคำถามที่ทำให้คนหน้าแดงระเรื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะเดียวกันก็สับสนกับอารมณ์ของตัวเองและของคนถาม อารมณ์ที่เปลี่ยนไปไวเหมือนโกหก เมื่อนาทีก่อนคณิตยังอยากจะหนีไปให้พ้นอชิตะ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มตัวขาวกลับอยากถูกสัมผัสด้วยรสจูบซ้ำอีกครั้ง

...เป็นอะไรไปไอ้หนึ่ง ทำไมมึงต้องหวั่นไหวด้วยวะ!

“...ไม่ชอบ” มันเป็นคำตอบที่ช่างตรงกันข้ามกับความจริงในใจ คณิตยอมรับว่าเขาชอบมันมาก ชอบที่ถูกจูบ ชอบที่เจ้าของจูบนี้คืออชิตะ แตกต่างจากตอนโดนชิตตะวันจูบอย่างเทียบกันไม่ติด กับชิตตะวันแค่รู้สึกดีเพราะถูกกระตุ้น แต่จูบของอชิตะ มันพิเศษกว่านั้น มันไม่ธรรมดา มันเป็นอะไรที่เขาก็บรรยายไม่ถูก 

บอกได้แค่ว่า...เขาชอบรสจูบอชิตะ ชอบตั้งแต่ครั้งแรกในสระว่ายน้ำ

“งั้นเหรอ?” อชิตะยิ้ม มันคงเป็นยิ้มแรกของวันนี้ที่เต็มไปด้วยความสุขใจ คณิตดูน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่คณิตในวันที่ความสัมพันธ์ยังเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องที่สนิทกัน เวลานั้นเขาก็แค่รู้สึกห่วงใย แต่ไมได้อยากครอบครองเช่นตอนนี้ คณิตดูน่าทะนุถนอมเสียจนไม่อยากให้หลุดออกไปไกลสายตา

แม้แต่ตอนปากแข็งก็น่ารัก   

“ครับ”

“แต่หน้าแดงนะ”

พอพูดจบ อชิตะก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปช้อนปากคางคนปากแข็งแต่หน้าแดงเป็นสีลูกเชอร์รี่ให้เงยขึ้นมา บังคับให้มองสบตาเขา ก่อนโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใบหน้าน่ารักอีกครั้ง ครั้งนี้ชายหนุ่มแค่แตะเบาๆ บนกลีบปากสีแดงเพียงครั้งเดียว แล้วก็ปล่อย ความจริงอยากทำมากกว่าที่ทำไป อยากบดขยี้ให้ได้รสหวานชื่นใจ แต่ก็กลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่าจูบไม่ได้

“กลัวมากใช่ไหมที่ผมขับรถเร็ว...เหมือนจะพาคุณไปตายได้ทุกนาที”

อชิตะถามเบาๆ ความรู้สึกผิดยังคงติดอยู่ที่ใจ ตลอดเส้นทางที่เหยียบเต็มเท้ามา เขาไม่ได้รู้สึกผิดเลยที่ทำให้คนกลัวความเร็วกลัวจนมีน้ำตามาตลอดทาง เพราะตอนนั้นในใจเขามีแต่อารมณ์โกรธเต็มไปหมด ถึงภายนอกอชิตะจะดูเป็นคนใจเย็นและใจดี แต่เมื่อไหร่ที่เขาโกรธ ความใจร้ายจะเข้ามาแทนที่ความใจดีทันที

“บอสก็รู้ว่าผมกลัว แต่บอสก็ทำ...” พอได้ยินคำถาม ความโกรธเมื่อก่อนหน้าที่จะเป็นความวาบหวานเมื่อครู่ เริ่มตีตื้นกลับคืนมา หน้าแดงสีลูกเชอร์รี่สุกก็กลายเป็นหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าเป้บนเบาะหลังแล้วเปิดประตูรถลงมา

คณิตกำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ที่บางครั้งก็อยากหนีไปให้ไกล แต่บางครั้งก็อยากอยู่ใกล้อชิตะเหมือนเดิมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา อชิตะเป็นทั้งเจ้านาย พี่ เพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วมีทั้งความสนุกและสุข นี่กระมังที่ทำให้เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ เขารู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก แต่เขาก็เหมือนจะทำทั้งผิดและถูกไปพร้อมๆ กัน

*      *      *

พอเปิดประตูเข้ามาในบ้านพักที่เลือกจองเองกับตาเมื่อเดือนก่อน ฉับพลันคนตัวเล็กก็หน้าเหลือแค่สองนิ้ว คณิตลืมเสียสนิทว่าบ้านพักทุกหลังของรีสอร์ตมีจุดขายเป็นอะไร

ตายแน่ไอ้หนึ่ง!

ความรู้สึกของคณิตในเวลานี้ มันช่างต่างจากวันนั้นอย่างสิ้นเชิง วันที่เขามาดูห้องพักกับอชิตะ เพราะอยากมาเห็นกับตาว่ารีสอร์ตเปิดใหม่ของชิตตะวันเป็นยังไง เหมาะกับคู่รักหวานเลี่ยนอย่างสีฟ้าภาคีไหม ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเหมาะมาก คิดว่าภาคีต้องชอบและขอบใจเขายกใหญ่แน่ โดยเฉพาะส่วนของห้องอาบน้ำที่เป็นสัดส่วนแยกจากห้องสุขา

ห้องอาบน้ำที่มีแค่กรอบประตูแต่ไม่มีบานประตู สิ่งที่ใช้แทนประตูก็เป็นแค่กิ่งไม้แห้งที่ถูกร้อยเป็นโมบายเท่านั้นเอง ส่วนด้านบนก็เปิดโล่งให้เห็นท้องฟ้ากับก้อนเมฆเวลากลางวันและกลุ่มดาวและพระจันทร์ในตอนกลางคืน เขาตัดสินใจเลือกรีสอร์ตของชิตตะวันทันที

บ้านพักทุกหลังออกแบบเหมือนกันหมด ยกเว้นเพียงแค่สีของผ้าม่าน เตียงนอน หมอน และโซฟา ห้องนี้เป็นสีแดงเข้ม หนึ่งสี
โปรดของอชิตะ 

วันนั้นคณิตรู้สึกสนุกที่เลือกบ้านพักหลังนี้ให้ตัวเองด้วย แต่ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะสนุกไม่ออกแม้แต่นิดเดียว อยากร้องไห้ซะด้วยซ้ำ ก็ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดระหว่างเขากับอชิตะเล่า ห้องอาบน้ำที่ไม่มีประตูปิดกั้นความเป็นส่วนตัวเริ่มจะไม่ปลอดภัยสำหรับเขาแล้ว

แล้วคณิตก็คิดถึงคำพูดของเขาหลังจากที่ตัดสินใจเช่าบ้านพักสาม สำหรับการพักผ่อนสามวันสองคืน

‘มึงก็อย่าไปคิดสิวะไอ้ติน ว่าเป็นรีสอร์ตของชิตมัน คิดซะว่ามันเป็นของใครก็ได้ เพราะถ้ามึงลืมได้นะ กูรับรองว่าห้องอาบน้ำที่นี่จะเปิดโล่งให้มึงเดินเข้าไปอาบน้ำกับคุณลมได้อย่างสบายๆ โดยที่คุณลมไม่มีทางจะปิดประตูหนีมึงได้ ไม่ต้องเสียเวลาเคาะให้เสียอารมณ์...เพราะมันไม่มีประตูว่ะ ชอบไหมล่ะมึง’

เพราะประโยคพวกนี้ไงเลยทำให้คณิตกลัว กลัวว่าคนร่วมห้องของเขาจะทำอย่างที่เขาอยากให้ภาคีทำกับสีฟ้า
คณิตหันหลังกลับไปมองคนตัวสูงที่เดินตามเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่เขาอยากโวยวายใส่มาก   

“อาบน้ำก่อนไหมจะได้สดชื่น แล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว”

คณิตก็อยากทำอย่างที่อชิตะพูด แต่จะให้เขาอาบน้ำในห้องที่มีอชิตะอยู่ด้วยงั้นหรือ ให้ตายเขาก็ไม่อาบ เขากลัวตัวเองจะกลายเป็นสีฟ้า แล้วอชิตะก็จะสวมบทบาทเป็นภาคี เขาไม่ได้คิดมากนะ แค่คิดในสิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้สูงมาก แค่ดูรอยยิ้มของอชิตะก็เดาถึงความคิดได้แล้ว

“อาบเถอะนะหนึ่ง...อาบพร้อมกันนะ” พูดพลางเดินไปสวมกอดคณิตจากด้านหลัง กระซิบข้างใบหูเล็ก กระซิบซ้ำข้อความเดิม

“นะหนึ่ง...อาบพร้อมกันนะ”

ไม่เหลือหนทางให้คณิตฝืนปฏิเสธได้เลย

*      *      *

คณิตจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยกลัวอะไรบ้างเมื่อครู่ เพราะความกลัวถูกลบออกจากสมองจนหมด ที่เหลือจึงมีแค่หูที่ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวขนาดใหญ่เหนือศีรษะหล่นกระทบพื้นปูน กับใครคนหนึ่งที่ยืนกอดและจูบเขาอยู่ใต้สายน้ำฉ่ำเย็น เขาปิดหน่วยตาลงตั้งแต่ถูกจับถอดเสื้อผ้าด้วยความเผลอไผลยินยอม เขาอายเกินกว่าจะมองว่าทั้งเขาและอชิตะกำลังยืนตัวเปลือยกันทั้งคู่
แต่แล้วเสียงน้ำกระทบพื้นก็เงียบหาย มันถูกแทนที่ด้วยสุ้มเสียงที่แหบพร่า แต่ก็เป็นน้ำเสียงที่เริ่มจะคุ้นเคยแล้วเขาคาดเดาอารมณ์เจ้าของเสียงอย่างอชิตะได้ ทั้งยังได้รับการยืนยันจากเบื้องล่างของอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างจากของเขาเลย

...ความคับแน่นของอารมณ์เบื้องล่างที่ถูกกระตุ้นด้วยรสจูบและมือที่สัมผัสบนเนื้อตัวของเขา มันทำให้เขารู้สึกเกินจะยับยั้งให้ความต้องการของตัวเองเป็นปกติได้ ห้ามไม่ให้รู้สึกรู้สมไปด้วยไม่ได้เลย

“หนึ่งครับ...” เสียงพร่าด้วยแรงอารมณ์เรียกชื่อของคนในอ้อมกอด คนที่อชิตะจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหลงใหล  มือก็สัมผัสผิวเนื้อขาวนวลเนียน แม้อีกฝ่ายจะยืนนิ่งเหมือนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ตาเล็กก็ปิดสนิท แต่ความต้องการที่เบื้องล่างก็ฟ้องว่าเจ้าตัว ‘รู้สึก’ เช่นเดียวกับเขา

ผู้ชายดูง่ายจะตาย เพราะหลักฐานฟ้องเต็มตา

“หนึ่ง...ลืมตาก่อน” อชิตะประคองวงหน้าขาวไว้ด้วยสองมือ  อีกฝ่ายจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอายๆ ผสมกลัวหน่อยๆ    

“...หนึ่ง”

“ครับ” เขาเขินสายตาหวานเยิ้มของอชิตะ มันยังไม่ชินที่ถูกมองแบบว่าเหมือนจะกลืนกินได้ตลอดเวลา คณิตทำตัวไม่ถูก

“ผมทำได้ไหม”

คำขอนั้นถูกส่งผ่านทั้งคำพูด แววตา และความตื่นตัวเบื้องล่าง ถึงขนาดนี้แล้ว อชิตะไม่ต้องการคำ ‘ปฏิเสธ’ แน่นอน สถานการณ์เป็นใจให้ยินยอมขนาดนี้แล้ว ที่สำคัญคนตัวเล็กกว่าก็ยินยอมมาถึงตรงนี้แล้วด้วย มันก็คงไม่ยากใช่ไหมที่เขาจะครอบครองร่างกายหอมหวาน เอามาเป็นของตัวเอง ตีตราประทับว่าคณิตเป็นของเขาแล้ว ใครหน้าไหนก็มาแย่งเอาไปไม่ได้

“ได้ไหมหนึ่ง...” เขาหวังว่าคณิตจะตอบยินยอม แต่สิ่งที่อชิตะหวังอยากได้กลับเป็นการส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับคำตอบที่แผ่วเบา ทั้งที่เป็นถึงเพียงนี้ ต้องการปลดปล่อยเหมือนกัน แต่คณิตก็ยังปฏิเสธ

“อย่าเลยครับบอส...อย่าให้มันต้องเป็นเรื่องที่ต่อไป ทั้งผมและบอสจะรับมือกับมันไม่ไหวเลยนะครับ ผมขอร้อง...แค่นี้ผมก็ไม่กล้ากลับไปเจอหน้าคุณหวานแล้ว”

“อย่าพูดถึงคนอื่นได้ไหมหนึ่ง ตรงนี้มีแค่เราสองคน ก็ขอให้เป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้นพอ”

“ไม่ได้ครับบอส ในเมื่อคนอื่นที่บอสพูดคือคุณหวาน ว่าที่เจ้าสาวของบอสเอง แล้ววันแต่งงานของบอสกับคุณหวาน ผมก็คงเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้บอสไม่ได้แล้ว เพราะผมอายเกินกว่าจะไปยืนในฐานะนั้นได้...”

ใช่...เขาอายตัวเอง อายที่จะต้องมองหน้าเจ้าสาวของอชิตะ เจ้าสาวแสนดีที่ไม่ควรถูกหักหลังจากความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดจนผิดเพี้ยนนี้

“ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังคิดว่าผมจะแต่งงานกับหวานได้อีกเหรอ” อชิตะกระแทกเสียงถาม “ในเมื่อผมอยากได้คุณเป็นเมีย ไม่ใช่
เพื่อนเจ้าบ่าว...”

ความหงุดหงิดใจของอชิตะทำให้น้ำเสียงที่พูดกับคณิต ไม่ต่างจากเสียงตะคอก แต่พอเห็นน้ำตาเอ่อคลอในหน่วยตาแล้ว ใจมันก็วูบไหวและสงสารขึ้นมาทันที

“ผมขอโทษ...อาบน้ำต่อเถอะ”

*      *      *

“ติน”

คณิตยิ้มออกเมื่อยินเสียงเพื่อนรักของตนผ่านออกมาจากโทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหู หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ไปหาภาคีที่บ้าน

“ว่าไง” เหมือนเพื่อนสนิทของคณิตจะไม่อยากคุยด้วยสักเท่าไหร่ เพราะกำลังอยากนอนกอดคนรักโดยไม่มีใครโทรมากวน

“กูกับบอสถึงแล้ว มึงก็ออกมาจากห้องสักที จะได้หาอะไรกินกัน มันบ่ายโมงกว่าแล้วนะโว้ย” ตอนที่เดินลงจากรถของอชิตะ คณิตเห็นรถของสีฟ้าจอดอยู่ก่อนแล้ว เลยคิดว่าเพื่อนสนิทของเขาต้องนอนอยู่ในห้องแน่ๆ เพราะนิสัยของภาคีคงไม่ยอมเสียเวลาเดินชมทะเลแทนการนอนกอดสีฟ้าหรอก

“มึงก็กินกับบอสไปสิ” อีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ เพราะไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่วันที่ผ่านมาระหว่างเพื่อนกับอดีตนายจ้าง 

“ก็กูอยากกินกับมึงอ่ะ เร็วๆ เลยมึง กูหิวจนจะแดกหัวบอสได้อยู่แล้วนะมึง”

หึ... ถ้าจะพูดให้ถูก คงต้องพูดว่า ‘อชิตะจ้องจะกินเขาทั้งตัวมากกว่า’

“เออๆ ขอเวลาล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวออกไป”

“เร็วเลยนะมึง...คือกู...กู...ไม่อยากอยู่กับบอสสองต่อสองว่ะ” 

“ทำไม?” ภาคีสงสัยในน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปกับประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน

“บอสทำให้กูอึดอัดว่ะมึง กูบอกไม่ถูก วันหลังกูจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้มึงรีบออกมาอยู่เป็นเพื่อนกูก่อน ไม่งั้นกูจะไปหาชิตนะเว้ย”

คำว่า ‘อึดอัด’ และคำว่า ‘บอกไม่ถูก’ ของคณิต มันเป็นแค่คำที่เจ้าตัวใช้แทนคำว่า ‘สับสน’ กับสิ่งที่แสดงออกไป บางครั้งเขาก็ยินยอมอย่างง่ายๆ เพราะความผูกพันกันมาในฐานะลูกน้องกับเจ้านาย แต่บางครั้งเขาก็อยากต่อต้านและหลุดพ้นจากความผิดเพี้ยนเสียที ความรู้สึกของเขามันไม่อยู่กับร่องกับลอยเอาซะเลย

เดี๋ยววิ่งหนี เดี๋ยววิ่งกลับ   

“เออๆ รอแป๊บหนึ่ง”

“เร็วๆ นะมึง” เขาย้ำอีกครั้ง ก่อนจะวางสาย

คณิตถอนหายใจยาว เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นทรายเม็ดละเอียด หน่วยตาเล็กมองไปยังท้องทะเลสีฟ้าเบื้องหน้า

‘ถ้าเขายังคบกับญาดาก็ดีสินะ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ผิดพลาดจนผิดเพี้ยนแบบนี้ก็ได้’

***จบตอนที่ 6***
ติดตามตอนที่ 7 วันที่ 24 นะคะ
เนื้อเรื่องของเรื่อง รัก...ได้ไหม ไม่มีอะไรหวือหวานะคะ ค่อยเป็นค่อยไป ^_^
ฺํ :katai2-1:
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าพี่อิงนิสัยเสียง่ะะะ
ขอให้ตอนจบพี่อิงไม่เหลือใคร เพี้ยงงงงงงง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
7

ความจริงแล้วคณิตก็ไม่ได้หิวอะไรมากมาย เขาโทรตามภาคีออกมาก็เพื่อจะได้มีเพื่อนไว้คุย และกันให้อชิตะหยุดร้องขอในสิ่งที่เขาให้ไม่ได้ลงเสียบ้าง ดังนั้นเมื่อภาคี สีฟ้า และอชิตะที่เดินถือกีตาร์มาด้วยนั้น เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาบนเตียงใหญ่แบบ Day Bed สีชมพูเข้มสดใส แล้วบอกกับเขาว่าจะรอคุณหมอพิษณุก่อน เพราะอีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว

คณิตคิดว่าข้อสรุปที่ว่าจะรอคุณหมอพิษณุเนี่ย คงมีแค่อชิตะกับสีฟ้าเท่านั้นกระมังที่เต็มใจรอ ส่วนเพื่อนของเขาดูจากใบหน้าแล้ว คงไม่อยากรอและไม่อยากเห็นหน้า แต่แย้งอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจโดนสีฟ้างอน

แต่สำหรับเขาแล้ว การมาของคุณหมอทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว เมื่อคุณหมอพิษณุมาแล้วก็คงจะคอยกันอชิตะออกจากเขาได้บ้าง อย่างไรเสียเพื่อนก็ต้องอยู่กับเพื่อนใช่ไหม ซึ่งก็เหมือนเขาไง เขาที่จะพยายามอยู่กับภาคีให้มากที่สุด และที่สำคัญเลยคือเขาจะขอแลกห้องพักกับคุณหมอ!

คณิตคิดอย่างหมายมั่น ขณะที่บทเพลงหนึ่งก็ดึงเขาให้กลับมาอยู่ในวงสนทนา จะเรียกว่าวงสนทนาก็คงไม่ใช่นัก เพราะเสียงเพลงดูจะมีมากกว่าเสียงพูดคุยเสียอีก

บทเพลงหนึ่งถูกขับขานขึ้นจากเสียงและฝีมือการดีดกีตาร์ของอชิตะ หากเป็นเมื่อก่อน คณิตคงจะแย่งร้อง ไม่ว่าไปเที่ยวที่ไหนด้วยกัน เมื่อไหร่ที่อชิตเอากีตาร์ขึ้นมาเล่น บทนักร้องเสียงดีจะตกเป็นของเขา ส่วนภาคีจะเป็นแค่ผู้ฟังที่ดี แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเงียบและฟัง พร้อมกับทำมองไม่เห็นสายตาที่ส่งมาให้เป็นระยะ ขณะที่ในใจก็นึกค้านเนื้อเพลงไปเสียทุกท่อน

*…ได้ชิดเพียงลมหายใจ แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ ที่ค้างในความรู้สึก ว่าลึกๆ เธอคิดยังไง รักเธอเท่าไหร่แต่ไม่เคยพูดกัน อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้ มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย เธอจะมีใจหรือเปล่า เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร เธอจะมีใจหรือเปล่า มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ ติดอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม...*

เป็นครั้งแรกที่นึกรำคาญเสียงของเจ้านายหนุ่ม

“พี่หมอมาแล้วครับ” 

สีฟ้าที่ทั้งตั้งใจฟังเพลงที่อชิตะร้อง และตั้งตารอการมาของหมอพิษณุด้วยความรู้สึกผิดอยู่มาก ที่ต้องปล่อยให้หมอหนุ่มขับรถมาเอง ทั้งที่บอกว่าจะไปรับแท้ๆ

หนุ่มหน้าสวยบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงดีใจ เมื่อเห็นไกลๆ ว่ารถของหมอพิษณุวิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ผิดกับคนที่นั่งอยู่ข้างตัวที่ทำหน้าบึ้งขึ้นมาแทบจะทันทีที่เห็นหมอพิษณุก้าวออกมาจากรถ

“คุณหมอครับ ทางนี้ครับ” เป็นคณิตที่อาสาตะโกนเรียกด้วยความเต็มใจ และดีใจที่หมอพิษณุมาได้เสียที เขาจะได้จัดการขอเปลี่ยนห้อง แต่เพราะคำถามของสีฟ้าที่ดังไล่ตามกันมานั้น ก็ทำให้คณิตมองเห็นลางๆ แล้วว่าสิ่งที่เขาหมายมั่นมาเมื่อหลายสิบนาทีก่อนคงไม่เป็นจริงเสียแล้ว

“แต่เอ๊ะ...นั่นคุณหมอพาใครมาด้วยอีกคน หรือว่าแฟนพี่หมอ” สีฟ้าตอบคำถามตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้าง เดาจากการที่หมอพิษณุพามาด้วย

เมื่อหมอพิษณุเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าทุกคน จึงเห็นพร้อมกันว่าข้างตัวของหมอพิษณุคือชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ผิวขาว แต่ไม่เท่าความขาวของคณิตและสีฟ้า

“ช้าว่ะ”

คำทักทายแรกเป็นของอชิตะ เจ้าตัวยิ้มๆ มองคนที่ยืนข้างพิษณุ คำพูดเมื่อครู่ของสีฟ้ายังติดอยู่ที่หู ที่บอกว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนี้อาจเป็นแฟนของพิษณุ แต่จะใช่หรือเพราะเขาไม่เคยได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟังเลย หรือว่าอาจจะใช่ เพราะตอนตามจีบสีฟ้า เขาก็ไม่รู้ มารู้เอาวันที่พามาเปิดตัวนั่นแหละ เปิดตัวปุ๊บเกิดเรื่องปั๊บ ตัวต้นเรื่องก็นั่งทำหน้าบึ้งไม่เป็นมิตรอยู่ข้างตัวสีฟ้านั่นไง

“ก็ไม่รู้จะรีบขับไปทำไม ช้าหรือเร็วก็ถึงเหมือนกัน” หมอพิษณุตอบเสียงเรียบ มองไปยังที่ว่างที่ทุกคนเหมือนจะขยับให้เขาและคนข้างตัวนั่ง แต่เขาเลือกที่จะยืน เพราะขืนนั่งก็คงต้องคุยยาว และอาจทำให้ภาคีไม่พอใจและนึกเหม็นขี้หน้าเขามากขึ้นไปอีก

“ไอ้ถึงน่ะมันถึง แต่มันถึงช้า แล้วนี่ทำไมไม่นั่ง เล่นตัวนะไอ้หมอ” อชิตะว่า แต่พอเข้าใจว่าทำไมเพื่อนของตนถึงไม่ยอมนั่ง

“ใครครับคุณหมอ หรือว่า...” ถึงแม้คณิตจะผิดหวังที่คุณหมอไม่ได้มาคนเดียว แล้วทำให้เรื่องการเปลี่ยนห้องของเขาพังไม่เป็นท่า แต่เพราะนิสัยชอบรู้ไปเสียทุกเรื่องก็ทำให้คณิตยิงคำถามให้หมอหนุ่มตอบ

“เพื่อน” หมอพิษณุตอบสั้นๆ แต่ก็คงไม่ได้ทำให้คนที่อยากรู้เชื่อเท่าไหร่นัก

 “หรือวะ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเพื่อนคนนี้ของแกเลย” อชิตะมองเพื่อนเหมือนจะจับผิด 

แต่แล้วคนที่มาด้วยก็พูดสิ่งที่ขัดกับคำพูดของคุณหมอขึ้นมาซะได้ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่พยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอหมากับตัวเขาเอง เนื่องจากไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่าเขาคือเพื่อนของคุณหมอ หรือไม่ก็คิดไปไกลว่าเป็นมากกว่าเพื่อน!

“ไม่เชิงเป็นเพื่อนหรอกนะครับ เรียกว่าคนรู้จักดีกว่าครับ คือผมชื่อฟ้า ผมเป็นเจ้าของร้านกาแฟข้างคลินิกของคุณหมอ พอดีคุณหมอเป็นลูกค้าประจำที่ร้านน่ะครับ เลยชวนผมมาเที่ยวทะเลด้วยกัน”

น้ำฟ้าไม่คิดว่าคำพูดของตัวเองจะทำให้คนที่ชวนเขามาทะเลด้วยกันไม่พอใจ จนใบหน้านิ่งเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจบ

“ยินดีที่รู้จักนะครับคุณฟ้า ผมอิงนะครับ เพื่อนสนิทของไอ้หมอมัน”

“ยินดีที่รู้จักเหมือนกันครับ” น้ำฟ้ายิ้มตอบ

“ผมหนึ่งครับ”

คณิตร่วมแนะนำตัวบ้าง เขาส่งยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้ ลอบมองใบหน้าของหมอพิษณุที่บึ้งตึงแล้วก็กลัวแทนชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟไม่ได้ คุณหมอทำหน้าตาแบบนี้คงได้มีเคลียร์กันยาวกับคนที่คุณหมอบอกว่าเพื่อน แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ใช่เพื่อนแน่ๆ

“ขอตัวเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนนะ” น้ำเสียงที่บอกเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนหันไปชวนคนรู้จักที่มาด้วยกัน ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกันเลย “ไปครับคุณฟ้า”

หมอพิษณุไม่ทันเห็นปากที่จะพูดแนะนำตัวของสีฟ้า สีฟ้าเลยต้องปิดปากของตัวเองโดยเร็ว เท่าที่รู้จักและคบหากันมาได้ สีฟ้าก็ไม่เคยเห็นหมอพิษณุทำหน้าตาหงุดหงิดขั้นนี้เลย

“ไปเอากุญแจที่เคาน์เตอร์นะ แล้วก็รีบออกมาเร็วๆ จะได้หาอะไรกินกัน” อชิตะบอก พอนึกเดาอารมณ์ของเพื่อนออก

“อืม” หมอพิษณุพยักหน้าบอก ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวรีสอร์ต

*      *      *

มื้ออาหารมื้อนี้ ภาคีคงเห็นว่าคณิตหิวจัดจริงๆ เพราะทันทีที่กะเพราะทะเล อาหารจานง่ายๆ ของคณิตที่ทำให้ทั้งตัวเขา สีฟ้า และอดีตนายจ้างต้องสั่งตามมาวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกันทั้งสี่จาน  หลังจากที่พนักงานของรีสอร์ตเดินมาบอกว่าพิษณุจะไม่ออกมาทานข้าวด้วยกัน คณิตก็แสดงออกถึงความหิวจัดของตัวเองด้วยการก้มหน้าก้มตากินข้าวกะเพราทะเลของตัวเอง ชนิดที่ว่าตั้งใจกว่าการทำงานเสียอีก ด้วยเจ้าตัวไม่ยอมเปิดปากพูดคุยเลย นอกจากตักข้าวเข้าปากเพียงอย่างเดียว ซึ่งผิดนิสัยคนที่พูดเยอะเสียจนลิงหลับอย่างมาก ทั้งที่คนร่วมโต๊ะกินข้าวทั้งสามพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยเรื่องของบริษัทใหม่ของภาคี

“อีกจานไหมหนึ่ง” อชิตะที่มองลูกน้องเขาอยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเห็นข้าวในจานเกลี้ยงหมดแล้ว ชายหนุ่มใส่ใจลูกน้องคนสนิทคนนี้เสมอ ไม่ว่าเวลาไหน

“ไม่ครับ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนคณิตคงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วคนถามก็จะหันไปสั่งเพิ่มให้เขา แต่ครั้งนี้คณิตกลับส่ายหน้าช้า

“วันนี้เป็นอะไรไปวะ กินน้อย พูดน้อย มีอะไรหรือเปล่า” ภาคีถาม มองหน้าเพื่อนเหมือนจะจับผิด

ที่ภาคีถาม เพราะเห็นความผิดปกติของเพื่อนสนิท โดยปกติแล้วคณิตเป็นคนกินจุแต่ไม่อ้วน กินจานเดียวไม่เคยอิ่มต้องสองจานขึ้นไป แถมยังกินแล้วปิดปากเงียบอีกด้วย ผิดปกติไปมาก จะเป็นเพราะเรื่องของญาดาก็คงไม่ใช่ นี่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ตอนเลิกกันใหม่ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอาการผิดปกติอะไรเลย ยังร่าเริงแจ่มใส่กินได้ เที่ยวได้ พูดมากเหมือนเดิม

และที่สำคัญ...

ภาคียังจำคำพูดของคณิตตอนที่โทรศัพท์คุยมาตามเขาได้ คณิตบอกว่าไม่อยากอยู่กับอชิตะแค่สองคน เพราะรู้สึกอึดอัด นั่นทำให้เขาสงสัย และต้องการคำตอบพอสมควร

“อ้าว...แล้วจะให้พูดอะไรเล่า เห็นคุยกันเรื่องบริษัทของมึง มันเกี่ยวกับกูไหมล่ะ ก็ไม่เกี่ยว แล้วจะให้กูเสียเวลาพูดทำไม” น้ำเสียงของคณิตดูมีอารมณ์โมโหนิดๆ เพราะสายตาที่จ้องจับผิดของภาคี

คณิตกลัวภาคีรู้เรื่องราวระหว่างเขากับอชิตะ แล้วเรื่องมันจะบานปลาย เขารู้ว่าภาคีหวงเขายังกับพ่อหวงลูก พ่อบังเกิดเกล้ายังไม่หวงเขาเท่าภาคีเลยเถอะ เขาไม่อยากให้ทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางใจกันเพราะเขา แล้วจะพานไปกระทบกับบริษัทของภาคีที่จำเป็นต้องพึ่งอชิตะในช่วงแรกๆ ด้วย

*      *      *

ภายในบ้านพักหลังสุดท้าย คณิตที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากคิดว่าคืนนี้จะเอายังไงได้ไม่ถึงสิบนาที เขาก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูห้องถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ใครคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอ่อนล้า ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นที่หัวใจ

คณิตลุกหนีจากโต๊ะอาหารมื้อกลางวันมาก่อน คิดว่าจะหาเวลาส่วนตัวได้คิดทบทวนตัวเอง หาทางหนีทีรอดจากคำคืนที่จะถึง แต่อชิตะก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเลย

คณิตรีบลุกจากเตียง หมายจะเดินออกจากห้องไป มันไม่ใช่เวลาที่ควรอยู่กันสองต่อสองในห้องหับที่มิดชิด เขาไม่ไว้ใจอชิตะที่จ้องแต่จะทำอะไรกับเนื้อตัวของเขา ขณะเดียวกันก็ไม่ไว้ใจหัวใจที่สับสนของตัวเองด้วย

“พูดกันก่อนหนึ่ง”

อชิตะรั้งแขนเล็กๆ ของคนที่ทำท่าว่าจะเดินผ่านเขาไป ก่อนจะดึงเข้ามากอด กดศีรษะเล็กๆ ไว้แนบกับอกซ้าย ข้างที่หัวใจของเขามันเต้นอย่างเชื่องช้า แล้วเขาก็ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ อย่างโล่งอก เมื่อเจ้าของร่างกายที่เขาโอบกอด ไม่มีอาการดิ้นหนีให้เขาต้องเหนื่อยใจซ้ำลงไปอีก

คณิตคิดหาคำพูดอะไรไม่ออกเลย คนตัวเล็กรับรู้ถึงแรงกระชับกับเสียงหัวใจที่เต้นดังชิดใบหู มือที่ควรจะผลักและฝืนตัวออก ตกไปอยู่ข้างตัวอย่างคนไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านอ้อมกอดที่เขาคิดเสมอว่ามันผิดเพี้ยนและไม่ควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่ามัน
กลับเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเรื่องเก่าเล่าซ้ำ เหมือนกับริมฝีปากที่กดซับอยู่บนกลุ่มผมของเขาอยู่ขณะนี้

“ขอผมกอดให้ชื้นใจหน่อยนะหนึ่ง” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน พึงพอใจกับท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่ตั้งท่าพยศไปไหน

เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ กี่วินาที หรือกี่นาที คณิตก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาควรจะหยุดความสับสนลงเสียที เขาปล่อยให้อชิตะกอดไปนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเขาจะไม่ปลอดภัยเอาได้

“บอสครับ” คณิตฝืนตัวออกจากท่อนแขนแกร่งอย่างช้าๆ ความอบอุ่นจากวงแขนค่อยๆ จางหายไปทีละนิด วูบหนึ่งที่แล่นเข้ามาในความคิดคือความรู้สึกเสียดาย... อยากถูกกอด ไม่อยากถูกปล่อย

“ผมคิดว่าเรื่องระหว่างเราควรที่จะ...”

เขาอยากบอกว่าควร ‘หยุด’ เสียที บอกเหมือนทุกครั้งที่อชิตะแสดงท่าทางว่าอยากได้ทั้งตัวและใจของเขาไปให้ได้ ทว่าอชิตะก็พูดแทรกเสียก่อน

“ขอผมจูบคุณหน่อย...ได้ไหม” ทันทีที่คำขอถูกเปล่งออกมาด้วยสุ้มเสียงทุ้มหวาน ใบหน้าคมเข้มที่ดูจริงจัง และสายตาหวานเยิ้มจากแรงปรารถนา ก็ทำให้คำปฏิเสธแทบไม่มีอยู่ในความคิดของคณิตเลย

“ไม่ตอบ...แสดงว่าได้” อชิตะยิ้มอย่างพึงพอใจ

“.....”

คณิตอยากจะพูดปฏิเสธแทบตาย แต่ความคิดมันดันยินยอมพร้อมใจ รู้ตัวอย่างชัดเจนว่ากำลังเฝ้ารอคอยลมหายใจอุ่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท้ายทอยถูกประคองด้วยมือใหญ่เพื่อเตรียมพร้อมรับแรงปรารถนาที่จะส่งมอบให้ จากนั้นริมฝีปากของคณิตก็ถูกถือครองด้วยริมฝีปากหนาที่บดเบียดลงมา เพียงอึดใจเดียวก็เปิดต้อนรับลิ้นร้อนให้รุกล้ำเข้ามาอย่างช้าๆ เชิญชวนให้คล้อยตาม
ราวกับไม่รู้ตัว หรือเพราะโหยหาแรงบดเบียดและรุกไล่ร้อนแรงนี้

ราวกับสิ่งที่ถูกต้อง สมควร ไม่ใช่ความผิดเพี้ยน หรือการทำผิดต่อใครแต่อย่างใด หัวใจที่สับสนเหมือนจะถูกคลี่คลาย ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิดถูกกระตุ้นให้เผยตัวออกมาเรื่อยๆ บังคับให้จิตใจนั้นล่องลอยไปยังทุกแห่งหนที่ถูกนำพาไปถึง

ตั้งแต่เมื่อไหร่...

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อยากให้เจ้าของริมฝีปากที่ร้ายกาจคนนี้อยู่กับเขาตลอดไป

*      *      *

“ตินนน...กูไปด้วยยยย”

ภาคีกับสีฟ้าหันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงเรียกที่ดังมาแต่ไกลจากด้านหลัง ก่อนจะวิ่งมาหยุดด้านหน้าพวกเขา

สีฟ้าน่ะยิ้ม แต่ภาคีนั้นขมวดคิ้วใส่คนที่กำลังจะมาเป็นตัวขัดขวางความโรแมนติกของเขากับคนรัก ความโรแมนติกที่วาดเอาไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ

“มึงจะไปไหน กูขอไปด้วย...กูไม่อยากอยู่กับบอสสองคนอ่ะ” หนุ่มหน้าตี๋กระซิบเสียงเบาเอากับเพื่อนของเขา เพราะไม่อยากให้สีฟ้าได้ยิน ส่งสายตาอ้อนวอนไปพร้อมกันด้วย ดูจากสีหน้าของเพื่อนแล้ว คงอยากจะไล่เขาไปเสียให้พ้นตา

“ถ้า...ถ้า...ถ้ามึงไม่ให้กูไปด้วย กูจะไปหาชิตนะโว้ย” เขาเอาชื่อชิตตะวันมาอ้างเมื่อไหร่ ต่อให้ร้องขออะไร ภาคีก็ต้องยอมเขาตลอด เพียงเพื่อไม่ให้เขาไปไหนกับชิตตะวันสองต่อสอง คณิตจึงใช้ไม้นี้ทันที

และแล้วคณิตได้อยู่ร่วมในความโรแมนติกของคู่รักที่เดินจูงมือกันกะหนุงกะหนิงอย่างไม่นึกอายสายตาของเขาเลย จะว่าไปคงมีแค่เพื่อนของเขาคนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่อาย ส่วนสีฟ้าก็หน้าแดงไปตามเรื่อง เพราะคำพูดที่ดูเหมือนจะใช้สั่งเขาให้ทำตาม แต่ความจริงกลับเป็นคำพูดที่ตั้งใจทำให้คนรักหน้าขึ้นสีต่างหากเล่า

‘จะเดินด้วยก็ได้ แต่อย่ากวนเวลาที่คนรักสวีตกัน ถ้าเห็นว่าทำท่าจะจูบกันเมื่อไหร่ก็รีบหลับตาซะ”

ดังนั้นคณิตจึงเลือกที่จะเดินนำหน้าคนทั้งคู่ อย่างน้อยก็ทำให้คนรักของเพื่อนอายน้อยลงได้บ้าง เขาไม่ได้อยากอยู่ร่วมความโรแมนติกของคู่รักคู่นี้ หรืออยากจะทำตัวเป็นส่วนเกินของทั้งสองหรอก แค่ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองอยู่ลำพังกับอชิตะ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเผลอตัวและเผลอใจอีกจนได้

คณิตเดินเร็วขึ้นเพราะใจที่วุ่นวายและเริ่มต้นสับสนอีกครั้ง ขณะที่คู่รักด้านหลังเดินช้าลงเรื่อยๆ เพราะเอาแต่ชวนกันคุยถึงความหลังเมื่อครั้งแรกเจอกัน

หลังจากที่เรียกสติของตัวเองกลับมาได้ แล้วดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดแข็งแรงและรสจูบที่คล้ายจะทวีความเร่าร้อนขึ้นทุกวินาที บดเบียดจนหลุดครางเพราะความเจ็บ คณิตก็ต้องพาตัวเองออกมาจากห้องพักที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสียตัว แต่ไม่ลืมที่จะบอกกับคนที่พยายามจะรั้งเขาไว้ด้วยสายตาที่อ้อนวอน ราวกับจะขาดเขาไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

‘ผมขออยู่คนเดียวนะครับบอส ให้เวลาผมได้คิดบ้าง...’

แล้วเขาก็เดินออกมา พอพ้นประตูห้องออกมาได้ก็วิ่งสุดฝีเท้า วิ่งเหมือนคนหนีอะไรสักอย่างที่น่ากลัวเหลือเกิน เขาคิดจะโทรหาชิตตะวันให้มาหา ช่วยพาเขาออกจากความสับสนที่ว้าวุ่นนี้ไปให้ไกล แต่ก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ก่อน ถ้าชิตตะวันโผล่มาตอนนี้ แล้วเจอเข้ากับภาคี อาจจะเกิดเรื่องได้ เขาเลยต้องเดินเตร่ๆ อยู่ที่หาด จนมาเจอภาคีกับสีฟ้านี่แหละ

สองมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกง กับสองเท้าที่เดินเหยียบบนทรายเม็ดละเอียด เดินไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมาย บางครั้งก็เตะเม็ดทรายให้กระจาย ระบายความอัดอั้นภายในอก ความสับสนภายในใจ ยิ่งยามที่คิดถึงรอยจูบ รสชาติของมันเหมือนของถูกปาก เท้าก็เตะเม็ดทรายกระจายไกลมากยิ่งขึ้น

อชิตะในวันนี้ไม่เหมือนอชิตะในวันเก่าก่อนเกิดเรื่อง และเขาก็เช่นกัน จะกลับไปเป็นคณิตคงเดิมไม่ได้อีกแล้ว ถึงร่างกายของเขาจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใบหน้าก็ยังคงเป็นชายหนุ่มหน้าตี๋ ผิวขาวจัด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วคือความรู้สึกภายในใจ ที่มันสามารถควบคุมสมองได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งควบคุมและขู่บังคับให้หลงลืมความจริงไปเสียทุกครั้งที่สายตาคมเข้มได้ทอดมองมา ดวงตาสีเข้มที่ดูจริงจังเหลือเกินกับความรู้สึกของตัวเองที่พร่ำบอกกับเขาทุกครั้งว่าต้องการเขามาก หว่านล้อมให้เขายินยอมพร้อมใจ ร่วมกระทำความผิดไปด้วยกัน

ความ ‘ผิด’ ที่ ‘เพี้ยน’ เสียจนไม่อยากยอมรับมันเลย แต่ก็ไม่อาจฝืนทนได้ แม้พยายามมากเท่าไหร่ที่จะหักห้าม มันก็เหมือนจะบีบรัดให้ต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คณิตไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมถึงเป็นได้เพียงนี้ เขาเหมือนอยู่ในมรสุมแห่งความสับสน

รู้สึกอยากหนีแต่ก็อยากอยู่

อยากตะโกนด่าแต่ก็ยอมรับสัมผัสเร่าร้อน

อยากทำให้ถูกต้องแต่ก็หลงใหลไปกับความไม่ถูกต้อง


*      *      *
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
*      *      *
    พอเปิดประตูห้องเข้ามา คนที่เขาอยากหนีไปเสียให้พ้นก็เดินผ่านกรอบประตูห้องอาบน้ำออกมาพอดี ในสภาพที่เปลือยท่อนบนอวดร่างกายที่กำยำด้วยมัดกล้าม หน้าท้องที่เป็นลอนสวย สมชายชาตรี ส่วนล่างห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูสีขาว ร่างกายที่เขาเห็นออกบ่อยๆ เห็นมาตั้งแต่รู้จักและสนิทสนมกันในฐานะลูกน้องคนสนิทที่ เห็นจนคุ้นตา แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เขาจะไม่กล้ามองร่างกายแข็งแรงของอชิตะ

มันก็แค่หุ่นของผู้ชายคนหนึ่ง

หุ่นดี สมชาย มีกล้าม มีซิกแพค

ส่วนล่างที่เมื่อก่อนก็เคยเห็น และพักหลังมานี่ก็เห็นบ่อยขึ้น

แต่ทุกอย่างบนร่างกายที่กำยำและสูงใหญ่ของอชิตะ มันทำให้เขาไม่กล้ามองอย่างเต็มตา ได้แต่ก้มหน้าเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาบุนวมที่วางชิดพนังห้องตรงข้ามกับเตียงนอนที่ต้องใช้ร่วมกันอีกสองคืน

เห็นเตียงแล้วก็ต้องคิดหนัก สองคืนที่ต้องนอนร่วมเตียงกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่เคยคิดสักนิดว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันจะเป็นเรื่องใหญ่และชวนให้อึดอัดจนอยากจะออกไปนอนที่เปลญวนหน้าบ้านพักเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพราะนับครั้งไม่ถ้วนที่คณิตนอนเตียงเดียวกับคนเป็นเจ้านาย ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนในห้องของคณิตหรือห้องของอชิตะ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่คงไม่ใช่ตอนนี้แน่!

“อาบน้ำก่อนไหม?” อชิตะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมเปียกของตัวเอง พลางเดินเข้ามาใกล้คนที่หายหน้าไปนานหลายชั่วโมง 

คณิตเงยหน้าขึ้นมามอง กลิ่นสบู่ลอยเข้ามาสู่การรับรู้ นี่ก็อีกเช่นกันที่เคยเป็นเรื่องปกติ แต่คล้ายกับว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติอีกแล้ว กลิ่นกายหอมๆ ที่ลอยเข้ามาในจมูก มันหอมชื่นใจเสียจนไม่อยากจะลุกหนีไปไหน เมื่อร่างกายที่กำยำนั้นทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ แต่น่าจะเรียกว่า ‘เบียด’ ดูจะถูกต้องมากกว่า

“บอส...ไม่ต้องเบียดขนาดนี้ก็ได้ครับ” คณิตบอกเสียงเบาพลางขยับตัวหนีไปจนสุดทาง คนตัวเปลือยก็เหมือนจะไม่สนใจคำบอกแสนเบาหวิวนั้น ยังคงตามมาเบียดชิดร่างกายที่บอบบางกว่า พร้อมกับวางท่อนแขนโอบไหล่เล็กที่ตั้งตรงนั้นด้วย คล้ายกับว่าจะบังคับให้อีกฝ่ายจำนนอยู่ใต้ท่อนแขน ไม่ให้ลุกหนีไปไหน

“ปล่อยครับบอส ผมจะไปอาบน้ำ” เขาบอกอีกครั้ง บอกทั้งที่ไม่มองหน้าคนที่กักตัวเขาไว้ภายใต้ท่อนแขนที่แข็งแรง

“เดี๋ยวก็ได้ นั่งคุยกันก่อน”

คราวนี้ไม่ใช่แค่มือเดียวที่โอบไหล่บางเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็พาดไปที่ด้านหน้าของคนตัวเล็ก ยื่นไปประสานกับมืออีกมือ ทำให้คณิตตกอยู่ในวงล้อมของท่อนแขนแข็งทั้งตัว

เพราะขี้เกียจจะห้าม...

เพราะขี้เกียจจะขัดขืน...

เพราะขี้เกียจจะคัดค้าน...

เพราะขี้เกียจจะโต้แย้งใดๆ...

หรือเพราะเริ่มชินกับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยแรงสิเน่หานี้แล้วมั้ง คณิตถึงได้ยินยอม ไม่ดิ้นรนหนี ซ้ำร้ายยังโอนอ่อนผ่อนตาม พักร่างกายและจิตใจที่สับสนวุ่นวายไว้กับแผ่นอกกว้างเบื้องหลัง ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกยกขึ้นนั่งบนตักของอชิตะตอนไหน จะรู้ตัวก็ตอนจมูกโด่งเป็นสันสวยมาเคล้าคลอบนผิวแก้ม บางครั้งก็กดลึกลงไปจนเขารู้สึกเจ็บนิดๆ บางครั้งก็ทำสูดเอากลิ่นจากผิวเนื้อของเขาไปคำใหญ่

เพราะไม่ได้ห้ามปราม ขัดขืน หรือดิ้นลนให้หลุดพ้น มือใหญ่ที่โอบกอดคณิตเอาไว้จึงย่ามใจ ถึงได้เลื่อนเข้าไปสัมผัสกับผิวกายใต้เสื้อยืด แล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยนในช่วงแรก ก่อนจะบีบเค้นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ในช่วงหลัง ร่างกายส่วนสำคัญใต้ผ้าผืนใหญ่สีขาวเริ่มดุดันขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ใบหน้าของคณิตถูกบังคับให้หันกลับมารับจูบที่เร่าร้อนและรุนแรงตามแรงของอารมณ์ปรารถนาในกาย

อชิตะ แม้จะดูสุขุม ลุ่มลึก ดูใจเย็น แต่ในสถานการณ์ที่พลุ่งพล่านด้วยอารมณ์สิเน่หายากจะดับลงได้ ชายหนุ่มไม่เคยจะรั้งรอเวลาแม้แต่วินาทีเดียว พริบตาเดียวร่างกายของคณิตก็ตกอยู่ใต้ร่างกายกำยำไปเรียบร้อยแล้ว

คนด้านล่างก็มึนงงเสียจนไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อยืดของตนหลุดออกจากเนื้อตัวไปตอนไหน เรียวปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระจากปากหนาของคนด้านบน เพียงเพื่อจะไปจูบซับที่หน้าผากเกลี้ยง แก้มเนียน ซอกคอหอม แผ่นอกเรียบปราศจากมัดกล้าม แต่ก็ชวนให้สัมผัสอย่างหลงใหล

มือเล็กที่ควรจะผลักไสเพื่อเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากความผิดเพี้ยนที่ไม่อยากให้เลยเถิดกลายเป็นความผิดพลาด กลับเลื่อนขึ้นไปสัมผัสแผ่นหลังหนาอันแข็งแรง ลูบไล้ตามอารมณ์ที่โลดแล่นตามแรงชักจูงของอชิตะ ทั้งสูงขึ้นไปบนบ่ากว้างและต่ำลงไปเท่าที่มือเล็กจะไล่ไปถึง ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ปากหนานั้นกลับขึ้นมามอบจูบดูดดื่มให้กับอารมณ์ที่ยากจะฉุดดึงให้เย็นลง มันร้อนระอุราวกับจะทำให้ขาดใจตายได้แทบทุกวินาที ร่างกายเบื้องล่างตื่นตัวและสั่นไหววาบหวาม ชวนให้เสียวซ่านในใจ รอคอยการปลดปล่อยแทบทนไม่ไหว

“อ่า...บอส...ผม...อืมมมม”

‘ผมจะทนไม่ไหวแล้ว’ คือสิ่งที่หลุดออกมาทั้งหมดไม่ได้ เมื่อสิ่งที่เรียกร้องถูกตอบแทนด้วยปากหนาที่เร่าร้อน ลิ้นร้อนที่ดุนดัน กวาดต้อน หว่านล้อมให้ตอบโต้เฉกเช่นเดียวกัน

เป็นอีกครั้งที่ความเร่าร้อนเต็มไปด้วยความหวานหอมชวนให้หลงใหลและดำดิ่งลึกลงไป ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงก่ำเพราะความต้องการปลดปล่อย กับสายตาฉ่ำเยิ้มทอดมองมาอย่างเย้ายวนนั้น ทำให้อชิตะยิ่งหลงใหลอย่างคลั่งไคล้ อยากครอบครองไปเสียทุกตารางนิ้วที่เป็นคณิต!

สำหรับอชิตะแล้ว...ไฟรักรุนแรงแค่ไหน เขาย่อมรู้ดี และไฟสิเน่หาที่เขามีต่อร่างกายข้างใต้ยิ่งร้อนมากกว่าหลายสิบเท่า ต่อให้ไม่ยินยอม เขาก็อยากจาบจ้วง ทิ่มแทงลงไปเพื่อตีตราจอง!

สิ่งที่ห่อหุ้มร่างกายท่อนล่างของอชิตะหลุดลงไปกองพื้น และเสื้อผ้าของคณิตก็เช่นกัน อชิตะยิ้มเยิ้ม มองสิ่งที่ฟ้องอารมณ์ร่วมของร่างกายเบื้องหน้า ไม่ได้แตกต่างจากเขา ความรู้สึกก็คงไม่ต่างกัน เขาช้อนตัวคณิตขึ้นมาสู่วงแขน อุ้มพาไปยังเตียงนอนกว้างสีขาวสะอาดตา วางร่างกายหอมหวานลงอย่างนุ่มนวล ก่อนจะตามขึ้นมาว่างตำแหน่งตัวเองให้อยู่เหนือร่างกายที่สั่นไหวเพราะอารมณ์ดิ่งลึกล้ำ เสียวซ่านและเรียกร้องให้เขาโอบอุ้มไว้ด้วยไอร้อน ที่เร่าร้อนดั่งนาทีที่ผ่านมาบนโซฟาตัวนั้น

ดวงตาสีนิลมองลึกลงไปในหน่วยตาเรียวเล็กฉ่ำความต้องการ ปากหนายกยิ้มด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุดต่อภาพที่เห็น ความยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย ชัดเจนในสายตาของเขา

มือใหญ่ลูบไล้บนผิวกายขาวขึ้นสีแดง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความร้อนจากปากหนา กดย้ำเพื่อครอบครอง มือเล็กๆ นั้นก็เหมือนจะเชิญชวนให้ครอบครองมากกว่านี้

คณิตกำลังเรียกร้อง กำลังร้องขอ กำลังลูบไล้ร่างกายกำยำที่เคยเห็นมาบ่อยครั้ง เขาลูบไล้เท่าที่มือทั้งสองจะไปถึง ความแน่นหนาของร่างกายที่กำยำยิ่งเพิ่มความเร่าร้อนให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ทุกตารางนิ้วที่สัมผัสถึงเหมือนไฟร้อน ล้วนแล้วแต่ทำให้คณิตลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง ดวงตาพร่ามัวเพราะอารมณ์ปรารถนาบดบัง ไม่มีอะไรอยู่ในสายตานอกจากใบหน้าคมเข้มที่คุ้นตา ดวงตาสีนิลที่ฉ่ำเยิ้ม ทว่าก็แผดเผาให้หลอมละลาย ความเป็นตัวเองหดหาย เหลือเพียงความปรารถนาในห้วงอารมณ์รุนแรง ที่จะช่วยให้เขาหลุดลอยไปจากความผิดชอบชั่วดีที่เฝ้าเตือนตัวเองมาตลอด ยามเมื่อสติสัมปชัญญะยังครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ถูกหลอกล่อด้วยสายตาเร่าร้อนราวกับจะหลอมให้ตัวตนของเขามอดไหม้ในวินาทีข้างหน้า

ไม่มีคำพูด มีเพียงเสียงความปรารถนา เร่าร้อน รุนแรง ยากหักห้าม คนสองคนปราศจากคำพูด แต่หัวใจของทั้งคู่ต่างพูดด้วยภาษาของการสัมผัส แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม

เมื่ออชิตะจูบ คณิตก็จูบ

เมื่ออชิตะลูบไล้ คณิตก็ลูบไล้

เมื่ออชิตสัมผัส คณิตก็สัมผัส

เมื่ออชิตะเลื่อนกายเข้าใกล้ คณิตก็เปิดกว้างเพื่อต้อนรับ...อย่างเต็มใจ

ในห้องหับมิดชิด บนเตียงกว้างที่รองรับเรือนกายบอบบางและร่างกายกำยำเอาไว้อย่างนุ่มนวล ความเร่าร้อนกำลังปะปนอยู่กับความรักที่สะสมมาเนิ่นนาน บทรักที่ใกล้จะสมบูรณ์แบบที่สุดระหว่างสองร่างกาย กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเรียกจากภายนอก

“หนึ่ง หนึ่ง...”

เสียงเรียกชื่อดังสลับกับเสียงเคาะประตู

“หนึ่ง...หนึ่ง...”

เสียงเรียกนั้นไม่ยอมแพ้ แม้จะไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา แต่เขาก็มั่นใจว่าเจ้าของชื่อนั้นต้องอยู่ในห้องอย่างแน่นอน

“หนึ่ง...หนึ่ง...”

คนด้านนอกร้องเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น หวังให้เจ้าของชื่อขานรับ แต่คณิตถูกดวงตาสีนิลเว้าวอนแกมขอร้องให้สนใจแต่ตน อย่าขานตอบ อย่าทำอะไรก็ตามที่จะทำให้ทุกอย่างที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาต้องหยุดลงเลย...

คณิตเบือนหน้าหนีเมื่อได้สติ มือเล็กค่อยๆ ดันแผ่นอกแข็งแรงให้ถอนตัวออกไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กลืนเก็บความเร่าร้อนที่คุกรุ่นลงไป ระงับมันด้วยสติที่น้อยนิดของตัวเอง

“เดี๋ยว...นะ...ชิต” กว่าจะหลุดคำพูดออกมาได้ก็ต้องอาศัยพลังมากเหลือเกิน คณิตหลับตาลงช้าๆ หลีกหนีสายตาตัดพ้อของคนร่วมเตียง

“ทำอะไรอยู่” สุ้มเสียงที่ถามว่าเข้มเกือบดุดันแล้ว สายตาที่มองตั้งแต่หัวถึงปลายเท้ายิ่งทำให้คนถูกมองเสียวสันหลังไปวูบหนึ่ง

“กำลังแก้ผ้าจะอาบน้ำ” คณิตตอบ สภาพของเขาตอนนี้คงจะช่วยยืนยันคำพูดให้ดูเป็นความจริงมากที่สุดได้ เพราะก่อนจะเปิดประตูออกมา คณิตก็ไม่ลืมคว้าผ้าขนหนูมาพันท่อนล่าง และสวมเสื้อปิดบังร่องรอยบางอย่างบนผิวกายไม่ให้ชิตตะวันเห็น

เห็นแล้วจะเป็นเรื่องอีก...

คณิตยังไม่ลืมหรอกนะว่า เขาตกลงคบกับชิตตะวันไปแล้ว

“ทำไมถึงไม่บอกว่าจะมาวันนี้” หากชิตตะวันไม่กลับมารีสอร์ต คงไม่รู้ว่าคณิตมาเข้าพักแล้ว เพราะคณิตบอกเขาว่าจะมาวันพรุ่งนี้

“ลืม” คำตอบสั้นๆ ของคณิต ทำให้ชิตตะวันหงุดหงิดเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดจนถึงขั้นโกรธแทบเป็นไฟ เมื่อร่างสูงใหญ่ของคนที่เขาเคยเห็นสองสามครั้งเดินตามออกมา ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของคณิต ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า มีผ้าเช็ดตัวพันส่วนล่างเอาไว้

แค่สภาพการแต่งกายคงไม่ทำให้เดือดดาลได้เท่ากับร่องรอยบนตัว ทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย มันดูใหม่และเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมาเคาะประตู แต่ไม่รู้ว่าถึงขั้นไหน

“หนึ่ง...” เขาข่มเสียงให้สงบนิ่งที่สุด ชิตตะวันถึงจะเป็นพวกเลือดร้อน แต่เขาก็ต้องบังคับตัวเองให้อยู่ในสภาพปกติที่สุด เขายังไม่มีสิทธิ์ทำอะไร นอกเสียจากคณิตจะเป็นของเขาจริงๆ “ออกไปคุยกันหน่อย” แทบอยากจะประเคนมัดใส่หน้าเจ้าของรอยยิ้มที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งเกี่ยวเอวเล็กๆ เอาไว้  แต่ต้องบังคับใจตัวเองเอาไว้ อย่างไรคนคนนี้ก็คือนายจ้างของคณิต และเขายังไม่แน่ใจว่านั่นคือความเต็มใจของคณิตด้วยหรือเปล่า

แม้แต่ตอนที่เขาจ้องเขม็ง คณิตก็เหมือนจะยินยอมให้มือนั้นเกี่ยวเกาะอยู่ที่เอวของตัวเอง ไม่ขัดขืน มีแต่สีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย นั่นก็แปลได้ดีทีเดียวว่าคือ “ความยินยอม”

“ไว้คุยวันไหนนะชิต คือตอนนี้...ไม่พร้อม”

ไม่พร้อมของคณิตคือไม่พร้อมจะอธิบายอะไรทั้งนั้น แม้แต่ท่อนแขนที่โอบเอวเขาอยู่ตอนนี้ เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะปลดมันออกให้พ้นตัว 

“แล้วจะคุยตอนไหน” ชิตตะวันถามเสียงห้วนแสดงความไม่พอใจมากขึ้น

“เดี๋ยวโทรไป แค่นี้ก่อนนะ ขออาบน้ำก่อน แล้วก็ไม่ต้องโผล่มาหาตอนกูอยู่กับตินมันนะโว้ย กูไม่อยากให้เกิดเรื่อง” ถึงจะรีบตัดบท อย่างไรคณิตก็ไม่ลืมที่จะย้ำเตือนเรื่องที่เขากังวล ไม่อยากให้งานกร่อยเพราะเรื่องของเขา

“อืม...แต่ขอคืนนี้นะหนึ่ง!”

ชิตตะวันกำชับเสียงเข้มและหนักแน่น บ่งบอกว่าเขาต้องการอย่างที่พูด ห้ามบิดพลิ้ว ก่อนจะมองเลยไปยังคนที่กำลังยิ้มเย้ยใส่เขา แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าหันหลังเดินกลับไปทางเดิม

ในเมื่อคณิตยินยอม เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร แต่เมื่อไหร่ที่คณิตไม่ยินยอม เมื่อนั้นแหละ เขาจะเป็นฝ่ายยิ้มอย่างนั้นบ้าง!

*      *      *

 “ตินคงไม่ยอม ถ้าหนึ่งจะเจอชิตคืนนี้”

อชิตะพูดขึ้นหลังจากปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก้าวเท้าตามแผ่นหลังบอบบางเข้ามาในห้องน้ำ เสียงที่เหมือนเรื่อยๆ
แท้จริงแล้วตั้งใจข่มขู่อยู่ในที

“ผมก็หวังว่าบอสจะไม่บอกมัน ผมขอนะบอส” บอกพลางถอนหายใจหนักหน่วง ทำไมศึกของเขาจึงหลายด้านหนักนะ

“แล้ว...ถ้าผมขอหนึ่งบ้างล่ะ” อชิตะย้อนถาม โอบเอวบางให้เข้ามาใกล้ หอมแก้มขาว ดวงตาสีนิลพราวระยิบ อารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่เริ่มก่อตัวใหม่อีกครั้ง

“ผมมีค่าเท่านี้ใช่ไหม” น้ำเสียงของคณิตติดจะหงุดหงิด

“มีค่าเท่าตรงนี้มากกว่า” ว่าแล้วอชิตะก็ละมือออกจากเอวบาง แล้วจับมือของคณิตมาวางไว้ที่อกซ้าย ให้สัมผัสถึงสิ่งที่เต้นอยู่ภายใต้ร่างกายตน

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากเล็กสีสวย มีเพียงสายตาที่มองมือของตัวเองใต้อุ้งมือใหญ่ ก่อนถอนหายหนักหน่วงอีกครั้ง ช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้า

คำพูดมากมายที่อัดแน่นภายในอกยามที่สติครบถ้วน ไม่ถูกหลอกล่อด้วยอารมณ์สิเน่หาใดๆ ยังคงอยากจะออกมาเรียกร้องให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม อยากออกมาลบล้างความผิดพลาดเพราะอารมณ์ปรารถนา อยากโยนความผิดเพี้ยนออกไปให้ไกลสุดขอบโลก แต่ก็ถูกกลืนเก็บลงไป ให้จมลงไปอยู่ก้นบึ้งมืดบอด เพราะมันคงเปล่าประโยชน์จะพูดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่มีผลต่อการกระทำของคนตรงหน้าเลย

อชิตะดื้อดึงเกินกว่าที่เขาจะโน้มน้าวให้คืนกลับ หรือเพราะเขาที่อ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานความผิดเพี้ยนนี้ไปได้ตลอด กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะจมลงสู่ความผิดพลาดนี้พร้อมกับอชิตะอย่างหลีกหนีไม่ได้ไปตลอดชีวิต...

จบตอนที่ 7
ตามตอนที่ 8 วันที่ 26 นะคะ

ปล. สงสัยไม่มีใครชอบคุณอิงแน่เลย T^T

By สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สำหรับเรานะ พี่อิงเอาแต่ใจเกินไป !!!!!!!
สงสารหนึ่ง เหมือนถูกล่อลวง 555

ออฟไลน์ askmes

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
รอติดตามมมม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
8

‘มีค่าเท่าตรงนี้มากกว่า’

คำพูดประโยคนี้ของอชิตะยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัวของคณิต แล้วดวงตาคมกล้านั้นก็หนักแน่นและจริงจังเหลือเกิน เกินกว่าที่จะต้านทานไหว

แม้ในยามที่นั่งล้อมวงยิงคำถามเรื่องของน้ำฟ้าเอากับหมอพิษณุ ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวที่หมอพิษณุบอกในตอนแรกว่าเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้กลับบอกเต็มปากว่าเป็น ‘แฟน’ คณิตเองก็ไม่สามารถจะลบลืมคำพูดของอชิตะในห้องอาบน้ำไปจากความรู้สึกได้...

...จดจำได้ทั้งน้ำเสียง คำพูด สายตา และความจริงจัง จนอยากยอมแพ้
แอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าขาวขึ้นสีแดง ไม่ใช่เฉพาะใบหน้า เนื้อตัวภายใต้เสื้อยืดเนื้อบางสีส้มก็เปลี่ยนจากขาวมากเป็นแดงมากไปเสียแล้ว เปลือกตาบางก็ดูจะหนักเสียจนจะปิดกั้นการมองเห็นได้แทบทุกเวลา แม้ปากจะปล่อยคำถามและคำพูดเย้าแหย่หมอพิษณุตามปกตินิสัยก็ตาม
   “เออน่า นี่หมายความว่าไงครับคุณหมอ หมายความว่า ‘จัดการคืนนี้’  หรือเปล่าครับ” หน่วยตาเรียวเล็กฉ่ำด้วยฤทธิ์ความมึนเมายิ้มเยิ้ม เมื่อตั้งคำถามที่ทำเอาคนถูกถามพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ นึกอยากอยากเคาะกะโหลกช่างคิดเหลือเกิด
“เมาแล้วนะครับหนึ่ง” อชิตะเตือนคนเมา เขาคว้ามือเล็กที่ตั้งท่ายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเป็นการห้ามไม่ให้ดื่ม คณิตคออ่อน ดื่มไม่กี่แก้วก็เมาแล้ว พอเมามากก็ชอบพูดไม่คิดเท่าไหร่ แต่คนเมากลับไม่ยอม ยังดื้อดึงที่จะเอาแก้วเหล้าจ่อปากให้ได้
“ไม่มาววว ผมยังดื่มได้อยู่คร้าบบบ...บอส”  เสียงอ้อแอ้เอ่ยบอกหลังจากวางแก้วที่เหลือเพียงน้ำแข็งลงบนโต๊ะ คนเมาไม่สนใจสายตาที่มองอย่างปรามๆ ให้เขาหยุดพูดและหยุดดื่ม แต่ที่ไม่พูดและไม่ดื่มอีกแล้วก็เพราะคณิตมองไปเห็นเจ้าของรีสอร์ตอยู่ไกลๆ ด้วยความบังเอิญ และฝ่ายนั้นกำลังจะเดินมาทางนี้ด้วย
คณิตไม่อยากให้ชิตตะวันมาตรงนี้ เพราะไม่อยากให้เกิดการปะทะกันระหว่างชิตตะวันกับภาคี ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน สองคนนี้จะมีเรื่องกันเสมอ ไม่ปะทะคารมก็ปะทะกำปั้นกัน โดยมีเขาเป็นฉนวนเหตุ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเลยต้องลุกเดินออกไปหาชิตตะวันเอง โชคดีที่ภาคีกำลังวุ่นอยู่หน้าเตากับคนรักของตนและคนรักของหมอพิษณุ ไม่ได้สนใจเขานัก
“เดี๋ยวผมมานะครับบอส คุณหมอ” แต่ไม่วายต้องบอกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันก่อน หมอพิษณุคงไม่เท่าไหร่ ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าคณิตจะไปไหน แต่คนที่นั่งข้างๆ หมอพิษณุอย่างอชิตะแล้ว ใช้หน่วยตาคมดุมองเขาเขม็ง ราวกับจะบังคับให้เขานั่งลง ห้ามไปหาชิตตะวันเด็ดขาด เพราะอชิตะคงเห็นชิตตะวันเหมือนกัน พานให้นึกถึงคำพูดแกมข่มขู่ก่อนนี้
‘ตินคงไม่ยอม ถ้าหนึ่งจะเจอชิตคืนนี้’
หึ...
เห็นสายตาห้ามปรามแกมข่มขู่อยู่ในทีแล้ว คณิตยิ่งอยากเอาชนะ 

*      *      *
คณิตเดินนำชิตตะวันเข้ามาในห้องพักของตน ก่อนหอบเอาร่างมึนเมาของตัวเองไปนอนแผ่หลาบนเตียงกลางห้อง แอลกอฮอล์ในร่างกายออกฤทธิ์เสียจนไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว
“จะยั่วหรือไง” ชิตตะวันถาม เดินมานั่งตรงขอบเตียงเพื่อมองหน้าคนเมา ก่อนจะวางมือคร่อมคนตัวเล็กเอาไว้ ความจริงเขาอยากเอาตัวคณิตขึ้นรถแล้วพาไปที่บ้านของเขาในตัวเมืองหรือไม่ก็โรงแรมที่ตั้งอยู่อีกแห่ง อะไรๆ ที่เขาหวังจะได้ง่ายกว่านี้ ไม่ใช่ต้องมานั่งบนเตียงในบ้านพักแห่งนี้ ทำอะไรก็คงไม่สะดวกนัก เกิดเจ้าของห้องอีกคนกลับเข้ามาในช่วงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มล่ะ แค่นึกก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นแล้ว
“ยั่วไม่ยั่ว มึงก็จ้องจะแดกกูอยู่ไม่ใช่หรือไง” คณิตปรือตาขึ้นมาย้อมถาม หรี่ตามองใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ ก่อนจะตัดสินใจโน้มต้นคอหนาลงมามอบจูบให้ซะเอง
ลิ้นที่แทรกเข้ามากระหวัดเกี่ยวพันกระตุ้นให้ตอบรับ มือที่สอดเข้ามาใต้เสื้อผ้าลูบไล้บีบเค้นอย่างถือโอกาส ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความคิดในหัวที่ว่า...
‘ทำๆ ไปเถอะ เรื่องผิดเพี้ยนจะได้จบไปซะที ยอมให้ไอ้เพื่อนรักโกรธไปสักพัก เดี๋ยวมันก็หาย ดีกว่าทำให้ความรักของอชิตะกับณัชชาพังทลายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ’
เสื้อยืดเนื้อบางร่นขึ้นไปกองเหนือยอดอกแบนราบ เม็ดสีหวานที่ชิตตะวันเห็นกลับเพิ่มความรู้สึกอยากครอบครอง ปากร้อนโน้มลงมาเพื่อลิ้มรสชาติ ชิตตะวันฝันถึงช่วงเวลานี้มานาน ตั้งแต่ที่เห็นหน้าก็รู้สึกอยากเป็นเจ้าของ แม้ถูกกีดกันจากภาคีก็ตาม เขาก็ไม่เคยย่อท้อและพาตัวเองเข้ามาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของคณิตจนได้ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของภาคีไปทันที
“อือ...พะ...” เรียวลิ้นที่แตะต้องบนแผ่นอก ทำให้เสียงครางเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นด้วยความเสียวซ่าน มือเล็กทุบลงบนไหล่หนาเบาๆ เป็นสัญญาณให้หยุด ทว่าก็เพียงแค่ครั้งเดียว ก่อนจะยึดไหล่หนาเอาไว้มั่น เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ชิตตะวันต้องการ
เมื่อดูเหมือนจะหมดทางหนีจากอชิตะแล้ว นี่คือหนทางสุดท้ายที่เหลืออยู่เท่าที่สมองเล็กๆ ของคณิตจะคิดออก
หากถามว่าโง่มากไหมที่ทำแบบนี้ คณิตก็ตอบทันทีเลยว่า ‘โง่ยิ่งกว่าโง่’ ทว่าเขาก็เลือกที่จะโง่ เพราะหนทางที่ฉลาดกว่านี้ เขามองไม่เห็นเลยแม้แต่ทางเดียว 
“หนึ่ง...ช่วยหน่อยสิครับ” คนที่กำลังคุมเกมพลิกตัวลงนอนตะแคงเอ่ยเสียงพร่า ดึงร่างกายบอบบางให้หันหน้ามาหากัน จับมือเล็กให้เลื่อนลงต่ำไปพบกับความแข็งขืน ส่วนกลางลำตัวที่กำลังคุกรุ่นด้วยความปรารถนาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงที่สวมใส่
“ตะ...ต้องด้วยเหรอวะ” คนเมาเริ่มจะตาสว่าง กำมือไว้แน่นและขืนเอาไว้สุดกำลัง คณิตรู้ว่าชิตตะวันอยากให้เขาทำอะไร แต่เขาไม่อยากเตะต้องมันเลย....ให้ตายสิ
“หึหึ...ต้องสิครับ นะครับหนึ่ง” เสียงอ้อนกระซิบผ่านริมฝีปากที่แนบจูบเข้ามา ขณะเดียวกันมือใหญ่ก็ยังคงลากดึงให้มือเล็กที่เหมือนจะโอนอ่อนผ่อนตามแล้วไปยังที่หมาย
ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์น้ำเมาเมื่อหลายสิบนาทีก่อนขึ้นสีแดงมากอีกหลายเท่า เมื่อมือถูกชักจูงให้เข้าไปสัมผัสกับความปรารถนาที่แข็งแกร่งของคนที่พยายามกวาดต้อนลิ้นเล็กๆ ของเขาราวกับอยากได้เอาไปเป็นของตนเอง ไม่เพียงเท่านั้นคณิตเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า กระดุมกางเกงของเขาหลุดออกจากรังดุมไปเมื่อไหร่ เขารู้เพียงแต่ว่ามืออีกข้างของชิตตะวันกำลังปลุกเร้าให้ตัวตนของเขาให้ต้องแข็งขืนตามไปด้วย
“ชะ...ชิต...คือ...ว่า...พะ...” มันยากเหลือเกินที่เขาจะเปล่งเสียงให้ออกมาเป็นคำแต่ละคำ ซ้ำร้ายยังเอ่ยออกมาไม่หมดอย่างที่ความคิดมันต้องการเลย
“เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วนะครับหนึ่ง ถึงขนาดนี้แล้ว จะแกล้งกันหรือไง” แม้ร่างกายที่ชิตตะวันอยากครอบครองเป็นเจ้าของก่อนที่จะกลายเป็นของคนอื่นจะขยับหนี ปากที่คล้ายจะเปล่งคำสั่งให้เขาหยุด ทว่าอารมณ์ที่โลดแล่นก็ยากจะหยุดยั้ง ชิตตะวันดึงร่างบอบบางให้กลับมาชิดดังเดิม จับมือเล็กให้วางแนบไว้กับตัวตนร้อนระอุของเขาอีกครั้ง บังคับไม่ให้ขยับไปไหน
“ไม่ต้องกลัว ครั้งแรกของหนึ่ง ชิตจะเบาๆ” สายตายิ้มเยิ้มนั้นทำเอาคณิตไม่กล้ามองสบด้วยเลย ทั้งชิตตะวัน ทั้งอชิตะ พูดเหมือนกันเลย ‘จะไม่ทำให้เขาเจ็บ’ พูดอย่างนี้แสดงว่ามันต้องเจ็บแน่ๆ นึกแล้วกลัวขึ้นมาจับใจ
คณิตระบายลมหายใจออกมาเบาๆ พลางปิดเปลือกตาลง ก่อนจะเปิดอีกครั้งในนาทีต่อมา เมื่อทำใจได้แล้วกับความเจ็บปวดแรกที่ต้องพบเจอ
...เขายอมเจ็บกาย มันก็น่าจะดีกว่าทำให้ว่าที่เจ้าสาวของอชิตะเจ็บปวด และมองเขาด้วยความรู้สึกเกลียดชัง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องเกลียดตัวเองไปด้วย
“ถ้ายังกลัว...ข้างนอกก่อนก็ได้ ขยับไปพร้อมๆ กันนะหนึ่ง” บอกเอาใจผสมกับการปลอบโยน ชิตตะวันไม่อยากให้ความกลัวของคณิตเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จที่รอคอยมาหลายปี
ครั้งแรกของเขากับคณิต เขาอยากให้งดงามด้วยความยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริง
แล้วชิตตะวันก็ยิ้มกว้าง เมื่อมือเล็กที่เย็นเฉียบเริ่มขยับนำเขาไปก่อน ถึงจะไม่คล่องแคล่วเพราะความเขินอายหรือกระดากใจอะไรก็ตามเถอะ มันก็เป็นสัญญาที่ดีไม่ใช่หรือ...
แม้ร่างกายไม่ได้เกี่ยวพัน เรียวลิ้นก็ไม่ได้พันเกี่ยวกวาดต้อนความหวานมาครอบครอง ทว่ามือเล็กที่ขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้อารมณ์มันโหมลุกใกล้ถึงขีดสุดรวดเร็วกว่าครั้งไหน ชิตตะวันจะรู้ไหมว่าหน่วยตาเรียวเล็กที่ถูกเปลือกตาบางบดบังนั้น มันเลื่อนลอยและหลุดลอยไปหยุดตรงหน้าหาด เลยไปถึงสะพานไม้ที่ยื่นไปในน้ำทะเลสีเข้มของยามราตรีสำดำ ตรงปลายสะพานเป็นลานกว้าง...ใครคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าคมเข้มและดวงตาคมกล้าสีนิลกำลังครอบครองทั้งความคิดและความรู้สึกของคณิต อารมณ์ที่พุ่งสูงจวนเจียนระเบิดออกมาเป็นหยาดอารมณ์ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าของคณิตนั้น เกิดขึ้นเพราะมือที่เร่งเร้า หาใช่เพราะความสุขสมในหัวใจ
“อ่าาา...”
เสียงที่ถูกระบายออกมาดังให้ได้ยิน แทบจะพร้อมกับความอุ่นร้อนในมือที่ไหลผ่านมือเล็กสู่ผืนผ้าสีขาวที่รองรับเอาไว้ มันเยอะเสียจนคณิตอยากหัวเราะออกมาเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง เขาเก่งเกินไปหรือเพราะชิตตะวันความอดทนน้อยกว่าเขา แต่มันคงไม่ใช่เวลาที่ดีแน่นอน เพราะตัวเขาเองก็เหมือนจะทะลุเพดานออกไปแล้ว
“อะ...อ่า” เพราะมือที่เร่งเร้าราวกับกลัวเสียหน้า เพิ่มจังหวะและความหนักแน่นมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องปลดปล่อยออกมาและไหลเปรอะเปื้อนเช่นเดียวกัน
...เหนื่อยและว่างเปล่าเหลือเกิน
“เฮ้ย! จะต่อเลยเหรอ?” ร้องถามเสียงหลงทันที เมื่อเรียวขาถูกแยกออก พร้อมกับร่างกายรุกไล่เข้ามา
“แล้วจะช้าอยู่ทำไมละครับหนึ่ง” เสียงนั้นเต็มไปด้วยแรงปรารถนา มือใหญ่ทำงานด้วยความชำนาญมากกว่าคนที่นอนทำตาโตอยู่เบื้องหน้า
เสื้อเนื้อบางถูกดึงออกให้พ้นตัวคณิต ที่หมายต่อไปของชิตตะวันคือกางเกงขาสั้นสีดำที่ไร้ประโยชน์ เขาขยับเพื่อจะดึงเอามันออกไปให้พ้นเรียวขาที่แสนจะเนียนเรียบ
“มีถุงไหม ขอถุงนะชิต หล่อลื่นด้วยก็ดี นะนะ กูกลัวเจ็บ” มือเล็กกำข้อมือหนาไว้แน่น ถึงจะยินยอมเพื่อตัดปัญหาที่แก้ไม่ตก อย่างไรก็ตามคณิตก็ยังต้องการเวลาทำใจ อย่างน้อยก็ให้คนที่ทำท่าเหมือนอยากจะกินกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวไปหาเครื่องป้องกันและช่วยเหลือมาก่อน
“ชิตปลอดภัยพอน่า” แน่นอนว่าทุกครั้งชิตตะวันป้องกันมาอย่างดี เขาไม่อยากเสี่ยงกับโรค แต่กับคณิต ความไว้ใจของเขามีมากพอที่จะไม่ใช้!
“ไม่รู้โว้ย มึงไปหามาเลย ถ้าไม่มี มึงก็อด” เขาขู่ คนถูกขู่ยิ้มนิดๆ
“งั้นรอเดี๋ยวนะครับ” มันไม่ใช่เรื่องลำบากของชิตตะวันเลยสักนิด ในเมื่อสิ่งที่คณิตต้องการเตรียมพร้อมอยู่ในรถยนต์นานแล้ว
คณิตรู้สึกโล่งขึ้นมาทันที เมื่อประตูห้องถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน บนเตียงกว้างที่ไม่เรียบตึงเหมือนเดิม ซ้ำร้ายยังมีคราบที่เกิดจากอารมณ์เปื้อนเปรอะอยู่นี้เหลือเพียงเขาคนเดียว ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ลุกขึ้นดึงกางเกงที่เกือบหลุดพ้นตัวขึ้นมา เอากระดุมใส่ในรังดุม และไม่ลืมคว้าเสื้อขึ้นมาสวม ก่อนจะล้มตัวลงนอนมองเพดานห้องต่อ
...เขาควรจะลุกจากเตียงแล้วกลับเข้าไปในงานปาร์ตี้เล็กๆ นั้นดีไหม
คณิตลุกขึ้นช้าๆ ใจหนึ่งอยากจะลุกขึ้นเดิน แล้ววิ่งออกจากห้องนี้ไปซะ อีกใจหนึ่งก็ปฏิเสธมัน แล้วมันก็ดึงให้เขาต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
...เฮ้อ อีกไม่ถึงชั่วโมงหรอกมั้ง ปัญหาที่เขาสร้างขึ้นมาก็จะถูกแก้ไข แม้จะเลือกใช้ทางแก้ที่ผิดไปมาก แต่คนอย่างเขาก็คิดได้แค่นี้จริงๆ
...เขาจะหลบอยู่หลังชิตตะวัน แล้วให้ชิตตะวันเอาเขาออกจากปัญหางี่เง่าทั้งหมดในชั่วข้ามคืน
“คิดอะไรอยู่ครับ แล้วเสื้อผ้านี่จะใส่ทำไม” คำถามเหมือนจะไม่พอใจนิดๆ ทำให้คณิตรู้ตัวว่าชิตตะวันกลับเข้ามาแล้ว 
“ทำไมกูจะใส่เสื้อไม่ได้หรือไง”
คณิตลุกขึ้นตอบคำถาม ปรายตามองถุงในมือของอีกฝ่ายที่นั่งลงข้างเขา
“เยอะไปไหมวะ หมดนี่กูคงตายพอดี”  นับแล้วกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สามกล่อง และหลอดเจลในจำนวนเท่ากัน มันต้องใช้เยอะขนาดนี้เลยหรือไงไอ้เจลเนี่ย
“ไม่ตายหรอกครับ สนุกมากกว่า” เห็นหน้ามุ่ยของคณิตแล้ว ชิตตะวันก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ชายหนุ่มวางถุงที่ใส่อุปกรณ์ที่คณิตอยากได้ไว้ข้างตัว มันเยอะไปจริงๆ อย่างที่คนตัวเล็กว่า แต่เขาไม่ได้จะใช้มันหมดซะเมื่อไหร่ บังเอิญเขาซื้อมาเยอะเพราะอยากแกล้งพนักงานหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ ที่มองหน้าเขาไม่วางตาเท่านั้นเอง แล้วตอนที่ออกไปเอาก็แค่หยิบเอามาหมด ไม่ได้หวังจะใช้หมดเสียหน่อย บางทีอาจจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้
“สนุกกะผีอะไรวะ” คณิตว่า อดโมโหไม่ได้ คนเสียบกับคนถูกเสียบ มันต่างกันเห็นๆ เขาต้องเจ็บตัวแต่ชิตตะวันสุขสมอารมณ์หมาย แต่ก็ช่างมันเถอะ เรื่องจะได้จบๆ ไป คิดมากแล้วปวดหัว
“งั้นไม่ใช้ดีไหม”
“ใช้!” คณิตยืนยันเสียงดัง
“เริ่มเลยดีกว่า ชิตอยากใช้มันแล้ว” ตาหวานเชื่อมเต็มไปด้วยความปรารถนาทำให้คนถูกชวนต้องหันหน้าหนี แต่ไม่วายที่มือใหญ่จะตามมาบังคับคางเล็กให้หันมารับจูบที่ทาบลงมาบนปากสีสวย ลิ้นร้อนแสนชำนาญแทรกสอดเข้ามาเกี่ยวพันและดูดดื่ม ชิตตะวันดันร่างเล็กให้นอนราบไปกับเตียงนุ่ม   
หัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้อกซ้ายของคณิต ร่ำร้องราวกับอยากให้สองมือผลักไสร่างกายที่คร่อมทับออกไปให้พ้น หากร่างกายกลับขัดขืน สองมือเล็กโอบกอดแผ่นหลังกำยำเอาไว้ด้วยความมุ่งมั่น
อดทนไว้ไอ้หนึ่ง!
...แกร็ก
เสียงลูกบิดดังแทรกเข้ามาในความเงียบที่เต็มไปด้วยสุ้มเสียงแห่งแรงอารมณ์ ทุกการเคลื่อนไหวและทุกเสียงหยุดลงแทบจะทันที
คณิตหวังว่าจะไม่ใช่อชิตะ เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นใครเขาก็รู้สึกโล่งอก แม้คนที่เปิดเข้ามาจะเป็นภาคีก็ตามเถอะ ดีกว่าที่จะเป็นอชิตะ แต่สีหน้าของภาคีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คณิตจะรับมือ ใบหน้าของเพื่อนสนิทเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ปราดเข้ามากระชากคอเสื้อชิตตะวัน กระชากให้ลุกออกมาจากตัวเขา ก่อนจะบรรเลงเพลงหมัดมวยใส่กันอุตลุด
“ชิต! พอ!” คณิตปราดเข้าไปดึงแขนที่กำลังจะวาดหมัดใส่หน้าภาคีเอาไว้ทัน
“มันทำชิตก่อนนะหนึ่ง” ชิตตะวันฟ้องทันที รู้สึกหงุดหงิดที่คณิตเข้าข้างคู่กรณีของเขา แต่พอเข้าใจอยู่บ้างว่าคณิตสนิทกับภาคีมากกว่าเขา ถ้าให้เลือก ยังไงคณิตก็เลือกภาคี
“ใครจะทำอะไรใครก่อนก็ช่าง แต่อย่าตีกันได้ไหม เพื่อนกันทั้งนั้น”
คณิตบอกเสียงขุ่น ก่อนจะปล่อยแขนชิตตะวันลง แล้วหันไปดึงตัวภาคีให้ลุกขึ้น ปากก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิเพื่อนสนิท
“มึงก็อีกคน ใจร้อนกับชิตมันได้ตลอดนะ” เขาดุ แอบใช้มันกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองด้วยแหละ ที่ภาคีเข้ามาเห็นเต็มตา เขาก็อายเป็นนะเว้ย
“กูขอมึงนะชิต อย่ายุ่งกับหนึ่ง มันไม่ใช่เกย์” ภาคีบอกเสียงหนัก ก่อนคว้าแขนเพื่อนสนิทลากดึงออกมาจากห้องพักทันที

*      *      *
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
 “มึงคิดอะไรของมึงหนึ่ง กูเตือนมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับไอ้ชิต แล้วเป็นไง ถ้ากูเข้าไปไม่ทัน มันจะเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงที่ถามทั้งโมโหและหงุดหงิดใจ มีวันนี้จนได้ ภาคีเข้าใจว่าชิตตะวันกำลังใช้กำลังขืนใจเพื่อนของตน ไม่รู้ว่าทั้งหมดคือความเต็มใจ

“กูก็เป็นเมียมันเหมือนที่คุณลมเป็นเมียมึงไง” คณิตตอบทีเล่นทีจริง แต่พอมองหน้าเพื่อนแล้วก็แทบอยากจะมุดดินหนี
“เล่นให้มันถูกเวลาหน่อย มันเหมือนกันไหมวะ กูกับคุณลมรักกัน แต่ไอ้ชิตมันจ้องจะงาบมึงมากี่ปีแล้วห๊ะ”
“หึ...มึงก็จ้องจะงาบคุณลมเหมือนกันนี่หว่า” คณิตสวนกลับ เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่รู้เพราะอะไร หรือเพราะกลัวภาคีจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้อชิตะฟังก็ไม่รู้
“หนึ่ง!”
“กูพูดแทงใจดำมึงหรือไง” 
“นี่มึงโกรธที่กูไปขัดขวางมึงกับไอ้ชิตหรือไง หรือว่ามึงชอบมัน ที่กูเห็นเมื่อกี้ มึงเต็มใจใช่ไหม มึงบอกมาเลย” ภาคีระงับความโกรธกรุ่นเอาไว้ แล้วถามด้วยความสงสัย มีซะที่ไหนที่คณิตจะเถียงกับเขาด้วยอารมณ์แบบนี้ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็นึกกลัวว่ารอยพกช้ำบนใบหน้าจะทำให้คนรักของเขาโกรธ สีฟ้าเคยโกรธเขามาแล้วครั้งหนึ่งเพราะเรื่องชกต่อยแบบนี้
“เออ! ใช่ กูเต็มใจ และมึงก็มาขัดขวางความสุขของกูด้วย” คณิตกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ เดินหนีเข้าไปในงานปาร์ตี้เล็กๆ บนปลายสะพาน
พอกลับเข้ามาในงานเลี้ยงที่มีแค่ไม่กี่คน ความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำถามที่ปนมากับความห่วงใยแบบร้อนใจของสีฟ้า เขากำลังจะทำให้คนรักทะเลาะกันหรือเปล่า ยิ่งสีฟ้าเป็นผู้ชายตัวเล็กที่งอนเก่งเหลือร้ายด้วย
“ตินไปทำอะไรมา!” สีฟ้าปราดเข้าไปจับใบหน้าคนรักพลิกไปมา คล้ายจะนับดูว่ารอยแผลที่หน้ามีกี่จุด
“ไม่มีอะไรครับลม” ภาคีตอบเสียงเบา ไม่กล้าสบตาคนรัก
“ไม่มีได้ไง ก็ปากแตกขนาดนี้ ไปชกกับใครมา”
“.....” ภาคีจะตอบได้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากให้ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพักหลังสุดท้าย
“หนึ่ง ตินไปมีเรื่องกับใครมา” เมื่อถามแล้วไม่ได้คำตอบ สีฟ้าจึงหันไปถามคนที่เดินมาด้วยกัน
คณิตอ้าปากจะบอกความจริง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของอชิตะที่มองมาทางเขาแล้ว ต้องเก็บคำตอบเอาไว้ ทว่าคณิตก็ยังเลือกที่จะเดินไปนั่งข้างอชิตะ
“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก” น้ำเสียงที่บอกแสดงถึงความโมโห ทว่าก็เต็มไปด้วยความสั่นเครือในน้ำเสียง ก่อนจะเดินปนวิ่งกลับไปทางรีสอร์ต
“บอสครับ ผมฝากดูหนึ่งมันด้วยนะครับ อย่าให้มันออกไปนอกห้องเด็ดขาด” ภาคีหันมาบอกอดีตเจ้านายของตนก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าตามคนรักไป
“มีเรื่องอะไรกันหรือหนึ่ง” อชิตะถามอย่างนึกเป็นห่วง เขามองมือเล็กที่วุ่นวายอยู่กับการชงเหล้าให้ตัวเอง ก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว แล้วจึงหันหน้ามาตอบคำถามของเขา
“เปล่า”
คำตอบสั้นๆ ไม่ได้ทำให้อชิตะคลายความสงสัย คณิตหายไปกับชิตตะวัน คนที่เขาพอรู้มาบ้างจากภาคีว่าคิดไม่ซื่อกับคณิต บวกกับการที่ภาคีที่ออกไปตามหาตัวคณิตกว่าครึ่งชั่วโมง แล้วกลับมาพร้อมรอยช้ำบนใบหน้า เท่าที่เขารู้ภาคีไม่ถูกกับชิตตะวันเพราะเรื่องของคณิต ถ้ารอยเขียวช้ำบนหน้าของภาคีเกิดจากชิตตะวัน อย่างนั้นชิตตะวันต้องทำอะไรคณิตอย่างแน่นอนถึงทำให้ภาคีทนไม่ไหว
แล้วชิตตะวันทำอะไรคณิตล่ะ?
ตาคมสีนิลเหลือบไปเห็นต้นคอขาวที่ขึ้นรอยสีแดงจางๆ อชิตะไม่รู้ว่าคนอื่นจะเห็นไหม แต่เขาเห็นมันชัดเสียจนอยากดึงตัวคณิตเข้ามาเค้นถามเอาความจริง   
“ถือว่าตอบคำถามของเจ้านายคุณได้ไหม” อชิตะบอกเสียงเรียบ เขาพยายามเก็บความรุ่มร้อนในอกเอาไว้ เขาเลื่อนสายตาจากรอยแดงขึ้นมามองสบกับหน่วยตาเรียวเล็กที่ทำเหมือนรำคาญคำพูดของเขานักหนา
“บอสเป็นแค่เจ้านาย ไม่ใช่เจ้าชีวิต” คณิตบอกเสียงขุ่น ฤทธิ์เหล้าทำให้ปากเก่งขึ้น 
“หนึ่ง!” เสียงนั้นเรียกว่าตวาดเลยทีเดียว ใบหน้าคมเข้มขึ้นสีแดงเพราะความโกรธจัดกว่าครั้งไหนๆ อชิตะไม่ชอบที่คณิตย้อน ถึงเขาจะใจดีกับคนคนนี้มากกว่าใคร แต่มันก็คงจะไม่ใช่ทุกเวลา โดยเฉพาะเวลาที่คณิตทำตัวน่าผิดหวัง
“ก็มันจริง” คณิตสวนกลับ ชายหนุ่มจ้องดวงตาที่ลุกวาวอย่างไม่นึกกลัว ทั้งที่ความจริงแล้ว ยอมรับเลยว่าเขากลัวเหลือเกิน ทั้งกลัวและเกรงว่าตัวเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของอชิตะอีกต่อไป!

*      *      *
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า บนเตียงในห้องพักของเขาและคณิต ยิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาคิด มันไม่ได้ผิดไปจากที่คิดเอาไว้เลย เขามองแผ่นหลังเล็กที่เดินไปหยิบถุงพลาสติกสีขาวขุ่นข้างในคือกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกับหลอดเจลขึ้นมา แล้วเดินผ่านหน้าเขาไปทางประตูห้อง ในสภาพที่เดินไม่ตรงเอาเพราะฤทธิ์น้ำเมาที่เจ้าตัวดื่มเหมือนเทใส่ปาก แต่ก็ยังอวดดีทำเหมือนตัวเองเดินตรงได้เป็นปกติ
อชิตะปิดกั้นความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจด้วยสันกรามที่บดแน่น ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งคำถามเอากับคนเมาที่เอาแต่ใจตัวเอง เขาไม่อยากทะเลาะและทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง
เพราะยังไม่ได้ครอบครัวเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ รอให้เวลานั้นมาถึงก่อนเถอะ คณิตจะไม่มีวันกางปีกโผบินไปหาใครได้ 
อชิตะไม่รู้ว่าคณิตจะไปไหน เขาเพียงแค่เดินตามร่างเล็กที่เดินเอียงซ้ายทีขวาที แต่ว่าทิศทางที่คณิตเดินไปนั้นก็ทำให้เดาจุดหมายได้ อชิตะไม่อยากจะพูดอะไรมาก ไม่ห้ามเมื่อตอนเจ้าตัวเคาะประตูบ้านพักอย่างไม่ยั้งมือ เพื่อเรียกให้เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาหา ไม่ห้ามปรามเพราะห้ามไปก็เท่านั้น
“เอามาฝากคุณหมอครับ เผื่อได้ใช้” ว่าแล้วคณิตก็ยื่นถุงที่ถือมาไปตรงหน้าเจ้าของบ้านพักที่เปิดประตูออกมา
ถึงจะเมาจนยืนให้ตรงไม่ได้ ต้องจับกรอบประตูเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองพื้น แต่คณิตก็รู้ดีว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม มันดูโง่ไปไหม ถ้าจะบอกว่า...เขาอยากให้อชิตะเข้าใจว่าของพวกนี้เขาเอามาให้หมอพิษณุใช้ ไม่ได้เอามาใช้เอง ตอนที่เดินกลับเข้าไปในบ้านพัก เห็นสภาพเตียงแล้วก็อดที่จะกลัวขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่คิดว่าชิตตะวันจะปล่อยให้เตียงอยู่ในสภาพเดิม แถมยังไม่เอาถุงอุปการณ์กลับไปด้วย เขาเลยต้องเอามันมาให้หมอพิษณุแบบนี้ไงล่ะ
“อะไรเหรอหนึ่ง” หมอพิษณุถาม เขารับถุงจากมือลูกน้องคนสนิทของเพื่อน
“ถูกใจล่ะเซ่ครับคุณหมอ”
หมอพิษณุมองข้ามไหล่คนเมาไปยังเพื่อนสนิทของตน เห็นอชิตะทำหน้าเซ็งจัด บุ้ยใบ้ให้เขารับความหวังดีจากคนเมาไปเสียจะได้เจ้าตัวจะได้กลับห้องพัก
“งั้นหมอเอาแค่นี้นะครับหนึ่ง มากกว่านี้คงไม่ไหว” หมอพิษณุจำต้องหยิบของในถุงขึ้นมาอย่างละชิ้น แล้วยื่นที่เหลือคืนให้คนเมา
“กลับได้หรือยัง” เสียงเข้มที่ถามดึงเจ้าของใบหน้าขาวให้หันกลับมามองตาขุ่น บางอารมณ์คณิตก็อยากเอาชนะความต้องการของอชิตะ
“กลับ...แต่ไม่กลับห้อง จะไปหาชิต” แค่ประชด 
“หนึ่ง!” เสียงตวาดนั้นดังก้องในความเงียบ แม้แต่หมอพิษณุยังตกใจ คุณหมอหนุ่มไม่เคยเจออารมณ์โกรธขึ้งของเพื่อนรักสักเท่าไหร่ แต่วันนี้เขากลับเจอมันหลายรอบมาก ขนาดหมอพิษณุยังตกใจ แล้วคณิตจะไม่ตกใจได้อย่างไร แต่เพราะอยากเอาชนะเลยต้องข่มความกลัวเอาไว้
“ก็ทำไม ผมจะไปหาเพื่อน” ก่อนทำใจกล้าผลักร่างสูงใหญ่ไปให้พ้นทางเดิน แล้วเดินไปตามทางที่ไม่รู้ว่าจะนำเขาไปตรงไหน
...ทำไมนะ ทำไมเขาต้องสร้างเรื่องให้อชิตะโกรธได้ทุกเวลาก็ไม่รู้ อยากขอโทษที่ทำให้ขุ่นเคืองใจจนถึงขั้นโกรธเกรี้ยวได้แทบทุกนาที แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะพูดความในใจออกมา แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ทำไมอชิตะถึงชอบตะคอกเขานักก็ไม่รู้
คณิตคิดตามประสาคนเมา อารมณ์น้อยใจก็ทำให้นึกอยากทำอะไรประชดไปเสียหมด
*      *      *
แม้ปากบอกว่าจะไปหาชิตตะวัน แต่ที่ที่คณิตเดินมาทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาคือหน้าชายหาดไร้ผู้คน เนื่องจากเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว เขาไม่ได้คิดจะไปหาชิตตะวันอย่างที่ปากอ้าง ที่พูดไปก็เพื่อประชดอชิตะ
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะ” คณิตร้องลั่น เขาล้มตัวลงนอนไม่ทันไรก็ถูกใครบางคนดึงให้ลุกขึ้นชนิดที่ว่าไม่ห่วงเลยว่าเขาจะเจ็บแค่ไหน เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บใจซะมากกว่า
“กลับ” อชิตะสั่งเสียงเรียบ 
“ไม่กลับ”
“หยุดดื้อได้ไหมหนึ่ง ผมเหนื่อยกับคุณมามากแล้วนะวันนี้” อชิตะเอ่ยเสียงดังอย่างเหลืออด   
“แล้วคิดหรือว่าผมไม่เหนื่อย ผมก็เหนื่อยกับคุณมากเหมือนกัน” คณิตย้อนอย่างไม่ยอมแพ้
“คุยกันดีๆ ได้ไหมหนึ่ง” ครั้งนี้อชิตะลดเสียงลง คลายมือที่บีบท่อนแขนของคณิตลงด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มพยายามทำใจให้เย็นลง เขาไม่ควรจะใช้อารมณ์กับคณิต กี่ครั้งที่ใช้อารมณ์พูดคุยก็มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง เขาก็รู้ไม่ใช่หรือไงกับคณิตน่ะต้องใช้ไม้อ่อนเท่านั้น ถึงจะเลิกทำตัวต่อต้านเขา   
ดูเหมือนจะได้ผล หน่วยตาเรียวเล็กอ่อนแสงลง ก่อนจะหลุบตาต่ำ ได้ยินเสียงถอนหายใจหลายเฮือก
“ไปเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วก็จับจูงคนตัวเล็กกลับที่พักด้วยอารมณ์ที่เย็นลงมาก คณิตก็ไม่ดื้ออาละวาดให้อารมณ์เสียแต่งอย่างใด 
*      *      *
สภาพเตียงยังเป็นเหมือนเดิม อารมณ์ที่เหมือนจะเย็นลงของอชิตะก็ค่อยๆ โหมลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขามองคนตัวเล็กที่อยู่ในสภาพมึนเมาเพราะใส่แอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายไปหลายแก้ว เจ้าเดินตรงไปทิ้งตัวนอนแผ่หลาบนเตียง เห็นแล้วนึกขัดตา แต่ที่มากกว่าอาการขัดตาคือความขุ่นเคืองใจและคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัว สลัดไม่หลุดไปเสียที
‘เกิดอะไรขึ้น...และถึงขั้นไหน’
แต่ก็คิดให้พอใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง หากคิดตามสภาพร่างกายของคณิต เจ้าตัวยังเดินได้เป็นปกติแบบคนเมา ไม่ใช่คนที่เจ็บขัดตรงช่วงล่าง
...ถุงยางและเจลที่หมอพิษณุส่งคืนมาให้และเขาถือมันอยู่ในมือ ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้เปิดใช้งาน
...แต่ก็คงเรียกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอก ในเมื่อหลักฐานบนเตียงที่เห็นเต็มสองตา มันคือรอยคราบจากของเหลวขุ่นขาวและคาว
“ลุกขึ้นมาคุยกันก่อน” อชิตะดึงแขนคนเมาให้ลุกขึ้นมาตอบคำถาม
“อะไรอีกเล่า” คณิตถามเสียงห้วนจัด เขาถูกดึงให้ลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็ถูกมองด้วยสายตาที่เหมือนจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้งของอชิตะ   
“ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น” คำถามของอชิตะทำคณิตนิ่งไปชั่วขณะ คนเมาหลุบตาต่ำ ไม่กล้าสู้สายตาที่คาดคั้นเอาความจริง
“บอสจะถามทำไม ในเมื่อบอสก็รู้คำตอบแล้ว”
“ผมถามเพราะอยากให้คุณตอบ”
“แต่ผมไม่อยากตอบ”
“คุณก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าตินไม่ชอบให้คุณไปยุ่งกับชิต”
“ตินมันไม่อยากให้ผมยุ่งกับชิตเพราะอะไรบอสก็น่าจะรู้นะ แล้วถ้ามันรู้ว่าบอสก็คิดกับผมไม่ต่างจากที่ชิตคิด มันก็คงไม่อยากให้ผมยุ่งกับบอสเหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกันนะหนึ่ง ผมจริงใจกับคุณ แต่ชิตไม่ได้...” อชิตะพูดยังไม่ทันจบ คณิตก็พูดสวนสิ่งที่อีกฝ่ายดูจะเข้าข้างตัวเองเหลือเกินว่า
“บอสจะบอกว่าชิตมันไม่ได้จริงจังกับผมงั้นเหรอ โทษเถอะครับบอส ถ้าชิตมันไม่จริงจังกับผม มันก็คงไม่รอผมมาจนถึงวันนี้หรอกนะครับ ถ้าผมจะต้องเลือกยอมใครสักคน ชิตก็คงเป็นคนแรก ส่วนบอส แม้แต่คนสุดท้าย...”
คณิตจงใจหยุดถ้อยคำนั้นลง เขามองสบดวงตาคมกล้าที่ลุกวาวเหมือนลูกไฟร้อนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยประโยคที่ขาดไปนั้นให้เต็ม
“...ก็ไม่ใช่”

จบตอนที่ 8 ค่ะ
ต่อตอนที่ 9 วันที่ 28 นะคะ

ดีใจที่ยังมีคนอ่านอยู่นะคะ
ช่วยทำให้กระทู้ไม่แห้งแล้งจนเกินไปนัก  o13
ปล. วันนี้ไม่เคาะบรรทัดนะคะ เพราะมันช้าไรไม่รู้ เคาะไม่ไปเลย พิมพ์ก็ขึ้นตัวอักษรช้ามาก
สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
โอ๊ยยยยยย อึดอัด อยากด่าบอส

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หงุดหงิดพี่อิง แอบเคืองหนึ่งด้วย ทำไมทำแบบนี้ละหนึ่งเอ้ยยย

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
9

“แม้แต่คนสุดท้าย...ก็ไม่ใช่” คณิตจงใจพูดเพื่อให้อีกฝ่ายเจ็บ

“ตั้งใจจะทำให้ผมโกรธใช่ไหม” อชิตะกดเสียงต่ำถามช้าๆ มองหน้าคนพูดนิ่ง คณิตตั้งใจจะทำให้เขาโกรธได้ตลอดเวลา     

“เปล่า ผมแค่อยากให้บอสรู้เอาไว้ว่าผมไม่ใช่คนเลวพอที่จะแย่งเจ้าบ่าวของใครหรอกนะครับ แล้วบอสก็ไม่ควรทำตัวเลวเหมือนกัน”

คำ ว่า ‘เลว’ นั้นกระแทกใจคนฟังอย่างแรง อชิตะเบือนหน้าหนีตาเรียวเล็กที่จ้องเหมือนจะทำให้เขาสำนึกผิดกับสิ่งที่เขาพยายามจะทำ คนเมายังไม่ยอมหยุดตอกย้ำซ้ำลงมาอีก

“ถ้าคุณหวานรู้จะเสียใจแค่ไหนที่เจ้าบ่าวของตัวเองกำลังนอกใจ ทั้งที่ไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกันแล้ว บอสไม่รักคุณหวานแล้วหรือไงครับ” คณิตถามซ้ำ คำถามที่เหมือนจะถามมาแล้วหลายหน แต่ไม่เคยได้รับคำตอบเลย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่อชิตะไม่ยอมตอบ   

เมื่ออชิตะไม่ตอบ ห้องจึงเงียบลงอีกครั้ง มันช่างเป็นเวลาที่แสนอึดอัด อชิตะยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ส่วนคณิตกำลังคิดว่าควรทำอะไร จะล้มตัวลงนอนในสภาพที่มึนตึงกันเช่นนี้ไปจนถึงเช้า หรือจะออกไปเสียให้พ้นจากที่ห้องแห่งนี้

...สุดท้ายคณิตตัดสินใจเลือกทางเลือกที่สอง ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้น ลงจากเตียง เดินผ่านร่างสูงใหญ่ของอชิตะไปทางประตูห้อง... ไปนอนดูดาวกับให้ยุงกัดดีกว่า

“จะไปไหน”

คำถามมาพร้อมกับมือที่จับข้อมือเล็กไว้ แรงบีบทำให้คณิตรู้สึกเจ็บไม่น้อยเลย ชายหนุ่มร่างเล็กพยายามแกะมือนั้นออก แต่ไม่เป็นผล อชิตะกำข้อมือของเขาแน่มาก บวกกับสภาพร่างกายของเขาก็ไม่ได้เป็นปกติมากนัก แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปฤทธิ์มันยัง
ค้างอยู่ทั่วร่างกาย ทำให้เหลือแรงน้อยเกินกว่าจะต่อสู้กับมือแข็งแรงของอชิตะได้

“ไปข้างนอก” เขาตอบเสียงห้วนพยายามจะบิดข้อมือออกแต่ก็ไร้ผลเช่นเดิม เลยต้องยอมแพ้

“ไปหาชิต?”อชิตะถามเสียงห้วนไม่แพ้กัน   

“ใช่ แล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว มันเจ็บ!” แรงบีบทำให้เขาเจ็บ ตาคมดุที่มองมาทำให้ยิ่งอยากหนีไปเสียเร็วๆ เบื่อที่ต้องต่อสู้ฟาดฟันกันด้วยคำพูดและสายตาอีกแล้ว เหนื่อยจนบอกไม่ถูก กลัวใจตัวเองด้วยว่าจะยินยอมอย่างหลายครั้งที่ผ่านมาด้วยแหละ ไม่รู้ทำไม เริ่มต้นเหมือนจะฆ่ากันตายก็ว่าได้ แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก คำพูดและการกระทำของอชิตะก็ทำให้เขาเผลอยินยอมเสียทุกครั้งไป

“ต้องให้ผมพูดกี่ครั้งหนึ่ง ว่าคุณไม่ควรออกไปหาชิต” อชิตะพยายามสกัดกลั้นอารมณ์ที่ถูกยั่วยุจากคนตัวเล็กกว่า

“แล้วต้องให้ผมบอกคุณกี่ครั้งว่าคุณไม่มีสิทธิ์”

“หนึ่ง”เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็น ทว่าในใจในกลับร้อนรุ่มพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุดออกมาว่าk “...คุณก็รู้ว่าตินไม่อยากให้คุณยุ่งกับชิต”เป็นอีกครั้งที่อชิตะเอาชื่ออดีตลูกน้องคนสนิทของเขาขึ้นมาอ้าง

“หึ...เลิกอ้างชื่อมันเถอะครับ มันไม่ใช่พ่อผมที่ผมจะต้องกลัว ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องเชื่อมันทุกอย่าง สมองผมมีคิดเองได้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ คุณก็เหมือนกัน คุณอิง เลิกคิดอะไรโง่ๆ กับผมซะที ยังไงผมก็ไม่มีวันนอนกับคุณแน่!”...ถึงจะเกือบไปรอบแล้วก็ตาม เพราะนั่นคือตอนที่เขาถูกหลอกล่อให้เผลอไผลตามไปกับอารมณ์ปรารถนาของอีกฝ่าย แต่เขาจะไม่ยอมอีกแล้ว ต้องบังคับตัวเองให้เดินบนทางที่ถูกต้องให้ได้ คณิตไม่อยากทำลายความรักของใคร ไม่อยากทำให้คู่หมั้นของอชิตะเสียใจ มองเขาเป็นคนเลวที่แย่งคนรักของคนอื่นไปอย่างหน้าไม่อาย 

“งั้นหรือ?” คิ้วหนาเหนือดวงตาคมดุกระตุก “คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากนอนกับผม” เขาเค้นเสียงถาม บีบข้อมือเล็กแรงขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าขาวบิดเบ้เพราะเจ็บ ข้อมือของคณิตเหมือนจะหักเสียให้ได้ แต่ก็ยังฝืนความเจ็บโต้ตอบกลับมาอย่างเผ็ดร้อนว่า
“ยังจะต้องให้ผมตอบอีกเหรอ คุณเลิกยุ่งกับผมซะที ผมรังเกียจการกระทำของคุณมากแค่ไหน คุณไม่รู้หรือไง”

“งั้นหรือหนึ่ง” ดวงตาสีนิลวาววับเป็นลูกไฟร้อน มันเต็มไปทั้งความโกรธและต้องการเอาชนะ

“ปล่อยผม” คณิตบิดข้อมือออกอีกครั้งและมันได้ผล เขาจ้องตากลับ ข่มความกลัวบางอย่างเอาไว้ ก่อนหันหลังเดินไปยังประตู หวังจะเดินออกจากห้องนี้ไป และออกไปจากผู้ชายคนนี้ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเคารพและรักเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง แต่ความรู้สึกทั้งหมดถูกทำลายลงหมดแล้ว ด้วยตัวของอชิตะเอง...และของเขาด้วยแหละ

“โอ๊ย!” คณิตร้องเสียงหลงขณะที่กำลังจับลูกบิดประตู แผ่นหลังของเขาปะทะเข้ากับผนังปูนเปลือยเต็มแรงเหวี่ยง
อชิตะรวบมือเล็กที่ขัดขืน คล้ายจะต่อสู้ให้หลุดพ้นขึ้นเหนือหัวด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างหนึ่งใช้โอบรอบเอวเล็กดึงให้เข้ามาแนบชิดและบดเบียดต่อแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นเกินหยุดยั้ง ชายหนุ่มสบตาเรียวเล็กที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์น้ำเมาเมื่อชั่วโมงก่อน ร่างเล็กดิ้นรนอย่างหนักเพราะตกตะลึงในการกระทำที่รุนแรงจากน้ำมือเขา แต่แรงคนเมาหรือจะสู้กำลังของร่างสูงใหญ่ได้

“จะ...จะทำอะไร” ละล่ำละลักถาม เจ้าของใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดยกยิ้มที่มุมปาก แรงบดเบียดก็ชวนให้หวาดหวั่น มือหนากำลังเลื่อนจากช่วงเอวลงต่ำไปขย้ำสะโพก ดิ้นหนีก็ไม่พ้น

“.....” อชิตะไม่ตอบ ชายหนุ่มเค้นยิ้มเย็นมองใบหน้าขาวที่ซีดเผือด หน่วยตาสีดำกลอกกลิ้งด้วยความหวาดระแวงภัยร้าย เขาปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อให้หนีรอดน้ำมือเขา แต่ปล่อยเพื่อให้เขาสะดวกจัดการกับส่วนล่างของคนตัวเล็ก

“บะ...บอส...ยะ...อย่า” คณิตพยายามหยุดมือที่กำลังกอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขา หลังจากกระชากกางเกงทั้งชั้นในชั้นนอกออกจากบั้นท้ายและหล่นไปกองพื้น แต่สู้แรงของอชิตะไม่ได้ ก่อนมือทั้งสองจะถูกรวบไว้อีกครั้งตรงหน้าอก

“ไม่ทันแล้วหนึ่ง ผมต้องได้คุณ” อชิตะยิ้มเย็น แต่ใจนั้นกลับไม่เย็นตาม เมื่อก่อนเขาอยากให้อีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แต่คงรอไม่ได้อีกต่อไป!

“ถ้าตินมันรู้ มันเอาบอสตายแน่...อะอื้ออ” เขาขู่ ขณะเดียวกันก็ต้องกลั้นเสียงที่ถูกส่งมาจากความรู้สึกเบื้องล่าง มืออุ่นทำให้ส่วนอ่อนไหวร้อนรุมยากควบคุม     

“คิดหรือว่าผมกลัว ถ้าผมจะเอาใครก็ขวางไม่ได้” คนถูกขู่หัวเราะในลำคอ บอกด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย มือยังขยับปลุกเร้าแท่งเนื้อนุ่มนิ่มที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่คิดจะหยุด “ที่ผ่านมา ถึงผมจะใจดี แต่ก็ใช่ว่าผมจะร้ายไม่เป็น ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง ผมก็ขอเลือกวิธีนี้ละกันนะหนึ่ง” ปลายเสียงนั้นลดต่ำแทบจะเป็นกระซิบ ปากหนายกยิ้มอย่างผู้ชนะในเกมนี้ ก่อนจะบดจูบลงบนกลีบปากเล็ก ที่เจ้าของมันพยายามจะปิดแน่นไม่ให้ลิ้นร้อนล่วงล้ำเข้าไปตักตวงความหวานที่ต้องการ

“...ฮึก” แม้จะกัดปากแน่นแค่ไหนแต่ก็ต้องพ่ายแพ้จนได้ เพราะส่วนอ่อนไหวด้านล่างที่ถูกปลุกเร้าอย่างหนัก จนเผลอเปิดปากให้ลิ้นร้อนแทรกตัวเข้ามาได้สมใจ ลิ้นร้อนเกี่ยวพันดูดกลืนอย่างรุนแรง ร่างกายเหมือนจะกลายเป็นปุยนุ่นไร้น้ำหนัก หากไม่มีมือแข็งแรงนั้นตวัดรัดดึงเอาไว้ และมีไหล่หนาให้เกาะเกี่ยวทรงตัวเอาไว้ไม่ให้ลมลงไปกองพื้น

ไม่นานนักคณิตก็ถูกจับหันหน้าเข้าหาผนังปูนเปลือยพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวลที่กระซิบบอกจากด้านหลัง คำพูดที่ทำให้เขาอับอายเหลือเกิน

“รู้ไหมหนึ่ง...ผมอยากทำท่านี้กับคุณที่สุด มันให้อารมณ์ด้านหลังจริงๆ คุณว่าไหม?” อชิตะปล่อยลมหายใจร้อนผ่าวใส่ใบหูเล็ก แล้วขบเบาๆ ก่อนสดดมกลิ่นหอมจากต้นคอขาว มือข้างหนึ่งรวบข้อมือเล็กทั้งสองไพล่ไว้เหนือบั้นท้ายของเจ้าตัว ส่วนอีกข้างที่กอบกุมส่วนที่ขยายใหญ่ขึ้นของคณิตนั้น บัดนี้เขาละจากมันมาเพื่อปลดปล่อยสิ่งกีดขวางความสุขสมใจออกช้าๆ จนมันหล่นไปอยู่ปลายเท้าเช่นเดียวกับของคนตัวเล็ก

“คุณมันโรคจิต” คณิตหันหน้ามาด่า ก่อนจะสะบัดหน้ากลับ เพราะทนสายตาสีนิลที่ยิ้มเยิ้มเต็มไปด้วยอารมณ์ความใคร่ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ไม่อยากเห็น!

“ขอโทษที่ทำให้รู้ช้าไปหน่อย” เขาเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเสียงเบา ไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดที่คล้ายจะเป็นความ จริงอยู่ไม่น้อย อชิตะให้ปากเม้มใบหูเล็กเบาๆ จากนั้นก็ลงลิ้นลงไปตามขอบใบหู ก่อนไล่ลงมายังซอกคอขาวขบเบาๆ จูบซ้ำอย่างหลงใหลที่จะทำมาตลอด   

“อ๊ะ....” คณิตหลุดเสียงร้องออกมาอีกครั้งเมื่อมือใหญ่กลับมาลูบคลำตัวตนของเขาอีกรอบ รูดดึงให้อารมณ์พุ่งสูง ปริ่มๆ จะทนไม่ไหว 

มือหนานั้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก ดึงให้ร่างกายที่เล็กกว่าใกล้ถึงขีดสุด อาการสั่นระริกของร่างกายเล็กยิ่งทำให้ต้อง เร่งเร้ามากยิ่งขึ้น จนน้ำขาวขุ่นและอุ่นเต็มอยู่ในอุ้งมือ พร้อมกับเสียงครางหวีดหวิว อชิตะยิ้มพึงพอใจและสุขสมอยู่หลังร่างเล็ก ซึ่งพอปลดปล่อยออกมาแล้วก็เอนแผ่นหลังพิงไว้กับอกเขา ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ปากเล็กเผยอออกน้อยๆ ชวนให้บดจูบลงไปซ้ำ ได้รับการตอบรับราวกับเคลิบเคลิ้มจากเจ้าของมัน ก่อนจะเบือนหน้าหนีและส่งเสียงขอร้องที่แสนจะเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

“พะ...พอ...ปล่อยผมไปเถอะบอส...อ๊ะ...” คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ได้เพราะมือใหญ่ที่เกี่ยวเอวเอาไว้พยายามร้องขอ แม้ความหวังมีริบหรี่ เพราะอชิตะยังที่ทำให้เขาอับอายและสิ้นท่าอีกครั้ง อชิตะไล้มือมายังช่องทางด้านหลังของเขาช้าๆ หากก็หนักหน่วงชวนให้สะท้านไปร่างกาย

“ปล่อยให้โง่หรือหนึ่ง ผมรอเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่จะได้เข้าไปอยู่ในตัวของคุณ” เสียงทุ้มบอกอย่างผู้ชนะ ปากหนาดูดดึงผิวเนื้อที่ซอกคอขาวอีกครั้ง ฝากฝังความเป็นเจ้าของด้วยรอยฟันที่กัดย้ำลงไป ร่างเล็กนั้นสะดุ้งเฮือก

“ผมอยากได้ตัวคุณจนใจจะขาดอยู่แล้ว...อยากรู้ว่าช่องทางรักของคุณจะบีดรัดผมได้เท่าที่ผมจินตนาการไว้หรือเปล่า” เสียงคนถามมีแววเยาะเย้ย “...และมันจะเก่งเท่าปากของคุณไหม”

สุ้มเสียงที่เหมือนโรคจิตทำให้คณิตขนลุกซู่ รวมถึงปลายนิ้วกระด้างที่บดเบียดช่องทางด้านหลังอย่างหยาบคายนั้นด้วย 

“รู้ไหมหนึ่ง...ผมอยากมุดเข้าไปสัมผัสตรงนี้ของคุณเต็มทนแล้ว” นิ้วแกร่งชุ่มความเหนียวข้นจากน้ำรักของคณิตกำลังเย้าแหย่ช่องทางเร้นลึกแสนคับแคบนั้น อชิตะกระหายอยากฝากฝังกายลงไปแสวงหาความสุขสมจนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

“โรคจิต!” คณิตตะโกนด่าสุดเสียง ยิ่งมีนิ้วมือที่กำลังวนเวียนอยู่ตรงช่องทางด้านหลัง ยิ่งทำให้ต้องดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลังที่มีอยู่น้อยนิด พยายามต่อสู้เตะตี แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน แข็งแรงดังหินผาที่บีบให้เขาต้องแนบร่างกายส่วนหน้าไปกับผนังปูนเปลือยอีกรอบ และไม่วายที่น้ำเสียงคุ้นเคยมานานหลายปีจะตามมากระซิบถ้อยคำจาบ จ้วงแสนหยาบคาย ไม่ต่างจากการกระทำของนิ้วมือที่พยายามจะยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

“ผมอยากฟังเสียงคุณครางดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ผมกระแทกตัวลงใส่คุณ คงเพราะน่าดู พูดแล้วชักอยากใส่เข้าไปแล้วสิ”

“คุณมันบ้าไปแล้ว! อร๊ากก!” คณิตร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บแทบสิ้นใจ จากนิ้วแกร่งที่หยิบยื่นให้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จุกเสียจนเข่าอ่อนขาสั่น ร่างกายเหมือนจะปริแตกออกเป็นเสี่ยง 

“อ่า...รู้สึกดีซะมัดเหมือนที่คิดเอาไว้เลย รัดเสียจนผมไม่อยากใช้อย่างอื่นแทนนิ้วเสียแล้วสิ” เสียงนั้นแหบพร่าด้วยอารมณ์ดิบ คนตัวเล็กกว่าปลดปล่อยไปก่อนแล้ว ขณะที่ตัวตนของเขายังคงบรรจุแน่นด้วยแรงปรารถนา อชิตะกำลังรอเวลาที่ได้รุกล้ำเข้าไปชิมความสุขสมจากช่องทางรักของคณิต จะไม่มีการถามถึงความยินยอมพร้อมใจ ไม่มีอะไรให้ต้องรอ เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไป

นิ้วแกร่งผ่านความตึงแน่นด้านนอกเข้าสู่ความลึกลับอันคับแคบภายใน ด้วยความช่วยเหลือของน้ำขาวขุ่นที่คณิตปล่อยออกมาเมื่อนาทีที่แล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับทีละนิด ถึงจะไม่คุ้นเคยกับช่องทางรักแบบนี้ แต่ก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้ไปกับมัน และใจของเขา มันก็ไปก่อนการกระทำนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ค่ำคืนในสระว่ายน้ำ อชิตะก็ฝันถึงบทรักที่ได้เสพสมจากร่างกายของคณิตมาตลอด   

“อะ...เอา...อ๊ะ...เอาออก...ปะ...ไป...ผะ...ผมเจ็บ...เจ็บ...ฮึก” ด้วยความเจ็บที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ทำให้คำขอนั้นหลุดออกมาอย่างยากลำบาก น้ำตาหลั่งไหลจากหน่วยตาเรียวเล็กลงอาบแก้ม ร่างกายเหมือนจะแตกหักให้ได้ เจ็บปวดเกินจะบรรยายออกมาได้ แต่เจ็บใจยิ่งกว่ากับการกระทำที่เขาได้รับ

“ซู่...ทนอีกนิด อีกไม่นานผมจะทำให้คุณสุขจนล้นทะลักออกมาอีกรอบ”

“ไม่! ผมไม่ทน...อ๊ะ...อึก...” คณิตแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ความเจ็บที่ใกล้เคียงกับความเจียนตาย เพราะนิ้วกระด้างที่สอดเพิ่มเข้ามามากกว่าหนึ่ง เขาจะรับไม่ไหวแล้ว เหมือนความตายกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ 

“อีกนิดนะหนึ่ง เดี๋ยวคุณก็ไม่เจ็บแล้ว” คนด้านหลังยังบอกราวกับว่าความเจ็บปวดของคณิตเป็นเรื่องสุขสม อชิตะเพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปในช่องทางคับแคบบีบรัด ทว่าชวนให้สัมผัสเหลือเกิน แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ ช่องทางของคณิตยังไม่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่มากกว่านิ้ว... และใหญ่ยิ่งกว่าหลายเท่านัก

ทุกการเคลื่อนไหวของนิ้วแกร่งทำให้ร่างกายที่เล็กกว่า ยิ่งดิ้นรนให้พ้นจากความเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะร่างกายที่แตกต่างกันมาก มิหนำซ้ำยังมีความกำยำและสูงใหญ่ยากที่คนตัวเล็กกว่าจะดิ้นรนขัดขืนออกมาจากความเจียนตายได้ 

“ละ...เลว...ผมไม่คิด ว่า...คะ...ฮ๊ะ...คุณจะเลวอย่างนี้” คณิตเค้นคำด่าออกมาอย่างยากลำบาก เพราะความเจ็บที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็อึดอัดจนหายใจไม่ออก แข้งขาไร้เรี่ยวแรงหยัดยืน หากไม่ถูกเกี่ยวไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงของคนชั่วอย่างอชิตะ เขาคงจะทรุดลงไปกองพื้นนานแล้ว

“ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่...อ่า ตอดชะมัด ต่อไปก็อย่าไปเสนอตัวให้ใครอีก เพราะตรงนี้...” อชิตะกระแทกนิ้วใส่ช่องทางคับแคบเต็มแรงและหนักหน่วง ตอกย้ำความเป็นเจ้าของ และกำราบคนตัวเล็กไปด้วย “...เป็นของผม มีผมเพียงคนเดียวที่ได้ลิ้มรสชาติของมัน มีผมคนเดียวที่ได้กระแทกเข้าไปในตัวคุณ ทำให้คุณทรมานอย่างสุขสม”

น้ำร้อนผ่าวในหน่วยตาของคณิตแตกทะลัก อชิตะไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าคำพูดของตน กำลังบดขยี้หัวใจดวงน้อยของคณิตให้แหลกลาญย่อยยับอยู่ตรงนี้

“คุณต้องครางให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว” นิ้วแกร่งขยับแรงขึ้นเหมือนจิตใจที่กำลังร้อนแรง เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์บนเตียงระหว่างคณิตกับชิตตะวัน เหตุการณ์ที่เขาไม่เห็นกับตาแต่พอจะนึกเดาได้ แม้มันไม่ถึงขั้นที่นึกกลัว แต่คณิตก็ไม่ควรทำอย่างนั้นในห้องนี้ ห้องที่เป็นของเขาด้วย มันหยามกันเกินไป 

คงอยากจะทำให้เขารู้สินะ...

“ไอ้เลว...ฮึก...” คณิตตะโกนดังเท่าที่จะฝืนออกมาได้ เสียงของเขาเหมือนดังอยู่แค่ในลำคอ ไม่ไปไกลเกินนั้น

“ถ้าเลวแล้วได้เข้าไปในตัวคุณ ได้บดขยี้คุณ ทำให้คุณครางเพราะผม ให้ผมได้สุขสมกับร่างกายคุณ หึ...ผมยอมเลว แล้วจะทำให้คุณเลวไปกับผมด้วย เลวไปด้วยให้ถึงที่สุดเลยนะ...หนึ่ง” ปลายเสียงแผ่วจางราวกับจะอ้อน ต่างการนิ้วแกร่งที่โหมแรงใส่ช่องทางบอบบางของคณิตอย่างมัวมัน

“เชิญคุณเลวไปเดียวเถอะ! อ่า...” คณิตกัดฟันฝืนด่าทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ไหลทะลักด้วยความเสียใจและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

อชิตะร้ายกาจเกินไปแล้ว เหมือนจะไม่ใช่อชิตะที่เขารู้จัก แล้วนิ้วที่เพิ่มจำนวนและกระแทกเข้าออกอย่างหนักหน่วงนั้น เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความเสียวซ่านวิ่งผ่านเป็นระลอกอย่างเบาบาง... ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้   

“ผมจะเอาคุณไปด้วย จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ผมก็จะเอาคุณไปด้วย จำใส่หัวคุณเอาไว้หนึ่ง”

นิ้วทั้งสามถูกถอนออกเมื่อช่องทางที่คับแคบเริ่มลดความคับแน่นลง แม้จะไม่มากหากอชิตะก็ไม่อยากรออีกต่อไป ในเมื่อความกระหายอยากมันอัดแน่นจนจะทนไม่ไหวแล้ว เขาอยากสัมผัสให้ลึกซึ้งด้วยท่อนเนื้อร้อนรุ่มดังเหล็กติดไฟ แต่มากกว่านั้นคือครอบครองทั้งร่างกายนี้ คณิตจะได้ไม่ดิ้นรนหนีเขาไปหาใครหน้าไหนได้อีก เมื่อไหร่ที่คนคนนี้เป็นของเขา เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เป็นอิสระ จะไม่มีคำพูดไหนหรือใครจะเอาคณิตไปจากเขาได้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็อย่าหาญกล้าจะไปจากเขาได้ คนของเขา ของของเขา เมื่อเป็นแล้ว มันต้องเป็นตลอดไป

“จะ...จะทำอะไร!” ร้องถามเสียงสั่นหัวใจเหมือนตกไปอยู่ที่พื้น เมื่อนิ้วกระด้างถูกถอนออกจากช่องทางของเขา และสะโพกถูกบีบเค้นอีกครั้ง ก่อนที่มันจะถูกดึงไปบดเบียดกับแท่งเนื้อร้อนแข็งและร้อนจัด บังคับให้ร่างกายของเขาต้องโก่งโค้งในท่าที่ไม่น่ามองเลยสักนิด สองมือต้องยันผนังปูนเย็นชืดเอาไว้

ความแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินที่ประชิดอยู่ด้านกำลังดึงดันที่จะผ่านเข้ามา...ให้ได้!

ให้ตายเถอะ! อชิตะจะทำจริงใช่ไหม แค่สามนิ้วเขาก็จะตายแล้ว นี่ต้องโดนอะไรที่ใหญ่กว่านิ้วหลายเท่า ร่องรูของเขามันไม่ได้มีไว้เพื่อรองรับตัวตนบ้าคลั่งของอชิตะนะ

“เข้ายากจริงนะหนึ่ง” ไม่ใช่คำตอบของคำถามเมื่อกี้ของคณิต มันเป็นเพียงคำพูดที่เอ่ยถึงช่องทางรักที่แม้จะขยับขยายแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะผ่านเข้าไปโดยง่าย จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงขบกรามและคำรามเบาๆ กับความพยายามที่จะพาแท่งร้อนเต็มเปี่ยมด้วยแรงปรารถนาและอารมณ์หิวกระหายเข้าไปในช่องทางที่อยากสัมผัสให้ลึกที่สุด กระแทกให้แรงที่สุด ตีตราเป็นเจ้าของไปจนวันตาย

ครั้งแรกกับผู้ชายไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่อชิตะเคยผ่านมาตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่ม แต่ความยากก็ทำให้อารมณ์โหมลุกยิ่งกว่า ทั้งยั่วเย้าและยั่วยุให้เอาชนะช่องทางเร้นลับให้จงได้ ความหลงใหลทำให้เขาแทบคลั่ง อยากด่ำดิ่งลงไปสัมผัสความแน่นแต่นิ่มแทบใจจะขาด

“อ๊ะ...บะ...บอส...ผะ...ผมไม่เอา...นะ...ฮึก...บอส....ผมเจ็บ...มะ...ไม่เอานะบอส...บะ...บอส...หยุดดดด..ฮ๊ะะะ”

คำร้องขอที่สั่นไหวด้วยความกลัวถูกแทนที่ด้วยเสียงแผดร้อง เมื่อความแข็งแกร่งสอดใส่เข้ามาทีเดียวจนหมดสิ้น คณิตเจ็บปวดเกินบรรยาย มันตึงแน่นไปทั้งช่องทางคับแคบของตน เขาแทบขาดใจ เขายากเอามันออกไป การดิ้นรนของเขาไม่ได้ผล

“อึ้มม...อ่า...”

เสียงครางต่ำจากปากหนา ดังแทรกออกมาประสานกับเสียงกรีดร้องในลำคอของคณิต ความคับแคบที่โอบรัดแน่นทำให้อชิตะยากจะขยับกายอย่างหมายใจเอาไว้ได้ ปวดหนึบไปหมดทั้งท่อนลำ ร่างกายกำยำนิ่งไปชั่วครู่ เพื่อปรับลมหายใจของตัวเองใหม่อีกครั้ง

“อ่า...เริ่มแล้วนะครับ...หนึ่ง”

“ยะ...อย่า ...ฮ๊า...”ความเจ็บปวดพุ่งสูงจนใจจะขาด เมื่อท่อนเหล็กร้อนแรงภายในช่องทางลับที่ไม่เคยมีใครรุกรานเริ่มขยับ เป็นการขยับในจังหวะที่รุนแรงตั้งแต่แรกเริ่ม กระแทกกระทั้นและรุนแรงดังพายุอันเกรี้ยวกราด ไม่ได้ถนอมช่องทางที่เพิ่งเคยรองรับความใหญ่โตเป็นครั้งแรกเลย อชิตะกลืนกินอย่างตะกละตะกลามเหมือนคนที่อดอยากปากแห้งมาช้านาน

“อ๊ะ...อ่า...อื้ออ...” ความเจ็บปวดรุนแรงถาโถมใส่ร่างกายเล็กไม่หยุด คณิตเจียนขาดใจ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกบดกระแทกลงมาด้วยแรงที่เพิ่มมากขึ้น ราวกับเป็นแส้ที่โบยตีให้แหลกลาญ

อชิตะกำลังฆ่าเขาทั้งเป็น!

นานแค่ไหนไม่รู้ที่ต้องทนฟังเสียงคำรามจากปากหนา ความเจ็บปวดมันวิ่งผ่านไปทุกอณูของร่างกาย ร่างกายที่กระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง รุนแรงจนสั่นโยกไปทั้งตัว ไม่ได้สนใจว่าคนคนนี้จะเป็นอย่างไร จะทนได้ไหมกับแรงที่ถูกโหมซัดหนักหน่วงเข้ามาอย่างไม่ยอมหยุดพัก   

กว่าทุกอย่างจะสงบลง

กว่าความอุ่นร้อนจะหลั่งรินในช่องทางแสบร้อน

กว่าที่เสียงครางต่ำกระหึ่มจะเงียบหายไปจากการได้ยิน

กว่าเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงจะเบาบางและสงบลง

ร่างกายที่เล็กกว่าและเจ็บปวดกว่าใครก็ทรุดลงไปกองกับพื้น หากไม่วายที่ร่างกายร้อนแรงที่เชื่อมต่อยังคงติดตามอย่างไม่ลดละ เนื้อตัวร้าวระบมราวกับจะแหลกสลายได้ทุกเมื่อสิ้นการรับรู้ไปตอนไหนไม่รู้ ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าหลังอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ถูกปลดปล่อยเมื่อถึงสุดทาง จะมีเสียงกระซิบชิดกับใบหูของเขาว่า

ขอโทษ...

*** จบตอนที่ 9 ***
 :เฮ้อ:
ติดตามตอนที่ 10 วันที่ 30 นะคะ
ปล. บอสฝากบอกว่า 'วอนอย่าด่าเยอะ ทำไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้รักกันดี มีลูกโตหมดแล้ว  :ruready' 555+
BY สีเหลืองอ่อน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2017 20:21:50 โดย i_ang »

ออฟไลน์ pearlypear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
นี่เรียกว่า รัก ใช่เหรอ....... :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
10

“...อ่า” เสียงครางต่ำจากร่างกายกำยำใหญ่ดังตามจังหวะเร่าร้อนที่บรรเลงอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวที่โหมส่งเข้ามาภายในช่องทางบอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปลุกให้ร่างขาวฟื้นจากอาการสลบไสลเมื่อชั่วโมงก่อน ความแข็งกร้าวที่รุนแรงกระแทกกายเข้ามาไม่ต่างจากมีดปลายแหลมที่จ้วงแทงลงบนแผลเดิมซ้ำๆ เจ็บเสียจนคณิตไม่อยากรู้อะไรอีกแล้ว หากแต่ยังต้องฝืนกายดิ้นรนหนี ทว่ามือแข็งแรงก็ยึดเอวเล็กไว้มั่น ไม่ให้ขยับหนีทิ้งห่างไปไหน นอกจากอยู่ตรงนี้เพื่อรองรับความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าใส่จากคนที่เคยเคารพ!

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากคนที่โหมแรงลงใส่ มีเพียงเสียงครางต่ำอย่างสุขสมจากทุกการเคลื่อนกายที่หนักหน่วง มันเป็นครั้งที่สองที่สอดใส่เข้าไปในช่องทางที่อชิตะจะต้องได้สัมผัสมันคนเดียว!

“ผมเจ็บ!” เสียงตะโกนแหบแห้ง ฟังแทบไม่ได้ยิน เพราะมันดังสู้เสียงครางต่ำของคนที่ทำให้คณิตเจ็บไม่ได้เลย ชายหนุ่มสลบไปเพราะความเจ็บปวดเกินทนไหวที่ชำแรกเข้ามาและยังต้องตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเดียวแบบที่หนีไม่มีวันพ้น

“เอา...ออก...ไป...ผมเจ็บ!” กำปั้นเล็กระดมทุบไปที่ร่างกำยำ ไปยังจุดที่ไปถึงได้ แรงมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง แต่ก็ทำอะไรร่างที่เหนือกว่าได้ เพราะแรงเท่าที่มีตีมดยังไม่ตาย นับประสาอะไรจะทำให้อีกฝ่ายระคายเคือง

“อ่า...” ไม่มีคำพูดเช่นตอบโต้จากปากหนาครางต่ำ มีเพียงความเคลื่อนไหวที่ไม่ลดกำลังลงเลยแม้น้อยนิด กับสายตาคมกริบที่มองลงมา ดวงตานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หิวกระหายที่เหมือนจะไม่มีวันมอดดับ

คณิตเบือนหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บเกินบรรยายหนีจากภาพความสุขสมของอชิตะ เมื่อรู้แล้วว่าสิ้นประโยชน์ที่จะทำให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำรุนแรง ทั้งแววตาและการกระทำของคนด้านบนบอกได้เป็นอย่างดีว่าด้วยแรงอันน้อยนิดและคำด่าทอของเขา ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการที่บ้าคลั่งได้

ร่างกายของอชิตะยังเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน รุนแรงไม่เปลี่ยน กระแทกกระทั้นจนเขาสั่นคลอนไปทั้งตัว ช่องทางด้านล่างคล้ายจะปริแตกอีกครา 

 ...ทำไมเขาต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ความป่าเถื่อนของผู้ชายอย่างอชิตะด้วยนะ

...ตื่นมาเพื่อเจ็บปวดปางตายเพราะผู้ชายคนนี้ไม่คิดปรานีร่างกายเขาเลย

“ฮึก...อะ...” เมื่อน้ำตาไหล เสียงสะอื้นไห้ก็ตามมา แม้จะกลั้นไว้ก็แล้วตาม ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกจากเบื้องล่างก็ทำให้ต้องหลุดเสียงครางเล็กๆ ออกมา แม้ไม่ปรารถนาสิ่งที่เกิดขึ้น หากก็ฝืนธรรมชาติของร่างกายที่สนองตอบไม่ได้ ถึงช่องทางนั้นจะเจ็บร้าวราวฉีดขาด แต่ความเสียวซ่านก็มีมาเป็นระลอก

“...ฮึก...อ่า...อื้ออ...”

และแล้วทั้งเสียงสะอื้นและเสียงครางเล็กๆ ถูกกลืนหายเข้าไปในปากรุ่มร้อนที่โน้มลงมาบดจูบ มือที่เคยเกาะเกี่ยวเอวก็เปลี่ยนมาเค้นคลึงอยู่ที่หน้าอกและจุดกลางลำตัวที่เล็กกว่า ขยับจากช้าและถี่เร็วขึ้น หมดแรงที่จะต่อสู้ดิ้นรน ความเจ็บเบื้องล่างยังถูกคุกคามด้วยความหยาบคายและรุนแรง

“อ่า...ชอบไหมหนึ่ง ชอบไหมที่ผมอยู่ในตัวของคุณ” คำถามของอชิตะได้รับมาเพียงใบหน้าบิดเบี้ยวที่เฉยชาจากร่างกายที่เขาโหมแรงเข้าใส่แบบไม่ยั้ง ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เขาไม่ได้อยากได้คำตอบนักหรอก เพราะร่างกายของเขามันเสพสมจนใกล้ถึงคำว่าปลดปล่อยเป็นรอบที่สอง

เขาควรจะหยุดแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่ ถึงหน่วยตาเรียวเล็กจะถูกซ่อนหลังเปลือกตาบาง เพราะทนทานความเจ็บปวดเบื้องล่างไม่ไหว แต่ร่างกายแสนหอมหวานและรสสัมผัสที่ได้ลิ้มลองครอบครองในครั้งแรก มันเชิญชวนให้ต้องจรดความแข็งกร้าวที่บรรจุแน่นด้วยอารมณ์ความต้องการไม่สิ้นสุดลงไปอีกครั้ง เขาอยากตักตวง อยากตีตราเป็นเจ้าของ อยากทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าร่างกายขาวสะอาดของคณิตจะเป็นของเขาคนเดียว

อาจดูโหดร้าย เป็นคนโรคจิตเหมือนคำด่าทอจากริมฝีปากที่เขากำลังบดขยี้และสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวพันตักตวงความหวานตามใจอยากที่ไม่เคยสิ้นสุดก็ได้

    อชิตะยอมเป็นทุกอย่างเพียงเพื่อที่จะทำให้ได้คนคนนี้มาครอง เอามาเป็นของคนของเขาคนเดียว ต่อให้ต้องโหดร้ายกว่านี้ เขาก็ทำได้ คนอย่างอชิตะทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ยอมเป็นคนเลว ทรยศหักหลังผู้หญิงที่เคยเป็นดังหัวใจ หากบัดนี้แล้ว คนที่เป็นดังดวงใจกลับเป็นคนที่นอนน้ำตาไหลอยู่ใต้ร่างของเขา

เขาอาจจะเป็นโรคจิตจริงๆ ก็ได้ เพราะน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้เขาโหมแรงกายหนักหน่วงอีกคำรบใหญ่

ต่อให้รังเกียจมากแค่ไหน ชิงชังมากเท่าไหร่ ความรู้สึกเหล่านั้นของคณิตก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่สามารถจะผลักไสให้เขาออกไปจากชีวิตคนคนนี้ได้ ไม่มีวันที่จะทำให้เขารู้สึกผิด มีแต่เย้ายวนให้เขาปรารถนาจะหลอมรวมชีวิตและวิญญาณไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน...ตลอดไป

จะไม่มีวันปล่อยให้ร่างกายที่ปรารถนาครอบครองเป็นเจ้าของหนีหายหรือตายจากไปไหน ไม่มีวันจะปล่อยออกไปจากชีวิตของเขา ต่อให้ต้องสูญเสียอะไรในชีวิตไปก็ตาม

ฆ่าให้ตายดีกว่าจะปล่อยให้หนีไป!

ยิ่งคิดก็ยิ่งโหมแรงใส่ ย้ำให้จำรสชาติจากร่างกายของเขา

“พะ...พอ...ผะ...ผม...เจ็บ...” ช่องทางเบื้องล่างถูกทิ่มแทงด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มทวีขึ้น จากรุนแรงสู่บ้าคลั่ง ร่างกายของคณิตเจ็บร้าวลึก หากร่างกายนี้เป็นแก้วใบเล็ก มันคงจะแตกเป็นผงไปแล้ว

“อื้ม...อ่า......” ก่อนที่ปลายทางจะมาถึง อชิตะดึงใบหน้าขาวให้มารับจูบหนักหน่วง อารมณ์ของเขามันรุนแรงกว่าครั้งไหน อยากจะกลืนกินมากกว่าแค่ปากเล็กๆ ที่ช่างทำร้ายจิตใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาอยาก ‘เชยชม’ แทบขาดใจ แต่ก็ปิดประตูใส่กุญแจไม่ให้เขาเข้าไปแตะต้อง แล้วโยนลูกกุญแจไปให้กับคนอื่น เขาจึงต้องทำลายประตูบานด้วยมือตัวเอง ก่อนที่ใครอีกคนหนึ่งจะช่วงชิงไป

กับใครก็ไม่เท่ากับร่างกายนี้ คณิตทำให้เขาบ้าคลั่งอย่างที่ตัวเองก็ยังตกใจ ตกใจที่เขาบ้าได้ขนาดนี้ และคงจะบ้าได้มากกว่าอีกหลายเท่า หากคณิตยังจะดิ้นรนและหนีหายไปจากชีวิตของเขา

แม้จะปลดปล่อยไปแล้ว ถึงจะเหนื่อยเพราะเรี่ยวแรงที่โถมไปก่อนหน้า ถึงกระนั้นความต้องการทั้งหมดทั้งมวลก็ยังคงอยู่ เพียงไม่กี่นาทีที่ร่างกายหยุดการเคลื่อนไหวบนกายเล็กที่พยายามจะใช้เรี่ยวแรงที่มีน้อยนิดผลักไสเขาให้พ้นตัว ความต้องการมันก็วิ่งไปทั่วร่างกายชุ่มเหงื่อ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ไม่อาจจะห้ามเม็ดเหงื่อได้ เช่นเดียวกับท่อนกายที่ยังเชื่อมต่ออยู่ในช่องทางอ่อนนุ่ม ที่เขาไม่อาจบังคับให้มันสงบลงได้เพียงแค่สองครั้ง

...มันยังเต็มไปด้วยพลังความต้องการเป็นรอบที่สาม

ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง กำปั้นเล็กเริ่มทุบตี ทักท้วง และหยุดยั้งตัวตนที่เคลื่อนไหวในร่างกายของตนเอง ความเจ็บปวดที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่นาที กลับมาเคลื่อนไหวราวกับว่าไม่เหน็ดเหนื่อย ...เขายังเหนื่อยเลยนะ 

“ฮึก...อะ...ออกไป!” เขาทั้งตะโกนและทุบรัว มันไม่ได้ผลอะไรเลย ไม่ทำให้ร่างกำยำที่เคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สะทกสะท้านแม้แต่น้อยนิด จมูกยังคงซุกไซ้และปากร้อนยังดูดดึงผิวเนื้อของเขาเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ร่างกายของเขาก็แทบจะพับครึ่งได้อยู่แล้ว เสียงครางในลำคอบ่งบอกความสุขสมก็ทำให้เขายิ่งเกลียด

เมื่อกำปั้นไม่ได้ผล คณิตก็เปลี่ยนเป็นเล็บสั้นๆ ของตัวเอง ใช้มันข่วนไปตามแผ่นหลัง จิกเล็บลงไปเพื่อจิกเนื้อแน่นหนา  อยากให้เจ็บปวดเหมือนที่เขาได้รับ แม้รู้ดีว่าความเจ็บจากปลายเล็บก็เป็นแค่แรงขีดจืดจาง ที่ทำได้มากที่สุดก็แค่สร้างร่องรอยห้อเลือด ไม่เทียบเท่าได้เลยกับความเจ็บดังมีดร้อยพันเล่มที่ทิ่มแทงเข้ามาในช่องทางลับของเขา

แม้มือสากจะกอบกุมส่วนกลางลำตัวของเขาและปลุกเร้าอารมณ์เขามากแค่ไหน หากความเจ็บปวดก็ไม่ได้บรรเทาลงเลย
“ฮึก...พอ...ได้แล้ว...ผม...ไม่...ใช่...ตุ๊กตายาง...อ๊ะ” ...เมื่อไหร่จะสิ้นสุดซะที

“ไม่หรอกหนึ่ง...อ่า...คุณไม่ใช่ตุ๊กตา...แต่คุณคือของของผม...อื้อออ...ตลอดไป” อชิตะบอกปนเสียงครางต่ำ เขายันกายขึ้น เพื่อจะได้ล็อคเอวบางไม่ให้ดิ้นหนีไปไหน 

“ไม่ใช่...ผมไม่ใช่ของคุณ และไม่มีวันใช่!”

“พิสูจน์กันหนึ่ง...ว่าผมหรือคุณจะชนะ...อืออ...และผมต้องชนะ” แพ้ไม่ได้...ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเขาเลือกทางนี้แล้ว ต้องเดินไปให้สุด แล้วจะเอาคณิตไปด้วยกันจนสุดทาง เขาไม่ยอมถูกทิ้งไว้กลางทางเด็ดขาด จะสุขสมหรือจะเจ็บปวดก็ต้องรับรู้ไปด้วยกัน
รับรู้ด้วยกันสองคน 

สิ่งที่คณิตเห็นในแววตาของอชิตะคือความมุ่งมั่นและความเป็นผู้ชนะ ที่เขาไม่อาจต่อกรหรือต้านทานได้เลย ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า ‘เขาจะชนะคนคนนี้ได้’ เขาเห็นแต่ความพ่ายแพ้ของตัวเอง หลับตาหนีสายตาคมกล้าดุดันแล้วก็ยังเห็น เห็นภาพที่เขาอยู่ในอ้อมกอดของอชิตะบนโลกที่มีแค่เขาสองคน ใบหน้าของเขาสุขสมและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สุขที่ได้กลายเป็นคนรักของอชิตะ!

หัวใจของคณิตต้นแรงขึ้นคล้ายจะหลุดออกมาให้ได้ ร่างกายก็เหมือนมีสารแห่งความสุขหลั่งไหลรุนแรง ตัวตนในอุ้งมือใหญ่ร้อนรนดังถูกไฟเผา

...ไฟที่เขาไม่อาจปฏิเสธ และกลัวเหลือเกินว่าจะหลงใหลไปกับมัน   

“ผมต้องชนะ...หนึ่ง...คุณต้องเป็นของ...อ่า...ผม...ตลอดไป ไม่ว่าวันไหนคุณก็ต้องเป็นของผม...คนเดียว”

ร่างกายยังเคลื่อนไหวไม่หยุด ช่องทางคับแคบและเริ่มบีบรัดทำให้เขาใกล้ถึงปลายทาง สุดท้ายแล้วก็ปลดปล่อยเข้าไปในช่องทางแสนหวาน แต่ไม่ลืมที่จะเอาอีกคนวิ่งตามไปด้วยกัน อชิตะขยับมือเร็วขึ้น แรงขึ้น ตาคมกล้าจ้องมองเปลือกตาบางที่ปกปิดหน่วยตาเรียวเล็กไว้มิดชิด ริมฝีปากบางที่เม้มแน่น ป้องกันเสียงครางที่เขาอยากได้ยินเอาไว้อย่างสุดกำลัง แต่มันก็ยังหลุดออกมาให้ได้ยิน แม้เบาบางแต่ก็ชัดเจนในความรู้สึก

“อ๊ะ...”

ร่างกายขาวสั่นสะท้าน ก่อนกระตุกและปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเต็มมืออชิตะ ส่วนหนึ่งไหลลงบนผิวกายขาว ภาพที่เห็นมันกระตุ้นอารมณ์ที่สงบไปแล้วกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง อชิตะไม่อาจหยุดความต้องการของตัวเองลงในหนนี้ได้ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะหยุดมัน ถึงจะเหนื่อยแต่ความต้องการตอกย้ำในช่องทางเร้นลึกมีมากกว่า เหมือนคนหิวโซ ที่ดื่มกินเท่าไหร่ก็ไม่พอ 

“เอ๊ะ...” ตาเรียวเล็กเบิกโพรง บอกความตกใจ คณิตพยายามจะดิ้นหนีให้หลุดพ้น เมื่ออชิตะเริ่มขยับร่างกายเข้าออกอย่างช้าๆ ไม่ได้รุนแรงเหมือนสามครั้งที่ผ่านมา   

“มะ...ไม่ไหวแล้ว...ผมไม่ไหว...”

“ไหวสิหนึ่ง ผมรู้...คุณไหว” เสียงทุ้มก้มบอกชิดริมฝีปาก จูบซับที่หน้าผากชื้นเหงื่อราวกับจะอ้อนวอนขอให้ ‘ไหว’ เพื่อความสุขสมของตน

คณิตเหนื่อยเกินกว่าจะทักทวงอะไรอีกต่อไป เมื่อลิ้นร้อนแทรกสอดเข้ามากวาดต้อนเอาลิ้นของเขาไปดูดกินจนพอใจ แล้วความอึดอัดที่เสียบแทงอยู่ด้านหลังถูกถอนออก รับรู้ถึงความเหนียวหนืดที่ไหลออกมา มันไม่ใช่การเลิกราหรือยินยอมให้เขาเป็นอิสระ เขารู้ดี มันเป็นแค่การเปลี่ยนทิศทางของร่างกายเขา ยืนยันได้จากการที่เขาถูกจับให้นอนคว่ำ ฝังใบหน้าไว้กับหมอนใบใหญ่ บั้นท้ายถูกยกขึ้นสูง เพื่อให้รองรับแกนกายใหญ่ที่ล่วงล้ำเข้ามาเป็นหนที่สี่

เขาน่าจะตายไปซะให้พ้นๆ

*      *      *

ร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามของความเป็นชายที่ทิ้งตัวลงข้างกายเล็ก หอบหนักเหมือนคนที่วิ่งมากว่าร้อยกิโลเมตร ก่อนจะคว้าคนตัวเล็กสู่อ้อมแขน โอบรัดไว้อย่างหวงแหน อชิตะยิ้มแม้จะเหนื่อยแทบสิ้นแรง สูดกลิ่นหอมจากเรือนกายขาวชื้นเหงื่อด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้

“หนึ่งครับ” ปากหนาเปื้อนรอยยิ้มกดแนบลงบนกลุ่มผมสั้นชื้น

คำเรียกขานชื่อแม้จะหวานล้ำสักเท่าไหร่ แต่เจ้าของชื่อกลับไม่อยากได้ยิน มือเล็กยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้าง ปิดกั้นถ้อยคำที่จะผ่านเข้ามาย้ำเตือนสภาพยับเยินของตน อชิตะเหมือนคนโรคจิตที่ระเบิดความโหดร้ายใส่เขาไม่ยั้ง ความเจ็บปวดเบื้องล่างกับร่างกายที่แทบจะแตกสลาย คงไม่สาหัสเท่ากับหัวจิตหัวใจที่ป่นปี้ ไม่เหลือชิ้นดี

เขาถูกข่มขืน!

มีอะไรจะน่าอายเท่านี้อีกไหม

เขาเป็นผู้ชายแต่กลับถูกผู้ชายที่เคยไว้วางใจข่มขืน

น่าเวทนาสิ้นดี

“อาบน้ำหน่อยนะหนึ่ง”

แม้จะปิดหู ทว่าคำพูดของอชิตะก็ผ่านเข้ามาให้ได้ยิน พร้อมกับร่างกายกำยำใหญ่ขยับลุกและดึงเขาให้ลุกขึ้นตาม

“ไหวไหม” คำถามดูอาทร ห่วงใย หากไม่สามารถลบล้างความรู้สึกเกลียดชังสิ่งที่อชิตะทำกับเขาได้เลย

คณิตฝืนตัวลุกขึ้นตามแรงดึง เพียงเพื่อจะดึงตัวออกห่างจากการกอดรัด และเพื่อจะ ‘ซัด’ หมัดไปที่ใบหน้าคมเข้มด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้นที่คณิตซัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาของบอสหนุ่มที่ทำลายความภาคภูมิใจของตนจนหมดสิ้น

แม้ไม่เต็มแรงแต่ก็ทำให้อชิตะหน้าหันและเจ็บไม่น้อยเลย

“ผมเกลียดคุณ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับผม...อื้อออ” พูดยังไม่ทันจบ มือแข็งก็ดึงกระชากร่างเล็กของคณิตเข้าหา โน้มใบหน้าดุดันเข้ามาประกบจูบอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้คณิตตั้งตัว มือใหญ่แข็งแรงบังคับศีรษะไม่ให้หันหนีไปทางไหน

ปากหนาบดขยี้เรียวปากเล็กที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ตนไม่มีวันทำได้ จนสาแก่ใจและสิ้นพยศนั่นแหละ อชิตะถึงยอมปล่อย ตาเรียวเล็กที่มองสบเต็มไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังสิ่งที่เขาทำ แต่เรื่องอะไรอชิตะจะสนใจ จะรักหรือจะเกลียด คณิตก็ต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต

“อย่าให้ผมได้ยินคำว่า ‘เกลียด’ จากปากคุณอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะเจ็บมากกว่านี้” เอ่ยเสียงเหี้ยม เสียเวลาพูดจาหว่านล้อมให้ยินยอมพร้อมใจ ในเมื่อไม่ได้ผล จึงต้องดับความพยศด้วยความเหี้ยมเกรียม เอาให้ไม่กล้าพูดคำว่าเกลียดใส่หน้าเขาอีก

“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม” คณิตโต้ตอบอย่างรวดเร็ว แม้ลึกๆ จะนึกกลัวก็ตาม อชิตะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ไม่ใช่นายจ้างหนุ่มแสนดีอย่างที่เขาเคยชื่นชมและเคารพรัก แต่เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ทำได้แม้กระทั่งข่มขืนเขา

“คิดอย่างนั้นหรือ แน่ใจใช่ไหมว่าผม ‘ไม่มีสิทธิ์’ งั้นพูดออกมา พูดว่า ‘ผมเกลียดคุณ’ ให้ฟังหน่อย แล้วคุณจะรู้ว่าผมมีสิทธิ์มากแค่ไหนในตัวคุณ” อชิตะเน้นย้ำทุกคำ สุ้มเสียงของเขาเย็นยะเยือกจ้วงแทงลงไปในหัวจิตหัวใจป่นปี้ของชายหนุ่มตัวเล็ก

ไม่มีคำว่า ‘ผมเกลียดคุณ’ หลุดลอดออกมาจากเรียวปากที่แม้นแน่นแทบเป็นเส้นตรง ดวงตาสีเข้มดุดันนั้นทำให้คณิตไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง สิ่งที่คนตัวเล็กเลือกทำแทนคำพูดคือมือที่ดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ขยับหนีร่างใหญ่ไปจนสุดเตียง แล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้

คณิตอยากนอนหลับไปเสียตั้งแต่วินาทีที่หัวถึงหมอนและตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความฝันอันเลวร้ายที่สุดในชีวิต ทว่าคนร่วมเตียงกลับไม่ยอมแม้แต่จะให้คนตัวเล็กได้หลับสบาย ยังตามมาถือสิทธิ์ครอบครองเรือนร่างจากด้านหลัง แทรกตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่อนแขนหนักเกี่ยวเอวเล็กให้แนบติดแผ่นอกเปลือยเปล่า แนบชิดเสียดสี สร้างความรู้สึกอุ่นร้อนคล้ายกองไฟที่เริ่มจุดติด

ร่างเล็กกว่าแข็งเกร็งขึ้นเพราะความอุ่นร้อนด้านหลัง มือแข็งที่ลวนลามและรุกไล่ ลิ้นร้อนลากเลียบนผิวเนื้อชวนให้ขนลุกมากกว่าจะตื่นกลัว เสียงลมหายใจติดขัดทำให้รู้ถึงห้วงอารมณ์ที่เริ่มโหมลุก ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดจากแรงขบกัดที่ซอกคอ

“ไม่เอา ผมไม่...” เพียงแค่อ้าปากประท้วง ร่างกายก็ถูกพลิกกลับมา ใบหน้าซีดสัมผัสเข้ากับลมหายใจร้อนแรงเพียงเสี้ยววินาที ก่อนปากหนาจะประทับลงมารวดเร็วและขยับเป็นร้อนแรง บดเบียดและดื่มกินอย่างไม่รู้จักพอ

อชิตะในค่ำคืนนี้ได้ลบภาพบอสหนุ่มแสนดีในหัวของคณิตไปจนหมดสิ้น

*      *      *

 “ไอ้หมอ”

เจ้าของชื่อหันกลับมาตามเสียงเรียก แล้วพบว่าใบหน้าร้อนร้นนั้นดูอิดโรย มุมปากข้างหนึ่งขึ้นสีแดงช้ำ

“ไปทำอะไรมา” หมอหนุ่มเอ่ยปากถาม ขณะเดินเข้าไปหา

“นั่นแหละ” อชิตะไม่อยากตอบถึงที่มาของรอยช้ำมุมปาก ถ้าเล่าก็คงมีคำถามตามมาอีกเป็นพรวน เสียเวลาพูดเรื่องสำคัญหมด
“นั่นแหละอะไร เล่ามา มีเรื่องอะไรกับใครมา” ถ้าให้เดา หมอหนุ่มก็ขอเดาว่ารอยช้ำเกิดจากของหนักที่เรียกว่า ‘กำปั้น’ และเดาต่อได้อีกว่า กำปั้นเป็นของ ‘ใคร’ จะเป็นของใครได้ถ้าไม่ใช่ ‘ลูกน้องเจ้าปัญหา’ ที่ไม่รู้ว่านึกครึมอะไรขึ้นมาถึงได้แผลงฤทธิ์จนเพื่อนเขาจุกไปหลายดอกเมื่อครั้งสังสรรยามค่ำคืนที่ผ่านมา

คณิตเคยเกเรกับเพื่อนเขาซะที่ไหน แต่เมื่อคืนวานกลับเถียงทุกคำและทำให้อชิตะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ขบกรามข่มอารมณ์อยู่นานหลายนาที

แต่แทนที่หมอพิษณุจะได้คำตอบที่ช่วยย้ำว่าความคิดของตนถูกต้อง กลับได้คำบอกกล่าวที่ทำให้นึกหวั่นว่าอาจเกิด ‘เหตุไม่ควรจะเกิด’ ระหว่างอชิตะกับลูกน้องคนสนิท

สังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล 

“ไปดูอาการหนึ่งให้หน่อย”

‘อาการ’ ที่อชิตะหมายถึงคือการ ‘อาละวาด’ ที่จำเป็นต้องตามตัวเพื่อนให้ไปช่วยเหลือ เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ หลังจากที่เจ้าตัวพบว่าตัวเองไม่สามารถกระดิกตัวทำอะไรได้อย่างใจนึก เรียกว่า ‘ลุกไม่ขึ้น’ นั่นแหละ เพราะความเจ็บปวดของร่างกายที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก...โดยเขา

และพอเขาจะช่วยประคอง พาเข้าห้องน้ำ กลับอาละวาดใส่ ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ตาขวางขุ่นเหมือนหมาบ้า เลยต้องตามหมอสัตว์ไปรักษาอาการ 

แต่แล้ว ‘คนกลาง’ ระหว่างอชิตและคณิตก็เพิ่มจากหนึ่งเป็นสี่ในเวลาอันรวดเร็ว และเปลี่ยนจากคนกลางเป็น ‘พยาน’ ของความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวไปโดยปริยาย

*** จบตอนที่ 10 ***

ตามตอนที่ 11 วันที่ 2 ค่ะ
 :bye2:
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
11

“หนึ่งเป็นอะไรครับบอส”

อชิตะมองหน้าหนึ่งในอดีตลูกน้องคนสนิทของตนที่เดินผ่านมาและเข้ามาสมทบ ก่อนตอบสั้นๆ เพียงว่า

“ไม่สบาย”

ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนพักของตน พร้อมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ราวกับว่ากลัวคนในห้องจะลุกหนีไปไหน ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางที่คณิตจะลุกหนีไปไหนได้ แม้เจ้าตัวอยากจะหนีไปให้ไกลจากเขามากแค่ไหนก็ตาม

เท้าที่ก้าวเร็วพาไปถึงหน้าประตูห้องพักก่อน ‘พยานทั้ง 4 คน’ ที่เดินตามหลังมา อชิตะสูดลมหายใจยาวเข้าปอด เพื่อเติมเต็มพลังในการรับมือกับคนในห้อง เขาจำแววตาใต้กรอบตาเล็กเรียวเล็กได้ว่าเป็นเช่นไร

...ชิงชังในสิ่งที่เขาทำ

...เคียดแค้นจนจะฆ่าเขาได้

อชิตะปัดแววตาที่ทำให้เขาเจ็บปวดออกไปจากความคิดที่ตอกย้ำให้เขาอ่อนแอ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาภายใน ห้อง พาตัวเองไปเผชิญหน้ากับแววตาคู่เดิม ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เตียงที่คนร่างเล็กนั่งนิ่ง มองเขาด้วยใบหน้าเฉยชา ลูกตาสีอ่อนบอกความรู้สึกชิงชัง และคำพูดที่ทำให้กำมือแน่น

“มึงออกไปจากชีวิตกูซะที”

แม้น้ำเสียงจะราบเรียบไม่ต่างจากใบหน้า แต่สรรพนามที่เรียกขานและคำที่ใช้แทนตัวคนพูด ทำให้คนฟังอยากสั่งสอนให้หลาบจำ ว่าอย่าใช้ ‘กู...มึง’ กับเขา หากอชิตะต้องระงับความโกรธที่วิ่งพล่านภายในอกเอาไว้ ขบสันกรามแน่นไม่ให้หลุดคำใดออกมา มีเพียงดวงตาสีดำดุที่ตวาดกลับอย่างคนที่มีอำนาจเหนือกว่าทุกทาง อำนาจที่จะคุมขังคนบนเตียงไปตลอดชีวิต

“คงยากหน่อยนะหนึ่ง”

ยาก...ที่เขาจะปล่อยให้หลุดลอยออกไปจากชีวิต

“เกิดอะไรขึ้น” ภาคีที่เดินเข้ามาหาคนทั้งคู่เอ่ยถามขึ้น สภาพที่เห็นทำให้ภาคีนึกเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากความสัมพันธ์ที่มันไปไกลเกินคาดคิด ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าระหว่างอชิตะกับคณิตจะมาถึงขั้นมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น มันไม่น่าเกิดขึ้นจริงๆ

“มึงถามใคร” คนบนเตียงหันมาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเหยียดเย้ยตัวเอง “ถ้ามึงถามกู กูจะตอบว่าคนที่มึงไว้ใจ มันข่มขืนกู” ปลายประโยคนั้นแหบแห้ง

แม้จะพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พยานทั้งสี่คนประกอบไปด้วย ภาคี สีฟ้า พิษณุ และน้ำฟ้าก็อดที่จะอึ้งไม่ได้เมื่อคำว่า ‘ข่มขืน’ เอ่ยออกมาจากคนที่ถูกกระทำ

คำว่า ‘ข่มขืน’ ที่แปลได้ว่า ‘ไม่ใช่การสมยอม’

...ร่องรอยบนผิวเนื้อขาวจัดบอกชัดเจนถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น

“เป็นไงล่ะ มึงต่อยชิตเพราะเรื่องแค่นั้น แล้วบอสของมึงทำกับกูถึงขนาดนี้ มึงกล้าต่อยบอสของมึงไหม ที่ทำกับกูยิ่งกว่าที่ชิตมันทำ” คณิตพานโกรธเพื่อนของตนไปด้วย

“ทำไมครับบอส” ภาคีหันกลับไปถามคนก่อเหตุ เขาไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายที่แสนดีของเขาถึงกลายเป็นผู้ร้ายข่มขืนลูกน้องตัวเอง 

“.....” คนถูกถามไม่มีคำตอบใดให้อดีตลูกน้อง ได้แต่เบือนหน้าสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของภาคี เมื่อเขาไม่ตอบ อีกคนก็ช่วยตอบแทน

“ถ้าบอสของมึงไม่มีปัญญาตอบ กูจะตอบให้ก็ได้ บอสมึงข่มขืนกู เพราะกูเถียงเขา เพราะกูต่อยเขา เพราะกูจะไปหาชิต กูจะไปนอนกับชิต แล้วเป็นไง บอสมึงเป็นคนดีไหม ทำตามที่มึงบอกทุกอย่าง ไม่ให้กูไปไหน ถึงกับลงทุนข่มขืนกู” ปลายประโยคนั้นสั่นไหว เจือความเจ็บปวดที่ร้าวลึก หน่วยตาเรียวเล็กคลอด้วยน้ำอุ่นร้อน จวนเจียนจะกลายเป็นสายน้ำตาไหลอาบแก้ม

ทั้งห้องเงียบ เข็มสักเล่มหล่นคงได้ยินไปไกลถึงหาดทรายด้านนอก ประโยคต่อมาก็ทำให้อึ้งจนพูดไม่ออก

“แล้วมึงรู้ไหมว่าบอสของมึงข่มขืนกูไปกี่ครั้ง...ห้าครั้ง” น้ำเสียงสั่นพร่าฟ้องบอกสิ่งที่อัดแน่นในอก “มึงได้ยินไหม ห้าครั้ง ห้าครั้งที่กูถูกข่มขืน...”

มีอีกหลายถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากปากเล็ก ก่อนคนที่ไม่อยากฟังถ้อยคำนั้นที่สุดจะเอ่ยตะคอกออกมา

“พอแล้วหนึ่ง!” อชิตะไม่อยากได้ยิน ไม่ใช่เพราะความอาย แต่เพราะความรู้สึกผิดที่ตอกย้ำลงมาต่างหาก

“ทำไม อายหรือไง อายที่กำลังโดนประจานว่าข่มขืนลูกน้องตัวเองงั้นหรือครับ”

“หนึ่ง!”

“ทำไม! ผมพูดความจริง”

“แล้วทำไมไม่บอกไปด้วยว่ายั่วผมยังไงบ้าง ผมถึงต้องเอาสันดานดิบมาใช้กับคุณ” ปากพลั้งพูดไปอย่างนั้นเพราะความโมโห มานึกเสียใจก็ตอนที่ถูกเรียกว่า ‘คนเลว’ 

“คนเลว” น้ำตาเม็ดเล็กร่วงหล่น

“หนึ่ง” พอเห็นน้ำตาหัวใจอชิตะก็อ่อนยวบ ความโกรธลดลง พอจะขยับเดินเข้าไปหา กลับถูกตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่าเข้ามา!”

อชิตะเหมือนถูกสะกดให้ยืนอยู่กับที่ ไม่ต่างจากพยานทั้งสี่คน ก่อนจะหันไปมองคนที่เปิดประตูเข้ามา 

“ชิต” คณิตเรียกคนที่เดินมาหาเขา น้ำเสียงแหบแห้งสะท้านใจเจ้าของชื่อยิ่งนัก หลังจากที่อชิตะเดินออกไปจากห้อง คณิตก็โทรหาชิตตะวันทันที เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“กะ...ฮึก...กูเดิน...ไม่ได้...อุ้มกูไปหน่อย” ยามนี้ชิตตะวันเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้ายของคณิต ชายหนุ่มร่างเล็กไม่หวังพึ่งเพื่อนสนิทอย่างภาคีอีกแล้ว คนอย่างมันจะปกป้องอะไรเขาได้ 

“เดี๋ยวนะ”

อชิตะมองตามชิตตะวันที่เดินไปยังห้องน้ำ แล้วกลับออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัว เจ้าของรีสอร์ตใช้มันคลุมเนื้อตัวเปลือยเปล่าของคณิต แล้วอุ้มสู่อ้อมแขน ก่อนจะหันไปพูดกับภาคี แต่คำพูดนั้นก็เลยมาถึงอชิตะด้วย คล้ายคำประกาศและสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยว
กับคณิตอีกต่อไป

“กูจะดูแลหนึ่งเอง”

ดูแลเองงั้นหรือ!

อย่าหวังว่าคนอย่างอชิตะจะยอม!

ของของเขา ยังไงก็ต้องเป็นของเขาไป ไม่มีวันนั่งเฉยมองของที่เป็นของเขา ตกกลายเป็นของคนอื่นหรอกน่า

*      *      *

 “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาหมอ” ชิตตะวันเอ่ยถามหลังจากเช็ดตัวของคณิตจนสะอาดหมดจดทุกซอกทุกมุมแล้ว ก่อนจะหยิบซองยาที่ใช้ให้พนักงานของรีสอร์ตไปเอาที่คลินิกของลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งเขาใช้บริการเป็นประจำ ตอนนี้ชิตตะวันกำลังเตรียมตัวเป็นคุณหมอจำเป็น พร้อมกับพลิกกายคนตัวเล็กให้นอนคว่ำหน้า เขาจะได้ใส่ยาได้สะดวก 

“ไม่เอา กูอายหมอ” ให้เอาเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยฟันรอยดูดสีแดงและความบอบช้ำของช่องทางข้างหลังไปให้หมอตรวจนี่นะ คณิตไม่เอาด้วยหรอก แค่ชิตตะวันคนเดียวก็เกินพอ แล้วตอนนี้มือที่เคยเช็ดเนื้อตัวให้ก็หันมาแต้มยาตรงส่วนที่บอบช้ำที่สุดของร่างกาย...นึกอายสภาพตัวเองจริงๆ

คณิตกัดปากแน่น ไม่ให้ความเจ็บปวดหลุดออกมาเป็นเสียง จนมือใหญ่ของชิตตะวันละไปจากช่องทางของเขา นั่นแหละ ชายหนุ่มร่างเล็กจึงเอ่ยถามออกมา

“แน่ใจนะว่ามันจะหาย” พลิกตัวกลับอย่างเบาที่สุด เพื่อไม่ให้ส่วนล่างได้รับการกระทบกระเทือนมากนัก

“ถ้าไม่หายก็ต้องปิดทำการถาวร” ชิตตะวันตอบกลั้วเสียงหัวเราะ ผลที่ได้คือโดนปาหน้าหงิกง้อใส่

“ไอ้ห่า ตอบดีๆ สิวะ” ชักหงุดหงิดที่ถูกหัวเราะบนความเจ็บปวดของเขา มันน่าหัวเราะตรงไหน อยากจะยกเท้าถีบให้ตกเตียงไปไกลๆ แต่กำลังมีไม่พอ ลองมาเป็นอย่างเขาดูบ้างไหมล่ะ แล้วจะหัวเราะไม่ออก

ลืมไปว่าไอ้ชิตตะวันมันเป็นฝ่าย ‘กระทำ’ มันคงไม่มีวันอยู่ในสภาพแบบเขาแน่ อยากแช่งมันให้โดนอย่างเขาบ้าง แต่ก็สงสาร   

“ชิตก็ตอบดีๆ แล้วนะครับหนึ่ง ว่าแต่ต่อไปจะเอายังไง”   

“ไม่เอายังไงทั้งนั้นแหละ ต่างคนต่างอยู่”

“แน่ใจนะว่าจะทำได้ ชิตเห็นนะ มองมันตาละห้อย” เพราะเห็นถึงได้กล้าพูด 

“ละห้อยตรงไหนไม่ทราบ มึงก็เห็นอยู่ว่ากูเกลียดมันจะตาย มันข่มขืนกูนะโว้ย” คณิตโวยวายที่ถูกกล่าวหาว่ามองอชิตะตาละห้อย เขาแทบไม่มองหน้าอดีตนายจ้างด้วยซ้ำไป เห็นแล้วเจ็บใจ...เจ็บใจตัวเองด้วยที่พ่ายแพ้ ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนตัวเขาก็ปลดปล่อยไปเช่นกัน

“นี่ชิตนะครับหนึ่ง ไม่ได้โง่ และก็ไม่ใช่ไอ้ห่าตินที่หนึ่งพูดอะไรก็เชื่อไปซะหมด” ชิตตะวันไม่อยากอวดเลยว่า เขารู้จักคณิตมากกว่าที่ภาคีรู้จักซะอีก “บอกความจริงมาเถอะน่า ไม่ต้องอาย” ถึงอยากจะครอบครองคณิตไม่ต่างจากอีกคนหนึ่ง แต่เมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นสายตาของคณิตแล้ว ชิตตะวันก็อดที่จะยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ไปแล้วกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ อีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นเอาไว้เผื่อว่าคณิตจะใจแข็งใส่ความรู้สึกของตัวเอง แล้วให้โอกาสเขาอีกครั้ง

“ความจริงอะไร” คณิตย้อนถามเสียงฉุน เป็นอีกครั้งที่คนตัวเล็กนึกอยากถีบชิตตะวันให้กระเด็นไปไกลๆ ข้อหาอวดรู้ไปซะทุกเรื่อง

“ความจริงที่ว่า...หนึ่งชอบคุณอิง”

“มึงอย่ามามั่ว กูไม่ได้ชอบมัน” คณิตปฏิเสธเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เชื่อ จึงต้องพูดเสียงแข็งกว่าเดิม “มึงไม่เชื่อกูก็ตามใจ แต่บอกไว้เลยว่ากูเกลียดมัน“ ว่าแล้วก็พลิกตัวหนี หันหลังให้เจ้าของเตียง หลบหนีสายตารู้ทันกึ่งเย้าแหย่ให้อับอายตัวเอง

ปากบอกว่าเกลียด สมองสั่งให้เกลียด แต่แท้จริงแล้วคำว่าเกลียดดูจะอยู่ห่างไกลจากความจริงในใจไปมากโข แต่ถึงยังไง เขาก็ต้องตัดขาดหัวใจ แล้วเลือกฟังสมองให้มากที่สุด เขาไม่อยากให้ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งต้องเสียใจเพราะสิ่งที่เขาทำในคืนนั้น ไม่อยากให้ณัชชาหัวใจสลาย

เขาต้องทำให้ได้ สิ่งที่เสียไปแล้วช่างมัน เขาต้องเชิดหน้าไว้ ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่จมอยู่กับความผิดเพี้ยนไปตลอดชีวิต 

*      *      *

   คณิตไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหนหลังจากกินยาที่ชิตตะวันนำมาให้ ชายหนุ่มร่างเล็กตื่นเพราะสัมผัสจากมืออุ่นที่ลากไล้อยู่ข้างแก้มของเขา ครั้นพอลืมตาขึ้นมามองเจ้าของมือ สิ่งแรกที่ลูกตาเห็นคือใบหน้าคมเข้มที่คุ้นตามาตลอดหลายปีตั้งแต่เริ่มต้นเป็นมนุษย์เงินเดือน

ตกใจไม่น้อยที่เห็นหน้าอชิตะ มองข้ามไหล่หนาไปด้านหลัง ประตูหน้าต่างที่เปิดอาจเป็นคำตอบได้ดีว่าช่องทางใดที่อชิตะผ่านเข้ามา

“ออกไป” สั่งเสียงเรียบ พลางขยับตัวหนี แต่ถูกคว้าต้นแขนไว้แน่น ดึงรั้งเข้าไปสู่อ้อมแขนแข็งแกร่ง ถ้อยคำเดิมกระซิบซ้ำที่ข้างใบหู...ดังเบาแต่ดังนาน

“ขอโทษ”

ตามด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย สัมผัสได้ว่ามาจากหัวใจจริงๆ

“เจ็บมากไหม”

คณิตตอบกลับความห่วงใยด้วยเสียงตวัดห้วน ปกปิดความยินดีลึกลับภายในใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรยินดีไม่ใช่หรือ จะมาดีใจที่เห็นหน้าคนที่ข่มขืนเขางั้นเหรอ ทั้งที่เมื่อเช้าก็อาละวาดและด่าไปขนาดนั้น เขาควรเกลียดให้เหมือนที่ปากพูดสิ

เอาสิไอ้หนึ่ง! มึงต้องด่ามัน ด่าที่มันย่ำยี่ศักดิ์ศรีมึง ด่าที่มันทำมึงเจ็บเจียนตาย ทำเหมือนมึงเป็นตุ๊กตายางไว้ระบายความใคร่ ทำเหมือนมึงไม่มีความรู้สึก

“มึงยังมีหน้ามาถามอีกหรือไงว่ากูเจ็บมากไหม มึงทำกับกูถึงขนาดนี้ กูไม่ตายคาเตียงก็ดีแค่ไหนแล้ว ออกไป! ออกไปจากชีวิตกูซะที กูไม่ได้ชอบผู้ชาย! และถึงกูจะต้องชอบผู้ชายสักคน คนคนนั้นไม่มีวันเป็นมึง”

ดีมากไอ้หนึ่ง มึงต้องด่าให้มันเจ็บ ทำให้มันรู้ว่ามึงเกลียดมันยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน ทุกอย่างจะได้จบอย่างที่มึงต้องการ โดนไปแค่ห้าครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตกเป็นของมันไปตลอดชีวิตซะหน่อย ใจแข็งเข้าไว้ สู้กับความผิดเพี้ยนที่มึงก่อขึ้นให้ได้   

“หนึ่ง! ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่างพูด ‘กู...มึง’ กับผม” อชิตะข่มความโมโหลงในอก “ปากเก่งแบบนี้แสดงว่าหายแล้วสินะ” ตั้งใจจะมาขอโทษ แต่เจอแบบนี้อชิตะก็ลุกเป็นไฟได้ไม่ยาก 

“งั้นก็กลับ แข็งแรงดีแล้วนี่”

“ไม่! กูไม่กลับ มึงอยากกลับก็กลับไปสิวะ กูจะอยู่ที่นี่กับชิต” คณิตตะโกนใส่หน้า ขยับตัวหนีไปอีกฝั่งของเตียง คว้าหมอนใบใหญ่เป็นอาวุธ หากอีกฝ่ายคิดจะรุกถึงตัว ทั้งที่รู้ดีว่าหมอนในมือไม่สามารถต่อกรกับกำลังของอีกฝ่ายได้

“อยากอยู่กับมันมากนักหรือไง”

“เออ! ใช่ รู้แล้วก็ออกไปซะ”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะหนึ่ง คิดหรือว่าผมจะยอมยกของที่เป็นของผมแล้วให้คนอื่น โดยเฉพาะ ‘เมีย’ ของผม” เขาเน้นคำว่า ‘เมีย’ เสียงหนัก ทำเอาคนถูกเรียกเช่นนั้นเลือดขึ้นหน้า ร่างเล็กบางพุ่งเข้าไปหาคนตัวใหญ่ ใช้หมอนในมือกระหน่ำฟาดอย่างสุดแรงเต็มความโกรธ

กล้าดียังไงเรียกเขาว่า ‘เมีย’!

ถึงใช่ไปแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ชอบให้เรียกเขาว่าเมีย ไม่ชอบคำว่าเมีย ไม่มีวันชอบเด็กขาด 

“กูไม่ใช่เมียมึง! ไอ้คนวิปริต!” เขาฟาดหมอนลงไปเต็มแรง กระหน่ำไม่ยั้ง แต่อีกฝ่ายเล่าเหมือนไม่สะทกสะท้าน แต่คงรำคาญ ถึงได้กระชากหมอนออกจากมือเขา โยนมันไปกระทบผนังแล้วตกลงพื้น ใบหน้าคมเข้มดุดันเป็นประกายฉุนจัด

“เลิกบ้าซะที แล้วกลับกรุงเทพฯ กับผม” อชิตะรวบมือเล็กไว้ด้วยกำมือเดียว คว้าเอวเล็กไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน

“กูไม่กลับ! ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งว่ากูไม่กลับ กูจะอยู่ที่นี่” ตะคอกใส่หน้าอีกฝ่าย พยายามดึงมือออกจากมือหนาที่รวบบีบไว้จนเจ็บ แต่ไร้ผล สุดท้ายก็ได้แต่ใช้ถ้อยคำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดเท่าที่สมองจะคิดได้ “จำใส่หัวมึงไว้นะ ว่ากูไม่ใช่เมียมึง ไม่ใช่ๆๆๆๆ ไม่ใช่โว้ย!”

“งั้นหรือหนึ่ง” กระแสนั้นราบเรียบแต่รุนแรง ดวงตาคมวาวโรจน์ “ที่ครวญครางเมื่อคืน ไม่จำใช่ไหมว่าอยู่ในสถานะไหน เป็นเมียใคร” ชายหนุ่มตอกย้ำราวกับจะเยาะเย้ย อีกฝ่ายสวนกลับอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธเต็มที่   

“กูไม่จำ! แล้วมึงก็ไปให้ไกลหน้ากู ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก ต่างคนต่างอยู่ เจอกันก็ไม่ต้องทัก ตายก็ไม่ต้องไปเผาผี แล้วไอ้ที่มึงทำระยำไว้เมื่อคืน กูจะถือว่าทำทานให้หมามันกิน”

“หึ...ให้หมามันกินงั้นหรือ งั้นก็ให้กินอีกสักรอบดีไหมหนึ่ง” จบคำพูดด้วยแรงผลักที่ทำให้ร่างเล็กจมลงบนที่นอนหนานุ่ม
อชิตะตวัดร่างแข็งแรงคร่อมร่างเล็กของเจ้าของเรียวตาเล็กที่เบิกกว้าง ริมฝีปากร้อนระอุบดขยี้เรียวปากบาง บดเบียดอารมณ์ร้อนที่สุมอยู่ในอก ขบกัดด้วยความกรุ่นในอารมณ์ผสมกับความต้องการครอบครอง ตอกย้ำให้จำว่าร่างกายนี้เป็นของเขา และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่านานสักเท่าไร

ความชื้นจากสายน้ำตาที่ไหลอย่างเงียบเชียบจากคนข้างใต้ที่เหมือนจะสิ้นฤทธิ์หลังจากถูกบดจูบอย่างไม่ปราณี ทำเอาอารมณ์ดุดันของอชิตะมอดลง จนกลายเป็นความรู้สึกผิดที่หน่วงเหนี่ยวหัวใจ

อชิตะลุกขึ้นนั่ง ดึงร่างเล็กสู่อ้อมกอดปลอบโยน มือหนาลูบไล้แผ่นหลังอย่างอ่อนโยนเอาใจ

“ปล่อยผม แล้วออกไปซะ” กระแทกเสียงขุ่นจัดเจือรอยสะอื้น ขืนตัวออกจากวงแขนที่ไม่ผ่อนแรงกอดรัดลงเลย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัด ปากหนากดซับเหนือขมับซ้ำแล้วซ้ำแล้ว คล้ายทดแทนคำขอโทษต่อสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่

“คุณน่าจะรู้...ว่าผมทำไม่ได้ ผมไม่มีวันปล่อยคุณไปไหน”

“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยผมไปเถอะนะบอส ผมไม่ได้รักคุณ...ผมรักคุณไม่ได้ คุณเข้าใจไหม” กระแสเสียงนั้นอ่อนแรงลง แรงต่อต้านก็เช่นกัน...

“แต่ผมรักคุณ แล้วผมมั่นใจว่าผมจะทำให้คุณรักผมได้...แม้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ตลอดชีวิตเลยก็ได้ ผมยอมใช้มันเพื่อทำให้คุณรักผม” กระซิบแผ่วหวานชิดติดใบหูเล็ก หนักแน่นทุกคำพูดที่กลั่นออกมาจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนาที่รุนแรง

หัวใจของคณิตไม่ใช่หินผา ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น

อชิตะใช้กลีบปากไล่เรื่อยอย่างอ่อนหวานลงมาตามแนวแก้มนวล ราวกับต้องมนต์ที่ร่ายด้วยเสียงลมหายใจอุ่นจัด กลีบปากบางถึงได้ค่อยๆ ตอบรับปากหนาที่จูบซับลงมา ปล่อยให้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามากระตุ้นความหวามหวานวูบวาบที่ชวนเผลอไผล มือใหญ่ที่รุกรานเข้ามาทางชายเสื้อลูบไล้แผ่นหลังเนียนเรียบเพิ่มความร้อนระอุ เนื้อตัวเหมือนถูกจุดด้วยไฟร้อนแต่ไม่แผดเผา ก่อนเสื้อยืดเสื้อบนตัวจะพ้นออกไปทางศีรษะ

“ดะ...เดี๋ยว...บอส...” เสื้อปลิวไปไกลเกินเอื้อมถึง มือเล็กยันแผ่นอกหน้าเอาไว้สุดแรง นึกภาพออกว่าอะไรจะเกิดตามมา “...ไม่เอา ผมไม่ไหว ผมเจ็บ” คำพูดของคณิตหรือจะสู้ความต้องการที่ล้นทะลักภายในอกของอชิตะ

...สิ่งที่อชิตะต้องการไม่ใช่แค่ ‘ครอบครอง’ แต่ชายหนุ่มต้องการเป็น ‘เจ้าของ’ คนคนนี้ไปตลอดกาล ไม่มีอะไรที่คนอย่างเขาต้องการแล้วไม่เคยได้...

ลูกตาสีอ่อนต้านทานดวงตาเป็นประกายจัดจ้าบอกถึงความต้องการลึกซึ้งไม่ได้เลย รวมถึงกำลังที่มากกว่าที่ผลักดันให้แผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอนนุ่ม คณิตได้แต่มองการเคลื่อนไหวเชื่องช้าที่ไร้คำพูด ทว่าหนักแน่นทุกการกระทำอย่างไร้แรงต่อต้าน รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นและดำเนินไปไม่ต่างจากค่ำคืนที่ผ่านมา

ความแข็งแรงร้อนรุ่มส่งผ่านเข้ามาด้วยความอ่อนนุ่มทะนุถนอมเป็นครั้งแรก หอมหวานเสียจนลืมเลือนความเจ็บปวดของร่างกายไปสิ้น มือเล็กโอบกอดความกำยำที่เคลื่อนไหวดุจสายฝนในคืนที่ร้อนอบอ้าว...

*      *      *

วงหน้าขาวจัดดูสิ้นฤทธิ์ชวนให้หลงใหลเสียจริง อชิตะมองมันมานานเกือบชั่วโมงแล้ว หลังความต้องการถูกปลดปล่อย ความสุขสมล้นเอ่อในหัวใจ ร่างเล็กซุกซบอยู่ในอ้อมกอด ฝากศีรษะเล็กไว้ที่ท่อนแขนของเขา ไม่อยากให้ตื่นขึ้นมาเลย เพราะไม่อยากฟังคำพูดหยาบคายที่ระบายออกมาจากกลีบปากบางน่าจูบ นอกจากระคายหูแล้ว มันก็เจ็บแสบใช่น้อย

อชิตะระบายลมหายใจออกมาช้าๆ อย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงหนทางข้างหน้า ที่คงไม่ได้ง่ายนักและคงสาหัสเอาการ แต่เมื่อเลือกเดินเส้นทางนี้แล้ว มันก็ยากที่จะหันหลังกลับ ต่อให้เป็นเส้นทางที่ทอดยาวสู่เหวลึก เขาก็พร้อมจะก้าวลงไปจมอยู่ก้นเหวดำมืด และจะเอาคนคนนี้ไปด้วย ต่อให้ไม่เต็มใจก็ตาม เพราะเขามีวิธีจัดการ

ความคิดหยุดลงเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หน้าจอปรากฏรูปใบหน้าน่ารักระบายรอยยิ้มสดใส รับรู้ถึงแรงกดทับบางอย่างที่รุนแรง นี่กระมังเรื่องที่เขารับมือยากที่สุด แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องกล้าเผชิญหน้า ทำใจให้เข้มแข็งเพียงเพื่อจะยัดเยียดความเจ็บช้ำให้หัวใจดวงน้อยของคู่หมั้นสาว

ณัชชาไม่ได้ทำผิด...เพียงแต่หัวใจของเขา มันบัดซบ!

เมื่อกดรับสาย เสียงหวานใสดังผ่านเข้ามาให้ได้ยินเช่นทุกครั้ง คำพูดนั้นเจื้อยแจ้วน่าฟัง แต่ไม่ทำให้สุขใจได้อีกแล้ว

ข้อความที่จับได้คือ...ณัชชากลับก่อนกำหนด อยากตามมาหาเขาที่นี่! 

“หวาน...” เขาเรียกชื่อเธอแผ่วเบา นิ่งไปอึดใจถึงพูดต่อ “พี่ขอโทษ...เราเลิกกันเถอะ”

อีกฝ่ายคงคิดว่าฟังอะไรผิดไป ย้อนถามกลับมา เสียงหวานยังสดใสเช่นเดิม

“เลิกกันเถอะ” เขาจึงย้ำคำเดิม คนปลายสายเงียบไปพักใหญ่กว่าจะเปล่งถ้อยคำถามซ้ำย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป เสียงหวานเจือแรงสั่นหวิว หัวใจของเขากระตุก อยากเอาคำบอกเลิกคืนกลับมา ทว่าคนในอ้อมกอดทำให้หัวใจของเขาแข็งเป็นหิน โหดเหี้ยมและร้ายกาจ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงสะอื้นไห้ของคนปลายสาย หัวใจบัดซบของเขา มันร้ายกาจเกินกว่าจะเชื่อว่า มันเคยรักผู้หญิงคนนี้มาเนิ่นนานเพียงแค่คนเดียว รักจนถึงขั้นจะร่วมชีวิตร่วมกัน

“พี่ขอโทษหวาน”

เขาฝากถ้อยคำโหดร้ายประโยคสุดท้ายให้อดีตคนรัก ก่อนตัดสายทิ้ง จบบทสนทนาเลวร้ายนี้ลง และปิดทุกการติดต่อด้วยการปิดเครื่อง เพียงเพราะว่าเขาขี้ขลาดเกินไปที่จะอธิบายเหตุผลทุกอย่างให้เธอฟังในเวลานี้

*** จบตอนที่ 11 ***
 :mew6:
เจอกันตอนที่ 12 วันที่ 4 นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
12

ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินยาวขนานไปกับพนังห้องนอนขนาดใหญ่ ภายในตู้ได้แบ่งปันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเสื้อผ้าของคนร่วมห้องคนใหม่ คนที่ชื่อคณิต ผู้ชายที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บเอาไว้ในชีวิต เป็นสมบัติที่มีชีวิต เป็นหัวใจ เป็นสิ่งมีค่า และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา และต่อให้เขาต้องทิ้งทุกคนในชีวิต คนคนเดียวที่จะไม่มีวันทิ้งเลยคือคณิต

อชิตะจะเรียกความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตัวเล็กผิวขาวว่า ‘ความรัก’ แม้เสียงบางอย่างจะกระซิบบอกว่าคือ ‘ความหลงใหลชั่ววูบ’ ก็ตาม   

อชิตะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตที่เพียบพร้อมแล้วทุกสิ่งอย่างของตน ชายหนุ่มวางอนาคตไว้อย่างสวยงามและมีขั้นตอนชัดเจน มีหนทางสว่างไสว เป็นไปตามความเหมาะสมตามสายตาคนรอบตัว แต่แล้ว ‘ค่ำคืนเดียว’ ได้ขยี้และขย้ำทิ้งทุกแผนการในชีวิตไปจนหมดสิ้น ที่เหลือในยามนี้คือเส้นทางมืดสลัวที่คล้ายจะเต็มไปด้วยปัญหามากมายที่รอคอยอยู่บนทางเดินข้างหน้า มิหนำซ้ำคนที่เขาฉุดกระชากลากถูให้ร่วมเดินทางมาด้วยกันก็แสนดื้อสุดชีวิต 

กว่าเขาจะเอาตัวคณิตกลับมาด้วยได้ เขาก็เจ็บตัวไม่น้อย ไม่ใช่จากมือหรือเท้าคนตัวเล็ก แต่เป็นทั้งมือและเท้าของชิตตะวันที่เล่นงานเขาตอนเผลอ ตอนที่เขาหลับอยู่บนเตียง และโอบกอดร่างของคณิตเอาไว้ด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้เป็นเจ้าของร่างกายเล็กนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเจ็บตัวที่คุ้มค่าไม่น้อยเลย อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าคณิตห่วงเขามากกว่าท่าทีที่แสดงออกมา หรือคำพูดที่ก่นด่าให้เขาปวดหัวใจจี๊ดๆ นับว่าเป็นเรื่องดีที่พอจะทำให้ยิ้มออกมาได้

พอเห็นเขาถูกชิตตะวันกระชากลงจากเตียง แล้วประเคนมัดและตีนให้ไมยั้งแรง คณิตก็ถลาจากเตียงลงมาห้าม กางปีกปกป้องเขาเต็มที่ แล้วยอมกลับมาพร้อมกับเขา แม้ตลอดทางจะไร้คำพูดต่อกัน มีเพียงความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องโดยสารที่มีเขาเป็นคนขับ แต่มันก็ให้ความรู้สึกว่าเขาเดินมาถูกทางแล้ว จากที่เห็นว่ามันมืดสนิท มองไม่เห็นปลายทาง สุดท้ายพระอาทิตย์ก็ทำงาน ขับไล่ราตรีกาลมืดมิดจนแตกกระจาย นำทางเขาไปสู่ปลายทางที่เห็นอยู่ไกลๆ รอวันไปถึง

ร่างสูงใหญ่ของอชิตะลุกขึ้นจากโซฟาเนื้อดีสีสดใส เมื่อมองออกไปเห็นท้องฟ้าถูกขึงครอบด้วยความมืดของค่ำคืน อาหารมื้อค่ำคงจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิดดังนั้นจึงก้าวเท้าออกจากห้อง เดินลงบันไดไปชั้นล่าง จุดหมายคือห้องทางปีกซ้ายของบ้าน

อชิตะเคาะประตูห้องสี่ห้าครั้ง ไม่มีมีเสียงตอบรับจากคนด้านใน ประตูถูกปิดล็อกไม่ให้คนนอกผ่านเข้าไป เขาจึงเดินย้อนกลับไปทางเดิม ตั้งใจจะเดินกลับไปหยิบกุญแจสำรอง ทว่าสาวใช้วัยยี่สิบหมาดๆ ที่คงรู้ว่าเขาต้องการเจอใคร เอ่ยบอกกับเขาว่า

“คุณหนึ่งอยู่ที่สระค่ะ” เมื่อนายจ้างพยักหน้ารับรู้แล้ว หญิงสาวก็เดินเลี่ยงไปในครัว ช่วยผู้เป็นป้าและเพื่อนคนใช้วัยเดียวกันจัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อค่ำของนายจ้างและแขกประจำของบ้าน

เจ้าของบ้านเปลี่ยนจุดหมายไปที่สระว่ายน้ำที่ถูกโอบล้อมด้วยตัวบ้านรูปตัว ‘U’ สระว่ายน้ำที่ไม่ได้มีอยู่ในแผนการก่อสร้างเรือนหอของตน แรกเดิมทีนั้นอชิตะตั้งใจจะปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาและสีเขียวชุ่มตา สร้างบ้านหลังเล็กหลายหลังให้นกตัวน้อยมาอาศัยพักกาย แต่ต้องเปลี่ยนจากแนวต้นไม้สีเขียวเป็นสระว่ายน้ำสีฟ้า สถานที่แหวกว่ายของลูกน้องคนสนิท ที่บัดนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นคนร่วมอนาคตของเขาไปเสียแล้ว และอย่างไม่เต็มใจนัก

แต่ใช่ว่าเขาจะต้องสนใจว่าคณิตจะยินยอมพร้อมใจหรือปฏิเสธเสียงกร้าวด้วยคำหยาบคายที่ระคายหูจนคันยิบ ๆ ในเมื่อเขาต้องการสิ่งใด ย่อมได้มาซึ่งสิ่งนั้น...

คิดมาถึงตรงนี้ก็มาถึงสระน้ำที่ร่างเล็กกำลังดำผุดดำว่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายบอบบางยังคงเป็นชุดเดิมที่เขาเป็นคนใส่ให้ 

อชิตะหย่อนตัวลงบนนั่งเก้าอี้ริมสระ ตัวที่ใกล้กับประตูระเบียงห้องของคณิต ฝากสายตาไว้กับร่างเล็กที่คงเห็นเขาแล้ว แต่ทำไม่สนใจ

หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนเกิดความสัมพันธ์ที่รัดแน่นจนดิ้นไม่หลุดนี้ คณิตคงได้ขึ้นจากสระแล้วมาลากตัวนายจ้างอย่างเขาลงสระด้วยกัน โดยไม่สนใจว่าเขาจะปฏิเสธเสียงแข็งเพียงไร เขาก็สู้แรงดื้อดึงและเซ้าซี้ของคณิตไม่ได้ จนต้องกระโดดลงสระให้อีกฝ่ายพอใจ แต่เมื่อความสัมพันธ์ได้ผิดเพี้ยนไปหมด ทุกอย่างจึงไม่เป็นเช่นวันวานที่คุ้นเคย

หน่วยตาเรียวเล็กตวัดมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งปักหลักอย่างรอคอยแล้วนึกโมโห ความกรุ่นโกรธในอารมณ์กลับมาอีกครั้ง เหนี่ยวนำให้จมดิ่งไปยังก้นบึ้งอันสับสนและถาโถมด้วยความรู้สึกผิดเหมือนฤดูฝนที่ไม่มีวันจางเม็ดน้ำบนผืนฟ้ากว้างสีเทาทะมึน มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ พร้อมเสียงคำรามลั่น

คำ ‘บอกเลิก’ ว่าที่เจ้าสาวเมื่อค่ำคืนที่ผ่านพ้นมาของอชิตะ เขาได้ยินชัดเต็มสองหู อชิตะคงคิดว่าเขาหลับและไม่ได้ยินคำพูดที่ปราศจากความรับผิดชอบของเจ้าตัว แต่เขาได้ยิน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงร้องไห้ของคนปลายสาย มันลอยมาให้ได้ยิน ดังเบาแต่ก็ตอกลึกและทำให้รู้สึกผิดอย่างรุนแรง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า....เขามีส่วน เขาคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยน

คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องถอนใจเฮือกใหญ่ คณิตทิ้งความสนุกสนานที่กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่เจ้าของบ้านจะโผล่หน้ามาให้เห็น ด้วยการปีนขึ้นจากสระ เดินกลับเข้าห้องของตนผ่านทางระเบียงห้อง หางตาพอจะเห็นร่างสูงใหญ่ลุกตามมาด้วย คร้านจะหันไปห้ามหรือสั่งไม่ให้ตามเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขา ในเมื่อรู้แน่แก่ใจแล้วว่าจะเอาอะไรไปห้ามอชิตะได้ ก็มันบ้านของอชิตะ ต่อให้เขาล็อกห้องนอน ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ เชื่อว่ากุญแจสำรองก็ทำให้ทุกความเป็นส่วนตัวของเขาสิ้นสุดลงได้เพียงนาทีเดียว

คณิตหยิบเสื้อและกางเกงออกมาจากตู้ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนชุด ส่วนเสื้อผ้าที่ถูกบังคับให้ไปเก็บจนเกลี้ยงตู้ในห้องคอนโดฯ ของเขานั้น ถูกขนขึ้นไปเก็บไว้ในห้องของอชิตะหมดแล้ว เขาเบื่อที่จะต่อสู้กับความบ้าอำนาจของอชิตะ ยิ่งหนีก็เหมือนยิ่งทำให้อชิตะอยากเอาชนะ ดังนั้น เขาจะลองไหลไปตามน้ำเชี่ยวครั้งนี้ดู อชิตะอยากทำอะไร ต้องการอะไรจากเขา เขาจะไม่ดื้อ ไม่ขัดขืน บางทีอาจจะทำให้อชิตะหายบ้าและกลับมาเป็นคนเดิม เดินทางเดิม ใช้ชีวิตปกติ แต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่น ดังเช่นที่เจ้าตัวคิดทำมาตลอด...

นายจ้างหนุ่มของเขาเคยเล่าถึงแผนการในชีวิตและครอบครัวในฝัน ที่พร้อมหน้าด้วยพ่อแม่และลูกชายลูกสาว รวมกันแล้วน่าจะสี่คน ซึ่งเขายังเคยยุให้มีสักหกคนไปเลย เพราะด้วยฐานะของอชิตะแล้ว การเลี้ยงลูกหกคนให้มีชีวิตที่สุขสบายไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากเจ้าตัวจะมีบริษัทที่เติบโตขึ้นทุกวัน สมบัติของตระกูลใหญ่ทั้งฝั่งบิดาและมารดาของอชิตะก็มากเสียจนใช้ได้ทะลุสิบชาติเลยกระมัง แล้วรวมสมบัติของภรรยาในอนาคตอย่างณัชชาอีกเล่า...ลูกสาวคนเดียว หลานสาวคนเดียวของตระกูลผู้ดีเก่าแก่
ส่วนหัวใจของเขา ความรู้สึกลึกลับที่ไม่กล้าเผยออกมา มันจะยังคงเป็นความลับต่อไป ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่แสดงออกมาประจานความเลวร้ายของตัวเองเด็ดขาด ก็คงต้องใช้สมองให้ทำงานหนักยิ่งขึ้น

เมื่อกลับออกมาจากห้องน้ำ คณิตพบว่าห้องถูกปิดมิดชิดด้วยผ้าม่านผืนหนาหนักสีน้ำเงินเข้ม แสงสว่างเพียงอย่างเดียวในห้องคือแสงจากโคมไฟเหนือเตียงนอนขนาดกลาง ร่างสูงใหญ่ของอชิตะนั่งอยู่ตรงขอบเตียงอย่างรอคอย ก่อนจะลุกเดินตรงมาที่เขาด้วยตานัยน์ตามีความหมาย ไม่ยากเกินจะรู้ว่าอชิตะต้องการสิ่งใดจากเขา

มือใหญ่เกี่ยวเอวเล็กให้เข้าใกล้ สร้างความแนบแน่นที่ปรารถนา โอบนำทางไปยังเตียงนอนนุ่ม บังคับให้ร่างเล็กกว่าทิ้งตัวลงนอนแล้วตามไปคร่อมทับ 

อชิตะปรารถนาเกินกว่าจะหักห้ามใจ ร่างกายขาวจัดและหอมสะอาดชวนให้หลงใหล เขาไม่เคยมีความต้องการที่มากมายเช่นนี้มาก่อน

อยากกกกอด...

อยากกลืนกิน...

อยากเก็บไว้ข้างกายตลอดไป...

กว่าช่วงเวลาสุขสมแสนเร่าร้อนปนหมองไหม้จะสิ้นสุด คณิตก็อ่อนแรงเกินกว่าจะลุกไปไกลจากเตียงนอนยับย่นเสียแล้ว ความหิวกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมเลือน เปลือกตาบางปิดลง แต่ไม่นานก็ถูกกระชากให้เปิดกว้าง จากแรงขยับเขยื้อนของคนร่วมเตียง หนุ่มร่างเล็กค้อนจนตาเหลือก สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือรอยยิ้ม รสจูบ และท่วงทำนองที่ถูกบังคับให้ต้องร่วมมือไปจนสุดทางรัก

*      *      *

กรอบดวงตาที่บวมช้ำของคนตรงหน้าฟ้องความบอบช้ำจากหัวใจที่แตกสลาย ความรักความเอ็นดูนั้นยังคงมีให้ ทว่าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“หนึ่ง...หรือคะ” หญิงสาวทวนชื่อนั้นซ้ำ เผื่อว่าเธอจะฟังผิดไป แต่ไม่ใช่ เมื่อใบหน้าเข้มขรึมให้คำตอบได้เป็นอย่างดี

อชิตะบอกกับเธอว่า คนที่ทำให้หัวใจเขาเปลี่ยนไปคือคณิต ชายหนุ่มที่สูงกว่าเธอไปไม่มาก ตัวขาว ตาเล็ก คนที่เธอมองว่าเป็นทั้งลูกน้องและน้องชายของอชิตะ ทำไมเกิดเรื่องเช่นนี้ได้

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะพี่อิง” ทำไมเธอถึงไม่ระแคะระคายมาก่อน ที่เห็นและที่รู้คือคณิตเลิกกับญาดาเพราะความห่างไกล เนื่องจากอีกฝ่ายกลับไปช่วยกิจการครอบครัวที่จังหวัดทางเหนือ ส่วนคนรักของเธอ ตลอดเวลาเธอเห็นแค่ว่าเขาเอ็นดูคณิตเหมือนน้อง หรือว่าในสิ่งที่เธอไม่เคยรู้คือความใกล้ชิดที่เธอมองไม่เห็น และมองไปไม่ถึงมัน

อชิตะผ่อนลมหายใจยาว ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงทำให้วิ่งออกนอกเส้นทางจนสุดกู่อย่างนี้ หรือทำไมหัวใจถึงได้พลิกตลบได้เพียงนี้ เวลาผ่านไปนานหลายนาที กว่าจะหลุดคำตอบออกมาอย่างนุ่นนวล ถนอมหัวใจคนฟังไม่ให้เจ็บปวดต่อถ้อยคำจากปากเขาไปมากกว่าที่เป็น

“พี่ทำร้ายหนึ่ง และพี่ต้องรับผิดชอบเขา” อชิตะยังไม่อยากทำร้ายหัวใจคนฟัง จึงไม่บอกความจริงที่ว่า การทำร้ายแท้จริงคือความรัก ความปรารถนาจะครอบครอง กักเก็บไว้ให้เป็นสมบัติล้ำค่าของตนเพียงผู้เดียว   

“แล้วหวานล่ะคะ งานแต่งของเราล่ะ อนาคตของเราสองคนอีก พี่อิงไม่อยากรับผิดชอบแล้วหรือคะ” เธอทวงถาม เผื่อว่าเขาจะหลงลืม เผื่อว่าเขาจะจำได้ว่าร่วมฝันกันมานานเท่าไหร่แล้ว เผื่อว่าจะจำไม่ได้ว่าพร่ำบอกคำรักกันมากมายเท่าไหร่

สายน้ำตาไหลริน เมื่อคำตอบคือสายตาที่จริงจังจงน่ากลัว กลัวว่าจะไม่หลงเหลือความรักใดในห้วงหัวใจของอชิตะอีกแล้ว ณัชชาได้ยินเพียงเสียงความเงียบเป็นคำตอบ อาหารบนโต๊ะไร้ความหมาย ไม่ต่างจากตัวเธอที่กำลังไร้ความหมายในสายตาคนรัก ซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตคนรัก

“พี่ขอโทษ” อชิตะยังหาคำที่ดีกว่านี้มาเช็ดน้ำตาหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ได้ 

“เปลี่ยนคำขอโทษเป็นการกลับมาได้พี่อิง กลับมาสร้างอนาคตกับหวานเหมือนเดิม” ภาวนาขอให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ไม่สำเร็จ คำตอบยังคงสร้างความปวดร้าวใจให้เธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“พี่รักหนึ่ง และพี่คงเลิกรักเขาไม่ได้”

“แต่เลิกรักหวานได้” ถามกลับทันควัน เจ็บร้าวในหัวใจ คนถูกถามถึงกับสะอึก เบนสายตาหนี ก่อนจะดึงกลับมายังใบหน้าของเธออีกครั้ง เพื่อบอกเล่าความรู้สึกของตน โดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว ในหัวของพี่ตอนนี้มีแต่เรื่องของหนึ่ง พี่มีแต่คำถามดังซ้ำซากว่าจะทำยังไงให้หนึ่งรักพี่ เหมือนที่พี่รักเขา รู้สึกเหมือนที่พี่รู้สึกกับเขา เลิกดื้อ เลิกพยศ เลิกมองพี่ด้วยสายตาเกลียดชัง” อชิตะบอกเสียงเบาเจือจางด้วยความเศร้าสร้อยในแบบที่ณัชชาไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน


วูบหนึ่งที่ณัชชาเกิดความรู้สึกเห็นใจปนสงสาร แล้วปัดมันออกไป เธอควรสงสารตัวเธอเองมากกว่าไม่ใช่หรือไง เธอกำลังถูกทิ้ง ไม่ใช่คนที่ถูกรักอีกต่อไป

“ในเมื่อหนึ่งไม่รักพี่อิง แล้วทำไมพี่อิงต้องรักหนึ่งด้วย” เธอถามเพื่อย้ำเตือน เพื่อทวงความรักกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง อชิตะอาจสับสน เธอต้องดึงเขากลับมาให้ได้ ณัชชาเอื้อมไปจับมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ บีบกระชับ นำพาสู่ความฝันที่มีร่วมกัน

“หวานอยากให้พี่อิงจำให้ได้ว่าเราสองคนรักกันมากขนาดไหน อยากให้พี่อิงจำได้ว่าเคยพูดกับหวานว่าเราจะมีลูกด้วยกันสี่คน ผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน หวานจำความฝันของเราสองคนได้ไม่ลืม และอยากให้ทุกอย่างที่เราฝันร่วมกันเป็นความจริง...ได้ไหมพี่อิง”

อชิตะสบตาคู่หวานของณัชชา ถ้อยคำนั้นดึงเขากลับไปสู่วันวาน ความรัก อ้อมกอด ความฝัน ทุกอย่างชัดเจน...บ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ มีห้องนอนหลายห้อง สร้างขึ้นมาเพื่อลูกชายลูกสาวในอนาคต ลูกของเขากับณัชชา บ้านทรงเหลี่ยมปูนเปลือยที่อีกไม่นานจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ เด็กที่เป็นลูกของเขากับเธอ

แต่แล้ว...สระว่ายใต้แสงนวลของจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า ยามค่ำคืนเงียบสงัด เสียงร่างหนึ่งโดดลงไปแหวกว่าย ก่อนฉุดดึงให้เขาร่วมสร้างรอยจูบแรกด้วยกัน จูบที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ภาพความฝันระหว่างเขากับณิชชาเลือนหาย เสียงหัวเราะของเด็กผู้ชายผู้หญิงถูกแทนที่ด้วยดวงตาเรียวเล็กแดงก่ำฉ่ำน้ำตาที่ตวัดมองมาอย่างแค้นเคือง แต่ก็ดึงดูดและอยากเอาชนะให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม เขาอยากเปลี่ยนดวงตาคู่นั้นให้กลายเป็นดวงตาพร่างพรายด้วยความรักอัดแน่น ให้ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาเพียงคนเดียว มองมาด้วยความรักอย่างหมดหัวใจ

เวลานี้อชิตะไม่ต้องการอนาคตใดอีก เขาต้องการเพียงปัจจุบัน!

อชิตะเพิ่งรู้จักตัวเองก็วันนี้เอง ว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด

“หวาน...พี่ขอโทษ ขอโทษที่พี่ลืมมันไปหมดแล้ว”

*      *      *

เพียงแค่ทรุดตัวลงนั่ง คนที่นั่งจับจองเป็นเจ้าของเก้าอี้ภายในสวนหลังบ้านยามเวลาใกล้ค่ำก็ลุกยืน เตรียมจะเดินหนีทันที

“อยู่ด้วยกันก่อน” อชิตะคว้าข้อมือเล็กไว้ ดึงกลับให้นั่งลงที่เดิม ข้างตัวเขา อีกฝ่ายบิดข้อมือหนี แต่ไร้ทางหนีจากมือที่กำรอบข้อมือของตนได้ “เลิกพยศซะทีได้ไหมหนึ่ง”

คณิตหันขวับมาค้อน ดวงตาเรียวเล็กขุ่นจัด อชิตะด่าเขาว่า ‘พยศ’ ยัดเยียดความเป็นผู้หญิงให้เขามากเกินไปแล้วนะ
พยศบ้าพยศบออะไรล่ะ ที่ทำทั้งหมดคือการแสดงอาการทางร่างกายว่ารังเกียจต่างหาก พยศตรงไหนไม่ทราบ คณิตนึกโมโห คำว่า ‘พยศ’ มันเหมาะกับผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายอย่างเขาสักนิด

“งั้นคุณก็ควรเลิกยุ่งกับซะที ปล่อยผมไป เลิกแล้วต่อกัน!” เลิกข่มเหงร่างกายผมด้วย คณิตต่อมันในใจ 

“เราสองคนมาถึงขั้นนี้กันแล้วนะหนึ่ง มันได้เวลาหันหน้ามาคุยกันจริงจังได้แล้ว ว่าจะเอายังไงต่อไป” เขาจ้องวงหน้าขาวจัด แววตาเขียวขุ่นต่อต้านคำพูดของเขาฉับพลัน อชิตะพยายามใจเย็น ข่มความรู้สึกที่อยากกระชากเอาคนตัวเล็กเข้ามากอดและบดจูบจนสิ้นฤทธิ์เดช สิ้นพยศซะที

“คุณถามผมใช่ไหม หรือแค่อยากให้ผมอยู่นิ่งๆ ฟังคุณตัดสินใจเอาเอง ว่าจะทำยังไงกับชีวิตของผม ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของผมเลย”

“พูดผิดพูดใหม่ได้นะหนึ่ง ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ์ในตัวคุณ” เสียงเข้มขึ้นมาทันที กรอบหน้ายิ่งเข้มยิ่งกว่า แรงบีบที่มือก็เพิ่มมากขึ้น ทำไมอชิตะจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของร่างกายน่าหลงใหลนี้แล้ว ประทับตราจับจ้องด้วยแรงกระแทกไปไม่รู้กี่ครั้ง เจ้าตัวครางเสียงหวานให้เขาฟังไม่รู้กี่หน 

“เพราะคุณไม่ใช่พ่อใช่แม่ผมไง คุณมันก็แค่...” เรียวปากเล็กเม้มแน่น กักคำที่เหลือไว้ เพราะมันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมา

“แค่อะไร?” เขาลดแรงบีบข้อมือเล็กลง “ไหนพูดมาสิ ว่าแค่อะไร” เขาถามซ้ำเมื่อยังไม่ได้คำตอบ

“แค่...คนที่ข่มขืนผม”...หลายครั้ง!

“ผมยอมรับว่าข่มขืนคุณ...แต่หลายๆ ครั้งคุณก็สมยอม” วงหน้าเข้มปรากฏว่ามีรอยยิ้มพึงพอใจ วูบหนึ่งมันได้พาอชิตะกลับไปบนเตียงนุ่ม และสัมผัสลึกซึ้งที่ชักชวนให้เขาด่ำดิ่งลุ่มหลงไปในห้วงเสน่หาไม่รู้จบสิ้น นั่นเพราะร่างกายที่ออดอ้อนตัวตนของเขาให้บ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา โดยที่เจ้าของมันไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิด   

ดวงตาสีอ่อนเป็นประกายจัดจ้าแทบจะทันที นึกด่าคนพูดในใจว่า ทำไมต้องย้ำว่า ‘หลาย ๆ ครั้ง’ และ ‘สมยอม’ ด้วย!

“แล้วคุณก็ต้องยอมรับด้วยนะหนึ่ง ว่าหลังจากการข่มขืนเกิดขึ้นและคุณสมยอมผมไปแล้ว คุณก็คือ ‘เมีย’ ของผม นั่นแสดงว่า ผมมีสิทธิ์ในตัวคุณโดยปริยาย”

ตรรกะแย่ที่สุดในโลก! คณิตก่นด่าในใจ ขณะเดียวกันก็อับอายจนพูดไม่ออก รู้สึกว่าร่างกายกำลังมีปฏิกิริยากับคำเรียกขาน ตอกย้ำสถานะบางอย่างให้แก่เขา

‘เมีย’

คำๆ นี้เขาเคยเอ่ยล้อถึงสีฟ้า ผู้ชายซึ่งเป็นคนรักของเพื่อนสนิทเขา แต่พอโดนเข้าเองกับตัว รู้แล้วว่ามันสร้างความรู้สึกอย่างไรให้กับคนที่ถูกเรียก

...รู้สึกเหมือนร่างกายของเขาถูกครอบครอง ตีตราเป็นเจ้าของ และไม่มีทางที่จะหนีพ้นสถานะที่ถูกยัดเยียดให้นี้ไปได้ นอกจากหนีไม่พ้น ยังต้องอยู่ภายใต้บทบาทของผู้หญิงไปตลอดทั้งชีวิต เพราะเขาคงไม่มีหน้าและเอาร่างกายของตัวเองไปหา ‘เมีย’ ที่ไหนได้อีกแล้ว!

“แล้วคุณหวานล่ะ” อย่างน้อยก็เอาความจริงฟาดหน้าอชิตะให้สำนึกบ้าง เผื่อว่าเขาจะหลุดพ้นจากคำว่าเมียของอชิตะไปได้ “คุณเอาเธอที่เป็นเมียคุณไปไว้ที่ไหน” อชิตะกำลังจะแต่งงานกับณัชชา ผู้หญิงที่คบกันมายาวนานมาก และความยาวนานนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากความสัมพันธ์ทางใจแล้ว มันต้องมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้นแน่ 

ดวงตาสีเข้มจัดหรี่มองเจ้าของคำถาม ริมฝีปากหนายกยิ้มในท่วงท่าน่าหมั่นไส้สำหรับคนมอง อชิตะรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ในอดีต เขารู้จักหักห้ามใจ หักห้ามความต้องการของตัวเอง ไม่อ้อนขอเอาอะไรจากอดีตคู่หมั้น นอกจากจูบบ้างในบางครั้ง เกินเลยกว่านี้ไม่มีเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว

วันนี้เขาถึงกล้าพูดได้เต็มปากกับคณิตว่า

“หวานไม่ใช่เมียเป็นแค่คู่หมั้น ไม่ใช่สิ อดีตคู่หมั้น” ยักคิ้วตอบ พร้อมยกมือข้างซ้ายโชว์ว่าไร้แหวนหมั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

“ผมไม่เชื่อหรอก คุณก็พูดเพื่อผลักภาระให้พ้นตัว ทิ้งให้ผู้หญิงที่คุณได้ตัวเธอไปแล้ว ต้องจมอยู่กับอดีตและตราบาปที่คุณสร้างไว้ในชีวิตเธอ” คณิตมองอชิตะด้วยแววตาโกรธแค้นแทนผู้หญิงที่ถูกทิ้ง เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าอชิตะไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับณัชชา

จากประสบการณ์ที่...เอ่อ...โธ่โอ๊ย! แค่คิด ทำไมต้องรู้สึกอายด้วยวะไอ้หนึ่ง หยุดอายได้แล้ว คิดให้ได้สิวะ ว่าพฤติกรรมบ้าเรื่องบนเตียงของอชิตะ มันรุนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการมากขนาดไหน ไม่มีทางเสียหรอกที่จะอยู่ใกล้ชิดณัชชาแล้วไม่มีเรื่องบนเตียงเกิดขึ้น ที่บอกว่าไม่ใช่เมีย ก็แค่หนีความเลวของตัวเองเท่านั้นแหละ!

“ผมไม่ได้ขอร้องให้คุณเชื่อนะหนึ่ง ผมแค่บอกให้คุณรู้ ว่าวันนี้ผมมีคุณเป็นเมียคนเดียวเท่านั้น  และคุณต้องเป็นเมียผมคนเดียวด้วยเช่นกัน แล้วต่อจากนี้ไป เราสองคนจะมีอนาคตร่วมกัน” ชายหนุ่มเน้นชัดทุกถ้อยคำ ไม่ใยดีต่อใบหน้าที่สะบัดหนี หลังจากทิ้งเสียงขัดเคืองใจไว้ว่า

“อนาคตของคุณคนเดียวนะสิ มันไม่อนาคตของผม”
 
*      *      *

แต่ทำไมเล่า อนาคตในวันรุ่งขึ้นของคณิต ถึงถูกกักขังไว้ภายในบริเวณบ้านอันเป็นเรือนหอของอชิตะด้วยนะ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านไปทำงานแต่เช้า ดับช่องทางการหนีของเขาด้วยเวรยามที่เข้มงวดและหนาแน่น รวมกันได้ห้าชีวิต!
แม่บ้านซึ่งเป็นสตรีวัยห้าสิบปี แว่วว่าเป็นพี่เลี้ยงของอชิตะ

สาวใช้น้อยวัยกว่าเขาอีกสองคน ทั้งสองสลับกันยื่นหน้ามาให้เขาเห็นทุกสิบนาที

และอีกสองคนคือชายวัยสามสิบปลายๆ ทั้งสองคน คนหนึ่งคือยามรักษาความปลอดภัย อีกคนคือคนขับรถของอชิตะ ที่เปลี่ยนงานจากคนขับรถมาเป็นยามคู่กับเพื่อนซี้เฝ้าประตูหน้าบ้าน และเดินตระเวนรอบๆ บ้าน ปกป้องการหนีของเขาทุกหนทาง!
ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย กลัวเขาหนีนักหรือไง

ใช่สิ! เขาคิดจะหนีไปจากบ้านหลังนี้เหมือนกัน เพราะทนเรื่องบนเตียงกับอชิตะไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนเขาต้องสิ้นแรงเพราะ ‘พ่อม้าคึกคัก’ ไล่ต้อนดูดเอาทุกเรี่ยวแรงไปจากเขา ด้วยบทรักเร่าร้อนที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ไม่เคยเกรงใจหรือถนอมร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย เสียงครางทุ้มกระหึ่มสุขสมอารมณ์หมายที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหนาอย่างไม่นึกอายคนฟัง จนเขาอยากตัดหูตัวเองทิ้งซะเดี๋ยวนั้นเลย จะได้ไม่ต้องฟังเสียงครางของคนมักมากในกามอีกต่อไป

ส่วนตัวเขา...ไม่รู้! เพราะไม่มีคำบรรยายใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยอับอายเกินกว่าจะนึกย้อนไปถึงร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง เสียงที่ผิดเพี้ยนจนไม่อยากเชื่อว่าจะออกมาจากปากของเขา ราวกับไม่ใช่เสียงของเขาที่ครางอย่างสิ้นอาย มันน่าอาย ขายขี้หน้า และเรียกคำชื่นชมจากอชิตะตลอดทั้งคืน

‘ผมชอบ เอาอีกหนึ่ง’

‘อย่าเก็บมันไว้หนึ่ง ร้องดังๆ’

‘ไม่ต้องอาย เต็มที่ครับคนเก่ง’

‘นั่นแหละหนึ่ง ดีมาก’

‘ชอบใช่ไหม ถูกใจใช่ไหม’

‘เรียกชื่อผมสิหนึ่ง...เรียก’

ถ้อยคำเหล่านี้ดังซ้ำซาก ไม่ต่างจากเสียงครางทุ้มกระหึ่มที่เขาไม่อยากได้ยินเอาซะเลย   

แล้วใครมันจะอดทนอดกลั้นปิดปากเงียบไม่ส่งเสียงร้องสักแอะได้เล่า ในเมื่อท่วงท่าแสนคึกคักไม่เคยหยุดหย่อนที่จะโหมแรงใส่เขา มิหนำซ้ำตัวตนแสนร้ายกาจของอชิตะก็ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยที่เห็นแล้วจะหัวเราะเยาะได้ มีแต่ทำให้กลืนน้ำลายลงด้วยความรู้สึกกลัวปนไปกับความอับอายที่ต้องใช้ช่องทางคับแคบของตัวเองรับมันเข้าไป เมื่อก่อนเข้าห้องน้ำด้วยกันออกบ่อย ยามที่กอดคอกันเที่ยวดื่มกิน เคยเห็นผ่านตาแล้วก็นึกแอบอิจฉาเล็กๆ ว่าทำไมถึงเป็นผู้ชายที่โชคดีอย่างนี้ ทั้งรวยมหาศาล สติปัญญาเป็นเลิศ หน้าตาดีเว่อร์ ผิวเข้มสมกับเป็นผู้ชาย กล้ามใหญ่ ร่างกำยำ สูงสง่า และน้องชายตัวน้อยก็ไม่ได้น้อยเลยสักนิด นั่นแหละ แตกต่างกับเขาแบบสุดขั้ว เขาที่ถ้ายยืนคู่กับอชิตะก็ต้องถูกมองว่า ‘เตี้ย’ ไปทันที     

คณิตทิ้งตัวลงนั่งข้างสระน้ำ จุ่มปลายเท้าลงไปในน้ำเย็น นี่ก็เกือบสามโมงแล้ว

หากถามว่าทั่วทั้งบริเวณบ้านหลังใหญ่ เขาเกลียดสถานที่ใดมากที่สุด คงตอบได้ว่าเตียงนอนในห้องของอชิตะ รวมเตียงนอนในห้องเขาด้วย

หากถามอีกว่าแล้วสถานที่แห่งใดที่เขาชอบมากที่สุด ตอบได้เลยว่าสระน้ำสีฟ้ากระจ่างตาใสสะอาดนี้กระมัง ทั้งที่ควรเกลียดมันมากที่สุด เพราะมันทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาในชีวิตเขานับ ตั้งแต่คืนนั้น

แต่เขาควรโทษตัวเองมากกว่าโทษสระน้ำที่ไร้ชีวิต ไร้ความคิด ไม่ใช่หรือไง โทษตัวเองเถอะคณิตที่งี่เง่า ไร้ความคิด ตั้งคำถามอะไรไม่เข้าท่าจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา

ชายหนุ่มร่างเล็กถอนใจทิ้งเฮือกใหญ่ โทรศัพท์ก็ไม่มี เพราะถูกอชิตะยึดไปแล้ว หน่วยความจำในสมองก็ไม่เคยบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของใครไว้เลย แม้แต่ครอบครัว ก็ใครใช้ให้สมาร์ตโฟนมันทำหน้าที่ได้มหัศจรรย์อย่างนั้นเล่า แต่พอมันแปรพักตร์ตกไปอยู่ในมือของไอ้บ้าเซ็กซ์อย่างอชิตะ เขาก็เหมือนตกไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า ‘คุก’ และมีผู้คุมถึงห้าคน

ทว่าปาฏิหาริย์เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ทุกเวลาไม่ใช่หรือไง อย่างเช่นเวลานี้ที่รถคันเล็กสีขาวกำลังเลี้ยวผ่านประตูรั้วเข้ามา

รถคันเล็กจอดสนิท ก่อนประตูฝั่งคนขับจะเปิดออก พร้อมเจ้าของรถที่ก้าวลงมาและเดินตรงมาหาเขาทันที ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนขึ้น...ใบหน้าสวยน่ารักซีดขาวและอมทุกข์ ขอบตาบวมเต่งและแดงก่ำบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาหนักขนาดไหน 

“หนึ่ง”

“คุณหวาน”


*** จบตอนที่ 12 ***
  :mew2:
เจอกันตอนที่ 13 วันที่ 6 นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
13
“หวานอยากรู้...หนึ่งกับพี่อิงรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงที่เคยสดใสเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวที่คณิตนั่งมาด้วยในรถคันเล็กที่แล่นไปตามถนนสายหลักสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ เสียงของณัชชาแหบแห้งและสั่นพร่าจากแรงสะอื้นภายใน ดวงตาสดใสก็อับแสงและแดงก่ำ บวมช้ำ บ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เพราะผู้ชายเฮงซวย! ...สองคน
“ผมเป็นผู้ชายนะครับคุณหวาน” คณิตตอบไม่เต็มเสียง ด้วยไม่รู้ว่าอชิตะที่ไม่ชอบอ้อมค้อม พูดตรงประเด็นตลอดตามนิสัยคนมีอำนาจ จะบอกณัชชาเกี่ยวกับตัวเขาและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
ความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว และไร้ทางออกที่สวยงาม...
“ลมกับตินยังรักกันได้ ทั้งสองคนก็ผู้ชายเหมือนกัน” สุ้มเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยแย้งเหมือนอยากได้คำตอบที่ดีกว่านั้น ในใจของณัชชาปวดร้าวที่สุดในชีวิต อยากยอมแพ้ แต่ก็ไม่อยากสูญเสียคนรักไป
“นั่นไอ้ตินกับคุณลมครับ แต่ไม่ใช่ผมแน่ครับคุณหวาน” เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าอมทุกข์นิดหนึ่ง ก่อนกลั้นใจถามออกไป “เอ่อ...บอสพูดอะไรกับคุณหวานครับ” เขาได้ยินอชิตะบอกเลิกณัชชาทางโทรศัพท์ และก็รู้อีกว่าอชิตะไปเจอหญิงสาวอีกครั้งเมื่อวาน เหตุการณ์พบกันเมื่อวานนั่นแหละที่เขาไม่รู้ว่าอชิตะพูดอะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง ไม่รู้ใส่ร้ายว่าเขารักเจ้าตัวหรือเปล่า และหน้าด้านย้ายมาอยู่บ้านหลังที่ปลูกสร้างเพื่อเป็นเรือนหอของคนทั้งคู่ บ้านที่ควรมีพ่อแม่และลูกๆ อีกสี่คน บ้านที่เป็นครอบครัวอบอุ่น สมบูรณ์แบบ 
“พี่อิงบอกว่าเขาทำร้ายหนึ่งและต้องรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำ”
รับผิดชอบงั้นหรือ?
โธ่โว้ย! เขาไม่เห็นอยากให้รับผิดชอบเลยสักนิด อยากรับผิดชอบนักทำไมไม่รับผิดชอบว่าที่เจ้าสาวของตัวเองล่ะ ฟันแล้วทิ้ง เบื่อแล้วจากอย่างนั้นหรือไง 
“...เขารักหนึ่งและอยากให้หนึ่งรักเขา”
ฝันไปเถอะ! เขาไม่มีวันแสดงออกมาหรอกว่ารักอชิตะ ต่อให้เขารู้สึกกับอชิตะมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เขาตกหลุมรักอชิตะจนโง่หัวไม่ขึ้น เขาก็ไม่มีวันบอกว่าเขารักอชิตะเด็ดขาด
มันไม่ควร! ไม่ควรที่เขาจะรักอชิตะ ต่อให้เขาห้ามหัวใจแสนอ่อนแอของตัวเองไม่ได้ก็ตาม แต่เชื่อเถอะ คนอย่างคณิตห้ามปากของตัวเองได้อยู่แล้ว
“ผมไม่มีวันรักคุณอิงครับ” น้ำเสียงจริงจังเพื่อฝังกลบความรู้สึกที่น่าอับอายและขายหน้า แต่ประโยคต่อมานี่สิ เสียงกับแผ่วลง เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปอย่างที่พูดปลอบหญิงสาวที่กำลังขับพาเขาไปยังจุดหมายที่เขาต้องการหรือเปล่า “ส่วนคุณอิง...เอ่อ...ผมคิดว่าอีกไม่นานก็คงหายบ้าแล้วละครับ” เขาคิดว่าตอนนี้อชิตะกำลังบ้าถึงขีดสุด เหมือนคนที่ได้ลิ้มชิมรสชาติแปลกใหม่ ต่างไปจากเดิม ถึงได้หลงมัวเมา แต่ไม่นานหรอกเขาเชื่อว่าอชิตะจะกลับมาเป็นผู้ชายเต็มตัว เพราะจากที่เคยกินเที่ยวกับอชิตะมา เขาไม่เคยเห็นอชิตะมีรสนิยมชื่นชอบร่างกายผู้ชายเลย เคยมีผู้ชายหน้าหวานหน้าหล่อเยอะพอสมควรที่เดินมาแสดงท่าทีว่าสนใจอชิตะ แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธกลับไปอย่างนุ่มนวลเสียทุกครั้ง ไม่เคยเห็นตอบรับความสัมพันธ์และเอาเป็นเมียสักคน
...เพิ่งเห็นก็ตอนจับเอาเขาเป็นเมียนี่แหละ
คิดแล้วคณิตก็อายตัวเองชะมัด ตกเป็นเมียผู้ชายไปแล้วสินะเขา เขาเองก็ไม่เคยพิศวาสร่างกายของผู้ชายคนไหนเหมือนกัน ถ้าอชิตะมีผู้ชายเข้ามาแสดงท่าทีว่าชอบพออยากสานสัมพันธ์ยามค่ำคืนด้วยกัน เขาก็ไม่ต่างกันหรอก ไปเที่ยวกลางคืนก็เจอเหมือนกัน ผิดแต่ว่าผู้ชายที่เข้ามาหาเขารูปร่างสูงใหญ่กันทั้งนั้น เห็นแล้วเขานี่ต้องรีบเอาตัวไปหลบข้างหลังภาคีหรือไม่ก็อชิตะแทบไม่ทัน ก็เขาไม่ได้ชอบผู้ชายไง มีผู้ชายตัวใหญ่มาแสดงความสนใจใครจะปลื้มเล่า แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น โดนคนใกล้ตัวจับทำเมียจนได้ 
“แล้วอีกเมื่อไหร่ล่ะหนึ่ง กว่าพี่อิงจะหายบ้า” ณัชชาหันมาถามขณะที่รถจอดติดไฟแดง “เมื่อไหร่ล่ะหนึ่ง เมื่อไหร่....หนึ่งตอบหวานได้ไหม” หัวใจหญิงสาวร้าวระบม
คณิตก็ยากจะให้คำตอบได้ เขาไม่กล้ามองสบแววตาที่คาดคั้นเอาคำตอบ น้ำเสียงแสนเจ็บปวดรวดร้าว เขาอยากปลอบ อยากให้คำตอบที่แน่นอนแก่คนถาม แต่คนอย่างเขาจะตอบอะไรได้ ในเมื่อคนที่ต้องตอบไม่ใช่เขา อชิตะต่างหากควรเป็นคนตอบคำถามข้อนี้ของณัชชา
จนสัญญาณเปลี่ยนสี หญิงสาวถึงได้เลื่อนสายตาจากใบหน้าของเขา และนั่นแหละคณิตถึงได้สูดหายใจเข้าลึก บอกออกไปว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อชิตะจะหาบ้า
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาเองจะสลัดความรู้สึกบ้าบอออกไปจากหัวใจตัวเองได้ ความรู้สึกที่มันไม่สมควรเกิดขึ้น เขาไม่ควรรู้สึกอะไรกับอชิตะเลย ไม่ควรแม้แต่น้อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เขาถึงได้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบ...เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ทันแล้ว ก็ได้แต่ใช้ปากแข็งๆ ของตัวเองกลบเกลื่อนความรู้สึกในหัวใจไปวันๆ ก็เท่านั้น
“แล้วพี่อิงจะรู้ไหม” ณัชชาเอ่ยออกมาเบาๆ “จะมีใครให้คำตอบหวานได้บ้าง”     
จากนั้นทั่วห้องโดยสารก็เงียบกริบ มีเพียงเสียงของความเศร้าเสียใจจากความสูญเสียที่ดังมาจากหญิงสาวตัวเล็ก ขณะที่คณิตก็ได้ยินเสียงความสับสนและวุ่นวายใจของตัวเองดังกระหน่ำไม่แพ้กัน จนกระทั่งโทรศัพท์ณัชชาร้องดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่รถวิ่งมาจอดหน้าคอนโดมิเนียมของคณิต
“พี่อิงโทรมา” ณัชชาหันมาบอก หลังจากหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า หญิงสาวยังไม่กดรับ “หวานจะบอกพี่อิงยังไงดี” อชิตะต้องโทรมาเพราะเรื่องที่เธอพาคณิตออกมาจากบ้าน...บ้านซึ่งจะเป็นเรือนหอของเธอกับเขา
“บอกความจริงไปครับว่าผมขอร้องให้คุณหวานมาส่งที่คอนโดฯ” หึ...ตามตัวเขาไม่เจอหรอก อย่าหวังว่าคณิตจะอยู่รอให้ลากตัวกลับ
“หนึ่งอยากให้พี่อิงตามมาหาเหรอ” ถามพร้อมกับน้ำตาที่คลอเต็มหน่วยตา คณิตต้องรีบอธิบาย ลิ้นแทบพันกันด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
“เปล่าครับคุณหวาน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้อยากให้คุณอิงตามมาเจอ ผมแค่ไม่อยากให้คุณหวานพูดโกหก และต่อให้คุณอิงตามมาที่นี่ก็คงไม่เจอผมหรอกครับ เพราะผมมีที่ไปที่อื่นแล้ว งั้นผมไปแล้วนะครับ” ว่าแล้วก็รีบลงจากรถ พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบเสียงลงไปไม่กี่วินาที
ตอนแรกที่ขอให้ณัชชาพาออกมา คณิตยังไม่รู้ว่าตนจะไปไหน เลยขอให้ณัชชาขับพามาส่งที่คอนโดฯ ของตน แต่ระหว่างทางก็นั่งคิดมาด้วยว่าจะหนีไปซ่อนตัวที่ไหนดี สถานที่ที่อชิตะจะตามเขาไม่เจอ แล้วจึงคิดออกว่าจะไปที่แห่งใด เผื่อว่าการหายไปซ่อนตัวของเขาจะทำให้อชิตะหายบ้าเร็วขึ้น
โชคดีที่กุญแจรถไม่ถูกริบไปพร้อมกับมือถือ
*      *      *
อากาศช่วงสายใกล้เที่ยงยังคงให้ความรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน ร่างขาวยืนบิดกายอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านพักขนาดเล็กที่มองออกไปเห็นสวนสวย บรรยากาศร่มรื่นเพราะหมู่มวลดอกไม้และต้นไม้น้อยใหญ่ และไกลออกไปสุดสายตาคือแนวเขาทอดยาวห่มด้วยม่านเมฆเนื้อเบา คณิตขับรถมาถึงรีสอร์ตเล็กๆ แห่งนี้ตอนเกือบห้าทุ่ม และด้วยเป็นวันธรรมดาจึงมีห้องพักเหลือสำหรับเขาแม้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก็ตาม
บิดกายพร้อมกับดื่มด่ำกับธรรมชาติจนอิ่มปอดแล้ว คณิตจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านพัก เดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่ขนาดใหญ่กว่าถึงสองไซส์ พร้อมที่จะออกไปหาใครบางคน ที่แม้ครั้งหนึ่งเคยรัก แต่ก็เป็นช่วงเวลาไม่นานนัก ความห่างไกลไม่ถึงเดือนกลับทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ลง เขากับญาดาจากกันด้วยดี และยังคงความเป็นเพื่อนเอาไว้
เพียงแค่เปิดประตูออกมาก็เจอญาดาที่เดินยิ้มต้อนรับเขามาแต่ไกล
ญาดา...หญิงสาวที่ลาออกจากงานเลขาฯ มาช่วยกิจการรีสอร์ตของครอบครัว หลังจากให้พี่ชายรับหน้าที่อยู่คนเดียวเสียหลายปี รีสอร์ตแห่งนี้เป็นของบิดาและมารดาญาดา
“หลับสบายไหมหนึ่ง” เธอถามเมื่อหยุดตรงหน้าชายหนุ่มที่มีความสูงกว่าเธอไม่มากนัก ไม่น่าจะเกินห้าเซ็นติเมตร แต่ความขาวแล้วละก็ เรียกว่าสำลีกับก้อนถ่านได้เลยทีเดียว
“ยิ่งกว่าสบายอีกครับด้า” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ญาดายังสวยเหมือนเดิม แถมยังดูมีน้ำมีนวลกว่าตอนทำงานเป็นเลขาฯ ของสีฟ้าอีก แล้วคณิตก็นึกไปถึงความคิดที่อยู่ในหัวตั้งแต่เริ่มต้นขับรถมาที่นี่
บางทีอาจจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันจะเข้าข่ายย้อมแมวขายไหม ก็ในเมื่อเนื้อตัวเขาไม่ได้สะอาดเอี่ยมพอที่จะผันตัวเองเป็นสามีใครได้แล้ว หรือถ้าได้ ...แล้วอดีตที่ตกเป็นเมียของผู้ชายคนหนึ่งมาแล้ว มันจะตอกย้ำให้อับอายตัวเองอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า
โธ่โว้ย! มันเป็นความผิดของอชิตะแท้ๆ 
“หนึ่งเป็นอะไรหรือเปล่า ปวดหัวเหรอ?” คำถามแสดงความเป็นห่วง ช่วยให้คณิตหลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน ญาดาเห็นอดีตคนรักหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน
คณิตส่ายหน้าชวนคุยไปเรื่องอื่น เรื่องที่เห็นอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเขานัก ตรงนั้นคณิตเห็นคนงานกำลังช่วยขนโต๊ะขนเก้าอี้มาวาง มีซุ้มโค้งโครงเหล็กสีขาว เดาได้ว่าอีกไม่นานคงประดับด้วยดอกไม้ดอกสวย ดูคล้ายกำลังจัดพื้นที่สำหรับงานเลี้ยงแต่งงาน
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงเหรอ”
คนถูกถามยิ้มหน้าตาแช่มชื่น ก่อนตอบคำถามด้วยสุ้มเสียงที่ชื่นบานว่า
“งานแต่งด้าเอง”
คนฟังถึงกับเบิกตาเรียวเล็กของตัวเองอย่างตกตะลึง เหลือบมองตามมือของอดีตคนรักไปยังหน้าท้องที่ยังแบนราบ ญาดาบอกด้วยสุ้มเสียงน่ารักน่าฟังแบบคนที่ไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นกับอดีตแฟนหนุ่ม
“คือด้าท้อง เลยต้องรีบแต่ง กลัวช้ากว่านี้จะใส่ชุดเจ้าสาวไม่สวย อายแขกด้วยแหละ” ประโยคหลังกระซิบเบา ราวกับกลัวใครได้ยิน ใครจะรู้เล่าว่าตัวเองจะได้ลงเอยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่เคยแอบปลื้ม
“กะ...กี่เดือนแล้วด้า” ละล่ำละลักถาม ความคิดจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอดีตคนรักผิวสีน้ำผึ้งแตกกระเจิงเหมือนฝูงไก่ถูกสุนัขกวาดไล่
“สองเดือน” อืม...เขากับญาดาเลิกกันได้ประมาณสี่เดือน โธ่...ญาดาของเขา ช่างไวไฟจริงๆ แต่ตอนคบกับเขา มากสุดได้แค่หอมแก้มเองนะ!
“ยินดีด้วยนะด้า” คณิตพูดออกมาจากใจจริง ถึงจะแอบผิดหวังเล็กน้อยที่หญิงสาวไม่โสดเสียแล้ว ความหวังดับวูบเลยทีเดียว “แต่ด้าก็ไม่คิดจะบอกกันเลยใช่ไหม ถ้าผมไม่มาหาด้าที่นี่ก็คงไม่รู้” แอบตัดพ้อเบาๆ พลางทิ้งตัวลงนั่งใต้ซุ้มไม้ดอกเล็บมือนางบริเวณหน้าบ้านพัก
“มันฉุกละหุกมากเลยละหนึ่ง ด้าก็เพิ่งรู้ตัวว่าท้องปลายเดือนที่แล้วเองนะ” เจ้าตัวโอดครวญนิดๆ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของเสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลัง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าสีน้ำผึ้งทันที “แฟนด้ามาตามแล้ว เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักนะ คนนี้ด้าแอบปลื้มมานานแล้ว สมหวังก็คราวนี้แหละ”
อ้าวญาดา พูดซะไม่คิดถึงอดีตช่วงสองสามเดือนของเราเลยนะ 
‘แฟนด้า’ ที่คณิตเห็นคือผู้ชายตัวสูง ผิวเข้มจัด หนวดเครารุงรัง ไม่มีออร่าของความเป็นเจ้าบ่าวเลย แต่ก็ดูสมชายชาตรีในแบบที่ชายหนุ่มผิวขาวจัดและตัวเล็กแบบเขาต้องขอยกธงยอมแพ้
“ธีจ๋า นี่หนึ่งจ้ะ แฟนเก่าด้าที่เคยเล่าให้ฟังไง”
‘แฟนเก่าด้า’ ถึงกับสะดุ้งเฮือก ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนไงว่าจะถูกแนะนำในฐานะอดีตแฟนเก่า ญาดาก็ช่างเป็นคนที่พร้อมจะบอกความจริงทุกอย่างเสียจริง โชคดีเป็นของคณิตจริงๆ ที่แฟนของญาดาหรือว่าที่เจ้าบ่าวจะไม่ออกอาการหึงหวงหรือเขม่นเหม็นหน้าเขาในฐานะอดีตคนรัก ซ้ำร้ายยังรู้สึกว่าเจ้าตัวมองเขาด้วยสายตาที่ประดับด้วยรอยขำแรงมาก
“หนึ่ง นี่ธีนะ ว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่คุณพ่อ” ญาดายังนำเสนอทั้งสามีและลูกอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าเบิกบานแช่มชื่นสมกับเป็นว่าที่เจ้าสาวที่พ่วงตำแหน่งว่าที่คุณแม่พร้อมๆ กัน
“สวัสดีครับคุณหนึ่ง พรุ่งนี้อยู่ร่วมงานแต่งของพวกเราด้วยนะครับ” ว่าที่เจ้าบ่าวเอ่ยชวน ใบหน้ายิ้มแย้มช่วยให้ใบหน้าคมเข้มน่ามองขึ้นอีกนิด และสมกับเป็นว่าที่เจ้าบ่าวหน่อย
“ครับ” แสดงว่าเดี๋ยวเขาต้องออกไปซื้อชุดหล่อๆ ใส่มาร่วมงานแต่งของญาดาแล้วสิเนี่ย เพราะมาที่นี่แบบตัวเปล่าจริงๆ ชุดที่ใส่ตอนนี้ก็เป็นชุดของพี่ชายญาดา ที่หญิงสาวหยิบมาให้เขายืมใส่ 
*      *      *
ไอ้ติน!
คุณลม!
และ...คนที่คณิตเพิ่งหนีพ้นมาได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง!
รู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นี่!
คณิตแทบอยากจะวิ่งหนีขึ้นรถไปเสียให้พ้นจากบุคคลทั้งสามชีวิตที่นั่งอยู่บนระเบียงหน้าบ้านพักของเขา แต่รถที่จอดอยู่ไกลเกินจะวิ่งไปถึงด้วยขาสั้นๆ ของตัวเอง คาดว่าเพียงเขาออกสตาร์ต คนช่วงขายาวคงกระโจนใส่เขาด้วยความเร็วดุจราชสีห์
เมื่อหนีไม่ได้ คณิตก็เลือกเดินหน้าเข้าสู้ เดินหิ้วถุงเสื้อผ้าที่เพิ่งออกไปซื้อกลับมาด้วยใบหน้าหงิกงอไม่สบอารมณ์ 
“มึงมาทำไมวะไอ้ติน” คณิตเจาะจงถามเพื่อน  พยายามไม่สนใจผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนกอดอกพิงเสาเรือนด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่คนตอบกลับเป็นสีฟ้า เพราะเพื่อนเขาทำหน้าเหมือนจะงับหัวเขาอยู่รอมร่อ ทั้งที่มันควรจะห่วงใยสุขภาพร่างกายและความปลอดภัยในเนื้อหนังมังสาของเขามากกว่า
ให้ตายเถอะ! มันนั่นแหละตัวการเอาอดีตหัวหน้ามายัดใส่ชีวิตเขาอีกครั้ง
“พวกเรามางานแต่งของด้าน่ะหนึ่ง” เมื่อเช้าสีฟ้าได้รับโทรศัพท์จากอดีตเลขาฯ สาว ญาดาเอ่ยชวนเขาให้มางานแต่งของตน ซ้ำยังบอกอีกว่าคณิตอยู่ที่รีสอร์ตของเธอด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอชิตะถึงมาพร้อมกับพวกเขาด้วย
เมื่อคืนอชิตะมาหาภาคีที่บ้าน เพื่อขอให้ช่วยตามหาคณิตด้วยท่าทางร้อนใจและโมโหหนักมาก เนื่องจากตามหาตัวที่คอนโดมิเนียมก็ไม่พบ แล้วเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าจะตามตัวคณิตได้ที่ไหน  ครั้นพอรู้ว่าคณิตอยู่ที่ไหน สีฟ้าจึงให้ภาคีเป็นคนตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องคณิตให้อชิตะรู้หรือไม่ ภาคีตัดสินใจบอกเพราะไม่อยากให้เพื่อนหนีปัญหา
แล้วอีกเหตุผลหนึ่ง ภาคีเห็นแววตาของอชิตะที่แสดงออกมาว่าต้องการเพื่อนของตนมากขนาดไหน คงไม่ต่างจากความรู้สึกของภาคียามที่คนรักอย่างสีฟ้าพยายามที่จะหนีจากอ้อมกอดของเขาไปหาคนอื่น
“มึงก็อย่าเล่นตัวมากนักสิวะหนึ่ง” หรี่ตามองเพื่อนรักด้วยสายตาตำหนิ “...กระแดะชะมัด” นานครั้งที่ภาคีจะด่าเพื่อนรุนแรงเช่นนี้ เพราะมีแต่คณิตนั่นแหละที่ชอบด่าภาคี
“ห่า...อย่ามาด่ากู”
โหย...ไอ้เพื่อนของเขามันแบ่งฝ่ายชัดเจนแล้วใช่ไหม มันไม่เข้าข้างเขาเลย มันสนับสนุนให้อดีตบอสของมันปู้ยี่ปู้ยำเขาหรือไง...
คณิตได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ จะสะบัดหน้าหนีสายตาเอือมระอาของเพื่อนรักก็จะดูกระแดะตามคำที่มันสาดใส่เขา และเขายังไม่อยากถูกมองว่านิสัยเหมือนคนรักของมันด้วย
บางครั้งเขาก็มีแอบเซ็งสีฟ้าเบาๆ แอบด่าในใจนิดๆ ว่า ‘กระแดะ’ ก็ช่วงที่ทำตัวงอนภาคีนั่นแหละ แล้วหนีไปนู่นไปนี่ให้เพื่อนเขาวุ่นวายใจและต้องคอยตามง้องอนเอาใจตลอดเวลา
แต่สำหรับเขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้กระแดะโว้ย!!
คือเขาอยากหนี อยากหนีจริงๆ ไม่ได้หนีเพื่อหวังให้คนที่ยืนปักหลักจ้องเขาด้วยสายตาดุดันมาตามง้องอนเลยสักนิด สักนิดเดียวก็ไม่เลย
“ไปเถอะครับลม ตินอยากพักสักงีบสองงีบแล้ว”
โหย...เสียงหวานเชียว ที่พูดกับเพื่อนอย่างเขาละเสียงกระชาก แล้วที่มันบอกว่าอยากพัก ‘งีบสองงีบ’ น่าจะหมายความว่า ‘สักยกสองยก’ มากกว่ามั้ง ดูมือมันที่เกี่ยวเอวคนรักก็รู้
แล้วที่เหลืออยู่ตรงนี้เล่า คณิตแทบไม่ต้องคิดเลยว่าอชิตะจะพักบ้านหลังใด...ก็คงเป็นหลังเดียวกับเขาแน่ๆ คิดเช่นนี้แล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเบื่อหน่ายมากแค่ไหน ที่เห็นหน้าเจ้าตัว แต่คนหน้าหนาอย่างอชิตะจะสนใจอะไร นอกเสียจากสั่งแบบคนมีอำนาจเหนือเขาทุกประการ อารมณ์ประมาณสั่งเป็นสั่งตายได้ทีเดียว
แล้วเขาก็ดันเชื่อฟังซะได้!
“เปิดประตูสิหนึ่ง ผมก็อยากพักสักงีบสองงีบเหมือนกัน”
สักงีบสองงีบ!
แต่ที่คณิตเห็นเมื่อปิดประตูลงกลอนแน่นหนาตามคำสั่งของบุคคลที่ทำตัวเหมือนเจ้าของชีวิตเขา ดวงตาคมกล้าดุดัน ยืนกอดอกอยู่กลางห้องและมองตรงนิ่งมาที่เขา ให้ความรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนไปจนแต้มที่หน้าผาสูง เบื้องล่างคือหุบเหวลึกน่ากลัว กลัวจนรู้สึกว่าตัวสั่น เป็นการสั่นจากภายในสู่ภายนอก ไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งกระแดะแต่อย่างใดเลย
เขาไม่เคยเกรงกลัวอชิตะแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่ทำงานกับอชิตะ คณิตคิดเสมอว่าชายหนุ่มตัวใหญ่เป็นเจ้านายที่สามารถลามปามได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่ออก เพราะความสนิทสนมที่นายจ้างมีให้ ประหนึ่งเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
แต่ตอนนี้เล่า พี่น้องท้องติดกันไปแล้ว
“มาทำไมที่นี่” เสียงเข้มเอ่ยถามหลังจากก่อสงครามทางสายตามาพักใหญ่ๆ ขณะที่ระยะห่างระหว่างกันลดลง เมื่ออชิตะก้าวเท้าเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่า แผ่นหลังของคณิตแนบสนิทกับประตูห้องพัก ตัวเล็กยิ่งเล็กลีบลงไปอีก
คณิตเหมือนตัวเท่ามด ยามเมื่ออชิตะยืนตรงหน้า มองด้วยสายตาที่พร้อมจะลงโทษเด็กดื้อให้หายพยศ
“ผมมาเที่ยว” ตอบไม่เต็มเสียง ก็เพราะมันไม่ใช่ความจริง คนถามก็คงรู้เช่นกันว่าไม่ใช่ความจริง ถึงได้ยิ้มแสยะกับคำตอบที่ได้รับ
“มาเที่ยวงั้นหรือ?” มีเสียงหึๆ ในลำคอ นัยน์ตาคมกล้าไม่ละจากใบหน้าที่ก้มต่ำหนีสายตาของตน “ตั้งใจจะมาหาคนรักเก่ามากกว่ามั้ง อยากรื้อฟื้นว่างั้น” มีแววเยาะเย้ยเต็มที่
คณิตถึงกับสะดุ้งที่ถูกล่วงรู้ความคิด 
“รู้แล้วจะถามทำไม” ตาเรียวเล็กตวัดขึ้นมามองอย่างเจ็บใจที่ถูกรู้ทันความคิด ขัดใจประโยคต่อมาของคนที่กำลังจะใช้ร่างกายที่สูงใหญ่และกำยำกว่าข่มให้เขาจมลงไปเป็นเนื้อเดียวกับประตูห้องเนื้อแข็งทื่อนี้
“งั้นก็มาเสียเที่ยวสินะหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้ญาดาก็จะแต่งงานแล้ว ได้ข่าวว่าท้องด้วยไม่ใช่หรือ” สุ้มเสียงห้าวเข้มเปลี่ยนเป็นรื่นเริง อชิตะยกมือทั้งสองเข้าขึ้นเท้าประตูห้องพักขนาดเล็ก เป็นท่วงท่าที่กักขังเจ้าของใบหน้าขาวให้ตกอยู่ในวงแขนของตนอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“มันเรื่องของผม” คณิตตอกกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสุดๆ “แล้วก็เอามือออกไปได้แล้ว ผมจะงีบ!” ขอให้ได้งีบด้วยเถอะ สาธุ
เหมือนจะไม่สมหวัง
“จะรีบงีบไปไหน คุยกันก่อนซี่” สุ้มเสียงเปี่ยมความหมาย ไม่ต่างจากดวงตาเปิดเผยสิ่งที่เร้นอยู่ภายในกายแข็งแกร่ง ทำเอาคนที่ถูกกักขังต้องหันหน้าเห่อร้อนหนีอย่างไว แต่ก็ยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างปลงๆ ว่าไม่รอดมืออชิตะได้แน่ “เมื่อคืนเราก็ไม่คุยกันนะ ขอคุยให้ผมหายคิดถึงหน่อยนะหนึ่ง แล้วคุณจะได้รู้ด้วยว่า ไม่ควรทำให้ผมคิดถึงบ่อยๆ เพราะคุณจะต้องคุยกับผมนานเกินความจำเป็น”
คุยกันด้วยสารพัดท่าและเสียงครางสิ้นอายของเขาน่ะสิ คือการคุยแบบที่อชิตะต้องการจากเขา
แล้วจมูกโด่งก็ซุกไซ้ให้เสียวซ่านอยู่ในอก
ปากหนาที่บดจูบรุนแรงแสดงความคิดถึงอย่างล้นทะลัก
และคณิตก็ถูกชักจูงจนลืมเลือนตัวตนของตัวเองอีกครั้งจนได้ พอโดนกอด โดนจูบ ทำให้เสียวสะท้านจนต้องร้องครางอย่างสิ้นอายออกมา คณิตก็ลืมความจริงทุกอย่างไปจนสิ้น
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เมื่อไหร่มันจะจบสิ้นล่ะ คณิตถามตัวเอง หากก็ไม่รู้จะไปเอาคำตอบจากใครที่ไหนได้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ให้คำตอบนี้ไม่ได้
*** จบตอนที่ 13***
ติดตามตอนที่ 14 วันที่ 8 นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด