พิมพ์หน้านี้ - รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: i_ang ที่ 12-04-2017 20:58:57

หัวข้อ: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 12-04-2017 20:58:57
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**********************************************

รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง)

แนะนำก่อนนะคะว่าเรื่องนี้ เมื่อครั้งกะโน้นนนน เมื่อปีพ.ศ. 2555
ได้นำมาลงแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้น แต่งไปด้วย ลงไปด้วย
และก็ทำเป็นหนังสือแล้วนะคะ
สนใจอยากเก็บ "อิงหนึ่ง" ติดต่อสอบถามได้ที่เพจนิยายนะคะ
เพราะตอนนี้มีหนังสืออยู่ในสต๊อกค่ะ พร้อมขายเต็มที่!
ตามลิ้งค่ะ https://www.facebook.com/byaeaw/
หรือตามลายเซนด้านล่างนะคะ

เรื่องรัก...ได้ไหม เป็นหนึ่งในซีรีส์ "รัก..." ของคนเขียน
ซึ่งเขียนจบไปแล้วสองเรื่องคือ "รัก...เธอ" กับ "รัก...เชิญครับ"
ใครยังไม่เคยอ่านก็ย้อนกลับไปอ่านได้ที่ลิ้งนี้ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=22615.0
(มีทั้งสองเรื่องในกระทู้เดียวกัน จบ "รัก...เธอ" ก็ต่อ "รัก...เชิญครับ" เลย)
เพราะเป็นตัวละครที่ต่อเนื่องกัน แต่แยกกันอ่านได้นะคะ แต่ว่าอ่านด้วยกันก็จะดี เพราะเนื้อเรื่องคาบเกี่ยวกันน้อยบ้างมากบ้าง

และทั้ง 3 เรื่องนี้ วางขายใน MEB แล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 1 UP 12-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 12-04-2017 21:01:32
1
“หนึ่ง...” 
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เรียกชื่อเจ้าของร่างเล็กที่เขากำลังหิ้วปีกลงจากรถ พลางหันไปส่งสัญญาณปฏิเสธความช่วยเหลือจากสาวใช้ที่วิ่งออกมาจากตัวบ้านในสภาพงัวเงีย ด้วยเวลานี้ดึกมากจนข้ามไปวันใหม่แล้ว พร้อมกับส่งกุญแจรถให้คนใช้หนุ่มอีกคนเอารถไปเก็บ
“หนึ่ง” เรียกคนตัวเล็กอีกครั้งและเขย่าตัวด้วย
“หื้ออออ...” คนเมาที่ไม่มีแรงเดิน ส่งเสียงครางอือตอบรับ ตาเล็กยิ่งเล็กลงกว่าเดิมเพราะความเมาและความง่วงเข้าครอบงำ
“ไหวไหม” อชิตะถาม กระชับเอวคนเมาแน่นขึ้น เพราะฝ่ายคนเมาทำท่าจะทรุดลงไปกองกับพื้นทางเดิน น้ำหนักตัวทั้งหมดของคนเมาถูกทิ้งมาให้เจ้านายหนุ่มร่างสูงใหญ่รับเอาไว้ทั้งหมด
“หวายยย...คร้าบบบ...บอสสสส...” ปากเล็กฉีกยิ้มตอบรับ คณิตพยายามปรือตามองใบหน้าคมเข้มของเจ้านายหนุ่มที่ก้มใบหน้ามาถาม 
เห็นใกล้แบบนี้แล้ว เจ้านายของเขาหล่อจริงสุดยอด หล่อกว่าไอ้เพื่อนสนิทของเขาเสียอีก คิดถึงเพื่อนสนิท คณิตก็นึกเซ็ง ตั้งแต่คืนดีกับคนรักรอบที่สอง มันหายหน้าหายตาไปจากวงเหล้านับแต่นั้นมาเลย แล้วมันยังทิ้งเขาหนีไปเปิดบริษัทของตัวเองอีก จะโทษภาคีก็ไม่ได้ เพราะเป็นอนาคตของมันและครอบครัว ส่วนเขายังเป็นลูกน้องของอชิตะไปอีกนานหลายสิบปีแน่ คิดไว้งั้นนะ หรือไม่ก็จนกว่าเจ้านายจะไล่ออก แต่ท่าจะยาก เขาน่ะซี้กับเจ้านายสุดหล่อขนาดไหนใครก็รู้ เรียกว่าลูกน้องคู่กายคู่ใจเชียวล่ะ ไม่มีวันที่อชิตะจะไล่เขาออก
นอกจากเป็นลูกน้องแล้ว เขาคิดว่าเขายังเป็นน้องชายของเจ้านายสุดหล่อด้วยนะ ทุกวันนี้ก็แทบจะกินนอนอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว ห้องทางปีกซ้ายของเรือนหอหลังงามที่เขามีส่วนช่วยออกไอเดีย ก็กลายเป็นห้องนอนประจำของเขาไปแล้ว
ข้าวฟรี เหล้าฟรี ที่นอนก็ฟรี นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าที่เมียของอชิตะนะ เขาจะขายคอนโดที่อยู่มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แล้วมาอยู่ที่นี่ซะเลย บอกตามตรงว่าเขาชอบบ้านหลังนี้มาก ไม่รู้ทำไม หรืออาจเป็นเพราะเขาใส่ไอเดียความชอบส่วนตัวของเขาไปกับมันพอสมควร
อาทิ...สระว่ายน้ำที่เจ้าของเรือนหอหลังงามไม่อยากได้ เพราะอยากเอาไว้ปลูกต้นไม้ให้เป็นสวนล้อมตัวบ้านมากกว่า แต่เมื่อเขาบอกว่าบ้านควรมีสระว่ายน้ำ อชิตะก็คล้อยตาม ก่อนจะอนุมัติให้แบ่งพื้นที่ของต้นไม้สีเขียวไว้ให้กับสระว่ายน้ำสีฟ้าใส น่าแหวกว่ายในวันพักผ่อน
ก่อนเดินเข้าบ้าน ต้องเจอสระว่ายน้ำก่อน และเมื่อเห็น วิญาณนักกีฬาว่ายน้ำประจำจังหวัดเมื่อครั้งยังใส่กางเกงขาสั้นก็เข้าสิ่งร่างคณิตทันที
“หนึ่ง...จะไปไหน” อชิตะร้องถามคนเมาที่จู่ๆ ก็ปัดมือเขาออกจากตัว แล้วเดินเป๋ไปเป๋มาไปทางสระว่ายน้ำ เจ้าตัวถอดร้องเท้าและตามถุงเท้าอย่างทุลักทุเลจนสำเร็จ
“อาบน้ำ”  คนเมาหันกลับตอบ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงน้ำแตกกระจาย เมื่อคณิตกระโดดลงสระน้ำทั้งชุดทำงาน  คนที่เดินตามหลังมาได้แต่ส่ายหน้า พลางย่อตัวลงนั่งบนพื้นข้างสระ นั่งดูคนเมาตีน้ำไปมาท่าทางมีความสุขในเวลาตีหนึ่งเกือบตีสองเช่นนี้
“ขึ้นมาเถอะหนึ่ง ดึกแล้ว เดี๋ยวเป็นหวัดเอา” อชิตะตะโกนบอกลูกน้องคนสนิท ที่เวลาเมามายมักซ่าเกินเหตุ เมื่อก่อนมีภาคีคอยกำราบปราบคนเมาให้ มาตอนนี้ไม่มีแล้วเพราะอดีตลูกน้องคงอยากใช้ค่ำคืนกับคนรักของตนมากกว่าจะเที่ยวดื่มกินกับพวกเหมือนแต่ก่อน ส่วนเขาก็ทำอะไรไม่ค่อยจะได้ เพราะเวลาปกติคณิตก็ไม่คิดจะฟังเขาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนเมา คณิตเป็นลูกน้องที่ไม่เหมือนลูกน้อง เหมือนน้องชายที่เอาแต่ใจตัวเองของเขามากกว่า น้องชายที่เขาไม่มีเนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของบิดาและมารดา
“บอสคร้าบบบ...ผมขึ้นไม่หวายยย...ช่วยหน่อยยย...” คณิตตะโกนบอกเสียงยาน จากนั้นหนุ่มหน้าตี๋ผู้มีใบหน้าขาว เล็กเรียวยาวลอยคอมาเกาะขอบสระใกล้ๆ ตรงเจ้านายหนุ่มนั่ง เขายื่นมือที่เริ่มซีดเป็นสัญญาณบอกให้คนข้างบนช่วงดึงตัวขึ้นจากสระ
“จริงๆ เลยนะ” อชิตะส่ายหน้า ปลงกับลูกน้องตัวดี ก่อนขยับตัวให้สะดวกที่จะดึงตัวคนในสระขึ้นมาข้างบน
“ช่วยหน่อยๆ หนาววววว บรื้อออ...” คำพูดและท่าทางหนาวสั่นหลอกล่อให้อชิตะหลงกลยื่นมือไปตรงหน้าคนเมา เพื่อดึงอีกฝ่ายขึ้นจากสระ หนีจากสายน้ำเย็นที่ทำให้ร่างกายเล็กออกอาการสั่น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังถูกลูกน้องตัวดีแกล้ง มารู้ตัวเมื่อเสียท่าไปเสียแล้ว
เพียงแค่มือเล็กเอื้อมขึ้นมาจับ แรงกระตุกเพียงเสี้ยววินาที ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่อชิตะตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ส่งเสียงร้องห้ามเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวินาทีนั้น
“อย่าหนึ่ง!!”
ทว่าไม่ทันแล้ว
ตุ้ม~~!!
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทันทีที่ร่างใหญ่โตของนายจ้างตกลงมาในสระน้ำตามแรงกระตุกลูกน้องหนุ่ม ทั้งที่คณิตไม่ได้ออกแรงอะไรมาก คงเป็นเพราะอชิตะไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้ระวังตัว ไม่คิดว่าจะโดนลูกน้องตัวดีแกล้ง ถึงได้เสียหลักตกลงมาอย่างง่ายดาย
“เล่นเป็นเด็กนะหนึ่ง เห็นไหมว่าผมเปียกไปหมดแล้ว” อชิตะว่าน้ำเสียงเซ็งจัด ทว่าไม่ได้โกรธ มือก็ปาดน้ำออกจากหน้าไปด้วย บอกตามตรงเขาเป็นพวกไม่ถูกกับน้ำ ไม่ชอบสภาพร่างกายเปียกๆ แถมยังต้องมาเปียกทั้งชุดแบบนี้อีกด้วย
“อ้าวว...บอสคร้าบบบ...ตกน้ำก็ต้องเปียกสิคร้าบบบ...เป็นไงคร้าบบบ...สดชื่นไหม...” คณิตยิ้มกว้างล้อ ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเจ้านาย ก็มันน่ากลัวชวนให้สะเทือนซะที่ไหนกัน 
“สดชื่นมาก ขึ้นได้แล้ว” อชิตะเอ่ยบอกแกมสั่ง ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันเสาร์ เขาไม่ต้องไปทำงาน แต่เจ้าลูกน้องตัวดีก็มีนัดคุยงานกับลูกค้า รายนี้เป็นเพื่อนเขาเองแต่ไม่ได้สนิทมากนัก ต้องการสร้างบ้าน Home Office สไตล์ Modern Tropical มันจึงไม่ใช่เวลามาแหวกว่ายในสระตอนตีหนึ่งเกือบตีสองเช่นนี้ เผลอๆ พรุ่งนี้อาจจะไม่สบายด้วยก็ได้   
“ก็ผมอยากว่ายน้ำ” คณิตทำหน้ายุ่ง ค้านคำสั่งของอชิตะ อาการเมาจางลงบ้างแล้วหลังจากที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำนานหลายนาที
“เอาไว้พรุ่งนี้หนึ่ง นี่มันดึกแล้ว เกิดไม่สบายขึ้นมาจะยุ่ง” อชิตะว่า ก่อนจะดึงตัวคนอยากเล่นน้ำขึ้นจากสระ แต่อีกฝ่ายก็สะบัดตัวออก ทำหน้ายุ่งกว่าเก่าเพราะโดนขัดใจ
ยามปกติ คณิตก็ไม่ค่อยจะฟังอชิตะอยู่แล้ว ยิ่งตอนเมาแล้วคงไม่ต้องพูดถึง ตัวดื้อวิ่งพล่านตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปปลายผมสั้นเลยเชียวละ
“ไม่เอา! ผมจะเล่น ไม่ต้องมาห้ามเสียให้ยากบอส!” หนุ่มหน้าตี๋เปลี่ยนเป็นหนุ่มหน้างอแล้วนาทีนี้ ด้วยเพราะความสนิทสนมทำให้คณิตหลงลืมบ่อยมากว่าอชิตะอยู่ในฐานะนายจ้างที่ตนต้องให้ความเคารพและเกรงกลัว ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเองแบบที่ทำในตอนนี้
คณิตเป็นลูกชายคนเล็ก ถูกพ่อแม่ตามใจมาตั้งแต่เล็ก ชายหนุ่มจึงมีนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเองมากหน่อย แล้วที่ผ่านมา อชิตะก็ไม่ได้ทำตัวเป็นเจ้านายที่สร้างความน่าเกรงกลัวให้คณิตสักเท่าไหร่ เจ้าตัวถึงได้ใจและไม่เกรงกลัวอชิตะในฐานะเจ้านายตน
“ตามใจละกัน” อชิตะมองหน้าลูกน้องแล้วส่ายหน้าด้วยความปลง ตอนไม่เมาก็พอพูดรู้เรื่องอยู่หรอก แต่เมาทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที เจ้านายแสนดีอย่างอชิตะชินเสียแล้วกับลูกน้องผู้ยิ่งใหญ่รายนี้
“บอสของผมใจดีจริงๆ ครับ” อารมณ์ของคณิตเปลี่ยนเร็วมาก เมื่อครู่หน้าหงิกงอ แต่ตอนนี้กลับยิ้มแฉ่ง ถูกใจที่คนเป็นนายตามใจ
“เล่นให้สนุกละ” อชิตะบอก ตัดสินใจไม่ห้ามแล้ว อยากเล่นน้ำตอนดึกขนาดนี้ก็เอา ตามสบายของคนเมาละกัน ส่วนตัวเขาควรเอาตัวเองขึ้นจากสระเสียที อากาศตอนดึกถึงไม่เย็นจัดแต่ก็จัดว่าเย็น ยิ่งตัวเปียกอยู่ในสระด้วยแล้ว ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่เย็นอย่างเดียวละ เรียกว่าหนาวจนสั่น 
“ไปไหนครับบอส” ทันทีที่อชิตะหันหลังทำท่าจะปีนบันไดขึ้นจากสระ คณิตก็รีบคว้าแขนใหญ่เอาไว้ราวกับเด็กน้อยที่กลัวโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว
“ผมก็จะเข้าบ้านไง” อชิตะหันมาตอบ จะปีนขึ้นจากสระก็ไม่ได้เพราะคณิตยังจับแขนไว้ไม่ยอมปล่อย
“หูยยยย...บอสครับ ทิ้งกันได้ไง เล่นน้ำกับผมก่อน” คณิตรีบท้วงพลางจับแขนบอสหนุ่มแน่นขึ้น เขาชอบว่ายน้ำ แต่ให้ว่ายน้ำคนเดียวตอนดึกดื่นตีหนึ่งตีสองเช่นนี้แล้ว เขาก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ เกิดว่ายๆ อยู่แล้วมีอะไรมาดึงขาเขา ใครจะช่วยเล่า
มีอชิตะอยู่ด้วย อุ่นใจกว่าเยอะ
“เชิญคุณตามสบายเถอะหนึ่ง ขอผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะได้เอาเสื้อผ้ามาให้คุณด้วย” อชิตะบอก แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ยอม
“ไม่เอาครับบอส อยู่กับผมก่อนนะ บอสก็รู้ว่าผมกลัวผี บอสไม่อยู่ด้วยแล้วผมจะเล่นได้ไงครับ นะๆ บอส อยู่ด้วยกัน นะคร้าบๆๆ” หนุ่มตี๋เอ่ยอ้อนเสียงน่ารักจนน่าดีดกะโหลก   
“อ้าว...แล้วผมไม่กลัวเปียกหรือไง” คราวนี้อชิตะหันกลับมาทั้งตัว มองหน้าลูกน้องคนสนิทเป็นเชิงถาม ถึงเขาจะเปียกแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อยากแช่อยู่ในสระนานกว่านี้
“บอสก็...” คณิตทำหน้ายู่ ขัดใจ “อย่าใจร้ายนักซี่ครับ อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”
“ก็ได้ๆ ผมยังจะไม่ไปไหน แต่ขอขึ้นไปนั่งข้างสระรอคุณแล้วกัน” เห็นลูกน้องทำหน้ายุ่งแล้ว อชิตะก็ไม่อยากขัดใจ แล้วพอดีกับที่คนใช้สาวเดินเอาผ้าเช็ดตัวกับผ้าคลุมอย่างละสองชุดมาวางไว้บนโต๊ะข้างสระน้ำให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างรู้หน้าที่ อย่างน้อยขึ้นจากสระได้ เขาก็จะได้เปลี่ยนเอาเสื้อเปียกๆ ออกจากตัวไปก่อน เนื้อตัวจะได้สบายขึ้น จากนั้นก็คงนั่งเฝ้าคนเมาเล่นน้ำได้สบายๆ เพราะเขาไม่ได้ง่วงมากเท่าไหร่อยู่แล้ว ยิ่งเจอน้ำเย็นกับอากาศยามดึกเข้าให้ อาการง่วงมันก็จางลงเรื่อยๆ
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับบอส ให้ผมอยู่ในสระคนเดียว เกิดมีตัวอะไรมาดึงขาผมล่ะ ผมจะทำยังไง” คนขี้กลัวยังค้าน จะเอาให้ได้อย่างใจ แถมชักแม่น้ำมาโน้มแน้วเจ้าของบ้านอีกว่า “เกิดผมจมน้ำตายหน้าบ้านบอสล่ะ เรือนหอรอรักจะกลายเป็นเรือนหอหนึ่งเฮี้ยนน้า” 
“มันจะมีอะไรล่ะหนึ่ง” อชิตะส่ายหน้าเหนื่อยๆ ดูเรื่องที่ยกมากล่อมเขาเป็นสิริมงคลซะที่ไหน
“มีสิครับบอส”
“ถ้ากลัวก็ขึ้น”
“แต่ผมอยากว่ายน้ำ นะครับบอส ว่ายน้ำด้วยกันก่อน แข่งว่ายน้ำกันก็ได้ ใครแตะขอบสระก่อนชนะ คนแพ้เลี้ยงข้าว” คณิตเสนอทางเลือกที่จะทำให้เจ้านายหนุ่มอยู่ในสระกับตัวเองต่อไปอีกสักระยะ...จนกว่าเขาจะเหนื่อยแล้วอยากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ   
“อย่าเลยหนึ่ง” อชิตะปฏิเสธ เขาไม่ชอบแข่งขัน ถึงจะแข่ง เขาก็ชนะคนเมาอยู่แล้ว เลยไม่รู้จะแข่งไปทำไม และเขาอยากขึ้นจากสระเต็มทนแล้ว
“บอสกลัวแพ้ผมใช่ไหมล่ะ ถึงไม่ยอมแข่ง กล้าๆ หน่อยสิครับบอส” คณิตจงใจพูดยั่วด้วยคำท้าทาย หวังให้อีกฝ่ายตกหลุม ยอมแข่งว่ายน้ำกับเขา แต่อชิตะก็ไม่หลงกลคนเมา
“คงจะจริง ผมกลัวแพ้คุณ เอาเป็นว่าผมยอมแพ้คุณนะหนึ่ง คุณชนะแล้ว ผมขึ้นได้แล้วนะ” ว่าแล้วอชิตะก็หันกลับไปปีนบันไดขึ้นจากสระอีกครั้ง 
“หูยยยย...บอสอ่ะ อยู่กับผมก่อนสิครับ” คณิตว่าพร้อมกับดึงแขนบอสหนุ่มเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว
“ไม่เอาน่าหนึ่ง” ข้อมือข้างหนึ่งของอชิตะถูกดึงไว้ไม่ให้ปีนขึ้นจากสระได้ง่ายๆ ชายหนุ่มใช้มือข้างที่เหลือจับราวบันไดไว้ ฝืนตัวไว้ไม่ให้หลุดไปตามแรงดึงที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นของคนเมา
“แข่งว่ายน้ำกับผมก่อน” คณิตยังไม่ละความพยายาม ยิ่งอชิตะไม่อยากเล่นด้วย คณิตก็ยิ่งอยากเอาชนะ ด้วยการพูดให้อชิตะเปลี่ยนใจ “อย่าใจร้ายนักสิบอส ขอแค่นี้เอง เล่นน้ำเองนะ ไม่ได้ชวนบอสไปปล้นบ้านใครสักหน่อย”
“คุณไม่ใช่เด็กแล้วนะ”  ว่าน้ำเสียงระอานิดๆ ที่พูดเท่าไหร่คนเมาก็ไม่ฟัง สงสัยเขาใจดีกับคณิตมากเกินไป อีกฝ่ายถึงไม่กลัวเขาเลย ผิดกับภาคีที่คณิตดูจะเกรงใจมากกว่าเขาซะอีก สงสัยต่อไปนี้ต้องจริงจังและเข้มงวดกับคณิตให้มากขึ้น ต้องขีดเส้นให้ชัดเจนว่าเขาคือนายจ้าง ส่วนอีกฝ่ายคือลูกน้อง ขืนไม่ทำอะไรให้ชัดเจน มีหวังเขาเหน็ดแบบวันนี้บ่อยแน่   
“รู้ครับว่าไม่ใช่เด็ก แต่บอสก็อย่าขัดใจผมสิครับ แค่ว่ายน้ำแข่งกับผมรอบเดียวเอง นะครับบอส นะครับๆๆๆ” คณิตตีหน้าอ้อน ไม่ยอมหยุดความพยายามที่จะเปลี่ยนใจอชิตะให้ได้
อชิตะถอนหายใจยาว สบสายตาดื้อดึงนั้นแล้วก็ถอนใจอีกเฮือกใหญ่ แล้วจึงเอ่ย
“ก็ได้” สุดท้ายอชิตะก็ต้องยอมคนเมา
“ให้มันได้อย่างนี้สิครับบอส”
พอเจ้านายตกลงยอมเล่นด้วย คนเป็นลูกน้องก็ยิ้มร่าทันที แล้วจัดการแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตทันที ก่อนจะถอดมันออกจากตัว โยนไปกองบนขอบสระ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่มีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายมากพอสมควร จังหวะนั้นเองทำให้คนเมาเสียการทรงตัวไปชั่วขณะ ถลาไปด้านหน้า โชคดีอชิตะคว้าตัวได้เสียก่อนที่ใบหน้าจะมุดลงไปในน้ำ
อชิตะคว้าตัวคนเมาไว้ด้วยอารมณ์ตกใจ กลายเป็นว่ามือของเขาคว้าเข้าที่เอวอีกฝ่าย แล้วรวบดึงเข้ามาปะทะตัวอย่างจัง
“ระวังหน่อยหนึ่ง ผมบอกแล้วว่าให้ขึ้น ดูสิ ยืนจะไม่ไหวแล้วเห็นไหม” อชิตะดุคนในวงแขน ทุกครั้งที่อชิตะพูดหรือว่าอีกฝ่าย เจ้ามักจะชอบเถียง ทว่าคราวนี้ต่างออกไป คนตัวเล็กปิดปากเงียบ ไม่เถียงเอาความ ขณะที่ใบหน้าก้มต่ำ สมองคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนขึ้นมา
ความเงียบเข้าปกคลุมภายใต้ความมืดที่มีแสงจันทร์เต็มดวงให้ความสว่าง คณิตเงียบและอชิตะก็เงียบเช่นกัน ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในใจของผู้เป็นนายจ้าง สายตาของชายหนุ่มถูกตึงไว้ด้วยใบหน้าขาวเนียนติดจะซีดเพราะแช่ในสระเป็นเวลานาน มือที่ควรจะปล่อยอีกร่างหนึ่งให้เป็นอิสระกลับกระชับขึ้น เป็นผลให้คนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตา
แม้จะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าที่เขานึกชมว่าหล่อคมเข้ม เพราะรับรู้ถึงแรงกระชับที่มากขึ้นจากมือใหญ่ แต่คณิตก็ยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกพูดเรื่องไหนก่อน ระหว่างเรื่องที่อยู่ในหัวมาตลอดสองสัปดาห์ หรือเรื่องมือของอชิตะที่ยังไม่ยอมออกไปจากเอวเขา มือนั้นบีบกระชับสร้างความปั่นป่วนใจอยู่ลึกๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่ปกติเอาซะเลย ใจเขาก็ด้วย มันเต้นผิดจังหวะอย่างไรชอบกล
“...บอส” 
“หือ...” อชิตะมองเข้าไปในดวงตาเล็กที่เยิ้มเพราะรสเหล้าที่ตกค้างผสมด้วยความสับสนต่อความรู้สึกนึกคิดของตน มือข้างหนึ่งของอชิตะเลื่อนขึ้นมาวางบนกลุ่มผมเปียกของคนตัวเล็กว่า ครั้งแรกกระมังที่เขาทำเช่นนี้ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ใช่ทำเพราะนึกเอ็นดูหรือหมั่นไส้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“บอสเคย...”
“เคยอะไร?” เอ่ยกระตุ้น
แม้ปากจะถามคนที่ก้มหน้ามองน้ำในสระอีกครั้ง แต่มือที่เกี่ยวเอวเล็กซึ่งมันไม่หนาเช่นของตัวเองกลับเพิ่มแรงกระชับมากขึ้น แน่นอยู่แล้วยิ่งแน่นขึ้นอีก รวบถึงดึงให้เข้ามาใกล้กว่าที่เคย ผิวกายขาวที่เริ่มซีดเพราะแช่น้ำในสระเกือบครึ่งชั่วโมง บวกกับลมเย็นที่พัดมาแตะต้อง ทำให้ร่างกายที่คล้ายจะโอบกอดอยู่นี้สั่นน้อยๆ จนนึกอย่างดึงเข้ามากอดให้คลายอาการสั่นหนาว
อยากดึงเข้ามากอดงั้นเหรอ?
อชิตะตกใจกับความคิดของตัวเอง แต่เขากลับไม่ตกใจกับคำพูดที่เป็นคำถามจากปากคนที่ตนคิดอยากกอด
“...บอสเคยจูบผู้ชายไหม?”
ทันทีที่คำถามจบลง ก่อนที่คณิตจะได้รับคำตอบจากอชิตะ ระหว่างนั้นใบหน้าหล่อเหลาได้โน้มต่ำลงมาช้าๆ พร้อมแนบริมฝีปากบนกลีบปากเจ้าของคำถามเบาๆ คล้ายบอสหนุ่มทำไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะถอนสัมผัสเบาบางแต่ติดนานออกมา
“เคย” อชิตะตอบ รอยยิ้มสุขสมบางอย่างแตะแต้มริมฝีปาก ชายหนุ่มมองหน่วยตาเล็กที่เบิกกว้างคล้ายจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกินคาดถึง เนื้อตัวที่เขาสัมผัสถึงเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
“แล้ว...แล้ว...แบบใช้...ลิ้น...บอสเคยไหม?” แม้จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คณิตก็ยังรวบรวมสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วเอ่ยคำถามที่สองออกไป โดยลืมนึกถึงผลที่จะตามมาหลังจากนี้ ว่าก่อนที่เขาจะได้รับคำตอบนั้น ต้องเจอกับการกระทำแบบไหน
ไม่ต่างจากเดิมมากนัก เมื่อใบหน้าของอชิตะโน้มต่ำลงมาอีกครั้ง จุดหมายคือกลีบปากสีซีดและสั่นจนน่าบดขยี้ให้คลายอาการนั้นลง ไม่ใช่แค่คิด ทว่าอชิตะทำทุกอย่างอย่างที่สมองคิดและหัวใจมันแอบบ่งการอยู่ภายใน
ริมฝีปากของคนตัวเล็กกว่าแสนนุ่ม รสชาติหอมหวานที่ทำให้หลงใหลและเผลอไผลไปไกล ลิ้นร้อนทำหน้าที่ผ่านเข้าไปยังโพรงปากที่เจือด้วยรสชาติของน้ำสีอำพัน แล้วเกี่ยวเข้ากับลิ้นเล็กที่เริ่มต้นคล้ายจะหลบหลีก ก่อนจะยินยอมอย่างช้าๆ เมื่อโดนรุกไล่หนักยากจะหนีพ้น มือหนาที่จับเข้าตรงท้ายทอยคนตัวเล็กกว่าก็ช่วยกำราบแรงต่อต้านดิ้นหนีได้ดีเยี่ยม
แล้วคำตอบที่คณิตได้รับก็ไม่ได้ต่างจากคำตอบแรกเลย เมื่อลิ้นร้อนที่เกี่ยวพันถอนตัวออกอย่างผู้ชนะ ทิ้งให้เขาหอบเอาอากาศเข้าในปอดแทบไม่ทัน หัวใจเต้นระรัวเหมือนใครมาสาดกระสุนอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาในสายตาของเขาคลี่ยิ้มบางเบาแต่ปริ่มไปด้วยอารมณ์ที่คล้ายความปรารถนาของผู้ชายทุกคน
ชักไม่ดีแล้วสิ...
“เคย” สุ้มเสียงเบาบางไม่ต่างจากเสียงกระซิบในความเงียบ
“แล้ว...แล้วบอส...รู้สึก...ยังไง...” ถามอย่างไม่รู้จักเข็ด
“อยากจูบอีกครั้ง...มั้ง” อชิตะเอ่ยมันออกมาพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ
คำตอบของอชิตะทำเอาคณิตอึ้งไปชั่วขณะ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับกำลังปกป้องตัวเองให้พ้นจากภัยร้ายที่มาในรูปแบบของดวงตาคมระยับสื่อความต้องการเฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
สิ่งที่ตามมาคือคำพูดที่เปลี่ยนเป็นการกระทำ
“ผมอยากจูบคุณ”
“บอส...อื้ม...” ปากจะท้วง หากกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ถูกบดเบียดรุนแรงกว่าสองครั้งแรกมากเหลือเกิน...เกินไปเสียด้วยซ้ำ จนเขาต้องยกแขนทั้งสองข้างเกี่ยวต้นคอหนาเอาไว้ เพื่อให้รับสัมผัสได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่มือหนาของอีกคนลูบไล้สลับกับขย้ำไปทั่วแผ่นหลังเขา และตัวเขาก็เหมือนไม่ใช่ตัวเขาอีกแล้ว มันเหมือนใครก็ไม่รู้ที่มีแค่ความต้องการ แล้วลืมผิดถูกไปจนหมดสิ้น ไม่สนว่าผู้หญิงหรือผู้ชายที่มอบความหอมหวานที่รุนแรงนี้ให้กับเขา
และสิ่งที่จะเกิดตามมาคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...
จุดเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของอชิตะและคณิตจากนี้ไป...

จบตอนที่ 1
ติดตามตอนที่ 2 วันศุกร์นะคะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 1 UP 12-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2017 21:33:59
รอ ด้วยใจระทึก  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 2 UP 14-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 14-04-2017 19:26:03
2

เช้าวันนี้ ไม่ได้ต่างจากบางเช้าที่คณิตลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพบกับเพดานห้องสีโอรสและผ้าม่านสีส้มสดทั้งสามด้าน ที่เมื่อเปิดออกจะเจอผนังห้องกระจกใส และเมื่อเปิดประตูกระจกออกมาจะเจอระเบียงโปร่ง มองเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมด้วยตัวบ้านสไตล์โมเดลรูปทรงตัวยูแบบเหลี่ยมสูงสามชั้น
ห้องที่คณิตลืมตาตื่นในเช้าวันนี้ด้วยสภาพปวดหัวนิดตัวรุ่มๆ จากสภาพไข้เล่นงานเป็นห้องนอนของแขก ตัวห้องอยู่ตรงมุมริมสุดของตัวบ้านชั้นล่าง ผนังด้านหนึ่งมองออกไปเห็นสระน้ำสีน้ำเงินสวย ส่วนอีกสองด้านมองเห็นสวนสีเขียวชื่นตา
ทุกเช้าที่ตื่นในห้องนอนแขกที่แทบจะกลายเป็นห้องนอนส่วนตัวของตัวเองไปแล้วนั้น คณิตจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและกระโดดลงสระน้ำตรงระเบียงห้องทันที ทว่าวันนี้คงต้องเว้นไว้สักวัน เพราะโดนไข้เล่นงานเบาๆ ผลจากความซ่าและบ้าเมื่อคืน
เมื่อคืน...
มันไม่ได้มีแค่ความซ่าและบ้าบ้อที่กระโดดลงสระน้ำเย็นๆ เอาตอนตีหนึ่งตีสอง ดำผุดดำว่ายไปมาราวกับเจ้าปลาน้อยเพิ่งเจอน้ำ ซ้ำยังอวดเก่งแก้เสื้อซะงั้น
แต่เมื่อคืน...
เขายังทำเรื่องไว้อีกอย่างหนึ่งด้วย เรื่องที่งี่เง่าและบ้าบอคอแตกมาก แล้วจะเอาหน้าไปเจออชิตะได้ยังไงละเนี่ย คณิตยกมือขึ้นกุมขมับ ด่าทอตัวเองอย่างบ้าคลั่งในใจ
คณิตจำคำพูดของตัวเองได้แม่นยำ พิษไข้ที่น้อยนิดไม่สามารถทำลายความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนได้ เขายังจำได้ทุกคำพูดและทุกการกระทำ รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกในตอนนั้นว่ามันบ้าและกล้ามากแค่ไหน
“...บอสเคยจูบผู้ชายไหม?”
คำถามที่ได้คำตอบเป็นรสจูบที่แสนจะเบาบางแต่ติดนานมาก นานจนมาถึงตอนนี้ จนเผลอขบกลีบปากล่างของตัวเองเบาๆ
มันไม่ใช่จูบแรกของคณิต และไม่ใช่จูบแรกจากผู้ชาย คณิตเคยจูบกับผู้ชายมาแล้วซึ่งไม่ใช่อชิตะ เจ้านายหนุ่มที่ให้คำตอบได้ชัดเจนมาก มากจนทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในอก แล้วมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ถูกอชิตะจูบในค่ำคืนที่ผ่านมา มันมากกว่านั้น  มากจนต้องขอร้องให้หยุดเพราะเขาหายใจไม่ทันและหนาวแบบที่ไม่สามารถอยู่ในสระว่ายน้ำได้อีกต่อไป
อชิตะจูบเหมือนคนไม่รู้จักพอ...
ส่วนเขาก็เหมือนคนไร้สติ ไม่นึกถึงผิดชอบชั่วดี...
“มันเกิดได้ยังไงวะ แล้วจะทำหน้ายังไงเวลาเจอบอส ไอ้หนึ่งนะไอ้หนึ่ง ทำไมมึงเป็นคนอย่างนี้วะ” คณิตพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดเข้ามาในจังหวะนั้นเอง
คนที่คณิตยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเดินเข้ามาในห้อง ตรงมาที่เตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงข้างตัวเขา สาวใช้ที่เดินตามหลังอชิตะเข้ามาด้วยนั้น ถือถ้วยข้าวต้มหอมน่ากินที่ทำเอาท้องของคณิตเริ่มป่วนเพราะความหอมบวกความหิวมาด้วย หญิงสาวที่ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าคณิตสองสามปีวางถ้วยบนโต๊ะข้างเตียงนอน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพราะหมดหน้าที่ของตนเอง
ทั้งห้องเงียบ มันเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยมีมาก่อนระหว่างเขากับอชิตะ
เมื่อคืน...เขาจำได้ว่าสาวใช้คนนี้เดินออกมาเห็นเขากับอชิตะจูบกันในสระด้วย
ให้ตายสิวะ! ทำไมเขาต้องบังเอิญเหลือบไปเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องรู้สึกอับอายจนอยากแทรกเตียงหนี หรือหายตัวกลับไปที่คอนโดมิเนียมของเขาในนาทีนี้เลย แล้วจะไม่โผล่มาที่บ้านหลังนี้อีกเลย
แต่ติดที่เขาหายตัวไม่ได้นี่แหละ!
ไอ้บ้าหนึ่งเอ๊ย! หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ 
“เป็นไงบ้างหนึ่ง รู้สึกปวดหัวอยู่ไหม” อชิตะถามทำลายความเงียบที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับคณิต พร้อมกับวางมือบนหน้าผากคนบนเตียง เห็นอีกฝ่ายหลบตาก็อดยิ้มไม่ได้ คณิตไม่เคยหลบสายตาเขาแบบนี้มาก่อน ไม่นับรวมเมื่อคืนนะ
“ก็...ก็นิดหน่อยครับบอส”
คณิตตอบไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบสายตายิ้มๆ ของเจ้านายหนุ่ม เขารู้สึกประหม่าบอกไม่ถูกมันมีความเขินอายผสมลงไปด้วย ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แล้วเขาก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าเหนืออาการตัวร้อนเพราะพิษไข้ที่ไม่มากนัก คือความร้อนผ่าวของใบหน้าเวลาที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาของคนตรงหน้าที่แปลกไปจากเดิม กลายเป็นว่าตอนนี้ถ้วยข้าวต้มเป็นที่ปักหลักสายตาของคณิตไปเรียบร้อยแล้ว
ทำไมตาของอชิตะต้องเป็นประกายวาววับราวกับพึงพอใจอะไรบางอย่างด้วยวะ ซึ่งอะไรบางอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันคือ ‘ตัวเขา’ เอง
ต้องไม่ใช่!
ต้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!
คณิตได้แต่ร้องเอ็ดอึงในใจตัวเอง
“งั้นกินข้าวต้มก่อนนะหนึ่ง กินเสร็จจะได้กินยาต่อ” อชิตะบอก 
คณิตก็เพิ่งเห็นว่าในมืออชิตะมีกระปุกยาอยู่ด้วย ก่อนที่จะวางมันไว้บนโต๊ะแทนที่ถ้วยข้าวต้มที่ยกขึ้นมาถือในมือ
“ผมยังไม่ได้แปรงฟันเลยครับ” คณิตบอก พลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองถ้วยข้าวต้มในมือเจ้าของบ้านมากกว่าที่จะมองหน้า
คณิตรู้สึกเขินที่อชิตะจับช้อนตักข้าวต้มจะป้อนเขา ถึงแม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายหนุ่มบริการดีแบบนี้ หลายครั้งหรืออาจจะนับครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำที่อชิตะทำแบบตอนนี้ ทุกครั้งที่เขาเมาหนักจนต้องมานอนค้างบ้านอชิตะ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าเจ้านายแสนดีจะดูแลเขาอย่างดีเสมอ แต่มันไม่ใช่เช้านี้ที่ผ่านเหตุการณ์ปากต่อปาก ลิ้นเกี่ยวลิ้นมาด้วยกัน แล้วเขาก็ไม่อยากจำด้วยซ้ำว่าอชิตะนอนกอดเขาบนเตียงหลังนี้ ไม่รู้ว่าทั้งคืนหรือเปล่า แต่ก็กอดจนเขาหลับไป ทั้งที่เขาไม่คิดเลยว่าจะข่มตาให้หลับได้อย่างไร หากไม่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็อาจจะนอนอึดอัดตาสว่างจนถึงเช้าก็ได้ 
“ทุกทีก็ไม่เห็นเป็นอะไร” เจ้านายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัย มองใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือความอาย แต่อชิตะกลับคิดว่าเป็นเหตุผลข้อหลังมากกว่า แล้วมันก็ทำให้อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขายอมรับว่าตลอดเวลาที่รู้จักคณิต ตั้งแต่วันแรกที่หนุ่มผิวขาวตาเล็กมาสมัครงานกับเพื่อนซี้อย่างภาคี จนกระทั่งถึงเมื่อคืนที่จะถูกแกล้งดึงตกสระ ลูกน้องคนนี้ทำให้เขายิ้มได้เสมอ เพราะคณิตเป็นคนพูดเก่ง คุยสนุก อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แต่ความสุขในตอนนี้ต่างจากความสุขที่ผ่านมา มันคล้ายมีอะไรบางอย่างที่เรียกว่า ‘พิเศษ’ แย้มบานอยู่ภายในใจของเขา จากเหตุการณ์เมื่อคืน เมื่อได้จูบและได้นอนกอดจนถึงเช้า...รู้สึกอิ่มเอม
อชิตะรู้ดี...
เขารู้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
แม้กระทั่งความรู้สึกตอนนี้ที่เขาอยากดึงเอาคนหน้าแดงที่ไม่กล้าสบตากับเขาเข้ามากอด
...ไม่รู้ทำไม แต่ก็ทำไป
ถ้วยข้าวต้มถูกวางกลับที่เดิม มือที่ว่างลงเอื้อมไปดึงตัวคนตาเล็กที่กำลังเบิกตาโตเข้ามากอด อีกฝ่ายดิ้นแต่ไม่มาก
“ขอผมกอดหน่อยนะ” อชิตะบอกคนในอ้อมกอดที่หยุดดิ้นไปแล้ว หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเอาซะเลย และก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ต่างกัน อชิตะสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นแรงของคณิตได้
“.....”
“ตอนบ่ายจะไปพบลูกค้าไหวไหม” ถามน้ำเสียงเป็นห่วง ขณะที่ปากก็จูบซับบนกลุ่มผมนุ่ม เพิ่งรู้สึกเอาตอนนี้เองว่าผมของคณิตหอมชื่นใจได้ถึงเพียงนี้ 
“เอ่อ...ไหวครับ...บอส” สัมผัสเหนือศีรษะทำเอาคณิตใจเต้นตึกตัก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงยอมให้อชิตะกอดและจูบราวกับเป็นคนรักกัน แล้วเมื่อคืนอีกกับจูบที่ยาวนาน จนเขาต้องขอร้องให้หยุดก่อนจะขาดใจตายเป็นผีเฝ้าสระ
เป็นอะไรไปวะไอ้หนึ่ง! ตอนที่โดนไอ้ชิตจูบไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะเว้ย!
เพราะโดนชิตตะวันจูบและเขาไม่นึกรังเกียจนั่นแหละ ถึงทำให้เกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงไม่รังเกียจที่ถูกผู้ชายจูบ เขาเป็นเกย์อย่างนั้นหรือ หรือว่าก็แค่ ‘จูบ’ เอง ไม่ได้แก้ผ้าเอากันซะหน่อย จะเอาไปถามเพื่อนรักอย่างภาคีก็ไม่ได้ เดี๋ยวพิษบ้ามันกำเริบเพราะภาคีไม่ถูกกับชิตตะวันมานานมาก เลยกลุ้มใจอยากรู้ว่าตัวเองเป็นหรือไม่เป็นมาตั้งแต่วันนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าการเอาความหนักใจมาถามนายจ้างจะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น แทนที่จะได้คำตอบว่าผู้ชายจูบกับผู้ชายไม่ต้องเป็นเกย์เสมอไปก็ได้ แต่ดันมาถูกจูบถูกทำมากกว่าที่ชิตตะวันทำซะอีก   
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวผมโทรไปเลื่อนนัดให้” อชิตะบอกเอาใจ พลางคลายอ้อมกอดออก 
ลูกค้าที่คณิตนัดคุยงานด้วยเป็นเพื่อนของอชิตะ มันจึงไม่ใช่เรื่องลำบากมากนักหากจะโทรไปเลื่อนนัดให้ เพราะอยากให้คณิตพักผ่อน ถึงอาการไข้จะไม่ได้มากแต่เขาก็เป็นห่วง บวกกับอาการ ‘หวง’ แบบปัจจุบันทันด่วน เมื่อคิดไปถึงสายตาเพื่อนที่มองคณิตเมื่อวันนั้น รวมถึงคำพูดที่บอกกับเขาว่า ‘สนใจถึงขั้นจริงจังกับคณิต’
“จะดีหรือครับบอส คุณโก้จะไม่ว่าเอาเหรอครับ”
ตอนบ่ายคณิตมีนัดคุยงานกับลูกค้าที่เป็นเพื่อนเจ้านาย ความจริงแล้วเขาก็ไม่อยากไปเท่าไหร่หรอก อันที่จริงต้องบอกว่าไม่อยากรับงานนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ชอบสายตาเพื่อนของอชิตะ ชอบมองเขาแปลกๆ ถึงเนื้อถึงตัวเขาก็บ่อย  มิหนำซ้ำยังชอบนัดคุยงานในวันหยุดแทบทุกครั้ง
“ไม่เป็นไร คุณไม่สบายนี่”
“ก็ดีครับบอส บอกตรงๆ ผมไม่อยากไปเจอเพื่อนบอสเลย” คณิตทำหน้ายุ่ง นึกถึงเพื่อนเจ้านายทีไร ทำเอาเขาเซ็งทุกครั้ง
“ถ้าคุณไม่อยากทำงานนี้ ผมให้ปริญรับผิดชอบแทนคุณเลยดีไหม”
อชิตะก็รู้ว่าคณิตไม่อยากทำงานให้เพื่อนของเขา เคยขอให้เขาเอางานนี้ให้คนอื่นทำ โมโหเขาไปก็หลายรอบเพราะไม่ยอมทำตามคำขอ ตอนนั้นมันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเปลี่ยนให้คนอื่นมาทำแทน บวกกับเพื่อนของเขาก็เจาะจงคณิตคนเดียว เลยไม่อยากขัดใจเพื่อน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว
เขารู้สึกหวงคณิต อยากเก็บไว้มองคนเดียว ความรู้สึกนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน มันรุนแรงเสียจนเขาแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็ชัดเจนดีเหลือเกิน
“ดีมากครับบอส ขอบคุณนะครับบอส” นี่แหละที่คณิตต้องการมาเกือบสองเดือน ทั้งคุย ทั้งขอร้อง และทั้งขู่เจ้านายไปหลายครั้งให้หาคนไปทำงานแทนเขา แต่ไม่เคยสำเร็จสักที
ยิ้มกว้างที่แสดงถึงความดีใจของคณิต ทำเอาคนเป็นนายจ้องใบหน้านั้นไม่วางตา อชิตะนึกถามตัวเองในใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รอยยิ้มของคณิตทำเขาใจสั่นและหวั่นไหว แล้วก็ได้คำตอบแทบจะทันทีว่า ‘เมื่อคืน’
เมื่อคืน...ที่ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
“เอ่อ...บอส...อ่า...บอสครับ...ผม...ผมไป...แปรงฟันก่อน....นะ...ครับ” คำพูดของคณิตขาดเป็นห้วงๆ ความรู้สึกเขินอายที่หลงลืมไปกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อเจอสายตาที่ไม่ปกติของเจ้านายหนุ่ม ดวงตาคมนั้นฉ่ำหวานมองมาด้วยห้วงอารมณ์ปรารถนาที่คนตัวเล็กสัมผัสได้ชัดเจน... เหมือนจะกลืนกินก็ไม่ปาน
คณิตขยับตัว หย่อนขาทั้งสองลงข้างเตียง หวังจะหนีสถานการณ์ที่แสนจะไม่ปลอดภัยตรงหน้า ทว่าก็ถูกรั้งแขนไว้เสียก่อน
“หนึ่ง...” เสียงทุ้มเรียกชื่อแผ่วหวาน ท่วมท้นด้วยความรู้สึกพิเศษ ปรารถนาสิ่งเดียวกับเมื่อคืน ผิวกายเนียนลื่นที่เผลอขย้ำไปหลายหนกับกลีบปากนุ่ม และลิ้นนุ่มแสนหวาน อยากกินให้หายอิ่ม ถ้าเจ้าตัวจะยินยอม
“.....” คณิตช้อนตามองด้วยความรู้สึกล้าๆ กลัวๆ 
“เรื่องเมื่อคืน ผมคิดว่ามัน...”
“เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับบอส” คณิตพูดตัดบทขึ้นมาก่อน เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อคืน แล้วก็ไม่อยากให้อชิตะพูดถึงมันด้วย เขาไม่กล้าพอที่จะนั่งคุยกับอชิตะว่าเรื่องเมื่อคืนมันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเป็นเพราะอะไร หรืออารมณ์อะไรที่ทำให้มันเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา
“แต่เมื่อคืน...”
“ผมปวดฉี่ ขอผมเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” พูดจบคณิตเกาะนิ้วแกร่งออกจากข้อมือ ลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปทันที
*      *      *

‘...ผมไปส่งหวานที่สนามบิน แล้วจะรีบกลับมา อย่าเพิ่งไปไหนนะหนึ่ง รอผมก่อน...’
คณิตอ่านโน้ตที่อชิตะเขียนไว้ให้ หลังจากที่เขาหลบหน้าอีกฝ่ายกว่าสองชั่วโมงในห้องน้ำ จนแน่ใจว่าอชิตะไม่อยู่ในห้องแล้ว คณิตถึงได้ออกมา
“ใครจะไปอยู่รอวะ”
คณิตวางกระดาษโน้ตไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นในตู้มาใส่ ห้องนอนแขกห้องนี้เรียกว่าเป็นห้องของเขาเลยก็ว่าได้ เสื้อผ้าในตู้ก็ของเขาทั้งหมดซึ่งหอบหิ้วเอามาไว้ตั้งแต่อชิตะย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่จะใช้เป็นเรือนหอ
อชิตะกำลังจะแต่งงาน คือสิ่งที่เขารู้ แต่สิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้ล่ะ คือสิ่งที่เขาไม่รู้ เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่เห็นสายตาที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืนของคนที่จูบกับเขา คนที่นอนกอดเขาบนเตียงในห้องนี้
เขากลัว... กลัวตัวเองเป็นตัวแปรที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนรักกันพังทลายลง
เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย...
เขาต้องทำยังไง ต้องทำยังไงให้ทุกอย่างมันกลับไปเหมือนเดิม

*      *      *
 Rrrrrr…
ทันทีที่คณิตก้าวพ้นประตูรั้วออกมา คนที่คณิตกำลังนึกถึงและคิดจะโทรหาก็โทรเข้ามาราวกับรู้จังหวะเวลา รู้ความต้องการของเขา
“โทรมาได้จังหวะเลยนะมึง กูกำลังคิดถึงพอดีเลย”
“ดีใจมากครับที่หนึ่งคิดถึงชิต” ปลายสายตอบกลับมาด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลแกมหยอกเย้า
คณิตมักจะพูด “กูมึง” กับชิตตะวันเสมอ ส่วนชิตตะวันจะเรียกชื่อเขาและแทนตัวเองด้วยชื่อทุกครั้ง และพูดเพราะกับคณิตเสมอ
คณิตกับชิตตะวันรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง ทั้งที่ไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ที่รู้จักกันได้เพราะชิตตะวันขับรถเฉียวเขา อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนยาวนานมาถึงวันนี้
‘ฉันเพื่อน’ คงเป็นเขาฝ่ายเดียวที่คิดอย่างนั้น ส่วนอีกฝ่ายไม่ได้คิดกับเขาอย่างเพื่อนเลย แรกๆ เขาก็ไม่รู้ว่าชิตตะวันชอบเขา ชอบแบบคนรัก อยากได้มาเป็นแฟน แต่ก็สงสัยบ้างนิดหน่อย จากคำพูดของภาคีบ้างที่พยายามไม่ให้ชิตตะวันมาใกล้เขา ไม่ยอมให้เขาไปไหนกับชิตตะวันสองต่อสอง มาแน่ใจก็ตอนที่ถูกสารภาพรักเมื่อตอนเรียนจบ พร้อมกับยัดเยียดจูบแรกจากผู้ชายให้เขาเมื่อสองสัปดาห์ก่อนตอนที่มันมาหาเขาที่กรุงเทพฯและนอนค้างที่คอนโดฯ เขา ชิตตะวันแค่จูบและไม่ได้รุกล้ำด้วยลิ้นแต่อย่างใด
“ชิต”
“ครับ”
“มึงยังรักกูอยู่ไหม” แม้จะถามไปอย่างนั้น แต่คณิตก็แน่ใจว่าเขาต้องได้รับคำตอบที่ต้องการอย่างแน่นอน
“รัก...รักมากด้วย...แล้วก็รักมาตลอด”
“แล้วจะรักตลอดไปไหม”
“ถามแบบนี้ แสดงว่าจะรักชิตตอบเหรอครับ” สุ้มเสียงยินดีดังเข้ามาให้คณิตลอบถอนหายใจเบา ก่อนเอ่ยตอบ
“อืม...คงงั้น”
“เพราะจูบเมื่อคืนนั้นหรือเปล่า”
“คงงั้น”
“ถ้ารู้ว่าแค่จูบเดียว แล้วทำหนึ่งตกหลุมรักได้เนี่ย ชิตน่าจะทำซะตั้งแต่เห็นหน้าหนึ่งวันแรก” คนปลายสายพูดกลั้วรอยขำ
“เออ! งั้นก็รู้ไว้ซะ”
เพราะจูบเดียวของมึงนี่แหละที่ทำให้กูสับสน จนต้องไปตั้งคำถามบ้าๆ กับเจ้านายตัวเองจนเกิดเรื่องบ้าบอขึ้น แถมทำท่าจะลุกลามใหญ่โตเพียงเพราะจูบเดียวแต่หลายครั้งนั้นด้วย
ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้ากับสิ่งที่คิดและตัดสินใจทำลงไป แต่นาทีนี้คณิตขอเลือกใช้วิธีนี้เพื่อให้ทุกอย่างมันกลับไปเหมือนเดิมให้มากที่สุด...
เพราะเขาได้คำตอบแล้วว่า ผู้ชายจูบกันได้ แต่จูบที่ทำให้หัวใจเต้นแรงและหวาดกลัวไปพร้อมกันนั้นเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียวเท่านั้น

****
จบตอนที่ 2
ตามตอนที่ 3 วันอาทิตย์นะคะ
ปล.กดเป็ดให้ MAGNOLIA แล้วนะคะ สำหรับเม้นท์แรกในกระทู้อิงหนึ่ง
อย่าทิ้งกันไปไหนนะคะ เดี๋ยวเรามาดู #บอสเทเมีย ด้วยกัน
****
 :mew1:
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 2 UP 14-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: NOoTuNE ที่ 15-04-2017 15:44:18
มาเป็นกำลังใจให้ ตามมาตั้งแต่อันเก่า

หวังว่าอันนี้จะรอไม่นานนะคะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 3 UP 16-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 16-04-2017 19:57:04
3

“พี่อิงคะ ใจลอยไปไหนเนี่ย ไปสนามบินต้องเลี้ยวซ้ายนะคะ”
ณัชชามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนคู่หมั้นหนุ่ม นึกสงสัยวันนี้อชิตะเป็นอะไร ดูใจลอยๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ไปรับเธอที่คอนโดฯ แล้วล่ะ
“อ้าว...เหรอครับ...สงสัยพี่จะเครียดเรื่องงานไปหน่อย” อชิตะเอ่ยแก้ตัวด้วยคำพูดเดิม พลางหาจุดเลี้ยวรถ
“เครียดอะไรกันนักหนาคะพี่อิง นี่มันวันหยุดนะ หยุดคิดเรื่องงานบ้างก็ได้ หวานไม่ชอบเลย” หญิงสาวว่าแกมบ่นเล็กๆ อชิตะบอกเธอแบบนี้มาหลายรอบแล้วตั้งแต่ที่เจอหน้ากัน ซึ่งมันก็แปลก แต่ไหนแต่ไรคนรักของเธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หมายถึงว่าไม่เคยเก็บเรื่องงานมาคิดในวันหยุด หรือไม่ก็ตอนที่อยู่กับเธอ อชิตะแทบไม่เคยมีคำว่างานออกจากปากเลย
“พี่ขอโทษครับ” อชิตะเอ่ยคำขอโทษออกมาเบาๆ จากนั้นก็เหลือเพียงความเงียบและความสงสัยที่ดังกระหึ่มในใจของสาวคนรัก จนกระทั่งถึงสนามบิน
ณัชชาทั้งสงสัยและน้อยใจกับท่าทีผิดจากเดิมของคนรัก เพราะพอเธอเงียบเพื่อให้อชิตะง้อ แต่เขากลับเงียบและเหมือนจะพอใจเสียมากกว่าที่ไม่มีบทสนทนาระหว่างกัน
“ถ้าพี่อิงเหนื่อยมากก็ไม่ต้องไปส่งหวานก็ได้นะคะเดี๋ยวหวานเดินไปเองได้” เธอบอกคนรักขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว   
            “ได้ไงล่ะครับ พี่จะปล่อยให้หวานเดินไปคนเดียวได้ไง อย่างอนนะครับ วันนี้พี่แค่เหนื่อยๆ ป่ะ...ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไม่ทัน” อชิตะส่งยิ้มให้คนรักเหมือนเดิมแต่เหมือนข้างในจะไม่เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เขาควรจะง้อหญิงสาวตั้งแต่เธอฟังคำขอโทษจากเขาแล้วก็เงียบไป เขาเหมือนไม่ใช่อชิตะคนเดิม ตั้งแต่เดินออกจากห้องนั้น ตั้งแต่ที่อีกคนหนึ่งเหมือนจะหลบหน้าเขา ใจเขาก็เหมือนไม่อยู่กับตัวเองเลย มันคอยคิดถึงแต่ลูกน้องคนสนิทที่เขาเขียนโน้ตทิ้งไว้ว่าให้รอเขาอย่าเพิ่งไปไหน... ไม่รู้จะเชื่อหรือเปล่า
*      *      *
            “ไม่ทราบว่ากูบอกมึงตอนไหนว่าจะเอาห้องหวานแต๋วแตกแบบนี้ห๊ะ...ไอ้คุณชิตตะวัน” คณิตหันไปถามคนที่เดินตามหลังเข้ามาในห้องพักบนชั้นสิบของโรงแรมระดับสี่ดาวติดทะเล เบื้องหน้าของเขาคือเตียงนอนขนาดใหญ่สีขาว กลีบกุหลาบสีชมพูถูกโรยเป็นรูปหัวใจ
คนถูกถามยิ้มกรุ่มกริ่ม เดินเข้าไปใกล้คนถามที่ยืนเท้าสะเอวมองหน้าตน คณิตทำหน้าไม่สบอารมณ์แบบไม่จริงจังนักแค่นี้ก็ทำให้ชิตตะวันรู้แล้วละว่า ความพยายามมาตลอดหลายปีของเขาเริ่มเห็นผลแล้ว อย่างน้อยหนุ่มหน้าขาวดวงตาเรียวเล็กก็เป็นฝ่ายมาหาเขาถึงที่นี่ แถมยังชวนเขาให้นอนเป็นเพื่อนในคืนนี้ด้วย
“หนึ่งไม่ชอบเหรอครับ”ชิตตะวันถามเสียงหวาน เขาดึงคนตัวเล็กเข้ามากอด คณิตตัวเล็กเพราะไม่ล่ำ ไม่อ้วน เรียกว่าผอมเลยก็ได้ และสูงเลยไหล่เขาไปแค่นิดเดียวเอง
“ถ้าบอกว่าไม่ชอบแล้วจะเปลี่ยนห้องให้ปะล่ะ” คณิตถาม หนุ่มหน้าขาวไม่ได้มองหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่ เพราะเขากำลังถูกกอด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคณิตคงไม่ยืนให้ผู้ชายกอดแบบนี้หรอก คงได้ศอกกลับแน่ๆ แต่เพราะเป็นตอนนี้เขาถึงยอม จำใจยอมเพื่อแผนการในหัว
สมองตื้นๆ ของเขาคงคิดได้แค่วิธีนี้แหละ วิธีที่จะหยุดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้...
“ห้องเต็มหมดแล้วเปลี่ยนไม่ได้หรอกครับหนึ่ง” น้ำเสียงของชิตตะวันฟังดูมีความสุขมาก ไม่มีครั้งไหนที่เขาได้กอดชายหนุ่มตัวเล็กแล้วไม่โดนเตะหรือโดนศอกเหมือนครั้งนี้ 
“ให้มันจริงเถอะ แล้วนี่ด้วย จะกอดทำไม ปล่อยได้แล้ว มึงชอบกอดผู้ชายมากหรือไง” คนตัวเล็กกว่าด่ากลายๆพลางดิ้นน้อยๆ ให้คนตัวใหญ่กว่าปล่อย เพราะเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะไม่แค่กอดธรรมดา เนื่องจากมือปลาหมึกชักจะเริ่มทำงาน
“ก็หนึ่งน่ากอด” ชิตตะวันเอ่ยย้อนด้วยรอยยิ้มเย้าแหย่ ก่อนจะปล่อยคณิตออกจากวงแขน ทั้งที่ในใจอยากจะกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แถมอยากจะอุ้มไปวางบนเตียงด้วยซ้ำไป แล้วอยากจะทำอะไรกับคนคนนี้ที่เดินไปเปิดประตูระเบียงพาตัวเองไปรับลมชมวิวทะเลเบื้องหน้าด้วยแต่ไม่กล้า ถ้ากล้านะ คณิตคงไม่รอดมือเขามาถึงทุกวันนี้หรอก ต่อให้ภาคีจะหวงคณิตเหมือนหมาแม่ลูกอ่อนก็ตาม ถ้าเขาจะเอาก็เอาได้ แค่ไม่อยากได้ตัวคณิตมาแบบที่เจ้าตัวไม่สมยอมมากกว่า เพราะกลัวถูกเกลียด 
“ชอบได้ไงวะนมก็ไม่มี ก้นก็ไม่มี แถมยังมีไอ้จ้อนเหมือนมึงอีก” คณิตถามเขาไม่ได้หันกลับไปมองเจ้าของโรงแรมที่เปิดห้องให้เขาพักฟรีๆ เท่าที่เขาอยากพัก กี่คืนกี่วันก็ได้ หรือจะตลอดไปก็ยังได้ แม้ไม่ได้หันไปมอง คณิตก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดินตามเขาออกมา
“ก็ชิตชอบหนึ่ง” เมื่อเดินมาถึง ชิตตะวันสวมกอดคนตัวเล็กกว่าจากด้านหลัง
“แค่ชอบเหรอ? กูนึกว่ามึงรักกูซะอีก แล้วก็เอามือออกจากเอวกูได้แล้ว ปากมึงด้วย ไม่เหม็นหรือไงกูไม่ได้สระผมมาหลายวันนะมึง” พูดสั่งก็เหมือนว่าอ้อนให้เจ้าของท่อนแขนรัดเอวเขาแน่นขึ้น
“รักสิครับ ชิตรักหนึ่งจะตายไป รักตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรก รักมาตลอดเลยนะครับอยากกอดหนึ่งอย่างนี้มานานแล้ว ให้ชิตกอดนะครับ”
“เออๆ อยากกอดก็กอด แต่อย่าล้วงกูแล้วกัน ไม่งั้นมึงโดนกูต่อยแน่” บอกไปแล้วก็เหมือนว่าใบหน้าที่เคยคลอเคลียอยู่บนหัวเขาก็เริ่มจะเลื่อนต่ำลงมาถึงแก้ม ก่อนจะจับตัวเขาหันกลับมาสบตา ใบหน้าที่เรียกว่าหล่อมากก้มเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งบังคับนิดๆ ให้เขารับรสปากของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ จูบนั้นเริ่มจากนุ่มนวลก่อนจะหนักหน่วงขึ้นตามระยะเวลาที่พัวพันกันมากขึ้น
“อื้อ...”
เสียงเล็กๆ ที่ผ่านออกมาจากปากบางทำให้ชิตตะวันฮึกเหิม เมื่อครู่แค่คิดจะแค่แตะเฉยๆ แต่เมื่อเจ้าของริมฝีปากไม่ขัดขืน ยินยอมไปกับการกระทำของเขา เลยทำให้ไม่อยากหยุด อยากทำเหมือนที่ใจอยากทำมาตลอด
“...อื้อ...กะ...กู...บอกว่าอย่าล้วงไง” คณิตผลักร่างใหญ่กว่าออกไป แต่ก็เหมือนผลักกำแพงหนา มั่นคง แข็งแรง ไม่เขยื้อนไปไหน
“ก็ชิตอยาก...” ชิตตะวันยิ้มเปี่ยมความหมาย
“อยากอะไรของมึง”
“อยาก...ได้หนึ่งเป็นเมีย” บอกยิ้มๆ แล้วหอมแก้มที่เหมือนจะขึ้นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ยิ่งมองยิ่งชอบ นี่แหละน่าถึงทำให้เขาหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น คณิตจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าตัวเองน่ารักมากขนาดไหน ตาเล็กๆ หน้าขาวๆ ปากบางๆทุกอย่างของคณิต มันโดนใจเขาไปหมด
“มึงไม่อายปากบ้างหรือไงวะ กูผู้ชายนะโว้ย ปล่อยๆ... ปล่อยเลยๆ กูหิว กูจะไปกินข้าว”ครั้งนี้คณิตออกแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าและมันพอที่จะทำให้หลุดออกมาได้
ชิตตะวันทำหน้าเสียดาย
“ชิตก็หิวครับ...”
คณิตมองหน้าคนที่บอกว่าหิว ดวงตาที่มองสบวิบวับราวกับดวงดาว
“...หิวหนึ่ง ถ้าได้กิน ชิตคงอิ่มไปถึงวันตาย”
คนพูดยิ้มกว้างแต่คนฟังได้แต่ส่ายหน้า ฟังมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ เมื่อก่อนคิดว่าพูดเล่นนานวันเข้าก็เริ่มรู้แล้วว่าเป็นคำพูดจริงจัง
“เอาเถอะ ว่างๆ แล้วกูค่อยให้มึงกิน แต่ตอนนี้กูหิวมาก มึงกรุณาพากูไปกินข้าวเดี๋ยวนี้ อ้อ...แล้วเลี้ยงกูด้วยนะ วันนี้กูมาแต่ตัว” คณิตรีบบอก ก็รู้แหละว่าถึงไม่บอกให้เลี้ยง ชิตตะวันก็เลี้ยงเขาทุกครั้งนั่นแหละเพราะมันรวยกว่าเขา 
“ยินดีอยู่แล้วครับ รู้ไหมว่าชิตอยากเลี้ยงหนึ่งไปตลอดชีวิตเลยนะครับ ถ้าหนึ่งจะยอม”
“ยอมให้มึงกินกูว่างั้น” คณิตยักคิ้วถาม กอดอกเอนตัวพิงราวระเบียง มองสบตาคนตรงหน้าเขาอยากค้นหาความจริงจากแววตาของอีกฝ่าย
“ใช่ครับ” น้ำเสียงที่บอกหนักแน่น
“ทำไมวะทำไมมึงถึงชอบกู กูเป็นผู้ชายนะ”
“ก็คงเหมือนเพื่อนสนิทของหนึ่งแหละ เคยถามเพื่อนตัวเองไหมว่าทำไมถึงรักชอบผู้ชายด้วยกันได้ คำตอบของชิตก็เหมือนเพื่อนของหนึ่ง ในเมื่อรักแล้ว ไม่เกี่ยวหรอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย รักก็คือรัก รักแล้วก็อยากครอบครอง อยากเอามาเป็นของตัวเอง อยากให้อยู่ใกล้ อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”
“จะเชื่อดีไหมว่ามึงชอบกูจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากลองของแปลกอย่างกู” คณิตว่าแก้เขิน ยอมรับเลยว่าฟังแล้วมันรู้สึกถึงความจริงใจของอีกฝ่ายที่ล้นทะลักออกมา
“เขินเหรอ” ชิตตะวันถาม เขาเห็นดวงตาเล็กมีแววเขิน แตกต่างจากทุกครั้งจนน่าแปลกใจ
“เออสิวะ...กูก็คนนะ มึงพูดแบบนี้ ส่งสายตาแบบนี้ ไม่ให้กูเขินแล้วจะให้กูแกล้งตายหรือไง” คณิตว่าหน้ามันร้อนๆ พานไม่อยากมองตาหวานๆ ของชิตตะวัน เลยต้องหันไปมองทะเลแทนกลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ชิตตะวันเข้ามาสวมกอดเขาอีกครั้ง
“ทำไมวันนี้หนึ่งน่ารักจังครับ” เขาถามอยู่ใกล้ใบหูเล็ก ก่อนจะหอมแก้มขึ้นสีทั้งซ้ายและขวา โดยที่เจ้าของแก้มไม่ว่าอะไรเขาเลยสักคำ
“ทุกวันกูไม่น่ารักว่างั้น” คณิตย้อนถาม
“น่ารักทุกวันครับ แต่วันนี้น่ารักเป็นพิเศษ” บอกเสียงหวาน
“ชมกูว่าหล่อเถอะว่ะ บอกว่ากูน่ารักแล้วมันทะแม่งๆ ว่ะ กูไม่ชอบ” คำว่า ‘น่ารัก’ ฟังแล้วไม่ใช่เขาเลยจริงๆ ผู้ชายแท้ที่ไหนว่าปลื้มที่ถูกชมว่าน่ารัก ยังไงซะเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ชายนะ แม้ตอนนี้ความคิดจะถูกสั่นคลอนและการกระทำกับลังพาตัวเองไปสู่สถานการณ์สุ่มเสี่ยงตกเป็นเมียของผู้ชายด้วยกันเองก็เถอะ
“ไหนขอดูหน้าหน่อย” ชิตตะวันดึงไหล่เล็กให้หันมาหาเขา ก่อนช้อนใบหน้าขาวให้เงยขึ้น ให้ดวงตาได้ประสานกัน  “ตรงไหนหล่อ ถ้าหล่อก็ต้องชิตนี่ แบบนี้ถึงเรียกว่าหล่อ”
“เออ! มึงหล่อ” คณิตดึงมือใหญ่ออกจากหน้าตัวเอง ความจริงชิตตะวันก็หล่อจริงๆ หล่อมาตั้งแต่เกิดแล้วมั้ง ส่วนเขายอมรับตรงๆ เลยว่าไม่ได้หล่อเลยสักนิด ก็แค่ผู้ชายหน้าตี๋ตาเล็กหาได้ทั่วไปตามท้องถนน
“หนึ่งครับ...” เป็นอีกครั้งที่ชิตตะวันดึงใบหน้าเล็กให้เงยขึ้นมาสบตาเขา เพราะอีกฝ่ายพยายามหันหน้าหนี “ชิตรักหนึ่งจริงๆ นะครับ ไม่ได้พูดเล่น แล้วตอนนี้ชิตก็อยาก...”
คำพูดที่มาพร้อมกับแววตาวิบวับ คณิตจะหลบสายตาก็ไม่ได้ เพราะมือใหญ่บังคับใบหน้าไม่ให้หนีไปไหน
“...อยากกินกู”
“อยากกินข้าวครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ชิตตะวันหัวเราะเสียงดังเมื่อเจ้าของใบหน้าขาวทำตาโตใส่เขา ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะด่า ก่อนจะกระแทกเสียงตอบด้วยอาการหงุดหงิดเพราะถูกแกล้งให้อาย
“เออ...กูก็หิว!”
Rrrrrr...
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของคณิตแผดเสียงร้อง  เจ้าตัวล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดตัดสาย 
“ใคร?” ชิตตะวันถาม
“กิ๊กกูว่ะ เลยไม่อยากรับ กลัวแฟนใหม่เสียใจ” คนตัวเล็กบอกขำๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วโยนโทรศัพท์ไปที่เตียงนอนกลางห้อง ขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกรอบ
Rrrrrr...         
“บอส...” ชิตตะวันที่เดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาอ่านชื่อบนหน้าจอสี่เหลี่ยม “...จะไม่รับหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มสงสัย
“วางไว้ตรงนั้น แล้วพากูไปกินข้าว กูหิว ไม่มีเวลามานั่งรับโทรศัพท์เจ้านายตอนวันหยุดหรอกนะโว้ย”
“แน่ใจ?”คำพูดของคนตัวเล็กยิ่งทำให้ชิตตะวันสงสัยมากขึ้น จากที่เคยพบเจอเจ้านายของคณิตทั้งคู่ดูจะสนิทสนมกันมาก 
“เออ! เร็วสิวะ กูหิว เข้าใจไหม หรือว่าจะให้กูขับรถกลับไปกินที่กรุงเทพ เอาไหม” คณิตขู่ และมันได้ผล
“ครับ” จำต้องวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะก้าวเท้าตามคนตัวเล็กที่เดินออกจากห้องไปแล้วแต่ความสงสัยก็ยังไม่หมดไป
*      *      *

อชิตะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากวางมันลงมือชั่วโมงก่อน เนื่องจากเจ้าของเบอร์โทรที่เขาโทรหาไม่ยอมรับสาย สี่สิบกว่าครั้งที่เขาเพียรโทรไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย ทั้งที่ก็รู้ว่าลูกน้องของเขาคงไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขาแน่ๆ แต่อดที่จะโทรไปหาไม่ได้
ชายหนุ่มตัดสินใจโทรอีกครั้ง
“รับหน่อยนะหนึ่ง ผมอยากคุยกับคุณ...”
เขากดโทรออกนั่งฟังเสียงสัญญาณจากอีกฝั่งหนึ่ง ไม่นานนักความหวังก็เป็นจริง
“...สวัสดีครับ”
“...หนึ่ง” อชิตะดีใจที่ความพยายามของเขาได้ผล
“ไม่ใช่ครับคุณอิง ผมชิตครับ”
เสียงปลายสายที่ตอบกลับมาทำให้ความดีใจเมื่อครู่ชะงักลงทันที ไม่ใช่คณิตอย่างที่เขาคิด
“ชิตเพื่อนหนึ่งใช่ไหม” เขาถามกลับ
“ใช่ครับ ผมชิต แต่ไม่ได้เป็นเพื่อนแล้ว ผมกับหนึ่ง เราเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วครับคุณอิง” เพราะอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในความสงสัย ทำให้ชิตตะวันบอกเจ้านายของคณิตไปอย่างนั้น
“.....”
คำบอกของปลายสายทำเอาอชิตะอึ้งไปชั่วขณะ เคยได้ยินภาคีพูดอยู่เหมือนกันเรื่องที่ชิตตะวันชอบคณิต เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจใส่ใจมากนัก ใครจะรักชอบคณิต หรือคณิตจะรักชอบใคร ไม่เกี่ยวกับเขา ทว่าวันนี้คำว่า ‘ไม่เกี่ยวกับเขา’ มันใช้ไม่ได้แล้ว ต้องบอว่า ‘เกี่ยวกับเขาไปซะแล้ว’
ในเมื่ออชิตะรู้สึกไปซะแล้วว่า ‘คณิตควรเป็นของเขา’
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวดเร็วแต่อยากจะลบล้างหรือทำลายลงได้
“เรียกหนึ่งมาคุยกับผมหน่อย” เขาสั่ง ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นลูกน้องคนหนึ่ง 
“หนึ่งอยู่ในห้องน้ำ มีธุระอะไรก็ฝากผมไว้ก่อน หนึ่งออกมาแล้วผมจะบอกให้ครับ”
“ไม่เป็นไร ผมค่อยโทรมาอีกครั้งจะดีกว่า บางเรื่องผมก็อยากจะคุยกับหนึ่งด้วยตัวเอง” อชิตะรู้สึกไม่พอใจกับคำบอกที่ได้ยินเป็นอย่างมาก
“แต่ผมกับหนึ่งเราคุยกันทุกเรื่องนะครับ เรื่องของหนึ่งก็เหมือนเรื่องของผม”
“แต่บางเรื่องผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องระหว่างผมกับหนึ่งแค่สองคน คนอื่นไม่เกี่ยว” ปลายเสียงบอกถึงความไม่สบอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้น อชิตะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมภาคีถึงไม่ชอบหน้าชิตตะวันนัก เจอกันทีไรแทบจะลงไม้ลงมือกันทุกครั้งร่ำไป 
“หรือครับ...” อีกฝ่ายจงใจลากเสียงยาวยั่วอารมณ์ต่ออย่างนึกสนุก “ตอนนี้อาจเป็นคนอื่น แต่ผ่านคืนนี้แล้ว ผมกับหนึ่งคงไม่ใช่คนอื่นแล้วครับ...อ้อ ผมลืมบอก หนึ่งฝากผมบอกคุณอิงว่าขอลาพักร้อนสักอาทิตย์หนึ่งนะครับ” น้ำเสียงยียวนส่งผ่านไปยังอีกฝั่ง ชิตตะวันอยากเห็นหน้าคนฟังนักว่าจะเป็นเช่นไร แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ชัดขึ้น ความสงสัยบางอย่างถูกคลี่คลายไปบ้างแล้ว
อชิตะต้องคิดไม่ซื่อกับคณิตของเขาแน่ๆ
“...คุยกับใครชิต”
เจ้าของโทรศัพท์เอ่ยถามขึ้นมาทันทีเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมา คณิตเห็นโทรศัพท์ของตนอยู่ในมือชิตตะวัน
“คุยกับบอสของหนึ่งไงครับคนดี” ชิตตะวันหันมาตอบ จงใจไม่ขยับโทรศัพท์ออกจากปากเพราะอยากให้คนอีกฝั่งได้ยินชัดเจน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าของเบอร์โทรว่าถึงขั้นไหนกันแล้ว
“แล้วใครบอกให้รับวะ เอามา” คณิตทำเสียงไม่พอใจ ยิ่งไม่พอใจเข้าหนักเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน ยังทำหน้าระรื่นเดินเข้ามาหาเขา แถมยังแกล้งพูดเสียงดัง ดังพอที่เขารู้ว่าคนอีกฝั่งหนึ่งต้องได้ยินชัดแจ๋วแน่
“...เมียใครก็ไม่รู้ตัวห้อมหอม ขอหอมหน่อยนะครับที่รักของชิต”
“เอาโทรศัพท์มา!” พูดพร้อมผลักใบหน้าที่ยื่นมาใกล้ให้ออกไป อีกมือก็แย่งโทรศัพท์ของตนคืนมา
คณิตคว้าโทรศัพท์ดึงโทรศัพท์คืนมาได้ จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไปคุยที่ระเบียง แต่ไม่วายที่ชิตตะวันจะเดินตามออกมาด้วย เจ้าตัวสวมกอดเขาจากด้านหลัง
“ชิต! ปล่อย แล้วเข้าไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะได้นอนด้วย” ถึงคำพูดจะเหมือนต่อว่าคนที่กอดเขาในตอนนี้ แต่คณิตก็อยากให้คนปลายสายได้ยินไปด้วยกัน เผื่อจะช่วยให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมได้เร็วขึ้น
“...ชิตรู้แล้วว่าทำไมหนึ่งถึงมาอยู่ตรงนี้กับชิต”ครั้งนี้ชิตตะวันพูดเบาๆ เขาไม่ได้ต้องการให้อีกคนหนึ่งที่อยู่ปลายสายได้ยิน
คณิตหลบสายตารู้เท่าทันสิ่งที่ตนทำ ก่อนจะหันหลังไปมองท้องฟ้าสีเทาด้านบน ชิตตะวันเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วคณิตถึงได้กรอกเสียงไปหาคนอีกฟากหนึ่ง
“ว่าไงครับบอส มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 
“ผมไม่ให้คุณลา! แล้วกลับมาเดี๋ยวนี้!” อชิตะใช้น้ำเสียงที่ไม่เคยใช้มาก่อนกับคณิต ทั้งวางอำนาจและเผด็จการในฐานะนายจ้างที่จ่ายเงินเดือน 
“ไม่ให้ลา...งั้นผมก็ลาออกแล้วกันนะครับบอส แค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยวก่อนหนึ่ง!...หนึ่ง...”
คณิตตัดสายทิ้งก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ ยืนรับลมยามค่ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องก็เจอเจ้าของโรงแรมยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงตั้งคำถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างหนึ่งกับคุณอิง”

*****
จบตอนที่ 3
ตามตอนที่ 4
วันที่ 18
****
คุณ NOoTuNE คะ รับรองว่าเรื่องนี้ไม่ค้าง ไม่ดอง มาวันเว้นวัน จบแน่นอนค่ะ ^_^
ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 3 UP 16-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-04-2017 17:16:53
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ เตรียมดราม่าน้ำตาแตก 55555
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 3 UP 16-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-04-2017 20:05:12
เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว ค้างมาก
แต่ละคนหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 4 UP 18-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-04-2017 20:01:52
4

‘เกิดอะไรขึ้นระหว่างหนึ่งกับคุณอิง’

เป็นคำถามที่คณิตไม่อยากตอบ แต่เหมือนว่าสายตาที่จ้องมาอย่างไม่กระพริบ จริงจังและขึงขังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอจากชิตตะวัน มันคงอยากได้คำตอบจากเขามากเหลือเกิน

“มึงจะถามกูทำไมวะ”

“ถามให้ได้ตอบไง”

“มันเรื่องส่วนตัวของกู มึงไม่ต้องรู้หรอก ไม่ใช่เรื่องของมึง” คณิตทำโวยวายแกล้งกลบเกลื่อน

“หนึ่งจะบอกหรือไม่บอก” เสียงแข็งๆ ไม่ได้ทำให้เจ้าของชื่อกลัวหรอก แต่สิ่งที่ทำให้กลัวในเวลานี้คือเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นต่างหาก

Rrrrrrrrr…..

‘ติน’ ชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอทำเอาคณิตร้อนๆ หนาวๆ

“ขี้ฟ้องซะมัด”

คณิตพึมพำกับตัวเองก่อนจะกดรับสายของภาคี ความจริงเขาไม่ได้อยากรับสายหรอก เพราะรู้อยู่ว่าเพื่อนบังเกิดเกล้าโทรมาเพราะอะไร คงรู้สินะว่าเขาอยู่กับศัตรูตัวฉกาจของมัน และไม่บอกก็รู้ว่าภาคีรู้จากใคร ก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาอยู่กับไหน อยู่กับใคร

คนที่เขาเพิ่งวางสายไปเมื่อครู่

คนที่ทำให้ทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทีละนิด

และเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกใจหวิวๆ เมื่อพูดคำว่า ‘ลาออก’ คำพูดที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเอ่ยมาในเวลารวดเร็วเช่นนี้

“มึงไปหามันทำไม กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะหนึ่ง!” ทันทีที่กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเข้มสุดๆ ของภาคีก็ดังขึ้นมาทันที ดังถึงขนาดที่ว่าชิตตะวันยังได้ยิน

“ครับพ่อตินของหนึ่ง...หนึ่งจะกลับเดี๋ยวนี้ละคร้าบบบบ พอใจแล้วใช่ไหมมึง” คณิตลากเสียงยาวตอบอย่างประชด ก่อนกดตัดสายทิ้งทันที แล้วหันไปบอกคนที่ยืนเท้าสะเอวทำหน้าเซ็งมองมาที่เขาก่อนแล้ว

“กูกลับละ”

“เมื่อไหร่มันจะเลิกเป็นมารขวางความรักกูซะทีวะ ไอ้เชี่ยนี่” ชิตตะวันบ่นอย่างหัวเสีย เขามองหน้าคนที่ออกอาการเซ็งไม่ต่างจากเขาเลย แต่คงคนละเรื่องกันอย่างแน่นอน เพราะเรื่องของเขาคือการอดได้กอด ส่วนคณิตคงเป็นเรื่องของเพื่อนและนายจ้างของตัวเอง

“ไม่กลับได้ไหมหนึ่ง หนึ่งก็รู้ว่าชิตรอวันนี้มานานแค่ไหน” ชิตตะวันปรับโหมด กลับมาอ้อนเสียงหวาน หวังให้คณิตเปลี่ยนใจ แม้จะดูไม่มีหวังเลยก็ตาม เขารู้ว่าคณิตจะต้องเลือกภาคีอยู่แล้ว 

“รอวันที่จะได้จับกูทำเมียน่ะนะ งั้นมึงรอไปก่อน วันนี้ดวงมึงไม่ดีว่ะ ไม่ได้จับนมแบนๆ ของกู เอาเป็นว่ามึงไปใช้บริการน้องหนูนมตูมๆ ของมึงเถอะ กูไปละ...บาย”

ว่าแล้วคณิตก็เปิดประตูห้องออกไป แต่ไม่วายหันกลับมาพูดให้ความหวังคนที่ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด ด้วยคำพูดที่ทำให้ใบหน้าหล่อของชิตตะวันยิ้มออกมาได้

“กูอนุญาตมึงแค่วันนี้วันเดียวนะเว้ย แต่หลังจากนี้ไป มึงห้ามไปยุ่งกับใครอีก ทั้งหญิง ทั้งชาย เพราะกูไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร เข้าใจนะครับคุณชิตตะวัน”

“ครับคุณหนึ่ง”

*      *      *

“คิดอะไรอยู่วะไอ้หนึ่ง มาทำไมวะ ทำไมไม่กลับบ้านไปนอนสบายๆ มึงมันหาเรื่องซวยจริงๆ”

คณิตด่าเสียงเบากับตัวเอง ขณะที่เดินตามหลังสาวใช้ของบ้านหลังใหญ่ที่เขาเพิ่งจากออกมาเมื่อเช้านี้ ก่อนจะปิดปากเงียบเมื่อเห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเทาเข้ม อชิตะมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้เขาร้อนหนาวขึ้นมาทันที

“.....”

“.....”

ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากของเจ้าของบ้านและแขกประจำของบ้าน มีเพียงคนตัวเล็กกว่าที่เดินถอนหายใจอยู่ตลอดเวลาขณะเดินตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวใหญ่กว่าไปตลอดทางเดินสู่ตัวบ้านชั้นบน

“ผมไม่ให้คุณลาออก” อชิตะเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างเขากับคนที่เดินตามหลังเข้ามาในห้องนอนของเขา คณิตยืนอยู่กลางห้องด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ

“เข้าใจนะหนึ่ง ว่าผมไม่อนุญาตให้คุณไปไหนทั้งนั้น” อชิตะกำชับย้ำอีกครั้ง เขาสกัดกั้นอารมณ์โกรธที่เดือดพล่านภายในอก มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนโทรไปหาคณิต แต่กลับเป็นชิตตะวันที่รับโทรศัพท์ ซ้ำยังพูดเรื่องไม่เข้าหูที่ทำให้เขาระอุยิ่งขึ้น นี่ถ้าไม่โทรไปบอกอดีตลูกน้องคนสนิทอย่างภาคี ป่านนี้คณิตคงไม่ได้มายืนตรงหน้าเขา ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้  อาจจะถูกโอบกอดอยู่บนเตียงที่ไหนสักแห่ง

...แค่คิดใจเขาก็ร้อนดังโดนไฟเผาไหม้ ทั้งที่เมื่อคืนเขาได้นอนกอด และคืนนี้กลับจะให้คนอื่นกอดแทนที่เขาอย่างนั้นหรือ
ไม่มีทาง!

ข้ามศพเขาไปก่อนเถอะ!

คนที่มีสิทธิ์กอดคณิตมีเพียงเขาคนเดียว...คนเดียวเท่านั้น คนอื่นหรือใครหน้าไหนก็ตามไม่มีสิทธ์มากอดคนของเขา คณิตคือคนของเขา!

ไม่ว่าคณิตจะอยู่ในฐานะลูกน้อง คนสนิท หรือคนที่เขากำลังต้องการอย่างหนักราวกับต้องการอากาศหายใจ คณิตก็ต้องเป็นคนของเขาตลอดไป

“ครับบอส” คณิตไม่กล้าสู้สายตาแข็งกร้าวบรรจุอารมณ์รุนแรงที่มองมายังเขาอย่างเข้มงวด บรรยากาศระหว่างเขากับอชิตะดูไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมาตลอด มันแปลกและเปลี่ยนไปจนตั้งรับไม่ทัน มันทำเขาเซและไร้ทางต่อสู้กับสิ่งที่แปลกและเปลี่ยนไปนี้

“ถ้าตินไม่โทรไปหาคุณ มันจะเกิดอะไรขึ้น”  ถามแล้วก็ต้องกดอารมณ์ที่มันเดือดพล่านอีกครั้งอย่างยากเย็น เขายังจำคำพูดของชิตตะวันได้ทุกคำ! ไม่ใช่แค่คำพูด รวมถึงน้ำเสียงเยาะเย้ยนั้นด้วย แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง เขาจะทำยังไง ถ้าผู้ชายตัวเล็กหน้าขาวที่ก่อกวนหัวใจของเขาจะกลายเป็นของคนอื่น

ความรู้สึกยามนี้คือ...คณิตต้องเป็นคนของเขาเท่านั้น ความรู้สึกและความคิดนี้จู่โจมเขามาตั้งแต่เมื่อคืน มันรุนแรงอย่างที่เขาก็ไม่อยากห้ามปรามความรู้สึกของตัวเอง ได้แต่ปล่อยให้มันไหลไปตามหัวใจต้องการ

“แต่บอสไม่น่าจะไปฟ้องตินมันเลยนะครับ สองคนนั้นเขาไม่ถูกกัน บอสก็รู้” คณิตแย้งเสียงเบา ชายหนุ่มร่างเล็กรู้สึกว่าเสียงของตนเบาเหลือเกิน มันเป็นเพราะความรู้สึกกลัวคนตรงหน้ามากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คณิตไม่เคยกลัวเจ้านายคนนี้เลย แต่นี่เป็นครั้งแรก

ใจสู้หน่อยสิวะหนึ่ง! จะกลัวทำไม!

คณิตได้แต่ปลุกปลอมหัวใจที่สั่นด้วยความรู้สึกกลัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

“หึ...” มีเพียงเสียงหึในลำคอ ก่อนที่ความเงียบจะก่อตัว

อชิตะมองใบหน้าขาวที่มองตอบเขามา แววตาในดวงตาเรียวเล็กนั้นดูเหมือนจะกลัวเขาอยู่ไม่น้อย แต่ก็พยายามที่จะสบตาเขาเพื่อแสดงออกว่าไม่กลัวเขา

“ไปอาบน้ำ...” อชิตะบอกแค่นั้น ก่อนจะลุกเดินไปหยิบเสื้อคลุมสีเทาเข้มกับผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้ามายัดใส่มือคนตัวเล็กกว่า

“คืนนี้นอนในห้องนี้...กับผม” 

“แต่ผมจะนอนที่...ก็...ก็ได้ครับ” คณิตอ้าปากท้วงว่าเขาจะไปนอนที่ห้องนอนประจำของตน แต่ท้ายแล้วก็ต้องรับคำอย่างจำยอมเพราะไม่อาจสู้กับสีหน้าที่จริงจังของอชิตะได้ เวลาที่อชิตะจริงจังขึ้นมา มันดูโหดและยากจะต่อกรด้วย ยากยิ่งกว่าภาคีเพื่อนของเขาซะอีก

“ทำไมต้องกลัวด้วยวะ ทำไมต้องทำตามคำสั่งด้วยวะไอ้หนึ่ง มึงนี่มันรนหาที่ตายชัดๆ” คณิตบ่นกับตัวเองอีกครั้ง เมื่ออชิตะเดินออกจากห้องไปแล้ว

*      *      *

“นั่ง...”

คำสั่งดังขึ้นทันทีที่คณิตเดินไปยังระเบียงห้องกว้างขวางที่มีพื้นที่ประมาณหนึ่งส่วนสามของตัวห้องนอน เขานั่งลงตามคำสั่งของอชิตะ พร้อมกับแก้วเบียร์ที่วางลงตรงหน้า แล้วก็คำสั่งอีกครั้ง!

“ดื่ม...”

“ครับ”

คณิตค่อยๆ ยกเบียร์ขึ้นจิบ ในหัวของเขาก็มีแต่คำถามที่ว่า ‘ทำไมเขาต้องกลัวอชิตะถึงขนาดนี้ ทำไมต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง ทำไมต้องเอาตัวมาเสี่ยงอันตรายอยู่ตรงนี้ด้วย’ รู้ทั้งรู้อยู่ว่าระหว่างเขากับอชิตะ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้วเจ้านายที่แสนดี
แค่คืนเดียวทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้เลยหรือไร? 

“หนึ่ง...”

“ครับบอส”

อชิตะเหมือนจะเอ่ยปากพูด แต่แล้วก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้วแทน แต่สายตานั้นยังคงจับจ้องใบหน้าขาวกับตาดวงเรียเล็กที่มีแววขลาดกลัวอยู่ในที เขารู้...ถึงแม้คนคนนี้จะปากดี ชอบตีผีปากกับเขา แต่เจ้าตัวก็เคารพและเกรงกลัวเขา หากเขาเอาจริงขึ้นมา อย่างเช่นตอนนี้

“บอส...ผมง่วง” คณิตเอ่ยบอกผ่านความเงียบที่ยาวนานเหลือเกินในความคิดของเขา ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ง่วง แล้วยังอยากดื่มเบียร์เย็นๆ ให้ชื่นใจ แต่นั่นต้องเป็นสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้ ที่ถูกจ้องมองอย่างไม่วางตา แม้อชิตะจะยกแก้วเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่า แต่สายตาไม่เคยละวางไปจากหน้าเขาเลย

ไม่มีคำพูดจากเจ้านายหนุ่ม มีเพียงสายตาที่ละไปจากใบหน้าลูกน้องคนสนิท แล้วมองไปยังความมืดเบื้องหน้า สักพักใหญ่ๆ ถึงมีคำพูดจากปาก ซึ่งก็ยังคงเป็นคำสั่งเช่นเดิม

“ดื่มให้หมดแก้ว” อชิตะสั่ง ก่อนจะลุกเดินไปหยิบโทรศัพท์ เรียกให้คนขึ้นมาเก็บข้าวของบนโต๊ะ

*      *      *

“นอน...”

มันเป็นคำสั่งอีกแล้ว คำสั่งของคนที่ก้าวขึ้นเตียงก่อนหน้าเขา คำสั่งที่คณิตต้องทำตามอย่างขัดไม่ได้ ทั้งที่เขาสามารถจะขัดคำสั่งต่างๆ ได้ หากเขาจะกล้าพอ แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำมัน

ไม่รู้สิ ความรู้สึกของอชิตะทำให้เขากลัวจนอยากวิ่งหนีไปให้ไกล หากเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธทุกความต้องการของของอชิตะเช่นกัน มันเหมือนกับว่าในความกลัวมีแรงดึงดูดบางอย่าง คล้ายกับว่าลึกๆ แล้วเขารู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด

เหมือนอย่างที่คณิตคิดไว้ทุกอย่าง เพียงแค่ล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่าย เขาก็ถูกสวมกอดจากด้านหลังทันที ท่อนแขนใหญ่และแข็งแรงสอดเข้ามาโอบรัดตัวเขาไว้ แล้วดึงให้เข้าไปติดกับแผ่นอกกว้างอย่างแนบแน่น กับรอยสัมผัสจากกลีบปากที่จูบซับบนขมับของเขาอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ผมไม่ชอบสิ่งที่คุณทำวันนี้” อชิตะหมายถึงทุกเรื่อง เรื่องที่ไม่ทำตามคำสั่งเขา หนีเขาไป ขู่ว่าจะลาออก และเรื่องของชิตตะวัน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมคณิตถึงกลับมาหาเขา แต่ก็ไม่อยากถามเอาคำตอบ เพราะเขาพอใจกับการกลับมาของคณิตมากกว่า

“เรื่อง...อะไรครับ...บอส” คณิตทำใจดีสู้เสืออย่างอชิตะ ถามคำถามที่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องอะไร

“ทุกเรื่อง...โดยเฉพาะเรื่องของชิตตะวัน! ทำไมถึงไปหามัน” เสียงเสือร้ายดุดันขึ้น เพราะในใจมันเริ่มเดือดอีกจนได้

“ชิตเป็นเพื่อนผม ทำไมผมจะไปหาไม่ได้!” เมื่อคนที่กอดเขาแน่นมากๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปไหน พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มันเลยอดไม่ได้ที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกัน

“แน่ใจนะว่าเป็นเพื่อน!”

“แน่ใจครับ!” เมื่ออีกฝ่ายเสียงแข็งกลับมา คณิตก็เสียงแข็งกลับไป

“หึ...คิดว่าผมจะเชื่อเหรอ”

“งั้นก็ไม่ต้องเชื่อสิครับ”

คล้ายความอดทนของคณิตจะหมดลง เขาดิ้นสุดกำลังเอาตัวออกมาจากท่อนแข็งแกร่ง ลุกขึ้นมานั่งมองเจ้าของเตียงผ่านความมืดสลัว ก่อนแสงจากโคมไฟที่หัวเตียงจะสว่างขึ้น พร้อมกับร่างใหญ่ที่ลุกขึ้นมามองหน้าเขาตอบเช่นกัน

“อยากไปนอนให้มันเอามากหรือไง”

คำถามที่ทำเอาคณิตสะอึก ชายหนุ่มหน้าขาวกลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยแรงโกรธ กำหมัดแน่น อยากจะชกปากของอชิตะที่ปล่อยคำน่าเกลียดออกมามาก แต่เขาก็ต้องบังคับตัวเองเอาไว้ให้ มันไม่ดีแน่ถ้าจะทำ เพราะเขานี่แหละจะโดนตอบกลับที่รุนแรงมากกว่าหลายเท่า

“ตอบ!” อชิตะไม่ได้สนใจใบหน้าที่ขึ้นสีด้วยความโกรธแต่อย่างใด แม้เขาจะรู้สึกผิดที่ถามด้วยคำแรงคำนั้น แต่คำตอบคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด

“.....”

“ตอบสิ...หนึ่ง อยากไปนอนกับมันมากหรือไง!”

“ไม่ครับ แต่ก็ดีกว่าที่ต้องมานอนกลับคุณ!” คณิตใช้คำเรียกขานที่สร้างระยะเหินห่าง จาก ‘บอส’ เป็น ‘คุณ’

“งั้นเหรอ...”

น้ำเสียงเย็นเฉียบ กับใบหน้าที่ขึงโกรธ ทำเอาคณิตตัวเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ความกล้า ความโกรธเมื่อครู่ หายวับไปไหนหมดไม่รู้ ที่เหลืออยู่คือความกลัวและคำด่าทอตัวเองที่หาเรื่องใส่ตัวจนได้

ราวกับว่าเขากำลังได้รับเตือนจากสัญญาณอันตราย แต่ก็เหมือนมันจะช้าเกินไปเสียแล้วสำหรับคณิตกับความคิดที่จะเผ่นลงจากเตียง เพราะมือใหญ่ของคนร่วมเตียงคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะถูกดึงเข้ามาปะทะกับร่างแข็งแรงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
ในความใกล้แค่ปลายจมูกกั้น กับลมหายใจที่ปะทะกัน และสายตาที่ประสานกัน แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธ อยากเอาชนะในตอนแรก ทว่าในตอนนี้ความผูกพันในวันเก่ากำลังเริ่มเผยตัวทีละน้อยๆ ในแววตาของคนทั้งคู่

“หนึ่ง...ผม...”

น้ำเสียงของอชิตะคลายความร้อนแรงลง เขามองเข้าไปในดวงตาเรียวเล็ก ดวงตาที่เขาคิดว่าเขาคงจะชอบมามันนานแล้ว ความโกรธเมื่อครู่ราวกับถูกอะไรบางอย่างพัดหอบเอาจากไปหมด อะไรบางอย่างนั้นก็คือดวงหน้าที่อยู่ใกล้เหลือเกินนี้ ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมานานหลายปี

ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น ถึงรับเขามาทำงาน

“ผมขอ...”

เขามองแววตาที่เหมือนลูกกวางน้อยเข้าไปทุกที ยิ่งทำให้น่าหลงใหล ยากหักห้ามความรู้สึกเร่าร้อนในอก 

“...จูบ”

มันคือสิ่งที่เขาต้องการ มันเรียกร้องอยู่ในหัวมาตลอด เขาอยากครอบครองริมฝีปากที่ซ่อนความหวานไว้มากมาย อยากลิ้มรสให้เต็มอยากเหมือนอย่างค่ำคืนที่ผ่านมา เขาเหมือนเจอของอร่อย ยิ่งกินยิ่งอยาก ยิ่งอยากก็ยิ่งขาดไม่ได้

ไม่ใช่สิ! เขาปรารถนาได้ทั้งหมดที่เป็นคนคนนี้ต่างหาก

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากเรียวปากเล็กที่อชิตะอยากสัมผัสและครอบครอง มีเพียงดวงตาเรียวเล็กที่ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ ราวกับว่า มันคือคำตอบของคำขอเมื่อครู่

“.....อืออ”

ปากหนาที่ทาบลงบนปากเล็กอย่างช้าๆ ราวกับผีเสื้อกำลังสัมผัสกับเกสรดอกไม้ที่หวานฉ่ำชื่น ก่อนจะบดเบียดรุนแรงขึ้น แล้วดึง
ดันเข้าไปดูดดื่มความหวานหลังกลีบปากสวยที่ยินยอมอย่างเต็มใจ

“อื้มม......”

เมื่อปากทำหน้าที่ได้อย่างสวยงามแล้ว มือใหญ่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองโดยอัตโนมัติ สอดประสานกันอย่างดี เมื่อมันค่อยๆ คลายปมของเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างเล็กผิวขาวนวลเนียนเอาไว้

เมื่ออาภรณ์ถูกปลด ผิวขาวที่เคยคุ้นตามาตลอดก็ปรากฏให้เห็นชัดเต็มสองตา เมื่อครั้งก่อนนั้น ก่อนค่ำคืนแห่งจูบแรกจะเริ่มขึ้น อชิตะไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นผิวกายของคณิตเลย แต่หลังจากคืนนั้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง เขาอยากสัมผัสกับผิวกายขาวนี้เหลือเกิน

อยากสัมผัสเท่าที่ใจเขาต้องการ เท่าที่เจ้าของเรือนร่างนี้จะยินยอม... หรือไม่ยินยอม เขาก็จะเอามาให้ได้

“บะ...บอส...ไม่เอา...ผม...” เหมือนจะตื่นจากภวังค์ทันทีที่หลังเปลือยเปล่าของตัวเองสัมผัสกับเตียงนุ่ม โดยมีร่างกำยำใต้ชุด
คลุมสีเทาทาบทับลงมาติดๆ ปากหนาที่เคยดุนดัน ย้ายตัวเองลงมาระบายความเสียวซ่านอยู่บนซอกคอของเขา

“ผมขอนะ...หนึ่ง” เสียงนั้นแหบพร่าตามอารมณ์ที่คุกรุ่นพลุ่งพล่านตามแรงปรารถนาของบุรุษ เขาถอนใบหน้าจากซอกคอขาวมีกลิ่นหอมขึ้นมามองสบกับดวงตาคู่ฉ่ำเยิ้ม ไม่รู้คณิตจะรู้ไหมว่าสายตาแบบนี้ มันยั่วยวนคนมองมากแค่ไหน ความต้องการของเขากำลังใกล้บ้าคลั่งเต็มทนแล้ว ไม่เคยเลยจะรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แม้แต่คู่หมั้นก็ไม่เคย ไม่เคยอยากแตะต้องเท่าร่างกายของคณิต

แม้ไม่เคยทำกับผู้ชายมาก่อน แต่ด้วยวัยที่มีประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ตอนเรียนที่ต่างประเทศก็มีเพื่อนเกย์อยู่ในกลุ่ม เห็นผ่านตาก็หลายหนทั้งคลิปและของจริง มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินจะทำให้คนตัวเล็กมีความสุขและพาเขาขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน

“ตะ...แต่...บอส...ครับ...” น้ำเสียงของคณิตเบาหวิว หลบสายตาของอีกฝ่าย เขาไม่อยากสบตาที่เต็มไปดวงอารมณ์ความต้อง
การที่มองเขาราวกับจะกลืนกินให้ได้ เป็นเหยื่อชิ้นโอซะของเสือผู้โหยหิว แล้วอารมณ์ของเขาอีกล่ะ ถึงจะไม่เทียบเท่า แต่มันก็คงไม่น้อยกว่าไปมากนัก

ยอมรับตรงๆ เขาก็ต้องการ!

แต่เขาก็กลัว...

กลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นหลังจากผ่านคืนนี้ไป จากความคิดที่งี่เง่าของเขาในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่เขาเริ่มจะไม่มั่นใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ทั้งความรู้สึกและความต้องการที่เอ่อล้น มันเริ่มจากเมื่อค่ำคืนนั้นจริงหรือ...

หรือว่าแท้จริงแล้ว....

มันเกิดขึ้นมานาน

เพียงแค่ไม่รู้ตัว

“บะ...บอสครับ...ผมกลัว...” อชิตะจะรู้ไหมว่าสิ่งที่เขากลัวคืออะไร 

“ไม่ต้องกลัวนะหนึ่ง...ผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บ...” เสียงนั้นดังปลุกปลอบเอาใจอยู่ชิดใบหู

“บอสครับ ผมไม่ได้กลัวเรื่องเจ็บ แต่ที่ผมกลัวคือ...ผมกลัวจะทำให้คุณ...คุณหวานเสียใจ บอสจะแต่งงานกับคุณหวานแล้วนะครับ เราอย่าทำผิด อย่าทำให้คุณหวานเสียใจเลยนะครับ...บอส”

เขารู้แล้ว เขามาที่นี่เพื่ออะไร เพื่อที่จะจบเรื่องงี่เง่าที่เกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของเขาไงล่ะ

“....ไม่กี่เดือนบอสจะแต่งงานกับคุณหวานแล้วนะครับ บอสจำคำพูดที่บอกกับผม บอกกับทุกคนได้ไหมว่าบอสจะมีลูกสี่คน บอส
จะมีครอบครัวที่อบอุ่นกับคุณหวาน จะรักและดูแลคุณหวานไปตลอดชีวิต... อย่าให้เกิดเรื่องบ้าๆ อย่างที่เราสองคนกำลังทำอยู่เลยนะครับ...ผมขอร้อง...”

ไม่มีคำพูดใดจากปากของอชิตะ ชายหนุ่มเพียงแต่พลิกตัวลงนอนข้างคนตัวเล็ก ก่อนจะดึงเข้ามากอด อชิตะกอดร่างเล็กนั้นไว้แนบอก ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เขาหวงแหนมากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถครอบครองได้

นี่คือค่ำคืนสุดท้ายที่เขาจะทำแบบนี้ได้ จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว

...งั้นหรือ?

.....จบตอนที่ 4.......

ตามตอนที่ 5 วันที่ 20 นะคะ

เรื่องนี้จบแน่นอนค่ะ ตอนนี้คนเขีียนก็เร่งเขียนตอนพิเศษ แต่ไม่ได้เอาลงในเล้านะคะ
จะมีเฉพาะเป็นรูปเล่มและเล่มออนไลน์
ลงจนจบก็คงได้ฤกษ์ประกาศจองประมาณนั้น
แต่ต้องขอ id ขายของก่อนใช่ไหมค่ะ ต้องไปศึกษาข้อมูลก่อน

By สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 4 UP 18-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-04-2017 22:18:43
มันแย่ตรงพระเอกมีคู่หมั้นอยู่แล้วนี่แหละ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 4 UP 18-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-04-2017 22:30:05
เครียดไปอีกกกกกกก
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 5 UP 20-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 20-04-2017 20:20:01
5

“นี่...บอสเรียก”

คณิตเงยหน้าจากแปลนบ้านในมือขึ้นมา มองหน้าคนที่เอาสิ่งที่ตนไม่ต้องการมากที่สุดในโลกมาให้ถึงโต๊ะทำงานเป็นรอบที่ห้า...
มันเป็นรอบที่ห้าภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ที่นิรดาเดินมาตามเขาให้เข้าไปพบเจ้าของบริษัท นายจ้างของเขาที่เขาพยายามหลบหน้ามาถึงสองวัน   

“ไปบอกบอสได้ไหมว่าฉันยุ่งมาก” นี่คือคำตอบที่เขาให้นิรดาเป็นครั้งที่ห้า คำตอบเดิมเหมือนทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมา

“หึ...ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายกับบอสมีเรื่องอะไรกัน แต่ช่วยแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกได้ไหมยะ เพราะฉันไม่อยากถูกบอสอารมณ์เสียใส่เพราะเรื่องของนาย มันสมควรไหมที่ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ... แล้วนายรู้ไหมทุกครั้งที่ฉันเอาคำตอบของนายไปให้บอส ฉันเจออะไรบ้าง...” หญิงสาวร่ายยาวใส่อารมณ์พอสมควร เพราะเป็นคู่แค้นกันมาก่อนจากเรื่องของภาคีด้วยแหละ

สิ่งที่นิรดาเจอคืออารมณ์ที่หงุดหงิดมากขึ้นทุกครั้งที่เธอนำคำตอบของลูกน้องคนโปรดไปบอก เธอไม่เข้าใจเลยว่า ห้องทำงานของอชิตะกับโต๊ะทำงานของคณิต อดีตตัวขัดขวางความรักของเธอกับภาคี มันก็ใกล้แค่นี้ ทำไมถึงไม่มาตามเอง 

หญิงสาวเอามือท้าวโต๊ะทำงาน พร้อมกับยื่นวงหน้าฉ่ำเครื่องสำอางเข้าใกล้เจ้าของโต๊ะ บอกเสียงหนัก ราวกับใกล้หมดความอดทนเต็มที

“...ช่วยกรุณาเข้าไปหาบอสที่ห้องเดี๋ยวนี้ อย่าให้ฉันต้องพังโต๊ะทำงานของเธอ!” รับรองว่านิรดาไม่ได้ขู่ แต่เธอทำจริงแน่

“เออๆ ก็ได้”

ไม่ใช่เพราะกลัวนิรดาพังโต๊ะอย่างเจ้าตัวข่มขู่ คนอย่างคณิตหรือจะกลัวนิรดา แต่เพราะคำพูดของนิรดาให้เขาคิดได้ เขาควรจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ แต่เขากลัวว่าไอ้คนที่จะแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวไม่ได้เป็นฝ่ายอชิตะมากกว่า

*      *      *

 “มีอะไรครับบอส” คณิตถามด้วยสีหน้าที่ไม่ยิ้มแย้ม มองหน้าคนที่เหมือนจะนั่งรอการมาของเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าที่บอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจน ว่าไม่พอใจสุดๆ

“ตอนนี้ทำอะไรอยู่” อชิตะไม่ได้ตอบคำถามลูกน้องของเขา แต่ถามกลับ มองหน้าลูกน้องที่ไม่ยอมแม้แต่จะนั่งลงคุยกับเขา

“ทำงานครับ” เขาตอบสั้นๆ

“เห็นว่ายุ่งมากเลยเหรอ ถึงได้ไม่ว่างเข้ามาหาผม” เจ้าของห้องถาม พลางถอนหายใจยาว คล้ายกับระบายอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นภายในออกมาช้าๆ เพื่อที่มันจะได้ไม่ปะทุออกมาทีเดียวตูมใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ มือหนาผสานเข้าหากัน แล้ววางมันไว้บนตัก รอฟังคำตอบ   

“ครับ”

“งานของคุณโก้ใช่ไหม” คำถามที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว ตอนนี้คณิตรับผิดชอบงานของเพื่อนเขาอยู่ เพื่อนที่บอกเขาว่าสนใจคณิตอย่างมาก 

“ครับ”

“แล้วไม่คิดจะนั่งคุยกับผมหรือไง”

“.....” คณิตยังยืนนิ่ง

“เชิญ”

เพราะน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น ทำให้คณิตจำต้องนั่งเสียไม่ได้ 

“งานของคุณโก้ ถ้ามันทำให้คุณยุ่งมากจนไม่มีเวลาเข้ามาพบผม อย่างนั้นก็...”

อชิตะทิ้งจังหวะลงเล็กน้อย มองใบหน้าขาวที่เขาไม่ได้มองแบบเต็มตาเช่นนี้มาสองวันแล้ว คณิตพยายามหลบหน้าเขา มาทำงานสาย และออกจากออฟฟิซเร็ว

“... ผมคงต้องให้คุณปริญดูแลงานคุณโก้แทน คุณจะได้ยุ่งน้อยลง มีเวลาให้ผมมากขึ้น”

“ได้ไงครับบอส งานนี้ผมทำได้เยอะแล้วนะครับ แล้วมันก็เป็นงานของผม ปริญจะมาทำแทนได้ไง” คณิตโวยวายขึ้นมาทันที ไอ้
ตอนที่เขาไม่อยากทำ ทำไมถึงยัดเยียดมาให้จัง แต่พอเขาทำไปเยอะแล้ว ดันจะมาดึงงานของเขาคืน มันได้ที่ไหนกัน ต่อให้เขายังรู้สึกว่าไม่อยากทำงานของเพื่อนอชิตะ ไม่อยากออกไปพบให้ถูกแทะโลมและแตะอั๋งในวันหยุดก็เถอะ   

“ได้...ทำไม่จะไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของผม ตอนนี้ผมส่งปริญไปคุยงานต่อกับคุณโก้เรียบร้อยแล้ว”  อชิตะบอกเสียงนิ่ง ไม่สนใจใบหน้าขาวที่แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างมาก แล้วความอารมณ์ก็คงพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาบอกอีกว่า

“แล้วงานของคุณไพโรจน์กับคุณนราวดี คุณก็ไม่ต้องทำแล้วนะ ผมให้ภัทรพลกับนิดาทำแทนคุณแล้ว”

“บอส! ทำแบบนี้หมายความว่าไง หรือบอสจะไล่ผมออกแค่เรื่องที่....ผมไม่ยอมนอนกับบอสนี่นะ...เหอะ” พูดไปก็อายปาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าอชิตะจะเป็นคนเช่นนี้ นี่แหละคือคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก

“ผมพูดสักคำไหมว่าจะไล่คุณออกเพราะเรื่องที่คุณไม่ยอมนอนกับผม” อชิตะย้อนถาม “แค่อยากให้คุณมีเวลาให้ผม ถ้างานมันทำให้คุณยุ่งจนไม่มีเวลา งั้นก็ไม่ต้องทำ” เขาไม่เคยใช้ความเป็นเจ้าของบริษัทมาข่มขู่ลูกน้อง โดยเฉพาะกับคณิต ที่เมื่อก่อนเขารักและเอ็ดดูเหมือนน้อง แต่ที่ต้องพูดเหมือนคนบ้าอำนาจ เผด็จการก็เพราะเขาห้ามความรู้สึกที่มันคุกรุ่นในอกไม่ได้ เขาไม่ชอบที่คณิตทำตัวห่างเหินออกไป ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขาไม่มีสมาธิทำงานเอาซะเลย
เขาเอาแต่คิดถึงคณิต... หนักไปกว่าความคิดถึงคือความปรารถนาที่อัดแน่นภายใน อยากสลัดทิ้ง 

“ถึงคุณจะไม่ไล่ผมออก แต่ผมก็ขอลาออกครับ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห
นั่นสินะ เขาควรใช้การลาออกเป็นหนทางออกจากชีวิตที่ผิดเพี้ยนนี้ เหตุการณ์แค่ข้ามคืนจากการกระทำโง่ๆ ของเขา ทำให้ทุกอย่างผิดรูปแบบไปหมด

มันรวน

มันป่วน

มันบ้าบอชะมัด!

เขาต้องออกไปจากความเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าสุ้มเสียงทรงอำนาจก็ขัดความขึ้นมาแทบจะทันที

“ผมไม่อนุญาต”

แต่เขาต้องไม่กลัว

“คิดว่าผมแคร์งั้นเหรอครับ ขอโทษ คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของผม และผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทนทำงานกับคนอย่างคุณอีกต่อไป
ลานะครับ หวังว่าเราคงจะไม่ต้องเจอกันอีก” ว่าแล้วคณิตก็ลุกขึ้น เขาหันหลังให้คนที่กลายเป็นอดีตเจ้านายนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

“เดี๋ยวหนึ่ง!”

เสียงเรียกที่มาพร้อมกับแรงกระชากที่ต้นแขน เขาถูกดึงให้เซปะทะร่างที่สูงกว่าและหนากว่ามาก ก่อนจะถูกรวบไว้ทั้งตัว

“ปล่อย!”

นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว ร่างที่เล็กกว่ายังถูกดันให้ไปติดพนังห้องอีกด้วย 

“ปล่อยผม!”

คณิตพยายามดิ้น แต่เหมือนไร้ประโยชน์ เขาสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ อชิตะตัวใหญ่กว่าเขา และใบหน้าคมนั้นก็ดูเหมือนจะโกรธเขามาก ตาคมกริบที่บรรจุลูกไฟร้อนไว้มองราวกับว่าเขาเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดในโลก

“ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ห๊ะหนึ่ง” อชิตะเค้นเสียงถาม เขากลัวว่าตัวเองจะหลุดอารมณ์ที่มันอัดแน่นอยู่ภายในจะระเบิดใส่คนตัวเล็ก อารมณ์ของเขาแทบจะขย้ำคณิตจนแหลกละเอียดได้ทีเดียว

อชิตะรู้ว่าตัวเขาผิดที่ยึดติดกับเรื่องคืนนั้นในสระนำ ผิดที่ไหลไปตามความต้องการส่วนลึกที่คล้ายจะขยายวงใหญ่ขึ้นทุกวินาที ผิดที่ลืมว่าตัวเองนั้นมีคู่หมั้นแล้วและกำลังจะแต่งงานกัน สร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน แต่เขาก็อยากให้คณิตช่วยอยู่ร่วมในความผิดนี้กับเขาด้วย ไม่ใช่ตัดรอนเขาไปซะทุกทาง ไร้เยื่อใย ไร้ความผิด ทั้งที่คณิตเองเป็นฝ่ายปลดปล่อยความปรารถนาเร้นลึกของเขาออกมา จนเขาไม่อาจควบคุมอะไรได้อีก

“ผมมากกว่าที่ต้องถามคุณ ทำไมคุณไม่หยุด” ดวงตาของคณิตวาวจัดยามถามกลับ

“เพราะผมหยุดไม่ได้ไงล่ะหนึ่ง ผมหยุดไม่ได้ คุณเข้าใจไหม ผมหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ได้ ผม...”

อชิตะสูดลมหายใจลึก ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา เพื่อพูดในสิ่งที่เขารู้สึก ความรู้สึกที่เกิดเพียงชั่วข้ามคืนจากจูบที่ยังติดตรึงจนถึงวินาทีนี้ และทำให้เขาไม่สามารถเป็นเขาคนเดิมได้อีกต่อไป

...มันไม่มีทางจะเหมือนเดิมอีกแล้ว

ทั้งหัวใจ สมอง และร่างกายบอกเขาเช่นนั้น

“...ผมรักหนึ่งนะ”

ความรู้สึก “รัก” ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเรื่องตลก แต่มันคงไม่ตลกสำหรับชีวิตของคนที่รู้สึกและพูดมันออกมาอย่างเขาเลย

...ความรักที่เป็นเหมือนความผิดเพี้ยนของชีวิต ไหลไปตามความปรารถนามากกว่าความถูกต้องที่มีมาแต่แรก 

อชิตะรู้ดีว่าทุกอย่างสามารถหยุดลงได้ นับตั้งแต่ค่ำคืนสุดท้ายคืนนั้น คืนที่เขาได้กอดคนตัวเล็กไว้ทั้งคืน มันเป็นคืนที่ยาวนานและเขาหลับตาไม่ลง ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมถึงคนที่เขานอนกอดด้วย

เขาควรหยุดตามคำพูดของคณิตที่ฉุดรั้งไม่ให้เกิดอะไรเกินเลยกว่าการสวมกอด แต่เขากลับไม่ยอมหยุดมัน เขากลับรู้สึกโหยหาผู้ชายที่ชื่อคณิต เขาหวงแหนความรู้สึกหลงใหลครั่งไคล้นี้ และอยากให้มันดำเนินต่อไปอีกแสนนาน นานตลอดไปอย่างคนที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

ใช่...เขามันคนเห็นแก่ตัว

และเมื่ออยากได้อะไรแล้ว เขาก็ต้องได้ ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องเอามาให้ได้ คนก็เป็นคนแบบนี้แหละ

“ฟังผมนะ” คณิตสะกดอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลง เพื่อพูดให้อชิตะเห็นความจริงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ “มันไม่ใช่ความรัก มันก็แค่ความรู้สึกที่คิดไปเองของคุณ”

“คุณรู้ได้ไงว่ามันไม่ใช่ความรัก”

“ความรัก...มันมีจุดเริ่มต้น ต้องมีเรื่องราว แต่สิ่งที่คุณเรียกว่าความรัก แล้วปามันใส่ผม มันไม่มีอะไรเลย นอกจากอารมณ์ชั่ววูบของคุณ และคุณก็โมเมว่ามันเป็นความรัก” 

“แค่นี้เองเหรอที่มันทำให้คุณคิดว่าความรู้สึกของผมไม่ใช่ความรัก” อชิตะถาม ใช้สายตาผิดหวังมองอีกฝ่าย 

“หรือคุณคิดว่าไม่ใช่ อารมณ์ชั่ววูบที่คุณอยากได้ผมเป็นเมียไง คุณก็เลยต้องหลอกล่อตัวเองว่ามันคือความรัก”

คำพูดของคณิตไม่ถูกใจคนถามเลยสักนิด ถึงทำให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดุดันยิ่งขึ้น อชิตะยืนมองหน้าคณิตนิ่ง นานเกือบนาทีกว่าอชิตะเอ่ยคำถามสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง

“งั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ...แล้วก็ปล่อยผมได้แล้ว ผมจะไปเก็บของ ออกไปให้พ้นหน้าคุณ คุณจะได้หายบ้าเสียที”

“ที่ผมเป็นบ้าแบบนี้ มันก็เพราะคุณ...หนึ่ง”

อชิตะไม่ได้โยนความผิดให้อีกฝ่าย แต่มันคือความจริงที่สุดต่างหาก ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกทั้งรัก ทั้งหึง ทั้งหวง ปรารถนาจะกกกอดได้มากมายเพียงนี้ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ ทำไมถึงเกิดขึ้นได้รวดเร็วและมากมายนัก

“คุณเริ่มก่อนนะหนึ่ง คุณทำให้ผมต้องการคุณ คุณทำให้ผมคลั่งแทบจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม”

เขามองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนกำลังสำนึกถึงความผิดของตัวเอง คงนึกไปถึงคืนนั้น ในสระน้ำ กับคำถามที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป แล้วใบหน้าขาวก็ก้มหลบสายตาของเขา แต่มีหรือเขาจะยอม เขาปล่อยมือข้างหนึ่งที่กอดรัดให้ไม่คนตัวเล็กกว่าดิ้นหนีเขาไปเมื่อหลายนาทีก่อน เพื่อจะใช้มันบังคับให้ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตากับเขาอีกครั้ง

ให้คณิตได้เห็นความปรารถนาของเขาเต็มสองตา

“คุณรู้อะไรไหมหนึ่ง ว่าตอนนี้ผมอยากทำอะไรมากที่สุด”

“อยากจูบผม” มันคำตอบที่คณิตแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เพราะทั้งน้ำเสียง แววตา และกรอบหน้าคมเข้มที่อยู่ใกล้แค่คืบ

“แล้วผมจูบได้ไหม” คำตอบของคณิตทำให้อชิตะมีรอยยิ้มแต้มมุมปาก แล้วยังทำให้ความหงุดหงิดใจก่อนหน้าแทบจะหายไปจนหมด ที่มีเข้ามาแทนคือความพึงพอใจ

“ทำไมต้องถามด้วย ในเมื่อผมห้ามอะไรคุณไม่ได้อยู่แล้ว” คนถูกขอจูบบอกอย่างประชด ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกโกรธคนตรงหน้ามากเหมือนเมื่อหลายนาที ที่เหลือก็คงเป็นความรู้สึกผิด ผิดอย่างที่อชิตะพูดกรอกหูเขานั่นแหละ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นผล
มาจากคืนวันนั้นทั้งสิ้น เป็นผลมาจากคำถามโง่ๆ ของเขาเอง

“แค่อยากให้สมัครใจ” อชิตะยังคงยิ้ม พอใจที่คณิตไม่ต่อต้านเหมือนตอนแรก คล้ายกับว่าเจ้าตัวยอมแพ้ต่อความต้องการของเขา ไม่อาจสู้กับความปรารนาโลดแล่นอยู่ตรงหน้า

“แล้วถ้าผมไม่สมัครใจล่ะ” คณิตถามกลับ ตัวเขาเองก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาโกรธใครได้ไม่นาน และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะอชิตะใจเย็นลงด้วยแหละ เขาชอบใบหน้ามีรอยยิ้มพึงพอใจของอชิตะมากกว่าใบหน้าดุดันที่เขาไม่คุ้นเคย เพราะตลอดเวลาที่ทำงานกับอชิตะ เจ้านายหนุ่มของเขาไม่เคยสาดอารมณ์ไม่พอใจหรือหงุดหงิดใจอะไรใส่เขาเลย มีแต่เอาใจและดูแลเป็นอย่างดี เพราะอชิตะเคยทำดีกับเขามากไง เขาถึงไม่กล้าหาญพอจะหักหาญหรือต่อกรด้วยแบบเด็ดขาด ชนิดที่ว่าแตกเป็นแตก เขาแค่พยายามจะดื้อเพื่อให้อชิตะยอมถอยออกไป แต่ถ้าอชิตะไม่ยอมถอย เขาก็ยอมแพ้อย่างจำยอม และรอโอกาสจะดื้อต่ออีกครั้งจนกว่าอชิตะจะถอดใจไปเอง

“ไม่สมัครใจงั้นเหรอ?” ถามแล้วก็ยิ้ม มองกลีบปากเล็กที่ขยับยู่แสดงความไม่พอใจออกมาก่อนตอบคำถามของเขาว่า

“ใช่”

อชิตะค่อยๆ ละมือจากใบหน้าขาวลงมารวบเอวเล็กให้เข้ามาประชิดมากยิ่งขึ้น มีความสุขที่สถานการณ์ระหว่างเขากับคนตัวเล็กกว่าไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้ เขาดีใจที่คณิตอ่อนให้ หรือมันเป็นเพราะเขาอ่อนให้อีกฝ่ายก่อนกันแน่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นแบบนี้ดีมากแล้ว
เขาได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ หากเขาอยากทำให้คณิตยอม เขาควรยอมให้คณิตก่อน เพราะเมื่อเขาอ่อนลง คณิตก็อ่อนตาม อย่างเช่นตอนนี้ที่คณิตไม่มีทีท่าว่าจะโกรธหรือโมโหในการกระทำของเขา

“ผมคิดถึงรสชาติที่ได้จากปากของคุณมากรู้ไหม ผมรอให้คุณสมัครใจก่อนไม่ไหวหรอกนะ”

เมื่อคำพูดสิ้นสุด แล้วเจ้าของกลีบปากน่าบดขยี้ไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านกลับมาอย่างเผ็ดร้อน มีเพียงใบหน้าขึ้นสีอย่างช้าๆ เป็น
ปฏิกิริยาตอบกลับ ยิ่งทำให้อชิตะได้ใจโน้มใบหน้าลงต่ำ บดริมฝีปากตนกับกลีบปากบางสีหวานด้วยความโหยหาและปรารถนา เขายอมรับว่าหลงใหลกับความหวานที่ได้ลิ้มลองนี้เหลือเกิน

“อื้มมมม...” ลิ้นร้อนที่สอดแทรกเข้ามาให้คนถูกรุกล้ำต้องเผลอครางออกมาเบาๆ อย่างสุดกลั้นแล้ว 

คณิตนึกอายตัวเองที่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ ซ้ำร้ายเขายังเผลอยกมือขึ้นโอบรอบต้นคอหนาไว้ราวกับกลัวว่าริมฝีปากร้อนจะหนีห่าง แล้วร่างกายที่ถูกบังคับให้เบียดแนบแน่นกับร่างที่หนากว่าอีกล่ะ เขาไม่ควรรู้สึกดีไปกับจูบดูดกลืนนี้ ดีจนเขาอยากหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ให้นานที่สุด

เมื่อครู่เขาบอกอชิตะไปใช่ไหม ว่าความรักต้องมีจุดเริ่มต้น แล้วค่ำคืนกลางสายน้ำเย็นฉ่ำ กับคำถามโง่ๆ ที่หลุดออกจากปากเขา มันจะใช่จุดเริ่มต้นไหม?

จุดเริ่มต้นโง่ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนและความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปไกล

จูบแรกจากความมึนเมา ความสับสนในใจลึกๆ จนมาถึงจูบปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและอารมณ์ความต้องการ 
‘แกร็ก’

เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของอชิตะ เรียกสติของคณิตกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาต้องผลักอชิตะออกไปให้ไกลที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว และอชิตะก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเอวของเขาด้วย ดีหน่อยที่ยังพอจะเลิกจูบเขาอย่างพวกหิวโซซะที
ไม่ว่าใครจะเข้ามาเห็นความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยนระหว่างเขากับอชิตะ เขาก็ขายหน้าอยู่ดี แต่ตอนนี้มันยิ่งกว่าขายหน้าซะอีก ในเมื่อคนที่เข้ามาคือ...

“บอสคะ...คุณภารินีมาแล้วนะคะ...ว้ายยย...! …เอ่อ...ยะ...ยุ่งอยู่หรือคะ....งั้น...นะ...นุ่น...ออกไปบอกให้คุณภารินีรอก่อนนะคะ” เพราะอรอุมาเลขาของอชิตะลาป่วยมาสองวันแล้ว นิรดาถึงต้องรับหน้าที่แทน เนื่องจากเธอสนิทกับอรอุมาที่สุด และยังเป็นญาติห่างๆ ซึ่งห่างมากของอชิตะด้วย

นิรดาคือผู้โชคดีที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้า หญิงสาวไม่คิดว่าการเข้ามารายงานอชิตะว่าลูกค้าที่นัดไว้มาถึงแล้ว จะเป็นการเปิดประตูเข้ามาพบความจริงอันเป็นความลับอชิตะกับคณิต ที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้กันได้

‘มิน่าละ อชิตะถึงตามใจคณิตนัก’

นิรดาแอบสรุปในใจ

“ปล่อยก่อน” คณิตเสียงเขียวบอกเจ้าของท่อนแขนที่ไม่ยอมปล่อยเขาเป็นอิสระเสียที ทั้งที่มีคนเข้ามาเห็นเต็มสองตา แถมเป็น
อริเขาด้วย และอชิตะควรรักษาชื่อเสียงของตัวเองหน่อยไหม เป็นถึงเจ้าของบริษัทนะ คนที่เข้ามาเห็นก็เป็นคนที่ปากมากที่สุดในบริษัท เรื่องนี้ได้กระฉ่อนบริษัทแน่ๆ

แทนที่อชิตะจะทำตามที่คนตัวขาวบอก เขากลับโอบเอวเล็กให้แน่นขึ้น พลางหันไปบอกนิรดาว่า

“นุ่นช่วยพาคุณภารินีไปที่ห้องประชุมนะ แล้วไปบอกให้คุณเกียรติศักดิ์เข้าไปคุยงานแทนผม ส่วนนัดอื่นๆ วันนี้ให้โทรไปเลื่อนเป็นอาทิตย์หน้าให้หมด บอกไปว่าผมไม่สบาย”

“เอ่อ...ค่ะ”

“ส่วนเรื่องผมกับหนึ่ง หวังว่าจะไม่ถึงหูคนอื่นนะ เข้าใจใช่ไหมนุ่น” เขาก็พอรู้ว่านิรดาเป็นคนช่างเม้าธ์ จึงต้องห้ามไว้ก่อน ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ดูหน้าคณิตแล้วนึกสงสาร คงไม่อยากถูกเม้าธ์ไปทั่วบริษัทแน่

“ค่ะบอส”

“อีกอย่างนะ ผมกับหนึ่งจะไปต่างจังหวัด ถ้ามีงานด่วนอะไรก็โทรเข้ามือถือของผม ส่วนงานไหนที่ต้องให้เซ็นเอกสาร ก็วางไว้บนโต๊ะไปก่อน กลับมาแล้ว ผมจะรีบจัดการให้”

“ค่ะบอส”


*      *      *


‘แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย ทำไมคนที่เข้ามาเห็นต้องเป็นยัยนุ่นด้วยว่ะ ซวยจริงไอ้หนึ่ง’

นี่คงเป็นคำถามที่ดังวนเวียนอยู่ในหัวของคณิต ตั้งแต่เดินออกจากบริษัทพร้อมกับอชิตะ โดยมีสายตาของนิรดามอง

ตามอย่างอยากรู้อยากเห็นจนตัวสั่น จนกระทั่งตอนนี้ที่เขากำลังเปิดประตูเข้ามาในห้องของตัวเอง แน่นอนว่าอชิตะต้องตามเข้ามาด้วย   

“หนึ่ง”

“ครับ”

คณิตหันกลับไปมองคนที่เดินตามเขาเข้ามา ห้องของเขาเป็นสถานที่ที่อชิตะคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะเมื่อมีสังสรรค์หลังเลิกงานกันทีไร ไม่คอนโดฯ ของอชิตะ ก็คอนโดของเขา ต้องกลายเป็นที่หลับนอนของสองคนเมา แล้วเชื่อไหมล่ะว่าอชิตะน่ะ มีกุญแจห้องของเขาด้วยนะ

กุญแจสำรองที่ถูกยึดไว้นานมากแล้ว   

“อย่าคิดมากน่า ผมก็บอกนุ่นแล้วว่าอย่าเอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟัง” เขาบอกคนที่ทำหน้าเซ็งมาตลอดทาง แถมยังไม่ยอมเปิดปากพูดคุยกับเขาสักคำ

“บอสพูดเหมือนกับไม่รู้จักยัยนุ่น” คณิตนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจความคิดง่ายๆ ของคนพูด 

“เอาน่า ไปเก็บกระเป๋าก่อน” อชิตะตัดบท

“บอส...”

“ว่า...”

“บอสอย่าทำเนียนได้ไหม เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะทำเรื่องบ้าๆ ด้วยกัน ผมว่าพอเถอะนะครับบอส...หยุดเถอะนะครับ” แววตาที่มองไปยังเจ้านายหนุ่มเต็มไปด้วยความร้องขอ ขอให้เชื่อเขาบ้าง ฟังเขาบ้าง ไม่ใช่แค่ฟังแต่ไม่ยอมทำตาม จนเกิดเรื่องให้นิรดาเห็น

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่า....”

อชิตะพูดช้าๆ เขาเดินเข้าไปรวบร่างเล็กเข้ามากอด กดศีรษะได้รูปแนบกับอก ไม่มีอาการต่อต้าน เขาเลยยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เผื่อว่าคณิตจะได้รับรู้ว่าเขารู้สึกมากมายแค่ไหนกับเจ้าตัว

“...ผมหยุดไม่ได้” หรือต่อให้เขาหยุดมันได้ เขาก็ไม่หยุด เลือกไปแล้ว หลงไปแล้ว ยังไงก็ต้องทำทุกอย่างให้ได้มาทั้งกายและหัวใจ

“แต่...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ให้โอกาสผมนะหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มันมีจุดเริ่มต้น มันมีเรื่องราว และมันจะดำเนินต่อไปอย่างที่ทั้งผมและคุณต้องการ”

“แต่ผมไม่ได้ต้องการ” คณิตฝืนตัวออกมา เงยหน้ามองสบตา

“แต่ผมต้องการ”

“ผมไม่อยากเป็นมือที่สาม บอสมีคุณหวานอยู่แล้วนะครับ” นึกถึงหน้าคู่หมั้นของอชิตะแล้ว เขาก็อยากร้องไห้จริงๆ ณัชชาเป็นคนดี สมควรแล้วเหรอที่จะโดนหักหลัง

“เรื่องของหวาน ผมจะ...”

Rrrrrrrrrr…

เสียงโทรศัพท์ของอชิตะดังขัดจังหวะ เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมันออกมาดู เป็นณัชชาที่โทรทางไกลมาจากต่างประเทศ

“คุณหวานใช่ไหมครับ” คณิตตั้งคำถาม คำตอบก็เดาเอาจากสีหน้าของอชิตะ

“คุณไปเก็บกระเป๋าก่อน” เขาสั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูระเบียง เพื่อคุยสายกับคนที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง

*      *      *

อชิตะใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีคุยกับคู่หมั้นสาว ก่อนจะเดินกลับเข้ามาภายในห้อง เจ้าของห้องนั่งอยู่บนโซฟา ข้างตัวมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่วางอยู่ เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวเล็ก เอื้อมจับมือเล็กกว่ามากุมไว้ เขากำลังหลงรักผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก

“บอสไม่รู้สึกผิดต่อคุณหวานเลยหรือครับ” คณิตหันมาถาม หลังจากนั่งเงียบใส่อชิตะไปหลายนาที คำถามที่บาดลึกหัวใจเขาเช่นกัน

ทุกครั้งที่จูบกับอชิตะ ในหัวเขาแทบไม่ได้นึกถึงณัชชาหรือความผิดต่อหญิงสาวเลย เหมือนเขาถูกมอมเมาจนลืมผิดถูกไปซะหมด

“ผม...”

“บอสไม่สงสารคุณหวานบ้างหรือครับ”

“ผม...”

“บอสไม่คิดบ้างหรือครับว่าคุณหวานจะเสียใจมากแค่ไหน”

“ผม...”

“บอสรู้ไหมครับว่าบอสเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด” และหลอกให้เขาเห็นแก่ตัวไปด้วยอีกคน

“พอหนึ่ง!”

******** จบตอนที่ 5 *********
 :katai2-1:
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 5 UP 20-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-04-2017 20:49:27
...รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ...
หนึ่งก็ห้ามแต่ปาก แต่การกระทำเหมือนจะคล้อยตามทุกอย่าง
ตอนนี้ความรักทำให้บอสตาบอด หูหนวก ไม่สนว่าปัญหาอะไรจะตามมา
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 5 UP 20-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-04-2017 23:07:32
สงสารหนึ่ง พี่อิงไม่คิดห้ามใจตัวเองเลยนี่นา
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 6 UP 22-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 22-04-2017 20:23:42
6

‘พอหนึ่ง!’

เสียงตวาดที่ดังทั่วห้องเป็นประโยคสุดท้ายของบทสนทนาระหว่างคนสองคนที่นั่งภายในรถคันสีเทา ที่แล่นออกจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดจันทบุรี เพราะหลังจากคำพูดนี้ถูกปล่อยออกมาจากเจ้านายหนุ่มอย่างอชิตะแล้ว ทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างก็หันหน้ากันไปคนละทาง ต่างไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา มีเพียงความเงียบที่ชวนให้อึดอัด ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะคว้ากระเป๋าของคณิตขึ้นมาถือ จากนั้นก็กึ่งดึงกึ่งลากคนตัวเล็กออกจากห้องในคอนโดฯ พาขึ้นรถ แล้วมุ่งหน้าสู่เมืองจันท์ 

สองชั่วโมงนิดๆ ที่อชิตะพาตัวเองและลูกน้องคนสนิทที่นั่งเช็ดน้ำตามาตลอดทาง จนถึงหน้ารีสอร์ตที่มีทรายหาดสีขาวทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา คณิตไม่ได้ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย แต่เบ้าตาก็ปริ่มน้ำตาตลอดระยะทางจากกรุงเทพถึงเมืองจันท์ ไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับตัวเองหรือเปล่า หรือเพราะกลัวที่เขาขับรถเร็วแบบไม่มีผ่อนเลย ตั้งแต่หลุดออกมา
จากกรุงเทพได้ เขาก็เหยียบมิด แถมแซงรถทุกคันที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะรถเล็กหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ มีบางครั้งที่เขาหันไปมองคนหน้าซีดที่กำมือวางไว้บนตักแน่นเพราะความกลัว

อชิตะรู้คณิตกลัวการขับรถเร็ว เนื่องจากตอนอยู่ที่ต่างจังหวัด คณิตเคยนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์เพื่อนไปประสบอุบัติเหตุ คณิตได้รับบาดเจ็บหนักพอสมควร แต่ไม่ถึงกับต้องหามส่งห้องฉุกเฉินเพราะไถลแล้วกลิ้งไปตกพงหญ้าข้างทาง แต่เพื่อนของคณิตกลับเสียชีวิตทันทีเพราะตัวยังคาอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ ก่อนถูกรถที่สวนมาด้วยความเร็วสูงเหยียบทับ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้คณิตกลัวจนไม่กล้าขับรถเร็วอีกเลย เรื่องนี้เจ้าตัวบอกเขาเอง แถมยังเปิดแผลเป็นตรงบั้นเอวข้างซ้ายให้เขาดูด้วย รอยแผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดอะไร เป็นแค่รอยแผลจางๆ แต่ยาวพอสมควร

รู้ทั้งรู้ว่าคณิตกลัวความเร็ว แต่เขาก็ยังทำ เพียงแค่อยากให้คณิตหันมาเปิดปากพูดกับเขาก่อน เพราะทุกครั้งที่เขาขับรถเร็ว คณิตจะโวยวายใส่เขาเสมอให้ขับช้าๆ หรือไม่ก็แย่งเขาขับซะเอง

“กลัวไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่บอกให้หยุด”

ใช่...ทำไมถึงไม่บอกให้เขาหยุด ทำไมถึงไม่โวยวายเรียกสติของเขากลับมา ทำไมถึงปล่อยให้เขาเหยียบเสียมิด เหยียบเสียจนบางครั้งเขาก็นึกกลัวว่าตัวเองจะบ้าระห่ำขับข้ามเลนไปชนกับรถที่วิ่งสวนมาเสียด้วยซ้ำ

“หนึ่ง...”

“...ฮึก...”

พอถูกเรียกเป็นครั้งที่สองด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น คนที่นั่งตัวเกร็งมาตลอดทางก็น้ำตาไหลทะลักแรงกว่าครั้งไหน คณิตพยายามจะข่มความกลัวเอาไว้ด้วยการกัดปากตัวเองมาตลอดทาง จากความเจ็บเปลี่ยนเป็นความชาที่กลีบปากสีซีด อชิตะรู้ว่าเขากลัวความเร็ว เขาไม่เคยจับมอเตอร์ไซด์อีกเลยตั้งแต่เหตุการณ์ชีวิตวันนั้น และไม่เคยนั่งข้างคนขับรถเร็วเหมือนจะไปตายอย่างที่อชิตะทำ เขากลัว เขาอยากจะร้องขอให้อชิตะหยุด แต่ปากมันก็หนักและไม่อยากยอมแพ้ที่ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน แต่พออีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเท่านั้นแหละ ความอัดอั้นผสมความกลัวมันก็ทะลักทลายออกมาในสภาพของน้ำตาท่วมหน้า

“ถ้า...คุณ...อยาก...ตาย...คุณ...ก็...ตาย...ไป...คน...เดียว...อย่า...เอา...ผม...ด้วย...เพราะ...ผม...ไม่...อยาก...ตาย...พร้อม...คุณ”

คณิตอยากจะตะโกนด่าใส่หน้าคนที่กำพวงมาลัยรถแน่น จนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือชัดเจน แต่ทุกคำมันช่างเบาและแหบแห้งคล้ายคนที่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ 

“ถ้าผมจะตายเมื่อไหร่.....”

อชิตะกดเสียงต่ำ พยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้มันระเบิดออกมาเพราะคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะละมือจากพวงมาลัยรถ ปลดเข็มขัดนิรภัยให้คนตัวเล็ก ก่อนกระชากเจ้าตัวเข้ามาหา   

“...ผมจะเอาคุณไปด้วย!”

“...อึก..” น้ำตาคณิตไหลไม่หยุด ไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่ แต่เป็นเพราะคณิตกลัวสายตาของอชิตะ กลัวแรงดึงจากมือใหญ่ที่ค่อยๆ ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน คณิตอยากดิ้นหนี เขาอยากผลักใบหน้าคมเข้มที่คุ้นเคยมานานหลายปีที่โน้มเข้ามาใกล้ พร้อมกับริมฝีปากที่กดลงมาบนกลีบปากของเขา เขาอยากต่อต้านแต่เหมือนร่างกายมันไม่พร้อมจะทำตามคำสั่งของสมอง

ทั้งที่สามารถหันหน้าหนีสัมผัสที่รุกรานได้ แต่ก็ไม่ เขากลับทำตรงข้ามกับความถูกต้อง กลีบปากบางเผลอออกเพื่อต้อนรับ คณิตยอมรับรสจูบของอีกฝ่ายอย่างปราศจากแรงต่อต้าน เขาสมยอมไปตามจังหวะของหัวใจแสนโง่เง่า หัวใจที่สิ้นคิด

อชิตะรู้ดีว่าคณิตแค่แข็งนอก แกล้งทำตัวดื้อ แต่หัวใจดวงน้อยกลับพร้อมจะยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ ทำในสิ่งที่เขาปรารถนาจะทำ แม้กระทั่งปล่อยให้เขาสอดมือผ่านชายเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเนียนที่ลื่นมือ เมื่อก่อนอชิตะไม่เคยพิศวาสผิวเนื้อขาวจัดราวกับแสงจากหลอดไฟที่นวลตาของคณิตเลย แต่เดี๋ยวนี้เขากลับร่ำร้องอยากจะสัมผัสและครอบครองเอาไว้คนเดียว!

“.....”

นานกว่าที่อชิตะจะถอนจูบดูดดื่มจากปากเล็กที่เปลี่ยนจากสีซีดเป็นเจ่อแดง ไม่ต่างจากใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ตาดวงเรียวเล็กก้มต่ำมองของตัวเองแทนใบหน้าของเขา

“ชอบไหม...จูบของผม” 

มันเป็นคำถามที่ทำให้คนหน้าแดงระเรื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะเดียวกันก็สับสนกับอารมณ์ของตัวเองและของคนถาม อารมณ์ที่เปลี่ยนไปไวเหมือนโกหก เมื่อนาทีก่อนคณิตยังอยากจะหนีไปให้พ้นอชิตะ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มตัวขาวกลับอยากถูกสัมผัสด้วยรสจูบซ้ำอีกครั้ง

...เป็นอะไรไปไอ้หนึ่ง ทำไมมึงต้องหวั่นไหวด้วยวะ!

“...ไม่ชอบ” มันเป็นคำตอบที่ช่างตรงกันข้ามกับความจริงในใจ คณิตยอมรับว่าเขาชอบมันมาก ชอบที่ถูกจูบ ชอบที่เจ้าของจูบนี้คืออชิตะ แตกต่างจากตอนโดนชิตตะวันจูบอย่างเทียบกันไม่ติด กับชิตตะวันแค่รู้สึกดีเพราะถูกกระตุ้น แต่จูบของอชิตะ มันพิเศษกว่านั้น มันไม่ธรรมดา มันเป็นอะไรที่เขาก็บรรยายไม่ถูก 

บอกได้แค่ว่า...เขาชอบรสจูบอชิตะ ชอบตั้งแต่ครั้งแรกในสระว่ายน้ำ

“งั้นเหรอ?” อชิตะยิ้ม มันคงเป็นยิ้มแรกของวันนี้ที่เต็มไปด้วยความสุขใจ คณิตดูน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่คณิตในวันที่ความสัมพันธ์ยังเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องที่สนิทกัน เวลานั้นเขาก็แค่รู้สึกห่วงใย แต่ไมได้อยากครอบครองเช่นตอนนี้ คณิตดูน่าทะนุถนอมเสียจนไม่อยากให้หลุดออกไปไกลสายตา

แม้แต่ตอนปากแข็งก็น่ารัก   

“ครับ”

“แต่หน้าแดงนะ”

พอพูดจบ อชิตะก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปช้อนปากคางคนปากแข็งแต่หน้าแดงเป็นสีลูกเชอร์รี่ให้เงยขึ้นมา บังคับให้มองสบตาเขา ก่อนโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใบหน้าน่ารักอีกครั้ง ครั้งนี้ชายหนุ่มแค่แตะเบาๆ บนกลีบปากสีแดงเพียงครั้งเดียว แล้วก็ปล่อย ความจริงอยากทำมากกว่าที่ทำไป อยากบดขยี้ให้ได้รสหวานชื่นใจ แต่ก็กลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่าจูบไม่ได้

“กลัวมากใช่ไหมที่ผมขับรถเร็ว...เหมือนจะพาคุณไปตายได้ทุกนาที”

อชิตะถามเบาๆ ความรู้สึกผิดยังคงติดอยู่ที่ใจ ตลอดเส้นทางที่เหยียบเต็มเท้ามา เขาไม่ได้รู้สึกผิดเลยที่ทำให้คนกลัวความเร็วกลัวจนมีน้ำตามาตลอดทาง เพราะตอนนั้นในใจเขามีแต่อารมณ์โกรธเต็มไปหมด ถึงภายนอกอชิตะจะดูเป็นคนใจเย็นและใจดี แต่เมื่อไหร่ที่เขาโกรธ ความใจร้ายจะเข้ามาแทนที่ความใจดีทันที

“บอสก็รู้ว่าผมกลัว แต่บอสก็ทำ...” พอได้ยินคำถาม ความโกรธเมื่อก่อนหน้าที่จะเป็นความวาบหวานเมื่อครู่ เริ่มตีตื้นกลับคืนมา หน้าแดงสีลูกเชอร์รี่สุกก็กลายเป็นหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าเป้บนเบาะหลังแล้วเปิดประตูรถลงมา

คณิตกำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ที่บางครั้งก็อยากหนีไปให้ไกล แต่บางครั้งก็อยากอยู่ใกล้อชิตะเหมือนเดิมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา อชิตะเป็นทั้งเจ้านาย พี่ เพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วมีทั้งความสนุกและสุข นี่กระมังที่ทำให้เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ เขารู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก แต่เขาก็เหมือนจะทำทั้งผิดและถูกไปพร้อมๆ กัน

*      *      *

พอเปิดประตูเข้ามาในบ้านพักที่เลือกจองเองกับตาเมื่อเดือนก่อน ฉับพลันคนตัวเล็กก็หน้าเหลือแค่สองนิ้ว คณิตลืมเสียสนิทว่าบ้านพักทุกหลังของรีสอร์ตมีจุดขายเป็นอะไร

ตายแน่ไอ้หนึ่ง!

ความรู้สึกของคณิตในเวลานี้ มันช่างต่างจากวันนั้นอย่างสิ้นเชิง วันที่เขามาดูห้องพักกับอชิตะ เพราะอยากมาเห็นกับตาว่ารีสอร์ตเปิดใหม่ของชิตตะวันเป็นยังไง เหมาะกับคู่รักหวานเลี่ยนอย่างสีฟ้าภาคีไหม ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเหมาะมาก คิดว่าภาคีต้องชอบและขอบใจเขายกใหญ่แน่ โดยเฉพาะส่วนของห้องอาบน้ำที่เป็นสัดส่วนแยกจากห้องสุขา

ห้องอาบน้ำที่มีแค่กรอบประตูแต่ไม่มีบานประตู สิ่งที่ใช้แทนประตูก็เป็นแค่กิ่งไม้แห้งที่ถูกร้อยเป็นโมบายเท่านั้นเอง ส่วนด้านบนก็เปิดโล่งให้เห็นท้องฟ้ากับก้อนเมฆเวลากลางวันและกลุ่มดาวและพระจันทร์ในตอนกลางคืน เขาตัดสินใจเลือกรีสอร์ตของชิตตะวันทันที

บ้านพักทุกหลังออกแบบเหมือนกันหมด ยกเว้นเพียงแค่สีของผ้าม่าน เตียงนอน หมอน และโซฟา ห้องนี้เป็นสีแดงเข้ม หนึ่งสี
โปรดของอชิตะ 

วันนั้นคณิตรู้สึกสนุกที่เลือกบ้านพักหลังนี้ให้ตัวเองด้วย แต่ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะสนุกไม่ออกแม้แต่นิดเดียว อยากร้องไห้ซะด้วยซ้ำ ก็ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดระหว่างเขากับอชิตะเล่า ห้องอาบน้ำที่ไม่มีประตูปิดกั้นความเป็นส่วนตัวเริ่มจะไม่ปลอดภัยสำหรับเขาแล้ว

แล้วคณิตก็คิดถึงคำพูดของเขาหลังจากที่ตัดสินใจเช่าบ้านพักสาม สำหรับการพักผ่อนสามวันสองคืน

‘มึงก็อย่าไปคิดสิวะไอ้ติน ว่าเป็นรีสอร์ตของชิตมัน คิดซะว่ามันเป็นของใครก็ได้ เพราะถ้ามึงลืมได้นะ กูรับรองว่าห้องอาบน้ำที่นี่จะเปิดโล่งให้มึงเดินเข้าไปอาบน้ำกับคุณลมได้อย่างสบายๆ โดยที่คุณลมไม่มีทางจะปิดประตูหนีมึงได้ ไม่ต้องเสียเวลาเคาะให้เสียอารมณ์...เพราะมันไม่มีประตูว่ะ ชอบไหมล่ะมึง’

เพราะประโยคพวกนี้ไงเลยทำให้คณิตกลัว กลัวว่าคนร่วมห้องของเขาจะทำอย่างที่เขาอยากให้ภาคีทำกับสีฟ้า
คณิตหันหลังกลับไปมองคนตัวสูงที่เดินตามเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่เขาอยากโวยวายใส่มาก   

“อาบน้ำก่อนไหมจะได้สดชื่น แล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว”

คณิตก็อยากทำอย่างที่อชิตะพูด แต่จะให้เขาอาบน้ำในห้องที่มีอชิตะอยู่ด้วยงั้นหรือ ให้ตายเขาก็ไม่อาบ เขากลัวตัวเองจะกลายเป็นสีฟ้า แล้วอชิตะก็จะสวมบทบาทเป็นภาคี เขาไม่ได้คิดมากนะ แค่คิดในสิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้สูงมาก แค่ดูรอยยิ้มของอชิตะก็เดาถึงความคิดได้แล้ว

“อาบเถอะนะหนึ่ง...อาบพร้อมกันนะ” พูดพลางเดินไปสวมกอดคณิตจากด้านหลัง กระซิบข้างใบหูเล็ก กระซิบซ้ำข้อความเดิม

“นะหนึ่ง...อาบพร้อมกันนะ”

ไม่เหลือหนทางให้คณิตฝืนปฏิเสธได้เลย

*      *      *

คณิตจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยกลัวอะไรบ้างเมื่อครู่ เพราะความกลัวถูกลบออกจากสมองจนหมด ที่เหลือจึงมีแค่หูที่ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวขนาดใหญ่เหนือศีรษะหล่นกระทบพื้นปูน กับใครคนหนึ่งที่ยืนกอดและจูบเขาอยู่ใต้สายน้ำฉ่ำเย็น เขาปิดหน่วยตาลงตั้งแต่ถูกจับถอดเสื้อผ้าด้วยความเผลอไผลยินยอม เขาอายเกินกว่าจะมองว่าทั้งเขาและอชิตะกำลังยืนตัวเปลือยกันทั้งคู่
แต่แล้วเสียงน้ำกระทบพื้นก็เงียบหาย มันถูกแทนที่ด้วยสุ้มเสียงที่แหบพร่า แต่ก็เป็นน้ำเสียงที่เริ่มจะคุ้นเคยแล้วเขาคาดเดาอารมณ์เจ้าของเสียงอย่างอชิตะได้ ทั้งยังได้รับการยืนยันจากเบื้องล่างของอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างจากของเขาเลย

...ความคับแน่นของอารมณ์เบื้องล่างที่ถูกกระตุ้นด้วยรสจูบและมือที่สัมผัสบนเนื้อตัวของเขา มันทำให้เขารู้สึกเกินจะยับยั้งให้ความต้องการของตัวเองเป็นปกติได้ ห้ามไม่ให้รู้สึกรู้สมไปด้วยไม่ได้เลย

“หนึ่งครับ...” เสียงพร่าด้วยแรงอารมณ์เรียกชื่อของคนในอ้อมกอด คนที่อชิตะจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหลงใหล  มือก็สัมผัสผิวเนื้อขาวนวลเนียน แม้อีกฝ่ายจะยืนนิ่งเหมือนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ตาเล็กก็ปิดสนิท แต่ความต้องการที่เบื้องล่างก็ฟ้องว่าเจ้าตัว ‘รู้สึก’ เช่นเดียวกับเขา

ผู้ชายดูง่ายจะตาย เพราะหลักฐานฟ้องเต็มตา

“หนึ่ง...ลืมตาก่อน” อชิตะประคองวงหน้าขาวไว้ด้วยสองมือ  อีกฝ่ายจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอายๆ ผสมกลัวหน่อยๆ    

“...หนึ่ง”

“ครับ” เขาเขินสายตาหวานเยิ้มของอชิตะ มันยังไม่ชินที่ถูกมองแบบว่าเหมือนจะกลืนกินได้ตลอดเวลา คณิตทำตัวไม่ถูก

“ผมทำได้ไหม”

คำขอนั้นถูกส่งผ่านทั้งคำพูด แววตา และความตื่นตัวเบื้องล่าง ถึงขนาดนี้แล้ว อชิตะไม่ต้องการคำ ‘ปฏิเสธ’ แน่นอน สถานการณ์เป็นใจให้ยินยอมขนาดนี้แล้ว ที่สำคัญคนตัวเล็กกว่าก็ยินยอมมาถึงตรงนี้แล้วด้วย มันก็คงไม่ยากใช่ไหมที่เขาจะครอบครองร่างกายหอมหวาน เอามาเป็นของตัวเอง ตีตราประทับว่าคณิตเป็นของเขาแล้ว ใครหน้าไหนก็มาแย่งเอาไปไม่ได้

“ได้ไหมหนึ่ง...” เขาหวังว่าคณิตจะตอบยินยอม แต่สิ่งที่อชิตะหวังอยากได้กลับเป็นการส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับคำตอบที่แผ่วเบา ทั้งที่เป็นถึงเพียงนี้ ต้องการปลดปล่อยเหมือนกัน แต่คณิตก็ยังปฏิเสธ

“อย่าเลยครับบอส...อย่าให้มันต้องเป็นเรื่องที่ต่อไป ทั้งผมและบอสจะรับมือกับมันไม่ไหวเลยนะครับ ผมขอร้อง...แค่นี้ผมก็ไม่กล้ากลับไปเจอหน้าคุณหวานแล้ว”

“อย่าพูดถึงคนอื่นได้ไหมหนึ่ง ตรงนี้มีแค่เราสองคน ก็ขอให้เป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้นพอ”

“ไม่ได้ครับบอส ในเมื่อคนอื่นที่บอสพูดคือคุณหวาน ว่าที่เจ้าสาวของบอสเอง แล้ววันแต่งงานของบอสกับคุณหวาน ผมก็คงเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้บอสไม่ได้แล้ว เพราะผมอายเกินกว่าจะไปยืนในฐานะนั้นได้...”

ใช่...เขาอายตัวเอง อายที่จะต้องมองหน้าเจ้าสาวของอชิตะ เจ้าสาวแสนดีที่ไม่ควรถูกหักหลังจากความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดจนผิดเพี้ยนนี้

“ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังคิดว่าผมจะแต่งงานกับหวานได้อีกเหรอ” อชิตะกระแทกเสียงถาม “ในเมื่อผมอยากได้คุณเป็นเมีย ไม่ใช่
เพื่อนเจ้าบ่าว...”

ความหงุดหงิดใจของอชิตะทำให้น้ำเสียงที่พูดกับคณิต ไม่ต่างจากเสียงตะคอก แต่พอเห็นน้ำตาเอ่อคลอในหน่วยตาแล้ว ใจมันก็วูบไหวและสงสารขึ้นมาทันที

“ผมขอโทษ...อาบน้ำต่อเถอะ”

*      *      *

“ติน”

คณิตยิ้มออกเมื่อยินเสียงเพื่อนรักของตนผ่านออกมาจากโทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหู หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ไปหาภาคีที่บ้าน

“ว่าไง” เหมือนเพื่อนสนิทของคณิตจะไม่อยากคุยด้วยสักเท่าไหร่ เพราะกำลังอยากนอนกอดคนรักโดยไม่มีใครโทรมากวน

“กูกับบอสถึงแล้ว มึงก็ออกมาจากห้องสักที จะได้หาอะไรกินกัน มันบ่ายโมงกว่าแล้วนะโว้ย” ตอนที่เดินลงจากรถของอชิตะ คณิตเห็นรถของสีฟ้าจอดอยู่ก่อนแล้ว เลยคิดว่าเพื่อนสนิทของเขาต้องนอนอยู่ในห้องแน่ๆ เพราะนิสัยของภาคีคงไม่ยอมเสียเวลาเดินชมทะเลแทนการนอนกอดสีฟ้าหรอก

“มึงก็กินกับบอสไปสิ” อีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ เพราะไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่วันที่ผ่านมาระหว่างเพื่อนกับอดีตนายจ้าง 

“ก็กูอยากกินกับมึงอ่ะ เร็วๆ เลยมึง กูหิวจนจะแดกหัวบอสได้อยู่แล้วนะมึง”

หึ... ถ้าจะพูดให้ถูก คงต้องพูดว่า ‘อชิตะจ้องจะกินเขาทั้งตัวมากกว่า’

“เออๆ ขอเวลาล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวออกไป”

“เร็วเลยนะมึง...คือกู...กู...ไม่อยากอยู่กับบอสสองต่อสองว่ะ” 

“ทำไม?” ภาคีสงสัยในน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปกับประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน

“บอสทำให้กูอึดอัดว่ะมึง กูบอกไม่ถูก วันหลังกูจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้มึงรีบออกมาอยู่เป็นเพื่อนกูก่อน ไม่งั้นกูจะไปหาชิตนะเว้ย”

คำว่า ‘อึดอัด’ และคำว่า ‘บอกไม่ถูก’ ของคณิต มันเป็นแค่คำที่เจ้าตัวใช้แทนคำว่า ‘สับสน’ กับสิ่งที่แสดงออกไป บางครั้งเขาก็ยินยอมอย่างง่ายๆ เพราะความผูกพันกันมาในฐานะลูกน้องกับเจ้านาย แต่บางครั้งเขาก็อยากต่อต้านและหลุดพ้นจากความผิดเพี้ยนเสียที ความรู้สึกของเขามันไม่อยู่กับร่องกับลอยเอาซะเลย

เดี๋ยววิ่งหนี เดี๋ยววิ่งกลับ   

“เออๆ รอแป๊บหนึ่ง”

“เร็วๆ นะมึง” เขาย้ำอีกครั้ง ก่อนจะวางสาย

คณิตถอนหายใจยาว เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นทรายเม็ดละเอียด หน่วยตาเล็กมองไปยังท้องทะเลสีฟ้าเบื้องหน้า

‘ถ้าเขายังคบกับญาดาก็ดีสินะ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ผิดพลาดจนผิดเพี้ยนแบบนี้ก็ได้’

***จบตอนที่ 6***
ติดตามตอนที่ 7 วันที่ 24 นะคะ
เนื้อเรื่องของเรื่อง รัก...ได้ไหม ไม่มีอะไรหวือหวานะคะ ค่อยเป็นค่อยไป ^_^
ฺํ :katai2-1:
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 6 UP 22-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-04-2017 22:05:56
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าพี่อิงนิสัยเสียง่ะะะ
ขอให้ตอนจบพี่อิงไม่เหลือใคร เพี้ยงงงงงงง
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 7 UP 24-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 24-04-2017 20:16:34
7

ความจริงแล้วคณิตก็ไม่ได้หิวอะไรมากมาย เขาโทรตามภาคีออกมาก็เพื่อจะได้มีเพื่อนไว้คุย และกันให้อชิตะหยุดร้องขอในสิ่งที่เขาให้ไม่ได้ลงเสียบ้าง ดังนั้นเมื่อภาคี สีฟ้า และอชิตะที่เดินถือกีตาร์มาด้วยนั้น เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาบนเตียงใหญ่แบบ Day Bed สีชมพูเข้มสดใส แล้วบอกกับเขาว่าจะรอคุณหมอพิษณุก่อน เพราะอีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว

คณิตคิดว่าข้อสรุปที่ว่าจะรอคุณหมอพิษณุเนี่ย คงมีแค่อชิตะกับสีฟ้าเท่านั้นกระมังที่เต็มใจรอ ส่วนเพื่อนของเขาดูจากใบหน้าแล้ว คงไม่อยากรอและไม่อยากเห็นหน้า แต่แย้งอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจโดนสีฟ้างอน

แต่สำหรับเขาแล้ว การมาของคุณหมอทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว เมื่อคุณหมอพิษณุมาแล้วก็คงจะคอยกันอชิตะออกจากเขาได้บ้าง อย่างไรเสียเพื่อนก็ต้องอยู่กับเพื่อนใช่ไหม ซึ่งก็เหมือนเขาไง เขาที่จะพยายามอยู่กับภาคีให้มากที่สุด และที่สำคัญเลยคือเขาจะขอแลกห้องพักกับคุณหมอ!

คณิตคิดอย่างหมายมั่น ขณะที่บทเพลงหนึ่งก็ดึงเขาให้กลับมาอยู่ในวงสนทนา จะเรียกว่าวงสนทนาก็คงไม่ใช่นัก เพราะเสียงเพลงดูจะมีมากกว่าเสียงพูดคุยเสียอีก

บทเพลงหนึ่งถูกขับขานขึ้นจากเสียงและฝีมือการดีดกีตาร์ของอชิตะ หากเป็นเมื่อก่อน คณิตคงจะแย่งร้อง ไม่ว่าไปเที่ยวที่ไหนด้วยกัน เมื่อไหร่ที่อชิตเอากีตาร์ขึ้นมาเล่น บทนักร้องเสียงดีจะตกเป็นของเขา ส่วนภาคีจะเป็นแค่ผู้ฟังที่ดี แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเงียบและฟัง พร้อมกับทำมองไม่เห็นสายตาที่ส่งมาให้เป็นระยะ ขณะที่ในใจก็นึกค้านเนื้อเพลงไปเสียทุกท่อน

*…ได้ชิดเพียงลมหายใจ แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ ที่ค้างในความรู้สึก ว่าลึกๆ เธอคิดยังไง รักเธอเท่าไหร่แต่ไม่เคยพูดกัน อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้ มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย เธอจะมีใจหรือเปล่า เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร เธอจะมีใจหรือเปล่า มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ ติดอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม...*

เป็นครั้งแรกที่นึกรำคาญเสียงของเจ้านายหนุ่ม

“พี่หมอมาแล้วครับ” 

สีฟ้าที่ทั้งตั้งใจฟังเพลงที่อชิตะร้อง และตั้งตารอการมาของหมอพิษณุด้วยความรู้สึกผิดอยู่มาก ที่ต้องปล่อยให้หมอหนุ่มขับรถมาเอง ทั้งที่บอกว่าจะไปรับแท้ๆ

หนุ่มหน้าสวยบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงดีใจ เมื่อเห็นไกลๆ ว่ารถของหมอพิษณุวิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ผิดกับคนที่นั่งอยู่ข้างตัวที่ทำหน้าบึ้งขึ้นมาแทบจะทันทีที่เห็นหมอพิษณุก้าวออกมาจากรถ

“คุณหมอครับ ทางนี้ครับ” เป็นคณิตที่อาสาตะโกนเรียกด้วยความเต็มใจ และดีใจที่หมอพิษณุมาได้เสียที เขาจะได้จัดการขอเปลี่ยนห้อง แต่เพราะคำถามของสีฟ้าที่ดังไล่ตามกันมานั้น ก็ทำให้คณิตมองเห็นลางๆ แล้วว่าสิ่งที่เขาหมายมั่นมาเมื่อหลายสิบนาทีก่อนคงไม่เป็นจริงเสียแล้ว

“แต่เอ๊ะ...นั่นคุณหมอพาใครมาด้วยอีกคน หรือว่าแฟนพี่หมอ” สีฟ้าตอบคำถามตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้าง เดาจากการที่หมอพิษณุพามาด้วย

เมื่อหมอพิษณุเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าทุกคน จึงเห็นพร้อมกันว่าข้างตัวของหมอพิษณุคือชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ผิวขาว แต่ไม่เท่าความขาวของคณิตและสีฟ้า

“ช้าว่ะ”

คำทักทายแรกเป็นของอชิตะ เจ้าตัวยิ้มๆ มองคนที่ยืนข้างพิษณุ คำพูดเมื่อครู่ของสีฟ้ายังติดอยู่ที่หู ที่บอกว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนี้อาจเป็นแฟนของพิษณุ แต่จะใช่หรือเพราะเขาไม่เคยได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟังเลย หรือว่าอาจจะใช่ เพราะตอนตามจีบสีฟ้า เขาก็ไม่รู้ มารู้เอาวันที่พามาเปิดตัวนั่นแหละ เปิดตัวปุ๊บเกิดเรื่องปั๊บ ตัวต้นเรื่องก็นั่งทำหน้าบึ้งไม่เป็นมิตรอยู่ข้างตัวสีฟ้านั่นไง

“ก็ไม่รู้จะรีบขับไปทำไม ช้าหรือเร็วก็ถึงเหมือนกัน” หมอพิษณุตอบเสียงเรียบ มองไปยังที่ว่างที่ทุกคนเหมือนจะขยับให้เขาและคนข้างตัวนั่ง แต่เขาเลือกที่จะยืน เพราะขืนนั่งก็คงต้องคุยยาว และอาจทำให้ภาคีไม่พอใจและนึกเหม็นขี้หน้าเขามากขึ้นไปอีก

“ไอ้ถึงน่ะมันถึง แต่มันถึงช้า แล้วนี่ทำไมไม่นั่ง เล่นตัวนะไอ้หมอ” อชิตะว่า แต่พอเข้าใจว่าทำไมเพื่อนของตนถึงไม่ยอมนั่ง

“ใครครับคุณหมอ หรือว่า...” ถึงแม้คณิตจะผิดหวังที่คุณหมอไม่ได้มาคนเดียว แล้วทำให้เรื่องการเปลี่ยนห้องของเขาพังไม่เป็นท่า แต่เพราะนิสัยชอบรู้ไปเสียทุกเรื่องก็ทำให้คณิตยิงคำถามให้หมอหนุ่มตอบ

“เพื่อน” หมอพิษณุตอบสั้นๆ แต่ก็คงไม่ได้ทำให้คนที่อยากรู้เชื่อเท่าไหร่นัก

 “หรือวะ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเพื่อนคนนี้ของแกเลย” อชิตะมองเพื่อนเหมือนจะจับผิด 

แต่แล้วคนที่มาด้วยก็พูดสิ่งที่ขัดกับคำพูดของคุณหมอขึ้นมาซะได้ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่พยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอหมากับตัวเขาเอง เนื่องจากไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่าเขาคือเพื่อนของคุณหมอ หรือไม่ก็คิดไปไกลว่าเป็นมากกว่าเพื่อน!

“ไม่เชิงเป็นเพื่อนหรอกนะครับ เรียกว่าคนรู้จักดีกว่าครับ คือผมชื่อฟ้า ผมเป็นเจ้าของร้านกาแฟข้างคลินิกของคุณหมอ พอดีคุณหมอเป็นลูกค้าประจำที่ร้านน่ะครับ เลยชวนผมมาเที่ยวทะเลด้วยกัน”

น้ำฟ้าไม่คิดว่าคำพูดของตัวเองจะทำให้คนที่ชวนเขามาทะเลด้วยกันไม่พอใจ จนใบหน้านิ่งเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจบ

“ยินดีที่รู้จักนะครับคุณฟ้า ผมอิงนะครับ เพื่อนสนิทของไอ้หมอมัน”

“ยินดีที่รู้จักเหมือนกันครับ” น้ำฟ้ายิ้มตอบ

“ผมหนึ่งครับ”

คณิตร่วมแนะนำตัวบ้าง เขาส่งยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้ ลอบมองใบหน้าของหมอพิษณุที่บึ้งตึงแล้วก็กลัวแทนชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟไม่ได้ คุณหมอทำหน้าตาแบบนี้คงได้มีเคลียร์กันยาวกับคนที่คุณหมอบอกว่าเพื่อน แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ใช่เพื่อนแน่ๆ

“ขอตัวเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนนะ” น้ำเสียงที่บอกเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนหันไปชวนคนรู้จักที่มาด้วยกัน ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกันเลย “ไปครับคุณฟ้า”

หมอพิษณุไม่ทันเห็นปากที่จะพูดแนะนำตัวของสีฟ้า สีฟ้าเลยต้องปิดปากของตัวเองโดยเร็ว เท่าที่รู้จักและคบหากันมาได้ สีฟ้าก็ไม่เคยเห็นหมอพิษณุทำหน้าตาหงุดหงิดขั้นนี้เลย

“ไปเอากุญแจที่เคาน์เตอร์นะ แล้วก็รีบออกมาเร็วๆ จะได้หาอะไรกินกัน” อชิตะบอก พอนึกเดาอารมณ์ของเพื่อนออก

“อืม” หมอพิษณุพยักหน้าบอก ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวรีสอร์ต

*      *      *

มื้ออาหารมื้อนี้ ภาคีคงเห็นว่าคณิตหิวจัดจริงๆ เพราะทันทีที่กะเพราะทะเล อาหารจานง่ายๆ ของคณิตที่ทำให้ทั้งตัวเขา สีฟ้า และอดีตนายจ้างต้องสั่งตามมาวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกันทั้งสี่จาน  หลังจากที่พนักงานของรีสอร์ตเดินมาบอกว่าพิษณุจะไม่ออกมาทานข้าวด้วยกัน คณิตก็แสดงออกถึงความหิวจัดของตัวเองด้วยการก้มหน้าก้มตากินข้าวกะเพราทะเลของตัวเอง ชนิดที่ว่าตั้งใจกว่าการทำงานเสียอีก ด้วยเจ้าตัวไม่ยอมเปิดปากพูดคุยเลย นอกจากตักข้าวเข้าปากเพียงอย่างเดียว ซึ่งผิดนิสัยคนที่พูดเยอะเสียจนลิงหลับอย่างมาก ทั้งที่คนร่วมโต๊ะกินข้าวทั้งสามพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยเรื่องของบริษัทใหม่ของภาคี

“อีกจานไหมหนึ่ง” อชิตะที่มองลูกน้องเขาอยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเห็นข้าวในจานเกลี้ยงหมดแล้ว ชายหนุ่มใส่ใจลูกน้องคนสนิทคนนี้เสมอ ไม่ว่าเวลาไหน

“ไม่ครับ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนคณิตคงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วคนถามก็จะหันไปสั่งเพิ่มให้เขา แต่ครั้งนี้คณิตกลับส่ายหน้าช้า

“วันนี้เป็นอะไรไปวะ กินน้อย พูดน้อย มีอะไรหรือเปล่า” ภาคีถาม มองหน้าเพื่อนเหมือนจะจับผิด

ที่ภาคีถาม เพราะเห็นความผิดปกติของเพื่อนสนิท โดยปกติแล้วคณิตเป็นคนกินจุแต่ไม่อ้วน กินจานเดียวไม่เคยอิ่มต้องสองจานขึ้นไป แถมยังกินแล้วปิดปากเงียบอีกด้วย ผิดปกติไปมาก จะเป็นเพราะเรื่องของญาดาก็คงไม่ใช่ นี่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ตอนเลิกกันใหม่ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอาการผิดปกติอะไรเลย ยังร่าเริงแจ่มใส่กินได้ เที่ยวได้ พูดมากเหมือนเดิม

และที่สำคัญ...

ภาคียังจำคำพูดของคณิตตอนที่โทรศัพท์คุยมาตามเขาได้ คณิตบอกว่าไม่อยากอยู่กับอชิตะแค่สองคน เพราะรู้สึกอึดอัด นั่นทำให้เขาสงสัย และต้องการคำตอบพอสมควร

“อ้าว...แล้วจะให้พูดอะไรเล่า เห็นคุยกันเรื่องบริษัทของมึง มันเกี่ยวกับกูไหมล่ะ ก็ไม่เกี่ยว แล้วจะให้กูเสียเวลาพูดทำไม” น้ำเสียงของคณิตดูมีอารมณ์โมโหนิดๆ เพราะสายตาที่จ้องจับผิดของภาคี

คณิตกลัวภาคีรู้เรื่องราวระหว่างเขากับอชิตะ แล้วเรื่องมันจะบานปลาย เขารู้ว่าภาคีหวงเขายังกับพ่อหวงลูก พ่อบังเกิดเกล้ายังไม่หวงเขาเท่าภาคีเลยเถอะ เขาไม่อยากให้ทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางใจกันเพราะเขา แล้วจะพานไปกระทบกับบริษัทของภาคีที่จำเป็นต้องพึ่งอชิตะในช่วงแรกๆ ด้วย

*      *      *

ภายในบ้านพักหลังสุดท้าย คณิตที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากคิดว่าคืนนี้จะเอายังไงได้ไม่ถึงสิบนาที เขาก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูห้องถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ใครคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอ่อนล้า ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นที่หัวใจ

คณิตลุกหนีจากโต๊ะอาหารมื้อกลางวันมาก่อน คิดว่าจะหาเวลาส่วนตัวได้คิดทบทวนตัวเอง หาทางหนีทีรอดจากคำคืนที่จะถึง แต่อชิตะก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเลย

คณิตรีบลุกจากเตียง หมายจะเดินออกจากห้องไป มันไม่ใช่เวลาที่ควรอยู่กันสองต่อสองในห้องหับที่มิดชิด เขาไม่ไว้ใจอชิตะที่จ้องแต่จะทำอะไรกับเนื้อตัวของเขา ขณะเดียวกันก็ไม่ไว้ใจหัวใจที่สับสนของตัวเองด้วย

“พูดกันก่อนหนึ่ง”

อชิตะรั้งแขนเล็กๆ ของคนที่ทำท่าว่าจะเดินผ่านเขาไป ก่อนจะดึงเข้ามากอด กดศีรษะเล็กๆ ไว้แนบกับอกซ้าย ข้างที่หัวใจของเขามันเต้นอย่างเชื่องช้า แล้วเขาก็ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ อย่างโล่งอก เมื่อเจ้าของร่างกายที่เขาโอบกอด ไม่มีอาการดิ้นหนีให้เขาต้องเหนื่อยใจซ้ำลงไปอีก

คณิตคิดหาคำพูดอะไรไม่ออกเลย คนตัวเล็กรับรู้ถึงแรงกระชับกับเสียงหัวใจที่เต้นดังชิดใบหู มือที่ควรจะผลักและฝืนตัวออก ตกไปอยู่ข้างตัวอย่างคนไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านอ้อมกอดที่เขาคิดเสมอว่ามันผิดเพี้ยนและไม่ควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่ามัน
กลับเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเรื่องเก่าเล่าซ้ำ เหมือนกับริมฝีปากที่กดซับอยู่บนกลุ่มผมของเขาอยู่ขณะนี้

“ขอผมกอดให้ชื้นใจหน่อยนะหนึ่ง” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน พึงพอใจกับท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่ตั้งท่าพยศไปไหน

เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ กี่วินาที หรือกี่นาที คณิตก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาควรจะหยุดความสับสนลงเสียที เขาปล่อยให้อชิตะกอดไปนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเขาจะไม่ปลอดภัยเอาได้

“บอสครับ” คณิตฝืนตัวออกจากท่อนแขนแกร่งอย่างช้าๆ ความอบอุ่นจากวงแขนค่อยๆ จางหายไปทีละนิด วูบหนึ่งที่แล่นเข้ามาในความคิดคือความรู้สึกเสียดาย... อยากถูกกอด ไม่อยากถูกปล่อย

“ผมคิดว่าเรื่องระหว่างเราควรที่จะ...”

เขาอยากบอกว่าควร ‘หยุด’ เสียที บอกเหมือนทุกครั้งที่อชิตะแสดงท่าทางว่าอยากได้ทั้งตัวและใจของเขาไปให้ได้ ทว่าอชิตะก็พูดแทรกเสียก่อน

“ขอผมจูบคุณหน่อย...ได้ไหม” ทันทีที่คำขอถูกเปล่งออกมาด้วยสุ้มเสียงทุ้มหวาน ใบหน้าคมเข้มที่ดูจริงจัง และสายตาหวานเยิ้มจากแรงปรารถนา ก็ทำให้คำปฏิเสธแทบไม่มีอยู่ในความคิดของคณิตเลย

“ไม่ตอบ...แสดงว่าได้” อชิตะยิ้มอย่างพึงพอใจ

“.....”

คณิตอยากจะพูดปฏิเสธแทบตาย แต่ความคิดมันดันยินยอมพร้อมใจ รู้ตัวอย่างชัดเจนว่ากำลังเฝ้ารอคอยลมหายใจอุ่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท้ายทอยถูกประคองด้วยมือใหญ่เพื่อเตรียมพร้อมรับแรงปรารถนาที่จะส่งมอบให้ จากนั้นริมฝีปากของคณิตก็ถูกถือครองด้วยริมฝีปากหนาที่บดเบียดลงมา เพียงอึดใจเดียวก็เปิดต้อนรับลิ้นร้อนให้รุกล้ำเข้ามาอย่างช้าๆ เชิญชวนให้คล้อยตาม
ราวกับไม่รู้ตัว หรือเพราะโหยหาแรงบดเบียดและรุกไล่ร้อนแรงนี้

ราวกับสิ่งที่ถูกต้อง สมควร ไม่ใช่ความผิดเพี้ยน หรือการทำผิดต่อใครแต่อย่างใด หัวใจที่สับสนเหมือนจะถูกคลี่คลาย ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิดถูกกระตุ้นให้เผยตัวออกมาเรื่อยๆ บังคับให้จิตใจนั้นล่องลอยไปยังทุกแห่งหนที่ถูกนำพาไปถึง

ตั้งแต่เมื่อไหร่...

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อยากให้เจ้าของริมฝีปากที่ร้ายกาจคนนี้อยู่กับเขาตลอดไป

*      *      *

“ตินนน...กูไปด้วยยยย”

ภาคีกับสีฟ้าหันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงเรียกที่ดังมาแต่ไกลจากด้านหลัง ก่อนจะวิ่งมาหยุดด้านหน้าพวกเขา

สีฟ้าน่ะยิ้ม แต่ภาคีนั้นขมวดคิ้วใส่คนที่กำลังจะมาเป็นตัวขัดขวางความโรแมนติกของเขากับคนรัก ความโรแมนติกที่วาดเอาไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ

“มึงจะไปไหน กูขอไปด้วย...กูไม่อยากอยู่กับบอสสองคนอ่ะ” หนุ่มหน้าตี๋กระซิบเสียงเบาเอากับเพื่อนของเขา เพราะไม่อยากให้สีฟ้าได้ยิน ส่งสายตาอ้อนวอนไปพร้อมกันด้วย ดูจากสีหน้าของเพื่อนแล้ว คงอยากจะไล่เขาไปเสียให้พ้นตา

“ถ้า...ถ้า...ถ้ามึงไม่ให้กูไปด้วย กูจะไปหาชิตนะโว้ย” เขาเอาชื่อชิตตะวันมาอ้างเมื่อไหร่ ต่อให้ร้องขออะไร ภาคีก็ต้องยอมเขาตลอด เพียงเพื่อไม่ให้เขาไปไหนกับชิตตะวันสองต่อสอง คณิตจึงใช้ไม้นี้ทันที

และแล้วคณิตได้อยู่ร่วมในความโรแมนติกของคู่รักที่เดินจูงมือกันกะหนุงกะหนิงอย่างไม่นึกอายสายตาของเขาเลย จะว่าไปคงมีแค่เพื่อนของเขาคนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่อาย ส่วนสีฟ้าก็หน้าแดงไปตามเรื่อง เพราะคำพูดที่ดูเหมือนจะใช้สั่งเขาให้ทำตาม แต่ความจริงกลับเป็นคำพูดที่ตั้งใจทำให้คนรักหน้าขึ้นสีต่างหากเล่า

‘จะเดินด้วยก็ได้ แต่อย่ากวนเวลาที่คนรักสวีตกัน ถ้าเห็นว่าทำท่าจะจูบกันเมื่อไหร่ก็รีบหลับตาซะ”

ดังนั้นคณิตจึงเลือกที่จะเดินนำหน้าคนทั้งคู่ อย่างน้อยก็ทำให้คนรักของเพื่อนอายน้อยลงได้บ้าง เขาไม่ได้อยากอยู่ร่วมความโรแมนติกของคู่รักคู่นี้ หรืออยากจะทำตัวเป็นส่วนเกินของทั้งสองหรอก แค่ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองอยู่ลำพังกับอชิตะ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเผลอตัวและเผลอใจอีกจนได้

คณิตเดินเร็วขึ้นเพราะใจที่วุ่นวายและเริ่มต้นสับสนอีกครั้ง ขณะที่คู่รักด้านหลังเดินช้าลงเรื่อยๆ เพราะเอาแต่ชวนกันคุยถึงความหลังเมื่อครั้งแรกเจอกัน

หลังจากที่เรียกสติของตัวเองกลับมาได้ แล้วดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดแข็งแรงและรสจูบที่คล้ายจะทวีความเร่าร้อนขึ้นทุกวินาที บดเบียดจนหลุดครางเพราะความเจ็บ คณิตก็ต้องพาตัวเองออกมาจากห้องพักที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสียตัว แต่ไม่ลืมที่จะบอกกับคนที่พยายามจะรั้งเขาไว้ด้วยสายตาที่อ้อนวอน ราวกับจะขาดเขาไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

‘ผมขออยู่คนเดียวนะครับบอส ให้เวลาผมได้คิดบ้าง...’

แล้วเขาก็เดินออกมา พอพ้นประตูห้องออกมาได้ก็วิ่งสุดฝีเท้า วิ่งเหมือนคนหนีอะไรสักอย่างที่น่ากลัวเหลือเกิน เขาคิดจะโทรหาชิตตะวันให้มาหา ช่วยพาเขาออกจากความสับสนที่ว้าวุ่นนี้ไปให้ไกล แต่ก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ก่อน ถ้าชิตตะวันโผล่มาตอนนี้ แล้วเจอเข้ากับภาคี อาจจะเกิดเรื่องได้ เขาเลยต้องเดินเตร่ๆ อยู่ที่หาด จนมาเจอภาคีกับสีฟ้านี่แหละ

สองมือที่ล้วงกระเป๋ากางเกง กับสองเท้าที่เดินเหยียบบนทรายเม็ดละเอียด เดินไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมาย บางครั้งก็เตะเม็ดทรายให้กระจาย ระบายความอัดอั้นภายในอก ความสับสนภายในใจ ยิ่งยามที่คิดถึงรอยจูบ รสชาติของมันเหมือนของถูกปาก เท้าก็เตะเม็ดทรายกระจายไกลมากยิ่งขึ้น

อชิตะในวันนี้ไม่เหมือนอชิตะในวันเก่าก่อนเกิดเรื่อง และเขาก็เช่นกัน จะกลับไปเป็นคณิตคงเดิมไม่ได้อีกแล้ว ถึงร่างกายของเขาจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใบหน้าก็ยังคงเป็นชายหนุ่มหน้าตี๋ ผิวขาวจัด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วคือความรู้สึกภายในใจ ที่มันสามารถควบคุมสมองได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งควบคุมและขู่บังคับให้หลงลืมความจริงไปเสียทุกครั้งที่สายตาคมเข้มได้ทอดมองมา ดวงตาสีเข้มที่ดูจริงจังเหลือเกินกับความรู้สึกของตัวเองที่พร่ำบอกกับเขาทุกครั้งว่าต้องการเขามาก หว่านล้อมให้เขายินยอมพร้อมใจ ร่วมกระทำความผิดไปด้วยกัน

ความ ‘ผิด’ ที่ ‘เพี้ยน’ เสียจนไม่อยากยอมรับมันเลย แต่ก็ไม่อาจฝืนทนได้ แม้พยายามมากเท่าไหร่ที่จะหักห้าม มันก็เหมือนจะบีบรัดให้ต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คณิตไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมถึงเป็นได้เพียงนี้ เขาเหมือนอยู่ในมรสุมแห่งความสับสน

รู้สึกอยากหนีแต่ก็อยากอยู่

อยากตะโกนด่าแต่ก็ยอมรับสัมผัสเร่าร้อน

อยากทำให้ถูกต้องแต่ก็หลงใหลไปกับความไม่ถูกต้อง


*      *      *
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 7 UP 24-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 24-04-2017 20:21:10
*      *      *
    พอเปิดประตูห้องเข้ามา คนที่เขาอยากหนีไปเสียให้พ้นก็เดินผ่านกรอบประตูห้องอาบน้ำออกมาพอดี ในสภาพที่เปลือยท่อนบนอวดร่างกายที่กำยำด้วยมัดกล้าม หน้าท้องที่เป็นลอนสวย สมชายชาตรี ส่วนล่างห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูสีขาว ร่างกายที่เขาเห็นออกบ่อยๆ เห็นมาตั้งแต่รู้จักและสนิทสนมกันในฐานะลูกน้องคนสนิทที่ เห็นจนคุ้นตา แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เขาจะไม่กล้ามองร่างกายแข็งแรงของอชิตะ

มันก็แค่หุ่นของผู้ชายคนหนึ่ง

หุ่นดี สมชาย มีกล้าม มีซิกแพค

ส่วนล่างที่เมื่อก่อนก็เคยเห็น และพักหลังมานี่ก็เห็นบ่อยขึ้น

แต่ทุกอย่างบนร่างกายที่กำยำและสูงใหญ่ของอชิตะ มันทำให้เขาไม่กล้ามองอย่างเต็มตา ได้แต่ก้มหน้าเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาบุนวมที่วางชิดพนังห้องตรงข้ามกับเตียงนอนที่ต้องใช้ร่วมกันอีกสองคืน

เห็นเตียงแล้วก็ต้องคิดหนัก สองคืนที่ต้องนอนร่วมเตียงกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่เคยคิดสักนิดว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันจะเป็นเรื่องใหญ่และชวนให้อึดอัดจนอยากจะออกไปนอนที่เปลญวนหน้าบ้านพักเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพราะนับครั้งไม่ถ้วนที่คณิตนอนเตียงเดียวกับคนเป็นเจ้านาย ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนในห้องของคณิตหรือห้องของอชิตะ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่คงไม่ใช่ตอนนี้แน่!

“อาบน้ำก่อนไหม?” อชิตะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมเปียกของตัวเอง พลางเดินเข้ามาใกล้คนที่หายหน้าไปนานหลายชั่วโมง 

คณิตเงยหน้าขึ้นมามอง กลิ่นสบู่ลอยเข้ามาสู่การรับรู้ นี่ก็อีกเช่นกันที่เคยเป็นเรื่องปกติ แต่คล้ายกับว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติอีกแล้ว กลิ่นกายหอมๆ ที่ลอยเข้ามาในจมูก มันหอมชื่นใจเสียจนไม่อยากจะลุกหนีไปไหน เมื่อร่างกายที่กำยำนั้นทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ แต่น่าจะเรียกว่า ‘เบียด’ ดูจะถูกต้องมากกว่า

“บอส...ไม่ต้องเบียดขนาดนี้ก็ได้ครับ” คณิตบอกเสียงเบาพลางขยับตัวหนีไปจนสุดทาง คนตัวเปลือยก็เหมือนจะไม่สนใจคำบอกแสนเบาหวิวนั้น ยังคงตามมาเบียดชิดร่างกายที่บอบบางกว่า พร้อมกับวางท่อนแขนโอบไหล่เล็กที่ตั้งตรงนั้นด้วย คล้ายกับว่าจะบังคับให้อีกฝ่ายจำนนอยู่ใต้ท่อนแขน ไม่ให้ลุกหนีไปไหน

“ปล่อยครับบอส ผมจะไปอาบน้ำ” เขาบอกอีกครั้ง บอกทั้งที่ไม่มองหน้าคนที่กักตัวเขาไว้ภายใต้ท่อนแขนที่แข็งแรง

“เดี๋ยวก็ได้ นั่งคุยกันก่อน”

คราวนี้ไม่ใช่แค่มือเดียวที่โอบไหล่บางเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็พาดไปที่ด้านหน้าของคนตัวเล็ก ยื่นไปประสานกับมืออีกมือ ทำให้คณิตตกอยู่ในวงล้อมของท่อนแขนแข็งทั้งตัว

เพราะขี้เกียจจะห้าม...

เพราะขี้เกียจจะขัดขืน...

เพราะขี้เกียจจะคัดค้าน...

เพราะขี้เกียจจะโต้แย้งใดๆ...

หรือเพราะเริ่มชินกับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยแรงสิเน่หานี้แล้วมั้ง คณิตถึงได้ยินยอม ไม่ดิ้นรนหนี ซ้ำร้ายยังโอนอ่อนผ่อนตาม พักร่างกายและจิตใจที่สับสนวุ่นวายไว้กับแผ่นอกกว้างเบื้องหลัง ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกยกขึ้นนั่งบนตักของอชิตะตอนไหน จะรู้ตัวก็ตอนจมูกโด่งเป็นสันสวยมาเคล้าคลอบนผิวแก้ม บางครั้งก็กดลึกลงไปจนเขารู้สึกเจ็บนิดๆ บางครั้งก็ทำสูดเอากลิ่นจากผิวเนื้อของเขาไปคำใหญ่

เพราะไม่ได้ห้ามปราม ขัดขืน หรือดิ้นลนให้หลุดพ้น มือใหญ่ที่โอบกอดคณิตเอาไว้จึงย่ามใจ ถึงได้เลื่อนเข้าไปสัมผัสกับผิวกายใต้เสื้อยืด แล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยนในช่วงแรก ก่อนจะบีบเค้นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ในช่วงหลัง ร่างกายส่วนสำคัญใต้ผ้าผืนใหญ่สีขาวเริ่มดุดันขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ใบหน้าของคณิตถูกบังคับให้หันกลับมารับจูบที่เร่าร้อนและรุนแรงตามแรงของอารมณ์ปรารถนาในกาย

อชิตะ แม้จะดูสุขุม ลุ่มลึก ดูใจเย็น แต่ในสถานการณ์ที่พลุ่งพล่านด้วยอารมณ์สิเน่หายากจะดับลงได้ ชายหนุ่มไม่เคยจะรั้งรอเวลาแม้แต่วินาทีเดียว พริบตาเดียวร่างกายของคณิตก็ตกอยู่ใต้ร่างกายกำยำไปเรียบร้อยแล้ว

คนด้านล่างก็มึนงงเสียจนไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อยืดของตนหลุดออกจากเนื้อตัวไปตอนไหน เรียวปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระจากปากหนาของคนด้านบน เพียงเพื่อจะไปจูบซับที่หน้าผากเกลี้ยง แก้มเนียน ซอกคอหอม แผ่นอกเรียบปราศจากมัดกล้าม แต่ก็ชวนให้สัมผัสอย่างหลงใหล

มือเล็กที่ควรจะผลักไสเพื่อเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากความผิดเพี้ยนที่ไม่อยากให้เลยเถิดกลายเป็นความผิดพลาด กลับเลื่อนขึ้นไปสัมผัสแผ่นหลังหนาอันแข็งแรง ลูบไล้ตามอารมณ์ที่โลดแล่นตามแรงชักจูงของอชิตะ ทั้งสูงขึ้นไปบนบ่ากว้างและต่ำลงไปเท่าที่มือเล็กจะไล่ไปถึง ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ปากหนานั้นกลับขึ้นมามอบจูบดูดดื่มให้กับอารมณ์ที่ยากจะฉุดดึงให้เย็นลง มันร้อนระอุราวกับจะทำให้ขาดใจตายได้แทบทุกวินาที ร่างกายเบื้องล่างตื่นตัวและสั่นไหววาบหวาม ชวนให้เสียวซ่านในใจ รอคอยการปลดปล่อยแทบทนไม่ไหว

“อ่า...บอส...ผม...อืมมมม”

‘ผมจะทนไม่ไหวแล้ว’ คือสิ่งที่หลุดออกมาทั้งหมดไม่ได้ เมื่อสิ่งที่เรียกร้องถูกตอบแทนด้วยปากหนาที่เร่าร้อน ลิ้นร้อนที่ดุนดัน กวาดต้อน หว่านล้อมให้ตอบโต้เฉกเช่นเดียวกัน

เป็นอีกครั้งที่ความเร่าร้อนเต็มไปด้วยความหวานหอมชวนให้หลงใหลและดำดิ่งลึกลงไป ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงก่ำเพราะความต้องการปลดปล่อย กับสายตาฉ่ำเยิ้มทอดมองมาอย่างเย้ายวนนั้น ทำให้อชิตะยิ่งหลงใหลอย่างคลั่งไคล้ อยากครอบครองไปเสียทุกตารางนิ้วที่เป็นคณิต!

สำหรับอชิตะแล้ว...ไฟรักรุนแรงแค่ไหน เขาย่อมรู้ดี และไฟสิเน่หาที่เขามีต่อร่างกายข้างใต้ยิ่งร้อนมากกว่าหลายสิบเท่า ต่อให้ไม่ยินยอม เขาก็อยากจาบจ้วง ทิ่มแทงลงไปเพื่อตีตราจอง!

สิ่งที่ห่อหุ้มร่างกายท่อนล่างของอชิตะหลุดลงไปกองพื้น และเสื้อผ้าของคณิตก็เช่นกัน อชิตะยิ้มเยิ้ม มองสิ่งที่ฟ้องอารมณ์ร่วมของร่างกายเบื้องหน้า ไม่ได้แตกต่างจากเขา ความรู้สึกก็คงไม่ต่างกัน เขาช้อนตัวคณิตขึ้นมาสู่วงแขน อุ้มพาไปยังเตียงนอนกว้างสีขาวสะอาดตา วางร่างกายหอมหวานลงอย่างนุ่มนวล ก่อนจะตามขึ้นมาว่างตำแหน่งตัวเองให้อยู่เหนือร่างกายที่สั่นไหวเพราะอารมณ์ดิ่งลึกล้ำ เสียวซ่านและเรียกร้องให้เขาโอบอุ้มไว้ด้วยไอร้อน ที่เร่าร้อนดั่งนาทีที่ผ่านมาบนโซฟาตัวนั้น

ดวงตาสีนิลมองลึกลงไปในหน่วยตาเรียวเล็กฉ่ำความต้องการ ปากหนายกยิ้มด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุดต่อภาพที่เห็น ความยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย ชัดเจนในสายตาของเขา

มือใหญ่ลูบไล้บนผิวกายขาวขึ้นสีแดง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความร้อนจากปากหนา กดย้ำเพื่อครอบครอง มือเล็กๆ นั้นก็เหมือนจะเชิญชวนให้ครอบครองมากกว่านี้

คณิตกำลังเรียกร้อง กำลังร้องขอ กำลังลูบไล้ร่างกายกำยำที่เคยเห็นมาบ่อยครั้ง เขาลูบไล้เท่าที่มือทั้งสองจะไปถึง ความแน่นหนาของร่างกายที่กำยำยิ่งเพิ่มความเร่าร้อนให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ทุกตารางนิ้วที่สัมผัสถึงเหมือนไฟร้อน ล้วนแล้วแต่ทำให้คณิตลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง ดวงตาพร่ามัวเพราะอารมณ์ปรารถนาบดบัง ไม่มีอะไรอยู่ในสายตานอกจากใบหน้าคมเข้มที่คุ้นตา ดวงตาสีนิลที่ฉ่ำเยิ้ม ทว่าก็แผดเผาให้หลอมละลาย ความเป็นตัวเองหดหาย เหลือเพียงความปรารถนาในห้วงอารมณ์รุนแรง ที่จะช่วยให้เขาหลุดลอยไปจากความผิดชอบชั่วดีที่เฝ้าเตือนตัวเองมาตลอด ยามเมื่อสติสัมปชัญญะยังครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ถูกหลอกล่อด้วยสายตาเร่าร้อนราวกับจะหลอมให้ตัวตนของเขามอดไหม้ในวินาทีข้างหน้า

ไม่มีคำพูด มีเพียงเสียงความปรารถนา เร่าร้อน รุนแรง ยากหักห้าม คนสองคนปราศจากคำพูด แต่หัวใจของทั้งคู่ต่างพูดด้วยภาษาของการสัมผัส แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม

เมื่ออชิตะจูบ คณิตก็จูบ

เมื่ออชิตะลูบไล้ คณิตก็ลูบไล้

เมื่ออชิตสัมผัส คณิตก็สัมผัส

เมื่ออชิตะเลื่อนกายเข้าใกล้ คณิตก็เปิดกว้างเพื่อต้อนรับ...อย่างเต็มใจ

ในห้องหับมิดชิด บนเตียงกว้างที่รองรับเรือนกายบอบบางและร่างกายกำยำเอาไว้อย่างนุ่มนวล ความเร่าร้อนกำลังปะปนอยู่กับความรักที่สะสมมาเนิ่นนาน บทรักที่ใกล้จะสมบูรณ์แบบที่สุดระหว่างสองร่างกาย กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเรียกจากภายนอก

“หนึ่ง หนึ่ง...”

เสียงเรียกชื่อดังสลับกับเสียงเคาะประตู

“หนึ่ง...หนึ่ง...”

เสียงเรียกนั้นไม่ยอมแพ้ แม้จะไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา แต่เขาก็มั่นใจว่าเจ้าของชื่อนั้นต้องอยู่ในห้องอย่างแน่นอน

“หนึ่ง...หนึ่ง...”

คนด้านนอกร้องเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น หวังให้เจ้าของชื่อขานรับ แต่คณิตถูกดวงตาสีนิลเว้าวอนแกมขอร้องให้สนใจแต่ตน อย่าขานตอบ อย่าทำอะไรก็ตามที่จะทำให้ทุกอย่างที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาต้องหยุดลงเลย...

คณิตเบือนหน้าหนีเมื่อได้สติ มือเล็กค่อยๆ ดันแผ่นอกแข็งแรงให้ถอนตัวออกไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กลืนเก็บความเร่าร้อนที่คุกรุ่นลงไป ระงับมันด้วยสติที่น้อยนิดของตัวเอง

“เดี๋ยว...นะ...ชิต” กว่าจะหลุดคำพูดออกมาได้ก็ต้องอาศัยพลังมากเหลือเกิน คณิตหลับตาลงช้าๆ หลีกหนีสายตาตัดพ้อของคนร่วมเตียง

“ทำอะไรอยู่” สุ้มเสียงที่ถามว่าเข้มเกือบดุดันแล้ว สายตาที่มองตั้งแต่หัวถึงปลายเท้ายิ่งทำให้คนถูกมองเสียวสันหลังไปวูบหนึ่ง

“กำลังแก้ผ้าจะอาบน้ำ” คณิตตอบ สภาพของเขาตอนนี้คงจะช่วยยืนยันคำพูดให้ดูเป็นความจริงมากที่สุดได้ เพราะก่อนจะเปิดประตูออกมา คณิตก็ไม่ลืมคว้าผ้าขนหนูมาพันท่อนล่าง และสวมเสื้อปิดบังร่องรอยบางอย่างบนผิวกายไม่ให้ชิตตะวันเห็น

เห็นแล้วจะเป็นเรื่องอีก...

คณิตยังไม่ลืมหรอกนะว่า เขาตกลงคบกับชิตตะวันไปแล้ว

“ทำไมถึงไม่บอกว่าจะมาวันนี้” หากชิตตะวันไม่กลับมารีสอร์ต คงไม่รู้ว่าคณิตมาเข้าพักแล้ว เพราะคณิตบอกเขาว่าจะมาวันพรุ่งนี้

“ลืม” คำตอบสั้นๆ ของคณิต ทำให้ชิตตะวันหงุดหงิดเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดจนถึงขั้นโกรธแทบเป็นไฟ เมื่อร่างสูงใหญ่ของคนที่เขาเคยเห็นสองสามครั้งเดินตามออกมา ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของคณิต ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า มีผ้าเช็ดตัวพันส่วนล่างเอาไว้

แค่สภาพการแต่งกายคงไม่ทำให้เดือดดาลได้เท่ากับร่องรอยบนตัว ทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย มันดูใหม่และเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมาเคาะประตู แต่ไม่รู้ว่าถึงขั้นไหน

“หนึ่ง...” เขาข่มเสียงให้สงบนิ่งที่สุด ชิตตะวันถึงจะเป็นพวกเลือดร้อน แต่เขาก็ต้องบังคับตัวเองให้อยู่ในสภาพปกติที่สุด เขายังไม่มีสิทธิ์ทำอะไร นอกเสียจากคณิตจะเป็นของเขาจริงๆ “ออกไปคุยกันหน่อย” แทบอยากจะประเคนมัดใส่หน้าเจ้าของรอยยิ้มที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งเกี่ยวเอวเล็กๆ เอาไว้  แต่ต้องบังคับใจตัวเองเอาไว้ อย่างไรคนคนนี้ก็คือนายจ้างของคณิต และเขายังไม่แน่ใจว่านั่นคือความเต็มใจของคณิตด้วยหรือเปล่า

แม้แต่ตอนที่เขาจ้องเขม็ง คณิตก็เหมือนจะยินยอมให้มือนั้นเกี่ยวเกาะอยู่ที่เอวของตัวเอง ไม่ขัดขืน มีแต่สีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย นั่นก็แปลได้ดีทีเดียวว่าคือ “ความยินยอม”

“ไว้คุยวันไหนนะชิต คือตอนนี้...ไม่พร้อม”

ไม่พร้อมของคณิตคือไม่พร้อมจะอธิบายอะไรทั้งนั้น แม้แต่ท่อนแขนที่โอบเอวเขาอยู่ตอนนี้ เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะปลดมันออกให้พ้นตัว 

“แล้วจะคุยตอนไหน” ชิตตะวันถามเสียงห้วนแสดงความไม่พอใจมากขึ้น

“เดี๋ยวโทรไป แค่นี้ก่อนนะ ขออาบน้ำก่อน แล้วก็ไม่ต้องโผล่มาหาตอนกูอยู่กับตินมันนะโว้ย กูไม่อยากให้เกิดเรื่อง” ถึงจะรีบตัดบท อย่างไรคณิตก็ไม่ลืมที่จะย้ำเตือนเรื่องที่เขากังวล ไม่อยากให้งานกร่อยเพราะเรื่องของเขา

“อืม...แต่ขอคืนนี้นะหนึ่ง!”

ชิตตะวันกำชับเสียงเข้มและหนักแน่น บ่งบอกว่าเขาต้องการอย่างที่พูด ห้ามบิดพลิ้ว ก่อนจะมองเลยไปยังคนที่กำลังยิ้มเย้ยใส่เขา แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าหันหลังเดินกลับไปทางเดิม

ในเมื่อคณิตยินยอม เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร แต่เมื่อไหร่ที่คณิตไม่ยินยอม เมื่อนั้นแหละ เขาจะเป็นฝ่ายยิ้มอย่างนั้นบ้าง!

*      *      *

 “ตินคงไม่ยอม ถ้าหนึ่งจะเจอชิตคืนนี้”

อชิตะพูดขึ้นหลังจากปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก้าวเท้าตามแผ่นหลังบอบบางเข้ามาในห้องน้ำ เสียงที่เหมือนเรื่อยๆ
แท้จริงแล้วตั้งใจข่มขู่อยู่ในที

“ผมก็หวังว่าบอสจะไม่บอกมัน ผมขอนะบอส” บอกพลางถอนหายใจหนักหน่วง ทำไมศึกของเขาจึงหลายด้านหนักนะ

“แล้ว...ถ้าผมขอหนึ่งบ้างล่ะ” อชิตะย้อนถาม โอบเอวบางให้เข้ามาใกล้ หอมแก้มขาว ดวงตาสีนิลพราวระยิบ อารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่เริ่มก่อตัวใหม่อีกครั้ง

“ผมมีค่าเท่านี้ใช่ไหม” น้ำเสียงของคณิตติดจะหงุดหงิด

“มีค่าเท่าตรงนี้มากกว่า” ว่าแล้วอชิตะก็ละมือออกจากเอวบาง แล้วจับมือของคณิตมาวางไว้ที่อกซ้าย ให้สัมผัสถึงสิ่งที่เต้นอยู่ภายใต้ร่างกายตน

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากเล็กสีสวย มีเพียงสายตาที่มองมือของตัวเองใต้อุ้งมือใหญ่ ก่อนถอนหายหนักหน่วงอีกครั้ง ช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้า

คำพูดมากมายที่อัดแน่นภายในอกยามที่สติครบถ้วน ไม่ถูกหลอกล่อด้วยอารมณ์สิเน่หาใดๆ ยังคงอยากจะออกมาเรียกร้องให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม อยากออกมาลบล้างความผิดพลาดเพราะอารมณ์ปรารถนา อยากโยนความผิดเพี้ยนออกไปให้ไกลสุดขอบโลก แต่ก็ถูกกลืนเก็บลงไป ให้จมลงไปอยู่ก้นบึ้งมืดบอด เพราะมันคงเปล่าประโยชน์จะพูดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่มีผลต่อการกระทำของคนตรงหน้าเลย

อชิตะดื้อดึงเกินกว่าที่เขาจะโน้มน้าวให้คืนกลับ หรือเพราะเขาที่อ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานความผิดเพี้ยนนี้ไปได้ตลอด กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะจมลงสู่ความผิดพลาดนี้พร้อมกับอชิตะอย่างหลีกหนีไม่ได้ไปตลอดชีวิต...

จบตอนที่ 7
ตามตอนที่ 8 วันที่ 26 นะคะ

ปล. สงสัยไม่มีใครชอบคุณอิงแน่เลย T^T

By สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 7 UP 24-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-04-2017 21:41:02
สำหรับเรานะ พี่อิงเอาแต่ใจเกินไป !!!!!!!
สงสารหนึ่ง เหมือนถูกล่อลวง 555
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 7 UP 24-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: askmes ที่ 25-04-2017 14:38:18
รอติดตามมมม
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 8 UP 26-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 26-04-2017 19:54:00
8

‘มีค่าเท่าตรงนี้มากกว่า’

คำพูดประโยคนี้ของอชิตะยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัวของคณิต แล้วดวงตาคมกล้านั้นก็หนักแน่นและจริงจังเหลือเกิน เกินกว่าที่จะต้านทานไหว

แม้ในยามที่นั่งล้อมวงยิงคำถามเรื่องของน้ำฟ้าเอากับหมอพิษณุ ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวที่หมอพิษณุบอกในตอนแรกว่าเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้กลับบอกเต็มปากว่าเป็น ‘แฟน’ คณิตเองก็ไม่สามารถจะลบลืมคำพูดของอชิตะในห้องอาบน้ำไปจากความรู้สึกได้...

...จดจำได้ทั้งน้ำเสียง คำพูด สายตา และความจริงจัง จนอยากยอมแพ้
แอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าขาวขึ้นสีแดง ไม่ใช่เฉพาะใบหน้า เนื้อตัวภายใต้เสื้อยืดเนื้อบางสีส้มก็เปลี่ยนจากขาวมากเป็นแดงมากไปเสียแล้ว เปลือกตาบางก็ดูจะหนักเสียจนจะปิดกั้นการมองเห็นได้แทบทุกเวลา แม้ปากจะปล่อยคำถามและคำพูดเย้าแหย่หมอพิษณุตามปกตินิสัยก็ตาม
   “เออน่า นี่หมายความว่าไงครับคุณหมอ หมายความว่า ‘จัดการคืนนี้’  หรือเปล่าครับ” หน่วยตาเรียวเล็กฉ่ำด้วยฤทธิ์ความมึนเมายิ้มเยิ้ม เมื่อตั้งคำถามที่ทำเอาคนถูกถามพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ นึกอยากอยากเคาะกะโหลกช่างคิดเหลือเกิด
“เมาแล้วนะครับหนึ่ง” อชิตะเตือนคนเมา เขาคว้ามือเล็กที่ตั้งท่ายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเป็นการห้ามไม่ให้ดื่ม คณิตคออ่อน ดื่มไม่กี่แก้วก็เมาแล้ว พอเมามากก็ชอบพูดไม่คิดเท่าไหร่ แต่คนเมากลับไม่ยอม ยังดื้อดึงที่จะเอาแก้วเหล้าจ่อปากให้ได้
“ไม่มาววว ผมยังดื่มได้อยู่คร้าบบบ...บอส”  เสียงอ้อแอ้เอ่ยบอกหลังจากวางแก้วที่เหลือเพียงน้ำแข็งลงบนโต๊ะ คนเมาไม่สนใจสายตาที่มองอย่างปรามๆ ให้เขาหยุดพูดและหยุดดื่ม แต่ที่ไม่พูดและไม่ดื่มอีกแล้วก็เพราะคณิตมองไปเห็นเจ้าของรีสอร์ตอยู่ไกลๆ ด้วยความบังเอิญ และฝ่ายนั้นกำลังจะเดินมาทางนี้ด้วย
คณิตไม่อยากให้ชิตตะวันมาตรงนี้ เพราะไม่อยากให้เกิดการปะทะกันระหว่างชิตตะวันกับภาคี ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน สองคนนี้จะมีเรื่องกันเสมอ ไม่ปะทะคารมก็ปะทะกำปั้นกัน โดยมีเขาเป็นฉนวนเหตุ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเลยต้องลุกเดินออกไปหาชิตตะวันเอง โชคดีที่ภาคีกำลังวุ่นอยู่หน้าเตากับคนรักของตนและคนรักของหมอพิษณุ ไม่ได้สนใจเขานัก
“เดี๋ยวผมมานะครับบอส คุณหมอ” แต่ไม่วายต้องบอกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันก่อน หมอพิษณุคงไม่เท่าไหร่ ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าคณิตจะไปไหน แต่คนที่นั่งข้างๆ หมอพิษณุอย่างอชิตะแล้ว ใช้หน่วยตาคมดุมองเขาเขม็ง ราวกับจะบังคับให้เขานั่งลง ห้ามไปหาชิตตะวันเด็ดขาด เพราะอชิตะคงเห็นชิตตะวันเหมือนกัน พานให้นึกถึงคำพูดแกมข่มขู่ก่อนนี้
‘ตินคงไม่ยอม ถ้าหนึ่งจะเจอชิตคืนนี้’
หึ...
เห็นสายตาห้ามปรามแกมข่มขู่อยู่ในทีแล้ว คณิตยิ่งอยากเอาชนะ 

*      *      *
คณิตเดินนำชิตตะวันเข้ามาในห้องพักของตน ก่อนหอบเอาร่างมึนเมาของตัวเองไปนอนแผ่หลาบนเตียงกลางห้อง แอลกอฮอล์ในร่างกายออกฤทธิ์เสียจนไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว
“จะยั่วหรือไง” ชิตตะวันถาม เดินมานั่งตรงขอบเตียงเพื่อมองหน้าคนเมา ก่อนจะวางมือคร่อมคนตัวเล็กเอาไว้ ความจริงเขาอยากเอาตัวคณิตขึ้นรถแล้วพาไปที่บ้านของเขาในตัวเมืองหรือไม่ก็โรงแรมที่ตั้งอยู่อีกแห่ง อะไรๆ ที่เขาหวังจะได้ง่ายกว่านี้ ไม่ใช่ต้องมานั่งบนเตียงในบ้านพักแห่งนี้ ทำอะไรก็คงไม่สะดวกนัก เกิดเจ้าของห้องอีกคนกลับเข้ามาในช่วงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มล่ะ แค่นึกก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นแล้ว
“ยั่วไม่ยั่ว มึงก็จ้องจะแดกกูอยู่ไม่ใช่หรือไง” คณิตปรือตาขึ้นมาย้อมถาม หรี่ตามองใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ ก่อนจะตัดสินใจโน้มต้นคอหนาลงมามอบจูบให้ซะเอง
ลิ้นที่แทรกเข้ามากระหวัดเกี่ยวพันกระตุ้นให้ตอบรับ มือที่สอดเข้ามาใต้เสื้อผ้าลูบไล้บีบเค้นอย่างถือโอกาส ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความคิดในหัวที่ว่า...
‘ทำๆ ไปเถอะ เรื่องผิดเพี้ยนจะได้จบไปซะที ยอมให้ไอ้เพื่อนรักโกรธไปสักพัก เดี๋ยวมันก็หาย ดีกว่าทำให้ความรักของอชิตะกับณัชชาพังทลายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ’
เสื้อยืดเนื้อบางร่นขึ้นไปกองเหนือยอดอกแบนราบ เม็ดสีหวานที่ชิตตะวันเห็นกลับเพิ่มความรู้สึกอยากครอบครอง ปากร้อนโน้มลงมาเพื่อลิ้มรสชาติ ชิตตะวันฝันถึงช่วงเวลานี้มานาน ตั้งแต่ที่เห็นหน้าก็รู้สึกอยากเป็นเจ้าของ แม้ถูกกีดกันจากภาคีก็ตาม เขาก็ไม่เคยย่อท้อและพาตัวเองเข้ามาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของคณิตจนได้ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของภาคีไปทันที
“อือ...พะ...” เรียวลิ้นที่แตะต้องบนแผ่นอก ทำให้เสียงครางเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นด้วยความเสียวซ่าน มือเล็กทุบลงบนไหล่หนาเบาๆ เป็นสัญญาณให้หยุด ทว่าก็เพียงแค่ครั้งเดียว ก่อนจะยึดไหล่หนาเอาไว้มั่น เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ชิตตะวันต้องการ
เมื่อดูเหมือนจะหมดทางหนีจากอชิตะแล้ว นี่คือหนทางสุดท้ายที่เหลืออยู่เท่าที่สมองเล็กๆ ของคณิตจะคิดออก
หากถามว่าโง่มากไหมที่ทำแบบนี้ คณิตก็ตอบทันทีเลยว่า ‘โง่ยิ่งกว่าโง่’ ทว่าเขาก็เลือกที่จะโง่ เพราะหนทางที่ฉลาดกว่านี้ เขามองไม่เห็นเลยแม้แต่ทางเดียว 
“หนึ่ง...ช่วยหน่อยสิครับ” คนที่กำลังคุมเกมพลิกตัวลงนอนตะแคงเอ่ยเสียงพร่า ดึงร่างกายบอบบางให้หันหน้ามาหากัน จับมือเล็กให้เลื่อนลงต่ำไปพบกับความแข็งขืน ส่วนกลางลำตัวที่กำลังคุกรุ่นด้วยความปรารถนาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงที่สวมใส่
“ตะ...ต้องด้วยเหรอวะ” คนเมาเริ่มจะตาสว่าง กำมือไว้แน่นและขืนเอาไว้สุดกำลัง คณิตรู้ว่าชิตตะวันอยากให้เขาทำอะไร แต่เขาไม่อยากเตะต้องมันเลย....ให้ตายสิ
“หึหึ...ต้องสิครับ นะครับหนึ่ง” เสียงอ้อนกระซิบผ่านริมฝีปากที่แนบจูบเข้ามา ขณะเดียวกันมือใหญ่ก็ยังคงลากดึงให้มือเล็กที่เหมือนจะโอนอ่อนผ่อนตามแล้วไปยังที่หมาย
ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์น้ำเมาเมื่อหลายสิบนาทีก่อนขึ้นสีแดงมากอีกหลายเท่า เมื่อมือถูกชักจูงให้เข้าไปสัมผัสกับความปรารถนาที่แข็งแกร่งของคนที่พยายามกวาดต้อนลิ้นเล็กๆ ของเขาราวกับอยากได้เอาไปเป็นของตนเอง ไม่เพียงเท่านั้นคณิตเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า กระดุมกางเกงของเขาหลุดออกจากรังดุมไปเมื่อไหร่ เขารู้เพียงแต่ว่ามืออีกข้างของชิตตะวันกำลังปลุกเร้าให้ตัวตนของเขาให้ต้องแข็งขืนตามไปด้วย
“ชะ...ชิต...คือ...ว่า...พะ...” มันยากเหลือเกินที่เขาจะเปล่งเสียงให้ออกมาเป็นคำแต่ละคำ ซ้ำร้ายยังเอ่ยออกมาไม่หมดอย่างที่ความคิดมันต้องการเลย
“เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วนะครับหนึ่ง ถึงขนาดนี้แล้ว จะแกล้งกันหรือไง” แม้ร่างกายที่ชิตตะวันอยากครอบครองเป็นเจ้าของก่อนที่จะกลายเป็นของคนอื่นจะขยับหนี ปากที่คล้ายจะเปล่งคำสั่งให้เขาหยุด ทว่าอารมณ์ที่โลดแล่นก็ยากจะหยุดยั้ง ชิตตะวันดึงร่างบอบบางให้กลับมาชิดดังเดิม จับมือเล็กให้วางแนบไว้กับตัวตนร้อนระอุของเขาอีกครั้ง บังคับไม่ให้ขยับไปไหน
“ไม่ต้องกลัว ครั้งแรกของหนึ่ง ชิตจะเบาๆ” สายตายิ้มเยิ้มนั้นทำเอาคณิตไม่กล้ามองสบด้วยเลย ทั้งชิตตะวัน ทั้งอชิตะ พูดเหมือนกันเลย ‘จะไม่ทำให้เขาเจ็บ’ พูดอย่างนี้แสดงว่ามันต้องเจ็บแน่ๆ นึกแล้วกลัวขึ้นมาจับใจ
คณิตระบายลมหายใจออกมาเบาๆ พลางปิดเปลือกตาลง ก่อนจะเปิดอีกครั้งในนาทีต่อมา เมื่อทำใจได้แล้วกับความเจ็บปวดแรกที่ต้องพบเจอ
...เขายอมเจ็บกาย มันก็น่าจะดีกว่าทำให้ว่าที่เจ้าสาวของอชิตะเจ็บปวด และมองเขาด้วยความรู้สึกเกลียดชัง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องเกลียดตัวเองไปด้วย
“ถ้ายังกลัว...ข้างนอกก่อนก็ได้ ขยับไปพร้อมๆ กันนะหนึ่ง” บอกเอาใจผสมกับการปลอบโยน ชิตตะวันไม่อยากให้ความกลัวของคณิตเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จที่รอคอยมาหลายปี
ครั้งแรกของเขากับคณิต เขาอยากให้งดงามด้วยความยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริง
แล้วชิตตะวันก็ยิ้มกว้าง เมื่อมือเล็กที่เย็นเฉียบเริ่มขยับนำเขาไปก่อน ถึงจะไม่คล่องแคล่วเพราะความเขินอายหรือกระดากใจอะไรก็ตามเถอะ มันก็เป็นสัญญาที่ดีไม่ใช่หรือ...
แม้ร่างกายไม่ได้เกี่ยวพัน เรียวลิ้นก็ไม่ได้พันเกี่ยวกวาดต้อนความหวานมาครอบครอง ทว่ามือเล็กที่ขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้อารมณ์มันโหมลุกใกล้ถึงขีดสุดรวดเร็วกว่าครั้งไหน ชิตตะวันจะรู้ไหมว่าหน่วยตาเรียวเล็กที่ถูกเปลือกตาบางบดบังนั้น มันเลื่อนลอยและหลุดลอยไปหยุดตรงหน้าหาด เลยไปถึงสะพานไม้ที่ยื่นไปในน้ำทะเลสีเข้มของยามราตรีสำดำ ตรงปลายสะพานเป็นลานกว้าง...ใครคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าคมเข้มและดวงตาคมกล้าสีนิลกำลังครอบครองทั้งความคิดและความรู้สึกของคณิต อารมณ์ที่พุ่งสูงจวนเจียนระเบิดออกมาเป็นหยาดอารมณ์ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าของคณิตนั้น เกิดขึ้นเพราะมือที่เร่งเร้า หาใช่เพราะความสุขสมในหัวใจ
“อ่าาา...”
เสียงที่ถูกระบายออกมาดังให้ได้ยิน แทบจะพร้อมกับความอุ่นร้อนในมือที่ไหลผ่านมือเล็กสู่ผืนผ้าสีขาวที่รองรับเอาไว้ มันเยอะเสียจนคณิตอยากหัวเราะออกมาเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง เขาเก่งเกินไปหรือเพราะชิตตะวันความอดทนน้อยกว่าเขา แต่มันคงไม่ใช่เวลาที่ดีแน่นอน เพราะตัวเขาเองก็เหมือนจะทะลุเพดานออกไปแล้ว
“อะ...อ่า” เพราะมือที่เร่งเร้าราวกับกลัวเสียหน้า เพิ่มจังหวะและความหนักแน่นมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องปลดปล่อยออกมาและไหลเปรอะเปื้อนเช่นเดียวกัน
...เหนื่อยและว่างเปล่าเหลือเกิน
“เฮ้ย! จะต่อเลยเหรอ?” ร้องถามเสียงหลงทันที เมื่อเรียวขาถูกแยกออก พร้อมกับร่างกายรุกไล่เข้ามา
“แล้วจะช้าอยู่ทำไมละครับหนึ่ง” เสียงนั้นเต็มไปด้วยแรงปรารถนา มือใหญ่ทำงานด้วยความชำนาญมากกว่าคนที่นอนทำตาโตอยู่เบื้องหน้า
เสื้อเนื้อบางถูกดึงออกให้พ้นตัวคณิต ที่หมายต่อไปของชิตตะวันคือกางเกงขาสั้นสีดำที่ไร้ประโยชน์ เขาขยับเพื่อจะดึงเอามันออกไปให้พ้นเรียวขาที่แสนจะเนียนเรียบ
“มีถุงไหม ขอถุงนะชิต หล่อลื่นด้วยก็ดี นะนะ กูกลัวเจ็บ” มือเล็กกำข้อมือหนาไว้แน่น ถึงจะยินยอมเพื่อตัดปัญหาที่แก้ไม่ตก อย่างไรก็ตามคณิตก็ยังต้องการเวลาทำใจ อย่างน้อยก็ให้คนที่ทำท่าเหมือนอยากจะกินกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวไปหาเครื่องป้องกันและช่วยเหลือมาก่อน
“ชิตปลอดภัยพอน่า” แน่นอนว่าทุกครั้งชิตตะวันป้องกันมาอย่างดี เขาไม่อยากเสี่ยงกับโรค แต่กับคณิต ความไว้ใจของเขามีมากพอที่จะไม่ใช้!
“ไม่รู้โว้ย มึงไปหามาเลย ถ้าไม่มี มึงก็อด” เขาขู่ คนถูกขู่ยิ้มนิดๆ
“งั้นรอเดี๋ยวนะครับ” มันไม่ใช่เรื่องลำบากของชิตตะวันเลยสักนิด ในเมื่อสิ่งที่คณิตต้องการเตรียมพร้อมอยู่ในรถยนต์นานแล้ว
คณิตรู้สึกโล่งขึ้นมาทันที เมื่อประตูห้องถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ยกัน บนเตียงกว้างที่ไม่เรียบตึงเหมือนเดิม ซ้ำร้ายยังมีคราบที่เกิดจากอารมณ์เปื้อนเปรอะอยู่นี้เหลือเพียงเขาคนเดียว ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ลุกขึ้นดึงกางเกงที่เกือบหลุดพ้นตัวขึ้นมา เอากระดุมใส่ในรังดุม และไม่ลืมคว้าเสื้อขึ้นมาสวม ก่อนจะล้มตัวลงนอนมองเพดานห้องต่อ
...เขาควรจะลุกจากเตียงแล้วกลับเข้าไปในงานปาร์ตี้เล็กๆ นั้นดีไหม
คณิตลุกขึ้นช้าๆ ใจหนึ่งอยากจะลุกขึ้นเดิน แล้ววิ่งออกจากห้องนี้ไปซะ อีกใจหนึ่งก็ปฏิเสธมัน แล้วมันก็ดึงให้เขาต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
...เฮ้อ อีกไม่ถึงชั่วโมงหรอกมั้ง ปัญหาที่เขาสร้างขึ้นมาก็จะถูกแก้ไข แม้จะเลือกใช้ทางแก้ที่ผิดไปมาก แต่คนอย่างเขาก็คิดได้แค่นี้จริงๆ
...เขาจะหลบอยู่หลังชิตตะวัน แล้วให้ชิตตะวันเอาเขาออกจากปัญหางี่เง่าทั้งหมดในชั่วข้ามคืน
“คิดอะไรอยู่ครับ แล้วเสื้อผ้านี่จะใส่ทำไม” คำถามเหมือนจะไม่พอใจนิดๆ ทำให้คณิตรู้ตัวว่าชิตตะวันกลับเข้ามาแล้ว 
“ทำไมกูจะใส่เสื้อไม่ได้หรือไง”
คณิตลุกขึ้นตอบคำถาม ปรายตามองถุงในมือของอีกฝ่ายที่นั่งลงข้างเขา
“เยอะไปไหมวะ หมดนี่กูคงตายพอดี”  นับแล้วกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สามกล่อง และหลอดเจลในจำนวนเท่ากัน มันต้องใช้เยอะขนาดนี้เลยหรือไงไอ้เจลเนี่ย
“ไม่ตายหรอกครับ สนุกมากกว่า” เห็นหน้ามุ่ยของคณิตแล้ว ชิตตะวันก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ชายหนุ่มวางถุงที่ใส่อุปกรณ์ที่คณิตอยากได้ไว้ข้างตัว มันเยอะไปจริงๆ อย่างที่คนตัวเล็กว่า แต่เขาไม่ได้จะใช้มันหมดซะเมื่อไหร่ บังเอิญเขาซื้อมาเยอะเพราะอยากแกล้งพนักงานหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ ที่มองหน้าเขาไม่วางตาเท่านั้นเอง แล้วตอนที่ออกไปเอาก็แค่หยิบเอามาหมด ไม่ได้หวังจะใช้หมดเสียหน่อย บางทีอาจจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้
“สนุกกะผีอะไรวะ” คณิตว่า อดโมโหไม่ได้ คนเสียบกับคนถูกเสียบ มันต่างกันเห็นๆ เขาต้องเจ็บตัวแต่ชิตตะวันสุขสมอารมณ์หมาย แต่ก็ช่างมันเถอะ เรื่องจะได้จบๆ ไป คิดมากแล้วปวดหัว
“งั้นไม่ใช้ดีไหม”
“ใช้!” คณิตยืนยันเสียงดัง
“เริ่มเลยดีกว่า ชิตอยากใช้มันแล้ว” ตาหวานเชื่อมเต็มไปด้วยความปรารถนาทำให้คนถูกชวนต้องหันหน้าหนี แต่ไม่วายที่มือใหญ่จะตามมาบังคับคางเล็กให้หันมารับจูบที่ทาบลงมาบนปากสีสวย ลิ้นร้อนแสนชำนาญแทรกสอดเข้ามาเกี่ยวพันและดูดดื่ม ชิตตะวันดันร่างเล็กให้นอนราบไปกับเตียงนุ่ม   
หัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้อกซ้ายของคณิต ร่ำร้องราวกับอยากให้สองมือผลักไสร่างกายที่คร่อมทับออกไปให้พ้น หากร่างกายกลับขัดขืน สองมือเล็กโอบกอดแผ่นหลังกำยำเอาไว้ด้วยความมุ่งมั่น
อดทนไว้ไอ้หนึ่ง!
...แกร็ก
เสียงลูกบิดดังแทรกเข้ามาในความเงียบที่เต็มไปด้วยสุ้มเสียงแห่งแรงอารมณ์ ทุกการเคลื่อนไหวและทุกเสียงหยุดลงแทบจะทันที
คณิตหวังว่าจะไม่ใช่อชิตะ เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นใครเขาก็รู้สึกโล่งอก แม้คนที่เปิดเข้ามาจะเป็นภาคีก็ตามเถอะ ดีกว่าที่จะเป็นอชิตะ แต่สีหน้าของภาคีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คณิตจะรับมือ ใบหน้าของเพื่อนสนิทเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ปราดเข้ามากระชากคอเสื้อชิตตะวัน กระชากให้ลุกออกมาจากตัวเขา ก่อนจะบรรเลงเพลงหมัดมวยใส่กันอุตลุด
“ชิต! พอ!” คณิตปราดเข้าไปดึงแขนที่กำลังจะวาดหมัดใส่หน้าภาคีเอาไว้ทัน
“มันทำชิตก่อนนะหนึ่ง” ชิตตะวันฟ้องทันที รู้สึกหงุดหงิดที่คณิตเข้าข้างคู่กรณีของเขา แต่พอเข้าใจอยู่บ้างว่าคณิตสนิทกับภาคีมากกว่าเขา ถ้าให้เลือก ยังไงคณิตก็เลือกภาคี
“ใครจะทำอะไรใครก่อนก็ช่าง แต่อย่าตีกันได้ไหม เพื่อนกันทั้งนั้น”
คณิตบอกเสียงขุ่น ก่อนจะปล่อยแขนชิตตะวันลง แล้วหันไปดึงตัวภาคีให้ลุกขึ้น ปากก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิเพื่อนสนิท
“มึงก็อีกคน ใจร้อนกับชิตมันได้ตลอดนะ” เขาดุ แอบใช้มันกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองด้วยแหละ ที่ภาคีเข้ามาเห็นเต็มตา เขาก็อายเป็นนะเว้ย
“กูขอมึงนะชิต อย่ายุ่งกับหนึ่ง มันไม่ใช่เกย์” ภาคีบอกเสียงหนัก ก่อนคว้าแขนเพื่อนสนิทลากดึงออกมาจากห้องพักทันที

*      *      *
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 8 UP 26-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 26-04-2017 20:02:32
 “มึงคิดอะไรของมึงหนึ่ง กูเตือนมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับไอ้ชิต แล้วเป็นไง ถ้ากูเข้าไปไม่ทัน มันจะเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงที่ถามทั้งโมโหและหงุดหงิดใจ มีวันนี้จนได้ ภาคีเข้าใจว่าชิตตะวันกำลังใช้กำลังขืนใจเพื่อนของตน ไม่รู้ว่าทั้งหมดคือความเต็มใจ

“กูก็เป็นเมียมันเหมือนที่คุณลมเป็นเมียมึงไง” คณิตตอบทีเล่นทีจริง แต่พอมองหน้าเพื่อนแล้วก็แทบอยากจะมุดดินหนี
“เล่นให้มันถูกเวลาหน่อย มันเหมือนกันไหมวะ กูกับคุณลมรักกัน แต่ไอ้ชิตมันจ้องจะงาบมึงมากี่ปีแล้วห๊ะ”
“หึ...มึงก็จ้องจะงาบคุณลมเหมือนกันนี่หว่า” คณิตสวนกลับ เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่รู้เพราะอะไร หรือเพราะกลัวภาคีจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้อชิตะฟังก็ไม่รู้
“หนึ่ง!”
“กูพูดแทงใจดำมึงหรือไง” 
“นี่มึงโกรธที่กูไปขัดขวางมึงกับไอ้ชิตหรือไง หรือว่ามึงชอบมัน ที่กูเห็นเมื่อกี้ มึงเต็มใจใช่ไหม มึงบอกมาเลย” ภาคีระงับความโกรธกรุ่นเอาไว้ แล้วถามด้วยความสงสัย มีซะที่ไหนที่คณิตจะเถียงกับเขาด้วยอารมณ์แบบนี้ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็นึกกลัวว่ารอยพกช้ำบนใบหน้าจะทำให้คนรักของเขาโกรธ สีฟ้าเคยโกรธเขามาแล้วครั้งหนึ่งเพราะเรื่องชกต่อยแบบนี้
“เออ! ใช่ กูเต็มใจ และมึงก็มาขัดขวางความสุขของกูด้วย” คณิตกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ เดินหนีเข้าไปในงานปาร์ตี้เล็กๆ บนปลายสะพาน
พอกลับเข้ามาในงานเลี้ยงที่มีแค่ไม่กี่คน ความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำถามที่ปนมากับความห่วงใยแบบร้อนใจของสีฟ้า เขากำลังจะทำให้คนรักทะเลาะกันหรือเปล่า ยิ่งสีฟ้าเป็นผู้ชายตัวเล็กที่งอนเก่งเหลือร้ายด้วย
“ตินไปทำอะไรมา!” สีฟ้าปราดเข้าไปจับใบหน้าคนรักพลิกไปมา คล้ายจะนับดูว่ารอยแผลที่หน้ามีกี่จุด
“ไม่มีอะไรครับลม” ภาคีตอบเสียงเบา ไม่กล้าสบตาคนรัก
“ไม่มีได้ไง ก็ปากแตกขนาดนี้ ไปชกกับใครมา”
“.....” ภาคีจะตอบได้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากให้ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพักหลังสุดท้าย
“หนึ่ง ตินไปมีเรื่องกับใครมา” เมื่อถามแล้วไม่ได้คำตอบ สีฟ้าจึงหันไปถามคนที่เดินมาด้วยกัน
คณิตอ้าปากจะบอกความจริง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของอชิตะที่มองมาทางเขาแล้ว ต้องเก็บคำตอบเอาไว้ ทว่าคณิตก็ยังเลือกที่จะเดินไปนั่งข้างอชิตะ
“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก” น้ำเสียงที่บอกแสดงถึงความโมโห ทว่าก็เต็มไปด้วยความสั่นเครือในน้ำเสียง ก่อนจะเดินปนวิ่งกลับไปทางรีสอร์ต
“บอสครับ ผมฝากดูหนึ่งมันด้วยนะครับ อย่าให้มันออกไปนอกห้องเด็ดขาด” ภาคีหันมาบอกอดีตเจ้านายของตนก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าตามคนรักไป
“มีเรื่องอะไรกันหรือหนึ่ง” อชิตะถามอย่างนึกเป็นห่วง เขามองมือเล็กที่วุ่นวายอยู่กับการชงเหล้าให้ตัวเอง ก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว แล้วจึงหันหน้ามาตอบคำถามของเขา
“เปล่า”
คำตอบสั้นๆ ไม่ได้ทำให้อชิตะคลายความสงสัย คณิตหายไปกับชิตตะวัน คนที่เขาพอรู้มาบ้างจากภาคีว่าคิดไม่ซื่อกับคณิต บวกกับการที่ภาคีที่ออกไปตามหาตัวคณิตกว่าครึ่งชั่วโมง แล้วกลับมาพร้อมรอยช้ำบนใบหน้า เท่าที่เขารู้ภาคีไม่ถูกกับชิตตะวันเพราะเรื่องของคณิต ถ้ารอยเขียวช้ำบนหน้าของภาคีเกิดจากชิตตะวัน อย่างนั้นชิตตะวันต้องทำอะไรคณิตอย่างแน่นอนถึงทำให้ภาคีทนไม่ไหว
แล้วชิตตะวันทำอะไรคณิตล่ะ?
ตาคมสีนิลเหลือบไปเห็นต้นคอขาวที่ขึ้นรอยสีแดงจางๆ อชิตะไม่รู้ว่าคนอื่นจะเห็นไหม แต่เขาเห็นมันชัดเสียจนอยากดึงตัวคณิตเข้ามาเค้นถามเอาความจริง   
“ถือว่าตอบคำถามของเจ้านายคุณได้ไหม” อชิตะบอกเสียงเรียบ เขาพยายามเก็บความรุ่มร้อนในอกเอาไว้ เขาเลื่อนสายตาจากรอยแดงขึ้นมามองสบกับหน่วยตาเรียวเล็กที่ทำเหมือนรำคาญคำพูดของเขานักหนา
“บอสเป็นแค่เจ้านาย ไม่ใช่เจ้าชีวิต” คณิตบอกเสียงขุ่น ฤทธิ์เหล้าทำให้ปากเก่งขึ้น 
“หนึ่ง!” เสียงนั้นเรียกว่าตวาดเลยทีเดียว ใบหน้าคมเข้มขึ้นสีแดงเพราะความโกรธจัดกว่าครั้งไหนๆ อชิตะไม่ชอบที่คณิตย้อน ถึงเขาจะใจดีกับคนคนนี้มากกว่าใคร แต่มันก็คงจะไม่ใช่ทุกเวลา โดยเฉพาะเวลาที่คณิตทำตัวน่าผิดหวัง
“ก็มันจริง” คณิตสวนกลับ ชายหนุ่มจ้องดวงตาที่ลุกวาวอย่างไม่นึกกลัว ทั้งที่ความจริงแล้ว ยอมรับเลยว่าเขากลัวเหลือเกิน ทั้งกลัวและเกรงว่าตัวเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของอชิตะอีกต่อไป!

*      *      *
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า บนเตียงในห้องพักของเขาและคณิต ยิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาคิด มันไม่ได้ผิดไปจากที่คิดเอาไว้เลย เขามองแผ่นหลังเล็กที่เดินไปหยิบถุงพลาสติกสีขาวขุ่นข้างในคือกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกับหลอดเจลขึ้นมา แล้วเดินผ่านหน้าเขาไปทางประตูห้อง ในสภาพที่เดินไม่ตรงเอาเพราะฤทธิ์น้ำเมาที่เจ้าตัวดื่มเหมือนเทใส่ปาก แต่ก็ยังอวดดีทำเหมือนตัวเองเดินตรงได้เป็นปกติ
อชิตะปิดกั้นความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจด้วยสันกรามที่บดแน่น ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งคำถามเอากับคนเมาที่เอาแต่ใจตัวเอง เขาไม่อยากทะเลาะและทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง
เพราะยังไม่ได้ครอบครัวเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ รอให้เวลานั้นมาถึงก่อนเถอะ คณิตจะไม่มีวันกางปีกโผบินไปหาใครได้ 
อชิตะไม่รู้ว่าคณิตจะไปไหน เขาเพียงแค่เดินตามร่างเล็กที่เดินเอียงซ้ายทีขวาที แต่ว่าทิศทางที่คณิตเดินไปนั้นก็ทำให้เดาจุดหมายได้ อชิตะไม่อยากจะพูดอะไรมาก ไม่ห้ามเมื่อตอนเจ้าตัวเคาะประตูบ้านพักอย่างไม่ยั้งมือ เพื่อเรียกให้เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาหา ไม่ห้ามปรามเพราะห้ามไปก็เท่านั้น
“เอามาฝากคุณหมอครับ เผื่อได้ใช้” ว่าแล้วคณิตก็ยื่นถุงที่ถือมาไปตรงหน้าเจ้าของบ้านพักที่เปิดประตูออกมา
ถึงจะเมาจนยืนให้ตรงไม่ได้ ต้องจับกรอบประตูเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองพื้น แต่คณิตก็รู้ดีว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม มันดูโง่ไปไหม ถ้าจะบอกว่า...เขาอยากให้อชิตะเข้าใจว่าของพวกนี้เขาเอามาให้หมอพิษณุใช้ ไม่ได้เอามาใช้เอง ตอนที่เดินกลับเข้าไปในบ้านพัก เห็นสภาพเตียงแล้วก็อดที่จะกลัวขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่คิดว่าชิตตะวันจะปล่อยให้เตียงอยู่ในสภาพเดิม แถมยังไม่เอาถุงอุปการณ์กลับไปด้วย เขาเลยต้องเอามันมาให้หมอพิษณุแบบนี้ไงล่ะ
“อะไรเหรอหนึ่ง” หมอพิษณุถาม เขารับถุงจากมือลูกน้องคนสนิทของเพื่อน
“ถูกใจล่ะเซ่ครับคุณหมอ”
หมอพิษณุมองข้ามไหล่คนเมาไปยังเพื่อนสนิทของตน เห็นอชิตะทำหน้าเซ็งจัด บุ้ยใบ้ให้เขารับความหวังดีจากคนเมาไปเสียจะได้เจ้าตัวจะได้กลับห้องพัก
“งั้นหมอเอาแค่นี้นะครับหนึ่ง มากกว่านี้คงไม่ไหว” หมอพิษณุจำต้องหยิบของในถุงขึ้นมาอย่างละชิ้น แล้วยื่นที่เหลือคืนให้คนเมา
“กลับได้หรือยัง” เสียงเข้มที่ถามดึงเจ้าของใบหน้าขาวให้หันกลับมามองตาขุ่น บางอารมณ์คณิตก็อยากเอาชนะความต้องการของอชิตะ
“กลับ...แต่ไม่กลับห้อง จะไปหาชิต” แค่ประชด 
“หนึ่ง!” เสียงตวาดนั้นดังก้องในความเงียบ แม้แต่หมอพิษณุยังตกใจ คุณหมอหนุ่มไม่เคยเจออารมณ์โกรธขึ้งของเพื่อนรักสักเท่าไหร่ แต่วันนี้เขากลับเจอมันหลายรอบมาก ขนาดหมอพิษณุยังตกใจ แล้วคณิตจะไม่ตกใจได้อย่างไร แต่เพราะอยากเอาชนะเลยต้องข่มความกลัวเอาไว้
“ก็ทำไม ผมจะไปหาเพื่อน” ก่อนทำใจกล้าผลักร่างสูงใหญ่ไปให้พ้นทางเดิน แล้วเดินไปตามทางที่ไม่รู้ว่าจะนำเขาไปตรงไหน
...ทำไมนะ ทำไมเขาต้องสร้างเรื่องให้อชิตะโกรธได้ทุกเวลาก็ไม่รู้ อยากขอโทษที่ทำให้ขุ่นเคืองใจจนถึงขั้นโกรธเกรี้ยวได้แทบทุกนาที แต่ปากก็หนักเกินกว่าจะพูดความในใจออกมา แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ทำไมอชิตะถึงชอบตะคอกเขานักก็ไม่รู้
คณิตคิดตามประสาคนเมา อารมณ์น้อยใจก็ทำให้นึกอยากทำอะไรประชดไปเสียหมด
*      *      *
แม้ปากบอกว่าจะไปหาชิตตะวัน แต่ที่ที่คณิตเดินมาทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาคือหน้าชายหาดไร้ผู้คน เนื่องจากเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว เขาไม่ได้คิดจะไปหาชิตตะวันอย่างที่ปากอ้าง ที่พูดไปก็เพื่อประชดอชิตะ
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะ” คณิตร้องลั่น เขาล้มตัวลงนอนไม่ทันไรก็ถูกใครบางคนดึงให้ลุกขึ้นชนิดที่ว่าไม่ห่วงเลยว่าเขาจะเจ็บแค่ไหน เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บใจซะมากกว่า
“กลับ” อชิตะสั่งเสียงเรียบ 
“ไม่กลับ”
“หยุดดื้อได้ไหมหนึ่ง ผมเหนื่อยกับคุณมามากแล้วนะวันนี้” อชิตะเอ่ยเสียงดังอย่างเหลืออด   
“แล้วคิดหรือว่าผมไม่เหนื่อย ผมก็เหนื่อยกับคุณมากเหมือนกัน” คณิตย้อนอย่างไม่ยอมแพ้
“คุยกันดีๆ ได้ไหมหนึ่ง” ครั้งนี้อชิตะลดเสียงลง คลายมือที่บีบท่อนแขนของคณิตลงด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มพยายามทำใจให้เย็นลง เขาไม่ควรจะใช้อารมณ์กับคณิต กี่ครั้งที่ใช้อารมณ์พูดคุยก็มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง เขาก็รู้ไม่ใช่หรือไงกับคณิตน่ะต้องใช้ไม้อ่อนเท่านั้น ถึงจะเลิกทำตัวต่อต้านเขา   
ดูเหมือนจะได้ผล หน่วยตาเรียวเล็กอ่อนแสงลง ก่อนจะหลุบตาต่ำ ได้ยินเสียงถอนหายใจหลายเฮือก
“ไปเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วก็จับจูงคนตัวเล็กกลับที่พักด้วยอารมณ์ที่เย็นลงมาก คณิตก็ไม่ดื้ออาละวาดให้อารมณ์เสียแต่งอย่างใด 
*      *      *
สภาพเตียงยังเป็นเหมือนเดิม อารมณ์ที่เหมือนจะเย็นลงของอชิตะก็ค่อยๆ โหมลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขามองคนตัวเล็กที่อยู่ในสภาพมึนเมาเพราะใส่แอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายไปหลายแก้ว เจ้าเดินตรงไปทิ้งตัวนอนแผ่หลาบนเตียง เห็นแล้วนึกขัดตา แต่ที่มากกว่าอาการขัดตาคือความขุ่นเคืองใจและคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัว สลัดไม่หลุดไปเสียที
‘เกิดอะไรขึ้น...และถึงขั้นไหน’
แต่ก็คิดให้พอใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง หากคิดตามสภาพร่างกายของคณิต เจ้าตัวยังเดินได้เป็นปกติแบบคนเมา ไม่ใช่คนที่เจ็บขัดตรงช่วงล่าง
...ถุงยางและเจลที่หมอพิษณุส่งคืนมาให้และเขาถือมันอยู่ในมือ ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้เปิดใช้งาน
...แต่ก็คงเรียกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอก ในเมื่อหลักฐานบนเตียงที่เห็นเต็มสองตา มันคือรอยคราบจากของเหลวขุ่นขาวและคาว
“ลุกขึ้นมาคุยกันก่อน” อชิตะดึงแขนคนเมาให้ลุกขึ้นมาตอบคำถาม
“อะไรอีกเล่า” คณิตถามเสียงห้วนจัด เขาถูกดึงให้ลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็ถูกมองด้วยสายตาที่เหมือนจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้งของอชิตะ   
“ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น” คำถามของอชิตะทำคณิตนิ่งไปชั่วขณะ คนเมาหลุบตาต่ำ ไม่กล้าสู้สายตาที่คาดคั้นเอาความจริง
“บอสจะถามทำไม ในเมื่อบอสก็รู้คำตอบแล้ว”
“ผมถามเพราะอยากให้คุณตอบ”
“แต่ผมไม่อยากตอบ”
“คุณก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าตินไม่ชอบให้คุณไปยุ่งกับชิต”
“ตินมันไม่อยากให้ผมยุ่งกับชิตเพราะอะไรบอสก็น่าจะรู้นะ แล้วถ้ามันรู้ว่าบอสก็คิดกับผมไม่ต่างจากที่ชิตคิด มันก็คงไม่อยากให้ผมยุ่งกับบอสเหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกันนะหนึ่ง ผมจริงใจกับคุณ แต่ชิตไม่ได้...” อชิตะพูดยังไม่ทันจบ คณิตก็พูดสวนสิ่งที่อีกฝ่ายดูจะเข้าข้างตัวเองเหลือเกินว่า
“บอสจะบอกว่าชิตมันไม่ได้จริงจังกับผมงั้นเหรอ โทษเถอะครับบอส ถ้าชิตมันไม่จริงจังกับผม มันก็คงไม่รอผมมาจนถึงวันนี้หรอกนะครับ ถ้าผมจะต้องเลือกยอมใครสักคน ชิตก็คงเป็นคนแรก ส่วนบอส แม้แต่คนสุดท้าย...”
คณิตจงใจหยุดถ้อยคำนั้นลง เขามองสบดวงตาคมกล้าที่ลุกวาวเหมือนลูกไฟร้อนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยประโยคที่ขาดไปนั้นให้เต็ม
“...ก็ไม่ใช่”

จบตอนที่ 8 ค่ะ
ต่อตอนที่ 9 วันที่ 28 นะคะ

ดีใจที่ยังมีคนอ่านอยู่นะคะ
ช่วยทำให้กระทู้ไม่แห้งแล้งจนเกินไปนัก  o13
ปล. วันนี้ไม่เคาะบรรทัดนะคะ เพราะมันช้าไรไม่รู้ เคาะไม่ไปเลย พิมพ์ก็ขึ้นตัวอักษรช้ามาก
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 8 UP 26-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 26-04-2017 21:06:28
โอ๊ยยยยยย อึดอัด อยากด่าบอส
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 8 UP 26-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-04-2017 22:38:06
หงุดหงิดพี่อิง แอบเคืองหนึ่งด้วย ทำไมทำแบบนี้ละหนึ่งเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 9 UP 28-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-04-2017 20:18:06
9

“แม้แต่คนสุดท้าย...ก็ไม่ใช่” คณิตจงใจพูดเพื่อให้อีกฝ่ายเจ็บ

“ตั้งใจจะทำให้ผมโกรธใช่ไหม” อชิตะกดเสียงต่ำถามช้าๆ มองหน้าคนพูดนิ่ง คณิตตั้งใจจะทำให้เขาโกรธได้ตลอดเวลา     

“เปล่า ผมแค่อยากให้บอสรู้เอาไว้ว่าผมไม่ใช่คนเลวพอที่จะแย่งเจ้าบ่าวของใครหรอกนะครับ แล้วบอสก็ไม่ควรทำตัวเลวเหมือนกัน”

คำ ว่า ‘เลว’ นั้นกระแทกใจคนฟังอย่างแรง อชิตะเบือนหน้าหนีตาเรียวเล็กที่จ้องเหมือนจะทำให้เขาสำนึกผิดกับสิ่งที่เขาพยายามจะทำ คนเมายังไม่ยอมหยุดตอกย้ำซ้ำลงมาอีก

“ถ้าคุณหวานรู้จะเสียใจแค่ไหนที่เจ้าบ่าวของตัวเองกำลังนอกใจ ทั้งที่ไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกันแล้ว บอสไม่รักคุณหวานแล้วหรือไงครับ” คณิตถามซ้ำ คำถามที่เหมือนจะถามมาแล้วหลายหน แต่ไม่เคยได้รับคำตอบเลย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่อชิตะไม่ยอมตอบ   

เมื่ออชิตะไม่ตอบ ห้องจึงเงียบลงอีกครั้ง มันช่างเป็นเวลาที่แสนอึดอัด อชิตะยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ส่วนคณิตกำลังคิดว่าควรทำอะไร จะล้มตัวลงนอนในสภาพที่มึนตึงกันเช่นนี้ไปจนถึงเช้า หรือจะออกไปเสียให้พ้นจากที่ห้องแห่งนี้

...สุดท้ายคณิตตัดสินใจเลือกทางเลือกที่สอง ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้น ลงจากเตียง เดินผ่านร่างสูงใหญ่ของอชิตะไปทางประตูห้อง... ไปนอนดูดาวกับให้ยุงกัดดีกว่า

“จะไปไหน”

คำถามมาพร้อมกับมือที่จับข้อมือเล็กไว้ แรงบีบทำให้คณิตรู้สึกเจ็บไม่น้อยเลย ชายหนุ่มร่างเล็กพยายามแกะมือนั้นออก แต่ไม่เป็นผล อชิตะกำข้อมือของเขาแน่มาก บวกกับสภาพร่างกายของเขาก็ไม่ได้เป็นปกติมากนัก แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปฤทธิ์มันยัง
ค้างอยู่ทั่วร่างกาย ทำให้เหลือแรงน้อยเกินกว่าจะต่อสู้กับมือแข็งแรงของอชิตะได้

“ไปข้างนอก” เขาตอบเสียงห้วนพยายามจะบิดข้อมือออกแต่ก็ไร้ผลเช่นเดิม เลยต้องยอมแพ้

“ไปหาชิต?”อชิตะถามเสียงห้วนไม่แพ้กัน   

“ใช่ แล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว มันเจ็บ!” แรงบีบทำให้เขาเจ็บ ตาคมดุที่มองมาทำให้ยิ่งอยากหนีไปเสียเร็วๆ เบื่อที่ต้องต่อสู้ฟาดฟันกันด้วยคำพูดและสายตาอีกแล้ว เหนื่อยจนบอกไม่ถูก กลัวใจตัวเองด้วยว่าจะยินยอมอย่างหลายครั้งที่ผ่านมาด้วยแหละ ไม่รู้ทำไม เริ่มต้นเหมือนจะฆ่ากันตายก็ว่าได้ แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก คำพูดและการกระทำของอชิตะก็ทำให้เขาเผลอยินยอมเสียทุกครั้งไป

“ต้องให้ผมพูดกี่ครั้งหนึ่ง ว่าคุณไม่ควรออกไปหาชิต” อชิตะพยายามสกัดกลั้นอารมณ์ที่ถูกยั่วยุจากคนตัวเล็กกว่า

“แล้วต้องให้ผมบอกคุณกี่ครั้งว่าคุณไม่มีสิทธิ์”

“หนึ่ง”เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็น ทว่าในใจในกลับร้อนรุ่มพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุดออกมาว่าk “...คุณก็รู้ว่าตินไม่อยากให้คุณยุ่งกับชิต”เป็นอีกครั้งที่อชิตะเอาชื่ออดีตลูกน้องคนสนิทของเขาขึ้นมาอ้าง

“หึ...เลิกอ้างชื่อมันเถอะครับ มันไม่ใช่พ่อผมที่ผมจะต้องกลัว ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องเชื่อมันทุกอย่าง สมองผมมีคิดเองได้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ คุณก็เหมือนกัน คุณอิง เลิกคิดอะไรโง่ๆ กับผมซะที ยังไงผมก็ไม่มีวันนอนกับคุณแน่!”...ถึงจะเกือบไปรอบแล้วก็ตาม เพราะนั่นคือตอนที่เขาถูกหลอกล่อให้เผลอไผลตามไปกับอารมณ์ปรารถนาของอีกฝ่าย แต่เขาจะไม่ยอมอีกแล้ว ต้องบังคับตัวเองให้เดินบนทางที่ถูกต้องให้ได้ คณิตไม่อยากทำลายความรักของใคร ไม่อยากทำให้คู่หมั้นของอชิตะเสียใจ มองเขาเป็นคนเลวที่แย่งคนรักของคนอื่นไปอย่างหน้าไม่อาย 

“งั้นหรือ?” คิ้วหนาเหนือดวงตาคมดุกระตุก “คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากนอนกับผม” เขาเค้นเสียงถาม บีบข้อมือเล็กแรงขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าขาวบิดเบ้เพราะเจ็บ ข้อมือของคณิตเหมือนจะหักเสียให้ได้ แต่ก็ยังฝืนความเจ็บโต้ตอบกลับมาอย่างเผ็ดร้อนว่า
“ยังจะต้องให้ผมตอบอีกเหรอ คุณเลิกยุ่งกับผมซะที ผมรังเกียจการกระทำของคุณมากแค่ไหน คุณไม่รู้หรือไง”

“งั้นหรือหนึ่ง” ดวงตาสีนิลวาววับเป็นลูกไฟร้อน มันเต็มไปทั้งความโกรธและต้องการเอาชนะ

“ปล่อยผม” คณิตบิดข้อมือออกอีกครั้งและมันได้ผล เขาจ้องตากลับ ข่มความกลัวบางอย่างเอาไว้ ก่อนหันหลังเดินไปยังประตู หวังจะเดินออกจากห้องนี้ไป และออกไปจากผู้ชายคนนี้ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเคารพและรักเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง แต่ความรู้สึกทั้งหมดถูกทำลายลงหมดแล้ว ด้วยตัวของอชิตะเอง...และของเขาด้วยแหละ

“โอ๊ย!” คณิตร้องเสียงหลงขณะที่กำลังจับลูกบิดประตู แผ่นหลังของเขาปะทะเข้ากับผนังปูนเปลือยเต็มแรงเหวี่ยง
อชิตะรวบมือเล็กที่ขัดขืน คล้ายจะต่อสู้ให้หลุดพ้นขึ้นเหนือหัวด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างหนึ่งใช้โอบรอบเอวเล็กดึงให้เข้ามาแนบชิดและบดเบียดต่อแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นเกินหยุดยั้ง ชายหนุ่มสบตาเรียวเล็กที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์น้ำเมาเมื่อชั่วโมงก่อน ร่างเล็กดิ้นรนอย่างหนักเพราะตกตะลึงในการกระทำที่รุนแรงจากน้ำมือเขา แต่แรงคนเมาหรือจะสู้กำลังของร่างสูงใหญ่ได้

“จะ...จะทำอะไร” ละล่ำละลักถาม เจ้าของใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดยกยิ้มที่มุมปาก แรงบดเบียดก็ชวนให้หวาดหวั่น มือหนากำลังเลื่อนจากช่วงเอวลงต่ำไปขย้ำสะโพก ดิ้นหนีก็ไม่พ้น

“.....” อชิตะไม่ตอบ ชายหนุ่มเค้นยิ้มเย็นมองใบหน้าขาวที่ซีดเผือด หน่วยตาสีดำกลอกกลิ้งด้วยความหวาดระแวงภัยร้าย เขาปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อให้หนีรอดน้ำมือเขา แต่ปล่อยเพื่อให้เขาสะดวกจัดการกับส่วนล่างของคนตัวเล็ก

“บะ...บอส...ยะ...อย่า” คณิตพยายามหยุดมือที่กำลังกอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขา หลังจากกระชากกางเกงทั้งชั้นในชั้นนอกออกจากบั้นท้ายและหล่นไปกองพื้น แต่สู้แรงของอชิตะไม่ได้ ก่อนมือทั้งสองจะถูกรวบไว้อีกครั้งตรงหน้าอก

“ไม่ทันแล้วหนึ่ง ผมต้องได้คุณ” อชิตะยิ้มเย็น แต่ใจนั้นกลับไม่เย็นตาม เมื่อก่อนเขาอยากให้อีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แต่คงรอไม่ได้อีกต่อไป!

“ถ้าตินมันรู้ มันเอาบอสตายแน่...อะอื้ออ” เขาขู่ ขณะเดียวกันก็ต้องกลั้นเสียงที่ถูกส่งมาจากความรู้สึกเบื้องล่าง มืออุ่นทำให้ส่วนอ่อนไหวร้อนรุมยากควบคุม     

“คิดหรือว่าผมกลัว ถ้าผมจะเอาใครก็ขวางไม่ได้” คนถูกขู่หัวเราะในลำคอ บอกด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย มือยังขยับปลุกเร้าแท่งเนื้อนุ่มนิ่มที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่คิดจะหยุด “ที่ผ่านมา ถึงผมจะใจดี แต่ก็ใช่ว่าผมจะร้ายไม่เป็น ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง ผมก็ขอเลือกวิธีนี้ละกันนะหนึ่ง” ปลายเสียงนั้นลดต่ำแทบจะเป็นกระซิบ ปากหนายกยิ้มอย่างผู้ชนะในเกมนี้ ก่อนจะบดจูบลงบนกลีบปากเล็ก ที่เจ้าของมันพยายามจะปิดแน่นไม่ให้ลิ้นร้อนล่วงล้ำเข้าไปตักตวงความหวานที่ต้องการ

“...ฮึก” แม้จะกัดปากแน่นแค่ไหนแต่ก็ต้องพ่ายแพ้จนได้ เพราะส่วนอ่อนไหวด้านล่างที่ถูกปลุกเร้าอย่างหนัก จนเผลอเปิดปากให้ลิ้นร้อนแทรกตัวเข้ามาได้สมใจ ลิ้นร้อนเกี่ยวพันดูดกลืนอย่างรุนแรง ร่างกายเหมือนจะกลายเป็นปุยนุ่นไร้น้ำหนัก หากไม่มีมือแข็งแรงนั้นตวัดรัดดึงเอาไว้ และมีไหล่หนาให้เกาะเกี่ยวทรงตัวเอาไว้ไม่ให้ลมลงไปกองพื้น

ไม่นานนักคณิตก็ถูกจับหันหน้าเข้าหาผนังปูนเปลือยพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวลที่กระซิบบอกจากด้านหลัง คำพูดที่ทำให้เขาอับอายเหลือเกิน

“รู้ไหมหนึ่ง...ผมอยากทำท่านี้กับคุณที่สุด มันให้อารมณ์ด้านหลังจริงๆ คุณว่าไหม?” อชิตะปล่อยลมหายใจร้อนผ่าวใส่ใบหูเล็ก แล้วขบเบาๆ ก่อนสดดมกลิ่นหอมจากต้นคอขาว มือข้างหนึ่งรวบข้อมือเล็กทั้งสองไพล่ไว้เหนือบั้นท้ายของเจ้าตัว ส่วนอีกข้างที่กอบกุมส่วนที่ขยายใหญ่ขึ้นของคณิตนั้น บัดนี้เขาละจากมันมาเพื่อปลดปล่อยสิ่งกีดขวางความสุขสมใจออกช้าๆ จนมันหล่นไปอยู่ปลายเท้าเช่นเดียวกับของคนตัวเล็ก

“คุณมันโรคจิต” คณิตหันหน้ามาด่า ก่อนจะสะบัดหน้ากลับ เพราะทนสายตาสีนิลที่ยิ้มเยิ้มเต็มไปด้วยอารมณ์ความใคร่ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ไม่อยากเห็น!

“ขอโทษที่ทำให้รู้ช้าไปหน่อย” เขาเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเสียงเบา ไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดที่คล้ายจะเป็นความ จริงอยู่ไม่น้อย อชิตะให้ปากเม้มใบหูเล็กเบาๆ จากนั้นก็ลงลิ้นลงไปตามขอบใบหู ก่อนไล่ลงมายังซอกคอขาวขบเบาๆ จูบซ้ำอย่างหลงใหลที่จะทำมาตลอด   

“อ๊ะ....” คณิตหลุดเสียงร้องออกมาอีกครั้งเมื่อมือใหญ่กลับมาลูบคลำตัวตนของเขาอีกรอบ รูดดึงให้อารมณ์พุ่งสูง ปริ่มๆ จะทนไม่ไหว 

มือหนานั้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก ดึงให้ร่างกายที่เล็กกว่าใกล้ถึงขีดสุด อาการสั่นระริกของร่างกายเล็กยิ่งทำให้ต้อง เร่งเร้ามากยิ่งขึ้น จนน้ำขาวขุ่นและอุ่นเต็มอยู่ในอุ้งมือ พร้อมกับเสียงครางหวีดหวิว อชิตะยิ้มพึงพอใจและสุขสมอยู่หลังร่างเล็ก ซึ่งพอปลดปล่อยออกมาแล้วก็เอนแผ่นหลังพิงไว้กับอกเขา ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ปากเล็กเผยอออกน้อยๆ ชวนให้บดจูบลงไปซ้ำ ได้รับการตอบรับราวกับเคลิบเคลิ้มจากเจ้าของมัน ก่อนจะเบือนหน้าหนีและส่งเสียงขอร้องที่แสนจะเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

“พะ...พอ...ปล่อยผมไปเถอะบอส...อ๊ะ...” คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ได้เพราะมือใหญ่ที่เกี่ยวเอวเอาไว้พยายามร้องขอ แม้ความหวังมีริบหรี่ เพราะอชิตะยังที่ทำให้เขาอับอายและสิ้นท่าอีกครั้ง อชิตะไล้มือมายังช่องทางด้านหลังของเขาช้าๆ หากก็หนักหน่วงชวนให้สะท้านไปร่างกาย

“ปล่อยให้โง่หรือหนึ่ง ผมรอเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่จะได้เข้าไปอยู่ในตัวของคุณ” เสียงทุ้มบอกอย่างผู้ชนะ ปากหนาดูดดึงผิวเนื้อที่ซอกคอขาวอีกครั้ง ฝากฝังความเป็นเจ้าของด้วยรอยฟันที่กัดย้ำลงไป ร่างเล็กนั้นสะดุ้งเฮือก

“ผมอยากได้ตัวคุณจนใจจะขาดอยู่แล้ว...อยากรู้ว่าช่องทางรักของคุณจะบีดรัดผมได้เท่าที่ผมจินตนาการไว้หรือเปล่า” เสียงคนถามมีแววเยาะเย้ย “...และมันจะเก่งเท่าปากของคุณไหม”

สุ้มเสียงที่เหมือนโรคจิตทำให้คณิตขนลุกซู่ รวมถึงปลายนิ้วกระด้างที่บดเบียดช่องทางด้านหลังอย่างหยาบคายนั้นด้วย 

“รู้ไหมหนึ่ง...ผมอยากมุดเข้าไปสัมผัสตรงนี้ของคุณเต็มทนแล้ว” นิ้วแกร่งชุ่มความเหนียวข้นจากน้ำรักของคณิตกำลังเย้าแหย่ช่องทางเร้นลึกแสนคับแคบนั้น อชิตะกระหายอยากฝากฝังกายลงไปแสวงหาความสุขสมจนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

“โรคจิต!” คณิตตะโกนด่าสุดเสียง ยิ่งมีนิ้วมือที่กำลังวนเวียนอยู่ตรงช่องทางด้านหลัง ยิ่งทำให้ต้องดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลังที่มีอยู่น้อยนิด พยายามต่อสู้เตะตี แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน แข็งแรงดังหินผาที่บีบให้เขาต้องแนบร่างกายส่วนหน้าไปกับผนังปูนเปลือยอีกรอบ และไม่วายที่น้ำเสียงคุ้นเคยมานานหลายปีจะตามมากระซิบถ้อยคำจาบ จ้วงแสนหยาบคาย ไม่ต่างจากการกระทำของนิ้วมือที่พยายามจะยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

“ผมอยากฟังเสียงคุณครางดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ผมกระแทกตัวลงใส่คุณ คงเพราะน่าดู พูดแล้วชักอยากใส่เข้าไปแล้วสิ”

“คุณมันบ้าไปแล้ว! อร๊ากก!” คณิตร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บแทบสิ้นใจ จากนิ้วแกร่งที่หยิบยื่นให้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จุกเสียจนเข่าอ่อนขาสั่น ร่างกายเหมือนจะปริแตกออกเป็นเสี่ยง 

“อ่า...รู้สึกดีซะมัดเหมือนที่คิดเอาไว้เลย รัดเสียจนผมไม่อยากใช้อย่างอื่นแทนนิ้วเสียแล้วสิ” เสียงนั้นแหบพร่าด้วยอารมณ์ดิบ คนตัวเล็กกว่าปลดปล่อยไปก่อนแล้ว ขณะที่ตัวตนของเขายังคงบรรจุแน่นด้วยแรงปรารถนา อชิตะกำลังรอเวลาที่ได้รุกล้ำเข้าไปชิมความสุขสมจากช่องทางรักของคณิต จะไม่มีการถามถึงความยินยอมพร้อมใจ ไม่มีอะไรให้ต้องรอ เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไป

นิ้วแกร่งผ่านความตึงแน่นด้านนอกเข้าสู่ความลึกลับอันคับแคบภายใน ด้วยความช่วยเหลือของน้ำขาวขุ่นที่คณิตปล่อยออกมาเมื่อนาทีที่แล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับทีละนิด ถึงจะไม่คุ้นเคยกับช่องทางรักแบบนี้ แต่ก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้ไปกับมัน และใจของเขา มันก็ไปก่อนการกระทำนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ค่ำคืนในสระว่ายน้ำ อชิตะก็ฝันถึงบทรักที่ได้เสพสมจากร่างกายของคณิตมาตลอด   

“อะ...เอา...อ๊ะ...เอาออก...ปะ...ไป...ผะ...ผมเจ็บ...เจ็บ...ฮึก” ด้วยความเจ็บที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ทำให้คำขอนั้นหลุดออกมาอย่างยากลำบาก น้ำตาหลั่งไหลจากหน่วยตาเรียวเล็กลงอาบแก้ม ร่างกายเหมือนจะแตกหักให้ได้ เจ็บปวดเกินจะบรรยายออกมาได้ แต่เจ็บใจยิ่งกว่ากับการกระทำที่เขาได้รับ

“ซู่...ทนอีกนิด อีกไม่นานผมจะทำให้คุณสุขจนล้นทะลักออกมาอีกรอบ”

“ไม่! ผมไม่ทน...อ๊ะ...อึก...” คณิตแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ความเจ็บที่ใกล้เคียงกับความเจียนตาย เพราะนิ้วกระด้างที่สอดเพิ่มเข้ามามากกว่าหนึ่ง เขาจะรับไม่ไหวแล้ว เหมือนความตายกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ 

“อีกนิดนะหนึ่ง เดี๋ยวคุณก็ไม่เจ็บแล้ว” คนด้านหลังยังบอกราวกับว่าความเจ็บปวดของคณิตเป็นเรื่องสุขสม อชิตะเพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปในช่องทางคับแคบบีบรัด ทว่าชวนให้สัมผัสเหลือเกิน แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ ช่องทางของคณิตยังไม่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่มากกว่านิ้ว... และใหญ่ยิ่งกว่าหลายเท่านัก

ทุกการเคลื่อนไหวของนิ้วแกร่งทำให้ร่างกายที่เล็กกว่า ยิ่งดิ้นรนให้พ้นจากความเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะร่างกายที่แตกต่างกันมาก มิหนำซ้ำยังมีความกำยำและสูงใหญ่ยากที่คนตัวเล็กกว่าจะดิ้นรนขัดขืนออกมาจากความเจียนตายได้ 

“ละ...เลว...ผมไม่คิด ว่า...คะ...ฮ๊ะ...คุณจะเลวอย่างนี้” คณิตเค้นคำด่าออกมาอย่างยากลำบาก เพราะความเจ็บที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็อึดอัดจนหายใจไม่ออก แข้งขาไร้เรี่ยวแรงหยัดยืน หากไม่ถูกเกี่ยวไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงของคนชั่วอย่างอชิตะ เขาคงจะทรุดลงไปกองพื้นนานแล้ว

“ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่...อ่า ตอดชะมัด ต่อไปก็อย่าไปเสนอตัวให้ใครอีก เพราะตรงนี้...” อชิตะกระแทกนิ้วใส่ช่องทางคับแคบเต็มแรงและหนักหน่วง ตอกย้ำความเป็นเจ้าของ และกำราบคนตัวเล็กไปด้วย “...เป็นของผม มีผมเพียงคนเดียวที่ได้ลิ้มรสชาติของมัน มีผมคนเดียวที่ได้กระแทกเข้าไปในตัวคุณ ทำให้คุณทรมานอย่างสุขสม”

น้ำร้อนผ่าวในหน่วยตาของคณิตแตกทะลัก อชิตะไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าคำพูดของตน กำลังบดขยี้หัวใจดวงน้อยของคณิตให้แหลกลาญย่อยยับอยู่ตรงนี้

“คุณต้องครางให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว” นิ้วแกร่งขยับแรงขึ้นเหมือนจิตใจที่กำลังร้อนแรง เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์บนเตียงระหว่างคณิตกับชิตตะวัน เหตุการณ์ที่เขาไม่เห็นกับตาแต่พอจะนึกเดาได้ แม้มันไม่ถึงขั้นที่นึกกลัว แต่คณิตก็ไม่ควรทำอย่างนั้นในห้องนี้ ห้องที่เป็นของเขาด้วย มันหยามกันเกินไป 

คงอยากจะทำให้เขารู้สินะ...

“ไอ้เลว...ฮึก...” คณิตตะโกนดังเท่าที่จะฝืนออกมาได้ เสียงของเขาเหมือนดังอยู่แค่ในลำคอ ไม่ไปไกลเกินนั้น

“ถ้าเลวแล้วได้เข้าไปในตัวคุณ ได้บดขยี้คุณ ทำให้คุณครางเพราะผม ให้ผมได้สุขสมกับร่างกายคุณ หึ...ผมยอมเลว แล้วจะทำให้คุณเลวไปกับผมด้วย เลวไปด้วยให้ถึงที่สุดเลยนะ...หนึ่ง” ปลายเสียงแผ่วจางราวกับจะอ้อน ต่างการนิ้วแกร่งที่โหมแรงใส่ช่องทางบอบบางของคณิตอย่างมัวมัน

“เชิญคุณเลวไปเดียวเถอะ! อ่า...” คณิตกัดฟันฝืนด่าทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ไหลทะลักด้วยความเสียใจและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

อชิตะร้ายกาจเกินไปแล้ว เหมือนจะไม่ใช่อชิตะที่เขารู้จัก แล้วนิ้วที่เพิ่มจำนวนและกระแทกเข้าออกอย่างหนักหน่วงนั้น เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความเสียวซ่านวิ่งผ่านเป็นระลอกอย่างเบาบาง... ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้   

“ผมจะเอาคุณไปด้วย จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ผมก็จะเอาคุณไปด้วย จำใส่หัวคุณเอาไว้หนึ่ง”

นิ้วทั้งสามถูกถอนออกเมื่อช่องทางที่คับแคบเริ่มลดความคับแน่นลง แม้จะไม่มากหากอชิตะก็ไม่อยากรออีกต่อไป ในเมื่อความกระหายอยากมันอัดแน่นจนจะทนไม่ไหวแล้ว เขาอยากสัมผัสให้ลึกซึ้งด้วยท่อนเนื้อร้อนรุ่มดังเหล็กติดไฟ แต่มากกว่านั้นคือครอบครองทั้งร่างกายนี้ คณิตจะได้ไม่ดิ้นรนหนีเขาไปหาใครหน้าไหนได้อีก เมื่อไหร่ที่คนคนนี้เป็นของเขา เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เป็นอิสระ จะไม่มีคำพูดไหนหรือใครจะเอาคณิตไปจากเขาได้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็อย่าหาญกล้าจะไปจากเขาได้ คนของเขา ของของเขา เมื่อเป็นแล้ว มันต้องเป็นตลอดไป

“จะ...จะทำอะไร!” ร้องถามเสียงสั่นหัวใจเหมือนตกไปอยู่ที่พื้น เมื่อนิ้วกระด้างถูกถอนออกจากช่องทางของเขา และสะโพกถูกบีบเค้นอีกครั้ง ก่อนที่มันจะถูกดึงไปบดเบียดกับแท่งเนื้อร้อนแข็งและร้อนจัด บังคับให้ร่างกายของเขาต้องโก่งโค้งในท่าที่ไม่น่ามองเลยสักนิด สองมือต้องยันผนังปูนเย็นชืดเอาไว้

ความแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินที่ประชิดอยู่ด้านกำลังดึงดันที่จะผ่านเข้ามา...ให้ได้!

ให้ตายเถอะ! อชิตะจะทำจริงใช่ไหม แค่สามนิ้วเขาก็จะตายแล้ว นี่ต้องโดนอะไรที่ใหญ่กว่านิ้วหลายเท่า ร่องรูของเขามันไม่ได้มีไว้เพื่อรองรับตัวตนบ้าคลั่งของอชิตะนะ

“เข้ายากจริงนะหนึ่ง” ไม่ใช่คำตอบของคำถามเมื่อกี้ของคณิต มันเป็นเพียงคำพูดที่เอ่ยถึงช่องทางรักที่แม้จะขยับขยายแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะผ่านเข้าไปโดยง่าย จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงขบกรามและคำรามเบาๆ กับความพยายามที่จะพาแท่งร้อนเต็มเปี่ยมด้วยแรงปรารถนาและอารมณ์หิวกระหายเข้าไปในช่องทางที่อยากสัมผัสให้ลึกที่สุด กระแทกให้แรงที่สุด ตีตราเป็นเจ้าของไปจนวันตาย

ครั้งแรกกับผู้ชายไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่อชิตะเคยผ่านมาตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่ม แต่ความยากก็ทำให้อารมณ์โหมลุกยิ่งกว่า ทั้งยั่วเย้าและยั่วยุให้เอาชนะช่องทางเร้นลับให้จงได้ ความหลงใหลทำให้เขาแทบคลั่ง อยากด่ำดิ่งลงไปสัมผัสความแน่นแต่นิ่มแทบใจจะขาด

“อ๊ะ...บะ...บอส...ผะ...ผมไม่เอา...นะ...ฮึก...บอส....ผมเจ็บ...มะ...ไม่เอานะบอส...บะ...บอส...หยุดดดด..ฮ๊ะะะ”

คำร้องขอที่สั่นไหวด้วยความกลัวถูกแทนที่ด้วยเสียงแผดร้อง เมื่อความแข็งแกร่งสอดใส่เข้ามาทีเดียวจนหมดสิ้น คณิตเจ็บปวดเกินบรรยาย มันตึงแน่นไปทั้งช่องทางคับแคบของตน เขาแทบขาดใจ เขายากเอามันออกไป การดิ้นรนของเขาไม่ได้ผล

“อึ้มม...อ่า...”

เสียงครางต่ำจากปากหนา ดังแทรกออกมาประสานกับเสียงกรีดร้องในลำคอของคณิต ความคับแคบที่โอบรัดแน่นทำให้อชิตะยากจะขยับกายอย่างหมายใจเอาไว้ได้ ปวดหนึบไปหมดทั้งท่อนลำ ร่างกายกำยำนิ่งไปชั่วครู่ เพื่อปรับลมหายใจของตัวเองใหม่อีกครั้ง

“อ่า...เริ่มแล้วนะครับ...หนึ่ง”

“ยะ...อย่า ...ฮ๊า...”ความเจ็บปวดพุ่งสูงจนใจจะขาด เมื่อท่อนเหล็กร้อนแรงภายในช่องทางลับที่ไม่เคยมีใครรุกรานเริ่มขยับ เป็นการขยับในจังหวะที่รุนแรงตั้งแต่แรกเริ่ม กระแทกกระทั้นและรุนแรงดังพายุอันเกรี้ยวกราด ไม่ได้ถนอมช่องทางที่เพิ่งเคยรองรับความใหญ่โตเป็นครั้งแรกเลย อชิตะกลืนกินอย่างตะกละตะกลามเหมือนคนที่อดอยากปากแห้งมาช้านาน

“อ๊ะ...อ่า...อื้ออ...” ความเจ็บปวดรุนแรงถาโถมใส่ร่างกายเล็กไม่หยุด คณิตเจียนขาดใจ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกบดกระแทกลงมาด้วยแรงที่เพิ่มมากขึ้น ราวกับเป็นแส้ที่โบยตีให้แหลกลาญ

อชิตะกำลังฆ่าเขาทั้งเป็น!

นานแค่ไหนไม่รู้ที่ต้องทนฟังเสียงคำรามจากปากหนา ความเจ็บปวดมันวิ่งผ่านไปทุกอณูของร่างกาย ร่างกายที่กระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง รุนแรงจนสั่นโยกไปทั้งตัว ไม่ได้สนใจว่าคนคนนี้จะเป็นอย่างไร จะทนได้ไหมกับแรงที่ถูกโหมซัดหนักหน่วงเข้ามาอย่างไม่ยอมหยุดพัก   

กว่าทุกอย่างจะสงบลง

กว่าความอุ่นร้อนจะหลั่งรินในช่องทางแสบร้อน

กว่าที่เสียงครางต่ำกระหึ่มจะเงียบหายไปจากการได้ยิน

กว่าเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงจะเบาบางและสงบลง

ร่างกายที่เล็กกว่าและเจ็บปวดกว่าใครก็ทรุดลงไปกองกับพื้น หากไม่วายที่ร่างกายร้อนแรงที่เชื่อมต่อยังคงติดตามอย่างไม่ลดละ เนื้อตัวร้าวระบมราวกับจะแหลกสลายได้ทุกเมื่อสิ้นการรับรู้ไปตอนไหนไม่รู้ ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าหลังอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ถูกปลดปล่อยเมื่อถึงสุดทาง จะมีเสียงกระซิบชิดกับใบหูของเขาว่า

ขอโทษ...

*** จบตอนที่ 9 ***
 :เฮ้อ:
ติดตามตอนที่ 10 วันที่ 30 นะคะ
ปล. บอสฝากบอกว่า 'วอนอย่าด่าเยอะ ทำไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้รักกันดี มีลูกโตหมดแล้ว  :ruready' 555+
BY สีเหลืองอ่อน

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 9 UP 28-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 29-04-2017 00:39:18
นี่เรียกว่า รัก ใช่เหรอ....... :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 10 UP 30-04-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 30-04-2017 20:14:45
10

“...อ่า” เสียงครางต่ำจากร่างกายกำยำใหญ่ดังตามจังหวะเร่าร้อนที่บรรเลงอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวที่โหมส่งเข้ามาภายในช่องทางบอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปลุกให้ร่างขาวฟื้นจากอาการสลบไสลเมื่อชั่วโมงก่อน ความแข็งกร้าวที่รุนแรงกระแทกกายเข้ามาไม่ต่างจากมีดปลายแหลมที่จ้วงแทงลงบนแผลเดิมซ้ำๆ เจ็บเสียจนคณิตไม่อยากรู้อะไรอีกแล้ว หากแต่ยังต้องฝืนกายดิ้นรนหนี ทว่ามือแข็งแรงก็ยึดเอวเล็กไว้มั่น ไม่ให้ขยับหนีทิ้งห่างไปไหน นอกจากอยู่ตรงนี้เพื่อรองรับความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าใส่จากคนที่เคยเคารพ!

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากคนที่โหมแรงลงใส่ มีเพียงเสียงครางต่ำอย่างสุขสมจากทุกการเคลื่อนกายที่หนักหน่วง มันเป็นครั้งที่สองที่สอดใส่เข้าไปในช่องทางที่อชิตะจะต้องได้สัมผัสมันคนเดียว!

“ผมเจ็บ!” เสียงตะโกนแหบแห้ง ฟังแทบไม่ได้ยิน เพราะมันดังสู้เสียงครางต่ำของคนที่ทำให้คณิตเจ็บไม่ได้เลย ชายหนุ่มสลบไปเพราะความเจ็บปวดเกินทนไหวที่ชำแรกเข้ามาและยังต้องตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเดียวแบบที่หนีไม่มีวันพ้น

“เอา...ออก...ไป...ผมเจ็บ!” กำปั้นเล็กระดมทุบไปที่ร่างกำยำ ไปยังจุดที่ไปถึงได้ แรงมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง แต่ก็ทำอะไรร่างที่เหนือกว่าได้ เพราะแรงเท่าที่มีตีมดยังไม่ตาย นับประสาอะไรจะทำให้อีกฝ่ายระคายเคือง

“อ่า...” ไม่มีคำพูดเช่นตอบโต้จากปากหนาครางต่ำ มีเพียงความเคลื่อนไหวที่ไม่ลดกำลังลงเลยแม้น้อยนิด กับสายตาคมกริบที่มองลงมา ดวงตานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หิวกระหายที่เหมือนจะไม่มีวันมอดดับ

คณิตเบือนหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บเกินบรรยายหนีจากภาพความสุขสมของอชิตะ เมื่อรู้แล้วว่าสิ้นประโยชน์ที่จะทำให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำรุนแรง ทั้งแววตาและการกระทำของคนด้านบนบอกได้เป็นอย่างดีว่าด้วยแรงอันน้อยนิดและคำด่าทอของเขา ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการที่บ้าคลั่งได้

ร่างกายของอชิตะยังเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน รุนแรงไม่เปลี่ยน กระแทกกระทั้นจนเขาสั่นคลอนไปทั้งตัว ช่องทางด้านล่างคล้ายจะปริแตกอีกครา 

 ...ทำไมเขาต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ความป่าเถื่อนของผู้ชายอย่างอชิตะด้วยนะ

...ตื่นมาเพื่อเจ็บปวดปางตายเพราะผู้ชายคนนี้ไม่คิดปรานีร่างกายเขาเลย

“ฮึก...อะ...” เมื่อน้ำตาไหล เสียงสะอื้นไห้ก็ตามมา แม้จะกลั้นไว้ก็แล้วตาม ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกจากเบื้องล่างก็ทำให้ต้องหลุดเสียงครางเล็กๆ ออกมา แม้ไม่ปรารถนาสิ่งที่เกิดขึ้น หากก็ฝืนธรรมชาติของร่างกายที่สนองตอบไม่ได้ ถึงช่องทางนั้นจะเจ็บร้าวราวฉีดขาด แต่ความเสียวซ่านก็มีมาเป็นระลอก

“...ฮึก...อ่า...อื้ออ...”

และแล้วทั้งเสียงสะอื้นและเสียงครางเล็กๆ ถูกกลืนหายเข้าไปในปากรุ่มร้อนที่โน้มลงมาบดจูบ มือที่เคยเกาะเกี่ยวเอวก็เปลี่ยนมาเค้นคลึงอยู่ที่หน้าอกและจุดกลางลำตัวที่เล็กกว่า ขยับจากช้าและถี่เร็วขึ้น หมดแรงที่จะต่อสู้ดิ้นรน ความเจ็บเบื้องล่างยังถูกคุกคามด้วยความหยาบคายและรุนแรง

“อ่า...ชอบไหมหนึ่ง ชอบไหมที่ผมอยู่ในตัวของคุณ” คำถามของอชิตะได้รับมาเพียงใบหน้าบิดเบี้ยวที่เฉยชาจากร่างกายที่เขาโหมแรงเข้าใส่แบบไม่ยั้ง ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เขาไม่ได้อยากได้คำตอบนักหรอก เพราะร่างกายของเขามันเสพสมจนใกล้ถึงคำว่าปลดปล่อยเป็นรอบที่สอง

เขาควรจะหยุดแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่ ถึงหน่วยตาเรียวเล็กจะถูกซ่อนหลังเปลือกตาบาง เพราะทนทานความเจ็บปวดเบื้องล่างไม่ไหว แต่ร่างกายแสนหอมหวานและรสสัมผัสที่ได้ลิ้มลองครอบครองในครั้งแรก มันเชิญชวนให้ต้องจรดความแข็งกร้าวที่บรรจุแน่นด้วยอารมณ์ความต้องการไม่สิ้นสุดลงไปอีกครั้ง เขาอยากตักตวง อยากตีตราเป็นเจ้าของ อยากทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าร่างกายขาวสะอาดของคณิตจะเป็นของเขาคนเดียว

อาจดูโหดร้าย เป็นคนโรคจิตเหมือนคำด่าทอจากริมฝีปากที่เขากำลังบดขยี้และสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวพันตักตวงความหวานตามใจอยากที่ไม่เคยสิ้นสุดก็ได้

    อชิตะยอมเป็นทุกอย่างเพียงเพื่อที่จะทำให้ได้คนคนนี้มาครอง เอามาเป็นของคนของเขาคนเดียว ต่อให้ต้องโหดร้ายกว่านี้ เขาก็ทำได้ คนอย่างอชิตะทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ยอมเป็นคนเลว ทรยศหักหลังผู้หญิงที่เคยเป็นดังหัวใจ หากบัดนี้แล้ว คนที่เป็นดังดวงใจกลับเป็นคนที่นอนน้ำตาไหลอยู่ใต้ร่างของเขา

เขาอาจจะเป็นโรคจิตจริงๆ ก็ได้ เพราะน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้เขาโหมแรงกายหนักหน่วงอีกคำรบใหญ่

ต่อให้รังเกียจมากแค่ไหน ชิงชังมากเท่าไหร่ ความรู้สึกเหล่านั้นของคณิตก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่สามารถจะผลักไสให้เขาออกไปจากชีวิตคนคนนี้ได้ ไม่มีวันที่จะทำให้เขารู้สึกผิด มีแต่เย้ายวนให้เขาปรารถนาจะหลอมรวมชีวิตและวิญญาณไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน...ตลอดไป

จะไม่มีวันปล่อยให้ร่างกายที่ปรารถนาครอบครองเป็นเจ้าของหนีหายหรือตายจากไปไหน ไม่มีวันจะปล่อยออกไปจากชีวิตของเขา ต่อให้ต้องสูญเสียอะไรในชีวิตไปก็ตาม

ฆ่าให้ตายดีกว่าจะปล่อยให้หนีไป!

ยิ่งคิดก็ยิ่งโหมแรงใส่ ย้ำให้จำรสชาติจากร่างกายของเขา

“พะ...พอ...ผะ...ผม...เจ็บ...” ช่องทางเบื้องล่างถูกทิ่มแทงด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มทวีขึ้น จากรุนแรงสู่บ้าคลั่ง ร่างกายของคณิตเจ็บร้าวลึก หากร่างกายนี้เป็นแก้วใบเล็ก มันคงจะแตกเป็นผงไปแล้ว

“อื้ม...อ่า......” ก่อนที่ปลายทางจะมาถึง อชิตะดึงใบหน้าขาวให้มารับจูบหนักหน่วง อารมณ์ของเขามันรุนแรงกว่าครั้งไหน อยากจะกลืนกินมากกว่าแค่ปากเล็กๆ ที่ช่างทำร้ายจิตใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาอยาก ‘เชยชม’ แทบขาดใจ แต่ก็ปิดประตูใส่กุญแจไม่ให้เขาเข้าไปแตะต้อง แล้วโยนลูกกุญแจไปให้กับคนอื่น เขาจึงต้องทำลายประตูบานด้วยมือตัวเอง ก่อนที่ใครอีกคนหนึ่งจะช่วงชิงไป

กับใครก็ไม่เท่ากับร่างกายนี้ คณิตทำให้เขาบ้าคลั่งอย่างที่ตัวเองก็ยังตกใจ ตกใจที่เขาบ้าได้ขนาดนี้ และคงจะบ้าได้มากกว่าอีกหลายเท่า หากคณิตยังจะดิ้นรนและหนีหายไปจากชีวิตของเขา

แม้จะปลดปล่อยไปแล้ว ถึงจะเหนื่อยเพราะเรี่ยวแรงที่โถมไปก่อนหน้า ถึงกระนั้นความต้องการทั้งหมดทั้งมวลก็ยังคงอยู่ เพียงไม่กี่นาทีที่ร่างกายหยุดการเคลื่อนไหวบนกายเล็กที่พยายามจะใช้เรี่ยวแรงที่มีน้อยนิดผลักไสเขาให้พ้นตัว ความต้องการมันก็วิ่งไปทั่วร่างกายชุ่มเหงื่อ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ไม่อาจจะห้ามเม็ดเหงื่อได้ เช่นเดียวกับท่อนกายที่ยังเชื่อมต่ออยู่ในช่องทางอ่อนนุ่ม ที่เขาไม่อาจบังคับให้มันสงบลงได้เพียงแค่สองครั้ง

...มันยังเต็มไปด้วยพลังความต้องการเป็นรอบที่สาม

ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง กำปั้นเล็กเริ่มทุบตี ทักท้วง และหยุดยั้งตัวตนที่เคลื่อนไหวในร่างกายของตนเอง ความเจ็บปวดที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่นาที กลับมาเคลื่อนไหวราวกับว่าไม่เหน็ดเหนื่อย ...เขายังเหนื่อยเลยนะ 

“ฮึก...อะ...ออกไป!” เขาทั้งตะโกนและทุบรัว มันไม่ได้ผลอะไรเลย ไม่ทำให้ร่างกำยำที่เคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สะทกสะท้านแม้แต่น้อยนิด จมูกยังคงซุกไซ้และปากร้อนยังดูดดึงผิวเนื้อของเขาเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ร่างกายของเขาก็แทบจะพับครึ่งได้อยู่แล้ว เสียงครางในลำคอบ่งบอกความสุขสมก็ทำให้เขายิ่งเกลียด

เมื่อกำปั้นไม่ได้ผล คณิตก็เปลี่ยนเป็นเล็บสั้นๆ ของตัวเอง ใช้มันข่วนไปตามแผ่นหลัง จิกเล็บลงไปเพื่อจิกเนื้อแน่นหนา  อยากให้เจ็บปวดเหมือนที่เขาได้รับ แม้รู้ดีว่าความเจ็บจากปลายเล็บก็เป็นแค่แรงขีดจืดจาง ที่ทำได้มากที่สุดก็แค่สร้างร่องรอยห้อเลือด ไม่เทียบเท่าได้เลยกับความเจ็บดังมีดร้อยพันเล่มที่ทิ่มแทงเข้ามาในช่องทางลับของเขา

แม้มือสากจะกอบกุมส่วนกลางลำตัวของเขาและปลุกเร้าอารมณ์เขามากแค่ไหน หากความเจ็บปวดก็ไม่ได้บรรเทาลงเลย
“ฮึก...พอ...ได้แล้ว...ผม...ไม่...ใช่...ตุ๊กตายาง...อ๊ะ” ...เมื่อไหร่จะสิ้นสุดซะที

“ไม่หรอกหนึ่ง...อ่า...คุณไม่ใช่ตุ๊กตา...แต่คุณคือของของผม...อื้อออ...ตลอดไป” อชิตะบอกปนเสียงครางต่ำ เขายันกายขึ้น เพื่อจะได้ล็อคเอวบางไม่ให้ดิ้นหนีไปไหน 

“ไม่ใช่...ผมไม่ใช่ของคุณ และไม่มีวันใช่!”

“พิสูจน์กันหนึ่ง...ว่าผมหรือคุณจะชนะ...อืออ...และผมต้องชนะ” แพ้ไม่ได้...ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อเขาเลือกทางนี้แล้ว ต้องเดินไปให้สุด แล้วจะเอาคณิตไปด้วยกันจนสุดทาง เขาไม่ยอมถูกทิ้งไว้กลางทางเด็ดขาด จะสุขสมหรือจะเจ็บปวดก็ต้องรับรู้ไปด้วยกัน
รับรู้ด้วยกันสองคน 

สิ่งที่คณิตเห็นในแววตาของอชิตะคือความมุ่งมั่นและความเป็นผู้ชนะ ที่เขาไม่อาจต่อกรหรือต้านทานได้เลย ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่า ‘เขาจะชนะคนคนนี้ได้’ เขาเห็นแต่ความพ่ายแพ้ของตัวเอง หลับตาหนีสายตาคมกล้าดุดันแล้วก็ยังเห็น เห็นภาพที่เขาอยู่ในอ้อมกอดของอชิตะบนโลกที่มีแค่เขาสองคน ใบหน้าของเขาสุขสมและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สุขที่ได้กลายเป็นคนรักของอชิตะ!

หัวใจของคณิตต้นแรงขึ้นคล้ายจะหลุดออกมาให้ได้ ร่างกายก็เหมือนมีสารแห่งความสุขหลั่งไหลรุนแรง ตัวตนในอุ้งมือใหญ่ร้อนรนดังถูกไฟเผา

...ไฟที่เขาไม่อาจปฏิเสธ และกลัวเหลือเกินว่าจะหลงใหลไปกับมัน   

“ผมต้องชนะ...หนึ่ง...คุณต้องเป็นของ...อ่า...ผม...ตลอดไป ไม่ว่าวันไหนคุณก็ต้องเป็นของผม...คนเดียว”

ร่างกายยังเคลื่อนไหวไม่หยุด ช่องทางคับแคบและเริ่มบีบรัดทำให้เขาใกล้ถึงปลายทาง สุดท้ายแล้วก็ปลดปล่อยเข้าไปในช่องทางแสนหวาน แต่ไม่ลืมที่จะเอาอีกคนวิ่งตามไปด้วยกัน อชิตะขยับมือเร็วขึ้น แรงขึ้น ตาคมกล้าจ้องมองเปลือกตาบางที่ปกปิดหน่วยตาเรียวเล็กไว้มิดชิด ริมฝีปากบางที่เม้มแน่น ป้องกันเสียงครางที่เขาอยากได้ยินเอาไว้อย่างสุดกำลัง แต่มันก็ยังหลุดออกมาให้ได้ยิน แม้เบาบางแต่ก็ชัดเจนในความรู้สึก

“อ๊ะ...”

ร่างกายขาวสั่นสะท้าน ก่อนกระตุกและปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเต็มมืออชิตะ ส่วนหนึ่งไหลลงบนผิวกายขาว ภาพที่เห็นมันกระตุ้นอารมณ์ที่สงบไปแล้วกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง อชิตะไม่อาจหยุดความต้องการของตัวเองลงในหนนี้ได้ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ปรารถนาที่จะหยุดมัน ถึงจะเหนื่อยแต่ความต้องการตอกย้ำในช่องทางเร้นลึกมีมากกว่า เหมือนคนหิวโซ ที่ดื่มกินเท่าไหร่ก็ไม่พอ 

“เอ๊ะ...” ตาเรียวเล็กเบิกโพรง บอกความตกใจ คณิตพยายามจะดิ้นหนีให้หลุดพ้น เมื่ออชิตะเริ่มขยับร่างกายเข้าออกอย่างช้าๆ ไม่ได้รุนแรงเหมือนสามครั้งที่ผ่านมา   

“มะ...ไม่ไหวแล้ว...ผมไม่ไหว...”

“ไหวสิหนึ่ง ผมรู้...คุณไหว” เสียงทุ้มก้มบอกชิดริมฝีปาก จูบซับที่หน้าผากชื้นเหงื่อราวกับจะอ้อนวอนขอให้ ‘ไหว’ เพื่อความสุขสมของตน

คณิตเหนื่อยเกินกว่าจะทักทวงอะไรอีกต่อไป เมื่อลิ้นร้อนแทรกสอดเข้ามากวาดต้อนเอาลิ้นของเขาไปดูดกินจนพอใจ แล้วความอึดอัดที่เสียบแทงอยู่ด้านหลังถูกถอนออก รับรู้ถึงความเหนียวหนืดที่ไหลออกมา มันไม่ใช่การเลิกราหรือยินยอมให้เขาเป็นอิสระ เขารู้ดี มันเป็นแค่การเปลี่ยนทิศทางของร่างกายเขา ยืนยันได้จากการที่เขาถูกจับให้นอนคว่ำ ฝังใบหน้าไว้กับหมอนใบใหญ่ บั้นท้ายถูกยกขึ้นสูง เพื่อให้รองรับแกนกายใหญ่ที่ล่วงล้ำเข้ามาเป็นหนที่สี่

เขาน่าจะตายไปซะให้พ้นๆ

*      *      *

ร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามของความเป็นชายที่ทิ้งตัวลงข้างกายเล็ก หอบหนักเหมือนคนที่วิ่งมากว่าร้อยกิโลเมตร ก่อนจะคว้าคนตัวเล็กสู่อ้อมแขน โอบรัดไว้อย่างหวงแหน อชิตะยิ้มแม้จะเหนื่อยแทบสิ้นแรง สูดกลิ่นหอมจากเรือนกายขาวชื้นเหงื่อด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้

“หนึ่งครับ” ปากหนาเปื้อนรอยยิ้มกดแนบลงบนกลุ่มผมสั้นชื้น

คำเรียกขานชื่อแม้จะหวานล้ำสักเท่าไหร่ แต่เจ้าของชื่อกลับไม่อยากได้ยิน มือเล็กยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้าง ปิดกั้นถ้อยคำที่จะผ่านเข้ามาย้ำเตือนสภาพยับเยินของตน อชิตะเหมือนคนโรคจิตที่ระเบิดความโหดร้ายใส่เขาไม่ยั้ง ความเจ็บปวดเบื้องล่างกับร่างกายที่แทบจะแตกสลาย คงไม่สาหัสเท่ากับหัวจิตหัวใจที่ป่นปี้ ไม่เหลือชิ้นดี

เขาถูกข่มขืน!

มีอะไรจะน่าอายเท่านี้อีกไหม

เขาเป็นผู้ชายแต่กลับถูกผู้ชายที่เคยไว้วางใจข่มขืน

น่าเวทนาสิ้นดี

“อาบน้ำหน่อยนะหนึ่ง”

แม้จะปิดหู ทว่าคำพูดของอชิตะก็ผ่านเข้ามาให้ได้ยิน พร้อมกับร่างกายกำยำใหญ่ขยับลุกและดึงเขาให้ลุกขึ้นตาม

“ไหวไหม” คำถามดูอาทร ห่วงใย หากไม่สามารถลบล้างความรู้สึกเกลียดชังสิ่งที่อชิตะทำกับเขาได้เลย

คณิตฝืนตัวลุกขึ้นตามแรงดึง เพียงเพื่อจะดึงตัวออกห่างจากการกอดรัด และเพื่อจะ ‘ซัด’ หมัดไปที่ใบหน้าคมเข้มด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้นที่คณิตซัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาของบอสหนุ่มที่ทำลายความภาคภูมิใจของตนจนหมดสิ้น

แม้ไม่เต็มแรงแต่ก็ทำให้อชิตะหน้าหันและเจ็บไม่น้อยเลย

“ผมเกลียดคุณ ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับผม...อื้อออ” พูดยังไม่ทันจบ มือแข็งก็ดึงกระชากร่างเล็กของคณิตเข้าหา โน้มใบหน้าดุดันเข้ามาประกบจูบอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้คณิตตั้งตัว มือใหญ่แข็งแรงบังคับศีรษะไม่ให้หันหนีไปทางไหน

ปากหนาบดขยี้เรียวปากเล็กที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ตนไม่มีวันทำได้ จนสาแก่ใจและสิ้นพยศนั่นแหละ อชิตะถึงยอมปล่อย ตาเรียวเล็กที่มองสบเต็มไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังสิ่งที่เขาทำ แต่เรื่องอะไรอชิตะจะสนใจ จะรักหรือจะเกลียด คณิตก็ต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต

“อย่าให้ผมได้ยินคำว่า ‘เกลียด’ จากปากคุณอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะเจ็บมากกว่านี้” เอ่ยเสียงเหี้ยม เสียเวลาพูดจาหว่านล้อมให้ยินยอมพร้อมใจ ในเมื่อไม่ได้ผล จึงต้องดับความพยศด้วยความเหี้ยมเกรียม เอาให้ไม่กล้าพูดคำว่าเกลียดใส่หน้าเขาอีก

“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม” คณิตโต้ตอบอย่างรวดเร็ว แม้ลึกๆ จะนึกกลัวก็ตาม อชิตะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ไม่ใช่นายจ้างหนุ่มแสนดีอย่างที่เขาเคยชื่นชมและเคารพรัก แต่เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ทำได้แม้กระทั่งข่มขืนเขา

“คิดอย่างนั้นหรือ แน่ใจใช่ไหมว่าผม ‘ไม่มีสิทธิ์’ งั้นพูดออกมา พูดว่า ‘ผมเกลียดคุณ’ ให้ฟังหน่อย แล้วคุณจะรู้ว่าผมมีสิทธิ์มากแค่ไหนในตัวคุณ” อชิตะเน้นย้ำทุกคำ สุ้มเสียงของเขาเย็นยะเยือกจ้วงแทงลงไปในหัวจิตหัวใจป่นปี้ของชายหนุ่มตัวเล็ก

ไม่มีคำว่า ‘ผมเกลียดคุณ’ หลุดลอดออกมาจากเรียวปากที่แม้นแน่นแทบเป็นเส้นตรง ดวงตาสีเข้มดุดันนั้นทำให้คณิตไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง สิ่งที่คนตัวเล็กเลือกทำแทนคำพูดคือมือที่ดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ขยับหนีร่างใหญ่ไปจนสุดเตียง แล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้

คณิตอยากนอนหลับไปเสียตั้งแต่วินาทีที่หัวถึงหมอนและตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความฝันอันเลวร้ายที่สุดในชีวิต ทว่าคนร่วมเตียงกลับไม่ยอมแม้แต่จะให้คนตัวเล็กได้หลับสบาย ยังตามมาถือสิทธิ์ครอบครองเรือนร่างจากด้านหลัง แทรกตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่อนแขนหนักเกี่ยวเอวเล็กให้แนบติดแผ่นอกเปลือยเปล่า แนบชิดเสียดสี สร้างความรู้สึกอุ่นร้อนคล้ายกองไฟที่เริ่มจุดติด

ร่างเล็กกว่าแข็งเกร็งขึ้นเพราะความอุ่นร้อนด้านหลัง มือแข็งที่ลวนลามและรุกไล่ ลิ้นร้อนลากเลียบนผิวเนื้อชวนให้ขนลุกมากกว่าจะตื่นกลัว เสียงลมหายใจติดขัดทำให้รู้ถึงห้วงอารมณ์ที่เริ่มโหมลุก ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดจากแรงขบกัดที่ซอกคอ

“ไม่เอา ผมไม่...” เพียงแค่อ้าปากประท้วง ร่างกายก็ถูกพลิกกลับมา ใบหน้าซีดสัมผัสเข้ากับลมหายใจร้อนแรงเพียงเสี้ยววินาที ก่อนปากหนาจะประทับลงมารวดเร็วและขยับเป็นร้อนแรง บดเบียดและดื่มกินอย่างไม่รู้จักพอ

อชิตะในค่ำคืนนี้ได้ลบภาพบอสหนุ่มแสนดีในหัวของคณิตไปจนหมดสิ้น

*      *      *

 “ไอ้หมอ”

เจ้าของชื่อหันกลับมาตามเสียงเรียก แล้วพบว่าใบหน้าร้อนร้นนั้นดูอิดโรย มุมปากข้างหนึ่งขึ้นสีแดงช้ำ

“ไปทำอะไรมา” หมอหนุ่มเอ่ยปากถาม ขณะเดินเข้าไปหา

“นั่นแหละ” อชิตะไม่อยากตอบถึงที่มาของรอยช้ำมุมปาก ถ้าเล่าก็คงมีคำถามตามมาอีกเป็นพรวน เสียเวลาพูดเรื่องสำคัญหมด
“นั่นแหละอะไร เล่ามา มีเรื่องอะไรกับใครมา” ถ้าให้เดา หมอหนุ่มก็ขอเดาว่ารอยช้ำเกิดจากของหนักที่เรียกว่า ‘กำปั้น’ และเดาต่อได้อีกว่า กำปั้นเป็นของ ‘ใคร’ จะเป็นของใครได้ถ้าไม่ใช่ ‘ลูกน้องเจ้าปัญหา’ ที่ไม่รู้ว่านึกครึมอะไรขึ้นมาถึงได้แผลงฤทธิ์จนเพื่อนเขาจุกไปหลายดอกเมื่อครั้งสังสรรยามค่ำคืนที่ผ่านมา

คณิตเคยเกเรกับเพื่อนเขาซะที่ไหน แต่เมื่อคืนวานกลับเถียงทุกคำและทำให้อชิตะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ขบกรามข่มอารมณ์อยู่นานหลายนาที

แต่แทนที่หมอพิษณุจะได้คำตอบที่ช่วยย้ำว่าความคิดของตนถูกต้อง กลับได้คำบอกกล่าวที่ทำให้นึกหวั่นว่าอาจเกิด ‘เหตุไม่ควรจะเกิด’ ระหว่างอชิตะกับลูกน้องคนสนิท

สังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล 

“ไปดูอาการหนึ่งให้หน่อย”

‘อาการ’ ที่อชิตะหมายถึงคือการ ‘อาละวาด’ ที่จำเป็นต้องตามตัวเพื่อนให้ไปช่วยเหลือ เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ หลังจากที่เจ้าตัวพบว่าตัวเองไม่สามารถกระดิกตัวทำอะไรได้อย่างใจนึก เรียกว่า ‘ลุกไม่ขึ้น’ นั่นแหละ เพราะความเจ็บปวดของร่างกายที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก...โดยเขา

และพอเขาจะช่วยประคอง พาเข้าห้องน้ำ กลับอาละวาดใส่ ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ตาขวางขุ่นเหมือนหมาบ้า เลยต้องตามหมอสัตว์ไปรักษาอาการ 

แต่แล้ว ‘คนกลาง’ ระหว่างอชิตและคณิตก็เพิ่มจากหนึ่งเป็นสี่ในเวลาอันรวดเร็ว และเปลี่ยนจากคนกลางเป็น ‘พยาน’ ของความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวไปโดยปริยาย

*** จบตอนที่ 10 ***

ตามตอนที่ 11 วันที่ 2 ค่ะ
 :bye2:
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 11 UP 02-05-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-05-2017 19:01:46
11

“หนึ่งเป็นอะไรครับบอส”

อชิตะมองหน้าหนึ่งในอดีตลูกน้องคนสนิทของตนที่เดินผ่านมาและเข้ามาสมทบ ก่อนตอบสั้นๆ เพียงว่า

“ไม่สบาย”

ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนพักของตน พร้อมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ราวกับว่ากลัวคนในห้องจะลุกหนีไปไหน ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางที่คณิตจะลุกหนีไปไหนได้ แม้เจ้าตัวอยากจะหนีไปให้ไกลจากเขามากแค่ไหนก็ตาม

เท้าที่ก้าวเร็วพาไปถึงหน้าประตูห้องพักก่อน ‘พยานทั้ง 4 คน’ ที่เดินตามหลังมา อชิตะสูดลมหายใจยาวเข้าปอด เพื่อเติมเต็มพลังในการรับมือกับคนในห้อง เขาจำแววตาใต้กรอบตาเล็กเรียวเล็กได้ว่าเป็นเช่นไร

...ชิงชังในสิ่งที่เขาทำ

...เคียดแค้นจนจะฆ่าเขาได้

อชิตะปัดแววตาที่ทำให้เขาเจ็บปวดออกไปจากความคิดที่ตอกย้ำให้เขาอ่อนแอ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาภายใน ห้อง พาตัวเองไปเผชิญหน้ากับแววตาคู่เดิม ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เตียงที่คนร่างเล็กนั่งนิ่ง มองเขาด้วยใบหน้าเฉยชา ลูกตาสีอ่อนบอกความรู้สึกชิงชัง และคำพูดที่ทำให้กำมือแน่น

“มึงออกไปจากชีวิตกูซะที”

แม้น้ำเสียงจะราบเรียบไม่ต่างจากใบหน้า แต่สรรพนามที่เรียกขานและคำที่ใช้แทนตัวคนพูด ทำให้คนฟังอยากสั่งสอนให้หลาบจำ ว่าอย่าใช้ ‘กู...มึง’ กับเขา หากอชิตะต้องระงับความโกรธที่วิ่งพล่านภายในอกเอาไว้ ขบสันกรามแน่นไม่ให้หลุดคำใดออกมา มีเพียงดวงตาสีดำดุที่ตวาดกลับอย่างคนที่มีอำนาจเหนือกว่าทุกทาง อำนาจที่จะคุมขังคนบนเตียงไปตลอดชีวิต

“คงยากหน่อยนะหนึ่ง”

ยาก...ที่เขาจะปล่อยให้หลุดลอยออกไปจากชีวิต

“เกิดอะไรขึ้น” ภาคีที่เดินเข้ามาหาคนทั้งคู่เอ่ยถามขึ้น สภาพที่เห็นทำให้ภาคีนึกเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากความสัมพันธ์ที่มันไปไกลเกินคาดคิด ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าระหว่างอชิตะกับคณิตจะมาถึงขั้นมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น มันไม่น่าเกิดขึ้นจริงๆ

“มึงถามใคร” คนบนเตียงหันมาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเหยียดเย้ยตัวเอง “ถ้ามึงถามกู กูจะตอบว่าคนที่มึงไว้ใจ มันข่มขืนกู” ปลายประโยคนั้นแหบแห้ง

แม้จะพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พยานทั้งสี่คนประกอบไปด้วย ภาคี สีฟ้า พิษณุ และน้ำฟ้าก็อดที่จะอึ้งไม่ได้เมื่อคำว่า ‘ข่มขืน’ เอ่ยออกมาจากคนที่ถูกกระทำ

คำว่า ‘ข่มขืน’ ที่แปลได้ว่า ‘ไม่ใช่การสมยอม’

...ร่องรอยบนผิวเนื้อขาวจัดบอกชัดเจนถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น

“เป็นไงล่ะ มึงต่อยชิตเพราะเรื่องแค่นั้น แล้วบอสของมึงทำกับกูถึงขนาดนี้ มึงกล้าต่อยบอสของมึงไหม ที่ทำกับกูยิ่งกว่าที่ชิตมันทำ” คณิตพานโกรธเพื่อนของตนไปด้วย

“ทำไมครับบอส” ภาคีหันกลับไปถามคนก่อเหตุ เขาไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายที่แสนดีของเขาถึงกลายเป็นผู้ร้ายข่มขืนลูกน้องตัวเอง 

“.....” คนถูกถามไม่มีคำตอบใดให้อดีตลูกน้อง ได้แต่เบือนหน้าสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของภาคี เมื่อเขาไม่ตอบ อีกคนก็ช่วยตอบแทน

“ถ้าบอสของมึงไม่มีปัญญาตอบ กูจะตอบให้ก็ได้ บอสมึงข่มขืนกู เพราะกูเถียงเขา เพราะกูต่อยเขา เพราะกูจะไปหาชิต กูจะไปนอนกับชิต แล้วเป็นไง บอสมึงเป็นคนดีไหม ทำตามที่มึงบอกทุกอย่าง ไม่ให้กูไปไหน ถึงกับลงทุนข่มขืนกู” ปลายประโยคนั้นสั่นไหว เจือความเจ็บปวดที่ร้าวลึก หน่วยตาเรียวเล็กคลอด้วยน้ำอุ่นร้อน จวนเจียนจะกลายเป็นสายน้ำตาไหลอาบแก้ม

ทั้งห้องเงียบ เข็มสักเล่มหล่นคงได้ยินไปไกลถึงหาดทรายด้านนอก ประโยคต่อมาก็ทำให้อึ้งจนพูดไม่ออก

“แล้วมึงรู้ไหมว่าบอสของมึงข่มขืนกูไปกี่ครั้ง...ห้าครั้ง” น้ำเสียงสั่นพร่าฟ้องบอกสิ่งที่อัดแน่นในอก “มึงได้ยินไหม ห้าครั้ง ห้าครั้งที่กูถูกข่มขืน...”

มีอีกหลายถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากปากเล็ก ก่อนคนที่ไม่อยากฟังถ้อยคำนั้นที่สุดจะเอ่ยตะคอกออกมา

“พอแล้วหนึ่ง!” อชิตะไม่อยากได้ยิน ไม่ใช่เพราะความอาย แต่เพราะความรู้สึกผิดที่ตอกย้ำลงมาต่างหาก

“ทำไม อายหรือไง อายที่กำลังโดนประจานว่าข่มขืนลูกน้องตัวเองงั้นหรือครับ”

“หนึ่ง!”

“ทำไม! ผมพูดความจริง”

“แล้วทำไมไม่บอกไปด้วยว่ายั่วผมยังไงบ้าง ผมถึงต้องเอาสันดานดิบมาใช้กับคุณ” ปากพลั้งพูดไปอย่างนั้นเพราะความโมโห มานึกเสียใจก็ตอนที่ถูกเรียกว่า ‘คนเลว’ 

“คนเลว” น้ำตาเม็ดเล็กร่วงหล่น

“หนึ่ง” พอเห็นน้ำตาหัวใจอชิตะก็อ่อนยวบ ความโกรธลดลง พอจะขยับเดินเข้าไปหา กลับถูกตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่าเข้ามา!”

อชิตะเหมือนถูกสะกดให้ยืนอยู่กับที่ ไม่ต่างจากพยานทั้งสี่คน ก่อนจะหันไปมองคนที่เปิดประตูเข้ามา 

“ชิต” คณิตเรียกคนที่เดินมาหาเขา น้ำเสียงแหบแห้งสะท้านใจเจ้าของชื่อยิ่งนัก หลังจากที่อชิตะเดินออกไปจากห้อง คณิตก็โทรหาชิตตะวันทันที เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“กะ...ฮึก...กูเดิน...ไม่ได้...อุ้มกูไปหน่อย” ยามนี้ชิตตะวันเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้ายของคณิต ชายหนุ่มร่างเล็กไม่หวังพึ่งเพื่อนสนิทอย่างภาคีอีกแล้ว คนอย่างมันจะปกป้องอะไรเขาได้ 

“เดี๋ยวนะ”

อชิตะมองตามชิตตะวันที่เดินไปยังห้องน้ำ แล้วกลับออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัว เจ้าของรีสอร์ตใช้มันคลุมเนื้อตัวเปลือยเปล่าของคณิต แล้วอุ้มสู่อ้อมแขน ก่อนจะหันไปพูดกับภาคี แต่คำพูดนั้นก็เลยมาถึงอชิตะด้วย คล้ายคำประกาศและสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยว
กับคณิตอีกต่อไป

“กูจะดูแลหนึ่งเอง”

ดูแลเองงั้นหรือ!

อย่าหวังว่าคนอย่างอชิตะจะยอม!

ของของเขา ยังไงก็ต้องเป็นของเขาไป ไม่มีวันนั่งเฉยมองของที่เป็นของเขา ตกกลายเป็นของคนอื่นหรอกน่า

*      *      *

 “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาหมอ” ชิตตะวันเอ่ยถามหลังจากเช็ดตัวของคณิตจนสะอาดหมดจดทุกซอกทุกมุมแล้ว ก่อนจะหยิบซองยาที่ใช้ให้พนักงานของรีสอร์ตไปเอาที่คลินิกของลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งเขาใช้บริการเป็นประจำ ตอนนี้ชิตตะวันกำลังเตรียมตัวเป็นคุณหมอจำเป็น พร้อมกับพลิกกายคนตัวเล็กให้นอนคว่ำหน้า เขาจะได้ใส่ยาได้สะดวก 

“ไม่เอา กูอายหมอ” ให้เอาเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยฟันรอยดูดสีแดงและความบอบช้ำของช่องทางข้างหลังไปให้หมอตรวจนี่นะ คณิตไม่เอาด้วยหรอก แค่ชิตตะวันคนเดียวก็เกินพอ แล้วตอนนี้มือที่เคยเช็ดเนื้อตัวให้ก็หันมาแต้มยาตรงส่วนที่บอบช้ำที่สุดของร่างกาย...นึกอายสภาพตัวเองจริงๆ

คณิตกัดปากแน่น ไม่ให้ความเจ็บปวดหลุดออกมาเป็นเสียง จนมือใหญ่ของชิตตะวันละไปจากช่องทางของเขา นั่นแหละ ชายหนุ่มร่างเล็กจึงเอ่ยถามออกมา

“แน่ใจนะว่ามันจะหาย” พลิกตัวกลับอย่างเบาที่สุด เพื่อไม่ให้ส่วนล่างได้รับการกระทบกระเทือนมากนัก

“ถ้าไม่หายก็ต้องปิดทำการถาวร” ชิตตะวันตอบกลั้วเสียงหัวเราะ ผลที่ได้คือโดนปาหน้าหงิกง้อใส่

“ไอ้ห่า ตอบดีๆ สิวะ” ชักหงุดหงิดที่ถูกหัวเราะบนความเจ็บปวดของเขา มันน่าหัวเราะตรงไหน อยากจะยกเท้าถีบให้ตกเตียงไปไกลๆ แต่กำลังมีไม่พอ ลองมาเป็นอย่างเขาดูบ้างไหมล่ะ แล้วจะหัวเราะไม่ออก

ลืมไปว่าไอ้ชิตตะวันมันเป็นฝ่าย ‘กระทำ’ มันคงไม่มีวันอยู่ในสภาพแบบเขาแน่ อยากแช่งมันให้โดนอย่างเขาบ้าง แต่ก็สงสาร   

“ชิตก็ตอบดีๆ แล้วนะครับหนึ่ง ว่าแต่ต่อไปจะเอายังไง”   

“ไม่เอายังไงทั้งนั้นแหละ ต่างคนต่างอยู่”

“แน่ใจนะว่าจะทำได้ ชิตเห็นนะ มองมันตาละห้อย” เพราะเห็นถึงได้กล้าพูด 

“ละห้อยตรงไหนไม่ทราบ มึงก็เห็นอยู่ว่ากูเกลียดมันจะตาย มันข่มขืนกูนะโว้ย” คณิตโวยวายที่ถูกกล่าวหาว่ามองอชิตะตาละห้อย เขาแทบไม่มองหน้าอดีตนายจ้างด้วยซ้ำไป เห็นแล้วเจ็บใจ...เจ็บใจตัวเองด้วยที่พ่ายแพ้ ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนตัวเขาก็ปลดปล่อยไปเช่นกัน

“นี่ชิตนะครับหนึ่ง ไม่ได้โง่ และก็ไม่ใช่ไอ้ห่าตินที่หนึ่งพูดอะไรก็เชื่อไปซะหมด” ชิตตะวันไม่อยากอวดเลยว่า เขารู้จักคณิตมากกว่าที่ภาคีรู้จักซะอีก “บอกความจริงมาเถอะน่า ไม่ต้องอาย” ถึงอยากจะครอบครองคณิตไม่ต่างจากอีกคนหนึ่ง แต่เมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นสายตาของคณิตแล้ว ชิตตะวันก็อดที่จะยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ไปแล้วกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ อีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นเอาไว้เผื่อว่าคณิตจะใจแข็งใส่ความรู้สึกของตัวเอง แล้วให้โอกาสเขาอีกครั้ง

“ความจริงอะไร” คณิตย้อนถามเสียงฉุน เป็นอีกครั้งที่คนตัวเล็กนึกอยากถีบชิตตะวันให้กระเด็นไปไกลๆ ข้อหาอวดรู้ไปซะทุกเรื่อง

“ความจริงที่ว่า...หนึ่งชอบคุณอิง”

“มึงอย่ามามั่ว กูไม่ได้ชอบมัน” คณิตปฏิเสธเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เชื่อ จึงต้องพูดเสียงแข็งกว่าเดิม “มึงไม่เชื่อกูก็ตามใจ แต่บอกไว้เลยว่ากูเกลียดมัน“ ว่าแล้วก็พลิกตัวหนี หันหลังให้เจ้าของเตียง หลบหนีสายตารู้ทันกึ่งเย้าแหย่ให้อับอายตัวเอง

ปากบอกว่าเกลียด สมองสั่งให้เกลียด แต่แท้จริงแล้วคำว่าเกลียดดูจะอยู่ห่างไกลจากความจริงในใจไปมากโข แต่ถึงยังไง เขาก็ต้องตัดขาดหัวใจ แล้วเลือกฟังสมองให้มากที่สุด เขาไม่อยากให้ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งต้องเสียใจเพราะสิ่งที่เขาทำในคืนนั้น ไม่อยากให้ณัชชาหัวใจสลาย

เขาต้องทำให้ได้ สิ่งที่เสียไปแล้วช่างมัน เขาต้องเชิดหน้าไว้ ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่จมอยู่กับความผิดเพี้ยนไปตลอดชีวิต 

*      *      *

   คณิตไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหนหลังจากกินยาที่ชิตตะวันนำมาให้ ชายหนุ่มร่างเล็กตื่นเพราะสัมผัสจากมืออุ่นที่ลากไล้อยู่ข้างแก้มของเขา ครั้นพอลืมตาขึ้นมามองเจ้าของมือ สิ่งแรกที่ลูกตาเห็นคือใบหน้าคมเข้มที่คุ้นตามาตลอดหลายปีตั้งแต่เริ่มต้นเป็นมนุษย์เงินเดือน

ตกใจไม่น้อยที่เห็นหน้าอชิตะ มองข้ามไหล่หนาไปด้านหลัง ประตูหน้าต่างที่เปิดอาจเป็นคำตอบได้ดีว่าช่องทางใดที่อชิตะผ่านเข้ามา

“ออกไป” สั่งเสียงเรียบ พลางขยับตัวหนี แต่ถูกคว้าต้นแขนไว้แน่น ดึงรั้งเข้าไปสู่อ้อมแขนแข็งแกร่ง ถ้อยคำเดิมกระซิบซ้ำที่ข้างใบหู...ดังเบาแต่ดังนาน

“ขอโทษ”

ตามด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย สัมผัสได้ว่ามาจากหัวใจจริงๆ

“เจ็บมากไหม”

คณิตตอบกลับความห่วงใยด้วยเสียงตวัดห้วน ปกปิดความยินดีลึกลับภายในใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรยินดีไม่ใช่หรือ จะมาดีใจที่เห็นหน้าคนที่ข่มขืนเขางั้นเหรอ ทั้งที่เมื่อเช้าก็อาละวาดและด่าไปขนาดนั้น เขาควรเกลียดให้เหมือนที่ปากพูดสิ

เอาสิไอ้หนึ่ง! มึงต้องด่ามัน ด่าที่มันย่ำยี่ศักดิ์ศรีมึง ด่าที่มันทำมึงเจ็บเจียนตาย ทำเหมือนมึงเป็นตุ๊กตายางไว้ระบายความใคร่ ทำเหมือนมึงไม่มีความรู้สึก

“มึงยังมีหน้ามาถามอีกหรือไงว่ากูเจ็บมากไหม มึงทำกับกูถึงขนาดนี้ กูไม่ตายคาเตียงก็ดีแค่ไหนแล้ว ออกไป! ออกไปจากชีวิตกูซะที กูไม่ได้ชอบผู้ชาย! และถึงกูจะต้องชอบผู้ชายสักคน คนคนนั้นไม่มีวันเป็นมึง”

ดีมากไอ้หนึ่ง มึงต้องด่าให้มันเจ็บ ทำให้มันรู้ว่ามึงเกลียดมันยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน ทุกอย่างจะได้จบอย่างที่มึงต้องการ โดนไปแค่ห้าครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตกเป็นของมันไปตลอดชีวิตซะหน่อย ใจแข็งเข้าไว้ สู้กับความผิดเพี้ยนที่มึงก่อขึ้นให้ได้   

“หนึ่ง! ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่างพูด ‘กู...มึง’ กับผม” อชิตะข่มความโมโหลงในอก “ปากเก่งแบบนี้แสดงว่าหายแล้วสินะ” ตั้งใจจะมาขอโทษ แต่เจอแบบนี้อชิตะก็ลุกเป็นไฟได้ไม่ยาก 

“งั้นก็กลับ แข็งแรงดีแล้วนี่”

“ไม่! กูไม่กลับ มึงอยากกลับก็กลับไปสิวะ กูจะอยู่ที่นี่กับชิต” คณิตตะโกนใส่หน้า ขยับตัวหนีไปอีกฝั่งของเตียง คว้าหมอนใบใหญ่เป็นอาวุธ หากอีกฝ่ายคิดจะรุกถึงตัว ทั้งที่รู้ดีว่าหมอนในมือไม่สามารถต่อกรกับกำลังของอีกฝ่ายได้

“อยากอยู่กับมันมากนักหรือไง”

“เออ! ใช่ รู้แล้วก็ออกไปซะ”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะหนึ่ง คิดหรือว่าผมจะยอมยกของที่เป็นของผมแล้วให้คนอื่น โดยเฉพาะ ‘เมีย’ ของผม” เขาเน้นคำว่า ‘เมีย’ เสียงหนัก ทำเอาคนถูกเรียกเช่นนั้นเลือดขึ้นหน้า ร่างเล็กบางพุ่งเข้าไปหาคนตัวใหญ่ ใช้หมอนในมือกระหน่ำฟาดอย่างสุดแรงเต็มความโกรธ

กล้าดียังไงเรียกเขาว่า ‘เมีย’!

ถึงใช่ไปแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ชอบให้เรียกเขาว่าเมีย ไม่ชอบคำว่าเมีย ไม่มีวันชอบเด็กขาด 

“กูไม่ใช่เมียมึง! ไอ้คนวิปริต!” เขาฟาดหมอนลงไปเต็มแรง กระหน่ำไม่ยั้ง แต่อีกฝ่ายเล่าเหมือนไม่สะทกสะท้าน แต่คงรำคาญ ถึงได้กระชากหมอนออกจากมือเขา โยนมันไปกระทบผนังแล้วตกลงพื้น ใบหน้าคมเข้มดุดันเป็นประกายฉุนจัด

“เลิกบ้าซะที แล้วกลับกรุงเทพฯ กับผม” อชิตะรวบมือเล็กไว้ด้วยกำมือเดียว คว้าเอวเล็กไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน

“กูไม่กลับ! ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งว่ากูไม่กลับ กูจะอยู่ที่นี่” ตะคอกใส่หน้าอีกฝ่าย พยายามดึงมือออกจากมือหนาที่รวบบีบไว้จนเจ็บ แต่ไร้ผล สุดท้ายก็ได้แต่ใช้ถ้อยคำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดเท่าที่สมองจะคิดได้ “จำใส่หัวมึงไว้นะ ว่ากูไม่ใช่เมียมึง ไม่ใช่ๆๆๆๆ ไม่ใช่โว้ย!”

“งั้นหรือหนึ่ง” กระแสนั้นราบเรียบแต่รุนแรง ดวงตาคมวาวโรจน์ “ที่ครวญครางเมื่อคืน ไม่จำใช่ไหมว่าอยู่ในสถานะไหน เป็นเมียใคร” ชายหนุ่มตอกย้ำราวกับจะเยาะเย้ย อีกฝ่ายสวนกลับอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธเต็มที่   

“กูไม่จำ! แล้วมึงก็ไปให้ไกลหน้ากู ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก ต่างคนต่างอยู่ เจอกันก็ไม่ต้องทัก ตายก็ไม่ต้องไปเผาผี แล้วไอ้ที่มึงทำระยำไว้เมื่อคืน กูจะถือว่าทำทานให้หมามันกิน”

“หึ...ให้หมามันกินงั้นหรือ งั้นก็ให้กินอีกสักรอบดีไหมหนึ่ง” จบคำพูดด้วยแรงผลักที่ทำให้ร่างเล็กจมลงบนที่นอนหนานุ่ม
อชิตะตวัดร่างแข็งแรงคร่อมร่างเล็กของเจ้าของเรียวตาเล็กที่เบิกกว้าง ริมฝีปากร้อนระอุบดขยี้เรียวปากบาง บดเบียดอารมณ์ร้อนที่สุมอยู่ในอก ขบกัดด้วยความกรุ่นในอารมณ์ผสมกับความต้องการครอบครอง ตอกย้ำให้จำว่าร่างกายนี้เป็นของเขา และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่านานสักเท่าไร

ความชื้นจากสายน้ำตาที่ไหลอย่างเงียบเชียบจากคนข้างใต้ที่เหมือนจะสิ้นฤทธิ์หลังจากถูกบดจูบอย่างไม่ปราณี ทำเอาอารมณ์ดุดันของอชิตะมอดลง จนกลายเป็นความรู้สึกผิดที่หน่วงเหนี่ยวหัวใจ

อชิตะลุกขึ้นนั่ง ดึงร่างเล็กสู่อ้อมกอดปลอบโยน มือหนาลูบไล้แผ่นหลังอย่างอ่อนโยนเอาใจ

“ปล่อยผม แล้วออกไปซะ” กระแทกเสียงขุ่นจัดเจือรอยสะอื้น ขืนตัวออกจากวงแขนที่ไม่ผ่อนแรงกอดรัดลงเลย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัด ปากหนากดซับเหนือขมับซ้ำแล้วซ้ำแล้ว คล้ายทดแทนคำขอโทษต่อสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่

“คุณน่าจะรู้...ว่าผมทำไม่ได้ ผมไม่มีวันปล่อยคุณไปไหน”

“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยผมไปเถอะนะบอส ผมไม่ได้รักคุณ...ผมรักคุณไม่ได้ คุณเข้าใจไหม” กระแสเสียงนั้นอ่อนแรงลง แรงต่อต้านก็เช่นกัน...

“แต่ผมรักคุณ แล้วผมมั่นใจว่าผมจะทำให้คุณรักผมได้...แม้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ตลอดชีวิตเลยก็ได้ ผมยอมใช้มันเพื่อทำให้คุณรักผม” กระซิบแผ่วหวานชิดติดใบหูเล็ก หนักแน่นทุกคำพูดที่กลั่นออกมาจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนาที่รุนแรง

หัวใจของคณิตไม่ใช่หินผา ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น

อชิตะใช้กลีบปากไล่เรื่อยอย่างอ่อนหวานลงมาตามแนวแก้มนวล ราวกับต้องมนต์ที่ร่ายด้วยเสียงลมหายใจอุ่นจัด กลีบปากบางถึงได้ค่อยๆ ตอบรับปากหนาที่จูบซับลงมา ปล่อยให้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามากระตุ้นความหวามหวานวูบวาบที่ชวนเผลอไผล มือใหญ่ที่รุกรานเข้ามาทางชายเสื้อลูบไล้แผ่นหลังเนียนเรียบเพิ่มความร้อนระอุ เนื้อตัวเหมือนถูกจุดด้วยไฟร้อนแต่ไม่แผดเผา ก่อนเสื้อยืดเสื้อบนตัวจะพ้นออกไปทางศีรษะ

“ดะ...เดี๋ยว...บอส...” เสื้อปลิวไปไกลเกินเอื้อมถึง มือเล็กยันแผ่นอกหน้าเอาไว้สุดแรง นึกภาพออกว่าอะไรจะเกิดตามมา “...ไม่เอา ผมไม่ไหว ผมเจ็บ” คำพูดของคณิตหรือจะสู้ความต้องการที่ล้นทะลักภายในอกของอชิตะ

...สิ่งที่อชิตะต้องการไม่ใช่แค่ ‘ครอบครอง’ แต่ชายหนุ่มต้องการเป็น ‘เจ้าของ’ คนคนนี้ไปตลอดกาล ไม่มีอะไรที่คนอย่างเขาต้องการแล้วไม่เคยได้...

ลูกตาสีอ่อนต้านทานดวงตาเป็นประกายจัดจ้าบอกถึงความต้องการลึกซึ้งไม่ได้เลย รวมถึงกำลังที่มากกว่าที่ผลักดันให้แผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอนนุ่ม คณิตได้แต่มองการเคลื่อนไหวเชื่องช้าที่ไร้คำพูด ทว่าหนักแน่นทุกการกระทำอย่างไร้แรงต่อต้าน รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นและดำเนินไปไม่ต่างจากค่ำคืนที่ผ่านมา

ความแข็งแรงร้อนรุ่มส่งผ่านเข้ามาด้วยความอ่อนนุ่มทะนุถนอมเป็นครั้งแรก หอมหวานเสียจนลืมเลือนความเจ็บปวดของร่างกายไปสิ้น มือเล็กโอบกอดความกำยำที่เคลื่อนไหวดุจสายฝนในคืนที่ร้อนอบอ้าว...

*      *      *

วงหน้าขาวจัดดูสิ้นฤทธิ์ชวนให้หลงใหลเสียจริง อชิตะมองมันมานานเกือบชั่วโมงแล้ว หลังความต้องการถูกปลดปล่อย ความสุขสมล้นเอ่อในหัวใจ ร่างเล็กซุกซบอยู่ในอ้อมกอด ฝากศีรษะเล็กไว้ที่ท่อนแขนของเขา ไม่อยากให้ตื่นขึ้นมาเลย เพราะไม่อยากฟังคำพูดหยาบคายที่ระบายออกมาจากกลีบปากบางน่าจูบ นอกจากระคายหูแล้ว มันก็เจ็บแสบใช่น้อย

อชิตะระบายลมหายใจออกมาช้าๆ อย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงหนทางข้างหน้า ที่คงไม่ได้ง่ายนักและคงสาหัสเอาการ แต่เมื่อเลือกเดินเส้นทางนี้แล้ว มันก็ยากที่จะหันหลังกลับ ต่อให้เป็นเส้นทางที่ทอดยาวสู่เหวลึก เขาก็พร้อมจะก้าวลงไปจมอยู่ก้นเหวดำมืด และจะเอาคนคนนี้ไปด้วย ต่อให้ไม่เต็มใจก็ตาม เพราะเขามีวิธีจัดการ

ความคิดหยุดลงเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หน้าจอปรากฏรูปใบหน้าน่ารักระบายรอยยิ้มสดใส รับรู้ถึงแรงกดทับบางอย่างที่รุนแรง นี่กระมังเรื่องที่เขารับมือยากที่สุด แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องกล้าเผชิญหน้า ทำใจให้เข้มแข็งเพียงเพื่อจะยัดเยียดความเจ็บช้ำให้หัวใจดวงน้อยของคู่หมั้นสาว

ณัชชาไม่ได้ทำผิด...เพียงแต่หัวใจของเขา มันบัดซบ!

เมื่อกดรับสาย เสียงหวานใสดังผ่านเข้ามาให้ได้ยินเช่นทุกครั้ง คำพูดนั้นเจื้อยแจ้วน่าฟัง แต่ไม่ทำให้สุขใจได้อีกแล้ว

ข้อความที่จับได้คือ...ณัชชากลับก่อนกำหนด อยากตามมาหาเขาที่นี่! 

“หวาน...” เขาเรียกชื่อเธอแผ่วเบา นิ่งไปอึดใจถึงพูดต่อ “พี่ขอโทษ...เราเลิกกันเถอะ”

อีกฝ่ายคงคิดว่าฟังอะไรผิดไป ย้อนถามกลับมา เสียงหวานยังสดใสเช่นเดิม

“เลิกกันเถอะ” เขาจึงย้ำคำเดิม คนปลายสายเงียบไปพักใหญ่กว่าจะเปล่งถ้อยคำถามซ้ำย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป เสียงหวานเจือแรงสั่นหวิว หัวใจของเขากระตุก อยากเอาคำบอกเลิกคืนกลับมา ทว่าคนในอ้อมกอดทำให้หัวใจของเขาแข็งเป็นหิน โหดเหี้ยมและร้ายกาจ ไม่หวั่นไหวต่อเสียงสะอื้นไห้ของคนปลายสาย หัวใจบัดซบของเขา มันร้ายกาจเกินกว่าจะเชื่อว่า มันเคยรักผู้หญิงคนนี้มาเนิ่นนานเพียงแค่คนเดียว รักจนถึงขั้นจะร่วมชีวิตร่วมกัน

“พี่ขอโทษหวาน”

เขาฝากถ้อยคำโหดร้ายประโยคสุดท้ายให้อดีตคนรัก ก่อนตัดสายทิ้ง จบบทสนทนาเลวร้ายนี้ลง และปิดทุกการติดต่อด้วยการปิดเครื่อง เพียงเพราะว่าเขาขี้ขลาดเกินไปที่จะอธิบายเหตุผลทุกอย่างให้เธอฟังในเวลานี้

*** จบตอนที่ 11 ***
 :mew6:
เจอกันตอนที่ 12 วันที่ 4 นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 12 UP 04-05-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 04-05-2017 18:28:34
12

ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินยาวขนานไปกับพนังห้องนอนขนาดใหญ่ ภายในตู้ได้แบ่งปันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเสื้อผ้าของคนร่วมห้องคนใหม่ คนที่ชื่อคณิต ผู้ชายที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บเอาไว้ในชีวิต เป็นสมบัติที่มีชีวิต เป็นหัวใจ เป็นสิ่งมีค่า และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา และต่อให้เขาต้องทิ้งทุกคนในชีวิต คนคนเดียวที่จะไม่มีวันทิ้งเลยคือคณิต

อชิตะจะเรียกความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตัวเล็กผิวขาวว่า ‘ความรัก’ แม้เสียงบางอย่างจะกระซิบบอกว่าคือ ‘ความหลงใหลชั่ววูบ’ ก็ตาม   

อชิตะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตที่เพียบพร้อมแล้วทุกสิ่งอย่างของตน ชายหนุ่มวางอนาคตไว้อย่างสวยงามและมีขั้นตอนชัดเจน มีหนทางสว่างไสว เป็นไปตามความเหมาะสมตามสายตาคนรอบตัว แต่แล้ว ‘ค่ำคืนเดียว’ ได้ขยี้และขย้ำทิ้งทุกแผนการในชีวิตไปจนหมดสิ้น ที่เหลือในยามนี้คือเส้นทางมืดสลัวที่คล้ายจะเต็มไปด้วยปัญหามากมายที่รอคอยอยู่บนทางเดินข้างหน้า มิหนำซ้ำคนที่เขาฉุดกระชากลากถูให้ร่วมเดินทางมาด้วยกันก็แสนดื้อสุดชีวิต 

กว่าเขาจะเอาตัวคณิตกลับมาด้วยได้ เขาก็เจ็บตัวไม่น้อย ไม่ใช่จากมือหรือเท้าคนตัวเล็ก แต่เป็นทั้งมือและเท้าของชิตตะวันที่เล่นงานเขาตอนเผลอ ตอนที่เขาหลับอยู่บนเตียง และโอบกอดร่างของคณิตเอาไว้ด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้เป็นเจ้าของร่างกายเล็กนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเจ็บตัวที่คุ้มค่าไม่น้อยเลย อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าคณิตห่วงเขามากกว่าท่าทีที่แสดงออกมา หรือคำพูดที่ก่นด่าให้เขาปวดหัวใจจี๊ดๆ นับว่าเป็นเรื่องดีที่พอจะทำให้ยิ้มออกมาได้

พอเห็นเขาถูกชิตตะวันกระชากลงจากเตียง แล้วประเคนมัดและตีนให้ไมยั้งแรง คณิตก็ถลาจากเตียงลงมาห้าม กางปีกปกป้องเขาเต็มที่ แล้วยอมกลับมาพร้อมกับเขา แม้ตลอดทางจะไร้คำพูดต่อกัน มีเพียงความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องโดยสารที่มีเขาเป็นคนขับ แต่มันก็ให้ความรู้สึกว่าเขาเดินมาถูกทางแล้ว จากที่เห็นว่ามันมืดสนิท มองไม่เห็นปลายทาง สุดท้ายพระอาทิตย์ก็ทำงาน ขับไล่ราตรีกาลมืดมิดจนแตกกระจาย นำทางเขาไปสู่ปลายทางที่เห็นอยู่ไกลๆ รอวันไปถึง

ร่างสูงใหญ่ของอชิตะลุกขึ้นจากโซฟาเนื้อดีสีสดใส เมื่อมองออกไปเห็นท้องฟ้าถูกขึงครอบด้วยความมืดของค่ำคืน อาหารมื้อค่ำคงจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิดดังนั้นจึงก้าวเท้าออกจากห้อง เดินลงบันไดไปชั้นล่าง จุดหมายคือห้องทางปีกซ้ายของบ้าน

อชิตะเคาะประตูห้องสี่ห้าครั้ง ไม่มีมีเสียงตอบรับจากคนด้านใน ประตูถูกปิดล็อกไม่ให้คนนอกผ่านเข้าไป เขาจึงเดินย้อนกลับไปทางเดิม ตั้งใจจะเดินกลับไปหยิบกุญแจสำรอง ทว่าสาวใช้วัยยี่สิบหมาดๆ ที่คงรู้ว่าเขาต้องการเจอใคร เอ่ยบอกกับเขาว่า

“คุณหนึ่งอยู่ที่สระค่ะ” เมื่อนายจ้างพยักหน้ารับรู้แล้ว หญิงสาวก็เดินเลี่ยงไปในครัว ช่วยผู้เป็นป้าและเพื่อนคนใช้วัยเดียวกันจัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อค่ำของนายจ้างและแขกประจำของบ้าน

เจ้าของบ้านเปลี่ยนจุดหมายไปที่สระว่ายน้ำที่ถูกโอบล้อมด้วยตัวบ้านรูปตัว ‘U’ สระว่ายน้ำที่ไม่ได้มีอยู่ในแผนการก่อสร้างเรือนหอของตน แรกเดิมทีนั้นอชิตะตั้งใจจะปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาและสีเขียวชุ่มตา สร้างบ้านหลังเล็กหลายหลังให้นกตัวน้อยมาอาศัยพักกาย แต่ต้องเปลี่ยนจากแนวต้นไม้สีเขียวเป็นสระว่ายน้ำสีฟ้า สถานที่แหวกว่ายของลูกน้องคนสนิท ที่บัดนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นคนร่วมอนาคตของเขาไปเสียแล้ว และอย่างไม่เต็มใจนัก

แต่ใช่ว่าเขาจะต้องสนใจว่าคณิตจะยินยอมพร้อมใจหรือปฏิเสธเสียงกร้าวด้วยคำหยาบคายที่ระคายหูจนคันยิบ ๆ ในเมื่อเขาต้องการสิ่งใด ย่อมได้มาซึ่งสิ่งนั้น...

คิดมาถึงตรงนี้ก็มาถึงสระน้ำที่ร่างเล็กกำลังดำผุดดำว่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายบอบบางยังคงเป็นชุดเดิมที่เขาเป็นคนใส่ให้ 

อชิตะหย่อนตัวลงบนนั่งเก้าอี้ริมสระ ตัวที่ใกล้กับประตูระเบียงห้องของคณิต ฝากสายตาไว้กับร่างเล็กที่คงเห็นเขาแล้ว แต่ทำไม่สนใจ

หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนเกิดความสัมพันธ์ที่รัดแน่นจนดิ้นไม่หลุดนี้ คณิตคงได้ขึ้นจากสระแล้วมาลากตัวนายจ้างอย่างเขาลงสระด้วยกัน โดยไม่สนใจว่าเขาจะปฏิเสธเสียงแข็งเพียงไร เขาก็สู้แรงดื้อดึงและเซ้าซี้ของคณิตไม่ได้ จนต้องกระโดดลงสระให้อีกฝ่ายพอใจ แต่เมื่อความสัมพันธ์ได้ผิดเพี้ยนไปหมด ทุกอย่างจึงไม่เป็นเช่นวันวานที่คุ้นเคย

หน่วยตาเรียวเล็กตวัดมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งปักหลักอย่างรอคอยแล้วนึกโมโห ความกรุ่นโกรธในอารมณ์กลับมาอีกครั้ง เหนี่ยวนำให้จมดิ่งไปยังก้นบึ้งอันสับสนและถาโถมด้วยความรู้สึกผิดเหมือนฤดูฝนที่ไม่มีวันจางเม็ดน้ำบนผืนฟ้ากว้างสีเทาทะมึน มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ พร้อมเสียงคำรามลั่น

คำ ‘บอกเลิก’ ว่าที่เจ้าสาวเมื่อค่ำคืนที่ผ่านพ้นมาของอชิตะ เขาได้ยินชัดเต็มสองหู อชิตะคงคิดว่าเขาหลับและไม่ได้ยินคำพูดที่ปราศจากความรับผิดชอบของเจ้าตัว แต่เขาได้ยิน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงร้องไห้ของคนปลายสาย มันลอยมาให้ได้ยิน ดังเบาแต่ก็ตอกลึกและทำให้รู้สึกผิดอย่างรุนแรง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า....เขามีส่วน เขาคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยน

คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องถอนใจเฮือกใหญ่ คณิตทิ้งความสนุกสนานที่กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่เจ้าของบ้านจะโผล่หน้ามาให้เห็น ด้วยการปีนขึ้นจากสระ เดินกลับเข้าห้องของตนผ่านทางระเบียงห้อง หางตาพอจะเห็นร่างสูงใหญ่ลุกตามมาด้วย คร้านจะหันไปห้ามหรือสั่งไม่ให้ตามเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขา ในเมื่อรู้แน่แก่ใจแล้วว่าจะเอาอะไรไปห้ามอชิตะได้ ก็มันบ้านของอชิตะ ต่อให้เขาล็อกห้องนอน ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ เชื่อว่ากุญแจสำรองก็ทำให้ทุกความเป็นส่วนตัวของเขาสิ้นสุดลงได้เพียงนาทีเดียว

คณิตหยิบเสื้อและกางเกงออกมาจากตู้ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนชุด ส่วนเสื้อผ้าที่ถูกบังคับให้ไปเก็บจนเกลี้ยงตู้ในห้องคอนโดฯ ของเขานั้น ถูกขนขึ้นไปเก็บไว้ในห้องของอชิตะหมดแล้ว เขาเบื่อที่จะต่อสู้กับความบ้าอำนาจของอชิตะ ยิ่งหนีก็เหมือนยิ่งทำให้อชิตะอยากเอาชนะ ดังนั้น เขาจะลองไหลไปตามน้ำเชี่ยวครั้งนี้ดู อชิตะอยากทำอะไร ต้องการอะไรจากเขา เขาจะไม่ดื้อ ไม่ขัดขืน บางทีอาจจะทำให้อชิตะหายบ้าและกลับมาเป็นคนเดิม เดินทางเดิม ใช้ชีวิตปกติ แต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่น ดังเช่นที่เจ้าตัวคิดทำมาตลอด...

นายจ้างหนุ่มของเขาเคยเล่าถึงแผนการในชีวิตและครอบครัวในฝัน ที่พร้อมหน้าด้วยพ่อแม่และลูกชายลูกสาว รวมกันแล้วน่าจะสี่คน ซึ่งเขายังเคยยุให้มีสักหกคนไปเลย เพราะด้วยฐานะของอชิตะแล้ว การเลี้ยงลูกหกคนให้มีชีวิตที่สุขสบายไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากเจ้าตัวจะมีบริษัทที่เติบโตขึ้นทุกวัน สมบัติของตระกูลใหญ่ทั้งฝั่งบิดาและมารดาของอชิตะก็มากเสียจนใช้ได้ทะลุสิบชาติเลยกระมัง แล้วรวมสมบัติของภรรยาในอนาคตอย่างณัชชาอีกเล่า...ลูกสาวคนเดียว หลานสาวคนเดียวของตระกูลผู้ดีเก่าแก่
ส่วนหัวใจของเขา ความรู้สึกลึกลับที่ไม่กล้าเผยออกมา มันจะยังคงเป็นความลับต่อไป ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่แสดงออกมาประจานความเลวร้ายของตัวเองเด็ดขาด ก็คงต้องใช้สมองให้ทำงานหนักยิ่งขึ้น

เมื่อกลับออกมาจากห้องน้ำ คณิตพบว่าห้องถูกปิดมิดชิดด้วยผ้าม่านผืนหนาหนักสีน้ำเงินเข้ม แสงสว่างเพียงอย่างเดียวในห้องคือแสงจากโคมไฟเหนือเตียงนอนขนาดกลาง ร่างสูงใหญ่ของอชิตะนั่งอยู่ตรงขอบเตียงอย่างรอคอย ก่อนจะลุกเดินตรงมาที่เขาด้วยตานัยน์ตามีความหมาย ไม่ยากเกินจะรู้ว่าอชิตะต้องการสิ่งใดจากเขา

มือใหญ่เกี่ยวเอวเล็กให้เข้าใกล้ สร้างความแนบแน่นที่ปรารถนา โอบนำทางไปยังเตียงนอนนุ่ม บังคับให้ร่างเล็กกว่าทิ้งตัวลงนอนแล้วตามไปคร่อมทับ 

อชิตะปรารถนาเกินกว่าจะหักห้ามใจ ร่างกายขาวจัดและหอมสะอาดชวนให้หลงใหล เขาไม่เคยมีความต้องการที่มากมายเช่นนี้มาก่อน

อยากกกกอด...

อยากกลืนกิน...

อยากเก็บไว้ข้างกายตลอดไป...

กว่าช่วงเวลาสุขสมแสนเร่าร้อนปนหมองไหม้จะสิ้นสุด คณิตก็อ่อนแรงเกินกว่าจะลุกไปไกลจากเตียงนอนยับย่นเสียแล้ว ความหิวกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมเลือน เปลือกตาบางปิดลง แต่ไม่นานก็ถูกกระชากให้เปิดกว้าง จากแรงขยับเขยื้อนของคนร่วมเตียง หนุ่มร่างเล็กค้อนจนตาเหลือก สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือรอยยิ้ม รสจูบ และท่วงทำนองที่ถูกบังคับให้ต้องร่วมมือไปจนสุดทางรัก

*      *      *

กรอบดวงตาที่บวมช้ำของคนตรงหน้าฟ้องความบอบช้ำจากหัวใจที่แตกสลาย ความรักความเอ็นดูนั้นยังคงมีให้ ทว่าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“หนึ่ง...หรือคะ” หญิงสาวทวนชื่อนั้นซ้ำ เผื่อว่าเธอจะฟังผิดไป แต่ไม่ใช่ เมื่อใบหน้าเข้มขรึมให้คำตอบได้เป็นอย่างดี

อชิตะบอกกับเธอว่า คนที่ทำให้หัวใจเขาเปลี่ยนไปคือคณิต ชายหนุ่มที่สูงกว่าเธอไปไม่มาก ตัวขาว ตาเล็ก คนที่เธอมองว่าเป็นทั้งลูกน้องและน้องชายของอชิตะ ทำไมเกิดเรื่องเช่นนี้ได้

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะพี่อิง” ทำไมเธอถึงไม่ระแคะระคายมาก่อน ที่เห็นและที่รู้คือคณิตเลิกกับญาดาเพราะความห่างไกล เนื่องจากอีกฝ่ายกลับไปช่วยกิจการครอบครัวที่จังหวัดทางเหนือ ส่วนคนรักของเธอ ตลอดเวลาเธอเห็นแค่ว่าเขาเอ็นดูคณิตเหมือนน้อง หรือว่าในสิ่งที่เธอไม่เคยรู้คือความใกล้ชิดที่เธอมองไม่เห็น และมองไปไม่ถึงมัน

อชิตะผ่อนลมหายใจยาว ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถึงทำให้วิ่งออกนอกเส้นทางจนสุดกู่อย่างนี้ หรือทำไมหัวใจถึงได้พลิกตลบได้เพียงนี้ เวลาผ่านไปนานหลายนาที กว่าจะหลุดคำตอบออกมาอย่างนุ่นนวล ถนอมหัวใจคนฟังไม่ให้เจ็บปวดต่อถ้อยคำจากปากเขาไปมากกว่าที่เป็น

“พี่ทำร้ายหนึ่ง และพี่ต้องรับผิดชอบเขา” อชิตะยังไม่อยากทำร้ายหัวใจคนฟัง จึงไม่บอกความจริงที่ว่า การทำร้ายแท้จริงคือความรัก ความปรารถนาจะครอบครอง กักเก็บไว้ให้เป็นสมบัติล้ำค่าของตนเพียงผู้เดียว   

“แล้วหวานล่ะคะ งานแต่งของเราล่ะ อนาคตของเราสองคนอีก พี่อิงไม่อยากรับผิดชอบแล้วหรือคะ” เธอทวงถาม เผื่อว่าเขาจะหลงลืม เผื่อว่าเขาจะจำได้ว่าร่วมฝันกันมานานเท่าไหร่แล้ว เผื่อว่าจะจำไม่ได้ว่าพร่ำบอกคำรักกันมากมายเท่าไหร่

สายน้ำตาไหลริน เมื่อคำตอบคือสายตาที่จริงจังจงน่ากลัว กลัวว่าจะไม่หลงเหลือความรักใดในห้วงหัวใจของอชิตะอีกแล้ว ณัชชาได้ยินเพียงเสียงความเงียบเป็นคำตอบ อาหารบนโต๊ะไร้ความหมาย ไม่ต่างจากตัวเธอที่กำลังไร้ความหมายในสายตาคนรัก ซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตคนรัก

“พี่ขอโทษ” อชิตะยังหาคำที่ดีกว่านี้มาเช็ดน้ำตาหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ได้ 

“เปลี่ยนคำขอโทษเป็นการกลับมาได้พี่อิง กลับมาสร้างอนาคตกับหวานเหมือนเดิม” ภาวนาขอให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ไม่สำเร็จ คำตอบยังคงสร้างความปวดร้าวใจให้เธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“พี่รักหนึ่ง และพี่คงเลิกรักเขาไม่ได้”

“แต่เลิกรักหวานได้” ถามกลับทันควัน เจ็บร้าวในหัวใจ คนถูกถามถึงกับสะอึก เบนสายตาหนี ก่อนจะดึงกลับมายังใบหน้าของเธออีกครั้ง เพื่อบอกเล่าความรู้สึกของตน โดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว ในหัวของพี่ตอนนี้มีแต่เรื่องของหนึ่ง พี่มีแต่คำถามดังซ้ำซากว่าจะทำยังไงให้หนึ่งรักพี่ เหมือนที่พี่รักเขา รู้สึกเหมือนที่พี่รู้สึกกับเขา เลิกดื้อ เลิกพยศ เลิกมองพี่ด้วยสายตาเกลียดชัง” อชิตะบอกเสียงเบาเจือจางด้วยความเศร้าสร้อยในแบบที่ณัชชาไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน


วูบหนึ่งที่ณัชชาเกิดความรู้สึกเห็นใจปนสงสาร แล้วปัดมันออกไป เธอควรสงสารตัวเธอเองมากกว่าไม่ใช่หรือไง เธอกำลังถูกทิ้ง ไม่ใช่คนที่ถูกรักอีกต่อไป

“ในเมื่อหนึ่งไม่รักพี่อิง แล้วทำไมพี่อิงต้องรักหนึ่งด้วย” เธอถามเพื่อย้ำเตือน เพื่อทวงความรักกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง อชิตะอาจสับสน เธอต้องดึงเขากลับมาให้ได้ ณัชชาเอื้อมไปจับมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ บีบกระชับ นำพาสู่ความฝันที่มีร่วมกัน

“หวานอยากให้พี่อิงจำให้ได้ว่าเราสองคนรักกันมากขนาดไหน อยากให้พี่อิงจำได้ว่าเคยพูดกับหวานว่าเราจะมีลูกด้วยกันสี่คน ผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน หวานจำความฝันของเราสองคนได้ไม่ลืม และอยากให้ทุกอย่างที่เราฝันร่วมกันเป็นความจริง...ได้ไหมพี่อิง”

อชิตะสบตาคู่หวานของณัชชา ถ้อยคำนั้นดึงเขากลับไปสู่วันวาน ความรัก อ้อมกอด ความฝัน ทุกอย่างชัดเจน...บ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ มีห้องนอนหลายห้อง สร้างขึ้นมาเพื่อลูกชายลูกสาวในอนาคต ลูกของเขากับณัชชา บ้านทรงเหลี่ยมปูนเปลือยที่อีกไม่นานจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ เด็กที่เป็นลูกของเขากับเธอ

แต่แล้ว...สระว่ายใต้แสงนวลของจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า ยามค่ำคืนเงียบสงัด เสียงร่างหนึ่งโดดลงไปแหวกว่าย ก่อนฉุดดึงให้เขาร่วมสร้างรอยจูบแรกด้วยกัน จูบที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ภาพความฝันระหว่างเขากับณิชชาเลือนหาย เสียงหัวเราะของเด็กผู้ชายผู้หญิงถูกแทนที่ด้วยดวงตาเรียวเล็กแดงก่ำฉ่ำน้ำตาที่ตวัดมองมาอย่างแค้นเคือง แต่ก็ดึงดูดและอยากเอาชนะให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม เขาอยากเปลี่ยนดวงตาคู่นั้นให้กลายเป็นดวงตาพร่างพรายด้วยความรักอัดแน่น ให้ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาเพียงคนเดียว มองมาด้วยความรักอย่างหมดหัวใจ

เวลานี้อชิตะไม่ต้องการอนาคตใดอีก เขาต้องการเพียงปัจจุบัน!

อชิตะเพิ่งรู้จักตัวเองก็วันนี้เอง ว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด

“หวาน...พี่ขอโทษ ขอโทษที่พี่ลืมมันไปหมดแล้ว”

*      *      *

เพียงแค่ทรุดตัวลงนั่ง คนที่นั่งจับจองเป็นเจ้าของเก้าอี้ภายในสวนหลังบ้านยามเวลาใกล้ค่ำก็ลุกยืน เตรียมจะเดินหนีทันที

“อยู่ด้วยกันก่อน” อชิตะคว้าข้อมือเล็กไว้ ดึงกลับให้นั่งลงที่เดิม ข้างตัวเขา อีกฝ่ายบิดข้อมือหนี แต่ไร้ทางหนีจากมือที่กำรอบข้อมือของตนได้ “เลิกพยศซะทีได้ไหมหนึ่ง”

คณิตหันขวับมาค้อน ดวงตาเรียวเล็กขุ่นจัด อชิตะด่าเขาว่า ‘พยศ’ ยัดเยียดความเป็นผู้หญิงให้เขามากเกินไปแล้วนะ
พยศบ้าพยศบออะไรล่ะ ที่ทำทั้งหมดคือการแสดงอาการทางร่างกายว่ารังเกียจต่างหาก พยศตรงไหนไม่ทราบ คณิตนึกโมโห คำว่า ‘พยศ’ มันเหมาะกับผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายอย่างเขาสักนิด

“งั้นคุณก็ควรเลิกยุ่งกับซะที ปล่อยผมไป เลิกแล้วต่อกัน!” เลิกข่มเหงร่างกายผมด้วย คณิตต่อมันในใจ 

“เราสองคนมาถึงขั้นนี้กันแล้วนะหนึ่ง มันได้เวลาหันหน้ามาคุยกันจริงจังได้แล้ว ว่าจะเอายังไงต่อไป” เขาจ้องวงหน้าขาวจัด แววตาเขียวขุ่นต่อต้านคำพูดของเขาฉับพลัน อชิตะพยายามใจเย็น ข่มความรู้สึกที่อยากกระชากเอาคนตัวเล็กเข้ามากอดและบดจูบจนสิ้นฤทธิ์เดช สิ้นพยศซะที

“คุณถามผมใช่ไหม หรือแค่อยากให้ผมอยู่นิ่งๆ ฟังคุณตัดสินใจเอาเอง ว่าจะทำยังไงกับชีวิตของผม ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของผมเลย”

“พูดผิดพูดใหม่ได้นะหนึ่ง ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ์ในตัวคุณ” เสียงเข้มขึ้นมาทันที กรอบหน้ายิ่งเข้มยิ่งกว่า แรงบีบที่มือก็เพิ่มมากขึ้น ทำไมอชิตะจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของร่างกายน่าหลงใหลนี้แล้ว ประทับตราจับจ้องด้วยแรงกระแทกไปไม่รู้กี่ครั้ง เจ้าตัวครางเสียงหวานให้เขาฟังไม่รู้กี่หน 

“เพราะคุณไม่ใช่พ่อใช่แม่ผมไง คุณมันก็แค่...” เรียวปากเล็กเม้มแน่น กักคำที่เหลือไว้ เพราะมันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมา

“แค่อะไร?” เขาลดแรงบีบข้อมือเล็กลง “ไหนพูดมาสิ ว่าแค่อะไร” เขาถามซ้ำเมื่อยังไม่ได้คำตอบ

“แค่...คนที่ข่มขืนผม”...หลายครั้ง!

“ผมยอมรับว่าข่มขืนคุณ...แต่หลายๆ ครั้งคุณก็สมยอม” วงหน้าเข้มปรากฏว่ามีรอยยิ้มพึงพอใจ วูบหนึ่งมันได้พาอชิตะกลับไปบนเตียงนุ่ม และสัมผัสลึกซึ้งที่ชักชวนให้เขาด่ำดิ่งลุ่มหลงไปในห้วงเสน่หาไม่รู้จบสิ้น นั่นเพราะร่างกายที่ออดอ้อนตัวตนของเขาให้บ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา โดยที่เจ้าของมันไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิด   

ดวงตาสีอ่อนเป็นประกายจัดจ้าแทบจะทันที นึกด่าคนพูดในใจว่า ทำไมต้องย้ำว่า ‘หลาย ๆ ครั้ง’ และ ‘สมยอม’ ด้วย!

“แล้วคุณก็ต้องยอมรับด้วยนะหนึ่ง ว่าหลังจากการข่มขืนเกิดขึ้นและคุณสมยอมผมไปแล้ว คุณก็คือ ‘เมีย’ ของผม นั่นแสดงว่า ผมมีสิทธิ์ในตัวคุณโดยปริยาย”

ตรรกะแย่ที่สุดในโลก! คณิตก่นด่าในใจ ขณะเดียวกันก็อับอายจนพูดไม่ออก รู้สึกว่าร่างกายกำลังมีปฏิกิริยากับคำเรียกขาน ตอกย้ำสถานะบางอย่างให้แก่เขา

‘เมีย’

คำๆ นี้เขาเคยเอ่ยล้อถึงสีฟ้า ผู้ชายซึ่งเป็นคนรักของเพื่อนสนิทเขา แต่พอโดนเข้าเองกับตัว รู้แล้วว่ามันสร้างความรู้สึกอย่างไรให้กับคนที่ถูกเรียก

...รู้สึกเหมือนร่างกายของเขาถูกครอบครอง ตีตราเป็นเจ้าของ และไม่มีทางที่จะหนีพ้นสถานะที่ถูกยัดเยียดให้นี้ไปได้ นอกจากหนีไม่พ้น ยังต้องอยู่ภายใต้บทบาทของผู้หญิงไปตลอดทั้งชีวิต เพราะเขาคงไม่มีหน้าและเอาร่างกายของตัวเองไปหา ‘เมีย’ ที่ไหนได้อีกแล้ว!

“แล้วคุณหวานล่ะ” อย่างน้อยก็เอาความจริงฟาดหน้าอชิตะให้สำนึกบ้าง เผื่อว่าเขาจะหลุดพ้นจากคำว่าเมียของอชิตะไปได้ “คุณเอาเธอที่เป็นเมียคุณไปไว้ที่ไหน” อชิตะกำลังจะแต่งงานกับณัชชา ผู้หญิงที่คบกันมายาวนานมาก และความยาวนานนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากความสัมพันธ์ทางใจแล้ว มันต้องมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้นแน่ 

ดวงตาสีเข้มจัดหรี่มองเจ้าของคำถาม ริมฝีปากหนายกยิ้มในท่วงท่าน่าหมั่นไส้สำหรับคนมอง อชิตะรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ในอดีต เขารู้จักหักห้ามใจ หักห้ามความต้องการของตัวเอง ไม่อ้อนขอเอาอะไรจากอดีตคู่หมั้น นอกจากจูบบ้างในบางครั้ง เกินเลยกว่านี้ไม่มีเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว

วันนี้เขาถึงกล้าพูดได้เต็มปากกับคณิตว่า

“หวานไม่ใช่เมียเป็นแค่คู่หมั้น ไม่ใช่สิ อดีตคู่หมั้น” ยักคิ้วตอบ พร้อมยกมือข้างซ้ายโชว์ว่าไร้แหวนหมั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

“ผมไม่เชื่อหรอก คุณก็พูดเพื่อผลักภาระให้พ้นตัว ทิ้งให้ผู้หญิงที่คุณได้ตัวเธอไปแล้ว ต้องจมอยู่กับอดีตและตราบาปที่คุณสร้างไว้ในชีวิตเธอ” คณิตมองอชิตะด้วยแววตาโกรธแค้นแทนผู้หญิงที่ถูกทิ้ง เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าอชิตะไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับณัชชา

จากประสบการณ์ที่...เอ่อ...โธ่โอ๊ย! แค่คิด ทำไมต้องรู้สึกอายด้วยวะไอ้หนึ่ง หยุดอายได้แล้ว คิดให้ได้สิวะ ว่าพฤติกรรมบ้าเรื่องบนเตียงของอชิตะ มันรุนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการมากขนาดไหน ไม่มีทางเสียหรอกที่จะอยู่ใกล้ชิดณัชชาแล้วไม่มีเรื่องบนเตียงเกิดขึ้น ที่บอกว่าไม่ใช่เมีย ก็แค่หนีความเลวของตัวเองเท่านั้นแหละ!

“ผมไม่ได้ขอร้องให้คุณเชื่อนะหนึ่ง ผมแค่บอกให้คุณรู้ ว่าวันนี้ผมมีคุณเป็นเมียคนเดียวเท่านั้น  และคุณต้องเป็นเมียผมคนเดียวด้วยเช่นกัน แล้วต่อจากนี้ไป เราสองคนจะมีอนาคตร่วมกัน” ชายหนุ่มเน้นชัดทุกถ้อยคำ ไม่ใยดีต่อใบหน้าที่สะบัดหนี หลังจากทิ้งเสียงขัดเคืองใจไว้ว่า

“อนาคตของคุณคนเดียวนะสิ มันไม่อนาคตของผม”
 
*      *      *

แต่ทำไมเล่า อนาคตในวันรุ่งขึ้นของคณิต ถึงถูกกักขังไว้ภายในบริเวณบ้านอันเป็นเรือนหอของอชิตะด้วยนะ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านไปทำงานแต่เช้า ดับช่องทางการหนีของเขาด้วยเวรยามที่เข้มงวดและหนาแน่น รวมกันได้ห้าชีวิต!
แม่บ้านซึ่งเป็นสตรีวัยห้าสิบปี แว่วว่าเป็นพี่เลี้ยงของอชิตะ

สาวใช้น้อยวัยกว่าเขาอีกสองคน ทั้งสองสลับกันยื่นหน้ามาให้เขาเห็นทุกสิบนาที

และอีกสองคนคือชายวัยสามสิบปลายๆ ทั้งสองคน คนหนึ่งคือยามรักษาความปลอดภัย อีกคนคือคนขับรถของอชิตะ ที่เปลี่ยนงานจากคนขับรถมาเป็นยามคู่กับเพื่อนซี้เฝ้าประตูหน้าบ้าน และเดินตระเวนรอบๆ บ้าน ปกป้องการหนีของเขาทุกหนทาง!
ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย กลัวเขาหนีนักหรือไง

ใช่สิ! เขาคิดจะหนีไปจากบ้านหลังนี้เหมือนกัน เพราะทนเรื่องบนเตียงกับอชิตะไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนเขาต้องสิ้นแรงเพราะ ‘พ่อม้าคึกคัก’ ไล่ต้อนดูดเอาทุกเรี่ยวแรงไปจากเขา ด้วยบทรักเร่าร้อนที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ไม่เคยเกรงใจหรือถนอมร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย เสียงครางทุ้มกระหึ่มสุขสมอารมณ์หมายที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหนาอย่างไม่นึกอายคนฟัง จนเขาอยากตัดหูตัวเองทิ้งซะเดี๋ยวนั้นเลย จะได้ไม่ต้องฟังเสียงครางของคนมักมากในกามอีกต่อไป

ส่วนตัวเขา...ไม่รู้! เพราะไม่มีคำบรรยายใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยอับอายเกินกว่าจะนึกย้อนไปถึงร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง เสียงที่ผิดเพี้ยนจนไม่อยากเชื่อว่าจะออกมาจากปากของเขา ราวกับไม่ใช่เสียงของเขาที่ครางอย่างสิ้นอาย มันน่าอาย ขายขี้หน้า และเรียกคำชื่นชมจากอชิตะตลอดทั้งคืน

‘ผมชอบ เอาอีกหนึ่ง’

‘อย่าเก็บมันไว้หนึ่ง ร้องดังๆ’

‘ไม่ต้องอาย เต็มที่ครับคนเก่ง’

‘นั่นแหละหนึ่ง ดีมาก’

‘ชอบใช่ไหม ถูกใจใช่ไหม’

‘เรียกชื่อผมสิหนึ่ง...เรียก’

ถ้อยคำเหล่านี้ดังซ้ำซาก ไม่ต่างจากเสียงครางทุ้มกระหึ่มที่เขาไม่อยากได้ยินเอาซะเลย   

แล้วใครมันจะอดทนอดกลั้นปิดปากเงียบไม่ส่งเสียงร้องสักแอะได้เล่า ในเมื่อท่วงท่าแสนคึกคักไม่เคยหยุดหย่อนที่จะโหมแรงใส่เขา มิหนำซ้ำตัวตนแสนร้ายกาจของอชิตะก็ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยที่เห็นแล้วจะหัวเราะเยาะได้ มีแต่ทำให้กลืนน้ำลายลงด้วยความรู้สึกกลัวปนไปกับความอับอายที่ต้องใช้ช่องทางคับแคบของตัวเองรับมันเข้าไป เมื่อก่อนเข้าห้องน้ำด้วยกันออกบ่อย ยามที่กอดคอกันเที่ยวดื่มกิน เคยเห็นผ่านตาแล้วก็นึกแอบอิจฉาเล็กๆ ว่าทำไมถึงเป็นผู้ชายที่โชคดีอย่างนี้ ทั้งรวยมหาศาล สติปัญญาเป็นเลิศ หน้าตาดีเว่อร์ ผิวเข้มสมกับเป็นผู้ชาย กล้ามใหญ่ ร่างกำยำ สูงสง่า และน้องชายตัวน้อยก็ไม่ได้น้อยเลยสักนิด นั่นแหละ แตกต่างกับเขาแบบสุดขั้ว เขาที่ถ้ายยืนคู่กับอชิตะก็ต้องถูกมองว่า ‘เตี้ย’ ไปทันที     

คณิตทิ้งตัวลงนั่งข้างสระน้ำ จุ่มปลายเท้าลงไปในน้ำเย็น นี่ก็เกือบสามโมงแล้ว

หากถามว่าทั่วทั้งบริเวณบ้านหลังใหญ่ เขาเกลียดสถานที่ใดมากที่สุด คงตอบได้ว่าเตียงนอนในห้องของอชิตะ รวมเตียงนอนในห้องเขาด้วย

หากถามอีกว่าแล้วสถานที่แห่งใดที่เขาชอบมากที่สุด ตอบได้เลยว่าสระน้ำสีฟ้ากระจ่างตาใสสะอาดนี้กระมัง ทั้งที่ควรเกลียดมันมากที่สุด เพราะมันทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาในชีวิตเขานับ ตั้งแต่คืนนั้น

แต่เขาควรโทษตัวเองมากกว่าโทษสระน้ำที่ไร้ชีวิต ไร้ความคิด ไม่ใช่หรือไง โทษตัวเองเถอะคณิตที่งี่เง่า ไร้ความคิด ตั้งคำถามอะไรไม่เข้าท่าจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา

ชายหนุ่มร่างเล็กถอนใจทิ้งเฮือกใหญ่ โทรศัพท์ก็ไม่มี เพราะถูกอชิตะยึดไปแล้ว หน่วยความจำในสมองก็ไม่เคยบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของใครไว้เลย แม้แต่ครอบครัว ก็ใครใช้ให้สมาร์ตโฟนมันทำหน้าที่ได้มหัศจรรย์อย่างนั้นเล่า แต่พอมันแปรพักตร์ตกไปอยู่ในมือของไอ้บ้าเซ็กซ์อย่างอชิตะ เขาก็เหมือนตกไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า ‘คุก’ และมีผู้คุมถึงห้าคน

ทว่าปาฏิหาริย์เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ทุกเวลาไม่ใช่หรือไง อย่างเช่นเวลานี้ที่รถคันเล็กสีขาวกำลังเลี้ยวผ่านประตูรั้วเข้ามา

รถคันเล็กจอดสนิท ก่อนประตูฝั่งคนขับจะเปิดออก พร้อมเจ้าของรถที่ก้าวลงมาและเดินตรงมาหาเขาทันที ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนขึ้น...ใบหน้าสวยน่ารักซีดขาวและอมทุกข์ ขอบตาบวมเต่งและแดงก่ำบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาหนักขนาดไหน 

“หนึ่ง”

“คุณหวาน”


*** จบตอนที่ 12 ***
  :mew2:
เจอกันตอนที่ 13 วันที่ 6 นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 13 UP 06-05-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 06-05-2017 19:35:26
13
“หวานอยากรู้...หนึ่งกับพี่อิงรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงที่เคยสดใสเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวที่คณิตนั่งมาด้วยในรถคันเล็กที่แล่นไปตามถนนสายหลักสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ เสียงของณัชชาแหบแห้งและสั่นพร่าจากแรงสะอื้นภายใน ดวงตาสดใสก็อับแสงและแดงก่ำ บวมช้ำ บ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เพราะผู้ชายเฮงซวย! ...สองคน
“ผมเป็นผู้ชายนะครับคุณหวาน” คณิตตอบไม่เต็มเสียง ด้วยไม่รู้ว่าอชิตะที่ไม่ชอบอ้อมค้อม พูดตรงประเด็นตลอดตามนิสัยคนมีอำนาจ จะบอกณัชชาเกี่ยวกับตัวเขาและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
ความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว และไร้ทางออกที่สวยงาม...
“ลมกับตินยังรักกันได้ ทั้งสองคนก็ผู้ชายเหมือนกัน” สุ้มเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยแย้งเหมือนอยากได้คำตอบที่ดีกว่านั้น ในใจของณัชชาปวดร้าวที่สุดในชีวิต อยากยอมแพ้ แต่ก็ไม่อยากสูญเสียคนรักไป
“นั่นไอ้ตินกับคุณลมครับ แต่ไม่ใช่ผมแน่ครับคุณหวาน” เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าอมทุกข์นิดหนึ่ง ก่อนกลั้นใจถามออกไป “เอ่อ...บอสพูดอะไรกับคุณหวานครับ” เขาได้ยินอชิตะบอกเลิกณัชชาทางโทรศัพท์ และก็รู้อีกว่าอชิตะไปเจอหญิงสาวอีกครั้งเมื่อวาน เหตุการณ์พบกันเมื่อวานนั่นแหละที่เขาไม่รู้ว่าอชิตะพูดอะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง ไม่รู้ใส่ร้ายว่าเขารักเจ้าตัวหรือเปล่า และหน้าด้านย้ายมาอยู่บ้านหลังที่ปลูกสร้างเพื่อเป็นเรือนหอของคนทั้งคู่ บ้านที่ควรมีพ่อแม่และลูกๆ อีกสี่คน บ้านที่เป็นครอบครัวอบอุ่น สมบูรณ์แบบ 
“พี่อิงบอกว่าเขาทำร้ายหนึ่งและต้องรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำ”
รับผิดชอบงั้นหรือ?
โธ่โว้ย! เขาไม่เห็นอยากให้รับผิดชอบเลยสักนิด อยากรับผิดชอบนักทำไมไม่รับผิดชอบว่าที่เจ้าสาวของตัวเองล่ะ ฟันแล้วทิ้ง เบื่อแล้วจากอย่างนั้นหรือไง 
“...เขารักหนึ่งและอยากให้หนึ่งรักเขา”
ฝันไปเถอะ! เขาไม่มีวันแสดงออกมาหรอกว่ารักอชิตะ ต่อให้เขารู้สึกกับอชิตะมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เขาตกหลุมรักอชิตะจนโง่หัวไม่ขึ้น เขาก็ไม่มีวันบอกว่าเขารักอชิตะเด็ดขาด
มันไม่ควร! ไม่ควรที่เขาจะรักอชิตะ ต่อให้เขาห้ามหัวใจแสนอ่อนแอของตัวเองไม่ได้ก็ตาม แต่เชื่อเถอะ คนอย่างคณิตห้ามปากของตัวเองได้อยู่แล้ว
“ผมไม่มีวันรักคุณอิงครับ” น้ำเสียงจริงจังเพื่อฝังกลบความรู้สึกที่น่าอับอายและขายหน้า แต่ประโยคต่อมานี่สิ เสียงกับแผ่วลง เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปอย่างที่พูดปลอบหญิงสาวที่กำลังขับพาเขาไปยังจุดหมายที่เขาต้องการหรือเปล่า “ส่วนคุณอิง...เอ่อ...ผมคิดว่าอีกไม่นานก็คงหายบ้าแล้วละครับ” เขาคิดว่าตอนนี้อชิตะกำลังบ้าถึงขีดสุด เหมือนคนที่ได้ลิ้มชิมรสชาติแปลกใหม่ ต่างไปจากเดิม ถึงได้หลงมัวเมา แต่ไม่นานหรอกเขาเชื่อว่าอชิตะจะกลับมาเป็นผู้ชายเต็มตัว เพราะจากที่เคยกินเที่ยวกับอชิตะมา เขาไม่เคยเห็นอชิตะมีรสนิยมชื่นชอบร่างกายผู้ชายเลย เคยมีผู้ชายหน้าหวานหน้าหล่อเยอะพอสมควรที่เดินมาแสดงท่าทีว่าสนใจอชิตะ แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธกลับไปอย่างนุ่มนวลเสียทุกครั้ง ไม่เคยเห็นตอบรับความสัมพันธ์และเอาเป็นเมียสักคน
...เพิ่งเห็นก็ตอนจับเอาเขาเป็นเมียนี่แหละ
คิดแล้วคณิตก็อายตัวเองชะมัด ตกเป็นเมียผู้ชายไปแล้วสินะเขา เขาเองก็ไม่เคยพิศวาสร่างกายของผู้ชายคนไหนเหมือนกัน ถ้าอชิตะมีผู้ชายเข้ามาแสดงท่าทีว่าชอบพออยากสานสัมพันธ์ยามค่ำคืนด้วยกัน เขาก็ไม่ต่างกันหรอก ไปเที่ยวกลางคืนก็เจอเหมือนกัน ผิดแต่ว่าผู้ชายที่เข้ามาหาเขารูปร่างสูงใหญ่กันทั้งนั้น เห็นแล้วเขานี่ต้องรีบเอาตัวไปหลบข้างหลังภาคีหรือไม่ก็อชิตะแทบไม่ทัน ก็เขาไม่ได้ชอบผู้ชายไง มีผู้ชายตัวใหญ่มาแสดงความสนใจใครจะปลื้มเล่า แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น โดนคนใกล้ตัวจับทำเมียจนได้ 
“แล้วอีกเมื่อไหร่ล่ะหนึ่ง กว่าพี่อิงจะหายบ้า” ณัชชาหันมาถามขณะที่รถจอดติดไฟแดง “เมื่อไหร่ล่ะหนึ่ง เมื่อไหร่....หนึ่งตอบหวานได้ไหม” หัวใจหญิงสาวร้าวระบม
คณิตก็ยากจะให้คำตอบได้ เขาไม่กล้ามองสบแววตาที่คาดคั้นเอาคำตอบ น้ำเสียงแสนเจ็บปวดรวดร้าว เขาอยากปลอบ อยากให้คำตอบที่แน่นอนแก่คนถาม แต่คนอย่างเขาจะตอบอะไรได้ ในเมื่อคนที่ต้องตอบไม่ใช่เขา อชิตะต่างหากควรเป็นคนตอบคำถามข้อนี้ของณัชชา
จนสัญญาณเปลี่ยนสี หญิงสาวถึงได้เลื่อนสายตาจากใบหน้าของเขา และนั่นแหละคณิตถึงได้สูดหายใจเข้าลึก บอกออกไปว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อชิตะจะหาบ้า
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาเองจะสลัดความรู้สึกบ้าบอออกไปจากหัวใจตัวเองได้ ความรู้สึกที่มันไม่สมควรเกิดขึ้น เขาไม่ควรรู้สึกอะไรกับอชิตะเลย ไม่ควรแม้แต่น้อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เขาถึงได้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบ...เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ทันแล้ว ก็ได้แต่ใช้ปากแข็งๆ ของตัวเองกลบเกลื่อนความรู้สึกในหัวใจไปวันๆ ก็เท่านั้น
“แล้วพี่อิงจะรู้ไหม” ณัชชาเอ่ยออกมาเบาๆ “จะมีใครให้คำตอบหวานได้บ้าง”     
จากนั้นทั่วห้องโดยสารก็เงียบกริบ มีเพียงเสียงของความเศร้าเสียใจจากความสูญเสียที่ดังมาจากหญิงสาวตัวเล็ก ขณะที่คณิตก็ได้ยินเสียงความสับสนและวุ่นวายใจของตัวเองดังกระหน่ำไม่แพ้กัน จนกระทั่งโทรศัพท์ณัชชาร้องดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่รถวิ่งมาจอดหน้าคอนโดมิเนียมของคณิต
“พี่อิงโทรมา” ณัชชาหันมาบอก หลังจากหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า หญิงสาวยังไม่กดรับ “หวานจะบอกพี่อิงยังไงดี” อชิตะต้องโทรมาเพราะเรื่องที่เธอพาคณิตออกมาจากบ้าน...บ้านซึ่งจะเป็นเรือนหอของเธอกับเขา
“บอกความจริงไปครับว่าผมขอร้องให้คุณหวานมาส่งที่คอนโดฯ” หึ...ตามตัวเขาไม่เจอหรอก อย่าหวังว่าคณิตจะอยู่รอให้ลากตัวกลับ
“หนึ่งอยากให้พี่อิงตามมาหาเหรอ” ถามพร้อมกับน้ำตาที่คลอเต็มหน่วยตา คณิตต้องรีบอธิบาย ลิ้นแทบพันกันด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
“เปล่าครับคุณหวาน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้อยากให้คุณอิงตามมาเจอ ผมแค่ไม่อยากให้คุณหวานพูดโกหก และต่อให้คุณอิงตามมาที่นี่ก็คงไม่เจอผมหรอกครับ เพราะผมมีที่ไปที่อื่นแล้ว งั้นผมไปแล้วนะครับ” ว่าแล้วก็รีบลงจากรถ พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบเสียงลงไปไม่กี่วินาที
ตอนแรกที่ขอให้ณัชชาพาออกมา คณิตยังไม่รู้ว่าตนจะไปไหน เลยขอให้ณัชชาขับพามาส่งที่คอนโดฯ ของตน แต่ระหว่างทางก็นั่งคิดมาด้วยว่าจะหนีไปซ่อนตัวที่ไหนดี สถานที่ที่อชิตะจะตามเขาไม่เจอ แล้วจึงคิดออกว่าจะไปที่แห่งใด เผื่อว่าการหายไปซ่อนตัวของเขาจะทำให้อชิตะหายบ้าเร็วขึ้น
โชคดีที่กุญแจรถไม่ถูกริบไปพร้อมกับมือถือ
*      *      *
อากาศช่วงสายใกล้เที่ยงยังคงให้ความรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน ร่างขาวยืนบิดกายอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านพักขนาดเล็กที่มองออกไปเห็นสวนสวย บรรยากาศร่มรื่นเพราะหมู่มวลดอกไม้และต้นไม้น้อยใหญ่ และไกลออกไปสุดสายตาคือแนวเขาทอดยาวห่มด้วยม่านเมฆเนื้อเบา คณิตขับรถมาถึงรีสอร์ตเล็กๆ แห่งนี้ตอนเกือบห้าทุ่ม และด้วยเป็นวันธรรมดาจึงมีห้องพักเหลือสำหรับเขาแม้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก็ตาม
บิดกายพร้อมกับดื่มด่ำกับธรรมชาติจนอิ่มปอดแล้ว คณิตจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านพัก เดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่ขนาดใหญ่กว่าถึงสองไซส์ พร้อมที่จะออกไปหาใครบางคน ที่แม้ครั้งหนึ่งเคยรัก แต่ก็เป็นช่วงเวลาไม่นานนัก ความห่างไกลไม่ถึงเดือนกลับทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ลง เขากับญาดาจากกันด้วยดี และยังคงความเป็นเพื่อนเอาไว้
เพียงแค่เปิดประตูออกมาก็เจอญาดาที่เดินยิ้มต้อนรับเขามาแต่ไกล
ญาดา...หญิงสาวที่ลาออกจากงานเลขาฯ มาช่วยกิจการรีสอร์ตของครอบครัว หลังจากให้พี่ชายรับหน้าที่อยู่คนเดียวเสียหลายปี รีสอร์ตแห่งนี้เป็นของบิดาและมารดาญาดา
“หลับสบายไหมหนึ่ง” เธอถามเมื่อหยุดตรงหน้าชายหนุ่มที่มีความสูงกว่าเธอไม่มากนัก ไม่น่าจะเกินห้าเซ็นติเมตร แต่ความขาวแล้วละก็ เรียกว่าสำลีกับก้อนถ่านได้เลยทีเดียว
“ยิ่งกว่าสบายอีกครับด้า” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ญาดายังสวยเหมือนเดิม แถมยังดูมีน้ำมีนวลกว่าตอนทำงานเป็นเลขาฯ ของสีฟ้าอีก แล้วคณิตก็นึกไปถึงความคิดที่อยู่ในหัวตั้งแต่เริ่มต้นขับรถมาที่นี่
บางทีอาจจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันจะเข้าข่ายย้อมแมวขายไหม ก็ในเมื่อเนื้อตัวเขาไม่ได้สะอาดเอี่ยมพอที่จะผันตัวเองเป็นสามีใครได้แล้ว หรือถ้าได้ ...แล้วอดีตที่ตกเป็นเมียของผู้ชายคนหนึ่งมาแล้ว มันจะตอกย้ำให้อับอายตัวเองอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า
โธ่โว้ย! มันเป็นความผิดของอชิตะแท้ๆ 
“หนึ่งเป็นอะไรหรือเปล่า ปวดหัวเหรอ?” คำถามแสดงความเป็นห่วง ช่วยให้คณิตหลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน ญาดาเห็นอดีตคนรักหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน
คณิตส่ายหน้าชวนคุยไปเรื่องอื่น เรื่องที่เห็นอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเขานัก ตรงนั้นคณิตเห็นคนงานกำลังช่วยขนโต๊ะขนเก้าอี้มาวาง มีซุ้มโค้งโครงเหล็กสีขาว เดาได้ว่าอีกไม่นานคงประดับด้วยดอกไม้ดอกสวย ดูคล้ายกำลังจัดพื้นที่สำหรับงานเลี้ยงแต่งงาน
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงเหรอ”
คนถูกถามยิ้มหน้าตาแช่มชื่น ก่อนตอบคำถามด้วยสุ้มเสียงที่ชื่นบานว่า
“งานแต่งด้าเอง”
คนฟังถึงกับเบิกตาเรียวเล็กของตัวเองอย่างตกตะลึง เหลือบมองตามมือของอดีตคนรักไปยังหน้าท้องที่ยังแบนราบ ญาดาบอกด้วยสุ้มเสียงน่ารักน่าฟังแบบคนที่ไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นกับอดีตแฟนหนุ่ม
“คือด้าท้อง เลยต้องรีบแต่ง กลัวช้ากว่านี้จะใส่ชุดเจ้าสาวไม่สวย อายแขกด้วยแหละ” ประโยคหลังกระซิบเบา ราวกับกลัวใครได้ยิน ใครจะรู้เล่าว่าตัวเองจะได้ลงเอยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่เคยแอบปลื้ม
“กะ...กี่เดือนแล้วด้า” ละล่ำละลักถาม ความคิดจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอดีตคนรักผิวสีน้ำผึ้งแตกกระเจิงเหมือนฝูงไก่ถูกสุนัขกวาดไล่
“สองเดือน” อืม...เขากับญาดาเลิกกันได้ประมาณสี่เดือน โธ่...ญาดาของเขา ช่างไวไฟจริงๆ แต่ตอนคบกับเขา มากสุดได้แค่หอมแก้มเองนะ!
“ยินดีด้วยนะด้า” คณิตพูดออกมาจากใจจริง ถึงจะแอบผิดหวังเล็กน้อยที่หญิงสาวไม่โสดเสียแล้ว ความหวังดับวูบเลยทีเดียว “แต่ด้าก็ไม่คิดจะบอกกันเลยใช่ไหม ถ้าผมไม่มาหาด้าที่นี่ก็คงไม่รู้” แอบตัดพ้อเบาๆ พลางทิ้งตัวลงนั่งใต้ซุ้มไม้ดอกเล็บมือนางบริเวณหน้าบ้านพัก
“มันฉุกละหุกมากเลยละหนึ่ง ด้าก็เพิ่งรู้ตัวว่าท้องปลายเดือนที่แล้วเองนะ” เจ้าตัวโอดครวญนิดๆ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของเสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลัง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าสีน้ำผึ้งทันที “แฟนด้ามาตามแล้ว เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักนะ คนนี้ด้าแอบปลื้มมานานแล้ว สมหวังก็คราวนี้แหละ”
อ้าวญาดา พูดซะไม่คิดถึงอดีตช่วงสองสามเดือนของเราเลยนะ 
‘แฟนด้า’ ที่คณิตเห็นคือผู้ชายตัวสูง ผิวเข้มจัด หนวดเครารุงรัง ไม่มีออร่าของความเป็นเจ้าบ่าวเลย แต่ก็ดูสมชายชาตรีในแบบที่ชายหนุ่มผิวขาวจัดและตัวเล็กแบบเขาต้องขอยกธงยอมแพ้
“ธีจ๋า นี่หนึ่งจ้ะ แฟนเก่าด้าที่เคยเล่าให้ฟังไง”
‘แฟนเก่าด้า’ ถึงกับสะดุ้งเฮือก ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนไงว่าจะถูกแนะนำในฐานะอดีตแฟนเก่า ญาดาก็ช่างเป็นคนที่พร้อมจะบอกความจริงทุกอย่างเสียจริง โชคดีเป็นของคณิตจริงๆ ที่แฟนของญาดาหรือว่าที่เจ้าบ่าวจะไม่ออกอาการหึงหวงหรือเขม่นเหม็นหน้าเขาในฐานะอดีตคนรัก ซ้ำร้ายยังรู้สึกว่าเจ้าตัวมองเขาด้วยสายตาที่ประดับด้วยรอยขำแรงมาก
“หนึ่ง นี่ธีนะ ว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่คุณพ่อ” ญาดายังนำเสนอทั้งสามีและลูกอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าเบิกบานแช่มชื่นสมกับเป็นว่าที่เจ้าสาวที่พ่วงตำแหน่งว่าที่คุณแม่พร้อมๆ กัน
“สวัสดีครับคุณหนึ่ง พรุ่งนี้อยู่ร่วมงานแต่งของพวกเราด้วยนะครับ” ว่าที่เจ้าบ่าวเอ่ยชวน ใบหน้ายิ้มแย้มช่วยให้ใบหน้าคมเข้มน่ามองขึ้นอีกนิด และสมกับเป็นว่าที่เจ้าบ่าวหน่อย
“ครับ” แสดงว่าเดี๋ยวเขาต้องออกไปซื้อชุดหล่อๆ ใส่มาร่วมงานแต่งของญาดาแล้วสิเนี่ย เพราะมาที่นี่แบบตัวเปล่าจริงๆ ชุดที่ใส่ตอนนี้ก็เป็นชุดของพี่ชายญาดา ที่หญิงสาวหยิบมาให้เขายืมใส่ 
*      *      *
ไอ้ติน!
คุณลม!
และ...คนที่คณิตเพิ่งหนีพ้นมาได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง!
รู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นี่!
คณิตแทบอยากจะวิ่งหนีขึ้นรถไปเสียให้พ้นจากบุคคลทั้งสามชีวิตที่นั่งอยู่บนระเบียงหน้าบ้านพักของเขา แต่รถที่จอดอยู่ไกลเกินจะวิ่งไปถึงด้วยขาสั้นๆ ของตัวเอง คาดว่าเพียงเขาออกสตาร์ต คนช่วงขายาวคงกระโจนใส่เขาด้วยความเร็วดุจราชสีห์
เมื่อหนีไม่ได้ คณิตก็เลือกเดินหน้าเข้าสู้ เดินหิ้วถุงเสื้อผ้าที่เพิ่งออกไปซื้อกลับมาด้วยใบหน้าหงิกงอไม่สบอารมณ์ 
“มึงมาทำไมวะไอ้ติน” คณิตเจาะจงถามเพื่อน  พยายามไม่สนใจผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนกอดอกพิงเสาเรือนด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่คนตอบกลับเป็นสีฟ้า เพราะเพื่อนเขาทำหน้าเหมือนจะงับหัวเขาอยู่รอมร่อ ทั้งที่มันควรจะห่วงใยสุขภาพร่างกายและความปลอดภัยในเนื้อหนังมังสาของเขามากกว่า
ให้ตายเถอะ! มันนั่นแหละตัวการเอาอดีตหัวหน้ามายัดใส่ชีวิตเขาอีกครั้ง
“พวกเรามางานแต่งของด้าน่ะหนึ่ง” เมื่อเช้าสีฟ้าได้รับโทรศัพท์จากอดีตเลขาฯ สาว ญาดาเอ่ยชวนเขาให้มางานแต่งของตน ซ้ำยังบอกอีกว่าคณิตอยู่ที่รีสอร์ตของเธอด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมอชิตะถึงมาพร้อมกับพวกเขาด้วย
เมื่อคืนอชิตะมาหาภาคีที่บ้าน เพื่อขอให้ช่วยตามหาคณิตด้วยท่าทางร้อนใจและโมโหหนักมาก เนื่องจากตามหาตัวที่คอนโดมิเนียมก็ไม่พบ แล้วเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าจะตามตัวคณิตได้ที่ไหน  ครั้นพอรู้ว่าคณิตอยู่ที่ไหน สีฟ้าจึงให้ภาคีเป็นคนตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องคณิตให้อชิตะรู้หรือไม่ ภาคีตัดสินใจบอกเพราะไม่อยากให้เพื่อนหนีปัญหา
แล้วอีกเหตุผลหนึ่ง ภาคีเห็นแววตาของอชิตะที่แสดงออกมาว่าต้องการเพื่อนของตนมากขนาดไหน คงไม่ต่างจากความรู้สึกของภาคียามที่คนรักอย่างสีฟ้าพยายามที่จะหนีจากอ้อมกอดของเขาไปหาคนอื่น
“มึงก็อย่าเล่นตัวมากนักสิวะหนึ่ง” หรี่ตามองเพื่อนรักด้วยสายตาตำหนิ “...กระแดะชะมัด” นานครั้งที่ภาคีจะด่าเพื่อนรุนแรงเช่นนี้ เพราะมีแต่คณิตนั่นแหละที่ชอบด่าภาคี
“ห่า...อย่ามาด่ากู”
โหย...ไอ้เพื่อนของเขามันแบ่งฝ่ายชัดเจนแล้วใช่ไหม มันไม่เข้าข้างเขาเลย มันสนับสนุนให้อดีตบอสของมันปู้ยี่ปู้ยำเขาหรือไง...
คณิตได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ จะสะบัดหน้าหนีสายตาเอือมระอาของเพื่อนรักก็จะดูกระแดะตามคำที่มันสาดใส่เขา และเขายังไม่อยากถูกมองว่านิสัยเหมือนคนรักของมันด้วย
บางครั้งเขาก็มีแอบเซ็งสีฟ้าเบาๆ แอบด่าในใจนิดๆ ว่า ‘กระแดะ’ ก็ช่วงที่ทำตัวงอนภาคีนั่นแหละ แล้วหนีไปนู่นไปนี่ให้เพื่อนเขาวุ่นวายใจและต้องคอยตามง้องอนเอาใจตลอดเวลา
แต่สำหรับเขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้กระแดะโว้ย!!
คือเขาอยากหนี อยากหนีจริงๆ ไม่ได้หนีเพื่อหวังให้คนที่ยืนปักหลักจ้องเขาด้วยสายตาดุดันมาตามง้องอนเลยสักนิด สักนิดเดียวก็ไม่เลย
“ไปเถอะครับลม ตินอยากพักสักงีบสองงีบแล้ว”
โหย...เสียงหวานเชียว ที่พูดกับเพื่อนอย่างเขาละเสียงกระชาก แล้วที่มันบอกว่าอยากพัก ‘งีบสองงีบ’ น่าจะหมายความว่า ‘สักยกสองยก’ มากกว่ามั้ง ดูมือมันที่เกี่ยวเอวคนรักก็รู้
แล้วที่เหลืออยู่ตรงนี้เล่า คณิตแทบไม่ต้องคิดเลยว่าอชิตะจะพักบ้านหลังใด...ก็คงเป็นหลังเดียวกับเขาแน่ๆ คิดเช่นนี้แล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเบื่อหน่ายมากแค่ไหน ที่เห็นหน้าเจ้าตัว แต่คนหน้าหนาอย่างอชิตะจะสนใจอะไร นอกเสียจากสั่งแบบคนมีอำนาจเหนือเขาทุกประการ อารมณ์ประมาณสั่งเป็นสั่งตายได้ทีเดียว
แล้วเขาก็ดันเชื่อฟังซะได้!
“เปิดประตูสิหนึ่ง ผมก็อยากพักสักงีบสองงีบเหมือนกัน”
สักงีบสองงีบ!
แต่ที่คณิตเห็นเมื่อปิดประตูลงกลอนแน่นหนาตามคำสั่งของบุคคลที่ทำตัวเหมือนเจ้าของชีวิตเขา ดวงตาคมกล้าดุดัน ยืนกอดอกอยู่กลางห้องและมองตรงนิ่งมาที่เขา ให้ความรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนไปจนแต้มที่หน้าผาสูง เบื้องล่างคือหุบเหวลึกน่ากลัว กลัวจนรู้สึกว่าตัวสั่น เป็นการสั่นจากภายในสู่ภายนอก ไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งกระแดะแต่อย่างใดเลย
เขาไม่เคยเกรงกลัวอชิตะแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่ทำงานกับอชิตะ คณิตคิดเสมอว่าชายหนุ่มตัวใหญ่เป็นเจ้านายที่สามารถลามปามได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่ออก เพราะความสนิทสนมที่นายจ้างมีให้ ประหนึ่งเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
แต่ตอนนี้เล่า พี่น้องท้องติดกันไปแล้ว
“มาทำไมที่นี่” เสียงเข้มเอ่ยถามหลังจากก่อสงครามทางสายตามาพักใหญ่ๆ ขณะที่ระยะห่างระหว่างกันลดลง เมื่ออชิตะก้าวเท้าเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่า แผ่นหลังของคณิตแนบสนิทกับประตูห้องพัก ตัวเล็กยิ่งเล็กลีบลงไปอีก
คณิตเหมือนตัวเท่ามด ยามเมื่ออชิตะยืนตรงหน้า มองด้วยสายตาที่พร้อมจะลงโทษเด็กดื้อให้หายพยศ
“ผมมาเที่ยว” ตอบไม่เต็มเสียง ก็เพราะมันไม่ใช่ความจริง คนถามก็คงรู้เช่นกันว่าไม่ใช่ความจริง ถึงได้ยิ้มแสยะกับคำตอบที่ได้รับ
“มาเที่ยวงั้นหรือ?” มีเสียงหึๆ ในลำคอ นัยน์ตาคมกล้าไม่ละจากใบหน้าที่ก้มต่ำหนีสายตาของตน “ตั้งใจจะมาหาคนรักเก่ามากกว่ามั้ง อยากรื้อฟื้นว่างั้น” มีแววเยาะเย้ยเต็มที่
คณิตถึงกับสะดุ้งที่ถูกล่วงรู้ความคิด 
“รู้แล้วจะถามทำไม” ตาเรียวเล็กตวัดขึ้นมามองอย่างเจ็บใจที่ถูกรู้ทันความคิด ขัดใจประโยคต่อมาของคนที่กำลังจะใช้ร่างกายที่สูงใหญ่และกำยำกว่าข่มให้เขาจมลงไปเป็นเนื้อเดียวกับประตูห้องเนื้อแข็งทื่อนี้
“งั้นก็มาเสียเที่ยวสินะหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้ญาดาก็จะแต่งงานแล้ว ได้ข่าวว่าท้องด้วยไม่ใช่หรือ” สุ้มเสียงห้าวเข้มเปลี่ยนเป็นรื่นเริง อชิตะยกมือทั้งสองเข้าขึ้นเท้าประตูห้องพักขนาดเล็ก เป็นท่วงท่าที่กักขังเจ้าของใบหน้าขาวให้ตกอยู่ในวงแขนของตนอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“มันเรื่องของผม” คณิตตอกกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสุดๆ “แล้วก็เอามือออกไปได้แล้ว ผมจะงีบ!” ขอให้ได้งีบด้วยเถอะ สาธุ
เหมือนจะไม่สมหวัง
“จะรีบงีบไปไหน คุยกันก่อนซี่” สุ้มเสียงเปี่ยมความหมาย ไม่ต่างจากดวงตาเปิดเผยสิ่งที่เร้นอยู่ภายในกายแข็งแกร่ง ทำเอาคนที่ถูกกักขังต้องหันหน้าเห่อร้อนหนีอย่างไว แต่ก็ยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างปลงๆ ว่าไม่รอดมืออชิตะได้แน่ “เมื่อคืนเราก็ไม่คุยกันนะ ขอคุยให้ผมหายคิดถึงหน่อยนะหนึ่ง แล้วคุณจะได้รู้ด้วยว่า ไม่ควรทำให้ผมคิดถึงบ่อยๆ เพราะคุณจะต้องคุยกับผมนานเกินความจำเป็น”
คุยกันด้วยสารพัดท่าและเสียงครางสิ้นอายของเขาน่ะสิ คือการคุยแบบที่อชิตะต้องการจากเขา
แล้วจมูกโด่งก็ซุกไซ้ให้เสียวซ่านอยู่ในอก
ปากหนาที่บดจูบรุนแรงแสดงความคิดถึงอย่างล้นทะลัก
และคณิตก็ถูกชักจูงจนลืมเลือนตัวตนของตัวเองอีกครั้งจนได้ พอโดนกอด โดนจูบ ทำให้เสียวสะท้านจนต้องร้องครางอย่างสิ้นอายออกมา คณิตก็ลืมความจริงทุกอย่างไปจนสิ้น
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เมื่อไหร่มันจะจบสิ้นล่ะ คณิตถามตัวเอง หากก็ไม่รู้จะไปเอาคำตอบจากใครที่ไหนได้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ให้คำตอบนี้ไม่ได้
*** จบตอนที่ 13***
ติดตามตอนที่ 14 วันที่ 8 นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 14 UP 08-05-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 08-05-2017 19:03:09
14
‘เป็นไงมาไง หนึ่งถึงกลายเป็นเมียคุณอิงได้’

คำถามของเจ้าสาวคนสวยดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยในหัวของคณิต นับตั้งแต่หญิงสาวบังเอิญตาดีมองไปเห็นรอยแดงที่ต้นคอเขา เมื่อครั้งมาเคาะประตูบอกให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำตอนหนึ่งทุ่มตรง มิหนำซ้ำคนที่สร้างรอยเอาไว้ก็ไม่อายและคงอยากประกาศความเป็นเจ้าของเขาเต็มแก่ ถึงได้เดินพันกายด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวมายืนซ้อนเยื้องๆ อยู่ด้านหลัง อวดความสูงที่ศีรษะคนด้านหน้าเลยไหล่กว้างมาแค่นิดหน่อย ญาดาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตะลึงปนอึ้ง ก่อน คว้าแขนเขาแล้วดึงออกมาจากห้องพักโดยเร็ว เพื่อซักถามให้ได้ความจริงแบบจริงจัง

ญาดาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอขาดการติดต่อกับคณิต เมื่อครั้งที่ตกลงยุติความสัมพันธ์แบบคนรักลง ด้วยความไกลห่างของระยะทาง

คณิตกล้าที่จะเล่าทุกอย่างให้อดีตคนรักฟัง ไม่คิดปิดบัง ไม่ใช่เพราะภูมิใจถึงได้เล่า แต่เพราะอยากระบายความรู้สึกนึกคิดแสนปั่นป่วนในหัวใจออกมาบ้างต่างหากเล่า

‘แล้วคุณหวานล่ะหนึ่ง เธอเป็นยังไงบ้าง เสียใจมากไหม นี่เธอเสียคนรักไปเลยนะ’

นี่เป็นอีกหนึ่งคำถามของญาดา ชักชวนให้นึกถึงใบหน้าช้ำคราบน้ำตา ที่แสดงว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักมาก คณิตจำไม่ได้ว่าตนตอบญาดาไปว่าอย่างไร หรือได้ตอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เขาเอาตัวเองมานั่งกอดเข่าบนพื้นระเบียงของบ้านพักได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมา พร้อมกับใครคนหนึ่งที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา มือหนาวางบนศีรษะราวกับจะปลอบโยนเอาใจให้คลายความทุกข์เศร้าในหัวใจลง แล้วลูบเบาๆ ให้คลายความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกเบาบางลง

คณิตอยากสะบัดหัวหนี อยากเมินหน้าหนี อยากวิ่งหนีไปให้ไกล สุดท้าย...ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้สัมผัสจากมืออุ่นปลุกปลอบ ทั้งที่เจ้าของมือเป็นคนสร้างปัญหาให้กับเขาเอง

...เป็นอชิตะที่ไม่ยอมหยุด! ไม่ยอมให้ความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวนี้เลือนหายไปกับความฉ่ำเย็นของสายน้ำในสระยามค่ำคืนนั้น

...หรือเป็นเขาเองที่ไม่เด็ดขาด ส่วนลึกที่น่าเกลียดที่สุดของจิตใจ คล้ายจะติดกับดักรสชาติของแรงสัมผัสแนบแน่น หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน รสสวาทที่ควรขยะแขยงแต่กลับสมยอมราวกับเนื้อกายโหยหาเสียเอง

เพียงแค่ปากร้อนระอุบดเบียดลงมา มือแกร่งลูบไล้ปลุกเร้าเลือดในกายก็ตีกระชากแรงต่อต้านจนกระเจิง บทรักบนเตียงและอีกหลายจุดเมื่อหลายชั่วโมงก่อนยาวนานและสุขสมกว่าครั้งไหน เมื่อความเร่าร้อนจบลง ไพปรารถนาดับถอน เสียงหอบเหนื่อยเหมือนคนวิ่งมาราธอนกว่าร้อยกิโลเมตรเบาบางลง ร่างหนาอุดมด้วยมัดกล้ามพลิกกายลงจากตัวเขา ในวินาทีต่อมาก็คว้าตัวเขาเข้ามากอด แนบจูบชื่นชมลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อ หัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างคนที่พึงพอใจกับความสุขสมที่ได้รับจากร่างกายของเขา หัวใจดวงน้อยนิดของเขาก็เหมือนมีลูกไฟสีขาวนวลเล็กๆ โบยบินอยู่ในนั้น

นอกจากหัวใจของเขา มันจะอ่อนแออย่างสุดๆ แล้ว มันยังหน้าด้านอย่างไร้ยางอายด้วย   

“บอส” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกฟ้องความสิ้นหวัง แววตาระริกไหวเพราะจิตใจที่อ่อนไหว หน่วยตาเรียวเล็กร้อนผ่าว เพราะความสับสนในหัวใจ “เมื่อไหร่ทุกอย่างมันจะจบ”

เมื่อไหร่มันจะสิ้นสุด เขาไม่อยากพ่ายแพ้ ไม่อยากทำให้ผู้หญิงนิสัยดีอย่างณัชชาเจ็บปวด หากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอชิตะยังดำเนินไปในรูปแบบนี้ อย่างที่ผูกพันกันด้วยร่างกาย สักวันหนึ่งก็กลัวว่าร่างกายจะกลายเป็นหัวใจ...

‘ผมไม่มีวันรักคุณอิงครับ’

คำพูดที่ได้บอกหญิงสาวผู้เคยเป็นดั่งดวงใจและเป็นความรักยิ่งใหญ่ของอชิตะไปเมื่อวาน กลัวเหลือเกินว่าในวันข้างหน้าจะเป็นคำโกหกหน้าด้านๆ ที่ถูกจับได้แบบดิ้นไม่หลุด ก็เพราะแค่ตอนนี้ หัวใจของเขาก็ไม่ปกติเสียแล้ว

“ไม่ว่าเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีวันจบ” คำตอบนั้นหนักแน่นและน่ากลัว จนคนที่อยากได้คำตอบต้องหันหน้าหนีสายตาสะกดหัวใจคู่นั้นของอชิตะ “ผมรักคุณไปแล้วนะหนึ่ง และมันจะมั่นคงตลอดไป”

แรงจูบแนบแน่นที่ข้างขมับ ใบหน้าเล็กหันกลับมาสบตาใหม่อีกครั้ง

“ตลอดไป...มันนานแค่ไหนครับบอส” ความรู้สึกลึกๆ ออกคำสั่งให้ถาม “...สองวัน สองปี หรือจนกว่าบอสจะเบื่อ จนกว่าจะเจอคนใหม่ คนที่ทำให้บอสคลั่ง อยากได้เอามานอนครางอยู่ใต้ร่าง เหมือนกับที่ต้องการผมในอย่างในวันนี้”

ครั้งหนึ่งอชิตะก็เคยรักณัชชามาก แต่ก็หมดรักได้อย่างรวดเร็ว เพราะมาคลั่งไคล้ตัวเขา แล้วในอนาคตล่ะจะเป็นแบบเดียวกับตอนนี้ไหม ที่มีใครคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตอชิตะ ใครคนนั้นอาจเข้ามาเปลี่ยนหัวใจอชิตะอีกครั้งก็ได้

วินาทีแรก คณิตเห็นดวงตาคมเข้มลุกร้อนเพราะคำถามของเขา ทว่าวินาทีต่อมาคณิตก็เห็นเพียงความมั่นใจแสนดุดัน ที่ทำเอาหัวใจโยกไหวรุนแรง

“พิสูจน์สิหนึ่ง...”

ทุกอย่างที่คณิตเห็น ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา น้ำเสียง และท่าทางที่อชิตะแสดงออกมาให้เห็น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งท้าทายที่ต้องใช้หัวใจพิสูจน์

“...ว่าตลอดไปของผม มันนานแค่ไหน นานเท่าชีวิตผม นานเท่าชีวิตคุณหรือเปล่า มาพิสูจน์ไปด้วยกันนะหนึ่ง”

แล้วเขาต้องพิสูจน์อีกกี่วัน กี่คืน กี่เดือน หรือกี่ปีล่ะ หรือจะต้องตลอดไป จนกว่าลมหายใจของคนใดคนหนึ่งจะลาลับจากร่างกายไปตลอดกาลอย่างนั้นหรือ

“พิสูจน์แล้วได้อะไร” ปากบางยังเอ่ยต่อด้วยคำถาม ฝ่ายถูกถามก็ตอบอย่างรวดเร็วและไม่คลายความหนักแน่นในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

“ได้คำตอบที่คุณอยากได้” อชิตะจับมือเล็กติดจะสั่นขึ้นมาวางแนบบนอกด้านซ้าย ฐานที่ตั้งของหัวใจ “มันอยู่ในนี้...รอให้คุณพิสูจน์”

“แล้วถ้าผมไม่อยากพิสูจน์ล่ะ” เขาเลื่อนสายตาไปยังมือตัวเองที่วางแนบบนอกซ้ายของอีกฝ่าย สัมผัสกับแรงเต้นภายในผิวเนื้อที่เผลอไผลลูบไล้ยามคลื่นความสุขโหมกระหน่ำ ภาพหนึ่งซ้อนทับขึ้นมาในความคิด ภาพที่เขากับอชิตะแก่ไปพร้อมกัน มือสอดประสานกันไปตลอดทาง จูบของอชิตะที่มีเพียงผู้ชายแก่ๆ ชื่อคณิตที่ได้รับมัน...

คณิตรีบสะบัดภาพบ้าๆ นั้นทิ้ง

“คุณต้องพิสูจน์หนึ่ง” อชิตะบีบกระชับมือเล็ก “เพราะผมไม่ยอมให้คุณปฏิเสธมันแน่”

คณิตเบือนสายตาหนีคนตรงหน้า

ใช่...เขาไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของอชิตะได้ คณิตไม่เข้าใจว่าทำไมอชิตะถึงทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ทุกทาง เขาไม่เคยปฏิเสธความต้องการของอชิตะได้ตลอดรอดฝั่ง ปากเขาด่าทาง แสดงท่าทางรังเกียจ แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นมาตลอด

เขาพ่ายแพ้อชิตะ หรือว่าหัวใจตัวเองกันแน่?

บางทีคณิตก็อยากให้ ‘ตลอดไป’ ยาวนานที่สุดก็แค่วันพรุ่งนี้ ขออย่าให้ต้องชั่วชีวิตเลย เพราะเขานึกภาพไม่ออก ถึงวันที่รอยยับย่นแห่งวัยชราได้แต้มแต่งบนใบหน้า ผิวหนังหย่อนยาน หูตาฝ้าฟาง เดินเหินลำบาก ไปไหนก็ต้องใช้ไม้เท้าคอยพยุง และมีใครบางคนตรงหน้าในวันนี้อยู่เคียงข้างจนถึงวันนั้น

คณิตนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ สิ่งที่คิดออกก็มีแต่ภาพเด็กหญิงเด็กชายวิ่งรายล้อมอยู่รอบตัวอชิตะ เรียกอชิตะว่า ‘คุณพ่อ’ และเรียกผู้หญิงคนหนึ่งว่า ‘คุณแม่’ ผู้หญิงที่เขาไม่แน่ใจหรอกว่าใช่ณัชชาหรือไม่ แต่อย่างไรเสียคนคนนั้นก็คือผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายเช่นเขา

เขามีลูกให้อชิตะไม่ได้ ร่างกายของเขาไม่ได้มีไว้เพื่ออุ้มชูชีวิตเล็กๆ แสนบริสุทธิ์ก่อนลืมตาออกมาดูโลก       

*      *      *

คณิตระบายลมหายใจเบาบางขณะที่รถของตนเลี้ยวผ่านประตูรั้วของบ้านรูปทรงโมเดิร์นเข้ามา โดยมีเขาเป็นผู้โดยสารและเจ้าของบ้านหลังงามเป็นคนขับ

โรงรถขนาดใหญ่ทางฝั่งขวาของตัวบ้านหลังใหญ่มีรถคันเล็กแต่หรูหราจอดอยู่ก่อนแล้ว คันที่คณิตจำได้ว่าใครเป็นเจ้าของ เขาหันไปมองคนที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแต่ยังไม่ยอมก้าวลงจากรถ เขาก็เช่นกัน แม้จะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดประตูรถลงไป เสี้ยวหน้าคมเข้มกับสันกรามคมชัดแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกเช่นไร

นี่จะเป็นครั้งแรกของการเผชิญหน้าของคนสามคนใช่ไหม? หัวใจของคณิตโรยแรง ขณะเดียวกันคลื่นความผิดก็โหมซัดเป็นระลอก

“ผมกลับได้มั้ยบอส” คณิตอยากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่อยากเห็นหัวใจอันร้าวระบมของคนที่รอคอยอดีตคู่หมั้นกลับมา

อชิตะไม่ตอบ ชายหนุ่มเลือกที่จะดึงใบหน้าขาวเข้ามาใกล้ ใกล้เพียงพอที่จะจดริมฝีปากร้อนระอุบนเรียวปากคนตัวเล็ก รสจูบยาวนานคือคำตอบ

คณิตก้าวลงจากรถ เดินตามหลังร่างสูงเข้าไปในตัวบ้าน สาวใช้ผิวเข้มจัดเดินอ่อนน้อมเข้ามาหา รายงานแก่นายจ้างว่า ‘แขก’ นั้นอยู่ที่ไหน

“คุณหวานอยู่ที่สวนหลังบ้านค่ะ” สาวใช้รู้ถึงความสัมผัสที่เปลี่ยนไปแล้วระหว่างนายเจ้ากับคู่หมั้นสาว และความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ของชายหนุ่มทั้งสอง รับรู้ทั่วกันทุกคนและยังถูกกำชับว่าห้ามนำความนี้ไปบอกคนในบ้านใหญ่ อันมี ‘คุณเอมอร’ เป็นนางพญาบ่งการชีวิตของทุกคนภายในบ้าน ‘อเนกดำรงฤทธิ์’

“ไปด้วยกันหนึ่ง” เร็วกว่าคำพูดคือมือที่คว้าข้อมือคณิตไว้ ไม่ให้เดินหนีไปไหน “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า ผมคุยกับหวานเรียบร้อยแล้ว” เมื่อกลับมาบ้านแล้วไม่พบตัวคณิต เขาก็แทบคลั่ง ทุกคนภายในบ้านไม่มีใครสู้หน้าติด แม้แต่คนที่ขับรถกลับเข้ามาอีกครั้ง คนที่พาตัวคณิตออกไปจากบ้านของเขา โดยที่คนรับใช้ภายในบ้านไม่มีใครกล้าขัด ก็ไม่กล้าสู้หน้าเขาที่กำลังโมโหแทบบ้าในตอนนั้น

แต่ใบหน้าแดงช้ำเพราะสายน้ำตาก็ทำให้เขาต้องดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแนบอก ความรู้สึกเช่นวันวานจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีความรู้สึกอิ่มเอมเหมือนแต่ก่อน มีเพียงความปรารถนาดีและความรู้สึกผิดต่อการทรยศหักหลังหญิงสาวที่แสนดีคนนี้

เมื่ออยู่ในอ้อมกอด ณัชชาบอกกับเขาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ว่า

‘หนึ่งบอกว่าไม่มีวันรักพี่อิง’

‘พี่รู้...แต่พี่ก็กำลังพยายาม’

‘พยายามทำให้หนึ่งรักหรือคะ’

‘ใช่’...เขาตอบไปอย่างนั้น รับรู้ถึงสายน้ำตาที่ซึมผ่านเนื้อผ้าสู่ผิวเนื้อ คำตอบของเขาไม่ต่างจากค้อนที่ทุบตีหัวใจของณัชชา แต่เพราะความเห็นแก่ตัวและความหลงใหลที่เขามั่นใจว่ามันคือความรักที่พิเศษกว่าที่เคยมีมา สั่งให้ต้องทำใจแข็งดั่งหินที่ไร้ความรู้สึก เขาปล่อยให้ณัชชาร้องไห้อย่างน่าสงสาร ขณะที่ในหัวมีแต่ความคิดที่จะตามตัวคณิตกลับมารับโทษความพยศของเจ้าตัวให้เร็วที่สุด

‘แล้วหวานต้องพยายามด้วยใช่ไหมคะ’ เจ้าของใบหน้าฉ่ำน้ำตาเงยหน้าขึ้นมาถาม แววตาตัดพ้อ ‘พยายามเลิกรักพี่อิง พยายามทำใจให้ได้ว่าพี่อิงไม่ได้รักหวานแล้ว พยายามเข้าใจว่าพี่อิงลืมความรักของเราสองคนไปหมดแล้ว...’

‘หวานต้องทำให้ได้’ เขากลั้นใจบอกอย่างคนเห็นแก่ตัวที่สุด ใบหน้านองน้ำตาพยักขึ้นลงช้าๆ ก่อนจะมีคำถามที่ตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดอย่างช่วยไม่ได้

‘แล้วถ้าหนึ่งไม่รักพี่อิงล่ะคะ’ แต่เขาก็มีคำตอบที่ดีที่สุดให้คนถามและตัวเอง

‘พี่บอกแล้วไงว่าจะพยายาม และพี่มีเวลาให้พยายามทั้งชีวิต’

‘หวานต้องยอมแพ้แล้วใช่ไหมพี่อิง หวานต้องยอมแพ้จริงๆ แล้วใช่ไหม’

เขาใช้ความเงียบแทนคำตอบให้หญิงสาว แต่เขาไม่มีวันยอมแพ้อย่างณัชชาเด็ดขาด ต่อให้ไม่ได้หัวใจ เขาก็จะครอบครองร่างกายขาวสะอาดไว้ตลอดไป

แล้วร่างบอบบางของณัชชาก็ค่อยๆ ฝืนกายออกจากอ้อมแขนเขา แหวนเพชรหนักกว่าห้ากะรัตถูกรูดออกจากนิ้ว แล้วส่งคืนมาให้เขา

‘ขอบคุณสำหรับความรักที่ผ่านมานะคะพี่อิง แต่หวานจะไม่พยายามเลิกรักพี่อิง เพราะหวานคงเลิกรักพี่อิงไม่ได้’ เม็ดน้ำตาหลั่งไหล มือเล็กยกขึ้นปาดทิ้ง ส่ายหน้าเร็วๆ เมื่อเขาจะคว้าตัวมากอดปลอบอีกครั้ง

‘ไม่ต้องค่ะ หวานไม่เป็นไร’ เสียงนั้นปวดร้าว ฟ้องหัวใจที่แตกสลาย ‘หวานขอให้พี่อิงโชคดีนะคะ แต่ถ้าวันไหนที่พี่อิงเลิกรักหนึ่ง ขอให้รู้ไว้นะคะว่าหวานยังอยู่ที่เดิม รอความรักของพี่อิงเสมอ’

เขาไม่เคยนึกถึงวันนั้น...วันที่หมดรัก วันที่หัวใจของเขาไร้เงาของชายหนุ่มที่ชื่อคณิต คนที่ครั้งหนึ่งกินเที่ยวด้วยกันเสียยิ่งกว่าบรรดาเพื่อนสนิท คณิตเป็นเหมือนน้องชายที่เขาตามใจมากกว่าใคร สนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ทว่าวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด พลิกตลบจนบางครั้งเขาก็มึนงงกับความรู้สึกที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ 

เขารักแบบที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อน ยามที่รักณัชชานั้น เขาไม่รู้ว่ารักหญิงสาวเมื่อไหร่ รู้ตัวก็คิดว่าคือผู้หญิงใช่แล้วสำหรับเขา มันคงเป็นความรู้สึกผูกพันที่นำไปสู่ความรัก แต่กลับคณิตแล้ว ความรู้สึกมันต่างกันมาก แทบจะไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกันเลยด้วยซ้ำ มันมีความลุ่มหลง คลั่งไคล้ อยากครอบครองเป็นเจ้าของ อยากได้และต้องได้!

มันเป็นความรักที่เร่าร้อน เผาผลาญหัวใจ ขณะเดียวกันก็อิ่มเอมเปี่ยมสุข โหยหาจนไม่อยากหนีห่างจากไปไหน เขามองไปถึงอนาคต วันที่วัยชรามาถึง วันนั้นเขายังจะมีคณิตอยู่ในอ้อมแขน บนเตียงเดียวกัน เป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนลมหายใจจะหมดไปจากชีวิต
   
*      *      *
   
“พี่อิง” ณัชชาลุกจากเก้าอี้ทันทีที่เห็นอดีตคนรักที่เธอยังรักเขาเต็มหัวใจปรากฎตัวขึ้น ร่างบอบบางโผเข้ากอด ซบหน้ากับอกชายหนุ่ม เอ่ยปัญหาที่ทำให้เธอต้องกลับมาบ้านหลังนี้อีกครั้ง “แม่ไม่ยอมให้หวานถอนหมั้น”

   “หวานบอกคุณน้าแล้วเหรอ” อชิตะถามพลางพาหญิงสาวไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เหลือบมองคณิตก็เหมือนอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้น

   อชิตะไม่สบายใจนัก มารดาของณัชชารู้ ก็เกรงว่าจะรู้ไปถึงหูมารดาของเขาด้วย ตอนนี้เขายังไม่ได้เตรียมรับมือกับนางพญาของบ้านอเนกดำรงฤทธิ์ มารดาเขาเป็นผู้หญิงเก่ง ทำงานเก่งกว่าคนที่เป็นสามีเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเรื่องภายในบ้านและรวมถึงชีวิตลูกชายทั้งสี่คนก็อยู่ในอำนาจของเธอทั้งหมด และเขาเองก็กำลังจะแตกแถว ออกนอกเส้นทางที่มารดากำหนดให้

   เขายังไม่พร้อมรับศึกสองด้าน

   “พี่อิงไม่ต้องกังวลนะคะ หวานไม่ได้บอกเรื่องของพี่อิงกับหนึ่ง” เธอรีบบอก กลัวอชิตะเข้าใจผิดว่าเธอเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องมารดา “แม่เข้าใจว่าหวานงอนพี่อิง แล้วก็ไล่ให้หวานกลับมาขอโทษ แม่โกรธด้วยที่หวานถอดแหวนหมั้นคืนให้พี่อิง” นิ้วที่ไร้แหวนเพชรเม็ดงามทำให้มารดาโมโหหนัก ดุเธอเสียจนเกือบจะเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังแล้ว ว่าเธอไม่ใช่คนผิดเลย เพราะเธอเป็นคนถูกทิ้ง

   ณัชชาไม่ได้บอกมารดาถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงบอกมารดาไปว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับอชิตะแล้ว เธอรู้ว่าหากบอกความจริงไป คนที่ลำบากจะเป็นอชิตะ และคนที่ลำบากที่สุดหนีไม่พ้นคณิต ถึงแม้จะเสียใจ แต่หญิงสาวบอกกับตัวเองว่าจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของคณิตที่ทำให้อชิตะหมดรักเธอ

   หากจะโทษ ต้องโทษตัวเธอที่ทำให้อชิตะรักอีกต่อไปไม่ได้

   “พี่ขอบใจมากนะหวาน” แม้ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจเธอ ทว่าณัชชาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักเสมอ

   “หวานรู้ค่ะ ถ้าแม่รู้ความจริง แม่ต้องเอาไปบอกน้าอร แล้วคนที่ลำบากจะเป็นหนึ่ง” หญิงสาวหันไปมองคณิต อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาเมื่อถูกเอ่ยถึง ก่อนจะก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

   คณิตกำลังครุ่นคิดบ้างอย่าง หนทางที่จะพ้นไปจากความสัมพันธ์ผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวนี้ ถึงจะยอมกลับมากับอชิตะ แต่คณิตก็ยังไม่เลิกที่จะพาตัวเองกลับไปสู่เส้นทางเดิม เส้นทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น ไม่ใช่เส้นทางที่มองไม่เห็นอนาคตและเต็มไปด้วยบทพิสูจน์

   หัวสมองคิดถึงแต่เส้นทางหนีรอด และคุณเอมอรผู้หญิงวัยใกล้หกสิบปีคือตัวช่วยที่ดีที่สุด ที่คณิตคิดออกในตอนนี้ เขาจะได้ไม่ต้องอยู่ ‘พิสูจน์’ หัวใจอชิตะไปตลอดชีวิต

 *      *      *
   
“หนึ่ง” คณิตเงยหน้าขึ้นมาเมื่อถูกเรียก

   ณัชชาเดินมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มร่างเล็ก หลังจากที่อชิตะเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้าคนสำคัญที่โทรมาเมื่อครู่

   “ครับคุณหวาน” เขาไม่กล้าสู้หน้าแต่ก็ไม่อาจหนีสายตาของณัชชาได้ หญิงสาวดูดีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ขับพาเขาไปส่งหน้าคอนโดมิเนียม

   “หวานรู้แล้วนะว่าพี่อิงไม่ได้ ‘บ้า’” หญิงสาวยิ้มเศร้า “แต่พี่อิง ‘รัก’ หนึ่งมาก”

   “แต่ผมไม่ได้รักเขา” คณิตยังยืนยันเสียงแข็ง

   “แต่อยู่ด้วยกันไป สักวันหนึ่ง...หนึ่งอาจจะรักพี่อิงก็ได้ เหมือนที่หวานรักพี่อิง ถ้าวันนั้นมาถึง หวานก็ขอให้หนึ่งรักพี่อิงมากๆ นะ” ณัชชาหยุดกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก่อนพูดต่อให้จบ “...รักเหมือนที่หวานรักนะ”

   “คุณหวาน...” เสียงของคณิตอ่อนลง “คุณหวานเกลียดบอสหรือเปล่า”... เกลียดที่ทำร้ายหัวใจเธอให้ย่อยยับ เกลียดที่เลิกรักอย่างง่ายดาย

   หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ วงหน้าสวยหวานแต้มรอยยิ้มเศร้า

   “พี่อิงคือความรักของหวาน หวานจะเกลียดพี่อิงได้ยังไง”

   “แล้วเกลียดผมไหม” ...เกลียดที่แย่งเอาความรักของเธอไป

   ครั้งนี้ณัชชายิ้มอย่างเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่เธอตั้งรับไม่ทัน แต่ก็ต้องยอมรับมันทั้งน้ำตา ยอมแพ้เพียงเพราะหัวใจของคนที่เธอรัก ไม่ได้รักเธออีกต่อไปแล้ว

   “ต่อให้หวานเกลียดหนึ่ง มันก็ไม่ทำให้พี่อิงกลับมารักหวานหรอกนะ”

   “เกลียดผมก็ได้นะครับคุณหวาน” เขาควรได้รับโทษเป็นความเกลียดชังจากผู้หญิงที่ถูกทำร้ายหัวใจ

   “หวานเกลียดใครไม่เป็นหรอกนะหนึ่ง แต่หวานอาจจะเกลียดหนึ่งก็ได้ ถ้าหนึ่งไม่รักพี่อิงให้เหมือนที่หวานรัก ถ้าหนึ่งทิ้งพี่อิงไปเมื่อไร หวานจะเกลียดหนึ่งไปจนวันตายเลยนะ” ณัชชาพูดออกมาจากหัวใจของคนแพ้ที่ไม่มีความโกรธแค้นใครทั้งนั้น ไม่ว่าอชิตะหรือคณิต “หวานกลับละ”

ณัชชาเอ่ยลา ก่อนหมุนตัวเดินจากไป ไปจนลับสายตาของคณิตแล้ว แต่คณิตก็ยังมองค้างอยู่กับความว่างเปล่า อยู่กับคำพูดที่ณัชชาทิ้งไว้ให้กลายเป็นหินก้อนใหญ่กดทับหัวใจไร้ยางอายของเขาจนบี้แบน

เขาสงสารณัชชา ผู้หญิงแสนดีที่ไม่ควรถูกความรักหักหลัง หรือว่าเป็นเขากันแน่ที่ไม่ควรจะขโมยเอาความรักของเธอมาเป็นของตัวเอง
   
“เป็นอะไร?”

   คำถามของคนที่มายืนตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ผมไม่เป็นอะไร” ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คงไม่เชื่อ

“หวานพูดอะไรให้เสียใจหรือเปล่า” อชิตะเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าณัชชาไม่ใช่ผู้หญิงร้ายกาจถึงขั้นจะเกลียดชังใครได้

“ถามเหมือนไม่รู้จักคุณหวาน บอสน่าจะรู้จักเธอดีกว่าผม ว่าเธอไม่มีทางทำให้ใครเสียใจ มีแต่คนที่จ้องจะทำให้เสียใจ” คณิตโกรธแทนหญิงสาวที่กลับออกไปแล้ว ก็น่าโกรธแทนไหมล่ะ พอไม่รักแล้ว ณัชชาก็ถูกมองในแง่ร้ายเลยหรือไง

“ไปกินข้าว ผมให้คนจัดโต๊ะไว้แล้ว” อชิตะเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากถูกชวนทะเลาะ และคำพูดของคณิตก็ทำให้เขาละอายใจเหมือนกัน 

“เชิญบอสเถอะ ผมไม่หิว ขอตัว” ว่าแล้วคณิตก็ลุกยืน เดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้าน ทิ้งให้เจ้าของบ้านมองตามอย่างอ่อนใจ ก่อนกลับจากเพชรบูรณ์ก็ดูเหมือนว่าระหว่างเขากับคณิตเริ่มดีขึ้น แต่ที่ไหนได้ก็ยังเหมือนเดิม

*      *      *

เสียงดนตรีสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัวไม่ได้ทำให้หญิงสาวผมยาวที่นั่งจิบเครื่องดื่มซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในแก้วก้านยาวมีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด เพราะเสียงหัวใจที่เจ็บปวดและแหลกสลายส่งเสียงที่ดังกว่าหลายร้อยเท่านัก เครื่องดื่มไม่คุ้นเคยถูกส่งเข้าไปในร่างกายเพียงสามแก้ว แต่กลับสร้างความมึนเมาได้มากมาย โลกรอบกายเหมือนคลุ้มคลั่ง ขณะที่เธอเป็นเด็กตัวน้อยที่กำลังใกล้ตาย

ณัชชาค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ของผับแห่งหนึ่ง ครั้งแรกที่เธอมาคนเดียว หวังให้เครื่องดื่มรุนแรงกลบเสียงแตกร้าวในหัวใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย หัวใจของเธอยังแตกร้าวอยู่เช่นเดิม หญิงสาวตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึก เห็นบาร์เทรนเดอร์มีสองหัว จังหวะหนึ่งที่เธอจะล้ม มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยประคองไม่ให้เสียหลักล้มไปกองพื้น

“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยบอกเขาเบาๆ เพราะไม่มีแรงจะพูดให้ดังกว่านี้ ไม่รู้ว่าผู้ชายใจดีที่ย้อมผมสีเทาจะได้ยินหรือเปล่า

“ให้เกียรติผมสักแก้วนะครับ” หญิงสาวไม่ทันปฏิเสธ เนื่องจากแก้วเล็กๆ นั้นจ่อชิดที่ริมฝีปากของเธอเสียแล้ว

...สักนิดคงไม่เป็นไร

ณัชชาบอกกับตัวเองเช่นนั้น ก่อนรสชาติร้อนแรงจะผ่านลำคอของเธอลงไปอย่างช้าๆ

“ให้ผมไปส่งนะครับคนสวย” ผู้ชายใจดียังอาสาต่อด้วยสุ้มเสียงที่หยอกเย้าอยู่ในที จนไม่น่าไว้วางใจ

“ไม่ต้องค่ะ ฉันกลับเองได้” ณัชชารีบปฏิเสธ เธอตั้งใจแล้วว่าจะโทร.ให้คนขับรถที่บ้านมารับ เพราะสภาพแบบนี้คงขับรถกลับเองไม่ไหวแน่

แต่ผู้ชายผมสีเทาก็ยังอาสาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม มีรอยยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย

“คุณกลับเองไม่ได้หรอกครับ สภาพแบบนี้ ให้ผมไปส่งนะครับ ไปครับ” เธอถูกประคองออกมาจากสถานที่ที่อาบไล้ด้วยแสงสีฉูดฉาด ใจเธออยากต่อต้านความช่วยเหลือที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ ทว่าตอนนี้เธอแทบทรงตัวบนเท้าทั้งสองของตัวเองไม่ได้แล้ว

แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายเธอร้อนวูบวาบ เสื้อผ้าเนื้อหนาที่สวมทับร่างกายกำลังกลายเป็นถ่านไฟร้อน จนอยากจะถอดทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ จากที่คิดจะปฏิเสธชายผมสีเทา ณัชชาก็เป็นฝ่ายเรียกร้องซะเอง

“คุณรีบหน่อย ฉันร้อน อยากกลับบ้าน” เสียงของเธอสั่น รับรู้ถึงแรงโอบกระชับ เสียงหัวเราะหึๆ ดังอยู่เหนือศีรษะก่อนจะได้ยินเสียงผู้ชายผมสีเทาตอบกลับมาว่า

“ได้เลยครับ”

เธออยากกลับบ้าน จะได้ถอดเสื้อที่ร้อนเหมือนถ่านออกไปให้พ้นตัวเสียที แต่เมื่อใกล้ถึงรถคันที่ไม่ใช่ของเธอ เสียงของใครก็ไม่รู้ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ผู้หญิงคนนี้กูขอ!”

***จบตอนที่ 14***
ติดตามตอนที่ 15 วันที่ 10 นะคะ
กระทู้ร้างมาก แอบเหงานะเนี่ย...
เหมือนไม่มีคนอ่านเลย แต่ก็มีคนอ่านอยู่เนอะ
สงสัยไม่มีใครประทับใจอิงหนึ่ง  แอบเศร้าหน่อยๆ แต่ก็เข้าใจ
ยังไงก็มีคนอ่านอยู่เนอะ ดูจากยอดวิว คนเขียนก็ลงเรื่อยๆ เพราะแต่งจบแล้ว
 :katai3:
BY สีเหลืองอ่อน


หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 14 UP 08-05-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 10-05-2017 23:01:38
15
   
“เชิญ” มือข้างที่สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่และข้อมือประดับด้วยกำไรเพชรอันใหญ่ ผายมือเป็นสัญลักษณ์ให้แขกของห้องทำงานขนาดใหญ่นั่งที่เก้าอี้บุนวมด้านหน้าโต๊ะทำงานของตน พลางเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “เธอเป็นพนักงานในบริษัทของลูกชายฉัน?”

   คุณเอมอรแทบไม่ได้กล้ำกรายไปยังบริษัทของลูกชายคนเล็กเลย ยกเว้นวันแรกที่เปิดบริษัท นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นพนักงานในบริษัทของลูกชายมาก่อน

   “ครับผม” คนถูกถามพยักหน้ารับ คณิตนั่งรอเกือบสี่ชั่วโมงถึงได้เข้าพบผู้มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่เป็นตึกสูงห้าชั้น รูปทรงทันสมัย เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของตระกูลอเนกดำรงฤทธิ์

   มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดและเหลือเชื่อมากที่คุณเอมอร นางพญาแห่งอเนกดำรงฤทธิ์ยอมให้พวกคนโนเนมเพราะไร้ตำแหน่งใหญ่โตห้อยท้ายเข้าพบ และเข้าพบถึงห้องทำงานอันเป็นสถานที่ที่ต้อนรับบุคคลสำคัญจริงๆ ยกเว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะขอเข้าพบด้วยเรื่องที่เห็นแล้วว่าสำคัญอย่างมาก และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับลูกชายทั้งสี่คนของเธอ

   และชายหนุ่มคนนี้ก็มาด้วยเรื่องของลูกชายคนเล็กของเธอ...อชิตะ ลูกชายที่อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นฝั่งเป็นฝาให้มารดาอย่างเธอชื่นใจ ลูกชายคนเล็กจะแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะบิดาของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน

   “เธอชื่ออะไร ฉันจะเรียกได้ถูก”

   “คณิตครับ”

   “ว่าธุระของเธอมาคณิต” เธอตรงเข้าเรื่อง

   “ผมถูกลูกชายคุณข่มขืนและกักขังหน่วงเหนี่ยวครับ” 

   “ไหนหลักฐาน?” ถึงจะตกใจกับข้อหาที่เด็กหนุ่มรุ่นลูกเอ่ยอ้าง ทว่าคุณเอมอรก็ควบคุมตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม นางพญาของอเนกดำรงฤทธิ์ตั้งสติและคิดทบทวน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ลูกชายคนเล็กจะทำดังที่อีกฝ่ายกล่าวหา อชิตะกำลังจะแต่งงานกับคู่หมั้นที่เหมาะสมทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ และชาติตระกูล ไม่มีทางที่จะผิดเพศและทำอะไรเลวร้ายอย่างนั้นแน่

   อชิตะเป็นลูกชายที่อยู่ในระเบียบมากที่สุดแล้ว ไม่เหมือนพี่ชายอีกสามคนของเขา ที่กว่าคุณเอมอรจะตบให้เข้ารูปเข้ารอยได้สะใภ้ที่คู่ควรก็ต้องหมดเงินไปเยอะ เงินจำนวนมากถูกใช้เพื่อ ‘เฉดหัว’ ผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าออกไปจากชีวิตลูกชายเธอ

   แต่บางสิ่งบางอย่างก็คล้ายจะสั่นคลอนความมั่นใจของเธอ มันเกิดจากชายหนุ่มตรงหน้านี่แหละ

   “นี่ครับหลักฐาน” คณิตลุกยืนแล้วแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเขียวมะกอกของตน แหวกสาบเสื้อให้เห็นร่องรอยที่ลูกชายคุณเอมอรทิ้งไว้บนเนื้อหนังของเขา

   ทั้งรอยดูดและรอยกัด

   ใช่ว่าไม่อายแสดงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่คณิตก็ต้องฝืนความอาย หากเขาต้องการหลุดพ้นและยืมมือคุณเอมอรกระชากลูกชายของเธอออกไปจากชีวิตเขา

   คณิตอยากคืนลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรให้ผู้หญิงที่คู่ควร ผู้หญิงแสนดีอย่างณัชชา

   “บนตัวผมคือสิ่งที่ลูกชายคุณทำไว้”

   ที่คุณเอมอรเห็นคือรอยจ้ำแดง มีจางบ้าง เข้มบ้าง และรอยฟันตามผิวเนื้อสีขาวจัด เธอเผลอส่ายหัวไม่ยอมรับต่อหลักฐานที่อีกฝ่ายเอามากล่าวหาลูกชายเธอ ไม่อยากยอมรับว่าเป็นการกระทำของลูกชายตัวเอง

   ต้องไม่ใช่! 

คุณเอมอรร้องบอกตัวเอง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ราบเรียบ นิ่งสงบ และจ้องจับผิดไปพร้อมกัน
   
“หลักฐานบนตัวเธอ มันบอกว่าเธอไปหลับนอนกับใครมา แต่ไม่ใช่หลักฐานที่จะบอกว่าลูกชายฉันทำอะไรเธอ ฉะนั้นเลิกใส่ร้ายลูกฉันได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นบอกว่าเธอไม่ยอมรับหลักฐานบนร่างกายของเด็กหนุ่มรุ่นลูก ส่วนเจ้าของหลักฐานก็เหมือนจะอึ้งและหน้าชาไปหลายนาที ก่อนจะค่อยๆ ยัดกระดุมเม็ดเล็กใส่รังดุมจนครบ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม

   “ผมไม่ได้ใส่ร้าย” เขาตอบกลับ คณิตคิดว่าเรื่องจะง่าย เพราะหลักฐานมันชัดเจนอยู่บนตัวเขาแล้ว แต่เขาก็ลืมไปว่าหลักฐานไม่ได้ระบุตัวคนทำได้เลย คุณเอมอรคงคิดว่าเขาใส่ร้ายลูกชายเธอ ดังนั้นคณิตจึงต้องหาทางพิสูจน์ความจริงที่เกิดขึ้น ว่าสิ่งที่ปรากฏบนร่างกายของเขา ทั้งที่เปิดเผยให้คุณเอมอรเห็นและที่เปิดเผยไม่ได้อีกเล่า เป็นสิ่งที่ลูกชายคุณเอมอรทำจริงๆ ไม่ใช่ใครคนไหนทั้งสิ้น

คณิตตัดสินใจล้วงโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อคืนเขาเพิ่งอ้อนขอคืนจากอชิตะมาได้ แล้วการที่วันนี้เขาออกจากบ้านได้ก็เพราะหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาทำตัวดี ว่าง่าย ทำตามคำสั่งของอชิตะทุกอย่าง ไม่มีโวยวายหรือทำพยศใส่ เมื่ออีกฝ่ายอยากกกกอดเขาด้วยลีลารักรูปแบบไหน เขาเต็มใจเพื่อให้อชิตะไว้ใจ จนกระทั่งวันนี้ เขาบอกอชิตะว่าอยากกลับมาทำงาน เพราะเบื่อที่ต้องอยู่แต่ภายในบ้าน เจ้าตัวยอมเพราะเห็นว่าเขาเปลี่ยนไป และเขาก็อาศัยจังหวะที่อชิตะเผลอหนีออกมาจากบริษัท แล้วมาหาคุณเอมอรที่นี่

พอล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา หน้าจอก็ฟ้องรายละเอียดว่ามีใครโทรเข้ามาหาเขาบ้าง ซึ่งก็มีแค่คนเดียวกับห้าสิบสายเรียกเข้า ดีที่เขาปิดเสียงและปิดระบบสั่นด้วยก่อนแล้ว

นั่นไง โทรเข้ามาอีกแล้ว

คณิตยิ้ม นี่แหละคือหลักฐานชิ้นดีที่สุดที่จะทำให้คุณเอมอรเชื่อว่า เขาไม่ได้ไปหลับนอนกับใคร นอกจากลูกชายคนเล็กของเธอคนเดียว

“ถ้าคุณเอมอรอยากได้หลักฐานที่ชัดกว่าสิ่งที่อยู่บนตัวผม ผมก็ขอให้คุณเอมอรฟังนี่ให้ดีนะครับ” คณิตกดรับสายที่โทรเข้ามา พร้อมกับเปิดลำโพงให้เจ้าของห้องได้ยินสิ่งที่ดังออกมาแทบจะทันที ชายหนุ่มวางโทรศัพท์เครื่องบางบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่

ภายในห้องเงียบ ราวกับต้อนรับเสียงที่ดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์

“หนึ่ง! คุณอยู่ไหน!” คำถามที่บรรจุไว้ซึ่งอารมณ์ฉุนเฉียวของอชิตะ

“คุณไม่ต้องสนหรอกว่าผมอยู่ไหน”

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”

“คุณรู้เรื่องของคุณคนเดียวน่ะสิ ผมรู้เรื่องอะไรด้วยไหม”

“กลับมาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ผมจะโมโหมากกว่านี้ และก่อนที่ผมจะตามตัวคุณเจอ แล้วคุณจะไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย” เสียงนั้นข่มขู่ด้วยความโกรธสุดขีด จนใบหน้าของคนที่ปฏิเสธหลักฐานชิ้นแรกมีริ้วรอยโกรธเกรี้ยวกับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป

เสียงของลูกชายเธอ เป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เอมอรไม่อยากเชื่อว่าลูกชายคนเล็กได้ผิดเพศไปเสียแล้วอย่างนั้นหรือ

“ผมไม่อยากวิปริตเหมือนคุณ” คณิตตอบคนที่อยู่ปลายสาย พลางส่งสายตาบอกคุณเอมอรเป็นเชิงถามว่า ‘เชื่อหลักฐานของผมหรือยัง’

“วิปริตงั้นหรือหนึ่ง! การที่ผมรักคุณ มันเป็นเรื่องวิปริตอย่างนั้นหรือ” แว่วว่าได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ลอดออกมาพร้อมกับคำถามเกรี้ยวกราดนั้นด้วย

“ใช่ครับ คุณมันวิปริตไปแล้ว”

“แล้วไอ้คนที่นอนครางอยู่บนเตียงผมทุกคืนล่ะ เรียกว่าวิปริตด้วยไหมหนึ่ง ชอบเหมือนกันไม่ใช่หรือไงตอนที่ผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณ เสร็จคามือผมไปกี่รอบแล้วห๊ะหนึ่ง!”

“หยาบคาย!”

ไม่ใช่เสียงของคนที่กำลังลอบยิ้มสมใจ ทว่าเป็นเสียงตวาดอย่างสิ้นความอดทนของคุณเอมอร เธอทนฟังสิ่งที่ออกมาจากปากลูกชายของตัวเองไม่ได้

“คุณแม่!”

คุณเอมอรคว้าโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาจากโต๊ะ ปิดลำโพง ก่อนจะยกขึ้นแนบหู

“แกเป็นได้ถึงเพียงนี้หรือห๊ะอิง ทำกับผู้หญิงแม่ก็ว่าเลวแล้วนะ แต่นี่ผู้ชาย แกทำได้ยังไงห๊ะ แล้วหนูหวานล่ะ แกกำลังจะแต่งงานกับน้องนะ”

“.....”

“แกบ้าไปแล้วหรือไง ฉันเลี้ยงแกมาให้เป็นคนอย่างนี้เหรอ”

“....”

“พอๆ ฉันไม่อยากฟัง แกหลงมันเกินไปแล้วนะ”

“.....”

“แกจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันไม่ยอม คนที่แกจะแต่งงานด้วยได้มีแค่หนูหวานคนเดียวเท่านั้น”

“.....”

“อย่าต่อกรกับฉัน!”

“.....”

“ฉันเป็นแม่แกนะอิง ฉันมีสิทธิ์ทำอะไรกับชีวิตแกก็ได้”

คณิตไม่รู้หรอกว่าคนปลายสายบอกหรือตอบโต้มารดาตนอย่างไรบ้าง แต่ก็พอใจที่เรื่องทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่เขาอยากให้เป็น คุณเอมอรรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาแล้ว ต่อจากนี้ไปเธอจะเป็นคนจัดการอชิตะให้ออกไปจากชีวิตของเขา โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

ถ้าให้เลือกระหว่างเขากับณัชชา คนเป็นแม่และชอบบงการชีวิตลูกๆ ย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกและตัวเอง และสิ่งที่ดีที่สุดย่อมไม่ใช่เขา แต่เป็นณัชชา คนที่มีพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล

และไม่ใช่ผู้ชาย!
   
“เธอต้องการอะไรว่ามา” คำถามดังขึ้นหลังจากคุณเอมอรปิดการสนทนากับลูกชายคนเล็กลง เธอโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างไม่นึกกลัวว่ามันจะพัง ดวงตาคมสวยในหน่วยตากว้างจ้องเด็กหนุ่มราวกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ      

“ผมต้องการให้คุณเอมอรจัดการลูกชายของคุณ อย่าให้เขามายุ่งกับผมอีก”

คณิตมาเพื่อสิ่งนี้ คุณเอมอรจะช่วยเขาได้ เขาเชื่อว่าคุณเอมอรจะดึงสติของลูกชายตนกลับมาได้ อชิตะจะได้เลิกบ้าซะที และไม่ใช่เท่านี้ที่คณิตต้องการ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้

“...และผมขอเงินหนึ่งล้าน”

“สำหรับอะไร?”

“เป็นค่าเสียหายที่ลูกชายคุณทำกับผม” พูดจบก็ถูกสายตาดูถูกตวัดมองให้หน้าชา แต่มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่เป็นแบบนี้   

“อย่าหวังว่าจะได้จากฉันแม้แต่บาทเดียว” 

คณิตก็ไม่ได้หวังอยู่แล้ว ความจริงเขาไม่ได้ต้องการเงินค่าเสียหายแม้แต่สลึงเดียวด้วยซ้ำ เขาแค่อยากให้ตัวเองดูเลวก็เท่านั้น

ความเลวที่นอกจากจะทำให้คุณเอมอรเกลียดขี้หน้าเขา อีกคนก็ต้องเกลียดตามไปด้วย เพราะพอเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายไปถึงหูอชิตะเมื่อไหร่ ก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากคนเป็นแม่ เรื่องจะได้จบอย่างสวยงามสำหรับเขา ที่ไม่มีอชิตะมาคอยหลงใหลคลั่งไคล้อีกต่อไป

“งั้นผมขอเพิ่มเป็นสิบล้าน สำหรับเป็นค่าจ้างออกไปจากชีวิตของลูกชายคุณ คุณเอมอรคงไม่อยากได้สะใภ้เป็นผู้ชายใช่ไหมครับ” มันจะช่วยให้เขาดูเลวขึ้นอีกเท่าตัว

“เฮอะ!” คุณเอมอรกระแทกเสียงหยัน “ก็ไหนเมื่อกี้จะให้ฉันช่วยจัดการลูกชายไม่ให้ยุ่งกับเธอไม่ใช่หรือไง” ปากพูดเหมือนจะไม่จ่ายตามที่คณิตเรียกร้อง แต่มือก็หยิบสมุดเช็คเงินสดจากลิ้นชักขึ้นมาวางบนโต๊ะ กรอกตัวเลขและลายเซ็นลงไปอย่างรวดเร็ว

เงินแค่สิบล้าน เธอจ่ายได้สบายอยู่แล้ว ดีเหมือนกัน ลูกชายเธอจะได้เห็นว่าผู้ชายที่มันตะโกนใส่หูเธอปาวๆ ว่าเป็นเมียนั้น มันหน้าเงินขนาดไหน จะได้ตาสว่างซะที

สิบล้าน...ถือว่าน้อยกว่าที่เคยใช้ฟาดหัวผู้หญิงเห็นหิวเงินที่หวังจะจับลูกชายเธอ

“เอาไป แล้วก็ออกจากชีวิตลูกชายฉันซะ”

“ขอบคุณครับ” บอกพลางยื่นมือไปรับเช็คที่อีกฝ่ายส่งมาให้ แผนของเขาเสร็จลงแล้ว จากนี้ก็รอแค่ผลของมัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่นานเกินรอหรอก ในเมื่อหากวิ่งสุดฝีเท้าจากบริษัทของอชิตะมาที่นี่แล้วละก็ ใช้เวลาไม่น่าจะเกินสิบนาที

ดูเอาเถอะ เดี๋ยวประตูด้านหลังของเขาก็จะถูกกระชากเปิด พร้อมกับร่างชุ่มเหงื่อและอาการหอบแฮ่กๆ ของคนที่ทั้งเขาและคุณเอมอรกำลังรอคอย

นั่นไง มาแล้ว

“หนึ่ง!” สุ้มเสียงเข้มจัดด้วยความโกรธที่ก่อตัวดังไฟร้อนดังจากด้านหลัง ก่อนมือใหญ่ของลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรจะปรี่เข้ามากระชากแขนคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น “มาที่นี่ทำไม?” คำถามที่ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว

“ผมก็แค่อยากได้เงินชดเชยสิ่งที่คุณเอาไปจากผม” คณิตโบกกระดาษแผ่นเล็กที่มีมูลค่าสิบล้านบาทไปตรงหน้าลูกชายเจ้าของเงิน 

“หมายความว่าไง?” อชิตะถามด้วยความงงที่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธคนตัวเล็ก อชิตะไม่คิดว่าจะถูกคณิตหักหลัง มิน่าล่ะ อาทิตย์ที่ผ่านมาเจ้าตัวถึงทำตัวดีนัก ทำให้เขาหลงเข้าใจว่าเจ้าตัวจะไม่หนีเขาไปไหนแล้ว

“ก็หมายความว่ามันมาเรียกร้องเงินจากฉันสิบล้าน แลกเปลี่ยนกับการที่มันจะออกไปจากชีวิตของแกไงอิง ตาสว่างซะที มันไม่ได้รักชอบแก มันแค่อยากได้เงิน แล้วแกก็ปล่อยมันได้แล้ว" เธอสั่งในประโยคสุดท้าย ก่อนก้าวเข้าไปกระชากมือลูกชายออกมา “ได้เงินก็ไปซะ อย่ากลับเข้ามาในชีวิตลูกฉันอีก” หันไปสั่งคณิต ขณะที่อชิตะก็ยังทำอะไรไม่ถูก เขาไม่อยากเชื่อว่าคณิตมาหามารดาเขาเพื่อเรียกร้องเงินสิบล้าน

“แน่นอนครับ ผมจะไม่กลับเข้ามาในชีวิตลูกชายคุณอีก แต่ถ้าผมกลับมาเมื่อไหร่ ก็เชิญคุณแจ้งตำรวจจับผมข้อหาขู่กรรโชกได้เลย ผมยินดีจะเข้าไปอยู่ในคุก” คณิตวางแผนมาอย่างดีแล้ว เขาถึงกล้าพูดออกมาแบบนี้

เขาจะเลวในสายตาอชิตะ และต่อให้อชิตะรักเขาจริง ให้อภัยความเลวของเขาได้ อีกฝ่ายก็คงไม่อยากให้เขาติดคุกข้อหาขู่กรรโชกเงินจากคุณเอมอรเป็นแน่ มันจะทำให้อชิตะไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป

“ขอบคุณนะครับสำหรับเงินสิบล้าน” เขาบอกคุณเอมอรอีกครั้ง แล้วหันไปบอกคนที่มองเขาด้วยสายตาผิดหวัง ทำเอาหัวใจบ้าบอของเขาถึงกับเซ “ลาก่อนนะครับบอส ถ้าไม่อยากให้ผมติดคุก ก็อย่ามายุ่งกับผมอีก ผมไปละ”

เดินพ้นความยิ่งใหญ่ของตัวอณาจักรเอนกดำรงฤทธิ์มาได้ คณิตก็ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด ร่างกายผ่อนคลายขึ้นมาแทบจะทันทีทันใด ระหว่างที่เปิดประตูห้องทำงานของคุณเอมอรออกมา ก็กลัวเหมือนกันว่าอชิตะจะตามออกมาฉุดกระชากเขาเหมือนเป็นตุ๊กตาแสนหวง ที่ต้องเอากลับไปนอนกอดบนเตียงที่บ้านให้ได้

แต่พอก้มดูตัวเลขบนกระดาษเช็คเงินสดแล้ว ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปหลายที คณิตคิดไม่ตกว่าจะทำอะไรกับเงินจำนวนนี้ดี ไม่ได้วางแผนเรื่องใช้เงินจำนวนมากนี่มาซะด้วยสิ ไม่ใช่ไม่ชอบเงิน แต่ถ้าเป็นเงินที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้วละก็ คงจะดีกว่านี้มาก เขาจะได้ใช้มันอย่างภูมิใจ แต่นี่เป็นเงินที่เรียกว่า ‘ขู่กรรโชก’ เอามาเลยก็ว่าได้ หรือจะพูดให้ตัวเองอับอายยิ่งขึ้นก็ต้องเรียกว่าเงิน ‘ค่าตัว’ 

“เอาไงดีละ”

ยืนคิดอยู่สักพัก คณิตก็ยิ้มออก เขาคิดได้แล้วว่าควรทำอย่างไรกับเงินสิบล้านที่ได้มา เงินที่คุณเอมอรจ่ายได้อย่างง่ายดายคล้ายเป็นเศษเงินของคนรวยมหาศาล แต่สำหรับคนกลุ่มใหญ่ที่ด้อยโอกาสในสังคม เด็กถูกทิ้ง คนชรา ผู้พิการในมูลนิธิต่างๆ เงินสิบล้านในมือเขาคงช่วยคนกลุ่มนั้นได้เยอะเลยทีเดียว

“เอาวิธีนี้แหละดีที่สุด”

เขาจะได้ไม่รู้สึกผิดด้วย

*      *      *


ตู้ม!

เสียงร่างหนาที่ยังห่อหุ้มด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลกปะทะเข้ากับผิวน้ำแล้วแตกกระจาย ร่างนั้นดำดิ่งลงไปจนถึงใต้สระ ก่อนจะพลิกตัวกลับ ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำในเวลาต่อมา อชิตะเสยผมเปียกชุ่มของตัวเองไปด้านหลัง ลูบเม็ดน้ำออกจากใบหน้า จากนั้นก็พาตัวเองขึ้นจากความฉ่ำเย็นของสายน้ำ ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างสระน้ำ หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าและผม แล้วเอนตัวลงนอนหนุนแขนตัวเอง มองท้องฟ้าสีราตรีเงียบสงบ ร้างไร้ดวงดาว

มันสนุกตรงไหน!

อชิตะไม่เห็นความสนุกสนานหรือผ่อนคลายใดๆ เลย เมื่อร่างของตนกระโจนลงไปในน้ำและดำลึกไปจนถึงก้นสระ ทำไมคณิตถึงได้ชอบนักนะ ทุกครั้งที่คณิตมาที่บ้านหลังนี้ หรือแม้แต่คอนโดมิเนียมหลังเก่าของเขาที่ขายต่อให้ภาคีไปแล้วนั้น คนตัวเล็กจะต้องกระโจนลงสระว่ายน้ำ แหวกว่ายไปมา ทำตัวเหมือนปลาเจอน้ำ หัวเราะเสียงดังลั่นด้วยน้ำเสียงมีความสุขล้นเหลือ

เขาไม่เห็นจะหัวเราะได้เหมือนคณิตเลย!

ไม่มีความสุขเลยด้วยซ้ำ!

เนื้อตัวของเขาเริ่มออกอาการสั่น เนื่องจากความเปียกชื้นของเครื่องนุ่มห่ม กับสายลมยามดึกที่โอบล้อมรอบกายเหมือนจะกลั่นแกล้งให้เหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ อยากดับความเหน็บหนาวที่เกิดขึ้นด้วยร่างกายของใครบางคน คนตัวเล็ก กายขาวและมีกลิ่นหอมยั่วใจ สัมผัสคราวใดเป็นต้องหักห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เกือบสิบวันแล้วที่ไม่ได้กกกอดไว้แนบอก

“คุณทำอะไรอยู่ตอนนี้หนึ่ง”

เขาถามเอากลับความเงียบรอบตัว ไม่มีคำตอบให้คลายความถวิลหา

“หรือกำลังสนุกกับเงินสิบล้าน”

เช็คสิบล้านถูกขึ้นเงินไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เขารู้จักมาเป็นระยะเวลาหลายปีจะเป็นคนแบบนี้ กล้าเรียกร้องเงินถึงสิบล้านจากมารดาของเขา อยากได้เงินนักทำไมไม่เอาที่เขา คนอย่างอชิตะให้ได้มากกว่าสิบล้านเสียด้วยซ้ำ

มันต้องมีเหตุผลสิ เหตุผลที่ทำให้คณิตเรียกร้องเงินจำนวนสิบล้านเป็นค่าเสียหายของตัวเอง

อชิตะหลับตาลง เพื่อใช้สมองครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายวันแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร อยากได้เงินทำไมไม่เอาจากเขา ทำไมต้องไปหามารดาเขาที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย

หึ...ปากหนากระตุกยิ้มเมื่อเวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมง หลังจากใช้สมองทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ทุกคำถามเริ่มมีคำตอบ มองเห็นในสิ่งที่เคยมองไม่เห็น เข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ สิ่งที่คณิตทำคือ ‘แผน’ หรือเปล่า

‘แผน’ ง่ายๆ ที่จะออกไปจากชีวิตเขา ใช้มารดาเขาเป็นเครื่องมือ ใช้เงินสิบล้านเป็นตัวช่วย

*** จบตอนที่ 15 ***
แอบบอก ตอนนี้เขียนตอนพิเศษจบแย้ว เฮ้อ...ทรหดมากกกก
BY สีเหลืองอ่อน



หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 15 UP 10-05-17
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-05-2017 23:32:46
รู้สึกว่าอิงเป็นพระเอกที่ไม่ได้เรื่องอ่ะ 55555
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 16 UP 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 20-06-2017 23:51:01
16

“อะไร?”
สายตาของคนมากวัยกว่าเลื่อนจากเช็คเงินสดที่วางลงบนโต๊ะทำงานหลังใหญ่ของตนขึ้นไปยังใบหน้าของลูกชายคนเล็ก ที่ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่จะนั่งสนทนาให้ยืดยาว เพราะธุระของเจ้าตัวใช้เวลาไม่นาน...
อชิตะแค่เอาเงินมาคืนคนเป็นแม่   
“ผมเอาเงินมาคืน เงินที่เมียผมเอาของคุณแม่ไป” อชิตะพูดคำว่า ‘เมีย’ ได้เต็มปาก ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีกแล้ว ปัญหาที่กลัว ถ้าไม่กลัว เขาจะผ่านมันไปได้
“เมื่อไรแกจะเลิกบ้าฮึ ฉันเลี้ยงแกมาให้วิปริตผิดเพศหรือไง นั่นมันผู้ชาย แกจะรักจะแต่งงานกับมันได้ยังไง ถ้าแกไม่อายใคร ก็คิดถึงหน้าบางๆ ของฉันบ้าง” คุณเอมอรบอกอย่างเหลืออด เพราะเธอเดือดร้อนกับเรื่องนี้มาก ไม่คิดเลยว่าลูกชายคนเล็กจะสร้างความร้อนเนื้อร้อนใจได้มากกว่าลูกชายคนไหน พวกนั้นหาเมียที่ไม่ถูกใจเธอ แต่ก็เป็นผู้หญิง!
แต่นี่อะไร ลูกชายคนเล็กที่ไม่เคยสร้างปัญหาเรื่องผู้หญิงให้เธอปวดหัวแม้แต่นิดเดียว บัดนี้กลับทำสิ่งที่คาดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะมายืนบอกเธอได้หน้าตาเฉยว่ามี ‘เมีย’ เป็นผู้ชาย
เลือกผู้ชายมาเป็นเมีย คนเป็นแม่ไม่ยอมเด็ดขาด!
“เก็บเช็คของแกไป แล้วกลับไปขอโทษหนูหวานซะ”
คนเป็นลูกก็ใช่จะยอมเหมือนกัน ในเมื่อเลือกแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว เลือกทำให้อดีตคนรักเสียใจไปแล้ว ข่มแหงร่างกายของผู้ชายคนหนึ่งไปแล้ว รักไปแล้ว หลงไปแล้ว แล้วจะกลับไปเดินเส้นทางเดิมได้อย่างไร
“ผมมีธุระกับคุณแม่แค่นี้ครับ” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของมารดาทันที ไม่ได้สนใจว่าคนเป็นแม่จะตะโกนตามหลังมาว่าอย่างไร หรือฉีกเช็คใบนั้นเป็นกี่ร้อยชิ้นก็ตาม อชิตะไม่สนใจมากไปกว่าการที่เขาต้องรีบไปทำธุระที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือการไปตาม ‘เมีย’ กลับบ้าน

เสียงทุบประตูดังโครมๆ มาพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกโหวกเหวก กระชากร่างซึ่งหลับใหลบนเตียงให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดที่ถูกปลุกแต่เช้า เมื่อหันมองนาฬิกาเรือนเล็กบนโต๊ะข้างเตียงแล้วพบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้ากับอีกสิบห้านาที
เจ็ดโมงสิบห้านาที รู้ไหมว่ามันเช้าเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีงานทำอย่างคณิต!
“ไอ้หนึ่งเปิดประตู!” เสียงห้าวดุเรียกด้วยความโมโหเป็นของพี่ชายคนที่สาม ผู้มีนามอันน่าอิจฉาว่า ‘มีนา’ เป็นชื่อที่หากเขาเกิดก่อนพี่ชายคนที่สามแล้วละก็ คงมีโอกาสได้ใช้มันไปแล้ว
มีนารับช่วงกิจการอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ของบิดาในตัวอำเภอเล็กๆ ของจังหวัดทางภาคเหนือ ส่วนพี่ชายอีกสองคนของคณิตนั้น คนโตเป็นปลัดอำเภอ คนรองไปช่วยกิจการร้านขายเหล็กของครอบครัวภรรยาคนสวย
คณิตเดินหัวฟูหน้ายุ่งไปเปิดประตูให้พี่ชาย ยังไม่ทันได้อ้าปากโวยวายที่ถูกรบกวนเวลานอน ก็ได้อ้าปากค้างแทน เมื่อพี่ชายเอ่ยบอกเสียงเข้มจัดทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ผัวมึงมาตามกลับบ้าน”
คนถูกตามกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ตั้งสติได้แล้วจึงต้องรีบถามกลับ เผื่อว่าจะฟังอะไรผิดไป   
“อะ...อะไรนะ”...ถึงจะพยายามคิดว่าฟังผิดไปแน่ๆ ต้องไม่มี ‘ผัว’ หรือใครมาตามเขาทั้งนั้นแหละ แต่ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดัน กลับลอยมาตีแสกหน้าคณิตจังๆ อย่าบอกนะว่าอชิตะตามมาถึงบ้านเขา แล้วบอกครอบครัวเขาว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกัน
“ผัวมึงมาตามกลับบ้าน” คนเป็นพี่พูดย้ำประโยคเดิม
“.....” คณิตยังอึ้งอยู่ ยังไม่อยากยอมรับว่าคนในครอบครัวรู้แล้วว่าเขาเสร็จผู้ชายด้วยกันเอง
“ลงไปสิ มาง้อถึงนี่เชียวนะ” พี่ชายลากเสียงล้อ
“ขะ...เขา...บอก...อย่างนั้นเหรอพี่สอง...” กล้ามากนะอชิตะ อย่าให้เขาลงไปเจอนะ จะซัดให้ปากแตกจนต้องกินข้าวต้มไปทั้งปีแน่
“ไอ้หนึ่ง มึงอย่าบอกนะว่า...” คนเป็นพี่เป็นฝ่ายอึ้งรับประทานบ้าง กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอแล้วถึงได้พูดต่อจนจบประโยค “...มันเป็นผัวมึงจริงๆ”
มีนาตั้งใจมาตามน้องชายลงไปพบแขกของเจ้าตัวที่บุกมาถึงบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ากับอีกสองสามนาที ด้วยการแกล้งอำเล่น นึกว่าน้องชายจะโวยวายที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นเมียผู้ชาย ก่อนจะถามว่าใครกันแน่ที่มาหาแต่เช้าเช่นนี้ แต่น้องกลับยืนตัวแข็ง หน้าซีด ตาค้าง และติดอ่างขึ้นมาทันที
“.....” คณิตปิดปากเงียบ ไม่อยากบอกว่า ‘ใช่’ และไม่อยากยอมรับด้วย
“กูแค่จะอำมึงเล่น เป็นจริงได้ไงวะ” เหมือนมีนาพึมพำกับตัวเองมากกว่า
ห๊า! อำเล่น เล่นได้จริงมาก คณิตครางในใจ เป็นเขาที่คายความจริงออกมาซะเอง สงสัยต้องต่อยปากตัวแล้วสิ
คณิตจะแก้ตัวตอนนี้ไม่ทันซะแล้ว ได้แต่มองตามมือพี่ชายที่ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรออกไปยังปลายสาย ไม่นานนักก็กรอกเสียงเข้มดิบเถื่อนอย่างสุดๆ ลงไป โดยที่ยังไม่ละสายตาจากใบหน้าของเขา ราวกับคาดโทษว่า...
‘มึงตายแน่ เสือกมีผัว’
“สี่...มึงรีบมาบ้านด่วน โทรบอกไอ้สามด้วย...เออ!...ลุกมาเลย...ด่วนมาก!...แม่งไอ้เชี่ย...น้องมึงมีผัวไง! สำคัญไหม...เออ...มีกี่กระบอกก็เอามาให้หมด”
แล้วพี่ชายคนที่สามของคณิตก็วางสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเหมือนเดิม กลับมาพูดกับน้องชายต่อด้วยสุ้มเสียงที่เข้มและเถื่อนน้อยลง แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
“แม่ง! กูก็เข้าข้างมึงมาตลอดนะไอ้หนึ่ง ว่ามึงต้องไม่ใช่ มึงก็บอกกูว่าไม่ใช่ พูดซะกูกล้าพนันกับพวกมัน...เป็นไงล่ะ กูต้องเสียเงินแสนให้พวกมันจนได้สิวะเนี่ย” สำหรับมีนา เงินหลักแสนมันน้อยซะเมื่อไรกันเล่า
เนื่องจากคณิตเป็นน้องชายคนเล็กที่ตัวเล็กสมกับตำแหน่งมาก ขณะที่พี่ทั้งสามตัวสูงใหญ่ได้บิดามาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรูปร่าง ส่วนคณิตรูปร่างหน้าตาคล้ายมารดา พานทำให้พี่ทั้งสามกลัวว่าน้องชายคนเล็กจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แทนที่จะได้น้องสะใภ้อาจได้น้องเขยมาแทน คณิตต้องยืนยันเสียงแข็งว่าตนเป็นผู้ชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผ่านการขึ้นครูมาแล้ว หลีหญิงก็เป็น แม้จะจีบสาวไม่ค่อยติดก็เถอะ
ทว่าพี่ชายทั้งสามก็ยังมองน้องชายด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นชายแท้ทั้งแท่ง ก็มีแต่มีนาที่ดูจะเข้าข้างความเป็นแมนของคณิตบ้างนิดหน่อย การพนันขันต่อระหว่างพี่น้องจึงเริ่มต้นขึ้นตามประสาวัยคะนองเมื่อครั้งที่คณิตยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย โดยวางเงินเดิมพันคนละแสน มีผลแพ้ชนะเมื่อคณิตแต่งงานกับผู้หญิง...หรือผู้ชาย
‘กุมภา’ พี่ชายคนโต กับ ‘ตุลา’ พี่ชายคนรองจะได้เงินคนละแสนจาก ‘มีนา’ ในกรณีที่คณิตพาผู้ชายเข้าบ้าน ในฐานะสามีหรือภรรยาก็ได้
ส่วนมีนาจะได้เงินจากกุมภาและตุลา...คนละแสน รวมกันก็จะได้สองแสน ในกรณีที่คณิตแต่งงานกับผู้หญิง
เพราะเหตุนี้ไง คณิตเลยอดคิดไม่ได้ว่าที่มีนาหัวเสีย มองตาขวาง จะงับหัวเขาได้อยู่แล้ว เป็นเพราะเจ้าตัวต้องเสียเงินสองแสนหรือเปล่า
“ก็ใครใช้ให้พี่สองเล่นเยอะขนาดนั้นเล่า ก็...น่าจะหลักพันก็พอ” เขาพูดไม่เต็มเสียงนัก ยิ่งโดนมีนามองด้วยสายตาอยากกระโดดงับหัวเขาแล้วด้วย อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า
“เด๊ะๆ เดี๋ยวโดน” มีนาชี้หน้าน้องชายที่ทำให้ตนเสียเงินแสน ไม่ใช่แสนเดียวด้วย แต่สองแสน เพราะต้องจ่ายให้พี่ชายสองคน คนละแสน “มึงทำให้กูเสียเงินแสนนะไอ้น้องเวร”
หัวคิ้วพี่ชายของคณิตขมวดยุ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนคลายออกมาได้ เมื่อคิดอะไรบางอย่างออกมาได้ 
“แต่กูไม่ยอมเสียเงินสองแสนคนเดียวแน่” เรื่องอะไรจะยอมเล่า เงินสองแสนนะ ไม่ใช่เงินสองร้อย มันต้องมีตัวหาร และตัวหารก็คือคนที่ทำให้เสียเงินสองแสน “มึงเลยไอ้ตัวดี คนละครึ่งเลยนะ มึงแสนห้า กูห้าหมื่น”
“อ้าว! ทำไมผมต้องจ่ายด้วยล่ะพี่สอง ผมไม่ได้พนันกับพวกพี่ซะหน่อย” ...แล้วมันครึ่งตรงไหนกันวะ ลืมไปว่า พี่ชายคนนี้ตกเลข สมองทึบกว่าพี่น้องคนอื่น
“ก็มึงหลอกกู หลอกว่าแมนแท้ๆ แมนทั้งแท่ง แล้วไงล่ะ แมนมากนะมึง แมนๆ มีผัว” พี่ชายเอ่ยประชดเสียงเล็กเสียงน้อย แบบที่ทำเอาน้องชายอยากปิดประตูใส่หน้านัก
“ก็ผม...” พอโดนชี้หน้าอีกที ก็ต้องรีบหุบปากที่จะเถียงกลับ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเป็นน้องคนเล็ก มันก็ดีแค่ตอนเด็กๆ มีพ่อแม่โอ๋เอาใจ ได้ทุกอย่างก่อนพี่ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนม ของเล่น เสื้อผ้าฯลฯ ถ้าพวกพี่แกล้ง แค่ร้องไห้นิดเดียว พี่ชายก็โดนพ่อแม่ลงโทษทันที แต่พอโตจนช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว เขาก็งัดข้อกับพี่ชายทั้งสามไม่ได้เลย มีแต่ ‘ครับๆ’ ตลอด   
เขากับพี่ชายทั้งสามคน อายุห่างกันมาก จะเรียกเขาว่าลูกหลงก็ไม่ใช่ เพราะเขาคือความพยายามของพ่อกับแม่ตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว ว่าจะมีลูกสี่คน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า ‘สี่’...คนรองว่า ‘สาม’...และคนที่สามว่า ‘สอง’ เพราะจะให้ลูกคนสุดท้ายชื่อ ‘หนึ่ง’ ไงล่ะ
พอลูก ‘คนที่สาม’ ที่ชื่อ ‘สอง’ ลืมตาขึ้นมาหายใจเอาอากาศบนโลกเข้าปอดนานหลายปีแล้ว แต่ลูกชายคนสุดท้ายที่ตั้งเป้าไว้กลับไม่ยอมมาเสียที รอจนเกือบตัดใจปิดอู่แล้วเชียว ลูกคนที่สี่อย่างเขาถึงได้โผล่เข้ามาอยู่ในท้องแม่และกว่าจะโผล่หน้ามาให้เห็นก็ใช้เวลาเกือบสิบเดือนแน่ะ มิหนำซ้ำเขายังเกิดเดือนเดียวกับพี่ชายคนที่สามด้วย ก็เดือนมีนาคมไง
ถ้าเขาอดทนอีกสักวันสองวันก็ได้เกิดเดือนเมษาไปแล้ว ชื่อก็คงไม่ใช่ ‘คณิต’ แต่เป็น ‘เมษา’ ให้ชื่อได้เข้ากับพวกพี่ชายหน่อย เพราะอย่างนี้เขาเลยรู้สึกแปลกแยก ยิ่งโต ยิ่งแปลกไปอีกที่ร่างกายไม่ยักจะสูงใหญ่เหมือนพี่ๆ เลยกลายเป็นเรื่องถูกล้อ นำไปสู่การพนันของพี่ชายทั้งสามคน
พี่ชายยืนมองน้องชายตาขวางสักพัก ถึงได้ถอนใจยาวอย่างปลงๆ
“ลงไปดูมันหน่อย สภาพแบบนั้นก็ขับรถมาได้นะ”
สภาพแบบนั้น มันสภาพแบบไหน คณิตสงสัย แต่ก็ไม่ถาม แล้วก็ไม่อยากลงไปดูด้วย...ใจแข็งและปากกล้าเข้าไว้ไอ้หนึ่ง!
“ไม่ลงไปหรอก ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน พี่สองลงไปไล่มันด้วย ถ้าไล่มันกลับได้นะ เดี๋ยวผมจ่ายหนี้พนันแทนให้เลย”
“ค่ากระสุนด้วยนะมึง นัดละแสน”
คุณมาลัยคงจะยอมให้บรรดาลูกชายเล่นปืนในบ้านหรอก อย่างมากก็ได้แค่หมัดสองหมัด แลกกับไม้เรียวของคุณมาลัยที่ไม่ชอบเห็นลูกชายใช้กำลังแก้ปัญหาหรือทำร้ายใคร โตจนขี่หลังควายแล้วควายหนักก็เถอะ ยังไงซะลูกชายบ้านนี้ก็หนีไม่พ้นไม้เรียวของคนเป็นแม่ ส่วนสามีคุณมาลัยอย่างคุณวิกรม...ว่าไงก็ว่าตามเมียสุดที่รักอยู่แล้ว
“กล้าจริง ผมก็กล้าจ่าย”
...รนหาที่เองนะบอส!

จัดการล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อยืดสีเขียวมะนาวกับกางเกงขาสั้นสีตุ่นๆ คณิตก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่งของตัวเองต่อ...แบบคนที่ไม่รู้จะทำอะไรในเช้าที่วุ่นวายใจ ดูเวลาก็เกือบแปดโมง
คณิตนอนมองเพดานสีขาวได้ไม่ถึงห้านาที ก็มีคนมาเคาะประตูห้องในจังหวะช้าและเบา เจ้าของห้องเดาได้เลยว่าเป็นมารดาของตน คณิตเด้งตัวลุกจากเตียง เดินช้าๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ ไปยังประตู เขากลัวว่าพี่ชายทั้งสามคน มันจะบอกเหตุผลว่าทำไมถึงได้ทำร้ายแขกของลูกชายคนเล็กน่ะสิ
พอเปิดประตูเท่านั้น คณิตก็ถึงกับผงะ เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ ตรงมุมปากขึ้นสีแดงจางๆ จากกำปั้นของลูกชายคนใดคนหนึ่งของคุณมาลัยกับคุณวิกรม คณิตอยากรู้ว่ากำปั้นเป็นของใคร?
พี่สี่...พี่สาม...หรือพี่สอง คณิตจะให้รางวัลได้ถูกคน แต่อชิตะคงไม่เจ็บมากใช่ไหม อย่างน้อยมารดาของเขาอยู่ด้วย พี่ชายทั้งสามคนไม่กล้าทำอะไรมาก น่าจะแค่ต่อยแต่ไม่ถึงกับกระทืบ
แต่ลับหลังก็ไม่แน่...มีโดนหนักจนอ่วม คลานแทนเดินแน่ คณิตรู้จักนิสัยพี่ชายทั้งสามคนดี แม้จะชอบแกล้งน้องชายแค่ไหน แต่ก็ไม่ลืมที่จะรักและหวงน้องชายตัวเท่ามดอย่างเขาหรอก กี่รายแล้วที่โดนทั้งมือและตีนพี่ชายทั้งสามของเขาประเคนให้ ข้อหามารังแกน้องชายสุดรัก
“ยืนมองอะไรฮึ พาพี่เขาเข้าไปในห้องสิ” คำพูดของคุณมาลัยติดจะตำหนิหน่อยๆ ก่อนนางจะขยับไปทางซ้ายมือนิดหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้แขกของลูกชายคนเล็กเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปในห้องนอน
“นอนพักก่อนนะลูก สายๆ แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นก็ไปคลินิกกันนะ”
“ครับคุณแม่” ถ้าไม่ได้มารดาใจดีของคณิตช่วยไว้ หมัดที่ประเคนใส่ปากเขาคงไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว ซ้ำยังอาจได้เท้าอีกสามคู่ตามลงมากระทืบซ้ำอย่างสนุกตีน
เห็นหน้าเจ้าของห้องแล้ว อชิตะก็อยากดึงตัวเข้ามากอดเพราะความคิดถึงมากล้นในอก ยิ่งเดินผ่านเจ้าตัวเพื่อไปหาเตียงนอนขนาดเล็กก็ยิ่งต้องใช้พลังในการหักห้ามใจ ไม่ดีแน่ถ้าทำอย่างใจคิดต่อหน้ามารดาของคณิต แม้เรื่องราวบางส่วนที่สามารถเปิดเผยได้ เขาได้สารภาพออกไปแล้ว จะเรียกว่าสารภาพก็อาจจะไม่ใช่นัก เพราะมีเหตุการณ์ทำให้ต้องสารภาพออกมา เหตุจากลูกชายที่คนเป็นแม่ใช้ให้ไปตามลูกชายคนเล็กของบ้านลงมาพบเขานั่นเอง
เขาที่ตอนแรกบอกมารดาของคณิตว่ามาตามลูกชายท่านกลับไปทำงาน ครั้นพอคนที่ถูกใช้ให้ขึ้นไปตามคณิตกลับลงมาจากชั้นบนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเลย ตรงมากระชากคอเสื้อเขาที่กำลังกายหดหายไปกว่าครึ่งเพราะพิษไข้เล่นงานขึ้นมา แล้วซัดหมัดใส่หน้าเขาเต็มแรง เขาถึงกับล้มไม่เป็นท่า เกือบโดนซ้ำลงมาอีกหลายหมัด โชคดีที่คุณมาลัยห้ามลูกชายเอาไว้ด้วยเสียงราบเรียบแต่เฉียบขาด พร้อมมือที่คว้าไม้เรียวจากซอกมุมไหนสักแห่งด้วยความเร็วสูงมาก ทำเอาลูกชายตัวใหญ่เท่าเขาถึงกับผงะ ถอยไปยืนอยู่มุมห้องเลยทีเดียว
ตัวใหญ่ซะเปล่าแต่กลัวไม้เล็กนิดเดียว เขาไม่เห็นจะกลัวเลย
การที่อชิตะไม่กลัวไม้เรียว เพราะตั้งแต่เกิดมาเจ้าตัวยังไม่เคยสัมผัสกับแรงหวดของมันสักครั้ง มารดาของชายหนุ่มไม่เคยใช้ไม้เรียวกับลูกคนไหน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคุณเอมอรคือสายตาที่ตวัดมองมาอย่างคาดโทษ
แล้วไม้เรียวจากมือของคุณมาลัยก็เค้นเอาเหตุผลของการกระทำรุนแรงและไร้มารยาทของลูกชายออกมาจนได้ คำตอบทำเอาไม้เรียวในมือหญิงวัยกลางคนร่วงลงพื้น แล้วร่างท้วมตามวัยก็ค่อยๆ ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ไม้สัก มองหน้าคนที่คุกเข่าตรงหน้าด้วยคำถามและต้องการคำตอบ ขณะที่บิดาของคณิตมีสีหน้าราบเรียบ
‘ก็มันเอาน้องเป็นเมีย แล้วที่น้องหนีกลับมาบ้าน ก็คงเพราะมันทำให้น้องเสียใจ’
‘จริงหรือคุณ’
‘ครับคุณแม่คุณพ่อ ผมกับหนึ่ง...เรารักกัน วันก่อนเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมก็เลยตามมาปรับความเข้าใจและรับหนึ่งกลับครับ’
บิดามารดาของคณิตไม่รู้เลยว่าความจริงถูก ‘บิดเบือน’ และยังมีความจริงอีกเกือบครึ่งที่เขาไม่สามารถสารภาพออกมาได้ เขาไม่กล้าบอกว่าได้ทำร้ายลูกชายคนเล็กของคุณมาลัยอย่างไร ถึงได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายต่อกัน เพราะไม่ได้บอกเขาถึงได้ขึ้นมายังชั้นสามของบ้านที่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นสามคูหา เข้ามาในห้องลูกชายคนเล็กของคุณมาลัยและกำลังจะได้กอดให้สมกับความคิดถึง
อชิตะล้มตัวลงนอนตามสภาพคนป่วยที่เพิ่งถูกบังคับให้กินยาหลังจากกินโจ้กที่คุณมาลัยใช้เด็กในอู่ไปซื้อที่ตลาดใกล้บ้าน ซึ่งห่างไปไม่ถึงห้าสิบเมตรมาให้
ส่วนเจ้าของห้องออกมายังยืนใจแป้วหน้าจ๋อยอยู่หน้าห้องตรงหน้ามารดา
“แม่...” คณิตไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรกับมารดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอชิตะ เพราะเขายังไม่แน่ใจนักว่ามารดารู้ความจริงแล้วหรือยัง
“แม่รู้แล้ว เข้าไปดูแลพี่เขาเถอะ” คุณมาลัยยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายคนเล็ก “คุยกันให้เข้าใจนะ นึกถึงวันที่รักไว้ให้มากๆ”
“พ่อว่าไงบ้างครับแม่”
“พ่อเรานะเหรอ เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว เลยไม่เป็นอะไรมาก” พอคนเป็นแม่บอก ลูกชายก็ทำตาโตทันที คณิตไม่อยากจะเชื่อว่าบิดาก็คิดแบบเดียวกับพวกพี่ชายเขา
“แล้วแม่รับได้หรือครับ” คณิตถามมารดา ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มใจดีของมารดาเป็นคำตอบมาก่อน
“ชีวิตเป็นของเรานะ แม่ไม่ยุ่งหรอก จะรักใครชอบใคร แม่ก็ไม่ห้าม เอาที่เราพอใจและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว”
ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน...คงไม่ทันแล้วล่ะ
“เข้าไปดูพี่เขาเถอะ แม่จะลงไปจัดการพี่ๆ ของเราก่อน” คุณมาลัยลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายอีกครั้ง ก่อนเดินกลับลงไปชั้นล่าง
คณิตมองตามแผ่นหลังของมารดาไปจนสุดสายตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ เรื่องไม่ได้แย่ แถมบิดามารดาเขาก็เข้าใจ เรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่กลับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่เขาก็อยากรู้นักว่าอชิตะโกหกอะไรออกมาบ้าง แล้วจะตามมาทำให้เรื่องไม่จบไม่สิ้นซะทีทำไมกันนะ
เฮ้อ...
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเมื่อเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง คณิตทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงข้างกายคนป่วย คณิตอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะหน้าผากของอชิตะ มันร้อนจัดมาก สมควรไปหาหมอที่สุด   
“บอส...บอส....ลุก...ไปหาหมอเถอะ” พอเรียกแล้ว อชิตะก็ปรือตาขึ้นมามอง แทนที่จะลุกตามคำบอกของเขา คนป่วยกลับพลิกตัวหนี หันหลังให้เขาซะนี่
อารมณ์คิดถึงมันก็มี ทว่าอารมณ์น้อยใจของคนป่วยมีมากกว่า ไม่รู้มาจากไหนมากมาย ทั้งที่เมื่อแรกเห็นหน้าอยากกอดแทบตาย คิดถึงขั้นอยากทำมากกว่ากอดด้วยซ้ำ 
“บอส” คณิตเรียกอีกครั้ง พลางรั้งไหล่หนาให้พลิกกลับมานอนหงายเหมือนเดิม “ไปหาหมอ ตัวร้อนจี๋เลยรู้ไหมบอส เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก” เขาไม่ได้ห่วงอะไรมากหรอก...ก็แค่ไม่อยากรอให้อาการป่วยเยอะกว่านี้ เกรงว่าจะได้หามส่งโรงพยาบาล แล้วใครต้องลำบาก เขานี่แหละต้องลำบากเฝ้าไข้ ปรนนิบัติดูแลคนป่วยที่ไม่รู้จักเจียมตัว ขับรถมาไกลหลายร้อยกิโลเมตรทั้งที่ป่วยแท้ๆ
“ไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก” มีเสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากลำคอคนป่วย
“ลุกไปหาหมอ” คณิตยังย้ำคำเดิม ทำลืมๆ น้ำเสียงประชดไปเสีย
“ผมอยากรู้” คนป่วยเอ่ยถามจากลำคอที่แห้งแล้ง “ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง...สักนิดก็ไม่มีหรือหนึ่ง”
“ไม่ครับ สักนิดก็ไม่มี” ยืนยันคำตอบด้วยการสู้ตาคนถาม ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของคนป่วย นิ่งไปสักพักใหญ่นั่นแหละ อชิตะถึงได้เปิดปากเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาด้วยอารมณ์ความน้อยใจที่คณิตเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก พาใจของคนตัวเล็กไหวโยกราวกับดอกหญ้าต้องลมแรง
“รักกันบ้าง...ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ครับ...” ต่อให้หัวใจอ่อนยวบเพียงไร คำตอบของคณิตก็ยังคงไม่ตรงกับหัวใจดวงน้อยของตน จะให้ยอมรับว่าอ่อนไหวไปกับผู้ชายคนนี้ตั้งนานแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด เขาต้องคืนอชิตะให้ณัชชา ไม่ใช่หน้าด้านมีความสุขล้นปรี่ในขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งหัวใจแตกสลาย “ความรู้สึกของคนเรามันต่างกัน บอสจะบังคับให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับบอส เพียงเพราะผมมีอะไรกับบอสไปแล้ว มันไม่ได้หรอกนะครับ”
“เชื่อไหมหนึ่ง...ว่าผมทำได้ ผมจะทำให้คุณเห็นว่าผมทำได้ วันหนึ่งคุณจะรู้สึกกับผมแบบที่ผมรู้สึกกับคุณ” น้ำเสียงของอชิตะเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ไม่มีวันนั้นแน่บอส เพราะผมไม่วันรักบอสเด็ดขาด!”

จบตอนที่ 16

ขออภัย คนเขียนรีไรท์เพลินไปหน่อย แล้วมันก็รีๆ แก้ๆ วนไปวนมาสองสามรอบแล้ว (ตรวจคำผิดด้วย)
เลยแบบว่า รอให้รีไรท์เสร็จก่อนไรงี้ แล้วตอนนี้ก็โอเคแล้ว ไม่ต้องแก้อะไรอีกแล้ว
เลยเอามาลงซะที (ตอนนี้ใกล้จัดอาร์ตแล้ว อิอิ)
ตามตอนที่ 17 กันเน้อออออ
ปล.เผื่อใครอ่านแล้วเจอคำผิด ช่วยแนะนำด้วยนะคะ นี่คนเขียนก็ตรวจคำผิดไปด้วย เปิดพจนานุกรมไปด้วย ทุกอย่างเลยช้าไปหมด แต่ก็มีที่ลอดสายตาไปแน่ๆ
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 16 UP 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 22-06-2017 20:23:44
17

“บอส...”
คณิตเรียกชื่อเจ้าของแผ่นหลังที่นอนหันหน้าเข้าหาผนังห้องด้วยสุ้มเสียงที่ไม่มั่นใจนัก ว่าจะง้อคนอีกฝ่ายดีไหม เพราะหลังจากเขาพูดตัดเยื่อใยออกไป อชิตะก็พลิกตัวหันหน้าหนีเขาทันที นอนเงียบไปสิบนาทีแล้ว เป็นสิบนาทีที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับไปเพราะพิษไข้ แต่กำลังรู้สึกไปกับคำพูดของเขา
จากสิบนาทีก็กลายเป็นครึ่งชั่วโมงที่คณิตนั่งอยู่ในความเงียบ กับเสียงผ่อนลมหายใจเบาบางของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนเจ้าตัวจะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ราวกับเป็นสัญญาณว่าได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดแล้ว ว่าจะแก้สถานการณ์ตรงหน้าด้วยวิธีใด
...ก็คงต้องง้อ เป็นครั้งแรกเลยนะที่เขาง้ออชิตะ เพราะเห็นว่าป่วยหรอก คงไม่มีฤทธิ์เดชทำอะไรเขาได้
“บอสครับ” คณิตรั้งไหล่หนาให้เจ้าของมันหันกลับมาเพื่อสบตากัน เพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แล้วจะได้พาไปหาหมอที่คลินิกใกล้บ้าน แต่อชิตะยังคงปฏิเสธที่จะหันกลับมา คณิตจึงต้องเพิ่มคำพูดง้องอนลงไปอีก “หันมาคุยกันก่อนนะบอส ผมไม่อยากให้เราสองคนเป็นแบบนี้เลย บอสไม่คิดจะโกรธผมจริงๆ หรอกใช่ไหม”
ทันทีที่พูดจบ มือหนาก็ดึงตัวคณิตถลาลงไปปะทะอกแกร่งที่มีไอร้อนจากพิษไข้พุ่งออกมาจางๆ และในนาทีเดียวกันคนตัวขาวก็ถูกจับพลิกลงมานอนใต้ร่างหนาที่คร่อมทับราวกับไม่ใช่คนป่วย ให้ได้สัมผัสกับลมหายใจร้อนจัดจากจมูกโด่งที่เป่ารดบนใบหน้า
ที่คณิตคิดว่าคนป่วยจะสิ้นฤทธิ์ คิดผิดถนัด!
สิ่งที่กลบความตื่นตระหนกของคณิตในสถานการณ์ที่คิดว่าไม่ปลอดภัยนี้ได้ คือลูกตาสีเข้มที่เคลือบคลอด้วยน้ำใสๆ ก่อนน้ำร้อนผ่าวหยดหนึ่งจะหล่นกระทบผิวแก้มเนียน คณิตเบือนหน้าหนีภาพที่อีกฝ่ายเช็ดเม็ดน้ำตาตัวเองทิ้ง คณิตไม่อยากเห็นคนเข้มแข็งในเวลาที่อ่อนแอเลยสักนิด ไม่อยากเห็นน้ำตาของอชิตะที่ฟ้องว่ามันมาจากคำพูดของตัวเอง
ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยวะไอ้หนึ่ง!
มึงไม่ผิด มึงไม่ผิดจำไว้!
อย่าไปรู้สึกผิดเด็ดขาด!
คณิตด่าและปลุกปลอบความอ่อนแอของตัวเองดังลั่นในใจ
แม้จะหันหน้าหนีแต่ปลายคางก็ถูกดึงให้กลับมาสบตา ยามนี้ไม่มีหยดน้ำตา มีเพียงดวงตาแดงก่ำ พิษไข้ทำให้อชิตะอ่อนแอเกินความจำเป็น ชายหนุ่มจึงต้องตามหาความเข้มแข็งของตัวเองคืนมา ความเข้มแข็งที่หลอกล่อและยั่วยวนอยู่ตรงหน้า ปากหนาเคลื่อนเข้าใกล้กลีบปากของคนใต้ร่าง เพื่อครอบครองอย่างใจปรารถนา ไม่มีการปฏิเสธจากเจ้าของกลีบปากหวานล้ำ ลิ้นร้อนสามารถเข้าไปในความหวานที่หลงใหลไม่น้อยกว่าเรือนร่างที่ยังห่อหุ้มด้วยเสื้อยืดเนื้อบางและช่องทางรักที่ทำให้คลุ้มคลั่งได้เสมอ แม้ยามไม่ได้สัมผัสก็ตาม
“อื้ออออ”
บดขยี้และกวาดต้อนความหวานจนอิ่มเอมใจจึงได้ถอดถอนปลายลิ้นออกมา ความร้อนระอุจากพิษไข้ถูกลืมเลือน เพราะถูกรักษาให้เบาบางได้ด้วยเรียวลิ้นนุ่มของคนตัวเล็ก นัยน์ตาคมทอดมองคนที่นอนทอดตัวอยู่บนเตียงใต้การคร่อมทับของเขา ดวงตาฉ่ำหวานของอชิตะบอกถึงหัวใจรักอันหลงใหล ความรู้สึกอยากครอบครองล้นภายในอก อชิตะอยากย้ำรอยรักในช่องทางคับแคบของคณิต จดจารึกความเป็นเจ้าของร่างกายขาวสะอาดนี้เพียงคนเดียวและตลอดไป
อชิตะไม่อาจหักห้ามความต้องการของร่างกายได้อีกต่อไป พิษไข้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้เขารุกรานเข้าไปเชยชมร่างกายของคณิตได้
“ผมขอนะหนึ่ง...คิดถึงเหลือเกิน” เสียงแหบแห้งกระซิบบอกอย่างออดอ้อน ยามที่ดวงตาเรียวเล็กเต็มไปด้วยความสับสนในสิ่งที่ตัวเองยินยอม และเลือกที่จะปิดเปลือกตาลง ซ่อนแอบทุกความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นไม่ให้ล่วงรู้ ฟ้องความหน้าไม่อายของตัวเอง และหัวใจที่ไม่เคยตรงกับปาก
ดวงตาที่ปิดสนิทช่วยไม่ให้มองเห็นภาพตรงหน้าได้ ทว่าเนื้อกายที่ไร้เสื้อผ้าปกปิดเพราะถูกถอดออกจนหมดนั้น ไม่สามารถหลีกหนีสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ปากร้อนจัดกว่าครั้งไหนย้ายจากใบหน้าสู่ซอกคอขาวรสชาติหวานแสนคิดถึง ย้ำรอยรักด้วยคมฟันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และคงจะตีตราไปจนถึงร่างกายขาวสะอาดตาในอีกไม่กี่นาทีนี้ เม็ดเล็กสีชมพูถูกกลืนเข้ามาในอุ้งปากชื้น ขบย้ำจนเจ้าของมันดิ้นคล้ายจะขาดใจ เลือดในกายของคณิตร้อนและสูบฉีดแรง จากผิวขาวกลายเป็นสีจางของเลือดทั่วร่างกาย   
“บะ...บอส...อย่า...พะ...พอแล้ว” เสียงแหบพร่าร้องห้าม มือเล็กคว้าไหล่หนาแล้วดึงไว้ไม่ให้เลื่อนต่ำลงไปกว่านั้น ขอให้หยุดแค่หลุมเล็กบนหน้าท้อง อย่าลงไปไกลกว่านี้เลย เพราะมันเป็นบ้านของเขา บิดามารดาก็อยู่ข้างล่าง ลูกจ้างของอู่อีกหลายชีวิต บรรดาพี่ชายทั้งสามอีกเล่า รู้สึกอับอายเกินกว่าจะทำตามแรงอารมณ์ปรารถนาที่พลุ่งพล่านได้
“....นะหนึ่ง” อีกฝ่ายเล่าไม่อยากหยุด ยืดกายที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบขึ้นมามองด้วยสายตาฉ่ำหวานด้วยความปรารถนา อ้อนขอเสียงพร่าหวานชวนเคลิ้มไหว “...นิดเดียว ให้หายคิดถึง” คำตอบที่ได้คือใบหน้าที่ส่ายรัวเร็ว
“อย่าเพิ่งเลยนะบอส บอสกำลังไม่สบาย” คณิตเอ่ยอ้างเสียงแหบเบา สองมือดึงร่างหนาของคนป่วยขึ้นมากอดเอาไว้ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องกอด ทั้งที่เขาสามารถลุกหนีไปจากเตียงแคบหลังนี้เลยก็ได้ ซึ่งคำตอบมันมีอยู่แล้วว่าทำไมต้องกอด นั่นเพราะ ‘คิดถึง’ ไงเล่า
‘คิดถึง’ เช่นเดียวกับที่ได้ยินอีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยให้หัวใจตีปีกรัวๆ
‘คิดถึง’ ตั้งแต่แรกเห็นหน้า หรืออาจตั้งแต่วันนั้นที่จากมา
‘เฮ้อ...’
คณิตได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเบาๆ กึกก้องอยู่ในหัวสมองอันน้อยนิดของตน อยากยอมแพ้ หากก็เกรงกลัวต่อหนทางข้างหน้า อนาคตที่มองไม่เห็นในปัจจุบัน และไม่อยากทำร้ายหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแต่กลับต้องถูกทิ้ง เพราะความโง่งี่เง่าของเขาในวันนั้น
“ผมไม่สบายก็เพราะคุณนะหนึ่ง” คืนที่กระโจนลงสระว่ายน้ำ อชิตะที่ตัวเปียกชื้นนอนตากยุงตากน้ำค้างจนถึงเช้า อาการป่วยเลยมาเยือนในรอบหลายปี แล้วอชิตะจึงเปลี่ยนจากถูกกอดเป็นคนกอดเสียเอง
“ผมอยู่ของผมเฉยๆ จะไปทำให้บอสป่วยได้ไง” คณิตขอเถียงไว้ก่อน ซึ่งก็ควรเถียงไหมล่ะ สบตาสีเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็เห็นแต่ความอ่อนล้า แล้วอชิตะก็พูดไปอีกเรื่อง
“อยู่ด้วยกันนะหนึ่ง อย่าหนีผมอีกเลย” 
แรงกดหนักจากริมฝีปากอุ่นร้อนบนหน้าผากทำให้คณิตผ่อนลมหายใจลง หยุดความคิดวุ่นวายใจไว้ก่อน หลับต่ออีกนิด เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น และเพื่อให้ตัวเองได้กอบโกยเอาความสุขจากอ้อมกอดนี้ไว้จนเต็มห้องหัวใจ     
 
แรงกระแทกรัวๆ ที่ทำให้เตียงไม้ขนาดสามฟุตครึ่งสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหวสิบริกเตอร์ ปลุกให้เจ้าของเตียงปรือตาขึ้นมามองอย่างยากลำบากด้วยร่างกายที่เปลี่ยนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเผลอหลับใหลในอ้อมกอดของคนป่วย
   ทำไมรู้สึกตัวหนักและหัวหมุนขนาดนี้วะ คณิตคิดในใจ ก่อนจะรีบขืนตัวออกจากวงแขนที่กอดรัดของอชิตะ อีกฝ่ายก็ปรือตาขึ้นมามองบุคคลที่สามด้วยเช่นกัน คนตัวเล็กแทบไม่ต้องคิดว่าควรทำอะไรก่อนเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสามคนยืนทำหน้าเหี้ยมข้างเตียง คณิตคว้าผ้าห่มที่กองอยู่แค่ช่วงเอวขึ้นมาคลุมถึงปลายคาง รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้นกว่าปกติไปมาก รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะล้มตัวลงนอน ไม่ใช่ต้องมาจ้องตากับพี่ชายทั้งสามของเขา
   “นี่บ้านกูนะไอ้หนึ่ง!...แม่ง! มีผัวแล้วแรดนะมึง” มีนาเปิดปากด่าคนแรก สภาพน้องชายมีรอยจ้ำแดงเต็มตัว รวมรอยกัดด้วย แม้จะจำใจยอมรับแล้วก็เถอะ แต่อดไม่ได้ที่จะโวยวายใส่น้องชายตัวดี ก็มันทำให้เขาเสียเงินหลักแสนนี่หว่า
   คณิตไม่กล้าเถียงได้แต่ปิดปากเงียบ เวลานี้สงบปากสงบคำดีที่สุด ดูหน้ามีนาแล้วยังไม่หายโมโหที่ต้องเสียเงินเพราะถือหางข้างเขามาตั้งแต่เด็ก
   “เอาไงกับมันดี กระทืบเลยไหม”
ตุลา...พี่ชายคนรองของคณิตเอ่ยถามพี่และน้องชายของตน พร้อมกับหักนิ้วมือเตรียมความพร้อมอย่างพวกนักเลงหัวไม้
มันที่กล่าวถึงกำลังหย่อนเท้าลงบนพื้นห้อง ต่อมาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่ใกล้เคียงกับพวกพี่ชายของคณิต
“อย่าคึกให้มาก เดี๋ยวก็โดนคุณนายฟาด”
กุมภา...คนอายุมากสุดและเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดบอกกับน้องๆ ด้วยสุ้มเสียงเหี้ยมที่นานครั้งจะได้ยิน บอกต่ออีกว่า
“แล้วค่อยเล่นมันข้างนอก สนุกกว่าเยอะ” บอกกันซึ่งๆ หน้านี่แหละ ถ้าหนีละก็ แสดงว่าไม่แน่จริง ขี้ขลาดตาขาว ไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นน้องเขยพวกเขาแม้แต่นิดเดียว 
   “ไม่พูดอะไรหรือไง ผัวมึงจะโดนกระทืบนะ” มีนาหันไปถามน้องชาย ก่อนก้มหยิบเสื้อผ้าบนพื้นห้องโยนไปที่เตียงให้
คณิตจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะหลักฐานคาตา ถ้าปฏิเสธออกไปจริงๆ เรื่องอาจแย่ลง จึงได้แต่คว้าเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างทุลักทุเลใต้ผ้าห่ม
   “น้องกูเป็นใบ้” ตุลาว่า
   “ผัวมันก็เป็น” มีนาพูดเสริม น้ำเสียงหมิ่นๆ เพราะอชิตะก็ยังไม่เปิดปากพูดอะไร
เนื่องจากคนทั้งสามคือพี่ชายของคณิต อชิตะจึงต้องให้ความเคารพ แม้ใจอยากสวนกลับไปหลายคำก็ตาม การโต้เถียงหรือโต้ตอบรังแต่จะทำให้ผิดใจกันเปล่าๆ อะไรยอมได้เขาก็พร้อมจะยอมเพื่อให้เป็นที่ต้อนรับและยอมรับของคนในครอบครัวคณิต
   “แล้วนี่ไม่สบายหรือเปล่า” พี่ชายคนโตดูจะสังเกตอาการตาปรือ หน้าแดงเพราะพิษไข้อ่อนๆ ของน้องชายเล็กได้ก่อนใคร
“ไม่สบายหรือหนึ่ง” อชิตะทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับวางมือบนหน้าผากเล็กซึ่งร้อนกว่าปกติ ต่างจากเขาที่อุณหภูมิลดลงจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว ไม่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแบบเมื่อหลายชั่วโมงก่อน 
   “มึงเอาไข้มาปล่อยน้องกูหรือวะ” มีนาหาเรื่องต่อเพราะรู้สึกไม่ชอบหน้าว่าที่น้องเขย ที่เป็นต้นเหตุให้เขาแพ้พนันพวกพี่ชาย
   “ไปหาหมอนะหนึ่ง” อชิตะไม่ได้สนใจคำพูดหาเรื่องและใบหน้าพี่ชายทั้งสามของคณิต ชายหนุ่มห่วงคนป่วยมากกว่า ทว่าคนป่วยส่ายหน้าปฏิเสธ ทำเอาเผลอดุเสียงดังใส่ตามความเคยชิน “อย่าดื้อหนึ่ง!”
คนดื้ออ้าปากจะเถียงทั้งที่ลำคอตีบตันว่า
‘ไม่ได้ดื้อโว้ย! ป่วยแค่นี้ กินยาก็หาย ทีตัวเองไม่ไปก็ยังหายเลยไม่ใช่หรือไงวะ’
แต่พี่ชายที่ดูจะเอาเรื่องอชิตะมากที่สุดก็ชิงพูดแทรกขึ้นเสียก่อน ด้วยแรงอารมณ์ที่ดูจะเว่อร์ไม่น้อย
   “มึงไม่มีสิทธิ์ตะคอกน้องกู!” มีนานั่นเอง “หน็อยแน่ เอาน้องกูทำเมียยังไม่พอใช่ไหม มึงยังจะเอามันเป็นทาสในเรือนเบี้ยมึงอีกหรือไงห๊ะไอ้คนรวย!” ขับรถหรู มีสัญชาติยุโรปมาซะขนาดนั้น แถมยังเป็นเจ้าของบริษัท มีนาจึงสรุปได้ว่า...ว่าที่น้องเขยเป็นคนรวยมาก!
   “ผมแค่เป็นห่วง” อชิตะสาบานได้ว่า เขาไม่ได้กลัวท่าทีคุกคามของพี่ชายคณิตแม้แต่น้อย แต่การพูดด้วยน้ำเสียงเบากว่าปกติ เพราะให้เกียรติในความเป็นพี่ชายของคณิตมากกว่า อย่างน้อยความเกรงใจและนอบน้อมก็ทำให้เขาได้การยอมรับมากขึ้น
   “หึ! เป็นห่วงตัวมึงก่อนเถอะ เจอตีนพวกกูแน่” ตุลาเอ่ยเยาะ พร้อมกับทำตาวาวอย่างนึกสนุก ก็นานแล้วที่ไม่ได้กระทืบคน แถมคนที่อยากกระทืบก็คือคนที่เอาน้องชายเขาทำเมีย ถึงจะดีใจที่ได้เงินแสนมาฟรีๆ จากการพนันที่เกือบลืมไปแล้วก็เถอะ แต่มันก็ดีใจไม่สุด เนื่องจากไม่คิดว่าคำปรามาสเล่นๆ ที่ไม่ได้จริงจังมากมายจะกลายเป็นความจริงซะได้
“ไปหาหมอไหม พี่พาไป” พี่ชายคนโตที่เงียบฟังอยู่นานจึงเอ่ยถามขึ้น กุมภาเดินมาใกล้เตียงอีกนิด พอที่จะเอื้อมมือมาลูบศีรษะน้องชายด้วยความรักและห่วงใย
   “กินยาก็พอพี่สี่”
   “งั้นก็ตามใจ แล้วจะลงไปกินเอง หรือจะให้...” คนพูดเหลือบมองว่าที่น้องเขยนิดหนึ่ง เป็นเชิงบอกให้รู้ว่ากำลังพูดถึงเจ้าตัวอยู่ “...ลงไปเอา”
   “ผมลงไปกินเอง”
“ผมไปเอาให้หนึ่งเองครับ”
คณิตและอชิตะตอบแทบจะพร้อมกัน คนถามจึงเป็นคนเลือกคำตอบด้วยตัวเอง
   “ตามมา”
สายตาของพี่ใหญ่สุดบอกให้รู้ว่าใครต้องเป็นคนตามตนลงไป

ต่อด้านล่างคร้าา
   
   
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 16 UP 20-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 22-06-2017 20:24:26
กว่าข้าวต้มหมูสับที่มาพร้อมความหอมฟุ้งชวนหิว จากฝีมือผู้หญิงคนเดียวของบ้านจะมาอยู่ตรงหน้าคณิตได้ ก็กินเวลาเกือบสามชั่วโมง คนที่ยกมาให้ไม่ใช่ใครอื่นคือช่างใหญ่แห่ง ‘วิกรมการช่าง’ ปราศจากเงาของกุมภา ตุลา และอชิตะด้วย
   “คิดถึงผัวมากเลยหรือวะ น้องกูแม่ง...แรดว่ะ”
มีนาพูดใส่หน้าคนป่วยด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดกึ่งแหย่ แล้ววางถ้วยข้าวต้มที่พร่องไปแค่สองสามช้อนลงบนโต๊ะ หลังจากพบว่าน้องชายเอาแต่มองประตูห้อง ไม่สนใจความห่วงใยของพี่ชายที่ส่งผ่านแรงลมเป่าให้ข้าวต้มในช้อนเบาความร้อนลงเลยสักนิด
   อาการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะอาการหนักหรือเบา หากต้องกินข้าวก่อนกินยาละก็ จะได้รับการดูแลอย่างดี ยิ่งข้าวต้ม ป่วยน้อยป่วยมาก คนที่รับอาสาดูแลจะตักป้อนให้ถึงปาก
   “ไม่ใช่สักหน่อย” คณิตปฏิเสธไม่เต็มเสียงนัก ก้มหน้าไม่สู้สายตารู้ทันของพี่ชาย แล้วนิ้วชี้ของมีนาก็แทงอยู่ใต้คางคนปากแข็ง จิ้มบังคับให้เงยหน้าขึ้นมา
   “หึ! ตั้งแต่ผัวมา สาวแตกขึ้นเยอะเลยนะ ว่าแต่...” เว้นจังหวะไปนิด ละนิ้วจากคางน้องชาย ก่อนเลื่อนมือลงมาหยุดที่จุดกึ่งกลางลำตัวคนเป็นน้อง “...มึงคงจะไม่ตัดน้องชายมึงทิ้งหรอกนะ”
...ก็มีนายังไม่อยากมีน้องสาว
   “บ้า!! ใครมันจะไปตัดเล่า!” คณิตตะโกนตอบหน้าดำหน้าแดง เพราะคำถามของพี่ชายทำให้เขาทั้งโมโหและอายในเวลาเดียวกัน พยายามปัดมือที่วุ่นวายอยู่กับกล่องดวงใจของเขาออกไปให้พ้นตัว
“สะดีดสะดิ้งนะ” พี่ชายว่าพร้อมหัวเราะลั่น มีนาแกล้งขย้ำกล่องดวงใจน้องชายซ้ำอีกรอบ ก็แกล้งกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดอะไร คนเป็นพี่น้อง ซ้ำยังเป็นพี่น้องผู้ชายด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก แต่ว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในสภาพตัวงอนิดๆ ดันเห็นภาพพี่น้องเล่นขย้ำกล่องดวงใจกัน ถึงกับก้าวพรวดเข้ามาด้วยอารมณ์หึงหวง ลืมความเจ็บตามร่างกายไปชั่วขณะ
   “ทำอะไรกัน!” ถามเสียงขุ่นจัด ใจจริงอชิตะอยากถามว่า ‘จับทำไม!!’ แต่ยั้งไว้ทัน 
   “บีบไข่น้องชายกูไง” ไม่พูดเปล่า มีนาโชว์ขย้ำให้อชิตะดูอีกรอบ “จะทำไม นี่น้องกู กูมีสิทธิ์ ทำมากกว่านี้ยังได้เลย อยากดูไหมล่ะ”
   “ปล่อยได้แล้วพี่สอง” คณิตปัดมือของพี่ชายออก มันก็ปกติที่คณิตถูกพี่ชายขย้ำน้องชายเล่น จะไม่ปกติก็เพราะมีคนนอกครอบครัวมองตาขวางตาแข็งเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาก็ไม่ปาน
   “หวงเนื้อหวงตัวกับพี่? เห็นมันดีกว่าพี่?” มีนาหรี่ตาถามน้องชาย ชักหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบแล้วสิ   
   “เปล่า” คณิตตอบเสียงเบา พลางขยับตัวออกห่างมือพี่ชายอีกนิด ก็คณิตไม่อยากให้คนนอกครอบครัวเข้าใจผิดหรือรู้สึกหงุดหงิดนี่น่า ดูก็รู้ว่าอชิตะไม่ชอบ   
   “เปล่า? แล้วขยับหนีทำไมห๊ะ...มึงก็อีกคน นี่น้องกู กูจะทำอะไรก็ได้ อย่าคิดว่าเป็นผัวมันแล้วจะมีสิทธิ์ในตัวมันมากกว่าพี่อย่างกู” มีนาหันไปชี้หน้าว่าที่น้องเขย
   “ผมรู้ แต่ผมก็มีสิทธิ์หวงคนของผม ผมไม่อยากให้ใครมาแตะต้องตัวหนึ่งเรื่อยเปื่อย” น้ำเสียงที่เอ่ยบอกนั้นสุภาพ แต่ทุกคำที่เอ่ยออกมาย้ำหนักทุกคำ   
   “ห่า! เรื่อยเปื่อยหรือวะ! คนของมึงงั้นเหรอ! แล้วมันน้องของกูไหมห๊ะ” มีนาลุกพรวดพราดขึ้นยืนชี้หน้าอชิตะ ก่อนจะซัดหมัดซ้ำร่องรอยความบอบช้ำเดิมที่อยู่ใต้เสื้อเนื้อดี อีกฝ่ายทรุดลงไปกองพื้นทันที ไม่ได้ลุกขึ้นมาตอบโต้ ได้แต่นั่งตัวงอกุมท้องตัวเองอยู่บนพื้นห้อง ถ้าแค่หมัดเดียวอชิตะคงไม่เจ็บจนกระอักอย่างนี้ แต่เพราะชายหนุ่มโดนมาไม่รู้กี่หมัดจากพี่ชายทั้งสามคนของคณิตมาก่อน
   อชิตะเงยหน้าขึ้นมองคนบนเตียงที่อยู่ในอาการเบิกตาค้างด้วยความตกใจกับสภาพกองพื้นของเขา เห็นคณิตทำท่าจะถลาจากเตียงลงมาหาเขา แต่เจ้าตัวก็เปลี่ยนใจ ขยับตัวกลับไปนั่งพิงหัวเตียงตามเดิม มีเพียงลูกตาเรียวเล็กเท่านั้นที่ทอดมองลงมา บอกชัดเจนว่า... ‘ห่วง’ เขามากทีเดียว
   ได้เห็นสายตาที่แสดงออกมาว่าเป็นห่วง อชิตะคิดว่าคุ้มแล้วที่ยอมให้พี่ชายทั้งสามของคณิตยำมือยำตีนเขาอยู่ฝ่ายเดียว
   “สำออยให้น้องกูเป็นห่วงหรือไงวะ ลุกขึ้นมา ชักช้าอยู่ได้ หรือมึงอยากถูกกระทืบซ้ำ” 
   โดนน้ำเสียงหงุดหงิดของมีนาตะคอกสั่ง อชิตะจึงต้องพยุงตัวลุกขึ้นยืน สั่งตัวเองในใจว่าให้ ‘อดทน’ เพราะพี่ชายทั้งสามของคณิตก็ ‘อดทนมาก’ กับเรื่องที่เขาทำร้ายคณิต
...ความเย็นของปลายกระบอกปืนที่กดลงบนหน้าผาก ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องจริง จนจบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคณิต...เล่าทุกความจริง ไม่มีปกปิด
   พอลุกขึ้นยืนได้เต็มตัว แบบที่พยายามยืดหลังให้ตรงได้แล้วนั้น คำถามหาเรื่องของมีนาก็ตามมาอีก
   “มึงบอกกูใหม่สิ ว่ากูมีสิทธิ์ทำอะไรกับร่างกายน้องกูได้ไหม”
   “หนึ่งโตแล้ว ไม่เหมาะที่พี่จะทำเหมือนหนึ่งเป็นเด็ก และผมก็ไม่ชอบ” อชิตะยังยืนยันความคิดของตน...ต่อให้เป็นพี่น้องกัน เขาก็ไม่ชอบ 
   “ไม่เหมาะ ไม่ชอบ...แสดงว่ากูไม่มีสิทธิ์ มึงมีสิทธิ์คนเดียวว่างั้น เพราะเป็นผัวมัน” 
   “ครับ”...ก็อยากให้มีแค่เขาคนเดียวที่แตะต้องตัวคณิตได้
“ไม่มีใครมีสิทธิ์ในตัวผมทั้งนั้นแหละ” คณิตโวยวายขึ้น ด้วยสุดแสนจะรำคาญแต่ละคำพูดของพี่ชาย ย้ำอยู่ได้ว่าอชิตะเป็นอะไรกับเขา
‘ผัว’ ได้ยินบ่อยๆ แล้วหดหู่ชะมัด
อชิตะก็อีกคน จะเถียงทำไม เถียงให้ได้อะไรขึ้นมา แล้วสภาพที่โดนแค่หมัดเดียวถึงกับล้มตัวงออยู่บนพื้น ทำหน้าเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น กว่าจะลุกขึ้นมายืนตั้งตัวให้ตรงได้ก็ใช้เวลาหลายอึดใจ คล้ายกับว่าที่โดนไปไม่ใช่แค่หมัดเดียว แต่มากกว่า หรือที่หายไปหลายชั่วโมงกับพวกพี่ชายเขา...โดนซ้อมมาอย่างนั้นเหรอ!?
ใช่แน่! อชิตะต้องโดนซ้อมมาแน่ๆ เพียงแต่ไม่ใช่ที่ใบหน้า คงเป็นตามร่างกายซึ่งเสื้อผ้าสามารถช่วยอำพรางสายตาคนเอาไว้
ใจมันวูบหวิวขึ้นมาทันทีด้วยความเป็นห่วง อชิตะเจ็บมากขนาดไหนนะ พี่ชายเขาแต่ละคน ตัวเล็กเสียที่ไหน แรงมือและเท้าไม่เบาแน่
   “มึงหุบปากไปเลย”
โดนนิ้วของพี่ชายชี้หน้า แถมตายังขวางขุ่นเหมือนหมาบ้า คนเป็นน้องเลยต้องทำตาม อารมณ์แบบนี้อย่าเข้าไปยุ่งเชียว
มีนาหันกลับมาที่อชิตะอีกครั้ง
   “มึงยืนให้ดีนะ อย่าให้ล้ม ไม่งั้นกูซ้ำหนักกว่าเดิมแน่”
“ครับ” ประโยคที่บอกเป็นคำสั่ง อชิตะปฏิเสธไม่ได้ ไม่อย่างนั้นที่โดนซ้อมไปทั้งหมด ซ้ำโดนปืนจ่อหัวอีกนั้น ก็คงสูญเปล่า จำต้องยืนยืดตัวตรงให้เหมือนกำแพงทนแดดทนฝน แต่เขาต้องทนมือทนเท้า ตั้งรับอย่างมั่นคงกับสิ่งที่จะตามมาแทบจะทันที
   ผลัวะ!
   หน้าของอชิตะหันขวาไปตามแรงหมัดหนักพุ่งเข้าปะทะ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอุ้งปาก เซถอยหลังไปนิดหนึ่ง และกำลังจะตั้งตัวให้ตรง อีกหมัดก็ตามมาอย่างรวดเร็วแบบไม่ยอมให้ได้ตั้งตัวติด หมัดที่สองทำเอาเกือบล้ม ดีที่ยั้งตัวเองไว้ทัน จากนั้นยังมีตามมาอีกสองหมัด ขณะที่คนบนเตียงได้แต่มองอย่างเป็นห่วงผสมไปกับความสงสารจับหัวใจ แต่ไม่มีคำห้ามหรือร้องขอให้คนเป็นพี่หยุดหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บไปด้วย
ทั้งที่คณิตอยากห้าม อยากขอให้พี่ชายหยุดได้แล้ว หากก็รู้นิสัยพี่ชายดี...ยิ่งห้าม ยิ่งจะทำ...ยิ่งโมโหอย่างนี้ด้วยละก็ ยิ่งไม่ควรปกป้องอชิตะเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอชิตะเจ็บหนักกว่าเดิมแน่ 
   ...ทนหน่อยนะบอส
   “มึงจำไว้ หนึ่งคือน้องกู กูมีสิทธิ์ ส่วนมึงเมื่อไรที่ทำให้มันเสียใจ กูจะเป็นคนเจาะหัวมึงคนแรก” มีนาขู่เสียงเข้ม หลังจากปล่อยหมัดใส่หน้าว่าที่น้องเขยจนพอใจแล้ว
   “ครับ” อชิตะตอบพลางเช็ดเลือดที่ปากไปด้วย
   “ครับอะไร? กูอยากยินได้ยาวกว่านี้”
   “ครับ...ผมจะไม่ทำให้หนึ่งเสียใจ ไม่มีวันที่ผมจะเปลี่ยนใจไปจากหนึ่ง ผมจะรักหนึ่งยิ่งกว่าชีวิต และจะดูแลหนึ่งให้ดีที่สุด ผมจะมีแค่หนึ่งคนเดียว” อชิตะจ้องตาอีกฝ่ายเพื่อแสดงความจริงใจ ย้ำชัด หนักแน่น ไม่รู้ว่ามีนาจะพอใจคำพูดของเขาหรือไม่ หรือรู้สึกพึงพอใจหรือเปล่า เขาแค่ตอบไปความรู้สึกที่มีในตอนนี้ ความรู้สึกที่มั่นใจว่าจะคงอยู่ตลอดชีวิต ตลอดลมหายใจ...
   คณิตคือผู้ชายคนเดียวที่เขาจะรักไปตลอดจนถึงวันตาย
   “เฮอะ...กูไม่เชื่อว่ะ” น้ำเสียงของมีนาเหยียดหยันเยาะเย้ย “ขนาดคู่หมั้นมึง มึงยังทิ้ง แล้วน้องกูจะเหลือเหรอ?”
   คณิตอึ้งกับคำพูดของพี่ชาย มีนารู้เรื่องของณัชชาได้ยังไง หรืออชิตะเล่า คงจะใช่ แต่สิ่งที่มีนาพูดตรงกับความหวาดกลัวในหัวใจของคณิต วูบหนึ่งที่ใบหน้าอาบน้ำตาของณัชชาผ่านเข้ามาในหัว กระแทกความรู้สึกอย่างจัง ย้ำเตือนให้จำแบบที่ลืมไม่ได้เลย
   ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเป็น ‘ที่รัก’ ถูกทอดทิ้งให้กลายเป็นคนที่ไม่ต้องการ ซึ่งวันหนึ่งอาจเป็นเขาที่ถูกทิ้ง หมดความสำคัญ ไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อมีคนใหม่ก้าวเข้ามาในชีวิตของอชิตะ
   “ผมไม่ได้ขอให้พี่เชื่อ แต่ผมจะทำให้เห็น” คำตอบของอชิตะยังคงหนักแน่นเช่นเดิม จ้องตาอย่างไม่หวั่นเกรงใบหน้าเย้ยหยันของมีนา
   “เผอิญกูไม่อยากเห็น แล้วมึงอยากเห็นไหมหนึ่ง” มีนาหันไปถามคนที่เมินสายตาไปทางหน้าต่างห้อง แต่ก็คงแค่สายตา เพราะหูได้ยินทุกคำพูด
   คณิตดึงสายตากลับมาภายในห้อง มองสบกับดวงตาสีเข้มที่ทำให้หัวใจของเขาอ่อนแอลงทุกวัน
   “ผมไม่อยากเห็น” เขาไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อนาคตเขาถูกทิ้งเพราะหมดความสำคัญ หรือเรื่องที่อชิตะจะรักเขาไปตลอดชีวิต มันไม่ควรมีเรื่องใดเกิดขึ้นเลย ไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ! 
   “อ้าว นี่มึงจะเล่นตัวไปทำไมวะหนึ่ง”
คำตอบของน้องชายดันไม่ถูกใจพี่ชายเสียอย่างนั้น รักน้องก็จริง ห่วงน้องก็จริง ทว่าที่มีนาโมโหหรือทำหงุดหงิดไปทั้งหมด ก็เพื่อทดสอบความอดทนและความจริงใจของว่าที่น้องเขย คนอย่างมีนาไม่ยอมให้น้องชายโดนฟันแล้วทิ้งแน่ ซึ่งดูๆ แล้วว่าที่น้องเขยก็ไม่คิดจะทิ้งน้องของเขาซะหน่อย เรื่องที่มันเล่า ถึงจะเลวระยำ หมาไม่แดก สมควรโดนเจาะกะโหลกให้สาสมกับสิ่งที่มันทำกับน้องชายเขาก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ เขาและพี่ชายยังไม่โหดเหี้ยมพอที่จะเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา โดยเฉพาะชีวิตของไอ้คนที่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อรับผิดชอบสิ่งที่ทำกับน้องชายเขาไปตลอดชีวิต
“ไม่ได้เล่นตัว ก็แค่...” จะบอกออกไปว่า ‘ก็แค่...กลัวอนาคตที่มองไม่เห็น กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวเผลอใจรักไปมากกว่านี้ กลัวรักจนถอนตัวไม่ขึ้น กลัวถูกทิ้ง’ ก็บอกไม่ได้
“แค่อะไร ?” พี่ชายยังคงเค้นถาม อีกคนก็พลอยอยากรู้ไปด้วย คนไม่อยากตอบหันหน้าหนีไปมองหน้าต่างห้องแทน
“แค่อะไร?” มีนาสาวเท้าเข้าไปชิดเตียง ใช้นิ้วแข็งบีบคางเล็กให้หันกลับมา “อย่าสะดิ้งให้มาก กูยังไม่อยากมีน้องสาว ตอบมาว่าแค่อะไร อย่าให้มีน้ำโห เพราะคนที่จะเจ็บ ไม่ใช่มึง แต่จะเป็นผัวมึงนะหนึ่ง”
“.....” คณิตยังเงียบ แต่สายตานี่ขว้างค้อนอันใหญ่ใส่พี่ชายไปแล้ว ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนากับคำว่า ‘ผัว’ เนี่ย
“คิดว่าพี่ชายมึงไม่กล้าใช่ไหม”
“.....” คนเป็นน้องเม้มปากแน่น ต่อต้านตาขวาง
“ก็ได้” คางเล็กถูกสลัดทิ้งทันที มีนาหันกลับไปหาคนต้นเรื่อง เอ่ยปากสั่งเสียงเข้ม “กูอนุญาตให้มึงล้มได้” พูดจบ มีนาก็ประเคนหมัดใส่ลำตัวของอชิตะทันที คนโดนหมัดล้มลงไปกองพื้นทันทีเช่นกัน ก่อนจะถูกเตะซ้ำอีกหลายครั้ง อชิตะได้แต่งอตัวรับแรงอัดที่ดูจะน้อยกว่าครั้งแรกที่โดนในห้องของมีนา แรงไม่มากแต่เจ็บไม่น้อยเพราะซ้ำลงไปกับรอยเดิม ทนเจ็บไปอีกสองสามอึดใจ ปลายเท้าที่เตะลงมาถึงได้หยุดลงเพราะ...
“บอกแล้วๆ” คณิตตะโกนบอกอย่างสุดทน เขากลัวอชิตะจะช้ำในตายเสียก่อน
อชิตะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ใช้มือยันตัวเองขึ้นนั่ง นาทีนี้เขายืนไม่ไหวจริงๆ
“ไม่เห็นผัวเจ็บก็ไม่ยอมบอกหรือมึง” แสยะยิ้มอย่างพอใจที่เอาชนะความปากแข็งของน้องชายได้ “ตอบมาว่าแค่อะไร ขอความจริงด้วย รู้ใช่ไหมว่ามึงไม่เคยโกหกพี่มึงได้” แต่ไหนแต่ไร คณิตก็โกหกไม่เก่งอยู่แล้ว โกหกทีไร โดนพวกพี่ชายจับได้ตลอด
“.....” เอาเข้าจริงคณิตก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองกลัวอะไร
“ไอ้หนึ่ง อย่าลีลา หรือมึงอยากให้ผัวมึงตายคาตีนกู” มีนาขู่ซ้ำ
“ก็แค่...กลัว ผมกลัว...” ก้มหน้าตอบเสียงเบาอย่างจำยอม
...ความกลัวที่ครอบคลุมทุกความหมายและความรู้สึก อิทธิฤทธิ์ของมันรุนแรง ร้ายกาจ คนอ่อนแอไม่สามารถต้านทานมันได้ แล้วคณิตก็เป็นผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่ง ในบางเวลาปากอาจกล้าเก่ง นั่นก็แค่ปาก ไม่ใช่ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นใต้อกซ้ายของตัวเองเสียหน่อยที่อ่อนแอและอ่อนไหวเหลือเกิน มันไม่เคยแข็งเหมือนปากเลยสักครั้ง
ทุกครั้งที่หนีจากอชิตะมา หากลึกๆ แล้วเขารู้ตัวว่าโหยหาที่จะกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของอชิตะเสมอ มันเป็นความย้อนแย้งที่บ้าบอสิ้นดี
อยากหนี...แต่ก็อยากให้มาตามหาจนเจอ
“สั้นๆ แค่นี้?”
“อืม”
“เอายาวๆ หนึ่ง กูไม่ชอบอะไรที่มันสั้นๆ แล้วมองตาด้วย ไม่ใช่ตาพี่มึง ตาผัวมึงน่ะ มองตามันแล้วพูด” มีนาไม่ได้อยากช่วยให้คนที่ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า ‘ข่มขืน’ น้องชายตนได้สมหวังหรือสมรักอะไรหรอก แต่คนทำระยำต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป น้องชายเขาเสียหาย มันต้องรับผิดชอบ ส่วนรักหรือไม่รัก มันก็เห็นอยู่เต็มสองตา คนหนึ่งยอมทนให้ซ้อม อีกคนก็เล่นตัวทั้งที่สายตาแสดงออกมามากมายว่าเป็นห่วงเหลือเกิน
“พูด! ก่อนที่กูจะโมโหแล้วลงกับผัวมึงอีกรอบ คราวนี้กูรับปากเลยนะว่าผัวมึงเข้าโรงพยาบาลแน่”
คณิตพ่นลมหายใจออกมาอย่างสิ้นท่า มองใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มบวมและช้ำแดง คณิตอยากมองทะลุไปให้ถึงผิวเนื้อใต้ร่มผ้าว่ามันจะบอบช้ำแค่ไหน
ท้ายสุดคณิตก็ต้องยอมพูด อย่างน้อยก็มีกำลังใจจากพี่ชาย เห็นโหดๆ แบบนี้ มีนาก็ทำเพื่อเขาทั้งหมด
“ผมกลัวครับบอส กลัวว่าวันหนึ่งผมจะเป็นเหมือนคุณหวาน”
...ผู้หญิงที่อชิตะบอกว่ารัก รักจนถึงขั้นพร้อมร่วมชีวิต แล้วไงล่ะ ทุกวันนี้เป็นไง ณัชชายังคงมีน้ำตากับความรักที่พลิกผัน เปลี่ยนไปราวกับโกหก เป็นเหมือนเรื่องตลกร้ายที่ความรักซึ่งร่วมกันสร้างมานานหลายปี กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพียงเพราะอชิตะหมดรัก
“มันจะไม่มีวันนั้นหนึ่ง” ดวงตาสีเข้มจริงจังกว่าครั้งไหน 
“วันนี้บอสก็พูดได้” เขาเกลียดความเด็ดขาดในแววตาของอชิตะ มันทำให้เขาอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานไหว
“ไม่ว่าวันไหน ผมก็จะพูดแบบนี้หนึ่ง” 
‘ไม่ว่าวันไหน’ อย่างนั้นเหรอ?
มันจะมี ‘วันนั้น’ ไหม?
วันที่คำพูดของอชิตะในวันนี้จะเป็นความจริงไปตลอดกาล 
คณิตไม่ได้ต้องการความรักที่ยิ่งใหญ่ รักกันปานจะกลืนกินเหมือนคู่ของภาคีกับสีฟ้า เขาขอเพียงแค่...ตลอดไปได้ไหม?
ถ้าจะต้องรักกันจริงๆ เขาก็ขอให้มันเป็นความรักแท้ที่ยาวนานไปตลอดลมหายใจของเขาและอชิตะ
มันจะเป็นไปได้ไหม...
จะรักกันไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายได้ไหม...

V
V
V

ตามตอนต่อไปนะคะ วันที่ 24 ค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 18 UP 24-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 24-06-2017 21:49:01
18

คณิตทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่ภายในห้องกว้างของเจ้าของบ้านรูปตัวยู ด้วยความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความว่างเปล่า สมองที่คิดไปสารพัดเรื่องราวนับตั้งแต่เดินทางออกจากจังหวัดบ้านเกิด จนมาถึงเมืองหลวงมากแสงสี คลับคล้ายจะถูกกระชากทิ้งทันทีที่ก้าวลงจากรถ และพบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งส่งยิ้มจางๆ ที่ฝืนจะทำให้มันแจ่มใสมากที่สุดมาให้
ณัชชาคงอยากคุยกับเขา ส่วนเขาเอ่ยทักทายแค่ประโยคเดียว
‘สวัสดีครับคุณหวาน’
แล้วเดินเลี่ยงขึ้นชั้นสามของบ้านมาเสีย ตรงเข้าห้องนอนของอชิตะแบบที่ไม่คิดจะบิดพลิ้วไปไหนอีก ส่วนคนทั้งสองจะมีเรื่องอะไรที่ต้องพูดคุยกันในห้องนั่งเล่น เขาก็ไม่อยากรู้ ไม่อยากคิด ไม่อยากเดา หากยิ่งรู้ ยิ่งคิด ยิ่งเดา ยิ่งตอกย้ำความผิดที่เขาเป็นคนก่อขึ้น
เฮ้อ...สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น
เวลาแต่ละนาทีเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าจนน่าเบื่อ เขาควรเปลี่ยนความเบื่อหน่ายแสนว่างเปล่าให้เป็นอะไรดีล่ะ คณิตถามตัวเอง ผ่านไปสักพักถึงได้คำตอบ 
ตั้งแต่หนีกลับบ้าน เขาก็ปิดโทรศัพท์ เพิ่งมาเปิดเอาตอนใกล้ถึงกรุงเทพฯ มีสายที่โทรหาเขาเยอะ กว่าร้อยสายแน่ะ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของเบอร์โทรเรียกเข้า หนึ่งในนั้นคือภาคี
โทรหามันหน่อยก็ดี แก้เบื่อ
บอกตัวเองแล้ว คณิตก็หยิบเอาโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมา เลื่อนหารายชื่อแล้วกดโทรออก รอสัญญาณจากปลายสายนานพอสมควร เกือบวางสายแล้วถึงได้ยินเสียงเข้มดุของอีกฝ่าย
“หายหัวไปไหนมา กูโทรหาแทบตาย บอสก็ด้วย ตามหามึงเหมือนคนบ้า เดือดร้อนกันไปหมด” คนปลายสายตวัดเสียงขุ่นถามรัวเร็ว
‘เดือดร้อน’ ที่ภาคีว่าคือการที่เจ้าตัวถูกโทรมาหากลางดึก ขณะที่กำลังกอดก่ายเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมหวานของคนรัก ชักชวนทำกิจกรรมรักร่วมกันบนเตียงในบ้านหลังเล็กแต่เต็มไปด้วยความรัก หลังจากที่ร้างกิจกรรมลึกล้ำไปนานเกือบสัปดาห์ น้ำเสียงอ้อแอ้ของคนเมาพร่ำเพ้อหาแต่คณิตชนิดไม่เหลือคราบนักธุรกิจหนุ่มมาดเท่ เมามายเสียจนเขาจำใจยอมทิ้งภารกิจรักบนเตียงไปหา แม้สีฟ้าจะเข้าใจ แถมไล่ให้เขาออกไปรับตัวคนเมาที่ผับแล้วพาตัวไปส่งบ้าน เพราะกลัวคนเมาขับรถกลับไม่ไหวหรือไปก่ออุบัติเหตุขึ้น เดือดร้อนคนร่วมถนนอีก เดือดร้อนเขาแท้ๆ แทนที่จะได้นอนกอดเมียจนถึงเช้า กลับต้องมาดูแลอดีตบอสเสียได้
“ถ้ามึงจะโทรมาด่ากู คราวหน้ามึงก็ไม่ต้องโทรมาเลยนะ” เสียงขุ่นมา คณิตก็เสียงขุ่นกลับ ยอมเสียที่ไหน มันน่าโมโหไหม แทนที่จะได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากเพื่อนรัก กลับต้องมาโดนดุด่า ทำน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจใส่
อันที่จริงเขาน่าจะรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งหัวใจได้แล้วนะ ว่าเพื่อนรักอยู่ข้างใคร การที่อชิตะโผล่ไปที่บ้านเขาได้ถูกต้องแม่นยำ เขาเชื่อว่าเพราะไอ้เพื่อนทรยศชี้จุด มีมันคงเดียวที่เคยไปบ้านเขา
“มึงโทรมาเองนะหนึ่ง” ฝ่ายเพื่อนย้อน แว่วได้ยินเสียงสีฟ้าลอดเข้ามาตามสายว่า
‘ลมอาบน้ำก่อนนะติน’
‘รอตินก่อนครับ ตินอาบด้วย’
แหม...คุยกับเมียเสียงอ่อนเสียงหวานต่างกับคุยกับเพื่อนลิบลับ คณิตนึกค่อนขอดเพื่อนรักในใจ
‘ไม่เอา ลมเหนียวตัว...ตินก็ใส่กางเกงด้วย’
สงสัยที่หงุดหงิดใส่เขา คงเป็นเพราะโมโหที่โทรไปรบกวนตอนมันกำลังฉ่ำรักบนเตียงแน่ๆ แต่ช่างเถอะ คณิตไม่สนใจ ไม่สำนึกด้วย เพราะของเริ่มขึ้น ขอด่าเพื่อนก่อน
“กูหมายถึงที่มึงโทรมาเกือบร้อยสายโว้ย ไม่ใช่ตอนนี้ที่กูโทรหามึง นี่กูก็จะโทรมาชำระความมึงด้วย ใครใช้ให้มึงบอกบอสว่าบ้านกูอยู่ไหนห๊ะ ทรยศกูได้นะมึง” ด่าอย่างขัดใจ
“บางทีมึงก็เยอะเกินไปหนึ่ง จะอะไรกับบอสมากมาย เล่นตัวอยู่ได้”
“กูไม่ได้เล่นตัว!” ...สีฟ้าเนี่ยไม่เล่นตัวเลยเนอะ
“ที่มึงทำมาทั้งหมดคือเล่นตัวว่ะหนึ่ง ขอเถอะ เลิกหนี แล้วคุยกับบอสดีๆ กูอยากให้มึงเห็นตอนบอสเมาเหมือนหมา เขาเอาแต่พร่ำเพ้อหามึง มึงทำให้บอสร้องไห้เพราะมึงเลยนะ กูไม่อยากเชื่อตาตัวเองด้วยซ้ำตอนเห็นบอสร้องไห้”
คืนที่ไปรับอชิตะที่ผับ ทำให้ภาคีได้เห็นน้ำตาของอชิตะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา
“ใช่เรื่องของกูไหมที่ต้องเห็นน่ะ ร้องก็ร้องไปสิ ไม่ใช่เรื่องของกูสักหน่อย” คณิตโต้กลับอย่างมีอารมณ์
เหอะ! ใช่ว่าอชิตะมีน้ำตาคนเดียวซะที่ไหน เขาก็มีไม่ใช่หรือไง บ่อยกว่าด้วยซ้ำ แล้วเขาก็เห็นน้ำตาของอชิตะมาแล้วเถอะ ไม่เห็นอยากจะอวดเลย
แต่หัวใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด...อชิตะร้องไห้เพราะเขาเลยนะ
“มันเรื่องของมึงเต็มๆ เพราะมึงเป็นคนเริ่ม ถ้ามึงไม่ชวนบอสจูบ...“
“ไอ้ติน! มึงยังเป็นเพื่อนกูอยู่ไหมห๊ะ หรือมึงรักมึงหลงบอส จนลืมเพื่อนอย่างกูไปแล้วใช่ไหมวะ” ถามประชดอย่างน้อยใจ รู้ว่าเขาผิด แต่จะย้ำอะไรนักหนา แล้วที่ภาคีรู้เรื่องชวนจูบ เพราะอชิตะบอกแน่ๆ
หึ...ไม่รู้ว่าจะพูดเอาดีเข้าตัวไปเท่าไรแล้ว ภาคีถึงได้เข้าข้างเต็มตัวขนาดนี้ 
“กูยังเป็นเพื่อนมึง แต่กูเห็นใจบอส กูว่ามึง...“ เสียงของภาคีอ่อนลง ตรงข้ามกับเสียงของคณิตโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มร่างเล็กเอ่ยสวนด้วยความรวดเร็ว สาดอารมณ์ใส่เพื่อนรักเต็มที่
“แล้วมึงไม่เห็นใจกูเลยหรือไง กูโดนทำร้ายนะไอ้ติน มึงก็เห็นสภาพกูตอนที่โดนบอสข่มขืน มึงว่ากูสนุกหรือไงที่โดนผู้ชายข่มขืน”
“กูอยากให้มึงให้อภัยบอส ทั้งหมดที่บอสทำไปก็เพราะมึงไปยั่วอารมณ์เขาก่อน”
“ไอ้ห่าติน! มึงแม่ง ไม่ใช่เพื่อนกูแล้วว่ะ”
“กูยังเป็นเพื่อนมึง กูแค่อยากให้มึงเห็นใจบอสหน่อย บอสก็แค่รักมึง”
“กูต้องเห็นใจคนที่ข่มขืนกูอย่างนั้นเหรอ? มันข่มขืนกู...ชัดไหม บอสมึงข่มขืนกู!”
เพราะน้อยใจที่เพื่อนแปรพักตร์ อารมณ์เลยมาคุเต็มที่ และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา คณิตโกรธทั้งคนปลายสายและคนที่ยืนกอดอกพิงประตูไว้ อชิตะมองมาที่เขา จ้องหน้าเขาเขม็ง
แผ่นหลังของคณิตตั้งตรงพร้อมต่อสู้ จ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้ หูก็ฟังเสียงคนปลายสายที่พูดเหมือนจะสั่งสอนเขา แต่ภาคีจะรู้ไหมว่ายิ่งทำให้อารมณ์ของเขาไต่สูงขึ้น จวนเจียนจะระเบิดได้อยู่แล้ว   
“มึงอย่างี่เง่าได้ไหมหนึ่ง ที่มึงยอมบอสขนาดนั้น กล้าพูดไหมว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับบอส”
“ไม่! กูไม่รู้สึกเหี้ยอะไรกับบอสเหี้ยๆ ของมึงทั้งนั้น มันบ้าของมันเอง มันอยากรู้สึกอะไรก็ช่างหัวมัน แต่กูไม่! ชัดไหมว่ากูไม่!!”
แม้คนที่คณิตจงใจให้ได้ยินเต็มสองหูจะยืนพิงประตูห้องในท่าเดิมก็ตาม ทว่าแววตาที่ส่งมาถึงก็ร้อนแรง สายตาบอกชัดว่าไม่ชอบคำพูดจากปากเขา ทำให้เสียวสันหลังขึ้นมาทันที
“หลอกใครก็ได้ แต่อย่าหลอกใจตัวเอง เพราะมึงไม่มีวันหลอกสำเร็จ”
เออ! ไอ้คนรู้ดี ไอ้คนมีประสบการณ์
“พูดอะไรของมึง” คณิตชักเสียงใส่ รู้ทั้งรู้ว่าคำพูดของภาคีหมายถึงอะไร ไม่อยากยอมรับ เลยต้องปากแข็ง นอกจากปากแข็ง ก็ยังต้องจ้องตาแข็งกับเจ้าของห้องด้วย
“พูดความจริงไง มึงหวั่นไหวให้บอสแล้วสินะ แต่มึงไม่กล้ายอมรับ เอาแต่วิ่งหนีเหมือนคนโง่ โง่ที่ไม่รู้ว่าต่อให้หนีให้ตาย มึงก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้น” คนปลายสายพูดจากประสบการณ์ของตัวเองล้วนๆ
“ความจริงบ้าบออะไร...ใจกู กูรู้ดี ไม่มีสักส่วนเสี้ยวเดียวที่จะเป็นอย่างที่มึงพูด” นาทีนี้คณิตเกลียดคำพูดของเพื่อนเหลือเกิน ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร วันนี้พูดเยอะฉิบ ทั้งที่มันเป็นคนพูดน้อย
“กูพูดถูกทุกอย่างมากกว่า เอาละ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าปากหรือหัวใจของมึง อันไหนเก่งกว่ากัน” คำพูดของเพื่อนลอดผ่านมาให้หงุดหงิดใจยิ่งขึ้น ยิ่งประโยคต่อมา ยิ่งแล้วใหญ่ “อ้อ...แต่กูว่า ถ้าวัดกันตอนนี้ ร่างกายของมึงฉลาดที่สุด มึงว่าไหม?” คนพูดน้อย ต่อยทีเดียวรับรองว่าเจ็บสุดๆ
“ไอ้เพื่อนเวร! มึงหมายความไง มึงรู้อะไรมา บอสเหี้ยๆ ของมึงบอกอะไรมึง” ลูกตาคณิตแทบลุกเป็นไฟ ตวัดมองเจ้าของห้องอย่างฉุนเฉียว
“บอกเท่าที่กูจำเป็นต้องรู้” เพราะคำพูดลูกชายของอชิตะในคืนนั้น ภาคีจึงตัดสินใจได้ว่าจะยืนอยู่ข้างไหน ช่วยเหลือใคร
‘กินที่ลับ ไขที่แจ้ง’
คณิตเพิ่งรู้ซึ้งถึงคำๆ นี้ก็ยามนี้เอง ตอนที่รวมหัวคิดแผนไล่ต้อนสีฟ้าให้จนมุมต่อความรักของภาคี มันสนุกสนานที่เห็นสีฟ้าพ่ายแพ้ต่อความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ พอถึงคราวตัวเอง มันสนุกไม่ออก และรู้สึกทั้งโกรธ เกลียด แค้นจนอยากจะฆ่าคน ‘กิน’ ให้ตายคามือเสียให้ได้ ขณะเดียวกันก็อับอายถึงขีดสุด เพราะเพื่อนรักรู้ความลับว่าไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวที่เขามีอะไรกับอชิตะ
“ถ้ามึงไม่รัก ไม่รู้สึกดีกับบอส มึงคงไม่ยอมบอสขนาดนั้น มึงบอกว่าบอสข่มขืน แต่ทุกครั้งหลังจากวันนั้น มึงก็ยอมตลอดไม่ใช่หรือไง ร่างกายมึงต้องการ หัวใจมึงยอมรับ แต่ปากมึงแข็ง”
“กูไม่เคยยอมมัน!!”
คนปากแข็งทนฟังสิ่งที่เพื่อนพูดไม่ได้อีกต่อไป รวมถึงทนมองหน้าอชิตะไม่ได้ด้วยเช่นกัน โทรศัพท์เครื่องบางถึงได้ลอยด้วยความแรงสูงเต็มความโกรธ พุ่งตรงไปยังประตูห้องนอน เฉียดใบหน้าอชิตะไปแค่นิดเดียว แล้วปะทะเข้ากับบานประตู ร่วงลงพื้นในสภาพแตกกระจาย
เหมือนใครเอากลองมาตีในอก เอาไฟมาสุมในตัว ลมหายใจของคณิตร้อนยิ่งกว่าลาวาสีทอง ที่คณิตโกรธจนกลายเป็นความเกรี้ยวกราด แท้จริงเป็นเพราะอับอายเกินกว่าจะยอมรับว่าเพื่อนพูดถูกทุกคำ!
‘กูไม่เคยยอมมัน’
ก็แค่คำแก้ตัว ใช้ปกป้องตัวเอง หลอกลวงหัวใจให้หลงเชื่อ แต่ก็นั่นแหละ หัวใจก็ฉลาดเกินไป มีแต่เขาคนเดียวที่โง่ โง่ที่เชื่อว่าจะหลอกหัวใจตัวเองได้
คณิตรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ตายยังไงบอกไม่ถูก เมื่อร่างสูงใหญ่ของอชิตะเข้ามาใกล้ ขยับขึ้นบนเตียง มือแข็งคว้าจับไหล่เขาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปไหน ตรึงไว้ด้วยสายตาที่อัดเต็มไปด้วยความหมายในแบบเดิมที่รู้ว่าคืออะไร ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดบนหน้าผากบางเบา ทว่าร้อนแรงราวกับจะยั่วยุปลุกเร้าคลื่นอารมณ์น่าอายให้โหมลุก อารมณ์ดังลาวาสีทองเมื่อครู่จมหายไปในลมหายใจที่ผ่อนช้าลง หายเข้าไปในบรรยากาศอันว่างเปล่า แต่สาดคลุ้งไปด้วยความต้องการลึกลับ
...ร่างกายไม่เคยโกหก มันกำลังทรยศคณิตอีกแล้ว มันอ่อนปวกเปียก เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับเตียงนอนนุ่มตามแรงผลักของคนที่ยกเรือนกายแน่นหนาขึ้นมาคร่อมทับ...ล้อมกรอบ...กักขัง
ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไล้ทั่วใบหน้าเล็ก ก่อนปลายนิ้วโป้งจะกดคลึงเคล้นบนกลีบปากบางสีสด คณิตกลั้นหายใจต่อรสสัมผัสของนิ้วร้อนได้เพียงอึดใจเดียว ปากหนาก็โน้มลงมาโจมตี ฟันคมขบกลีบปาก ขบย้ำอย่างนุ่มนวลเอาใจอยู่สักพัก แบบที่ไม่ได้รุกเข้าไปด้านในโพรงปาก แล้วผละออกมามองดวงตาเรียวเล็กซึ่งไหวระริก
อชิตะจ้องเอาคำตอบ แบบไม่มีคำถามหลุดจากปาก เพราะคำถามส่งผ่านรอยสัมผัสทางกายและสายตาไปเรียบร้อยแล้ว
‘ขอนะหนึ่ง ขอครอบครอง ตีตราเป็นเจ้าของ ย้ำให้รู้ตรงกันว่าร่างกายของเรา โหยหากันและกัน...มากขนาดไหน’
เมื่อคำถามคือภาษากาย คำตอบย่อมเป็นภาษากายด้วยเช่นกัน เพราะคณิตอับอายเกินกว่าจะยอมรับด้วยสุ้มเสียงพร่าสั่นของตัวเอง
สองมือเล็กยกเกี่ยวต้นคอหนา ดึงรั้งให้โน้มลงมาใกล้มากขึ้น เพียงพอที่จะเป็นฝ่ายยกริมฝีปากของตนขึ้นกัดกลืนปากหนาของอีกฝ่ายได้ หัวใจเก่งกล้าออกอิทธิฤทธิ์ อาจหาญบุกล้ำเข้าไปในอุ้งปากร้อนชื้น ลิ้นเล็กไขว่คว้าหาเป้าหมาย ไม่ยากที่จะค้นพบ เรียวลิ้นพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร และดูไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับหัวใจไร้ทิศทางของคณิต 
ดวงตาเรียวเล็กเยิ้มหวานบอกให้รู้ถึงความต้องการ ไม่ต่างจากความต้องการของคนที่จ้องตาตอบ อชิตะดึงตัวอดีตลูกน้องขึ้นจากเตียง ราวกับว่าคณิตรู้ความต้องการของเขาเป็นอย่างดี มึอนิ่มจึงจับชายเสื้อเขาไว้ ก่อนปลดเปลื้องผ้าเนื้อดีออกจากกายหนาที่เต็มไปด้วยร่องรอยความบอบช้ำจากมือและเท้า คนตัวเล็กช้อนตาขึ้นมามอง ถามด้วยความรู้สึกห่วงใยอย่างที่สุดต่างจากคำพูดก่อนหน้าลิบลับ
“ยังเจ็บอยู่ไหมบอส” 
“เจ็บ...แต่เชื่อเถอะหนึ่ง ผมมีแรงเข้าไปอยู่ในตัวคุณทั้งคืนแน่”
คนตัวเล็กน่าแดงซ่าน รสของคำพูดทำให้เลือดในกายร้อนปานจะเดือด อชิตะอาศัยจังหวะนี้ทำให้ร่างกายเล็กเปลือยเปล่า แก่นกายอันไม่เคยทรยศหักหลังความรู้สึกปรารถนาของคนร่างเล็ก สร้างรอยยิ้มบนเรียวปากหนา ชายหนุ่มแทรกกายกลับมาจุดเดิม เพิ่มเติมคือตวัดเรียวขาเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายมาวางไว้บนหน้าตัก อุ้งมือร้อนกอบกุมส่วนอ่อนไหวของคนตัวเล็ก ขยับรูดขึ้นลงช้าๆ เน้นๆ ปลุกความต้องการของคณิตให้โลดแล่นยิ่งกว่าเดิม ก้นเล็กส่ายสั่นอย่างอึดอัด แค่จับก็เหมือนพร้อมจะระเบิด
ยามที่ปลายนิ้วนิ่มแต่ร้อนดังไฟแตะต้องไปตามมัดกล้ามบนหน้าท้องแข็งแรงของเขา ชักชวนให้อชิตะจมดิ่งในห้วงเหวลึกล้ำ อชิตะลืมเลือนความเกรี้ยวกราดเมื่อนาทีก่อนของคณิตไปจนสิ้น เวลานี้มีเพียงไฟปรารถนาโหมไหม้ เชื้อเพลิงชั้นเยี่ยมคือผู้ชายตัวเล็กเจ้าของผิวกายหอมหวานชวนกัดกิน ร่างกายเล็กแสดงออกชัดกว่าครั้งใดที่เคยได้สัมผัสแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน คณิตกำลังเชิญชวนเขาแบบไร้เสียงให้ตักตวงได้ตามใจชอบ
อชิตะทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้หลังประตู ในห้องแห่งนี้ให้เหลือเพียงแรงปรารถนาที่ตรงกัน สิ่งที่กำลังจะหลอมรวมร่างกายให้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว   
มันเป็นภาษาใบ้แสนยั่วยวนถึงขีดสุด อชิตะไม่นึกอยากถามหรืออยากรู้ว่าอะไรดลใจคณิตให้ทำเช่นนี้ นั่นคือมือเล็กที่ลูบไล้ต่ำลงไปจนถึงขอบกางเกงของเขา คิ้วเรียวตามธรรมชาติแบบไม่ได้ปรุงแต่งขยับย่นเข้าหากัน เป็นภาพที่น่ามอง น่าหลง มันฟ้องอาการว่าเจ้าตัวกำลังขัดใจ ตาฉ่ำหวานช้อนมองเหมือนต่อว่ากลายๆ ว่า ‘ไม่ยุติธรรม’
เนื้อตัวของคณิตเปลือยเปล่า เสื้อผ้าทั้งบนล่างหลุดจากตัวไปกองอยู่บนพื้นนานแล้ว ขณะที่อชิตะยังเหลือกางเกงยีนห่อหุ้มร่างกายส่วนล่าง ปิดกั้นไม่ให้เนื้อกายได้สัมผัสกันโดยตรง
คณิตกำลังเป็นเหมือนหนังสือคนละเล่ม...
เป็นหนังคนละม้วน...
ย้อนแย้ง...
เมื่อครู่ยังเกรี้ยวกราดเหมือนแมวบ้า มาตอนนี้ยั่วยวนเสียจนอชิตะอยากโหมกายใส่อย่างรุนแรง เอาให้ครางจนสิ้นอาย
อชิตะยันกายขึ้นอีกครั้งเพื่อปลดสิ่งกีดขวางออกจากเอวสอบ รูดดึงให้พ้นปลายเท้า โยนรวมไปกองกับเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ
ความ ‘ยุติธรรม’ ที่คนตัวเล็กต้องการ นำมาซึ่งใบหน้าเห่อร้อนทวีคูณจากของเดิม ความยุติธรรมกำลังชี้ชวนอยู่ตรงหน้า มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ามัดกล้ามบนหน้าท้องแข็งแรงของอชิตะ ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเกินกว่าจะกล้าสัมผัส ไม่ว่าครั้งใดก็ไม่เคยลดขนาดความยิ่งใหญ่ลงเลย
สิ่งยิ่งใหญ่ที่จะเชื่อมต่อให้เขากับอชิตะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ครั้นเงยหน้าขึ้น คณิตก็พบสายตาฉ่ำร้อนด้วยไฟอารมณ์จับจ้องชนิดไม่วางตา ให้ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นอาหารจานอร่อย จานเดียวในโลก ที่กำลังจะถูกตักกินจนเกลี้ยงจาน
“อ๊ะ!”
หลุดเสียงร้องขึ้นมาทันที เมื่อนิ้วแกร่งบุกรุกนำทางนักล่าเข้าไปยังร่องเร้นลึก ชนิดที่ไม่มีคำพูดใดให้ตั้งตัว ทั้งที่ลูกตาสีเข้มยังจับจ้องบนใบหน้าเขาแท้ๆ ส่วนอ่อนไหวของเขาก็ยังถูกปลุกเร้าช้าบ้าง แรงบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่ใจคนปรนเปรอ
นิ้วกระด้างวนเวียนคลึงเคล้นให้ช่องทางคับแคบได้ผ่อนคลาย ขยับขยายก่อนจะรองรับท่อนกายร้อนระอุของเจ้าของนิ้ว
คณิตยกมือขึ้นจับต้นแขนทั้งสองของคนตัวโต กำแน่นจิกลึกระบายความอึดอัดที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซ่านแผ่กว้างจากกึ่งกลางลำตัวสู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย จากหนึ่งนิ้วก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น ร่างกายไม่ต่างจากแก้วบางที่พร้อมปริร้าวและแตกสลายได้ทุกเมื่อ ฟันขาวขบกัดริมฝีปากล่างจนได้รสชาติเลือดจางๆ
คุ้นเคยมาแล้วหลายหน แต่ก็ยังไม่ชินเสียที คณิตยังคงเจ็บและจุก
“ผ่อนลมหายใจหนึ่ง อย่าเกร็ง” เสียงทุ้มแหบพร่าบอกกล่าว หลอกล่อความเจ็บปวดเบื้องหลังด้วยแรงรูดรั้งท่อนกายด้านหน้าของคณิต อชิตะไม่ได้แตะต้องร่างกายส่วนอื่นของคณิตเลย แม้แต่ริมฝีปากบางแสนหวานก็ไม่เข้าใกล้ น้ำตาเม็ดเล็กตรงหางตาซ้ายขวาก็ด้วยเช่นกัน ที่ไม่แตะต้องเพราะอยากเห็นใบหน้าน่ารักยามถูกอารมณ์รักคุกคามให้เต็มสองตา
“อย่างนั้น...คนเก่ง” ร่างกายคนเก่งกำลังบิดเร่า เอวเล็กสั่นส่าย กลีบปากเผยอยั่วยวนสายตา เสียงหายใจหอบกระเส่า หลุดเสียงครางแผ่วหวิวฟังหวาน ปลุกพลังในกายให้โหมคึก ตัวตนของอชิตะกำลังไต่ระดับ ใกล้ขีดความบ้าคลั่ง ปรารถนาดำดิ่งลงไปในหลุมลึกที่กำลังขุดสร้างด้วยนิ้วทั้งสาม
“ชอบไหมหนึ่ง ถูกใจตรงนี้หรือเปล่า ดูดใหญ่เลย” ปลายนิ้วร้อนกดย้ำตรงผนังนุ่มด้านใน ตรงจุดที่ทำให้ร่างกายเล็กกระตุกอย่างแรง เสียงเล็กครวญครางแทนคำตอบรับ 
นอกจากกดย้ำตรงจุดกระสันแล้ว ยังสลับกับขยับถอนนิ้วเข้าออกเป็นจังหวะช้าบ้างเร็วบ้าง เสียงครวญครางยิ่งดังแรงขึ้น
“อ๊ะ...บะ...บอส...ผมจะ...”...จะไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ไม่ไหวก็ปล่อยออกมาหนึ่ง ผมอยากเห็น” เสียงทุ้มที่เอ่ยบอก ไม่ต่างจากคำสั่ง อชิตะเร่งมือทั้งสองให้ทำหน้าที่เต็มเหนี่ยว เพื่อส่งให้คนตัวเล็กเดินทางไปถึงสวรรค์โดยเร็วที่สุด
“อะ...อ๊า...ฮืออออ...”
เมื่อโดนบุกรุกปลุกเร้าทั้งหลังและหน้า ไม่นานนักเสียงหวีดร้องยาวนานเพราะความซาบซ่านจึงดังขึ้น ร่างกายเล็กกระตุกเกร็งอย่างหนัก ก่อนปลดปล่อยน้ำสีขาวข้นออกเต็มอุ้งมือหนาที่ยังไม่หยุดขยับรูด โลกทั้งใบของคณิตขาวโพลนในพริบตา เขากำลังตกจากที่สูง แต่ไม่เจ็บปวด มีเพียงความสุขสม กับเนื้อตัวที่บางราวกับปุยนุ่น ลมหายโรยริน ขณะที่ก้อนหัวใจใต้แผ่นอกเต้นกระเด็นกระดอนเกือบหลุดออกมาจากเนื้อหนัง
หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะปกติเลยด้วยซ้ำ มันก็ต้องถูกใช้งานหนักอีกครา เมื่อปรือตาไปเห็นการกระทำของอชิตะ ส่วนที่อ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากปลดปล่อยหนักหน่วงออกมา พลันขยายพองจนน่าอาย เพราะภาพตรงหน้าที่ตาเห็นคือ นิ้วยาวชุ่มน้ำสีขาวข้นผลุบหายเข้าไปภายในอุ้งปากหนา มันเป็นภาพที่เซ็กซี่ เร่งเร้าความรู้สึกอย่างแปลกประหลาด ปลุกอารมณ์สงบให้พลุ่งพล่าน ทั้งที่เขาควรมองว่ามันน่ารังเกียจ ชวนขยะแขยงไม่ใช่หรือไง นอกจากไม่รังเกียจแล้ว เขายังไม่ยอมหันหนี ยามที่นิ้วแกร่งถูกดึงออกมาจากริมฝีปาก แล้วยื่นตรงมาตรงหน้า เข้ามาชิดติดริมฝีปากของเขา
ไม่มีคำพูด มีเพียงสายตาสั่งให้อ้ารับเข้าไปไว้ในโพรงปาก คำปฏิเสธคงห่างไกลเกินกว่าคณิตจะไขว่คว้าไปถึง ดวงตาเรียวเล็กปิดลง ปล่อยให้เรียวปากของตนอ้ารับนิ้วชื้นแฉะเข้ามาอย่างว่าง่าย อย่าถามหารสชาติ เพราะคณิตไม่สามารถบอกได้ รู้เพียงว่านิ้วเปียกชื้นจากน้ำลายที่ขยับเข้าออกนั้น ปลุกเร้าความปรารถนาได้ดีไม่แพ้นิ้วที่ยังคงวนเวียนเข้าออกในช่องทางลึกลับเบื้องล่าง
“พร้อมนะหนึ่ง”
พร้อมอะไร? คำถามผุดขึ้นในใจ คำตอบก็มาทันที แบบไม่ทันให้ตั้งตัว
“อึก...!” ร่างกายเล็กสะท้านเกร็ง ในจังหวะที่ความใหญ่โตร้อนจัดดังเหล็กติดไฟทำหน้าที่แทนนิ้ว แทรกตัวผ่านรอยจีบรอบสู่ภายในอันคับแคบ ปลายเล็บจมลงไปบนต้นแขนคนตัวใหญ่ ระบายความเจ็บปวดจากความตึงแน่นในช่องทางด้านหลัง
อชิตะจับยึดเอวเล็กเอาไว้ ดึงรั้งไม่ให้เรือนกายขาวห่างหนีไปตามเรี่ยวแรงบดเบียดและกระแทกรุนแรงเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน
“บะ...บอส...เจ็บ...” ความเจ็บจากแท่งร้อนคล้ายเหล็กติดไฟ นิ้วทั้งสามที่สอดแทรกกระแทกเข้าออกในนาทีก่อนหน้าเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
“ผมจะไม่ไหวแล้ว ขอนะหนึ่ง” สิ้นคำขอ ไม่รอเอาคำอนุญาต คือแรงกระแทกรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ร่างเล็กสะท้านตามแรงกระแทกขย่มนั้น 
“...อ๊า” จุก เจ็บ จนพูดไม่ออก คล้ายจะขาดใจตาย ทว่าก็ยังไม่ตาย “อึก...บอส...อ๊า...เดี๋ยวก่อนได้ไหม...ฮื้ออ...” ปลายนิ้วอ่อนแรงแตะเบาบนหน้าท้องแกร่ง ห้ามปรามแรงขยับที่โหมใส่ช่องทางคับแคบ ไม่กล้าแตะแรงนักเพราะรอยช้ำขึ้นสีน่ากลัวบนเนื้อตัวของอชิตะ ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้จากการยอมเป็นกระสอบทรายให้พี่ชายทั้งสามของเขาเหวี่ยงทั้งหมัด หน้าแข้ง ปลายเท้าเข้าใส่ไม่ยั้ง ให้สาสมกับสิ่งที่ทำกับน้องชายคนเล็กของพวกเขา 
“ฮือออ...ไม่ไหวแล้วหนึ่ง” เสียงทุ้มแหบพร่า ผสานกับเสียงหอบหายใจฟืดฟาดกัดฟันตอบไปตามแรงอารมณ์ ข่มความคับแน่นที่โอบรัดตัวตนของตัวเองแทบไม่ไหว แน่นเสียจนปวดหนึบไปทั้งกาย ถ้าหยุดขยับคงได้เจียนตายมันตรงนี้
อชิตะถอนแท่งร้อนจัดออกเกือบสุด แล้วกระแทกกลับ ถอนแล้วกระแทกกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือข้างหนึ่งรั้งเอวเล็กไม่ให้ขยับหนีไปตามแรงกระแทกหนักหน่วง อีกมือรูดดึงปลุกแก่นกายอ่อนไหวของคณิตให้พองโตขึ้นอีกหน ปลุกเร้าหวังให้ทะยานไปข้างหน้าด้วยกันอีกครั้ง
ทุกส่วนของร่างกายทำงานไปพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่นัยน์ตาคมเข้มที่กวาดต้อนเรือนกายบอบบางสีแดงก่ำมาไว้ในม่านสายตา ร่างกายน่ากลืนกินกำลังสั่นคลอนไปตามแรงกระแทกกระทั้น ชวนหลงใหลให้โหมแรงเพิ่ม เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดรุนแรงในหนแรก กลายเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวานฟังไพเราะเหมือนบทเพลงที่ชื่นชอบ
ลาวาในกายใกล้ประทุมากเท่าไร อชิตะยิ่งไม่ยั้งแรง ไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกายที่บวมช้ำขึ้นสีแดงอมเขียวอมม่วงของตน ชายหนุ่มผู้กุมเกมเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น เน้นหนักแน่นอีกห้าหกจังหวะ ก่อนวาระสุดท้ายปลายทางจะมาถึง ภูเขาไฟของเขาปลดปล่อยลาวาร้อนสีขาวข้นในช่องทางคับแน่นจนทะลัก ไหลย้อนมาโอ้อวดความบ้าคลั่งของตนเอง อีกคนหนึ่งเล่าก็ไม่ต่างกัน
“อ๊ะ! บอส! ฮื้อออ...” คนตัวเล็กร้องเสียงหลง ปลดปล่อยเป็นหนที่สอง และยังไม่ทันปรับลมหายใจให้ช้าเลยด้วยซ้ำ ร่างอ่อนปวกเปียกก็ถูกพลิกให้นอนคว่ำหน้ากับหมอน บั้นท้ายถูกยกลอยสูง ช่องทางที่เพิ่งได้รับอิสระ ปราศจากแท่งเนื้อร้อนที่รุกเร้าอารมณ์ให้แตกกระเจิง ครวญครางเสียงที่ไม่คิดว่าจะเป็นเสียงของตัวเองออกมาตลอดเวลา กลับถูกตัวตนของอชิตะแทรกเข้ามาทีเดียวมิดด้าม ซึ่งมันง่ายกว่าครั้งเมื่อครู่มาก คงเพราะมีน้ำรักเป็นตัวช่วยด้วยอีกแรง
บทเพลงรักบทเดิมขับขานด้วยท่วงทำนองใหม่ ก่อนจบลงด้วยถ้อยคำกระซิบแผ่วเบาข้างหูของคนที่ถูกทาบทับลงมาทั้งตัว
“คุณยอมผมแล้วนะ”
“.....” แล้วคณิตจะเอาอะไรไปเถียงกับเพื่อนได้อีก
“คิดถึง...อยู่ด้วยกันไปตลอดนะหนึ่ง”
หนทางข้างหน้าที่ชื่อว่า ‘อนาคต’ ต่อให้ขรุขระ เต็มไปด้วยขวากหนาม โรยด้วยเศษแก้ว หรือมีแต่คมหอกคมดาบพุ่งเข้าใส่ อชิตะก็ไม่กลัว ไม่เคยนึกกลัวเลยสักนิดเดียว
...เพราะเขากำลัง ‘รัก’
...รักแบบไม่กลัว ‘ผลลัพธ์’             

********************************************
ติดตามตอนที่ 19 วันจันทร์นะคะ
ตอนนี้ก็เลยครึ่งทางมาแล้วววววว

BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 19 UP 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 27-06-2017 19:58:35
19

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะสาย ยังไงคุณก็ต้องตอกบัตรนะ” อชิตะเอ่ยบอก เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วเห็นคณิตยังนั่งกุมมือนหย่อนเท้าลงข้างเตียง คณิตกำลังต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความต้องการของเขา พอเช้ามาก็กลับมาเป็นคณิตคนเดิม ไม่ช่างออดอ้อนเหมือนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
ไม่ใช่สิ...ต้องบอกว่าตั้งแต่บทรักยาวนานจบลงด้วยท่วงท่ามาตรฐาน น้ำรักถูกปลดปล่อยแทบจะพร้อมกัน ร่างกายที่อาบไล้ด้วยคราบเหงื่อของเขาทาบทับบนเนื้อตัวชุ่มเหงื่อของคณิต พอเจ้าตัวปรับแรงเต้นของหัวใจและลมหายใจให้เป็นปกติได้แล้ว คณิตคนเดิมก็กลับมาทันที 
‘กลับไปหาคุณหวานได้ไหม แล้วผมจะไม่หนีไปไหนอีก’
คือข้อเสนอที่เอ่ยขึ้นยามเขาดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแนบชิดด้วยความรู้สึกทั้งรักและหลง ซึ่งมันได้กระชากความรู้สึกที่อิ่มเอมในหัวอกไปจนหมดสิ้น แล้วเปลี่ยนมันเป็นเมฆหมอกสีดำทะมึนก้อนใหญ่เต็มท้องฟ้า
‘มันเป็นไปไม่ได้หนึ่ง’ เป็นไปไม่ได้จริงๆ และไม่มีวันจะเป็นไปได้
‘ถือว่าผมขอ’
‘ถ้าผมขอคุณบ้างล่ะ ขอให้เลิกขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้ คุณทำให้ผมได้ไหม’
พอได้คำตอบแบบที่ไม่อยากได้ คนตัวเล็กในอ้อมแขนก็ขืนตัวออกไปทันที แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา จากนั้นก็ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้
อชิตะเดินไปหาคนตัวเล็ก มือหนาคว้าไหล่เล็กยกดึงให้เจ้าตัวลุกขึ้นยืน โน้มใบหน้าประทับริมฝีปากบนหน้าผากเกลี้ยง มันคือคำรักที่ถ่ายถอดให้อีกฝ่ายรับรู้ เข้าใจ แล้วยอมรับมันไป
“ไปอาบน้ำ” ย้ำอีกครั้ง วันนี้เขาจะให้คณิตกลับไปทำงาน ไม่ใช่เป็นเหตุผลเรื่องงาน หากเป็นเพราะไม่อยากให้ ‘ห่างตา’ เพราะกลัวว่าจะต้องเหนื่อยตามตัวคณิตเป็นหนที่สาม
“ผมอยากให้บอสคิดใหม่ ถ้าบอสทำให้ผมได้ ผมจะไม่หนีบอสไปไหน...จริงๆ” คณิตยังไม่ละความพยายามจากเมื่อคืน เขาช้อนสายตาร้องขอขึ้นมามองหน้าอชิตะ อีกฝ่ายถอนหายใจหนักๆ ก่อนเอ่ย
“จะไปอาบน้ำ หรือจะเอาคำตอบบนเตียง คำตอบที่ยังไงมันก็เหมือนเมื่อคืน” ไม่ใช่คำขู่อย่างแน่นอน อชิตะเอาจริง คนฟังก็รู้สึกได้ ถึงหันสายตาหนี ขืนตัวออกมา แล้วเดินหนีเข้าในห้องน้ำด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด   

สำหรับการเข้างานที่สายไปเกือบห้าสิบนาที ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ทำให้คณิตผู้ซึ่งเดินตามหลังเจ้าของบริษัทเข้ามาถูกจับจ้องจากสายตาเพื่อนร่วมงานเกือบทั้งบริษัท สายตาทุกคู่มองเหมือนมีคำถามแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมา ตัวคณิตก็รู้สึกอึดอัดกับสายตาเหล่านั้น มันดูไม่ปกติ ไม่ปกติเอามากๆ
มันไม่น่าไว้ใจแล้ว คณิตบอกตัวเองในใจ
จะให้คิดว่าทุกคนมองรอยเขียวช้ำแดงบนใบหน้าเจ้าของบริษัทก็คงไม่ใช่ ถ้าใช่คงต้องมีหน่วยกล้าตายเข้ามาแสดงความห่วงใยแทนพนักงานทุกคนในบริษัทแล้วสิ
หรือว่า...เพราะการที่ครั้งนี้เขาหายไปนาน แล้วโผล่มาในวันนี้ ทุกคนคงสงสัยว่าเขาหายไปไหนมา หายไปนานก็อาจคิดว่าเขาลาออกไปแล้ว พอโผล่หน้ามาเลยพากันสงสัย แต่มันก็น่าแปลกว่าทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาทักเขา แปลกยิ่งกว่าคือทุกคนพร้อมใจกันเงียบราวกับนัดกันเอาไว้ ต่างไปจากบรรยากาศออฟฟิซในตอนเช้าแบบปกติที่คุ้นเคย 
ครั้นจะเดินแยกไปนั่งโต๊ะทำงานของตัวเองก็ถูกคว้าข้อมือไว้
“ปล่อย” คณิตสั่งเสียงเบาราวกระซิบ หวั่นเกรงสายตาเพื่อนร่วมงาน เดี๋ยวจะกลายเป็นประเด็นร้อนไปเสียเปล่าๆ แต่ก็ดังพอสำหรับเหล่าคนที่เงี่ยหูตั้งใจฟัง อย่างน้อยก็นิรดาคนหนึ่ง
“โต๊ะทำงานคุณอยู่ในห้องผม” ตอนคณิตอาบน้ำ อชิตะโทรบอกแม่บ้านให้ขอแรงพนักงานชายที่มาทำงานเช้าให้ช่วยยกโต๊ะทำงานของคณิตมาไว้ในห้องทำงานเขา ก็เพื่อให้อยู่ในสายตา และเรื่องนี้คงกลายเป็นหัวข้อสนทนายามเช้าของพนักงานในบริษัทไปแล้ว
พนักงานคนไหนอยากรู้ บอสหนุ่มก็ไม่ว่า เพราะตัวกระจายข่าวของออฟฟิซอย่างนิรดาโทรมาหาเขาตอนรถจอดติดไฟแดง อาศัยความเป็นญาติห่างๆ ที่ไม่ต้องกลัวโดนไล่ออก ถามแบบไม่เกรงใจมาว่า
‘มีแต่คนถามนุ่นเรื่องบอสกับหนึ่ง จะให้นุ่นตอบว่ายังไงคะ นี่นุ่นก็ไม่อยากโกหกด้วย นุ่นบอกความจริงเลยได้ไหมคะบอส’
นิรดาคงอยากเล่าตั้งแต่เข้ามาเห็นเขาจูบกับคณิตในครั้งนั้นแล้วล่ะ
เขาก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง อยากเปิดเผยเสียด้วยซ้ำ จะได้ไม่มีพนักงานชายคนไหนในบริษัทมาเกาะแกะคนของเขา พอได้เป็นเจ้าของแล้ว อชิตะก็รู้สึกหวงแหนและหึงหวงไปหมด รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครคิดไม่ซื่อกับคณิตหรอก แต่เขาก็ไม่ควรประมาท เผื่อว่าอาจมีใครบางคนดันคิดไม่ซื่อกับคณิตขึ้นมาก็ได้   
‘ได้...ผมไม่มีปัญหา แต่คงรู้นะนุ่นว่าควรพูดแค่ไหน’ เพราะปัญหามันอยู่ที่อีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังโวยวายเสียงเบา หน้านิ่วคิ้วขมวด แยกเขี้ยวจะงับหัวเขาอยู่ในตอนนี้
“บอสทำอย่างนี้ทำไม ย้ายโต๊ะทำงานผมทำไม กลัวคนไม่รู้หรือไงว่าเอาผมเป็นเมียแล้ว หรือกลัวผมไม่โดนด่าใช่ไหม งั้นผมลาออก” คณิตรู้แล้วว่าทำไมสายตาทุกคนถึงแปลกไป ยิ่งนิรดาที่พาตัวเองมาอยู่ในสายตานี่อีก เจ้าหล่อนยิ้มชนิดอยากผูกมิตรกับเขาเป็นอย่างมากมาให้ เห็นแล้วรำคาญลูกตา
รำคาญกว่านิรดาก็คือเจ้านายของนิรดานี่แหละ 
“ไปทำงาน”
“ไม่!”
“มันไม่ดีหรอกนะหนึ่ง ที่คุณจะยืนเถียงผมต่อหน้าทุกคน...ไม่อายหรือไง?”
อาย?
ใช่! เขาควรอาย!
สายตาของทุกคนมองมาที่เขากับอชิตะเป็นจุดเดียวกัน ชนิดที่ไม่มีใครสนใจงานบนโต๊ะเลย ทุกคนรู้เรื่องระหว่างเขากับอชิตะเป็นที่เรียบร้อย ต้องเป็นนิรดาแน่ที่เป็นตัวกระจายข่าวเสียหายของเขา คณิตนึกไปถึงตอนที่รถจอดติดไฟแดง นิรดาโทรเข้ามาหาอชิตะ เขาไม่รู้ว่านิรดาพูดหรือถามอะไรเจ้านายตัวเอง แต่ก็ได้ยินเต็มสองหูตอนที่อชิตะตอบอีกฝ่ายไปว่า
‘ได้...ผมไม่มีปัญหา แต่คงรู้นะนุ่นว่าควรพูดแค่ไหน’
มันต้องเป็นคำอนุญาตให้นิรดาเม้าธ์เรื่องเขาจนสนุกปากแน่ๆ
คณิตตวัดสายตาแค้นใจไปให้นิรดา เจ้าหล่อนกลับส่งยิ้มไม่รู้ไม่ชี้มาให้ เรื่องตีเนียนหนีความผิดเนี่ย ยกให้นิรดาเป็นที่หนึ่งในบริษัทเลยเอ้า!
แต่ตอนนี้เขาควรไปหลบอายในห้องทำงานของอชิตะก่อนดีกว่า โวยวายตรงนี้ก็ใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้แย่ลง ก่อประเด็นเม้าธ์มอยได้อีกปีกระมัง คณิตบอกตัวเองเช่นนั้น ก่อนสะบัดข้อมือออกมจากมือใหญ่ที่จับยึดไว้ในหนแรก ก้มหน้าเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของอชิตะ สถานที่นั่งทำงานแห่งใหม่ของเขา
ในใจก็ร้องโวยวายหัวเสียไปด้วย เหตุจากที่เผลอปล่อยให้อชิตะจับมือนานขนาดนั้นต่อหน้าทุกคนในบริษัท พลาดไปแล้วไอ้หนึ่ง!
ครั้นพอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าโต๊ะของตัวเองตั้งอยู่ทางซ้ายมือ หันหน้าตั้งฉากกับโต๊ะทำงานหลังใหญ่ของอชิตะ บนโต๊ะของเขาไม่มีกองงานอะไรเลย สะอาดเอี่ยม เป็นระเบียบมากกว่าที่เขาจัดเองเสียอีก จะมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่อง กล่องปากกาดินสอ อุปกรณ์ทำงานที่สำคัญๆ กับกระถางต้นเฟิร์นเงินเล็กๆ เท่านั้น งานที่รับผิดชอบของเขา คงถูกโอนไปให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นทำหมดแล้ว
คณิตกำลังจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ถูกสวมกอดจากด้านหลังซะก่อน ตามจูบหนักๆ เข้าที่ขมับ ข้างแก้ม
“ทุกคนรู้เรื่องของเราหมดแล้ว ช่วงแรกอาจต้องตอบคำถามเยอะหน่อย แต่คงไม่นานหรอก” ทุกคนต้องมีคำถามกับเรื่องที่เกิดขึ้น และคณิตจะกลายเป็นคนที่ถูกจับจ้องและมองในแง่ร้ายมากกว่าเขา ถามว่าห่วงความรู้สึกของคนตัวเล็กในอ้อมแขนนี้หรือเปล่า อชิตะตอบเลยว่าห่วง...ห่วงมาก แต่อย่างไรเสีย เรื่องระหว่างเขากับคณิต สักวันทุกคนก็ต้องรู้ ให้รู้ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากรู้วันหลังหรอก
“ทำไมต้องบอกทุกคน” คณิตถามกลับเสียงขุ่น
“ก็ไม่มีอะไรต้องปิด” คำตอบไม่ต่างจากคำพูดที่ไม่ผ่านกระบวนการคิด ทำให้คณิตหงุดหงิดใจยิ่งขึ้น
“เห็นแก่ตัวที่สุด เอาแต่ความต้องการของตัวเอง เคยสนใจความรู้สึกของใครไหม คุณหวานต้องเจ็บปวดเพราะคุณ ผมก็ต้องถูกตราหน้าว่าแย่งของคนอื่น” คณิตร่ายยาวอย่างคนโมโหจัด พลางหันกลับมาเผชิญหน้าคนก่อเรื่องวุ่นวายในชีวิตเขา
“ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วได้ในสิ่งที่ผมต้องการ ผมก็พร้อมจะเห็นแก่ตัว” อชิตะบอกอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาแข็งกร้าวเอาเรื่องของคณิต
ฟังแล้วคณิตก็ได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“คุณมัน...” ยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องก็เปิดเข้ามา   
“อุ๊ย! เอ่อ...ขอโทษค่ะ” เป็นนิรดาที่เปิดประตูเข้ามา ทำท่าตกใจเล็กน้อยแต่พองาม เนื่องจากเคยเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แถมครั้งนั้นยังล่อแหลมกว่ามาก เพราะนี่แค่กอด แต่นั่นจูบดูดดื่มเลยนะ
คณิตรีบผลักร่างหนาออกไป แล้วเดินหนีไปนั่งหลังโต๊ะทำงานทันที นึกด่าอชิตะในใจที่กอดเขาไม่เลือกสถานที่ ต่อให้เป็นห้องทำงานที่พนักงานคนอื่นไม่สามารถมองเข้ามาเห็นได้ก็ตาม แต่ถ้าคนจะซวยก็หนีไม่พ้น อย่างเช่นตอนนี้ที่นิรดาเปิดประตูเข้ามาเห็น เชื่อเถอะ พอกลับออกไป เจ้าหล่อนเอาไปโพนทะนาทั่วบริษัทแน่
“มีอะไรหรือเปล่านุ่น”
ความจริงนิรดาทำงานฝ่ายบุคคล แต่ต้องเข้ามาทำหน้าที่เลขาของอชิตะแทนอรอุมา เนื่องจากสามวันก่อนอรอุมาถูกรถชนขาหัก 
“คนของนิตยสาร ‘MI Star’ ที่นัดสัมภาษณ์บอสมาถึงแล้วค่ะ นุ่นให้รอที่ห้องรับรอง”
“บอกให้เขารอก่อน อีกห้านาทีผมออกไป”
“ค่ะ บอส” ได้คำตอบแล้ว นิรดาก็ถอยหลังออกจากห้อง ไม่วายเหลือบมองคณิตแวบหนึ่ง...เรื่องนี้ต้องขยาย
“หนึ่ง”
อชิตะเดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานเจ้าของชื่อ จ้องมองใบหน้าที่เงยขึ้นมาตามเสียงเรียก ความขุ่นเคืองใจยังอัดเต็มอยู่ในดวงตาเรียวเล็ก หากเขาก็พยายามจะปลุกปลอบให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายบรรเทาลง
“อยู่ด้วยกันนะ รับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน...ผมรู้ มันยากที่คุณจะผ่านความรู้สึกแย่ๆ นี้ไปได้ แต่ผมก็อยากให้คุณพยายาม” ...เพื่อผม เพื่อคนเห็นแก่ตัวอย่างผม
คนฟังเบือนหน้าหนี กิริยาที่บอกว่าไม่ยอมรับ แต่ในใจแล้ว กลับทอดถอนใจ ราวกับกำลังยอมรับ หรือว่าเขาจะอยู่เฉยๆ สักพัก อยู่กับเรื่องบ้าบอพวกนี้ไปก่อน อชิตะเหมือนน้ำเชี่ยวในฤดูฝนหลากที่ไม่ควรเอาเรือไปขวาง อย่าว่าแต่ขวางไม่ได้เลย เรืออย่างเขาก็ดูจะหลงใหลสายน้ำเชี่ยวไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์ไฟปรารถนาลุกไหม้เผาเตียงจนถึงครึ่งค่อนคืนหรอก ทั้งที่ตอนแรกเขาร้อนเหมือนภูเขาไฟเตรียมปล่อยลาวาสีทองเต็มที่ แต่พออชิตะมาโดนตัวนิดหน่อย จ้องด้วยสายตาอยากกลืนกินเขาไปทั้งตัว ลาวาร้อนสิ้นท่ากลายเป็นน้ำหวานให้อชิตะดื่มกินจนหมดสิ้น

“จะไปไหน บอกมาก่อน”
เปิดประตูออกมาคณิตก็เจอกับคำถามของเลขาชั่วคราวของอชิตะ นิรดาย้ายมานั่งโต๊ะทำงานของเลขาตัวจริงที่ขาหักมาทำงานไม่ได้อย่างน้อยก็สามเดือน และตอนนี้หญิงสาวกำลังรับหน้าที่ใหม่จากอชิตะ ได้รับค่าจ้างก้อนโต ซึ่งเธอก็ยินดีทำเป็นอย่างมาก
งานง่าย เงินดี มีหรือนิรดาจะไม่เอา อชิตะให้มากกว่าเงินเดือนประจำของเธอซะอีก
“เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย” คณิตย้อนถามคนที่ลุกจากโต๊ะทำงานมายืนขวางหน้าตนเอาไว้ ขวางไม่พอ ยังกางแขนกั้นอีก โชคดีของภาคีเหลือเกินที่หนีรอดจากผู้หญิงอย่างนิรดาไปได้ แต่ก็กลายเป็นโชคร้ายของผู้ชายอีกคนแทน นั่นก็คือแฟนใหม่ของนิรดา ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็พนักงานหนุ่มหล่อในบริษัทนี่แหละ
“เกี่ยวสิคะคุณหนึ่ง เกี่ยวมากด้วย เพราะบอสให้ฉันตามดูแลนาย นายไปไหน ฉันต้องรู้ ฉันต้องเห็น และฉันต้องตามไปด้วยทุกที่” นิรดาลอยหน้าตอบ นี่แหละคือหน้าที่ใหม่ของเธอ งานง่าย ได้เงินดี แถมยังได้แกล้งคู่อริเก่าด้วย
“มันจะมากไปแล้วนะ” คณิตหมายถึงคนที่ออกคำสั่งบ้าๆ นี่ เห็นเขาเป็นอะไร นักโทษหรือไง เอาเถอะ อยากสั่งอะไรก็สั่งไป ใครจะสน อย่างนิรดาจะทำอะไรเขาได้
“มากน้อยก็ไม่รู้แหละ แต่นายต้องบอกฉันมาว่าจะไปไหน” 
“ไปขี้ จะตามมาไหม” คณิตบอกอย่างรำคาญใจ ถึงจะพอเข้าใจว่านิรดาทำตามคำสั่งก็เถอะ อารมณ์มันพาลไปแล้วไง 
“ยี้! ไปเลยไป๊” นิรดาทำหน้ารับไม่ได้ ก่อนโบกมือไล่คู่แค้นของเธอ แต่ก็ยังยืนคุมเชิง ยืนมองตามหลังคณิตว่าเดินไปห้องน้ำจริงไหม เห็นว่าเดินไปทางห้องครัวก็พอใจ ไม่หนีออกนอกบริษัทก็เป็นใช้ได้
คณิตไม่ได้คิดจะหนีไปไหน เขาแค่อยากออกมาชงกาแฟดื่มให้หายเครียดต่างหาก งานชิ้นใหม่ที่อชิตะยื่นให้ก่อนออกจากห้อง มันง่ายซะที่ไหน เพราะได้โจทย์ในการออกแบบว่าต้องเป็นบ้านสำหรับพักอาศัยควบคู่กับการเนรมิตให้เป็นเป็นแกลเลอรีส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ลูกค้ารายนี้เป็นนักธุรกิจต่างชาติที่หลงใหลในงานศิลปะและสะสมงานศิลปะมาหลายสิบปี มีทั้งงานจิตรกรรม ภาพพิมพ์ และประติมากรรม พอจะสร้างบ้านหลังใหม่จึงอยากให้ของรักของสะสมอยู่ในทุกส่วนของบ้าน เดินไปทางไหนภายในบ้านก็ได้เจอแต่งานศิลปะสวยงาม   
เจองานหินแล้วปวดหัว ออกมาก็เจอคำสั่งบ้าๆ อีก ปวดหัวเข้าไปใหญ่ ยังไงก็ต้อง ‘อดทน’ แต่ไม่มีทางซะหรอกที่เขาจะ ‘พยายาม’ อย่างที่อชิตะต้องการ คนอะไรเห็นแก่ตัวที่สุด ไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา ทั้งที่เขาคิดว่ามันดีต่อทั้งสามฝ่ายที่สุดแล้ว
เขาไม่ได้อยากอยู่กันแบบสามคนชูชื่นหรอกนะ มันเป็นแค่ข้อเสนอที่สักวันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ อย่างเช่น ให้มีงานแต่งงานระหว่างอชิตะกับณัชชาขึ้นมาก่อน จากนั้นเขาก็จะค่อยๆ ดึงตัวเองออกมา ซึ่งไม่รู้ด้วยวิธีไหน แต่มันก็ต้องมีสักวิธีแหละน่า เขาว่านะ เขาน่าจะคิดออกได้ในตอนนั้น ทว่าอชิตะไม่ยอมรับข้อเสนอนะสิ!
 
คณิตกำลังจะกดน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟ คำถามของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“หายไปนาน กลับมาทำเอาช็อกทั้งบริษัทเลยนะไอ้น้องหนึ่ง” คนนี้เป็นรุ่นพี่ที่คณิตเคารพมากที่สุดในบริษัท มากกว่าเจ้าของบริษัทซะอีก ด้วยอายุที่มากกว่าถึงหนึ่งรอบเชียวนะ ชื่อเกียรติศักดิ์ มีภรรยาสวย ลูกสาวก็น่ารัก ที่คณิตมักล้ออยู่บ่อยๆ ว่าโชคดีที่ลูกสาวได้แม่มาทั้งหมด ไม่อย่างนั้นโตมาคงได้เป็นสาวหนวดดกแน่ เพราะเกียรติศักดิ์เป็นผู้ชายที่อุดมด้วยขนเส้นหนามาก หนวดเคราเนี่ยถ้าไม่ได้โกนสักวันสองวันก็เหมือนไปอยู่ป่ามาสองสามเดือน
“ช็อกอะไรกันพี่ ผมก็แค่ลาพักร้อน” คณิตแกล้งย้อนถาม เฉไฉเหมือนไม่รู้เรื่องเม้าธ์ของคนในบริษัท
“เรื่องแกกับบอสไง เอาซะอึ้งกันทั้งบริษัท”
“เอาอะไรมาพูด มันไม่มีอะไร” บอกปัดๆ ไป แต่คนมากวัยกว่าไม่ได้เชื่อตาม ก็มันน่าเชื่อที่ไหนเล่า หลักฐานเต็มสองตาของเกียรติศักด์ ย้ายโต๊ะทำงานเอย จับมือกันเอย ทะเลาะกันเอย หายตัวไปเฉยๆ แต่ไม่ถูกไล่ออก กลับมาทำงานได้แบบชิลๆ นี่ไม่รวมเรื่องเม้าธ์จากนิรดาที่ว่าเห็นทั้งคู่กอดจูบกันด้วยนะ 
“โกหกโทษถึงตายนะเว้ย” คนเป็นพี่ที่นับถือชี้หน้า ยัดคำถามยากจะตอบไปให้อีกว่า “ไปทำอีท่าไหนถึงตกล่องปล่องชิ้นกับบอสได้วะ” ก็เกียรติศักดิ์สงสัยและอยากรู้มาก ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมงานทั้งบริษัท ตอนหนุ่มรุ่นน้องอย่างภาคีก็ว่าเซอร์ไพรส์แล้ว ครั้งนี้จัดว่าเซอร์ไพรส์กว่ามาก 
แต่คนที่ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไรก็ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนาแบบได้จังหวะมาก อันที่จริงก็รอจังหวะมานานแล้วต่างหาก
“ก็พี่มีตาแต่ไร้แววไง ผมนี่ เห็นมานานแล้ว ไม่อยากจะคุย” คนมาใหม่ทำโอ่ กอดอกอย่างภาคภูมิใจในความฉลาดเฉลียวของตัวเอง
ภัทรพลเป็นคนช่างสังเกตกว่าคนปกติทั่วไป อะไรที่คนอื่นไม่เห็น เจ้าตัวมักเห็น เพียงแต่ไม่พูด วันนี้มีโอกาสเลยพูดมันซะเลย
“คุยมาเถอะ กูอยากรู้” คนอายุมากตบไหล่คนฉลาด อย่าว่าแต่เกียรติศักดิ์อยากรู้เลย คณิตก็อยากรู้
“ก็ไอ้หนึ่งของเราอยู่ที่ไหน บอสก็อยู่ที่นั่น มองหาแต่ไอ้หนึ่ง ตัวก็ติดกันยังกะคู่ขา...เออๆ ใช้คำผิดไปนิ้ดดด...ตัวติดกันยังกะผัวเฝ้าเมีย” ถึงจะแก้คำพูดใหม่ แต่ไอ้ที่แก้ใหม่ก็ไม่ได้รื่นหูคณิตเลย เดือดร้อนให้ต้องถลึงคู่เล็กใส่ภัทรพล ให้เจ้าตัวเอาคำหยาบคายบาดหูใส่ปากกลับไปซะ ผิดกับอีกคนหนึ่งที่ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ร้องขอคำยืนยันแทบจะทันที
“จริงหรือวะ”
“ไม่จริงเลยพี่...มึงก็พูดเกินไป บอสก็สนิทกับทุกคนแหละ กูคนเดียวที่ไหนเล่า” คณิตเอ่ยแก้ คนรู้มากก็ยังแฉยังไม่เลิก 
“มันก็จริงที่ว่าบอสสนิทกับทุกคน แต่สนิทที่สุดคือมึงเว้ยไอ้หนึ่ง คิดดูตั้งแต่มึงทำงานที่นี่มา มีวันไหนบ้างที่บอสไม่ไปขอเชยชมหน้าตี๋ๆ ของมึงที่โต๊ะทำงาน ไปไหนมาก็มีของฝากมาให้มึง ประเคนถึงโต๊ะเลยด้วยซ้ำ พวกกูถึงพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย”   
นี่ก็พูดเกินไป แต่ก็น่าคิดนะ ไม่ว่าจะไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แม้แต่ออกไปคุยกับลูกค้านอกบริษัท พอกลับเข้ามา อชิตะมักจะมาพร้อมถุงขนม ถุงของฝาก และทุกถุงจะกองบนโต๊ะเขาเสมอ
ทุกวันไหม?
ก็ไม่ทุกวันนะ
เรียกว่า...ทุกครั้งมากกว่า
“ก็แค่สนิทกันไหมเล่า” คณิตเริ่มคิดตามแต่ปากยังเอ่ยปฏิเสธ
“สนิทมากครับมึง สนิทแบบที่ไปไหนก็กระเตงเอามึงไปด้วยทุกงาน ดูอย่างพาไปเลี้ยงเหล้าก็ได้ จองพื้นที่ข้างตัวมึงตลอด พอเมาก็หามแต่มึงกลับบ้าน ส่วนพวกกู เมายิ่งกว่าหมายังต้องคลานไปขึ้นแท็กซี่เองเลย นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่มึงมาสายเกือบทุกวัน บอสก็ยังไม่เคยเรียกตัวไปด่า สปอยมึงซะ เป็นกูนะ กูไล่มึงออกตั้งแต่เดือนแรกที่มึงล่อมาสายครึ่งเดือนแล้วว่ะไอ้หนึ่ง”
จะพูดให้คิดตามทำไม
อืม...มันก็น่าคิดอีกแล้ว
เอ้ย! ต้องไม่คิดสิวะไอ้หนึ่ง
คณิตสั่งตัวเองไม่ให้คล้อยตามคำพูดของภัทรพล
“อ้อ...มีอีกอย่างนะ”
ห๊ะ! อะไรอีก อะไรที่เขาไม่รู้ ไม่สังเกตเห็น
“กูมั่นใจว่าบอสเล็งมึงไว้นานแล้ว”
“จริง? มั่นใจเบอร์ไหนวะ” เกียรติศักดิ์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย 
“เบอร์ล้านพี่ ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เลย พี่ปูมากระซิบบอกเองนะพี่” ภัทรพลหันไปตอบคนถาม
‘พี่ปู’ คือฝ่ายบุคคล เป็นลูกพี่ลูกน้องของภัทรพล
“ตอนที่มึงมาสมัครงาน บอสก็รับมึงทันที ทั้งที่มึงยังไม่ได้ทำแบบทดสอบเลยนะเว้ย”
“เหอะ! กูก็ทำแบบทดสอบเว้ย ไอ้ตินก็มาพร้อมกู บอสอาจจะถูกชะตากับไอ้ตินก็ได้ กูเป็นเพื่อนมัน บอสเลยรับพร้อมกันทั้งสองคน” เทียบกันแล้ว ระหว่างภาคีกับเขา ระดับความเก่ง เขาเป็นรองเพื่อนมาก คิดเอาเถอะเกียรตินิยมกับเกือบไม่จบน่ะนะ
“แต่พี่ปูบอกกูว่า ตอนนั้นบริษัทเปิดรับตำแหน่งเดียว แล้วคนที่บอสเลือกคือมึง แต่เห็นว่ามึงกับไอ้ตินเป็นเพื่อนกัน เลยรับทั้งสองคน เห็นปะ บอสเลี้ยงต้อยมึงตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่มึงไม่รู้ตัวไง”
“พี่ปูมั่วหรือเปล่า” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ใจคณิตชักจะเขวไปกับคำอ้างอิงบุคคลที่น่าเชื่อถือและเป็นเหมือนพี่ใหญ่ในบริษัท ระดับพี่ปูพูดเอง ความน่าเชื่อถือแทบจะเต็มร้อย แล้วเขาก็จำได้ว่า เมื่อครั้งที่มาสมัครงานที่นี่ ก็รู้มาก่อนว่าบริษัทเปิดรับแค่ตำแหน่งเดียว เขาคงสู้เพื่อนรักไม่ได้ แต่ที่มาเพราะคิดว่ามาเอาประสบการณ์เรื่องการสมัครงานเฉยๆ ไม่คิดว่าจะได้งานด้วยซ้ำ
“ไม่เชื่อพี่ปู แล้วมึงจะเชื่อใครได้ นี่พี่ปูนะเว้ย เจ้าแม่ความจริง ไม่มีมั่วเหมือนยายนุ่นแน่นอน”   
“นั่นสิวะ นึกๆ ดูก็น่าจะจริงนะ แสดงว่าบอสหวังผล แล้วก็ได้ผลสมใจ รวบหัวรวบหางเอาเป็นเมียจนได้” เกียรติศักดิ์ที่เงียบฟังอยู่นานเอ่ยสรุป
“โวะ! ไม่ใช่แล้วพี่” คณิตยังไม่ยอมแพ้ เรื่องอะไรจะยอมรับ ยังไงก็ขอแก้ตัวไว้ก่อน “ผมกับบอสไม่ได้มีอะไรกัน” ถึงมีและหลายครั้งแล้วก็เถอะ ให้ยืดอกยอมรับแบบแมนๆ ไม่มีเสียหรอก
“ไม่ต้องแก้ตัว ของมันเห็นอยู่ หลักฐานคาตา ไม่โดนรวบหัวรวบหางกลายเป็นเมียบอส แล้วบอสจะให้แบกโต๊ะทำงานมึงไปไว้ในห้องทำไม แต่กูก็สงสัยนะ ทำไมบอสต้องให้มึงไปทำงานในห้องเดียวกันด้วยวะ หรือไม่อยากให้มึงห่างตา เด็ดละซี่” คำพูดของภัทรพลติดจะหยอกเย้าในประโยคสุดท้าย
“ไปกันใหญ่แล้ว แยกย้ายๆ ทำงานๆ พูดอะไรไร้สาระ ไม่เข้าท่า” คณิตรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ยิ่งคุยยิ่งต้อนให้ตัวเองจนมุม 
“ยังแยกไม่ได้ครับไอ้หนึ่ง มึงต้องยอมรับกับกูมาก่อน มึงกับบอสแฮป ‘ปี้’ กันแล้วใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ” คนพูดย้ำซะคนฟังหลุดด่าเสียงดัง
“ไอ้ห่าภัทร! ปากมึงนี่จัญไรมาก” ไม่ให้ด่าได้ไง ก็มันเน้นคำว่า ‘ปี้’ ซะขนาดนั้น
“นี่มึงอายคำว่าแฮป ‘ปี้’ ของกูหรือวะ หน้าแดงโคตรๆ” คนพูดไม่พูดเปล่า ยังเอามือไปจิ้มแก้มขึ้นสีแดงอย่างสนุกมือ “มึงรู้ตัวไหมหนึ่ง มึงแม่ง...น่ารักขึ้นว่ะ รู้งี้กูชิงตัดหน้าบอสซะก็ดี”
หือ? คืออะไร?
อย่าบอกนะว่า...
คณิตมองหน้าคนพูดอย่างอึ้งๆ
ภัทรพล...ผู้ชายมีกล้าม สูงยาวเข่าดี หน้าตาจัดว่าดีมาก สาวติดเยอะมาก เพราะเห็นมันเอารูปมาอวดบ่อยๆ ควงมาอวดก็ไม่เคยซ้ำหน้า มีครั้งหนึ่งที่ผู้หญิงมาตบกันหน้าบริษัทแย่งภัทรพลกันอย่างเมามัน สุดท้ายก็ถูกทิ้งทั้งคู่ แบบนี้แล้วมันไม่น่าจะเข้าข่ายชอบผู้ชายเลยนี่หว่า
“มึงก็เอาด้วยอีกคน เป็นเทรนด์หรือไงวะ” ชายมาดแมนเกินร้อยด้วยพุงพลุ้ยถามแบบปลงๆ อกเป็นไม้กระดาน แท่งหฤหรรษ์ก็มีเหมือนกัน มันน่าพิศวาสตรงไหน เกียรติศักดิ์ผู้มีภรรยาสวยระดับดาวคณะบริหารสงสัยเสียจริง!
“ประสบการณ์ชีวิตน่าพี่ ขำๆ ไง ชายเหนือชายเป็นยอดชาย” ภัทรพลยอมรับอย่างมาดแมนเต็มภาคภูมิในความเป็นชายเหนือชายของตน “แต่ถ้าผมเจออย่างไอ้หนึ่งนะ ผมคงเอาจริงว่ะพี่ รักฟันหวังแต่งแน่นอน เอ...หรือว่าจะตีท้ายครัวบอสดี ว่าไงครับไอ้หนึ่ง อย่างกูพอจะได้แฮป ‘ปี้’ กับมึงไหม” ภัทรพลพูดไปขำไป ไม่ได้จริงจังนัก แค่หยอกเย้าตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทกัน
“ไอ้จัญไรภัทร! ก่อนมึงจะได้แฮป ‘ปี้’ กู กูจะ ‘บี้’ มึงลง ‘หลุม’ เจ๊หน่องก่อนเถอะ” ภัทรพลจัญไรมา คณิตก็จัญไรกลับ ใครจะยอมให้มันล้อฝ่ายเดียวเล่า เจ๊หน่องที่อ้างถึงคือกระเทยไซส์หมี หัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทที่หวังเตาะภัทรพลมาหลายปี
“พี่ภัทรนั้นไซร้อยากลง ‘หลุม’ น้องหนึ่งมากกว่านะครับ ว่าไงครับน้องหนึ่งคนดี มาแฮป ‘ปี้’ กับพี่ภัทรกันนะครับ รับรองว่าฟ้าไม่เหลือง พี่ไม่ยอมหยุดแน่ ฮ่าๆๆ” พูดอย่างเดียวคงไม่สนุก ภัทรพลถึงได้ดึงแก้มคณิตไปด้วย โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะซวยหนัก

V
V
ต่อด้านล่างค่ะ 

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 19 UP 27-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 27-06-2017 19:59:46
“คงไม่ได้หรอกมั้ง” เสียงเข้มจัดดังมาจากด้านหลัง ภัทรพลชักมือกลับแทบไม่ทัน หันไปก็เจอหน้าขึงเข้มของคนเป็นนาย แววตาที่มองเขาก็ไม่ต่างจากน้ำเสียงเลยสักนิด 
“แหะๆ บอส ได้ยินตั้งแต่ตรงไหนครับ ผมจะได้แก้ตัวถูก” ภัทรพลยิ้มจืดเจื่อน บ่นกับตัวเองในใจว่าซวยแล้ว เล่นจนได้เรื่อง 
“ตั้งแต่ ‘ขำ ๆ’ ” อชิตะตอบด้วยน้ำเสียงระดับเดิม “แต่ผมไม่ขำด้วยนะภัทร”
“ผมขอแก้ตัวสักนิดนะครับบอส ที่บอสได้ยิน ผมแกล้งแหย่หนึ่งเฉยๆ ครับ สาบานได้เลยว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับหนึ่งจริงๆ” ภัทรพลทำใจกล้าพูดแก้ตัว ก็หน้าตึงๆ ของเจ้านาย มันน่ากลัวนี่หว่า แต่ก่อนแต่ไรเคยเป็นซะที่ไหน
“เรื่องถึงเนื้อถึงตัว ผมก็ขอด้วยนะ อย่าให้มีอีก ผมไม่ชอบ”     
“ครับบอส” ภัทรพลรีบรับคำเสียงดัง แสดงให้เห็นว่าน้อมรับทุกคำสั่งของเจ้านาย “ต่อไปจะไม่มีอีกแล้วครับ งั้นผมกลับไปทำงานก่อนนะครับบอส” ว่าแล้วก็ส่งซิกให้เกียรติศักดิ์เดินออกมาด้วยกัน เดินพ้นออกมาได้ก็เหมือนหลุดจากเครื่องประหารหัว โดนคนอายุมากโบกท้ายทอยอีกสองทีซ้อน ข้อหาเกือบพาซวย   
“คุณก็ด้วยนะ” อชิตะบอกคนที่พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็หันหน้าไปกดน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟทันที
กึก!
คณิตวางถ้วยกาแฟบนเคาน์เตอร์จนเกิดเสียงดัง บอกอารมณ์ไม่พอใจคำสั่งของอชิตะ อันที่จริงคือไม่พอใจตั้งแต่อชิตะโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับคำพูดบอกเป็นนัยๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าตัวแล้ว ถึงจะห้ามความคิดของทุกคนในบริษัทไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ควรป่าวประกาศไหมล่ะ
แล้วที่เขาพยายามแก้ตัวไปทั้งหมดเมื่อกี้ สูญเปล่าเลยสิ หงุดหงิดชะมัด ไม่กงไม่กินกาแฟมันแล้ว เสียอารมณ์
“ลืมกาแฟหรือเปล่า?” ถามหลังจากคว้าแขนเล็กไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผ่านหน้าออกจากห้องครัวไป โดยไม่หยิบเอาถ้วยกาแฟไปด้วย
คนตัวเล็กหันกลับมามองตาเขียว ตอบเสียงห้วน
“ไม่กินแล้ว หมดอารมณ์!”
“โกรธเหรอที่ผมห้าม?” อชิตะถามทั้งที่รู้คำตอบดี แต่ที่ไม่รู้และต้องถามออกมาอีกครั้งก็คือ “ชอบที่ภัทรทำหรือไง? หรือว่าชอบภัทร?” เพราะความสนิทสนมที่เห็นเมื่อครู่ ทำให้อชิตะนึกกลัว
“.....” คณิตเงียบ ไม่อยากตอบคำถามชวนหาเรื่อง พูดมาได้ไงว่าเขาชอบภัทรพล เขาไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย คำตอบของคณิตเลยมีแค่ลูกตาที่ร้อนเป็นลูกไฟขนาดย่อม 
“อ้าว...อุ๊ย...เอ่อ...” บุคคลที่สามซึ่งโผล่เข้ามาอุทานเสียงเบา แบบที่บีบเสียงให้เล็กมาก ต่างจากร่างใหญ่อวบด้วยไขมันในชุดรัดติ้วสีสันสดใส “หน่องขออภัยที่รบกวนเวลาสวีตค้า...บอส เชิญบอสตามสบาย เดี๋ยวหน่องจะกระซิบน้องๆ ไม่ให้เข้ามารบกวนนะคะ” ว่าแล้วก็รีบถอยหลังกลับ ถือถ้วยกาที่ตั้งใจจะเอามาล้างกลับไปด้วย...มีเรื่องเม้าธ์อีกแล้ว
เมื่อมีคนมาเห็น แถมเป็นโทรโข่งหมายเลขสองบดเบียดกับหมายเลขหนึ่งอย่างนิรดาอีกด้วย คณิตยิ่งโมโหคนตรงหน้ามากขึ้นอีกร้อยเท่า
“คุณนี่มันทำลายผมทุกทางจริงๆ” ชื่อเสียงของเขาป่นปี้ พอๆ กับร่างกายกับหัวใจไปแล้ว

คณิตเดินกระแทกเท้าออกมาจากห้องครัวด้วยอารมณ์หลากหลาย อย่างแรกคือโกรธมากถึงมากที่สุด อย่างที่สองคือโมโหจนอยากยกกระติกน้ำร้อนฟาดหัวเจ้าของบริษัท อย่างที่สามคือหงุดหงิดจนอยากทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างที่สี่คืออับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีไปนอกโลก และอย่างที่ห้าคือเรื่องที่ภัทรพลพูดจนเขาเขว 
มันจริงอย่างที่ภัทรพลว่าหรือเปล่า เรื่องที่อชิตะให้ความสนิทสนมเขามากเป็นพิเศษ...มากกว่าคนอื่น ซึ่งเขาก็รู้ว่ามันจริง เขาเป็นลูกน้องที่อชิตะสนิทมากกว่าใครถ้าไม่นับรวมภาคีนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าความสนิทสนมของอีกฝ่าย ‘แฝง’ ไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
‘...บอสเลี้ยงต้อยมึงตั้งแต่วันแรกแล้ว’
เป็นไปได้เหรอ?
ภัทรพลอาจจะจับต้นชนปลายมั่วซั่วก็ได้ รวมถึงพี่ปูฝ่ายบุคคลด้วย แต่เท่าที่รู้จักพี่ปูมาหลายปี เธอเป็นคนที่ถ้าเรื่องไหนไม่ใช่ความจริงจะไม่พูด หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง...
ไม่เอาๆ ไอ้หนึ่ง อย่าไปคิด หยุดคิดซะ คิดไปก็เปลี่ยนปัจจุบันไม่ได้เว้ย
เฮ้อ...แต่ทำไมพี่ปูไม่บอกเขาตั้งแต่แรกนะ จะได้ไหวตัวทัน
แต่ถ้าจริง เขาก็ไม่ใช่ฝ่าย ‘เริ่ม’ น่ะสิ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง อชิตะก็คิดไม่ซื่อกับเขามานานแล้ว คำถามของเขาวันนั้นที่นำมาซึ่งจูบแรกและสร้างปัญหายาวมาจนถึงวันนี้ ก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้น เขาแค่หลงกลหรือไม่ก็ตกหลุมพรางเท่านั้นเอง
เขาไม่ผิด! ไม่ผิด!
รู้สึกดีชะมัด แต่ดีใจไม่ถึงสองวิ ความดีใจก็บินหนีไปเร็วกว่าจรวดซะอีก ขาที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดกึก ปลายเท้าถูกตอกตึงด้วยตะปูที่มองไม่เห็น น้ำลายเหนียวขึ้นมาฉับพลัน เมื่อพบว่าใครที่ผลักประตูบริษัทเข้ามา เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังเป็นจังหวะตรงมาที่เขา
หญิงวัยห้าสิบหกในชุดสีครีมเหลือบทองแบบเรียบหรูทำให้ทั่วบริเวณเกิดความเงียบสงัด...ชวนขนหัวลุก เธอมาพร้อมกับความเกรี้ยวกราดฉุนเฉียว
“สวัสดีค่ะคุณเอมอร เชิญที่ห้องรับรองก่อนนะคะ” เลขาจำเป็นของอชิตะปราดเข้าไปทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย หวังคลี่คลายสถานการณ์ ไม่ให้มีการปะทะกันรุนแรงเกิดขึ้น เพราะคำสั่งของเจ้านายที่จ้างให้เธอ ‘ดูแล’ นั้น ต้องครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจของคณิตด้วย
นิรดารู้ว่าคุณเอมอรมาบริษัทลูกชายทำไม ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโผล่มา
“ฉันไม่ได้มานั่งเล่น!”
แค่สายตาที่ตวัดมาทีเดียวก็ทำเอานิรดากระเด็นไปหลายสิบโยชน์ ถึงจะเป็นญาติกัน แต่ก็นั่นแหละ ห่างซะจนนับญาติกันไม่ถึง ฐานะก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
“เงินสิบล้านที่ขู่เอาไปจากฉัน มันหมดแล้วหรือไง ถึงซมซานกลับมาหาลูกชายฉันอีก คราวนี้ต้องการเท่าไรล่ะ ยี่สิบล้านพอไหม” ไม่มีสักครั้งที่คุณเอมอรจะลดตัวมาจัดการ ‘ตัวปัญหา’ ในชีวิตลูกชายด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะตัวปัญหาไม่ใช่ผู้หญิงเหมือนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น แต่ดันเป็นผู้ชาย!
แล้วลูกชายเธอก็หลงแบบไม่ลืมหูลืมตา
“หรือว่าอยากได้มากกว่ายี่สิบล้าน เรียกมาสิ เรียกเหมือนที่เธอเรียกร้องวันนั้น...เธอบอกว่าไงนะ ได้สิบล้านแล้วจะออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน จะไม่กลับมาอีก ถ้ากลับมาให้ฉันแจ้งความจับเธอข้อหากรรโชกทรัพย์ได้เลย แล้วไง ก็ยังหน้าด้านกลับมาอีกจนได้ คำพูดพวกวิปริตผิดเพศ มันเชื่อไม่ได้จริงๆ”
คณิตแว่วได้ยินเสียงอุทานของผู้ร่วมเหตุการณ์ดังระงม ตัวเขาก็จนด้วยคำโต้ตอบหรือคำแก้ตัวใดๆ ในเมื่อเขาเรียกเงินจากคุณเอมอรจริง
“คุณแม่ครับ” อชิตะที่ก้าวขึ้นมายืนข้างคณิตพูดแทรก สุ้มเสียงแข็งแบบที่ไม่ยินยอมให้คณิตถูกกล่าวหาหรือเอาผิดอะไรทั้งนั้น พร้อมเอ่ยปกป้อง “เงินที่หนึ่งเอาไป ผมก็ใช้คืนให้คุณแม่หมดแล้ว คุณแม่ไม่ควรเข้ามาวุ่นวายกับคนรักของผมอีก”
คณิตหันไปมองหน้าลูกชายคุณเอมอร มันก็ไม่ต่างกับว่าเงินสิบล้านที่เขานำไปบริจาคให้มูลนิธิต่างๆ เป็นเงินของอชิตะน่ะสิ เขารู้สึกแย่ยังไงบอกไม่ถูก แต่คงไม่แย่เท่าคุณเอมอรที่จ้องหน้าลูกชายเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือลูกของตัวเอง
“แกหลงมันมากจนตาบอดไปแล้วรู้ไหม มันไม่ได้รักแก มันแค่อยากได้เงินล้านไปถลุงเล่น ทำไมลูกชายฉันถึงได้โง่ขนาดนี้นะ” คุณเอมอรทั้งโกรธและผิดหวังในตัวลูกชาย
“ผมว่าคุณแม่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมไม่อยากอายลูกน้อง” ความจริงคืออชิตะกลัวว่าคณิตจะอายเพื่อนร่วมงานมากกว่า
“นี่แกไล่ฉัน! แกเห็นมันดีกว่าฉันงั้นเหรอ” คุณเอมอรขึ้นเสียงสูง
“แล้วแต่คุณแม่จะเข้าใจเถอะครับ”
“ตาอิง!” คุณเอมอรโกรธจนตัวสั่น ตวัดสายตากลับมายังผู้ชายตัวเล็กที่เธอนึกรังเกียจ มันทำให้ลูกชายเธอวิปริตผิดเพศ “อยากได้เท่าไร บอกฉันมา ฉันยินดีจ่ายเท่าที่เธอต้องการ แล้วก็ออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน ไปแล้วไปลับ อย่ากลับมาอีก...ร้อยล้านพอไหม” คุณเอมอรเอ่ยอย่างคนที่ใช้เงินฟาดทุกอย่างให้ได้ดังใจ เธอเสนอเงินจำนวนมากที่คิดว่าคนฟังต้องอยากได้จนตัวสั่น...เงินแค่ร้อยล้านไม่ได้มากอะไรเลย เมื่อเทียบกับเงินที่เธอมีอยู่ในบัญชีธนาคารและในทรัพย์สินอื่นๆ
เสียงซุบซิบดังกว่าเดิม ‘ร้อยล้าน’ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคณิต ยกเว้นเจ้าตัวที่ถูกเสนอเงินร้อยล้านให้ ไม่ได้อยากได้สักนิด ทว่าปากกลับตอบกลับไปว่า
“ผมตกลง ได้เงินแล้วผมจะไม่กลับมาอีก”
อชิตะหันมามองหน้าคณิต อีกฝ่ายหันมาสบตาด้วยเช่นกัน สายตาที่เห็นคล้ายกับจะบอกว่า ‘นี่แหละที่ผมต้องการ’ แต่อชิตะรู้ดีว่าการตอบลงรับข้อเสนอก็แค่ข้ออ้างใช้เป็นเส้นทางออกไปจากชีวิตเขา 
“หึ...ได้ยินชัดหรือยัง มันก็แค่ต้องการเงิน แกฉลาดได้แล้วอิง ตาสว่างสักที” คุณเอมอรหันไปพูดกับลูกชาย ก่อนจะหันไปสั่งเลขาคู่กายที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเธอ “สมุดเช็คกับปากกา” รวดเร็วทันใจ ของที่ต้องการยื่นมาให้ถึงมือ แค่กรอกตัวเลขลงไปเท่านั้น เพราะลายเซ็นได้เขียนไว้พร้อมแล้ว
จังหวะที่กระดาษแผ่นเล็กมูลค่าร้อยล้านจะถึงมือคณิต อชิตะก็ดึงมาจากมือมารดาเสียก่อน 
“นุ่น ผมขอสมุดเช็ค” หันไปบอกเลขาจำเป็น นิรดารับคำด้วยความรวดเร็ว หญิงสาววิ่งเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย และกลับออกมาพร้อมสมุดเช็ค
“คิดจะทำอะไร?” คุณเอมอรมองหน้าลูกชายนิ่ง เห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ลูกชายคุณเอมอรวางสมุดเช็คลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด ก้มกรอกตัวเลข ตวัดลายเซ็น เสร็จแล้วก็ยื่นให้มารดา พร้อมกับคืนเช็คร้อยล้านบาทไปด้วย
“ผมให้คุณแม่สองร้อยล้าน แล้วเลิกยุ่งกับผมและ ‘เมีย’ ซะที”
ลูกชายย้ำคำที่ทำเอาคนเป็นแม่อยากจะกรีดร้องด้วยความโกรธที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ หากทำได้แค่กำหมัดแน่นระงับอารมณ์ก่อนจะเสียภาพพจน์ที่น่าเกรงขามไปเสีย
“แกจะให้ฉันยอมรับผู้ชายเป็นลูกสะใภ้นี่นะ ฉันไม่มีวันยอมเด็ดขาด” ใครมันจะยอม รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น   
“นั่นเป็นสิ่งที่ผมบังคับคุณแม่ไม่ได้ แต่ผมขอร้องคุณแม่ เลิกยุ่งกับครอบครัวผมได้แล้ว”
คนเป็นแม่สะอึกอีกครั้ง นี่ลูกชายคนเล็กกู่ไม่กลับแล้วหรือไร ครั้นพอหันไปมองคนที่ลูกชายเธอกางปีกปกป้อง มันก็ทำหน้าโกรธจัดตั้งแต่ได้ยินลูกชายเธอเรียกว่า ‘เมีย’ แล้ว
คุณเอมอรฝืนข่มความโกรธลงอก ลากเสียงถามลูกชายคนเล็กไปอย่างเชือดเฉือนว่า
“ครอบครัวของแกคนเดียวหรือเปล่า ถามมันดูสิ ว่ามันอยากเป็นเมียแกไหม ดูหน้ามันว่าตอนนี้มันรู้สึกยังไงกับแก รักแกเหรอ? หึ... ถ้ามันรักแก มันคงไม่ไปหาฉัน ขอให้ฉันช่วยเอาแกออกไปจากชีวิตมันหรอกนะอิง” หวังว่าลูกชายเธอจะคิดได้บ้าง แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นตัวเองที่สะอึกซ้ำซาก
“ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ ในเมื่อผมก็เอาหนึ่งกลับเข้ามาในชีวิตผมได้แล้ว หนึ่งจะเต็มใจหรือไม่ ยังไงเขาก็เป็นเมียผม เมียที่ผมนอนกอดอยู่ทุกคืน” อชิตะจ้องตาคนเป็นแม่ ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย “คุณแม่กลับไปเถอะครับ ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจ”
“นี่แกจะทำเพื่อแม่สักครั้งไม่ได้หรือหะอิง” คุณเอมอรสุดจะทนแล้ว งัดไม้ไหนมาพูด มาขู่ ลูกชายก็ไม่เปลี่ยนใจ จนต้องลองใช้ไม้สุดท้าย “ถ้าเลือกไอ้วิปริตนี่ ก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่!” คุณเอมอรวัดใจลูกชาย
พูดจบ ที่ว่าเงียบแล้ว ยิ่งเงียบยิ่งกว่า เสียงโทรศัพท์สักเครื่องดังขึ้นก็คงเหมือนเสียงระเบิด
“ตอบฉันมาอิง แกจะเลือกแม่หรือมัน”
อชิตะไม่ได้ตอบในทัน แม้คำตอบจะมีก่อนที่คำถามจะจบด้วยซ้ำ ชายหนุ่มหมายคว้ามือเล็กมากุม หากเจ้าของมันกลับขยับหนี มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...ตอนนี้ เวลานี้ มีเขาที่สู้อยู่คนเดียว อุปสรรคความรักที่แท้จริง ไม่ใช่มารดาที่ไม่ยอมรับการตัดสินใจของเขา แต่เป็นคนปากแข็งที่ปฏิเสธทุกความรู้สึกของเขามากกว่า
“ต่อให้ผมไม่เรียกคุณแม่ว่าแม่ แต่คุณแม่ก็ยังเป็นแม่ของผม” ไม่ใช่คำตอบที่ตรงคำถาม ทว่ามันก็เป็นคำตอบที่บอกให้มารดาและรวมถึงทุกคนรู้ว่าเขาเลือก...ใคร
“แกหลงมันมากกว่าที่ฉันคิดนะอิง ก็ดี...เชิญแกใช้ชีวิตวิปริตขอแกกับมันให้มีความสุขละกัน” คุณเอมอรเชิดหน้าบอกลูกชายหัวดื้อ 
‘เพี๊ยะ!’
อย่างที่ไม่มีใครจะคิดทัน ฝ่ามือของคุณเอมอรก็ตวัดลงไปบนใบหน้าของคณิตเต็มแรง ซีกหน้าขาวสะบัดไปตามแรงมือ
ต่อให้รู้ว่าลูกชายเป็นฝ่ายดื้อดึง ทั้งที่คนที่เธอตบหน้าและเรียกว่า ‘มัน’ ทุกคำ จะแสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้อยากยืนข้างลูกชายเธอเลยก็ตาม แต่ยังไงซะ คุณเอมอรก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของคณิต ผิดที่เป็นผู้ชาย...ผิดที่ลูกเธอหลงจนไม่ลืมหูลืมตา
“แต่แกก็อย่าลืมว่าคุณย่าของแกเป็นโรคหัวใจ และคงไม่อยากรู้ว่าหลานชายมีเมียเป็นผู้ชาย หึ...เคยบอกคุณย่าไม่ใช่หรือ ว่าจะมีหลานให้อุ้ม”
นี่คือจุดอ่อนที่สุดของลูกชายคนเล็ก เพราะเป็นหลานรักที่สุด อชิตะจึงรักย่ามากที่สุด เธอจะลามือก็ได้ แล้วให้ทุกอย่างเป็นหน้าของแม่สามีแทน

**********************************************
จบตอนที่ 19 ค่ะ
ตามต่อตอนที่ 20 วันพฤหัสฯ นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 20 UP 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 29-06-2017 20:39:59
20

เวลาปาเข้าไปใกล้ตีสองแล้ว แต่คนตัวเล็กที่มาอาศัยนอนบนเตียงในห้องของบ้านเพื่อนรักยังคงบังคับเปลือกตาให้ปิดสนิทไม่ได้ คณิตนอนพลิกตัวไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ หยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่แต่เป็นเครื่องสำรองของอชิตะที่ให้ใช้แทนของเก่าที่โดนปาทิ้งขึ้นมาดูไม่ต่ำกว่ายี่สิบรอบ นับตั้งแต่ได้รับข้อความสั้นๆ ตอนสี่โมงเย็น
‘เดี๋ยวผมไปรับ’
เฮอะ!
‘เดี๋ยว’ นี่คือเมื่อไรล่ะ
จากสี่โมงจนถึงตีสอง สำหรับคณิตแล้ว ‘มันไม่เดี๋ยว’ แล้วนะ
หลังจากถูกตบจนหน้าหันอย่างไม่ทันตั้งตัวต่อหน้าทุกคนในบริษัท เรื่องที่โดนด่าว่าวิปริตผิดเพศ ขู่เอาเงิน แล้วยังเรื่องที่อชิตะประกาศว่าเขาเป็น ‘เมีย’ อย่างเต็มปากเต็มคำอีกเล่า เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะนั่งทำงานท่ามกลางสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมของทุกคนได้
หลายคนเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา บางคนก็มองมาด้วยสายตาเห็นใจปนสงสาร อีกจำนวนหนึ่งก็เหมือนจะเชื่อไปแล้วว่าเขาเห็นแก่เงิน แต่ที่ทุกคนรู้เหมือนๆ กันคือเขาโดนตบ โดนด่าว่าวิปริต แย่งว่าที่เจ้าบ่าวของณัชชา และเป็นเมียของอชิตะ แก้ตัวกี่พันรอบก็แก้ไขความจริงที่ทุกคนได้ยินไม่ได้แล้ว
อชิตะพาเขามาที่ร้านกาแฟชื่อ ‘เชิญครับ’ เป็นร้านของคุณน้ำฟ้า (ผู้ชายที่กำลังจะเป็นแฟนคุณหมอ) แถมยังนั่งอวดน้ำตาให้เจ้าของร้านกาแฟดูอีกด้วย ทำไงได้ตอนนั้นอารมณ์มันสุดจะทนจริงๆ โดนตบหน้าเจ็บก็จริง แต่ไม่ถึงกับต้องร้องไห้หลั่งน้ำตาอะไร เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่ที่ทำให้มีน้ำตาคือคำพูดของคนที่ตอบคำถามหมอพิษณุมากกว่า
‘แล้วจะทำยังไงต่อไป’ หมอพิษณุถาม
‘ไม่รู้ว่ะ เหนื่อย คิดอะไรไม่ออก’
ไม่รู้...เหนื่อย...คิดอะไรไม่ออก...อย่างนั้นเหรอ แล้วใครมันพูดว่าเลือกเขาต่อหน้าคุณเอมอร ต่อหน้าคนทั้งบริษัทล่ะ
ไม่สินะ...อชิตะไม่ได้พูดออกมาจากปากว่าเลือกเขา หลังจากถูกมารดาบังคับให้เลือก แต่คำพูดที่ตอบคุณเอมอรออกไป ก็บอกชัดเจนไม่ใช่หรือไงว่า...เลือกเขา!
เมื่อเลือกเขาแล้วก็ต้องรู้สิว่าต้องทำยังไงต่อไป ไม่ใช่ตอบว่า ‘ไม่รู้’ ถ้าไม่รู้จริงๆ ทำไมไม่ปล่อยเขาไปให้ซะสิ้นเรื่องสิ้นราวล่ะ
แล้วไอ้ที่ว่า ‘เหนื่อย’ ควรเป็นเขามากกว่าไหม
เหนื่อย...ที่ต้องพยายามโทษตัวเอง โทษว่าตัวเองเป็นคนผิด เพื่อกลบเกลื่อนบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวหนักหน่วงอยู่ในอกด้านซ้าย
เหนื่อย...ที่ต้องวิ่งหนี แต่ก็อยากให้อีกคนวิ่งตาม ไม่อยากหันกลับไปมองแล้วพบว่า ถูกทิ้งให้วิ่งอยู่คนเดียว โดดเดี่ยวบนเส้นทางที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง
เหนื่อย...ที่ต้องทำใจให้แกร่งเป็นภูผา ทั้งที่ความจริงหัวใจเขาเข้มแข็งได้ไม่เท่าเม็ดทรายด้วยซ้ำ
เหนื่อย...จนอยากจะยอมแพ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องดิ้นรนหนีไปไหนทั้งนั้น 
คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดไม่ให้ความคิดมันไปไกลกว่านี้ ลองพยายามปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ข่มความรู้สึกให้หลับใหล
ลูกแกะตัวที่ 1...2...3...4...5........86...87...88........109...110...111...
ให้ตายเถอะ! เมื่อไรจะหลับสักทีวะ คณิตโวยวายในใจ อยากลุกจากเตียงไปปลุกเพื่อนให้ตื่นมาเป็นเพื่อนคุย เขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปกับความคิดสารพัดอย่างที่วิ่งวนเวียนอยู่ในหัว หากก็เกรงใจ ตีสองแล้ว เพื่อนรักของเขาคงนอนกอดเมียหลับสบายไปแล้ว 
แอ๊ด...
เสียงประตูเปิดเข้ามาและปิดในเวลาไล่เลี่ยกัน คณิตไม่ได้หันกลับไปมองว่าเป็นใคร ความเงียบและฝีเท้าที่ก้าวตรงมาก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นใคร...ใครที่เพิ่งโผล่มาตอนนี้
มาได้ซะทีนะ!
แต่มาพร้อมกลิ่นเหล้าคลุ้ง และมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวมาด้วย คณิตไม่ชินเท่าไรกับกลิ่นบุหรี่ที่ติดมากับอชิตะ เขารู้ว่าอชิตะสูบบุหรี่ แต่ไม่ติด และไม่สูบบ่อย แม้แต่ตอนเที่ยวสังสรรค์ในยามราตรี อชิตะก็ไม่เคยควักบุหรี่ขึ้นมาสูบให้เห็น ยกเว้นเวลาที่มีเรื่องเครียดมากๆ ซึ่งก็น้อยมากจริงๆ ที่เจ้าตัวจะมีเรื่องให้เครียด
อชิตะเครียดเรื่องเขาหรือเปล่าถึงต้องพึ่งบุหรี่ ก็คงใช่ มีเรื่องเขาเรื่องเดียวแหละที่สร้างปัญหาให้เจ้าตัว
“เหม็น” คณิตเอ่ยขึ้น หลังจากถูกซ้อนกอดจากด้านหลัง แผ่นหลังเล็กแนบสนิทกับแผ่นอกแกร่ง ศีรษะหนุนบนท่อนแขนแข็งแรงแทนหมอนใบเดิม กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ที่ปะปนมากับลมหายใจเป็นเหมือนเสียงกระซิบบอกเล่าถึงความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่อชิตะมี
“เครียดนิดหน่อย ทนหน่อยนะ” บอกพลางจูบซับบนเรือนผมนุ่ม บุหรี่ที่นานครั้งอชิตะจะสูบสักมวนหนึ่ง ต่อให้เครียดขนาดไหนก็ไม่เกินสองมวน แต่วันนี้กลับสูบไม่น้อยกว่าครึ่งซอง คุณย่าที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่อยู่ให้เขาคุยด้วยไม่กี่คำก็หนีเข้าห้อง เขาก็ยังไม่มีโอกาสพูดเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ หรือเพราะเขายังไม่กล้าพอก็ไม่รู้
“.....”
“พูดว่าอะไรนะ?” อชิตะชะโงกหน้าขึ้นถาม เขาได้ยินไม่ชัดว่าคณิตพูดอะไร เพราะเจ้าตัวงึมงำอยู่แค่ในลำคอ
“บอสไปไหนมา” ครั้งนี้พูดดังขึ้น
“ไปดื่มมานิดหน่อย”
“กับคุณหมอเหรอ” พอแยกกันก็เห็นอชิตะเดินข้ามถนนไปยังคลินิกสัตว์ของคุณหมอพิษณุ ส่วนตัวเขากลับมาพร้อมภาคีกับสีฟ้า
“เปล่า ไปคนเดียว”
“ที่ร้านเดิม?” ใบหน้าสวยจัดของหญิงสาวเจ้าของผับแวบเข้ามาในหัวทันที ตามมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดค่อนไปทางไม่พอใจคำตอบที่ได้...ไปคนเดียวก็เข้าทางผู้หญิงคนนั้นเลยสินะ   
“อืม” อชิตะตอบรับในลำคอ
“แล้ว...” ตั้งใจจะถาม แล้วก็เปลี่ยนใจ 
“แล้ว...” อชิตะทวนคำที่อีกฝ่ายพูดทิ้งไว้แค่คำเดียวแล้วเงียบไป หรือว่า... “ถ้าจะถามถึงคุณพลอย ก็เหมือนเดิม เข้ามาชวนคุยแล้วก็อาสานั่งเป็นเพื่อน คงเห็นว่าผมมาคนเดียว กลัวเหงา”
คณิตไม่มีทางเห็นหรอกว่าคนที่นอนกอดตนจากข้างหลัง กำลังมีรอยยิ้มแต้มริมปากหนา
คุณพลอยคือหญิงสาวเจ้าของผับที่อชิตะชอบไปนั่งดื่มเป็นประจำ คณิตก็ไปด้วยแทบทุกครั้ง และลูกน้องหนุ่มตัวเล็กก็บอกเขาหลายครั้งว่าไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ เนื่องจากเธอแสดงออกชัดเจนว่าชอบเขา
“ก็เลยอยู่จนร้านปิดเลยสิท่า” คณิตไม่รู้ตัวหรอกว่าปลายเสียงของตนสะบัดขนาดไหน รู้แต่ว่าความหงุดหงิดมันเพิ่มขึ้นอีกเท่า พอได้ยินเสียงหัวเราะพออกพอใจของอชิตะ เจ้าตัวก็หันไปแหวใส่ทันที “หัวเราะอะไรบอส!”
“คุณพลอยคุยสนุก” อชิตะตอบกลั้วรอยขำ รู้สึกผ่อนคลายอย่างไรบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกหน่วงหนักอยู่ในอกแท้ๆ
“ตอบไม่ตรงคำถาม” คราวนี้คณิตหันมาทั้งตัว ขยับตัวออกห่าง ทิ้งช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น หึ...อย่าหวังจะได้กอดเลย
“คำถามไหนล่ะ” คนตัวใหญ่กว่านอนสบตากับคนตัวเล็กผ่านความมืดสลัวภายในห้อง “คำถามแรกหรือคำถามที่สอง” หัวใจของเขากำลังอิ่มเอมด้วยความสุข เพราะสัมผัสได้ถึงความหึงหวงของคณิตเป็นครั้งแรก
“.....” ไม่ตอบ ริมฝีปากเล็กปิดสนิทและติดจะยื่นนิดหน่อยด้วย   
“นอนเถอะ ดึกแล้ว” อชิตะแกล้งเปลี่ยนเรื่อง ขยับตัวหมายจะคว้าคนตัวคณิตเข้ามากอดเหมือนเดิม แต่ก็ถูกมือเล็กตีปัดไม่ให้แตะต้องตัว
“ผมยังไม่ได้คำตอบ!” คณิตกระแทกเสียงใส่
“อยากรู้ไปทำไม” อชิตะได้ทีแกล้งต่อ อยากเห็นคณิตแสดงความหึงหวง
“บอสก็แค่ตอบ มันยากหรือไง”
“หึง?” 
“เปล่า!” หึงซะที่ไหนเล่า แค่หงุดหงิด หงุดหงิดเหมือนทุกครั้งที่เห็นหญิงสาวเจ้าของผับเดินโปรยยิ้มเข้ามาชวนอชิตะคุย
“หงุดหงิดที่ผมคุยกับคุณพลอย”
“เปล่า” ยอมรับว่าหงุดหงิดจริง แต่ใครจะตอบออกไปเล่า ก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าเขาไม่ชอบคุณพลอยอะไรนั่น บอกไปหลายครั้งแล้วด้วย
“ผมก็คุยด้วยเท่าที่หนึ่งเคยเห็น ไม่ต้องคิดมาก” อชิตะลากเสียงบอกอย่างนุ่มนวลเอาใจ และพร้อมจะตามใจเสมอในทุกอย่างที่คณิตต้องการ เอาตามความจริง เขาไม่ชอบเท่าไรกับการที่มีผู้หญิงมานั่งเอาใจ คอยรินเหล้าและชวนคุยเสียงหวาน มันทำให้เขาไม่สนุก รสชาติแอลกอฮอล์พานไม่อร่อยไปด้วย เขาชอบนั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนหรือลูกน้องคนสนิทมากกว่า
“ใครเขาคิดมากเล่า ผมก็แค่ไม่ชอบผู้หญิงแบบคุณพลอย” คณิตเถียงกลับเสียงแข็ง
“ทำไมไม่ชอบล่ะหนึ่ง คุณพลอยออกจะสวยน่ารัก นิสัยก็ดี” ถามแล้วยิ้ม รู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่คณิตไม่ชอบหญิงสาวเจ้าของผับคืออะไร คณิตเคยบอกว่า...เพราะเธอชอบเขา กลัวเขาตกหลุมเสน่ห์ที่เธอขุดดักไว้ด้วยความเซ็กซี่ยั่วยวน อันมีจุดเด่นเป็นหน้าอกอวบอิ่มในชุดรัดรูปอวดสัดส่วนของผู้หญิง
หญิงสาวเจ้าของผับคือนิยามของคำว่าหน้าเป๊ะ หุ่นเลิศ เซ็กซี่แบบเป็นธรรมชาติ ซึ่งผู้ชายคนไหนก็มองจนคอเคล็ด แต่ไม่ใช่เขา
“ผู้หญิงนิสัยดีที่ไหนอยากจะแย่งแฟนคนอื่น” คณิตบอกอย่างฉุนจัด แต่ต้องสะอึกกับคำพูดของตัวเอง เขาก็ไม่ได้ต่างจากคุณพลอยเลย ที่เป็นอยู่ตอนนี้ แม้ไม่ได้ ‘แย่ง’ ก็เหมือนแย่งเอามาแล้ว แถมแย่งสำเร็จอีกด้วย
...แย่งแบบไม่รู้ตัว 
คณิตพลิกตัวกลับ หันหลังซ่อนความสับสนและรู้สึกผิดไว้ไม่ให้อชิตะเห็น 
“ผมชอบนะที่เราคุยกันได้เกือบเหมือนเดิมแล้ว” เสียงกระซิบจากด้านหลังดังขึ้น พร้อมกับมือที่สอดเข้ามาโอบกอดทั้งตัว ฝังตัวคณิตไว้ในอ้อมแขน แรงกดหนักที่กลางกระหม่อมจากริมฝีปากอุ่นร้อนไม่ได้ทำให้อะไรในหัวใจคณิตบรรเทาลงเลย
“ถ้าบอสอยากให้เราสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิม” คณิตกลั้นใจพูด สะกดน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวไปกับความรู้สึกภายในอก “บอสก็แค่ปล่อยผมไป เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายใคร จะไม่มีใครต้องเสียใจและเจ็บปวดเพราะเราสองคน”
“.....” ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธจากอชิตะ มีเพียงแรงกอดกระชับที่เพิ่มขึ้น ริมฝีปากที่กดแช่ทิ้งไว้บนกลุ่มผมเส้นเล็ก
“แค่...ปล่อยผมไป” ริมฝีปากเล็กสั่นระริก บางสิ่งบางอย่างวิ่งมาจุกที่ลำคอ พยายามกลืนมันกลับลงไป ก่อนจะหลุดออกมาเป็นเสียงสะอื้นเบา “อึก...ปะ...ปล่อยผมไปนะบอส อย่าพยายามทำในสิ่งที่ผลลัพธ์ที่ได้ มันได้ไม่คุ้มเสียเลย”
เสียผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งไป ผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง น่ารัก แสนดี... มันไม่คุ้มเลยจริงๆ กับการที่ได้มาซึ่งผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง     
“ให้ผมได้พยายามเถอะหนึ่ง” สุ้มเสียงนุ่มนวลดังหนักแน่น “ต่อให้ได้ไม่คุ้มเสีย ผมก็พร้อมจะเสีย ขอแค่ให้ผมได้มีคุณ ได้กอดคุณแบบนี้ทุกคืน จะให้เสียอะไรอีกมากเท่าไร ผมก็ยอม เพื่อคุณคนเดียว...หนึ่ง” อชิตะจับคางเล็กให้หันใบหน้ามาสบตากันผ่านความมืดสลัว ก่อนประทับริมฝีปากหนาของตนบนกลีบปากบาง บดเบียดและสอดลิ้นแทรกเข้าไปในโพรงปากหวานอย่างนุ่มนวล เพื่อชิมรสชาติที่แสนลุ่มหลง ตักตวงเพื่อเสริมกำลังใจ จูบที่ไม่ได้รับการปฏิเสธ ย่อมนำมาซึ่งความหวังที่เพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่อชิตะรู้ในยามที่จูบรสหวานสิ้นสุดลง และใบหน้าของคนตัวเล็กซุกซบซ่อนแววตาสั่นระริกไว้กับอกของเขา คือเขาต้องรอเวลาให้คณิตยอมรับหัวใจตัวเอง เลิกกลัวที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่กับเขา ที่ไม่ใช่ลูกน้องกับเจ้านาย ทว่าเป็น ‘คนรัก’ กัน 
“พยายามไปด้วยกันนะหนึ่ง” มือของเขาลูบแผ่นหลังเล็กปลอบโยน คนในอ้อมกอดไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงสะอื้นเบาบางแทนความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน
“หนึ่ง...”
“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องปลอบผม...อึก...ผมขออยู่เงียบๆ” คณิตปล่อยให้น้ำตาไหล เพื่อต่อสู้กับอะไรหลายอย่างที่ตีร้องขู่คำรามอยู่ในหัวอกของตน
“ผมรักคุณนะ”
...ไม่ต้องบอก เขาไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจดจำ ไม่อยากให้ตัวเองหลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน 

V
V
V
ต่อด้านล่างค่ะ   

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 20 UP 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 29-06-2017 20:41:44
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่อิง หนึ่ง” เปิดประตูห้องออกมา คณิตกับอชิตะก็เจอเข้ากับคำทักทายยามเช้าจากใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของสีฟ้า “ผมมาตามไปกินมื้อเช้าครับ”
ทั้งสองเดินตามเจ้าของบ้านไปยังโต๊ะอาหาร มีอาหารหลายอย่างตั้งวางรอท่าก่อนอยู่แล้ว ภาคียืนรินน้ำเปล่าใส่แก้วอยู่ข้างโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นแขกของบ้านเดินตามคนรักของตัวเองเข้ามา ก็หยิบจานขึ้นมาจัดแจงตักข้าวสวยร้อนๆ ให้กับทุกคน ส่วนสีฟ้าก็เดินเข้าไปในครัว ก่อนกลับออกมาพร้อมจานแอปเปิ้ลหั่นชิ้นและส้มเขียวหวาน
“มีอะไร?”
คณิตนั่งลง ส่งเสียงห้วนถามหาเรื่อง เมื่อคนเป็นเพื่อนมองหน้าแล้วอมยิ้มล้อเขา ปากภาคีไม่ได้พูด แต่สายตานี่คือเอ่ยแซวสภาพหน้าตาของเขาไปหลายประโยคแล้ว
หน้าตาของเขาเป็นอย่างไรน่ะเหรอ ภาคีถึงได้ยิ้มล้อ ก็หน้าตาของคนที่ผ่านการร้องไห้มาทั้งคืนไงเล่า ส่องกระจกดูก็ยังตกใจกับขอบตาบวมเป่งของตัวเองเลย
เมื่อคืนเขาหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย รู้แต่ว่าหลับไปทั้งน้ำตาและอ้อมกอดของคนร่วมเตียง
“ร้องไห้เก่งขึ้นนะ เหมือนใครก็ไม่รู้” ประโยคแรกภาคีพูดกับคณิต ประโยคหลังหันไปยิ้มล้อคนรักที่นั่งข้างๆ และกำลังตักผัดผักรวมมิตรใส่จานให้เขา
คนโดนล้อแยกเขี้ยวใส่พอให้น่ารัก ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะอะไรที่เป็นเรื่องจริง สีฟ้าก็ไม่อยากเถียง เถียงยังไงก็แพ้
“เรื่องของกู” คณิตมองเหวี่ยง แจกค้อนวงใหญ่ให้เพื่อนรัก แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะเถียงเอาชนะแบบที่ชอบทำ ดึงสายตากลับมาสนใจจานข้าวของตัวเองที่มีพะแนงหมูมาอยู่ในจานตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
...ก็เป็นคนข้างๆ ที่ตักใส่จานให้
...ก็อย่าหวังว่าเขาจะตอบแทนด้วยการตักอาหารให้เหมือนที่อีกคู่หนึ่งทำหรอก ไม่จำเป็นต้องทำสักนิด  เพราะมันจะดูหวานกันเกินไปแล้ว
อาหารที่วางเต็มโต๊ะ ทำให้หนุ่มเจ้าคำถามนึกสงสัยขึ้นมา 
“มึงว่างมากจนมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวเยอะแยะขนาดนี้เลยหรือไง แบบนี้มึงต้องตื่นตีอะไรเนี่ย” เพราะบนโต๊ะมีอาหารถึงห้าเมนู ประกอบไปด้วยผัดผักรวมมิตร ผัดพริกขิงไก่กรอบ พะแนงหมู หมึกผัดไข่เค็ม และเมนูสุดท้ายต้มกะทิสายบัวที่มีปลาทูสดตัวใหญ่อวดความอร่อยของอาหารถ้วยนี้
คณิตกินอาหารฝีมือของเพื่อนรักมาก็บ่อย เพื่อนทำอาหารอร่อย เคยแนะนำเล่นๆ ว่าให้มันลาออกจากงาน แล้วไปเปิดร้านอาหารซะเลย แต่วันนี้รสชาติพะแนงหมูที่ตักใส่ปาก อร่อยก็จริง แถมอร่อยมากด้วย แต่ไม่ใช่รสชาติที่คุ้นเคย เหมือนไม่ใช่รสชาติที่ปรุงจากมือของเพื่อนรัก แบบว่าพะแนงหมูจานนี้ อร่อยไปคนละแบบกับพะแนงที่ภาคีเคยทำให้เขากิน
หมึกผัดไข่เค็มวางลงมาบนจานข้าวของคณิต...จากคนเดิม
“เช้านี้ตินไม่ได้เข้าครัวหรอกหนึ่ง อาหารพวกนี้มาจากบ้านใหญ่” คนตอบคือสีฟ้า
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญของวัน ครอบครัวใหญ่ของสีฟ้าจึงจัดเต็มเสมอ ไม่มีเสียหรอกที่จะทำอาหารเพียงแค่อย่างหรือสองอย่าง อย่างข้าวต้มก็นานครั้งมากจึงจะมีวางบนโต๊ะอาหารมื้อเช้า
“เมื่อคืนตินกลับดึกมาก เมามาด้วยเลยตื่นสาย” คำบอกที่ติดจะบ่นคนรักหน่อยๆ ขณะที่มือก็ตักผัดพริกขิงไก่กรอบใส่จานให้อย่างเอาอกเอาใจ แววตาของสีฟ้าที่มองภาคี ไม่ว่าครั้งไหนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
คำตอบของสีฟ้าทำเอาคณิตคิ้วขมวดขึ้นมาทันที เมื่อคืนตอนคณิตเข้านอน เห็นว่าเพื่อนยังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน เครียดขนาดนั้นยังมีอารมณ์ออกไปดื่มเหล้าอีก ดื่มจนเมาด้วย แต่อีกประเด็นหนึ่งเล่าที่น่าน้อยใจ...ทำไมภาคีไม่ชวนเขาไปด้วย
“ไม่ชวนกูเลยนะมึง” คณิตทำปากยื่น เคืองเพื่อนพอสมควรที่ไม่ยอมชวนเขาไปด้วย ทั้งที่เขาก็นอนอยู่ในห้องติดกันแค่เนี้ย
“ถึงชวน มึงก็คงไม่ไป” ภาคีตอบเพื่อน
“ชวนกูก็ไปเถอะ” งานไหนมีเหล้า มีของมึนเมา มีหรือคณิตจะไม่ไป ยิ่งเป็นของฟรี จะไปแต่หัววันด้วยซ้ำ “แล้วมึงไปกับใคร” ...เพื่อนคนไหน เขาจะได้โทรไปด่ามันสักหน่อย โทษความผิดคือไม่โทรมาชวนเขาด้วย
“ไปกับบอส”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ คณิตหันไปมองตาขวางเอากับคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ สลับกับตักกับข้าวใส่จานให้เขาเรื่อยๆ จนจะเต็มจานอยู่แล้ว
ไหนว่าเมื่อคืนไปคนเดียว!
ถ้ารู้ว่าไม่ได้ไปคนเดียว มีภาคีไปด้วย เขาคงไม่หงุดหงิดถึงเบอร์นั้น หงุดหงิดที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘หึงหวง’ ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเลยด้วยซ้ำ
“ตอนแรกไปคนเดียว” อชิตะหันมาตอบ ข่มรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้เผยออกมา ขืนยิ้มแรง มีหวังโดนเหวี่ยงเพิ่มอีกแน่ เมื่อคืนเขาโทรมาชวนภาคีไปดื่มเป็นเพื่อน แล้วมารับอดีตลูกน้องที่หน้าประตูรั้ว ให้ภาคีเดินออกมาหาเอง เพราะไม่อยากให้คณิตรู้
‘แถเถอะ’
คณิตขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงใส่คนที่เมื่อคืนโกหกเขาได้แนบเนียนมาก เขาหมดอารมณ์กินข้าวทันที รู้สึกว่าเมื่อคืนตนพลาดอย่างแรง
 “อิ่มแล้วเหรอหนึ่ง” สีฟ้าถาม เมื่อคณิตรวบช้อนกับส้อมเข้าหากัน ยกน้ำขึ้นดื่มไปครึ่งแก้ว ในจานยังเหลือกับข้าวเต็มจาน 
“ครับ” คณิตพยักหน้าตอบสีฟ้า ความจริงยังไม่อิ่มหรอก กินไปสามคำเอง แต่จำเป็นต้องอิ่มเพราะหมดอารมณ์กิน
“งอนบอสหรือไงที่ไม่ชวนมึงไปด้วย” ภาคีถามเพื่อน เห็นหน้าคณิตก็เดาอารมณ์ออก 
“ตรงไหนที่กูงอน แล้วกูจะงอนหาพระแสงอะไร” คณิตตอบอย่างหงุดหงิด เขาเปล่างอน แค่โมโหที่เมื่อคืนถูกหลอก...หลอกให้แสดงความหึงหวงไปขนาดนั้น
อายชะมัด!
“มึงงอนได้ทุกเรื่องแหละ” ภาคีว่าขำๆ เห็นเพื่อนตัวเองเริ่มมีมุมที่เหมือนสีฟ้าไปทุกที...ขี้งอน ขี้น้อยใจ ร้องไห้เก่ง ชอบประชด ปากไม่ตรงกับใจ “บอสก็อย่าตามใจมันมาก ยิ่งถูกตามใจ มันยิ่งเอาแต่ใจครับ” เจ้าของบ้านหันไปพูดกับอดีตนายจ้าง ที่ตอบรับคำพูดของตนมาแค่รอยยิ้มตรงมุมปาก แต่นั่นก็พอรู้ว่าเป็นความพึงพอใจ
“ห่าติน!” มือเร็วเท่ากับใจที่โมโหคำพูดของเพื่อน คณิตหยิบแอปเปิ้ลในจานที่วางใกล้มือปาใส่เพื่อน โดยที่ภาคีหลบไม่ทัน โดนหน้าผากอย่างจัง ก่อนแอปเปิ้ลชิ้นนั้นจะตกลงข้างถ้วยต้มกะทิสายบัว
“พูดความจริงก็โกรธหรือวะ” ภาคียังไม่เลิกยั่วอารมณ์เพื่อน สีฟ้าขยับปากจะปรามคนรัก หากก็เปลี่ยนใจ คิดว่านั่งกินข้าวเงียบๆ แล้วฟังดีกว่า
อารมณ์ของคณิตไม่ได้แค่โกรธอย่างเดียว มันมีอารมณ์น้อยใจเพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อนรักที่ควรจะอยู่ข้างเขา กลับไปอยู่ข้างคนอื่น แทนที่จะปกป้องเขา ก็กลับยัดเยียดใส่มืออชิตะเสียอย่างนั้น
“เออ! กูโกรธ โกรธที่มึงพูดเรื่องไร้สาระ กูไม่ชอบ”...ไม่ชอบที่มึงเห็นดีเห็นงามให้กูลงเอ่ยกับบอส มึงชอบหรือไงวะไอ้ตินที่เพื่อนแย่งผู้ชายของคนอื่นมาน่ะ
 “ก็ได้ ถ้ามึงอยากให้กูพูดเรื่องมีสาระ” ภาคีเปลี่ยนน้ำเสียงกลับมาจริงจัง “มึงเพลาๆ เรื่องเล่นตัวลงบ้างนะหนึ่ง เห็นแล้วกูเหนื่อยแทนบอส” 
“มึงไม่อยากเห็นบอสที่รักของมึงเหนื่อย มึงก็บอกเขาให้หยุดสิวะ ไม่ใช่มาบอกกู” คณิตประชดด้วยความน้อยใจ ทำเหมือนอชิตะไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะด้วย
“อย่ามาประชดกู” ภาคีดุเสียงเข้ม คณิตเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด ขณะเดียวกันก็เหมือนน้องที่เขาต้องดูแลและสั่งสอนในบางเรื่อง อย่างเช่นเรื่องนี้ “มึงจะดื้ออะไรนักหนา มึงกับบอสก็มาถึงขั้นนี้แล้ว กูก็ไม่อยากเห็นบอสเหนื่อยที่ต้องวิ่งไล่ตามมึงตลอดชีวิต แล้วกูก็ไม่อยากเห็นมึงเอาแต่วิ่งหนีความจริงเหมือนคนบ้าที่วิ่งหนีเงาตัวเอง”
กูไม่ได้บ้า บอสมึงนั่นแหละบ้า...คณิตได้แต่นึกเถียงเพื่อนเสียงดังอยู่ในใจ แล้วก็ไม่อยากมองสายตากดดันให้ยอมรับความจริงของเพื่อนด้วย
“กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วนี่” ยังไงก็จะประชด ในเมื่อกดดันกันนัก คณิตก็จะต่อต้านให้ถึงที่สุด เอาสิ...ใครจะชนะ
‘เงา’ หรือ ‘เขา’
“กูเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ว่าอย่าประชด” คนพูดตาขวาง วางช้อนส้อมลง ภาคีตั้งท่าเอาจริงเหมือนพ่อกำลังกำราบลูกชายตัวร้าย
“ก็กูอยากประชด เหมือนที่มึงอยากเข้าข้างบอสของมึงไง เชิญมึงอยู่ข้างบอสของมึงให้พอใจไปเลยนะ ไม่ต้องมาสนใจเพื่อนอย่างกูหรอก” ถึงจะหัวเดียวกระเทียมลีบ เพื่อนรักตีจาก อย่างไรซะ คนอย่างคณิตก็ไม่จนตรอกให้ใครมาต้อนเข้ากรงหรอก ปากมีไว้ทำไมล่ะ เถียงไปสิ ประชดไปสิ “แล้วกูก็ไม่ได้มีมึงเป็นเพื่อนคนเดียวสักหน่อย ชิตก็มี มันหวังดีกับกูมากกว่าเพื่อนอย่างมึงซะอีก” แล้วก็สะใจที่เห็นหน้าเพื่อนรักกระตุก ชื่อของชิตตะวันยังกระตุกต่อมอารมณ์ของภาคีได้ตลอดสิน่า
“หวังดีกับผีสิ มันหวังเอามึงทำเมีย รู้ไว้ซะบ้าง ถ้าไม่มีกูคอยกันมันออกจากมึง มึงไม่มีโอกาสมานั่งลอยหน้าลอยตาชื่นชมมันอย่างนี้หรอกไอ้หนึ่ง” ภาคีร่ายยาวอย่างมีอารมณ์ ก่อนมือของคนรักจะแตะที่หน้าขาเป็นเชิงเตือน ภาคีถึงได้พยายามข่มอารมณ์ลง
“แล้วกูที่นั่งอยู่ตรงหน้ามึงตอนนี้ล่ะ เป็นยังไง หึ...มึงบอกกูสิ ว่ากูเป็นยังไง มีความสุขดีงั้นเหรอ ชีวิตกูสนุกสนานนักสินะ” คณิตยกยิ้มเยาะ เยาะทั้งตัวเอง เยาะทั้งเพื่อน “มึงพอใจใช่ไหมที่กูเป็นแบบนี้ ชอบที่กูต้องทุกข์ทรมานใจใช่ไหม อยากให้กูเป็นคนเลว เป็นคนที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งถูกทิ้งหรือไง มึงชอบใช่ไหม ตอบกูมาสิ ตอบกูมา!” คณิตระเบิดคำพูดอัดแน่นในอกออกมา ดวงตาเล็กร้อนจัด ขึ้นสีแดงก่ำ น้ำตาหยดหนึ่งหล่นกระทบผิวแก้ม ก่อนสายน้ำตาพรั่งพรูไหลพราก ทว่าก็ยังจ้องเอาคำตอบจากเพื่อนรักตาไม่กะพริบ
“กูขอโทษ ที่กูพูดเพราะหวังดีกับมึงนะ” ภาคีเอ่ยเสียงอ่อนลง สำนึกผิดที่กดดันเพื่อนมากเกินไป ขยับตัวจะลุกไปปลอบขอโทษ แต่คนที่นั่งอยู่ใกล้คณิตที่สุดชิงตัดหน้าไปเสียก่อน
“ฮื่อๆๆ...มึงไม่ต้องมาหวังดีกับกู ฮื่อๆๆ...มึงไม่ใช่เพื่อนกูอีกแล้วไอ้ติน...อึก...มึงก็เอาแต่เข้าข้างคนอื่น...ฮื่อๆ” คณิตปล่อยโฮเสียงดังกับแผ่นอกของคนที่ดึงเขาเข้าไปกอด “บอสก็อีกคน...ฮื่อๆ...ไม่ต้องมากอดผม เอามือออกไปเลย ไปกอดไอ้ตินนู่น...ฮื่อๆๆ” ปากทั้งด่า ทั้งพูด และร้องไห้ไปด้วย แต่ก็ยังฝากสายน้ำตาไว้ที่เดิม ไม่ได้ดิ้นรนหนีหรือขยับขัดขืนแต่ประการใด
“ไม่กอดแล้วจะหยุดร้องไหม ถ้าหยุด ผมจะได้ปล่อย ไม่อยากกอดคนที่ไม่เต็มใจหรอก”
เฮอะ...กล้าพูดนะ! คณิตค้อนในใจ
ร้องไห้จนหนำใจ ได้ระบายอะไรที่มันอัดแน่นในอกออกไปบ้าง คณิตก็ขยับตัวออกจากวงแขนที่โอบรัดและมือที่ลูบแผ่นหลังปลอบโยน ตอนที่ร้องไห้สุดเสียงก็ได้ยินเสียงเก็บถ้วยจานอาหารบนโต๊ะ ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้พบแต่โต๊ะที่ว่างเปล่า เหลือแค่แจกันปักดอกกุหลาบสีชมพูหวาน ความรู้สึกผิดก็บังเกิดในใจของคณิตทันที ไม่ได้หายโกรธเพื่อนอย่างภาคีหรอก คณิตยังน้อยใจเพื่อนทรยศอยู่ แต่รู้สึกผิดกับสีฟ้าต่างหาก กินข้าวอิ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าเขาเป็นตัวทำวงอาหารมื้อเช้าแตกเสียได้ แต่เขาไม่ได้ผิดคนเดียวซะหน่อย ตัวการอีกคนก็ไอ้เพื่อนสนิทของเขานั่นไง ถ้ามันไม่เริ่ม ไม่ด่าเขา เขาจะร้องไห้น้ำตาแตกไหมล่ะ
พอเห็นสีฟ้าเดินนำหน้าภาคีออกมาจากห้องครัวหลังจากยกจานชามไปเก็บเรียบร้อยแล้ว คณิตจึงรีบส่งยิ้มขอโทษทันที
“ขอโทษนะครับคุณลมที่ทำให้หมดอารมณ์กินข้าว” บอกเสียงอ่อย ไม่กล้าสู้หน้า นอกจากรู้สึกผิดแล้วก็ยังรู้สึกอายอีกด้วย ร้องไห้เป็นเด็กขนาดนั้น ไม่อายก็ไม่ใช่คณิตแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเข้าใจ...เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้” สีฟ้าบอกด้วยรอยยิ้มเข้าใจ เขาเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดนกดดันหนักๆ เข้า ก็ต้องมีซวนเซเสียศูนย์กันบ้าง เขาก็เคยมาก่อน เจ็บใจทำอะไรใครไม่ได้ ก็ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ร้องแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น
“เดี๋ยวนี้ก็เป็นครับ” ภาคีเอ่ยแซวคนรัก เลยโดนหยิกเข้าที่เอวหนา
“น้อยลงแล้วเหอะ”
“แต่เมื่อคืนยังงอนตินอยู่เลยนะครับ ง้อตั้งนานกว่าจะหายงอน” พูดกลั้วรอยยิ้มขำ สาเหตุที่สีฟ้างอนเพราะเขามองไม่เห็นชุดนอนที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ (เมื่อคืนเขาเมามาก) พอสีฟ้าเห็นเขาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนตัวอื่นมาใส่ ก็ตั้งหน้างอนตั้งแต่วินาทีนั้นเลย
“งอนแล้วก็หายนี่ ไม่ได้งอนข้ามวันข้ามคืนซะหน่อย” ว่าอาย ๆ ทว่าก็เต็มไปด้วยความสุข
ภาพที่เห็นคนรักยิ้มให้กันสะกิดหัวใจคณิตไม่น้อยเลย ชายหนุ่มนึกอยากมีช่วงเวลางดงามอย่างนี้บ้าง เมื่อครั้งที่คบหากับญาดา มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสดใส สดชื่น มีความสุขในแบบของหนุ่มสาวทั่วไปก็จริง แต่มันยังเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความผูกพัน’ อย่างที่เห็นในตัวของคู่รักตรงหน้า
‘ความผูกพัน’ บางครั้งก็ดูเล็กน้อยกว่าความรัก แต่มันยาวนานกว่าความรักซะอีก คณิตคิดเช่นนั้น โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังเผลอมองลูกตาสีเข้มของใครบางคนอยู่ พอรู้ตัวก็ตวัดสายตาหนี ความหงุดหงิดก็วิ่งกลับมาทำงานอย่างแข็งขันทันที
หงุดหงิด ‘ใจ’ ตัวเองนี่แหละ!
“กูกลับละ” คณิตบอกลาเพื่อนรัก
“หายโกรธกูยัง” ภาคีถามเสียงอ่อนง้อเพื่อน “ที่พูดทั้งหมดก็เพราะกูหวังดี”
คณิตเบ้ปากเพราะยังเคืองและน้อยใจเพื่อนตัวดีอยู่พอสมควร
“เอาความหวังดีของมึงไปกองไว้ที่หน้าตักบอสสุดที่รักของมึงเถอะ กูไม่อยากได้”
“มึงนี่นะไอ้หนึ่ง ไปๆ จะกลับก็กลับไป” ภาคีพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แล้วหันไปพูดกับอดีตนายจ้างที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาในอดีต “ฝากมันด้วยนะครับบอส อยากให้มันหายฟุ้งซ่าน บอสก็เอางานให้มันทำเยอะๆ จะได้เลิกบ้า”
“ไอ้ห่าติน! อีกแล้วนะมึง” ลูกตาเล็กของคณิตเป็นประกายวาววับเอาเรื่อง อยากจะกระโดดงับหัวเพื่อนรักจริงๆ ถ้าไม่ติดเกรงใจสีฟ้าละก็นะ
“ผมกลับก่อนนะติน ลานะครับน้องลม” อชิตะเอ่ยลาเจ้าของบ้านทั้งสอง
“มีอะไรให้ลมกับตินช่วยบอกได้นะครับพี่อิง เราสองคนยินดีช่วยเต็มที่” สีฟ้าบอก
เจอคำพูดของสีฟ้าเข้าไป คณิตก็เผลอค้อนตาคว่ำใส่คนรักของภาคี สีฟ้าก็เป็นไปอีกคน นี่คือการประกาศตัวชัดแล้วใช่ไหมว่าอยู่ข้างใคร ทำไมมีแต่คนเข้าข้างอชิตะ ไม่มีใครเห็นใจเขาหรือไงนะ คิดแล้วน้อยใจชะมัด
คนโดนคณิตค้อนรีบอธิบายเพราะไม่อยากถูกงอนไปด้วยอีกคน
“เรื่องของลมกับตินที่ผ่านมา หนึ่งก็เห็นใช่ไหม ว่าไม่มีใครมีความสุขเลย ลมก็ไม่มีความสุขที่หนีใจตัวเอง ส่วนตินก็ไม่มีความสุขที่ลมเอาแต่หนี แล้วยังทำให้คนรอบตัวของเราวุ่นวายและไม่มีความสุขไปด้วย ลมถึงอยากให้หนึ่งใช้ ‘ใจ’ มากกว่า ‘เหตุผล’ เพราะบางครั้งเหตุผลมันก็ทำให้เราทุกข์มากกว่าสุข”
ใช่ว่าสีฟ้าไม่เห็นใจณัชชา ณัชชาเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ แต่เมื่อทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องทำใจยอมรับและหายจากความเจ็บปวดให้เร็วที่สุด
อาจฟังดูโหดร้ายกับคนที่ถูกทิ้ง แต่ก็ดีกว่าจองจำตัวเองไว้ในความรักที่ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม และอชิตะเองก็ไม่ได้คู่ควรกับความรักของณัชชาอีกต่อไป หลายวันก่อนสีฟ้าบอกณัชชาไปเช่นนี้ เพื่อนคนน่ารักของเขาก็พยักหน้ารับพร้อมน้ำตาที่รินไหลอย่างเงียบเชียบ จนเหือดแห้งไปในที่สุด
น้ำตาบนแก้มแห้งแล้วก็ใช่ว่าข้างในจะแห้งตาม ณัชชาจะตัดใจจากออกมาหรือฝืนรักต่อไป อันนี้สีฟ้าก็ไม่สามารถรู้ใจเพื่อนได้ ได้แต่หวังว่าณัชชาจะลืมความเจ็บได้ในเร็ววันและเปิดหัวใจรักใครคนใหม่ที่คู่ควรกับเธอมากกว่าคนรักเก่า ที่ไม่ได้รักเธอเหมือนในวันวานอีกแล้ว
ส่วนเรื่องของอชิตะกับคณิต สีฟ้าก็หวังให้คนทั้งคู่ลงเอยกันด้วยดี และเขาคิดว่าต้องมีสักวันที่คนทั้งคู่จะรักกันได้และมีความสุขเหมือนเขากับภาคี แต่เมื่อไร สีฟ้าก็ไม่รู้ ได้แต่ลุ้นและเอาใจช่วยเท่าที่จะทำได้

จบตอนที่ 20 ค่ะ
ไม่มีคนอ่านหรือเปล่า...คนเขียนเหงาน้า
แต่ก็พอเข้าใจเนอะ คุณอิงนิสัยไม่ดีเนอะ อืมมมมม...นี่ถ้าเขียนยังไม่จบ สงสัยไม่เขียนต่อแล้วแน่ๆ
แต่เขียนจบแล้วว 555+ ก็จะลงไปเรื่อยๆ เนอะ
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 20 UP 29-06-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-06-2017 21:18:31
แอบมาชะเง้อดู
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 21 UP 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 01-07-2017 19:10:04
21
บรรยากาศในออฟฟิซของเช้าวันนี้แตกต่างจากเช้าเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง แตกต่างจนน่าประหลาดใจปนไปกับความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คณิตนึกกลัว แทนที่จะเจอสายตาทุกคู่จ้องมองมาอย่างเหยียดหยันจากเหตุความอัปยศที่เกิดขึ้น หรือน่าจะเกิดเสียงซุบซิบเกี่ยวกับตัวเขาจากเหตุการณ์น่าอายบ้าง แต่ไม่เลย ทุกคนนั่งทำงานกันเป็นปกติดี มีพูดคุยกันข้ามโต๊ะบ้าง บางคนก็เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทักทายเขา ทักทายเจ้าของแผ่นหลังกว้างในชุดสูทสีเข้มที่เดินอยู่ด้านหน้าเขา
“สวัสดีครับบอส...สายอีกแล้วนะครับไอ้น้องหนึ่ง” เป็นคำทักทายของเกียรติศักดิ์ที่เพิ่งถือถ้วยกาแฟออกมาจากห้องครัว
“ก็...ก็เป็นปกติ...นะพี่” คณิตตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงเท่าไร เพราะยังรู้สึกอับอายกับเหตุการณ์เมื่อวาน วันนี้เขามาทำงานสายเกือบสองชั่วโมง เพราะต้องกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านของอชิตะก่อน
คณิตรู้สึกว่าบรรยากาศมันปกติแบบที่ไม่ปกติเลย ทุกคนคล้ายลืมว่าเมื่อวานมีเรื่องโลกแตกอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ทุกคนจะลืม!
นอกจากจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ยกบริษัท!!       
ขณะที่กำลังคิดหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์ที่เป็นปกติแบบไม่ปกตินี้ คนด้านหน้าก็หยุดเท้าลง หันมาบอกเขาที่เดินตามมาข้างหลังแบบห่างพอสมควรว่า
“ผมให้คนย้ายโต๊ะคุณกลับที่เดิมแล้วนะ”
มองไปทางซ้ายมือ ห่างจากประตูห้องทำงานของอชิตะไม่ไกลนัก เยื้องกับโต๊ะทำงานของเกียรติศักดิ์ คณิตเห็นโต๊ะทำงานของตัวเองกลับมาตั้งอยู่ตำแหน่งเดิมแล้ว
“คุณจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด” อชิตะบอกต่อ คนฟังเผลอย่นหัวคิ้ว   
“แล้วจะขนเข้าไปทำไมแต่แรก” คณิตบ่นอุบอิบ เมื่อวานขนเข้า วันนี้ขนออก
เฮ้อ...อชิตะต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ เขาไม่เข้าใจ พลางสาวเท้าเดินก้มหน้าไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ทิ้งตัวลงนั่ง พยายามแอบมองหาความผิดปกติของทุกคน
ไม่เห็นมีใครมองเขาเหมือนตัวประหลาดสักคน เสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่มีมากระทบหู สักนิดก็ไม่มี ไม่แม้แต่จะมีใครทำหน้าเหมือนอยากรู้อยากเห็น ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อวานสักคน 
หรือว่า...เหตุการณ์เมื่อวานเป็นความฝัน?
บ้า! มันจะเป็นความฝันได้ยังไง โดนตบจนหน้าหัน มีกลิ่นเลือดจางในปากเลยนะ โชคดีที่พอโดนตบแล้ว นิรดาผู้คล่องแคล่วว่องไวไปเสียทุกเรื่องก็วิ่งเข้าไปในครัว หาน้ำแข็งมาประคบแก้มข้างที่โดนตบให้อย่างรวดเร็ว
มันต้องมีใครสักคนที่บอกเขาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นจะตามเอาจากเกียรติศักดิ์ รายนั้นก็ยืนสะพายกระเป๋า หอบหิ้วงานไปหาลูกค้าแล้ว คนที่นั่งใกล้เขาที่สุดตอนนี้ก็เหลือแต่... 
“ภัทร...” เรียกแล้วยังไม่หัน “ภัทร...ไอ้ภัทร” เรียกถึงสามครั้งกว่าภัทรพลจะละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์หันมาหาเจ้าของเสียงเรียก
ภัทรพลเลิกคิ้วแทนคำถาม พลางซดกาแฟซึ่งเหลืออยู่ครึ่งถ้วยจนหมด
“เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” คณิตเลื่อนเก้าอี้ไปหาภัทรพล กระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน
“ก็ดีแล้ว” ภัทรพลบอกปัดๆ เพราะไม่อยากพูด ทั้งที่คันปากยิบๆ
“ดียังไงวะ กูนี่เกร็งไปหมดแล้ว เม้าธ์เรื่องกูสักหน่อย กูคงจะรู้สึกดีกว่านี้”...ตอกย้ำให้รู้สึกผิดบ้างก็ได้ เขาจะได้หาเรื่องไปเหวี่ยงวีนคนก่อเรื่องหลักที่นั่งสบายอยู่ในห้องทำงาน ตัดขาดทุกสายตาของพนักงานทุกคน ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกหวาดกลัวและระแวงสงสัยเช่นที่เขากำลังรู้สึก
นั่น! ตายยากจริงเชียว พูดถึงก็โผล่หน้าออกมาจากห้องทันที อชิตะหยุดพูดกับนิรดาสองสามประโยค แล้วก็เดินตรงมาหาเขา ภัทรพลรีบขยับตัว หันหน้าไปจ้องจอคอมพิวเตอร์ทำงานต่ออย่างรวดเร็ว แต่คณิตก็แอบเห็นหูของภัทรพลกระดิกอยู่นะ คงเตรียมตั้งใจฟังสุดฤทธิ์ เรื่องอยากรู้อยากเห็นละเป็นที่หนึ่ง... รองจากเขา
“ผมออกไปข้างนอกนะหนึ่ง ถ้าใกล้เลิกงานแล้วผมยังไม่กลับมารับ กลับเองได้ใช่ไหม?”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องบอกเลย ไม่ใช่เด็กซะหน่อย” คณิตพึมพำตอบ ไม่ได้มองหน้าคนที่ยืนข้างโต๊ะทำงานของตน มือก็ทำทีเป็นวุ่นวายอยู่กับอุปกรณ์ทำงานทั้งหลายแหล่ ขณะเดียวกันก็แอบเหล่ตามองเพื่อนร่วมงานคนอื่นไปด้วย ทุกสายตาเหมือนไม่ได้พุ่งตรงมาที่เขากับอชิตะเลย แต่ ‘หู’ นี่ไม่แน่ 
“ผมไม่อยู่ ห้ามดื้อ...นะครับ”
ถ้าจะบอกเฉยๆ ก็ไม่ใครว่าหรอก ทำไมต้องก้มลงมากระซิบตอนไอ้สองคำสุดท้ายด้วย และทำไมต้องลูบหัว ไม่ใช่เด็กห้าขวบ... รู้ไหมว่าอายคนโว้ย!
จะหลบก็ไม่ได้ เดี๋ยวอชิตะเสียหน้าต่อหน้าลูกน้อง จะด่าก็ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของบริษัท คณิตเลยได้แต่เค้นเสียงพูดเบายิ่งกว่ากระซิบว่า
“เอามือออกได้แล้ว ผมอาย”
“ไปแล้วนะ”
“อืม”
เมื่อแผ่นหลังในชุดสูทสีเข้มหายลับไปหลังประตูออฟฟิซ อึดใจต่อมาก็บังเกิดเสียง...
“ฮิ้วววววว...”
เสียงใครบ้างก็ไม่รู้ คณิตรู้แต่ว่าหยิบปากกาขึ้นมาเขวี้ยงใส่ศีรษะภัทรพลเต็มแรง โทษความผิดที่มัน ‘ฮิ้ว’ แรงกว่าใครพวก แทนที่ภัทรพลจะสำนึกกลับหัวเราะเสียงดังอย่างอัดอั้นมานาน แสดงสีหน้าว่าถูกอกถูกใจความร้อนบนใบหน้าเขาซะเหลือเกิน
“หน้ามึงแดงแล้ว” 
“แดงเพราะโมโหมึงนั่นแหละ” แก้ตัวไปแบบหนังถลอก ก่อนจะลุกเดินหนีเสียงแซวของเพื่อนร่วมงานหลายคน ที่บางคนอมยิ้มแซว บางคนยังไม่เลิกเป่าปาก ส่วนบางคนอย่างไอ้ภัทรก็ยังลุกตามหลังมา ส่งเสียงหัวเราะชวนให้หันไปค้อนแล้วค้อนอีก คนเป็นเพื่อนก็ยังไม่หยุด
“โถๆ ‘เมียบอส’ ครับ นับวันยิ่งสาวแตกนะครับ” ภัทรพลที่ตามมากอดไหล่จากด้านหลังเอ่ยแหย่ คณิตย้ายไหล่หนี แล้วเดินไปหยิบถ้วยมาชงกาแฟดับความร้อนบนผิวหน้า...อายเพราะถูกแซว และไม่ได้เตรียมรับสถานการณ์เช่นนี้มาด้วยแหละ
อายคำว่า ‘เมียบอส’ ที่ภัทรพลเรียกแทนชื่อเขาด้วย แค่อายนะ แต่เขาไม่ได้โกรธมัน คนที่ควรโดนโกรธคือคนที่พูดต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นเมียนั่นแหละ สมควรโดนโกรธที่สุด
“ไปไกลๆ กูเลย” คณิตผลักไหล่คนที่เดินมากระแซะข้างกาย รำคาญความช่างแหย่ช่างแกล้งของมัน เห็นใครมีจุดอ่อนไม่ได้ชอบใช้โจมตีตลอด
“แหมมม...ทำรำคาญ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเมียบอสนะ กูจะขย้ำก้นมึงให้สาแก่ใจ ครวญครางเรียกชื่อกูไม่ขาดปากแน่มึง ของกูใหญ่นะเว้ย ลีลาก็เด็ดสะระตี่ ลองแล้วติดใจแน่” ภัทรพลกัดปากทำหน้าหื่น
“ไอ้ห่าภัทร! ไอ้เหี้ย!” คณิตสุดจะทนความจัญไรของเพื่อน ว่าจะไม่โกรธมันแล้วนะ “มึงออกไปเลยไอ้ภัทร ก่อนกูจะเอาน้ำร้อนราดหน้ามึง” ที่พูดนี่ไม่ได้ขู่นะ คิดจะทำจริงด้วยถ้ามันไม่หยุด
“อยากกินราดหน้าพอดีว่ะ อุ๊ย...ก้นนุ่มว่ะ ฮ่าๆๆ...โอ๊ย! เล่นแรงนะมึง” ภัทรพลร้องเสียงหลง หลบจานพลาสติกที่คณิตหยิบมากฟาดศีรษะเขาแบบไม่ยั้งแรงเลย เพราะโดนเขาขย้ำก้น “พอๆ กูไม่เล่นแล้ว จับนิดจับหน่อยทำหวง เอ้า..เข้าเรื่องเลยดีกว่า”
“อะไร?” คณิตวางจานกลับไปที่เดิม
“เรื่องที่มึงอยากรู้ไงว่าทำไมไม่มีใครเม้าธ์มึงเรื่องเป็นเมียบอส...อยากรู้ว่ะ บอสเด็ดถึงใจมึงไหม แต่กูว่าอย่างบอสนี่แรงคงดีไม่น้อย เอามึงทั้งคืน กูก็ว่ายังได้นะ”
“ไอ้ห่าภัทร! มึงจะเล่าหรือจะให้กูฟ้องบอส!!” คณิตชี้หน้าขู่ 
“โด่ ถามแค่นี้ก็ไม่ได้ ขี้ฟ้องผัวหรือไงจ้ะตัวเอง...เออๆ เล่าก็ได้” ภัทรพลคิดจะแหย่ต่ออีกหน่อย แต่ตาเพื่อนเขียวป๊าด กาแฟร้อนในมือก็เตรียมจะสาดใส่เขารอมร่อ เลยต้องเข้าเรื่องซะที “เมื่อวานหลังจากที่บอสกับมึงออกไปใช่ไหม ตอนเย็นใกล้เลิกงานบอสก็กลับมาเรียกประชุมทั้งบริษัท เรื่องของบอสกับมึงนั่นแหละ แม่ง...ถ้ามึงเห็นหน้าบอสตอนประชุมนะ มึงคงอยากหาเชือกผูกคอตายเหมือนทุกคนในตอนนั้นแน่ ตั้งแต่ทำงานมา กูก็เพิ่งเห็นบอสเวอร์ชั่นโหดเป็นครั้งแรก โหดสลัดมาก ไม่กล้าสบตาเลยว่ะ”
ทำหน้าแบบไหน? คณิตก็อยากเห็นเหมือนกัน จะเหมือนตอนที่ข่มขู่เขาไหม
“เล่ามา น้ำไม่เอา ขอเนื้อๆ” คณิตเร่งเพื่อน
“ก็นั่นแหละ บอสขอ...แต่กูว่าบอสสั่งมากกว่าว่ะ สั่งห้ามทุกคนพูดถึงเรื่องเมื่อวาน ให้ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามนินทาเรื่องของมึงกับบอส ห้ามทำให้มึงรู้สึกอึดอัด ลำบากใจ แต่จะก็แซวได้ ขอแค่อย่ามากจนทำให้มึงรู้สึก ‘แย่’ ไม่อย่างนั้นโทษที่น้อยที่สุดคือโบนัสเหลือครึ่งเดือน”
“ทุกคนก็เชื่อเหรอวะ” คณิตไม่อยากจะเชื่อ ความคิดคน คำนินทาพวกนั้น ห้ามกันได้หรือไง
“คำสั่งของเจ้าของบริษัท ใครจะกล้าขัด...เลยเป็นอย่างที่มึงเห็น มีใครนินทามึงให้รกหูรกใจบ้าง” ภัทรพลไม่อยากบอกเลยว่า สิ่งที่ทุกคนกลัวรองจากอชิตะคือกลัวได้โบนัสครึ่งเดือนนี่แหละ ทุกปีนี่โบนัสไม่น้อยกว่าสามสี่เดือนเลยนะ
นั่นสิใครจะกล้าขัด แต่อชิตะจะรู้ไหมเล่าว่า ยิ่งไม่มีใครพูดถึง ยิ่งทุกคนทำตัวเป็นปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายิ่งรู้สึก ‘แย่’ ไม่ได้รู้สึกดีเลยให้ตายเถอะ นินทาเขาจนต้องวิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำเหมือนผู้หญิงซะยังดีกว่า
“คิดมากทำไมวะ แบบนี้ก็ดีแล้วไง ไม่มีอะไรเข้าหูให้กวนใจมึง” ภัทรพลตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงปลอบ “ส่วนลับหลังก็ช่างมัน ปากคนห้ามไม่ได้หรอก แต่จากที่กูสังเกตนะ เช้ามาก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องมึงกับบอสในแง่ไม่ดีเลย อันที่จริงก็ตั้งแต่ตอนเย็นหลังเลิกประชุมเลยมั้ง”
“กูไม่อยากทำงานที่นี่แล้วว่ะ” คณิตถอนหายใจยาวออกมา มองกาแฟในถ้วยที่เริ่มคลายความร้อนและคงจะเย็นชืดในไม่ช้า
“จะไปนอนให้บอสเลี้ยงว่างั้น แหม...ได้ผัวรวยเป็นบุญจริงๆ” ยักคิ้วลิ่วตาแซว
“กูไม่มีอารมณ์ด่ามึงแล้วนะเหี้ยภัทร เชิญมึงตามสบาย อยากพูดอะไรก็พูดเลย เต็มที่” คณิตบอกเสียงเหนื่อยหน่าย สู้ปากกับภัทรพล ไปแข่งเห่ากับหมายังมีโอกาสชนะมากกว่า
“คิดมากน่ามึง นี่กูอุตส่าห์เอาความลับที่ประชุมมาบอกเลยนะเว้ย ขืนมึงทำตัวเศร้า รู้สึกแย่กับเรื่องที่กูเล่า บอสเชือดกูแน่” คนพูดทำหน้าจริงจัง ก็ภัทรพลไม่อยากฉลองปีใหม่กับเงินโบนัสแค่ครึ่งเดือนนี่หว่า
คณิตพยักหน้าไปแกนๆ เทกาแฟทิ้งในอ่างล้าง หมดอารมณ์จิบรสชาติความขมของมันแล้ว และไม่อยากกลับโต๊ะทำงานเลย เพราะไม่อยากเจอบรรยากาศที่เป็นปกติแต่ไม่เป็นปกติของทุกคน
“ยิ้มหน่อยสิวะ เป็นเมียบอส มันก็ไม่ได้แย่หรอกมั้ง”
“มึงเป็นกู มึงจะยิ้มออกไหมล่ะ” คณิตถามกลับเสียงห้วน มันจะย้ำคำว่า ‘เมียบอส’ บ่อยเกินไปแล้วนะ
“เป็นกู กูจะออเซาะบอส แล้วขอเงินเดือนเพิ่ม ไม่ต้องมากก็ได้แบบกูเกรงใจงี้ ก็ขอขึ้นสักสี่เท่า...บอสคร้าบบบ หนึ่งทำงานน้ากกกก...หนัก ทั้งกลางวันกลางคืน แถมบอสยังชวนหนึ่งโต้รุ่งอีก บอสต้องเพิ่มเงินเดือนให้หนึ่งแล้วนะคร้าบบบ” ภัทรพลลากเสียงเล็กเสียงน้อย ทำท่าเหมือนเมียสาวอ้อนผัวแก่
ขณะที่คณิตได้แต่มองปลง หมดอารมณ์ด่า ด่าไปภัทรพลก็ใช่จะสะทกสะท้าน 
“มึงไม่ขำหรือวะ ว้า...ไม่สนุกสิวะเนี่ย” ภัทรพลทำหน้าเซ็ง ตบบ่าเพื่อนซ้ำอีกรอบ ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้น “บอสรักมึง กูมองออก เห็นมาตั้งนานแล้ว แค่กูไม่พูด แต่ตอนนี้กูพูดได้แล้ว เพราะบอสทำให้เห็นว่าเลือกมึง ส่วนเรื่องที่มันซับซ้อนกว่านี้ ที่ทั้งมึงและบอสไม่ได้พูดถึง แต่กูก็พอเดาๆ ได้บ้างแหละ เพราะกูฉลาด กูว่า ยังไงซะ มึงก็คงรู้สึกดีกับบอสไม่มากก็น้อยใช่ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นมึงก็คงไม่ยอมบอส...แน่ะ มีหลบตาเป็นสาวน้อยอีกแล้วเพื่อนกู”
“หุบปากมึงไปเลยไอ้ภัทร อย่างมึงไม่ได้เรียกว่า ‘ฉลาด’ เรียก ‘เสือก’ เหมาะกับมึงมากกว่า” ก็รู้ว่าภัทรพลปลอบเพราะหวังดี คงไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ ไม่ใช่เพราะคำสั่งของอชิตะ แต่เป็นเพราะความเป็นเพื่อนกันเสียมากกว่า
“กูน้อมรับ ว่าแต่มึงโอเคแล้วใช่ไหม” ใช่ว่าภัทรพลจะไม่ห่วงเพื่อน ไอ้ที่พูดแหย่ทั้งหมดก็เพื่อให้คณิตหายเครียด
“ยัง แต่ก็ขอบใจ” ซึ้งน้ำใจภัทรพลไม่น้อย
“ขอเป็นเหล้า โซดา น้ำแข็ง กับแกล้มคืนนี้ได้ป่าวครับ แบบของฟรีไรงี้นะครับคุณหนึ่ง” ภัทรพลแค่พูดเล่น ไม่ได้จริงจัง ที่ไหนได้กลับได้จริง
“อืม อยากเหมือนกัน” ดื่มแก้เครียดสักหน่อย ชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี
“โห กูหูฝาดไปหรือเปล่าวะ ขี้เหนียว งกจนเกลือเรียกพี่แบบคุณหนึ่งเนี่ยนะ ยอมควักเงินเลี้ยงเหล้ากู” ภัทรพลทำตาโต ใช้นิ้วมือแคะหูสองข้างประกอบคำพูด
ภัทรพลก็พูดเกินไป เขาไม่ได้งกอะไรสักหน่อย แค่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงใครต่างหาก เนื่องจากมีเจ้านายจ่ายเงินเลี้ยงตลอด
“จะไปไหม ถ้าไปก็เงียบ ไม่ต้องบอกใคร เพราะกูมีปัญญาเลี้ยงแค่มึงคนเดียว” ยังไงซะ ถึงทำใจป้ำเลี้ยงเหล้าเพื่อน แต่คณิตก็ประมานตนเหมือนกันนะ เงินมีน้อยจะให้เลี้ยงคนจำนวนมากกว่าสอง กระเป๋าฉีกแน่   
“แล้วกูจะเจอข้อหาฉกเมียบอสไปเมาไหมวะ ยิ่งไม่อยากให้กูถึงเนื้อถึงตัวมึงอยู่ด้วย ถ้าบอสรู้ว่าไปกับกูสองคนด้วยละก็ งานนี้กูอาจตกงานได้นะเว้ย” ภัทรพลว่า ไม่มีสีหน้าล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มโดนเตือนตัวต่อตัวไปเมื่อเย็นหลังประชุมด่วน (ที่ไม่เกี่ยวกับงานเลยสักนิด) แบบนอกรอบ ตัวต่อตัว...โหมดหวงเมียของอชิตะน่ากลัวน้อยซะที่ไหน
“มึงอย่าเว่อร์ แค่ไปดื่มเหล้า แล้วจะไปไหม ไม่ไป กูไปคนเดียวก็ได้”
“ไปก็ได้ แต่ถ้าบอสจับได้ว่ามึงไปกับกู มึงต้องปกป้องกูด้วยนะ ห้ามให้บอสไล่กูออกเด็ดขาด ตัดเงินเดือนกูก็ไม่เอา”
“เออ!” พยักหน้ารับตัดรำคาญ ภัทรพลก็พูดเว่อร์ไป แค่ไปกินเหล้าด้วยกัน ไม่ถึงกับถูกไล่ออกหรอก ลองทำดูสิ เขานี่แหละจะโวยวายให้เข็ด คนอะไรแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้

“บ๊าย...บาย...เจอกันพรุ่งเน้นะ...ไอ้เวรพาททท”
คนเมายืนเกาะประตูรั้วสีดำ มือข้างหนึ่งยกโบกร่ำลาเพื่อนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อประตูรั้วเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากประตูรั้วใหญ่เปิดออกมา ร่างสูงของเจ้าของบ้านที่ยังอยู่ในชุดทำงานตอนเช้า เพียงแต่เจ้าตัวถอดสูทออกไปแล้ว เดินออกมาพร้อมคำถาม น้ำเสียงเย็นเยียบคล้ายกำลังข่มอารมณ์คุกรุ่นภายใน
“ปิดเครื่องทำไม” อชิตะเดินตรงมาหิ้วปีกคนเมา
“หื้อ...แบตม้านนน...หมดน่าซี่” คณิตบอกเสียงยานคางตามสภาพความเมามาย จนคนที่ช่วยพยุงต้องส่ายหน้า เลิกเอาความคนเมา แล้วหันมาห่วงแทน
“ไหวไหม?” อชิตะถามอย่างเป็นห่วง ขณะที่พาร่างเล็กคลุ้งกลิ่นเหล้าเข้ามาในบริเวณรั้วบ้าน ปล่อยให้สาวใช้ที่เดินตามหลังมาเมื่อครู่ปิดประตูรั้วให้ ก่อนจะเดินตามหลังมา ทิ้งระยะห่างพอสมควรอย่างรู้บทบาทหน้าที่ของตน
“หวายยย~~คร้าบบ~~บอสสส~~” บอกเสียงอ้อแอ้ตามประสาคนเมา คณิตยอมรับว่าเมามาก ยกไปหลายแก้วมาก แต่ก็ไม่เกินลิมิตของตัวเอง ดังนั้น สติของเขายังมี ไม่ถึงกับเมาเหมือนหมา แต่ก็ซ่าเหมือนเคยเมื่อร่างกายเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์เข้มข้น
ร่างคนเมาถูกประคองอย่างนุ่มนวลด้วยความห่วงใย 
“จะไปไหน?” จู่ๆ คนเมาก็ดิ้นออกจากวงแขน เดินปัดเป๋ไปยังสระว่ายน้ำที่อยู่ไกลไม่เกินสิบก้าว อชิตะพอรู้ว่าคนตัวเล็กคิดจะทำอะไร
เมาแล้วกระโดดลงสระ
“อาบน้ำ” คณิตตอบเหมือนวันนั้นเป๊ะ ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ดูน่ามองไปอีกแบบในสายตาคนที่เดินตามหลังมา
“ไม่เอาหนึ่ง คุณเมามาก เดี๋ยวจม” อชิตะคว้าแขนคนเมาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดลงสระ ครั้งนี้คณิตเมากว่าครั้งนั้นพอสมควร
“ม่ายย~~ม่ายยยย ผม~จา~ลง~~” คนเมายังดื้อ แถมยังตีหน้ายุ่งใส่คนห้าม “ปล่อย...ปล่อย...ผม...จา...ลง~~” ไม่พูดเปล่า คณิตสะบัดแขนสุดแรงคนเมา แล้วรีบกระโจนลงสระว่ายน้ำแบบที่อชิตะคว้าตัวไว้ไม่ทัน มิหนำซ้ำยังเสียหลักตกลงไปด้วยอีกคน
บอสหนุ่มคว้าเอวคนเมาเข้ามาชิดตัว ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะจมน้ำเพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“ห้ามไม่เคยฟังเลย ดื้อจริง” อชิตะบ่นไม่จริงจังนัก ใช้มือข้างหนึ่งลูบเม็ดน้ำออกจากใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์เหล้า ก่อนจะพาร่างที่เล็กกว่าไปยืนตรงขอบสระ โดยให้แผ่นหลังเล็กพิงไว้กับขอบสระ ดึงท่อนแขนเล็กให้โอบรอบลำคอเขา ร่างกายไม่ได้แค่ใกล้กันแต่มันบดเบียดแนบชิด อชิตะเหลือบไปเห็นคนใช้หนุ่มที่วิ่งตามเสียงตูมออกมาดูเหตุการณ์ จึงโบกมือไล่ให้กลับเข้าไปเข้าในเสียพร้อมกับสาวใช้ที่ยืนรอเขาเรียกใช้นั้นด้วย
“ก๊ะดื้อกับบอสคนเดียวน้าาาา ไม่ชอบหรือคร้าบบ...”
หากไม่เมา อชิตะก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้เจอคณิตเวอร์ชั่นช่างอ้อนช่างยั่วหรือเปล่า คณิตที่ดูจะอ้อนตาเยิ้ม ลากเสียงยาวฟังหวานหู มิหนำซ้ำมือเล็กทั้งสองข้างยังขยุ้มอยู่ตรงท้ายทอยของเขาด้วย บังคับให้ต้องโน้มลงมาหาใบหน้าของคนเมา ก่อนความกล้าอันเป็นผลผลิตของความเมาจะชักชวนให้คณิตสัมผัสริมฝีปากหนาของอชิตะด้วยเรียวลิ้นของตนเอง
คืนนั้นคณิตเริ่มต้นด้วยคำถาม หากคืนนี้เล่ากลับเริ่มต้นด้วยเรียวลิ้นนุ่มนิ่มของตัวเองไปเสีย 
คณิตทำตามความต้องการของร่างกายที่เมามาย ทำตามหัวใจที่ร่ำร้องมาตลอด ในหัวของคณิตกึกก้องด้วยคำพูดประโยคหนึ่งของภัทรพล เมื่อครั้งนั่งดื่มด้วยกันในผับ
‘มึงลองรักแบบที่ไม่ต้องกลัวอะไรดูสิวะ รักไปตามที่ใจมึงต้องการ รักโดยที่แม่งไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น เอาแค่ที่มึงรัก เอาแค่ที่มึงอยากได้จากบอส’
คำแนะนำที่สอนให้เห็นแก่ตัวสิ้นดี... 
แล้วจุดจบของคนเห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างไร คณิตอยากรู้ และคงอีกไม่นานก็อาจได้รู้ ทว่าตอนนี้ เขาขอเห็นแก่ตัวได้ไหม เห็นแก่ใจอ่อนแอของตัวเอง เขาขอกอบโกยความสุขที่เผลอใจหลงใหลไปตอนไหนก็ไม่รู้ให้เต็มที่เสียก่อน เมื่อความทุกข์ทรมานจากผลของความเห็นแก่ตัวมาเยือนเมื่อไร เขาจะน้อมยอมรับมันไว้คนเดียว ไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
ชายหนุ่มร่างเล็กใช้ลิ้นเข้าเกาะเกี่ยวลิ้นชื้นแฉะของอชิตะ ดูดกลืนลิ้นร้อนนั้นเหมือนคนบ้าแสนตะกละตะกลาม บดเบียดรุนแรงเหมือนที่เจ้าของมันเคยทำ คณิตเรียนรู้ว่าต้องทำแบบไหน อชิตะถึงจะพอใจ ส่วนเขาก็ไม่ต่างกัน พอใจจนเรียกว่าใกล้เคียงกับความถึงใจ จูบแบบที่เคยจูบกับผู้หญิงอื่น มันกลายเป็นจูบที่เทียบไม่ติดกับจูบที่ได้จากอชิตะเลย
จูบของอชิตะเหมือนจูบที่ต้องการเอาทุกอย่างไปจากเขา เอาหัวใจ เอาลมหายใจ เอาวิญญาณ เอาความผิดชอบชั่วดีไปจนหมดสิ้น จูบที่หัวใจเขาไม่เคยปฏิเสธได้จริงเลยสักครั้ง
คณิตอยากจูบ จูบให้ได้เหมือนอชิตะ จูบที่จะเอาทุกอย่างไปจากอีกฝ่าย เอามาให้หมด เอามาเป็นของตัวเอง 
“เมาแล้วอ้อนนะหนึ่ง เป็นแบบนี้แล้ว ผมก็อยากให้หนึ่งเมาทุกวันเลยรู้ไหม” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังคลอเคลียชิดริมฝีปากคนเมาที่หอบหายใจถี่หลังจากหยุดจูบแสนยาวนานลง 
ยามเมื่อคณิตมองสบตากับดวงตาสีเข้ม ดวงตาคู่นั้นฉายแววรักใคร่และหลงใหลอย่างไม่ปิดบัง เมื่อไรกันนะที่อชิตะรักเขา มันจะใช่อย่างที่ภัทรพลพูดหรือเปล่า
“บอสคร้าบ” คณิตเอ่ยตามเสียงหัวใจสั่ง จ้องตาของอชิตะ “อย่าเพิ่งเหนื่อยนะ อดทนกับผมไปก่อน ผมอาจจะ...ปากเสีย พูดไม่น่าฟัง ทำตัวไม่น่ารัก ด่าบอสทุกคำ เหวี่ยงวีนไม่มีเหตุผล แต่...แต่...ผมก็ไม่เคยเกลียดบอส ไม่เคยเกลียดบอสได้จริงๆ สักที”
คนเมามักจะพูดความจริงที่ตรงกับหัวใจมากที่สุด เนื่องจากไม่มีสติมากพอที่จะคิดหาคำพูดใดมาโกหก คณิตก็เช่นกัน
“แล้ว...แล้ว...ผมก็ไม่รังเกียจสัมผัสของบอสด้วย ผม...มีความสุข...ที่...เอ่อ...ที่บอสเข้ามาอยู่ในผม”
อะไรดลใจให้พูด คณิตก็ไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าเมื่อพูดจบ รางวัลของความกล้าคือความรักของอีกฝ่ายที่ถาโถมลงมาใส่ ริมฝีปากของเขาถูกครอบครอง ไม่เหลือช่องว่าง ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากหวานชวนหลงใหลไม่เคยเบื่อ มากกว่าจูบคืออชิตะอยากเข้าไปอยู่ในช่องทางคับแคบแต่ชวนให้บ้าคลั่งตามคำพูดเชิญชวนของคนเมาเสียจริง
“อื้อออ...” คณิตกอบโกยเอาอากาศเข้าปากแทบจะทันทีเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ จูบนี้ยาวนานที่สุดเท่าที่คณิตจำได้ มันไม่ได้อ่อนหวานเพราะยังรุนแรงเหมือนเดิม ทว่ามันกลับเติมเต็มหัวใจของเขาเหลือเกิน
“ตอนนี้อยากให้ผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณไหม” คนถามยิ้มตาฉ่ำหวานฟ้องความปรารถนาในร่างกายและหัวใจ ส่วนกลางลำตัวนั้นไม่ต้องพูดถึง มันร้อนระอุจนปวดหนึบไปหมดแล้ว เขาดึงสะโพกเล็กให้เข้ามาบดเบียดความต้องการที่แข็งกร้าว กวาดตามองวงหน้าขึ้นสีแดงจัด ซึ่งไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างพึงพอใจ ยิ่งทำตอบที่ได้อีกเล่า ก็แทบอยากจะกดตัวตนของเขาลงไปช่องทางรักเสียตั้งแต่นาทีนี้เลย
“ถามทำไมเล่า...” คณิตใกล้สร่างเมา ความอายเลยต้องทำงานหนัก เสียงหัวเราะเบาในลำคอดังขึ้นข้างแก้ม ก่อนคณิตจะถูกพาขึ้นจากสระ จากนั้นก็ถูกโอบประคองอย่างนุ่มนวล จบค่ำคืนบนเตียงหลังใหญ่ ภายในห้องที่ทำให้โลกทั้งใบของคนทั้งคู่มีแค่กันและกัน
ทุกการสอดประสานเป็นไปด้วยความพร้อมใจ ไม่ใช่การหักหาญอย่างที่นึกอยากดิ้นหนี หรือต้องหลอกล่อเช่นที่เคยผ่านมา ครั้งนี้คณิตเต็มใจ โอบกอดร่างกำยำของอชิตะไว้ด้วยความรู้สึกว่าตนนั้น...รักเหลือเกิน

************
จบตอนที่ 21 ค่ะ
ไม่รู้จะทิ้งท้ายว่าอะไรแล้ว ติดตามตอนต่อไปละกันเนอะ
BY สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 21 UP 01-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 02-07-2017 05:36:23
 o13 พึ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ....ดีมากกกกเลยยยย...ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 22 UP 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 07-07-2017 22:58:07
22

ความรู้สึกแรกเมื่อลืมตา ไม่ใช่ความเจ็บปวดร้าวระบมของร่างกายส่วนล่าง หากคือคำพูดน่าอายของตัวเองเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมากลางสายน้ำมากกว่า ที่ทำให้คณิตไม่กล้ามองดวงตาสีเข้มคมระยับของเจ้าของห้องซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงข้างตัวเขาเลย
อชิตะสวมชุดสูทเรียบร้อยเตรียมตัวพร้อมสำหรับออกไปทำงาน แต่ลูกน้องหนุ่มยังไม่ขยับกายไปไหนไกลจากเตียง ความรู้สึกที่บังคับให้คณิตหลบสายตาพึงพอใจของอชิตะคือบทรักครั้งล่าสุด...เมื่อคืนเขาตอบสนองเสียจนอีกฝ่ายไม่หยุดเรียกร้อง
“นอนต่อเถอะ ผมรู้ว่าวันนี้คุณคงไปทำงานไม่ไหว”
กลางดึกจนถึงเมื่อสองชั่วโมงก่อน ถือว่าหนักหนาไม่น้อยสำหรับคนที่ต้องรองรับความต้องการบ้าคลั่งของเขา ช่องรักของคณิตแทบไม่ได้พัก เพราะอชิตะได้ฝังความปรารถนาลงไปในช่องทางคับแคบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่คิดอยากถอนตัวตนที่เต็มไปด้วยความต้องการออกมาเลยด้วยซ้ำ
“หนึ่ง ผมขอแบบเมื่อคืนอีกบ่อยๆ นะ” 
ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มโน้มเข้าใกล้ น้ำเสียงทุ้มนุ่มชักชวนให้ดวงหน้าร้อนเห่อยิ่งขึ้น ทำให้คณิตไม่กล้าสบตาอชิตะยิ่งกว่าเดิม คนตัวเล็กหลับตาลง ผ่อนลมหายใจให้ช้าจนเกือบเป็นกลั้นหายใจ เมื่อริมฝีปากเดิมประทับรอยอุ่นบนแก้มด้วยแรงที่แผ่วเบา แตกต่างจากเมื่อคืนที่เรียกได้ว่าแทบจะกัดกินผิวเนื้อของเขาให้ติดคมเขี้ยวเสียด้วยซ้ำ
“ผมไปนะ เจอกันตอนเย็น” ผิวแก้มสีระเรื่อทำให้อชิตะไม่นึกอยากจากไปไหน อยากกอดรัดให้สุขสมในหัวใจไปทั้งวันทั้งคืน เมื่อคืนคณิตน่ารักกว่าครั้งไหนที่ได้โอบกอดตีตราเป็นเจ้าของ บางช่วงของจังหวะรักก็คล้ายความฝัน ลึกกว่านั้นความหนักหน่วงบางอย่างยังไม่จางไป
คำพูดแกมขู่ของมารดายังคงเป็นปัญหาหน่วงหนัก หรือว่าเย็นนี้เขาควรรวบรวมความกล้า ทิ้งความกลัว เอาความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปบอกหญิงชราที่เขารักมากไม่ต่างจากรักผู้ให้กำเนิด เข้าไปบอกว่าเขารักผู้ชาย จะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้คนเดียว ต่อให้ใครจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แม้แต่คุณย่าที่เขารักก็ไม่สามารถใช้คำพูดใดมาเปลี่ยนสิ่งที่เขาตัดสินใจเลือกไปแล้ว
“บอสครับ”
เสียงเรียกแผ่วเบาดึงอชิตะออกจากความคิดเครียด
“ผมขอไปทำงานที่บริษัทอื่นได้ไหม” พูดจบ ฝ่ายอชิตะก็ตั้งคำถามทันที
“จะไปทำงานกับติน?” คิ้วเข้มขยับตึงบอกความไม่พอใจสิ่งที่คณิตพูด ทว่าก็พอนิ่งใจได้บ้างว่าภาคีจะไม่แย่งตัวคณิตไปไกลหูไกลตาเขาแน่ เพราะเขาขออดีตลูกน้องคนสนิทไว้แล้ว และอีกฝ่ายก็รับปากว่าจะไม่แย่งตัวคณิตไปจากบริษัทเขา
“เปล่า” คณิตส่ายหน้า “ผมว่าจะไปสมัครงานที่บริษัทที่เพื่อนทำอยู่น่ะครับ เห็นมันบอกว่ากำลังเปิดรับรับพนักงานเพิ่ม”
“ทำไมหนึ่ง ที่บริษัทผมมันเป็นอะไร ไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงต้องอยากไปทำที่อื่น”
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่ผม...ผมอายที่ทุกคนรู้ว่าผมเป็นอะไรกับบอส”
“ทำไมต้องอาย” อชิตะข่มเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้เหมือนเป็นการตะคอก “เป็นเมียผม มันน่าอายมากหรือไง จำไว้นะหนึ่ง ต่อให้คุณอายแค่ไหน คุณก็หนีความจริงไม่ได้ ว่าคุณคือเมียผม ความจริงที่คุณต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต”
“ถ้าผมหนีความจริงได้ ผมก็คงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ มานอนบนเตียงของบอส ปล่อยให้บอสเรียกว่าเมียให้บาดหูหรอก” พออชิตะใส่อารมณ์มาก่อน คณิตก็เริ่มมีอารมณ์ตาม ทั้งที่เขาคิดมาอย่างดีแล้วว่าจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่อชิตะต้องการ และเขาก็จะลองรักแบบไม่ต้องกลัวอะไรดูสักครั้ง ยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว แย่งของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืน ไม่มีคำพูดน่าอายแบบนั้นหรอก
แต่ก็นั่นแหละ ครั้นถูกถามด้วยน้ำเสียงห้วนกึ่งกระชากเหมือนเขาทำอะไรผิดนักหนา ซ้ำอชิตะยังตอกย้ำด้วยคำพูดไม่น่าฟังที่พยายามจะลืมมันไปแล้วแท้ๆ
...ไม่อยากมองหน้าแล้วโว้ย
เพราะรู้ตัวว่าขืนจ้องตากับอชิตะนานกว่านี้ อารมณ์คงเพิ่มสูงจนทะลุไปดาวอังคารแน่ๆ คณิตเลยเลือกทิ้งตัวลงนอนหันหน้าหนีซะเลย
“หนึ่ง! ลุกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” อชิตะเรียกคนตัวเล็กที่ทิ้งตัวลงนอนแล้วหันหลังให้ แล้วยังดึงผ้าห่มมาคลุมมิดศีรษะ ทำตัวเหมือนเด็ก...
“ไม่! ผมไม่มีอะไรจะคุยกับบอส” คณิตตะโกนตอบออกมาจากผ้าห่ม เขาโกรธอชิตะที่โมโหไม่เข้าเรื่อง ตีความหมายคำพูดของเขาไปไกลถึงไหนนะ เขาก็แค่อาย ไม่ได้รังเกียจซะหน่อย ไม่ได้จะคิดหนีไปไหนแล้วด้วย เพียงแค่จะลาออกแล้วไปหางานที่ใหม่ทำเท่านั้นเอง   
“หนึ่ง!!”
“.....” เรียกไปเถอะ เรียกให้คอแตกตาย เขาก็ไม่สน
“หนึ่ง!”
“.....”
“หนึ่ง”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว บอสไปทำงานเถอะ กลับมาค่อยคุยกัน คุยตอนนี้ก็ทะเลาะกันเปล่าๆ”
“ผมจะไปทำงานได้ยังไงในเมื่อเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“ก็คุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกน่า ไม่กลับคำด้วย และการที่ผมบอกว่า ผมไม่ได้เกลียดบอส ชอบให้บอสเข้ามาอยู่ในตัวผม บอสก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ” คณิตกัดฟันพูดคำน่าอายออกไป เผื่อว่าอารมณ์ของคนฟังจะสงบลง เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่อชิตะยังเงียบ ไม่มีคำพูดหรือการเคลื่อนไหวใดมาให้ได้ยิน คณิตเลยเอาตัวออกมาจากผ้าห่ม พลิกตัวกลับหาคนอารมณ์ร้อน สิ่งที่พบคือรอยยิ้มน้อยๆ ติดที่มุมปากของอชิตะ...พอใจซี่ท่า
“ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีหนึ่ง ทำไมต้องอาย มันน่าอายตรงไหน ตินก็ไม่เห็นต้องอายใคร”
“นั่นมันไอ้ตินไง ไม่ใช่ผมสักหน่อย” คณิตอดค้อนอชิตะกลับไม่ได้ ช่างยกตัวอย่างมาได้นะ ไม่ได้ดูหนังหน้าอดีตลูกน้องคนสนิทเลย รายนั้นน่ะอยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่ามีเมียเป็นสีฟ้าคนสวย ผู้ชายที่เป็นรักแรกของมัน
แต่เขาไม่ใช่ไง!
ใครอยากประกาศเล่าว่ามีสามีเป็นตัวเป็นตน ทั้งที่ควรจะมีเมีย
“น้องลม น้องฟ้า ก็ไม่เห็นอาย” อชิตะยังไม่หยุดอ้าง
“พอแล้วบอส ไม่ต้องมายกตัวอย่างอะไรทั้งนั้น ผมไม่คล้อยตามหรอกนะ สรุปคือผมไม่อยากให้ใครรู้ไงบอส ถึงพวกนั้นจะรู้แล้วก็เถอะ ผมอยากให้มันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่อยากให้มีคนจับจ้อง กลายเป็นหัวข้อสนทนาทุกวัน บอสเข้าใจไหม” แต่คณิตก็ได้คำตอบที่ไม่นำพาของอีกฝ่าย
“ผมสั่งให้พวกนั้นเลิกพูดเรื่องของเราได้น่า”
“เฮอะ...บอสโง่หรือเปล่า คิดอะไรตื้นไปไหม” คนโดนด่าถึงกับคิ้วกระตุก ชักสีหน้าดุใส่ แต่คณิตไม่สนใจ ก็ความจริงทั้งนั้น “บอสคิดหรือว่าทุกคนจะทำตาม พวกนั้นก็แค่พยักหน้ารับคำ ทำเหมือนไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่ความคิดพวกเขาล่ะ หยุดได้ไหม ลับหลังอีก ไม่มีทางแน่ๆ ที่จะไม่เม้าธ์เรื่องผมกับบอส”
“ผมรู้ว่าความคิดคนห้ามไม่ได้ แต่ก็ปล่อยผ่านได้นี่หนึ่ง นานวันไป พวกนั้นก็คงมีเรื่องใหม่มาพูดแทนเรื่องของเรา” คนฟังทำหน้าไม่เชื่อถือ อชิตะจึงยกเรื่องนิรดามาอ้างเพิ่มน้ำหนักคำพูดของตน “จำเรื่องนุ่นที่ถูกตินยกเลิกงานแต่งได้ไหม ทุกคนพูดถึง แต่สุดท้ายแล้วก็เลิกพูด เรื่องของเราก็เหมือนกัน เลิกกังวลได้แล้ว”
“เฮอะ! บอสก็พูดง่ายเนอะ ผมไม่ได้หน้าหนาหน้าทนเหมือนบอสนี่” ว่าอย่างหมั่นไส้ อชิตะลอยตัวเหนือปัญหาเกินไปแล้ว “งั้นบอสรับปากผมได้ไหม ว่าถ้าผมโกรธหรืองอนบอส ไม่พูดกับบอส บอสจะไม่มาง้อผมต่อหน้าทุกคนเหมือนเมื่อวาน อ้อ...รวมทั้งเวลาที่บอสจะออกไปทำธุระนอกบริษัทด้วย บอสต้องไม่แวะมาที่โต๊ะผม ไม่ต้องมาบอกว่าจะไปไหน ไปทำอะไร บอสทำได้ไหม”
เพราะตอนที่ความสัมพันธ์ยังเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง อชิตะไปไหนหรือไปทำอะไรนอกบริษัท มักจะแวะมาที่โต๊ะของเขากับภาคี เพื่อบอกกล่าวก่อนออกไปเสมอ ซึ่งนั่นมันเมื่อก่อนไง ทุกคนในบริษัทก็เห็นเป็นเรื่องปกติ เห็นว่าเขากับเพื่อนเป็นลูกน้องคนสนิทที่เจ้าของบริษัทฝากฝังให้ช่วยดูแลตอนไม่อยู่ แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่แล้ว เขาอยู่ในฐานะที่ทุกคนรู้ว่าเป็นอะไรกับอชิตะ ทุกการกระทำของเขากับอชิตะย่อมถูกจับจ้องและพูดถึงไม่ขาดปากแน่
“ยังมีอีกนะ บอสทำได้ไหมที่จะไม่สนใจผมในเวลาทำงาน ปล่อยให้ผมทำงานของผมไป บอสไม่ต้องโผล่หน้ามาให้เห็น ไม่จำเป็นไม่ต้องมาพูดด้วย คุยกันเฉพาะเรื่องงานจริงๆ ย้ำว่าเรื่องงานที่ผมต้องทำ ไม่ใช่เอาเรื่องงานมาอ้างให้ผมเข้าไปหาในห้องทำงาน เพราะมันจะทำให้คนอื่นคิดว่าผมเข้าไปทำอะไรกับบอสในห้องนั้น ขนมก็ไม่ต้องซื้อมาฝาก ตอนเช้ามาทำงานก็ต่างคนต่างมาก ตอนกลับบ้านก็ไม่ต้องรอ ต่างคนต่างกลับ บอสทำได้ไหม ถ้าทำได้ ผมก็จะไปทำงานกับบอสเหมือนเดิม”
ข้อเสนอที่คณิตรู้ว่าอชิตะไม่มีวันทำได้แน่
“มันเยอะและยากมากนะหนึ่ง ผมทำไม่ได้” สำหรับอชิตะแล้ว ให้เปลี่ยนพนักงานยกบริษัทยังง่ายกว่าสิ่งที่คณิตเสนอให้เขาทำ ขนาดตอนยังไม่ได้คิดอะไรกับคณิต เขายังแวะเวียนไปหาเจ้าตัวอยู่บ่อยๆ เช้ามาทำงานก็เดินไปทัก ออกไปทำธุระข้างนอกก็บอกให้รู้ เกือบทุกเย็นวันศุกร์ก็ต้องลากตัวไปเที่ยวดื่มด้วยกัน 
“ถ้าบอสทำไม่ได้ มันก็เท่ากับว่าบอสทำตัวเป็นเชื้อเพลิงที่สุมไฟให้ลุกอยู่ตลอดเวลา แบบนี้เมื่อไรพวกนั้นจะเลิกเม้าธ์เรื่องของเราล่ะ ผมถึงต้องขอลาออกไปหางานที่อื่นทำ บอสเข้าใจใช่ไหม” คณิตเอ่ยสรุปถึงความต้องการของตัวเอง
“.....” อชิตะเถียงไม่ออกกับเหตุผลของอีกฝ่าย แต่การที่คณิตออกไปทำงานที่อื่น มันก็ไม่ต่างกันไหม หรือว่ายิ่งแย่กว่า
“ให้ผมไปหางานใหม่นะ”
“.....” อชิตะมีสีหน้าครุ่นคิด เขาไม่อยากให้คณิตไปทำงานที่ไหนไกลตา คนมันหวง ไปไกลสายตาก็ห่วงว่าจะไปทำให้ใครตกหลุมเสน่ห์เข้าอีก
“เช้าไปทำงาน เย็นก็กลับ...กลับมาอยู่กับบอสเหมือนเดิม” คณิตโน้มน้าวต่อ
“เข้าใจแล้ว” อชิตคิดออกแล้วว่าจะจัดการปัญหานี้ยังไง “ถ้าไม่อยากไปทำงานที่บริษัทก็อยู่บ้านเฉยๆ”
คณิตไม่เข้าใจ แบบนี้มันเรียกว่าเข้าใจตรงไหน เอาแต่ใจตัวเองมากกว่า
“บอส! ผมไม่ได้เป็นง่อยนะ ให้อยู่เฉยๆ แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนกินใช้เล่า” คณิตโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ผมจ่ายให้คุณทุกเดือนแน่ แล้วอยู่กับผม คุณไม่ต้องจ่ายอะไรสักบาท เพราะคุณเป็นเมียผม ผมต้องเลี้ยงดูคุณอยู่แล้ว หมดปัญหาแล้วนะหนึ่ง ไม่ต้องคิดไปสมัครที่ไหนทั้งนั้น”
คณิตหงุดหงิดจนหัวเหวี่ยง ไฟจะออกหูได้อยู่แล้ว ถึงเขาไม่ได้เกลียดอชิตะ แต่คำว่า ‘เมีย’ ที่ออกมาจากปากอชิตะ เขาก็ยังไม่เลิกเกลียดมัน
“บ้าไปแล้วบอส! แล้วหยุดเรียกผมว่า ‘เมีย’ ซะที ผมไม่ใช่ผู้หญิง! ผมไม่อยากได้ยิน” มันแสลงใจโว้ย
คณิตเกลียดสถานะที่ถูกยัดเยียดให้ลูกผู้ชายอย่างเขารับไว้ ต่อให้ถูกกอด สอดใส่ โดนเล้าโลมให้ร้องครวญครางมาหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่คู่ควรกับคำว่า ‘เมีย’ แม้แต่น้อย
เขาเป็นผู้ชายที่มีไอ้จ้อน มีไข่คู่ ไม่ได้มีรังไข่ซะหน่อย ฉะนั้นคำว่าเมีย มันไม่ใช่คำที่เหมาะกับเขาเลยให้ตายเถอะ
“ไม่ชอบ?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงถามแกมแหย่ มองอีกฝ่ายที่ทำหน้าบึ้งแสดงความไม่ชอบใจ เข้าใจว่าคณิตไม่ชอบคำนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวอยู่ในสถานะเมียเขาจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะหาคำไหนมาแทนคำว่าเมีย เพราะคำนี้มันตรงตัวที่สุด
คณิตเป็นเมียเขา...คือความจริงที่จะต้องเป็นตลอดไป
“เออสิบอส! ผมก็บอกบอสไปแล้วนะว่าอย่าเรียกผมว่าเมีย ผมไม่ชอบ ผมเกลียด ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ดีใจหรอกที่ถูกเรียกว่าเมีย”
“งั้นภรรยา”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกบอส” จะเมียหรือภรรยา มันก็เป็นสิ่งควรคู่กับผู้หญิงมีนม ไม่ใช่ผู้ชายมีไอจ้อนอย่างเขา   
“แล้วคุณอยากให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะ” อันที่จริงอชิตะก็พอรู้ว่าคำที่ใช้แทน ‘เมีย’ มีอะไรบ้าง หากก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตให้เขาใช้คำไหน
“.....” พอโดนสวนด้วยคำถาม คณิตก็เงียบไปเลย
“ถ้าไม่หามาแทนคำว่า ‘เมีย’ ผมก็ต้องเรียกคุณว่า ‘เมีย’ เหมือนเดิมนะ” เหมือนจะหลอกเด็ก เด็กที่ขยับคิ้วยุ่ง ตวัดตามองแรงอย่างจะฉีกเนื้อเขาทิ้ง
“.....” คณิตกัดปากขัดใจ
“เร็ว” อชิตะเร่งด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
นิ่งอยู่นานเพราะชั่งใจว่าจะใช้คำไหนดี ท้ายแล้วคณิตก็เลือกคำที่คิดว่าดีที่สุด มันต้องดีกว่าคำว่า ‘เมีย’ แน่ๆ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขาไม่ถูกผลักไปอยู่ในฐานะที่ควรเป็นของผู้หญิง
“คนรัก...ก็ได้ ฟังดูดีกว่าเยอะ เอาคำนี้ ต่อไปห้ามบอสเรียกผมว่าเมีย ไม่อย่างนั้นมีเรื่องแน่” คณิตรู้ตัวว่าผิวหน้าขาวๆ ของตัวเองคงกลายเป็นสีเลือดไปแล้ว เพราะความรู้สึกร้อนใบหน้ารุนแรงเหมือนโดนราดด้วยน้ำมันแล้วจุดไฟเผา
ท่องเอาไว้คณิต...
‘คนรัก’ มันเบากว่าอีกคำเยอะ
ไม่ต้องอายนะ ไม่ต้องอาย!
V
V

ต่อด้านล่างค่ะ

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 22 UP 07-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 07-07-2017 22:58:40
“คุณอิงคะ คุณท่านให้มาเรียนว่า ถ้ายังไม่ขึ้นไปหาท่านบนเรือน เอ่อ...ก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีกค่ะ”
หนึ่งในคนใช้ของเรือนผู้เป็นย่าเดินเข้ามาบอก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมเมื่อหมดหน้าที่แล้ว
คนเป็นหลานชายคนโปรดของเจ้าของเรือนวัยแปดสิบสามปี ทว่ายังแข็งแรงและเดินเหินได้คล่องแคล่วกว่าคนวัยเดียวกัน จัดการดับจุดแดงบนปลายมวนบุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งทิ้งลงถังขยะ
กว่าสองชั่วโมงแล้วที่อชิตะขับรถเข้ามาจอดภายในรั้วบ้านเรือนไทยหลังเก่าแต่ก็ยังงดงามและมีโครงสร้างที่แข็งแรง ทั่วบริเวณร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และไม้ดอกหอมที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งอวดยามราตรี ชายหนุ่มยืนพิงประตูรถอยู่อย่างนั้นกับควันบุหรี่ลอยคลุ้ง 
การเผชิญหน้ากับหญิงชราผู้เป็นที่รักยากยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับความดื้อด้านของคณิตซะอีก ยากเสียจนต้องใช้รสชาติของควันบุหรี่เข้าช่วยดับความเครียดที่เกิดจากความไม่กล้า...เขายังไม่กล้าพอที่จะทำให้คุณย่า ‘เสียใจ’ กับทางที่เขาตัดสินใจเลือก หนักกว่านั้นคือกลัวว่าท่านรับไม่ได้ จนกระทบกับสุขภาพร่างกายของท่าน
อชิตะสูดลมหายใจเข้าลึก ใจนึกอยากดึงบุหรี่ออกมาสูบอีกสักมวนสองมวน แต่มันก็แค่ถ่วงเวลาได้ไม่กี่นาที ที่สำคัญคือคุณย่าคงเหลือความอดทนน้อยเต็มที ถึงได้สั่งให้คนเดินมาตามเขา ซ้ำยังใช้คำขู่ที่ไม่เคยสักครั้งจะมีมาให้หลานชายคนโปรดได้ระคายหู
เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดซะว่าเขาทำดีที่สุดได้เท่านี้ ท่านไม่รู้วันนี้ วันอื่นก็ต้องรู้ ความลับไม่มีในโลก และคณิตก็ไม่สมควรเป็นความลับที่เขาต้องปิดบังใครทั้งนั้น
บอกตัวเองเช่นนั้นแล้ว อชิตะก็ก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับหญิงชราที่ตนรักไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด

“หมดไปกี่มวนล่ะเจ้าอิง กลิ่นคลุ้งมาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว” ขึ้นเรือนมาได้ ยังไม่ได้ยกมือไหว้เลยด้วยซ้ำ อชิตะก็เจอคำถามของคนเป็นย่าทันที
หญิงสูงวัยนั่งบนเบาะนุ่มและรองด้วยเสื่อถักเนื้อหนาอีกชั้นหนึ่ง เท้าแขนข้างซ้ายไว้กับหมอนสามเหลี่ยมผ้าไหมแท้สีเงินดิ้นทอง ก่อนหันไปบอกสาวใช้ทั้งสองที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่างให้ไปทำงานอื่นเสีย นางอยากคุยกับหลานรักเพียงลำพัง
คุณย่าหรือคุณนภาแม้จะมากวัยและควรมีลูกหลานอยู่ใกล้ชิด ทว่าท่านชอบชีวิตคนเดียวมากกว่า ชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ในสายตาเป็นห่วงของลูกหลาน ทำนู่นทำนี่แบบที่ไม่ต้องมีลูกหลานคนไหนวิ่งปรี่เข้ามาหา พร้อมกับสั่งให้ท่านนั่งนอนอยู่เฉยๆ ที่สำคัญสุดคือท่านไม่ต้องการให้ลูกหลานมาเอาใจ มาคอยห่วงใยเกินจำเป็น อยากให้แต่ละคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมาเป็นกังวลกับคนแก่วัยใกล้ฝั่งเช่นท่านหรอก 
“กินอะไรมาหรือยัง ฉันว่าอิ่มควันที่อัดเข้าไปแล้วมั้ง” ท่านถามต่อ แม้จะเป็นคำถามที่ดูเหมือนประชดหลานรัก ทว่าท่านก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย
“ยังเลยครับคุณย่า”
ด้วยหลานรักของคุณนภารู้ว่ากลิ่นบุหรี่ที่หอบติดตัวมาด้วยนั้น เจ้าของเรือนไม่โปรดปรานเท่าไร อชิตะจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเรือนไม้สักห่างออกมาไกลจากทุกที ไม่ได้คลานเข้าไปสัมผัสร่างผอมบางแต่แข็งแรงเช่นทุกครั้ง
“แล้วหิวหรือเปล่า จะไปกินก่อนก็ได้นะ อิ่มแล้วค่อยมาคุยธุระของเรา” 
“ผมอยากคุยก่อนครับ” ความหิวนั้นไม่มีหรอก มีแต่ความกังวลผสมกับความเครียดจากธุระสำคัญ
“ใจร้อนถึงขั้นนี้ ทำไมมาถึงแล้วยังไม่ขึ้นมาคุยเลยล่ะฮึ ต้องให้ส่งคนไปตามถึงยอมรามือจากบุหรี่ขึ้นมาหาฉันได้ นี่ถ้าไม่มีใครไปตาม คืนนี้จะได้คุยไหมเจ้าอิง” คุณนภาเอ่ยติงหลานรัก สุ้มเสียงของท่านแข็งแรงไม่ต่างจากร่างกาย คงเพราะรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองมาตั้งแต่อายุยังน้อย ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีแต่ประโยชน์ ท่านจึงแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บไม่เคยแวะมาทักทายให้ต้องลงเรือนไปนอนบนเตียงในโรงพยาบาลอย่างเพื่อนวัยเดียวกัน ยกเว้นโรคหัวใจ โรคประจำตัวที่ยังเวียนอยู่ในร่างกาย ทว่าท่านไม่ได้ยี่หระกับมันเลย ถือคติที่ว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย ตายช้าตายเร็วก็ตายเหมือนกัน ท่านถึงได้มีความสุขกับชีวิตมาจนทุกวันนี้
‘ตายเร็วตายช้าก็ตายเหมือนกัน’ คุณนภาคิดของท่านแบบนี้ แต่ลูกหลานท่านสิ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนท่านถ้วนหน้า กลัวท่านสิ้นลมแบบไม่ทันได้ดูใจ จนท่านต้องแกล้งโกรธ กล่าวหาว่าลูกหลานแช่งท่าน ท่านจะตายเพราะลูกหลานแช่งมากกว่าจะตายเพราะโรคจริงๆ นั่นแหละถึงเบาหูได้บ้าง   
“อาการคุณย่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ” อชิตะเริ่มเกริ่นปูทางเสียก่อน เห็นรอยยิ้มรู้ทันบนใบหน้ามากริ้วรอยแห่งวัย ก่อนตามมาด้วยคำพูดที่ทำเอาหลานชายอ้าปากค้างเลยทีเดียว
คุณย่านภาเข้าประเด็นโดยไม่รอช้า ท่านรู้ว่าหลานชายมาด้วยเรื่องอะไร หากปล่อยให้เริ่มต้นเอง จากเวลาสามทุ่มคงยืดเยื้อไปหลังเที่ยงคืนเป็นแน่
“ไม่ต้องมาถามอาการของฉันหรอก ฉันยังแข็งแรงดีเหมือนเดิม อยู่ได้อีกร้อยปีนั่นเชียว แต่ถ้าฉันจะตกใจจนหัวใจวายตายตามความวิตกกังวลของพวกเธอ มันก็วายไปตั้งแต่ที่แม่เอมอรหอบหิ้วเอาเรื่องลูกชายคนเล็ก ที่ลุกมาถอนหมั้นว่าที่สะใภ้ที่เขาถูกใจนักหนา มาคว้าเอาลูกน้องผู้ชายมาเป็นสะใภ้แทน” ถ้อยคำของหญิงสูงวัยเรียบเรื่อย เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป
แต่คนฟังกลับรู้สึกว่าโลกมันพลิกกลับอย่างไรอย่างนั้น จนเผลอขยับเข้าหาเจ้าของเรือน แต่แล้วก็ยั้งตัวเองไว้เสีย เพราะคุณนภาโบกมือไล่ให้กลับไปนั่งที่เดิม เนื่องจากท่านเหม็นกลิ่นบุหรี่อย่างมาก
ท่านไม่ชอบให้หลานชายสูบบุหรี่ หากก็เข้าใจว่าคนเป็นหลานมีเรื่องกลุ้ม ถึงได้สูบเยอะจนกลิ่นเหม็นเกาะติดตัวมาแบบที่ท่านอยากไล่ให้ไปนั่งติดขอบบันไดนู่นเลยด้วยซ้ำ
“คุณย่ารู้แล้ว” อชิตะทั้งตกใจและโล่งอกในคราวเดียวกัน สิ่งที่กลัวกลับกลายเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี คำขู่ของมารดาในวันนั้นกลายเป็นเรื่องตลกในวันนี้เสียได้ คุณย่าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ อชิตะก็รู้แล้วว่าทุกสิ่งที่เขากลัวเป็นเพียงความคิดไปเองของเขา
คุณย่ารับเรื่องที่เขามีคนรักเป็นผู้ชายได้ 
”แม่เราเอามาฟ้องถึงเรือน คงอยากให้ฉันออกโรงจัดการลูกชายหัวดื้อให้กระมัง” ปลายเสียงสะบัดขำ ยามนึกถึงอาการของลูกสะใภ้ในวันที่เอาเรื่องลูกชายคนเล็กมาฟ้องเธอ
เอมอรไม่พอใจที่นางวางเฉย ไม่ดิ้นอย่างที่เจ้าตัวหวังไว้ ก็ใช่เรื่องที่จะดิ้นไปตามความคิดของอีกฝ่ายที่เอ่ยอ้างว่าความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเป็นเรื่องวิปริตผิดเพศกันเล่า ในเมื่อนางไม่เคยมองเห็นเป็นเรื่องวิปริตแต่อย่างใดเลย ทำไมผู้ชายชายสองคนจะรักกันไม่ได้ โลกมันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ลูกสะใภ้ของเธอยังย่ำอยู่กับความคิดคับแคบ ยึดติดกับอดีตที่ปลูกฝังมาว่าผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้นที่รักกันได้ นางไม่เห็นด้วยอย่างแรง
หกสิบกว่าปีที่เปิดใจให้กับความรักในรูปแบบที่ไม่จำกัดเพศ เพศเดียวกันรักกัน ไม่น่าแปลก มันก็งดงามเช่นเดียวกับความรักหญิงชายนั่นแหละ ไม่มีหรอกที่จะต่างกัน เพราะต่างก็ใช้ ‘หัวใจ’ เหมือนกัน   
“คุณย่าไม่โกรธหรือครับ ที่ผมรักผู้ชาย หาผู้ชายมาเป็นหลานสะใภ้คุณย่า”
“อยากให้ฉันโกรธจนหัวใจวายตายหรือไง ฉันเป็นให้สมใจเราได้นะเจ้าอิง” นางแกล้งแหย่ หลานชายส่ายหน้าทันที
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่คิดว่าคุณย่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมเลือก” อชิตะเอ่ยแก้ 
“ฉันอยู่มากี่ยุคแล้ว เห็นอะไรมานักต่อนัก มันไม่ใช่เรื่องยากที่ฉันจะเข้าใจ นอกจากจะเข้าใจ ฉันยังคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดวิปริตอะไรอย่างที่แม่เรากล่าวหา” คนเป็นย่าพูดให้หลานชายฟัง “แม่เราก็เดือดร้อนเกินไป๊ ชอบกะเกณฑ์ชีวิตผัวชีวิตลูก ไม่ได้ดังใจก็ต้องเอาให้ได้สมใจ สมแล้วที่เป็นแม่ของเรา ถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลยรู้ไหม เรากับแม่น่ะ”
อชิตะยิ้มอย่างยอมรับในคำพูดของคนเป็นย่า เขานิสัยเหมือนมารดาอย่างที่ท่านพูดจริงๆ ทุกอย่างต้องเป็นดังใจของเขา อะไรที่ไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ต้องเอามาให้ได้ 
“แต่ฉันก็เตือนแม่เราไปเยอะแล้ว ก็หวังว่าจะปล่อยลูกชายคนเล็กให้มีชีวิตเป็นของตัวเองซะที เพราะฉันเห็นแล้วว่าครั้งนี้ลูกสะใภ้ฉันเอาชนะลูกชายตัวเองไม่ได้แน่ สงสารกลัวแต่ว่าเส้นเลือดในสมองจะแตกซะก่อน ไอ้ที่กลัวกันว่าฉันจะไปก่อนคงได้กลัวเก้อแน่” ไม่มีประโยคไหนที่คุณย่าวัยแปดสิบสามปีจะไม่ใส่เสียงหัวเราะน้อยๆ ลงไปด้วย
“ขอบคุณมากครับคุณย่าที่เข้าใจสิ่งที่ผมเลือก” อชิตะอยากคลานเข้าไปหาคนเป็นย่า แล้วกอดให้สมกับที่ท่านเป็นคุณย่าที่เขารัก ท่านเข้าใจเขาและอยู่ข้างเขามาตั้งแต่จำความได้ เมื่อกอดไม่ได้ ก็ได้แต่ยกมือไหว้ให้สมกับการปกป้องของท่าน
“ลืมแล้วรึไงเจ้าอิง เราเป็นหลานรักของฉันนะ” คุณย่ายิ้มอ่อนโยนยามเอ่ยบอกหลานชาย “เราเลือกอะไร ทำอะไร ฉันเคารพทุกอย่าง ฉันไม่ได้หวังให้เราเลือกใช้ชีวิตแบบคนส่วนมากหรอกนะ ฉันหวังแค่ให้เราเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตัวเอง แม้มันจะไม่ถูกต้องตามความคิดของคนอื่นก็ตาม ในเมื่อชีวิตเป็นของเรา ต้องใช้ให้คุ้ม... ‘คุ้ม’ ที่ฉันหมายถึงคือมันทำให้ชีวิตเรามีความสุข อะไรที่มันทุกข์ก็ไม่ต้องเลือก จำคำของย่าไว้นะ” 
“ครับคุณย่า”
“หายเครียดแล้วนะ”
“ครับ” อชิตะยิ้มเบาใจ
“แล้วก็พาหลานชายคนใหม่มาแนะนำให้ฉันรู้จักด้วย จะได้พิศดูว่าส่วนไหนที่ทำให้หลานรักฉันค้นพบความรักรูปแบบของตัวเองได้ หวังว่าจะสู้ ‘พี่สะใภ้’ ฉันได้นะ” ท่านพูดด้วยรอยยิ้ม หวนนึกไปถึงเรื่องราวของพี่ชายกับพี่สะใภ้
“พี่สะใภ้?” อชิตะทวนคำอย่างงงๆ
“งงล่ะซี่เจ้าอิง” ท่านยิ้ม
“ครับ งงมาก” จะไม่ให้อชิตะงงได้ยังไง ย่านภามีพี่ชายเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือปู่ใหญ่ของเขา ท่านชื่อธาตรี เสียไปเมื่อสามปีที่แล้วด้วยโรคชรา และท่านก็ครองตัวโสดมาตลอดชีวิตของท่าน
“เรายังไม่ลืมปู่พรตใช่ไหม”
“ยังไม่ลืมครับคุณย่า”
ปู่พรตเป็นเพื่อนของย่านภาก่อนจะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัท ‘ทีทีจี อีเลคโทรนิคส์’ ของปู่ธาตรี ซึ่งตอนนี้พี่ชายคนโตของเขานั่งแท่นผู้บริหารต่อจากปู่ใหญ่
ปู่พรตรูปร่างผอมสูง ผิวขาวผ่อง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย บางครั้งก็มองเห็นว่ามีมุมสวย โดยเฉพาะดวงตากลมที่ถูกล้อมด้วยขนตายาว ตอนเด็กเขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าว่าปู่พรตติดขนตาปลอม นอกจากนั้นดวงตาของปู่พรตก็เหมือนยิ้มได้ น้ำเสียงของท่านไม่แหบห้าวเพราะมันนุ่มนวลน่าฟัง ท่านร้องเพลงทีไร สะกดทุกคนได้เมื่อนั้น 
สิ่งที่จำได้มากที่สุดคือปู่พรตใจดีมาก เป็นคนเดียวที่ทำให้ปู่ใหญ่หัวเราะเสียงดังได้ ในยามที่ปู่ใหญ่เป็นฟืนเป็นไฟก็มีแค่ปู่พรตที่กล้าเข้าใกล้ จากนั้นก็จะเปลี่ยนคนหน้ายักษ์ให้กลายเป็นคนหน้ายิ้มได้ในเวลาไม่กี่นาที
หรือว่าปู่ทั้งสองคนจะ...รักกัน
จริงเหรอ?
ไม่มีใครรู้ ทุกคนในครอบครัวเขาเห็นปู่พรตเป็นเพียงเพื่อนรักของย่านภา เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัททีทีจีฯ และหมดลมหายใจก่อนปู่ใหญ่ไปเพียงเจ็ดเดือน...เท่านั้นจริงๆ
แท้จริงแล้ว ท่านทั้งสองคนต่างเป็นดวงใจของกันและกันอย่างนั้นเหรอ?
ความทรงจำบางอย่างของอชิตะย้อนกลับมา วันที่ปู่พรตสิ้นลมหายใจ เป็นวันแรกที่เขาเห็นน้ำตาของปู่ใหญ่ คุณธาตรีผู้ชายที่ไม่เคยร้องไห้ให้กับอะไรในชีวิต ยกเว้นความตายของปู่พรต วันนั้นเขายังแอบน้ำตาซึมตามปู่ใหญ่ไปด้วยเลย แต่คนที่ร้องไห้แข่งกับปู่ใหญ่คือพี่ชายคนโตของเขา เพราะรักกันมาก มากเสียจนเรียกได้ว่ารักเหมือนพ่อกับลูก ทั้งที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือด 
“แบบที่เราเข้าใจแหละเจ้าอิง บางเรื่องไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ชีวิตจะได้สงบสุขอย่างที่ควรเป็น รู้แล้วเก็บไว้ให้ดี ไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง ให้เรื่องของปู่ใหญ่กับปู่พรตอยู่ในใจของเราก็พอ” ท่านพูดอย่างรู้ทันความคิดของหลานชาย
“แบบนี้ใช่ไหมครับ คุณย่าถึงรับเรื่องของผมได้” เพราะคุณย่ารับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณปู่ทั้งสองมาตลอด ท่านถึงรับได้กับความรักของเขา
“ไม่หรอก ฉันบอกแล้วไงว่าเราเป็นหลานรักของฉัน ฉันอยู่ข้างเรา เหมือนที่อยู่ข้างพี่ชายที่ฉันรัก”
ถามอชิตะว่าอึ้งไหมกับเรื่องที่ได้รู้ในคืนนี้
อึ้ง...ครอบครัวของเขาไม่มีใครรู้สักคน
ทึ่ง...ที่ความรักของปู่ทั้งสองยาวนานจนถึงวันสิ้นลมหายใจ เพราะตั้งแต่ที่เขาจำความได้ ก็เห็นทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันแล้ว
เรื่องนี้อาจไม่สำคัญสำหรับใคร แต่สำหรับเขา มันเป็นดังกำลังใจชิ้นโตที่ไม่มีวันหมด ตอกย้ำให้ความมั่นใจมันเพิ่มพูน ว่าความรักยั่งยืนยาวนานจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตมีจริงกับคู่รักที่เป็นผู้ชาย เมื่อมันเกิดขึ้นกับคู่ของปู่ทั้งสองได้ มันจะต้องเกิดขึ้นกับเขาและคณิตได้เหมือนกัน
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันนะคะ T^T
อุ่นใจขึ้นบ้างว่างานเราไม่น่าเบื่อเกินไป

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 23 UP 11-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 12-07-2017 20:12:24
23
‘พบกันครึ่งทาง’ คือข้อสรุปของเช้าวันนั้นที่ผ่านมาได้สองเดือนแล้ว ข้อสรุประหว่างเขากับคนบ้าอำนาจ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องงานของเขา ที่เขาต้องการลาออกจากบริษัทแล้วไปหางานใหม่ทำ
อชิตะยัดเยียดการพบกันครึ่งทางให้เขาต้องยอมรับแบบห้ามมีข้อโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นคือเขาต้องไปทำงานพร้อมกับเจ้าของบริษัททุกวัน หรือไม่ก็ต้องนั่งอยู่บ้านเฉยๆ รอให้อชิตะเลี้ยงดูในฐานะเมีย
การพบกันครึ่งทางคือการให้เขาทำงานเป็น ‘ฟรีแลนซ์’ รับงานจากบริษัทเป็นรายชิ้น แต่ฟรีแลนซ์อย่างเขาได้อภิสิทธิ์ความเป็น ‘คนรัก’ ของเจ้าของบริษัทพวงท้ายมาด้วย เขาได้เงินเดือนเหมือนเดิมทุกเดือน ได้รับโบนัสเหมือนพนักงานประจำทุกอย่าง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากการพนักงานประจำ เพียงแต่ไม่ต้องไปนั่งทำงานที่บริษัท และมีบ้านทั้งหลังเป็นสถานที่ทำงาน
เฮ้อ...รอบที่เท่าไรไม่รู้ของวันที่ต้องถอนหายใจทิ้งไปกับลมเย็นภายในสวนหลังบ้าน แรงแดดกำลังหมดไปจากฟ้า ขณะที่เขายังกุมขมับกับลูกค้าสาวว่าที่เจ้าสาวของคุณหมอฟัน ผู้ซึ่งต้องการเรือนหอระดับล้านดาว ตั้งโจทย์ความต้องการสารพัดอย่าง นี่ต้องได้ นั่นต้องมี นู่นก็ขาดไม่ได้ พื้นที่สำหรับปลูกสร้างมีไม่ถึงร้อยตารางวา แต่อยากได้ยิ่งใหญ่ขนาดพระราชวังบักกิงแฮม เขาก็เพลียเป็นเหมือนกันนะ
คณิตเข้าใจนะว่า ‘บ้านคือชีวิต’ ยิ่งสร้างเป็นเรือนหอด้วย ก็ต้องออกแบบเพื่อสามชีวิตเป็นอย่างน้อย เพราะในอนาคตต้องมีชีวิตน้อยๆ เพิ่มเข้ามาในบ้านหลังนี้แน่ แต่จะทำให้หรูหราแบบที่เจ้าของงานต้องการ ในขณะที่พื้นที่มีจำกัด มันจึงเป็นงานโคตรยากเลยทีเดียวสำหรับคณิต
นอนกางแขนกางตีโจทย์แสนล้านความต้องการของลูกค้ายังไม่แตก แต่ฟ้าเริ่มมืดเพราะสิ้นแสงอาทิตย์แล้ว บวกกับยุงที่เริ่มบินตัวเบาออกหาอาหารมื้อค่ำกันเป็นโขยง คณิตจึงเปลี่ยนจากนอนมาเป็นนั่ง ตั้งใจจะหอบงานเข้าไปทำต่อในห้องทำงานของอชิตะ แต่ยังไม่ทันลุก เจ้าของบ้านก็โผล่หน้ามาให้เห็นซะก่อน เมื่อเห็นเขาจะลุกขึ้นยืน อชิตะก็ยื่นมือมาให้จับ ดึงตัวเขาขึ้น แล้วใช้จังหวะนั้นโน้มใบหน้าลงมาแนบริมฝีปากบนแก้มเขา ก่อนไล่ลงมาสัมผัสริมฝีปากด้วยรสจูบที่แทบจะเอาลมหายใจเขาไปจนหมดตัว 
อชิตะยังอยู่ในชุดสูทสีเข้มแบบตอนเช้า เจ้าตัวมาถึงแล้วก็ตรงมาหาเขาอย่างทุกวัน มากอดมาจูบแสดงความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาหลายชั่วโมง ซึ่งเขาก็ยังไม่ชินซะที แม้จะผ่านมาสองเดือนแล้วก็ตาม เป็นสองเดือนที่ถูกบังคับให้ตื่นมาต้องเห็นหน้าเป็นคนแรก สบตาเป็นคนสุดท้ายของทุกค่ำคืน
ยอมรับว่าไอ้ที่ไม่ชินเพราะเขาเขิน เขาอาย รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย ไม่รู้สิ มันเหมือนกับว่าคณิตคนเดิมจากไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไกลสุดขอบฟ้านู่นมั้ง ตรงนี้จึงเหลือแค่คณิตที่เหมือนผู้หญิงแต๋วแตกเข้าไปทุกวัน
...อชิตะกอดก็เขิน
...อชิตะจูบก็อาย
...อชิตะชวนขึ้นเตียงก็ว่าง่าย
...อชิตะจะทำอะไรตามใจชอบก็ไม่ขัด
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ยอมว่าง่ายไปกับอชิตะ ต้องขัดขืนสุดกำลังสติที่มีเหลือติดเนื้อติดตัว นั่นคือความคิดอยากแสดงบทเลิฟซีนไม่แคร์โลกของอีกฝ่าย เขาไม่ยอมร่วมมือไปกับอชิตะแน่ ก็ใครมันจะไปยอมเล่า คนในบ้านตั้งกี่ชีวิต คนข้างบ้านอีกล่ะ แม้จะมีรั้วรอบมิดชิดก็เถอะ บทความซวยจะมาเยือนก็ห้ามไม่ทันหรอก เขาถึงต้องห้ามตัวไม่แคร์โลกอย่างอชิตะเป็นอันดับแรก
ห้ามไม่ให้เอาเรื่องบนเตียงออกมาอยู่นอกห้องนอน อย่างตอนนี้ไง เผลอไม่ได้คลุกวงในตลอด
“อื้อ...บอส! ไม่เอา เดี๋ยวคนเห็น หยุดเลยนะบอส” คณิตยันใบหน้าคมเข้มออกจากซอกคอ เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะทำแค่จูบ เพราะอชิตะกำลังจะฝังรอยฟันบนซอกคอเขา
นอกจากไม่อายฟ้าอายดินแล้ว คณิตยังค้นพบอีกด้วยว่า อชิตะมีความเป็น ‘S’ พอสมควร เพราะไม่ว่าเลิฟซีนระดับอนุบาล ประถม หรือปริญญาเอกสิบใบ อชิตะจะทำให้เขาเจ็บตัวทุกครั้งร่ำไป พอบอกให้ทำเบาหน่อยเพราะบางวันเขาก็ไม่ไหวจริงๆ ก็หาว่าเขาหาเรื่องไม่ให้ความร่วมมือ พอปล่อยตามใจก็เล่นเอาเขาลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลยก็มี เช้าไหนที่ลุกไม่ขึ้น สภาพร่างกายเหมือนคนพิการครึ่งล่าง วันนั้นเตรียมตัวอายสายตาของคนในบ้านได้เลย 
แต่นั่นช่างมันเถอะ มาสนใจเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้าก่อนดีกว่า มาฟังคำแก้ตัวของอชิตะซี่ มันน่าโดนห้านิ้วฟาดบนหน้าไหมล่ะ!
“ไม่มีใครเข้ามาหรอก ผมสั่งไว้แล้ว” นี่แหละพ่อจอมอำนาจ สั่งทุกอย่าง สั่งทุกคน แต่ลืมคิดว่าสั่งความคิดคนไม่ได้
“อยากทำก็ไปในห้อง ผมไม่เอาที่นี่” บอกเสียงจริงจัง พูดแล้วก็อายตัวเอง เขาต้องกล้าหาญถึงเบอร์นี้เลยนะ ถึงจะเอาอชิตะอยู่ ไม่อย่างนั้นคงมีสักวันที่ได้โชว์เลิฟซีนต่อหน้าคนในบ้านทั้งห้าชีวิต อาจจะรวมถึงหลายชีวิตที่อยู่ข้างบ้านด้วย คิดแล้วเครียด เป็นคณิตคนใหม่นี่ช่างยากจริงๆ
โชคดีที่คณิตคนเดิมยังทิ้ง ‘ปาก’ ไว้ให้ใช้ต่อสู้ปกป้องยางอายตัวเอง
อชิตะปล่อยมือจากตัวเขาแล้ว เขาเลยเดินไปเก็บของบนโต๊ะทำงานชั่วคราว ของที่ต้องเก็บก็ไม่มีอะไรหรอกนอกจากกระดาษ...กระดาษ...และกระดาษ กระดาษที่จดโจทย์ของลูกค้า กระดาษคำตอบของโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเขาร่างความคิดไว้คร่าวๆ ก่อนลงมือออกแบบจริง   
“วันนี้เห็นคนในบ้านบอกว่านอนหน้าเครียดทั้งวัน มีอะไรหรือเปล่า หรือว่างานมันยากไป” อชิตะไม่ได้จำกัดอิสระของคณิต เพียงแต่เขาสั่งทุกคนให้ช่วยจับตาดูคณิต ว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง แล้วมารายงานเขาทุกเย็น ให้เขารู้ว่าแต่ละวันคณิตกินอยู่หรือใช้ชีวิตอย่างไร
ถึงแม้ความสัมพันธ์จะชัดเจนขึ้นทุกวัน ดีขึ้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะดีได้มากขนาดนี้ แต่อชิตะก็ยังรู้สึกระแวงอยู่ลึกๆ ว่าคณิตจะหนีเขาไปอีกครั้ง กลัวผิวน้ำทะเลที่เงียบสงบจะซ่อนคลื่นลูกใหญ่ไว้ข้างใต้
“ผมคงไม่ถูกโรคกับเรือนหอครับ ปวดหัวชะมัด คุณวิมลมาลานั่นก็จ้างร้อยจะแสน ความต้องการล้านแปดอย่าง” คณิตเปิดปากบ่นแบบไม่กลัวถูกไล่ออก เป็นหนึ่งในข้อดีของการเป็นคนรักของอชิตะ แบบว่าพอความสัมพันธ์มันไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้องแล้ว มันก็เหมือนเขามีสิทธิ์พูดได้มากขึ้นกว่าเดิม เอาแต่ใจเรื่องงานได้อีกระดับหนึ่ง ประมาณว่าจากระดับหนึ่งก็กระโดดไปที่ระดับแปดไรงี้ ยอมรับว่ามันเป็นข้อเสียที่ไม่น่าเอาอย่างเท่าไร แต่ก็นะ ก็การตามใจของอชิตะทำเขาเหลิงเองนี่น่า
“ให้ภัทรทำแทนไหม แล้วคุณไปทำโพรเจกต์ออฟฟิซใหม่ของคุณชลชาติแทน”
“ไอ้ภัทรจะได้กระโดดงับคอผมสิครับบอส” ขืนอชิตะเอางานเขาไปให้ภัทรพลทำแทนละก็ มันได้บุกมาโวยวายถึงบ้านแน่ ภัทรพลไม่ชอบงานออกแบบเรือนหอเหมือนกัน “ผมทำได้ ไม่ต้องเอางานผมไปโยนให้ใครหรอก แค่ตอนนี้ผมยังจินตนาการพระราชวังบักกิงแฮมบนที่ดินไม่ถึงร้อยตารางวาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“เบื่อไหม?” อชิตะมองแผ่นหลังเล็กแล้วถาม แม้ความกลัวจะเป็นเพียงจุดที่เล็กมากในความรู้สึก ทว่ามันก็คือความกลัวที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้ในเวลาแค่เดือนสองเดือน 
เพราะรัก เพราะหวง อชิตะจึงกลัว กลัวว่าคนคนนี้จะหนีไปจากชีวิตเขาอีกครั้ง เขามีอำนาจควบคุมอิสระของคณิตได้ก็จริง แต่เขาไม่สามารถเข้าไปควบคุมความคิดของคณิตได้ เขาไม่รู้ว่าภายใต้ท่าทีที่อ่อนลงให้เขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เชื่อฟังเขาทุกเรื่อง ยอมเขาทุกอย่าง ลึกลงไปในความรู้สึกนึกคิดแท้จริงของเจ้าตัวนั้น เขาไม่รู้ว่าคณิตคิดอะไรอยู่
แม้เรื่องของปู่ใหญ่กับปู่พรตที่รักกันจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต จะเป็นตัวอย่างของรักแท้ที่เกิดขึ้นกับคู่รักเพศเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องระหว่างเขากับคณิตจะลงเอยด้วยความสมหวังเช่นเดียวกับปู่ทั้งสอง เพราะเรื่องราวของพวกท่านเริ่มต้นด้วยความรักแบบแอบรัก จนกลายเป็นความรักยิ่งใหญ่ยาวนานเท่ากับลมหายใจของชีวิตตามที่ผู้เป็นย่าเล่าให้เขาฟัง
ต่างจากเรื่องเขากับคณิต มันไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสวยงาม ไม่ได้น่าจดจำแบบที่เอามาเล่าให้ใครชื่นชมได้ เขาถึงไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำให้ความรักของเขาเดินทางไปยังจุดเดียวกับของปู่ทั้งสองได้ไหม
“เบื่อเหรอ? บอสก็กล้าถามเนอะ”
น้ำเสียงประชดกึ่งแง่งอนดึงอชิตะออกมาจากความกลัวนั้น
“ไม่เบื่อหร้อก สบายจะตาย วันๆ เห็นแต่หน้าคนไม่กี่คน นั่งกินน้ำลายบูดก็อร่อยดีนะบอส ผมชอบจะตาย ไม่มีเบื่อแน่” 
“ผมก็ไม่ได้ห้ามคุณออกไปไหนนะหนึ่ง คุณจะไปไหนก็ได้ ผมไม่ว่า”
“ครับ บอสไม่ได้ห้าม ไม่ว่าเล้ยยย...แต่ต้องมีคนสองคนห้อยเป็นไส้ติ่งติดตัวไปด้วย” เริ่มแรกก็มีทะเลาะกันเรื่องที่ว่าถ้าเขาจะออกนอกบ้านไปไหนก็ตาม ต้องมีคนในบ้านตามเขาไปด้วย อย่างน้อยที่สุดเลยคือสองคน เขางอนไปสามวัน เป็นสามวันที่ไร้ประโยชน์มาก เพราะท้ายแล้วเขาก็ต้องยอม ไม่อย่างนั้นคนมีอำนาจจะหนีบไปทำงานด้วยกันทุกวัน ก็เขาไม่อยากกลับไปทำงานที่บริษัทอีกแล้ว เลยต้องยอมให้มีผู้คุมตัวเวลาที่อชิตะไปทำงาน พักหลังเขาเลยไม่ค่อยออกไปไหน
“ก็กลัวหาย” อชิตะบอกอย่างที่เคยบอกทุกครั้ง เมื่อพูดเรื่องนี้กัน   
“ถึงผมหาย บอสก็ตามเจอละน่า” คณิตเอ่ยปลงๆ “รับปากแล้วไงว่าจะไม่ไปไหน น่าจะวางใจได้แล้วนะ” ไม่เข้าใจเลยว่าอชิตะจะกลัวไปทำไม สองเดือนที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความคิดจะหนีเหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ แถมทำตัวว่านอนสอนง่าย เรียกว่าใช้ชีวิตเป็นคนรักของอชิตะแบบร้อยเปอร์เซ็นเลยเถอะ
“อย่างนั้นพรุ่งนี้ไปหาคุณย่ากัน” อชิตะเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่เอาบอส ไม่ไป ผมจะทำงาน” คณิตปฏิเสธเช่นทุกครั้งที่อชิตะเอ่ยชวนให้ไปพบผู้เป็นย่า ที่ต้องปฏิเสธเพราะเขายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับหญิงสูงวัย ถึงอชิตะจะบอกว่าคุณนภาเอ่ยปากเองว่าอยากเจอเขา ท่านไม่รังเกียจและยอมรับความสัมผัสของเขากับหลานชายท่าน ซึ่งมันน่ายินดีใช่ไหมที่ได้รับการยอมรับ แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะเอาหน้าไปให้ท่านเห็น เขาละอายใจเกินกว่าจะพบคนในครอบครัวของอชิตะ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะได้รับการต้อนรับที่ดี เพราะความผิดที่ไม่ว่าผ่านไปกี่เดือนและต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปี มันฟ้องว่าเขาไม่ใช่คนดีเต็มร้อย
...เขาคือหัวขโมยที่น่ารังเกียจ
การแย่งคนรักของคนอื่น มันไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ ต่อให้เขาไม่ตั้งใจก็ตาม มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสิ่งที่เป็นมาจนถึงวันนี้ มันเริ่มจากเขา เขาเป็นคนก่อเรื่อง ตั้งคำถามบ้าบอ ดังนั้นอย่าเอาเขาไปให้ใครชื่นชมเลย     
“คิดมาก พอแล้ว หยุดคิดได้แล้ว” อชิตะเอ่ยบอกด้วยรู้ว่าคณิตกำลังตกอยู่ในความคิดใด เขาประคองใบหน้าเล็กไว้ในอุ้งมือ 
คณิตสัมผัสถึงนิ้วอุ่นที่คลึงเบาๆ ระหว่างหัวคิ้วเขา มันช่วยให้เขาหลุดออกจากความคิดที่ทำให้อารมณ์ดิ่งลึกลงหุบเหวความผิดวุ่นวายและละอายใจ
“ไม่อยากให้ผมคิดมาก บอสก็เลิกชวนผมไปหาคุณย่าของบอสได้แล้ว เพราะยังไงผมก็ไม่ไป”
“ดื้อ” อชิตะเอ่ยด้วยความเอ็นดู ละมือจากใบหน้าลงมาพักไว้ที่เอวเล็ก เขายอมตามใจอีกฝ่าย ส่วนผู้เป็นย่านั้น ท่านเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย เข้าใจอะไรง่าย เขาบอกท่านว่าคณิตยังไม่พร้อม ท่านก็เข้าใจ ไม่ได้ว่ากล่าวหรือติงอะไรมา บอกแต่เพียงว่า
‘ถ้าเขายังมีเรื่องไม่สบายใจ ยังไม่พร้อม ก็ไม่ต้องบังคับเขามานะเจ้าอิง ฉันไม่ได้รีบไปไหน ยังอยู่ให้ได้เจอกันอีกหลายสิบปีละน่า’ 
“บอสก็ดื้อเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่พูดเรื่องนี้ทุกวัน” คณิตเถียงหน้ายุ่ง “ขอผมอยู่ของผมแบบนี้ได้ไหม ไม่ต้องพาผมไปพบใครทั้งนั้น ผมยอมบอสตั้งหลายเรื่อง ไม่ขัดคำสั่งบอสเลยสักอย่าง บอสก็ต้องยอมผมเรื่องนี้นะ แลกกัน”
“แต่ผมก็อยากให้คุณไปพบท่าน คุณย่าใจดี ไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องย้ายไปอยู่กับท่าน เพราะผมเป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่คนเดียว รู้ไหมว่าท่านชอบอยู่คนเดียวมาก แต่พอผมบอกจะพาหลานชายคนใหม่ไปอยู่ด้วย คุณย่ายอมทันทีเลย” พูดจบ คนฟังถึงกับทำหน้าเหมือนกลืนยาขม ครั้นจะอ้าปากบอกว่าไม่เอาไม่ไป เสียงของสาวใช้คนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหวานมาค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่สระว่ายน้ำ” สาวใช้รายงานเจ้านายหนุ่มทั้งสองแล้วเดินกลับออกไป
ชื่อของณัชชายังมีอิทธิพลสำหรับคณิตเสมอ ชายหนุ่มตัวขาวลอบระบายลมหายใจออกมา ด้วยความรู้สึกผิดที่อัดอั้นในอกไม่คลายหรือเจือจางลงเลย นานแค่ไหนกันนะความรู้สึกนี้จะหมดไปซะที ต่อให้เขาลองรักแบบไม่กลัวอะไรแล้วก็ตาม แต่ก็เหมือนมีชนักติดหลัง...แน่ลึกลงทุกวัน
“ไม่ต้องคิดมาก หวานคงแวะมาเยี่ยม” อชิตะบอกเจ้าของสีหน้าอึดอัดผสมริ้วรอยความเครียดที่ปิดไม่มิด “ไปด้วยกันนะหนึ่ง เผื่อหวานอยากคุยด้วย” พอเอ่ยชวน คณิตก็ส่ายหน้ารัวเร็ว เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะถูกชวน
“ไม่ไป ผมยังไม่พร้อม” อีกกี่สิบปีก็ไม่พร้อม คณิตไม่อยากเจอหน้าณัชชา พอๆ กับที่ไม่อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ของอชิตะ ไม่อยากย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของคุณนภา เพราะเขาไม่อยากระแวงกับความคิดของคนที่รู้ว่าเขาแย่งอชิตะมาจากณัชชา
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกหนึ่ง หวานไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ผมกับหวานเป็นพี่น้องกัน คุณก็เหมือนกัน ไปคุยกันให้สบายใจทั้งสองฝ่ายนะ” อชิตะพูดโน้มน้าว อยากให้คณิตรู้สึกดีขึ้น เข้าใจว่าที่คณิตไม่ออกไปพบณัชชาก็เพราะติดอยู่กับการกล่าวโทษตัวเอง 
“บอสอย่าทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายได้ไหม ยิ่งบอสอยากให้ผมพูดกับคุณหวานเหมือนเดิม เหมือนผมไม่ได้ทำอะไรผิดไว้กับเธอ ผมยิ่งรู้สึกแย่นะบอส” คนตัวเล็กไม่เข้าใจ ทำไมอชิตะถึงทำราวกับว่าทั้งเขาและเจ้าตัวไม่ได้ทำร้ายอะไรณัชชาเลย ทำราวกับว่าความเจ็บปวดของอดีตคู่หมั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เหมือนฝุ่นผงเข้าตา ปัดเป่าออกสักหน่อยก็หาย ทั้งที่มันไม่ใช่สักนิด ความรู้สึกของคนถูกทิ้งไม่ได้เล็กน้อยขนาดที่ว่าพูดปลอบคำสองคำแล้วจะหาย
คณิตไม่รู้หรอกว่าปริมาณความรักของณัชชาที่ให้อชิตะมากมายเท่าไร รู้แต่ว่ามันมากพอที่จะทำให้ณัชชายังไม่จากไปไหน ไม่เจ็บแค้นกับสิ่งที่อชิตะทำ และยังคงรอคอยความรักของอชิตะกลับคืนมา
“ผมไม่ได้อยากทำให้คุณรู้สึกแย่ ผมแค่ไม่อยากให้คุณหนีไปตลอด ถ้าคิดแต่จะหลบหน้า แล้วเมื่อไรคุณจะรู้ว่าหวานไม่ได้โกรธหรือเกลียดคุณเลย ถ้าหวานจะโกรธหรือเกลียดใครคนหนึ่ง คนนั้นก็ต้องเป็นผม ผมคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกผิดทั้งหมดเอาไว้ ไม่ใช่คุณนะหนึ่ง” อชิตะอาจทำให้คณิตเข้าใจว่าตนเองไม่ได้รู้สึกกับความเจ็บปวดของณัชชาอย่างที่ควรเป็น แต่ไม่เลย ชายหนุ่มรู้สึกผิดกับการเลือกทิ้งอดีตคู่หมั้นที่เคยวาดฝันอนาคตครอบครัวด้วยกันไว้ด้านหลัง เลิกราอย่างคนที่เห็นแก่ตัว ไร้หัวใจ เขารู้สึกผิดไม่ต่างจากคณิต เพียงแต่เขาเลือกเก็บความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่แสดงออกมาให้เห็น เพื่อรักษาสิ่งที่เป็นปัจจุบันเอาไว้ให้ดีที่สุด
หากเขาเอาแต่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เลือกไปแล้ว อนาคตของเขากับคณิตคงไม่พ้นเลิกรา เพราะปล่อยให้ความรู้สึกผิดมันกัดกินหัวใจ ลุกลามจนพังทลาย
“อย่าโทษตัวเองหนึ่ง” ...เหมือนที่เขาพยายามจะไม่โทษอะไรทั้งนั้น
“มันต้องรับผิดชอบทั้งสองคนนั่นแหละ” คณิตแย้งเสียงอ่อนลง แต่ไม่ยอมอ่อนให้กับคำชักชวนของอชิตะ “คุณหวานหายหน้าไปนาน ที่มานี่ก็คงอยากคุยกับบอสจริงๆ อาจเป็นเรื่องสำคัญก็ได้ บอสรีบไปหาคุณหวานเถอะ” เขาให้เหตุผล ก่อนจะชิงเดินเข้ามาบ้านเสีย 
คณิตไม่พร้อมเจอหน้าณัชชาและไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เขาจะพร้อม หรืออาจไม่มีวันนั้นเลยก็ได้

คณิตอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว และหากนับเวลาที่ปฏิเสธการออกไปพบณัชชา มันก็ผ่านมาเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มแอบมองผ่านประตูหน้าต่างห้องนอน ยังเห็นคนทั้งสองนั่งคุยกันที่เก้าอี้ข้างสระว่ายน้ำ ดวงไฟให้แสงส่องสว่างพอที่จะเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของณัชชา มือเธออยู่ในอุ้งมือใหญ่ เหมือนเธอกำลังร้องไห้ ไม่นานนักก็ถูกรวบเข้ามากอดปลอบโยน
ณัชชาร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะหัวใจหญิงสาวยังคงไม่จางจากความบอบช้ำ การปลอบกอดของอชิตะก็ไม่น่าจะแปลกเช่นกัน เพราะคนผิดก็ต้องรับผิดชอบดวงใจที่แตกสลายจากฝีมือตน ทว่าคณิตกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น เหมือนมีเรื่องราวที่ไม่สามารถมองเห็นผ่านสายตาเพียงอย่างเดียว มันต้องผ่านการได้ยินด้วย เรื่องราวจึงจะสมบูรณ์
ความอยากรู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกับณัชชา มันสั่งให้คณิตเปิดประตูห้องนอนออกมา เดินลงบันได เดินผ่านโถงกลางบ้าน ผ่านกรอบประตูออกมานอกตัวบ้านทรงตึกรูปตัวยู แฝงตัวเองไว้ในความมืดสลัวพ้นจากแสงของโคมไฟบริเวณสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มใช้ความเงียบของปลายเท้าย่องเข้าใกล้ นึกด่าตัวเองว่าทำตัวเหมือนมนุษย์เมียชอบจับผิดสามีกับคนรักเก่า แต่ยืนยันได้ว่าเขาไม่มีความคิดจะจับผิดอชิตะแม้แต่น้อย ไม่ได้มองณัชชาในแง่ร้าย แค่ความอยากรู้มันบังคับเท่านั้นเอง
จนกระทั่งใกล้มากพอจะได้ยินเสียงสะอื้นของคนในอ้อมกอดอชิตะ เสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง อาจเป็นเพราะมือที่ลูบปลอบอย่างอ่อนโยนบนแผ่นหลังบอบบางกระมัง ทำให้ณัชชาคลายความเจ็บช้ำในหัวใจและคราบน้ำตาลงได้
เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาลงราวกับจะเปิดทางให้เสียงทุ้มนุ่มนวลทว่าหนักแน่นของอชิตะได้แสดงบทบาทสำคัญของตน
คณิตตั้งใจฟังทุกคำพูด หัวใจเต้นช้าลงจนกลัวว่าจะหยุดเต้นเสียให้ได้
“ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพี่ พี่จะรับผิดชอบเอง หวานไม่ต้องเครียด ไม่ร้องแล้วนะ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะครับ”
“หวานขอโทษ...อึก...มันไม่ควรเกิดขึ้น...หวานควรระวังตัว...” เสียงของณัชชายังเจือรอยสะอื้น
“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกแล้วนะครับ“ อชิตะเหมือนจะตัดบท
“แต่...”
“ไม่มีแต่ หวานมีพี่อยู่ทั้งคน พี่จะไม่ปล่อยให้หวานต้องแบกรับปัญหาคนเดียว พี่เป็นคนก่อก็ต้องรับผิดชอบผลของมัน”
“แต่หวานไม่ได้มาหาพี่อิง เพื่อให้พี่อิง...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อะไรที่มันกลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา มาทำสิ่งที่เราทำได้ดีกว่า เชื่อพี่ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
“ค่ะพี่อิง”
บทสนทนาของอชิตะกับณัชชาจะมีต่อไปอีกนานแค่ไหน คณิตไม่ขอรับรู้แล้ว เขาหมุนตัวเดินกลับ จากออกมาด้วยน้ำหนักเท้าที่แผ่วเบาเช่นตอนมา เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังให้โดนจับได้มาแอบฟังคนอื่นเขาคุยกัน ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในบ้าน เดินขึ้นบันได เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ก่อนทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงในห้องที่มีเพียงความเงียบปกคลุม กับความรู้สึกที่ไม่รู้จะต้องรู้สึกอย่างไร และเสียงในหัวของตัวเอง
สิ่งที่ได้ฟัง บทสนทนาบางส่วนที่ได้รู้ มันชัดเจนมากพอที่จะทำให้เดาเรื่องราวของรอยน้ำตาและความรับผิดชอบของอชิตะได้ เสี้ยวหนึ่งของความคิด คณิตอยากให้ความเข้าใจของตัวเองไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่อย่างที่คิดปะติปะต่อเอาเอง รอให้อชิตะมาก่อน เขาจะถามให้รู้ความจริง ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เขาแค่คิดผิดไปเอง
คณิตมองไปที่ประตูห้อง หวังให้นาทีใดนาทีหนึ่งบานประตูจะเปิดเข้ามา พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดสูทเนื้อดีก้าวเข้ามาในห้อง มาเพื่อให้เขาถามสิ่งที่ค้างคาในใจ คำตอบที่อยากได้ยิน คำตอบที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไปเอง
ผ่านไปนานจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี ยามค่ำคืนเปลี่ยนเป็นเช้าวันใหม่ คณิตยังนั่งอยู่ที่เดิมตรงปลายเตียง หัวเราะเยาะให้กับความกลัวที่เคลือบเอาไว้ด้วยความอดทน ประตูห้องนอนยังไม่ถูกใครเปิดเข้ามา เจ้าของห้องยังไม่ปรากฏตัว
หลายครั้งที่คณิตตัดสินใจจะเดินออกจากห้องไปตามหาอชิตะ เพราะทนต่อสู้กับความคิดของตัวเองไม่ไหว ทว่าก็รั้งตัวเองเอาไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย
เพื่ออะไรล่ะ? จะไปตามหาคำตอบให้หายคาใจอย่างนั้นหรือ การที่อชิตะไม่กลับห้อง รถของณัชชายังไม่พ้นจากประตูรั้วออกไป มันก็เป็นคำตอบของคำถามทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือไง
เขาควรให้นิยามของความรู้สึกในยามนี้ว่าอย่างไรดี ความรู้สึกที่ร้อนไหม้ในก้อนเนื้อหัวใจ ความอึดอัดคับแน่นในอกกว่าครั้งไหน น้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมาทางเบ้าตาเพราะมันรินไหลอยู่ภายใน เขาเหมือนหายใจไม่ออกไปทุกที
‘มึงลองรักแบบที่ไม่ต้องกลัวอะไรดูสิวะ รักไปตามที่ใจมึงต้องการ รักโดยที่แม่งไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น เอาแค่ที่มึงรัก เอาแค่ที่มึงอยากได้จากบอส...’
คำยุของภัทรพลเมื่อสองเดือนก่อนย้อนกลับมาดังซ้ำๆ ในหัว 
ถ้า ‘ลอง’ แล้วลงเอยแบบนี้ แบบที่เจ้าของตัวจริงกลับมาทวงคืน เขาต้อง ‘ทำใจ’ ยังไง หรือต้อง ‘รู้สึก’ แบบไหน ภัทรพลไม่ได้บอกไว้ เพราะภัทรพลเองคงไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ความคิดของคณิตหยุดลงเมื่อประตูบานที่นั่งจ้องข้ามคืนถูกเปิดเข้ามา คนที่เขารอก้าวตรงมาหา ใบหน้าแม้จะนิ่งเรียบแต่ก็เต็มไปด้วยริ้วรอยความอ่อนล้า แววตาของอชิตะจืดจางเหมือนถูกสูบเอาชีวิตชีวาออกหมดสิ้น
ใกล้แค่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเหมือนยิ่งถอยห่างไปอยู่กันคนละครึ่งฟ้า คล้ายคนแปลกหน้าของกันละกัน ราวกับไม่มีวันจะเข้าใกล้กันได้อีกแล้ว เมื่อคำพูดหนึ่งถูกเปล่งออกมาจากปากของอชิตะ
“หวานท้อง...”
จริงอย่างที่คณิตสรุปจากบทสนทนาเมื่อคืน
“...กับผม”
นี่ก็เป็นสิ่งที่คณิตเตรียมรับมือมาตลอดทั้งคืน มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ณัชชาจะท้องกับใครได้ถ้าไม่ใช่อดีตคู่หมั้นของตน ส่วนอชิตะก็พร้อมรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำทิ้งไว้ ทุกอย่างลงตัว ถูกต้องแบบที่ควรเป็นมานานแล้ว 
“ผมต้องรับผิดชอบ”
อืม...มันแน่นอน นอกจากความรับผิดชอบแล้ว เด็กที่จะเกิดมาก็เป็นลูกของอชิตะ ลูกที่เจ้าตัวเคยวางแผนร่วมกับณัชชาว่าจะมีสักสามสี่คน 
เขาควรยินดีใช่ไหม?
...ยินดีกับโซ่ทองคล้องใจคนทั้งคู่
เขาควรดีใจหรือเปล่า?
...ที่ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจจะคลายลงและจางหายไปซะที ชนักที่ติดหลังอยู่นานมีคนดึงออกให้แล้ว แต่ทำไมสิ่งที่บีบคั้นอยู่ในอก ถึงได้ทะลักออกมาเป็นคำถามโง่ๆ ด้วยนะ
“แล้วผมล่ะ?”
...ควรต้องเดินออกไปใช่ไหม
“ผมจะย้ายไปอยู่คอนโดฯกับหวาน คุณอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ แต่ผมอาจจะไม่กลับมา” น้ำเสียงของอชิตะฟังว่างเปล่า แต่ในความว่างเปล่าคือปลายมีดกรีดลึกลงบนความรู้สึกคนฟัง มันคือคำบอกลาของคนที่เพิ่งพูดกับคณิตเมื่อวานว่า
‘ก็กลัวหาย’
กลัวเขาหาย แต่กลับเทเขาทิ้งได้อย่างง่ายดาย ใช่สิ อชิตะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วนี่ เจ้าตัวเคยบอกเลิกณัชชาได้แบบเลือดเย็นที่สุดมาแล้ว ทำไมจะทำอีกครั้งไม่ได้ แค่เปลี่ยนคนที่อชิตะจะเลือดเย็นด้วยก็เท่านั้น
“ขอบคุณครับบอส แต่ไม่เป็นไร” คณิตกลืนความรู้สึกว่างเปล่าแต่เจ็บลึกลงไปในอก เอ่ยบอกเหมือนเป็นคำพูดที่อยากพูดมานานแสนนาน “ผมจะได้กลับคอนโดฯเสียที ลาก่อนครับบอส”
ลาก่อนและจบสิ้นกันซะที...   
ดีใจสิวะไอ้หนึ่ง!
เมื่อก่อนมึงต้องการแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
แต่นั่นมันเมื่อก่อน ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ ‘ลองรัก’ ไปแล้ว
เจ็บชะมัด...   

......... โปรดติดตามตอนต่อไป ..............

ว้าววว ใกล้เดินทางมาถึงจุดจบแล้วน้าา เหลืออีก 9 ตอนก็จะจบแล้วนะคะ

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 24 UP 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 15-07-2017 22:51:28
24
ภาคีเป็นเพื่อนที่คณิตสนิทและรักมากที่สุด ไม่ว่าคณิตจะมีปัญหาหรือเรื่องอะไรก็ตาม ภาคีจะเป็นคนแรกเสมอที่คณิตวิ่งไปหา แต่ในเวลาที่คณิตขับรถพ้นรั้วของบ้านปูนเปลือยรูปทรงสี่เหลี่ยมออกมานั้น ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะขับออกจากกรุงเทพฯ ด้วยความเร็วที่เรื่อยเฉื่อย ไม่เร่งรีบ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจังหวัดติดทะเล
เมื่อมาถึงจุดหมายคือบ้านของชิตตะวันแทนที่จะเป็นบ้านของภาคี เจ้าของบ้านต้อนรับคณิตเป็นอย่างดีก่อนกลับไปทำงานต่อเพราะทิ้งงานสำคัญเอาไว้ คณิตเห็นความอยากรู้ในแววตาที่มองมาของชิตตะวัน อีกฝ่ายคงมีคำถาม เพียงแต่รู้ว่าเขาไม่พร้อมจะตอบอะไรทั้งสิ้น เจ้าตัวถึงไม่ถามอะไร
คณิตล้มตัวลงนอนตรงโซฟากลางบ้านหลังขนาดพอดีสำหรับหนุ่มโสดแต่ไม่สดอย่างชิตตะวัน แต่ก็แอบสังเกตว่าหนุ่มโสดจะมีคนมาอยู่ร่วมบ้านด้วยหรือเปล่า เห็นได้จากรองเท้าที่เบอร์เล็กกว่าของเจ้าของบ้าน รองเท้าเพ้นต์ลายน่ารัก ไม่น่าใช่สไตล์ชิตตะวันแน่ แต่สติของคณิตก็ไม่ได้ยาวนานขนาดจะเที่ยวจับผิดชีวิตของใครนัก พอล้มตัวลงนอน ความเหนื่อยล้าของร่างกายจากการขับรถมาไกล กับอารมณ์ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า อารมณ์ของคนที่ถูกเททิ้งก็พาเข้าสู่นิทราโดยง่าย
หลับไปกี่ชั่วโมงคณิตไม่รู้ พอตื่นก็เห็นท้องฟ้านอกกระจกเป็นสีเทาใกล้ดำเต็มที ไฟในห้องสว่างพรึบในจังหวะนั้นพอดี เด็กคนหนึ่งในชุดนักศึกษาน่าจะเป็นเจ้าของเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย
...แม้ในฝัน อชิตะยังตามมาหลอกหลอน มาตามเอาตัวเขากลับ ฉุดกระชากลากถูจนเขาต้องพ่ายแพ้ แต่พอรถวิ่งไปถึงครึ่งทาง สองข้างทางเป็นป่าเขา ไร้บ้านเรือนของผู้คน อชิตะก็จอดรถ ไล่เขาลง แล้วขับจากไป ทิ้งให้เขายืนร้องไห้กลางสายฝนกับเสียงฟ้าร้องคำราม...แต่ที่แท้ก็คือเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จัก
คนมาใหม่สะดุ้งนิดหนึ่ง ยืนจ้องหน้าคณิตที่ยังมึนเพราะเพิ่งตื่น ดวงตาเรียวเล็กกลิ้งไปมาเหมือนกำลังทบทวนความจำของตัวเองอยู่สักพัก ถึงได้หลุดคำทักทายออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนคนนี้คือใคร มีความสำคัญอย่างไรกับเจ้าของบ้าน
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ผมกวนพี่หรือเปล่าครับ”
“เปล่า” คณิตส่ายหน้าหลังจากยกมือขึ้นรับไหว้เด็กหนุ่มแล้ว พลางคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของรองเท้าผ้าใบที่เพ้นต์ลายน่ารัก เป็นเด็กใหม่ของเจ้าของบ้านแน่ๆ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเลยทีเดียว
เด็กคนนี้มีผิวขาว ผอมเพรียว ริมฝีปากเล็กแดง คิ้วไม่เข้มจัดแต่ก็พอดีกับใบหน้าเล็กเรียวและเส้นผมย้อมสีน้ำตาลเข้ม มีดวงตาเรียวเล็กและเปลือกตาชั้นเดียว แก้มใสไม่มีร่องรอยเม็ดสิว โดยรวมแล้วถ้าสายตาเขาไม่ผิดพลาด หน้าตาแบบนี้เป็นน้องชายเขาได้สบายเลย จะผิดไปก็ตรงที่ว่าไอ้เด็กหน้าคล้ายดันตัวสูงกว่าเขาไปมากนี่แหละ
เด็กสมัยนี้ทำไมมันสูงจังวะ คณิตเห็นแล้วอิจฉา
“พี่ใช่พี่หนึ่งหรือเปล่า น่าจะใช่ เพราะเหมือนในรูปเลย แต่ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปเยอะ”
อ้าว...ไอ้น้อง ถามเองตอบเองเลย
“งั้นพี่ก็ไม่ต้องบอกแล้วนะว่าพี่เป็นใคร”
“อืม...ไม่ต้องบอก ผมรู้แล้ว” ตอนบอกว่ารู้แล้ว น้ำเสียงเด็กหนุ่มแผ่วลงนิดหนึ่ง “ตามสบายนะพี่...ไม่ใช่สิ ก็พี่มีสิทธิ์อยู่บ้านหลังนี้อยู่แล้วนี่ ผมขอเวลาเก็บของนิดนะ ไม่นานหรอก ของผมมีไม่มาก ก็ไม่ได้ตั้งใจมาอยู่ถาวร แต่พอดีว่าบ้านผมหนี้เยอะ เลยต้องมาอาศัยบ้านเขาอยู่” ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งปรูดขึ้นบันไดไป
คณิตไม่งงคำพูดของเด็กหนุ่มนักศึกษาหน้าใสหรอก พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ควรถามเขาสักคำไหมว่าเป็นอะไรกับเจ้าของบ้านหรือเปล่า ไม่ใช่สรุปเอาเอง แล้วสีหน้าแบบนั้น
...เจ็บปวดชัดๆ
แล้วเขาควรทำยังไง ตามขึ้นไปอธิบายให้เข้าใจว่าเขาแค่มาอาศัยพักใจที่พังยับเยิน หายดีเมื่อไรก็กลับบ้านกลับช่องแล้ว ไม่ได้คิดจะมาทวงใครคืนเลย
ครั้นพอคณิตตัดสินใจจะตามขึ้นไปอธิบายให้หนุ่มน้อยเข้าใจเสียใหม่ เสียงรถยนต์ซีอาร์วีสีดำคริสติลวิ่งเข้ามาจอดเสียก่อน คณิตเลยเปลี่ยนใจ ทิ้งตัวลงนั่งเหมือนเดิม ไม่นานชิตตะวันก็เดินเข้ามาในบ้าน พร้อมถุงกล่องอาหาร
“เพิ่งตื่นเหรอ” ชิตตะวันถามขณะเดินเอาถุงกล่องอาหารไปวางบนโต๊ะอาหารที่อยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน ถัดไปคือห้องครัว
“เด็กมึง...” คณิตพูดแค่นั้น คนที่เอ่ยถึงก็เดินปานวิ่งลงมาจากชั้นสอง กระเป๋าเป้บนแผ่นหลังใหญ่เสียจนคณิตคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะออกไปอยู่ป่าสักเดือนหรือสองเดือน แล้วไอ้ที่หอบหิ้วอยู่ในมือ ใช่ถุงเต้นส์หรือเปล่า พกมาขนาดนี้เลย
“อะไร?” ชิตตะวันเดินย้อนกลับมาบริเวณส่วนนั่งเล่นของบ้าน มองตามสายตาของคณิตก็ได้คำตอบ “ไหนบอกวันนี้ไม่กลับ” เขาถามเด็กหนุ่มที่ตีหน้าเรียบแต่แววตาฟ้องความรู้สึกออกมาหมดสิ้น
เด็กน้อยที่ก่อนหน้านี้วิ่งไปเก็บของใส่กระเป๋า กลับลงมาด้วยสภาพตาแดงก่ำ ปลายจมูกเล็กก็แดงไม่ต่างกัน ใบหน้าใสเคลือบคราบน้ำตาที่เจ้าตัวเช็ดออกไม่หมด
“กลับมาเก็บของ” เด็กหนุ่มตอบด้วยสุ้มเสียงที่บังคับให้เป็นปกติ ยังไงก็ฟังสั่นเครืออยู่ดี แล้วหันกลับมาทางชายหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้าเป็นครั้งแรก หลังจากที่เห็นผ่านรูปถ่ายมาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเอ่ยลาอย่างเด็กที่มีมารยาท “ผมไปแล้วนะครับ จะไม่กลับมาที่นี่อีก พี่สบายใจได้”
“เปล่าเว้ย กูไม่ได้ทำอะไรเด็กมึง ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง” คณิตรีบปฏิเสธ เมื่อชิตตะวันหันหน้ามาทางเขาแบบมีคำถาม นี่คงคิดว่าเขาทำอะไรเด็กมันสินะ “กูอยู่ของกูเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรให้สะเทือนใจเด็กมึงแม้แต่คำเดียว มึงเคลียร์เอง กูไม่เกี่ยว” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งดูคู่กรณีทั้งสองเคลียร์ปัญหากัน
ดีเหมือนกัน...มีเรื่องบันเทิงของคนอื่นเป็นตัวฆ่าอารมณ์เจ็บปวดของตัวเอง
“จะไปไหน” ชิตตะวันดึงสายตากลับไปยังเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก็ไม่คิดว่าวันนี้เบิกฟ้าจะกลับบ้าน เนื่องจากเจ้าตัวบอกว่าจะไปทำรายงานที่หอเพื่อนแล้วจะค้างที่นั่นเลย เขาเลยไม่ได้บอกเรื่องของคณิต
“ไปหาที่อยู่ใหม่” เบิกฟ้าตอบ พลางเดินดุ่มๆ ไปที่ประตู ในใจของเด็กหนุ่มคิดแต่ว่าจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“มีเงินหรือไง” ชิตตะวันเดินไปคว้าแขนคนตัวเล็กไว้
“ไม่มี แต่ที่อยู่ฟรีก็มีเยอะ มีคนยินดีให้กูอยู่ฟรีอีกหลายคน ไม่ได้มีมึงคนเดียวซะหน่อย” 
“ปากดี เดี๋ยวจะโดนดี เอากระเป๋าไปเก็บ” 
“ไม่! กูจะไป”
คนนอกเหตุการณ์มีสะดุ้งพอสมควร คณิตไม่คิดว่าเด็กหนุ่มหน้าใสจะฝีปากแรง ใช้ ‘มึงกู’ กับผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าหลายปี
“จะเอาไปเก็บดีๆ หรือต้องให้ทำอย่างอื่น” คนอายุมากกว่าขู่ เด็กหนุ่มที่ตาขวางอยู่แล้ว ยิ่งขวางขุ่นขึ้นอีก ปลดกระเป๋าใหญ่ออกจากหลัง แล้วเหวี่ยงฟาดใส่คู่กรณีทันที ชิตตะวันถึงกับเซ
“อยากให้เอาไปเก็บนัก มึงก็เอาไปเก็บเอง แต่กูจะไป” ว่าแล้วก็ก้าวฉับๆ ออกนอกประตูไป
“แสง!” ชิตตะวันคำรามตามหลัง ก่อนจะตามออกไปในสภาพหงุดหงิด 
เมื่อครู่กรณีเปลี่ยนสถานที่เคลียร์จากในบ้านเป็นนอกบ้าน ครั้นจะให้คณิตนั่งอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ใช่นิสัยโดยแท้จริงของตน ทนนั่งติดเบาะไม่ถึงสองนาที คณิตเลยย่องเงียบตามไปดูทั้งสองคนที่ยืนยื้อยุดฉุดกระชากกันด้วยบทสนทนาที่ดังพอประมาณ แต่ไม่มากพอที่จะเผื่อแผ่ไปให้เพื่อนบ้านได้บันเทิงร่วมไปด้วย
แล้วสิ่งที่คณิตเกาะประตูมองไปเห็นคือ...
เหี้ยแล้ว!
เคลียร์กันด้วยเสียงไม่พอใช่ไหมไอ้ชิต! ...ไหงมึงต้องลากเข้าไปเคลียร์ในรถป้ายแดงด้วยวะ
ท้องฟ้าว่ามืดแล้ว แต่กระจกรถคันใหญ่ยิ่งมืดกว่า คณิตพยายามคิดในแง่ดีว่าเจ้าของบ้านกลัวเสียงโวยวายที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ของฝ่ายที่เด็กกว่า ว่าจะดังไปรบกวนเพื่อนบ้านให้รำคาญ เลยลากไปเคลียร์ในรถที่มีห้องโดยสารกว้างขวางเหมาะกับกิจกรรมบันเทิงหลายชนิด
เกาะขอบประตูเพ่งสายตาดูเหตุการณ์ในรถนานหลายนาที จากเสียงก่นด่าที่เล็ดลอดออกมาเบาแสนเบานั้นได้เงียบหายไป จนทั่วบริเวณเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงของค่ำคืนในตัวเมืองต่างจังหวัด  ไม่มีเสียงเครื่องยนต์วิ่งผ่านให้หนวกหู เพราะบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในซอยตันและเป็นหลังเกือบสุดท้ายด้วย
ภายในความเงียบสงบที่คณิตเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความอยากรู้อันใกล้เคียงกับความเสือกตามนิสัยเดิมของตน ไม่นานนักความคิดในแง่บวกก็โดนตีแสกหน้า ภายในห้องผู้โดยสารตอนหลังทำท่าว่าจะมีกิจกรรมบันเทิงเกิดขึ้น!
เหี้ยชิต!!
รถมันไม่ใช่ที่รโหฐานนะเว้ย
เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่
คณิตไม่นึกอยากเสือกกับกิจกรรมภายในห้องผู้โดยสารของรถสีดำคริสตัลอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะช่วยให้หนุ่มน้อยหน้าใสลดความอับอายฟ้าอับอายดินลงบ้าง ด้วยการขยับเท้าแผ่วเบาไปที่สวิตช์ไฟ จิ้มนิ้วกดลงไป เสี้ยววินาทีนั้นจึงเหลือแต่สว่างจากดวงจันทร์บนฟ้าเพียงอย่างเดียว
ทันทีที่ละมือจากปุ่มสวิตช์ไฟ คณิตแว่วได้ยินเสียงก่นด่าที่น่าจะดังก้องห้องโดยสารแต่เล็ดลอดออกมาเพียงแผ่วเบา แล้วเงียบหายไปเลย
อ้อ...แล้วก็เสียงอะไรสักอย่างที่โขกเข้ากับกระจกรถอีกสองทีมั้ง

คณิตหันหลังกลับเข้าบ้าน เดินขึ้นไปอาบน้ำในห้องนอนแขก ที่ชิตตะวันบอกตั้งแต่ตอนกลางวันที่เขามาถึงว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน อาบน้ำเสร็จก็ลงมาหาอะไรใส่ท้องเพราะความหิวเล่นงาน ความจริงหิวตั้งแต่เห็นกล่องข้าวแล้ว แต่ทนหิวเอาไว้ก่อน อะไรที่ทำให้เขาต้องทนหิวน่ะเหรอ...ก็ใครมันจะกินข้าวลงเล่า ในเมื่อมีคนกำลัง ‘ตั้ม’ กันในรถที่จอดอยู่ข้างตัวบ้าน
แต่ตอนนี้มันหิวจัดไง ทนไม่ไหวแล้ว และสองคนในรถคันใหญ่คงจะใกล้จบกิจกรรมเข้าจังหวะแล้วมั้ง นี่เขาเผื่อเวลาให้ชิตตะวันถึงสองยกเลยนะเว้ยถึงลงมาเนี่ย 
คณิตเดินไปที่โต๊ะอาหาร ยังไม่ทันเปิดดูว่าเจ้าของบ้านซื้อข้าวกล่องเมนูไหนมาให้ ชิตตะวันก็เดินหน้าตามีความสุขนำเข้ามาเสียก่อน มีเด็กน้อยหน้าตาหงิกงอเดินตามหลังมาห่างๆ มองจากสภาพการเดินของเด็กแสงแล้ว ปากเจ่อซะขนาดนั้น รวมถึงรอยฟันบนต้นคอขาวนั้นอีก ปากมันก็ขยับไปตามสิ่งที่คิดทันที
“ซาดิสม์นะมึง” พูดเองก็สะอึกตรงหัวใจ ไอ้คนที่ทิ้งเขาไปแล้ว มันก็ซาดิสม์เหมือนกันนี่หว่า
ชิตตะวันหัวเราะเบาๆ เป็นเชิงรับ พลางขยับเก้าอี้ให้เบิกฟ้าที่เดินตามหลังมาได้นั่งง่ายขึ้น
“เด็กมันชอบ”
“ชอบเหี้ยมึงสิ” ค้อนตาคว่ำแล้ว เบิกฟ้าก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งให้เบาที่สุด ส่วนล่างด้านหลังจะได้ไม่กระทบกระเทือนมาก ในใจนึกก่นด่าคนที่ทำให้เขาตกอยู่สภาพร่างกายส่วนล่างสะบักสะบอม ระบมร้าวไปหมด ยังไม่นับอาการปวดหลังอีกนะ ในรถก็มีพื้นที่แค่นั้น ไอ้คนหื่นมันยังอยากจะเล่นเขาทุกท่า ถึงจะด่าไปเยอะจนเสียงแหบแห้งแล้วก็ตาม คนอย่างชิตตะวันก็ไม่สำนึก กลับชอบใจที่ทำเขาเจ็บและยอมแพ้ได้
“ด่าแล้วหน้าแดง ไอ้ห่าชิตคงกลัวหรอกนะน้อง ด่าแล้วต้องแถมของ...” มือคณิตคว้าของที่ใกล้มือที่สุดคือกล่องทิชชูขึ้นมา ก่อนจะปาใส่หน้าชิตตะวันเต็มแรง ชิตตะวันซึ่งกำลังเผลอมองแก้มแดงของเบิกฟ้าเพลินจึงโดนไปเต็มหน้า
“เล่นอะไรเนี่ยหนึ่ง ชิตเจ็บนะ” ชิตตะวันทันเห็นกล่องทิชชูลอยข้ามฝั่งมาแค่เสี้ยววินาที ไม่มีเวลาให้ทันหลบหลีก มันจึงกระทบกลางหน้าเต็มๆ เป็นที่สนุกสนานของคนปา ส่วนอีกคนที่เหลือก็ไม่พ้นหัวเราะสะใจ ก่อนจะหยุดลงดื้อๆ
เบิกฟ้าสะดุดกับคำเรียกขานของชิตตะวันที่ให้กับอีกฝ่าย และยังแทนตัวเองด้วยชื่ออีก...ความน้อยใจตีรวนทันที แต่ต้องนั่งทนฟังคนทั้งคู่คุยกันเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“กูไม่ชอบเห็นเด็กน้อยโดนเสือหื่นอย่างมึงเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวเว้ย...มือมี ตีนมี ก็อย่าปล่อยให้มันรังแกมากนัก เดี๋ยวมันจะได้ใจ เล่นเราไม่หยุด” ท้ายๆ คณิตหันมาแนะนำหนุ่มน้อยจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง
“ปากนะครับหนึ่ง ระวังจะโดนเล่นซะเอง” ชิตตะวันว่าขำๆ ไม่ได้นึกรู้เลยว่ามีคนนั่งจับผิดคำพูดของตนทุกคำ พลางจัดแจงข้าวกล่องบนโต๊ะที่สั่งให้พ่อครัวของโรงแรมทำให้แบบง่ายๆ กับกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยดำของชอบของคณิตอีกกล่องใหญ่ออกมาจากถุง ดีนะที่เขาสั่งให้ทำข้าวผัดทะเลกล่องใหญ่มาเผื่อความหิวรอบดึกด้วย ไม่อย่างนั้นอาหารคงไม่พอสำหรับผู้ชายสามคนหรอก ต้องขับรถออกไปซื้อเพิ่มแน่ ซึ่งความอร่อยของร้านอาหารตามสั่งแถวนี้ ไม่อยากจะพูดเลยว่าเขาทำเองยังอร่อยกว่ามาก
“มีของชอบของหนึ่งด้วยนะ” ชิตตะวันนำเสนอ
“มีกุ้งทอดกระเทียมด้วย สุดยอดว่ะ รู้ใจกูจริงๆ” คณิตพูดตาวาวเพราะถูกใจ ยิ่งเห็นกุ้งตัวโตแล้วด้วย ยิ่งถูกใจหนักมาก
“ชิตไปเอาจานให้”
ชิตตะวันทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี ชายหนุ่มลุกเดินไปหยิบจาน ช้อน และส้อมในห้องครัว ครั้นกลับออกมาก็พบว่าบรรยากาศดูอึมครึม อารมณ์น้อยใจของคนบางคนลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
เจ้าของบ้านหันไปหาแขก ไม่ได้ถามด้วยปากแต่ใช้สายตาถามแทน คณิตส่ายหน้า ทำหน้างงแตกเป็นคำตอบ คณิตจะรู้ได้ไงเล่าว่าเด็กน้อยหน้าใสเป็นอะไร พอชิตตะวันเดินหายเข้าไปในห้องครัว หน้าเด็กแสงก็เป็นแบบนี้แล้ว
“เป็นอะไร ไม่พอใจอะไรอีก” ชิตตะวันถามพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่ม หลังจากส่งอุปกรณ์การกินให้คณิตเรียบร้อยแล้ว “ไม่บอกแล้วกูจะรู้ไหมห๊ะ” เขาใส่อารมณ์นิดหน่อย ก็คนมันใช้พลังงานไปเยอะตอนอยู่ในรถเลยรู้สึกหิวเป็นพิเศษ แต่เบิกฟ้ามาเป็นซะแบบนี้ นั่งทำหน้าบึ้งหน้าตูม ปากหงิกงอ พร้อมประกาศสงครามประสาทอีกครั้ง
ถ้าจะให้เดาความคิดของเบิกฟ้าละก็ ชิตตะวันขอยอมแพ้ อารมณ์เจ้าเด็กนี่แปรปรวนยิ่งกว่าลมฟ้าอากาศซะอีก เห็นหน้าตาน่ารัก ดูว่านอนสอนง่าย ความจริงคือมันไม่ง่ายเลย บอกให้มันไปซ้าย มันก็ไปขวา บอกว่าไม่ มันจะเอาให้ได้ บอกให้เงียบ มันก็เถียงจนเส้นเลือดในสมองเขาเกือบแตกทุกที ที่เอาชนะมันได้ทุกวันนี้ก็หลักการเดียวเลยคือ...ลากขึ้นเตียง จัดการปอกเปลือก แล้วกิน มันถึงจะสงบปากสงบคำลงได้ 
“แล้วใครอยากให้มึงรู้วะ” เมื่อถูกว่า เบิกฟ้าก็สวนกลับเสียงสะบัด อารมณ์น้อยใจคับอกจวนระเบิด เบิกฟ้าไม่ได้อยากเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนสำคัญของชิตตะวันหรอก แต่มันอดไม่ได้ไงเล่า คิดดู คำพูดคำจาที่ชิตตะวันมอบให้คนที่บอกเขาในรถว่าเป็นแค่เพื่อนสิ แทนตัวเองว่า ‘ชิต’ งี้ เรียกอีกฝ่ายว่า ‘หนึ่ง’ งี้ มันน่าน้อยใจไหมล่ะ
สาบานได้ว่าเขาไม่ได้โกรธหรือโทษคณิต เพราะคนที่ถูกรักอย่างคณิต ไม่ใช่คนที่เขาควรโกรธหรือเกลียด เขามีเหตุผลพอน่า แต่กับอีกคน เบิกฟ้าไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล ใช้อารมณ์อย่างเดียวเลย แตกหักกันไปก็ได้ เขาพร้อม!
“หึงกูกับหนึ่งว่างั้น” ชิตตะวันลองเดาอารมณ์เด็กน้อยดูสักครั้ง ขืนนั่งรอเบิกฟ้าบอก ใกล้เข้าโลงมันก็ไม่ยอมบอกเขาหรอก ดูท่ามันตั้งใจชวนเขาทะเลาะเต็มที่ สงสัยเขาจะเดาถูก เพราะตาลูกเล็กแทบจะถลนออกมาจากเปลือกตาชั้นเดียว ปฏิเสธเสียงแปดหลอดกลบเกลื่อนใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัด
“กูไม่ได้หึง!”
“หึงที่กูพูดเพราะกับคนอื่น”
“ไม่ได้หึง!!”
“หึงแน่ๆ” แกล้งเด็กเป็นอีกเรื่องสนุกของชิตตะวัน พอเดาถูก อารมณ์ของชิตตะวันเลยดีขึ้น ชายหนุ่มหยิบจานพร้อมช้อนและส้อมไปวางตรงหน้าเบิกฟ้า อีกฝ่ายรีบผลักออกไปให้พ้นตรงหน้าตัวเอง ซึ่งก็แทบจะตกขอบโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง
“ของแตกหนึ่งชิ้นเท่ากับหนึ่งวันที่มึงลุกจากเตียงไม่ได้ ไม่น่าจะลืมนะ กูย้ำไปหลายรอบแล้วนี่” รอยยิ้มเหี้ยมแฝงรอยหื่นกระหาย กับคำขู่ที่ไม่ได้เป็นคำขู่แต่อย่างใด เพราะมันเคยเกิดขึ้นแล้ว เบิกฟ้าเลยต้องเอื้อมไปหยิบจานกลับมาไว้ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง
“หรือกูควรเพิ่มกฎอีกข้อดี” คนพูดหรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ “วันไหนที่มึงหึงกูแบบไร้สาระ วันนั้นกูจะให้น้องเบิกฟ้าแก้ผ้าเดินในบ้าน ดีไหม”
“ไอ้โรคจิต!” เบิกฟ้าแทบอยากฟาดจานกระเบื้องสีขาวใส่เจ้าของความคิดอุบาทว์ แต่ยั้งมือตัวเองไว้ทัน 
“เออว่ะไอ้ชิต มึงโรคจิตจริงๆ” คณิตรีบสนับสนุนคำพูดเด็กเบิกฟ้า หลังจากนั่งฟังคู่รัก (น่าจะใช่แล้วล่ะ) สนทนาเคลียร์ปัญหากันอีกรอบ โดยมีเขาเป็นประเด็นหลักอีกจนได้
และอีกเรื่องที่คณิตนึกแปลกใจ ชีวิตเขาทำไมถึงได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อนั้นมีคำว่า ‘ฟ้า’ เยอะนักนะ ทั้งสีฟ้า น้ำฟ้า และนี่ยังมีเบิกฟ้าโผล่มาอีกคน แต่ละคนก็ล้วนเป็นคนรักของคนที่เขารู้จัก แอบคิดว่าต่อไปจะเจอใครที่มีคำว่า ‘ฟ้า’ อยู่ในชื่ออีกบ้าง   
“เด็กจะได้เลิกหึงอะไรไร้สาระไง อยู่กับมัน ผมชิตหงอกไม่รู้กี่เส้นแล้วเนี่ย” ชิตตะวันหันไปบอกคณิต ชายหนุ่มไม่ได้พูดเกินจริง อิทธิฤทธิ์ของเบิกฟ้าเยอะไปหมด เบิกฟ้าเป็นเด็กเอาแต่ใจและขี้โมโหง่าย เวลาโกรธหรือโมโหเขาขึ้นมา อะไรอยู่ใกล้มือมันจับเขวี้ยงใส่เขาหมด เขาถึงต้องตั้งกฎขึ้นมาปราบถึงจะเบาฤทธิ์ลงได้บ้าง   
“กูไม่ได้หึง ไม่มีความจำเป็นต้องหึงด้วย ในเมื่อกูกับมึง...ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” คราวนี้เบิกฟ้าปฏิเสธเสียงอ่อนหลง ยิ่งแผ่วลงในประโยคสุดท้าย มันเป็นความจริงที่จี๊ดหัวใจดีเหลือเกิน ก็เขาอยู่ในฐานะเด็กบนเตียงของชิตตะวัน เงินในกระเป๋าทุกบาทก็ไม่ได้มาจากพ่อแม่ แต่เป็นของคนที่รับเลี้ยงดูเขาตลอดจนกว่าจะเรียนจบ
“ยังไม่เลิกหึงอีก” ชิตตะวันหันทั้งตัวมาถาม
“กูปะ...อื้ออ...” พูดได้ไม่เต็มคำ ต้นคอที่มีริ้วรอยแดงจากกิจกรรมในรถก็ถูกมือใหญ่กระชากเข้าไปหา ก่อนอีกฝ่ายจะบดริมฝีปากเข้าหากลีบปากเขา ครั้นพอดิ้นเพื่อให้หลุดก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากมือใหญ่ล็อกคอเขาไว้แน่น ซ้ำออกแรงบีบไม่ให้ขัดขืนอีกด้วย ปากก็กดหนักขึ้น จนต้องรีบผ่อนแรงดิ้นของตัวเองลง ลิ้นร้อนรุกเข้ามาเพราะเขาเปิดทาง เกี่ยวพันกันเหมือนบนโต๊ะอาหารมีแค่สองคน นานเข้าก็เหมือนร่างกายมันร้อนเป็นไฟ ต้องการอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยตลอดสองสามเดือนมานี้ สิ่งที่ไม่เคยขาดทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
ภาพที่เห็นทำเอามือที่กำลังตักกุ้งเข้าปากชะงักอย่างตะลึง ไม่ใช่ไม่เคยเห็นผู้ชายจูบกัน คณิตเห็นภาคีกับสีฟ้าออกบ่อย ส่วนตัวเองก็ไม่ใช่ไม่เคย แต่ทำไมเล่า ทำไมต้องอ้าปากค้างราวกับดูฉากสยองขวัญตอนตีหนึ่ง
แม่ง! ปรับองศากันสนุกเลยนะ เกรงใจแขกบ้างไหม คณิตได้แต่นึกถามในใจ เพราะยังไม่กล้าทำลายเลิฟซีนดุเดือดแบบไม่อายใครของชิตตะวันกับเบิกฟ้า

V
V
อ่านต่อกระทู้ล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 24 UP 15-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 15-07-2017 22:52:06
นานเหมือนผ่านไปสักสิบปีได้กระมัง คณิตถึงเห็นปากของคนสองคนละออกจากกัน เอ่อ...มันมีน้ำลายด้วย ไม่ได้รังเกียจนะเว้ย แต่ต้องรีบเอากุ้งคืนจานเลยทีเดียว
เป็นชิตตะวันที่ดึงกระดาษทิชชูเช็ดคาบน้ำลายให้เบิกฟ้าที่พยายามจะก้มหน้าหนีสายตาคนร่วมโต๊ะ หน้าแดงยิ่งกว่าผลเชอร์รีสุก ปลายนิ้วชี้ของชายหนุ่มร่างใหญ่ดันคางเล็กให้เงยขึ้นมาสบตากัน เจ้าของใบหน้าปัดนิ้วนั้นทิ้ง ซ้ำยังก้มหน้าลงอีก ปลายคางจะชนอกแล้วมั้ง ชิตตะวันจึงเปลี่ยนมาใช้ทั้งมือจับคางบังคับให้ใบหน้าเงยขึ้นมาแทน
แววตาเด็กน้อยสั่นไหวสะท้อนความเคอะเขินที่นานครั้งเจ้าตัวจะแสดงออกมาให้ชิตตะวันเห็น นานครั้งได้เห็นที มันก็ทำให้ยิ่งรู้สึก...รัก
คิดว่า...นิยามความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่ผิดหรอก เบิกฟ้าเข้ามาในจังหวะที่ดี และตัวมันเองก็ทำให้เขาหลงรักมันได้ง่ายๆ โดยที่มันไม่รู้ตัว เพราะมันเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กป๋า มีค่าแค่เรื่องบนเตียง แล้วมันยังชอบเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้ชายที่เห็นในรูปถ่ายที่เขาเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานอยู่เสมอ
ได้เวลาเคลียร์ให้มันเข้าใจซะที เขาจะได้ปวดหัวน้อยลง แม่ง...คบเด็กมันสดชื่นหัวใจก็จริง แต่กำราบไม่ได้ก็อยู่อย่างปวดหัวให้เส้นเลือดในสมองแตกไปเถอะ
“เมื่อกี้ก็พูดไปแล้วนะว่าหนึ่งเป็น ‘คนอื่น’ สำหรับกู แต่มึงคือคนที่กูเลือกพาเข้ามาในชีวิต มึงมีความสำคัญมากกว่าคนอื่นนะ” เป็นครั้งแรกที่ชิตตะวันใช้คำพูดบอกแทนการกระทำ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เบิกฟ้าแม้จะเข้ามาด้วยเงื่อนไขและความบ้าชนิดไหนก็ตาม แต่ท้ายแล้วเขาก็ชอบที่จะมีเด็กคนนี้อยู่ในสายตา
เขาหลงรักที่มันดื้อไปเสียทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องบนเตียงที่มันชอบบอกว่าทำตามหน้าที่ ขอเท่าไร มันก็ให้เท่านั้น มันไม่เคยอิดออด มีแต่สนองให้สมกับเงินที่มันได้จากเขา มันทำให้เขาพอใจได้มากกว่าใคร มันจับคนในหัวใจเขาโยนออกไปได้เพียงเวลาไม่นาน
“กูจะเชื่อมึงได้ไง ในเมื่อมึงพูดเพราะกับพี่เขาทุกคำ กับกูนี่ มึงกูตลอด” ถึงจะเคลิ้มไหวไปกับคำพูดของชิตตะวัน แต่เบิกฟ้าก็มีข้อโต้แย้งอยู่ดี 
“ก็กูพูดกับหนึ่งแบบนี้มาตลอด จะให้เปลี่ยนมาใช้มึงกู เพราะหนึ่งมันหมดความสำคัญกับกูไปแล้วนี่นะ มันใช่เรื่องไหมล่ะ”
“ก็มึงยังแคร์ ยังรักเขาอยู่ไง” ขอเถียงอีกนิดเถอะ ก็มันค้างคาใจนี่น่า
“การที่กูเอามึงในรถ หรือจูบมึงต่อหน้าเขา ถ้าฉลาดมึงก็น่าจะรู้ได้แล้วนะ ว่ากูกำลังบอกมึงว่า เขาไม่ได้มีความหมายกับหัวใจกูอีกแล้ว กูไม่ได้รักมัน เพราะกูมีมึง ไอ้เด็กขี้โมโหอย่างมึงเนี่ย กูหลงรักเข้าไปได้ยังไงวะ” ชิตตะวันยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ทำท่าระอาที่เด็กน้อยไม่ฉลาดเอาซะเลย “กูรักมึง เลิกหึงงี่เง่าได้แล้ว เสียเวลากินข้าว ยิ่งหิวๆ อยู่ด้วย”
เด็กขี้หึงกลั้นยิ้มไว้ไม่ให้ออกนอกหน้า เพราะยังมี ‘คนอื่น’ อยู่ด้วย คนอื่นเลยมีโอกาสได้พูดบ้าง หลังนั่งอมน้ำลายอยู่นาน
“โหวววว...ไอ้คุณชิตตะวัน พูดซะกูอยากไสหัวไปให้พ้นหน้ามึงตอนนี้เลยว่ะ นี่มึงหมดรักกูง่ายๆ เชียว” คณิตแกล้งถาม ทว่ามันเหมือนปลายมีดแหลมที่ย้อนมาปักกลางอกของตัวเอง เจ็บจี๊ดอีกแล้ว
เฮ้อ...ถามเขาแต่ตัวเองดันมาเจ็บเอง
ชิตตะวันเคยบอกว่ารักเขามาก แต่ตอนนี้มันไม่ได้รักเขาแล้ว ไม่ต่างกับอีกคนที่ทำทุกอย่างให้ได้เขามาไว้ในกำมือ ทำทุกอย่างให้เขายินยอมพร้อมใจและรักไปแล้ว สุดท้ายก็ทิ้งเขาเหมือนสิ่งของไร้ค่า ทิ้งได้อย่างง่ายดาย
“รักได้ มันก็ต้องเลิกได้จริงไหมครับหนึ่ง ในเมื่อชิตเจอไอ้เด็กขี้โมโหคนนี้แล้ว” ชิตตะวันก็พยักหน้าไปทางไอ้เด็กขี้โมโห ที่ตอนนี้มือไม้ดูจะเกะกะไปหมด ไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหน
“มึงไม่ต้องย้ำก็ได้ กูซึ้งกับมันเยอะพอแล้ว ไอ้ที่ว่ารักได้ก็ต้องเลิกได้เนี่ย เฮ้อ...” พูดแล้วคณิตก็ถอนใจยาว “กูขอนอนบ้านมึงคืนหนึ่งนะ พรุ่งนี้กูก็กลับแล้ว” คณิตตั้งใจมาหาชิตตะวันด้วยความหวัง หวังว่าชิตตะวันยังคงต้องการเขาอยู่ อย่างน้อยความต้องการของชิตตะวันก็ทำให้เขารู้สึกกลับมามีคุณค่าอีกครั้ง หลังจากความรู้สึกนั้นถูกทุบทิ้งเพราะใครอีกคนหนึ่ง
...แต่แล้วก็พบว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการเอาซะเลย!
“ชิตรู้ว่าหนึ่งไม่มีที่ไป ถึงได้ขับรถมาหาชิต ถ้าไม่มีที่ไปก็อยู่ด้วยกันก่อน เพราะเด็กมันคุยรู้เรื่องแล้ว ใช่ไหม?” ท้ายประโยคชิตตะวันหันไปถามเด็กขี้โมโห อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับคำ
“กูถูกทิ้งว่ะ แม่ง...อยากร้องไห้ แต่กูร้องไม่ออก ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไร” คณิตปล่อยเรื่องของตัวเองออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเทข้าวกล่องเย็นชืดใส่จาน ไม่มีอารมณ์จะเอาไปอุ่นให้ร้อน ปากก็ขยับพูดไปเรื่อยๆ “มันทิ้งกูง่ายๆ เลยนะเว้ย ทำเหมือนกูไม่มีหัวใจ ตอนอยากได้กู มันทำทุกทางให้ได้กู แม้แต่ข่มขืนกู มันก็ทำ มึงก็เห็น กูหนีมันไปสองรอบ มันก็ตามเจอทั้งสองรอบ แต่พอ...พอกูรักมันแล้ว มันกลับทิ้งกู เทกูทิ้ง...เหี้ยไหมล่ะมัน”
“เหี้ยจริงครับพี่” เบิกฟ้าเห็นด้วย พร้อมจะมีอารมณ์ร่วมไปกับเจ้าของเรื่อง “มันทำแบบนี้กับพี่ได้ไง ข่มขืนยังไม่พอ ยังหลอกให้พี่รักแล้วทิ้งไปอีก เหี้ยเรียกพ่อแล้วครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก อย่าอินเกิน” ชิตตะวันหันไปปรามเด็กหนุ่มที่อารมณ์กำลังมา ไม่อยากให้เบิกฟ้าอินกับเรื่องของคณิตมากนัก เดี๋ยวจะกลายมาเป็นภาระเขาทีหลัง ยิ่งชอบคิดเองเออเองอยู่ด้วย ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าสักวันเขาจะทิ้งเจ้าตัวก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ ยิ่งเบิกฟ้าแม่งคิดอะไรเหมือนคนอื่นซะที่ไหน
“ไม่เด็กแล้วโว้ย โตจนมีผัวแล้วเนี่ย” เจ้าตัวขี้โมโหสวนกลับ แล้วหันไปคุยกับคณิตต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง เคร่งเครียดด้วยเรื่องของตัวเอง “หรือผมต้องเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ว่าไม่แน่อาจโดนพวก ‘รักได้ก็เลิกได้’ เททิ้งตอนที่มันเบื่อผมแล้ว”
นั่นไง เป็นอย่างที่ชิตตะวันคิดไว้ไม่ผิด เบิกฟ้าเริ่มเพ้อไปไกลแล้ว ความช่างคิดของมันทำเขาปวดหัวได้ตลอดสิน่า
“เออ! น้องเตรียมตัวไว้เลย แม่งผู้ชายมันก็เหี้ยเหมือนกันหมด!” คณิตก็ผสมโรงเข้าไปด้วย
“ใช่! ผู้ชายมันเหี้ย!!” เบิกฟ้าใส่อารมณ์เต็มที่ ราวกับว่าตัวเองโดนทิ้งเป็นที่เรียบร้อย
“ใช่! เหี้ย!!” คณิตก็ใช่ย่อย ใส่อารมณ์ทับเข้าไปอีก
“ผู้ชายมันเหี้ย! เหี้ยหมดโลก!”
“เหี้ยมาก! แม่งดีแต่มีไอ้เจี้ยว!”
“ใช่พี่! แม่งชอบใช้เจี้ยวคิดแทนสมอง ถ้ามันมาเหี้ยใส่ผมเมื่อไรนะ อย่าให้เผลอ ผมตัดเจี้ยวของมันไปประจานบนเฟซแน่ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเบิกฟ้า”
“อย่าลืมส่งรูปตอนตัดลูกมันมาให้พี่ด้วยนะ พี่จะได้ช่วยประจานอีกแรง เอาให้ผู้ชายเหี้ยๆ ดูเป็นตัวอย่าง ว่าอย่าได้เล่นกับคนอย่างพวกเรา”
 “เดี๋ยวก่อนนะหนึ่ง มึงก็ด้วย ลืมไปหรือเปล่าว่าก็เป็นผู้ชาย” ชิตตะวันส่ายหน้าขำปนระอาใจ สองคนนี้ ไม่เมาก็เหมือนเมา   
 “แม่ง! ก็ผู้ชายมันเหี้ยหมดกันหมดทุกคนไง แต่กูกับน้องเบิกฟ้า ไม่เหี้ยเว้ย ใช่ไหมไอ้น้อง” คณิตถามพวกร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เขารู้สึกสบายใจขึ้น ยามได้ระบายคำด่าออกมาเรื่อยเปื่อย จริงบ้าง เว่อร์บ้าง มันได้ความสะใจไม่น้อยเลย
“ครับพี่หนึ่ง เราสองคนแม่งเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่ผู้ชายเหี้ยมันเลวไงครับ มันรักเดียวใจเดียวไม่เป็น ได้ซั่มแอนด์ตั้มเราแล้ว พอเบื่อ มันก็เท ทำเหมือนเราเป็นถุงยาง สุขสมอารมณ์ใคร่แล้ว แม่งก็โยนทิ้ง!!”
“พอได้แล้วไอ้เด็กเหี้ย คิดไปถึงดาวไหนวะ ด่าเหี้ยอยู่ได้ กูไปเอาคนอื่นนอกจากมึงรึยัง...ก็ยัง หรือกูบอกเลิกมึงหรือไง...ก็เปล่า หยุดจินตนาการไร้สาระแล้วกินข้าวซะ” ด่าแล้วก็เทข้าวในกล่องใส่จานให้ไอ้เด็กเหี้ย ก่อนจะเทพะแนงเนื้อในถุงเล็กลงไปราดบนข้าวให้อีกครั้ง เมนูนี้เขาสั่งกะมากินเอง แต่พอเบิกฟ้ามาร่วมโต๊ะด้วย เลยต้องเสียสละให้เด็กมันไป เพราะเบิกฟ้าชอบกินเนื้อมาก
แต่มันก็ยังไม่เลิกด่าเขา มันน่าจับสั่งสอนอีกสักรอบดีไหม
“พี่หนึ่งดูสิ! ขนาดมันเพิ่งบอกว่ารักผมเองนะ มันยังด่าผมว่าไอ้เด็กเหี้ยเลย แล้วตอนมันไม่รักผมขึ้นมาล่ะ แม่ง มันไม่ไล่ผมอย่างกับหมูกับหมาหรือไงวะ แม่งเหี้ยว่ะ! เอาไปไกลๆ เลยนะ กูไม่กิน ไม่หิว เชิญมึงกินคนเดียวเลย!”
โอ้ย...ชิตตะวันจะบ้าตายกับความบ้าบอคอแตกของเด็กขี้โมโห มันกินอะไรผิดสำแดงมาหรือไงวะ ไม่น่าจะใช่ ที่มันโวยวายจนน่าถีบ เพราะมีตัวทำเคมีที่เพิ่งอกหักมาต่างหาก
“อย่าให้โมโหนะแสง ไม่งั้นมึงเจอดียิ่งกว่าตอนในรถแน่” ชิตตะวันขู่เสียงเข้ม คิดว่าน่าจะได้ผล กลับผิดคาด พอมีพวกละปีกกล้าขาแข็งอีกเท่าตัว มันไม่กลัว แถมบ้าขึ้นอีก
“เอาเซ่!! อยากทำจนก้นกูฉีก หมอไม่รับเย็บก็เอาเลย หรือจะให้กูลุกไม่ขึ้นไปสิบวันสิบปีก็เอาสิ ใครจะไปสู้กับตัวเหี้ยได้ แม่งมึงมันเหี้ย! รักประสาอะไรวะ ด่ากูทุกคำ...ผมอยากเมาว่ะพี่หนึ่ง ไปกันไหม ไปดื่มให้ลืมตัวเหี้ยที่มันกำลังจะทิ้งผม”
“จัดไปไอ้น้องแสง ดื่มให้ลืมเหี้ย แล้วก็ไปหาเหี้ยตัวใหม่กัน” คนถูกชวนตอบรับทันที อยากได้แอลกอฮอล์มาล้างแผลใจเหมือนกัน หาผู้ชายในผับสักคนสองมาควงเล่น เผื่อจะลืมตัวเหี้ยบางตัวได้ เมื่ออชิตะไม่ต้องการเขา มันก็ต้องมีใครสักคนต้องการเขาละน่า
“จัดไปพี่ ไปหาเหี้ยตัวใหม่กัน โยกเสร็จจะได้โขลกต่อ อ้อ...ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง มันหล่อเว่อร์วังมากพี่หนึ่ง เห็นแล้วพี่จะตะลึงจนพูดไม่ออก พวกรับอยากได้มันทุกคน แม้แต่พวกรุกบางคนก็อยากเสนอตัวเป็นรับให้มันเลยนะ แต่ไอ้เหี้ยนี่ มันเรื่องมาก หล่อเลือกได้ไง ไม่ถูกใจจริง มันไม่สน แต่หน้าอย่างพี่ สเปกมันเลยนะ ผมเห็นหน้าแบบพี่นี่แหละที่มันควงเกือบครึ่งปีเลย นานกว่าคู่ขาทุกคนของมัน ดูรูปก่อนก็ได้ เผื่อพี่ชอบ ผมจะได้โทรนัดให้มันมาเจอที่ผับ” ว่าแล้วเบิกฟ้าก็ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา วิ่งแบบเจ็บตูดไปนั่งข้างคณิต เปิดหน้าจอโทรศัพท์ หารูปเพื่อนสนิทที่เอ่ยถึง เจอแล้วก็ยื่นให้คนอายุมากกว่าดู
“ถูกใจเปล่าพี่ ถ้าพี่สนนะ ผมจัดการให้มันสนองพี่ได้คืนนี้เลย” 
คณิตหรี่ตามองรูปบนหน้าจอ รูปเด็กนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคที่ดูตัวใหญ่กว่าอายุ หน้าตาคมเข้มด้วยคิ้วหนา ปากหยักได้รูป จมูกโด่งมาก ดวงตาดุดันแต่ก็มีแววซุกซนอย่างคนเจ้าชู้ จัดว่าหล่อเว่อร์วังชนิดที่รุกบางคนอยากเสนอตัวเป็นรับให้อย่างคำที่เบิกฟ้าบอกจริงทุกอย่าง แต่จะสะดุดก็ตรงที่...ไอ้เด็กอีกคนที่อยู่ในรูปด้วยนี่แหละ คือเบิกฟ้าไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม ในรูปเจ้าตัวถูกคนเป็นเพื่อนนั่งกอดจากด้านหลัง คางวางเกยอยู่บนไหล่เล็ก แถมไม่ได้ใส่เสื้อกันทั้งคู่ ตาเยิ้มแดงก่ำทั้งสองคน
“...แน่ใจนะว่า หน้าตาอย่างพี่เป็นสเปกเพื่อนเรา” คณิตเงยหน้าขึ้นถาม
“แน่สิพี่ มันคลั่งจะตายผู้ชายหน้าขาว ปากนิด จมูกหน่อย ยิ่งตาชั้นเดียวนะ มันจะชอบมาก มีลักยิ้มด้วยยิ่งเพอร์เฟก ไหนพี่มีลักยิ้มหรือเปล่า พี่ยิ้มสิ” เบิกฟ้าถือจังหวะจับหน้าคณิตมาใกล้ แล้วสั่งให้เจ้าของใบหน้ายิ้ม แล้วก็ต้องผิดหวัง เมื่อไม่พบสิ่งที่ต้องการหา “ว้า...พี่ไม่มีอ่ะ แต่ไม่เป็นไรมั้ง ของอย่างนี้มันหยวนกันได้” 
“พอ หยุดพากันไปนอกโลกซะที หนึ่งก็อย่าไปประชดชีวิตตัวเองแบบนั้น ไอ้เหี้ยนั่น มันไม่ได้มารู้สึกหรือเจ็บปวดกับหนึ่งหรอกนะ ทำร้ายตัวเองแค่ไหน มันก็ไม่รู้สึกแบบที่หนึ่งรู้สึก มีแต่หนึ่งที่จะเจ็บเรื้อรังไปตลอดชีวิต ชิตเป็นห่วงนะ”
“อืม ขอบใจที่เป็นห่วงกู แต่กูว่ามึงห่วงเด็กของมึงก่อนดีกว่านะ อะนี่ ดูซะ” พูดจบ คณิตก็ยื่นมือถือของเบิกฟ้าข้ามโต๊ะไปให้ชิตตะวัน อีกฝ่ายรับมาอย่างงงๆ ไม่ต่างจากเจ้าของเครื่องนัก
เบิกฟ้าเลยลุกกลับไปนั่งที่เดิมข้างชิตตะวัน ไปดูว่ารูปในมือถือของเขามีอะไรที่น่าเป็นห่วง เบิกฟ้าเชื่อว่ารูปทุกรูปของเขา ที่ถ่ายเองกับมือ หรือจะเพื่อนถ่ายให้ก็ตาม ปลอดภัย ไม่มีอะไรเสื่อมเสีย ไม่มีรูปโป๊ ไม่มีคลิปซั่มด้วย ไม่มีรูปเสพยา ซึ่งเขาก็ไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แล้วมีอะไรที่คณิตคิดว่าน่าเป็นห่วง
นั่งลงปุ๊บ เบิกฟ้าก็เห็นว่าชิตตะวันทำหน้าเครียดจัด คิ้วเข้มแทบจะผูกเป็นปมอาฆาตได้อยู่แล้ว
...มีอะไร?
“มึงแน่ใจใช่ไหมว่าแค่เพื่อน?” ชิตตะวันยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเบิกฟ้า ถามเสียงเหี้ยมเสียจนเบิกฟ้านั่งไม่ติดเก้าอี้ คือหน้าชิตตะวันดูโหดร้ายและพร้อมจะฆ่าเขาให้ตายคามือมาก
“นะ...แน่ใจ ก็...ก็มันเป็นเพื่อน หรือมึงจะให้มันเป็นพ่อกูล่ะ” ถึงจะปากคอสั่น แต่ท้ายประโยคเจ้าตัวก็ทำปากกล้าได้เหมือนเดิม
เบิกฟ้าไม่เห็นเข้าใจ ในรูปที่เห็นก็เป็นรูปเดียวกับที่เขาให้คณิตดู มันแค่รูปที่เขาให้เพื่อนร่วมวงเหล้าอีกคนถ่ายให้ วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม เลี้ยงฉลองกันในหอพัก แล้วแอร์ห้องเพื่อนดันเสีย ก็เลยแก้เสื้อดื่มเหล้ากันทุกคน ไม่เห็นมีอะไรที่ทำให้ต้องคิ้วกระตุกได้นี่หว่า
“เพื่อนบ้านมึง แก้เสื้อ นั่งซ้อนหลัง โอบเอว วางคางบนไหล่มึงนี่นะ”
“ก็เออสิ ก็เพื่อนกัน ผู้ชายด้วยกัน แก้ผ้าอาบน้ำมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเลยนะ” เบิกฟ้าอธิบาย ดูรูปอีกครั้ง ดูกี่ที ก็เพื่อนกันของแท้
...มีตรงไหนบอกว่าไม่ใช่เพื่อน
“เพื่อนมึงชอบแบบหนึ่งใช่ไหม?” ชิตตะวันเปลี่ยนมาตั้งคำถามแทนการโยนให้เด็กโง่คิด รอให้มันคิดได้เอง มีหวังรอไปถึงชาติหน้า บังเอิญเขาขี้เกียจรอ
“ก็ใช่สิ คนที่มันคบนานที่สุดก็หน้าตาแบบพี่หนึ่งนี่แหละ แล้วมันก็บอกกูว่า มันชอบผู้ชายหน้าใส ตัวขาว ตาชั้นเดียว ปากนิด จมูกหน่อย มีลักยิ้ม”
“งั้นมึงมองกล้องนะ แล้วยิ้ม ยิ้ม!”
“อะไรวะ ทำไมต้องตะคอกด้วย บอกดีๆ ก็ทำแล้วเถอะ” เบิกฟ้าบ่นงึมงำ แต่ก็ยิ้มสดใสใส่กล้อง
แชะ~
“มึงดู” ส่งรูปที่เพิ่งถ่ายให้เจ้าของมันดู ชี้หน้าจอให้เห็นเป็นจุดๆ “มึงตัวขาว มึงตาชั้นเดียว มึงปากเล็ก จมูกมึงก็เหมือนปั้นมาแล้วอย่างดี ปั้นเสร็จก็วางลงบนหน้ามึง แล้วมึงก็มี...ลักยิ้ม!”
“แล้วไง?” เบิกฟ้าก็ยังงงคงเส้นคงวา จนชิตตะวันถอนหายจะทิ้งอย่างแรง หมดคำพูดกับความโง่ปนซื่อของเบิกฟ้า ต้องโดนเสียบก่อนใช่ไหม มันถึงจะรู้ว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ คิดจะเสียบก้นงอนๆ แบบเต็มไม้เต็มมือของมัน พูดแล้วของขึ้น ก้นมันมีเขาเสียบได้คนเดียว คนอื่นอย่าหวัง!
ชิตตะวันหมดอารมณ์จะชี้ทางสว่างให้เด็กเบิกฟ้า คณิตเลยรับอาสาเอง
“เพื่อนน้องเคยกอดน้องไหม”
“ก็เคย มันบอกว่าตัวผมอุ่นดี ยิ่งตอนหนาวนะ มันก็ยิ่งชอบมากอด บอกให้ไปหาเสื้อกันหนาวมาใส่ มันก็ไม่ยอม” เบิกฟ้าตอบไปตามความจริง โดยไม่ระวังภัยที่จะมาถึงตัวเลย ถ้าหูดีกว่านี้ เด็กหนุ่มคงได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ของชิตตะวันเป็นแน่
“แล้วเพื่อนน้องเคยหอมแก้มน้องด้วยไหม”
“มันก็ทำเป็นประจำของมันนะพี่ แรกๆ ผมก็โวยวายแหละ เล่นเหี้ยอะไรของมัน  มันดันหัวเราะชอบใจ พอผมเลิกโวย มันก็เอาใหญ่ ตอนเมานี่อย่าให้พูด ทั้งปากทั้งน้ำลายเต็มหน้าผมหมด ไอ้นี่มันเมาแล้วชอบเลื้อย”
“เพื่อนคนอื่นล่ะ มีแบบนี้ไหม ที่ชอบกอดชอบจูบน้องน่ะ” คณิตยังถามต่อ ขณะที่ชิตตะวันหัวร้อนไปหมดแล้ว
“ไม่มีนะพี่ มีมันคนเดียวเลย”
“แล้วมันกอดจูบเพื่อนคนอื่นนอกจากน้องไหม”
“อืม...” เบิกฟ้าคิดทบทวนอยู่นาน ก่อนส่ายหน้า “ไม่นะพี่ ไม่เห็นมันทำกับใคร คงเพราะมันสนิทกับผมที่สุดมั้ง แบบเพื่อนซี้ย่ำปึ๊กงี้ เชื่อไหมว่ามันหวงเตียงจะตายห่า มีผมคนเดียวนี่แหละที่มันยอมให้ไปนอนบนเตียงมันได้ เพื่อนคนอื่นนะ นู่นเลย กองกันบนพื้นหน้าทีวีตลอด คู่ขามันก็ด้วย มันไม่ยอมพามาซั่มที่ห้องสักคน มีแต่มันไปซั่มที่ห้องเขา”
“ซี้ปึ๊กห่าอะไรของมึง มันจะซั่มปี้มึงมากกว่า ไม่รู้หรือไง!!” ชิตตะวันเหลืออดแล้ว ยิ่งฟังยิ่งไฟออกหู เขาก็เพิ่งรู้ว่ามันซื่อขนาดนี้
“ทุเรศว่ะ มึงคิดได้ไงว่ามันจะปี้กู มันเพื่อนกูนะเว้ย เพื่อนๆๆๆ ได้ยินไหมว่าเพื่อน!” เบิกฟ้าตะโกนเถียงกลับ เขาไม่พอใจมาก มากล่าวหาเพื่อนสนิทเขาได้ยังไง นั่นคบกันมาตั้งแต่เจี้ยวไม่มีขนเลยนะ
“โอเค มันไม่ปี้มึง แต่มันจะเสียบก้นมึง พอเข้าใจไหม มันชอบมึง มันจะเอามึง ดูมือมัน ดู!” ชิตตะวันตะคอกอย่างหัวเสีย ถ้าไอ้เด็กนั่นอยู่ตรงหน้าเขาละก็ มันได้เละคาตีนแน่ ทำตัวเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อดีนัก กล้ารักกล้าชอบเขา แต่ไม่กล้าบอก ก็จงขี้ขลาดและมองปลาย่างต่อไปเถอะ
“มืออะไรอีกเล่า” เบิกฟ้ากระชากเสียงถาม คว้าเอามือถือมาดูรูปที่ชิตตะวันอยากให้ดู ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ก็แค่รูปที่เหมือนรูปเดิม เพียงแต่ครั้งนี้มือของเพื่อนวางอยู่บน...เป้า
แม่ง! ก็แค่บนเป้ากางเกงไหมล่ะ
ก็เพื่อนกัน มันเมาด้วย เขาก็เมา ใครจะไปคิดเล็กคิดน้อยกันเล่า
“กูสั่ง ห้ามเข้าใกล้เพื่อนเหี้ยที่อยากเสียบก้นมึงจนตัวสั่น ห้ามอยู่กับมันสองต่อสอง ห้ามให้มันถูกตัวมึงแม้แต่ปลายเส้นผม”
“กูไม่ทำ!” เบิกฟ้องตะโกนใส่หน้าคนที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดง กะอีแค่มือวางผิดที่ เพื่อนเขาไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย
“มึงต้องทำตามคำสั่งกู!”
“ไม่!!”
“จะทำหรือไม่ทำ” ชิตตะวันกดเสียงต่ำ ตาคมดุจ้องเหมือนให้โอกาสเด็กน้อยแก้ไขคำพูดของตัวอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับสวนกลับด้วยตาเขียวขุ่น ฟ้องว่ามันดื้อและจะเอาชนะให้ได้
“ไม่-ทำ-เว้ย!!” ย้ำทีละคำ เอาให้ชิตตะวันรู้เลยว่าบังคับเขาไม่ได้ แม่งเรื่องอะไรจะยอมเลิกคบกับเพื่อน เพียงเพราะความเข้าใจผิดของผู้ใหญ่เจ้าอารมณ์เล่า
“โอเค! สงสัยกูต้องสั่งสอนมึงก่อน ว่ามีแต่กูเท่านั้นที่เป็นเจ้าของตัวมึง ไอ้เหี้ยหน้าไหน มันอย่าหวัง!” พูดแล้วชิตตะวันก็ลุกขึ้นกระชากตัวเด็กหนุ่มเข้าหา กดเสียงต่ำเย็นเยือกกว่าครั้งไหน “แล้วพรุ่งนี้ กูค่อยไปสั่งสอนไอ้เหี้ยตัวที่มันจ้องจะเสียบก้นเมียกู!”
“เอ้ย! ไม่อาวววว ปล่อยกูๆๆ ไอ้เหี้ยชิต กูไม่เอานะเว้ย” คนที่ถูกลากออกจากโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่เกือบสี่ทุ่มแล้ว ขืนตัวเต็มกำลัง กำปั้นที่ทุบรัวบนมือและแขนของชิตตะวัน ทำได้แค่สะกิดผิวของอีกฝ่ายเท่านั้น ตอนนี้ชิตตะวันหน้ามืดแล้ว เขาอยากสั่งสอนเด็กโง่เต็มทน และไม่อยากเสียเวลาลากตัวไปสั่งสอนถึงบนเตียงในห้องนอนชั้นสอง
ห้องครัวนี่แหละ เวิร์ก!

คนที่เหลืออยู่บนโต๊ะอาหารอย่างคณิตได้แต่กุมขมับ อยากจะเสนอความคิดเห็นว่า ควรลากขึ้นไปเคลียร์และตั้มกันบนห้องนอนอันเป็นสถานที่รโหฐานดีกว่าไหม มันทั้งสะดวกและเป็นส่วนตัวมากกว่า
แต่...เฮ้อ ใครจะกล้าพูดสอดขึ้นมากันเล่า ตั้งแต่รู้จักชิตตะวันมา ครั้งนี้แหละที่เห็นว่าโหดที่สุด นึกแล้วสงสารช่วงล่างของเบิกฟ้าจริงจริ๊ง...
เด็กมันก็เถียงคำไม่ตกฟาก อยากเอาชนะแบบเด็กๆ โดยไม่ห่วงสวัสดิภาพร่างกายตัวเองเลย
เสียงโวยวายเหมือนถูกพาไปเชือด เสียงกะละมังถ้วยชามหล่นกระทบพื้นครัวเป็นว่าเล่น ก่อนเสียงนั้นจะสงบลง ที่ลอยเข้าหูมีแต่เสียงครางเบาที่ทำเอาคณิตต้องรีบลุกจากโต๊ะอาหารไปทันที
แม่ง! ไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้วะ
เฮ้อ...แต่แบบนี้ก็ดีอย่าง มีคนทะเลาะกันให้สมองเขาไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนต่อจนถึงตอนเช้า
คณิตก้าวออกมาพ้นตัวบ้าน
“ตอนนี้บอสกำลังทำอะไรอยู่ คิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงบอสไหม คงไม่สินะ ก็บอสเป็นฝ่ายทิ้งผมนี่น่า” คณิตพึมพำกับตัวเอง เมื่อแหงนหน้ามองจันทร์สีนวลเพียงลำพัง
คนอย่างคณิตไม่มีใครต้องการจริงเลยสักคน 

จบตอนที่ 24
เหลืออีก 8 ตอนแล้วนะคะ
^_^
สีเหลืองอ่อน
(เฮ้อ...แอบคิดว่า มันไม่สนุกจริงๆ ใช่ไหมเนี้ย T^T)
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 25 UP 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 23-07-2017 21:37:00
25

...เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป
ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน
เพราะคนไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้
ก็ฉันนั้นเข้าใจดีว่าเธอไม่ต้องการ
ยอมจากไปพร้อมน้ำตาเป็นคนที่ไร้ค่า
เพราะเป็นความจำเป็นของคนไม่จำเป็น...*
“พี่...พี่หนึ่ง”
“หือ...” คณิตขานรับเสียงเบา เมื่อถูกเรียก มือของเด็กหนุ่มหน้าใสแตะข้อศอกเขาแบบกล้าๆ กลัวๆ...ใบหน้าเบิกฟ้าพร่ามัวในสายตาเขาเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรนะพี่ ไหวไหม กลับกันเถอะ”
“ไหว ชอบยี่ห้อไหน เลือกเลยนะ ไอ้ชิตให้บัตรมาแล้ว” คณิตบอกเด็กหนุ่ม
เขากับเบิกฟ้าตั้งใจจะตั้งวงเหล้ากันคืนนี้ หลังจากเมื่อคืนพลาดไปก่อน เนื่องจากพายุชิตตะวันลงกลางห้องครัวยันไปกลางเตียง กว่าเด็กหนุ่มหน้าใสจะปีนลงจากเตียงได้ก็เกือบบ่ายสอง ถึงร่างกายจะระบม สิ้นสภาพ เหมือนโดนสูบวิญญาณไปจนหมดตัว แต่เบิกฟ้าก็ฟื้นคืนสภาพได้เร็วมาก
 “ผมว่าพี่ไม่ไหวแล้วล่ะ กลับเถอะ”
ฝ่ายเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนและเป็นห่วง คณิตยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งขวดเหล้าถูกแย่งไปจากมือ เบิกฟ้าวางมันไว้บนชั้นที่เขาเพิ่งหยิบออกมา
“ป่ะ กลับก่อน ไว้เดี๋ยวผมกลับมาซื้อเอง” ใบหน้าพร่ามัวของเบิกฟ้าไม่ต่างจากน้ำเสียงที่เปล่งออกมา...สงสาร
สงสารเขาใช่ไหม?
“พี่ไม่...อึก...ไม่เป็นไร...” คณิตเพิ่งรู้ว่ามือเขาสั่นมาก ในจังหวะที่ท่อนสุดท้ายของเพลงลากเบาและจบลงแบบบาดลึกในอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความทรมาน มันเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดเขาให้ทรุดลงไปกองบนพื้นผิวเย็นเฉียบ
 
...ยอมจากไปพร้อมน้ำตา เป็นคนที่ไร้ค่า
เพราะเป็นความจำเป็นของคน
ไม่จำเป็น...*

ท่ามกลางเสียงเพลงบทใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น บทเพลงรักหวานซึ้งบอกเล่าถึงความรักชั่วนิจนิรันดร์ แต่คณิตยังจมอยู่กับบทเพลงที่เพิ่งจบไปเมื่อนาทีก่อน กับเสียงร่ำไห้ที่ดังจนทุกคนในบริเวณนั้นได้ยิน ชายหนุ่มไม่ทันได้เห็นสายตาของผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เดินผ่านไปมา แต่ละคนเหลือบมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นผสมกับความสังเวช ต่างก็นึกเดาไปถึงสาเหตุมากมายที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งนั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“พี่...”
เบิกฟ้าเรียกเขา แต่เขาไม่แรงตอบกลับให้เจ้าตัวคลายกังวลใจได้เลย
“โอ้ย...จะทำไงดีวะ...ต้องโทรหาพี่ชิต...ใช่แล้ว!...ต้องโทรหาพี่ชิต...รับเร็วๆ สิวะพี่...พี่ชิตรับหน่อย...แสงรับมือคนเดียวไม่ได้นะเว้ย”
...เด็กน้อยหนอ ต่อหน้าชิตตะวันทำปากเก่งขึ้นมึงกู ลับหลังกลับเรียกชื่อ แถมให้เกียรติเรียก ‘พี่’ อีกแน่ะ คณิตนึกอย่างขำๆ แต่ร่างกายกลับร้องไห้ไม่หยุด น้ำตามันมาจากไหนเยอะแยะวะ
“มึง! พี่หนึ่งร้องไห้ กูไม่รู้จะทำยังไง มึงรีบมาเร็ว...กูไม่รู้ อย่าถามมากได้ไหม...ไม่รู้ๆๆ...โธ่เว้ย! เค้นจังวะ...คิดอยู่...หรือเป็นเพราะเพลงที่ห้างเปิดวะ...กูก็ไม่แน่ใจนะ ตอนแรกพี่หนึ่งก็ปกติไง ยังเผามึงให้กูฟังตั้งหลายเรื่อง แต่พอเพลงคนไม่จำเป็นดังขึ้นเท่านั้นแหละ พี่หนึ่งก็สติหลุดไปเลย...ก็กูพยายามจะพาพี่หนึ่งไปที่รถแล้ว แต่พี่หนึ่งไม่ยอมลุก...กูดึงแล้ว พี่เขาไม่ยอมให้ความร่วมมือไง...มึงขึ้นรถแล้วใช่ไหม...เร็วๆ เลย...กูกลัวพี่หนึ่งขาดใจตายซะก่อน...”
แค่ร้องไห้เองไอ้น้อง ไม่ตายหรอก แต่มันบ้าชะมัด! เขาพยายามจะร้องไห้ตลอดทั้งคืน กลับไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอเจอเพลง แม่ง...

“รู้สึกตัวแล้วติน”
เสียงใครวะ คุ้นๆ เหมือนเสียงคุณลม เมียรักไอ้ตินเพื่อนสนิทเขา ไม่ใช่หรอกมั้ง ไอ้ตินไม่น่าจะมาที่นี่ได้ มันไม่ถูกกับไอ้ชิต...หรือจะใช่
“หนึ่ง เป็นไงบ้าง”
นี่ก็เสียงเหมือนเพื่อนเขา
คนที่ร้องไห้จนเป็นไข้ นอนตัวร้อนทั้งคืนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา ลำบากพอสมควรเพราะเปลือกตาหนักกว่าทุกวัน แถมเบ้าตายังปวดร้อนจนอยากจะปิดเปลือกตาลงอีกรอบ คณิตเพ่งสายตามองคนที่ยืนล้อมรอบเตียงนอน พบว่าทั้งสามใบหน้าเป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้น
“พวกมึงต่อยกันหรือเปล่าวะ” คนป่วยฝืนเสียงแหบแห้งของตัวเองถามออกมา ก่อนจะโล่งอกเมื่อใบหน้าของไอ้หนุ่มเลือดเดือดทั้งสองไม่มีสีช้ำแดงแต่อย่างใด
“เปล่าครับหนึ่ง พอดีมีกรรมการดี” ชิตตะวันเป็นฝ่ายตอบ หันหน้าไปทางสีฟ้าที่กำลังเลื่อนมือไปแตะแขนคนรักเป็นเชิงห้าม
“มึงอย่าแหย่มันสิวะไอ้ชิต” คณิตปรามเจ้าของบ้าน ชิตตะวันยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทั้งห้องจึงเหลือเขา ภาคี และสีฟ้า “มึงกับคุณลมมาได้ไง...ปวดตัวจังว่ะ” ท้ายประโยคคณิตบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มีสีฟ้าช่วยเอาหมอนสอดรองหลังให้
“มึงไม่สบาย เพ้อทั้งคืน จะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป” ภาคีบอกเพื่อน สีหน้าของชายหนุ่มคลายความกังวลลงจากเมื่อคืนเยอะ เมื่อคืนเขาเป็นห่วงคณิตมาก เพื่อนทั้งไข้ขึ้นและเพ้อนักมาก ครั้นจะพาไปหาหมอ คนป่วยก็ดื้อ ดิ้นไม่ยอมไป ยังดีที่ยอมกินยา เขาและคนรักนั่งเฝ้าตั้งแต่ห้าทุ่มจนถึงเช้า ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน เพื่อนถึงฟื้นคืนสติ
...คิดถึงเรื่องที่รู้และเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว ภาคียิ่งแค้นแทนเพื่อน
“อ้าวเหรอ” คณิตยังงงๆ  จำได้ว่ากลับจากซุปเปอร์มาเก็ตในสภาพที่เดินผ่านใคร คนก็มองอย่างกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด มีเขางอก มีหางโผล่ ทั้งที่เขาแค่เดินน้ำตาไหลเหมือนน้ำป่าทะลัก กลั้นสะอื้นจนตัวโยนเหมือนเด็กห้าขวบที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้ เดินแทบไม่ไหว ชิตตะวันกับเบิกฟ้าต้องช่วยหิ้วปีกคนละข้าง กลับถึงบ้านก็ตรงเข้าห้องนอน ล้มตัวนอนร้องไห้ไม่ต่างจากคนบ้า เขาจำได้เท่านี้แหละ
นึกแล้วอายชะมัด เขาทำไปได้ไง ร้องไห้หนักขนาดนั้น   
“มือไปโดนอะไรมา” คณิตเพิ่งสังเกตเห็นว่ามือข้างขวาของภาคีถูกพันด้วยผ้าก็อด
“เมื่อคืนโดนน้ำร้อนลวกน่ะหนึ่ง” เป็นสีฟ้าที่ตอบแทนคนรัก
“โง่นะมึง ทำยังไงให้น้ำร้อนลวกวะ” คณิตถามปนว่า แต่แทนที่เพื่อนจะตอบกลับยิงคำถามแทน
 “ทำไมมึงไม่บอกกู ไม่มาหากูวะ” ภาคีเริ่มเรื่องที่อดกลั้นมาตลอดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน มันช็อกแบบพูดไม่ออก แอบน้อยใจเพื่อนด้วยที่เห็นเขาพึ่งไม่ได้ มันถึงได้ไปพึ่งคนที่เป็นศัตรูกับเขามาตลอด “ถ้ามันไม่โทรไปด่ากู กูคงจะโง่ไปอีกนาน ไม่รู้ว่าเพื่อนกูโดนทำร้ายจนจะตายห่าอยู่รอมร่อ”
คณิตไม่แปลกใจที่ภาคีรู้เรื่องแล้ว ก็ขับรถมาถึงบ้านชิตตะวัน ไม่เป็นเพราะเรื่องที่เขาถูกอชิตะทิ้งแล้วหนีมาพักใจที่บ้านชิตตะวัน ภาคีคงไม่มีวันมาเหยียบบ้านของศัตรูหมายเลขหนึ่งแน่
“มึงก็พูดเว่อร์เกินไป กูจะตายห่าอะไรเล่า ยังหายใจเป็นปกติดีเว้ย อย่ามาดราม่า” คณิตเข้าใจว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่เขาไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก...อย่างมากก็แค่ใกล้ตาย 
“แต่มึงร้องไห้จนสลบ แล้วยังไข้ขึ้นอีกนะหนึ่ง” ภาคีบอกเสียงเข้ม หน้าเครียดขึ้น รู้สึกว่าตัวเขาเป็นเพื่อนที่ใช้ไม่ได้ ยิ่งนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ผ่านมาระหว่างคณิตกับอชิตะ ไม่ว่าครั้งไหน เขาก็เข้าข้างอดีตนายจ้างตลอด เพราะเห็นอชิตะเป็นคนดี เป็นคนที่เขาเคารพมากคนหนึ่ง เมื่อเรื่องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ เขาก็ละอายใจมาก เหมือนตัวเขาเป็นคนที่สนับสนุนเพื่อนให้ไปเจอกับเรื่องเลวร้าย “กูขอโทษมึงนะหนึ่ง กูน่าจะเชื่อมึง ช่วยมึง อยู่ข้างมึง แต่กู...กู..กลับไปเชื่อคนเหี้ยๆ อย่างมัน” เสียงของภาคีสั่น เจ็บปวดไปกับความเจ็บปวดของเพื่อนรัก มือนุ่มนวลของคนรักเอื้อมมากุมมือเขาไว้ เพื่อปลอบโยนอย่างที่ทำมาตลอดทั้งคืน
“มึงอย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิวะ แม่ง...ทำกูอยากร้องไห้นะมึง...อึก” เสียงคณิตแหบแห้งสั่นไหว อารมณ์ภายในกำลังถูกจับเขย่าอีกครั้ง ขอบตาเมื่อยล้าเริ่มร้อนขึ้น ไม่นานนักน้ำร้อนผ่าวก็ไหลอาบแก้ม ต้องรีบใช้หลังมือเช็ดทิ้ง “กูไม่เป็นไร...ดีซะอีก ตัวเหี้ยหลุดออกจากชีวิตกูซะที ได้ชีวิตกูคืนเลยนะมึงไอ้ติน มึงควรยินดีกับกู ถึง...อึก...ถึง...มันจะเจ็บ แต่กูก็...อึก...ไม่ตาย...”
...เขาไม่ตายสักหน่อย แค่เจ็บปวดเจียนตาย อีกไม่นานก็จะหายดี กลับมาเป็นคณิตคนเดิมได้อีกครั้ง
“แต่มึงเหมือนตายทั้งเป็น” เพราะคำเพ้อจากพิษไข้ของคณิต มันฟ้องความเจ็บปวดทั้งหมดของเพื่อนออกมา  ทั้งน้ำตา คำอ้อนวอน ความเสียใจมากมายพรั่งพรูออกมาหมด ภาคีถึงได้เจ็บปวดและแค้นแทนเพื่อนอย่างมาก “มึงไม่รู้ตัวหรอก ว่ามึงนอนเพ้อทั้งคืน ละเมอเหมือนคนบ้า”
“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย คนไม่สบายก็เพ้อไปเรื่อยเปื่อยแหละ มึงไม่ต้องจริงจังมาก” คณิตแก้ตัวไม่เต็มเสียง เนื่องจากเพื่อนทำหน้าจริงจังมาก เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพ้อทั้งคืน ละเมอเหมือนคนบ้าอย่างที่ภาคีว่า มันเป็นแบบไหน เขาไม่เห็นด้วยสิ
“กูรู้สึกผิดว่ะ” ภาคีพูดขึ้น หลังจากเงียบไปสักพัก
“มันไม่ใช่ความผิดของมึง” เพราะมันเป็นความผิดของเขา ผิดตั้งแต่เป็นคนเริ่มต้นเอ่ยชวนอชิตะจูบกลางสระว่ายน้ำในคืนนั้น เขาก็แค่รับผลกรรม จ่ายหนี้ด้วยความเจ็บปวดของตัวเอง
“ตอนกูต่อยบอส กูว่ากูโมโหที่สุดแล้วนะ แต่พอมาเห็นสภาพมึงเมื่อคืน กูน่าจะต่อยให้มันหนักกว่านั้น เอาให้สาสมกับที่ทำมึงเจ็บ ทำเพื่อนกูเสียใจ”
“ห๊า! มึงกับบอสต่อยกัน” คณิตตาโต ถามอย่างตกใจ นึกภาพเจ้านายที่เคารพกับอดีตลูกน้องคนสนิทซัดหมัดใส่กันไม่ออกเลย แต่ใบหน้าของภาคีไม่เห็นจะมีรอยฟกช้ำดำเขียวตรงไหนเลย
“เปล่าหรอกหนึ่ง” สีฟ้าเป็นคนตอบแทนคนรัก “ตินต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนพี่อิง เขารู้ตัวว่าผิด เลยปล่อยให้ตินต่อยจนพอใจ”
คณิตฟังแล้วก็นึกห่วงขึ้นมาจับใจ เพราะความรู้สึกในใจที่มีต่ออชิตะ มันยังเท่าเดิม ยังไม่จางจากไปไหน...ครั้งก่อนก็ปล่อยให้ชิตตะวันต่อย ปล่อยให้พี่ชายสามคนของเขารุมกระทืบ ทำไมอชิตะชอบทำตัวเป็นกระสอบทรายนักนะ
“เป็นห่วงพี่อิงเหรอ?” ก็สีฟ้าถามตามที่เห็น อาการบนใบหน้าคนป่วยปิดไม่มิด ถามจบก็ถูกคนรักมองค้อนทันที
“มึงเป็นห่วง?” ถึงจะขัดใจที่คนรักถามคำถามที่แสลงหูตน แต่ภาคีจะโทษคนรักก็ไม่ได้ ในเมื่อเพื่อนแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงออกมาซะขนาดนั้น
“อืม...ห่วง” คณิตยอมรับอย่างง่ายดาย คร้านจะเถียงหรือปฏิเสธให้วุ่นวาย อาการบนใบหน้าเขาคงฟ้องหมดแล้ว “มือมึงไม่ได้โดนน้ำร้อนลวก แต่เป็นเพราะมึงต่อยบอสจนมือเจ็บใช่ไหม” คณิตอยากรู้ เพื่อนรักต้องต่อยอีกฝ่ายแรงขนาดไหนกันนะ มือถึงได้เจ็บจนต้องพันผ้าไว้...แต่คนที่ยอมเป็นกระสอบทรายน่าจะเจ็บกว่าหลายเท่า
“จะพูดว่ากูทำเกินไปหรือไง” ภาคีย้อนถามเสียงขุ่น มองหน้าเพื่อนตาขวาง
“กูแค่ถาม ไม่ได้ว่ามึงสักหน่อย” คณิตว่าเสียงอ่อน ภาคีกำลังด่าเขาทางสายตา ว่าเขาเจ็บแล้วไม่จำ ดันไปห่วงคนที่ทำเขาเจ็บ แทนที่จะเป็นห่วงมันที่ต่อยจนเจ็บมือ
“ตินต่อยพี่อิงก็จริง แต่ไม่กี่ทีเองหนึ่ง แต่ที่เจ็บจนต้องพันแผลไว้ เพราะเมื่อคืนตินโมโหตัวเองที่มีส่วนทำให้หนึ่งเป็นแบบนี้” สีฟ้าบอกความจริง ครั้งแรกที่บอกคณิตไปว่าภาคีโดนน้ำร้อนลวก เพราะไม่อยากให้คณิตรู้เรื่องเมื่อคืน ที่ภาคีโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่ได้ ต้องระเบิดออกมาด้วยการชกกำแพงรั้วที่เป็นปูนแข็งๆ
“โทษตัวเองทำไมวะ” พอรู้ความจริง คณิตก็ดุเพื่อนทันที “มึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องกูกับบอสเลยนะ มันเป็นเรื่องของพวกกูสองคน มึงไม่เกี่ยว ไม่ใช่ความผิดของมึง อย่าโทษตัวเองอีกนะ กูขอ”
“แต่กูเสียใจหนึ่ง เสียใจที่กูเข้าข้างบอส เชื่อว่าบอสรักมึงจริง ไม่มีวันทำให้มึงเสียใจ นี่กูยังจำคำด่าของมึงได้ทุกคำ ถ้ากูฟังมึง เชื่อมึง ปกป้องมึง มึงก็ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เมื่อคืนมึงคงไม่รู้ ว่ามึงเพ้อเหมือนคนเสียสติ ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ แล้วยิ่งมึงละเมอว่าอยากตายเป็นสิบๆ รอบ มึงจะไม่ให้กูรู้สึกผิดอะไรเลยหรือไง ในเมื่อกูช่วยคนผิด ถ้ากู...” ภาคีหยุดพูด เพราะเจ้าตัวกำลังฝืนกลืนก้อนหนักๆ ลงคอไปก่อน มือนุ่มนวลของคนรักลูบแขนเขาเป็นเชิงปลอบและให้กำลังใจ เขายิ้มให้สีฟ้า แล้วจึงเล่าความรู้สึกของตัวเองออกมาอีกครั้ง “ถ้ากูรู้ว่าบอสจะตัดสินใจแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อ ด้วยวิธีที่ทำให้มึงเจ็บเจียนตาย กูคงไม่ขัดขวางไอ้ชิตกับมึงหรอก ถึงมันจะเจ้าชู้ แต่มันก็ทำให้กูเห็นว่ามันรอมึงมาตลอด กูน่าจะรู้นะว่ามันรักมึงเกินกว่าจะทำร้ายมึงได้ลงคอ”
“แต่มันก็มีคนของมันแล้ว มึงยังไม่เห็นหรือไง” คำพูดของภาคีก็ไม่ถูกนัก ที่ว่าชิตตะวันรอเขามาตลอด มันไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด ชิตตะวันรอเขาก็จริง แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหว เขาเข้าใจชิตตะวัน ไม่ได้โทษที่มันหมดรักเขา เพราะถ้าเป็นตัวเขา เจอคนที่ใช่ ที่พร้อมเข้ามาในชีวิตเขา อยู่ข้างเขา ต้องการเขา และเห็นเขามีค่า เขาก็พร้อมจะเปิดใจ และจบการรอคอยที่ไม่เห็นปลายทางไปซะ
“กูหมายถึงก่อนหน้านั้น ถ้ากูไม่ขัดขวางมึงกับมัน มึงก็คงไม่ต้องเจ็บปวดกับความเห็นแก่ตัวของบอส”
“เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว มึงเป็นเอามากนะ เรื่องก็แค่นี้เอง ยังกับกูเป็นคนแรกของโลกที่โดนเท โดนทิ้งแล้วไงวะ ต้องตายทุกคนหรือไง กูไม่ตายหรอกน่า เจ็บแค่มดกัด สองสามวันก็หาย” คณิตส่ายหน้าขำคำพูดของเพื่อน แม้ใจจะไม่ขำตามก็เถอะ เขาจำเป็นต้องแสดงความเข้มแข็งให้เพื่อนเห็น มันจะได้เลิกทุกข์ใจไปกับเรื่องที่จบไปแล้ว “คุณลมช่วยดูแลหน่อยนะครับ ดูมันอินกับเรื่องผมเหลือเกิน” หันไปบอกสีฟ้า แต่อีกฝ่ายดันเผาคนรักซะนี่
“ดูแลมาเกือบตลอดทางเลยละหนึ่ง” บอกด้วยรอยยิ้มล้อคนรัก “ขับรถออกจากกรุงเทพฯไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ต้องเปลี่ยนมาขับแทน เพราะอะไรรู้ไหม” สีฟ้าถามคนป่วย ที่ส่ายหน้าทันทีที่ถูกถาม
คณิตจะรู้ไหม ในเมื่อไม่ได้นั่งมาด้วย
“ก็เพราะ...” สีฟ้าทิ้งจังหวะไว้นิดหนึ่ง เขามองหน้าคนรักเป็นเชิงเย้าแหย่ ภาคีหน้าแดง หันหน้าหนีไปอีกทาง “ตินร้องไห้จนขับรถต่อไม่ไหว ร้องไห้เหมือนเด็กเลยนะหนึ่ง ผมต้องปลอบเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ กว่าจะหยุดปล่อยน้ำตาได้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะมีความสุขที่ได้เผาคนรัก
“ร้องไห้เลยหรือครับคุณลม” คณิตถามอย่างไม่เชื่อ มันอาการหนักถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอ เอ...ความจริงเพื่อนเขาก็เป็นประเภทอ่อนไหวง่ายนะ ตอนช่วงที่ยังไม่เข้าใจกันกับสีฟ้า ภาคีเคยร้องไห้เพราะกลัวสีฟ้าจะหนีไปจากมัน แต่ก็ไม่นึกไงว่าจะเสียน้ำตาเพราะเรื่องของเขาด้วย
“ใช่แล้ว ผมถ่ายรูปหลังร้องไห้ไว้ด้วยนะ หนึ่งอยากเห็นรูปผู้ชายขี้แยไหม” สีฟ้าถามกลั้วเสียงหัวเราะสดใส
“เอามาเลยครับคุณลม ส่งเข้าไลน์มาเลย” คณิตคิดจะเก็บรูปไว้ล้อเพื่อนในวันหลัง
“มันมีที่ไหนเล่า มึงก็เชื่อคนง่ายนะ” ภาคีบอกเพื่อน หน้ายังขึ้นสีแดงเพราะความอายที่ถูกคนรักเผาเรื่องที่เขาร้องไห้ ตอนนั้นเขาไม่ไหวจริงๆ ทั้งรู้สึกผิด สงสารเพื่อน โกรธและผิดหวังในตัวอดีตนายจ้างด้วย เขาเคารพอชิตะมาก ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขาหมดความเคารพนับถือคนคนนี้ได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้ว
“งั้นตินก็ว่าลมโกหกสินะ” สีฟ้าตีหน้ายุ่งก่อนจะยิ้มร้าย ดึงเอาโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋าทันที พอภาคีจะแย่ง สีฟ้าจึงวิ่งหลบไปยืนที่เตียงอีกฝั่งหนึ่ง พร้อมกับกดส่งรูปไปให้คนที่อยากได้ในเวลาอันรวดเร็ว “เรียบร้อยแล้วหนึ่ง หลักฐานที่ยืนยันว่าผมพูดความจริง”
เสียงสั่นสั้นๆ ดังมาจากโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงก่อนที่สีฟ้าจะพูดจบด้วยซ้ำ คณิตรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเร็ว กดดูรูปที่สีฟ้าส่งมาให้ทันที
โห...ภาคีตาบวมแดงเป็นลูกมะนาวเลย 
“มึงรักกูขนาดนี้เชียว” คณิตเงยหน้าขึ้นยิ้มล้อคนในรูป หันหน้าจอไปให้ดูด้วย ก่อนจะถูกสวนกลับ ชนิดตาเหลือกเลยทีเดียว
“สงสัยมึงอยากจะได้ ‘คลิป’ ตอนมึงละเมอเพ้อเจ้อเหมือนคนบ้าสินะ” ภาคีถามเสียงนิ่ง เจือรอยยิ้มของคนที่ถือไพ่ใบใหญ่กว่า
“กูไม่เชื่อ มึงไม่ได้ถ่ายไว้หรอก มึงหลอกกู หลอกกูแน่ๆ ใช่ไหม ใช่ไหมครับคุณลม” ประโยคหลังคณิตหันไปถามสีฟ้าที่เดินกลับมายืนข้างคนรักเหมือนเดิม
“ไม่มีหรอกหนึ่ง ตินโม้”
“ไอ้ห่าติน! หลอกกูได้นะ” ใจหายวูบเลยตอนที่เพื่อนขู่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้คนอื่นเห็น แต่เป็นเขาที่ไม่อยากเห็นตัวเองตอนสิ้นสภาพ เพ้อคร่ำครวญบ้าบออะไรออกมาตอนที่สติไม่มี ถ้าภาคีไม่พูดเกินจริง เขาละเมอว่าอยากตายด้วยเหรอ
“ลมก็...บอกมันทำไมครับ” ภาคีหันไปพูดเสียงน้อยอกน้อยใจใส่คนรัก
“อ้าว ก็ใครใช้ให้ตินโกหกเล่า สามครั้งแล้วนะ” สีฟ้าว่า แล้วแจกแจงว่าสามครั้งนั้น คือครั้งไหนบ้าง “ครั้งแรกโกหกลมว่าจะไปหาอะไรกินในครัว แต่ไปชกกำแพงทำร้ายตัวเอง ครั้งที่สองโกหกว่าลมไม่ได้ถ่ายรูปตินไว้ และครั้งที่สามก็โกหกเรื่องคลิป ต้องโดนลงโทษรู้ไหม” สีฟ้ายิ้มมีความหมาย เป็นความหมายที่รู้กันอยู่สองคน
“ไม่เอานะครับลม ตินก็ตายสิ” ...แย่แน่ในเมื่อ ‘หนึ่งคำโกหก’ เท่ากับ ‘หนึ่งสัปดาห์’ ที่เขาไม่ได้ส่งเจ้าลูกชายเข้าไปสัมผัสช่องทางรักของคนรัก
“ไม่รู้ล่ะ กฎต้องเป็นกฎ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎ จะมีกฎไว้เพื่ออะไร” 
“แต่ตินไม่ได้อยากให้มีกฎเลยนะ” ภาคีเถียงกลับ
เรื่องกฎที่ทำให้เขาอดดื่มด่ำร่างกายสีฟ้า มันเกิดขึ้นเพราะ...เขาโกหกสีฟ้าแล้วโดนจับได้
อันที่จริงครั้งนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจโกหกสีฟ้า เพียงแต่ไม่อยากบอกเรื่องจริง เพราะรู้ว่าถ้าบอก สีฟ้าต้องโกรธและอาละวาดแน่ คือเขาไปพบลูกค้าแถวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่ลูกค้าดันติดธุระสำคัญซะก่อน เลยเลื่อนนัดไปวันหลัง เขาก็เลยถือโอกาสแวะซื้อของกินของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างฯ แต่บังเอิญเจอนิรดาที่มาซื้อของเช่นเดียวกับเขา เลยหยุดคุยกัน คุยไม่ถึงห้านาทีเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีผู้หวังดีต่อภรรยาสุดที่รักของเขา ถ่ายรูปตอนเขาคุยกับนิรดาส่งไปให้สีฟ้า มันก็เกิดเป็นเรื่องสิ พอกลับถึงบ้านสีฟ้าถามว่าเขาไปไหนมา เขาก็ตอบตามความจริง โดยเว้นเรื่องไม่ถึงห้านาทีกับนิรดาเอาไว้ จากนั้นหลักฐานรูปถ่ายก็ถูกจ่อติดหน้าเขาทันที!
“อย่ามางอแงนะติน แล้วใครใช้ให้ตินโกหกลม ถ้าวันนั้นตินไม่โกหกลม บอกลมมาตรงๆ ลมก็ไม่ต้องมาเขียนกฎให้ตินปฏิบัติหรอก” นึกถึงวันนั้นแล้ว สีฟ้ายังโมโหไม่หาย ชื่อของนิรดายังเป็นอะไรที่จี้ต่อมจี๊ดของสีฟ้าได้เสมอ
“ก็ตินรู้ไง ว่าถ้าบอกแล้วลมต้องโมโหและอาละวาดแน่ ตินเลยไม่บอก”
“หึ! ไม่ต้องมาด่าทางอ้อมว่าลมเป็นคนเจ้าอารมณ์หรอกน่า ลมรู้ตัวดี ว่าลมเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห โกรธง่าย ชอบอาละวาด ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบก็บอกมาได้นะ ลมจะได้ไม่ทำอีก ตินจะได้มีความสุขกว่านี้ ทุกวันนี้อยู่กับลมแล้วไม่มีความสุขใช่ไหม” สีฟ้าร่ายยาว ทุกคำเต็มไปด้วยความน้อยใจ
“โธ่ลมครับ...ไปกันใหญ่แล้ว” ภาคีรีบดึงสถานการณ์กลับก่อนจะไปไกลกว่านี้ หันไปมองคณิตที่นั่งมองตาปริบๆ ยังไม่ทันส่งซิกให้เพื่อนหายตัวไปก่อน คณิตก็ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจเหลือเกิน เจ้าตัวรีบลุกจากเตียงนอน เดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เพราะคณิตก็อยากเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยแหละ
“ใช่สิ ก็ลมเป็นคนชอบโวยวาย ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นี่ ลมขอโทษที่ทำให้ตินเหนื่อยใจ กฎนั่นไม่ต้องมีก็ได้ ตินจะได้โกหกลมแบบไม่ต้องมีความผิดอีกต่อไป”
“โธ่ลม ไม่พูดประชดตินสิครับ” ทำไมเรื่องดราม่าของคณิต มันถึงได้กลายเป็นเรื่องดราม่าของเขาไปได้เนี่ย ภาคีคิดอย่างอ่อนใจ แต่ยังไงซะ เขาก็ต้องรีบง้อคนรักด่วน “มีกฎก็ดีนะครับ ตินจะได้ไม่กล้าโกหกลมอีกเลยไง นะครับ...ดีกันนะ” ภาคีดึงภรรยาสุดที่รักมานั่งบนตัก คนตัวเล็กดิ้นขัดขืน ไม่ยอมแต่ก็แพ้แรงกอดของคนตัวใหญ่   
“ลมไม่ได้ประชด แต่ลมตามใจตินอยู่ไง ไม่อยากให้ลมตั้งกฎเอาเองตามใจชอบ โดยที่ตินไม่เห็นด้วย ลมก็ยกเลิกให้แล้ว ไม่ดีหรือไง ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาว่าลมอีก” สีฟ้าถามกลับเสียงสะบัด เบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากคนรักที่พยายามจะจูบง้องอนเอาใจ แต่ดันหนีไม่พ้น สามีสุดที่รักเก่งกาจกว่าเยอะ กลีบปากหวานก็เสร็จภาคีจนได้
จูบของภาคีช่างหวานและช่างง้องอน คนที่ร้อนเป็นน้ำต้มเมื่อครู่จึงเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นน้ำหวาน ชวนให้ภาคีหลงใหลชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ต่อให้สีฟ้าจะเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน ภาคีก็ยินยอมเป็นคนที่คอยตามง้องอนและตามใจสีฟ้าทุกอย่าง
และคงจะไม่ใช่แค่จูบเพียงอย่างเดียว ภาคีพาสีฟ้าเตลิดไปไกลกว่าแค่จูบ เมื่อมือเผลอเลื่อนเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวเล็ก จากนั้นก็ลากไล้มายังด้านหน้าบ้าง ใช้ปลายนิ้วสะกิดเม็ดสีหวานบนหน้าอกคนรัก ปลุกเร้าอารมณ์วาบหวาม ลืมคิดถึงสถานที่ เพราะพอได้สัมผัส มันก็หยุดไม่อยู่
ภาคีอยากสัมผัสทั้งหมดของร่างกายคนรักเสียแต่ตอนนี้ เผื่อว่าต้องทำตามกฎถึงสามสัปดาห์เต็ม!
“อื้อ...ตะ...ติน...มันห้อง...อื้อ...ห้องหนึ่ง...” เสียงห้ามกระท่อนกระแท่นแทรกสอดไว้ด้วยเสียงครางแผ่วเบา
“นิดเดียวครับ”
“อื้อ...มะ...ไม่นิด...ละ...อื้อ...แล้วนะ...ไม่เอา...อื้อ...” 
‘นิดเดียว’ ของภาคีคือมือที่ล้วงต่ำผ่านขอบกางเกงชั้นในอย่างปรารถนา เลื่อนสัมผัสเข้ากับสิ่งนุ่มนิ่มเหมาะมือ และมันกำลังจะเริ่มเติบโตในอุ้งมือเขา
“เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำ...แล้วคืนนี้ลมก็จะเริ่มต้นลงโทษติน” ริมฝีปากเร่าร้อนกระซิบบอกข้างใบหูเล็ก มือขยับปลุกเร้าเป็นจังหวะ
“ไม่นะติน...” สีฟ้าพยายามดึงมือคนรักออกจากส่วนอ่อนไหวของตน แต่ไม่สำเร็จ ภาคีดื้อจะสัมผัสเขาให้ได้ เขากำลังจะต้านไม่ไหว กลายเป็นว่าเขากำลังนั่งคร่อมทับอยู่บนตักของภาคีไปแล้ว 
“นะครับลม...” คนตาโตส่งสายตาหวานฉ่ำด้วยอารมณ์ความต้องการ ลิ้นร้อนลากเลียเอาความหวานจากซอกคอขาว อันมีกลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของคนรัก พ่นลมหายใจอุ่นบนรอยเปียกชื้นให้สีฟ้าทรมานด้วยความต้องการแบบเดียวกัน
“แต่...” สีฟ้าเผลอลังเล
“แค่เสร็จคามือก็ได้ครับ” ภาคีดึงใบหน้าออกจากซอกคอขาว เพื่อมาส่งสายตาหวานอ้อนวอนคนรัก ใบหน้าสวยหวานเกินชายของสีฟ้ากำลังบอกเขาว่า เจ้าตัวเริ่มคล้อยตามไปกว่าครึ่ง
“แต่...มันมีเสียง...หนึ่งจะได้ยิน” สีฟ้ารู้จักตัวเองดี ยามที่อารมณ์ถึงจุดสิ้นสุด เสียงหวีดร้องสุขสมจะหลุดออกมาจากริมฝีปากตนได้ดังขนาดไหน
“ไม่ได้ยินหรอกครับ...เชื่อตินนะครับ...ลมคนดี...ช่วยกันนะครับ” เรื่องหลอกล่อภาคีเก่งนัก “ทำให้ตินหน่อยนะครับ...นะครับ ตินจะไม่ไหวแล้ว” ภาคีเร่งเร้าต่อด้วยสุ้มเสียงหวานเต็มไปด้วยความต้องการ เขาดึงมือคนให้เกาะกุมตัวตนร้อนจัดของตัวเอง ผ่านกางเกงยีนเนื้อหนา
“แต่หนึ่ง...”
“ไม่ได้ยินครับ มันไม่ได้ยินแน่นอน เชื่อตินนะครับลม”
มือเล็กที่เริ่มปลดหัวเข็มขัดของคนตัวใหญ่เป็นคำตอบสำหรับการร้องขอครั้งนี้ สีฟ้ายอมขับไล่ความอายออกไป ลองคิดซะว่าในห้องมีเพียงเขากับคนรัก...เพียงสองคน
“ขอบคุณครับ” ภาคีก้มหน้าเข้าหากลีบปากสีหวาน สัมผัสจากมือนุ่มนิ่มของคนรัก ปลุกปั่นให้อารมณ์กระพือปีก สีฟ้าสัมผัสตัวตนของเขาด้วยความอ่อนหวานแบบที่เจ้าตัวชอบทำ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ริมฝีปากจะสัมผัสกันและกัน เพื่อให้เต้นรำเป็นจังหวะเดียวกับรสสัมผัสด้านล่างที่ต่างปรนเปรอให้กันและกันอยู่แล้วเชียว หากไม่ถูกขัดขวางซะก่อน
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ไม่ต่างจากระฆังตีหมดยก หรือไม่ก็ค้อนของผู้พิพากษาบนบัลลังก์ตัดสินโทษทัณฑ์ความผิด
“.....”
“....!”
“คือ...กูหิว กูไปก่อนนะ มึงต่อได้เลย ยกห้องให้” ว่าแล้วคณิตก็รีบสาวเท้าไปยังประตูห้อง กระชากออกอย่างรวดเร็ว ยังไม่พ้นออกจากห้องก็ได้ยินเสียงโวยวายของสีฟ้าดังลั่น เจ้าตัวคงอายมากที่ถูกเห็นภาพล่อแหลมแสนเซ็กซี่ เพียงนิดเดียวที่คณิตได้มีโอกาสเห็นใบหน้าแดงก่ำของสีฟ้า ร่างกายที่สั่นสะท้านตามอารมณ์ภายใน เขาบอกได้เลยว่าสีฟ้าโคตรเซ็กซี่ เสียงครางหวานอีกเล่า
มิน่า...เพื่อนเขาถึงหว่านล้อมจะเอาให้ได้ ยังมีหน้ามาหลอกล่อสีฟ้าด้วยว่า เขาไม่ได้ยิน!
สีฟ้าก็เชื่อ!
ไอ้ตินเอ้ย!! ไอ้หื่นขึ้นสมอง หื่นไม่ดูสถานที่ ห้องนอนก็เล็กแค่นี้ เตียงก็อยู่ห่างจากห้องน้ำไม่กี่ก้าว เขาที่ยืนสงบนิ่งมองภาพตาบวมช้ำของตัวเองผ่านกระจกเงาจะไม่ได้ยินได้ยังไงเล่า ถึงจะได้ยินแบบเบามากๆ ก็ตาม แต่หูเขาดีไง เบาแค่ไหนเขาก็ได้ยินและจับประเด็นได้
...จะว่าไปก็อิจฉาความรักของภาคีกับสีฟ้า ทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยความรักที่มีมายาวนาน ภาคีรักสีฟ้ามานาน เช่นเดียวกับสีฟ้าที่รักภาคีมากเช่นกัน เวลาสีฟ้างอน ภาคีจะคอยง้อจนสำเร็จ เขาไม่เคยเห็นครั้งไหนที่ภาคีเหนื่อยในการง้อสีฟ้า เพื่อนของเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ มันรักเดียว ใจเดียว ไม่ว่าผ่านไปนานกี่ปี ความรักที่มีให้สีฟ้า ไม่เคยหมด ไม่มีจืดจาง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
สีฟ้าเป็นผู้ชายที่โชคดี ไม่รู้ว่าโชคดีที่สุดในโลกหรือเปล่า แต่โชคดีแน่นอนที่มีภาคีเป็นคนรัก ความรักของภาคีเป็นของจริงเสมอสำหรับสีฟ้า ไม่เคยเป็นภาพลวงตาแม้สักครั้งเดียว แต่ความรักของคนบางคน กลับไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่หลอกลวงให้เจ็บปวด
เมื่อไรเขาจะโชคดีเหมือนสีฟ้าบ้าง... 

จบตอนที่ 25
ก็เหลืออีก 7 ตอนแล้วนะคะ T^T
ตอนนี้คนเขียนก็กำลังปั่นอาร์ตเล่ม 2 อยู่
สนใจหนังสืออิงหนึ่ง ก็เก็บเงินรอได้นะคะ ^__^
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 25 UP 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-07-2017 11:30:16
เพิ่งได้เข้ามาอ่านครับ

เป็นเรื่องที่เขียนดีมากๆ พล๊อตเรื่องสมจริง ภาษาดี บรรยายรื่นไหล แปลกใจจังที่คนอ่านน้อยมากๆ เรื่องอาจจะตกเร็วไปเพราะนิยายในเล้าเยอะมาก ผมเองยังเพิ่งเห็นเลย ขนาดเข้ามาอ่านอยู่บ่อยๆ

เห็นใจหนึ่งนะทั้งๆ ที่พยายามจะเป็นคนดีอย่างที่สุดแล้ว สุดท้ายต้องมาเจอแบบนี้ อิงคงมีเหตุผลความจำเป็นอะไรมากกว่าที่เห็น แต่การเลือกวิธีหักดิบแบบนี้เป็นครั้งที่สอง ยืนยันได้เลยว่าอิงเป็นคนที่เลือดเย็นจริงๆ ต่อให้ในใจรู้สึกเจ็บก็เถอะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 25 UP 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 24-07-2017 15:56:26
อืม จะว่าไม่ดี มันก็ไม่เชิงนะครับ ในมุมมองผม เราร่ายกันทีละจุดดีกว่า

จุดแรก เรื่องแพทเทิร์นของงานเขียนครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม คนอ่านส่วนมากจะอ่านหรือไม่ ก่อนที่จะดูเนื้อเรื่องหรือพล็อต คนส่วนมากจะดูก่อนว่าสามารถเขียนได้ ‘สบายตา’ หรือเปล่า มีการเว้นวรรคถูกไหม มีการขึ้นหัวข้อและขึ้นบรรทัดใหม่ ย่อหน้าใหม่ จัดองค์ประกอบของเนื้อความหนึ่งตอนให้คนอ่านสามารถย่อย ‘สาส์น’ ที่เราจะส่งไปได้อย่างเรียบง่ายหรือเปล่า ถ้าเขียนติดกันเป็นพรืด ไม่ได้เว้นวรรคหรือเว้นบรรทัดให้สบายตาเหมาะสม ไม่ได้มีการใช้ลูกเล่นในภาษา หรือไม่ได้เล่นสีแสงเอฟเฟกต์อะไรมาก(พวกตัวจุด, ตัวย่อ, ตัวหนา, ตัวเอียง) คนอ่านจะอ่านแล้วเหนื่อยครับ เพราะใน Perspective ของเขา อ่านแล้วเขาต้องมานั่งย่อยความอีกครั้ง ใครพูดอะไร ตรงไหนคือการคิด ตรงไหนของใคร ตรงไหนบรรยาย อรรถรสในการอ่านมันจะเสียไปครับ แล้วจะพาลทำให้คนไม่ติดตามเอาในกรณีที่พล็อตหรือเนื้อเรื่องคุณไม่ได้เด่นขึ้นจากพล็อตโดยทั่วไปครับ สำหรับเรื่องนี้ มีบางตอนก็เว้นบรรทัด บางตอนก็ไม่เว้นบรรทัดเลย บางตอนเล่นลูกเล่นทำให้เราแยกออกได้ว่าตรงไหนคำพูด ตรงไหนบรรยาย ตรงไหนเป็นความรู้สึก แต่บางตอนก็เขียนติดๆกันจนเราต้องมานั่งย่อยอีกทีครับ อยากให้ปรับตรงนี้หน่อย การเว้นช่วงทำหน้าที่คล้ายๆการพักหายใจสำหรับคนอ่าน เมื่อเราสื่อความจนจบ แล้วอยากจะให้คนอ่านพักเพื่อย่อยความครับ อย่าเขียนติดกันเป็นพรืด

ในเรื่องแพทเทิร์นมีปัญหาก็จริง แต่สำหรับเนื้อความบรรยาย ผมโอเคมากเลยครับ เขียนสื่อได้ตรงประเด็นทุกอย่าง ความสับสนของคณิต ความเด็ดขาดและบุคลิกที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งของอชิตะ ลักษณะนิสัยตัวละครทุกอย่างทำออกมาได้ดีครับ บรรยายให้เห็นภาพได้ชัดเจน ที่ผมชอบมากที่สุดของบรรยาย คือส่วนของ ‘สำนึกเสียใจ’ และความหวั่นไหวที่คณิตมี สำนึกเสียใจของคณิตทำออกมาได้ดีมากครับ บรรยายได้เรียล ชัดเจน แต่บางทีอย่างที่ผมบอก มันเขียนติดๆกันไปหมดจนรู้สึกว่ามัน Redundant (เยิ่นเย้อ) ถ้าเว้นบรรทัด หรือเว้นเพื่อใส่บรรยายอย่างอื่นเพื่อเพิ่มความหนักของความรู้สึกให้หน่วงมากขึ้น ก็จะทำให้คนอ่านย่อยความได้ดีขึ้น ความหวั่นไหวของคณิตก็ทำได้ดีมาก คือความรู้สึกสามารถบรรยายออกมาโดยที่คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจ เห็นภาพ อินกับความรู้สึกของคณิต (ในช่วงแรกๆ)

ทีนี้ถึงจุดที่ผมว่าบรรยายได้แย่ครับ หนึ่ง การบรรยายความเซ็กซี่ของตัวละคร ผมคิดว่าการบรรยายติดจะตลก (เพราะเราอิงคณิตซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขัน) ดังนั้นพอถึงช่วงที่มันควรจะบรรยายเร้าอารมณ์คนอ่านให้อินไปกับบุคลิกหรือลักษณะทางกายภาพของใครในเรื่อง มันเลยดูแปลกๆติดจะขำขันเสียอย่างนั้นน่ะครับ ซึ่งจุดที่เป็นฉากอัศจรรย์ทำได้ดีนะครับ เพียงแต่ต้องเว้นบรรทัดเพิ่ม หรือเคาะเว้นวรรคเพิ่มอีกหน่อย ไม่งั้นมันพรืดมาเยอะๆแล้วคนอ่านไม่รู้สึกว่ามันเร้าอารมณ์สักเท่าไหร่ครับ สอง พาร์ทบรรยายของคนอื่นที่ไม่ใช่อชิตะกับคณิต ทำออกมารวบรัดมาก ผมไม่เข้าใจลอจิก และไม่ได้รู้สึกกับความอินเลยครับ เช่นตัวละครแรก ภาคี ฉากตอนทะเลาะกันนี่ผมรู้สึกว่ามันปวดหัวมาก คือไม่เข้าใจลอจิกของภาคีเลย ควรจะเอาฉากความคิดของภาคีในตอน 26 กว่าๆมาใส่ในช่วงแรกๆนะครับ เพราะคนอ่านจะได้เข้าใจภาคี ไม่งั้นผมรู้สึกว่าเขา bias เข้าข้างอชิตะจนทุเรศเลยล่ะ (คือใช้คำนี้ได้นะ เพราะว่าเรื่องในตอนนั้นมันคือการ ‘ข่มขืน’ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าเรื่องปูมาว่าภาคีเป็นเพื่อนที่ดี ปฏิกิริยามันควรจะดีกว่านี้ครับ ไม่ใช่พูดจาวนเวียนหาเรื่องให้คณิตกลับไปดีกับอชิตะ แล้วหาว่าเพื่อนเล่นตัว บลาๆ พยายามโยงคณิตกลับไปให้ได้ ผมว่ามันไร้สาระไปหน่อย ถึงจะสามารถวางเหตุผลได้ว่า ภาคีเข้าข้างคณิตไม่ได้มากเพราะว่าบริษัทต้องพึ่งอชิตะอยู่ แต่เราหาทางลงให้ดีกว่าได้นะครับ ไม่อย่างนั้นมันดูไม่สมเหตุสมผลครับ)

จุดที่สอง พล็อต พล็อตเรื่องนี้ดูจะธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาเลยครับ(?) (หัวเราะ) ผมชอบนะครับเรื่องที่เราเอาประเด็นที่มีการผูกกันหลายจุดใส่ตูมมา แล้วให้คนอ่านค่อยๆไล่ตามไปทีละประเด็น ค่อยๆแตกตัวละครเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะการทำอย่างนี้จะค่อยๆเพิ่มความเรียลให้กับตัวละครหลัก ทำให้มันเป็นวรรณกรรมที่แน่นขึ้นในด้านข้อมูลสนับสนุน แม้จะเป็นพล็อตแบบธรรมดา ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท แต่เนื้อเรื่องและตัวละครที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างจากนิยายน้ำเน่าทั่วไปมากทำให้มันน่าสนใจดีมากครับ แต่ประเด็นคือพล็อตมันมีบางจุดที่ผมว่ามันไม่เมคเซนส์ แต่หลายจุดก็ทำได้ขยี้ใจผมมาก ผมอินกับหลายประเด็นทีเดียวนะครับ เช่น

หนึ่ง เป็นผมผมทำไม่ได้ครับ จะให้ผมมาเป็นแฟนกับ CEO แล้วทำให้เขาเลิกกับคู่หมั้นที่คิดมานาน วางแผนชีวิตครอบครัวเสร็จสรรพหมดแล้ว คือเรื่องไม่ได้ปูมาก่อนว่าคณิตชอบอชิตะ (ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง มันก็ไม่ถูกอยู่ดีแหละครับ เพราะผู้หญิงไม่ผิดอะไรเลย ผู้หญิงเป็นคนน่ารักด้วยซ้ำ เป็นผมผมทำไม่ลงอะ เราเจ็บเองดีกว่าให้ผู้หญิงมารับเคราะห์) หรือเรื่องปูมาก่อนว่าอชิตะชอบคณิต (ซึ่งถ้าอย่างนี้จริง ผมจะถือว่าเรื่องจะฉีกออกไปอีกแบบหนึ่งเลยครับ อชิตะจะกลายเป็นคนดูมักมาก เห็นแก่ตัว และไม่คู่ควรกับผู้หญิงแบบหวานครับ) แต่ข้อดีของพล็อตตรงนี้คือ คุณคนแต่งสร้างให้คณิตมีทั้งความสับสน และทำให้เข็มทิศคุณธรรมของเขาไม่หวั่นไหวเลย ตรงนี้ผมประทับใจมาก เพราะคนส่วนมากจะไหลๆไปกับเซ็กซ์ แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปอย่างงงๆยังไงไม่รู้

ถ้าสังเกต เรื่องนี้พอเกิดการมีเซ็กซ์ที่ไม่สมยอม คณิตจะพูดตลอดว่าเขา ‘ถูกข่มขืน’ เขาไม่มาหวั่นไหวกับความหล่อเหลาหรือบุคลิกอะไรภายนอกครับ คือผมชอบคณิตที่ชัดเจนว่าเขารู้ตัวว่าถูกทำอะไร และถ้าไม่ยอม ก็คือไม่ยอม นอกจากนี้ พอคณิตคิดได้ เขาทำทุกอย่างโดยตั้งอยู่บนเข็มทิศคุณธรรมอย่างดี ไม่ใช่ทำปากอย่างใจอย่าง คือคณิตโลเล แต่ถ้าตัดสินใจแล้วคือทำเลย ไม่มีท้อ ไม่มีขัด และฉีกกรอบตัวนางโง่ๆไปทุกรายครับ ได้ มึงไม่ปล่อยกูใช่ไหม กูหาตัวช่วยอื่น (แม่ของอชิตะ, ครอบครัว, เพื่อนที่แอบรัก แล้วตอนที่อยู่กับชิตตะวันนี่ก็คือตรงมาก จะหักดิบทำและตอบรับเลยครับ ดีมาก ไม่ใช่มาเล่นตัวหลอกใช้คนแบบที่ตัวนางชอบทำกับพระรอง) ตรงนี้ได้ใจผมไปมากครับ

สอง ตัวละครเพิ่มมาแบบไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องมากไปครับ แค่พล็อตตรงจุดหนึ่งกับพล็อตหลักนี่ก็สุดแสนจะหนักแล้วครับ ถ้าจะเพิ่มตัวละคร ควรเพิ่มตัวละครที่เกี่ยวกับพล็อตตรงนี้ อย่างแฟนคุณหมอนี่เพิ่มมาอย่างชั่วคราว แฟนชิตตะวันนี่ก็เพิ่มมาอย่างชั่วคราว (แถมสองคู่นี้ยังทิ้งนัยยะแบบที่ไม่จำเป็นต่อเรื่องเอาไว้อีก) คือเราสามารถใส่มาได้นะครับ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่เราเน้นพล็อตหลัก เพราะคนอ่านจะโฟกัสกับพล็อตหลักอยู่ ฉากงอนง้อความหวานของภาคีกับสีฟ้าก็เหมือนกันครับ พวกนี้ควรใส่มาตอนที่โทนเรื่องไม่หนักมาก แล้วเราอยากซ่อนนัยยะที่น่าสนใจเอาไว้ให้คนอ่านไปอ่านต่อ อีกฉากนึงคือการสู้รบตบมือ, นัยยะมีเซ็กซ์, หึงเพื่อน อะไรพวกนี้ของเบิกฟ้ากับชิตตะวัน ฉากพวกนี้ไม่ควรมีครับ เพราะผมงงว่ามันไม่เกี่ยวกับพล็อตหลักสักนิด (ทั้งๆที่ตอนนั้นคือคณิตหนีมา เรื่องควรจะอยู่ในโทนเศร้า ปรับความเข้าใจ แต่สองคนนี้มาทีนี่พลิกโทนเรื่องเลยครับ ผมเลยว่ามันตงิดๆนะ) เราสามารถใส่เบิกฟ้ามาได้แต่ไม่ให้เขาเด่นมาก เพราะเขาต้องช่วยเพิ่มสีสันให้กับความเศร้าของคณิต (ผมชอบฉากผสมโรงกันไปนอกโลกนะครับ ตลกดี (หัวเราะ))  แต่ก็ยังมีข้อดี คือบางตัวละครก็ drive เรื่องได้ดีมาก เช่น คุณแม่, คุณย่าของอชิตะ, พี่ชายทั้งสามของคณิต ตัวละครเหล่านี้โผล่มาไม่เยอะ แต่มีเอกลักษณ์เด่นมาก สื่อสารบทของเขาครบถ้วน ส่งผลต่อพล็อตได้อย่างสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักครับ

จุดที่สาม เรื่องเคมีการจับคู่และลอจิกของ Interaction ระหว่างตัวละครครับ เรื่องนี้คาบเกี่ยวกับระหว่างจุดแรกกับจุดที่สอง เช่นเรื่องของภาคีที่ผมพูดไปแล้ว และเคมีการจับคู่ของแต่ละคู่ที่ผมยังว่าแปลกๆอีกด้วยครับ (อันนี้เลยอาจจะทำให้ไม่ตรงจริตคนอ่านมากนัก) เช่น คุณหมอ-เจ้าของร้านกาแฟข้างบ้าน อันนี้ปกติ แต่ต้องดูบุคลิกด้วยครับ คือถ้าเจ้าของร้านกาแฟโหดร้ายเงียบขรึมเย็นชา มันก็จะเกิดคำถามว่าคนแบบนี้เป็นเจ้าของร้านกาแฟได้ยังไง? แล้วนิสัยของตัวคุณหมอมันเป็นยังไง ถ้าเย็นชา เย็นชาแล้วประกอบอาชีพหมอเฉพาะทางด้านไหน เพราะบุคลิกเย็นชาส่งผลต่อหน้าที่การงาน จะเห็นว่ามันเป็นโซ่กระทบๆต่อไปครับ ระวังเรื่องเคมีจับคู่นิดหนึ่ง หรือ ชิตตะวัน-เบิกฟ้า คู่นี้มีเรื่องของ Age Gap หรืออายุที่ห่างกันมาก แล้วมาได้ยังไง? ผมเข้าใจเรื่องพื้นหลังของเบิกฟ้าที่อาจจะยากจนหรืออะไรก็ตามแต่ที่ดันเรื่องให้เบิกฟ้าต้องมาอยู่กับชิตตะวัน แต่การที่เราเปิดตัวเพื่อนของเบิกฟ้ามาปุ๊ป ผมนี่เปลี่ยนเข็มทันทีเลยนะครับ ผมมองว่าสตอรี่ของเบิกฟ้ากับเพื่อนของเขา ถ้าจะจับคู่กัน มันน่าสนใจกว่าการจับคู่เบิกฟ้า-ชิตตะวัน อีกเยอะ เพราะว่าเราเห็นพล็อต ตัวนางมีปัญหา-เจ้าของรีสอร์ต และมี Age Gap มาเยอะมากจนเดาทางได้ แต่การจับคู่แบบ เพื่อน-เพื่อน ที่มีบุคลิกรูปร่างแบบเบิกฟ้าและเพื่อนของเขา รวมถึงแบ็คกราวน์ของเบิกฟ้าที่เป็นตัวนาง การแก้ปัญหาของพล็อตตรงนี้จะต่างกับการจับคู่แบบแรกมากครับ พล็อตต้องคิดเยอะขึ้นมากถ้ามันสมจริง และมันน่าสนใจกว่าเยอะ การจับคู่หลักของเรื่องผมโอเคนะ เพราะว่าตัวพล็อตมันมีอะไรซับซ้อนกว่าที่เห็น และนิสัยตัวละครนางก็เด่นจนกลบพวกพล็อต ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท ไปจนหมดเลย (ไม่บ่อยที่เราจะเจอตัวนางแบบคณิต และคาแรกเตอร์ผู้หญิงแสนดีขนาดหวานครับ มันเลยทำให้การดำเนินพล็อตน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจำเจ)

จุดที่สี่ ชื่นชมเรื่องการควบคุมโทนเรื่องครับ แต่ยังมีปัญหาที่ทำให้โทนเรื่องไม่สม่ำเสมอจากสามจุดด้านบนที่กล่าวมาแล้ว โทนเรื่องนี้เป็นแบบสบายๆปนขำขัน แต่มีความเรียล ความหน่วง มิติและแบ็คกราวน์ตัวละครแน่นทำให้ดูน่าสนใจครับ แต่ปัญหาคือบางจุดที่เป็นโทนเศร้า ก็มีปัญหาอย่างที่ผมบอกไปด้านบน(ฉีกโทน ไม่ดิ่งจนสุด) โทนวาบหวาม (ก็มีปัญหาการเว้นเคาะบรรยาย ไม่สุดอีก) โทนจริงจัง (เจอคาแรกเตอร์ภาคีไปทีนี่ผมว่าลอจิกตัวละครนี้ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ แล้วครับ ดูมีไบแอสมากแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ของเพื่อนสนิท) สิ่งที่สม่ำเสมอตลอดคือโทนขำขันปนสนุกสนาน อย่างฉากคณิตอยู่กับเพื่อนๆที่ทำงาน เอาจริงๆไมว่าคณิตอยู่กับฉากไหน เขาจะดึงเรื่องได้ดีขึ้นมากๆครับ คุณคนแต่งเขียนคณิตออกมาได้ดีที่สุดเลย คาแรกเตอร์เด่นมาก สมจริงมาก โลเลแต่มีความแข็งแกร่ง และฉลาด มีอารมณ์ขันอีก สุดยอดครับ ผมชอบหลายๆฉากที่มีคณิตนะครับ เป็นฉากที่ดีมาก เช่น ช่วงที่คณิตโดนข่มขืนจนถึงคณิตติดต่อคุณหญิงแม่เพื่อแก้ไขปัญหา, ช่วงที่อชิตะโดนพี่ชายสามคนของคณิตซ้อม (อันนี้บรรยายได้หนักหน่วง บ่งบอกความรักน้องได้ชัดเจนมากครับ ออกมาแค่บทเดียว แต่เนื้อความและนัยยะครบถ้วน ได้ใจผมไปเต็มๆเลยสำหรับตัวละครพี่ชาย ให้คะแนนเต็มในฐานะทำหน้าที่ครบถ้วนและสมเหตุสมผลมาก ตัวละครแม่เองซะอีกที่ดูจืดจาง ว่าดูเหมือนอะไรกัน...ไม่ได้รักลูกเลยเรอะ ลูกถูกข่มขืนนะเฮ้ย)



เพิ่มเติม 1 : คุณไอเก่งนะครับ ทำให้ผมเกลียดพระเอกได้เนี่ย (หัวเราะ) ปกติผมจะไม่ค่อยตัดสินคนเท่าไหร่นะ แต่อย่างอชิตะนี่ผมคบไม่ได้จริงๆแฮะ (หัวเราะ) คนแบบนี้ผมคบไม่ได้ครับ งูพิษชัดๆ คือมึงจะเอาแต่ใจมากเกินไปละ ผมยังงงอยู่ว่าที่เหลือ 5 ตอน มันจะหาทางลงยังไงให้มันเมคเซนส์กับการกระทำทั่วๆไปของมนุษย์ที่เจอได้ในสังคม แต่ไม่เป็นไรครับ อะไรที่เราปรับได้ก็ค่อยๆปรับ ถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนไป

เพราะจากที่ผ่านๆมา ก็มีทั้งพี่ชายคณิต ทั้งภาคี(ที่ ณ ตอนนี้น่าจะคิดได้แล้ว) ผมไม่คิดว่าอชิตะจะพร้อมรับมือสองกลุ่มนี้นะครับ เพราะถ้าผมเป็นพี่ชายคณิต ผมก็ไม่เอาไว้นะ น้องผมไม่ใช่ของที่คุณจะมาเล่นแล้วมันพัง เพราะคุณ 'ซ่อม' คนไม่ได้ คุณอาจทำให้เขากลับมาดีคืนผมได้ แต่บาดแผลในใจคุณลบมันไม่ได้ เป็นผมนี่ผมให้คณิตกลับมาทำงานที่บ้านเลย เดี๋ยวเปิดบริษัทให้ ไม่ก็เป็นฟรีแลนซ์ น้องคนเดียวผมมีปัญญาเลี้ยง ไอ้บ้านั่นโผล่มาเมื่อไหร่ เหยียบเท้าเข้าบ้าน ผมยิงนัดเดียวเข้าจุดตายอะ ไม่ผิดด้วย มึงบุกรุก (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 25 UP 23-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-07-2017 16:47:32
แอบมาชะแว็บดู เพราะคิดว่าเรื่องน่าจะหนักหน่วงอยู่ไม่น้อย
ตอนอิงบอกหนึ่งว่า "หวานท้องกับผม" แล้วก็... "แต่ผมคงไม่กลับมาที่นี่แล้ว" นี่คือ เจ็บปวดไปกับหนึ่งเลย
เข้าใจว่ากว่าจะมาถึงจุดที่หนึ่งยอมทำตามใจตัวเองทั้งที่รู้สึกผิดมันไม่ง่าย เหมือนจะมีความสุขแต่ต้องแบกรับกับความรู้สึกผิดบาปในใจตลอดเวลา สุดท้ายสิ่งที่ได้รับเป็นแบบนี้น่ะหรือ
จากที่หนึ่งเคยพูดถึงพี่อิงที่ปล่อยมือจากคนรักง่าย ๆ ทั้งหวาน ทั้งหนึ่ง ทั้งที่ว่ารักนักหนา แล้วรู้สึกว่าผู้ชายแบบนี้จะฝากชีวิตไว้ด้วยได้หรือ
คนเขียนบอกเหลืออีกเจ็ดตอน นึกไม่ออกเลยว่าจะจบแบบสุขนาฏกรรมของความรักได้ยังไง
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 26 UP 25-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-07-2017 23:38:58
26

เจ็บ...แต่ก็สมควร หมัดหนักที่กระแทกใส่หน้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ละหมัดที่ต่อยลงมาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้นและผิดหวังในตัวเขา ซึ่งทุกหมัดก็แค่ทำให้เจ็บ กลิ่นเลือดคลุ้งในปาก หากมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เมื่อเขาต้องเลือกอีกครั้ง เลือกรับผิดชอบชีวิตของณัชชาและลูกในท้องของเธอ

ทำยังไงได้ในเมื่อณัชชาไม่รู้ว่าใครคือพ่อของลูกในท้อง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียงแค่คืนเดียว กลับฝากชีวิตหนึ่งที่จะต้องโตเติบและต้องมีพ่อคอยโอบอุ้ม อดีตผู้หญิงที่เขารักไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ณัชชาไม่อยากให้บิดาผู้เคร่งครัดและมารดาซึ่งเจ้าระเบียบ รู้ว่าลูกสาวคนเดียวทำตัวเหลวไหล สร้างความอับอายให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยการท้องไม่มีพ่อ สร้างความอับอายให้วงศ์ตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตามายาวนาน การเป็นตระกูลผู้ดีเก่าแก่เป็นดังกรอบของสังคมที่กำหนดให้ลูกหลานต้องมีชีวิตที่ดีงาม การท้องไม่มีพ่อ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เชิดหน้าชูตาได้

เมื่อณัชชาไม่รู้จะแก้ปัญหาของตัวอย่างไร และเขาก็สมควรรับผิดชอบความทุกข์ร้อนของหญิงสาว บทสรุปจึงเป็นแบบนี้ แบบที่เขาต้องเลือกเลิกรากับคนที่เคยใช้ความพยายามอย่างมากในการได้มาครอบครอง หากกลับต้องผลักไสออกไปจากชีวิตด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค ทำเหมือนการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีความหมาย และคณิตไม่มีความสำคัญมากไปกว่าคนที่เคยนอนด้วยกัน ทั้งที่ความจริงคณิตคือความรัก ทุกวันนี้ก็ยังรัก ยังคิดถึง อยากเจอ อยากกอด อยากสัมผัส อยากทำทุกอย่างที่เคยทำร่วมกัน

นึกแล้วก็ตลกแต่มันขำไม่ออก เขากลัวคณิตจะหนีจากเขาไป เฝ้าหวงไม่ยอมให้คลาดสายตา คอยกำหนดชีวิตแต่ละวันของอีกฝ่ายให้เป็นไปแบบที่เขาต้องการ เข้านอนพร้อมเขา ตื่นนอนพร้อมเขา จะไปไหนต้องมีเขาตามไปด้วย หรือไม่ก็ต้องมีคนของเขาเฝ้าติดตาม ไม่ต่างจากการจับคณิตใส่กรงขังที่มองไม่เห็น ท้ายแล้วก็เป็นเขาเสียเองที่ไล่คณิตออกไปจากชีวิต

เขาที่เฝ้าพูดมาตลอดว่าจะไม่มีวันทิ้งคณิต ไม่มีทางปล่อยมือจากผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด แต่วันนี้...เขากลับทำไม่ได้อย่างที่พูดในวันนั้น

‘แล้วผมล่ะ’

คำถามที่คลุ้งไปความเจ็บปวด คำตอบของเขายิ่งทำให้คนถามเหมือนจะแหลกสลายในนาทีนั้น ลูกตาเล็กของคณิตเล่าทุกความรู้สึกออกมาจนหมด คณิตเจ็บปวด...เขาก็ไม่ต่างกัน ไม่ได้น้อยกว่ากันเลย

ใช่ว่าในความใจร้ายจะไม่มีความเจ็บปวด

“พี่อิง คิดอะไรอยู่คะ” คำที่ถูกถามดึงอชิตะออกมาจากภวังค์ความคิด เขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มีณัชชานั่งอยู่ข้างๆ ทำแผลบนหน้าผากด้านซ้ายให้เขาอย่างเบามือ เนื่องจากตอนที่โดนต่อยล้มไปกองพื้น หน้าผากเขากระแทกกับมุมโต๊ะเข้าให้ ดีที่ได้แค่เลือด
ไม่ถึงขั้นต้องไปหาหมอให้เย็บแผล

“ไม่มีอะไรครับ พี่ว่าหวานขึ้นไปนอนนะ ดึกแล้ว” อชิตะเปลี่ยนเรื่อง เขาให้ณัชชาย้ายมาอยู่บ้านที่กำลังจะกลับไปเป็นเรือนหอของเธออีกครั้ง

“ดึกที่ไหนล่ะคะ ยังไม่ถึงสองทุ่มเลย” หญิงสาวทำหน้ายู่ที่ถูกไล่ไปนอน รู้ว่าอชิตะเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเธอที่เปลี่ยนแปลงไป เธอมักจะเหนื่อยง่าย แต่ก็ไม่มีอาการแพ้ท้องให้น่าเป็นห่วง

“พรุ่งนี้เราต้องไปพบคุณพ่อคุณแม่ของหวานแต่เช้านะ จำไม่ได้หรือไง ไป...ขึ้นไปนอนได้แล้ว พี่ไปส่ง” บอกพลางลุกขึ้น ดึงว่าที่คุณแม่ให้ลุกตาม

พรุ่งนี้เป็นคิวที่เขาจะต้องไปหาบิดามารดาของณัชชา เพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้นและกำหนดฤกษ์แต่งที่เร็วที่สุด จะใช้ฤกษ์เดิมก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นท้องของเจ้าสาวจะโตจนเป็นที่ผิดสังเกตของแขกในงาน ซึ่งมันจะทำให้ชื่อเสียงของฝ่ายเจ้าสาวเสียหาย ถูกนินทา ส่วนบิดามารดาของเขา วันนี้เขากับณัชชาได้เข้าไปบอกพวกท่านเรียบร้อยแล้ว และพรุ่งนี้ท่านทั้งสองก็จะตามไปด้วย
วันนี้ตอนที่เข้าไปบอกบิดากับมารดาของเขา แม้มารดาจะยินดี ที่เขาทำให้ท่านสมใจ ได้ลูกสะใภ้อย่างที่หวังไว้แต่แรก แต่ในความยินดีนั้นก็มีความเคลือบแคลงสงสัย เพียงแต่ไม่พูด ไม่ถาม

“พี่อิงจะไปทั้งหน้าแบบนี้เหรอคะ” ณัชชาถามอย่างไม่แน่ใจ “แผลหายแล้วค่อยไปก็ได้” เธอเสนอความคิด

“นัดผู้ใหญ่ไว้แล้วก็ต้องไป พี่ไม่อยากให้เสียเวลาด้วย”

“หวานกลัวพ่อกับแม่เสียใจ” ใบหน้าหญิงสาวหม่นแสงลง

“แต่ท่านจะดีใจที่หวานมีหลานให้ท่านอุ้มมากกว่านะ” อชิตะพูดปลอบ ลูบศีรษะว่าที่คุณแม่เพื่อให้กำลังใจ

“แต่ทุกคนจะรู้ว่าหวานท้องก่อนแต่ง พ่อกับแม่ต้องอายคนอื่นเพราะหวาน” เสียงของณัชชาเศร้าลงไปอีก นึกถึงสิ่งที่จะตามมา เธอท้องได้สิบสัปดาห์แล้ว และไม่รู้ว่าฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่สุดจะเป็นวันไหน ยิ่งแต่งช้า ท้องก็ยิ่งโต หลังแต่งงานเมื่อถึงเวลาคลอด ทุกสิ่งจะฟ้องความจริงทั้งหมดออกมาว่าเธอท้องก่อนแต่ง ต่อให้มีพ่อของเด็กแล้วก็ตาม...

...คืนนั้นเธอไม่น่าไปเที่ยวผับเลย เธอคงไม่ต้องตื่นขึ้นมาบนเตียงของผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เธอไม่อยากนึกถึง เพราะมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้นและเช้าวันต่อมา ที่เธอตื่นขึ้นมา แล้วไม่ได้พบแค่เขา ทว่ายังมีผู้หญิงของเขาที่เปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด ด่าว่าเธอด้วยคำหยาบคาย ทำให้เธอหน้าชาด้วยการตั้งข้อหาว่าเธอคือ ‘ชู้’

แล้วเธอจะกล้าเอาเรื่องลูกไปพูดกับผู้ชายคนนั้นได้ยังไง หลอกตัวว่าไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครซะดีกว่า

“บางเรื่องมันก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา ก็ต้องปล่อยมันไป คุณอาเขมกับคุณน้าน้องต้องแคร์ความรู้สึกของลูกของท่านมากกว่าคำพูดของคนอื่น หวานไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเครียด พี่จะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง หากท่านจะด่าว่าหรือตำหนิอะไรหวาน พี่จะรับไว้ทั้งหมด”

“หวานทำให้พี่อิงลำบาก” หญิงสาวน้ำตาคลอ “...หวานขอโทษ หวานไม่น่ามาปรึกษาพี่อิง ทำให้พี่อิงต้องรับผิดชอบอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองเลย”

“ไม่ขี้แยสิครับ หวานโตแล้วนะ จะเป็นแม่คนแล้ว” อชิตะเช็ดน้ำตาเม็ดเล็กที่หล่นบนแก้มหญิงสาว “เราสองคนเคยรักกันนะหวาน พี่จะทิ้งหวานได้ยังไง พี่ดีใจที่หวานเลือกมาหาพี่ ให้พี่ช่วยแก้ปัญหา เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หวานรับมือคนเดียวไม่ได้ หวานต้องมีพี่” ว่าแล้วก็ดึงร่างเล็กเข้ามากอดปลอบโยน

ณัชชาซุกหน้ากับอกอุ่นที่คุ้นเคย เธอยังรักอชิตะ ยังรักอยู่มาก ลึกๆ เธอดีใจเหลือเกิน หากพ่อของลูกเธอคือผู้ชายที่เธอรัก   

“พี่อิงรักหวานไหม” ถามทั้งที่รู้คำตอบดี อ้อมกอดของอชิตะไม่ได้เป็นของเธออีกแล้ว แม้เขาจะโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอยู่ก็ตาม

“รัก”

รัก...ที่ไม่เหมือนเดิม

“โกหก” เธอต่อว่า เสียงไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ “พี่อิงไม่ได้รักหวานแล้ว” ณัชชาค่อยๆ ถอนตัวเองออกจากวงแขนที่โอบกอดเธอไว้ ฝืนยิ้มกับความจริงที่ไม่สามารถวิ่งหนีได้

 “รักแบบที่ผ่านมา มันอาจหมดไปนานแล้ว แต่รักแบบตอนที่เราเป็นเด็ก มันยังมีอยู่เหมือนเดิมนะหวาน” อชิตะยังจำวัยเด็กที่ณัชชาเป็นน้องรักของพวกเขาทั้งสี่คนได้ เขาและพี่ชายไม่มีน้องสาว ณัชชาจึงกลายเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของพวกเขา

“บอกว่ารักเหมือนพี่น้องตรงๆ ก็ได้ หวานรับได้ เลิกเสียใจแล้วค่ะ” ณัชชายิ้ม ฝืนยิ้มให้เหมือนคำพูดของตัวเอง

“พี่ขอโทษที่รักหวานเหมือนเดิมไม่ได้” ชายหนุ่มวางมือไว้บนศีรษะณัชชา แล้วลูบอย่างที่ชอบทำ เขาเห็นหญิงสาวยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ไม่ได้สดใสเหมือนเคย 

“เอาแต่ขอโทษกันไปมา หวานก็ไม่ได้นอนพอดี” ณัชชายิ้มอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นยิ้มที่ยังไม่สดใสเช่นเคย “หวานไปนอนแล้วนะคะ พี่อิงไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ หวานขึ้นไปนอนเองได้ พี่อิงทำงานต่อเถอะ”

ณัชชาลุกเดินออกมา แต่พอเดินไปถึงประตูห้องนั่งเล่น เธอก็หันกลับไปมองอชิตะ พบว่าชายหนุ่มนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าลังเล สับสน...และเจ็บปวด

ภาพที่เห็นทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายชั่วโมงก่อน

‘หัวใจบอสทำด้วยอะไร บอสทำกับมันแบบนั้นได้ยังไง’ มันคือคำถามของอดีตลูกน้องของอชิตะ ภาคีมาด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความผิดหวังที่รุนแรง 

แล้วเธอล่ะ หัวใจเธอทำด้วยอะไร ทำไมถึงเอาปัญหาของตัวเองไปสร้างปัญหาให้คนอื่น ทำไมไม่รับผิดชอบตัวเอง ...ไม่ควรมีใครต้องเจ็บปวดเลย   

‘บอสทำมัน แต่บอสไม่รับผิดชอบมัน คำสัญญาของบอส มันอยู่ไหน บอสเอาคำเหี้ยๆ ของตัวไปทิ้งที่ไหน บอสทำได้ยังไงวะ!’ ภาคีตะคอกใส่หน้าอชิตะ ขณะที่เธอได้แต่ยืนมอง ใจอยากจะพูด อยากอธิบาย แต่ปากมันหนักเกินกว่าจะเอ่ยคำใดออกมา เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอเอง...

อชิตะไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ไม่แม้แต่จะปกป้องตัวเองในยามที่ภาคีปล่อยหมัดใส่หน้า อชิตะปล่อยให้ภาคีได้ระบายความโกรธแค้นแทนเพื่อนเท่าที่อีกฝ่ายต้องการ

 “พี่อิง” เธอเดินกลับมาที่เดิม มาหยุดตรงหน้าคนที่เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ โลกบนจอสี่เหลี่ยมที่มีรูปใบหน้าบึ้งตึงของคณิตอยู่ในนั้น จนเธอต้องเรียกเขาอีกครั้ง อชิตะถึงรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมองและถามเธอ

“ทำไมยังไม่ขึ้นไปนอน” อชิตะคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง ไม่ให้ณัชชาเห็นว่าเขากำลังนั่งมองรูปของใครอยู่ หารู้ไม่ว่าณัชชาเห็นมันแล้ว

“ไม่ต้องแต่งงานได้ไหม ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องของหวาน ให้มันเป็นปัญหาของหวานคนเดียว ตอนนี้หวานอาจยังแก้ปัญหาเองไม่ได้ แต่ถ้าหวานมีเวลาคิดอีกนิด หวานอาจแก้มันได้ด้วยตัวเอง” หญิงสาวบอกอย่างเด็ดเดี่ยว...ช้าไปไหมที่เธอจะทิ้งความเห็นแก่ตัว

“หวานแก้ปัญหาเองไม่ได้ หวานต้องมีพี่ ลูกต้องมีพ่อนะหวาน ถ้าหวานยังไม่รู้ว่าพ่อของลูกคือใคร พี่ก็คือพ่อ คือสามีของหวาน” อชิตะดึงแขนณัชชาให้นั่งลง ลูบศีรษะอย่างเบามือเพื่อให้หญิงสาวคลายความคิดของตนลง เขาปล่อยให้ณัชชาเผชิญปัญหาเองไม่ได้ ณัชชาเปราะบางเกินไป ต้องมีเขาปกป้องดูแล

ทว่าณัชชากลับยืนยันหนักแน่นในความคิดของตัวเอง

“หวานจะไม่แต่งงานกับพี่อิง หวานจะไปอยู่ต่างประเทศ เมื่อไรที่หวานกล้าเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง หวานจะกลับมาค่ะ” เธอน่าจะคิดได้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่มาคิดได้เอาตอนที่ปัญหาของเธอได้สร้างปัญหาให้คนอื่นไปแล้ว

“ไม่ได้หวาน พี่ไม่ยอมให้หวานทำแบบนั้นแน่” อชิตะมองเด็กดื้อด้วยสายตาจริงจัง “หวานต้องแต่งงานกับพี่”

“หวานไม่แต่ง”

“ถ้าหวานไม่แต่ง พี่จะโทรบอกคุณน้ากับคุณอาตอนนี้เลย บอกว่าหวานท้องกับใครที่ไหนไม่รู้ และกำลังคิดจะหนีไปต่างประเทศ เลือกเอานะหวาน”

“พี่อิง! ทำไมต้องขู่หวานด้วย” ณัชชาร้องเสียงดังอย่างขัดใจ เธอพยายามจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองอยู่นะ

“อย่าขึ้นเสียงกับพี่” อชิตะดุหญิงสาว

“แต่หวานไม่อยากให้พี่อิงรับผิดชอบเรื่องนี้ หวานก่อเองก็ต้องแก้เอง” หญิงสาวบอกเสียงอ่อนลง

“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกนะหวาน” ชายหนุ่มตัดบท

“แต่งก็แต่งค่ะ แต่หลังคลอด เราหย่ากันนะคะ” เป็นอีกวิธีที่ณัชชาคิดได้ มันน่าจะดีต่อเธอและอชิตะ เขาจะได้กลับไปหาคนที่เขารัก

“ใครใช้ให้คิดแบบนี้ห๊ะ” อชิตะดุอีกครั้ง “การแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะหวาน พี่ตัดสินใจแต่งงานกับหวาน เพราะจะเป็นพ่อของลูกหวาน นั่นหมายความว่าพี่จะเป็นตลอดไป มันจะไม่มีการหย่าเกิดขึ้น”

“แต่พี่อิงไม่ได้รักหวานแล้ว เราจะอยู่กันไปได้ยังไง อยู่กันแบบไหน หวานไม่อยากให้พี่ทรมานไปจนตาย แล้วหนึ่งอีกล่ะ พี่ไม่อยากกลับไปหาเขาเหรอ” ณัชชาย้อนถามหวังให้อชิตะเปลี่ยนใจ เห็นตามไปกับวิธีของเธอ

“เราจะคุยกันแค่เรื่องของเรานะหวาน ตรงนี้มีแค่หวานกับพี่”

“แต่...”

“สิ่งที่หวานต้องเลือกคือให้พี่เป็นพ่อของลูก เป็นสามีของหวานไปจนกว่าหวานจะเจอคนที่หวานรัก คนที่ดูแลหวานและลูกต่อจากพี่ได้ เมื่อถึงวันนั้นพี่จะหย่าให้ แต่ถ้าหวานยังไม่รักใคร หวานจะมีพี่ พี่จะไม่ทิ้งหวานกับลูกไปไหน”

...เธอจะรักใครได้อีก ก็ในเมื่อเธอรักแต่พี่อิงของเธอมาตลอดชีวิตแล้ว

“เข้าใจแล้วนะ เข้าใจแล้วก็ขึ้นไปนอน พรุ่งนี้เราสองคนต้องรับศึกหนักรู้ไหม” เพราะบิดาผู้เข้มงวด มารดาเจ้าระเบียบคงไม่ยินดีเท่าไรที่ลูกสาวคนเดียวท้องก่อนแต่ง มิหนำซ้ำยังท้องกับผู้ชายที่เลิกรากับลูกสาวตนไปแล้ว พรุ่งนี้เขาต้องโดนหนักแน่ รวมถึงบิดามารดาของเขาด้วย เพราะเมื่อเดือนก่อนท่านทั้งสองเพิ่งเข้าไปพูดเรื่องถอนหมั้นณัชชาให้เขา พรุ่งนี้เลยไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง

“หวานรักพี่อิง อยากอยู่กับพี่อิงไปตลอดชีวิต ไม่อยากเสียพี่อิงให้ใคร แต่หวานก็ไม่อยากให้พี่อิงต้องทรมานหัวใจตัวเองไปตลอดชีวิตเหมือนกัน หวานจะทำไงดี” เธอโผเข้าหาอ้อมแขนที่ดึงเธอเข้าไปปลอบโยน น้ำตาหญิงสาวไหลเป็นทางยาว “ที่หวานมาหาพี่อิง เอาเรื่องท้องมาปรึกษา ลึกๆ แล้วหวานหวังให้พี่อิงรับเป็นพ่อของลูกหวาน อยากให้ลูกในท้องเป็นลูกของเราสองคน เหมือนที่พี่กับหวานวางแผนสร้างครอบครัวด้วยกัน” ณัชชาสารภาพความในใจ มันคือความเห็นแก่ตัวของเธอ

“พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไง ไม่ไปไหน” 

“แต่ใจของพี่อิงไม่ได้เป็นของหวาน มันไม่ได้อยู่ที่หวานแล้ว” ณัชชาขยับฝืนตัวออกมา มองหน้าอชิตะอย่างตัดพ้อ เธอจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เธอรักไปตลอดชีวิตได้เหรอ ทั้งที่รู้ว่าหัวใจเขาไม่ได้เป็นของเธออีกต่อไปแล้ว ทุกคืนที่เขานอนกอดเธอ หัวใจเขาจะไปกอดคนอื่น คนที่เขารัก เธอจะทนได้หรือ?

“มันไม่สำคัญหวาน สิ่งที่สำคัญคือพี่จะดูแลหวานให้ดีที่สุด” อชิตะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าหญิงสาว มีแต่คนร้องไห้เพราะสิ่งที่เขาเลือกทำ

ครั้งที่ผ่านมา เขาเลือกเพราะหัวใจ แต่ครั้งนี้ เขาเลือกเพราะเหตุผลและความรับผิดชอบ

“แต่ก็ไม่มีหัวใจให้หวาน” เป็นความจริงที่ณัชชาเจ็บปวด ความรักที่เคยได้รับมาตลอดหลายปี หมดลงในเวลาไม่กี่เดือน มันยากจะทำใจให้ยอมรับ “จะมีโอกาสไหมที่พี่อิงจะกลับมารักหวานเหมือนเดิม เหมือนเมื่อก่อนตอนที่เรารักกัน”
อชิตะตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเอาความรู้สึกทั้งหมดเป็นคำตอบให้กับคำถามของณัชชา

“พี่ไม่อยากเปลี่ยนหัวใจตัวเอง” ...หัวใจที่โลเล มันไม่มีทางมีความสุข

“ขอบคุณพี่อิงที่ไม่ให้ความหวังหวาน หวานจะได้ไม่ต้องหวังว่าจะได้ความรักของพี่อิงคืนมา” ณัชชาเจ็บมาก ทว่ามันก็น้อยกว่าครั้งแรกที่ความรักของอชิตะจากเธอไปเป็นของคนอื่น

v
v
อ่านต่อความเห็นข้างล่างนะคะ


หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 26 UP 25-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 25-07-2017 23:40:34
“บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น แกกับน้องหวานจะแต่งงานกัน แล้วหนึ่งล่ะ ฉันงงไปหมดแล้ว” เจ้าของห้องทำงานเงยหน้าจากซองกระดาษสีชมพูหวานขึ้นมาตั้งคำถาม หลังจากสอดการ์ดสีขาวคืนกลับเข้าไปในซอง การ์ดที่ระบุรายละเอียดของงานพิธีสมรสในช่วงเช้าและฉลองสมรสในช่วงเย็น

ซึ่งมีชื่อเจ้าบ่าวคืออชิตะ เพื่อนที่ยามนี้ขอบตาคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ออร่าของความเป็นเจ้าบ่าวในอีกไม่ถึงสองเดือนไม่มีเลย อชิตะเหมือนคนอมทุกข์ เพื่อนของเขาไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว   

หมอพิษณุตกใจมากที่ได้รับการ์ดแต่งงานของอชิตะกับณัชชา ทั้งคู่เลิกกันแล้ว และเพื่อนของเขาก็หันไปคบกับลูกน้องตัวเอง ทั้งยังพาไปอยู่ในบ้านด้วยกัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น คณิตหายไปไหน?

“ฉันกับหนึ่งเลิกกันแล้ว” อชิตะตอบเพื่อน

“ไปด้วยกันไม่ได้?” 

“เปล่า”

“แล้วเพราะอะไร” พิษณุถามต่อ สำหรับเรื่องอื่นหมอพิษณุคงไม่เซ้าซี้ถาม หากเพื่อนไม่คิดจะบอกเอง ยกเว้นเรื่องนี้ที่เขาอยากได้คำตอบ รวมทั้งเหตุผลของการเลิกรา ที่สำคัญกว่านั้นคือวันแต่งงานที่ถูกกำหนดให้เร็วขึ้นกว่าฤกษ์เดิม

“หวานท้อง”

“ท้อง?” พอเพื่อนพยักหน้า พิษณุก็ถามต่อ เป็นคำถามที่คนถูกถามถึงกับผงะ “ท้องกับใคร?”

“ถามแบบนี้ทำไม หวานก็ต้องท้องกับฉันสิวะ” ว่าที่เจ้าบ่าวแสร้งทำเสียงเข้มให้เหมือนว่ากำลังไม่พอใจที่หมอพิษณุถาม

“ฉันรู้จักแกดีนะอิง” พิษณุจ้องตาเพื่อน พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่ “แกบอกโดยพฤติกรรมมาตลอดว่าไม่เคยมีอะไรกับน้องหวาน และตอนที่เกิดเรื่องหนึ่ง แกคงไม่บอกเลิกน้องหวานง่ายขนาดนั้น ถ้าแกมีอะไรกับน้องหวานแล้ว ฉันพูดถูกใช่ไหม” ตบท้ายด้วยคำถาม

อชิตะพยักหน้าแทนคำตอบ

“รู้ไหมว่าใครเป็นพ่อเด็ก”

“หวานบอกว่าตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่เจอใครในห้องแล้ว”

“เป็นไปได้เหรอ น้องหวานจะไม่รู้ว่าเป็นใคร” หมอสัตว์ติดใจสงสัย 

“แกสงสัยอะไร”

“แค่คิดว่าน้องหวานอาจรู้ แต่ไม่บอก” คุณหมอพูดตามที่คิด แล้วย้อนถาม “หรือแกไม่คิด ไม่สงสัย”

“หวานไม่บอก แสดงว่าหวานไม่อยากพูดถึงหมอนั่น” ใช่ว่าอชิตะจะไม่สงสัย แต่ในเมื่อณัชชาไม่ต้องการพ่อของลูก เขาก็ไม่อยากเค้นเอาความจริงอะไร บางทีผู้ชายคนนั้นก็ไม่เหมาะจะเป็นพ่อของใครได้

“แกเลยรับเป็นพ่อเด็ก แทนที่จะตามหาพ่อตัวจริงมารับผิดชอบสิ่งที่มันทำ ฉันว่าแกเลือกวิธีผิดไปนะอิง” หมอพิษณุติง ไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของเพื่อน

“แต่สำหรับฉัน มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด” อชิตะเชื่อว่าอย่างนั้น ไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่าการรับเป็นพ่อของลูกณัชชา แม้ตัวเขาจะเจ็บปวดก็ตาม “ฉันรู้สึกผิดว่ะหมอ ที่หวานต้องเจอเรื่องนี้เป็นเพราะฉัน ฉันต้องรับผิดชอบ"   

“แกรับผิดชอบด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดของแกก็ได้ ที่ฉันพูดไม่ใช่ฉันไม่สงสารน้องหวาน ยังไงน้องหวานก็เหมือนน้องฉันคนหนึ่ง เพียงแต่ฉันอยากให้แกทบทวนใหม่อีกครั้ง คิดด้วยหัวใจ ไม่ใช่ความรู้สึกผิด ไม่อย่างนั้นแกจะอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ผิดทั้งกับตัวเองและกับคนที่แกบอกฉันว่าแกรักเขา คนที่แกทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามา แต่พอแกทำได้ แกกลับทิ้งเขา”

“แกเคยบอกให้ฉันปล่อยหนึ่งไป ฉันก็ทำตามแล้วไง” อชิตะอ้างคำพูดของหมอพิษณุในวันที่เอาเรื่องคณิณมาปรึกษา

‘...เหนื่อยว่ะ’ คำพูดของอชิตะในวันที่มารดาตนตบหน้าคณิตต่อหน้าคนทั้งบริษัท

‘เหนื่อยก็หยุดก่อนดีไหม’ คือคำที่หมอพิษณุแนะนำเพราะห่วงเพื่อน

‘ถ้าฉันหยุด ก็เท่ากับว่าฉันปล่อยหนึ่งไป...ฉันจะทำไงดีวะ’

‘ถ้าหนึ่งไม่รักแก แกก็ควรปล่อยหนึ่งไป คนไม่รักกันอยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุข’

‘แต่ฉันรัก’

‘แกรัก แต่หนึ่งไม่ได้รัก ต่อให้พยายามกังขังหนึ่งไว้แค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องหนีไปจนได้ ขอโทษที่ฉันต้องพูดแบบนี้ แต่ถ้าแกคิดว่าแกรักหนึ่งจริง ก็ควรปล่อยหนึ่งไป แกไม่อยากเห็นหนึ่งมีความสุขหรือไง’

‘ขอบใจสำหรับคำแนะนำ แต่ฉันทำไม่ได้’

แม้ครั้งหนึ่งหมอพิษณุเคยพูดบอกให้เพื่อนปล่อยมือจากคณิตเสีย เพราะไม่อยากเห็นเพื่อนเหนื่อยกับการไล่ล่าความรักของคนที่เอาแต่วิ่งหนี ทว่าเมื่อความพยายามของอชิตะสำเร็จ คณิตยอมหยุดที่จะวิ่งหนี หันกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันกับอชิตะ วันนี้คำแนะนำของหมอพิษณุจึงเปลี่ยนไป   

“นั่นมันตอนนั้น ตอนที่หนึ่งเอาแต่วิ่งหนีแก ไม่ใช่ตอนนี้ที่สถานการณ์มันเปลี่ยนไป หนึ่งไม่ได้หนีแกไปไหนอีกแล้ว”

“ฉันเลือกไปแล้ว”...เลือกที่จะทิ้งคณิต เขามันบ้า   

“เลือกใหม่อีกครั้งก็ได้อิง ถ้ามันทำให้แกมีความสุข” คุณหมอแนะนำเพื่อนเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้อะไรมันสายเกินแก้ “แกควรใช้ชีวิตเพื่อคนที่แกรัก ไม่ใช่รับผิดชอบความผิดของตัวเอง ถ้าแกอยากรับผิดชอบมากละก็ แกควรรับผิดชอบชีวิตผู้ชายที่แกข่มขืนเอาเป็นเมีย มากกว่าจะรับเป็นพ่อของลูกในท้องน้องหวาน”

ทันทีที่หมอพิษณุพูดจบ เสียงจากนอกห้องก็ดังขึ้น ดังเข้าให้ได้ยินเพราะประตูห้องทำงานของคุณหมอปิดไม่สนิท
เป็นเสียงหมอกานต์ 

“อ้าวเบียร์ มายืนทำอะไรตรงนี้ กาแฟคุณฟ้าฝากมาให้คุณหมอไม่ใช่เหรอ ยังไม่เอาไปให้อีก ดูสิ ละลายหมดแล้วมั้ง” ถามเสร็จ คนถามก็เดินเลยไปยังห้องครัวหลังคลินิก จึงไม่ทันเห็นอาการตกใจบนใบหน้าของหมอหนุ่มรุ่นน้องสถาบันเดียวกัน
แล้วประตูห้องก็เลื่อนเปิด ก่อนคุณหมอสัตว์อายุน้อยที่สุดในคลินิกจะก้าวเข้ามา ในมือปุริมมีแก้วกาแฟเย็นของหมอพิษณุที่คนรักหนุ่มฝากมาให้

“คุณฟ้าฝากมาครับพี่นุ” ปุริมยื่นแก้วกาแฟให้หมอพิษณุ อีกฝ่ายรับมาถือ พลางดึงทิชชูใกล้มือมาเช็ดหยดน้ำรอบแก้ว แล้ววางลงบนที่รองแก้วบนโต๊ะ

แต่ปุริมก็ยังไม่เดินออกไป

“มีเรื่องจะคุยกับพี่หรือเปล่า” พิษณุอ่านจากสีหน้า ปุริมเหมือนมีเรื่องอยากพูด

“ผมว่าบ่ายนี้จะขอลาไปทำธุระ คือผมเพิ่งรู้เมื่อกี้เองครับ เลยไม่ได้ลาไว้ก่อน”

“ไปสิ ถ้าธุระมันด่วนมาก ไปตอนนี้เลยก็ได้ พี่ดูเวรให้เอง ไปเถอะ” 

“ขอบคุณครับพี่นุ” ปุริมยกมือไหว้เจ้าของคลินิก ก่อนหมุนตัวเดินออกมาพร้อมกับคำถามในใจที่ต้องการคำตอบให้เร็วที่สุด
 
**************************

เสียงดนตรีสดใสดังเบามาจากประตูร้าน แสดงว่ากำลังมีลูกค้าหรือใครคนหนึ่งเข้ามาในร้านดอกไม้แห่งนี้ เจ้าของร้านเงยหน้าจากหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเย็นวานหลังจากไปแจกการ์ดแต่งงานให้กับเพื่อนฝั่งเจ้าบ่าวเสร็จ และวันนี้เธอควรจะไปกับเขาด้วย หากแต่สถานที่แห่งนั้นเธอไม่ต้องการเหยียบเข้าไปอีก เพราะไม่อยากพบใครบางคน คนที่เธออยากลืมออกไปจากชีวิต
แต่คนที่เธออยากลืมกลับมายืนอยู่ตรงหน้า ระหว่างเธอกับเขามีเพียงเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มกั้น แต่มันไม่สามารถกั้นเธอจากคำถามของอีกฝ่ายได้

“คุณท้องกับผมใช่ไหม”

มันคือความจริงที่ณัชชาพยายามจะหลบหนี...ก็หนีไม่พ้น

“สัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก” หลังตื่นมาพบความจริงในเช้าวันนั้น ปุริมยังตามมาขอรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำ แต่เธอไม่ต้องการความรับผิดชอบอะไรจากเขา นอกจากคำสัญญาว่าจะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเขาต้องไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่ไปที่คลินิกของหมอพิษณุอีกเลย

“ตอบคำถามมาก่อนว่าคุณท้องกับผมใช่ไหม” ชายหนุ่มไม่สนคำสัญญา สิ่งที่ปุริมสนคือความจริง ความจริงที่ว่าเขาคือพ่อของลูกในท้องณัชชา 

“ฉันกำลังจะแต่งงาน” หญิงสาวตอบไม่ตรงคำถาม พยายามไม่มองดวงตาแข็งกร้าวคาดคั้นเอาคำตอบของปุริม เขาดูโมโห
เมื่อณัชชาไม่ตอบ มันก็เป็นคำตอบว่า ‘ใช่’

“ผมไม่มีวันยอมให้ลูกของผมเป็นลูกของคนอื่น ไม่ยอมให้ลูกเรียกคนอื่นว่าพ่อแทนผมแน่ ผมจะบอกคุณอิง ว่าคุณท้องกับผม ผมคือพ่อของลูกในท้องคุณ”

“เบียร์จะทำลายชีวิตฉันไปถึงไหน ที่ทำคืนนั้นยังไม่พอใจอีกหรือไง ฉันขอได้ไหม หยุดทำลายชีวิตฉันเถอะ แค่นี้ฉันก็เกลียดตัวเองมากพอแล้ว” ณัชชาพูดเจือรอยสะอื้น “ฉันไม่ได้รักเบียร์ ส่วนเบียร์ก็มีคนของตัวเองแล้ว กลับไปเถอนะ ฉันขอนะ” เธออ้อนวอนผ่านม่านน้ำตา ริมฝีปากเล็กบดเข้าหากันห้ามเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา

ปุริมหัวใจอ่อนยวบ เขาไม่เคยแพ้น้ำตาผู้หญิง แต่มีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เขาเห็นน้ำตาเธอครั้งแรก แล้วอดสงสารไม่ได้...วันที่ณัชชาถูกทิ้งและมาหมอพิษณุที่คลินิก เขามาทำงานเช้า เจอเธอนั่งร้องไห้อย่างคนที่หัวใจสลาย มันทำให้เขาสงสารจับหัวใจ

“ผมไม่มีใครแล้ว เลิกหมดทุกคนแล้ว” เขาสารภาพ ตั้งแต่ที่ล่วงเกินณัชชาในคืนนั้น และตื่นขึ้นมาหญิงสาวก็โดนคู่ขาคนล่าสุดของเขาอาละวาดใส่ เกือบจะถูกตบด้วยซ้ำ ดีที่เขาออกจากห้องน้ำมาขวางไว้ทัน หลังจากนั้นความรู้สึกผิดก็โจมตี มันทำให้เขานึกไปถึงวันหนึ่งที่หากมีผู้หญิงที่เขารักจริง คิดจะแต่งงานด้วย มาเจอเหตุการณ์แบบณัชชาเข้า เขาอาจจะเสียเธอไปตลอดชีวิต เขาจึงบอกเลิกผู้หญิงทุกคน เพื่อรอเวลาที่จะเจอผู้หญิงที่ทำให้เขารักหมดหัวใจ

โชคดีที่วันนั้นเขาคิดได้ ทำให้วันนี้เขากล้าพูดได้เต็มปาก

“เราสองคนมาลองเริ่มต้นกันไหมครับ ก่อนถึงวันแต่งงานของคุณ ให้ผมพิสูจน์ตัวเอง ว่าผมเป็นพ่อที่ดีของลูกเราได้ และ...” ปุริมมองสบตาหญิงสาว น้ำตาของเธอไหล หากก็รอฟังคำพูดจากเขา “...ผมเป็นคนรักที่ดีของคุณได้ดีกว่าคุณอิงแน่นอน”

“แล้วถ้าเบียร์ทำไม่ได้ล่ะ” มีความลังเลในน้ำเสียงของณัชชา หัวใจเธอหวั่นไหว อย่างน้อยปุริมก็เป็นพ่อของลูกในท้องเธอ ในวันที่เธอถูกอชิตะทิ้งขว้างหัวใจ ปุริมก็ทำให้เธอยิ้มได้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่นั้น 

“ผมก็จะพยายามทำจนสำเร็จ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ผมก็จะไม่ยอมแพ้”

“ฉันจะเชื่อเธอได้ใช่ไหมเบียร์” ณัชชาถามทั้งน้ำตา

“ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ครับ แต่ผมจะทำให้คุณเห็นเอง ว่าผมทำทุกอย่างเพื่อคุณและลูกได้เท่าชีวิตของผม แค่คุณให้โอกาสผมสักครั้ง”   

จบตอนที่ 26
นับถอยหลังกันต่อ ก็เหลืออีก 6 ตอนเนอะะะ
ต่อมาก็ถึงความในใจคนเขียน
อยากบอกว่าโคตรดีใจที่มีคนอ่านเม้นท์แล้วววว คือดีใจมากๆ นะคะ
แล้วอยากจะกรีดดดดดดดดดดดดดดร้องอีกสักสามร้อยล้านตลบ
สำหรับคำแนะนำอย่างลึกซึ้ง โหยยย คนเขียนปริ่มมากๆๆๆ ขอบคุณมากๆ นะคะ
เขียนแนะนำ บอกกล่าวได้ดีมากๆ เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ยุุ่งๆ สมองมึนๆ เลยไม่ได้มาตอบ
ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตอบนะคะ ขอไปเคลียร์เล่มนิยายก่อน
แล้วดึกๆ จะมาขอบคุณเป็นข้อๆ ไปเลยนะคะ
แต่อยากจะบอกความในใจว่า คนเขียนอ่านไปกรี้ดไป เขินไป อายไป
ที่อายก็เพราะอายนิยายตัวเองที่มีจุดแย่ จุดบกพร่องเยอะมากพอสมควร
ถ้าไม่มีคุณช่วยวิจารณ์ชี้แนะ ก็คงไม่รู้จุดนี้
(แต่หลายอย่างอาจแก้ไขไม่ทันแล้ว แต่จะเอาคำแนะนำไปใช้ในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ อิอิ)

สีเหลืองอ่อน
ปล. เราดีใจจริงๆ นะคะ เจอคำวิจารณ์ชี้แนะที่ยาวๆ แบบนี้ ขอบพระคุณจริงๆ ^_____^
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 26 UP 25-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-07-2017 00:08:27
หวานจ๊ะ เป็นผู้หญิงต้องสตรองนะ ในเมื่อพ่อของลูกตัวจริงมาแสดงความรับผิดชอบแถมอ้าแขนรับขนาดนี้แล้วก็ปล่อยอิงไปเถอะ (เพราะยังไงเขาก็บอกชัดว่าไม่ได้รักหล่อนแบบคนรักแล้ว แล้วหล่อนก็พยายามจะไม่ให้เขารับผิดที่ไม่ได้ก่อ)
ถ้าต้องรอหล่อนมั่นใจในอีกสองเดือนข้างหน้า ป่านนั้นถ้าหนึ่งกับพี่อิงไม่ซูบตายหนึ่งคงตัดใจจากพี่อิงได้แล้วล่ะ
สำหรับพี่อิง... ถึงไม่ได้ทำหวานท้องแต่ก็ยากจะให้อภัย (ในความคิดเรา) อยากเป็นพระเอกนักสินะ (ทางอื่นมีไม่คิด ไม่ทำ ทางที่เลือกนี่ดีเหลือเกิน หึ) ในเมื่อเลือกแบบนี้แล้วเราก็เชียร์ให้หนึ่งตัดใจเสียเลย
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 26 UP 25-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sweetivy ที่ 26-07-2017 09:46:26
ตอนจบขอให้อิงกับหนึ่งไม่คู่กัน ให้หนึ่งมีแฟนใหม่ เกียจอิคุณอิง โลเลเกิน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 27 UP 28-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-07-2017 18:24:44
27
กึก...

ปลายเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของชายหนุ่มผิวขาวสะดุดค้างไปเสี้ยววินาที เมื่อดวงตาเรียวเล็กที่กวาดตามองรอบบริเวณบาร์แอนด์เรสเตอรองห์ในชั้นใต้ดินของโรงแรมกลางกรุงแห่งนี้ ที่นี่ไม่มีเสียงดนตรีสนั่นหวั่นไหวด้วยท่วงทำนองเร้าใจชวนให้ขยับโยกกายด้วยลีลาแดนซ์กระจาย เพราะเสียงเพลงจากวงดนตรีสดไลฟ์แจ๊ซที่ดังเคล้าคลอบรรยากาศอยู่นั้นไพเราะเหมาะกับความมีระดับของสถานที่เรียบหรู ตกแต่งด้วยโทนสีเทาอมม่วง คลุมบรรยากาศด้วยแสงไฟสลัวจาง

บาร์แอนด์เรสเตอรองห์แห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีเมนูค็อกเทลที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯ การันตีด้วยรางวัลนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีไวน์ แชมเปญ วิสกี้ เบียร์ และอาหารนานาชาติหลากหลายเมนูให้ลูกค้าได้เลือกสรร ด้วยคุณสมบัติยอดเยี่ยมการันตีด้วยรางวัลเต็มตู้โชว์หลังเคาน์เตอร์บาร์ สถานที่นี้จึงเป็นที่ติดอกติดใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

หากเป็นการกินเที่ยวดื่มยามราตรีแบบปกติตามระดับเงินในกระเป๋าแล้ว คนอย่างคณิตคงไม่หาญกล้าเข้ามาใช้บริการด้วยเงินของตัวเองเป็นแน่ แต่ครั้งนี้ที่ก้าวเท้าเข้ามาได้เพราะเงินในกระเป๋าลูกค้าของบริษัทสถาปลีลาต่างหาก ที่ชักชวนหลังคุยงานกันได้ลงตัวเมื่อชั่วโมงที่แล้วบนโต๊ะอาหารเย็น ว่าจะพามาลิ้มลองเมนูกับแกล้มรสเยี่ยมอย่าง 'กุ้งลายเสือชุบแป้งทอด' กับเบียร์สัญชาตินอกรสเยี่ยมฟองหนานุ่ม

แต่แล้วด้วยความบังเอิญหรือเพราะฟ้าแกล้งก็ไม่รู้ สายตาคณิตก็เจอเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่คุ้นเคยแต่ห่างหายกันไปนานมาก...ทำให้รสชาติเบียร์ต่างชาติในรูปของเบียร์สดรสแรงแต่นุ่มนวลพร้อมฟองหนาชวนละเลียดตามคำคุยของลูกค้าใจป้ำ เปลี่ยนเป็นขมเฝื่อนในลำคอเสียให้ได้ ทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่กลิ่นของเบียร์เลยก็ตาม

“มีอะไรหรือเปล่า?”

คำถามจากลูกค้าใจป้ำดังขึ้นไม่ห่างจากใบหูนัก พร้อมกับมือที่แตะรวบเข้าที่ช่วงเอวอย่างถือวิสาสะแต่ก็นุ่มนวลไม่น่าเกลียดอะไรนัก แต่ก็ใช่จะถูกใจคณิต

“เปล่าครับ” ปฏิเสธไปแล้ว ก็ถือโอกาสขยับตัวออกมาให้พ้นมือใหญ่ที่เกี่ยวเอวของตนไว้

คณิตนึกบ่นตัวเองในใจ...รู้ทั้งรู้ว่าลูกค้ารายนี้คิดอย่างไรกับเขา แสดงออกชัดขนาดนั้น ตามติดตัวอย่างกับเป็นเหาฉลาม แต่เพราะความเห็นแก่กินของตัวเองและอีกฝ่ายก็หลอกล่อได้ตรงจุดดีแท้ เขาถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ มาเผชิญหน้ากับความบังเอิญในรอบสามเดือนที่ถูก ‘เททิ้ง’

คณิตหยุดความคิดในหัวของตัวเองไว้ก่อนจะไปไกล ไม่ใช่เวลามางี่เง่าบ่นว่าตัวเอง...เจอก็ช่างปะไร ไม่มีอะไรเกี่ยวกันแล้ว ตัดขาดกันไปแล้ว อชิตะเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาหาเขาซะหน่อย แถมพื้นที่ข้างตัวยังมีชายหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานจับจองเป็นเจ้าของ ชายคนนั้นนั่งอิงและซุกซบใบหน้าบนไหล่ของอชิตะ ผมดำยาวพอทัดใบหูได้นั้นปิดบังใบหน้าไว้เกือบหมด เห็นเพียงปลายจมูกและริมฝีปาก

เฮอะ! พอไม่ต้องเป็นเจ้าบ่าวของใคร ไม่ต้องรับผิดชอบลูกในท้องของอดีตคู่หมั้น เพราะพ่อที่แท้จริงเปิดเผยตัวและยืนยันจะรับผิดชอบทุกการกระทำของตน ไม่ยอมให้ลูกตัวเองเรียกคนอื่นว่าพ่อเด็ดขาด ก็ออกหาเหยื่อหน้าโง่รายใหม่เลยรึไง 

ความจริงที่ถูกบอกเล่าโดยคนรักของภาคีเมื่อเดือนก่อน เกี่ยวกับงานแต่งที่เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวกะทันหัน มันเป็นความจริงที่เขาไม่เห็นอยากรู้ แต่ก็นั่งฟังจนจบ 

หึ! เลือกเป็นคนดี...คนดีอย่างอชิตะจะรู้ไหมว่าทำให้เขาตายทั้งเป็นไปพักหนึ่งเลย 

“อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง คุณเลือกเลย ไม่ต้องเกรงใจ”

พอคณิตนั่งลง เมนูอาหารจากบริกรก็ถูกส่งมาให้ คณิตรับมาเปิดดูไล่สายตาแค่เมนูแรกกับเมนูที่สอง แล้วสั่งไปแบบไร้อารมณ์อยากกินเหมือนตอนแรก ลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยน้ำลายสอเพราะอยากกินกุ้งลายเสือชุบแป้งทอดสักสองสามจาน แต่ถึงไม่ได้สั่งเมนูที่อยากกินและเบียร์สดรสชาติร้อนแรง ฝ่ายลูกค้าใจป้ำก็จัดการสั่งให้เรียบร้อย เมื่อบริกรเดินกลับไปพร้อมออร์เดอร์ของลูกค้า คำถามที่คณิตไม่อยากตอบก็เอ่ยออกมาจากปากคนร่วมโต๊ะทันที

“รู้จักหมอนั่นเหรอ?”

คณิตไม่ได้มองตามสายตาคนถามที่มองผ่านไหล่ตนไปยังโต๊ะที่ตั้งเยื้องไปด้านหลัง เพราะรู้อยู่แล้วว่า ‘หมอนั่น’ คือใคร จึงไม่เห็นว่าผู้ชายหน้าขาวผมยาวที่อิงซบไหล่อชิตะในตอนแรก ได้นั่งยืดตัวตรง โชว์เรียวหน้าหล่อเหลาแต่ดูละมุนตาให้คนในร้านได้เห็น ปากสีสดแบะออกเหมือนเด็กกำลังเตรียมร้องไห้ ก่อนคว้าแก้วที่ถูกเติมเต็มด้วยเบียร์ดำฟองหนานุ่มกรอกใส่ปากรวดเดียวจนหมด
คณิตคร้านจะปฏิเสธด้วยคำโกหก จึงตอบไปตามความจริง...บางส่วน

“ผมเคยทำงานบริษัทเขาครับ” ...เว้นความสัมพันธ์ส่วนตัวเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรเล่าให้ลูกค้าฟัง

ภูมิ ผู้เป็นลูกค้าใจป้ำพยักหน้ารับรู้ เขามองเรื่องราวบนโต๊ะที่เยื้องไปด้านหลังของคณิตเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกเดินมาทิ้งตัวลงนั่งเบียดคนตัวเล็กกว่าบนโซฟาสีม่วงเข้มตัวเดียวกัน

“มีอะไรมากกว่าเจ้านายลูกน้องหรือเปล่า” ภูมิถามแบบไม่อ้อมค้อม เขาชอบผู้ชายหน้าตาแบบคณิต ปากนิด จมูกหน่อย ตาเรียวเล็ก แก้มใส ตัวขาว เห็นครั้งแรกก็อยากทำความรู้จักมากกว่าแค่เรื่องงาน แต่ถ้าหัวใจของอีกฝ่ายไม่ว่าง หรือมีบางส่วนเสี้ยวที่เป็นของคนอื่น คนอย่างภูมิก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยว ดันทุรังผูกสัมพันธ์ด้วยเด็ดขาด

เพราะสายตาที่จริงจัง ไม่มีแววหยอกล้อ ซ้ำยังไม่แพรวพราวเหมือนเช่นที่ผ่านมา คณิตถึงยอมบอกความจริง เผื่อว่าภูมิจะได้เลิกคิดอะไรกับเขา ดูแล้วผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่พวกชอบยุ่งกับคนของคนอื่นมั้ง โดยเฉพาะของมือสองแบบเขา

ไม่ได้อยากเอาตัวเองไปตีค่าตีราคาอะไรนักหรอก แต่ก็นะ...ความรู้สึกภูมิใจในตัวเองไม่มีเหลือแล้ว มันถูกทำลายแบบไม่เหลือซากเลยด้วยซ้ำ ใครไม่เจอเหตุการณ์อย่างเขาก็คงไม่มีวันเข้าใจ ว่าการเป็นคนที่เคยถูกต้องการมากๆ แต่สุดท้ายก็ถูกเททิ้งแบบง่ายๆ มันรู้สึกเช่นไร

ศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้กู้คืนมาได้ มันก็แก้อดีตที่เป็นรอยจารึกบนก้อนเนื้อหัวใจไม่ได้

เขายังเจ็บ...ทั้งที่ควรเลิกเจ็บได้แล้ว แต่ก็ยังเจ็บ เจ็บเหมือนเดิม เจ็บแม่งมันทุกคืนนั่นแหละ

“เคยคบกัน” ตอบไปแล้วก็แอบคิดไม่ได้ว่า เขาใช้คำนี้แทนความสัมพันธ์ที่ผ่านมากับอชิตะได้หรือเปล่า

เขากับอชิตะ ‘คบ’ กันอย่างนั้นเหรอ?

หรือแค่ ‘มีอะไรกัน’ เท่านั้นหรือเปล่า?

หรือจะเรียกว่า ‘คู่นอน’ น่าจะตรงกับความสัมพันธ์ช่วงเวลานั้นมากกว่า

ถามตัวเองแบบนี้แล้ว ความน้อยใจก็ยิ่งโถมเข้าใส่ชนิดไม่ออมแรงเลย ต่อให้ที่ผ่านมาอชิตะอยากจะได้เขามากอดแค่ไหน มันก็เหมือนเป็นการบังคับที่เขายินยอมเพราะหนีไม่พ้น มันก็แค่นั้น แค่ถูกบังคับให้นอนด้วย มีอะไรกันแบบที่เขายอมบ้าง ไม่ยอมบ้าง แทบไม่มีโมเมนต์ความสัมพันธ์ของคนที่คบหากันเลย ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่คบญาดา เขาจีบเธอ พาไปกินข้าว เดินเที่ยวห้างฯ ถือถุงเสื้อผ้าที่หญิงสาวช้อปปิ้ง พาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างในวันหยุด มีช่วงเวลาหวานใส่กัน ป้อนข้าว ป้อนขนม โทรคุยกันทุกคืน

แต่ความสัมพันธ์ของเขากับอชิตะ มันข้ามขั้นตอน มันเป็นอะไรที่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ยังมีคำถามกับตัวเองว่า มันมาถึงจุดที่เขาร้องไห้ใจจะขาดได้อย่างไร หากความเจ็บปวดเป็นปืนที่มีกระสุน มันคงลั่นไกสาดกระสุนใส่เขาให้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว ก็ไม่คิดจะรัก มันก็ดันรักไปโดยไม่รู้ตัว เจ็บปวดถึงขีดสุดนั่นแหละ ถึงได้รู้ตัวว่ารักมาก

‘รักโดยไม่รู้ตัว’ ช่างเป็นนิยามที่บ้าบอสิ้นดี อยากหัวเราะให้โลกแตก แต่ใจมันดันไม่ร่วมไปกับความคิดซะนี่

“คนอะไรหน้ายุ่งก็ยังน่ารัก” คำพูดนั้นมาพร้อมกับริมฝีปากที่แนบบนผิวแก้มแบบไม่ทันให้ตั้งตัวหรือหลบหนีไปไหนได้ แต่ก็ดึงคณิตออกมาจากความคิดเจ็บปวดของตัวเองได้ทันที

“คุณภูมิ!” ถ้าไม่คิดว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของคนในบาร์ และภูมิเป็นเพื่อนพี่ชายของสีฟ้าที่แนะนำมาใช้บริการบริษัทน้องเขยละก็ คณิตคิดว่าภูมิคงได้ชิมเลือดในปากของตัวเองแทนรสชาติเบียร์แน่

“ขอทิ้งทวนหน่อย ก็ผมอุตส่าห์อ่อยมาตั้งนาน จู่ๆ ก็มีเจ้าของซะงั้น” ภูมิว่าเสียงละห้อย ที่ฟังก็รู้ว่าแสร้งทำ

อ้าว แล้วมันความผิดของเขาหรือไง คณิตคิดอย่างหัวเสีย แต่พอจังหวะที่จานใบโตใส่กุ้งตัวใหญ่ชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบท่าทางอร่อยสมราคามาวางตรงหน้า ตามด้วยเบียร์สีทองอมส้มฟองหนาในแก้วทรงสูง ก็ทำเอาหลงลืมความหงุดหงิดที่ถูกขโมยหอมแก้มเมื่อครู่ไปเสีย

แว่วได้ยินเสียงของภูมิดังอยู่ชิดใบหู

“จูบเมื่อกี้ถือว่าเป็นค่าเบียร์คืนนี้ สั่งได้ไม่อั้น”

คณิตถูกใจคำพูดของภูมิตรงประโยคหลังที่สุด ก็ไม่เสียหาย แค่จูบแก้มครั้งเดียว แต่ลิ้นคนพลิกได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันตัวเองเสียเปรียบและต้องจ่ายเกินค่าเบียร์ค่ากุ้ง คณิตเลยย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นทำให้คณิตรู้ว่าโต๊ะที่อยู่เยื้องไปด้านหลัง...ว่างเปล่าไปเสียแล้ว

แผ่นหลังชายหนุ่มสองคนกำลังไกลไปเรื่อยๆ มือที่ครั้งหนึ่งเคยประคองตัวเขา ครั้งนี้ถูกใช้ประคองผู้ชายคนใหม่
ก้อนหัวใจใต้อกกำลังถูกทุบอย่างไม่ยั้งมือ

ทำไมยังต้องเจ็บอยู่วะไอ้หนึ่ง!

มึงมันโง่

โง่ที่คิดว่ารักแล้วจะเลิกรักได้ง่ายๆ

โง่ที่คิดว่าความเกลียดที่เพียรฝังใส่หัวจะบดขยี้ความรักให้แดดิ้นตายไปจากหัวใจ

โง่ที่ยังมองตามไปจนสุดสายตา

โง่ที่ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าคนที่หายไปจากสายตาจะกลับมาหา

โง่ที่ยังรอ

โง่สิ้นดี

โง่ไม่มีใครเกิน

โง่!
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ห้องในคอนโดมิเนียมขนาดเล็กที่คณิตอยู่มาตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เป็นห้องสตูดิโอแบบเก่าสร้างมาเกือบสามสิบปีแล้ว ประตูยังเป็นลูกบิดอยู่เลย ขนาดห้องไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่ก็สะดวกสบายสำหรับการใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองใหญ่

การที่คณิตอยู่คนเดียว เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ภายในห้องก็ควรต้องมืดไร้แสงจากหลอดไฟอย่างเช่นทุกคืน ไม่ใช่สว่างจ้าด้วยฝีมือใครบางคน พร้อมกลิ่นบุหรี่ที่ลอยจางในอากาศ

หลายคำถามดังก้องอยู่ในหัวสมอง

มาทำไม?

มาเพราะอะไร?

ต้องการอะไรอีก?

ทำไมถึงเพิ่งมาตอนนี้?

ก็มีคนใหม่แล้วไม่ใช่หรือไง?

หรือนึกหวงของที่ตัวเองเททิ้งไปแล้ว...คงใช่ แต่ไม่คิดหรือไงว่ามันช้าเกินไป

เพราะกินเที่ยวด้วยกันบ่อย พอถึงเวลาที่พากันกลับ ก็กลับมานอนที่คอนโดฯของเขาหรือไม่ก็คอนโดฯของอชิตะ หลังๆ เมื่อเรือนหอสร้างเสร็จก็ไปจบค่ำคืนกันที่นั่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อชิตะจะมีกุญแจห้องของเขา ตอนถูกเททิ้งเขาก็ไม่ได้ทวงเอากุญแจคืนด้วยสิ อชิตะถึงเข้ามานั่งไขว่ห้างบนโซฟาข้างเตียงนอนขนาดหกฟุตของเขาได้หน้าตาเฉย


ไม่สิ...หน้าตาแบบนี้เรียกว่า ‘หมาหวงก้าง’ มากกว่า ตัวเองไม่เอา เททิ้งแล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ไป สงสัยเข้าใจว่าเขากับภูมิกำลังคบหากัน

หึ...เข้าใจแบบนี้ก็ดี ถึงเวลาเขาเอาคืนบ้าง ถึงจะไม่ช่วยให้ความเจ็บปวดที่มีจางลงก็เถอะ อย่างน้อยก็ได้ความสะใจละน่า

คณิตกระหยิ่มยิ้มในใจภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มยืนหยั่งเชิงโดยไม่พูดอะไร รอให้แขกไม่ได้รับเชิญลุกขึ้นเดินเข้ามาหา พร้อมคำถามจากน้ำเสียงกดต่ำแต่เข้มจัดอย่างคนที่กำลังข่มอารมณ์ร้อนของตนเอง

“คบกันนานหรือยัง?”

เพราะอีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาประชิดในเวลาอันรวดเร็ว แบบที่สามารถคว้าตัวเขาเข้าไปกอดได้อย่างง่ายดาย ด้วยสัญชาตญาณ คณิตจึงก้าวถอยหลังจนแผ่นหลังกระแทกกับประตูที่ปิดสนิท จากนั้นถึงได้ตั้งสติก่อนเชิดหน้าตอบ

“นาน...แล้วคงจะนานไปจนหัวหงอก ตัวเหี่ยวเลยนู่นเลย” ถึงจะทำใจกล้าตอบคำถามด้วยคำตอบที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายสะอึกได้ แถมยังจ้องตาขุ่นแข็งเหมือนหมาบ้าอย่างท้าทาย ทว่าใจข้างในของคณิตเริ่มกลัวและกำลังคิดหาทางหนีรอด

เปิดประตูหนีไปสิวะไอ้หนึ่ง

เมื่อตะโกนบอกตัวเองอย่างนั้น มือคณิตคลำหาลูกบิดประตู ยังไม่ทันเจอก็ถูกกระชากดึงด้วยลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงมาจากใบหน้าที่ก้มต่ำเสียก่อน ดวงตาดุดันที่เห็นกำลังลุกวาวราวกับลูกไฟ

“เลิกกับมันซะ” อชิตะสั่งเสียงเข้ม

“ไม่” คณิตก็ตอบด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกัน

“หนึ่ง! ทำตามที่ผมสั่ง”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม!” ตะคอกมา เขาก็ตะคอกกลับ กลัวอยู่หรอกเพราะอชิตะทำหน้าเหมือนเสือโคร่งไซบิเรียที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อซะขนาดนั้น แต่ถึงจะกลัว ก็ใช่ว่าเขาจะต้องยอมให้อชิตะมาวางอำนาจใส่ได้ ในเมื่อปักหลักตั้งใจแล้วว่าจะเอาคืนให้สะใจ
คณิตเป็นคนดื้อ แต่ก็ลืมไปว่าความดื้อของตน เป็นสิ่งที่คนตรงหน้าอยากเอาชนะมากที่สุด 

“อยากให้ผมแสดงสิทธิ์อย่างนั้นเหรอ” อชิตะคว้าร่างตรงหน้าเข้ามาในวงแขน แล้วรัดแน่นขึ้นเมื่อเจ้าของร่างดิ้นขัดขืน “จำเอาไว้ว่าผมมีสิทธิ์ในตัวคุณทุกอย่าง ผมเป็นเจ้าของคุณ คุณคือของของผม”

“ผมไม่จำ!” คณิตจ้องมองใบหน้าที่อยู่ห่างจากหน้าเขาแค่ปลายจมูกอย่างแค้นเคือง “คุณต่างหากที่ต้องจำว่าคุณไม่มีสิทธิ์ในตัวผม ไม่มีอีกแล้ว กลับไปซะ”

“ต้องทำให้จำสินะ” อชิตะกัดฟันข่มอารมณ์ ก่อนกระชากใบหน้าเล็กเข้ามาบดจูบ ตอกย้ำว่าปากเก่งกล้าของคณิตเป็นของเขาคนเดียว

อชิตะทั้งกัด ทั้งดูด ไล่ต้อนลิ้นเล็กที่พยายามหลีกหนีสุดฤทธิ์ ท้ายสุดก็ต้องพ่ายแพ้ ยอมให้เขาดื่มด่ำจนพอใจ

“ภูมิใจมากใช่ไหมที่ได้รังแกคนไม่มีทางสู้ ชอบใช่ไหมที่ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีความสุขมากใช่ไหมที่ได้กดขี่ข่มเหงผมทุกทาง” ตาเรียวเล็กคลอเม็ดน้ำตา “เลิกข่มเหงทำระยำกับผมซะที คุณทิ้งผมไปแล้ว แล้วจะกลับมาทำซากอะไร!” คณิตตะโกนใส่หน้า ขืนตัวออกจากวงแขนที่รัดแน่นจนเจ็บแต่ไม่สำเร็จ ขณะที่ใจก็ร้าวรานจนอยากร้องไห้ให้ใจมันขาดไปเลย

V
V
อ่านต่อทู้ล่าง

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 27 UP 28-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 28-07-2017 18:29:15
ไม่ว่าเมื่อไรตอนไหน อชิตะก็ใช้กำลังเอาชนะเขาเสมอ ไม่เคยสักครั้งที่จะถนอมความรู้สึกของเขา 

“คุณมันเห็นแก่ตัว อยากได้ผม คุณก็มา พออยากจะไป คุณก็ทิ้ง เห็นผมเป็นอะไร? ของตาย...ของเล่น...หรือของที่คุณยังกอบโกยเอาไปไม่หมด”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น” น้ำเสียงของอชิตะอ่อนลง ใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กที่พยายามจะสะบัดหนีแต่หนีไม่พ้น เพราะตัวยังติดอยู่ในวงแขนอีกข้างหนึ่งของเขา “หนึ่งน่าจะรู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง ที่ผมทำไปเพราะมันจำเป็นต้องทำ หวานไม่มีใคร มีแต่ผม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหวาน ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะผม ผมถึงต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองก่อ แต่ตอนนี้ ผมเป็นอิสระ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมหนึ่ง” อชิตะอธิบายช้าๆ หวังให้คนฟังเข้าใจ

“เห็นแก่ตัว”

คณิตจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง สายตาของชายหนุ่มบอกอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่อัดอั้นในอกตลอดหลายเดือนออกมา

“ตอนคุณไล่ผม คุณคิดถึงความรู้สึกผมไหม ตอนคุณอยากได้ผม คุณเคยถามความต้องการผมไหม ที่ผ่านมาคุณเคยคิดถึงจิตใจผมบ้างไหม ไม่ว่าจะทำอะไร คุณก็เอาแต่ความต้องการของตัวคุณเอง อยากได้อะไรคุณก็ต้องได้ คุณไม่เคยแคร์ว่าผมจะเจ็บปวด เสียใจ จะเป็นจะตายเพราะสิ่งที่คุณทำ ตั้งแต่วันแรกที่คุณอยากได้ผม จนถึงวันที่คุณเทผมทิ้ง เพราะอยากเป็นคนดี อยากรับผิดชอบเป็นพ่อของลูกคนอื่น ทำเหมือนผมเป็นไอ้ตัวไม่ค่า ไม่มีความรู้สึก ต้องยอมรับสิ่งที่คุณยัดเยียดให้ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วตอนนี้ คุณคิดว่าผมอยากจะกลับไปเริ่มต้นใหม่กับคุณไหม ทั้งที่ผ่านมาระหว่างผมกับคุณ มันไม่มีคำว่าเริ่มต้นด้วยซ้ำ มันมีแต่การยัดเยียดและบีบบังคับผมทุกทาง!”

สิ้นคำพูดที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกที่สะสมมานาน น้ำตาคณิตก็ร่วงเผาะ ไม่มีเสียงสะอื้น แต่เสียงที่หลุดออกมาจากปากหลังจากนั้นก็ยังคงสั่นเครืออย่างน่าสงสาร

“แทนที่คุณจะสั่งให้ผมเลิกกับคนใหม่ คุณควรออกไปจากชีวิตผมได้แล้ว ออกไปแล้วอย่ากลับเข้ามาอีก เพราะยังไงผมก็ไม่มีวันกลับไปเป็นของตายซ้ำซากของคุณ ที่คุณนึกจะเททิ้งเมื่อไรก็ได้”

ใช่...บทเรียนจากเรื่องของณัชชาทำให้เขาเจ็บกว่าทุกเรื่องที่อชิตะทำกับเขา แต่ก็ทำให้เขาจำขึ้นใจ จำว่าอชิตะทำอะไรก็ได้โดยไม่คิดถึงจิตใจของใคร นอกจากของตัวเอง

เขาไม่มีวันกลับไปอยู่กับความไม่แน่นอน หวาดระแวงกับความเห็นแก่ตัวของอชิตะอีกแน่ ต่อให้ส่วนลึกของหัวใจที่เต้นอยู่ใต้อกร่ำร้องให้อชิตะกลับเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันที่รู้ความจริงเรื่องณัชชากับปุริมแล้วก็ตาม

ยอมรับว่าเขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าอชิตะจะโผล่มาหาเขา แต่ก็ไม่มา รอจนเลิกรอ หากก็ยังเหลือส่วนเสี้ยวความหวังอันน้อยนิดอยู่ แต่พอวันนี้มาถึงจริงๆ กลับรู้สึกว่าอยากให้อชิตะตายไปซะให้พ้นหน้าเขา ตายไปจากโลกใบนี้เลยยิ่งดี เพราะเขาไม่อยากหายใจร่วมกับคนที่ทำเหมือนเขาเป็นของตาย กดขี่ข่มเหงทุกทางให้เขาพ่ายแพ้ พออยากได้ก็มา อยากไปก็ทิ้ง ที่กลับมาหาเขาก็คงแค่หวงของที่ตัวเองทิ้งไปก็เท่านั้น

ยิ่งคิดใจก็ยิ่งโกรธ โกรธจนเกลียด เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า และเกลียดยิ่งกว่าคือสองมือที่ปาดน้ำตาออกจากแก้มเขา กับคำพูดที่เห็นแก่ตัวไม่เปลี่ยน ไม่เคยสำนึกเลยสินะ

“ผมจะออกไปจากชีวิตคุณได้ยังไง ในเมื่อผมรักคุณ”

คำว่ารักที่ออกจากปากอชิตะ คณิตจะไม่ยอมหลงเชื่อเด็ดขาด

“สิ่งที่คุณทำ มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัวของคุณเอง โดยเอาคำว่ารักมาอ้าง เพราะถ้าคุณรักผมจริง คุณจะไม่ทำกับผมเหมือนที่คุณทำมาตลอด” คณิตใช้สองมือผลักร่างหนาออกไป มันง่ายขึ้นเพราะอชิตะไม่ได้คุมขังเขาไว้ในวงแขนเหมือนแต่แรก “ผมมีคนที่รักผมแล้ว เขาดีกว่าคุณมาก ดีจนผมคิดว่าตายไปสิบชาติ คุณก็ไม่มีวันดีได้เท่าเขา” คณิตตบท้ายด้วยคำประชดชุดใหญ่ แล้วก็หมุนตัว คว้าลูกบิดประตู หมายจะออกไปจากห้องของตัวเองที่อยู่ไม่ได้อีกแล้ว

คว้าได้แค่ลูกบิดประตู ยังไม่ทันได้หมุนปลดล็อกเอาตัวเองออกไปนอกห้อง ท่อนแขนก็ถูกคว้าหมับ ซ้ำยังกำแน่น ปิดทางไม่ให้สะบัดหลุดอีกตามเคย คณิตถูกบังคับให้ต้องหันกลับไปเผชิญหน้า สบสายตาดุดันอีกครั้ง

“ห้ามไปไหน จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง โทรไปเลิกกับมันซะ” 

“ไอ้ที่ผมพูดไปทั้งหมด มันก็เรียกว่ารู้เรื่องแล้วนะ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้เรื่อง ผมก็ขอพูดอีกครั้งว่า ผมไม่เลิกกับเขา ต่อให้วันหนึ่งผมเลิกกับเขา ผมก็จะมีคนใหม่ที่ไม่ใช่คุณ” คณิตพูดเสียงแข็ง “คุณควรรู้เรื่องได้แล้วว่าผมไม่ยอมกลับไปเป็นของของคุณอีก คุณไม่สิทธิ์มายุ่งกับชีวิตผม”   

“งั้นเหรอ?” อชิตะแสยะยิ้ม “ลองดูไหมว่าผมมีสิทธิ์หรือไม่มี จำไม่ได้หรือไงว่าคุณเคยพูดกี่ครั้งแล้วว่าผมไม่มีสิทธิ์ในตัวคุณ แต่ผมก็ทำให้เห็นมาตลอดว่าผมมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในตัวคุณก่อนผู้ชายคนไหน ผมไม่มีวันยอมให้ใครเข้าไปอยู่ในตัวคุณแทนผมแน่ มีผมคนเดียวที่ทำให้คุณร้องครวญครางได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ เข้าใจไว้ซะหนึ่ง ถ้าผมอยากได้ ผมก็ต้องได้ เหมือนที่คุณพูดไง” ก็ไม่คิดว่าจะมาใช้คำพูดที่ทำให้น้ำตาเม็ดโตหล่นจากหน่วยตาเรียวเล็กอีกครั้ง แต่ถ้าไม่พูด ไม่ทำ ก็ต้องสูญเสีย ซึ่งคนอย่างอชิตะไม่มีวันยอม

คณิตพูดถูก เขาเห็นแก่ตัว อยากได้ก็ต้องได้ ก็ไม่น่าแปลกที่เขาจะทำเรื่องเห็นแก่ตัวอีกครั้ง ทำทุกอย่างให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ ต่อให้ใช้กำลัง ถูกเกลียด แต่มันก็คุ้ม เพราะเขาได้มา ไม่ใช่เสียไป!

“จะทำระยำกับผมว่างั้น” ถามเสียงสั่น มันเจ็บที่ใจเพราะคำพูดเลวบัดซบของคนเห็นแก่ตัว “คิดหรือว่าผมจะยอม! ไอ้เหี้ย!!” สิ้นเสียงตะโกนอย่างสุดกลั้น คณิตฟาดหมัดใส่ใบหน้าของอชิตะทันที แบบที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว น้ำหนักหมัดจากความโกรธมันทำให้คนถูกต่อยถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว

คณิตตรงเข้าคว้าคอเสื้ออชิตะด้วยความโกรธขีดสุด ง้างหมัดจะต่อยซ้ำให้สมกับความคับแค้นใจที่คล้ายจะปะปนไปกับความน้อยใจ ทว่าด้วยสรีระที่ด้อยกว่าและอชิตะตั้งตัวได้ในเวลาอันรวดเร็วแค่ไม่กี่วินาที จากเคยเป็นฝ่ายได้เปรียบ คณิตกลับเสียเปรียบไปเพียงเสี้ยวนาทีที่ได้แค่ง้างแขนกลางอากาศ ก่อนมือข้างนั้นจะถูกคว้าหมับ มืออีกข้างหนึ่งก็ถูกกระชากหลุดจากคอเสื้อคนตัวใหญ่

“อย่าอวดเก่งหนึ่ง” อชิตะกระชากร่างเล็กเข้ามาปะทะแผ่นอกเต็มแรงโกรธ โกรธที่คณิตชกเขา แถมยังจะเข้ามาต่อยซ้ำอีก เก่งขึ้นเยอะนะ แต่เก่งแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เพราะเขาทำอะไรได้มากกว่าที่คณิตจะคาดถึง ซึ่งมันก็อยู่ในหัวเขาแล้ว วิธีจัดการคนดื้อให้หนีไปหาใครไม่ได้ “ถ้ายังอยากเห็นเดือนเห็นตะวัน อย่าอวดเก่งกับผม แล้วไปเลิกกับมันซะ แต่ก่อนไปก็เอาหลักฐานไปบอกมันด้วยว่าคุณมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว” 

“ไอ้เหี้ย! มึงจะเลวไปถึงไหนวะ เห็นกูเป็นตัวอะไร อยากนัก ทำไมมึงไม่ไปหาคู่ขามึงนู่น ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้สารเลว ไอ้โรคจิต ไอ้เห็นแก่ตัว เมื่อไรมึงจะตายๆ ไปซะ”   

เมื่อมือใช้ไม่ได้ คณิตก็ใช้เท้าเตะแข้งขาอชิตะไปมา แต่การกระทำนั้นก็ไม่ต่างจากลูกแมวบ้าที่ไร้กรงเล็บ ปากร้องตะโกนด้วยความหงุดหงิดที่ทำอะไรอชิตะได้ไม่มากไปลมปากที่ตะเบ็งออกมาอย่างสุดเสียง ซ้ำยังถูกจับโยนลงกลางเตียง ไม่ทันพลิกตัวหนี ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวตามขึ้นมาดักทางไว้ด้วยกรงแขนแข็งแรงและร่างกายที่ใหญ่โตกว่า

“อยากให้ผมตาย คุณก็ต้องตายไปด้วย” อีกฝ่ายคำรามตอบ ฟังน่ากลัว   
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว เข็มขัดถูกปลด กางเกงถูกกระชากออก ร่างกายหนาใหญ่โถมเข้ากอดก่ายอย่างกระหายอยาก ปากหนาคลุ้งกลิ่นบุหรี่จางๆ บดขยี้ลงมาจนได้กลิ่นเลือดในปาก คณิตดิ้นสุดกำลัง มือทุบตีแผ่นหลังหนาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าก้อนหิน เป็นเขาเองที่เจ็บ เจ็บทั้งมือ เจ็บทั้งร่างกายที่ถูกกัดกลืน เจ็บอีกหลายเท่าเมื่อส่วนแข็งกร้าวที่ร้อนระอุชำแรกแทรกลงมาในช่องทางด้านหลังแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซ้ำยังมีแค่ความเย็นชืดของน้ำลายเป็นตัวหล่อลื่น!

“อ๊า! เจ็บ!” เสียงที่คิดว่าดัง กลับเบาเหลือเกินเมื่อหลุดออกมาจากริมฝีปาก สะโพกเล็กกระเสือกกระสนหนีจากความเจ็บร้าวที่เกิดขึ้น ทว่าอาวุธร้ายกาจที่ทำลมหายใจขาดห้วงด้วยความเจ็บปวดยังตามติดยิ่งกว่าเจ้ากรรมนายเวร ดึงดันผลักไสเข้ามาอย่างไม่คิดปรานี

“อืม...ทนหน่อยหนึ่ง” เสียงทุ้มต่ำกระซิบบอกข้างใบหู กลบเสียงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากที่กดแนบลงไปบดเบียด แต่คณิตก็เบือนหน้าหนี ซุกใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวดไว้กับหมอนใบใหญ่ เนื้อตัวสั่นระริกเพราะความเจ็บปวดจากช่องทางด้านหลังที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย

มือเล็กกำผ้าปูที่นอนสีฟ้าสดใสไว้แน่นระบายความเจ็บที่ชำแรกรุนแรงขึ้นทุกวินาที

“ใกล้แล้วหนึ่ง ผมจะเข้าไปในตัวคุณหมดแล้ว”

“ไป-ตาย-ซะ” เสียงแหบแห้งด้วยความเจ็บปวดฝืนพยายามตอบกลับ 

“ตายไปด้วยกันนะหนึ่ง” อชิตะบอกกลั้วเสียงหัวเราะต่ำ เสพสุขกับภาพร่างกายเล็กที่สะท้านไหวเพราะความเจ็บปวดจากการสอดใส่ไร้สิ่งช่วยเหลือ 

เขาควรจะหยุด อชิตะคิดเช่นนั้น ทว่าเขากลับเดินหน้า เสือกไสท่อนลำเข้าไปให้ถึงสุดทางอย่างไม่คิดลังเล เขาต้องการคณิต ต้องตีตราความเป็นเจ้าของซ้ำลงไป พอๆ กับที่อยากเห็นความเจ็บปวดของร่างกายเล็กที่บิดร้าวนี้

ร่างเล็กที่สั่นคลอนไปตามแรงกระแทกกระทั้น ช่างเป็นภาพที่สวยงามนัก

เรียวขาที่ถูกยกพาดไหล่เพียงข้างเดียวก็ดูงดงามจนอดใจไม่ให้ฝังรอยคมฟันลงไปไม่ได้

ช่องทางรักอุ่นนุ่มแต่รัดแน่นก็รองรับทุกความต้องการของเขาได้อย่างไม่สิ้นสุด เขาถึงโหยหาแต่มันไม่จบสิ้น

หน่วยตาเรียวเล็กที่อัดแน่นไปด้วยเม็ดน้ำตาแวววาว เขาก็ชอบจะได้เห็น แม้ตอนนี้จะถูกซ่อนให้อยู่หลังเปลือกตาบางเพื่อหนีจากสายตาเขาก็ตาม

แม้กระทั่งความเจ็บปวดของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาผ่านสีหน้าและร่างกาย ก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยความสุขและสนุกที่ได้หยอกล้อกับมัน เขาถึงได้ชอบให้อีกฝ่ายเจ็บปวด เพื่อจะได้ปลอบโยนในภายหลัง     

คงเป็นความจริง...เขาอาจจะโรคจิตอย่างที่คณิตกล่าวหามาตลอดก็ได้ เพียงแต่มีคนคนเดียวที่ทำให้เขาเป็นโรคจิตได้ คนคนนั้นคือคนที่ส่งเสียงครวญครางใต้ร่างกายของในตอนนี้ไง

“คุณเป็นของผม ผมไม่มีวันปล่อยให้คุณเป็นของคนอื่น!”
:hao5:

จบตอนที่ 27
นับถอยหลังเหลืออีก 5 ตอนแล้วววว
ปล. ค้างคำขอบคุณอีกรอบแล้วนะคะ
คือเวลาหมดไปกับไถทวิตบ้าง (แก้เครียด) เคลียร์นิยายบ้าง
ทำปก ทำอาร์ต ทำเล่ม งานจุกจิกไปหมด
ไม่มีเวลาตั้งใจเขียนคำขอบคุณและตอบเลย ค้างไว้ก่อนนะคะ (ไม่รู้ว่ารอหรือเปล่า)
เพราะถ้าต้องเขียนคำขอบคุณต่างๆ และตอบในบ้างข้อ
ต้องใช้ใจให้นิ่งค่ะ การบรรยายจะออกมาอย่างไม่ติดขัด
แต่ตอนนี้ใจไม่นิ่งเลย วุ่นวายไปหมด ทั้งที่มีหลายเรื่องอยากบอก ^___^
สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 27 UP 28-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-07-2017 07:21:30
รักแน่เหรออิง ทำไมเรารู้สึกแค่หลงในรสกามากับอยากเป็นเจ้าของ
คำพูดหนึ่งสะกิดใจ ถ้ารักจริงทำไมไม่คิดถึงใจไม่ถนอมน้ำใจหนึ่งเลย
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 28 UP 29-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 29-07-2017 19:52:40
28

ภาพของคนที่นอนหลับสนิทกลางเตียงนอนขนาดใหญ่ มีผ้าห่มคลุมไว้ตั้งแต่ช่วงอกลงมา คือภาพที่อชิตะจ้องมองมาราวห้าชั่วโมงแล้วอย่างไม่นึกเบื่อ เขานั่งบนโซฟาหลังใหญ่ที่ตั้งชิดติดผนังอีกฟากหนึ่งของห้อง หลังจากปล่อยหยาดหยดความต้องการครั้งสุดท้ายลงไปในช่องทางรักสีแดงเพราะรับศึกหนักมาตลอดทั้งคืน แม้กระทั่งตอนที่เจ้าตัวหมดสติ เขาที่โหมแรงใส่ไม่ยั้งก็ยังไม่หยุดความต้องการของตัวเองลงได้

...มันไม่เคยพอ เท่าไรก็ไม่พอ

อชิตะหลงเสน่ห์เฉพาะตัวของคณิตที่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่เพียงว่ามันชักชวนให้เข้าใกล้ หลอกล่อให้อยากกลืนกินไปทั้งตัว

คณิตเป็นดังความท้าทายแปลกใหม่ให้อยากเอาชนะให้ได้ เป็นรสชาติความรักที่หอมหวานแบบที่เขาเพิ่งเคยลิ้มลอง บางครั้งเขาก็อยากรู้ คนตัวเล็กหัวดื้อทำให้ตัวตนของเขาเปลี่ยน หรือว่าเจ้าตัวเข้ามาปลุกตัวตนที่หลับใหลของเขาให้ตื่นขึ้นมากันแน่ เพราะเขาไม่เคยสับสน ไม่เคยไม่มั่นคงต่อความรู้สึกที่เปลี่ยนไปนี้เลย หากไม่มีเรื่องณัชชาเข้ามา เขาก็ไม่มีวันปล่อยมือจากคณิต ไม่มีวันปล่อยคนตัวเล็กออกไปจากชีวิต ไม่มีวันทิ้งขวางให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของไร้ค่า ทั้งที่ความจริงคณิตกลายเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจเขาไปแล้ว

 การที่เขายังไม่กลับมาหาคณิตในวันที่เจ้าบ่าวของณัชชาไม่ใช่เขาอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะไม่รัก ไม่คิดถึง เพียงแต่เขายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับคณิต ด้วยเหตุนี้เขาถึงรอเวลา รอแบบที่ไม่มีกำหนดเวลาว่าเมื่อไรถึงจะกล้า เลิกกลัว แล้วกลับเข้าไปในชีวิตคณิตอีกครั้ง

เคยแม้กระทั่งคิดว่า หากคณิตจะมีใครเข้ามาผูกพันด้วยความรัก เขาก็จะยอมรับว่าตัวเองได้เสียคณิตไปแล้วเพราะการกระทำของตัวเอง แต่เอาเข้าจริง เพียงแค่เห็นคณิตเดินอยู่กับผู้ชายคนอื่น เขาก็ทนไม่ไหว ไม่ติดที่ว่าพี่ชายคนโตเมาแอ๋ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่หมดแสง ที่พอเมาก็ออกอาการพูดไม่รู้เรื่อง ซ้ำยังลากเลื้อยเหมือนคนไม่มีกระดูก  จนเขาต้องรีบพากลับก่อนจะเลื้อยไปทั่วร้าน เอาตัวคนเมาไปส่งถึงมือพี่สะใภ้แล้ว เขาก็ตรงดิ่งมานั่งรอคณิตที่คอนโดฯทันที โชคดีที่เขามีกุญแจห้อง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปิดประตูเข้ามานั่งรอถึงสามชั่วโมง กว่าที่เจ้าของห้องจะเปิดประตูเข้ามา...เข้ามาให้เขาจัดการให้สมกับความคิดถึงและความปากเก่งปากกล้าของเจ้าตัว

คณิตไม่จำเอาเสียเลย ว่าการพูดประชดประชันเขา มีแต่จะทำให้ตัวเองถูกลงโทษ ไม่จำเสียบ้างว่าเขาไม่ชอบให้ใครขัดใจ โดยเฉพาะคนที่เขาต้องการ แต่ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อการไม่จำของคณิต ทำให้เขามีแต่ได้กับได้...ได้ทำทุกอย่างที่หลั่งไหลมาจากทุกความต้องการ

...เขาชอบที่จะเห็นน้ำตาของคณิต ยามที่เจ้าตัวจำนนต่อเขาหลังจากพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้

...ชอบร่างกายเล็กที่พยายามขัดขืนความต้องการของเขาอย่างสุดกำลัง ท้ายสุดก็หลุดความต้องการของตัวเองออกมา เผลอไผลให้ความร่วมมือกับเขาไปจนสุดทาง

...ชอบความปากดี ปากกล้า ปากเก่งของคณิต ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยทำอะไรเขาได้มากกว่ามดตัวน้อยที่กัดนิ้วมือ

...ชอบที่ได้นั่งมองคณิตยามหลับใหลเพราะฝีมือของเขา มันเหมือนได้นั่งมองชัยชนะ เฝ้ามองว่าเมื่อไรคู่ต่อสู้จะฟื้นขึ้นมาต่อสู้ฟาดฟันกับเขาต่อ ซึ่งไม่ว่ากี่ครั้งก็พ่ายแพ้หมดทุกทาง

...ชอบแววตาที่มองเขาด้วยความเจ็บปวด สายตาที่ต่อว่าด่าทอ สายตาที่ฟ้องถึงความเสียใจ สายตาของความน้อยใจ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ซ่อนหลังดวงตาคู่เรียวเล็กคือความยินยอมที่เจ้าตัวไม่ยอมรับ

...ชอบที่คณิตรองรับทุกความต้องการของเขาได้ทั้งหมด เขาสัมผัสคณิตด้วยความรุนแรงเกือบทุกครั้ง ถึงปากจะบอกว่าเจ็บ ร่างกายร้องประท้วงอย่างหนัก ทว่าไม่นานนักทุกอย่างก็จะเป็นในแบบที่เขาต้องการ ร่างกายเล็กตอบรับสัมผัสและร่วมมีความสุขไปด้วยกัน

...ชอบที่คณิตเป็นทั้งของเล่น ของจริง คนรัก และคู่ชีวิตของเขาได้ในเวลาเดียวกัน เคยคิดว่าหากเขาทำกับณัชชาแบบที่ทำกับคณิต พาขึ้นเตียงและครอบครองด้วยความรุนแรง สุขสมกับร่างกายบอบบางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฝ่ายนั้นจะทนหรือรับได้หรือเปล่า แต่ก็มีคำตอบตามมาอย่างรวดเร็วว่า เขาไม่เคยคิดจะทำกับใครแบบที่ทำกับคณิต ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกได้มากมายเช่นคณิตเลย

...แม้จะเพลินอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง แต่หน่วยตาคมเข้มก็ไม่ได้ละจากภาพบนเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่กลางห้องที่ถูกฉาบไว้ด้วยสีดำ คนตัวเล็กที่สลบไสลเพราะความเหนื่อยล้าเริ่มขยับตัวช้าๆ บนใบหน้าซีดขาวปรากฏริ้วรอยความเจ็บปวดของร่างกาย โดยเฉพาะส่วนล่างที่ถูกใช้งานหนัก เจ้าตัวขยับยุกยิกอยู่สักพักถึงได้ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ

หน่วยตาเรียวเล็กกวาดมองรอบห้อง ก่อนมาสะดุดที่เขา เมื่อเห็นเจ้าตัวก็สะดุ้ง ก่อนฟาดสายตาขึ้งโกรธใส่เขาทันที จากนั้นก็สะบัดหน้าหนี ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้ ไม่ลืมที่จะลากผ้านวมผืนใหญ่ห่มคลุมทั้งตัว

เขารู้ว่าคณิตคงอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สถานที่ที่เจ้าตัวไม่รู้จัก ก็ไม่น่าจะรู้จักหรอกในเมื่อเขาไม่เคยบอกคณิตว่ามีห้องนี้อยู่ในบ้านที่ครั้งหนึ่งเกือบได้เป็นเรือนหอของเขากับณัชชา

คณิตมีส่วนช่วยออกความคิดเรื่องเรือนหอของเขาก็จริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด มีบางเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องบอกใครเกี่ยวกับบ้านของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกน้อง ว่าภายในบ้านรูปทรงตึกใต้ตัวบ้านชั้นหนึ่ง ลึกลงไปในชั้นใต้ดิน มีมุมที่เขาสร้างไว้ผ่อนคลาย นอนหลับใหลแบบไม่ต้องสัมผัสแสงเดือนแสงตะวัน

ภายในห้องรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีบันไดโค้งวนลงมาจากประตูบานหนึ่งที่ซ่อนแอบอยู่ในห้องเก็บของ มีเครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้น ก็แค่เตียงนอนกับโซฟาตัวที่เขานั่งไขว่ห้างมองคนบนเตียง ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเพียงเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นใส่เครื่องดื่ม และแซนเดอร์เลียร์สีเงินวับวาวบนเพดานกลางห้อง

เวลาเดินผ่านอย่างเชื่องช้า อชิตะที่สวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวยังคงนั่งเอนหลังไขว่ห้างบนโซฟา ท่ามกลางความเงียบเชียบที่มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังแทบไม่ได้ยิน ดวงตาจับจ้องคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในผ้าห่ม ชายหนุ่มไม่รีบร้อนกระโจนเข้าง้องอน เพราะรอเวลาให้คณิตหมดความอดทนเองน่าจะดีกว่ากันเยอะ เมื่อหมดความอดทนต่อความอยากรู้ เจ้าตัวก็จะออกมาจากที่หลบซ่อน ยิ่งตอนนี้คณิตคงอยากรู้เหลือเกินว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มาที่นี่ได้อย่างไร

เขาอุ้มคณิตออกจากห้องในคอนโดฯ ขณะที่หลับใหลไม่รู้สึกตัว มีหลายเหตุผลที่เอาตัวคณิตมาไว้ในห้องลับแห่งนี้ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือการตัดขาดคณิตจากลูกชายของเจ้าพ่อน้ำเมา ซึ่งเขาไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว รู้จักแค่ว่าชื่อภูมิ เคยเห็นหน้าในงานสังคมในบางครั้ง

ไม่รู้หรอกว่าคณิตแค่ประชดเขา หรือว่าประชดเพราะเป็นเรื่องจริง ที่ว่ากำลังคบหาอยู่กับภูมิ เขาไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่ขอไม่ประมาทไว้ก่อน การเก็บคณิตซ่อนไว้ในห้องลับที่มีแค่เขาและคนรับใช้ในบ้านที่รู้ ซึ่งเขากำชับโทษหนักไว้แล้วหากคิดจะเอาไปคุยให้คนนอกบ้านฟัง นอกจากกันไม่ให้คณิตเจอใคร ก็ยังกันไม่ให้อดีตลูกน้องอีกคนหนึ่งตามมาเอาตัวกลับไปด้วย

...ภาคีทำตัวเหมือนพ่อของคณิตและมองเห็นเขาเป็นคนร้ายไปแล้ว

เมื่อภาคีโทรหาคณิตเกือบยี่สิบสายแต่เจ้าของเครื่องไม่รับสาย และไม่เชื่อว่าคนที่ตอบไลน์ที่ส่งมาหาด้วยข้อความร้อนใจคือเพื่อนของตน...ก็ถูกต้อง ในเมื่อเขาเป็นคนตอบไลน์เอง จึงไม่แปลกที่ข้อความสุดท้ายในไลน์ของคณิตเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนจะเป็นประโยคที่ว่า

‘คุณเอาหนึ่งไปไว้ที่ไหน’ 

 เขาอ่านแต่ไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่พิมพ์คำถามอะไรส่งมาอีก ไม่ถึงนาทีโทรศัพท์เขาก็สั่นเพราะมีสายเรียกเข้า หน้าจอขึ้นชื่ออดีตลูกน้องคนสนิท เขาปล่อยให้มันสั่นอีกสามสี่รอบถึงเงียบเสียงลง เป็นคำตอบที่แน่ชัดในใจของอีกฝ่ายแล้วว่าคณิตอยู่กับเขา หากภาคีบุกมาถึงบ้านเขา ก็จะได้คำตอบเช่นเดียวกับคำตอบของทุกคนในบริษัท ว่าเขาเดินทางไปต่างประเทศและไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร

เขาไม่มีวันยอมให้ภาคีเอาตัวคณิตไปจากเด็ดขาด คณิตเป็นของเขาและจะเป็นไปอีกนานแสนนาน...


และแล้วผ้านวมผืนใหญ่ก็เริ่มขยับ ก่อนร่างกายขาวมีรอยจ้ำแดงและรอยฟันกระจายทั่วตัวจะลุกขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิด ผสมไปกับความอยากรู้ว่าที่นี่มันที่ไหน ห้องสีดำแลดูน่ากลัว ชวนให้หายใจไม่ออก ซ้ำร้ายผนังห้องที่เป็นส่วนหนึ่งของผนังห้องน้ำยังเป็นกระจกใสแจ๋วและไม่มีผ้าม่านปิดบังสายตาคนด้านนอก มองไปเห็นตู้อาบน้ำขนาดใหญ่และอ่างอาบน้ำสีแดงเข้มตัดกับพื้นและผนังห้องสีดำ

ดวงตาเรียวเล็กวาววับด้วยความโกรธจ้องเขม็งไปยังคนที่นั่งไขว่ห้างอย่างไม่รู้สึกรู้สาไปกับอารมณ์ของเขา คณิตยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น โมโหจนต้องคว้าหมอนเขวี้ยงใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มความคับแค้นใจ ทว่าระยะทางมันไกลเสียจนหมอนลอยไปไม่ถึง บวกกับร่างกายสะบักสะบอมจากการรุกรานยาวนานของอชิตะ เรี่ยวแรงก็เหลืออยู่ไม่มาก หมอนเลยตกห่างจากเตียงไปไม่เท่าไรเอง

คณิตมองหาของใกล้มือ อะไรก็ได้ที่มีน้ำหนักพอจะปาใส่หน้าเรียบเฉยของอชิตะได้ แต่ไม่มี อย่าว่าแต่ใกล้มือเลย ไกลมือก็เห็นมีแต่ตู้เย็น สูงขึ้นไปบนเพดานห้องก็มีแต่แซนเดอร์เลียร์พวงใหญ่มากๆ นอกจากของใกล้มือไม่มีแล้ว เสื้อผ้าบนตัวเขาก็ไม่มีสักชิ้น มองหาตู้เสื้อผ้าก็ไม่มี หันกลับไปจ้องหน้าอาฆาตคนที่นั่งไขว่ห้างเป็นคุณชายบนโซฟาสีดำทะมึนอีกครั้ง จ้องจนเมื่อยลูกตาแล้ว อชิตะก็ยังนั่งเฉย ปราศจากคำพูด คำอธิบายอะไร เจ้าตัวไม่เห็นคำถามในตาขวางขุ่นของเขาหรือไงวะ คณิตนึกด่าในใจ ก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดใจ ตัดสินใจเปิดปากซะเอง

“ที่ไหน?”

คณิตถามตาขวาง ไอ้ที่คิดว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะหนีไปพึ่งภาคี หรือไม่ก็กลับบ้านต่างจังหวัดเป็นอันพับเก็บไปทันที อย่าว่าแต่หาทางหนีไม่ได้เลย แค่หาประตูหน้าต่างยังไม่เจอด้วยซ้ำ เจอแต่กำแพงสีดำน่ากลัว ประตูห้องที่คาดว่าน่าจะอยู่เหนือบันไดโค้งวน ก็ใช่ว่าจะใส่ตีนหมาวิ่งไปถึงตีนบันไดได้ง่ายซะหน่อย ในเมื่อมีคนนั่งเฝ้าบันไดไว้แล้ว ต่อให้อชิตะไม่นั่งเฝ้า ร่างกายที่เหมือนถูกสูบเอาพลังงานออกจากร่างจนหมดสิ้น ความปวดร้าวระบมตรงช่องทางด้านหลังอีกเล่า สภาพนี้เดินไปถึงตีนบันไดต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบนาทีแน่

เมื่อคืน...เขาไม่ได้นับว่ากี่ครั้งที่อชิตะรุนแรงเข้าใส่ ความทรงจำสุดท้ายก่อนทุกอย่างวูบดับไปคือเสียงเข้มครางกระเส่าตามอารมณ์สุขสม เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด กับแสงของวันใหม่ที่ลอดผ่านเข้ามารวมกับแสงของหลอดไฟภายในห้อง

กว่าจะได้คำตอบคณิตก็ต้องรอให้อีกฝ่ายลุกจากโซฟา ก้าวเท้าอย่างเนิบช้าเข้ามาหา อชิตะก้มเก็บหมอนสีดำบนพื้นพรมสีเดียวกันขึ้นมา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วนั่นแหละ คณิตถึงได้คำตอบ

“ห้องใต้ดินในบ้านของเรา”

‘บ้านของเรา’ ให้ตีความก็คงหมายถึงอดีตเรือนหอของอชิตะกับณัชชา บ้านหลังนี้มีห้องใต้ดินด้วยเหรอ เขาไม่เห็นเคยรู้มาก่อน จะว่าไปที่เขาช่วยออกแบบความคิดให้บ้านหลังนี้ก็มีแค่สระว่ายน้ำแทนสวนต้นไม้ใบหญ้า และก็รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่เขาชอบเท่านั้น แถมตอนสร้างเรือนหอของอชิตะ เขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาดูการก่อสร้างเพราะไม่ใช่หน้าที่ หากจะมีห้องใต้ดินในบ้านหลังนี้ก็ไม่น่าแปลก มันแปลกก็ตรงที่ว่าทำไมเขาต้องมาอยู่ในห้องลับนี้ด้วยวะ อย่าบอกนะว่า...อชิตะเอาเขามาขังไว้ให้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเหมือนที่เจ้าตัวขู่ไว้เมื่อคืน

แค่คิดก็กลัวแล้ว...ไม่คิดว่าอชิตะจะเป็นโรคจิตจริงอย่างที่เขาก่นด่ามาตลอด

“ชอบไหม?” คนโรคจิตถามยิ้มๆ

ชอบไหม...งั้นเหรอ?

ชอบกับผีอะไรเล่า ห้องสีดำอย่างกับนรก แถมอ่างอาบน้ำก็เหมือนกระทะทองแดง อะไรไม่ร้ายเท่ากับการที่ต้องไปยืนอาบน้ำท่ามกลางสายตาของคนร่วมห้อง ยังดีหน่อยที่ห้องสุขากั้นพื้นที่ด้วยกำแพงปูนฉาบสีดำ ไม่งั้นละก็ ไม่อยากคิดว่าจะอุจาดตาแค่ไหนเวลาปวดหนักขึ้นมา


“ผมจะกลับบ้าน” คณิตเอ่ยเสียงหนัก แม้ความหวังริบรี่


“คุณจะอยู่ที่นี่...” อชิตะบอกด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “...อยู่เป็นของเล่นของผม จนกว่าผมจะเบื่อ” เมื่อคืนคณิตตะโกนใส่หน้าเขาดีนัก ว่าเขาเห็นเจ้าตัวเป็นของเล่นที่ยังกอบโกยเอาไปหมด ก็ลองเอาคำพูดของเจ้าตัวมาใช้ซะหน่อย ดูสิว่าจะเป็นยังไง 

“เลว” คนตัวขาวขบฟันพูด ขณะที่หัวใจมันพลิกตลบ สะท้านกับคำว่า ‘ของเล่น’ เมื่อคืนยังบอกว่ารักเขาอยู่เลยไม่ใช่หรือไง หรือดันคิดได้กับคำด่าของเขา เลยรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีต่อเขา ไม่ใช่ความรัก เป็นแค่ความใคร่ล้วนๆ สิ่งที่อชิตะอยากได้จากเขาก็แค่ร่างกายที่ไม่ได้มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนเจ้าตัว ร่างกายที่เป็นรสชาติแปลกใหม่ หยิบจับใช้งานได้ง่ายตามความอยากของผู้ชาย เขาไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าแค่ที่ระบายความใคร่ คิดแล้วใจเหมือนจะขาดเป็นชิ้นให้ได้เสียตรงนี้

แล้วทำไมเขาต้องคิดให้ตัวเองเจ็บซ้ำซากด้วย!

เชิดหน้าไว้สิวะไอ้หนึ่ง!

จำไว้ ถึงตัวมึงจะหมดศักดิ์ศรีไปแล้ว แต่หัวใจมึงยังมีศักดิ์ศรีนะเว้ย!

มึงต้องรักษาศักดิ์ศรีของใจมึงด้วยการหยุดเจ็บปวดเสียที!

สั่งตัวเองน่ะมันง่าย แต่ให้ทำจริงๆ คณิตไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้ จะรักษาศักดิ์ศรีของหัวใจตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อมันรักไปแล้ว เป็นของคนเห็นแก่ตัวไปแล้ว ขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีทันใด คณิตต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ให้คนร่วมเตียงเห็นเวลาที่น้ำอุ่นร้อนคลอในหน่วยตา เขากำลังกัดฟันสู้กับความเจ็บปวดจากคำพูดของอีกฝ่ายที่เฉือนหัวจิตหัวใจเหลือเกิน

หัวใจมันทนไม่ไหวอีกต่อไป อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว คณิตขยับกายหวังจะหอบร่างระบมคลานลงจากเตียง ไม่รู้จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ในเมื่อห้องกว้างว่างโล่งซะขนาดนี้

เออ! ในห้องน้ำก็ได้วะ

แต่แค่ขยับก็โดนมือหนารั้งตัวเอาไว้อย่างกับรู้ทันความคิด จากนั้นก็ถูกยกตัวให้ขึ้นไปนั่งบนตักแกร่ง ใช่ว่าคณิตจะยอมง่ายๆ ก็ตามสเต็ปเดิมคือดิ้นขัดขืน แต่ครั้งนี้ร่างกายไม่สมบูรณ์ ยิ่งดิ้นช่วงล่างก็ยิ่งเจ็บ คณิตเลยดิ้นได้ไม่เยอะเท่าที่ใจอยากทำ สุดท้ายคนตัวเล็กก็ฝืนทรมานตัวเองไม่ไหว นั่งนิ่งบนตักคนตัวใหญ่แบบจำยอม

แต่ปากกล้าแสนเก่งของคณิตใช่จะจำยอมไปด้วย

“ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้โรคจิต ไอ้คนเห็นแก่ตัว มึงเป็นเหี้ยอะไรกับกูนักวะ” คณิตไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าแล้ว “ทำไมกูต้องมาซวยเจอคนอย่างมึงด้วย กูเป็นคน ไม่ใช่ของเล่น แล้วอย่าเผลอนะ เผลอเมื่อไร กูเอามึงตายแน่ จำไว้ไอ้เหี้ย! ไอ้เลว! สักวันกูจะหนีไปจากมึงให้ได้! ทำไมต้องทำกับกูอย่างนี้วะ กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่ของเล่นให้มึงเอาเล่นๆ” ตะคอกใส่หน้าอย่างสุดทน มือเล็กระดมทุบร่างกายหนาเท่าที่แรงน้อยนิดจะทำได้ เพื่อแสดงว่าตัวเองไม่ยินยอมในสิ่งที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้เป็น

“ปล่อยกู! มึงจะทำอะไรกูอีกห๊ะ!!”

“ด่าเยอะๆ หนึ่ง เพราะผมชอบ” คณิตรวบสองมือเล็กที่พยายามจะใช้เป็นอาวุธทุบตีเขาไว้เหนือศีรษะของเจ้าของมันด้วยมือเดียว เมื่อผลักร่างเล็กลงไปนอนราบกับเตียง  อีกมือหนึ่งบีบต้นคอขาวด้วยแรงที่ไม่มากนักแต่ก็พอทำให้ร่างข้างใต้หยุดพยศแทบจะทันที แล้วส่งสายตาเกลียดชังมาให้แทน “รู้ไหมหนึ่ง...ยิ่งคุณพยศ ผมยิ่งชอบ...ยิ่งคุณสู้ ผมยิ่งบ้า...ยิ่งคุณเกลียด ผมยิ่งสนุก...ยิ่งคุณอยากหนี ผมก็ยิ่งอยากฝังคุณไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน”

“ไม่ต้องมาขู่ ผมไม่กลัว” ปากบอกไม่กลัว แต่คณิตก็เลือกใช้คำแทนตัวเองที่อ่อนลง ก็อชิตะมีอะไรอีกมากมายที่เขาไม่รู้ ที่ผ่านมาก็ยืนยันแล้วว่าอชิตะทำอะไรได้เลวร้ายกว่าที่เขาจะคาดถึง อชิตะไม่ใช่คนใจดีอย่างที่เขาเคยเข้าใจ แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อความต้องการของตัวเอง

“คิดว่าผมขู่?” มุมปากหนายกยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า “ผมไม่ได้ขู่ สิ่งที่ผมพูด คือสิ่งที่ผมทำมันได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ แม้แต่ฆ่าคุณ ผมก็ทำได้ ถ้ามันจำเป็น” อชิตะพูดเสียงเรียบ เพิ่มน้ำหนักมือที่บีบลำคอขาวขึ้นอีกนิดหนึ่ง ตอกย้ำคำที่พูดไป พอใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคณิต 

“ไอ้โรคจิต” ถึงจะเก่งกล้า ทำใจแข็งสู้สายตาด้วย แต่จะให้ท้าทายและมีชีวิตเป็นเดิมพันละก็ คณิตขอประคับประคองชีวิตตัวเอง
ให้พ้นจากห้องสีดำทะมึนไปให้ได้ก่อน มันต้องมีสักช่วงเวลาที่อชิตะเผลอ แล้วมันจะเป็นเวลาของเขา

“พาผมไปตรวจสิหนึ่ง จะได้รู้ว่าผมโรคจิตหรือว่าเพราะคุณเป็นตัวกระตุ้นให้ผมต้องโรคจิตใส่คุณ” พูดยิ้มๆ 

“อย่ามาโทษผม คุณมันโรคจิตเอง ไม่เกี่ยวกับผม” คณิตสวนกลับทันที เรื่องอะไรมาโทษเขา     

“ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่ผมคิดถึงคุณนะ” อชิตะเปลี่ยนมาทอดเสียงนุ่มหวานในประโยคสุดท้าย พลางละมือจากต้นคอขาวลงมาที่จุดกึ่งกลางตัว ขย้ำตัวตนนุ่มนิ่มให้ตื่นตัว “...คิดถึงมาก อยากเข้าไปอยู่ในตัวคุณแทบบ้า อยากให้คุณร้องครวญครางเหมือนเมื่อคืน คุณเซ็กซี่มากรู้ไหมหนึ่ง” อชิตะเอ่ยย้ำเสียงพร่าแหบ แทรกตัวเข้าไปนั่งระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของคนตัวเล็ก ดึงสะโพกนิ่มขึ้นมาเกยบนหน้าขา อีกฝ่ายทำหน้าตาตื่นแต่ก็แวบเดียว ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเคียดแค้น อยากฉีกเนื้อเขาทิ้งเป็นชิ้นๆ ต่างจากเขาที่อยากกลืนกินคณิตเข้าไปทั้งตัว ให้จมไปในร่างกายเขา ให้กลายเป็นทั้งชีวิต ร่างกาย และลมหายใจไปตลอดกาล

“ผมไม่อยากรู้ ไม่ต้องมาบอกความเป็นโรคจิตของคุณหรอก” คณิตตอกกลับด้วยเสียงแดกดัน พยายามเสือกไสตัวลงมาจากต้นขาแข็งแรง แต่ก็ติดทั้งมือและร่างกำยำที่ปิดล็อกทุกการเคลื่อนที่ของเขา ซ้ำยังจับน้องชายเขาเป็นตัวประกัน มือที่ขย้ำนวดเป็นจังหวะเบาสลับหนักกำลังทำให้ร่างกายเขาเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ต้องกัดปากตัวเองแน่นกั้นเสียงครางที่อาจหลุดออกมา...
โธ่เว้ย! เขาก็ผู้ชายนะ แตะนิดแตะหน่อยก็ไปแล้ว

“ผมไม่สน เพราะตรงนี้ของคุณน่าสนุกว่าเยอะ” อชิตะหมายถึงช่องทางด้านหลังของคนตัวเล็ก เขากำลังใช้สองนิ้วหยอกล้ออย่างสนุกมือ เห็นกรอบหน้าเล็กขึ้นสีแดงเพราะความโกรธและอารมณ์แบบผู้ชายเวลาถูกกระตุ้นตรงจุดอ่อนไหวและจุดที่ไวต่อความรู้สึกในคราวเดียวกัน “มันสนุกนะหนึ่ง เวลาเห็นคนปากไม่ตรงกับใจร้องครวญครางจนเสียงแหบแห้งเพราะผม”

ยิ่งเจ้าของช่องทางรักดิ้นขัดขืน อชิตะก็ยิ่งหยอกล้อด้วยการกดย้ำที่แรงขึ้น สัมผัสได้ถึงความร้อนผะผ่าวดึงดูดปลายนิ้วให้รุกรานเข้าลึก จนอยากแทนที่ด้วยอะไรที่คู่ควรมากกว่านิ้วมือ

“อยากให้ผมเข้าไปหรือยัง” ถามพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่ ตาเรียวตวัดมองขุ่นทันที

“ไอ้โรคจิต! หน้าไม่อาย!” คณิตจนคำด่าอีกเช่นเคย หรือเพราะเรี่ยวแรงที่เคยเหลืออยู่น้อยนิดได้เหือดหายไปพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงกันแน่ แม้มือทั้งสองข้างจะเป็นอิสระแต่ก็ตกอยู่ข้างลำตัว ไม่มีแรงยกเหวี่ยงหมัดใส่คนที่กำลังเล่นสนุกกับร่างกายเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ร่างกายบิดสะท้านยากควบคุมไว้ได้ด้วยสติอันน้อยนิด ได้แต่นอนกลั้นเสียงครางไม่ให้หลุดออกมาประจานตัวเองให้ฝ่ายกระทำได้ใจ

อดทนไว้ไอ้หนึ่ง!

อย่าเผลอให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นจะด่าได้ไม่เต็มปากว่าถูกข่มขืน!

V
V
อ่านต่อข้างล่างนะคะ

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 28 UP 29-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 29-07-2017 19:58:18
“มาดูสิว่าคนโรคจิตอย่างผมทำอะไรกับร่างกายของคุณที่มันเป็นของผมบ้าง ลองตรงนี้ก่อนดีไหม” คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะจบคำถาม อชิตะก็งับคณิตน้อยเข้าปากทันที ชายหนุ่มดูดดึง หยอกล้อด้วยฟันที่กัดย้ำ หนักบ้าง บ้างเบา

“อื้ออ...ไอ้...ระ...โรคจิต...อ่า...” คณิตด่าเสียงสั่นเบา ทั้งที่คิดว่าตัวเองตะโกนด่าจนสุดเสียงแล้วนะ มิหนำซ้ำยังหลุดครางเบาให้อชิตะเงยหน้าขึ้นมายิ้มสมใจใส่เขาอีก

โธ่เว้ย!! ดันรู้สึกดีไปด้วยนี่สิ ที่ร้ายแรงที่สุดคือช่องทางข้างหลังของเขายังร้าวระบมอยู่มาก ขยับเพียงนิดก็เจ็บร้าวไปทั้งตัวแล้ว อชิตะยังคิดจะเล่นกับมันอีกหรือไง นี่สินะที่เรียกว่าของเล่น อยากเล่นตอนไหนก็ต้องได้ เพราะร่างกายเขาก็แค่ของเล่น ไม่มีความรู้สึก เจ็บไม่เป็น ตายไม่ได้ รอแค่วันที่มันพังจนเล่นต่อไม่ได้...หรือไม่ก็เบื่อที่จะเล่น แล้วโยนทิ้ง 

“อยากให้ผมสัมผัสตรงๆ แล้วหรือยัง” อชิตะมองใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยอารมณ์ แบบที่กลั้นเก็บแล้วแต่ก็ไม่มิด   

“ไม่!” คณิตตะโกนสวนกลับทันที

“แต่ผมอยาก” ว่าแล้วก็ระบายเสียงหัวเราะเบาๆ แกล้งขยับสะโพกให้ส่วนร้อนระอุกระแทกเข้ากับช่องทางรักด้านหลังซ้ำๆ ส่วนคนถูกกระทำต้องด่าซ้ำด้วยคำเดิม

“โรคจิต!” 

“ก็กับหนึ่งคนเดียว” หนึ่งเดียวเท่านั้นที่อชิตะอยากแสดงความรักให้รุนแรงที่สุด


“ผมไม่ภูมิใจหรอกนะ มีแต่ขยะแขยง” คนที่กำลังจะถูกกลืนกินสะบัดเสียงใส่ มีวูบหนึ่งที่ต้องหลบตาคู่คมเข้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความต้องการของผู้ชาย อชิตะมองเขาเหมือนจะกลืนกินลงท้อง ไม่เหลือเว้นไว้แม้แต่กระดูก

“ผมให้โอกาสพูดใหม่ ขยะแขยงหรือว่า...” อชิตะยิ้มใส่ดวงตาจ้าจัดของคณิต “...รู้สึกดีกันแน่”

“ไปถามคนของมึงนู่น” ตะโกนสวนกลับไปอย่างเหลืออด ภาพเมื่อวานย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง

“พูดไม่เพราะหลายรอบแล้วนะหนึ่ง คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบ มันไม่เหมาะกับปากหวานๆ ของคุณ” อชิตะกระซิบข้างใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงจัด ไม่ใช่เพราะความเขินอายแต่เป็นเพราะความโมโหมากกว่า ชายหนุ่มกดปลายจมูกบนซีกแก้มที่บอกได้คำเดียวว่าคิดถึงเหลือเกิน แม้จะกกกอดไว้ทั้งคืนแล้วก็ยังคิดถึง “แล้วที่พูดว่า ‘คนของผม’ หมายถึงคนในร้านหรือเปล่า” ถามปนไปกับเสียงหัวเราะในลำคอ อชิตะเดาว่าคณิตกำลังหึง

หึง...ก็แปลว่ารัก

ไม่รัก...คงไม่หึง

คงต้องปล่อยให้หึงต่อไป

“หรือว่ามีอีกกี่คน” ย้อนถามอย่างอารมณ์เสีย นี่สินะถึงไม่กลับมาหาเขา ปล่อยให้เขารอเหมือนคนโง่ คิดแล้วอารมณ์น้อยใจก็ล้นปรี่ในหัวอก ตีคู่มากับอาการขอบตาร้อนจัด ต้องฝืนข่มน้ำตาไม่ให้ไหลซ้ำซากฟ้องความอ่อนแอของตัวเอง คณิตหันหน้าหนี ไม่ให้อชิตะได้เห็นความอ่อนแอนี้

“เป็นอะไร?” อชิตะใช้มือจับปลายคางเล็กให้หันหน้ากลับมา ที่เห็นคือเปลือกตาที่ปิดสนิทกับเม็ดน้ำตาตรงหางตา

“เรื่องของผม ไม่ต้องมายุ่ง อยากเอาผมนัก ก็เอาซะทีสิ” คนตัวเล็กข่มอารมณ์อ่อนแอไว้ลึกที่สุดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยประชดออกมา “แล้วรีบเบื่อผมให้เร็วด้วย เพราะมีคนรอผมอยู่ ผมอยากเจอหน้าเขาเต็มทนแล้ว” 

อชิตะแสยะยิ้มให้กับคำประชดของคนตัวเล็ก คำพูดของคณิตฟังแล้วจี๊ดที่อกก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามเอาของที่เป็นของเขาคืนมาลดลงเลย กลับยิ่งทำให้มีมากขึ้น คณิตเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาไปตลอดชีวิต

“ถ้าผมยังไม่เบื่อของเล่นที่มันครางเสียงหวานจนผมอยากฝังตัวเองลงไปทุกนาที คุณก็ไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่กับผม ครางให้ผมฟังได้คนเดียว”

ความต้องการที่ไม่เคยพอ ไม่มีวันพอ มันต้องการปลดปล่อยใส่เข้าไปในร่างกายเล็กแสนหอมหวานเสียเดียวนี้... นาทีนี้เลย เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของที่แท้จริง

สำหรับอชิตะ ความรัก ความใคร่ ความต้องการ การได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเดียวกัน สิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้

“อยากเอาก็เอา ไม่ต้องมาพูดมาก” คณิตบอกเสียงขุ่น หัวใจสลายกับคำว่า ‘ของเล่น’ ที่อีกฝ่ายย้ำเหลือเกิน กลัวเขาไม่รู้หรือไงว่าต้องอยู่ในฐานะอะไร

“ผมจะถือว่าเป็นคำเชิญชวน” อชิตะกระซิบข้างใบหูเล็ก แล้วดูดกลืนติ่งหูเล็กเข้ามาในปาก ชิมรสผิวเนื้อหวานหอมให้เจ้าของมันสะดุ้งและสะท้านซ่าน แล้วจึงละออกมา ยิ้มยั่วก่อนเอ่ย “ยิ่งคุณพยศ ผมยิ่งชอบ ยิ่งคุณสู้ ผมยิ่งบ้า แต่ถ้าคุณยอม ผมยิ่งคลั่ง” เขาระบายเสียงหัวเราะทุ้มต่ำราวกับคนโรคจิตจริงๆ

คนฟังทำตาโต ด่าทอผ่านทางสายตาจ้าจัดสักพัก ถึงเปิดปากเอ่ยสั่งเสียงสูงประชด เพราะขัดใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

“ทำสิ พูดมากอยู่ได้ อยากนักไม่ใช่หรือไง ทำเลย เอาเลย จะได้เลิกพูดจาโรคจิตใส่คนอื่นเขาซะที ไม่อยากฟัง ไม่อยากโรคจิตไปด้วยกับคุณหรอกนะ”

“เก่งพอจะทำเองไหม?” ถามกลั้วเสียงหัวเราะ ยั่วแหย่และท้าทายให้อีกฝ่ายตกหลุม อชิตะพลิกตัวกลับไปอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พิงแผ่นหลังไว้กับหัวเตียง “ขึ้นมาสิ จะได้รีบทำ รีบเสร็จ ไม่แน่นะหนึ่ง บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะเล่นกับคุณ ครางให้ดัง ทำให้ผมถึงใจ แล้วผมจะปล่อยคุณไป”

โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังถูกหลอกล่อให้ตกหลุม คณิตก็เอาตัวเองปีนขึ้นไปนั่งทับหน้าขาของอีกฝ่าย ราวกับจะประชดชะตากรรมและความน้อยอกน้อยใจของตัวเอง ก่อนกระตุกปมเสื้อคลุมสีเทาเข้ม กดฟันข่มความอายจับท่อนลำแข็งและร้อนจัด ซึ่งขนาดของมันไม่ได้ธรรมดาเลยสักนิด เห็นมากี่ครั้ง สัมผัสมากี่หน เขาก็ยังไม่ชิน ไม่คิดว่าจะเข้าไปอยู่ในตัวเขาได้เลยแต่ก็เข้าไปได้หลายครั้งต่อหลายครั้ง

“จะมองอีกนานไหม ทำสิครับ” เสียงทุ้มลากหวานติดจะเย้าแหย่ให้คนฟังอับอาย สิ้นศักดิ์ศรี

“.....” คณิตไม่ตอบโต้ มองตาขวางแทนคำด่า ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาสัมผัสกับไอร้อนที่แผ่ออกมาจากท่อนลำขนาดใหญ่ เขาใช้ลิ้นสัมผัสมันก่อนสองสามครั้ง แล้วจึงใช้ทั้งปากครอบมันลงไป ทำเหมือนที่เคยทำ ทำไปตามความคุ้นเคย

ใช้แรงดูด...

ใช้ลิ้นลากเลีย...

ใช้ฟันสร้างความเสียวสยิว...

ใช้ความตั้งใจใส่ลงไปทุกการเคลื่อนขยับให้ลื่นไหล...เพียงเพื่อให้ได้รางวัลเป็นมือหนาที่ลูบวนอยู่บนศีรษะ เสียงครางแหบที่บอกความพึงพอใจ ร่างกายที่บิดเกร็งจนถึงขั้นสุด ก่อนปลดปล่อยน้ำสีขาวข้นที่ล้นทะลักอยู่ในปากของเขา ส่วนที่เกินกักเก็บก็ไหลย้อยตามแรงโน้มถ่วง เขาก็ปาดมันทิ้ง ส่วนที่อยู่ในปากก็กลืนลงคอไป รสชาติของมันไม่ได้อร่อย หากเขาชินเสียแล้วที่จะทำแบบนี้

ก็แค่ทำเหมือนเคยทำ ก็แค่ทำเป็นครั้งสุดท้าย...

“คนเก่ง”

เป็นคำเรียกขานที่คณิตไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มไปด้วยสักนิด เมื่อถูกดึงเข้าไปรับจูบของคนที่สุขสมไปแล้วหนึ่งน้ำ ลิ้นของเขาถูกดูดกลืนอย่างรุนแรง อชิตะทำเหมือนตายอดตายอยากมาสิบชาติ   

“อื้อ...พะ...พอก่อน” คณิตดันใบหน้าอชิตะออกไป พูดเสียงหอบเพราะถูกช่วงชิงลมหายใจไปนานหลายนาที “เลิกจูบได้แล้ว ผมจะได้รีบทำ จะได้ไปๆ ซะที” ...กลับไปเจ็บช้ำเหมือนเดิม หรือไม่ก็ยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อครั้งนี้ร่างกายของเขาถูกตีค่าว่าเป็นแค่
‘ของเล่น’ ที่เก็บขึ้นมาเล่นต่อแค่ครั้งสองครั้ง ก่อนจะทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี

อชิตะเคยย้ำนักย้ำหนาว่า ‘รักเขา’ มาตอนนี้กลับเห็นเขาเป็นแค่ของเล่น ที่จะเล่นสนุกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตัวเขา หัวใจเขา ไม่มีค่าอะไรกับใครเลยจริงๆ

“ก็ทำสิ” อชิตะยิ้มตาพราว รอรับความสุขสมที่ได้รับจากช่องทางรักของร่างเล็ก ความอร่อยที่กินเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อ มีแต่อยากกินเพิ่ม

 อีกครั้งที่คณิตจับประคองท่อนลำที่ปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นไปแล้วครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงแข็งแกร่งพร้อมรบอย่างเต็มที่ คนตัวเล็กมองความเป็นชายเกินชายของอชิตะ แล้วโน้มตัวลง ใช้ลิ้นลากเลียให้ท่อนลำแข็งแกร่งโชกด้วยน้ำลาย เพื่อง่ายต่อการสอดใส่เข้ามาในช่องทางบวมช้ำของเขา

“เจลอยู่ที่โซฟา” อชิตะบอก

คนตัวเล็กใช้สายตาเย็นชาเป็นคำปฏิเสธ สะโพกเล็กยกขึ้นสูง จากนั้นจึงหย่อนกายลงมา หวังให้ช่องทางรักที่ยังร้าวระบมกลืนท่อนลำใหญ่โตเข้าไปทีละน้อย

มันเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ไม่ยอมให้มันไหล คณิตหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ฝืนกายลงมาด้วยความทรมาน กัดริมฝีปากล่างของตนไว้ไม่ให้เสียงของความเจ็บปวดพ้นออกมาจากปากให้โดนดูถูก ปลอบโยนร่างกายตัวเองว่า มันจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายแล้ว ให้มันเจ็บที่สุดไปเลย

เจ็บ! ไม่ไหว...ส่วนหัวยังเข้าไปได้นิดเดียวเอง กลับเจ็บเจียนตาย   

“เป็นไงล่ะ อวดเก่งดีนัก” ร่างใหญ่ลุกจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนขึ้นมาโอบประคองร่างกายที่สั่นระริกจากความเจ็บร้าวเจียนตายที่ฝืนกดสะโพกลงมาแบบไม่ประมาณตน อชิตะช้อนร่างคณิตเข้าสู่วงแขน อุ้มลงจากเตียงพาเดินไปที่โซฟาตัวเดียวในห้อง ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง จับประคองให้อีกคนนั่งบนตัก เอื้อมหยิบหลอดเจลบีบใส่มือ ชโลมบนความต้องการของตัวเอง

“ไหวนะ” นิ้วแกร่งชุมเจลเนื้อเย็นแทรกเข้าไปในช่องทางรัก เจ้าของมันส่ายหน้าไปมา

“ผมไม่ไหว มันเจ็บ ไม่ทำแล้วได้ไหม” นาทีก่อนคณิตอยากประชด อยากทำตัวเองให้เจ็บเท่ากับที่ใจเจ็บ แต่นาทีนี้เขายอมแพ้แล้ว 

“อดทนหน่อยนะครับคนเก่ง” อชิตะมองตาคนตัวเล็ก ส่งสายตาอ้อนขอแบบที่ทำให้คนถูกอ้อนต้องกัดปากหลบสายตา “ทนได้ใช่ไหม ทนเพื่อผมหน่อยนะคนเก่ง” ทอดเสียงหวานถามซ้ำ นิ้วแกร่งยังขยับเข้าออกในช่องทางรัก ได้ยินเสียงครางแผ่วเบาจากปากเล็กที่สั่นระริก เป็นสัญญาณที่ดี

อชิตะดึงใบหน้าคณิตเข้ามาจูบ ส่งผ่านความรู้สึกทั้งรักทั้งหลงใหลลงในรสจูบที่บดเบียดช่วงชิงลมหายใจของคนตัวขาว ใช้จังหวะที่คณิตหลงไปกับจูบที่เขาปรนเปรอให้ ยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้น แล้วแทนที่นิ้วมือด้วยท่อนลำร้อนจัด คณิตผวาเข้ากอดคอเขาแน่น เนื้อตัวเกร็งสั่นระริกยามที่เขารั้งสะโพกเล็กให้รับตัวตนของเขาไปจนสุดความยาว

“ทำหน้าที่ได้แล้วคนเก่ง” เขากระซิบข้างใบหูเล็ก เจ้าตัวส่ายหน้ากับไหล่เขา มีเสียงสะอื้นผ่าวเบาปนมากับเสียงครางแผ่วหวาน

“ไม่เก่งแล้วเหรอ เมื่อกี้ยังใจสู้อยู่นะครับคนเก่ง แบบนี้ไม่เก่งจริงนี่น่า” อดไม่ได้ที่จะกระเซ้า ปลายเล็บจิกเข้าเนื้อตรงแผ่นหลังเขาเป็นการตอบโต้ อชิตะพลิกร่างนั้นลงไปนอนราบบนโซฟา โดยที่ท่อนลำร้อนจัดของเขายังเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับช่องทางรักของคณิต

“เอาเป็นว่า คนเก่งติดหนี้ผมหนึ่งครั้งแล้วนะ” อชิตะบอกเจ้าของดวงหน้าแดงก่ำ ก้มใบหน้าลงหาความหวานจากเรียวปากเล็กอย่างร้อนแรง ส่วนเบื้องล่างก็ไม่ต่างกัน ชายหนุ่มโหมแรงใส่ตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้ายที่ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมา

“ออกไป”

เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ เมื่อเขายังคงทาบทับบนร่างกายของคนตัวเล็ก คณิตขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะน้ำหนักของเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ

“เสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง ก็ปล่อยผมไปได้แล้ว...อื้อ...จะ...เจ็บนะไอ้เหี้ย!” ต่อให้หอบระโหยโรยแรงเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก แต่ความปากเก่งก็ฟื้นตัวเร็วมาก เลยถูกอชิตะกัดปากไปหลายทีเป็นการสั่งสอน

“ผมยังสนุกกับของเล่นอย่างคุณอยู่เลยนะหนึ่ง” อชิตะยิ้มแหย่

“แต่คุณบอกว่าเป็นครั้งสุดท้าย” คณิตมองตาขวาง ทวงคำพูดที่อีกฝ่ายบอกเขา

“ผมพูดว่า ‘อาจจะ’ แล้วคุณก็ยังติดหนี้ผมอยู่หนึ่งครั้งด้วยนะหนึ่ง” บอกอย่างเป็นต่อ ก็อีกตามเคยที่คนฟังจะกัดฟันกรอด ระดมหมัดใส่ตัวอชิตะแบบไม่ยั้งแรงเท่าที่สภาพจะอำนวย ซึ่งมันก็เหมือนลูกแมวไม่มีกรงเล็บ ไม่ได้ทำให้อชิตะระคายเคืองเลย ตรงข้ามกลับยิ่งกระตุ้นให้อชิตะอยากขย้ำซ้ำอีกหลายรอบ

“ไอ้คนปลิ้นปล้อน” คณิตด่าด้วยความเจ็บใจ สองมือที่มีก็ทำอะไรคนที่นอนทับบนตัวเขาได้เลย

“สงสัยมีแรงเหลือเฟือ ต่อกันอีกรอบไหม?” ถามขำๆ ก่อนพลิกกายลงมานอนเบียดคนตัวเล็ก แล้วดึงเข้ามากอด กดศีรษะเล็กที่อัดแน่นด้วยความดื้อมาซบที่อก “ขืนดิ้นเยอะ ระวังอะไรที่มันสงบไปแล้ว มันจะตื่นนะ แล้วคุณจะแย่เอาหนึ่ง” อชิตะแกล้งขู่ คณิตถึงกับหยุดดิ้น แต่ไม่วายหยิกหน้าอกของอชิตะทิ้งทวนเสียหลายที

คณิตเงียบไปนาน จนอชิตะคิดว่าหลับ ทว่าก็คิดผิด เมื่อจู่ๆ คนตัวเล็กก็เอ่ยเสียงสั่นเบาขึ้นมา

“ผมเกลียดคุณ”

“เกลียดหรือรัก พูดใหม่ได้นะ”

“สักวัน...” คณิตเงยหน้าขึ้นมาสบตา “...ผมจะเกลียดคุณ” ...เพราะตอนนี้เขายังรักอชิตะ แม้ปากจะบอกว่าเกลียดก็ตาม

“ไม่มีวันนั้นหรอกหนึ่ง” อชิตะยิ้ม “เพราะผมจะรักคุณ จนคุณไม่สามารถทิ้งความรักของผมไปไหนได้ คุณจะเป็นของผมทั้งตัว หัวใจ และตลอดไป”

“ไม่มีวัน”

“พิสูจน์สิหนึ่ง” อชิตะท้า “วันที่เราจะรักกันไปถึงวันตาย”

คณิตหัวเราะทั้งน้ำตาให้กับคำท้าของอชิตะ

พิสูจน์อย่างนั้นหรือ?

อชิตะพูดมากี่ครั้งแล้วล่ะ แล้วเป็นไง วันนั้นก็ทิ้งเขาอยู่ดี

“ไม่เชื่อเหรอ”

“เปล่า...ไม่เคยเชื่อเลยต่างหาก”

คณิตจบบทสนทนาด้วยการพลิกตัวหันหลังให้อชิตะ ปิดเปลือกตาลง ข่มใจให้นอนหลับใหลไปซะ เผื่อว่าตื่นขึ้นมาจะเจอกับคำว่า...



‘ผมเบื่อคุณแล้ว’


จบตอนที่ 28
 :o8:
นับถอยหลังเหลืออีก 4 ตอนแล้วนะคะ
แอบกระซิบว่า คนเขียนเปิดจองในเพจแล้ว
แต่ในเล้า กำลังเตรียมเอกสารเพื่อขอเลข ID อยู่
หากสนใจเอาอิงหนึ่งไปกอดที่บ้าน เก็บเงินนะคะ
ในส่วนของเนื้อเรื่อง เหลืออีก 4 ตอน ก็จะเอามาลงทุกวันๆ
จะได้จบซะทีเนอะะะ

ขอบคุณที่ยังตามอ่านอิงหนึ่งกันอยู่นะคะ

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 28 UP 29-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-07-2017 21:16:47
ดูโรคจิตจริงด้วย!
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 29 UP 30-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 30-07-2017 19:08:19
29

“คนเก่ง...”

ริมฝีปากอุ่นร้อนพรมจูบบนต้นคอขาว ไล่ลงมายังแผ่นหลังบอบบาง ปลุกอารมณ์ที่มอดดับของร่างเล็กที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีแดงและรอยกัดทั่วร่างขึ้นมาอีกครั้ง

สองวันแล้วที่กกกอดร่างกายหอมหวานนี้ ไม่อยากจากพรากไปไหน อชิตะทำให้โลกทั้งใบมีแค่ตัวเขากับคณิต...เพียงสองคน

“อื้อ...ไม่เอา...แล้ว” คณิตปัดมือของคนที่ทอดกายอยู่ด้านหลัง มือหนาคลำไปทั่วร่างกายเขาเท่าที่มันจะไปถึง เป็นสัญญาณอันตรายว่า ร่างกายเขาต้องรับบทหนักอีกรอบ หลังจากที่เพิ่งปลดปล่อยรอบที่สองไปไม่กี่นาทีก่อน ก่อนจะร้องเสียงแหบแห้งเมื่อฟันคมกัดย้ำไปตามแผ่นหลังของตน “จะ...เจ็บ...บะ...เบาหน่อย...อื้อออ...” มันเป็นความเจ็บที่มาพร้อมกับความเสียวซ่าน ยอมรับว่ามันเร้าอารมณ์ให้กระเจิง แต่ทว่ามากเกินไปเขาก็เหนื่อยตายได้นะ

อชิตะชอบกัด พอๆ กับที่ชอบเข้ามาในตัวเขา กัดเมื่อไร อีกไม่นานช่องทางด้านหลังของเขาก็ต้องรองรับความแข็งแกร่งที่โหมแรงใส่ไม่ยั้งอีกตามเคย

เขาเกลียดการเป็นของเล่นของอชิตะ แต่ไม่เคยปฏิเสธได้เลยว่า เวลา ‘ถูกเล่น’ เขากลับหลงใหลไปกับวิธีการเล่นของอีกฝ่าย

เขาด่าอชิตะว่าโรคจิตกี่ร้อยพันครั้งแล้วไม่รู้ ทว่าเขาก็ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองให้คนโรคจิตทุกครั้งร่ำไป

“ไม่...เอา...ผมไม่ไหวแล้วบอส...อือ...” เพียงแค่ต้นขาถูกยกพาดไหล่หนา แท่งเนื้อร้อนระอุก็จ่อชิดเตรียมบุกรุกเข้ามาในช่องทางด้านให้สุดทางอย่างเช่นทุกครั้ง จากนั้นก็จะเป็นลีลาเร่าร้อน...ยากปฏิเสธ

มันควรเป็นเช่นนั้น หากไม่มีเสียงเคาะประตูรัวเร็วไร้จังหวะดังขัดขึ้นเสียก่อน ราวกับคณิตได้รับการปลดปล่อยจากกรงเล็บของเสือร้าย คนตัวเล็กถอนหายใจโล่งอก แม้กระนั้นคณิตก็ยังแปลกใจกับเสียงเคาะประตูเรียกที่ดังรัวราวกับไม่เกรงใจผู้เป็นเจ้าของบ้าน ตลอดสองวันมานี้ ไม่เคยสักครั้งจะมีใครมาเคาะประตูห้องใต้ดิน ไม่มีใครกล้ามายุ่งย่ามให้อารมณ์หื่นกระหายของอชิตะสะดุดลงแม้แต่ครั้งเดียว 

อชิตะก็คิดเช่นเดียวกับคนตัวเล็ก และคิดมากไปกว่านั้นอีก คนใช้ภายในบ้านถูกสั่งไม่ให้เข้ามายุ่งกับโลกที่มีเพียงเขากับคณิต

เขาเชื่อว่าไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งที่จะได้รับโทษคือการไล่ออก เว้นเสียแต่ว่ามีใครที่มีอำนาจเด็ดขาดพอๆ กับเขา

คนคลั่งรักระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด มันปนไปกับความยุ่งยากใจที่ไม่รู้จะอธิบายการกระทำของตัวเองแก่ผู้มาเยือนอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่าการกระทำของเขาไม่ใช่เรื่องปกติ

...จับผู้ชายมาขัง ใช้เวลาไปกับเรื่องเซ็กซ์ทั้งวันทั้งคืน

“ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป” อชิตะก้มลงบอกชิดริมฝีปากเล็ก ฝังจมูกบนแก้มนวลเนียน พร้อมกับฝากรอยฟันไว้ตรงซอกคอขาวไว้กับรอยเดิม “ผมจะไม่ให้ใครเอาตัวคุณไปจากผมเด็ดขาด” อชิตะย้ำ นั่นก็คือการย้ำบอกตัวเองด้วย

“ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คุณต้องการทั้งหมดหรอก” คณิตจ้องตากลับ “...สักวันผมจะไปจากคุณ”

“ไม่มีวันนั้นหนึ่ง” ดวงตาของอชิตะแน่วแน่ในคำพูดของตัวเอง “ผมจะทำให้คุณเห็นวันที่เราใช้ชีวิตด้วยกันทุกวัน ทุกวันของผมจะมีคุณ” อชิตะจ้องตอบสายตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ของคณิต ปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังอยู่อย่างนั้น ดังแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อหน่วยตาเรียวเล็กเป็นฝ่ายล่าถอยก่อน นั่นแหละอชิตะถึงลงจากเตียง

อชิตะก้มเก็บเสื้อคลุมขึ้นมาสวม ผูกปมแน่นแล้วถึงก้าวเท้าในจังหวะที่เป็นปกติ ไม่รีบร้อนและไม่ช้าเพื่อถ่วงเวลา เหยียบบันไดแต่ละขั้นด้วยความมุ่งมั่นว่าจะไม่ให้ใครก็ตามเอาตัวคณิตไปจากเขาเด็ดขาด

เมื่อเปิดประตู เสียงแหลมสูงเต็มอารมณ์โมโหก็แหวกอากาศออกมาทันที

“อิง! แกทำอะไรห๊ะ!” คุณเอมอรมองหน้าลูกชายคนเล็กด้วยความโกรธปนไปกับความผิดหวัง “แกเอาเด็กนั่นมาขังไว้...” ยังไม่ทันได้ถามจนจบประโยค เสียงแหบแห้งด้านล่างก็ตะโกนแทรกขึ้นมา

“ช่วยผมด้วยครับ ผมอยู่ข้างล่าง”

“คุณแม่กลับไปก่อนเถอะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมกับเมีย เป็นเรื่องของครอบครัวผม คุณแม่ไม่ควรเข้ามายุ่ง” อชิตะบอกมารดา

“อย่าไปฟังครับ ผมไม่ใช่เมียของเขา ผมถูกจับมาขัง ผมอยากออกไปจากที่นี่ ช่วยผมด้วย” เสียงแหบแห้งยังคงตะโกนขอความ
ช่วยเหลือเป็นระยะ

“นี่แกเป็นลูกฉันจริงใช่ไหม ทำไมถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้” คนเป็นแม่มองหน้าลูกชายเขม็ง คุณเอมอรไม่เคยโกรธลูกชายคนเล็กเท่าครั้งนี้มาก่อน เธอมาเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่สีฟ้าผู้เป็นลูกชายของคุณกฤษและคุณอุษากล่าวหาลูกชายเธอนั้นไม่ใช่ความจริง

สีฟ้ามาหาเธอและสามีถึงที่บริษัทพร้อมกับคนรัก...ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน

โธ่...โลกนี้ ผู้ชายกับผู้ชายรักกัน อยู่ด้วยกันเป็นคู่ผัวตัวเมีย บอกตามตรงเธอทำใจยอมรับไม่ได้ มันไม่ปกติสำหรับเธอเลย เธอยังมองว่าผู้ชายควรคู่กับผู้หญิง เพื่อมีทายาทสืบสกุล ดูแลธุรกิจที่คนต้นตระกูลสร้างเอาไว้ให้ สานต่อให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปในทุกรุ่น ให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบ

แต่...โลกเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่ามันเปลี่ยนไปนานมากแล้ว แต่เธอเพิ่งรู้ เพิ่งประจักษ์ เพราะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว นั่นคือลูกชายของเธอเอง 

คนทั้งคู่มาด้วยเรื่องของลูกชายคนเล็กที่เธออยากจะตัดหางปล่อยวัดนัก หลังจากสร้างเรื่องปวดหัวให้เธอกับสามีถูกถอนหงอกกับเรื่องของณัชชาถึงสองครั้ง แต่สามีเธอไม่อยู่ เขาไปต่างประเทศ จึงมีแต่เธอที่ต้องรับรู้เรื่องราวที่ลูกชายก่อซ้ำกับคนเดิม

ผู้ชายคนเดิมที่ลูกชายเธอเรียกว่า ‘เมีย’ ได้อย่างเต็มปาก ทำเอาคนเป็นแม่อย่างเธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดหาทางจำกัดเด็กหนุ่มที่ชื่อคณิตออกไปจากชีวิตลูกชาย หากก็ถูกแม่สามีขอร้องให้หยุดคิดที่จะทำร้ายเด็กคนนี้ ซึ่งคำขอร้องของแม่สามีก็ไม่ต่างจากคำสั่งที่ต้องปฏิบัติ ดังนั้นเธอจึงต้องจำใจหยุดวุ่นวายกับชีวิตรักและรสนิยมของลูกชายคนเล็ก แบกหน้าไปพูดเรื่องถอนหมั้นกับครอบครัวของณัชชา

แต่เพียงไม่นานก็ต้องกลับไปขอลูกสาวเขาอีกครั้ง เพราะลูกชายเข้ามาบอกเธอกับสามีว่าทำณัชชาท้อง แต่เรื่องก็พลิกกลับอีกตลบใหญ่ เมื่อณัชชาไม่ได้ท้องกับลูกชายเธอ งานแต่งงานถูกยกเลิก เจ้าบ่าวถูกเปลี่ยนตัว เธอก็คิดว่าลูกชายคงจะกลับไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ก็เปล่า จนเธอคิดว่าลูกชายคงหายจากอาการวิปริตผิดเพศและกลับมาเป็นปกติแล้ว จนกระทั่งเมื่อชั่วโมงก่อนที่สีฟ้ามาขอร้องให้เธอช่วยพาคณิตออกมาจากลูกชายของเธอ เด็กหนุ่มรุ่นลูกบอกเธอว่าอชิตะเอาตัวคณิตไปขังไว้ 

คุณเอมอรไม่อยากเชื่อคำของคู่รักสีฟ้ากับภาคีที่ใส่ร้ายลูกชายเธอ ไม่เชื่อว่าลูกชายจะบ้าถึงขั้นจับคนไปขัง แต่จะปฏิเสธหรือยืนยันว่าลูกชายไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ได้เข้าขั้นบ้าที่จับใครมาขังตามใจชอบ มันก็พูดได้ไม่เต็มปาก ก็ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงเกิดขึ้นมาแล้ว ที่คณิตเข้ามาหาเธอที่บริษัท มาเรียกร้องค่าเสียหายที่โดนลูกชายเธอข่มขืน พร้อมหลักฐานเต็มตัว ดังนั้น เธอจึงต้องมาเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง

ครึ่งหนึ่งเธอไม่เชื่อว่าลูกชายจะทำได้ กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ชายนี่นะ ผู้ชายคนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีพ่อมีแม่ เกิดพ่อแม่เขาเอาเรื่องล่ะ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียชื่อเสียงกันทั้งตระกูลแน่ แน่นอนว่าเธอห่วงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แต่ที่ห่วงมากกว่าคือลูกชายที่จะถูกกฎหมายลงโทษ คนเป็นแม่ที่คลอดลูกออกมา เนื้อตัวร่างกายและแม้แต่เลือดในกายก็เป็นดังชีวิตของเธอจะไม่ให้ห่วงยิ่งกว่าชีวิตได้อย่างไร 

ลูกเจ็บ...เธอก็เจ็บยิ่งกว่า

ลูกทุกข์...เธอก็ทุกข์ยิ่งกว่า

ลูกไม่มีความสุข...เธอก็ไม่มีความสุขยิ่งกว่า

ลูกทำความผิด...ก็เหมือนเธอได้ร่วมก่อความผิดไปด้วย ในเมื่อเธอคือแม่ คือครูคนแรกที่ต้องสอนผิดชอบชั่วดีให้กับลูกของตัวเอง

สำหรับเธอ ทุกเรื่องที่ลูกทำ เธอต้องร่วมรับผิดชอบ ฉะนั้นเธอต้องแก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ลูกชายติดคุกติดตะรางแน่

และตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่า สิ่งที่สีฟ้ากับภาคีพูดเป็นความจริง ลูกชายเธอจับผู้ชายมาขังไว้จริงๆ

“หลีกไปอิง” คุณเอมอรสั่งน้ำเสียงเข้ม เมื่อลูกชายยืนขวางประตูไม่ให้เธอลงไปยังห้องด้านล่าง นี่ก็อีกเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ว่าบ้านหลังนี้มีห้องใต้ดิน กว่าจะเค้นความลับเรื่องห้องลับจากปากคนรับใช้ในบ้านได้ ก็ต้องขู่ว่าจะไล่คนรับใช้ที่บ้านใหญ่ออกทั้งหมด เนื่องจากคนรับใช้ทั้งสองบ้านก็เป็นกลุ่มญาติที่ชักชวนกันมาจากต่างจังหวัดทั้งนั้น เธอรับปากด้วยว่าถ้าทั้งห้าคนถูกไล่ออก
(ตามคำขู่ของลูกชายเธอ) เธอก็จะรับกลับไปทำงานที่บ้านเหมือนเดิม แถมจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงยอมเปิดปากกันได้

“ผมไม่ให้คุณแม่เอาหนึ่งไปเด็ดขาด” อชิตะยืนยันความต้องการของตัวเอง “คุณแม่ครับ ผมขอได้ไหม คุณแม่อย่ายุ่งเรื่องผมกับหนึ่งเลย แล้วผมจะไม่ขออะไรคุณแม่อีก” 

“ถ้าแกไม่ยอมให้ฉันลงไปเอาเด็กนั่นขึ้นมา งั้นฉันก็คงต้องเดินไปบอกคุณย่าของแกให้ลงไปเอามันขึ้นมาเอง ว่าไงอิง คุณย่านั่ง
รอแกอยู่ในห้องนั่งเล่น” คุณเอมอรข่มขู่ด้วยชื่อของผู้หญิงที่อชิตะเคารพรักและเชื่อฟังที่สุด หญิงชราที่เธอเชื่อว่าจัดการลูกชายคนเล็กของเธอได้ดีกว่าใคร ดีกว่าแม่อย่างเธอด้วยซ้ำ

มันเป็นความบังเอิญที่พอรถของคุณเอมอรจอดหน้าบ้านลูกชาย รถของแม่สามีก็วิ่งมาจอดต่อท้ายทันที

“คุณย่าก็มาด้วยหรือครับ” ลูกชายถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ ลำพังแค่คนเป็นแม่ อชิตะรับมือได้ แต่สำหรับหญิงชราที่เขารักเท่ากับผู้ให้กำเนิด เขาไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง เสียใจกับพฤติกรรมเลวร้ายของเขา

“เลือกเอานะอิง จะให้ฉันหรือย่าแกจัดการ” คุณเอมอรถามซ้ำ คำตอบที่ได้ก็คือการที่ลูกชายหันหลังก้าวนำเธอลงไปตามบันไดโค้งวน ลงไปสู่ห้องลับใต้ดินที่มองไปตรงไหนก็เจอแต่สีดำทะมึน ชวนให้อึดอัดหายใจไม่ออก

ครั้งลงมาแล้วเจอสภาพเตียงยับย่น กลิ่นคาวที่เธอย่อมรู้ดีว่ามาจากสิ่งใด เป็นคุณแม่ที่มีลูกถึงสี่คน ไม่รู้ก็แย่แล้ว และสภาพของคนที่นั่งกองอยู่บนพื้นข้างเตียงนั่นอีกเล่า เจ้าตัวเหมือนพยายามเอาร่างกายอ่อนแรงของตนไปหาความช่วยเหลือซึ่งก็คือเธอ เห็นสภาพแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะคว้าตัวลูกชายเอาไว้ ก่อนจะฟาดมือบนใบหน้าลูกชายเต็มแรง แทนความรู้สึกเจ็บปวดของแม่เด็กผู้ชายคนนี้ หากได้มาเห็นลูกชายของตนถูกกระทำย่ำยีจนหมดสภาพ

“ตั้งแต่วันที่ฉันคลอดแกมา ฉันไม่เคยผิดหวังในตัวแกเท่ากับวันนี้เลย” สายตาของคนเป็นแม่ผิดหวังรุนแรง “แกทำได้ยังไงห๊ะ! แกเอาเขามาขัง เอาเขามาข่มขืน มันใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายทำกันไหม ฉันผิดหวังกับแกมาก ลูกฉันมันบ้าไปแล้ว” สุ้มเสียงของคนเป็นแม่เจ็บปวดเหลือเกิน

“ผมกำลังปรับความใจกับหนึ่งครับ” ลูกชายอธิบาย

“สภาพเขาเป็นแบบนี้นี่นะ ปรับความเข้าใจ” คุณเอมอรถามกลับเสียงสูง  ลองเป็นลูกคนใดคนหนึ่งของเธอตกอยู่ในสภาพแบบคณิตละก็ หัวใจเธอคงสลาย “แกว่าแม่โง่หรือไง ดูไม่ออกว่าแกทำอะไรลูกเขา นี่ถ้าพ่อแม่เขารู้ เอาเรื่องขึ้นมา แกจะทำยังไงห๊ะ บอกมาสิตาอิง บอกแม่มา”

“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง” 

“เข้าไปรับผิดชอบในคุกน่ะสิ” คนเป็นแม่เสียงอ่อนลง ยังไงก็ลูก ทำผิดก็ต้องช่วยเหลือ คุณเอมอรถอนหายใจ ก่อนหันไปถามคนที่ถูกกระทำ “เดินไหวไหม ถ้าไม่ไหว ฉันจะเรียกคนมาช่วยอุ้ม”

ได้ยินคำว่า ‘อุ้ม’ ลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรก็พุ่งเข้าไปกอดคนตัวเล็กอย่างหวงแหนทันที

“ผมไม่ให้ใครแตะต้องคนของผมเด็ดขาด”

คุณเอมอรมองภาพลูกชายโอบกอดผู้ชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่า ภาพที่เห็นทำให้นึกไปถึงตอนอชิตะอายุสี่ขวบ ลูกชายเธอเก็บลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้ได้ ครั้นเธอจะขอคืน เพื่อให้คนสวนปีนเอาลูกนกไปเก็บไว้ในรังตามเดิม อชิตะกลับกำมันไว้แน่น ไม่ยอมส่งให้เธอตามคำขอ สุดท้ายลูกนกก็ตายในกำมือน้อยๆ ของเด็กชายวัยสี่ขวบ จากนั้นลูกชายก็ร้องไห้ทั้งวัน เสียใจที่ลูกนกตาย ตกดึกก็ไข้ขึ้น เพ้อหาแต่นกตัวนั้น แม้เธอกับสามีจะซื้อลูกนกราคาแพงมาให้ อชิตะก็ไม่ยอมแม้แต่จะชายตามอง ทุกวันก็ไปนั่งเฝ้าหลุมฝังซากลูกนกด้วยใบหน้าเศร้าหมอง มีน้ำตาอาบแก้มยุ้ย นานเกือบสามเดือนเลยกว่าที่ลูกชายของเธอจะกลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม

แล้วถ้าเธอจับทั้งคู่แยกกัน ลูกชายเธอจะเป็นอย่างไร ไม่อยากยอมรับว่าลูกรักผู้ชาย รักและหวงถึงขั้นเอามาขังไว้ ไม่ให้ไปไหน แต่ก็ต้องยอมรับวันนี้แหละ แต่เธอจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด ลูกชายเธอทำผิด จับคนมาขังไว้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

“ช่วยผมด้วยนะครับเอมอร ผมไม่อยากอยู่กับลูกชายคุณ ผมอยากกลับบ้าน” คณิตรีบบอก กลัวว่าคุณเอมอรจะเข้าข้างลูกชายของเธอ แล้วเปลี่ยนใจไม่ช่วยเขา

“สัญญากับฉันก่อน ถ้าฉันช่วยเธอ เธอจะไม่แจ้งตำรวจมาเอาเรื่องลูกชายฉัน” เธอยื่นข้อเสนอ เพราะอชิตะคือลูกที่เธอต้องปกป้อง ต่อให้เขาทำผิด เธอก็ต้องช่วยให้โทษของความผิดน้อยลง หรือไม่มีเลยยิ่งดี 

“ครับๆ ผมสัญญา” คณิตรีบรับปากทันที เขากำลังจะรอดแล้ว ไม่ต้องเป็นของเล่นของอชิตะอีกแล้ว แต่วูบหนึ่งก็มีความรู้สึกเสียดายผุดขึ้นมา

...เสียดายที่จะไม่ได้เป็นของเล่นของอชิตะ

โธ่โว้ยไอ้หนึ่ง! จะนึกเสียดายทำไมวะ ดีแล้วไม่ใช่หรือไงที่ไม่ต้องตกเป็นของเล่น เป็นเครื่องระบายความใคร่ของใคร

“อย่าเอาหนึ่งไปได้ไหมครับคุณแม่” อชิตะขอร้องมารดา น้ำเสียงวิงวอน ดวงตาที่ได้จากมารดามานั้นอ่อนแสงเหมือนตะวันใกล้ดับ “ให้ผมกับหนึ่งได้ปรับความเข้าใจกันก่อนนะครับ”

“ไม่มีอะไรที่ผมกับคุณต้องมาปรับความเข้าใจกัน” ...ไม่มีเลยสักนิด ที่มีก็แค่ความทรมานที่แสนหวาน 

“ไม่ได้อิง” คุณเอมอรเอ่ยเสียงเฉียบขาด แม้จะสงสารลูกมากเพียงไร แต่จะให้ลูกชายคนอื่นถูกขังและถูกทรมานร่างกายเพื่อความสุขของลูกชายเธอ เธอก็ใจร้ายไม่พอ “จะให้แม่เรียกคนมาอุ้ม หรือแกจะพาเขาขึ้นไปเอง”


“คุณแม่ไม่มีสิทธิ์เอาหนึ่งไปจากผม” ลูกชายย้ำเป็นการปฏิเสธทางเลือกของมารดา “หนึ่งเป็นของผม เขาเป็นเมียผม เขาต้องอยู่กับผม”

“แกมากกว่าที่ไม่มีสิทธิ์” คนเป็นแม่ตอบกลับด้วยสุ้มเสียงที่เริ่มจะไม่พอใจอีกครั้ง “ถามเขาหรือยังว่าต้องการแก อยากอยู่กับแก เขาเต็มใจเป็นเมียแกหรือเปล่า แล้วถามเขาหรือยังว่ารักแกไหม”

“ผมเกลียดลูกชายคุณ” คณิตเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เขาทรมานผม”...ทรมานด้วยการเห็นเขาเป็นของเล่น เป็นเครื่องระบายอารมณ์ใคร่ล้วนๆ สองวันมาแล้วที่อชิตะทำเหมือนเขาเป็นตุ๊กตายาง สอดใส่เข้ามาในช่องทางของเขาเหมือนคนไม่รู้จักพอ ส่วนเขาก็ดิ้นขัดขืนไปเถอะ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของอชิตะ...ของเขาด้วย

“ได้ยินชัดไหมอิง”

“หนึ่งแค่ประชดผม” อชิตะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกรุม

“ผมไม่ได้ประชด” คณิตรีบเอ่ยแก้ทันควัน มองหน้าคนที่กอดเขาไว้แน่นจนเจ็บ “ผมอาจเคยหลงคิดว่ารักคุณ แต่ความจริงผมไม่ได้รักคุณ”...ก็แค่พูดไม่ตรงกับความจริง

“อย่าโกหกหนึ่ง คุณรักผม ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มีความสุขทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” เสียงครางแผ่วหวานคือส่วนหนึ่งของความเต็มใจ 

“ผมไม่ได้โกหก!” ตะโกนใส่หน้าคนหน้าไม่อาย ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนซะหน่อย “ผมเกลียดคุณ เกลียดก็คือเกลียด เข้าใจไว้ด้วย!”

“พิสูจน์ไหมหนึ่ง”

“ไม่!” คณิตเกลียดคำว่า ‘พิสูจน์’ จากปากของอชิตะเหลือเกิน เพราะมันมีความหมายไม่ต่างจากคำโกหก “คุณเอมอรช่วยพาผมออกไปทีนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจจับลูกชายคุณ แล้วผมจะหนีไปให้ไกล ไม่ให้ลูกชายคุณหาตัวผมเจอ” เขาหันไปบอกคนที่จะช่วยเหลือเขาได้ หวังว่าเธอจะช่วย เพราะเธอต้องการให้เขาออกไปจากชีวิตอชิตะอยู่แล้ว

“คุณหนีไม่พ้นหรอกหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แม้แต่ในนรก ผมก็จะตามไปหาคุณจนเจอ แล้วอย่าให้ผมเจอคุณนะ เพราะคุณจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป แม้แต่ฝั่งคุณทั้งเป็น ผมก็ทำได้!”

“อิง!” คุณเอมอรเรียกชื่อลูกชายอย่างเหลืออด ทนฟังคำพูดเหมือนคนโรคจิตของลูกชายไม่ได้อีกต่อไป “อย่าให้แม่ต้องโทรไปแจ้งตำรวจจับแกเลยนะอิง” เธอตรงไปกระชากแขนลูกชายให้ปล่อยตัวคณิต แต่ลูกชายไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังกอดรัดคณิตไว้แน่นยิ่งขึ้น ฝ่ายนั้นถึงกับร้องเสียงหลง น้ำตาคลอเพราะความเจ็บ

“โอ้ย...บอสปล่อย...ผมเจ็บ...”

เสียงร้องและใบหน้าแสดงอาการเจ็บปวดยามถูกลูกชายเธอกอด ยิ่งทำให้คุณเอมอรนึกถึงภาพลูกนกในมือลูกชาย เพราะกลัวโดนแย่งเอาไป จึงกำไว้แน่น แน่นจนนกตัวน้อยบี้แบนและสิ้นลมหายใจคามือเล็กๆ

“อิง” เธอทรุดตัวลงนั่งข้างลูกชาย จับมือติดจะสั่นๆ เพื่อเรียกสติคนเป็นลูก พูดบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “น้องเจ็บเห็นไหม ลูกไม่ห่วงน้องหรือไง ปล่อยน้องก่อนนะลูก” คุณเอมอรเปลี่ยนสรรพนามเรียกคนที่ลูกชายกอดด้วยคำที่น่าฟัง แสดงให้ลูกชายเห็นว่าเธอปรานีคนที่เจ้าตัวรัก...ยอมรับ เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น

เธอเป็นแม่ที่ชอบบงการชีวิตลูกก็จริง แต่เธอก็รักลูกทุกคนอย่างสุดหัวใจ ปรารถนาให้ลูกพบเจอแต่ความสุข แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาตามปลอบลูกเหมือนตอนลูกเป็นเด็กน้อยเช่นนี้เลย

“ตัวโตเสียเปล่า อายน้องไหม กล้าเอาตัวน้องมาขัง แต่พอแม่จะเอาน้องไป ทำไมถึงอ่อนแอนักนะ แม่ไม่ได้เอาน้องไปฆ่าแกงที่ไหนซะหน่อยนะอิง...” คุณเอมอรหลอกล่อลูกชายให้ผ่อนความหวงแหนลง “ปล่อยน้องนะลูก ปล่อยก่อน น้องจะได้ไม่เจ็บ” พูดพลางลูบแผ่นหลังลูกชายไปด้วย

อชิตะยอมคลายวงแขนลงแต่ก็ยังกอดคณิตไว้อยู่ เขาเอ่ยกับคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบขึ้น

“คุณแม่กลับไปก่อนได้ไหมครับ ผมขอเวลาปรับความเข้ากับน้องก่อน” เขาเรียกขานคนตัวเล็กตามคำที่มารดาใช้ คิดว่ามันเหมาะกับคณิตไม่น้อย ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม “น้องยังโกรธผมเรื่องหวาน ไม่ยอมให้อภัยผมเลย” 

“ไม่ใช่ซะหน่อย ผมไม่ได้โกรธเรื่อง...” คณิตพูดสวนขึ้น แต่ต้องหุบปาก หุบความคิดลง เมื่อคุณเอมอรตวัดสายตามองมาอย่างตำหนิ กล่าวโทษว่าเขากำลังจะทำเรื่องให้ยากขึ้น...ก็ได้ เขาจะปิดปากเงียบ

“เอาละ แม่เชื่อว่าลูกอยากปรับความเข้าใจกับน้อง แต่เอาไว้วันหลังนะอิง วันนี้แม่ขอเอาตัวน้องไปก่อน”

“ผมไม่ให้คุณแม่เอาน้องไป” เพราะหากปล่อยไป อาจเป็นการปล่อยไปตลอดชีวิต
“น้องเป็นคน มีหัวใจนะ ลูกจะบังคับให้น้องอยู่กับลูก ทั้งที่น้องไม่เต็มใจไม่ได้ ส่วนลูก งานการก็ต้องไปทำไม่ใช่หรือไง ไม่เข้า
บริษัทมากี่วันแล้ว” คุณเอมอรแอบตำหนิกลายๆ “สิ่งที่ลูกทำ มีแต่จะทำให้น้องกลัว ปล่อยน้องไปก่อน ให้น้องได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ถ้าน้องรักลูก น้องก็จะไม่ไปไหน...หรือลูกไม่มั่นใจว่าน้องรักลูก”

“ผมมั่นใจว่าน้องรักผม” อชิตะเลื่อนสายตากลับมายังใบหน้าเล็กในวงแขน “เพียงแต่น้องปากแข็ง ไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง” พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจกว่าครั้งไหน คณิตรีบหันหน้าหนีสายตาเขาทันที แต่เขาก็ทันได้เห็นใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ พอให้ชื้นใจขึ้นมาบ้าง

“เมื่อลูกมั่นใจว่าน้องรักลูก ลูกก็ไม่ต้องมีอะไรต้องกังวลนี่ ให้น้องกลับบ้านนะ” คุณเอมอรหว่านล้อม หวังให้ลูกชายเชื่อ

“แต่น้องจะหนี” เอ่ยสิ่งที่หวั่นใจออกมา “น้องดื้อ ไม่ยอมรับความรู้สึกตัว เอาแต่พูดว่าเกลียดผม ทั้งที่ยอมให้ผมกอดทุกคืน” เหมือนจะพูดเพื่อฟ้องมารดาไปด้วย ใบหน้าแสนงอนหันมาค้อนตาขวาง ปากเล็กขยับขมุบขมิบเหมือนจะด่าแบบไม่ออกเสียง

“แม่จะดูแลน้องเอง ไม่ให้หนีไปไหน” คุณเอมอรเสนอตัวช่วยเหลือ เผื่อลูกชายเธอจะได้หมดห่วง แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะดูแลคนที่ลูกชายรักยังไง จะห้ามไม่ให้หนีไปไหนได้แน่เหรอ

“ผมไม่อยากให้คุณแม่ลำบาก” ความหมายที่แท้จริงคือ...ยังไม่ไว้ใจมารดาเท่าไรนัก อชิตะกลัวว่าคนเป็นแม่จะพูดเพื่อให้เขาตายใจ แล้วปล่อยให้คณิตหนีไปภายหลัง

“ไม่ไว้ใจแม่ใช่ไหม” คุณเอมอรถามอย่างรู้ทันความคิดลูกชาย เมื่อลูกชายไม่ตอบแปลว่ายอมรับ เธอจึงพูดต่อ “งั้นแม่จะให้คุณย่าดูแลน้องให้เอง ดีไหม”

“แต่ผมไม่...” คนที่ปิดปากเงียบมาหลายนาทีเอ่ยขัดขึ้น ว่าเขาจะไม่ไปอยู่กับใครที่ไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณเอมอรหรือคุณย่าที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ไปอยู่ด้วยก็เท่ากับว่าถูกจองจำไม่ต่างกันเลย แต่ก็ต้องหุบปากลงเพราะถูกคุณเอมอรส่งสายตาเข้มจัดมาปรามคำพูดที่เหลือของเขา... ก็ได้ ไม่พูดก็ได้ ทำไมเรื่องของเขาแท้ๆ ถึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงเพื่อปกป้องตัวเองนะ คณิตได้แต่คิดอย่างขัดเคืองใจ

“ตกลงตามนี้นะอิง” คุณเอมอรหันมาสรุปกับลูกชาย เมื่อเห็นว่าลูกชายยังลังเล เธอก็รีบเอาแม่สามีมาอ้างอีกครั้ง “แม่ว่าคุณย่ารอพวกเรานานแล้ว ไปเถอะ พาน้องขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แม่จะไปคุยกับคุณย่าเรื่องน้องก่อน”

“คุณแม่จะบอกคุณย่าไหมครับ” อชิตะถาม หมายถึงเรื่องที่เขาเอาคณิตมาขังไว้ในห้องใต้ดิน

“อยากให้แม่บอกไหม” มารดาถามกลับ

“ผมจะบอกคุณย่าเองครับ” ให้คนเป็นย่าได้ฟังจากปากเขาเองดีกว่า

“ไป อุ้มน้องไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว” คุณเอมอรสั่งลูกชายซ้ำอีกครั้ง

“ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” คณิตสะบัดตัวหนีเมื่ออชิตะจะช้อนตัวเขาขึ้น

“ให้พี่เขาอุ้ม อย่าดื้อ” คุณเอมอรรีบปราม เมื่อเห็นว่าคณิตไม่ยอมให้ลูกชายเธออุ้ม แล้วขู่ซ้ำ “ถ้าพี่เขาบ้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วไม่ยอมให้เราไปกับแม่ แม่ก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ เพราะถือว่าเราดื้อเอง ก็ต้องโดนพี่เขากำราบให้หายดื้อด้วยวิธีของเขา” เป็นอีกครั้งที่คุณเอมอรเลือกใช้คำแทนสถานะตัวเองกับอีกฝ่ายเพราะขึ้น สนิทสนมขึ้น เพื่อแสดงถึงการยอมรับ ทั้งหมดก็เพื่อลูกชายเธอ

คณิตคิดว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ที่ได้ยินคุณเอมอรแทนตัวเองว่า ‘แม่’ กับเขา รวมถึงคำที่เรียกขานแทนตัวเขาด้วย เรียกเขาว่า ‘น้อง’ นี่นะ ฟังแล้วไม่ใช่ตัวเขาเลย แถมน้ำเสียงที่พูดกับเขาก็นุ่มนวล ราวกับเป็นคนละคนกับที่เคยตบหน้าเขากลางบริษัท

แต่ก็ช่างเถอะ เขาควรโฟกัสที่คำเตือนของคุณเอมอรมากกว่า อชิตะบ้าได้เกินกว่าที่เขาจะคาดถึง คุณเอมอรก็ขู่ในน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วว่าจะไม่ช่วยเขาอีก หากลูกชายตัวเองเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็ได้...เขาจะยอมให้อชิตะอุ้ม

อุ้มไปสู่อิสรภาพที่ต้องการ

เขาต้องการอิสรภาพจริงใช่ไหม อิสรภาพที่ปราศจากอ้อมกอดของอชิตะ เขาต้องการมันจริงๆ เหรอ?

V
V
อ่านต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 29 UP 30-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 30-07-2017 19:14:23
“ออกไป ผมจะอาบน้ำ” คณิตบอกคนที่วางตัวเขาลงบนขอบอ่างในห้องน้ำของห้องนอนใหญ่บนชั้นสามของบ้าน เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมออกไปจากห้องน้ำซะที ซ้ำยังยืนปลดสายเสื้อคลุมหน้าตาเฉย อึดใจเดียวเนื้อตัวก็เปลือยเปล่าอวดร่างกายที่สมบูรณ์ด้วยมัดกล้ามที่มีมากกว่าเขาเยอะ

เมื่อก่อน ก่อนเกิดเรื่องในสระว่ายน้ำ เขาเคยเห็นแต่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับร่างกายของอีกฝ่ายเลย ไม่ต่างจากเห็นเพื่อนรักอย่างภาคีแก้ผ้า แต่พออะไรมันเปลี่ยนไปแบบฟ้าพลิก เขาก็มองรูปร่างของอชิตะได้ไม่เต็มตา เพราะมันทำให้ใจสั่นหวิว อุณหภูมิความร้อนบนใบหน้าก็ไม่เป็นปกติ เลือดในกายก็ไม่ปกติ พานจะคิดถึงแต่เรื่องอย่างว่า...รสรักร้อนแรงที่ทำให้เขาครางสิ้นอาย แรงกระแทกที่ทำเขาสุขสมจนปลดปล่อยลาวาสีขาวข้นออกมา

เอ๊ย! อย่าคิดสิวะ ติดนิสัยโรคจิตของอชิตะมาหรือไง คณิตดุตัวเอง

คณิตหันหน้าหนีจากร่างกายกำยำและแข็งแรงด้วยมัดกล้ามไม่ทันไร ก็ถูกจับตัวให้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับเสื้อคลุมที่หลุดออกจากร่างกายไปกองบนพื้นเหมือนอีกตัวก่อนหน้า

มือไวชะมัด!

“ไม่รู้เมื่อไรจะได้กอดอีก ขอกอดให้ชื่นใจเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม” เสียงกระซิบขอนั้นมาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อน ร่างกายที่ขยับเข้ามาจนกลายเป็นเสียดสี คณิตถูกขังไว้ในวงแขนอีกจนได้

ครั้งสุดท้ายอะไร!

ครั้งสุดท้ายกี่รอบแล้ว!

คณิตนึกแหวในใจ แต่ไม่พูดออกไป คำเตือนของคุณเอมอรยังติดอยู่ในหู เกิดเขาขัดใจ แล้วอชิตะสติแตกขึ้นมาล่ะ ไม่ยอมปล่อยเขากลับไปกับคุณเอมอรล่ะ

“ครั้งสุดท้ายแน่นะ”

“ทุกอย่างอยู่ที่คุณ”

ถ้ามันอาจเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ก็ได้ เพราะคุณเอมอรอาจแค่หลอกล่อลูกชายให้ตายใจ พอจับเขาแยกออกมาได้ ก็คงไล่เขาไปให้พ้นชีวิตลูกชายเธอทันที

เขาควรคว้ามันไว้ใช่ไหม ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จะถูกกอด แม้จะกอดในฐานะของเล่นก็ตาม

ปากเขาด่าว่าอชิตะว่าโรคจิต กอบโกยเอาแต่ได้จากร่างกายเขา แท้จริงเขาก็กอบโกยเอาจากอีกฝ่ายเหมือนกัน เพียงแต่ซ่อนมันไว้ภายใต้คำพูดไม่ยินยอม ท่าทางขัดขืนในหนแรก ก่อนจะเผยความต้องการแท้จริงออกมาภายหลังเสียทุกครั้งว่ามีความสุขเพียงไรที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับอชิตะ เขาอยากให้ตัวตนของอชิตะเข้ามาอยู่ในช่องทางรักของเขา เพื่อเขาจะได้รู้สึกว่าเป็นของมีค่า เป็นสิ่งที่อชิตะขาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว 

“เรามีเวลาครึ่งชั่วโมง...” คนตัวใหญ่โน้มใบหน้าลงมากระซิบเสียงหวานข้างแก้มนวล “...อาจจะเลทได้นิดหน่อย แม่เข้าใจอยู่แล้ว”

เสียงทุ้มกระซิบหวานนั้นเล่า ก็เร่งเร้าให้ต้องรีบตัดสินใจในวินาทีที่ปากอุ่นร้อนไม่ได้ทำหน้าที่เปล่งคำพูดใดอีก เพราะมันได้ทำการจูบลงมาอย่างเอาแต่ใจบนกลีบปากเขาเสียแล้ว เพียงแค่บดจูบหนักหน่วงลงมา ใจเขาก็ยินยอมพร้อมใจให้ความร่วมมือไปจนสุดทาง

ไอ้เรื่องครั้งสุดท้าย มันก็พอจะเชื่อได้บ้าง แต่ไอ้เรื่อง ‘เลทได้นิดหน่อย’ ที่อชิตะพูด คณิตพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงสักนิด...
นิดหน่อยบ้านใครวะใช้เวลาชั่วโมงกว่า!

******************************************************

ภายในห้องผู้โดยสารด้านหลังของรถหรูคันใหญ่ที่คณิตอาศัยนั่งออกมาจากบ้านของอชิตะนั้นเงียบกริบ นางพญาแห่งอเนกดำรงฤทธิ์ก็นั่งเงียบ คนขับรถยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมีหน้าที่ขับรถอย่างเดียว ดังนั้นคณิตจึงต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เพราะเวลาก็ผ่านมาหลายสิบนาทีแล้ว

ถึงเวลาที่ต้องไปเสียที ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง (ทำไมเขาต้องเริ่มชีวิตใหม่หลายครั้งด้วยวะ) คราวนี้เขาคงกลับบ้าน บ้านที่มีพ่อแม่ มีพี่ชายทั้งสาม ไปหางานทำที่บ้านเกิด มันน่าจะปลอดภัยกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ก่อนกลับเขาต้องไปอาศัยบ้านของภาคีก่อน ไม่อยากกลับบ้านไปในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยน่าเกลียด

เฮ้อ...เนื้อตัวที่ถูกกลืนกินตลอดสองวันมาเนี่ย มันไม่น่ามองหรอก น่าอายซะมากกว่า ตอนอย่างว่า...เอิ่ม มันก็มีความสุขตามธรรมชาติของการร่วมรักแหละ สุขสมจนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า แต่พอหลังความสุขสมผ่านพ้นนี่สิ ต้องมานั่งอายกับรอยจ้ำสีแดงตามร่างกาย รอยกัดอีกก็มาก

‘ซาดิสม์’

‘โรคจิต’

‘หื่นกระหาย’

‘ร้อยแรงม้า’

‘คึกไม่หยุด’

คือคำบรรยายลักษณะของอชิตะเวลาอยู่บนเตียง ทำเรื่องอย่างว่ากับเขา

เห้ย! หยุดคิดเรื่องนี้ได้ไหมเนี่ย มันใช่เวลามานั่งคิดเรื่องบนเตียงไหมเล่า คณิตด่าตัวเองในใจอีกรอบ ไล่ความคิดที่วนเวียนอยู่กับบทรักเร่าร้อนออกไปจากหัว ก่อนจะทำเรื่องที่คิดค้างเอาไว้ในหนแรก

“จอดให้ผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ” เขาพูดผ่านความเงียบ ขณะที่รถยังวิ่งไปข้างหน้า บนถนนเส้นหลักที่มุ่งหน้าสู่ทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งคอนโดมิเนียนของเขา ก็เข้าใจหรอกว่าคุณเอมอรไม่คิดจะไปส่งเขาถึงคอนโดฯแน่ เพราะพอขึ้นมานั่งในรถ คุณเอมอรก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ ส่วนคนขับรถก็เหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องพาคุณเอมอรไปยังจุดหมายใด

“เธอเต็มใจหรือเปล่าตอนที่ลูกชายฉันกอด”

คุณเอมอรไม่ตอบสิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขอ กลับถามไปคนละเรื่อง ทำเอาแก้มของคณิตขึ้นสีระเรื่อด้วยความอายที่ถูกถามตรงๆ แม้จะเลือกใช้คำที่เบาลงแล้วก็ตาม มันก็น่าอายอยู่ดีสำหรับคนถูกถาม

มันไม่ใช่เรื่องควรถามซะหน่อย

“ผม...” กำลังจะตอบว่า ‘ผมไม่เต็มใจ’ ฝ่ายคนถามก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันหมายถึงครั้งล่าสุดที่เธอใช้เวลากับลูกชายฉันปาไปกว่าชั่วโมง” คุณเอมอรอธิบายเพิ่มเพราะกลัวคนที่ถูกถามไม่เข้าใจ “เธอเต็มใจหรือเปล่า”

“ผม...ผมแค่...อาบน้ำ...แต่งตัวนานไปหน่อย” ตอบไปอย่างตะกุกตะกัก เป็นคำโกหกที่อีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มมุมปากของคุณเอมอรบอกเช่นนั้น ก็ใครจะกล้าตอบเล่าว่าที่ใช้เวลานานนับชั่วโมงบนห้อง ปล่อยให้ผู้ใหญ่ถึงสองคนนั่งรออย่างเสียมารยาทนั้น เป็นเพราะมัวแต่กอดกันครั้งสุดท้าย

...แต่สองรอบ

คณิตยืนยันว่าตัวเขาไม่ได้ไร้มารยาทขนาดนั้นนะ เพียงแต่ลูกชายคุณเอมอรเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด เขาบอกให้พอ ก็ยังจะมีต่ออีกรอบ ซ้ำยังขอรอบที่สาม ดีที่เขากัดไหล่หนาชนิดจมเขี้ยว เต็มแรงโมโห จนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง ผละออกจากตัวเขามามองตาขวางใส่นั่นแหละ ถึงยอมเลิกเอาแต่ใจตัวเอง...ให้เขาตายเลยดีกว่า ถ้ามีรอบที่สาม

นึกแล้วก็โมโห ตอนกัดเขาเนี่ยมีความสุขเหลือเกิน แต่พอโดนเขากัดจมเขี้ยวเพื่อปกป้องประตูหลังไม่ให้บอบช้ำไปมากกว่าเดิม กลับมองเขาตาแข็งตาขวาง ทำอย่างกับเขาไปตัดไอ้จ้อนเจ้าตัวทิ้งก็ไม่ปาน

“ฉันจะเชื่อ” คุณเอมอรพูดช้าๆ “แต่ความจริงคือฉันไม่เชื่อ เอาเถอะ ก็แล้วแต่ความสบายใจของเธอ”

คณิตรู้สึกเหมือนถูกคุณเอมอรเอายาทิงเจอร์ราดสีข้างที่แถจนถลอกของตน

“ฉันต้องยอมรับรสนิยมของลูกชายฉันจริงๆ แล้วใช่ไหม” คล้ายจะพูดกับตัวเอง แต่คุณเอมอรก็มองใบหน้าของคนที่นั่งมาในรถด้วยกัน สำรวจตรวจตราเครื่องหน้าบนกรอบหน้าเล็กอย่างละเอียดอีกครั้ง อันที่จริงเด็กคนนี้ก็จัดว่าหน้าตาดี แต่ไม่ได้หล่อเหลาแบบลูกชายทั้งสี่คนของเธอ ที่แต่ละคนเครื่องหน้าคมชัด จัดว่าหล่อกันทุกคน คุณเอมอรไม่อยากจะยกยอตัวเองกับสามีว่าเป็นคนหน้าตาดี ลูกทั้งสี่คนถึงได้หน้าตาดีกันทั้งหมด แต่ก็ขอสักหน่อย

สามีเธอน่ะหล่อมาก แม้อายุล่วงเลยมากแล้ว แต่ความหล่อก็ยังไม่จางไปจากใบหน้า เธอก็เช่นกัน เธอเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย มีแมวมองมาทาบทามให้เป็นนางเอกละครคู่กับพระเอกสุดฮอตในเวลานั้นเชียวนะ แต่เธอไม่ชอบอาชีพเต้นกินรำกิน และครอบครัวเธอก็ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี มีธุรกิจให้สานต่อจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่สำคัญเธอชอบใช้สมองในการทำธุรกิจมากกว่าจดจำบทละคร จึงปฎิเสธไปอย่างไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย

พ่อก็หล่อ แม่ก็สวย ส่วนผสมที่ลงตัว ลูกทุกคนของเธอกับสามีเลยหล่นไม่ไกลต้นสักคน อาจมีแค่คนโตคนเดียวที่ผิดจากพี่น้องทั้งสามไปบ้าง อาจเป็นเพราะว่าเป็นลูกคนแรก เธอและสามีก็อายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงลูกมาก่อน แถมต้องรับผิดชอบบริษัทใหญ่โตกันทั้งคู่ ลูกคนโตเลยถูกเลี้ยงโดยแม่สามีเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่แทนที่ลูกคนโตจะติดติดคนเป็นย่า กลับติดปู่ใหญ่กับคุณพรตเพื่อนรักของคุณนภาเสียได้ กลายเป็นหลานรักที่ปู่ใหญ่หรือคุณธาตรียกบริษัทให้ดูแลก่อนที่ท่านจะสิ้นลมไปเมื่อสามปีก่อน

แต่ถ้าจะให้มองดีๆ แบบไม่มีอคติส่วนตัว คุณเอมอรก็ยอมรับว่า แม้เด็กคนนี้ไม่มีความหล่อเหลาแบบลูกชายของเธอ แต่ก็มีหน้าตาน่ารัก ชวนมอง หล่อแบบดาราเกาหลี ญี่ปุ่น อะไรเทือกๆ นั้น ทั้งที่เครื่องหน้าแต่ละส่วน ไม่ได้โดดเด่นแทงตาเลย ตาก็เล็กไป จมูกก็กระจุ๋มกระจิ๋ม แถมปากยังบาง แก้มก็ใส ตอหนวดเหนือริมฝีปากก็เหมือนจะไม่มี ดูเรียบเกลี้ยง สะอาดไปหมด

“ทาลิปสติกด้วยหรือเปล่า” คุณเอมอรจับปลายคางเล็กแล้วถาม หนึ่งในข้อสงสัยของเธอ กลีบปากที่แดงเหมือนทาลิปสติกสีชมพูอมแดง แต่ก็เหมือนไม่ใช่

“เปล่าครับ” คณิตรีบตอบ มือของคุณเอมอรจึงละจากปลายคางเขาไป ดูสีหน้าคุณเอมอรเหมือนโล่งใจอะไรบางอย่าง
อย่าบอกนะว่า คิดว่าเขาเป็นผู้ชายหัวใจสาว คณิตรีบเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดของคุณเอมอรทันที

“ผมไม่ได้เป็นกะเทยครับ ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงด้วย เรื่องปาก มันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว” เขาได้มารดามาเยอะไง แล้วก็ไม่อยากจะบอกคุณเอมอรอีกว่า ที่ปากแดงจนต้องถามว่าทาลิปสติกหรือเปล่า มันก็เป็นเพราะลูกชายเธอนั่นแหละ 

“ลูกชายฉันรุนแรงกับเธอมากไหม” คุณเอมอรถามอีก เธออยากจะรู้จักลูกชายในมุมที่เธอไม่เคยรู้ เข้าใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมาก แต่เธอก็อดไม่ได้ แต่จากสภาพของคณิตที่เธอในห้องใต้ดิน น่าจะเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้วมั้ง ไม่รู้นิสัยชอบความรุนแรงของอชิตะได้มาจากใคร สามีเธอก็ไม่ได้มีนิสัยชื่นชอบความรุนแรงบนเตียงเลย 

ความอยากรู้ของคุณเอมอรทำเอาคณิตอยากแวบหายไปจากห้องผู้โดยสารของรถคันโตเสียจริงๆ เพื่อจบการชวนคุยที่มีแต่จะจุดไฟร้อนบนใบหน้าเขาอยู่ร่ำไป     

 “ผมขอลงตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าเลยนะครับ” เขาไม่กล้ามองหน้าคุณเอมอร เลยบอกกับคนขับรถแทน ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะชะลอความเร็วลง นี่ก็ผ่านมาสองป้ายรถเมล์แล้วนะ ใช่ว่าจะจอดไม่ได้ซะหน่อย หรือว่าไม่ได้ยิน ลองบอกอีกทีก็ได้ “พี่ครับ จอดป้ายรถเมล์ข้างหน้าครับ” ...ผ่านป้ายรถเมล์ไปอีกแล้ว

“รถฉันไม่ใช่แท็กซี่” เจ้าของรถเอ่ยปากหลังจากเงียบมาครู่ใหญ่ คุณเอมอรถอนหายใจให้คนที่โดยสารมาด้วยกันได้ยิน แล้วพูดเสียงมีอารมณ์นิดๆ “เธอนี่...ดื้อเหมือนที่ลูกชายฉันพูดจริงๆ ฉันบอกเธอว่ายังไง จำไม่ได้ฉันจะช่วยบอกให้อีกที ฉันจะพาเธอไปอยู่บ้านคุณย่าของอิง ให้เธอใช้เวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ว่ารู้สึกยังไงกับลูกชายฉันกันแน่ รักหรือไม่รัก”

“ไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไรทั้งนั้นครับ” ...ความรู้สึกของเขาชัดเจนอยู่แล้ว จะเสียเวลาทบทวนทำไม เขารัก แต่เขาจะไม่รักอีกต่อไป

“ดื้อ” คุณเอมอรลงเสียงหนัก ขัดใจกับคำตอบที่ได้ “ยังไงเสียฉันก็ไม่ผิดคำพูดกับลูกชาย เธอต้องไปอยู่ที่บ้านคุณยานภาก่อน รอให้อาการหลงเธอของลูกชายฉันลดลงก่อน จากนั้นเธอจะหนีไปสุดขอบฟ้า ฉันจะไม่ห้ามเลย จะไปส่งถึงที่เลยด้วยซ้ำ” คุณเอมอรอดประชดไม่ได้ นึกขวางหูขวางตากับท่าทีที่ไม่ใยดีหัวใจของลูกชายเธอ

ฟังอย่างนั้นแล้ว คณิตก็นึกค้านในใจ ลูกชายคุณเอมอร ‘หลง’ เขาตรงไหน ก็แค่สนุกกับร่างกายเขา ไม่งั้นจะพูดใส่หูเขาทำไมว่าเป็นแค่ของเล่น...ที่ถูกเล่นอย่างสนุกสนาน

“แต่ผมจะไปตอนนี้ กรุณาจอดรถให้ผมลงด้วยครับ”

“ฉันถามเธอจริงๆ แล้วตอบความจริงมา อย่าโกหกผู้ใหญ่ ยังไงก็ให้เกรงใจผมหงอกบนหัวฉันบ้าง” คุณเอมอรเกริ่นดักทางไว้ก่อน แล้วจึงถาม “เธอรักลูกชายฉันหรือเปล่า?”

คณิตส่ายหน้า เมื่อไม่ให้เขาพูดโกหก ก็ต้องเลือกใช้ท่าทางเป็นคำโกหกแทน

“ถ้าเธอเป็นลูกชายฉัน ฉันคงจะบังคับเธอพูดได้มากกว่านี้ แต่ในเมื่อเธอยืนยันว่าไม่ได้รักลูกฉัน ฉันจะเชื่อ...ก็ได้” ว่าแล้วก็หันทั้งตัวเข้าหาคู่สนทนา เพราะก่อนนี้เธอแค่หันหน้าไปคุย แต่นี่เธอจะพูดยาว และเป็นการแนะนำไปในตัว “ฉันจะบอกให้เธอรู้นะหนึ่ง อย่างลูกชายคนเล็กของฉันน่ะ เธอจะเอาแต่หนีไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เธอหนี เขาก็จะตามหาเธอจนเจอ ถ้าไม่รักลูกชายฉันเลย ก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่าเธอไม่ได้รักเขา พูดกับเขาดีๆ ห้ามใช้อารมณ์พูด เพราะเท่าที่ฉันเห็น เธอใช้อารมณ์กับเขามากเกินไป มันเลยทำให้เขาเข้าข้างตัวเองว่าเธอประชดเขา ดังนั้นเธอต้องพูดกับเขาด้วยเหตุผล จะเกลียดเขาแค่ไหนก็ต้องพูดด้วยเหตุผลให้ได้ ตอนพูดก็จับมือเขาด้วย มันจะเป็นการบอกเขาว่าเธอกำลังใช้เหตุผลกับเขา เพราะตอนเขาเป็นเด็ก ฉันทำแบบนี้ประจำ ซึ่งมันก็ได้ผลมาถึงตอนโต”

คณิตนึกไปถึงตอนอยู่ในห้องใต้ดิน ตอนนั้นอชิตะกอดเขาแน่นมาก แน่นจนเจ็บไปถึงกระดูก คุณเอมอรก็จับมือลูกชายของตัวเองเอาไว้ แล้วพูดให้ลูกชายได้สติ

“ที่สำคัญคือเวลาที่พูด เธอต้องมองตาเขาด้วย เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เขาจะได้เห็นว่าในหัวใจเธอไม่เคยมีเขา เธอไม่ได้รักเขาอย่างที่เขาหลงเข้าใจ สุดท้ายแล้วเขาจะยอมรับความจริงได้ ว่าเธอไม่ได้รักเขาอย่างที่เขาหลงเข้าใจผิดมาตลอด”

...จะให้มองตาตอนพูดโกหกนี่นะ คณิตว่ามันยากที่สุด เขาทำไม่ได้แน่

“แต่ถ้าเธอรัก แต่เธอโกหกว่าไม่รัก ลูกชายฉันอาจจะทำอะไรบ้าๆ อีกก็ได้ ซึ่งฉันคงช่วยอะไรเธอไม่ได้ เพราะเธอทำตัวเอง เลือกทำร้ายความรู้สึกของตัวเองและความรู้สึกของลูกชายฉันด้วย”

ไอ้ที่แนะนำมาทั้งหมด บทสรุปสุดท้ายของคุณเอมอรนี่แหละที่คณิตกลัวที่สุด แต่คณิตก็ปัดความกลัวทิ้งไปก่อน จะมากลัวกับคำแนะนำแกมขู่ของคุณเอมอรทำไมกันเล่า ในเมื่อเขาหนีไปให้พ้นก็สิ้นเรื่อง กลับไปอยู่กับครอบครัว ให้พี่ชายทั้งสามช่วยปกป้อง

“งั้นผมลงได้แล้วใช่ไหมครับ”

“เธอนี่น้า” คุณเอมอรพูดเสียงระอา ส่ายหน้าหน่าย “เธอจะดื้อกับลูกชายฉันน่ะได้ แต่อย่ามาดื้อกับฉัน ฉันไม่ใจดีเหมือนลูกชายฉันหรอกนะ”

ก็ไม่เห็นมีใครใจดีกับเขาสักคน คณิตนึกเถียงในใจ

“กรุณาจอดด้วยครับ” เขายังยืนยันความต้องการเดิม รถยนต์คันหรูยังวิ่งด้วยความเร็วระดับเดิม วิ่งไปข้างหน้าแบบไม่ตีไฟเลี้ยวจอดข้างทางให้เขาเลย ลองอีกครั้งดูสิ เผื่อจะได้ผล คุณเอมอรอาจสงสารความพยายามของเขาก็ได้ “พี่ครับ รบกวนจอดหน่อยนะครับ” แต่ก็ไม่ได้รับความสงสารใดเลย นอกจากน้ำเสียงเข้มงวดและบทลงโทษที่น่ากลัว จนต้องหุบปากลงอย่างรวดเร็ว 

“ขืนเธอยังพูดอีกคำเดียว ฉันจะให้เลี้ยวรถกลับ เอาเธอไปคืนไว้ที่เดิม” คุณเอมอรยิ้มอย่างผู้ชนะ “คราวนี้เลิกดื้อได้แล้วนะ”   
คณิตซึ้งแล้ว ว่าแม่กับลูกเหมือนกันมาก ถอดนิสัยกันมาเลย...นี่เขากำลังหนีเสือปะจระเข้ เพื่อรอให้เสือตัวเดิมมาขย้ำซ้ำอีกหรือเปล่านะ
:กอด1:


จบตอนที่ 29
นับถอยหลังเหลืออีก 3 แล้วน้าาาาาาาาา
อย่าเพิ่งเกลียดคุณอิงกันน้า เพราะเขาพูดกันว่า "อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา"

ปล. เปิดจองหนังสือ รัก...ได้ไหม ในเพจแล้วนะคะ (ปิดจอง 5 กันยา น้าา)
ส่วนในเล้า ได้ของ ID ขายของไปแล้ว ได้เมื่อไรจะเข้ามาประกาศขายจริงจังนะคะ

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 29 UP 30-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-07-2017 22:54:59
สำหรับบทนี้นี่อยากกดไลค์ให้คุณแม่แบบรัว ๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 30 UP 31-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 31-07-2017 19:52:45
30
อากาศภายในสวนต้นไม้ดอกหอมของคุณนภายามเช้ามืดที่แสงของวันใหม่ยังคงไม่สาดลงมานั้นแสนสดชื่น กลิ่นหอมของดอกไม้ไทยหลายพันธุ์ส่งความหอมชื่นใจมาสัมผัสปลายจมูกของคณิตเป็นระลอก

คณิตทิ้งตัวลงนั่ง ห่อตัวหนีความเย็นยามเช้ามืด สูดเอาความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด นานครั้งเขาจะตื่นเช้าแบบที่แสงตะวันยังไม่ทำงาน สาเหตุที่ตื่นเช้าเพราะเมื่อคืนเขานอนไม่หลับ ทั้งที่หัวถึงหมอนตั้งแต่ตอนทุ่มครึ่ง ข่มตาให้ปิด บังคับตัวเองให้หลับ พลิกตัวไปมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งกี่สิบท่าก็ยังนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะแปลกที่...หรือแปลกที่ไม่มีใครมากอด

ผ้าห่มเนื้อนุ่มที่ห่มกายเทียบกับวงแขนที่โอบเขาไว้ทั้งตัวไม่ได้เลย ความอบอุ่นยามค่ำคืนเหมือนตกหล่นไปไหนไม่รู้ เมื่อข้างกายเหลือแค่ความว่างเปล่าตลอดทั้งคืน มันเลยทำให้เขานอนไม่หลับ ต้องหอบเอาสภาพตาแพนด้าของตัวเองมาสูดอากาศยามเช้ามืดแทนการข่มตาให้หลับ

...ตีสี่ที่เขาลุกจากเตียง

...นี่ก็ใกล้ตีห้าแล้ว

เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังมาจากด้านหลัง คณิตลุกขึ้นยืนในทันที หันกลับไปมองก็เจอหญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านเรือนไทยหลังงามที่อายุของมันคงมากกว่าเขาไปเยอะเลย

หญิงสูงวัยเดินมาพร้อมกับคนรับใช้ที่วัยน้อยกว่าแต่ก็อายุอานามเป็นป้าของคณิตได้ ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้มาใหม่ เมื่ออีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหา พอรับไหว้แล้ว ท่านก็โบกมือไล่คนรับใช้ทั้งสามให้กลับไปทำงานอื่น

“ตื่นเช้าเหมือนกันนะ” ท่านเอ่ยทัก พลางทรุดตัวลงนั่ง “นั่งสิ คุยกับคนแก่หน่อยนะ”

คณิตนั่งลงตำแหน่งเดิม บนม้ายาวตัวเดียวกับหญิงมากวัยที่มีนามว่านภา ชายหนุ่มยังประหม่าอยู่มาก เมื่อวานเขาพูดคุยกับท่าน แต่ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะเงียบ แล้วฟังแม่สามีกับลูกสะใภ้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป คุณนภามีถามเกี่ยวกับเรื่องเขาบ้าง ซึ่งโชคดีหรือว่าท่านไม่อยากรู้กันแน่ก็ไม่รู้ เพราะท่านไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเขากับอชิตะเลย นั่นทำให้เขาสบายใจขึ้น ที่ไม่ต้องถูกซักฟอกหรือคาดคั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับหลานชายของท่าน ไม่เหมือนตอนนั่งรถมากับคุณเอมอร เขานั่งเกร็งมาตลอดทาง คุณเอมอรตั้งคำถามแต่ละอย่างเหมือนกำลังจับเขาแก้ผ้าต่อหน้าคนขับรถของเธอ

‘เธอมีอะไรกับลูกชายฉันตั้งแต่เมื่อไร’

‘ครั้งแรกเจ็บมากไหม’

‘มีอะไรกันทุกวันหรือเปล่า’

‘ทำไมถึงได้ยอมลูกชายฉัน’

‘ป้องกันหรือเปล่า...ฉันหมายถึงสวมถุงยางไหม’

‘แล้วที่ถูกกัดไม่เจ็บหรือไง’

‘ลูกชายฉันเคยทำจนเธอเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า’

‘ตัวเธอก็เท่านี้ ก็ทนลูกชายฉันได้นะ’

‘เคยพากันไปตรวจเลือดหรือยัง ไม่ใช่ฉันไม่ไว้ใจเธอ แต่ของอย่างนี้ไม่ประมาทดีที่สุด’

และอีกหลายคำถาม หลากคำพูด ที่ทำเอาเขาวางหน้าไม่ถูก เขินกับทุกคำถาม อายกับทุกคำพูดของคุณเอมอร แม้ว่าแต่ละคำถามคำพูดนั้น เหมือนเธออยากรู้มากกว่าอยากทำให้เขาหน้าไหม้ก็ตามเถอะ ส่วนเขาเก็บปากเงียบ ไม่ตอบมันสักคำถามแหละ จะตอบให้ตัวเองอายเพิ่มเพื่ออะไรเล่า

การมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึงสี่คน ทำให้คุณเอมอรเห็นว่าเรื่องลับบนเตียงนอนเป็นเรื่องชวนเม้าธ์ เอามาเล่าสู่กันฟังเหมือนดูหนัง ดูละคร ดูรายการประกวดร้องเพลง หรือรายการเรียลริตี้โชว์หรือไง   

“เมื่อคืนหลับสบายไหม” หญิงชราเริ่มต้นคำถามชวนคุย 

“สบายครับ” คณิตเลือกตอบสถานการณ์ที่ตรงข้ามกับเรื่องจริง

“แต่หลานฉันคงไม่สบายเท่าไรหรอก เห็นวิมลบอกว่าลดกระจกรถนอนในนั้นทั้งคืน ป่านนี้เนื้อตัวลายพร้อยหมดแล้วกระมัง ยุงแถวนี้ยิ่งดุอยู่ด้วย”

หา?...นอนในรถอย่างนั้นเหรอ คณิตอุทานเบาๆ ในใจ ก็เมื่อวานมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนก็เห็นขับรถออกไปแล้วนี่นา แล้วบ้านไม่มีให้นอนหรือไง

เหมือนคุณนภาได้ยินคำถามในหัวของคนตัวเล็ก ท่านจึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า 

“เมื่อคืนเจ้าอิงขับรถกลับไปแล้ว แต่สักเที่ยงคืนได้กระมัง หลานรักฉันก็ขับรถกลับมาอีกรอบ ฉันคิดว่าคง ‘คิดถึง’ เธอมาก อยากมาหา ไม่ได้เห็นหน้าแต่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี ทำตัวเหมือนหนุ่มน้อยไปได้”

คล้ายกับมีผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยกระพือปีกแล้วบินอยู่ในอกซ้ายของคณิต...

‘คิดถึง’ เขาก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คิดถึงจนนอนไม่หลับ 

แต่หยุดก่อน!

‘คิดถึง’ บ้าบออะไร คิดถึงจริงก็ต้องมาเคาะประตูห้องนอนเขาสิ ไม่ใช่มานอนให้ยุงกัด หรือว่าความจริงคือไปเที่ยวกลางคืนมา แล้วเมามาก เอาตัวออกจากรถไม่ไหว เลยนอนมันอยู่ในรถนั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจมานอนเฝ้าหลังคาบ้านของคุณนภาหรอก
ไอ้ที่ไปเที่ยวมาจนเมาน่ะ ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวกับของเล่นชิ้นใหม่หรอกนะ...คิดแล้วหงุดหงิด ภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งก้มหน้าซุกไหล่ของอชิตะในผับคืนนั้น ยังติดตาค้างอยู่ในใจอยู่เลย 

“ไม่พูดอะไรหน่อยหรือ ใจคอจะให้ฉันพูดอยู่คนเดียว” คุณนภาเอ่ยแทรกความหงุดหงิดของเด็กหนุ่มที่ผ่านออกมาทางสีหน้า

“ผม...” ก็เขาไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา มันเหมือนเขาอยู่ผิดที่ รู้สึกเกร็ง ทำตัวไม่ถูก ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนภาเลย ลูกหลานก็ไม่ใช่ เหตุผลที่มาอยู่ที่นี่ก็ใช่จะน่าภูมิใจ ครั้นจะเดินออกประตูรั้วไปก็เกรงใจสายตาหลายคู่ที่จับจ้องทุกย่างก้าวของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอชิตะเลยทีเดียว ลองเขาเดินไปแตะประตูรั้วเมื่อไร คนสวนกล้ามใหญ่ได้พุ่งเข้ามาล็อกคอเขาแน่

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่บ้านคุณนภาหรือบ้านหลานชายของท่าน เขาก็เหมือนเป็นนักโทษอยู่ดี แค่ไม่ถูกใส่กุญแจมือและได้รับการต้อนรับที่ดีประหนึ่งเป็นเจ้านายอีกคนหนึ่ง ทุกคนให้ความนอบน้อมกับเขามากเสียจนรู้สึกเกรงใจ

“ฉันรู้ ว่าเธอกลัวฉันจะถามเรื่องระหว่างเธอกับหลานชายฉันใช่ไหม ถึงนั่งหน้าเกร็ง หลังตรง ไม่พูดไม่จา ไม่กล้าสบตาฉัน ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ถามอะไรเธอหรอก ถามไป เธอก็ไม่ตอบ จริงไหม” คุณนภาถามด้วยยิ้มนุ่มนวลอย่างคนแก่ใจดี “แล้วเจ้าอิงก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังหมดแล้ว”

“เขาเล่าอะไรบ้างครับ” ...ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกนะ ก็แค่อยากรู้ว่าอชิตะใส่ร้ายเขาและเอาดีเข้าตัวอะไรไปบ้าง

แต่แทนที่จะได้คำตอบ คณิตกลับถูกดุกลับมา

“เธอเรียกหลานชายฉันว่า ‘เขา’ อย่างนั้นเหรอ?” คุณนภาถามเสียงเข้ม ริ้วรอยบนใบหน้ากระตุกนิดๆ ให้คู่สนทนาขยับตัวทำอะไรไม่ถูกไปหลายอึดใจ “หลานชายฉันแก่กว่าเธอห้าปี เรียกแบบนั้นสมควรแล้วรึ”

คณิตลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ใจเต้นเหมือนกลองโดนตีเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างมากของหญิงมากวัย จากใบหน้าของคุณย่าใจดีได้แปรเปลี่ยนเป็นนางพญาเหยี่ยวแทนคุณเอมอรไปแล้ว

แค่เรียกอชิตะว่า ‘เขา’ ยังทำเหมือนจะสั่งขังลืม แล้วถ้าได้ยินคำด่าหยาบคายอย่างเช่น ไอ้หื่น ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้โรคจิต ฯลฯ เขาไม่ถูกประหารหัวเลยหรือไง

รักษาตัวรอดเป็นยอดดีสิวะไอ้หนึ่ง...คิดอย่างนั้นแล้วอชิตะก็รีบแก้ไขคำเรียกขานเสียใหม่

“คุณอิงเล่าอะไรเกี่ยวกับผมบ้างครับ”

จาก ‘เขา’ เป็น ‘คุณอิง’ คิดว่าน่าจะเป็นที่ถูกใจของหญิงสูงวัยแล้วนะ เรียกชื่อหลานชายของท่านอย่างยกย่องที่สุด แต่ที่ไหนได้ อีกฝ่ายยังไม่คลายสีหน้าไม่พอใจลงเลย สายตาคมกริบจ้องมองเขาอย่างตำหนิโทษ แม้จะผ่านฝนหนาวมาร่วมแปดสิบกว่าปี แต่ดวงตาของคุณนภายังทรงไว้ด้วยอำนาจ ฟ้องอดีตในวันวานว่าเธอเคยยิ่งใหญ่แค่ไหน

“ไม่คิดว่ามันห่างเหินไปรึ” คุณนภาย้อนถาม ส่งสายตาเข้มงวดที่ไม่ต่างจากไม้เรียวปราบเด็กดื้อ

“ก็ไม่นะครับ” คณิตตอบเสียงอ่อย แอบหลบสายตาไม่พอใจของคุณนภา...จะให้เขาเรียกหลานชายสุดที่รักของท่านว่าอะไรเล่า
เรียก ‘เขา’ ก็ไม่ได้

เรียก ‘คุณ’ ก็ไม่เอา

อย่างนั้นคงเหลืออย่างเดียวแล้วนะ

“งั้นผมเรียกว่าบอสได้ไหมครับ” อ้อมแอ้มถามออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแค่การเรียกหลานชายสุดรักของคุณนภา มันเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้เชียว จริงจังถึงขั้นต้องเอ่ยขออนุญาตกันเลยนี่นะ

 “ยิ่งแย่ไปใหญ่ คนเป็นย่าอย่างฉันฟังแล้วมันเจ็บหูจริงเชียว” คนแก่ฮึดฮัดไม่พอใจ นาทีนี้สายตาท่านเหมือนเครื่องประหาร แต่แท้จริงคุณนภาแค่ตีหน้าดุ แกล้งขู่เด็กหนุ่มไปอย่างนั้นเอง เห็นท่าทางแล้วน่าแกล้ง ทำให้นึกไปถึงเพื่อนรักที่เปลี่ยนสถานะไปเป็นพี่สะใภ้ผู้น่ารักของนางในวันวาน

พรตนั้น น่ารัก น่าแกล้ง น่าทำให้ร้องไห้ เพราะยามน้ำตาไหลผ่านบนแก้มใส ตัวบอบบางจะสั่นเหมือนลูกนก และคนที่ชอบแกล้งพรตที่สุดก็คือพี่ชายของเธอ

“แล้วต้องให้เรียกแบบไหนครับ” คณิตถามด้วยจนปัญญาต่อกรกับความยุ่งยากที่คุณนภาสร้างขึ้น...ตระกูลนี้เอาแต่ใจกันเหลือเกิน   

“เรียกว่า ‘พี่อิง’ สิ ต้องให้คนแก่หัวหงอกสอนรึไง” ว่าเสียงดุ แต่ตายิ้ม “ไหนเรียกให้ฉันฟังซิ...พี่อิง”

คณิตอยากจะดื้อ ไม่ยอมเรียกอชิตะว่า ‘พี่อิง’ เด็ดขาด แต่เมื่อสบสายตาจริงจังของหญิงชราภายใต้แสงของวันใหม่ที่ฉาบทั่วท้องฟ้ากว้างแล้วก็ต้องเอ่ยออกมาอย่างจำยอม

“พี่...อิง...” รู้สึกกระดากปากชะมัด ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาเรียกอชิตะด้วยสรรพนามนี้ 

“ฟังแล้วเหมือนไม่เต็มใจพูด เอาใหม่ พูดใหม่”

“พี่อิง”

คุณนภาพยักหน้าช้าๆ แทนความถูกใจ

“ต่อจากนี้ให้เรียกหลานชายฉันว่า ‘พี่อิง’ ทุกครั้ง...ถือว่าฉันขอ”

‘ขอ’ หรือ ‘สั่ง’ กันแน่ แต่ที่แน่ๆ สายตานางพญารุ่นลายครามอย่างคุณนภา ไม่น่าปล่อยให้เขารอดจากกรงเล็บแน่ หากเขาปฏิเสธสิ่งที่เจ้าตัวขอ

“ครับ” ...เขาสู้คนตระกูลนี้ไม่ได้อยู่แล้วนี่   

คุณนภายิ้มพอใจ

“ไปได้แล้ว”

“ครับ” คณิตรับคำอย่างงงๆ เขานั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ แล้วจะไล่เขาไปไหน แปลกจริง ถ้าเขามาขอพบคุณนภาก็ว่าไปอย่าง แต่ช่างเถอะ เจ้าของบ้านอาจอยากนั่งชมต้นไม้ดอกไม้ยามเช้าในสวนของตัวเองคนเดียวก็ได้ มีเขาอยู่คงเกะกะลูกตา

คณิตลุกขึ้นยืน เตรียมจะหมุนตัวเดินออกไปจากสวนที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ดอกหอมของไทย ทว่าคุณนภาตั้งคำถามชวนงงขึ้นมาอีกจนได้

“รู้หรือว่าฉันให้เธอไปไหน”

คนถูกถามส่ายหน้าด้วยความงง แต่เพียงไม่นานความงงก็เปลี่ยนเป็นความลำบากใจ เมื่อเจ้าของบ้านใช้ให้ไปทำเรื่องที่ไม่อยากทำ

“ไปปลุกหลานชายฉัน ให้เขาตื่นกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานได้แล้ว”

“ให้คนอื่นไปปลุกได้ไหมครับ” เขาย้อนถามเป็นคำปฏิเสธ แต่พอถูกจ้องหน้าเขม็งแล้วนั้น คณิตจำต้องเปลี่ยนคำตอบให้เป็นที่พอใจของอีกฝ่าย

“...ครับ”

เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับสายตาของคนในตระกูลนี้หมดทุกคนหรือไงนะ...

คณิตได้แต่นึกคร่ำครวญในหัวอกตัวเอง สวนทางกับขาที่ต้องไปทำหน้าที่ที่ถูกบังคับ แต่ในคำว่า ‘ถูกบังคับ’ คณิตยอมรับว่ามีคำว่า ‘คิดถึง’ แอบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบและน่ายินดีไปพร้อมๆ กัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คนที่ปรับเบาะนั่งเป็นเตียงนอนชั่วคราวเริ่มขยับตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกจากด้านนอก อชิตะมองผ่านกระจกรถที่เปิดค้างไว้นิดหน่อยพอให้มีอากาศไว้ใช้หายใจยามหลับ พอเห็นว่าเป็นใคร รอยยิ้มผุดขึ้นมาทันที เขาปรับเบาะรถให้เข้าที่ ก่อนลดกระจกรถลง

“หนึ่ง...ผมคิดถึงคุณ”

ความคิดถึงทำให้อชิตะที่นอนพลิกตัวบนเตียงในห้องใต้ดินไปหลายตลบ ต้องขับรถมาบ้านคนเป็นย่า มาแค่ให้ได้อยู่ใกล้คนที่เขาคิดถึง มันก็พอให้ข่มตาหลับได้เมื่อเวลาผ่านเข้าสู่วันใหม่ตอนเข็มนาฬิกาชี้เลขสี่ ก้มมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา นี่ก็ใกล้หกโมงเช้าแล้ว ได้นอนไม่ถึงสองชั่วโมงเลย

“ไม่เจอแค่คืนเดียว คิดถึงเป็นบ้า” 

ผีเสื้อตีปีกในหัวใจของคณิตอีกรอบ รุนแรงกว่าเดิม ครั้นจะฉีกยิ้มรับอย่างที่อีกฝ่ายเปิดยิ้มกว้างมาให้ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง มันจะทำให้อชิตะได้ใจ แถมทำให้เขากลายเป็นของเล่นโง่ๆ อีกด้วย เลยต้องปั้นหน้าเรียบเฉยกับความคิดถึงของอีกฝ่าย ดึงตัวเองกลับมายังหน้าที่ที่ได้รับการบังคับมาจากคุณนภาทันที
 
“คุณนภาให้ผมมาปลุก...” พูดแล้วก็หยุด เนื่องจากไอ้คำที่เขาต้องพูดต่อจากนี้ถูกบังคับมาโดยคุณนภา โดยมีผู้คุมที่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากคุณนภาให้ตามมาจับคำพูดทุกประโยคของเขาอย่างใกล้ชิด ต้องให้ทุกประโยคที่เขาพูดคุยกับอชิตะมีคำว่า ‘พี่อิง’ รวมอยู่ด้วย

คุณนภากำหนดโทษเอาไว้ว่า หากไม่ได้ยินเขาเรียกหลานชายท่านว่า ‘พี่อิง’ จะลงโทษเขาด้วยการไม่ให้เจอหน้าอชิตะเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม!

มันเป็นบทลงโทษที่บ้ามาก แต่เขาก็ดันบ้าจี้ตามไปด้วยนี่สิ

“...พี่อิงไปทำงาน” คณิตต่อประโยคที่เหลือจนจบ เจ้าของชื่อเหมือนจะอึ้ง ก่อนฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

“ไปละ” เมื่อหมดหน้าที่แล้ว คณิตก็หมุนตัวกลับ เตรียมเดินกลับเข้าไปในรั้วบ้านเรือนไทย ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถตามหลังมา ก่อนจะถูกรั้งไว้ด้วยมือหนาของคนที่ยิ้มกว้างยังไม่หมดไปจากใบหน้า

“เดี๋ยวก่อนหนึ่ง” อชิตะจับข้อมือเล็กไว้แน่น กันไม่ให้เจ้าของมันสะบัดหลุด แล้วจึงหันไปบอกคนสนิทของคุณย่านภา “ผมขอคุยกับน้องหน่อยนะครับ”

“คุณท่านให้แค่มาเรียกค่ะ ไม่อนุญาตให้คุย” นางบอก ยึดในคำสั่งของเจ้านายเป็นหลัก

“ผมขอแค่นิดเดียว ไม่นานครับ”

“แต่มันขัดคำสั่งคุณท่านนะคะคุณอิง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยอมลงโทษเพิ่มอีกปีหนึ่งก็ได้”...ก็คนมันคิดถึง เห็นหน้าแล้วอยากกอด อยากถามว่าเมื่อคืนนอนหลับไหม คิดถึงเขาไหม ถูกลงโทษเพิ่มก็ต้องยอม “ผมขอชั่วโมงหนึ่งนะครับ”

“ป้าให้สิบนาทีนะคะ”

อชิตะยอม...สิบนาทีที่ได้กอดให้หายคิดถึง แลกกับบทลงโทษสุดโหดที่เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งปี คุ้มหรือเปล่าไม่รู้ รู้แค่ว่าคิดถึงเหลือเกิน เขารอให้ถึงตอนหกโมงเย็นไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเขากลับไปทำงานไม่รู้เรื่องแน่ เผลอๆ อาจจะนั่งเฝ้าประตูรั้วทั้งวันเลยก็ได้

แต่คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างคณิตนี่สิ ยืนฟังด้วยความงุนงง สมองครุ่นคิดหาคำตอบ เพิ่มโทษอีกหนึ่งปีคืออะไร หรือว่าอชิตะก็โดนลงโทษด้วย แล้วโดนด้วยข้อหาอะไร หรือเป็นข้อหาที่โผล่หน้ามาหาเขา คุณนภาสั่งหลานชายตัวเองไม่ให้มาเจอเขาใช่ไหม แต่อชิตะขัดคำสั่ง บทลงโทษจึงตามมา

แค่เดือนเดียวที่เขาถูกคุณนภาขู่ลงโทษ เขาก็ว่ามากแล้วนะ มากจนไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่บทลงโทษของอชิตะมากยิ่งกว่า

‘หนึ่งปี’ ไม่ได้มีแค่เดือนสองเดือนนะ มันมีตั้งสิบสองเดือน

ทำไมคุณนภาใจร้ายกับหลานชายจัง นี่เท่ากับว่าเขาจะไม่ได้เจออชิตะอีกอย่างน้อยสิบสองเดือนเลยงั้นเหรอ... ตายกันพอดี!

แล้วสิบนาทีนี่ มันไม่ได้คุ้มกับหนึ่งปีที่เพิ่มเข้ามาเลยนะ ทำไมอชิตะตัดสินใจอะไรโง่ๆ ด้วย แทนที่จะรอให้พ้นระยะเวลาของคำสั่งไปก่อน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร

คณิตคิดจะต่อว่าอชิตะที่ขัดคำสั่งคุณนภา พลอยทำให้เขาต้องโดนไปด้วย เพราะลงโทษอชิตะก็เท่ากับลงโทษเขาเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้อ้าปากว่าอย่างใจคิดเคือง คนตัวโตก็ลากเขาไปยืนข้างรถ ลับตาคนในบ้านเสียก่อน

“คิดถึง”

คำบอกนี้มาพร้อมกับอ้อมกอดคุ้นเคย มันอบอุ่นอย่างที่โหยหามาตลอดทั้งคืน คนถูกกอดหลับตาข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระเจิงไปกับความคิดถึง ไม่อยากเผลอบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้อับอายและสิ้นศักดิ์ศรีมากกว่าเดิม

“คิดถึงกันไหม”

เสียงทุ้มยังคงกระซิบอยู่เหนือขมับ ปากอุ่นร้อนจูบซับลงมาหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งหลับตา คณิตยิ่งซึมซับรอยจูบได้มากขึ้น มากเสียจนไม่สามารถห้ามมือของตัวเองไม่ให้เลื่อนขึ้นมาโอบกอดตอบได้ คนตัวเล็กซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างแสนคิดถึง

V
V
V
อ่านต่อข้างล่าง

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 30 UP 31-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 31-07-2017 20:01:25
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย ต้องขับรถมาหาถึงนี่ แต่เข้าไปหาในบ้านไม่ได้ คุณย่าสั่งห้ามไว้ ขัดคำสั่งจะโดนลงโทษเพิ่ม ทั้งที่คิดถึงมากขนาดนี้ แต่ก็ทำได้แค่มานอนเฝ้านอกรั้ว ตอบให้ชื่นใจหน่อยนะหนึ่ง คิดถึงผมไหม คิดถึง ‘พี่อิง’ หรือเปล่า นอนหลับไหม ถ้านอนไม่หลับเป็นเพราะคิดถึง ‘พี่อิง’ ใช่ไหม” อชิตะเน้นคำว่า ‘พี่อิง’ เป็นพิเศษ

คำพูดเหมือนจะฟ้องและอ้อนอยู่ในทีทำเอาคณิตอยากจะขยี้หูตัวเองสักสิบรอบ เผื่อว่าประสาทรับรู้เสียงของเขาจะผิดเพี้ยนไป มีแทนตัวเองว่า ‘พี่อิง’ ด้วย แต่เรื่องอะไรเขาจะตอบให้อีกฝ่ายได้ใจ อชิตะกำลังก่อเรื่องให้เขาซวยเพิ่มอีกหนึ่งปีเลยนะ มันต้องชำระความกันก่อน เพราะของเล่นชิ้นนี้ มันไม่อยากจากเจ้าของนานขนาดนั้นนี่น่า

เฮ้อ...ใจหนอใจ อยู่ใกล้ก็อยากหนี อยู่ห่างก็แสนคิดถึง พอโดนกอดก็ยิ่งโหยหายิ่งกว่าเดิมอีกร้อยเท่าพันทวี นี่สินะความรัก ความคิดถึง

“ใครใช้ให้บอสมาหาผมห๊ะ!” คณิตสาดเสียงใส่ ไม่ได้เรียกอชิตะว่าพี่อิง เพราะไม่มีคนคอยจับผิดแล้ว พลางค่อยๆ เอาตัวเองออกมาจากวงแขนของอีกฝ่าย ครั้งนี้อชิตะดูว่าง่าย ยอมปล่อยตัวเขาแต่โดยดี

“บอกแล้วว่าคิดถึง” อชิตะยิ้มตาพราว “อยากกอด อยากจูบ อยากหอม อยากทำอะไรๆ เหมือนที่เคยทำกับหนึ่ง อยากได้ยินเสียงครางหวานๆ ดังอยู่ข้างหู” ปลายเสียงแผ่วลงคล้ายจะสื่อความหมายถึงบางอย่างที่ลึกซึ้ง...ลึกเข้าไปในกายบาง

“หยุดพูดเลยนะ! หน้าไม่อาย” ปากด่า ทำโกรธ แต่วงหน้าขาวกลับขึ้นสีระเรื่อ

“คิดถึงหน้าตาแบบนี้ด้วย” บอกพลางประคองใบหน้าเล็กไว้ในอุ้งมือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเขินอาย อชิตะไม่เคยเบื่อที่จะมอง

“หน้าตาแบบตอนอื่นๆ ก็ชอบเหมือนกัน โดยเฉพาะ...” อชิตะแกล้งละคำพูดที่เหลือไว้ให้คณิตเติมมันเอง และคิดว่าคนตัวเล็กคงเติมมันได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำท่าเหมือนจะฉีกเนื้อเขาทิ้งเป็นแน่

“เลิกพูดไร้สาระสักที” คณิตว่าเสียงฉุนกลบเกลื่อนอารมณ์ที่ถูกยั่วแหย่ให้ใบหน้าเห่อร้อน ดึงเรื่องกลับมายังจุดเดิมที่เขาอยากจะชำระความหลานชายคุณนภา “ทำไมไม่เชื่อฟังคำสั่งคุณย่าของบอสห๊ะ มาหาผมทำไม ดูซิ ขัดคำสั่งแล้วเป็นไง ตั้งหนึ่งปีเลยนะบอสที่เราจะไม่ได้เจอหน้ากัน มันน้อยซะที่ไหน” ว่าอย่างโมโห ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองควรจะทำเมินใส่อชิตะ ไม่ใช่เดือดร้อนโวยวายที่ไม่ได้เจอหน้ากันมากกว่าหนึ่งปี มารู้ตัวว่าพลาดไปแล้วก็ตอนที่เห็นดวงตาพราวระยับมีรอยยิ้มถูกอกถูกใจและคว้าเอวเขาเข้าไปกอดซ้ำนั่นแหละ

โธ่ไอ้หนึ่ง! มึงพลาดรุนแรงแล้วรู้ไหม

“หกโมงเย็นก็ได้เจอกันแล้ว แต่ถ้าทนคิดถึงไม่ไหว ผมจะโทรมาหาทุกชั่วโมงดีไหม หรือวีดิโอคอลทั้งวันก็ได้นะ” 
พลาดว่ารุนแรงแล้ว พอเจอที่อชิตะพูดอีก คณิตงงแบบถล่มทลาย ไม่ใช่เรื่องโทรคุยหรือวีดิโอคอล แต่คือคำพูดที่ว่า

‘หกโมงเย็นก็ได้เจอกันแล้ว’

“คือยังไงบอส?” คณิตเงยหน้าถาม ไม่ได้สนใจมือที่เลื้อยลงไปป้วนเปี้ยนแถวสะโพก ช่างมันก่อน ความอยากรู้สำคัญกว่าการถูกลวนลามร่างกาย “หกโมงเย็น มันหมายความว่ายังไง อธิบายมาดิ่”

“จูบก่อน แล้วจะบอก” อชิตะบอกอย่างเป็นต่อ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของคณิตที่ทำให้เขาใช้กอบโกยเอาแต่ใจตัวเอง

“บ้า! นี่มันหน้าบ้านนะบอส” คณิตเอ็ดเสียงเขียว ตอนนี้เช้ามากก็จริง แต่ก็มีรถวิ่งผ่านไปมา เท่าที่ให้กอดให้ลูบสะโพกอยู่ข้างถนนก็ต้องทำหน้าหนาเกินขีดจำกัดไปแล้วนะ

“ไปในรถ” ว่าแล้วอชิตะก็เปิดประตูรถตอนหลัง จับร่างเล็กที่ยังไม่ทันตั้งตัวเข้าไปก่อน จากนั้นก็ก้าวตามเข้าไป ปิดทุกสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมาในซอยแห่งนี้ด้วยรถคันใหญ่ติดฟิล์มดำ

คณิตยังไม่ทันโวยวาย แค่อ้าปากก็เป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายประกบจูบลงมาทันที ถามว่ารังเกียจรสชาติปากของคนที่เพิ่งตื่นนอนหรือเปล่า คณิตตอบได้เลยว่า...มันเลยคำคำนั้นไปเยอะมากแล้ว เลยไปมากโข ที่สัมผัสทุกครั้งในยามเรียวลิ้นดึงดูดกัน มันมีแต่ความเร่าร้อนที่พร้อมจะกลืนกินกันและกัน

“กลับบ้านเรากันนะ” เสียงทุ้มแผ่วจางด้วยอารมณ์ปรารถนากระซิบติดกลีบปากสีหวานเมื่อละริมฝีปากออกมา คนถูกชวนส่ายหน้าปฏิเสธ

“อื้อ...จูบแล้วก็บอกมา อย่า...” คณิตทวงเอาคำตอบที่อยากได้ มือก็ดันแผ่นอกกว้างสุดกำลัง เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะหยุดแค่จูบ มือหนาล้วงเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเรียบลื่นใต้เสื้อยืดสีขาวอย่างเอาแต่ใจ คณิตกลัวอารมณ์ตัวเองจะกระเจิงไปกับมือหนาที่ปลุกเร้า เขารีบดึงมืออชิตะออกมาก่อนจะรั้งอารมณ์ไม่ทันกันทั้งคู่ “บอกมาได้แล้ว หกโมงเย็นอะไร ยังไง”

อชิตะยังไม่ให้คำตอบในทันที เขายอมลามือจากผิวเนื้อของคณิต แต่ยังใช้มือประคองใบหน้าเล็กแทน แล้วพรมจูบไปทั่วผิวแก้มของคนที่คิดถึงสุดหัวใจ จูบอย่างเอ็นดู เมื่อนึกไปถึงอาการที่แสดงออกมาว่าเดือดร้อนขนาดไหนที่จะไม่ได้เจอหน้าเขาถึงหนึ่งปี

‘น้อยซะที่ไหน’

คำพูดที่เจ้าตัวระบายออกมาอย่างหัวเสีย ได้ยินแล้วชื่นใจ อดไม่ได้ที่จะตามหาความหวานฉ่ำหลังกลีบปากบางอีกครั้ง คณิตเหมือนจะไม่ยอมในคราวแรกเพราะคงอยากได้คำตอบเต็มที ทว่าแค่อึดใจเดียวก็พ่ายแพ้ ยินยอมให้เขาลิ้มชิมรสหวานของตน ให้ความร่วมมืออย่างดี ดีซะจนเขาอยากจะบดขยี้ร่างกายคณิตให้หายคิดถึง ความคิดถึงที่ล้นทะลักอยู่ในหัวอก อยากได้ยินเสียงครางอย่างสิ้นอายแต่หวานจับใจ อยากกอดร่างกายอ่อนปวกเปียกที่พร้อมจะรองรับทุกความต้องการของเขาอย่างอดทน อยากกดแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ อยากถ่ายทอดความรักผ่านร่างกายที่สอดประสานอย่างบ้าคลั่ง อยากกัดกลืนกินกายหอมหวานแสนยั่วยวนนี้ทุกตารางนิ้ว และอยากจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

ถ้าคณิตคิดว่าหนึ่งปี ‘น้อยซะที่ไหน’ แล้วโทษที่มีอีกสองปีล่ะ คนตัวเล็กจะรู้สึกอย่างไรกับมัน กับบทลงโทษที่คุณย่านภากำหนดขึ้นมา ซึ่งเขาไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เนื่องจากเป็นบทลงโทษความบ้าคลั่งของเขาเอง จำนวนปีที่ถูกลงโทษได้มาจากจำนวนวันที่เขากักขังหน่วงเหนี่ยวคณิตไว้ในห้องใต้ดิน

หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี

จำนวนวันที่เขากักขังคณิตไว้คือสองวัน ดังนั้น บทลงโทษของเขาจึงเป็นสองปี และคงจะเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งปีจากเหตุการณ์นี้ ทว่ามันก็คุ้ม คุ้มที่ได้รู้ว่าคนตัวเล็กก็คิดถึงเขามากเช่นกัน

“อึก...เจ็บบอส...ผมเจ็บ...บอกว่าเจ็บไงเล่า!”

เสียงร้องโวยวายดึงสติของอชิตะออกมาจากซอกคอระหง อชิตะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำมากกว่าจูบ เพราะมีรอยฟันคมรอยใหม่ประทับอยู่บนซอกคอของคณิตไปเรียบร้อยแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าของลำคอโกรธหน้าดำหน้าแดงรอก่อนแล้ว

“คิดถึง” เขาใช้คำนี้แทนทุกการกระทำ คนฟังกัดปากทำหน้างอ ตาขวาง พลางขยับไปชิดประตูอีกฝั่ง มือชี้หน้าห้ามไม่ให้เขาขยับตาม

“อยู่ตรงนั้นเลย แล้วบอกมา”

อชิตะขยับยิ้ม ดวงตาคมระยับยามเอ่ยบอกบทลงโทษที่ยาวนานทรมานหัวใจและร่างกายเขามากมายนัก

“คุณย่าลงโทษผมไม่ให้มาเจอคุณเป็นเวลาสองปีเต็ม”

“ห๊า! สองปี” คนฟังอุทานเสียงหลง

“ใช่ สองปีเต็ม สำหรับข้อหาที่ผมเอาตัวคุณมาขัง ก็เริ่มลงโทษตั้งแต่เมื่อเย็นวาน”

หัวสมองของคณิตคิดอย่างเร็วจี๋ เมื่อกี้อชิตะโดนเพิ่มไปอีกหนึ่งปี รวมของเดิมอีกสองปี แปลว่าเขากับอชิตะจะไม่ได้เจอกันถึงสามปีเลยเหรอ

ให้ตายเถอะ มันไม่ใช่น้อยๆ แต่มันเยอะโคตรๆ ต่างหาก!

...1 ปีเท่ากับ 365 วัน

...3 ปีก็เกือบหนึ่งพันวันเลยนะ

แล้วเขาจะทนไหวไหมเล่า แค่คืนที่ผ่านมาก็ยืนยันแล้วว่า เขาไม่ไหว! นอนไม่หลับ โหยหาแต่อ้อมกอดของอชิตะ สัมผัสที่เคยได้รับจากการปรนเปรอของอีกฝ่าย ร่างกายที่ถูกเติมเต็มจากความปรารถนารุนแรงนับครั้งไม่ถ้วนอีกเล่า เขาหลงใหลไปเสียแล้ว

“แล้วบอสจะยอมทำไมเล่า ไม่เห็นต้องทำตามเลย” คณิตบอกเสียงขุ่น ผิดหวังด้วยที่อชิตะยอมรับบทลงโทษด้วยความเต็มใจ เป็นเขานะ เขาไม่ยอมหรอก เอ...จะว่าไปก่อนหน้านี้เขาก็กลัวบทลงโทษของคุณนภาเหมือนกัน

“ท่านเป็นคุณย่านะ ผมจะขัดคำสั่งได้ยังไง” อชิตะตอบกลับเสียงอ่อน แต่แววตายิ้มมีความสุข ยิ้มลงไปถึงปากด้วย

“ยิ้มอะไร?” คณิตกระชากเสียงถาม หงุดหงิดที่เห็นอชิตะยิ้ม ทั้งที่เขาเครียดจะตายอยู่แล้ว “ชอบหรือไงที่ไม่ต้องเห็นหน้าผม เออ...ลืมไป ผมมันก็แค่ของเล่น ไม่มีก็ไม่ตาย” ...หรือหาของเล่นชิ้นใหม่ที่สมรรถภาพดีกว่าเขามาเล่นแทน

ตั้งสามปี อชิตะหาของเล่นชิ้นใหม่ได้ไม่รู้กี่ชิ้น โสดแล้วด้วย คู่หมั้นก็ไม่มี เขาก็ไม่อยู่ให้รกสายตา คิดแล้วใจก็เหมือนโดนค้อนทุบซ้ำซาก

“ไม่มีก็ไม่ตายจริงๆ แหละ แต่ผมก็ยังอยากเล่นของเล่นชิ้นนี้อยู่นะ” เจ้าของของเล่นเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ อชิตะชอบความน้อยเนื้อต่ำใจของคณิตเหลือเกิน

“ไอ้เหี้ย!” ตะโกนใส่อย่างโมโหสุดๆ เจ็บใจที่ถูกตอกย้ำ ปวดหัวใจที่เป็นได้แค่ของเล่น แล้วไอ้คำพูดที่พูดว่า ‘คิดถึง’ เนี่ย มันก็คงแค่คิดถึงของเล่นสินะ

โง่ซ้ำซากนะไอ้หนึ่ง!

“ไม่อยากเป็นของเล่นของผมเหรอ”

“ไม่!” ตอบเสียงสะบัด ใบหน้าเล็กหันออกไปนอนกระจกรถติดฟิล์มหนา แล้วเอ่ยเสียงเบาหวิว “ผมเป็นคน ไม่ใช่ของเล่นของใคร
ปล่อยผมไปซะที” ความน้อยใจ ความเสียใจ ส่งผลให้ปลายเสียงสั่นยากจะห้ามได้

“มองตาผม แล้วพูดสิว่าไม่อยากเป็นของเล่นของผม” อชิตะรุกเข้ามาชิด โอบร่างเล็กไว้ มือข้างหนึ่งจับปลายคางมนให้หันมาสบตา “ไม่อยากให้ผมกอด จูบ เข้าไปในตัวคุณ กลืนกินคุณทั้งตัว หลอมกายเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณทุกค่ำคืน...แล้วผมจะปล่อยคุณไป” เสียงทุ้มระบายนุ่มใกล้ผิวหน้านวลเนียน ได้รับกลับเป็นแรงสะบัดหน้าหนี

คณิตนึกไปถึงคำพูดของคุณเอมอร

‘ต้องมองตาเวลาพูด’ อชิตะถึงจะยอมเชื่อ แต่เขาจะมองตาแล้วพูดคำโกหกได้อย่างไรเล่า

ให้พยายามหันหน้าหนีเท่าไร คนที่ตั้งตัวเป็นเจ้าของของเล่นอย่างอชิตะก็ประคองสองแก้มของคณิตให้อยู่นิ่งได้ในที่สุด ปลายจมูกโด่งฝังลงบนแก้มนุ่มหอมสะอาด ตามติดด้วยปากอุ่นที่ขบกัดริมฝีปากล่างและดูดดึงซ้ำๆ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ลุ่มหลง เนิ่นนานกว่าที่อชิตะจะปล่อยกลีบปากบางเป็นอิสระ มองตาเรียวเล็กหวานซึ้ง ก่อนลิ้นชื้นจะฉกลึกเข้าไปหาความฉ่ำหวานภายใน แตะต้องกับเรียวลิ้นที่รอเวลาพัวพันกัน ยิ่งลิ้นนุ่มยินยอม อชิตะก็ยิ่งเพิ่มรสจูบที่หนักหน่วงขึ้นอีก

มือร้อนลากไล้ไปทั่วผิวเนื้อนวลเนียน บีบขยี้เม็ดเล็กบนยอดอกอย่างสนุกมือ จนเจ้าของมันสะดุ้งสะเทือนไปทั้งกาย หลุดครางเสียงหวานผะแผ่ว ก่อนสติของเจ้าตัวจะกลับมา คณิตรวบรวมแรงที่เหลือน้อยนิดผลักร่างหนาออกห่าง หอบหายใจหนักๆ กับใบหน้าที่ร้อนจัดใกล้แตกเพราะอายตัวเองที่เต็มใจซะขนาดนั้น ไม่สนว่าบทเลิฟซีนบรรเลงอยู่ในรถยนต์ ไม่ใช่ห้องหับมิดชิด

คณิตได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วจางในลำคอของคนที่ทำเอาเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง 

“น่ารักอย่างนี้จะให้ผมยอมปล่อยคุณไปได้ยังไง”

คณิตไม่ตอบโต้ เพราะการตอบรับอย่างเต็มใจเมื่อครู่ มันฟ้องอยู่แล้วว่าเขาพ่ายแพ้หมดรูป ยินยอมเป็นของเล่นของคนคนนี้ไปแล้ว ต่อให้ปากแข็งขนาดไหน หัวใจก็ไม่ได้แข็งอย่างปากว่าเลย

พอไม่ตอบ ก็ถูกรวบตัวเขาไปบดจูบอีกครั้ง ครั้งนี้นานแค่ลมหายใจเดียว

“อยากทำมากกว่านี้แต่ทำไม่ได้” เสียงทุ้มกระซิบออดอ้อนและยั่วเย้าอยู่ในคราวเดียวกันเมื่อละริมฝีปากจากความหวานออกมา

“แต่ถ้าคุณกลับไปพร้อมผม ผมจะทำให้คุณไม่อยากจากผมไปไหนอีกเลย” อชิตะจ้องลึกเข้าไปในหน่วยตาเรียวเล็ก พบอารมณ์หลากหลายอยู่ในนั้น

...เจ็บปวด

...โหยหา

...ปรารถนา

...และรัก

“ไม่” แต่คณิตก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ

“สามปีที่ไม่มีอ้อมแขนของผมคอยกอดคุณตอนนอน คุณไม่ทรมานเหรอหนึ่ง” อชิตะถาม น้ำเสียงไม่คลายความออดอ้อนลงเลย

“แต่สามปีสำหรับผมที่จะไม่ได้นอนกอดคุณ ไม่ได้อยู่ในตัวคุณ ไม่ได้ครอบครองคุณ มันคงทรมานมากนะ”

“.....” ใช่ว่าคณิตจะไม่ร่วมทรมานไปด้วยเสียหน่อย เพราะสามปี มันไม่ได้แค่นานมาก แต่มันนานเหี้ยๆ นานเสียจนทำให้ของเล่นชิ้นหนึ่งหมดความหมายไปตามระยะเวลายาวนานนั้นได้เลย

“อยากฉุดไปซะตอนนี้เลย” ชายหนุ่มถอนหายใจ “แต่ผมก็จะทน เพื่อของเล่นอย่างคุณ”

น้ำตาของคณิตไหลโดยทันใด จากคำพูดที่กรีดใจ ด่าว่าตัวเองเป็นของเล่น ยังเจ็บไม่เท่ากับที่อีกฝ่ายเรียกขานให้หัวใจย่อยยับแตกสลาย

ในม่านน้ำตา คณิตเห็นใบหน้าคมเข้มแสนหล่อเหลา แต้มรอยยิ้มพึงพอใจ ใบหน้านั้นโน้มลงมาใกล้ เขาเผยอริมฝีปากรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีต่อมา ไม่มีคำปลอบโยน มีเพียงสองแขนที่โอบกอด ปากเร่าร้อนที่บดจูบลงมาด้วยความกระหายอยาก จูบที่ไม่ได้นุ่มนวลอ่อนหวาน หากแต่ฝังลึกลงมาตีตราความเป็นเจ้าของของเล่นชิ้นนี้ไปจนกว่าจะไม่ต้องการ
นานกว่าคณิตจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ หลังถูกตักตวงจนน้ำตาแห้งเหือด คนตัวเล็กก้าวขาลงจากรถคันใหญ่พร้อมกับคนตัวโตที่เปิดประตูรถอีกฝั่งหนึ่งลงมา อชิตะยืนอยู่ข้างประตูรถ ขณะที่คณิตเดินก้มหน้าไปยังประตูรั้วด้วยหัวจิตหัวใจที่ถูกทำลายซ้ำซาก
อชิตะเอาแต่ได้ ส่วนเขาก็ยอมแต่ให้ ให้จนไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรมันแล้ว

...ปากบอกว่าไม่ แต่ใจบอกว่าได้

...สมองต่อต้าน ร่างกายกลับสนองตอบ

...หัวใจย่อยยับพังทลาย ก็ยังต้องแหลกละเอียดเหมือนฝุ่นผง

คณิตแว่วได้ยินว่าคนสนิทของคุณนภาที่เดินสวนเขาไปหาอชิตะ สิ่งที่หญิงมากวัยคุยกับอีกฝ่ายนั้น ทำเอาลมหายใจของคณิตสะดุดอีกครั้ง ใจหายวาบ นึกไปถึงบทลงโทษที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น!

“หนึ่งชั่วโมงนะคะคุณอิง ป้าต้องรายงานคุณท่านตามความจริง”

สิบนาทีก็ลงโทษตั้งหนึ่งปี แล้วนี่หกสิบนาที ไม่ลงโทษเพิ่มเข้าไปอีกหกปีเลยหรือไง

บ้าจริง! ถึงตอนนั้นเขาไม่กลายเป็นของเล่นตกรุ่นแล้วเหรอ

ฉุดเขาไปตอนนี้เลยได้ไหม

...พี่อิง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ตาเธอแดงนะ โดนหลานชายฉันรังแกมาหรือเปล่า” เสียงหญิงสูงวัยเจ้าของบ้านเรือนไทยเอ่ยถามจากชานเรือนที่นั่งรับลมเย็นก่อนมื้ออาหารเช้าจะมาถึง

คณิตหันไปตามเสียง ก่อนจะเดินตรงไปหาหญิงชราที่มีร่างกายภายนอกแข็งแรง เหมือนคนอายุห้าสิบหกสิบก็ว่าได้ ทั้งที่ท่านก็มีโรคประจำตัวที่น่าเป็นห่วง

คนตัวเล็กทรุดตัวลงนั่งห่างออกไป แต่ก็พอให้นั่งสนทนากันได้โดยไม่ต้องใช้เสียงที่ดังเกินปกติ

“เปล่าครับ” ...เป็นเขาเองแหละที่รังแกตัวเอง รักคนที่เห็นเขาเป็นของเล่น ยินยอมให้อชิตะเล่นสนุกกับร่างกายเขาเกือบชั่วโมง

“ตาแดงๆ ของเธอมันฟ้องหมดแล้ว บอกมาว่าเจ้าอิงทำอะไรเธอ ฉันจะจัดการให้”

“ไม่ใช่ครับ แค่ฝุ่นเข้าตาครับ ผมเผลอขยี้ตาแรงไปหน่อย มันเลยแดง” คณิตไม่อยากโกหกคนแก่หรอกนะ ทั้งที่รู้ว่าคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาแปดสิบกว่าปี ไม่เชื่อคำโกหกนี้แน่ แต่ทำไงได้ ขืนพูดความจริง ก็กลัวว่าวิธีจัดการหลานชายของคนเป็นย่าจะเป็นบทลงโทษแบบเดิม คือสั่งเพิ่มจำนวนปีที่ไม่ให้มาเจอเขาน่ะสิ

คนที่โดนลงโทษไม่ได้มีแค่อชิตะคนเดียวซะหน่อย เขาก็พลอยโดนไปด้วย

“เอ้า ฝุ่นเข้าตาก็เข้าตา ฉันจะเชื่อ แต่ที่พากันหายเข้าไปในรถนานสองนาน ไปทำอะไรกันหึ ไม่ใช่คิดถึงกันจนหักห้ามอารมณ์ไม่ได้หรอกนะ” คุณนภาถามยิ้มๆ พลางปรายตามองกลีบปากเล็กที่บวมเจ่อ เล่นเอาคนถูกมองหน้าร้อนเป็นถ่านติดไฟทันที

“ปะ...เปล่าครับ...แค่...แค่คุยกัน...คุยกันครับ” รีบตอบลิ้นแทบจะพันกัน เจอฤทธิ์คำถามของคุณเอมอรคนเดียวก็จะแย่แล้ว ต้องมาเจอของคุณนภาอีกหรือไงนะ ครอบครัวนี้ชอบถามคำถามที่ไม่ควรถามเลยจริงๆ

“คุยกันสนุกสนานจนปากเจ่อเลยรึ” คุณนภายังต้อนด้วยคำถามที่ทำเอาคณิตก้มหน้าจนปลายคางจะชิดอกอยู่รอมร่อ “อย่ายอมหลานชายฉันให้มากนัก ไม่ใช่อะไรก็ยอมไปเสียหมด เจ้าอิงจะกอด จะหอม จะจูบ หรือจะทำอะไรกับตัวเธอ เธอก็ต้องขัดบ้าง ถ้าเวลาและสถานที่มันไม่เหมาะสมน่ะ อย่างเช่นในรถ ถ้ามันจอดอยู่ข้างถนนก็อย่าไปยอม แต่ถ้าจอดในรั้วบ้านของเรา ไม่มีคนผ่านไปมา แบบนั้นฉันก็ไม่ว่า” คุณนภาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนบอกกล่าวแนะนำ ไม่ใช่ตำหนิติเตียน แต่คนฟังนี่สิหน้าไหม้หมดแล้ว

“ครับ” ตอบรับคำแนะนำของคุณนภาไปอย่างอายๆ ในเมื่อคนมากวัยกว่าพูดถึงขนาดนี้แล้ว ขืนปฏิเสธอีก เขาอาจโดนคุณนภาต้อนให้ได้อายกว่าเดิมก็เป็นไปได้

“อยากกลับไปอยู่กับเจ้าอิงไหม” ท่านเปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มๆ ของคนแก่ขี้แกล้งเป็นจริงจังขึ้น

“ไม่อยากครับ” ...เป็นคำตอบที่สวนทางกับเสียงร่ำร้องในหัวใจ

“ดีแล้ว” คุณนภาพยักหน้าพอใจ “ให้หลานฉันรับโทษความผิดที่ก่อไว้นานหน่อย ส่วนเธอก็อย่าใจอ่อนกับลูกอ้อนของเจ้าอิงไปซะก่อนล่ะ ทนได้ใช่ไหม” คุณนภาจบคำพูดด้วยคำถาม นางห่วงก็ตรงนี้แหละ คนนอนด้วยกันทุกคืน ไม่ต่างจากสามีภรรยา ห่างกันก็แทบจะขาดใจตาย

เมื่อวานคุณนภาก็ถามหลานชายตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน ว่าทนได้ไหมที่จะไม่ได้หลับนอนร่วมเตียงกับคนรัก ฝ่ายหลานชายบอกว่าทนได้ แต่ทนได้ไม่กี่ชั่วโมงน่ะสิ! ขับรถกลับบ้านไปแล้ว ยังขับกลับมาเฝ้าประตูรั้วอีกจนได้ หนำซ้ำยังลากกันไปทำอะไรต่อมิอะไรกันในรถอีกเล่า หวั่นใจซะจริงว่าจะทนได้ตามคำที่รับปากไว้หรือเปล่า

“ได้ครับ” คณิตตอบรับเสียงอ่อย ก่อนตัดสินใจถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก กลัวจะถูกมองว่าหลงหลานคุณนภาจนห่างกันไม่ได้

“แต่ว่า...ลดเวลาลงอีกนิดไม่ได้หรือครับ สองปี ผมว่า... เอ่อ มันนานไปนะครับ” เห็นคนตรงหน้ากระตุกยิ้มก่อนเอ่ยออกมาว่า

“หลานชายฉันไม่ได้บอกเธอหรือว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอคนเดียว ว่าอยากให้เวลามันยืดออกไป หรือหดสั้นเหลือแค่เย็นนี้”

“ยังไงครับ” 




จบตอนที่ 30 แล้ววว
นับรออีกสองตอนสุดท้าย ^_^
ก็ปิดฉากลงแล้ว
แต่ชีวิตของอิงหนึ่งยังไม่จบน้า
เขาจะอยู่กันไปจนแก่เฒ่า ตราบธุลีดินเลย (มา! เสียงน้อยหอยมา!)
ติดตามได้ในตอนพิเศษ (มีแค่ในนิยายเล่มเท่านั้นนะคะ ^_^)
แล้วก็จุดเริ่มต้นของชิตตะวันกับเบิกฟ้าด้วย จะอยู่ในรูปแบบของตอนพิเศษที่ยาวๆๆ
เป็นตอนของคนทั้งคู่เลย ชื่อเรื่อง (สั้น) แสงตะวันของผม (แต่แอบอยู่ในเล่มสองของอิงหนึ่งนะคะ)

 :bye2:

สีเหลืองอ่อน
ปล.แอบขอบคุณคอมเม้นเจ้าประจำนะคะ รักๆ ที่ยังติดตาม
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 30 UP 31-07-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-07-2017 21:46:21
ทำไมรู้สึกว่าหนึ่งถูกคนบ้านนี้แกล้งอยู่นะ ฮา
พี่อิงก็นะ รักก็ไม่บอกดี ๆ ดันบอกว่าเขาเป็นของเล่น
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 31 UP 01-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 01-08-2017 20:31:52
31

“ใจคอเธอจะงอนลูกชายฉันไปถึงเมื่อไร?”
คุณเอมอรทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างกายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของลูกชายคนเล็ก เอ่ยถามน้ำเสียงติดจะตำหนิกลายๆ ที่เด็กหนุ่มใจแข็งกับลูกชายเธอเหลือเกิน หากไม่สงสารลูกที่ตามง้องอนได้แค่นอกประตูรั้วบ้านคุณย่าของตัวเองแล้วละก็ เธอไม่ยอมเสียเวลามานั่งตรงนี้หรอก ยิ่งตอนเช้าเธอมีนัดกับคู่ค้าคนสำคัญด้วย แต่เพราะรักลูก เธอถึงต้องมา

“ไม่มีกำหนดครับ” คณิตตอบเสียงเรียบ หลบสายตานางพญาของคุณเอมอรที่จ้องจิกเหมือนเขาดักตีหัวลูกชายตัวเองไม่ปาน
ทำไมต้องมองเหมือนเขาทำผิดร้ายแรงด้วย เขาก็แค่โกรธและโกรธลูกชายคุณเอมอรมากที่สุดเท่านั้นเอง สาเหตุความโกรธมาจากเมื่อประมาณห้าสิบวันที่แล้ว วันที่อชิตะบอกว่าถูกคุณนภาลงโทษไม่ให้เจอหน้าเขาสองปีเต็ม แต่ความจริงที่อชิตะไม่ยอมบอกอีกอย่างคือระยะเวลาสองปีนั้น อชิตะสามารถมาหาเขาได้ทุกวัน ตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงสามทุ่มตรง

ตรงไหนที่บอกว่าไม่ได้เจอหน้าเขาสองปีเต็ม!

ทั้งที่เจอกันได้ทุกวัน เพียงแต่มีกำหนดเวลาพูดคุยเห็นหน้าวันละสามชั่วโมง ไอ้ที่เขาเสียใจไปทั้งหมดล่ะ เสียใจที่คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าอชิตะเป็นปีๆ อชิตะต้องรับผิดชอบความเสียใจของเขาในวันนั้น!

ใครจะว่าเขางี่เง่ากับเรื่องแค่นี้ก็เถอะ แต่เขาโกรธไง โกรธที่ถูกหลอก หลอกให้เขาเสียใจและใจหายที่จะไม่ได้เจอหน้าอชิตะ แถมยังหลุดแสดงท่าทางออกไปตั้งเยอะด้วย ดังนั้นเขาเลยไม่ยอมให้อชิตะมาหาและไม่ออกไปพบด้วย ก็อยากบอกดีนักว่าจะทนเพื่อของเล่นอย่างเขา

หึ! ได้ทนสมใจแล้วเป็นไงล่ะ

“หนึ่ง” เงียบไปครู่ใหญ่ คุณเอมอรถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในเรื่องความรักมาก่อนคู่สนทนาที่วัยยังไม่ถึงสามสิบ “ความรักกับทิฐิอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ ฉันกับคุณเทียนก็เคยเลิกกันเพราะทิฐิมาแล้ว ฉันเคยเข้าใจผิดว่าเขานอกใจ เพราะฉันเห็นรอยลิปสติกที่เปื้อนบนปกเสื้อของเขา ส่วนเขาก็โกรธที่ฉันไม่ไว้ใจเขา กว่าจะรู้ตัวว่าทำพลาด ปล่อยให้ทิฐิทำร้ายความรักของเรา เราสองคนก็หย่ากันไปแล้ว...ไม่เคยรู้ใช่ไหมว่าฉันกับพ่อของอิงเคยเลิกกันมาแล้วครั้งหนึ่ง”

คณิตพยักหน้าแทนคำตอบ

ใช่...เขาไม่เคยรู้ แต่เขาไม่เข้าใจมากกว่าว่าทำไมคุณเอมอรถึงมาเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองให้เขาฟัง และแปลกใจเข้าไปอีก เมื่อคุณเอมอรบอกอีกว่า

“อย่าว่าแต่เธอไม่รู้เลย แม้แต่ลูกสี่คนของฉันก็ไม่มีใครรู้ เพราะพวกเขาเกิดหลังจากที่ฉันกับสามีจดทะเบียนกันอีกครั้ง” คุณเอมอรยังเล่าเรื่อยๆ หวังว่ามันจะช่วยให้เด็กหนุ่มคิดได้ กลับไปคืนดีกับลูกชายเธอเสียที “หลังจากหย่า แทนที่ฉันจะมีความสุข เป็นอิสระจากคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อความรักของฉัน แต่ไม่เลย ฉันกลับคิดถึงเขา นอนร้องไห้ทุกคืน เธอก็รู้ใช่ไหมหนึ่ง คนที่นอนด้วยกันทุกวัน กอดกันทุกคืน พอต้องแยกจากกัน ความรู้สึกมันเป็นยังไง ทรมานแทบตายใช่ไหม?”

คณิตเผลอพยักหน้ารับ

ใช่...ทุกวันนี้เขาทรมานมาก ความทรมานจากความคิดถึงไม่เคยลดลงเลย แต่เพราะทิฐิอยากเอาชนะ ทำให้เขาต้องทน สิ่งที่ได้จากความอดทน ไม่มีอะไรเลยนอกจากความทรมาน แห้งเหี่ยวลงทุกวัน เหมือนดอกไม้ขาดน้ำ 

“แต่ฉันก็ยังโชคดีที่ยังไม่สูญเสียคุณเทียนไป เพราะหลังจากหย่าได้หนึ่งเดือน ฉันก็รู้ตัวว่าท้อง” คุณเอมอรยิ้ม เมื่อนึกถึงวันแรกที่รู้ว่ามีหนึ่งชีวิตอยู่ในร่างกายเธอ “ลูกในท้องช่วยลดทิฐิในใจฉัน ฉันกลับไปขอโทษเขา เราปรับความเข้าใจกันและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เรารักกันมากขึ้น วู่วามและใช้อารมณ์ใส่กันน้อยลง เพราะลูกทำให้เราสองคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก”

คุณเอมอรมองหน้าเด็กหนุ่มที่เธอเริ่มยอมรับในฐานะคนรักของลูกชาย ยอมเล่าเรื่องที่ไม่คิดจะเล่าให้ลูกทั้งสี่คนฟังก็เพราะอยากจะให้เรื่องของเธอช่วยลดทิฐิในใจของคณิตลง ไม่ใช่เพื่อใครหรอก เพื่อลูกชายที่กำลังเป็นทุกข์เพราะคนรักไม่ยอมคืนดีด้วย

 “เธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากฉันในวันนั้น ที่เอาแต่ปาทิฐิใส่คนรัก จนต้องแยกทางกัน แต่เธอจะไม่โชคดีเหมือนฉัน ที่มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องหัวใจให้กลับมาคืนดีกันนะหนึ่ง”

คนฟังถึงกับสะอึก หน่วงหนักในใจขึ้นมาทันที เหมือนมีใครเอาภูเขาทั้งลูกมาทับหัวใจเอาไว้

ใช่...เขาไม่สามารถให้กำเนิดโซ่ทองคล้องใจให้ใครได้ ก็เขาเป็นผู้ชาย ไม่มีมดลูก

“ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอรู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกผิด ที่พูดมาทั้งหมดแค่อยากให้เธอลดทิฐิในใจลงบ้าง เพราะต่อให้ลูกชายฉันรักหลงเธอมากขนาดไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดท้อและถอดใจขึ้นมา วันนั้นเธอจะเสียเขาไป” คุณเอมอรเอ่ยแนะนำอย่างคนที่มีประสบการณ์ “มือที่เธอมี มันควรถูกใช้เพื่อโอบกอดคนที่เธอรัก ไม่ใช่ใช้มันผลักไสเขาไปจากชีวิตของเธอ สุดท้ายจะเป็นตัวเธอที่เสียใจที่สุด”

คณิตก้มมองมือของตัวเอง มันสั่น เพราะทุกคำพูดของคุณเอมอรล้วนเป็นความจริงที่เขากลัว แม้จะถูกมองเป็นของเล่น แต่ถ้าเป็นไปได้...เขาก็ยังอยากเป็นของเล่นที่ถูกเล่นไปตลอดชีวิต 

 “ฉันอาจจะเคยเกลียดเธอ แต่นั่นเพราะฉันไม่คิดว่าลูกชายฉันจะรักผู้ชาย ฉันคิดว่าเขาแค่หลงเธอ ฉันเลยต้องพยายามดึงเขากลับมาเป็นลูกชายคนเดิมให้ได้ แต่ตอนนี้ ฉันมั่นใจแล้วว่า ลูกชายฉันรักเธอจริงๆ” คุณเอมอรเอื้อมไปจับมือคนที่ลูกชายเธอรัก บีบกระชับเป็นเชิงขอร้อง เธอกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายมีความสุข “ฉันขอเธอนะ ให้อภัยลูกชายฉันได้ไหม เธอก็รักลูกชายฉันไม่ใช่เหรอ เธอทนเห็นเขาเจ็บปวดได้เหรอ ทนที่จะเห็นเขาถอดใจแล้วเดินไปจากชีวิตเธออย่างนั้นหรือ...วางทิฐิลงเถอะนะ ก่อนมันจะทำให้เธอสูญเสียความรักของลูกชายฉันไป”

ทิฐิในใจของคณิตค่อยๆ ทลายลงอย่างช้าๆ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ค้านแย้งในใจ

“แต่เขาไม่ได้รักผม เขาเห็นผมเป็นของเล่น” 

“อะไรนะ?” คุณเอมอรถามเสียงหลง “ลูกชายฉันเห็นเธอเป็นของเล่นงั้นเหรอ”

อาการเหมือนคนจะร้องไห้กับตาแดงก่ำทำเอาคุณเอมอรปวดหัว เด็กสองคนเล่นอะไรกัน ฝ่ายนี้บอกว่าถูกลูกชายเธอมองเป็นของเล่น ฝ่ายลูกชายเธอก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะฝ่ายนี้ใจแข็งเกินไป ไม่ยอมคืนดีด้วยซะที ขนาดมานอนเฝ้าหน้าบ้านเป็นเดือนๆ ก็ไม่ยอมใจอ่อน แถมไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว โทรหาก็ไม่รับสาย เดือดร้อนเธอต้องยื่นมือเข้ามาช่วย แต่พอมาเจอคำพูดและสีหน้าเจ็บปวดของฝ่ายนี้แล้ว เธอควรเชื่อฝ่ายไหนดีล่ะ

ก็คงต้องเรียกลูกชายตัวดีมาอธิบายให้ฟัง

คุณเอมอรลุกขึ้นยืน มองตรงไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ ห่างออกไปไกลพอสมควร ไกลแบบที่ว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของเธอกับคณิตได้

“อิง มานี่” เธอตะโกนเรียกลูกชาย

ครั้นได้ยินคนเป็นแม่เรียกลูกชายตัวเองออกมา คณิตก็รีบลุกจะเดินหนี แต่คุณเอมอรดึงมือไว้ซะก่อน

“ฉันไม่อนุญาตให้เธอทำให้ลูกชายฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับต่อไปแล้วนะ นั่งลง” คุณเอมอรสั่งเสียงเฉียบขาด บังคับเด็กหนุ่มให้นั่งลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกชายเธอเดินมาถึง “ว่าไงอิง น้องบอกว่าแกเห็นเขาเป็นของเล่น” คนเป็นแม่เปิดฉากถามลูกชายที่ยืนยิ้มแก้มจะฉีกอยู่แล้ว

“ผมขอคุยกับน้องสองคนนะครับ” อชิตะบอกมารดา พลางส่งสายตาร้องขอ เนื่องจากมารดาทำท่าเหมือนจะไม่ยอม เขาจึงเอ่ยเสริมขึ้นอีก “คุณแม่มีประชุมกับคู่ค้ารายใหม่ไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว”

คุณเอมอรไม่ยอมหลงกลลูกชายที่ใช้เรื่องงานมาไล่เธอ เพื่อจะไม่ต้องตอบคำถาม

“แกตอบแม่มาก่อน ว่ารักน้องจริงๆ หรือว่าเห็นน้องเป็นของเล่น อย่าโกหกแม่” คุณเอมอรชี้หน้าคาดโทษลูกชายตัวดี นี่ถ้าตอบว่าเห็นเป็นของเล่นนะ เธอจะรูดก้านมะยมแล้วตีก้นลูกชายเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยคอยดู

ตอนเธอกีดกันก็ต่อกรกับเธอ จนเธอต้องยอมถอย แต่พอเธอทำใจให้ยอมรับกับความรักรูปแบบนี้ได้ ก็กลับทำเหมือนเด็กเล่นขายของ เบื่อแล้วก็เลิก ทำแบบนี้เธอไม่ปลื้มหรอกนะ ทำลูกเขาจนสิ้นสภาพอย่างที่เธอเห็นในห้องดำถึงขนาดนั้น ต่อให้ไม่รักแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบสิ

พอได้ฟังคำตอบของลูกชาย คุณเอมอรก็พอใจ

“รักครับ” ลูกชายคุณเอมอรตอบเสียงหนักแน่น

“งั้นก็เคลียร์ที่เหลือเอาเองนะ แม่ไปละ” ว่าแล้วเธอก็เดินออกไป เพราะหมดหน้าที่ของเธอในวันนี้แล้ว ที่เหลือก็ให้ลูกชายตัวดีจัดการเอาเอง

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ให้โผล่หน้ามาให้ผมเห็น จนกว่าผมจะอนุญาต” คนตัวเล็กพูดเสียงไร้เยื่อใย ลืมคำพูดของคุณเอมอรที่บอกให้วางทิฐิลงไปเสียสนิท เพราะขัดใจที่อชิตะฝ่าฝืนบทลงโทษ

หลังจากรู้ความจริงเกี่ยวกับบทลงโทษที่แท้จริงของคุณนภา ที่ไม่ให้หลานชายคนโปรดเข้ามาภายในรั้วบ้านเรือนไทยก่อนหกโมงเย็นและต้องกลับออกไปก่อนสามทุ่มเป็นเวลาสองปี ไม่ใช่ห้ามเจอหน้าเขาตลอดสองปี เขาซึ่งได้รับอำนาจจากคุณนภาให้เขียนบทลงโทษบทใหม่ได้เอง เพราะเป็นผู้เสียหาย จึงลงโทษอชิตะให้สมกับคำโกหกของอีกฝ่ายซะเลย

คุณนภาบอกว่าเขาเป็นผู้เสียหาย ถูกหลานชายท่านกระทำ บทลงโทษทุกอย่างที่ท่านกำหนดขึ้นมาเป็นการลงโทษเบื้องต้น ให้หลานชายได้สำนึกว่าตัวเองทำไม่ถูกต้อง แต่เขาซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนบทลงโทษได้ตามความต้องการ อยากจะเพิ่มหรืออยากจะลดก็แล้วแต่ ให้อำนาจเขาเต็มที่ในการกำหนดบทลงโทษของจริง เขาก็เลยใช้อำนาจอย่างเต็มที่เริ่มตั้งแต่เย็นวันนั้นเลย ด้วยการสั่งไม่ให้อชิตะผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้านเรือนไทยเป็นเวลาห้าปี โทษฐานที่หลอกเขาให้ใจหาย แถมเผลอปล่อยความในใจออกไปให้ขายขี้หน้าอีกด้วย

ระยะเวลาห้าปีนานโคตรๆ นานเหี้ยๆ เขารู้ดี และไม่ใช่อชิตะฝ่ายเดียวที่ต้องรับบทลงโทษนี้ เขาเองก็ได้รับผลจากบทลงโทษด้วยเช่นกัน แต่ละคืนที่ผ่านมานั้นผ่านไปอย่างยากลำบาก คิดถึงไออุ่นจากร่างกายที่กอดเขาไว้ตลอดค่ำคืน แต่เขาโกรธไง โกรธที่อชิตะไม่บอกความจริงทั้งหมด แถมยังแกล้งทำตัวให้น่าสงสาร ทำราวกับว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเขาจริงๆ ทั้งที่หกโมงเย็นก็ได้เจอกันแล้ว

บทลงโทษดูเหมือนโหด แต่ก็อย่าลืมว่า เขาเพิ่มบทลงโทษได้ แล้วก็ลดหรือยกเลิกบทลงโทษได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความพอใจของเขา เห็นไหมล่ะ เขาก็ไม่ได้ทรมานตัวเองไปตลอดห้าปีเสียหน่อย อย่างน้อยก็ขอเอาคืนให้สะใจเสียก่อน หลังจากที่โดนกระทำมานาน

“คิดถึง” เสียงทุ้มที่ทอดเสียงหวานผ่านริมฝีปากหนาดึงคณิตออกมาจากความภวังค์ความคิด และมันมีอิทธิพลต่อใจคณิตเสมอ
อดทนไว้หนึ่ง!

‘คิดถึง’ ก็แค่คำหลอกล่อ

อย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด!

“ถ้าไม่อยากให้ผมเพิ่มโทษอีกปีละก็ กลับไปซะ” เขาตีหน้าเรียบกลั้นใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“โธ่...หนึ่ง” คนถูกไล่ลากเสียงอ่อน “คุณไม่คิดถึงผมหรือไง”

คิดถึงสิ! คิดถึงทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่เขาต้องทำใจแข็งเข้าไว้ คำพูดของคุณเอมอรถูกก็จริง เขาควรวางทิฐิลง แต่พอเห็นปากที่ยิ้มกว้างระริกระรี้เหมือนไม่สำนึกความผิดของตัวเองแล้ว เขาก็เลยอยากให้อชิตะได้รับบทลงโทษให้สาสมเสียก่อน ถึงแม้เขาจะโดนด้วยก็ตาม

“หยุดอยู่ตรงนั้น ห้ามเข้าใกล้ผม!” คณิตชี้นิ้วสั่ง เมื่ออชิตะกำลังจะรุกเข้ามาหาตัวเขา ตั้งท่าจะกอดเขาให้จมไปในอกของเจ้าตัว ไม่ได้เด็ดขาด คืนยอม มีหวังถูกหลอกล่อเหมือนตอนในรถแน่ ก็เขามันแพ้ทางให้กับอ้อมกอดของอชิตะไปแล้วนี่น่า

คณิตเดินอ้อมมายืนหลังม้าไม้ ให้มันเป็นตัวช่วยกั้นไม่ให้อชิตะเข้าถึงตัวเขาได้ง่ายๆ

“กลับไปได้แล้ว” คณิตสั่งอีกครั้ง

“กลับไม่ได้ เพราะผมต้องเป็นคนขับรถพาคุณไปงานหมอนุที่จันท์” อชิตะบอก

พรุ่งนี้เป็นงานฉลองแต่งงานเล็กๆ ของหมอพิษณุกับน้ำฟ้า จัดขึ้นที่ทะเลสถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นความรักของคนทั้งคู่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้จัดพิธีแต่งงานแบบไทยไปแล้วที่บ้านหมอพิษณุ งานแต่งวันนั้นคณิตก็ไปร่วมยินดีด้วย แต่ไม่ได้ไปพร้อมกับอชิตะ เขาไปพร้อมภาคีกับสีฟ้า ในงานอชิตะไม่ได้เข้าใกล้เขาเลย เพราะภาคีหนีบเขาไว้กับตัวตลอด ภาคีประกาศชัดเจนผ่านสีหน้าว่า หากอชิตะเข้ามาใกล้เขาละก็ มีเรื่องแน่ อชิตะจึงใช้แค่สายตามองเขาอยู่ห่างๆ

วันนี้เขาก็จะไปกับภาคีเหมือนเดิม เพื่อนของเขาจะมารับตอนสิบโมง

“ผมจะไปกับติน เดี๋ยวมันก็มารับแล้ว บอสกลับไปเถอะ แล้วก็ห้ามมาหาผมที่นี่อีกจนกว่าจะครบห้าปี” เขาสั่งกำชับถึงบทลงโทษ รู้สึกมีอำนาจเหนืออชิตะเป็นครั้งแรก

“ก็ได้”

ได้ยินคำพูดที่ยอมง่ายๆ ของอชิตะแล้ว คณิตก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมถึงยอมง่ายนักนะ ความคิดถึงของอชิตะมีอยู่แค่นี้เองเหรอ พานนึกถึงคำพูดของคุณเอมอรขึ้นมาอีกจนได้

‘…ต่อให้ลูกชายฉันรักหลงเธอมากขนาดไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดท้อและถอดใจขึ้นมา วันนั้นเธอจะเสียเขาไป’
หรือว่าอชิตะกำลังท้อและพร้อมจะถอดใจจากของเล่นอย่างเขาแล้ว ของเล่นที่บังอาจเล่นตัวเกินคุณค่าของมันไปมาก
ไม่นะ! เขาไม่อยากเสียอชิตะไปตลอดชีวิต และเขาคงไม่โชคดีแบบคุณเอมอร เพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะให้กำเนิดโซ่ทองคล้องใจอชิตะได้ หรือเขาควรเลิกผลักไสอชิตะเสียที แล้วใช้สองมือโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ให้นานที่สุด ตราบเท่าที่อชิตะยังต้องการของเขา...เขาไม่อยากกลับไปเจ็บปวดเหมือนวันนั้นที่ถูกทิ้ง กลับไปร้องไห้เหมือนคนบ้า

คณิตกำลังจะใจอ่อน ปากกำลังจะขยับเอ่ยความรู้สึกแท้จริงในใจออกมาอยู่แล้วเชียว หากคนที่ทำท่าจะเดินกลับไปทางเดิมจะไม่พุ่งเข้ามาจู่โจมตัวเขาอย่างรวดเร็วเสียก่อน

“เอ้ย!!” คณิตอุทานลั่น ก่อนโวยวายเสียงดังสนั่น “บอส! ปล่อยผมนะโว้ย...ปล่อยยยยย” คนตัวเล็กถูกช้อนตัวขึ้นสู่วงแขนแข็งแรง น้ำหนักตัวของคณิตไม่ได้สร้างความลำบากให้คนอุ้มแม้แต่น้อย อชิตะอุ้มคณิตได้สบายมาก เคยอุ้มมาหลายหนจนนับไม่ถ้วนในค่ำคืนที่ได้ก่ายกอดเป็นหนึ่งเดียวกัน

ขายาวก้าวไปข้างหน้า จุดหมายคือรถคันใหญ่ที่จอดหน้าเรือนไทยหลังงาม

“ชวนดีๆ แล้วไม่ยอม ผมก็ต้องวิธีนี้แหละหนึ่ง” อชิตะก้มใบหน้าลงบอกด้วยรอยยิ้มที่คณิตคุ้นเคย ยามเจ้าตัวจะเอาแต่ใจตัวเอง ยิ้มที่ประกาศว่าตนเป็นผู้ชนะ

“ผมจะฟ้องคุณย่าบอส” คณิตอ้างถึงหญิงชราเจ้าของบ้าน

“คุณย่าอนุญาตให้ปราบเด็กดื้อได้สองวัน” พูดอย่างเป็นต่อ เท้าก็ยังก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ยอมหยุดให้เสียเวลา แม้คนที่ถูกอุ้มพยายามจะดิ้นลงจากวงแขนก็ตาม เขาแข็งแรงกว่าเยอะ เลยรับมือได้สบายแบบที่คณิตไม่สามารถดิ้นหนีลงพื้นได้ อชิตะบอกตัวว่าเขาต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เขาต้องทำให้คณิตกลับมาเป็นเด็กดีของเขาอีกครั้งให้ได้ เพราะกว่าเขาจะอ้อนขอผู้เป็นย่าให้เห็นใจก็ใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ คุณย่ารักเขามากก็จริง แต่บทจะเข้มงวดกับหลานชายที่ท่านรัก ท่านก็เด็ดขาดแบบที่เขาไร้ข้อโต้แย้ง

สองวันที่ได้รับโอกาสมานั้น เขาต้องทำให้สำเร็จ เคลียร์ใจกับคณิตให้ได้ทุกอย่าง เพราะเขาอยากกลับไปนอนบนเตียงแล้วกอดคณิตไว้ทั้งคืนจนจะบ้าตายอยู่แล้ว คณิตใจแข็งกับเขามาก แถมเขียนบทลงโทษสุดโหดมาลงโทษเขาด้วย ห้าปีที่ไม่ใช่แค่ไม่ได้กอด แต่รวมถึงไม่ได้เห็นหน้าด้วย ให้ตายเถอะ เขารอให้ครบห้าปีไม่ได้แน่ แค่วันเดียวเขาก็แทบกระอัก ผ่านไปได้ห้าสิบวันก็แทบตายเลยทีเดียว

“คุณนภาไม่ใช่เจ้าของชีวิตผมนะ มีสิทธิ์อะไรมายกผมให้บอส” คณิตยังโวยวายต่อเนื่อง มองไปรอบๆ แล้วเห็นคนรับใช้ของบ้านเรือนไทยหลายคนชะโงกหน้าออกมาดูด้วยอาการอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด

เรื่องทำเขาขายหน้าเป็นงานถนัดของอชิตะเลยหรือไงนะ

“ชู่...” อชิตะทำเสียงตักเตือน “คุณย่ารักคุณมากนะ เกิดท่านมาได้ยินเข้า ท่านจะเสียใจมาก ไม่พูดแบบนี้อีกแล้วนะครับ” บอกกล่าวเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก

คณิตรีบหุบปากทันที หน่วยตาเล็กกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกออกมา เมื่อไม่เห็นคุณนภาอยู่บริเวณนี้

ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคุณนภารักและเอ็นดูเขา ท่านใจดีกับเขามาก ตามใจเขาแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่ยอมให้หลานชายเข้ามาในบริเวณบ้านของท่าน

คณิตถูกอุ้มไปจนใกล้ถึงรถหรูของอชิตะที่จอดอยู่หน้าเรือนไทย จึงเห็นว่าคุณนภาเดินลงมาจากเรือนหลังงาม ท่านเดินมาหยุดอยู่ข้างตัวรถ ทอดสายตามองเขาด้วยรอยยิ้มกระเซ้าเย้าแหย่สถานการณ์โดนอุ้มอย่างกับเป็นผู้หญิงตัวเล็กอ้อนแอ้นของเขา
ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่บ้านเรือนไทย คุณนภาไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลานชายท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูท่านจะยอมรับและสนับสนุนเสียมากกว่า

“ปล่อยผมลงบอส ผมอาย” คณิตบอกไปตามตรง อีกฝ่ายเลยยิ้มอย่างเป็นต่อ

“สัญญามาก่อนว่าจะไม่หนีไปไหน จะไปงานหมอนุพร้อมกับผม ไม่อย่างนั้นผมจะทำมากกว่าอุ้ม จะจูบคุณต่อหน้าทุกคน แล้วจะพาขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้แหละ เพราะวันนี้เป็นวันของผม คุณย่าอนุญาตให้ทำได้ทุกอย่างที่ผมอยากทำ แม้แต่เข้าไปอยู่ในตัวคุณ”
อชิตะขู่เกินจริงไปมากโข แต่ถ้าไม่ใช้ไม้นี้ มีหรือคนดื้อและใจแข็งอย่างคณิตจะยอม

“ก็ได้!...เอ๊ะบอส...จูบทำไม” ตอบเสียงแข็ง ก่อนจะอุทานเสียงเบาเพราะแทนที่จะถูกปล่อยตัว ริมฝีปากหนากลับฉกลงมาจูบกลางหน้าผากเขาแทน

“คิดถึงไง” อชิตะทำตาหวานบอก “อยากจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ” แล้วอชิตะก็วางคนร่างเล็กลง แต่ไม่วายที่จะคว้ามือนุ่มๆ มากุมไว้

“จับทำไม” มีเรื่องให้คณิตได้โวยวายอีกจนได้

“หรือจะให้จูบ” อชิตะถามด้วยรอยยิ้ม

“บอส!” คณิตอยากจะจิ้มตาพราวระยับเสียยิ่งกว่าอะไร ผิดแค่ว่าตอนนี้เดินมาถึงรถแล้ว เขาไม่อยากให้คุณนภาเห็นว่าเขาทำตัวไม่น่ารักใส่หลานชายของท่าน

“ย่าให้สองวันนะเจ้าอิง” คุณนภาบอกหลานชายที่ยิ้มหน้าบานต่างจากเมื่อเย็นวานที่พาท่านไปกินข้าวนอกบ้านลิบลับ

“ครับคุณย่า”

“เธอก็ด้วย ยอมใจอ่อนให้หลานชายฉันได้แล้ว” ท่านหันไปพูดกับอีกคน คุณนภาให้คณิตตัดสินโทษของหลานชายตัวเองก็จริง แต่ไม่คิดว่าคณิตจะใจแข็งกับหลานชายท่านถึงเพียงนี้ อชิตะขับรถมานอนเฝ้าหน้าประตูรั้วเป็นเดือนๆ ก็ไม่ยักจะใจอ่อนเสียที “ลงโทษหลานชายฉันนานเกินไป ฉันก็ไม่ปลื้มเท่าไรนะ”

โดนตำหนิกลายๆ คณิตก็ทำหน้าไม่ถูก เลยได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนให้คุณนภาแทน ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำจากลำคอของคนที่กุมมือเขาอยู่มายั่วหัวใจยิกๆ
     
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รถคันใหญ่วิ่งเข้าสู่ตัวจังหวัดติดทะเล ภายในห้องโดยสารปราศจากบทสนทนาของคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน มีเพียงบทสนทนาแรกตอนที่รถวิ่งออกจากรั้วของบ้านเรือนไทยหลังงามเท่านั้น

‘ผมขอนั่งเงียบๆ นะครับบอส’

จากนั้นคณิตนั่งเงียบมาตลอดทาง ส่วนอชิตะก็ไม่อยากจะขัดคำขอแกมสั่งของคนตัวเล็ก รอให้ถึงคืนนี้ก่อน เขาจะเอาคืนให้สมกับที่คิดถึงมาก...มากที่สุด

“บอสจอดก่อนๆ” คณิตร้องบอก เมื่อเห็นชายวัยน่าจะสามสิบปลายๆ ยืนโบกรถอยู่ข้างทาง รถกระบะของชายคนนั้นน่าจะเสีย

“อาจจะเป็นโจรก็ได้นะหนึ่ง” อชิตะมองในแง่ร้ายไว้ก่อน แต่ก็ยอมลดความเร็วของรถลง ก่อนจอดสนิทเลยรถกระบะคันที่จอดอยู่
ข้างทางเกือบร้อยเมตร

“ไม่น่าจะใช่นะบอส เห็นผู้หญิงท้องโตคนนั้นไหม ผมว่าเธอน่าจะเจ็บท้องคลอดนะ” ตอนรถวิ่งผ่านชายเจ้าของรถกระบะ คณิตมองไปเห็นผู้หญิงท้องแก่นั่งอยู่ในรถ

“แน่ใจหรือหนึ่ง” อชิตะย้อนถาม เพราะเขามองไม่เห็นผู้หญิงท้องโตคนที่คณิตเอ่ยถึง

คณิตยังไม่ได้ทันได้ตอบคำถามอชิตะ ว่าเขาแน่ใจเพราะเห็นจริงๆ ชายเจ้าของรถกระบะวิ่งมาเคาะกระจกฝั่งผู้โดยสารเสียก่อน

คณิตก็รีบลดกระจกลง

“ช่วยผมหน่อยครับ...แฮ่ก...เมียผมเจ็บท้องจะคลอด” ชายคนนั้นพูดปนเสียงหอบ เพราะวิ่งมาไกลเกือบร้อยเมตร

“ครับได้ครับ ขึ้นมาเลยครับ บอสถอยรถเร็ว”

+
+
+ อ่านต่อด้านล่าง


หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 31 UP 01-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 01-08-2017 20:41:16
ภาพที่อชิตะนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยหลังคลอด เพื่อรอพยาบาลนำตัวเด็กแรกเกิดมาส่งให้คู่สามีภรรยาในห้องพักเพราะเจ้าตัวอยากเห็นหน้าเด็กที่คลอดในรถของตนอีกครั้ง เนื่องจากทันทีที่รถมาจอดหน้าโรงพยาบาล เด็กน้อยก็โผล่หัวออกมาทันที จนพ่อของเด็กตั้งชื่อเล่นของลูกชายว่าน้องบีเอ็มตามยี่ห้อรถคันหรูของอชิตะ...ภาพนั้นยังติดอยู่ในความรู้สึกของคณิตมาจนถึงนาทีนี้

ทั้งยังภาพที่อชิตะยิ้มมีความสุขและหยอกล้อกับเด็กชายตัวน้อยหลังจากที่สองสามีภรรยาอนุญาตให้อุ้มลูกของพวกเขาได้ สีหน้าและแววตาของอชิตะมีความสุขมาก นั่นเพราะอชิตะรักเด็ก ครั้งหนึ่งเคยวางแผนไว้ว่าจะมีลูกสี่คน ลูกที่เป็นดังโซ่ทองคล้องใจ ชีวิตเล็กๆ ที่มาเติมเต็มชีวิตคนเป็นพ่อแม่ให้สมบูรณ์ ทำให้ครอบครัวเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง แต่เขาให้โซ่ทองเส้นนั้นกับอชิตะไม่ได้ ไม่มีวันให้ได้

ท่อนแขนแข็งแรงสอดเข้ามาโอบรอบเอวจากด้านหลัง หลังจากประตูห้องพักของโรงแรมในตัวเมืองปิดลง ดึงคณิตออกมาจากห้วงความคิดที่คล้ายจะกัดกินความรู้สึกของตนไปทีละเล็กละน้อย เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนคิดมาก เรียกว่าคิดน้อยเกินไปด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาดูจะคิดมากไปเสียหมดทุกอย่าง...คิดจนอยากร้องไห้

“คิดถึง” เสียงทุ้มของอชิตะยังคงกระซิบถ้อยคำเดิม ถ้อยคำที่มาจากความรู้สึกโหยหาเจ้าของร่างกายนี้ “ไม่ทรมานผมอีกแล้วนะ คืนดีกันนะหนึ่ง” อชิตะทอดเสียงหวานขอ ปากอุ่นแตะลงข้างขมับของคนที่เขาแสนจะคิดถึง   

“บอสบอกว่าจะขึ้นมาอาบน้ำ ก็ไปสิครับ จะได้พาผมไปส่งที่รีสอร์ต” ที่พักของคณิตคือรีสอร์ตติดทะเลของชิตตะวัน สถานที่จัดงานฉลองแต่งงานของหมอพิษณุกับน้ำฟ้าในเย็นวันพรุ่งนี้ ส่วนห้องนี้คือห้องในโรงแรมริมแม่น้ำ ห้องพักของอชิตะในค่ำคืนนี้
คณิตไม่รู้ว่าทำไมอชิตะถึงเลือกจองห้องพักในตัวเมืองแทนที่จะเป็นรีสอร์ตที่ใช้จัดงาน หรือรีสอร์ตในละแวกนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องรู้ ปล่อยผ่านไปเถอะ แค่ที่มีอยู่ในหัวก็มากเกินพอแล้ว

“จะไม่ยอมใจอ่อนจริงหรือหนึ่ง ผมเป็นเด็กดีมาตลอดทางแล้วนะ” การเป็นเด็กดีที่อชิตะหมายถึง คือการไม่เซ้าซี้ชวนคุย ไม่ก่อกวนใจของคณิต ปล่อยให้เจ้าตัวได้ใช้ความคิด ที่เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นแต่ซีกหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดทาง ที่สำคัญเลยคืออดทนที่จะไม่ดึงคนตัวเล็กว่าเข้ามากอดให้หายคิดถึง ดูดกลืนความหอมหวานหลังกลีบปากสวย ข่มใจที่จะไม่ใช้ห้องโดยสารในรถของตนเป็นสถานที่ฝากฝังตัวตนร้อนระอุเข้าไปอยู่ในช่องทางรักของคณิต เพราะเป็นเด็กดีมาตลอดทาง ความรู้สึกยามนี้มันถึงได้แทบล้น เตียงนอนที่เห็นอยู่ในสายตาก็ล่อใจให้ฉุดร่างกายหอมหวานขึ้นไปพัวพันทำรักกันให้สมกับความคิดถึงล้นในอก

...อยากเข้าไปสัมผัสช่องทางคับแคบแต่อ่อนนุ่มที่เขาแสนคิดถึงแทบบ้าตายอยู่แล้ว

ให้ตายเถอะ สมองเขามีแต่เรื่องอย่างว่า นึกถึงแต่ช่องทางคับแคบที่ทำให้เขาสุขสม เพราะคณิตคนเดียวทำให้เขาเป็นมากถึงเพียงนี้

“ไปอาบน้ำ ออกมาแล้วค่อยคุยกัน” คณิตแกะมือใหญ่ออกจากเอวของตนสำเร็จ หลังบอกแกมสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ข่มอารมณ์สั่นไหวภายในไม่ให้หลุดออกมาให้คนฟังจับความรู้สึกได้ เพราะสมองมันมีเรื่องให้ต้องคิด หัวใจมันเลยเจ็บปวดไปกับความคิดของตัวเองเหลือเกิน

อชิตะหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วเมื่อคณิตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเปลือกไข่ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้นอนมากกว่านั่ง ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกผ่านประตูระเบียงกรุกระจกใส เขาเหนื่อยเกินไปที่จะชื่นชมสีเขียวของต้นไม้ใบไม้และแม่น้ำสายยาว เพียงแค่ฝากสายตาเอาไว้เท่านั้น

สมองยังคิดจนล้า คิดวนอยู่แค่เรื่องเดียว คือเรื่องที่อชิตะรักเด็ก อยากมีลูก มันเป็นความจริงมานานแล้ว หากอชิตะเลือกใช้ชีวิตกับเขาที่เป็นผู้ชาย รอยยิ้มแบบเมื่อชั่วโมงก่อนตอนที่เจ้าตัวได้อุ้มลูกน้อยของสองสามีภรรยาคู่นั้นคงไม่มีเป็นแน่ อชิตะจะต้องใช้ชีวิตอย่างคนที่ขาดแก้วตาดวงใจ แก่ตายไปโดยไม่มีลูกมีหลาน เขาจะกลายเป็นคนที่ทำลายชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมด้วยพ่อแม่ลูกของอชิตะ

เฮ้อ...ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เครียดจนปวดตาไปหมด ทำไมเขาจะต้องมานั่งคิดมากด้วย ในเมื่อเขาเป็นแค่ของเล่น พอเบื่อก็คงทิ้งเหมือนเศษขยะ แล้วหาชิ้นใหม่มาเล่นแทน หรือบางทีอชิตะอาจเจอผู้หญิงที่ถูกใจ ถึงขั้นแต่งงานสร้างครอบครัวเลยก็ได้ แล้วก็มีลูกสี่คนอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ลูกจะเป็นทั้งแก้วตาดวงใจและโซ่ทองคล้องใจของอชิตะและภรรยาคนสวย ลูกที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์...

ส่วนเขา...ก็กลายเป็นคนที่ถูกลืม หายไปจากความทรงจำของอชิตะไปตลอดกาล

เขาควรกลับมาคิดเรื่องชีวิตตัวเองหลังจากนี้ได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่องผิดเพี้ยนขึ้น เขาใช้ชีวิตเหมือนอยู่ไปวันๆ อยู่กับอะไรไม่รู้ที่จับต้องไม่ได้ อาศัยบ้านของคุณนภาอยู่ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด ลูกก็ไม่ใช่ หลานก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่ใช่เหมือนกัน ต่อให้คุณนภาเต็มใจให้เขาอยู่ก็เถอะ แต่เขาจะอยู่ไปจนถึงเมื่อไร อยู่ไปเพื่ออะไร มิหนำซ้ำงานการก็ไม่ได้ทำ ถึงเวลาที่เขาควรกล้าและก้าวขาออกมาจากกรงขังที่มองไม่เห็นซะที กรงที่ทั้งอชิตะ คุณเอมอร และคุณนภาขังเขาไว้ เลี้ยงดูเขาด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ให้เขาสำคัญตัวเองผิดไปเองทุกอย่าง

เพราะสุดท้าย...เขาก็มีค่าแค่เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่อชิตะกำลังสนุกที่ได้เล่น

ของเล่น...ที่รอเวลาหมดความสนุก

มันคงถึงเวลาแล้วที่เขาควรกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอีกครั้ง...ชีวิตที่ต่อไปมันคงแหว่งหายไปกว่าครึ่ง แต่ต่อให้เหลือไม่ถึงครึ่ง เขาก็เชื่อว่า ไม่ตายหรอก!

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ตื่นได้แล้วครับ”

สัมผัสหนักๆ หน้าผากและสุ้มเสียงทุ้มหวานปลุกคนบนโซฟาให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล เมื่อลืมตาคณิตก็พบว่ายอดไม้สีเขียวได้เปลี่ยนไปเป็นเงามืดสลัวเสียแล้ว บนท้องฟ้าสีเข้มเริ่มมีดวงดาวประดับเพิ่มความงดงามของยามค่ำ

คณิตควรจะโวยวายที่อชิตะเลือกปลุกเอาเวลาที่แสงตะวันหมดฟ้าไปแล้ว แทนที่จะปลุกตั้งแต่เจ้าตัวอาบน้ำเสร็จแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว แต่โวยวายแล้วได้อะไร เขาเองที่เผลอหลับ เปิดโอกาสให้อชิตะใช้มันรั้งตัวเขาไว้ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า

“โกรธ?”

คณิตส่ายหน้า ไม่อยากพูดอะไร ลุกจากโซฟาแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าที่ใส่กระเป๋ามาจากกรุงเทพฯถูกจัดแขวนไว้เรียบร้อย ที่หายไปก็มีแค่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงผ้าสีเรียบร้อยที่จะใส่ไปงานแต่งวันพรุ่งนี้ คิดว่าอชิตะคงจัดการส่งไปรีดแล้ว

คนตัวเล็กหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นออกมาจากตู้ ยังไม่ทันปิดตู้เสื้อผ้าก็ถูกสวมกอดจากด้านหลังเสียก่อน

“ขอโทษ แค่อยากให้อยู่ด้วยกัน” อชิตะกอดง้องอน เขาตั้งใจไม่ปลุกคณิต เพราะอยากรั้งไว้ให้อยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน ไม่อยากนอนบนเตียงคนเดียวอีกแล้ว

“ขอผมอาบน้ำก่อน ออกมาแล้วจะคุยด้วย” คณิตบอก สุ้มเสียงบอกว่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นในเวลานี้ อชิตะเลยไม่เซ้าซี้ ปล่อยร่างเล็กให้เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

แต่เอาเข้าจริง คณิตที่หายเข้าไปในห้องน้ำเกือบชั่วโมง เดินลงไปกินมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารของโรงแรมราวครึ่งชั่วโมง จนกลับขึ้นมาบนห้องพักก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร สีหน้าและแววตาของคณิตที่เต็มไปด้วยความสับสนและพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทำให้อชิตะไม่รบเร้าอะไรมากไปกว่ากอดนิดกอดหน่อยให้หายคิดถึง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้หายคิดถึงได้เลย

“ผมเหนื่อย” คณิตพูดออกมาในที่สุดหลังจากนั่งเงียบมานาน เขาเหนื่อย ไม่ใช่ความเหนื่อยของร่างกาย หากเป็นความเหนื่อยจากความคิดเยอะแยะของตัวเอง เหนื่อยหัวใจที่ไหลไปกับความคิดย่ำแย่ในหัว

อชิตะพอจะรู้ความหมายของคำว่าเหนื่อยที่คณิตเอ่ยออกมา เขากับคณิตนั่งคนละมุมห้อง เมื่อคณิตเปิดปากพูด เขาจึงลุกเดินจากมุมของตัวเองเข้าไปหา ถูกฝ่ายนั้นมองด้วยสายตาที่ทำให้ก้าวขาต่อไม่ได้ ทั้งที่ไม่กี่ก้าวก็จะรุกถึงตัวได้แล้ว

“ผมพูดจริงนะบอส ผมเหนื่อย” คณิตหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก “ผมอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเดิมของผม ผมเหนื่อยที่ต้องมีชีวิตแบบนี้เต็มทน ผมไม่ชอบความสัมพันธ์ที่มันไม่ปกติ ผมไม่อยากมีอะไรกับบอสอีกแล้ว”

“คุณก็มีความสุขทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” น้ำเสียงอชิตะเริ่มหงุดหงิด

“บอสจะเอาแค่เวลาที่ผมอยู่บนเตียงมาตัดสินชีวิตทั้งหมดของผมไม่ได้”

...และของบอสด้วย

“ผมกับบอสไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่เรื่องบนเตียง อย่างน้อยผมก็อยากแต่งงาน เพราะผม...”

“เราแต่งงานกันก็ได้ คุณอยากแต่ง ผมจัดให้ ยังไงคุณแม่ก็ยอมรับคุณแล้ว คุณย่าก็รักคุณ” อชิตะพูดสวนขึ้นมา ทว่าคณิตกลับส่ายหน้า ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“...ผมอยากมีลูก”

...ความจริงคือบอสอยากมีลูก

“บอสมีลูกให้ผมได้ไหม?”

...เพราะผมมีลูกให้บอสไม่ได้ ทำให้ตายยังไงก็มีลูกให้บอสไม่ได้ จะกอดกันทั้งวันทั้งคืน ในท้องของผมก็ไม่มีวันจะมีชีวิตน้อยๆ อยู่ในนั้นได้

“มันจะได้ยังไงล่ะหนึ่ง” อชิตะตอบเสียงขุ่น หงุดหงิดที่คณิตอยากมีลูก นึกยังไงถึงอยากมีลูก หรือว่าเจ้าตัวเห็นความน่ารักของเด็กตัวแดงๆ เมื่อตอนกลางวัน เลยนึกอยากมีเหมือนสองสามีภรรยานั้นบ้าง ทั้งที่คณิตไม่ได้อุ้มหรือหยอกล้อกับเด็กเลย มีแต่เขาที่อุ้มเจ้าตัวเล็ก ชื่นชมในชีวิตไร้เดียงสาและยังไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอกที่กว้างใหญ่กว่าโลกในท้องของมารดา

“ก็เพราะมันไม่ได้ไง บอสมีลูกให้ไม่ได้ ผมถึงขอให้บอสปล่อยผมไป ให้ผมกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ วันหนึ่งผมจะมีลูก แก่ตัวไปผมก็จะมีหลาน”

“นี่พูดจริงใช่ไหมหนึ่ง” อชิตะก้าวเท้าเข้าไปเกือบชิดตัวอดีตลูกน้องคนสนิท จ้องตาเรียวเล็กอย่างคาดคั้นและกดดัน “ตอบผมมาว่าคุณอยากแต่งงานกับผู้หญิง อยากพาเธอขึ้นเตียง อยากทำกับเธอเหมือนที่ผมทำกับคุณ อยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเสียงของผม อยากกอดเธอมากกอดผม อยากตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นหน้าผม อยากให้ผมออกไปจากชีวิต อยากให้ผมไปกอดผู้ชายคนอื่น อยากให้เราสองคนเป็นคนไม่รู้จักกัน อยากมีลูกหลานตอนแก่ แต่ไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิต ไม่อยากให้ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับคุณ ไม่อยากแชร์ชีวิตร่วมกับผมอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่” คำตอบแค่นี้ของคณิตยังไม่เพียงพอสำหรับอชิตะ

“ไม่ใช่แค่นี้หนึ่ง คุณต้องพูดออกมา พูดทุกอย่างที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้ พูดให้ผมเชื่อคุณให้ได้ แล้วผมจะปล่อยคุณไปอย่างที่คุณต้องการ วันนี้เลยก็ได้”

“ผม...” คณิตเมินหน้าหนีแรงกดดันจากสายตาที่จ้องมองอย่างคาดคั้น เขากลืนก้อนความจริงลงไปในอก สูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อทำตัวเองให้เข้มแข็งพอจะพูดคำโกหกมากมายออกมา ทุกคำพูดของอชิตะ เขาจำได้ทุกคำ ให้ทวนซ้ำอีกครั้งย่อมทำได้ ติดแค่ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ทำอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลัง...โกหก

“ถ้าไม่พูด คุณก็ไปจากผมไม่ได้ อยู่เป็นของเล่นให้ผมเล่นไปตลอดชีวิต”

“ผมจะพูด” คณิตดึงสายตากลับมา เขาต้องพูด พูดมันออกมาด้วยอารมณ์ที่บังคับให้มั่นคงที่สุด ไม่ลืมที่จะจ้องตาอชิตะด้วย “ผมอยากมีชีวิตปกติ อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ อยากแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคนหนึ่ง ผู้หญิงที่จะเป็นแม่ของลูกผมได้ ผมอยากพาเธอขึ้นเตียง อยากทำกับเธอเหมือนที่บอสทำกับผม อยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเสียงของบอส อยากกอดเธอมากกว่าบอส อยากตื่นขึ้นมาแล้วเจอหน้าเธอเป็น...คน...แรก”

ลมหายใจของคณิตสะดุดเพราะแต่ละคำปด มันกรีดหัวใจตัวเองทีละนิดๆ

“ผมอยากให้บอสออกไปจากชีวิต อยากให้บอสไปกอด...คนอื่น จะใครที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ผม อยากให้ผมกับบอสเป็นแค่คนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยรู้จักกัน...ผมอยากมีลูกกับคนที่ผมรัก อยากมีชีวิตอยู่จนทันได้เลี้ยงหลาน ทีนี้บอสปล่อยผมได้แล้วใช่ไหม”

“ยังไม่หมดหนึ่ง พูดออกมาให้หมด” ดวงตาสีเข้มจ้องเอาคำพูดที่เหลือ

คณิตสูดลมหายใจอีกรอบ วูบหนึ่งที่เขาเผลอหลบสายตาของอชิตะ ก่อนจะตั้งสติ ปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่กี่ประโยค ทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดี ขอให้เขาอดทนอีกนิดเดียว ไม่กี่ลมหายใจหรอก...

“ผมไม่อยากให้บอสทำเหมือนเป็นเจ้าชีวิตผม อยากให้บอสออกไปจากชีวิตผมซะที ผมไม่เคยคิดอยากจะร่วมทุกข์หรือร่วมสุขกับบอส ไม่อยากแชร์ชีวิตร่วมกับบอสแม้แต่วันเดียว ผมต้องการอิสระ กลับไปมีชีวิตแบบที่ผมเคยมี...ผมไม่ใช่ของเล่นของบอส”
หมดแล้ว สิ่งที่อชิตะอยากได้ยิน คำพูดที่จะทำให้เขาเป็นอิสระ

เฮ้อ...จบกันซะที

คณิตเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ใจจะขาดย่อยยับแล้วก็ตาม คนตัวใหญ่ที่ยืนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยคำพูดใดออกมา หน่วยตาสีเข้มยังจับจ้องใบหน้าของเขา แววตายากอ่านออก หรือว่ากำลังทำใจยอมรับความจริง แสดงว่าอชิตะเชื่อคำพูดของเขา เชื่อว่าเขาพูดจริง แอบดีใจอยู่เหมือนกันที่สามารถจ้องตาและพูดโกหกได้อย่างแนบเนียน แบบที่อชิตะจับไม่ได้

แต่คณิตก็พบว่าตัวเองคิดผิดไปถนัด เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปเกือบนาที

“ก็ยังพูดเก่งเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่เนียน” อชิตะสรุปด้วยรอยยิ้มรู้ทัน ดวงตาสีเข้มคลายอารมณ์หงุดหงิดลงไปเยอะ เมื่อแน่ใจในความคิดของตน “คุณแค่พูดตามที่ผมสั่ง ไม่ได้พูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ความรู้สึกที่มันอยู่ในใจของคุณ”

คณิตอ้าปากค้าง อยากจะเถียงกลับแต่ก็เถียงไม่ออก อชิตะพูดถูก เขาพูดตามที่อชิตะสั่งจริงๆ ไม่ได้พูดออกมาจากความรู้สึกแท้จริง...ความรู้สึกที่ว่าเขาไม่ได้อยากมีใคร ไม่ได้อยากมีลูก เขาอยากถูกกอดจากผู้ชายคนนี้คนเดียว เขาไม่สามารถกอดผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนได้อีก นอกจากผู้ชายที่ยืนยิ้มเท่าทันสิ่งที่อยู่ในใจของเขา 

“วันนี้คุณยังไปไหนไม่ได้ เพราะผมยังไม่เชื่อว่าคุณพูดจากความรู้สึกจริงๆ คุณทำให้ผมเชื่อไม่ได้ ผมก็ปล่อยคุณไปไม่ได้”

“งั้นผมพูดใหม่ก็ได้” คณิตรีบเสนอ ด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ

“ไม่ได้หนึ่ง” อชิตะส่ายหน้า “ผมให้โอกาสพูดวันละครั้ง ไว้คืนพรุ่งนี้ คุณค่อยพูดให้ผมฟังใหม่ พูดให้ผมเชื่อให้ได้ แต่ถ้ายังพูดให้ผมเชื่อไม่ได้ คุณก็ต้องพูดให้ผมฟังทุกคืนก่อนนอน พูดให้ผมเชื่อ ต่อให้ใช้ทั้งชีวิต คุณก็ต้องทำ”

“บอส!” คณิตแหวเสียงสูง ขัดใจสุดๆ “บอสจะมามั่วนิ่มตั้งกฎเจ้าเล่ห์กับผมไม่ได้นะ ผมไม่ยอม” โวยวายกับวิธีที่แสนจะเอาเปรียบเขาของอชิตะ ให้พูดแบบเมื่อกี้ทุกคืนนี่นะ ใครจะบ้าพูดได้ทุกคืน พูดไปก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อไหม ถ้าอชิตะเอาแต่พูดว่าไม่เชื่อๆ เพราะยังสนุกกับของเล่นอย่างเขา เขาก็ไม่ต้องไปไหนมันเลยสิ...

“คุณเป็นคนขอให้ผมปล่อยคุณเองนะหนึ่ง”

“ก็ใช่! แต่บอสจะมาขี้โกงใส่ผมไม่ได้”

“ในเมื่อคุณขอให้ผมปล่อยคุณไป คุณก็ต้องทำตามกฎของผมสิ คุณทำได้ คุณก็ไปได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิต เอาให้แก่ตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่แน่นะหนึ่ง” อชิตะยิ้มกวนอารมณ์คนที่ออกอาการหน้าหงิกงอ ตาขุ่นขวาง “ผมอาจแก่ตายก่อนคุณก็ได้ วันที่ผมตาย คุณก็เป็นอิสระ อยากจะไปมีลูกมีหลานกับใครก็ได้ ตามสบาย”

“งั้นก็ขอให้ตายพรุ่งนี้เลยนะบอส” คณิตแช่งกลับอย่างเหลืออด อชิตะยิ้มรับ ไม่สะทกสะท้านต่อคำแช่งของคนที่ไม่สิ้นความพยายามจะไปจากเขา

“พรุ่งนี้คงยากหน่อย เพราะต้องไปงานแต่งเพื่อน ไม่ไปไม่ได้ เดี๋ยวหมอนุกับเมียจะโกรธเอา” ว่าแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับซ่อนความโล่งอกไว้ไม่ให้คณิตเห็น

เกือบไปแล้ว...เกือบชื่อลูกตาเรียวเล็กที่จ้องตาเขาตอนพูดประโยคยืดยาวพวกนั้นออกมา แต่เพราะลมหายใจที่สะดุดเป็นพักๆ ของคณิต ทำให้เขาไม่หลงกลตามเกมที่เจ้าตัวต้องการ

“วันมะรืนก็ได้” คณิตเถียงกลับอย่างคนอยากชนะบ้าง เถียงกันทีไรเขาไม่เคยชนะอชิตะได้เลย ความจริงคือไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็เอาชนะคนเจ้าเล่ห์อย่างอชิตะไม่ได้ ร่างเล็กกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างแรง เป็นวิธีระบายความโกรธอีกอย่างหนึ่ง
“ก็ไม่เป็นไร” สองไหล่หนายกยั่วอารมณ์คู่สนทนา “ยังไงผมก็ยังมีโอกาสอีกหนึ่งคืนที่จะได้ฟังเด็กดื้อพูดโกหก”

“ผมไม่ได้พูดโกหก บอสนั่นแหละไม่เชื่อผมเอง”

“บอกแล้วไงว่าพูดให้ผมเชื่อให้ได้” สบตาเรียวเล็กแล้วก็นึกขำ เมื่อกี้คณิตยังเล่นบทดราม่าไร้เยื่อใยกับเขาอยู่เลย พอโดนจับได้ว่าโกหก เจ้าตัวก็กลับมาเป็นคนปากแข็งที่พ่ายแพ้เขาไปเสียทุกทางคนเดิมจนได้

มันต้องมีอะไรสักอย่างสิน่า ที่ทำให้คณิตคิดอยากไปจากเขามากขนาดนี้ มากกว่าครั้งไหนที่เคยได้ยินคำว่า ‘ปล่อยผมไป’
อชิตะอยากรู้ แต่ไม่ใช่เวลานี้ เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าที่อยากได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสแนบสนิท จมลึกเข้าไปในช่องทางคับแคบที่จะรองรับคุณความปรารถนาของเขาจนหมดสิ้น

“รู้ไหมหนึ่ง” อชิตะลากเสียงยาวถาม “ว่าผมจับโกหกคุณได้ตรงประโยคไหน” เอ่ยถามพลางทิ้งตัวนั่งข้างคนตัวเล็ก ด้วยความรวดเร็ว เขาก็ล็อกเอวบางเอาไว้ไม่ให้ลุกหนีไปไหน มือจับปลายคางอีกฝ่ายให้หันมาตอบคำถาม

“ไม่รู้!” คณิตกระแทกเสียงตอบ เขาพูดไปตั้งไม่รู้กี่ประโยค ใครมันจะเดาได้

“อยากรู้ไหม?”

“ไม่อยาก!”

“แต่ผมอยากบอก” อชิตะคล้ายยิ้มยั่วแหย่ลง แล้วเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มที่มีความหมาย รอยยิ้มซึ่งคนคุ้นเคยย่อมรู้ดี ชายหนุ่มเลื่อนสายตามายังกลีบปากสีหวาน ที่มันหวานทั้งสี หวานทั้งรสชาติของมัน ตักตวงดื่มกินไม่เคยเบื่อ

...หรือเป็นคณิตเองที่หอมหวานไปทั้งตัว

“ก็ตรงที่คุณพูดว่า...” อชิตะแกล้งกัดปากเล็กสองสามที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ “...อยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเสียงของผม...โกหกชัดๆ”

“ผมไม่ได้โกหก” คณิตเถียงทันควัน คนอะไรหน้าไม่อาย เลือกคำพูดนี้มาได้ไงวะ

“พิสูจน์ไหมหนึ่ง ว่าเสียงของผมกับเสียงผู้หญิงที่คุณเคยมีอะไรด้วย เสียงของใครเร้าใจคุณมากกว่ากัน” อชิตะยิ้มท้า เป็นคำท้าที่เขามีแต่ได้กับได้ ส่วนอีกฝ่ายก็ได้มีความสุขไปกับบทรักที่เขาบรรจงมอบให้

“ผมไม่พิสูจน์กับบอสแน่!” ตอบกลับเสียงขุ่นจัด คณิตอยากใช้นิ้วจิ้มลูกตาทั้งสองของอชิตะจริงเชียว เพราะมันเป็นประกายวาบหวามหัวใจเหลือเกิน แค่ถูกมองเลือดในกายเขาก็เร่าร้อนขึ้นมาดื้อๆ

“ถ้าคุณยอมพิสูจน์ วันนี้ผมจะยอมให้คุณพูดคำพูดพวกนั้นอีกครั้ง ไม่แน่ว่าคุณอาจทำได้ดีกว่าเดิม จนผมเชื่อว่าคุณพูดความจริงก็ได้นะ”

“ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะบอส!”

“แต่เป็นเด็กดื้อที่สมควรถูกลงโทษ”

“เอะอะก็หาเรื่องรังแกผม” มันน่าน้อยใจนัก แล้วหัวใจเนี่ย เป็นอะไรมากไหมวะ เต้นทำไม ดีใจทำไม ดีใจนักหรือที่จะถูกอชิตะกอดน่ะ

“น้อยใจเหรอ?” อชิตะถามคนหน้างอ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาใกล้แก้มนวล เป็นวิธีหลอกล่อคนปากแข็งให้ยอมใจอ่อนโดยไม่รู้ตัว “กี่วันแล้วหนึ่ง ที่ผมไม่ได้เข้าไปอยู่ในตัวคุณ ผมอยากได้ยินเสียงหวานๆ ของคุณ อยากให้คุณได้ยินเสียงของผม ได้ไหมหนึ่ง...คิดถึงรู้ไหม คิดถึงมาก แทบขาดใจแล้ว” และแล้วแก้มนวลก็ขึ้นสีหวานระเรื่อ เป็นสัญญาณแห่งชัยชนะของอชิตะอีกเช่นเคย     

“บอสไม่เอานะ” คณิตยันไหล่หนาเอาไว้ ก่อนหันหน้าหนี เมื่ออีกฝ่ายหมายจะเอาปากของเขาไป 

“ไม่เอาอะไร...หื้อ...คนเก่ง...คิดถึงใจจะขาดแล้ว” เสียงกระซิบกระซาบกำลังดึงทึ้งแรงขัดขืนของคณิตออกไปทีละน้อย “อยากรู้ว่าตัวของคุณยังเป็นของผมอยู่ไหม ให้ผมพิสูจน์นะ...คนเก่ง”

“พรุ่งนี้...อื้อ...ต้องไปงานคุณหมอ...ไม่เอา...” คณิตพูดไปด้วย หนีปากร้อนที่รุกไล่ไปด้วย

“สองรอบนะครับคนเก่ง” เสียงพร่าด้วยแรงอารมณ์ยังคงตามมากระซิบขอ อชิตะเห็นแล้วว่าคนตัวเล็กกำลังละลายไปกับความต้องการของเขา

คณิตไม่เคยชนะเขาได้ มีแต่พ่ายแพ้ ไม่ว่าเขาจะเลือกใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ตาม สุดท้ายคณิตจะอ่อนระทวยใต้ร่างของเขาเสมอ ยอมเขาซะขนาดนี้ ต่อให้พูดขอให้ปล่อยเจ้าตัวไปอีกกี่พันกี่ล้านครั้ง เขาก็ไม่มีวันยอมปล่อยคณิตไปอีกแล้ว ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าคนคนนี้ไม่รักเขาและอยากจะไปจากเขาแทบขาดใจ

“ห้ามทำ...เจ็บ” คณิตต่อรองเมื่อไม่เห็นทางรอด เขาไม่อยากไปร่วมงานของหมอพิษณุในสภาพไม่สมประกอบ

“ครับ ผมจะไม่ทำรุนแรง คุณจะไม่เจ็บ แต่จะมีความสุข...ตรงนี้หรือเตียงครับ”

คำถามที่แสดงความหน้าไม่อายของคนถาม ทำเอาคณิตค้อนตาคว่ำ อ้าปากจะด่าก็พลาดท่าทันที โดนลิ้นร้อนฉกเข้ามากวาดต้อนลิ้นเขาให้จนมุม สองมือเขาที่ดันไหล่อชิตะไว้ ถูกจับขึ้นไปคล้องต้นคอหนาแบบที่เขาเองก็แสนจะเต็มใจ

“อื้อ...ที่เตียง...” เจ้าของร่างที่ถูกกดลงไปนอนราบกับโซฟาร้องประท้วง เสื้อยืดถูกถอดออกพ้นจากศีรษะในเวลาเดียวกัน

“ครับ...ที่เตียง” คนร่างกำยำยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ขอตรงนี้ก่อนนะครับคนเก่ง” 

มีหรือคนเก่งของอชิตะจะไม่พ่ายแพ้ พอถูกหลอกล่อด้วยรสชาติความรักที่ถ่ายทอดผ่านร่างกายที่สัมผัสผสานใกล้เป็นหนึ่งเดียวกัน คณิตก็ลืมเลือนความคิดที่จะออกไปจากชีวิตของอชิตะเสียแล้ว 

.

.

.



จบตอนที่ 31

ใจหายแต่ก็ดีใจ จบได้ซะทีเนอะ
เหลืออีก 1 ตอนถ้วนๆๆๆๆ

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนที่ 31 UP 01-08-17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-08-2017 21:09:27
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนจบ UP 02-08-17 **ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-08-2017 18:35:32
32

ด้านหน้าหาดมีโต๊ะและเก้าอี้ที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา ตัวเก้าอี้ถูกผูกริบบิ้นสีฟ้าน้ำทะเลบนผ้าคลุมอีกที ปลายริบบิ้นสะบัดไหวไปตามแรงลมยามค่ำ ทั่วทั้งบริเวณประดับด้วยแสงไฟจากตะเกียงแก้วที่ตั้งรายล้อมรอบบริเวณสถานที่จัดงาน ชวนโรแมนติกด้วยบทเพลงหวานไพเราะ คัพเค้กถ้วยเล็กน่ารักถูกแจกจ่ายด้วยมือเจ้าของงานอย่างหมอพิษณุกับน้ำฟ้า

“นึกว่าดีกันแล้ว”

คำพูดลอยๆ ของเพื่อนร่วมโต๊ะดึงสายตาของคณิตให้ละจากคัพเค้กในมือขึ้นมามองหน้า 

“ก็นึกว่ามึงมองไม่เห็นกู” คณิตย้อนเสียงเรียบ ตอบกลับเพื่อนรักที่ตั้งหน้างอนเขาตั้งแต่เมื่อวาน ตอนที่โทรศัพท์ไปบอกว่าไม่ต้องมารับ เขาจะไปเอง ไม่ได้บอกว่าจะมากับอดีตนายจ้าง แต่เพื่อนรักก็รู้ทัน โวยวายใส่เขาเกือบสิบนาที ก่อนจะตัดสายเขาทิ้ง โทรกลับไปก็ไม่ยอมรับสาย พอวันนี้เขาเดินมานั่งโต๊ะด้วย มันก็ทำเมิน ทำมองไม่เห็นเขา ไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ ทักทายก็ไม่มี มีแต่สีฟ้าที่ชวนเขาคุย

ความจริงภาคีก็เคืองเขาตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยอมไปอยู่บ้านเจ้าตัวแล้ว เพื่อนรักหาว่าเขาเจ็บแล้วไม่จำ กลับไปหาอชิตะเพื่อรอเวลาให้ถูกทิ้งซ้ำอีกหรือไง แถมหลอกให้มันเป็นห่วง เที่ยวตามหาเขาไปทั่วหลังจากติดต่อเขาไม่ได้ ภาคียังไม่รู้ว่าที่เขาหายไปสอง ที่จริงคือถูกอชิตะขังไว้ในห้องใต้ดิน เขาไม่ได้บอกมัน เพราะไม่รู้จะบอกไปทำไมให้เกิดปัญหาตามมา เท่าที่เป็นในตอนนี้ ภาคีก็ไม่ชอบหน้าอดีตเจ้านายจะแย่อยู่แล้ว

“ใครใช้ให้มึงไม่เห็นหัวกูก่อนวะ” ภาคีบ่นเรื่องเดิมที่เคยบ่นเพื่อนซ้ำๆ “บอกกูว่าจะไม่กลับไปหาบอส แต่ก็เต็มใจไปอยู่บ้านคุณนภา นั่งรอให้หลานเขามาง้อทุกวัน กูไปตามให้กลับมาอยู่ด้วยกัน มึงก็ไม่ยอม ทำหน้าเหมือนกูจะเอามีดมาปาดคอ การกระทำของมึงแม่งไม่ตรงกับปากที่บอกกูสักอย่าง”

ภาคีเจ็บใจที่รักเพื่อน ห่วงเพื่อน แต่เพื่อนดันไม่รักไม่ห่วงตัวเองเลย

“กูน่าจะถ่ายคลิปคืนที่มึงร้องไห้จะเป็นจะตายไว้ จะได้เอามาเปิดให้มึงดู ว่าสภาพหลังจากที่มึงถูกบอสทิ้ง มันเป็นยังไง เผื่อจะคิดได้ซะที” ภาคีอยากยื่นคำขาดเสียด้วยซ้ำ ถ้าคณิตเลือกอชิตะ ก็ต้องเลิกเป็นเพื่อนกับเขาไปซะ แต่สีฟ้าห้ามเอาไว้ พอเขาไม่เชื่อ สีฟ้าก็โกรธเขาอีก ง้อถึงห้าวัน กว่าจะหายโกรธ ทำเอาเขาเข็ดไปเลย พานเคืองคณิตไปด้วยที่เป็นสาเหตุให้สีฟ้างอนเขา 
คนถูกบ่นถอนหายใจอย่างเซ็งจัด ส่งสายบอกให้ตาสีฟ้าช่วยดึงอารมณ์ภาคีลงให้หน่อย ก่อนจะทำงานฉลองแต่งงานของหมอพิษณุกับน้ำฟ้าหมดสนุกไปเสียก่อน

สีฟ้าพยักหน้ารับ 

“ติน” สีฟ้าเรียกชื่อคนรัก มือนุ่มวางบนต้นขาอีกฝ่าย ภาคีรีบเอามือมาวางทับเป็นการบอกว่า เขาพยายามใจเย็นแล้ว “หนึ่งเขาเลือกแล้ว ก็เหมือนที่ลมเลือกตินไง”

“แต่ตินไม่เคยทำตัวเลวๆ แบบบอสนี่” ภาคีเผลอเถียงกลับ เจอคนรักเปลี่ยนโหมดมองค้อนแทบจะทันที เอาแล้วไง เรื่องของเพื่อนจะทำให้เขาทะเลาะกับสีฟ้าเป็นรอบที่สองหรือเปล่า คนรักเขายิ่งง้อยากอยู่ด้วย

“แน่ใจนะว่าไม่เคย สงสัยลืมว่าตัวเองเคยประจานลมต่อหน้าคนอื่นมาแล้ว” สีฟ้าหมายถึงเหตุการณ์ในผับที่ภาคีบังคับเขาทางอ้อมให้ยอมรับความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้าตัว แม้ครั้งนั้นจะเป็นความร่วมมือของคนหลายคนก็ตาม หนึ่งในนั้นก็มีคณิตด้วย

“โธ่...ลมครับ นั่นมันก็ผ่านมานานมากแล้ว เลิกคิดได้แล้วครับ” ภาคีอุทธรณ์เสียงอ่อน 

“งั้นก็เหมือนเรื่องของพี่อิงกับหนึ่ง มันก็ผ่านไปแล้ว ตินก็รู้นี่ว่าทำไมตอนนั้นพี่อิงถึงทิ้งหนึ่ง พี่อิงจำเป็นต้องช่วยปกป้องหวาน เพราะหวานไม่มีใคร”

“แต่บอสทำไม่ถูกที่ไม่ยอมบอกเหตุผล บอกหนึ่งมันหน่อยไม่ได้หรือไง” คนพูดยังขัดใจอยู่มาก แต่จะบอกเพื่อนเขาหน่อยไม่ได้หรือไง บอกไปสิว่าไม่อยากให้ณัชชาท้องไม่มีพ่อ อยากให้เด็กเกิดมาแบบมีพ่อแม่พร้อมหน้า ไม่ใช่คิดจะทิ้งก็ทิ้ง ไม่บอกความจริงอะไรทั้งนั้น 

“ถูกหรือผิด มันก็ผ่านไปแล้ว ตินไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหนึ่งรักใคร” สีฟ้าพูดอย่างใจเย็นกับคนรักหนุ่ม “ลองให้หนึ่งห้ามตินรักลมดูไหมล่ะ ตินจะยอมหรือเปล่า แต่ลมไม่ยอมนะ ถ้าใครจะมาห้ามลมรักติน เพราะลมรักตินม้ากมาก” สีฟ้าพูดจบ แล้วยิ้มหวานให้คนรัก ที่ยิ้มตอบกลับมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน

“ตินก็ไม่ยอมเหมือนกัน ถ้ามีใครห้ามไม่ให้ตินรักลม” ปากบอกเสียงหวานกับคนรัก แต่ไม่วายที่ภาคีจะหันมาเหวี่ยงสายตาขุ่นเคืองใจใส่เพื่อนรักที่เห็นว่าแอบเบ้ปากใส่ตน “แต่สำหรับมึง ยังไงกูก็ไม่อยากให้มึงคืนดีกับบอสง่ายๆ เดี๋ยวจะได้ใจ คิดว่ามึงเป็นของตาย คิดจะทำอะไรกับมึงก็ได้ มึงต้องเอาคืนบอสบ้าง ทำให้บอสรู้ว่ามึงไม่ใช่ของตายของเขา”

“มึงจะให้กูทำยังไง” คณิตถามเพื่อน

“เอาเป็นว่าคืนนี้มึงนอนที่นี่ ห้ามกลับไปกับบอส พรุ่งนี้ก็กลับกรุงเทพพร้อมกู ไปอยู่บ้านกูสักพัก จนกว่าบอสจะสำนึกความผิดของตัวเองได้” ภาคีเข้าใจผิดว่าอดีตเจ้านายของตัวเองกำลังทิ้งขวางคณิตอีกรอบ สังเกตจากที่ทั้งคู่เดินเข้ามางานด้วยกัน แต่ไม่พูดกันสักคำ อชิตะไม่มองมาที่โต๊ะของเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่เหมือนวันนั้นที่บ้านของหมอพิษณุที่มองตาละห้อย อยากเข้ามาคุยมาหาคณิตเหลือเกิน แต่ติดที่มีเขาคอยกันท่าเอาไว้

“ไม่เอา” คณิตส่ายหน้า

“ทำไม?”

คนถูกถามอ้ำอึ้งอยู่นาน ก่อนตอบเสียงเบาว่า

“กูไม่ยอมให้มึงห้ามกูรักบอสหรอกนะเว้ย” คณิตมองตาเพื่อนที่ดูจะไม่ชอบคำพูดเขาเท่าไร “กูอยากอยู่กับบอส เหมือนที่มึงอยากอยู่กับคุณลม...กูรักบอส” ปลายเสียงที่บอกนั้นหนักแน่น เขาอาจจะโกรธอชิตะที่ทำเขาเจ็บ โกรธที่อชิตะทำเหมือนเขาเป็นของเล่น แต่ไม่ว่ายังไงความรู้สึกของเขาก็ยังต้องการอชิตะอยู่ดี

“งั้นก็แล้วแต่มึงเลย” ภาคีว่าอย่างเซ็งๆ เพื่อนรักบอกว่ารักอชิตะซะเต็มปากเต็มคำ เขาก็คร้านจะยื้อให้เพื่อนกลับมารักตัวเองมากกว่ารักคนอื่น รอให้มันเจ็บกลับมาอีกครั้งก่อน ภาคีสัญญาเลยว่าจะไม่ปล่อยอชิตะไว้แน่ “แล้วนี่บอสทำอะไรมึง โกรธมึงเรื่องอะไร”

“ทะเลาะกันนิดหน่อย ไม่ต้องถาม ไม่ตอบ” คณิตดักทางเพื่อนไว้ก่อน ก็ไม่อยากบอกเรื่องงี่เง่าของตัวเองสักเท่าไร
ทะเลาะกันนิดหน่อยที่ว่า...เริ่มมาจากอชิตะไม่รักษาคำพูด ปากบอกว่าจะทำเรื่องอย่างว่ากับเขาสองรอบ
สองรอบบ้าอะไร! สองคูณสองน่ะสิไม่ว่า แล้วที่บอกจะไม่ทำรุนแรงแต่มันโคตรแรงเลย พอเขาด่าก็แก้ตัวว่าความคิดถึงมันรุนแรง ห้ามยาก

อชิตะบุกตะลุยเหมือนเห็นเขาเป็นบ่อน้ำกลางทะเลทราย ตักตวงดื่มกินจนแห้งขอด ตื่นเช้ามาเขาแทบลุกไม่ขึ้นเพราะห่างจากเรื่องบนเตียงมาพักใหญ่ แต่อชิตะยังมีหน้ามาขอต่ออีกรอบแบบไม่คิดจะถนอมร่างกายเขาเลย สภาพเขาตอนนั้นก็เมื่อยและระบมมาก ยิ่งคนมันง่วงจัดอยากนอนหลับสบายๆ ด้วย แต่กลับถูกก่อกวน เนื้อตัวโดนขย้ำอย่างสนุกมือ ถูกฟันคมแทะเล็มไปตามลำตัว เขาเลยหงุดหงิดที่อชิตะเอาแต่กอบโกยความสุขจากตัวเขามากเกินไป ปากก็เลยเผลอหลุดความคิดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนออกไป

‘พอได้แล้วบอส! ทำให้ตายผมก็ไม่ท้อง’

‘ไม่แน่นะหนึ่ง ผมอาจจะทำให้คุณท้องก็ได้ คุณอยากมีลูกไม่ใช่เหรอ’ รู้ว่าอชิตะพูดแหย่ แต่อารมณ์ของเขาขึ้นขีดสูงแล้ว มันก็ลงยาก

‘คนที่อยากมีลูกคือบอสต่างหาก ไปสิ ไปหาคนที่บอสทำให้เขาท้องได้ แต่ไม่ใช่ผมแน่ เพราะผมมีลูกให้บอสไม่ได้’ ไม่รู้สิ เขาอาจทำตัวงี่เง่า โกรธง่ายเกินไป แต่สิ่งที่เขาพูด มันเป็นสิ่งที่เขาอยากพูดตั้งแต่เมื่อคืน พูดให้อชิตะทบทวนเกี่ยวกับความจริงเรื่องนี้ กลับไปถามตัวเองว่ายังอยากจะมีลูกเหมือนที่คิดไว้ในอดีตไหม หากเจ้าตัวอยากมีลูกก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะเขามีลูกให้ใครไม่ได้ เขาไม่มีมดลูก ไม่มีตำแหน่งให้อสุจิตัวไหนมาพบกับไข่ที่รอการปฏิสนธิ

เขารักอชิตะ อยากแชร์ชีวิตทุกวันร่วมกับผู้ชายคนนี้ แต่อชิตะควรมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ มีภรรยาที่สามารถให้กำเนิดลูกชายลูกสาวให้อชิตะได้ ซึ่งคนคนนั้นไม่มีทางเป็นเขาได้เลย เพราะร่างกายของเขาให้แต่ความสุขอชิตะได้ แต่ไม่สามารถให้กำเนิดชีวิตใครได้ 

‘เป็นเมนส์เหรอ? ไหนดูหน่อยสิ’ อชิตะยังไม่เข้าใจความรู้สึกเขา ยังคงล้อเล่นด้วยการกระชากผ้าห่มออกจากตัวเขา แทรกกายเข้ามานั่งระหว่างขาทั้งสองขาของเขา ดึงยกสะโพกเขาขึ้นสูงให้ใกล้สายตาของตัวเองมากที่สุด

‘ผมไม่ใช่ผู้หญิง! ไม่มีเมนส์ให้บอสดูหรอก อยากดูก็ไปดูของผู้หญิงโน่น’ เท้าของเขาที่เตะป่ายปัดทำให้อชิตะที่ไม่ทันตั้งตัวก็ผงะหงายหลังทันที มันเป็นอะไรที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาตั้งใจจะดิ้นหนี กลับกลายเป็นว่าถีบหน้าอชิตะจังๆ

‘ขอโทษ’ เขาเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิดที่ถีบหน้าอชิตะจนเกือบตกจากเตียง

‘ไม่เป็นไร’ บอกมาแค่นี้ อชิตะก็ลุกเดินจากเตียงหายเข้าห้องน้ำไปเลย ออกมาจากห้องน้ำเจ้าตัวก็ไม่พูดอะไรกับเขา เขาก็ปากหนักเกินกว่าจะง้องอนด้วยคำขอโทษอีกรอบ จากความรู้สึกผิดในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้นมาจนได้

มันเป็นครั้งแรกเลยที่อชิตะโกรธเขาจริงจังขนาดนี้ โกรธแบบไม่ยอมมองหน้า ไม่พูดด้วย จากนั้นเรื่องก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ มา
ด้วยกัน แต่ไม่พูดกัน ไม่นั่งด้วยกัน

“พี่หนึ่งไปสนุกกันค่ะ”

เสียงเล็กๆ ของสาวน้อยวัยทีนชื่อดวงดาวที่เอ่ยชวนดึงคณิตออกมาจากภวังค์ความคิด ก่อนจะดึงตัวให้ลุกไปร่วมเต้นรำร่วมกับคู่อื่นๆ คู่เต้นรำของคณิตก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็อชิตะที่ถูกเด็กชายวัยทีนอีกคนหนึ่งที่ชื่อตามใจพามาส่งถึงมือนั่นแหละ

เป็นครั้งแรกที่ได้สบตากันตรงๆ หลังจากเหตุการณ์ ‘ถีบหน้าหงาย’ บนเตียงเกิดขึ้น คณิตอยากจะขอโทษอีกครั้งแต่ใจที่นึกโกรธก็ห้ามปากเอาไว้ ก็มันน่าไหมล่ะ อชิตะทำเขาเจ็บไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ลุกจากเตียงไม่ขึ้นก็เคยออกบ่อย พอถูกเขาทำให้เจ็บบ้าง กลับโกรธเขาจนไม่ยอมพูดด้วย อยากโกรธก็โกรธไปเลย ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เขาไม่ยอมพูดก่อนแน่

“จะเต้นไหม?” เป็นอชิตะที่เอ่ยถาม คณิตอยากจะปฏิเสธ แต่โดนมือใหญ่เกี่ยวเอวไว้เสียก่อน “ผมโกรธคุณมากนะหนึ่ง อย่าทำแบบเมื่อเช้าอีก”

“ไม่รับปาก” คณิตตอบเสียงเรียบ ข่มใจไม่ให้สั่นกลัวไปกับหน่วยตาที่วาวโรจน์ขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจบ

“หนึ่ง!” เสียงเรียกชื่อนั้นถูกกดให้ต่ำ บังคับไม่ให้อารมณ์ของตัวเองขึ้นสูง อชิตะพยายามระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอกด้วยบทเพลงหวานที่เปิดคลอให้คู่รักที่มาร่วมงานฉลองแต่งงานได้ขยับร่างกายไปตามจังหวะอันรื่นรมย์ เขาขยับพาคนตัวเล็กออกห่างจากคู่รักคู่อื่นทีละน้อยๆ

นานหลายนาทีแต่อารมณ์ที่เป็นอยู่ของอชิตะก็ยังไม่สงบลง ยิ่งคนตัวเล็กทำเหมือนไม่แคร์อารมณ์ความรู้สึกเขา ไม่คิดจะง้องอนให้หายโกรธจากเรื่องเมื่อเช้า เขาก็ยิ่งโมโห อยากฟาดก้นงอนๆ ให้สำนึกความผิดของตัวเองซะที แต่สงสารเพราะถ้าทำจริง คณิตต้องร้องลั่นแน่เพราะช่วงล่างของเจ้าตัวถูกใช้งานหนักมากเมื่อคืน คงร้าวระบมอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเขาต้องหาทางระงับอารมณ์ตัวเองด้วยวิธีอื่น นั่นคือการช่วงชิงเอากลีบปากที่คอยแต่จะปล่อยถ้อยคำดื้อด้านออกมาเอามาเป็นของตัวเอง

“บอส อย่า...อื้อออ”

หน่วยตาเรียวเลิกเบิกโพลงเมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ป้องกันอะไรไม่ทันเสียแล้ว เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่า อชิตะจะกล้าจูบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก ถึงทุกคนกำลังมีความสุขกับการเต้นรำกับคู่ของตัวเอง คงไม่สนใจคู่รักคู่อื่น แต่มันก็ต้องมีสายตาบางคู่บ้างแหละที่บังเอิญเห็นฉากจูบนี้

ลิ้นเล็กพยายามหลบหลีกแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ ผู้บุกรุกกลืนกินความหวานชื่นใจจนอารมณ์มันสงบลงบางส่วนแล้ว ถึงยอมปล่อยปากดื้อด้านแต่หวานอร่อยเป็นอิสระ

“อยากให้ผมมีคนอื่นจริงๆ ใช่ไหม” พออารมณ์เย็นลงบ้างแล้ว อชิตะก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ชวนให้เขาหงุดหงิดแต่เช้าจนถึงค่ำ “ทำไมชอบไล่ให้ผมไปมีคนอื่นหะหนึ่ง ผมไปจริงขึ้นมา คุณจะรู้สึก”

คณิตทำเสียงหมั่นไส้ประชด

“เฮอะ บอสก็เคยทำมานี่ ผมจะรู้สึกอีกสักครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ยังไงบอสก็ไม่ได้มาเจ็บกับผมซะหน่อย” ดวงตาเรียวเล็กหันมองไปทางอื่นอย่างแสนงอน รู้สึกว่าตอนเขาเป็นฝ่ายไล่อชิตะไปมีคนอื่น อารมณ์น้อยอกน้อยใจมันไม่ได้เท่ากับตอนที่อชิตะเป็นฝ่ายพูดออกมาเลย อชิตะบอกว่าจะไปหาคนอื่น แล้วเขาจะรู้สึก แน่นอนว่าเขาคงได้รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายอีกครั้ง

“เฮ้อ...”

เสียงถอนใจยาวของคนที่โอบรอบเอวเขาให้ขยับไปตามจังหวะของบทเพลงหวานดังขึ้น ดึงให้ต้องหันกลับมาสบตาด้วย น้อยครั้งนะที่อชิตะจะถอนหายใจใส่เขา

“ผมโกรธคุณ แทนที่คุณจะง้อ คุณกลับมางอนผมเพิ่ม” อชิตะสู้กับอารมณ์แสนงอนของคณิตไม่ได้เลย สรุปคือถ้าเขาโกรธคณิต เจ้าตัวก็จะโกรธเขาตอบ ไม่มีทางซะหรอกที่จะรีบง้อให้เขาหายโกรธ

“ก็ผมขอโทษบอสแล้วนะ บอสก็ไม่ควรจะโกรธไหมล่ะ” คณิตเถียงกลับ “ทีบอสยังทำผมเจ็บลุกจากเตียงไม่ขึ้นตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ผมทำบอสเจ็บแค่ครั้งเดียว ทำไมต้องโกรธจนไม่พูดกับผมล่ะ”

“เรื่องเจ็บตัว ผมไม่เจ็บมาถึงตอนนี้หรอกนะหนึ่ง” อชิตะพูดเสียงจริงจัง “แต่ผมเจ็บตรงหัวใจ คำพูดที่คุณไล่ผมไปหาคนอื่นต่างหากที่ทำผมเจ็บมาจนถึงตอนนี้”

แล้วบรรยากาศระหว่างคณิตกับอชิตะก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนแรกที่มาด้วยกันคือต่างคนต่างเงียบใส่กัน

เงียบจนถึง...

ตอนเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของโรงแรมริมแม่น้ำ

ตอนกลับกรุงเทพฯ

ตอนอชิตะขับรถมาส่งคณิตตรงหน้าประตูรั้วบ้านคุณนภา และขับกลับไปเลย ไม่มีคำร่ำลา

กระทั่งถึงคืนนี้ที่คณิตยังคงนอนพลิกตัวไปมา ตายังเปิดค้างในความมืดสลัวของยามดึกบนเตียงนอนในคอนโดฯของตนเอง ไม่ใช่เรือนไทยหลังงามของคุณนภา คณิตขออนุญาตคุณนภาย้ายกลับมาอยู่คอนโดฯ หลังกลับจากทะเลได้ห้าวัน เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อตลอดห้าวันนั้น หลานชายคุณนภาไม่ได้ขับรถมานอนเฝ้าประตูรั้วของบ้านเรือนไทยแม้แต่คืนเดียว

คุณนภาอนุญาตและไม่ได้ถามหรือทักท้วงอะไร แน่ล่ะ ในเมื่อหลานชายท่านเทเขาทิ้งอีกรอบแล้วนี่นา

“ไม่คิดถึงผมเลยหรือไงนะ”

คณิตบ่นด้วยคำถามแบบนี้มาทุกคืน คืนนี้เป็นคืนที่สิบสาม พรุ่งนี้ก็สิบสี่ ต่อไปก็สิบห้า และคงต้องนับไปอีกแบบไม่มีตอนจบ นับจนเบื่อที่จะนับว่ากี่คืนแล้วที่ถูกทิ้งให้นอนคนเดียว

...ของเล่นชิ้นนี้ถูกทิ้งจริงๆ แล้วสินะ

‘…แต่ผมเจ็บตรงหัวใจ คำพูดที่คุณไล่ผมไปหาคนอื่นต่างหากที่ทำผมเจ็บมาจนถึงตอนนี้’

คำพูดประโยคสุดท้ายจากปากของอชิตะหวนกลับมาในความนึกคิด ตอนนั้นเขาอยากจะเถียงกลับเหลือเกินว่าเขาเคยเจ็บมากกว่าอชิตะซะอีก เจ็บตั้งหลายครั้งหลายหน 

เฮ้อ...แต่ตอนที่ถูกทิ้งมาแล้วสิบสามคืน และมีดูท่าแล้วคงจะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกคืน ความอยากเถียงเอาชนะในวันนั้นไม่มีเหลือแล้ว ไอ้ที่แทนเข้ามาก็คงเป็นความรู้สึกผิดที่ขยับขยายเป็นวงกว้าง นอกจากรู้สึกผิดก็ยังมีความ ‘คิดถึง’ อีก

...ความคิดถึงที่เขาต้องแบกรับไว้คนเดียว

เขาคิดถึง ‘ความคิด’ ถึงของอชิตะ

อยากได้ยินคำว่าคิดถึงของอชิตะที่ดังซ้ำและวนเวียนอยู่ข้างหู เสียงกระซิบที่บอกว่าคิดถึงฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ ยังอยากให้อชิตะคิดถึงของเล่นอย่างเขาอีกครั้ง ไม่อยากให้ความคิดถึงหายไปนานถึงสิบสามคืน

‘...วางทิฐิลงเถอะนะ ก่อนมันจะทำให้เธอสูญเสียความรักของลูกชายฉันไป’

หรือเขาควรเป็นฝ่ายกระซิบถ้อยคำว่า ‘คิดถึง’ ซะเอง จะได้ไม่ต้องมีคืนที่สิบสาม!
   

....................................................................


สองเท้าก้าวลงบนไดโค้งวนทีละขั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนไปกับความรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำ จำนวนขั้นบันไดเหลือน้อยเท่าไร เสียงหัวใจของคณิตก็คล้ายจะรัวแรงขึ้นทุกที

บนเตียงกว้างมีร่องรอยการนอนแต่ไร้ร่างเจ้าของห้อง สายตาของคณิตมองไปยังกระจกใสโดยอัตโนมัติ เจอร่างกำยำแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ ดวงตาของอีกฝ่ายจับจ้องมาที่เขาก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ นิ่งเฉย ไม่บอกความรู้สึกว่า ‘คิดถึง’ เลยสักนิด ทำราวกับว่าไม่มีเขาอยู่ในสายตา ทั้งที่จ้องตากันผ่านกระจกแท้ๆ

...อุตส่าห์มาง้อถึงที่ ไม่คิดจะสนใจ ทำท่าดีอกดีใจให้เขาชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไงนะ

คณิตนึกฉุนในใจ ยืนชั่งใจอยู่นานว่าจะหอบเอาความหงุดหงิดกลับคอนโดฯ หรือนั่งรอเวลาให้อชิตะอาบน้ำจนเสร็จ สุดท้ายคณิตก็เลือกอย่างหลัง หอบเอาความหงุดหงิดไปนั่งรอเวลาให้เจ้าของห้องอาบน้ำเสร็จอยู่บนโซฟาตัวเดียวที่มีในห้อง เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ อชิตะก็ยังไม่ลุกออกจากอ่างน้ำซะที นานเสียจนคณิตเปลี่ยนจากนั่งเป็นเลื้อยตัวลงนอนด้วยความง่วงเพราะเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว พอขยับเปลี่ยนท่านอนให้สบายขึ้น สติก็เริ่มหมดไปทีละนิด จนเคลิ้มหลับไปในที่สุด

“อือ...บอส...”

มารู้ตัวอีกทีตอนถูกวางบนเตียงโดยเจ้าของห้อง กลิ่นผิวเนื้อหลังอาบน้ำให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น คณิตเผลอสูดลมหายใจเอาความสดชื่นเข้าปอดด้วยความคิดถึง ก็คนมันไม่ได้เจอมาตั้งสิบกว่าวัน แต่อชิตะก็ยังทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึกยินดีที่ได้เห็นหน้าเขา ไม่มองสบตาด้วยอีกต่างหาก

อชิตะขยับตัวเอื้อมกดสวิตช์ไฟที่ข้างหัวเตียง ก่อนทั้งห้องจะมืดมิดและเงียบสนิท

...เอาเลยไอ้หนึ่ง! พูดคำที่เตรียมมาจากคอนโดฯให้บอสฟังเลยสิวะ

คณิตสั่งตัวเองเสียงดังใจใน แต่ปากก็หนักเหมือนหิน ทั้งที่คิดและตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ว่ามาที่นี่ทำไม มาพูดคำคำใดให้เจ้าของห้องฟัง 

พูด

พูด!

พูด!!

พูดสิโว้ย!!! เกิดใจเสาะอะไรขึ้นมาตอนนี้เล่า มันใช่เวลาไหมที่จะมาปากหนักเอาตอนที่เอาตัวมาประเคนให้เขาถึงที่เนี่ย!

พูดก็พูดวะ

“บอส” เรียกแล้วก็กลั้นใจรอเจ้าของชื่อขานรับ จะได้เริ่มบทสนทนาต่อไป แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ไม่มีแม้แต่เสียงขยับของร่างกาย

“.....”

“บอส” เรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น อีกฝ่ายก็ยังไม่ขานตอบ คณิตเลยลุกขึ้นนั่ง มีอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อยที่อชิตะเล่นตัวใส่เขาเกินไป 

...นี่เขามาง้อแล้วนะ

“บอส” คณิตกัดฟังข่มความหงุดหงิดแล้วเรียกอีกครั้ง หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่มีเสียงตอบรับมานะ เขาจะกลับ จะเลิกง้อ เลิกติดต่อ เลิกรักด้วย!

“.....” ก็ยังเงียบเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา

อชิตะเล่นตัวเกินไปแล้วนะ!

คณิตจ้องผ่านความมืดไปยังร่างกำยำที่สวมเพียงเสื้อคลุม อันที่จริงเขามองไม่เห็นอะไรหรอกในเมื่อห้องก็ปิดไฟ แสงดาวแสงเดือนก็ลอดเข้ามาไม่ถึง เหมือนนั่งอยู่ในกล่องที่มีเพียงสีดำกับความมืดมิด ราวกับเป็นคนตาบอด เมื่อใช้ตาไม่ได้ คณิตก็ใช้มือนี่แหละคลำหา

“บอส” ปากเรียกชื่อ ส่วนมือก็ยื่นคลำหาตัวเจ้าของชื่อไปด้วย เจอส่วนที่เป็นท่อนแขนก่อนพวก ตามด้วยแผ่นหลังคุ้นเคย อชิตะนอนหลังหันให้เขาอย่างนั้นเหรอ

งอนเกินไปแล้วนะ!

คณิตข่มใจไม่ให้ร้องโวยวายเสียงดังใส่คนร่วมเตียงที่เล่นตัวและงอนเกินเหตุ พยายามนึกถึงคำแนะนำของคุณเอมอรที่บอกให้เขาวางทิ้งทิฐิในใจลง เขาเต็มใจมาง้ออชิตะเอง ไม่มีใครบังคับ ฉะนั้นเขาก็ต้องทำสิ่งที่เป็นภารกิจสำคัญของชีวิตให้สำเร็จให้ได้

.

.

.
อ่านต่อด้านล่าง

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนจบ UP 02-08-17 **ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 02-08-2017 18:40:37
“บอส...”

เวลานี้ริมฝีปากของคณิตชิดติดกับส่วนที่เจ้าตัวคาดเดาผ่านความมืดแล้วว่าต้องเป็นใบหูของอชิตะแน่ๆ

“...ผมคิดถึงบอส ของเล่นของบอสคิดถะ...อื้อออ”

ยังไม่ทันเอ่ยคำสุดท้ายออกมา ปากแสนร้ายกาจของอชิตะก็กระชากคำที่เหลือทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยสัมผัสที่บดเบียดเข้ามาอย่างรุนแรง คณิตเจ็บ ทว่าในความเจ็บกลับเต็มตื้นไปด้วยความหลงใหล ตอกย้ำว่าความคิดถึงของเขาได้รับการตอบสนองที่เท่าเทียมกัน ปากของเขาเหมือนถูกกัดกิน ลิ้นของเขาเหมือนถูกผูกมัดไม่ให้ดิ้นหลุดจากรสชาติของความคิดถึง

จูบที่รุนแรงด้วยความคิดถึงเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็ต้องจบลงในสภาพที่หัวใจเอิ่มเอมท่วมท้นกันทั้งสองฝ่าย

“คิดว่าจะให้โอกาสถึงแค่คืนนี้คืนเดียว ถ้ายังไม่มาง้อ ผมก็จะ...” เสียงทุ้มเอ่ยแทรกเสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยหนักจากรสจูบยาวนาน ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นให้คู่สนทนาขมวดคิ้วในความมืด

“บอสจะทำอะไร?” ไม่ใช่จะทิ้งเขานะ

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอดังนำมาก่อนคำตอบ

“จะไปเอาตัวคุณมาขังไว้บนเตียง ทำทุกอย่างทุกท่าที่จะไม่ให้คุณลุกจากเตียงไปไหนได้อีก...ดีไหมหนึ่ง”

จบด้วยคำถามที่ทำเอาคณิตค้อนตาเขียวแต่ใบหน้ากลับร้อนจัดในความมืดของห้องสีดำ เผลอจินตนาการไปตามคำพูดของอชิตะอย่างช่วยไม่ได้

“หรือจะเพิ่มโซ่อีกสักเส้น ล่ามคุณไว้จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง”

“โรคจิต!” ด่าเสียงสูงกลบเกลื่อนความร้อนบนใบหน้าที่ซ่อนในความมืดไร้แสง

“นึกว่าจะใจแข็งกว่านี้” อชิตะพูดหลังจากหัวเราะรับคำด่าของคนตัวเล็ก “คิดถึงผมมากแค่ไหน มากเท่าที่ผมคิดถึงคุณหรือเปล่าหนึ่ง หรือแค่ละเมอพูดมันออกมา” เสียงทุ้มทอดหวาน พลางคลำหาใบหน้าของคนตัวเล็ก จากนั้นก็ประคองมันไว้ในอุ้งมือ อชิตะจูบซับซ้ำๆ บนแก้มทั้งสองข้างและจบสัมผัสเบาบางที่กลีบปากหวานโดยใช้นิ้วเป็นตัวล็อกเป้าหมาย

“บอสไม่น่าถามนะ ผมมาหาบอสถึงนี่จะละเมอได้ไงเล่า” คณิตไม่ปฏิเสธ แต่ไม่วายประชดในประโยคหลัง “แต่บอสก็ทำเมินผม”

“อยากรู้ไงว่าคุณจะมาง้อผมแบบไหน” คณิตไม่มีวันรู้หรอกว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ที่จะข่มความยินดีเอาไว้ภายใต้ใบหน้าราบเรียบ นิ่งเฉยต่อการมาของอีกฝ่าย เพราะอยากรู้ว่าคนตัวเล็กจะใช้วิธีไหนง้อเขา ซึ่งวิธีที่คณิตใช้ก็ถูกใจเขาเหลือเกิน เพราะคำว่า ‘คิดถึง’ ทำเอาเขาไม่สามารถทนเก็บความโหยหาตลอดหลายคืนที่ผ่านมาไว้ได้อีกต่อไป

“หายโกรธผมแล้วนะ” คณิตถาม

“รับปากผมมาก่อนว่าจะเลิกไล่ผมไปหาคนอื่น แล้วจะหายโกรธทันที” อันที่จริง เขาหายโกรธตั้งแต่เห็นเรียวขาที่ซ่อนภายใต้กางเกงขายาวก้าวลงมาจากบันไดนั้นแล้ว การมาของคณิตไม่ใช่การบังคับ เป็นเจ้าตัวที่เต็มใจมาหาเขาเอง เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วสำหรับการรอคอยที่ยาวนาน อย่างที่เขาบอกเจ้าตัวไปเมื่อกี้ เขาให้โอกาสคณิตถึงแค่คืนนี้ หากคณิตยังไม่มาหาเขา เป็นเขานี่แหละจะบุกไปถึงคอนโดฯ อุ้มเอาตัวมาขังไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง

“บอส...” น้ำเสียงคณิตลังเล ไม่ได้ลังเลเรื่องที่อชิตะขอ หากเป็นเรื่องที่อยากจะพูด เขาดึงมือใหญ่จากใบหน้ามากุมไว้ “บอสเคยบอกผมว่า บอสจะมีลูกกับคุณหวานสี่คน ผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน”

“คุณจะพูดถึงหวานทำไม ในเมื่อหวานก็มีครอบครัวของเขาแล้ว”

“เปล่าครับบอส ไม่เกี่ยวกับคุณหวาน แต่เกี่ยวกับบอส เกี่ยวกับผม” คณิตอธิบายสิ่งที่หน่วงอยู่ข้างใน “ตอนที่บอสอุ้มเด็กคนนั้น บอสดูมีความสุขมาก ผมก็เลยคิดว่า...”

“ผมควรหาผู้หญิงดีๆ สักคนมาเป็นแม่ของลูก” อชิตะพูดแทรกขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบ

คณิตพยักหน้าในความมืดที่ก็รู้ว่าอชิตะมองไม่เห็น

“บอสอยากมีลูก แต่ผมมีให้บอสไม่ได้” คณิตพูดออกมาช้าๆ อึดอัดที่หัวใจ มือของอชิตะที่เขากุมไว้ถูกเจ้าตัวดึงกลับ เขาตามคว้าไม่ทัน ทว่าเพียงไม่นานนักแสงขาวนวลจากแซนเดอร์เลียร์สีเงินก็ทำให้ห้องสว่างขึ้นทันที

“วันนั้นจะเป็นจะตายเพราะเรื่องที่ผมอุ้มน้องบีเอ็ม” ความสงสัยในวันนั้น มากระจ่างเอาตอนนี้

คนถูกถามพยักหน้ารับ ไม่กล้าสู้สายตาด้วย ได้แต่ฝากการมองเห็นไว้กับมือที่วางบนตัก...แต่อชิตะก็พูดเกินไปนะ เขาไม่ได้จะเป็นจะตายซะหน่อย ก็แค่อ่อนไหวไปตามความคิดที่ว่าตัวเขาเป็นผู้ชาย ท้องไม่ได้ มีลูกให้อชิตะไม่ได้ ทำให้อชิตะมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ไม่ได้เท่านั้นเอง

“คิดมากเกินไปแล้วนะครับคนเก่ง” อชิตะเชยคางเล็กให้เงยขึ้นมาสบตา ดวงตาสีอ่อนดูเศร้าสร้อย “ผมเคยคิดกับหวานว่าจะมีลูกด้วยกันก็จริง แต่ผมกับหวาน เราเลิกกันแล้ว ส่วนน้องบีเอ็ม ผมก็แค่ตื่นเต้น เพราะเพิ่งเคยเห็นเด็กออกมาจากท้องแม่ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก”

“แต่บอสยิ้มมีความสุขตอนที่อุ้มน้อง” คณิตแย้งเสียงเบา

“เล่นกับเด็กก็ต้องยิ้มสิ คุณจะให้ผมทำหน้ายักษ์ใส่ลูกคนอื่นหรือไง”

“ไม่รู้ล่ะ ผมเห็นบอสยิ้ม บอสมีความสุข ผมก็ต้องคิดแหละว่าบอสอยากมีลูก ลูกที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตของบอส ซึ่งผมมีลูกให้บอสไม่ได้ ก็มีแต่ผู้หญิงที่จะคลอดลูกให้ได้บอส”

“คิดเยอะ เมื่อก่อนไม่เห็นเยอะแบบนี้เลย” อชิตะยิ้ม “หรือเพราะผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณมากเกินไป คุณถึงได้เปลี่ยนเป็นคนคิดเยอะขึ้นมา” อชิตะลากเสียงเย้ากลั้วรอยขำ คนถูกเย้าตวัดสายตาค้อนมาอย่างไว

“เมื่อก่อนบอสก็ไม่หื่นขนาดนี้นะ” 

“มันเป็นเพราะคุณนะหนึ่ง เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมมีแต่ความคิดที่อยากเข้าไปในตัวคุณตลอดเวลา คุณทำให้ผมสำลักความสุขแทบตายทุกครั้งที่กระแทกตัวเข้าไปในช่องทางของคุณ” เสียงทุ้มแหบพร่าบอกอย่างเย้ายวน ก่อนยกร่างที่เล็กกว่าให้ลอยมาตกลงบนหน้าตักสัมผัสกับพลังความต้องการของเขา ชักชวนให้เรียวขาสองข้างของคณิตโอบรัดสะโพกของเขาไว้แนบแน่น

อชิตะจูบไล้บนใบหน้าฉ่ำสีแดง สูดกลิ่นหอมของผิวเนื้อนวลเนียนและขาวสะอาดอย่างหลงใหล

“ตอนนี้ผมก็ต้องการคุณ อยากเข้าไปในตัวคุณแทบใจจะขาดแล้วรู้ไหม อยากได้ยินเสียงครางแบบลืมอายของคุณ อยากให้คุณเรียกชื่อผมตลอดทั้งคืน อยากทำแรงๆ ให้สมกับความคิดถึงที่ผมมีให้คุณ ทำจนวันพรุ่งนี้คุณลุกจากเตียงไปไหนไม่ได้ แต่ผมก็อยากคุยกับคุณให้รู้เรื่องก่อน คุณจะได้เลิกคิดมาก หยุดคิดเยอะซะที”

เสียงหัวเราะในท้ายประโยคที่อชิตะเอ่ยออกมานั้น ช่วยละลายความวาบหวามเสียวซ่านลึกๆ ของคณิตให้จางลง ทว่าเขาก็ยังรู้สึกถึงใบหน้าที่ไม่ลดดีกรีความร้อนแทบไหม้ลงได้เลย ยิ่งหลับนอนด้วยกันมากเท่าไร อชิตะก็เหมือนจะมีถ้อยคำวาบหวามชวนให้เสียวซ่านในใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนเยอะแยะ

“หนึ่ง...” อชิตจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวเล็ก “คนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผมได้ มีแค่คุณ คุณคนเดียวที่ทำให้ผมหลงรักจนหัวปักหัวปำ แม้แต่ความรักที่ผมเคยมีให้หวาน มันก็ไม่ถึงครึ่งที่ผมรู้สึกกับคุณ”

“แต่บอสบอกว่าผมเป็นของเล่น”...สถานะที่ทำให้เขาเจ็บปวดมาตลอด

“ปริมาณความคิดของคุณ มันสวนทางกับคุณภาพมากเลยนะหนึ่ง คิดเองไม่ได้หรือไงว่าอันไหนผมพูดจริง อันไหนพูดเล่น” ว่าขำๆ ขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู พอถูกว่าเจ้าตัวก็ทำหน้าหงิก มองตาขุ่น แสดงอาการฮึดฮัดขัดใจ จะปีนลงจากตักเขาให้ได้ ดีที่มือเขาเหนียวเกี่ยวเอวบางเอาไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ดิ้นหลุดไปไหนได้ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนนั้นในสระว่ายน้ำ การกระทำทั้งหมดของผมยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ว่าผมต้องการคุณมากขนาดไหน ทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้ คุณยังเชื่อว่าผมเห็นคุณเป็นของเล่นอีกงั้นเหรอ”

“ก็บอสพูด” คณิตยังพยายามเถียง ทั้งที่เชื่อคำพูดของอชิตะไปแล้ว “ผมเจ็บทุกครั้งที่บอสบอกว่าผมเป็นของเล่น แถมบอสยังเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่ากับผม ทำเหมือนผมเป็นเครื่องระบายความใคร่อย่างเดียวเลย ถนอมก็ไม่ถนอม เอาแต่ได้”

“คุณก็ได้เหมือนกันนะหนึ่ง หรือว่าจะปฏิเสธว่าคุณไม่ชอบตอนผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณ ตอนที่ผมทำให้คุณเสร็จ ตอนที่เรากอดกัน จูบกัน และทำกันอีกรอบ” อชิตะย้อนถามกึ่งเย้านิดๆ

“ก็...ชอบ” ก็ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไม ในเมื่อมันเป็นความจริง “ไม่เอาเรื่องนี้แล้วได้ไหมบอส พูดเรื่องอื่นเถอะ” คณิตขอเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดเรื่องใต้สะดืออีกแล้ว เพราะไอ้อะไรที่อยู่ใต้สะดือที่เขานั่งทับอยู่นั้น มันดูจะแข็งแกร่งดุนดันขึ้นทุกที ทำเอาเขาสะท้านและอยากถูกเติมเต็มไปพร้อมกัน

“งั้นรีบพูด ผมจะได้รีบทำให้คุณมั่นใจว่า คุณไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นเมียของผม เมียที่จะขึ้นเตียงกับผมทุกคืนจากนี้ตลอดไป”

“ไม่หื่นสักประโยคได้ไหมบอส” คนตัวเล็กทำหน้ายุ่งแต่แอบอมยิ้มอาย

เฮ้อ...เมื่อก่อนเขาเคยเจ็บใจกับคำว่าเมียมาก เกลียดมากด้วย ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากให้อชิตะเรียกเขาว่าเมีย มาตอนนี้ยามที่ถูกเรียกว่าเมีย เขาเหมือนเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับอชิตะไปซะแล้ว

“บอสมั่นใจแล้วใช่ไหม ว่ามันคุ้มที่บอสจะเอาผมเป็นเมียไปตลอดชีวิตของบอส คุ้มแล้วเหรอที่บอสเลือกผมแทนที่จะเลือกลูกๆ ของบอส แก่ไปบอสจะไม่มีลูกมีหลานคอยดูแลนะ”

“แต่ผมมีคุณ เรามีกันและกัน แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือหนึ่ง” คนตัวเล็กพยักหน้าแทนคำตอบ “สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหน เราจะแก่ไปด้วยกัน อยู่ดูแลกันและกันไปตลอดชีวิต”

“สัญญา” คณิตพยักหน้ารัวเร็ว ไม่ลืมจะทวงคำสัญญาจากอีกฝ่าย “บอสก็สัญญาด้วยว่าจะไม่ทิ้งผม ห้ามเบื่อผม ถึงผมจะงี่เง่า คิดเยอะ คิดมากก็ตามนะ บอสต้องใจดีกับผมเหมือนเมื่อก่อน ไม่พูดให้ผมเสียใจ ห้ามโหดกับผมเหมือนที่ผ่านมาด้วย”

“ขอเยอะกว่าผมอีกนะหนึ่ง” อชิตะพูดกลั้วรอยยิ้มเอ็นดู

“ยังไม่หมดนะบอส”

“หือ? ยังมีอีก” อชิตะแกล้งทำตาโต

“ก็เหลืออีกอย่าง แต่มันเป็นคำถามที่ผมอยากให้บอสช่วยตอบ” ...ตอบให้เขามั่นใจ

“งั้นว่ามา”

“ถ้าบอสอยากมีลูกขึ้นมา บอสจะทำยังไง จะทิ้งผมไปไหม”

“คุณคิดมากกับเรื่องลูกเกินไปแล้วนะ”

“ก็ผมคิดแทนบอสไง ตอบมาสิบอส” คณิตเร่ง

“แล้วถ้าผมถามคุณด้วยคำถามเดียวกัน คุณมีคำตอบให้ผมไหม” อชิตะเห็นคนถูกถามนิ่งไปชั่วขณะ คิ้วเล็กขมวดใกล้เป็นปม มองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ ก่อนพูดออกมาว่า

“ก็ผมเป็นแบบนี้แล้ว ทำใครท้องไม่ได้หรอก แล้วผมก็ไม่อยากทำใครท้องด้วย เพราะผม...รักบอส”

“อืม ตอบดี” อชิตะยิ้มพอใจคำตอบของคนตัวเล็ก “คำตอบของผมก็เหมือนของคุณ ต่อให้ผมอยากมีลูก ผมก็ไม่นึกอยากจะไปทำผู้หญิงคนไหนท้อง นอกจากผู้ชายคนเดียวที่ผมจะนอนกอดไปตลอดชีวิต”

“แต่บอสอยากมีลูก” 

“ผมต้องพูดหรือทำอะไรคุณถึงจะหยุดคิดเรื่องนี้ซะที” อชิตะถามเสียงเข้มใส่คนคิดเยอะ ถ้ารู้ว่าเขากับคณิตจะลงเอยกันด้วยความรัก เขาจะไม่เล่าแผนมีลูกให้คณิตฟังเด็ดขาด กลายเป็นว่ามันฝังอยู่ในหัวของคณิตซะงั้น

“หยุดก็ได้” เจ้าตัวตอบเสียงสะบัด งอนที่โดนถามกึ่งตำหนิ แต่ก็ไม่วายพูดออกมาอีก สิ่งที่ยังค้างในความคิด “ชีวิตบอสจะไม่สมบูรณ์นะ บอสจะไม่ได้อุ้มเด็กตัวแดงๆ ไม่ได้เป็นพ่อคน กลับบ้านมาแล้วก็ไม่มีเด็กน่ารักๆ วิ่งเข้ามากอด ไม่ได้ส่งลูกไปโรงเรียน ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมวันพ่อ ไม่ได้สอนลูกทำการบ้าน ไม่ได้ไปงานรับปริญญาของลูก ไม่ได้เห็นวันแรกที่เขาไปทำงาน ไม่เห็นวัน
แต่งงานของเขา แล้วก็ไม่ได้เห็นวันที่เขาประสบความสำเร็จด้วย”

“คุณไปไกลแล้วหนึ่ง” อชิตะหลุดขำ ทั้งที่อุตส่าห์ทำเสียงเข้มดุคนตัวเล็กอยู่แท้ๆ “ผมอยากให้คุณเข้าใจซะใหม่ ว่าชีวิตผมไม่ต้องการลูกเด็กเล็กแดงอะไรทั้งนั้น นอกจากต้องการคุณ หัวใจของคุณ และตรงนี้ของคุณ”

คณิตกำลังซึ้งกับสายตาหวานล้ำของคนพูด แต่อารมณ์ก็ต้องมาสะดุดเพราะนิ้วแกร่งที่ขยับเย้าแหย่ช่องทางด้านหลังของเขา

“บอส! อย่าเล่นได้ไหม ผมกำลังจริงจังนะ” คนตัวเล็กโวยวายเสียงดังลั่นห้อง หยิกเล็บลงบนหลังมือหนาหลายสิบทีก่อนมันจะล่าถอยกลับไป

“ฟังให้ดีนะหนึ่ง เมื่อก่อนผมอาจเคยคิดว่าชีวิตที่สมบูรณ์คือการแต่งงาน มีลูก แต่ตอนนี้ที่ผมจ้องตาคุณ มีคุณไว้กอด ได้รักคุณ ผมคิดว่านี่แหละคือชีวิตที่สมบูรณ์แล้วสำหรับผม ผมไม่ต้องการอะไรอีก แค่ได้นอนข้างคุณทุกคืน มันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว”

“แล้วถ้าบอสอยากมีลูกล่ะ”

“ถ้าผมไม่ตอบเรื่องนี้ คุณจะไม่ยอมหยุดใช่ไหม งั้นฟังอีกครั้งนะ ถ้าเมื่อไรที่คุณกับผมอยากมีลูกขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยววิธีมันก็มาเอง โดยที่ผมหรือคุณไม่ต้องไปมีอะไรกับผู้หญิงคนไหน แต่ก่อนอื่นคุณต้องหลุดออกมาจากความคิดที่ว่า คู่รักที่เป็นหญิงชายเท่านั้นที่มีลูกได้ คู่รักแบบคุณกับผม หรือแบบผู้หญิงกับผู้หญิงก็มีลูกได้ เพราะโลกเรามีทั้งธรรมชาติ ทั้งวิทยาศาสตร์”

“วิธีธรรมชาติก็ต้องแบบผู้หญิงผู้ชายอยู่ดีแหละบอส” คณิตยังหน้ายุ่งต่อเนื่อง ในเมื่อธรรมชาติในช่วงชีวิตของเขากับอชิตะ ไม่ได้สร้างพื้นที่ให้กำเนิดไว้ในร่างกายผู้ชายนี่นา

“ผมไม่เถียง แต่จะบอกคุณว่า วันหนึ่งๆ มีเด็กที่ถูกทิ้งหลังคลอดเพราะพ่อแม่ไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูเยอะมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่ท้องในวัยเรียน คุณรู้ไหมว่าว่าประเทศไทยเราติดอันดับโลกเรื่องนี้เลยนะ”

“บอสจะมาสาระอะไรตอนนี้เล่า ผมรู้น่า โทรทัศน์หนังสือพิมพ์ก็ออกข่าวเยอะแยะ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว” คณิตก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้เสียหน่อย ประเทศไทยน่ะติดอันดับโลกเรื่องวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควร เขาเคยอ่านข่าวเจอ เด็กผู้หญิงอายุแค่สิบสามปีก็ท้องแล้ว เขายังนึกเสียดายอนาคตของเด็กที่ท้องในวัยเรียนเลย แต่ที่สงสารยิ่งกว่าคือเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งเพราะพ่อแม่ไร้ความรับผิดชอบ

“ผมพูดให้คุณรู้ไงว่าถ้าวันหนึ่งเราสองคนพร้อมจะดูแลเด็กสักคนหนึ่ง เราก็ยื่นเรื่องขอเป็นพ่อแม่เด็กพวกนั้นได้”   

“แต่เด็กไม่มีเลือดเนื้อของเรานะบอส เราจะรักเขาเหมือนลูกเราจริงๆ ได้เหรอ” คณิตนึกภาพไม่ออกว่าเขาจะรักเด็กที่ไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้ยังไง อาจจะรัก แต่จะรักด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดได้จริงเหรอ

“ไม่ลองไม่รู้” อชิตะก็หาคำตอบให้คณิตไม่ได้เหมือนกัน มันต้องให้ถึงวันนั้นเสียก่อน “แต่ถ้าเราสองคนได้ช่วยดูแลปกป้องชีวิตเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี มีชีวิตที่ดีได้ มีความคิดที่ดี มันก็น่าภูมิใจนะหนึ่ง”

“นั่นไง บอสอยากมีลูก ยอมรับมา...โอ๊ยย บอส ดีดทำไมเล่า” คณิตร้องด้วยความเจ็บเพราะถูกอชิตะดีดนิ้วเข้าที่หน้าผาก ไม่แรงมากแต่ก็เจ็บเอาการ

“ดีดให้สมองคุณหยุดคิดเรื่องผมอยากมีลูกซะทีไงหนึ่ง” บอกด้วยน้ำเสียงเซ็งจัดที่ต้องมารบกับความคิดของคณิต “เอาเป็นว่าถ้าอยากให้ผมยอมรับนักละก็ ผมยอมรับก็ได้ว่าอยากมีลูกมาก พอใจหรือยัง จะหยุดไหม” 

“หยุดก็ได้ แต่ผมมีลูกให้บอสไม่ได้นะ ทำให้ตายยังไงก็ไม่มี”

“ผมก็มีลูกให้คุณไม่ได้ ถือว่าเจ๊ากันนะ”

คนตัวเล็กพยักหน้ารับ มันก็จริงอย่างที่อชิตะว่า อชิตะก็มีลูกให้เขาไม่ได้เหมือนกัน     

“เลิกคิดเรื่องลูกได้แล้ว ผมไม่อยากให้คุณคิดถึงสิ่งที่เราสองคนมีไม่ได้ หรือคิดว่าไม่มีลูกแล้วชีวิตเราจะขาด เป็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์” เขายกมือลูบกลุ่มผมนุ่มด้วยความรู้สึกรักและเอาใจ “...เพราะมันสมบูรณ์ตั้งแต่ที่คุณกับผมอยากใช้ชีวิตด้วยกันแล้วนะ”
สัมผัสของอชิตะและน้ำเสียงอบอุ่นทำเอาคณิตยิ้มไปทั้งใจ อชิตะพูดถูกทุกอย่าง มีแต่เขานี่แหละที่เอาความกลัวในใจมาตั้งเป็นคำถาม เพื่อให้แน่ใจว่าอชิตะเลือกเขามากกว่าลูกที่เจ้าตัวอยากมี

“ผมขอโทษที่เอาแต่คาดคั้นบอสเรื่องลูก” คณิตสารภาพ “ความจริงคือผมแค่อยากมั่นใจว่าบอสเลือกผมแล้วจริงๆ ต่อให้ผมมีลูกให้บอสไม่ได้ บอสก็จะรักผมไปจนวันตาย เพราะผมก็จะรักบอสไปจนวันตายเหมือนกัน” 

“อยากให้ผมรักคุณไปจนวันตาย คุณก็ทำให้ผมรักคุณมากขึ้นทุกวันสิครับคนเก่ง” พอได้ฟังเหตุผลแท้จริงที่คนตัวเล็กสารภาพออกมา ก็ทำให้นึกเอ็นดูและอยากแกล้งไปพร้อมกัน “ทำได้ไหม ทำให้ผมรักคุณมากขึ้นทุกวัน”

“ต้องทำยังไง?” คิ้วเรียวขมวดยุ่ง จนด้วยวิธี ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้อชิตะรักเขามากขึ้นทุกวัน เพราะทุกวันนี้คณิตยังไม่รู้เลยว่าอชิตะรักเขาตรงไหน

“ทำให้ผมสำลักความสุขแทบตายในตัวคุณ”

โอเค! คณิตเข้าใจแล้ว มือเล็กถึงได้ฟาดไหล่หนาไปสองที ที่ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดรุนแรงให้คนโดนฟาดเลย นอกจากเสียงหัวเราะ และน้ำเสียงหื่นกระหายที่ตามมา

“ให้ผมกระแทกหนักๆ ในตัวคุณ”

“บอส!”

“ให้ผมทำแรงๆ กับคุณทุกคืน คืนละหลายๆ รอบ”

“เซ็กซ์จัด!”

“ทำได้ไหม” อชิตะถามด้วยรอยยิ้มเย้าแหย่ สมองมือหยอกล้อกับสะโพกเล็กที่ดิ้นปัดป่าย ยิ่งทำให้เขาตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ความร้อนระอุแทบจะทะลุเนื้อผ้าออกมาเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดที่คำถามของคนเจ้าปัญหา กับใบหน้าที่เริ่มปรากฎความน้อยอกน้อยใจตามออกมา เขาก็คงมุดไปชิมความหวานในช่องทางรักแสนยั่วยวนนั้นไปแล้ว

“บอสรักผมเพราะเรื่องเซ็กซ์อย่างเดียวใช่ไหม เพราะผมรับความซาดิสม์ของบอสได้งั้นล่ะสิ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ ก็คณิตไม่เคยรู้เลย ว่าอชิตะรักเขาตรงไหน แต่ละครั้งที่บอกรักก็มาจากเรื่องเซ็กซ์ทั้งนั้น บอกรักเขาเพื่อจะได้มีเซ็กซ์กับเขา

“คุณอยากได้คำตอบไหน” อชิตถามกลับด้วยรอยยิ้ม “คำตอบแบบจริงจังหรือแบบเอาใจ”

“เอาแบบจริงสิครับบอส” คณิตนึกขวาง เล่นลิ้นอยู่ได้

ก่อนตอบอชิตะจูบปากคณิตเบาๆ แล้วจึงถามเสียงนุ่ม ตามด้วยรอยยิ้มหวาน

“จำจูบแรกของเราได้ไหม?”

คณิตพยักหน้าแทนคำตอบว่าจำได้ เขาจำได้ จำได้ไม่ลืมเชียวล่ะ จูบที่เขาเป็นฝ่ายเชิญชวน จูบเหมือนเมื่อกี้ที่มันเบาบางแต่ติดนาน แล้วทำให้ทุกอย่างดำเนินมาจนถึงวันนี้ นาทีนี้...

“ผมจูบคุณไปโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวก็ตอนที่ผมอยากจูบคุณอีกครั้ง ผมคงรักคุณแบบไม่รู้ตัวมากนานแล้วมั้ง เหมือนที่ผมจูบคุณไปแบบไม่รู้ตัว ส่วนเซ็กซ์ก็ทำให้ความรักของผมชัดเจนขึ้นทุกวัน” อชิตะจูบปากเล็กอีกครั้ง แล้วพูดต่อ “เซ็กซ์กับคุณ สำหรับผมมันคือความรักไปแล้ว เพราะทุกครั้งที่ผมมีอะไรกับคุณ ในหัวผมมีแต่คำว่า...ผมรักคุณ”

นิ้วแกร่งเริ่มขยับรุกเร้าช่องทางด้านหลังของร่างเล็กผ่านเนื้อผ้า เพื่อทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับคำพูดต่อมาของเจ้าของมัน

“ทุกครั้งที่ผมทำรุนแรงใส่คุณตรงนี้ มันหมายถึงผมรักคุณแทบบ้า ผมต้องการคุณ ผมต้องเป็นเจ้าของคุณให้ได้ ชีวิตคุณต้องเป็นของผม คุณจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากผมคนเดียว ผมจะตีตราความเป็นเจ้าของคุณด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี... และบอกคุณว่ามีแค่คุณคนเดียวที่เป็นความรักของผม คุณคนเดียวที่ทำให้บ้าคลั่งได้ขนาดนี้ คุณคนเดียวที่ทำให้ผมไม่ต้องการใครอีกแล้ว เพราะคุณเป็นทั้งความรักและเซ็กซ์ของผม”

“ผมต้องภูมิใจใช่ไหมเนี่ยที่เป็นทั้งเซ็กซ์ ทั้งความรักของบอส” คณิตถามแก้เขิน นิ้วที่พยายามจะแทรกเนื้อผ้าบางของกางเกงนอนขายาวของเขา มันทำให้เขาต้องกัดฟันข่มอารมณ์ไปหลายที

“คุณต้องรู้สึกโรแมนติกสิหนึ่ง” ว่าแล้วก็หัวเราะ ละมือจากสะโพกนิ่ม เพื่อจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ขอบกางเกงผ้ายืดของคนที่นั่งบนตัก “...โรแมนติกบนตัวผมนะ”

“บอส!”

“ทำเลยไหมครับคนเก่ง ดูดผมเข้าไปในตัวคุณ ทำให้ผมสำลักความสุขแทบตายในตัวคุณ พาผมขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับคุณ” ดวงตาที่ฉ่ำด้วยปรารถนาเร่าร้อนร้ายดังเปลวเพลิงเผาไหม้ร่างเล็กให้หลอมละลาย “พิสูจน์ให้ผมเห็นหน่อยนะหนึ่ง ว่าเซ็กซ์กับผมคือความรักของคุณเหมือนกัน”

“เอาเจลมาสิ! ช้าอยู่ทำไมเล่า”

จะเขินอายบ่ายเบี่ยงให้เสียเวลามีความสุขและตะโกนบอกรักกันด้วยภาษากายทำไมเล่า อชิตะบอกว่าเซ็กซ์กับเขา มันคือความรัก เขาก็เช่นกัน...

จูบคืนนั้นคือจุดเริ่มต้น หัวใจที่อบอุ่นและมือที่โอบกอดตัวเขาไว้ก็เป็นดังผลผลิตของมัน

End

 :L2:
จบสักทีเนอะ ^_^
สนใจนิยาย รัก...ได้ไหม ในรูปเล่มหนังสือ
เข้าไปดูรายละเอียดที่เพจนิยายสีเหลืองอ่อนได้เลยนะคะ
ตอนพิเศษน่ารักน้า มีของ "ชิตแสง" ด้วย
ปิดจอง 5 กันยา 60 นี้นะคะ

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนจบ UP 02-08-17 **ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-08-2017 23:07:53
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนจบ UP 02-08-17 **ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-08-2017 11:02:13
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนจบ UP 02-08-17 **ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 04-08-2017 00:30:45
ขอยอมรับว่าเพิ่งเจอเรื่องนี้และอ่านรวดเดียวจบ

ขออนุญาตแนะนำนะคะ
สำหรับเราแกนเรื่องหลักสนุกมากกกกกก อาจจะเพราะคนเขียนแต่งได้ลื่นไหลขอชมเลย แต่ว่าเปิดเรื่องนี่คิดว่าเรื่องจะใสใส แต่พอได้กันจนถึงจบเรื่องนี่เหมือนเป็นนิยายอีกสไตล์นึงไปเลย55555

แต่อยากบอกว่า เราอยากให้คนเขียนแต่งสไตล์รักแบบจิตๆหลอนๆ รักแบบบ้าคลั่ง คุณแต่งได้เยี่ยมมาก เห็นได้ชัดจากตอน ห้องใต้ดินกับตอนที่แม่พระเอกมาตามแล้วพระเอกกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มันทำให้เราคิดว่าพระเอกจิตจนถึงขนาดควรไปพบหมอ 5555 ชอบบบบบ

และก็ตอนหลังๆอ่ะ เรื่องมันยืดไปหน่อย แต่เราโอเคนะอ่านได้เรื่อยๆอยู่ แม้ว่าจะชอบอ่านฉากโคมไฟ แต่ตอนหลังๆคำพูดติดเรทเยอะไปนิดเนอะ มันเลยไม่ค่อยวูบวาบ เอ๊ะ หรือเราเป็นคนเดียว

เป็นกำลังใจให้นะคะ จะไปตามอ่านเรื่องอื่นๆอีก

อันนี้ขอพื้นที่ด่าพี่อิง55555 เอาจริงๆนะ พี่อิงเป็นพระเอกที่เราไม่อยากให้สมหวังเลย นางทำให้หนึ่งเจ็บมากอ่ะ คือแบบ เห้ย เป็นคนรักกันนะทำไมไม่ปรึกษากัน อยากทิ้งก็ทิ้งกันง่ายๆแบบนี้อ่ะเหรอ คือสงสารหนึ่งมากกกกก ร้องไห้ตามเลย
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) [ซีรีส์ "รัก..."] ตอนจบ UP 02-08-17 **ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-08-2017 01:37:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) Spoil ตอนพิเศษ*** 18-08-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-08-2017 15:28:16

ตอนพิเศษ (ในเล่ม) “หัวใจของผมคือเขา”

ความรู้สึกของผมคงเหมือนลูกโป่งที่ไม่มีวันแตกได้เอง แต่เมื่อไรที่ถูกเข็มปลายแหลมแทงเข้ามา มันก็พร้อมระเบิดและปลดปล่อยทุกสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาจนหมดสิ้น


ผมว่า...นี่แหละคือความรู้สึกที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักของผม


เมื่อเลือกได้...ผมก็ขอเลือกจะไม่พูดถึงเรื่องของผมกับอดีตคู่หมั้น ซึ่งเธอมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นไปนานมากแล้ว แต่การกระทำของผมในครั้งนั้นเมื่อนานมาแล้ว เรียกว่าเลวร้ายพอสมควร ชนิดที่ไม่น่าให้อภัยเลย แต่หัวใจของผมนั้นเลวยิ่งกว่าการกระทำซะอีก


ผมยอมรับว่าวินาทีที่ได้แนบริมฝีปากตัวเองลงบนกลีบปากเย็นชืดแต่นุ่มเหลือเกินของคนที่ในยามนี้ได้ทอดกายเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผม ลมหายใจเบาบางฟ้องว่าเจ้าตัวเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมความรักที่ผลาญพลังงานมากพอสมควร จนเข้าสู่ห้วงนิทราโดยง่ายเพียงเวลาไม่ถึงสองนาที หลังจากผมปลดปล่อยความปรารถนาทั้งหมดเข้าไปภายในช่องทางรักของเขา ยามนั้นผมรู้ทันทีว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการคนคนนี้มากกว่าใครทั้งโลก เขาคือคนที่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อได้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจ


การได้จูบกับเขากลางสระว่ายน้ำในค่ำคืนนั้นเป็นเหมือนการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแบบฉับพลัน ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีความเสี่ยง หรือเกิดอาการร่างกายต่อต้านแต่อย่างใด ทว่ามันกลับเปลี่ยนผมที่แสนดี กลายเป็นคนใจร้ายไปในพริบตาเดียว ซ้ำร้ายหัวใจดวงใหม่ของผมยังเต็มไปด้วยความปรารถนาแสนร้อนแรงและเอ่อล้นแบบไม่มีวันสิ้นสุด แม้กระทั่งตอนนี้ ทั้งที่กอดร่างกายขาวสะอาดไว้ในอก ผมก็ยังต้องการเขา ปรารถนาในตัวผู้ชายที่ชื่อ ‘หนึ่ง’ ไม่น้อยไปกว่าวันแรกที่ผมต้องการเขาเลย


‘หนึ่ง’ คือ ‘หนึ่งเดียว’ ในหัวใจผมนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ และตลอดไป ผมแน่ใจว่า...ผมจะรักหนึ่งไปจนวันสุดท้ายที่ผมมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้


ขณะที่ผมกอดหนึ่งที่นอนหลับสนิทจากกิจกรรมรักแสนหนักหน่วงนั้น ผมกำลังนึกย้อนไปถึงวันหนึ่งเมื่อวันวาน มันเป็นวันเสาร์ น่าจะเป็นเวลาสักประมาณบ่ายสองบ่ายสาม ผมกับหนึ่ง เราต่างนั่งทำงานของตัวเองอยู่ในห้องทำงานที่ตั้งอยู่ทางปีกขวาของตัวบ้านชั้นหนึ่ง ผมดูเอกสารสำคัญของบริษัท ส่วนหนึ่งนั่งเขียนแปลนบ้าน จู่ๆ หนึ่งก็หมุนเก้าอี้มาถามผมว่า...


‘จริงหรือเปล่าครับบอส ที่บอสเล็งผมมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมมา
สมัครงาน’


ผมเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมาตอบหนึ่งไปตามความจริงว่า


‘เปล่า’


สาบานได้ว่าครั้งแรกที่เห็นผู้ชายตัวขาวจัดและติดจะผอมเอามากๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ผูกเนกไทสีกรมท่า และตัดผมทรงหน้าม้าเด๋อๆ ผมไม่ได้มีความรู้สึก ‘รักแรกพบ’ หรือ ‘คิดไม่ซื่อ’ กับเจ้าตัวเลย


‘แต่ภัทรบอกว่า...พี่ปูเล่าว่าบอสเล็งผมตั้งแต่วันที่มาสมัครงาน เพราะแทนที่บอสจะเลือกไอ้ตินที่ได้เกียรตินิยม แต่บอสกลับเลือกผม ส่วนไอ้ตินได้งานก็เพราะเป็นเพื่อนผม’


ผมนึกย้อนกลับไปวันนั้นอีกครั้ง ก็จริงอย่างที่หนึ่งพูด ทั้งที่เดินเข้ามาในบริษัทพร้อมกันสองคน ผมกลับมองเห็นหนึ่งชัดกว่าอีกคน ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นตินใส่เสื้อสีอะไร ผูกเนกไทสีอะไร ทำผมทรงไหน แต่กับหนึ่งผมจำได้จนถึงวันนี้ จำได้ดีที่สุดคงเป็นรอยยิ้มแรกที่เจ้าตัวส่งมาให้ผม


ยิ้มของหนึ่งไม่ได้หวานเหมือนผู้หญิง แต่ให้ความรู้สึกเพลินตา


ยิ้มใสซื่อของเด็กจบใหม่ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากให้ ‘โอกาส’ เขาได้ทำงานในบริษัทผม ผมไม่ได้ดูคุณสมบัติของหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แค่เดินไปหาคุณปูและบอกเธอว่า ผมถูกใจเด็กเสื้อฟ้า รับคนนี้เลยละกัน แต่คุณปูบอกว่าตินน่าสนใจมากกว่า เพราะเรียนจบมาด้วยเกียรตินิยม ทว่าผมยังยืนยันความต้องการเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือให้รับตินเข้ามาทำงานด้วยเสียเลย


ผมก็เพิ่งรู้ในตอนที่หนึ่งตั้งคำถามกับผม ว่านอกจากวันนั้นผมจะให้โอกาสหนึ่งแล้ว ผมยังให้โอกาสตัวเองได้เป็นเจ้าของชีวิตหนึ่งด้วย


‘อาจจะใช่’ ผมตอบหนึ่งไปอย่างนั้น หนึ่งก็ทำหน้ายุ่ง ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจคำตอบ


‘ต้องไม่มี ‘อาจจะ’ สิบอส บอกมาเลยว่าวันนั้นคิดไม่ซื่อกับผมแล้วใช่ไหม’ หนึ่งยังคาดคั้นจะเอาให้ได้ดังใจ


‘เปล่า’ ผมยังปฏิเสธ ก็ผมไม่ได้คิดอะไรกับหนึ่งจริงๆ วันที่เจอหนึ่งครั้งแรกก็แค่ถูกใจรอยยิ้ม ชอบความสดใสของเด็กจบใหม่ แต่สาบานว่าไม่ได้คิดไม่ซื่อกับเจ้าตัวเลย เพราะตอนนั้นผมมีคนรักอยู่แล้ว


แต่หนึ่งยังไม่พอใจคำตอบ ถามเสียงกระเง้ากระงอดกลับมา หน้าตางอแงสุดๆ บอกเป็นนัยว่าให้ผมเอาใจเขาได้แล้วนะ


‘แล้วบอสรับผมเข้ามาทำงานทำไม เกรดผมต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนั้น สู้ไอ้ตินก็ไม่ได้’ ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าหนึ่งเรียนจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยเท่าไร แต่งานของหนึ่งดีทุกชิ้นนะ ลูกค้าชมตลอด


‘ถามทำไม อยากรู้ทำไม’ ผมก็ยังไม่พูดเอาใจอย่างที่เจ้าตัวต้องการเพราะผมชอบเห็นเวลาหนึ่งน้อยใจแบบคนแสนงอน มันทำให้ผมอยากขย้ำให้เจ้าตัวจมลงไปในห้วงปรารถนาของผม


‘ก็อยากรู้ความจริงไงบอส!’ เจ้าตัวทำปากยื่นยาวด้วยความแสนงอนผสมกับอาการน้อยใจ นั่นทำให้ผมมองเห็นโอกาสอันโอชะอีกจนได้


‘มานี่สิหนึ่ง’ ผมเรียกเจ้าตัวด้วยเสียงที่ผิดไปจากเดิม เจ้าของชื่อมีสีหน้าลังเล ตาเรียวเล็กมองผมอย่างไม่ไว้ใจ กลีบปากบางขบเม้มเข้าหากันราวกับจะสั่งตัวเองว่า...ห้ามหลงเชื่อผมเด็ดขาด


ผมจึงต้องย้ำซ้ำ เร่งให้เจ้าตัวเดินมาให้ผมขย้ำโดยเร็ว


‘อยากรู้ก็มานี่ ผมจะบอกทุกอย่างที่คุณอยากรู้’


หนึ่งลังเลอยู่สักพักกว่าจะยอมลุกจากเก้าอี้เดินมาหาผมได้


‘อยากรู้มากหรือไงว่าผมรู้สึกยังไงตอนเห็นคุณครั้งแรก’ ผมถามกลับเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงโต๊ะทำงานของผม (ซึ่งก็อยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของหนึ่งไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ) ผมหมุนเก้าอี้เข้าหาตัวหนึ่ง ดึงร่างเล็กให้มายืนระหว่างขาทั้งสองข้าง วางมือบนสะโพกเล็กแต่นุ่มและเต็มมือ หนึ่งใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขอบผ้ายืด ซึ่งเหมาะกับกิจกรรมที่ผมปรารถนาจะทำ


หนึ่งพยักหน้า ใบหน้ายังไม่หมดความระแวงและระวังภัยที่จะเกิดกับร่างกายของตัวเอง คงเห็นสายตาที่แสดงออกชัดเจนของผมและน้ำเสียงที่ลดระดับลงมาแทบจะเป็นกระซิบ


‘ทำให้ผมพอใจ’ พูดยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ ตาเรียวเล็กก็ตวัดมองแรงและด่าแบบไม่มีเสียง จ้องตาแข็งกับผมนานเกือบนาที เพราะตรงนี้ไม่ใช่ห้องนอนที่มิดชิด แต่เป็นห้องทำงานที่มีผนังห้องสองด้านที่กรุด้วยกระจกใส ผ้าม่านเนื้อหนาหนักถูกรูดเก็บอยู่ตรงมุมห้อง มีเพียงผ้าม่านสีครีมเนื้อบางปิดกั้นสายตาจากคนภายนอก


เมื่อผมไม่ยอมกลัวสายตาของเขา หนึ่งก็หมดหนทางที่จะเอาชนะความต้องการของผม และพ่ายแพ้ต่อความอยากรู้ของตัวเอง


ข้อดีของความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเจ้านายของหนึ่ง ก็คือการที่หนึ่งยังรู้สึกว่าผมเป็นเจ้านายของเขา (แม้ตอนนี้หนึ่งจะทำงานในบริษัทของตินแล้วก็ตาม) หนึ่งจะมีความเกรงกลัวและเกรงใจผมอยู่ในจิตสำนึกของเขาตลอดเวลา ต่อให้หนึ่งดื้อหรือแสดงท่าทีต่อต้านความต้องการของผมอย่างสุดชีวิต สุดท้ายเขาก็จะยอมแพ้ให้กับความต้องการของผม เหมือนลูกน้องที่ยอมทำตามคำสั่งเจ้านาย


ทุกวันนี้ผมเลยไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจ‘เมีย’ หรืออยู่สมาคมคนกลัวเมีย เหมือนอย่างที่คนรอบตัวผมเป็น อย่างเช่นหมอนุกับตินเป็นต้น



‘บอสก็เอาแต่รังแกผมได้ทุกเวลา หื่นไม่เว้นสถานที่จริงๆ’ เจ้าตัวบ่นอุบอิบ ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าผม โดยที่ผมไม่ต้องพูดความต้องการออกมา เพียงแค่ดึงมือเล็กมาวางไว้บนจุดกลางตัว ซึ่งเป็นอันรู้ดีว่าผมต้องการให้เขาทำอะไรเป็นอันดับแรก


‘คุณอยากรู้เองนะหนึ่ง โทษผมไม่ได้ ไม่อยากได้คำตอบ ก็ไม่ต้องทำ’ ...เพราะผมจะทำเอง ประโยคนี้ผมพูดต่อในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมาให้คนที่กำลังรูดซิปกางเกงผมลงและเงยหน้าที่ซับสีเลือดขึ้นมามองค้อนผมได้ยิน 


‘ผมไม่ได้โทษบอส ผมโทษความหื่นของบอสต่างหาก!’ ท้ายประโยคเจ้าตัวกระแทกเสียงหนักใส่ผม ซึ่งไม่ได้น่ากลัว ซ้ำผมยังรู้สึกว่ามันเป็นมุมที่แสนน่ารักของผู้ชายคนนี้


ความน่ารักของหนึ่งคือฝีปากเก่งกล้า แต่ไม่เคยรอดน้ำมือผมไปได้สักตอน ดื้อให้ตายยังไง สุดท้ายความดื้อจะละลายในอ้อมกอดผมเสมอ...



‘เพราะคุณหนึ่ง’

.

.

.

.
ยัง! ยังไม่จบแค่นี้ ยังมีเหลืออีกเยอะกับ “ความอิง”
จะต้องร้องว่า ความอิงนี้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆๆๆๆ
...อ่านต่อในเล่มนะคะ ^_^
สนใจตามรายละเอียดการสั่งจองได้ที่ เพจนิยายสีเหลืองอ่อน ตามลิ้งนี้นะคะ

https://www.facebook.com/byaeaw/

แล้วจะเอาตอนพิเศษ “แสงตะวันของผม” เรื่องราวของ ชิต-แสง มาสปอยให้อยากได้นะคะ

สีเหลืองอ่อน
ปล. คนโพสแบบนี้จะเข้าข่ายผิดกฎการซื้อขายไหม ไม่ผิดใช่ไหม
แต่คนเขียนของ ID ซื้อขายไปแล้ว แต่ต้องรออนุมัติตามรอบก่อน
ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้รับอนุมัติเลข ID ซื้อขายเลย คงไม่เป็นไรใช่ไหม
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) Spoil ตอนพิเศษ*** 18-08-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 18-08-2017 15:53:13
อืม จะว่าไม่ดี มันก็ไม่เชิงนะครับ ในมุมมองผม เราร่ายกันทีละจุดดีกว่า

จุดแรก เรื่องแพทเทิร์นของงานเขียนครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม คนอ่านส่วนมากจะอ่านหรือไม่ ก่อนที่จะดูเนื้อเรื่องหรือพล็อต คนส่วนมากจะดูก่อนว่าสามารถเขียนได้ ‘สบายตา’ หรือเปล่า มีการเว้นวรรคถูกไหม มีการขึ้นหัวข้อและขึ้นบรรทัดใหม่ ย่อหน้าใหม่ จัดองค์ประกอบของเนื้อความหนึ่งตอนให้คนอ่านสามารถย่อย ‘สาส์น’ ที่เราจะส่งไปได้อย่างเรียบง่ายหรือเปล่า ถ้าเขียนติดกันเป็นพรืด ไม่ได้เว้นวรรคหรือเว้นบรรทัดให้สบายตาเหมาะสม ไม่ได้มีการใช้ลูกเล่นในภาษา หรือไม่ได้เล่นสีแสงเอฟเฟกต์อะไรมาก(พวกตัวจุด, ตัวย่อ, ตัวหนา, ตัวเอียง) คนอ่านจะอ่านแล้วเหนื่อยครับ เพราะใน Perspective ของเขา อ่านแล้วเขาต้องมานั่งย่อยความอีกครั้ง ใครพูดอะไร ตรงไหนคือการคิด ตรงไหนของใคร ตรงไหนบรรยาย อรรถรสในการอ่านมันจะเสียไปครับ แล้วจะพาลทำให้คนไม่ติดตามเอาในกรณีที่พล็อตหรือเนื้อเรื่องคุณไม่ได้เด่นขึ้นจากพล็อตโดยทั่วไปครับ สำหรับเรื่องนี้ มีบางตอนก็เว้นบรรทัด บางตอนก็ไม่เว้นบรรทัดเลย บางตอนเล่นลูกเล่นทำให้เราแยกออกได้ว่าตรงไหนคำพูด ตรงไหนบรรยาย ตรงไหนเป็นความรู้สึก แต่บางตอนก็เขียนติดๆกันจนเราต้องมานั่งย่อยอีกทีครับ อยากให้ปรับตรงนี้หน่อย การเว้นช่วงทำหน้าที่คล้ายๆการพักหายใจสำหรับคนอ่าน เมื่อเราสื่อความจนจบ แล้วอยากจะให้คนอ่านพักเพื่อย่อยความครับ อย่าเขียนติดกันเป็นพรืด

ในเรื่องแพทเทิร์นมีปัญหาก็จริง แต่สำหรับเนื้อความบรรยาย ผมโอเคมากเลยครับ เขียนสื่อได้ตรงประเด็นทุกอย่าง ความสับสนของคณิต ความเด็ดขาดและบุคลิกที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งของอชิตะ ลักษณะนิสัยตัวละครทุกอย่างทำออกมาได้ดีครับ บรรยายให้เห็นภาพได้ชัดเจน ที่ผมชอบมากที่สุดของบรรยาย คือส่วนของ ‘สำนึกเสียใจ’ และความหวั่นไหวที่คณิตมี สำนึกเสียใจของคณิตทำออกมาได้ดีมากครับ บรรยายได้เรียล ชัดเจน แต่บางทีอย่างที่ผมบอก มันเขียนติดๆกันไปหมดจนรู้สึกว่ามัน Redundant (เยิ่นเย้อ) ถ้าเว้นบรรทัด หรือเว้นเพื่อใส่บรรยายอย่างอื่นเพื่อเพิ่มความหนักของความรู้สึกให้หน่วงมากขึ้น ก็จะทำให้คนอ่านย่อยความได้ดีขึ้น ความหวั่นไหวของคณิตก็ทำได้ดีมาก คือความรู้สึกสามารถบรรยายออกมาโดยที่คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจ เห็นภาพ อินกับความรู้สึกของคณิต (ในช่วงแรกๆ)

ทีนี้ถึงจุดที่ผมว่าบรรยายได้แย่ครับ หนึ่ง การบรรยายความเซ็กซี่ของตัวละคร ผมคิดว่าการบรรยายติดจะตลก (เพราะเราอิงคณิตซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขัน) ดังนั้นพอถึงช่วงที่มันควรจะบรรยายเร้าอารมณ์คนอ่านให้อินไปกับบุคลิกหรือลักษณะทางกายภาพของใครในเรื่อง มันเลยดูแปลกๆติดจะขำขันเสียอย่างนั้นน่ะครับ ซึ่งจุดที่เป็นฉากอัศจรรย์ทำได้ดีนะครับ เพียงแต่ต้องเว้นบรรทัดเพิ่ม หรือเคาะเว้นวรรคเพิ่มอีกหน่อย ไม่งั้นมันพรืดมาเยอะๆแล้วคนอ่านไม่รู้สึกว่ามันเร้าอารมณ์สักเท่าไหร่ครับ สอง พาร์ทบรรยายของคนอื่นที่ไม่ใช่อชิตะกับคณิต ทำออกมารวบรัดมาก ผมไม่เข้าใจลอจิก และไม่ได้รู้สึกกับความอินเลยครับ เช่นตัวละครแรก ภาคี ฉากตอนทะเลาะกันนี่ผมรู้สึกว่ามันปวดหัวมาก คือไม่เข้าใจลอจิกของภาคีเลย ควรจะเอาฉากความคิดของภาคีในตอน 26 กว่าๆมาใส่ในช่วงแรกๆนะครับ เพราะคนอ่านจะได้เข้าใจภาคี ไม่งั้นผมรู้สึกว่าเขา bias เข้าข้างอชิตะจนทุเรศเลยล่ะ (คือใช้คำนี้ได้นะ เพราะว่าเรื่องในตอนนั้นมันคือการ ‘ข่มขืน’ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าเรื่องปูมาว่าภาคีเป็นเพื่อนที่ดี ปฏิกิริยามันควรจะดีกว่านี้ครับ ไม่ใช่พูดจาวนเวียนหาเรื่องให้คณิตกลับไปดีกับอชิตะ แล้วหาว่าเพื่อนเล่นตัว บลาๆ พยายามโยงคณิตกลับไปให้ได้ ผมว่ามันไร้สาระไปหน่อย ถึงจะสามารถวางเหตุผลได้ว่า ภาคีเข้าข้างคณิตไม่ได้มากเพราะว่าบริษัทต้องพึ่งอชิตะอยู่ แต่เราหาทางลงให้ดีกว่าได้นะครับ ไม่อย่างนั้นมันดูไม่สมเหตุสมผลครับ)

จุดที่สอง พล็อต พล็อตเรื่องนี้ดูจะธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาเลยครับ(?) (หัวเราะ) ผมชอบนะครับเรื่องที่เราเอาประเด็นที่มีการผูกกันหลายจุดใส่ตูมมา แล้วให้คนอ่านค่อยๆไล่ตามไปทีละประเด็น ค่อยๆแตกตัวละครเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะการทำอย่างนี้จะค่อยๆเพิ่มความเรียลให้กับตัวละครหลัก ทำให้มันเป็นวรรณกรรมที่แน่นขึ้นในด้านข้อมูลสนับสนุน แม้จะเป็นพล็อตแบบธรรมดา ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท แต่เนื้อเรื่องและตัวละครที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างจากนิยายน้ำเน่าทั่วไปมากทำให้มันน่าสนใจดีมากครับ แต่ประเด็นคือพล็อตมันมีบางจุดที่ผมว่ามันไม่เมคเซนส์ แต่หลายจุดก็ทำได้ขยี้ใจผมมาก ผมอินกับหลายประเด็นทีเดียวนะครับ เช่น

หนึ่ง เป็นผมผมทำไม่ได้ครับ จะให้ผมมาเป็นแฟนกับ CEO แล้วทำให้เขาเลิกกับคู่หมั้นที่คิดมานาน วางแผนชีวิตครอบครัวเสร็จสรรพหมดแล้ว คือเรื่องไม่ได้ปูมาก่อนว่าคณิตชอบอชิตะ (ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง มันก็ไม่ถูกอยู่ดีแหละครับ เพราะผู้หญิงไม่ผิดอะไรเลย ผู้หญิงเป็นคนน่ารักด้วยซ้ำ เป็นผมผมทำไม่ลงอะ เราเจ็บเองดีกว่าให้ผู้หญิงมารับเคราะห์) หรือเรื่องปูมาก่อนว่าอชิตะชอบคณิต (ซึ่งถ้าอย่างนี้จริง ผมจะถือว่าเรื่องจะฉีกออกไปอีกแบบหนึ่งเลยครับ อชิตะจะกลายเป็นคนดูมักมาก เห็นแก่ตัว และไม่คู่ควรกับผู้หญิงแบบหวานครับ) แต่ข้อดีของพล็อตตรงนี้คือ คุณคนแต่งสร้างให้คณิตมีทั้งความสับสน และทำให้เข็มทิศคุณธรรมของเขาไม่หวั่นไหวเลย ตรงนี้ผมประทับใจมาก เพราะคนส่วนมากจะไหลๆไปกับเซ็กซ์ แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปอย่างงงๆยังไงไม่รู้

ถ้าสังเกต เรื่องนี้พอเกิดการมีเซ็กซ์ที่ไม่สมยอม คณิตจะพูดตลอดว่าเขา ‘ถูกข่มขืน’ เขาไม่มาหวั่นไหวกับความหล่อเหลาหรือบุคลิกอะไรภายนอกครับ คือผมชอบคณิตที่ชัดเจนว่าเขารู้ตัวว่าถูกทำอะไร และถ้าไม่ยอม ก็คือไม่ยอม นอกจากนี้ พอคณิตคิดได้ เขาทำทุกอย่างโดยตั้งอยู่บนเข็มทิศคุณธรรมอย่างดี ไม่ใช่ทำปากอย่างใจอย่าง คือคณิตโลเล แต่ถ้าตัดสินใจแล้วคือทำเลย ไม่มีท้อ ไม่มีขัด และฉีกกรอบตัวนางโง่ๆไปทุกรายครับ ได้ มึงไม่ปล่อยกูใช่ไหม กูหาตัวช่วยอื่น (แม่ของอชิตะ, ครอบครัว, เพื่อนที่แอบรัก แล้วตอนที่อยู่กับชิตตะวันนี่ก็คือตรงมาก จะหักดิบทำและตอบรับเลยครับ ดีมาก ไม่ใช่มาเล่นตัวหลอกใช้คนแบบที่ตัวนางชอบทำกับพระรอง) ตรงนี้ได้ใจผมไปมากครับ

สอง ตัวละครเพิ่มมาแบบไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องมากไปครับ แค่พล็อตตรงจุดหนึ่งกับพล็อตหลักนี่ก็สุดแสนจะหนักแล้วครับ ถ้าจะเพิ่มตัวละคร ควรเพิ่มตัวละครที่เกี่ยวกับพล็อตตรงนี้ อย่างแฟนคุณหมอนี่เพิ่มมาอย่างชั่วคราว แฟนชิตตะวันนี่ก็เพิ่มมาอย่างชั่วคราว (แถมสองคู่นี้ยังทิ้งนัยยะแบบที่ไม่จำเป็นต่อเรื่องเอาไว้อีก) คือเราสามารถใส่มาได้นะครับ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่เราเน้นพล็อตหลัก เพราะคนอ่านจะโฟกัสกับพล็อตหลักอยู่ ฉากงอนง้อความหวานของภาคีกับสีฟ้าก็เหมือนกันครับ พวกนี้ควรใส่มาตอนที่โทนเรื่องไม่หนักมาก แล้วเราอยากซ่อนนัยยะที่น่าสนใจเอาไว้ให้คนอ่านไปอ่านต่อ อีกฉากนึงคือการสู้รบตบมือ, นัยยะมีเซ็กซ์, หึงเพื่อน อะไรพวกนี้ของเบิกฟ้ากับชิตตะวัน ฉากพวกนี้ไม่ควรมีครับ เพราะผมงงว่ามันไม่เกี่ยวกับพล็อตหลักสักนิด (ทั้งๆที่ตอนนั้นคือคณิตหนีมา เรื่องควรจะอยู่ในโทนเศร้า ปรับความเข้าใจ แต่สองคนนี้มาทีนี่พลิกโทนเรื่องเลยครับ ผมเลยว่ามันตงิดๆนะ) เราสามารถใส่เบิกฟ้ามาได้แต่ไม่ให้เขาเด่นมาก เพราะเขาต้องช่วยเพิ่มสีสันให้กับความเศร้าของคณิต (ผมชอบฉากผสมโรงกันไปนอกโลกนะครับ ตลกดี (หัวเราะ))  แต่ก็ยังมีข้อดี คือบางตัวละครก็ drive เรื่องได้ดีมาก เช่น คุณแม่, คุณย่าของอชิตะ, พี่ชายทั้งสามของคณิต ตัวละครเหล่านี้โผล่มาไม่เยอะ แต่มีเอกลักษณ์เด่นมาก สื่อสารบทของเขาครบถ้วน ส่งผลต่อพล็อตได้อย่างสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักครับ

จุดที่สาม เรื่องเคมีการจับคู่และลอจิกของ Interaction ระหว่างตัวละครครับ เรื่องนี้คาบเกี่ยวกับระหว่างจุดแรกกับจุดที่สอง เช่นเรื่องของภาคีที่ผมพูดไปแล้ว และเคมีการจับคู่ของแต่ละคู่ที่ผมยังว่าแปลกๆอีกด้วยครับ (อันนี้เลยอาจจะทำให้ไม่ตรงจริตคนอ่านมากนัก) เช่น คุณหมอ-เจ้าของร้านกาแฟข้างบ้าน อันนี้ปกติ แต่ต้องดูบุคลิกด้วยครับ คือถ้าเจ้าของร้านกาแฟโหดร้ายเงียบขรึมเย็นชา มันก็จะเกิดคำถามว่าคนแบบนี้เป็นเจ้าของร้านกาแฟได้ยังไง? แล้วนิสัยของตัวคุณหมอมันเป็นยังไง ถ้าเย็นชา เย็นชาแล้วประกอบอาชีพหมอเฉพาะทางด้านไหน เพราะบุคลิกเย็นชาส่งผลต่อหน้าที่การงาน จะเห็นว่ามันเป็นโซ่กระทบๆต่อไปครับ ระวังเรื่องเคมีจับคู่นิดหนึ่ง หรือ ชิตตะวัน-เบิกฟ้า คู่นี้มีเรื่องของ Age Gap หรืออายุที่ห่างกันมาก แล้วมาได้ยังไง? ผมเข้าใจเรื่องพื้นหลังของเบิกฟ้าที่อาจจะยากจนหรืออะไรก็ตามแต่ที่ดันเรื่องให้เบิกฟ้าต้องมาอยู่กับชิตตะวัน แต่การที่เราเปิดตัวเพื่อนของเบิกฟ้ามาปุ๊ป ผมนี่เปลี่ยนเข็มทันทีเลยนะครับ ผมมองว่าสตอรี่ของเบิกฟ้ากับเพื่อนของเขา ถ้าจะจับคู่กัน มันน่าสนใจกว่าการจับคู่เบิกฟ้า-ชิตตะวัน อีกเยอะ เพราะว่าเราเห็นพล็อต ตัวนางมีปัญหา-เจ้าของรีสอร์ต และมี Age Gap มาเยอะมากจนเดาทางได้ แต่การจับคู่แบบ เพื่อน-เพื่อน ที่มีบุคลิกรูปร่างแบบเบิกฟ้าและเพื่อนของเขา รวมถึงแบ็คกราวน์ของเบิกฟ้าที่เป็นตัวนาง การแก้ปัญหาของพล็อตตรงนี้จะต่างกับการจับคู่แบบแรกมากครับ พล็อตต้องคิดเยอะขึ้นมากถ้ามันสมจริง และมันน่าสนใจกว่าเยอะ การจับคู่หลักของเรื่องผมโอเคนะ เพราะว่าตัวพล็อตมันมีอะไรซับซ้อนกว่าที่เห็น และนิสัยตัวละครนางก็เด่นจนกลบพวกพล็อต ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท ไปจนหมดเลย (ไม่บ่อยที่เราจะเจอตัวนางแบบคณิต และคาแรกเตอร์ผู้หญิงแสนดีขนาดหวานครับ มันเลยทำให้การดำเนินพล็อตน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจำเจ)

จุดที่สี่ ชื่นชมเรื่องการควบคุมโทนเรื่องครับ แต่ยังมีปัญหาที่ทำให้โทนเรื่องไม่สม่ำเสมอจากสามจุดด้านบนที่กล่าวมาแล้ว โทนเรื่องนี้เป็นแบบสบายๆปนขำขัน แต่มีความเรียล ความหน่วง มิติและแบ็คกราวน์ตัวละครแน่นทำให้ดูน่าสนใจครับ แต่ปัญหาคือบางจุดที่เป็นโทนเศร้า ก็มีปัญหาอย่างที่ผมบอกไปด้านบน(ฉีกโทน ไม่ดิ่งจนสุด) โทนวาบหวาม (ก็มีปัญหาการเว้นเคาะบรรยาย ไม่สุดอีก) โทนจริงจัง (เจอคาแรกเตอร์ภาคีไปทีนี่ผมว่าลอจิกตัวละครนี้ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ แล้วครับ ดูมีไบแอสมากแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ของเพื่อนสนิท) สิ่งที่สม่ำเสมอตลอดคือโทนขำขันปนสนุกสนาน อย่างฉากคณิตอยู่กับเพื่อนๆที่ทำงาน เอาจริงๆไมว่าคณิตอยู่กับฉากไหน เขาจะดึงเรื่องได้ดีขึ้นมากๆครับ คุณคนแต่งเขียนคณิตออกมาได้ดีที่สุดเลย คาแรกเตอร์เด่นมาก สมจริงมาก โลเลแต่มีความแข็งแกร่ง และฉลาด มีอารมณ์ขันอีก สุดยอดครับ ผมชอบหลายๆฉากที่มีคณิตนะครับ เป็นฉากที่ดีมาก เช่น ช่วงที่คณิตโดนข่มขืนจนถึงคณิตติดต่อคุณหญิงแม่เพื่อแก้ไขปัญหา, ช่วงที่อชิตะโดนพี่ชายสามคนของคณิตซ้อม (อันนี้บรรยายได้หนักหน่วง บ่งบอกความรักน้องได้ชัดเจนมากครับ ออกมาแค่บทเดียว แต่เนื้อความและนัยยะครบถ้วน ได้ใจผมไปเต็มๆเลยสำหรับตัวละครพี่ชาย ให้คะแนนเต็มในฐานะทำหน้าที่ครบถ้วนและสมเหตุสมผลมาก ตัวละครแม่เองซะอีกที่ดูจืดจาง ว่าดูเหมือนอะไรกัน...ไม่ได้รักลูกเลยเรอะ ลูกถูกข่มขืนนะเฮ้ย)



เพิ่มเติม 1 : คุณไอเก่งนะครับ ทำให้ผมเกลียดพระเอกได้เนี่ย (หัวเราะ) ปกติผมจะไม่ค่อยตัดสินคนเท่าไหร่นะ แต่อย่างอชิตะนี่ผมคบไม่ได้จริงๆแฮะ (หัวเราะ) คนแบบนี้ผมคบไม่ได้ครับ งูพิษชัดๆ คือมึงจะเอาแต่ใจมากเกินไปละ ผมยังงงอยู่ว่าที่เหลือ 5 ตอน มันจะหาทางลงยังไงให้มันเมคเซนส์กับการกระทำทั่วๆไปของมนุษย์ที่เจอได้ในสังคม แต่ไม่เป็นไรครับ อะไรที่เราปรับได้ก็ค่อยๆปรับ ถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนไป

เพราะจากที่ผ่านๆมา ก็มีทั้งพี่ชายคณิต ทั้งภาคี(ที่ ณ ตอนนี้น่าจะคิดได้แล้ว) ผมไม่คิดว่าอชิตะจะพร้อมรับมือสองกลุ่มนี้นะครับ เพราะถ้าผมเป็นพี่ชายคณิต ผมก็ไม่เอาไว้นะ น้องผมไม่ใช่ของที่คุณจะมาเล่นแล้วมันพัง เพราะคุณ 'ซ่อม' คนไม่ได้ คุณอาจทำให้เขากลับมาดีคืนผมได้ แต่บาดแผลในใจคุณลบมันไม่ได้ เป็นผมนี่ผมให้คณิตกลับมาทำงานที่บ้านเลย เดี๋ยวเปิดบริษัทให้ ไม่ก็เป็นฟรีแลนซ์ น้องคนเดียวผมมีปัญญาเลี้ยง ไอ้บ้านั่นโผล่มาเมื่อไหร่ เหยียบเท้าเข้าบ้าน ผมยิงนัดเดียวเข้าจุดตายอะ ไม่ผิดด้วย มึงบุกรุก (หัวเราะ)

คนเขียนชอบมากๆ เลยนะคะกับคำวิจารณ์ + แนะนำ + แสดงความคิดเห็น + ท้วงติง + วิเคราะห์ทุกอย่างเลย ปลื้มปริ่มมากๆ

ตั้งแต่เห็นโพสครั้งแรก โคตรดีใจเว่อร์ อายด้วย เขินด้วย ตามธรรมดาเนอะที่เจอการชี้ให้เห็นจุดด้อยมากๆ ของเรา

เราก็ต้องอายแระ ว่าฉันทำอะไรปายยยยยยย เขินๆ แต่ก็ยอมรับว่าตรงตามที่คุณนักอ่านว่าทุกอย่างเล๊ยยยยยยย น้อมรับมากๆ ค่ะ

น้อมรับตามแต่ละข้อนะคะ เรื่องแพทเทิร์นนั้น

ยอมรับว่า ขี้เกียจ จริงจังมากๆๆ ขอโทษไปถึงคนอ่านทุกคนด้วย

ยิ่งช่วงไหนที่โพสแล้วเน็ตโคตรกาก คนเขียนแทบจะเอาเนื้อเรื่องลงอย่างเดียวเลย ไม่พิถีพิถันจะเคาะบรรทัดเลย (สารภาพผิด)

ขอบคุณที่ชมการบรรยายในส่วนที่ดีนะคะ อันนี้ไม่ขอพูดถึงแล้ว เพราะถูกชมไปแล้ว 55+

ก็มาอันที่เป็นข้อติเรื่องการบรรยาย

น้อมรับอีกตามเคย ไม่มีอะไรแก้ตัวเลย ความภาคีนั้น คนเขียนอาจจะคิดประเด็นผิดไป เลยทำให้ภาพออกมาอย่างนั้นเลย

และภาคีคนเขียนคิดภาพของเขาเป็นคนอ่อนไหวง่ายค่ะ แต่ที่เขียนไปทั้งหมด อาจมีส่วนที่คุมลักษณะนิสัยของตัวละครภาคีไม่ได้

ภาคีเลยออกมาเป็นแบบที่เห็น แต่ภาคีกับคณิต เพื่อนกันจริงจังคะ ไม่มีนอกไม่มีใน
(ปล.ภาคี+สีฟ้า เป็นพระ-นาย ในเรื่อง "รัก...เธอ")

มาจุดที่สองกันต่อ

ขอบคุณสำหรับคำพูดที่บอกว่า พล็อตธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา ซึ้งงงงงงง

และขอบคุณคำชมในตัวคณิตด้วยนะคะ งือ เราไม่คิดเลยว่าตัวละครคณิตจะเป็นคนแบบนี้ แต่ที่เราเขียนไป มันเหมือนเราเขียนไปเองเลย เหมือนมีคณิตมาอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า ฉันจะทำแบบนี้นะ แบบนั้นนะ (เวอร์แระ)

คือแบบว่า เราเป็นคนเขียนก็จริง แต่เอาจริงๆ เราน่ะ รู้สึกว่า ตัวละครแต่ละตัว เขาเป็นคนจับมือเราพิมพ์งี้ คือแบบว่า อธิบายไม่ถูกเนอะ เหมือนพวกเขามีชีวิตจริงๆ งี้อ่ะ

สำหรับตัวละครที่เพิ่มเข้ามาแบบไม่จำเป็น

อยากร้องเพลงบอกว่า ...หนูเปล่าน้าาา เขามาเอง หนูป่าวชวนน้า เขามาเอ๊งงงง 55+

ความจริงมีทั้งตัวละครใหม่ๆ และ ตัวละครที่มาจากเรื่อง "รัก...เธอ" + "รัก...เชิญครับ" ด้วยค่ะ เรื่องมันคาบกัน เกี่ยวกัน เลยต้องมีโผล่มาบ้าง (แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนเลยเนอะ ที่ทำให้เรื่องอืด เอื่อย ในเรื่องอื่นๆ ในซีรีส์ "รัก..." จะพยายามเอาข้อเสียตรงนี้ไปปรับแก้นะคะ)

ส่วนกรณีของ "เบิกฟ้า"
น้องเขาก็มาเองเลย มาไมไม่รู้ (เลยกลายเป็นว่าคนเขียนก็ได้เขียนตอนพิเศษของคู่นี้ในเล่มหนังสือไปเลย แต่ไม่ได้เพิ่มเข้ามาเพื่อมีตอนพิเศษแต่อย่างใดเลยจริง คือจู่ๆ เราก็คิดว่าชิตตะวันควรมีคู่ เพราะคนเขียนไม่อยากให้ชิตตะวันโดดเดี่ยว น้องเบิกฟ้าเลยโผล่เข้ามาเลย) มันก็เลยกลายเป็นว่าเกินพล็อตของเรื่องหลักมา แถมคนเขียนก็คุมตัวละครไม่ได้ (จริงๆ นะ โคตรจะคุมไม่ได้อะ) ผลเลยออกมาเป็นอย่างที่คุณนักอ่านว่าเลย อันนี้ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน

มาต่อที่จุดที่สาม
เคมีการจับคู่ คุณหมอกับน้ำฟ้า อันนี้เป็น ตัวพระ-นาย จากเรื่อง "รัก...เชิญครับ" ค่ะ

ทั้งสองเป็นตัวละครน่ารักค่ะ นิสััยดี ไม่เย็นชา พูดดี คิดดี ใจดี คุณหมอเป็นหมอหมา คุณน้ำฟ้าก็เป็นเจ้าของร้านกาแฟใจดีมากๆเลยค่ะ

กรณีของเบิกฟ้าที่โผล่เข้ามา เพื่อจะเป็นคนของชิตตะวันโดยแท้จริง คนเขียนส่งน้องเบิกฟ้ามาให้ชิตตะวันโดยเฉพาะ ดังนั้น น้องเบิกฟ้าเลยเป็นของเพื่อนน้องไม่ได้ (เพราะอันนี้คนเขียนกำหนดมาแล้วววว เพื่อนจึงต้องแห้วไป ตามคำที่ว่า "คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันคร้าา...หรือเปล่า???) แต่พอมาอ่านที่คุณนักอ่านบอกว่าเคมี "เพื่อน-เพื่อน" ได้เนี่ย ชักเขว่นะเนี่ย

แต่ไม่เป็นไร เพราะน้องเบิกฟ้าจะทำลายเคมีนี้เอง ขอตัดเอาบางส่วนจากตอนพิเศษ "ชิต-แสง" มายืนยันนะคะ


“มึงจะทำจริงๆ ใช่ไหม อย่าทำอะไรมันเลย กูสงสารมัน แล้วมันก็ไม่ได้คิดอะไรกับกูจริงๆ กูกับมันเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะ”


“มันคิด” มันทำเสียงเข้มใส่ทันที ผมเลยยอมจำใจเชื่อมัน ทั้งที่ใจเถียงสุดฤทธิ์เลยล่ะ ว่าเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้คิดอะไรกับผมแน่ๆ


“เออๆ คิดก็คิด แต่ต่อให้มันชอบกูจริงๆ กูก็...” ผมยังพูดไม่จบ มันก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงระดับที่เข้มยิ่งกว่าเมื่อกี้อีก


“มันชอบมึง!”


“เออ! ชอบก็ชอบ มึงนี่แม่ง จะให้มันชอบกูให้ได้ใช่ป่ะ” ผมชักเสียงห้วนใส่มัน มันตั้งท่าจะเอานิ้วมาดีดปากผม ดีว่าผมเอามือปิดปากซะก่อน พอมันลดมือลง ผมก็เปิดปากพูดต่อ “...คือมึงฟังกูนะ ต่อให้มันชอบกู แต่กูก็ไม่ชอบมันหรอก เพราะกูชอบมึง กูรักมึง”


มันยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่เหมือนแสงตะวันของผม และตัวมันเองก็เป็นแสงตะวันของผมเหมือนกัน เพราะมันเข้ามาทำให้ชีวิตที่มืดมัวของผมกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง


ตามนี้ค่ะ ^_^

จุดที่สี่ เรื่องการคลุมโทนของเรื่อง

งื้อออ จะพยายามแก้ไขในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ จุดด้อยของคนเขียนมีเยอะมาก และหนึ่งในนั้นคือเรื่องการควบคุมพล็อตเรื่อง ที่เขียนทุกครั้งจะหลุดพล็อตไปเยอะมาก เชื่อไหมว่า จุดที่อชิตะทิ้งคณิต เพื่อไปรับผิดชอบลูกในท้องหวาน ความจริง พล็อตไม่ใช่แบบนี้เลย มันเป็นไปอีกทางหนึ่ง

แต่! อย่างที่คนเขียนพูดไปคือ พอเขียนแล้ว มันคุมการกระทำของตัวละครไม่ได้เลย คือจริงๆ นะคะ เหมือนถ้าเขียนไปตามพล็อตแล้ว ตัวละคร

ไม่เดินเลย พอเปลี่ยนมาเขียนแบบนี้ กลายเป็นว่าเดินไปฉิวเลย

ต่อไปคนเขียนต้องเข้มกับพล็อตมากกว่านี้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

ส่วนเรื่องตัวละครแม่ คนเขียนตั้งใจว่าจะไม่ให้แม่รู้ว่าลูกถูกข่มขืนอะคะ ไม่อยากสร้างปมให้ตัวละครยุ่งยากใจ เพราะเกิดแม่รู้ แน่นอนว่าต้องเป็นปมความรู้สึกที่มีต่ออชิตะเปลี่ยนไปแน่ และต้องตามไปแก้ปัญหาเรื่องแม่อีก คนเขียนเลยให้แค่พี่ชายสามคนของหนึ่งรู้ก็พอ (แต่คนเขียนอาจอธิบายไม่ละเอียดพอ เลยทำให้เข้าใจว่า แม่รู้ว่าหนึ่งถูกข่มขืน แต่ไม่ถือสา)

ส่วนเพิ่มเติมตอนสุดท้าย

อยากบอกว่า...................ไม่ทันแล้ววววววววววว

เพราะคนเขียนแต่จบทุกอย่างก่อนเอามาลงที่เล้าแล้วคร้าาาา และทำอาร์ตทำรูปเล่มหมดแล้ว

งือเสียใจมากๆ คนเขียนไม่ได้เล่นประเด็นพี่ชายคณิตต่อ (คือเอาจริงๆ คือ กลัวมันยืดเยื้อ เลยทำเนียนๆ ไปว่า เรื่องที่หนึ่งกับอิงเลิกกัน พี่ชายทั้งสามคนไม่รู้ เขาขอโทษษษษษ ในความผิดนี้)

เสียดายอะ ถ้าแต่งไป ลงไปนะ คนเขียนจะเอาข้อเสนอที่เพิ่มเติมเข้ามาไปสร้างประเด็นเขียนเพิ่มเลย

เสียดายจริงๆๆ เสียดายมาก ไม่งั้นก็จะได้ลงโทษอิตาอิงให้สิ้นซาก!!!!

สุดท้ายแล้ว ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกตัวอักษรที่เขียนมาให้คนเขียนได้รู้ข้อผิดพลาดของงานเขียน และรวมถึงข้อดีต่างๆ
 
ทุกตัวอักษรล้วนเป็นกำลังใจมากมายจริงๆ

ขอบคุณจริงๆ นะคะ ขอบคุณสามร้อยล้านตลบ

เรื่องนีี้อาจแก้ไขอะไรมากไม่ได้แล้ว แต่คนเขียนจะเอาไปปรับใช้กับเรื่องต่อๆ ไป

สีเหลืองอ่อน
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) เปิดจองนิยาย + Spoil ตอนพิเศษ*** 28-08-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 29-08-2017 00:15:47
มาสปอยตอนพิเศษในเล่ม รัก...ได้ไหม
ตอนพิเศษ "แสงตะวันของผม"  เป็นตอนพิเศษของชิตกับแสง

วันที่ผมเจอมันครั้งแรก

เป็นตอนกลางคืน ในผับที่มีทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานเกือบจะเท่าๆ กัน ผมที่นั่งดื่มคนเดียวเพราะถูกเพื่อนสนิทสองคนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลายทิ้ง คนหนึ่งโดนแฟนตามมาจิกถึงโต๊ะ ส่วนอีกคนเมียโทรจิกแทบจะทุกห้านาที เลยต้องบอกลาขวดเหล้าตั้งแต่ยังไม่ถึงสี่ทุ่ม

ผมที่ไม่ว่าจะมีเพื่อนร่วมโต๊ะหรือไม่มี ผมก็นั่งของผมไปได้ตามประสาหนุ่มโสดแต่หัวใจไม่ว่าง เพราะมีคนคนหนึ่งอยู่ในนั้นมาหลายปีแล้ว ก็ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีแรก แต่เป็นผมฝ่ายเดียวนะที่มีเขาอยู่ในหัวใจ ส่วนเขาไม่ว่ากี่ปี ผมก็ยังเป็นได้แค่เพื่อน ความสัมพันธ์ไม่พัฒนาไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนได้

เอาเถอะครับ หยุดคิดเรื่องของคนที่อยู่ไกลถึงกรุงเทพฯไว้ก่อน เพราะดูแล้วผมคงได้กลับไปขึ้นเตียงกับใครสักคนในเวลาอันใกล้นี้ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมนั่งจิบเหล้าคลอเสียงเพลงสนุกสนานได้ แม้จะเหลือตัวคนเดียว ก็ตามประสาหนุ่มโสดที่ไม่ขาดเรื่องบนเตียงครับ

One-night stand ความสัมพันธ์คืนเดียวครับ สนุกด้วยกัน ได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ผูกมัด ตื่นเช้ามาต่อกันอีกนิดหน่อยเป็นคำลาสุดท้าย ก่อนกลายเป็นคนไม่รู้จักกันต่อไป แม้มีหลายรายที่อยากรู้จักผมมากไปกว่าแค่คู่นอนคืนเดียว แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อคืนที่สองกับใคร เด็ดแค่ไหนก็ให้จบแค่คืนเดียว

ตอนนี้กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่โต๊ะซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวามือผม ที่มีประมาณสี่ห้าคนกำลังมองผมด้วยความหมายที่รู้กันอยู่ สาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักใต้เสียงสีสลัวในผับ ไม่รู้ว่าเมื่อเจอแสงไฟจริงๆ หรือแสงแดดตอนเช้า ใบหน้าของพวกเธอจะสวยน่ารักได้เท่านี้หรือเปล่า ออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่พวกดูถูกหน้าตาใคร หน้าตาแบบไหนก็ได้ขอแค่ว่าผมถูกใจก็พาขึ้นเตียงแล้วล่ะครับ

ไม่ว่าข้างหน้าหรือข้างหลัง ผมได้หมด...ถ้า ‘ถูกใจ’

แต่ถ้าไม่ถูกใจ ให้สวยเหมือนนางฟ้าหรือน่ารักสัดๆ ผมก็แค่มอง ไม่เก็บติดมือไปนอนกอดให้เซ็งอารมณ์หรอกครับ ถามว่าหน้าตาแบบไหนที่ผมถูกใจเป็นพิเศษ เห็นแล้วแม่งอยากเอาขึ้นเตียงนาทีนั้นเลย ก็คงแบบ...

“มึง”

ผมละสายตาจากเด็กสาววัยรุ่นกลุ่มนั้น มายังเจ้าของเสียงเรียกที่เหมือนจะเหวี่ยงนิดๆ ซ้ำคำที่ใช้เรียกขานผมก็นะ

แม่ง...นี่กูเป็นลุงมึงก็ได้เลยนะ

ถึงผมไม่มีป้ายห้อยคอบอกอายุ แต่เบ้าหน้าที่ผ่านโลกมายี่สิบห้าย่างยี่สิบหกปี ก็ไม่ควรถูกไอ้เด็กหน้าใสวัยถึงเลขสองหรือยังก็ไม่รู้เรียกว่า ‘มึง’ นะครับ

ผมวางแก้วที่เหลือแค่น้ำแข็งลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วมองไอ้เด็กหน้าใสที่กล้าหาญทิ้งตัวลงมานั่งข้างผม โดยที่ผมไม่ได้เชิญ แต่ก็ไม่เป็นไร ก็อย่างที่ตั้งคำถามเอาไว้ว่าหน้าตาแบบไหนที่ผมถูกใจมากเป็นพิเศษ ก็คงแบบเด็กคนนี้

...หน้าขาว ตาชั้นเดียว ปากบาง และที่น่ามองคงเป็นจมูกรั้นนิดๆ ของมัน เหมือนถูกปั้นมาอย่างดีแล้วเอามาวางบนหน้าเกลี้ยงเกลาของมัน

“เพื่อนให้มาถามว่ามึงชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย” ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง เมื่อได้ยินคำถาม ซ้ำมันยังจ้องเอาคำตอบแบบตาไม่กะพริบเลย

“เพื่อนมึงเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

‘มึง’ ใส่ผมก่อน ผมก็ ‘มึง’ กลับครับ ไม่โกง

แน่ะ! มีชักสีหน้าใส่ผมอีก ก็เริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง เรียกคนอื่นว่า ‘มึง’ พอโดนเรียกบ้างก็ทำหน้าไม่พอใจแต่ผมไม่สน ใช่เรื่องที่ผมจะต้องแคร์คนที่เพิ่งรู้จักกัน

“ก็ผู้หญิง แล้วก็มีกะเทย นั่งโต๊ะนั้นน่ะ” ไอ้เด็กหน้าขาวชี้มือไปยังกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่ห้าคน สามคนเป็นผู้หญิงจริง ที่เหลือก็นั่นแหละผู้ชายอยากมีนม ซึ่งผมขอปฏิเสธ...

เอาจริงๆ คือผมไม่ได้รังเกียจ แต่ผมพาขึ้นเตียงได้แค่ผู้หญิงกับเกย์ นอกเหนือจากนี้ไม่เคย ผู้ชายแท้ๆ ก็ไม่เคย แม้เคยมีความคิดกับคนคนนั้นที่อยู่กรุงเทพฯก็เถอะ ผมยกให้เขาเป็นผู้ชายแท้คนเดียวที่ผมอยากได้มาเป็นเมียไปตลอดชีวิต ไม่มีคำว่า
One-night stand แน่นอน

“แล้วมึงชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย” ผมย้อนถามไอ้เด็กไร้มารยาท แต่ก็ถูกใจผมมาก ยอมรับว่าคืนนี้ถ้าได้มันกลับไปด้วย ผมคงเสียหลายน้ำแน่

“มึงชอบผู้ชาย?” มันทำตาโต เห็นมันกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ท่าทางไอ้เด็กนี่บอกว่าตัวมันไม่ใช่เกย์ แต่ทำไมผมถึงยังมีความคิดที่จะหิ้วมันขึ้นเตียงอยู่นะ

หรือเพราะมันคล้ายคนที่อยู่ในหัวใจผม ต่างกันที่ความสูง เด็กนี่สูงมาก แต่ก็น้อยกว่าผม

“กูชอบผู้หญิง” ผมขยับเข้าใกล้ คว้าข้อมือเล็กนิดเดียวของมันไว้ แล้วกระซิบข้างใบหูมันว่า “...แต่เอาผู้ชายมันส์กว่า สนไหมกับกูคืนนี้”


.
.
.
มาแค่นี้แหละ ติดตามต่อได้ในเล่มนิยายนะคะ
ปิดจอง 5 กันยา แล้วนะคะ
ดูรายละเอียดได้ที่เพจนิยายได้นะคะ
ตามลายแทงข้างล่างได้เลย ^_^
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) เปิดจองนิยาย + Spoil ตอนพิเศษ*** 28-08-60
เริ่มหัวข้อโดย: karunanont ที่ 03-09-2017 19:08:23
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ พึ่งมาจักเมื่อสามวันก่อน สั่งซื้อไปแล้ว  เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ ชอบความเป็นคุณอิงมากคะ น่าหมั่นไส้และน่ารักในคนเดียว  อยากเห็นนเองหนึ่งอ้อนพี่อิงอีกกกก ไว้รอลุ้นในเล่มเอานะคะ ฮี่ๆ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) เปิดจองนิยาย + Spoil ตอนพิเศษ*** 28-08-60
เริ่มหัวข้อโดย: mkooo ที่ 05-09-2017 23:40:33
นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ
แต่แปลกมากทำไมไม่ค่อยมีคนคอมเม้น
ภาษาค่อนข้างดีมากแทบไม่เจอคำผิดเลยค่ะ
ชื่นชมส่วนนี้มากๆ ปกติเราอ่านนิยายในเล้ามาหลายปีเป็นคนที่มาคอมเม้นนิยายยากพอตัว เพราะนิยายหลายเรื่องมีคนคอมเม้นให้กำลังใจตลอดๆส่วนมากเราเลยไม่คอมเม้นเราพูดไม่ค่อยเก่งแต่อยากให้กำลังใจนักเขียนเรื่องนีค่ะ เราอ่านเรื่องนี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายวายแปลญี่ปุ่นอยู่เลยหาอ่านยากมากที่นิยายวายไทยจะเป็นพวกคลั่งรักขนาดนี้  คนเขียนสื่ออารมณ์ได้ค่อนข้างดีเลย อยากให้มีคนมาอ่านเรื่องนี้เยอะๆ เราชอบการบรรยายมากๆค่า แต่มันก็มีบางจุดที่ตัวละครแอบไร้เหตุผลไปบ้าง แต่โดยรวมคือสนุกค่ะ ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายให้เราอ่านนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) เปิดจองนิยาย + Spoil ตอนพิเศษ*** 28-08-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 06-10-2017 17:25:22
ไอดีการขาย TBL - 151-433

มีรูปแบบ Ebook ขายแล้วนะคะ
ตามลิ้งนี้นะคะ
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTYzMjEzIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNjQ1NTciO30

หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) *** ประกาศว่ามีหนังสือในสต๊อก *** 19-10-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 19-10-2017 14:32:18
********************** ขอเข้ามาประกาศว่า *****************************

รัก...ได้ไหม
มีหนังสืออยู่ในสต๊อกนะคะ
สนใจสั่งซื้อได้ที่เพจนิยายนะคะ
ตามลิ้งนี้เลย อินบ็อกเข้ามาได้เลย
https://www.facebook.com/byaeaw/
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) *** ประกาศว่ามีหนังสือในสต๊อก *** 19-10-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 29-01-2018 04:47:19
ประกาศรีฯ เรื่อง "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า หนึ่งในซีรีส์ชุด "รัก..." ค่ะ
ใครสนใจ เข้าไปดูรายละเอียดที่เพจนิยายได้เลยนะคะ

https://www.facebook.com/byaeaw/
(https://www.picz.in.th/images/2018/01/29/250.jpg)
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-10-2018 08:51:40
ตามมาอ่านอีกรอบให้จบ
เพราะรู้สึกคราวก่อนอ่านไม่จบไม่รู้ว่าเพราะอะไร

หนึ่งน่าเอ็นดู ตกหลุมพี่อิงตลอดๆ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 08-10-2018 04:13:58
เรืีองนี้พระเอกนิสัยไม่ดีค่ะ แต่เราก็อ่านจนจบ 555
อ่านตินลม นุฟ้า มาแล้ว จะไม่อ่านอิงหนึ่งได้อย่างไร
ขอบคุณผู้เขียนจ้าาาาา ^^
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 16-04-2019 22:50:53
ชอบๆๆ ตามมาจาก รักเธอ และ รักเชิญครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบ รักได้มั้ย ที่สุดแล้วในซีรีย์ รัก เลยล่ะคะ
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 21-04-2019 23:04:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
เริ่มหัวข้อโดย: nolnalnew ที่ 31-01-2020 04:19:16
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมากกกก :katai2-1: :katai2-1: