รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61  (อ่าน 27852 ครั้ง)

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
14
‘เป็นไงมาไง หนึ่งถึงกลายเป็นเมียคุณอิงได้’

คำถามของเจ้าสาวคนสวยดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยในหัวของคณิต นับตั้งแต่หญิงสาวบังเอิญตาดีมองไปเห็นรอยแดงที่ต้นคอเขา เมื่อครั้งมาเคาะประตูบอกให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำตอนหนึ่งทุ่มตรง มิหนำซ้ำคนที่สร้างรอยเอาไว้ก็ไม่อายและคงอยากประกาศความเป็นเจ้าของเขาเต็มแก่ ถึงได้เดินพันกายด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวมายืนซ้อนเยื้องๆ อยู่ด้านหลัง อวดความสูงที่ศีรษะคนด้านหน้าเลยไหล่กว้างมาแค่นิดหน่อย ญาดาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตะลึงปนอึ้ง ก่อน คว้าแขนเขาแล้วดึงออกมาจากห้องพักโดยเร็ว เพื่อซักถามให้ได้ความจริงแบบจริงจัง

ญาดาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอขาดการติดต่อกับคณิต เมื่อครั้งที่ตกลงยุติความสัมพันธ์แบบคนรักลง ด้วยความไกลห่างของระยะทาง

คณิตกล้าที่จะเล่าทุกอย่างให้อดีตคนรักฟัง ไม่คิดปิดบัง ไม่ใช่เพราะภูมิใจถึงได้เล่า แต่เพราะอยากระบายความรู้สึกนึกคิดแสนปั่นป่วนในหัวใจออกมาบ้างต่างหากเล่า

‘แล้วคุณหวานล่ะหนึ่ง เธอเป็นยังไงบ้าง เสียใจมากไหม นี่เธอเสียคนรักไปเลยนะ’

นี่เป็นอีกหนึ่งคำถามของญาดา ชักชวนให้นึกถึงใบหน้าช้ำคราบน้ำตา ที่แสดงว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักมาก คณิตจำไม่ได้ว่าตนตอบญาดาไปว่าอย่างไร หรือได้ตอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เขาเอาตัวเองมานั่งกอดเข่าบนพื้นระเบียงของบ้านพักได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมา พร้อมกับใครคนหนึ่งที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา มือหนาวางบนศีรษะราวกับจะปลอบโยนเอาใจให้คลายความทุกข์เศร้าในหัวใจลง แล้วลูบเบาๆ ให้คลายความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกเบาบางลง

คณิตอยากสะบัดหัวหนี อยากเมินหน้าหนี อยากวิ่งหนีไปให้ไกล สุดท้าย...ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้สัมผัสจากมืออุ่นปลุกปลอบ ทั้งที่เจ้าของมือเป็นคนสร้างปัญหาให้กับเขาเอง

...เป็นอชิตะที่ไม่ยอมหยุด! ไม่ยอมให้ความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวนี้เลือนหายไปกับความฉ่ำเย็นของสายน้ำในสระยามค่ำคืนนั้น

...หรือเป็นเขาเองที่ไม่เด็ดขาด ส่วนลึกที่น่าเกลียดที่สุดของจิตใจ คล้ายจะติดกับดักรสชาติของแรงสัมผัสแนบแน่น หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน รสสวาทที่ควรขยะแขยงแต่กลับสมยอมราวกับเนื้อกายโหยหาเสียเอง

เพียงแค่ปากร้อนระอุบดเบียดลงมา มือแกร่งลูบไล้ปลุกเร้าเลือดในกายก็ตีกระชากแรงต่อต้านจนกระเจิง บทรักบนเตียงและอีกหลายจุดเมื่อหลายชั่วโมงก่อนยาวนานและสุขสมกว่าครั้งไหน เมื่อความเร่าร้อนจบลง ไพปรารถนาดับถอน เสียงหอบเหนื่อยเหมือนคนวิ่งมาราธอนกว่าร้อยกิโลเมตรเบาบางลง ร่างหนาอุดมด้วยมัดกล้ามพลิกกายลงจากตัวเขา ในวินาทีต่อมาก็คว้าตัวเขาเข้ามากอด แนบจูบชื่นชมลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อ หัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างคนที่พึงพอใจกับความสุขสมที่ได้รับจากร่างกายของเขา หัวใจดวงน้อยนิดของเขาก็เหมือนมีลูกไฟสีขาวนวลเล็กๆ โบยบินอยู่ในนั้น

นอกจากหัวใจของเขา มันจะอ่อนแออย่างสุดๆ แล้ว มันยังหน้าด้านอย่างไร้ยางอายด้วย   

“บอส” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกฟ้องความสิ้นหวัง แววตาระริกไหวเพราะจิตใจที่อ่อนไหว หน่วยตาเรียวเล็กร้อนผ่าว เพราะความสับสนในหัวใจ “เมื่อไหร่ทุกอย่างมันจะจบ”

เมื่อไหร่มันจะสิ้นสุด เขาไม่อยากพ่ายแพ้ ไม่อยากทำให้ผู้หญิงนิสัยดีอย่างณัชชาเจ็บปวด หากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอชิตะยังดำเนินไปในรูปแบบนี้ อย่างที่ผูกพันกันด้วยร่างกาย สักวันหนึ่งก็กลัวว่าร่างกายจะกลายเป็นหัวใจ...

‘ผมไม่มีวันรักคุณอิงครับ’

คำพูดที่ได้บอกหญิงสาวผู้เคยเป็นดั่งดวงใจและเป็นความรักยิ่งใหญ่ของอชิตะไปเมื่อวาน กลัวเหลือเกินว่าในวันข้างหน้าจะเป็นคำโกหกหน้าด้านๆ ที่ถูกจับได้แบบดิ้นไม่หลุด ก็เพราะแค่ตอนนี้ หัวใจของเขาก็ไม่ปกติเสียแล้ว

“ไม่ว่าเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีวันจบ” คำตอบนั้นหนักแน่นและน่ากลัว จนคนที่อยากได้คำตอบต้องหันหน้าหนีสายตาสะกดหัวใจคู่นั้นของอชิตะ “ผมรักคุณไปแล้วนะหนึ่ง และมันจะมั่นคงตลอดไป”

แรงจูบแนบแน่นที่ข้างขมับ ใบหน้าเล็กหันกลับมาสบตาใหม่อีกครั้ง

“ตลอดไป...มันนานแค่ไหนครับบอส” ความรู้สึกลึกๆ ออกคำสั่งให้ถาม “...สองวัน สองปี หรือจนกว่าบอสจะเบื่อ จนกว่าจะเจอคนใหม่ คนที่ทำให้บอสคลั่ง อยากได้เอามานอนครางอยู่ใต้ร่าง เหมือนกับที่ต้องการผมในอย่างในวันนี้”

ครั้งหนึ่งอชิตะก็เคยรักณัชชามาก แต่ก็หมดรักได้อย่างรวดเร็ว เพราะมาคลั่งไคล้ตัวเขา แล้วในอนาคตล่ะจะเป็นแบบเดียวกับตอนนี้ไหม ที่มีใครคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตอชิตะ ใครคนนั้นอาจเข้ามาเปลี่ยนหัวใจอชิตะอีกครั้งก็ได้

วินาทีแรก คณิตเห็นดวงตาคมเข้มลุกร้อนเพราะคำถามของเขา ทว่าวินาทีต่อมาคณิตก็เห็นเพียงความมั่นใจแสนดุดัน ที่ทำเอาหัวใจโยกไหวรุนแรง

“พิสูจน์สิหนึ่ง...”

ทุกอย่างที่คณิตเห็น ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา น้ำเสียง และท่าทางที่อชิตะแสดงออกมาให้เห็น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งท้าทายที่ต้องใช้หัวใจพิสูจน์

“...ว่าตลอดไปของผม มันนานแค่ไหน นานเท่าชีวิตผม นานเท่าชีวิตคุณหรือเปล่า มาพิสูจน์ไปด้วยกันนะหนึ่ง”

แล้วเขาต้องพิสูจน์อีกกี่วัน กี่คืน กี่เดือน หรือกี่ปีล่ะ หรือจะต้องตลอดไป จนกว่าลมหายใจของคนใดคนหนึ่งจะลาลับจากร่างกายไปตลอดกาลอย่างนั้นหรือ

“พิสูจน์แล้วได้อะไร” ปากบางยังเอ่ยต่อด้วยคำถาม ฝ่ายถูกถามก็ตอบอย่างรวดเร็วและไม่คลายความหนักแน่นในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

“ได้คำตอบที่คุณอยากได้” อชิตะจับมือเล็กติดจะสั่นขึ้นมาวางแนบบนอกด้านซ้าย ฐานที่ตั้งของหัวใจ “มันอยู่ในนี้...รอให้คุณพิสูจน์”

“แล้วถ้าผมไม่อยากพิสูจน์ล่ะ” เขาเลื่อนสายตาไปยังมือตัวเองที่วางแนบบนอกซ้ายของอีกฝ่าย สัมผัสกับแรงเต้นภายในผิวเนื้อที่เผลอไผลลูบไล้ยามคลื่นความสุขโหมกระหน่ำ ภาพหนึ่งซ้อนทับขึ้นมาในความคิด ภาพที่เขากับอชิตะแก่ไปพร้อมกัน มือสอดประสานกันไปตลอดทาง จูบของอชิตะที่มีเพียงผู้ชายแก่ๆ ชื่อคณิตที่ได้รับมัน...

คณิตรีบสะบัดภาพบ้าๆ นั้นทิ้ง

“คุณต้องพิสูจน์หนึ่ง” อชิตะบีบกระชับมือเล็ก “เพราะผมไม่ยอมให้คุณปฏิเสธมันแน่”

คณิตเบือนสายตาหนีคนตรงหน้า

ใช่...เขาไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของอชิตะได้ คณิตไม่เข้าใจว่าทำไมอชิตะถึงทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ทุกทาง เขาไม่เคยปฏิเสธความต้องการของอชิตะได้ตลอดรอดฝั่ง ปากเขาด่าทาง แสดงท่าทางรังเกียจ แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นมาตลอด

เขาพ่ายแพ้อชิตะ หรือว่าหัวใจตัวเองกันแน่?

บางทีคณิตก็อยากให้ ‘ตลอดไป’ ยาวนานที่สุดก็แค่วันพรุ่งนี้ ขออย่าให้ต้องชั่วชีวิตเลย เพราะเขานึกภาพไม่ออก ถึงวันที่รอยยับย่นแห่งวัยชราได้แต้มแต่งบนใบหน้า ผิวหนังหย่อนยาน หูตาฝ้าฟาง เดินเหินลำบาก ไปไหนก็ต้องใช้ไม้เท้าคอยพยุง และมีใครบางคนตรงหน้าในวันนี้อยู่เคียงข้างจนถึงวันนั้น

คณิตนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ สิ่งที่คิดออกก็มีแต่ภาพเด็กหญิงเด็กชายวิ่งรายล้อมอยู่รอบตัวอชิตะ เรียกอชิตะว่า ‘คุณพ่อ’ และเรียกผู้หญิงคนหนึ่งว่า ‘คุณแม่’ ผู้หญิงที่เขาไม่แน่ใจหรอกว่าใช่ณัชชาหรือไม่ แต่อย่างไรเสียคนคนนั้นก็คือผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายเช่นเขา

เขามีลูกให้อชิตะไม่ได้ ร่างกายของเขาไม่ได้มีไว้เพื่ออุ้มชูชีวิตเล็กๆ แสนบริสุทธิ์ก่อนลืมตาออกมาดูโลก       

*      *      *

คณิตระบายลมหายใจเบาบางขณะที่รถของตนเลี้ยวผ่านประตูรั้วของบ้านรูปทรงโมเดิร์นเข้ามา โดยมีเขาเป็นผู้โดยสารและเจ้าของบ้านหลังงามเป็นคนขับ

โรงรถขนาดใหญ่ทางฝั่งขวาของตัวบ้านหลังใหญ่มีรถคันเล็กแต่หรูหราจอดอยู่ก่อนแล้ว คันที่คณิตจำได้ว่าใครเป็นเจ้าของ เขาหันไปมองคนที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแต่ยังไม่ยอมก้าวลงจากรถ เขาก็เช่นกัน แม้จะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดประตูรถลงไป เสี้ยวหน้าคมเข้มกับสันกรามคมชัดแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกเช่นไร

นี่จะเป็นครั้งแรกของการเผชิญหน้าของคนสามคนใช่ไหม? หัวใจของคณิตโรยแรง ขณะเดียวกันคลื่นความผิดก็โหมซัดเป็นระลอก

“ผมกลับได้มั้ยบอส” คณิตอยากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่อยากเห็นหัวใจอันร้าวระบมของคนที่รอคอยอดีตคู่หมั้นกลับมา

อชิตะไม่ตอบ ชายหนุ่มเลือกที่จะดึงใบหน้าขาวเข้ามาใกล้ ใกล้เพียงพอที่จะจดริมฝีปากร้อนระอุบนเรียวปากคนตัวเล็ก รสจูบยาวนานคือคำตอบ

คณิตก้าวลงจากรถ เดินตามหลังร่างสูงเข้าไปในตัวบ้าน สาวใช้ผิวเข้มจัดเดินอ่อนน้อมเข้ามาหา รายงานแก่นายจ้างว่า ‘แขก’ นั้นอยู่ที่ไหน

“คุณหวานอยู่ที่สวนหลังบ้านค่ะ” สาวใช้รู้ถึงความสัมผัสที่เปลี่ยนไปแล้วระหว่างนายเจ้ากับคู่หมั้นสาว และความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ของชายหนุ่มทั้งสอง รับรู้ทั่วกันทุกคนและยังถูกกำชับว่าห้ามนำความนี้ไปบอกคนในบ้านใหญ่ อันมี ‘คุณเอมอร’ เป็นนางพญาบ่งการชีวิตของทุกคนภายในบ้าน ‘อเนกดำรงฤทธิ์’

“ไปด้วยกันหนึ่ง” เร็วกว่าคำพูดคือมือที่คว้าข้อมือคณิตไว้ ไม่ให้เดินหนีไปไหน “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า ผมคุยกับหวานเรียบร้อยแล้ว” เมื่อกลับมาบ้านแล้วไม่พบตัวคณิต เขาก็แทบคลั่ง ทุกคนภายในบ้านไม่มีใครสู้หน้าติด แม้แต่คนที่ขับรถกลับเข้ามาอีกครั้ง คนที่พาตัวคณิตออกไปจากบ้านของเขา โดยที่คนรับใช้ภายในบ้านไม่มีใครกล้าขัด ก็ไม่กล้าสู้หน้าเขาที่กำลังโมโหแทบบ้าในตอนนั้น

แต่ใบหน้าแดงช้ำเพราะสายน้ำตาก็ทำให้เขาต้องดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแนบอก ความรู้สึกเช่นวันวานจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีความรู้สึกอิ่มเอมเหมือนแต่ก่อน มีเพียงความปรารถนาดีและความรู้สึกผิดต่อการทรยศหักหลังหญิงสาวที่แสนดีคนนี้

เมื่ออยู่ในอ้อมกอด ณัชชาบอกกับเขาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ว่า

‘หนึ่งบอกว่าไม่มีวันรักพี่อิง’

‘พี่รู้...แต่พี่ก็กำลังพยายาม’

‘พยายามทำให้หนึ่งรักหรือคะ’

‘ใช่’...เขาตอบไปอย่างนั้น รับรู้ถึงสายน้ำตาที่ซึมผ่านเนื้อผ้าสู่ผิวเนื้อ คำตอบของเขาไม่ต่างจากค้อนที่ทุบตีหัวใจของณัชชา แต่เพราะความเห็นแก่ตัวและความหลงใหลที่เขามั่นใจว่ามันคือความรักที่พิเศษกว่าที่เคยมีมา สั่งให้ต้องทำใจแข็งดั่งหินที่ไร้ความรู้สึก เขาปล่อยให้ณัชชาร้องไห้อย่างน่าสงสาร ขณะที่ในหัวมีแต่ความคิดที่จะตามตัวคณิตกลับมารับโทษความพยศของเจ้าตัวให้เร็วที่สุด

‘แล้วหวานต้องพยายามด้วยใช่ไหมคะ’ เจ้าของใบหน้าฉ่ำน้ำตาเงยหน้าขึ้นมาถาม แววตาตัดพ้อ ‘พยายามเลิกรักพี่อิง พยายามทำใจให้ได้ว่าพี่อิงไม่ได้รักหวานแล้ว พยายามเข้าใจว่าพี่อิงลืมความรักของเราสองคนไปหมดแล้ว...’

‘หวานต้องทำให้ได้’ เขากลั้นใจบอกอย่างคนเห็นแก่ตัวที่สุด ใบหน้านองน้ำตาพยักขึ้นลงช้าๆ ก่อนจะมีคำถามที่ตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดอย่างช่วยไม่ได้

‘แล้วถ้าหนึ่งไม่รักพี่อิงล่ะคะ’ แต่เขาก็มีคำตอบที่ดีที่สุดให้คนถามและตัวเอง

‘พี่บอกแล้วไงว่าจะพยายาม และพี่มีเวลาให้พยายามทั้งชีวิต’

‘หวานต้องยอมแพ้แล้วใช่ไหมพี่อิง หวานต้องยอมแพ้จริงๆ แล้วใช่ไหม’

เขาใช้ความเงียบแทนคำตอบให้หญิงสาว แต่เขาไม่มีวันยอมแพ้อย่างณัชชาเด็ดขาด ต่อให้ไม่ได้หัวใจ เขาก็จะครอบครองร่างกายขาวสะอาดไว้ตลอดไป

แล้วร่างบอบบางของณัชชาก็ค่อยๆ ฝืนกายออกจากอ้อมแขนเขา แหวนเพชรหนักกว่าห้ากะรัตถูกรูดออกจากนิ้ว แล้วส่งคืนมาให้เขา

‘ขอบคุณสำหรับความรักที่ผ่านมานะคะพี่อิง แต่หวานจะไม่พยายามเลิกรักพี่อิง เพราะหวานคงเลิกรักพี่อิงไม่ได้’ เม็ดน้ำตาหลั่งไหล มือเล็กยกขึ้นปาดทิ้ง ส่ายหน้าเร็วๆ เมื่อเขาจะคว้าตัวมากอดปลอบอีกครั้ง

‘ไม่ต้องค่ะ หวานไม่เป็นไร’ เสียงนั้นปวดร้าว ฟ้องหัวใจที่แตกสลาย ‘หวานขอให้พี่อิงโชคดีนะคะ แต่ถ้าวันไหนที่พี่อิงเลิกรักหนึ่ง ขอให้รู้ไว้นะคะว่าหวานยังอยู่ที่เดิม รอความรักของพี่อิงเสมอ’

เขาไม่เคยนึกถึงวันนั้น...วันที่หมดรัก วันที่หัวใจของเขาไร้เงาของชายหนุ่มที่ชื่อคณิต คนที่ครั้งหนึ่งกินเที่ยวด้วยกันเสียยิ่งกว่าบรรดาเพื่อนสนิท คณิตเป็นเหมือนน้องชายที่เขาตามใจมากกว่าใคร สนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ทว่าวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด พลิกตลบจนบางครั้งเขาก็มึนงงกับความรู้สึกที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ 

เขารักแบบที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อน ยามที่รักณัชชานั้น เขาไม่รู้ว่ารักหญิงสาวเมื่อไหร่ รู้ตัวก็คิดว่าคือผู้หญิงใช่แล้วสำหรับเขา มันคงเป็นความรู้สึกผูกพันที่นำไปสู่ความรัก แต่กลับคณิตแล้ว ความรู้สึกมันต่างกันมาก แทบจะไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกันเลยด้วยซ้ำ มันมีความลุ่มหลง คลั่งไคล้ อยากครอบครองเป็นเจ้าของ อยากได้และต้องได้!

มันเป็นความรักที่เร่าร้อน เผาผลาญหัวใจ ขณะเดียวกันก็อิ่มเอมเปี่ยมสุข โหยหาจนไม่อยากหนีห่างจากไปไหน เขามองไปถึงอนาคต วันที่วัยชรามาถึง วันนั้นเขายังจะมีคณิตอยู่ในอ้อมแขน บนเตียงเดียวกัน เป็นคนสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนลมหายใจจะหมดไปจากชีวิต
   
*      *      *
   
“พี่อิง” ณัชชาลุกจากเก้าอี้ทันทีที่เห็นอดีตคนรักที่เธอยังรักเขาเต็มหัวใจปรากฎตัวขึ้น ร่างบอบบางโผเข้ากอด ซบหน้ากับอกชายหนุ่ม เอ่ยปัญหาที่ทำให้เธอต้องกลับมาบ้านหลังนี้อีกครั้ง “แม่ไม่ยอมให้หวานถอนหมั้น”

   “หวานบอกคุณน้าแล้วเหรอ” อชิตะถามพลางพาหญิงสาวไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เหลือบมองคณิตก็เหมือนอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้น

   อชิตะไม่สบายใจนัก มารดาของณัชชารู้ ก็เกรงว่าจะรู้ไปถึงหูมารดาของเขาด้วย ตอนนี้เขายังไม่ได้เตรียมรับมือกับนางพญาของบ้านอเนกดำรงฤทธิ์ มารดาเขาเป็นผู้หญิงเก่ง ทำงานเก่งกว่าคนที่เป็นสามีเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเรื่องภายในบ้านและรวมถึงชีวิตลูกชายทั้งสี่คนก็อยู่ในอำนาจของเธอทั้งหมด และเขาเองก็กำลังจะแตกแถว ออกนอกเส้นทางที่มารดากำหนดให้

   เขายังไม่พร้อมรับศึกสองด้าน

   “พี่อิงไม่ต้องกังวลนะคะ หวานไม่ได้บอกเรื่องของพี่อิงกับหนึ่ง” เธอรีบบอก กลัวอชิตะเข้าใจผิดว่าเธอเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องมารดา “แม่เข้าใจว่าหวานงอนพี่อิง แล้วก็ไล่ให้หวานกลับมาขอโทษ แม่โกรธด้วยที่หวานถอดแหวนหมั้นคืนให้พี่อิง” นิ้วที่ไร้แหวนเพชรเม็ดงามทำให้มารดาโมโหหนัก ดุเธอเสียจนเกือบจะเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังแล้ว ว่าเธอไม่ใช่คนผิดเลย เพราะเธอเป็นคนถูกทิ้ง

   ณัชชาไม่ได้บอกมารดาถึงสาเหตุที่แท้จริง จึงบอกมารดาไปว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับอชิตะแล้ว เธอรู้ว่าหากบอกความจริงไป คนที่ลำบากจะเป็นอชิตะ และคนที่ลำบากที่สุดหนีไม่พ้นคณิต ถึงแม้จะเสียใจ แต่หญิงสาวบอกกับตัวเองว่าจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของคณิตที่ทำให้อชิตะหมดรักเธอ

   หากจะโทษ ต้องโทษตัวเธอที่ทำให้อชิตะรักอีกต่อไปไม่ได้

   “พี่ขอบใจมากนะหวาน” แม้ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจเธอ ทว่าณัชชาก็ยังเป็นน้องสาวที่น่ารักเสมอ

   “หวานรู้ค่ะ ถ้าแม่รู้ความจริง แม่ต้องเอาไปบอกน้าอร แล้วคนที่ลำบากจะเป็นหนึ่ง” หญิงสาวหันไปมองคณิต อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาเมื่อถูกเอ่ยถึง ก่อนจะก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

   คณิตกำลังครุ่นคิดบ้างอย่าง หนทางที่จะพ้นไปจากความสัมพันธ์ผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวนี้ ถึงจะยอมกลับมากับอชิตะ แต่คณิตก็ยังไม่เลิกที่จะพาตัวเองกลับไปสู่เส้นทางเดิม เส้นทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น ไม่ใช่เส้นทางที่มองไม่เห็นอนาคตและเต็มไปด้วยบทพิสูจน์

   หัวสมองคิดถึงแต่เส้นทางหนีรอด และคุณเอมอรผู้หญิงวัยใกล้หกสิบปีคือตัวช่วยที่ดีที่สุด ที่คณิตคิดออกในตอนนี้ เขาจะได้ไม่ต้องอยู่ ‘พิสูจน์’ หัวใจอชิตะไปตลอดชีวิต

 *      *      *
   
“หนึ่ง” คณิตเงยหน้าขึ้นมาเมื่อถูกเรียก

   ณัชชาเดินมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มร่างเล็ก หลังจากที่อชิตะเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้าคนสำคัญที่โทรมาเมื่อครู่

   “ครับคุณหวาน” เขาไม่กล้าสู้หน้าแต่ก็ไม่อาจหนีสายตาของณัชชาได้ หญิงสาวดูดีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ขับพาเขาไปส่งหน้าคอนโดมิเนียม

   “หวานรู้แล้วนะว่าพี่อิงไม่ได้ ‘บ้า’” หญิงสาวยิ้มเศร้า “แต่พี่อิง ‘รัก’ หนึ่งมาก”

   “แต่ผมไม่ได้รักเขา” คณิตยังยืนยันเสียงแข็ง

   “แต่อยู่ด้วยกันไป สักวันหนึ่ง...หนึ่งอาจจะรักพี่อิงก็ได้ เหมือนที่หวานรักพี่อิง ถ้าวันนั้นมาถึง หวานก็ขอให้หนึ่งรักพี่อิงมากๆ นะ” ณัชชาหยุดกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก่อนพูดต่อให้จบ “...รักเหมือนที่หวานรักนะ”

   “คุณหวาน...” เสียงของคณิตอ่อนลง “คุณหวานเกลียดบอสหรือเปล่า”... เกลียดที่ทำร้ายหัวใจเธอให้ย่อยยับ เกลียดที่เลิกรักอย่างง่ายดาย

   หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ วงหน้าสวยหวานแต้มรอยยิ้มเศร้า

   “พี่อิงคือความรักของหวาน หวานจะเกลียดพี่อิงได้ยังไง”

   “แล้วเกลียดผมไหม” ...เกลียดที่แย่งเอาความรักของเธอไป

   ครั้งนี้ณัชชายิ้มอย่างเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่เธอตั้งรับไม่ทัน แต่ก็ต้องยอมรับมันทั้งน้ำตา ยอมแพ้เพียงเพราะหัวใจของคนที่เธอรัก ไม่ได้รักเธออีกต่อไปแล้ว

   “ต่อให้หวานเกลียดหนึ่ง มันก็ไม่ทำให้พี่อิงกลับมารักหวานหรอกนะ”

   “เกลียดผมก็ได้นะครับคุณหวาน” เขาควรได้รับโทษเป็นความเกลียดชังจากผู้หญิงที่ถูกทำร้ายหัวใจ

   “หวานเกลียดใครไม่เป็นหรอกนะหนึ่ง แต่หวานอาจจะเกลียดหนึ่งก็ได้ ถ้าหนึ่งไม่รักพี่อิงให้เหมือนที่หวานรัก ถ้าหนึ่งทิ้งพี่อิงไปเมื่อไร หวานจะเกลียดหนึ่งไปจนวันตายเลยนะ” ณัชชาพูดออกมาจากหัวใจของคนแพ้ที่ไม่มีความโกรธแค้นใครทั้งนั้น ไม่ว่าอชิตะหรือคณิต “หวานกลับละ”

ณัชชาเอ่ยลา ก่อนหมุนตัวเดินจากไป ไปจนลับสายตาของคณิตแล้ว แต่คณิตก็ยังมองค้างอยู่กับความว่างเปล่า อยู่กับคำพูดที่ณัชชาทิ้งไว้ให้กลายเป็นหินก้อนใหญ่กดทับหัวใจไร้ยางอายของเขาจนบี้แบน

เขาสงสารณัชชา ผู้หญิงแสนดีที่ไม่ควรถูกความรักหักหลัง หรือว่าเป็นเขากันแน่ที่ไม่ควรจะขโมยเอาความรักของเธอมาเป็นของตัวเอง
   
“เป็นอะไร?”

   คำถามของคนที่มายืนตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ผมไม่เป็นอะไร” ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คงไม่เชื่อ

“หวานพูดอะไรให้เสียใจหรือเปล่า” อชิตะเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าณัชชาไม่ใช่ผู้หญิงร้ายกาจถึงขั้นจะเกลียดชังใครได้

“ถามเหมือนไม่รู้จักคุณหวาน บอสน่าจะรู้จักเธอดีกว่าผม ว่าเธอไม่มีทางทำให้ใครเสียใจ มีแต่คนที่จ้องจะทำให้เสียใจ” คณิตโกรธแทนหญิงสาวที่กลับออกไปแล้ว ก็น่าโกรธแทนไหมล่ะ พอไม่รักแล้ว ณัชชาก็ถูกมองในแง่ร้ายเลยหรือไง

“ไปกินข้าว ผมให้คนจัดโต๊ะไว้แล้ว” อชิตะเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากถูกชวนทะเลาะ และคำพูดของคณิตก็ทำให้เขาละอายใจเหมือนกัน 

“เชิญบอสเถอะ ผมไม่หิว ขอตัว” ว่าแล้วคณิตก็ลุกยืน เดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้าน ทิ้งให้เจ้าของบ้านมองตามอย่างอ่อนใจ ก่อนกลับจากเพชรบูรณ์ก็ดูเหมือนว่าระหว่างเขากับคณิตเริ่มดีขึ้น แต่ที่ไหนได้ก็ยังเหมือนเดิม

*      *      *

เสียงดนตรีสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัวไม่ได้ทำให้หญิงสาวผมยาวที่นั่งจิบเครื่องดื่มซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในแก้วก้านยาวมีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด เพราะเสียงหัวใจที่เจ็บปวดและแหลกสลายส่งเสียงที่ดังกว่าหลายร้อยเท่านัก เครื่องดื่มไม่คุ้นเคยถูกส่งเข้าไปในร่างกายเพียงสามแก้ว แต่กลับสร้างความมึนเมาได้มากมาย โลกรอบกายเหมือนคลุ้มคลั่ง ขณะที่เธอเป็นเด็กตัวน้อยที่กำลังใกล้ตาย

ณัชชาค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ของผับแห่งหนึ่ง ครั้งแรกที่เธอมาคนเดียว หวังให้เครื่องดื่มรุนแรงกลบเสียงแตกร้าวในหัวใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย หัวใจของเธอยังแตกร้าวอยู่เช่นเดิม หญิงสาวตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึก เห็นบาร์เทรนเดอร์มีสองหัว จังหวะหนึ่งที่เธอจะล้ม มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยประคองไม่ให้เสียหลักล้มไปกองพื้น

“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยบอกเขาเบาๆ เพราะไม่มีแรงจะพูดให้ดังกว่านี้ ไม่รู้ว่าผู้ชายใจดีที่ย้อมผมสีเทาจะได้ยินหรือเปล่า

“ให้เกียรติผมสักแก้วนะครับ” หญิงสาวไม่ทันปฏิเสธ เนื่องจากแก้วเล็กๆ นั้นจ่อชิดที่ริมฝีปากของเธอเสียแล้ว

...สักนิดคงไม่เป็นไร

ณัชชาบอกกับตัวเองเช่นนั้น ก่อนรสชาติร้อนแรงจะผ่านลำคอของเธอลงไปอย่างช้าๆ

“ให้ผมไปส่งนะครับคนสวย” ผู้ชายใจดียังอาสาต่อด้วยสุ้มเสียงที่หยอกเย้าอยู่ในที จนไม่น่าไว้วางใจ

“ไม่ต้องค่ะ ฉันกลับเองได้” ณัชชารีบปฏิเสธ เธอตั้งใจแล้วว่าจะโทร.ให้คนขับรถที่บ้านมารับ เพราะสภาพแบบนี้คงขับรถกลับเองไม่ไหวแน่

แต่ผู้ชายผมสีเทาก็ยังอาสาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม มีรอยยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย

“คุณกลับเองไม่ได้หรอกครับ สภาพแบบนี้ ให้ผมไปส่งนะครับ ไปครับ” เธอถูกประคองออกมาจากสถานที่ที่อาบไล้ด้วยแสงสีฉูดฉาด ใจเธออยากต่อต้านความช่วยเหลือที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ ทว่าตอนนี้เธอแทบทรงตัวบนเท้าทั้งสองของตัวเองไม่ได้แล้ว

แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายเธอร้อนวูบวาบ เสื้อผ้าเนื้อหนาที่สวมทับร่างกายกำลังกลายเป็นถ่านไฟร้อน จนอยากจะถอดทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ จากที่คิดจะปฏิเสธชายผมสีเทา ณัชชาก็เป็นฝ่ายเรียกร้องซะเอง

“คุณรีบหน่อย ฉันร้อน อยากกลับบ้าน” เสียงของเธอสั่น รับรู้ถึงแรงโอบกระชับ เสียงหัวเราะหึๆ ดังอยู่เหนือศีรษะก่อนจะได้ยินเสียงผู้ชายผมสีเทาตอบกลับมาว่า

“ได้เลยครับ”

เธออยากกลับบ้าน จะได้ถอดเสื้อที่ร้อนเหมือนถ่านออกไปให้พ้นตัวเสียที แต่เมื่อใกล้ถึงรถคันที่ไม่ใช่ของเธอ เสียงของใครก็ไม่รู้ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ผู้หญิงคนนี้กูขอ!”

***จบตอนที่ 14***
ติดตามตอนที่ 15 วันที่ 10 นะคะ
กระทู้ร้างมาก แอบเหงานะเนี่ย...
เหมือนไม่มีคนอ่านเลย แต่ก็มีคนอ่านอยู่เนอะ
สงสัยไม่มีใครประทับใจอิงหนึ่ง  แอบเศร้าหน่อยๆ แต่ก็เข้าใจ
ยังไงก็มีคนอ่านอยู่เนอะ ดูจากยอดวิว คนเขียนก็ลงเรื่อยๆ เพราะแต่งจบแล้ว
 :katai3:
BY สีเหลืองอ่อน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2017 23:37:44 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
15
   
“เชิญ” มือข้างที่สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่และข้อมือประดับด้วยกำไรเพชรอันใหญ่ ผายมือเป็นสัญลักษณ์ให้แขกของห้องทำงานขนาดใหญ่นั่งที่เก้าอี้บุนวมด้านหน้าโต๊ะทำงานของตน พลางเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “เธอเป็นพนักงานในบริษัทของลูกชายฉัน?”

   คุณเอมอรแทบไม่ได้กล้ำกรายไปยังบริษัทของลูกชายคนเล็กเลย ยกเว้นวันแรกที่เปิดบริษัท นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นพนักงานในบริษัทของลูกชายมาก่อน

   “ครับผม” คนถูกถามพยักหน้ารับ คณิตนั่งรอเกือบสี่ชั่วโมงถึงได้เข้าพบผู้มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่เป็นตึกสูงห้าชั้น รูปทรงทันสมัย เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของตระกูลอเนกดำรงฤทธิ์

   มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดและเหลือเชื่อมากที่คุณเอมอร นางพญาแห่งอเนกดำรงฤทธิ์ยอมให้พวกคนโนเนมเพราะไร้ตำแหน่งใหญ่โตห้อยท้ายเข้าพบ และเข้าพบถึงห้องทำงานอันเป็นสถานที่ที่ต้อนรับบุคคลสำคัญจริงๆ ยกเว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะขอเข้าพบด้วยเรื่องที่เห็นแล้วว่าสำคัญอย่างมาก และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับลูกชายทั้งสี่คนของเธอ

   และชายหนุ่มคนนี้ก็มาด้วยเรื่องของลูกชายคนเล็กของเธอ...อชิตะ ลูกชายที่อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นฝั่งเป็นฝาให้มารดาอย่างเธอชื่นใจ ลูกชายคนเล็กจะแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะบิดาของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน

   “เธอชื่ออะไร ฉันจะเรียกได้ถูก”

   “คณิตครับ”

   “ว่าธุระของเธอมาคณิต” เธอตรงเข้าเรื่อง

   “ผมถูกลูกชายคุณข่มขืนและกักขังหน่วงเหนี่ยวครับ” 

   “ไหนหลักฐาน?” ถึงจะตกใจกับข้อหาที่เด็กหนุ่มรุ่นลูกเอ่ยอ้าง ทว่าคุณเอมอรก็ควบคุมตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม นางพญาของอเนกดำรงฤทธิ์ตั้งสติและคิดทบทวน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ลูกชายคนเล็กจะทำดังที่อีกฝ่ายกล่าวหา อชิตะกำลังจะแต่งงานกับคู่หมั้นที่เหมาะสมทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ และชาติตระกูล ไม่มีทางที่จะผิดเพศและทำอะไรเลวร้ายอย่างนั้นแน่

   อชิตะเป็นลูกชายที่อยู่ในระเบียบมากที่สุดแล้ว ไม่เหมือนพี่ชายอีกสามคนของเขา ที่กว่าคุณเอมอรจะตบให้เข้ารูปเข้ารอยได้สะใภ้ที่คู่ควรก็ต้องหมดเงินไปเยอะ เงินจำนวนมากถูกใช้เพื่อ ‘เฉดหัว’ ผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าออกไปจากชีวิตลูกชายเธอ

   แต่บางสิ่งบางอย่างก็คล้ายจะสั่นคลอนความมั่นใจของเธอ มันเกิดจากชายหนุ่มตรงหน้านี่แหละ

   “นี่ครับหลักฐาน” คณิตลุกยืนแล้วแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเขียวมะกอกของตน แหวกสาบเสื้อให้เห็นร่องรอยที่ลูกชายคุณเอมอรทิ้งไว้บนเนื้อหนังของเขา

   ทั้งรอยดูดและรอยกัด

   ใช่ว่าไม่อายแสดงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่คณิตก็ต้องฝืนความอาย หากเขาต้องการหลุดพ้นและยืมมือคุณเอมอรกระชากลูกชายของเธอออกไปจากชีวิตเขา

   คณิตอยากคืนลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรให้ผู้หญิงที่คู่ควร ผู้หญิงแสนดีอย่างณัชชา

   “บนตัวผมคือสิ่งที่ลูกชายคุณทำไว้”

   ที่คุณเอมอรเห็นคือรอยจ้ำแดง มีจางบ้าง เข้มบ้าง และรอยฟันตามผิวเนื้อสีขาวจัด เธอเผลอส่ายหัวไม่ยอมรับต่อหลักฐานที่อีกฝ่ายเอามากล่าวหาลูกชายเธอ ไม่อยากยอมรับว่าเป็นการกระทำของลูกชายตัวเอง

   ต้องไม่ใช่! 

คุณเอมอรร้องบอกตัวเอง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ราบเรียบ นิ่งสงบ และจ้องจับผิดไปพร้อมกัน
   
“หลักฐานบนตัวเธอ มันบอกว่าเธอไปหลับนอนกับใครมา แต่ไม่ใช่หลักฐานที่จะบอกว่าลูกชายฉันทำอะไรเธอ ฉะนั้นเลิกใส่ร้ายลูกฉันได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นบอกว่าเธอไม่ยอมรับหลักฐานบนร่างกายของเด็กหนุ่มรุ่นลูก ส่วนเจ้าของหลักฐานก็เหมือนจะอึ้งและหน้าชาไปหลายนาที ก่อนจะค่อยๆ ยัดกระดุมเม็ดเล็กใส่รังดุมจนครบ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม

   “ผมไม่ได้ใส่ร้าย” เขาตอบกลับ คณิตคิดว่าเรื่องจะง่าย เพราะหลักฐานมันชัดเจนอยู่บนตัวเขาแล้ว แต่เขาก็ลืมไปว่าหลักฐานไม่ได้ระบุตัวคนทำได้เลย คุณเอมอรคงคิดว่าเขาใส่ร้ายลูกชายเธอ ดังนั้นคณิตจึงต้องหาทางพิสูจน์ความจริงที่เกิดขึ้น ว่าสิ่งที่ปรากฏบนร่างกายของเขา ทั้งที่เปิดเผยให้คุณเอมอรเห็นและที่เปิดเผยไม่ได้อีกเล่า เป็นสิ่งที่ลูกชายคุณเอมอรทำจริงๆ ไม่ใช่ใครคนไหนทั้งสิ้น

คณิตตัดสินใจล้วงโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อคืนเขาเพิ่งอ้อนขอคืนจากอชิตะมาได้ แล้วการที่วันนี้เขาออกจากบ้านได้ก็เพราะหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาทำตัวดี ว่าง่าย ทำตามคำสั่งของอชิตะทุกอย่าง ไม่มีโวยวายหรือทำพยศใส่ เมื่ออีกฝ่ายอยากกกกอดเขาด้วยลีลารักรูปแบบไหน เขาเต็มใจเพื่อให้อชิตะไว้ใจ จนกระทั่งวันนี้ เขาบอกอชิตะว่าอยากกลับมาทำงาน เพราะเบื่อที่ต้องอยู่แต่ภายในบ้าน เจ้าตัวยอมเพราะเห็นว่าเขาเปลี่ยนไป และเขาก็อาศัยจังหวะที่อชิตะเผลอหนีออกมาจากบริษัท แล้วมาหาคุณเอมอรที่นี่

พอล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา หน้าจอก็ฟ้องรายละเอียดว่ามีใครโทรเข้ามาหาเขาบ้าง ซึ่งก็มีแค่คนเดียวกับห้าสิบสายเรียกเข้า ดีที่เขาปิดเสียงและปิดระบบสั่นด้วยก่อนแล้ว

นั่นไง โทรเข้ามาอีกแล้ว

คณิตยิ้ม นี่แหละคือหลักฐานชิ้นดีที่สุดที่จะทำให้คุณเอมอรเชื่อว่า เขาไม่ได้ไปหลับนอนกับใคร นอกจากลูกชายคนเล็กของเธอคนเดียว

“ถ้าคุณเอมอรอยากได้หลักฐานที่ชัดกว่าสิ่งที่อยู่บนตัวผม ผมก็ขอให้คุณเอมอรฟังนี่ให้ดีนะครับ” คณิตกดรับสายที่โทรเข้ามา พร้อมกับเปิดลำโพงให้เจ้าของห้องได้ยินสิ่งที่ดังออกมาแทบจะทันที ชายหนุ่มวางโทรศัพท์เครื่องบางบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่

ภายในห้องเงียบ ราวกับต้อนรับเสียงที่ดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์

“หนึ่ง! คุณอยู่ไหน!” คำถามที่บรรจุไว้ซึ่งอารมณ์ฉุนเฉียวของอชิตะ

“คุณไม่ต้องสนหรอกว่าผมอยู่ไหน”

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”

“คุณรู้เรื่องของคุณคนเดียวน่ะสิ ผมรู้เรื่องอะไรด้วยไหม”

“กลับมาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ผมจะโมโหมากกว่านี้ และก่อนที่ผมจะตามตัวคุณเจอ แล้วคุณจะไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย” เสียงนั้นข่มขู่ด้วยความโกรธสุดขีด จนใบหน้าของคนที่ปฏิเสธหลักฐานชิ้นแรกมีริ้วรอยโกรธเกรี้ยวกับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป

เสียงของลูกชายเธอ เป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เอมอรไม่อยากเชื่อว่าลูกชายคนเล็กได้ผิดเพศไปเสียแล้วอย่างนั้นหรือ

“ผมไม่อยากวิปริตเหมือนคุณ” คณิตตอบคนที่อยู่ปลายสาย พลางส่งสายตาบอกคุณเอมอรเป็นเชิงถามว่า ‘เชื่อหลักฐานของผมหรือยัง’

“วิปริตงั้นหรือหนึ่ง! การที่ผมรักคุณ มันเป็นเรื่องวิปริตอย่างนั้นหรือ” แว่วว่าได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ลอดออกมาพร้อมกับคำถามเกรี้ยวกราดนั้นด้วย

“ใช่ครับ คุณมันวิปริตไปแล้ว”

“แล้วไอ้คนที่นอนครางอยู่บนเตียงผมทุกคืนล่ะ เรียกว่าวิปริตด้วยไหมหนึ่ง ชอบเหมือนกันไม่ใช่หรือไงตอนที่ผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณ เสร็จคามือผมไปกี่รอบแล้วห๊ะหนึ่ง!”

“หยาบคาย!”

ไม่ใช่เสียงของคนที่กำลังลอบยิ้มสมใจ ทว่าเป็นเสียงตวาดอย่างสิ้นความอดทนของคุณเอมอร เธอทนฟังสิ่งที่ออกมาจากปากลูกชายของตัวเองไม่ได้

“คุณแม่!”

คุณเอมอรคว้าโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาจากโต๊ะ ปิดลำโพง ก่อนจะยกขึ้นแนบหู

“แกเป็นได้ถึงเพียงนี้หรือห๊ะอิง ทำกับผู้หญิงแม่ก็ว่าเลวแล้วนะ แต่นี่ผู้ชาย แกทำได้ยังไงห๊ะ แล้วหนูหวานล่ะ แกกำลังจะแต่งงานกับน้องนะ”

“.....”

“แกบ้าไปแล้วหรือไง ฉันเลี้ยงแกมาให้เป็นคนอย่างนี้เหรอ”

“....”

“พอๆ ฉันไม่อยากฟัง แกหลงมันเกินไปแล้วนะ”

“.....”

“แกจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันไม่ยอม คนที่แกจะแต่งงานด้วยได้มีแค่หนูหวานคนเดียวเท่านั้น”

“.....”

“อย่าต่อกรกับฉัน!”

“.....”

“ฉันเป็นแม่แกนะอิง ฉันมีสิทธิ์ทำอะไรกับชีวิตแกก็ได้”

คณิตไม่รู้หรอกว่าคนปลายสายบอกหรือตอบโต้มารดาตนอย่างไรบ้าง แต่ก็พอใจที่เรื่องทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่เขาอยากให้เป็น คุณเอมอรรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาแล้ว ต่อจากนี้ไปเธอจะเป็นคนจัดการอชิตะให้ออกไปจากชีวิตของเขา โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

ถ้าให้เลือกระหว่างเขากับณัชชา คนเป็นแม่และชอบบงการชีวิตลูกๆ ย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกและตัวเอง และสิ่งที่ดีที่สุดย่อมไม่ใช่เขา แต่เป็นณัชชา คนที่มีพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล

และไม่ใช่ผู้ชาย!
   
“เธอต้องการอะไรว่ามา” คำถามดังขึ้นหลังจากคุณเอมอรปิดการสนทนากับลูกชายคนเล็กลง เธอโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างไม่นึกกลัวว่ามันจะพัง ดวงตาคมสวยในหน่วยตากว้างจ้องเด็กหนุ่มราวกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ      

“ผมต้องการให้คุณเอมอรจัดการลูกชายของคุณ อย่าให้เขามายุ่งกับผมอีก”

คณิตมาเพื่อสิ่งนี้ คุณเอมอรจะช่วยเขาได้ เขาเชื่อว่าคุณเอมอรจะดึงสติของลูกชายตนกลับมาได้ อชิตะจะได้เลิกบ้าซะที และไม่ใช่เท่านี้ที่คณิตต้องการ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้

“...และผมขอเงินหนึ่งล้าน”

“สำหรับอะไร?”

“เป็นค่าเสียหายที่ลูกชายคุณทำกับผม” พูดจบก็ถูกสายตาดูถูกตวัดมองให้หน้าชา แต่มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่เป็นแบบนี้   

“อย่าหวังว่าจะได้จากฉันแม้แต่บาทเดียว” 

คณิตก็ไม่ได้หวังอยู่แล้ว ความจริงเขาไม่ได้ต้องการเงินค่าเสียหายแม้แต่สลึงเดียวด้วยซ้ำ เขาแค่อยากให้ตัวเองดูเลวก็เท่านั้น

ความเลวที่นอกจากจะทำให้คุณเอมอรเกลียดขี้หน้าเขา อีกคนก็ต้องเกลียดตามไปด้วย เพราะพอเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายไปถึงหูอชิตะเมื่อไหร่ ก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากคนเป็นแม่ เรื่องจะได้จบอย่างสวยงามสำหรับเขา ที่ไม่มีอชิตะมาคอยหลงใหลคลั่งไคล้อีกต่อไป

“งั้นผมขอเพิ่มเป็นสิบล้าน สำหรับเป็นค่าจ้างออกไปจากชีวิตของลูกชายคุณ คุณเอมอรคงไม่อยากได้สะใภ้เป็นผู้ชายใช่ไหมครับ” มันจะช่วยให้เขาดูเลวขึ้นอีกเท่าตัว

“เฮอะ!” คุณเอมอรกระแทกเสียงหยัน “ก็ไหนเมื่อกี้จะให้ฉันช่วยจัดการลูกชายไม่ให้ยุ่งกับเธอไม่ใช่หรือไง” ปากพูดเหมือนจะไม่จ่ายตามที่คณิตเรียกร้อง แต่มือก็หยิบสมุดเช็คเงินสดจากลิ้นชักขึ้นมาวางบนโต๊ะ กรอกตัวเลขและลายเซ็นลงไปอย่างรวดเร็ว

เงินแค่สิบล้าน เธอจ่ายได้สบายอยู่แล้ว ดีเหมือนกัน ลูกชายเธอจะได้เห็นว่าผู้ชายที่มันตะโกนใส่หูเธอปาวๆ ว่าเป็นเมียนั้น มันหน้าเงินขนาดไหน จะได้ตาสว่างซะที

สิบล้าน...ถือว่าน้อยกว่าที่เคยใช้ฟาดหัวผู้หญิงเห็นหิวเงินที่หวังจะจับลูกชายเธอ

“เอาไป แล้วก็ออกจากชีวิตลูกชายฉันซะ”

“ขอบคุณครับ” บอกพลางยื่นมือไปรับเช็คที่อีกฝ่ายส่งมาให้ แผนของเขาเสร็จลงแล้ว จากนี้ก็รอแค่ผลของมัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่นานเกินรอหรอก ในเมื่อหากวิ่งสุดฝีเท้าจากบริษัทของอชิตะมาที่นี่แล้วละก็ ใช้เวลาไม่น่าจะเกินสิบนาที

ดูเอาเถอะ เดี๋ยวประตูด้านหลังของเขาก็จะถูกกระชากเปิด พร้อมกับร่างชุ่มเหงื่อและอาการหอบแฮ่กๆ ของคนที่ทั้งเขาและคุณเอมอรกำลังรอคอย

นั่นไง มาแล้ว

“หนึ่ง!” สุ้มเสียงเข้มจัดด้วยความโกรธที่ก่อตัวดังไฟร้อนดังจากด้านหลัง ก่อนมือใหญ่ของลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรจะปรี่เข้ามากระชากแขนคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น “มาที่นี่ทำไม?” คำถามที่ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว

“ผมก็แค่อยากได้เงินชดเชยสิ่งที่คุณเอาไปจากผม” คณิตโบกกระดาษแผ่นเล็กที่มีมูลค่าสิบล้านบาทไปตรงหน้าลูกชายเจ้าของเงิน 

“หมายความว่าไง?” อชิตะถามด้วยความงงที่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธคนตัวเล็ก อชิตะไม่คิดว่าจะถูกคณิตหักหลัง มิน่าล่ะ อาทิตย์ที่ผ่านมาเจ้าตัวถึงทำตัวดีนัก ทำให้เขาหลงเข้าใจว่าเจ้าตัวจะไม่หนีเขาไปไหนแล้ว

“ก็หมายความว่ามันมาเรียกร้องเงินจากฉันสิบล้าน แลกเปลี่ยนกับการที่มันจะออกไปจากชีวิตของแกไงอิง ตาสว่างซะที มันไม่ได้รักชอบแก มันแค่อยากได้เงิน แล้วแกก็ปล่อยมันได้แล้ว" เธอสั่งในประโยคสุดท้าย ก่อนก้าวเข้าไปกระชากมือลูกชายออกมา “ได้เงินก็ไปซะ อย่ากลับเข้ามาในชีวิตลูกฉันอีก” หันไปสั่งคณิต ขณะที่อชิตะก็ยังทำอะไรไม่ถูก เขาไม่อยากเชื่อว่าคณิตมาหามารดาเขาเพื่อเรียกร้องเงินสิบล้าน

“แน่นอนครับ ผมจะไม่กลับเข้ามาในชีวิตลูกชายคุณอีก แต่ถ้าผมกลับมาเมื่อไหร่ ก็เชิญคุณแจ้งตำรวจจับผมข้อหาขู่กรรโชกได้เลย ผมยินดีจะเข้าไปอยู่ในคุก” คณิตวางแผนมาอย่างดีแล้ว เขาถึงกล้าพูดออกมาแบบนี้

เขาจะเลวในสายตาอชิตะ และต่อให้อชิตะรักเขาจริง ให้อภัยความเลวของเขาได้ อีกฝ่ายก็คงไม่อยากให้เขาติดคุกข้อหาขู่กรรโชกเงินจากคุณเอมอรเป็นแน่ มันจะทำให้อชิตะไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป

“ขอบคุณนะครับสำหรับเงินสิบล้าน” เขาบอกคุณเอมอรอีกครั้ง แล้วหันไปบอกคนที่มองเขาด้วยสายตาผิดหวัง ทำเอาหัวใจบ้าบอของเขาถึงกับเซ “ลาก่อนนะครับบอส ถ้าไม่อยากให้ผมติดคุก ก็อย่ามายุ่งกับผมอีก ผมไปละ”

เดินพ้นความยิ่งใหญ่ของตัวอณาจักรเอนกดำรงฤทธิ์มาได้ คณิตก็ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด ร่างกายผ่อนคลายขึ้นมาแทบจะทันทีทันใด ระหว่างที่เปิดประตูห้องทำงานของคุณเอมอรออกมา ก็กลัวเหมือนกันว่าอชิตะจะตามออกมาฉุดกระชากเขาเหมือนเป็นตุ๊กตาแสนหวง ที่ต้องเอากลับไปนอนกอดบนเตียงที่บ้านให้ได้

แต่พอก้มดูตัวเลขบนกระดาษเช็คเงินสดแล้ว ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปหลายที คณิตคิดไม่ตกว่าจะทำอะไรกับเงินจำนวนนี้ดี ไม่ได้วางแผนเรื่องใช้เงินจำนวนมากนี่มาซะด้วยสิ ไม่ใช่ไม่ชอบเงิน แต่ถ้าเป็นเงินที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้วละก็ คงจะดีกว่านี้มาก เขาจะได้ใช้มันอย่างภูมิใจ แต่นี่เป็นเงินที่เรียกว่า ‘ขู่กรรโชก’ เอามาเลยก็ว่าได้ หรือจะพูดให้ตัวเองอับอายยิ่งขึ้นก็ต้องเรียกว่าเงิน ‘ค่าตัว’ 

“เอาไงดีละ”

ยืนคิดอยู่สักพัก คณิตก็ยิ้มออก เขาคิดได้แล้วว่าควรทำอย่างไรกับเงินสิบล้านที่ได้มา เงินที่คุณเอมอรจ่ายได้อย่างง่ายดายคล้ายเป็นเศษเงินของคนรวยมหาศาล แต่สำหรับคนกลุ่มใหญ่ที่ด้อยโอกาสในสังคม เด็กถูกทิ้ง คนชรา ผู้พิการในมูลนิธิต่างๆ เงินสิบล้านในมือเขาคงช่วยคนกลุ่มนั้นได้เยอะเลยทีเดียว

“เอาวิธีนี้แหละดีที่สุด”

เขาจะได้ไม่รู้สึกผิดด้วย

*      *      *


ตู้ม!

เสียงร่างหนาที่ยังห่อหุ้มด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลกปะทะเข้ากับผิวน้ำแล้วแตกกระจาย ร่างนั้นดำดิ่งลงไปจนถึงใต้สระ ก่อนจะพลิกตัวกลับ ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำในเวลาต่อมา อชิตะเสยผมเปียกชุ่มของตัวเองไปด้านหลัง ลูบเม็ดน้ำออกจากใบหน้า จากนั้นก็พาตัวเองขึ้นจากความฉ่ำเย็นของสายน้ำ ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างสระน้ำ หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าและผม แล้วเอนตัวลงนอนหนุนแขนตัวเอง มองท้องฟ้าสีราตรีเงียบสงบ ร้างไร้ดวงดาว

มันสนุกตรงไหน!

อชิตะไม่เห็นความสนุกสนานหรือผ่อนคลายใดๆ เลย เมื่อร่างของตนกระโจนลงไปในน้ำและดำลึกไปจนถึงก้นสระ ทำไมคณิตถึงได้ชอบนักนะ ทุกครั้งที่คณิตมาที่บ้านหลังนี้ หรือแม้แต่คอนโดมิเนียมหลังเก่าของเขาที่ขายต่อให้ภาคีไปแล้วนั้น คนตัวเล็กจะต้องกระโจนลงสระว่ายน้ำ แหวกว่ายไปมา ทำตัวเหมือนปลาเจอน้ำ หัวเราะเสียงดังลั่นด้วยน้ำเสียงมีความสุขล้นเหลือ

เขาไม่เห็นจะหัวเราะได้เหมือนคณิตเลย!

ไม่มีความสุขเลยด้วยซ้ำ!

เนื้อตัวของเขาเริ่มออกอาการสั่น เนื่องจากความเปียกชื้นของเครื่องนุ่มห่ม กับสายลมยามดึกที่โอบล้อมรอบกายเหมือนจะกลั่นแกล้งให้เหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ อยากดับความเหน็บหนาวที่เกิดขึ้นด้วยร่างกายของใครบางคน คนตัวเล็ก กายขาวและมีกลิ่นหอมยั่วใจ สัมผัสคราวใดเป็นต้องหักห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เกือบสิบวันแล้วที่ไม่ได้กกกอดไว้แนบอก

“คุณทำอะไรอยู่ตอนนี้หนึ่ง”

เขาถามเอากลับความเงียบรอบตัว ไม่มีคำตอบให้คลายความถวิลหา

“หรือกำลังสนุกกับเงินสิบล้าน”

เช็คสิบล้านถูกขึ้นเงินไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เขารู้จักมาเป็นระยะเวลาหลายปีจะเป็นคนแบบนี้ กล้าเรียกร้องเงินถึงสิบล้านจากมารดาของเขา อยากได้เงินนักทำไมไม่เอาที่เขา คนอย่างอชิตะให้ได้มากกว่าสิบล้านเสียด้วยซ้ำ

มันต้องมีเหตุผลสิ เหตุผลที่ทำให้คณิตเรียกร้องเงินจำนวนสิบล้านเป็นค่าเสียหายของตัวเอง

อชิตะหลับตาลง เพื่อใช้สมองครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายวันแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร อยากได้เงินทำไมไม่เอาจากเขา ทำไมต้องไปหามารดาเขาที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย

หึ...ปากหนากระตุกยิ้มเมื่อเวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมง หลังจากใช้สมองทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ทุกคำถามเริ่มมีคำตอบ มองเห็นในสิ่งที่เคยมองไม่เห็น เข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ สิ่งที่คณิตทำคือ ‘แผน’ หรือเปล่า

‘แผน’ ง่ายๆ ที่จะออกไปจากชีวิตเขา ใช้มารดาเขาเป็นเครื่องมือ ใช้เงินสิบล้านเป็นตัวช่วย

*** จบตอนที่ 15 ***
แอบบอก ตอนนี้เขียนตอนพิเศษจบแย้ว เฮ้อ...ทรหดมากกกก
BY สีเหลืองอ่อน




ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รู้สึกว่าอิงเป็นพระเอกที่ไม่ได้เรื่องอ่ะ 55555

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
16

“อะไร?”
สายตาของคนมากวัยกว่าเลื่อนจากเช็คเงินสดที่วางลงบนโต๊ะทำงานหลังใหญ่ของตนขึ้นไปยังใบหน้าของลูกชายคนเล็ก ที่ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่จะนั่งสนทนาให้ยืดยาว เพราะธุระของเจ้าตัวใช้เวลาไม่นาน...
อชิตะแค่เอาเงินมาคืนคนเป็นแม่   
“ผมเอาเงินมาคืน เงินที่เมียผมเอาของคุณแม่ไป” อชิตะพูดคำว่า ‘เมีย’ ได้เต็มปาก ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีกแล้ว ปัญหาที่กลัว ถ้าไม่กลัว เขาจะผ่านมันไปได้
“เมื่อไรแกจะเลิกบ้าฮึ ฉันเลี้ยงแกมาให้วิปริตผิดเพศหรือไง นั่นมันผู้ชาย แกจะรักจะแต่งงานกับมันได้ยังไง ถ้าแกไม่อายใคร ก็คิดถึงหน้าบางๆ ของฉันบ้าง” คุณเอมอรบอกอย่างเหลืออด เพราะเธอเดือดร้อนกับเรื่องนี้มาก ไม่คิดเลยว่าลูกชายคนเล็กจะสร้างความร้อนเนื้อร้อนใจได้มากกว่าลูกชายคนไหน พวกนั้นหาเมียที่ไม่ถูกใจเธอ แต่ก็เป็นผู้หญิง!
แต่นี่อะไร ลูกชายคนเล็กที่ไม่เคยสร้างปัญหาเรื่องผู้หญิงให้เธอปวดหัวแม้แต่นิดเดียว บัดนี้กลับทำสิ่งที่คาดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะมายืนบอกเธอได้หน้าตาเฉยว่ามี ‘เมีย’ เป็นผู้ชาย
เลือกผู้ชายมาเป็นเมีย คนเป็นแม่ไม่ยอมเด็ดขาด!
“เก็บเช็คของแกไป แล้วกลับไปขอโทษหนูหวานซะ”
คนเป็นลูกก็ใช่จะยอมเหมือนกัน ในเมื่อเลือกแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว เลือกทำให้อดีตคนรักเสียใจไปแล้ว ข่มแหงร่างกายของผู้ชายคนหนึ่งไปแล้ว รักไปแล้ว หลงไปแล้ว แล้วจะกลับไปเดินเส้นทางเดิมได้อย่างไร
“ผมมีธุระกับคุณแม่แค่นี้ครับ” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของมารดาทันที ไม่ได้สนใจว่าคนเป็นแม่จะตะโกนตามหลังมาว่าอย่างไร หรือฉีกเช็คใบนั้นเป็นกี่ร้อยชิ้นก็ตาม อชิตะไม่สนใจมากไปกว่าการที่เขาต้องรีบไปทำธุระที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือการไปตาม ‘เมีย’ กลับบ้าน

เสียงทุบประตูดังโครมๆ มาพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกโหวกเหวก กระชากร่างซึ่งหลับใหลบนเตียงให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดที่ถูกปลุกแต่เช้า เมื่อหันมองนาฬิกาเรือนเล็กบนโต๊ะข้างเตียงแล้วพบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้ากับอีกสิบห้านาที
เจ็ดโมงสิบห้านาที รู้ไหมว่ามันเช้าเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีงานทำอย่างคณิต!
“ไอ้หนึ่งเปิดประตู!” เสียงห้าวดุเรียกด้วยความโมโหเป็นของพี่ชายคนที่สาม ผู้มีนามอันน่าอิจฉาว่า ‘มีนา’ เป็นชื่อที่หากเขาเกิดก่อนพี่ชายคนที่สามแล้วละก็ คงมีโอกาสได้ใช้มันไปแล้ว
มีนารับช่วงกิจการอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ของบิดาในตัวอำเภอเล็กๆ ของจังหวัดทางภาคเหนือ ส่วนพี่ชายอีกสองคนของคณิตนั้น คนโตเป็นปลัดอำเภอ คนรองไปช่วยกิจการร้านขายเหล็กของครอบครัวภรรยาคนสวย
คณิตเดินหัวฟูหน้ายุ่งไปเปิดประตูให้พี่ชาย ยังไม่ทันได้อ้าปากโวยวายที่ถูกรบกวนเวลานอน ก็ได้อ้าปากค้างแทน เมื่อพี่ชายเอ่ยบอกเสียงเข้มจัดทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ผัวมึงมาตามกลับบ้าน”
คนถูกตามกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ตั้งสติได้แล้วจึงต้องรีบถามกลับ เผื่อว่าจะฟังอะไรผิดไป   
“อะ...อะไรนะ”...ถึงจะพยายามคิดว่าฟังผิดไปแน่ๆ ต้องไม่มี ‘ผัว’ หรือใครมาตามเขาทั้งนั้นแหละ แต่ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดัน กลับลอยมาตีแสกหน้าคณิตจังๆ อย่าบอกนะว่าอชิตะตามมาถึงบ้านเขา แล้วบอกครอบครัวเขาว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกัน
“ผัวมึงมาตามกลับบ้าน” คนเป็นพี่พูดย้ำประโยคเดิม
“.....” คณิตยังอึ้งอยู่ ยังไม่อยากยอมรับว่าคนในครอบครัวรู้แล้วว่าเขาเสร็จผู้ชายด้วยกันเอง
“ลงไปสิ มาง้อถึงนี่เชียวนะ” พี่ชายลากเสียงล้อ
“ขะ...เขา...บอก...อย่างนั้นเหรอพี่สอง...” กล้ามากนะอชิตะ อย่าให้เขาลงไปเจอนะ จะซัดให้ปากแตกจนต้องกินข้าวต้มไปทั้งปีแน่
“ไอ้หนึ่ง มึงอย่าบอกนะว่า...” คนเป็นพี่เป็นฝ่ายอึ้งรับประทานบ้าง กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอแล้วถึงได้พูดต่อจนจบประโยค “...มันเป็นผัวมึงจริงๆ”
มีนาตั้งใจมาตามน้องชายลงไปพบแขกของเจ้าตัวที่บุกมาถึงบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ากับอีกสองสามนาที ด้วยการแกล้งอำเล่น นึกว่าน้องชายจะโวยวายที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นเมียผู้ชาย ก่อนจะถามว่าใครกันแน่ที่มาหาแต่เช้าเช่นนี้ แต่น้องกลับยืนตัวแข็ง หน้าซีด ตาค้าง และติดอ่างขึ้นมาทันที
“.....” คณิตปิดปากเงียบ ไม่อยากบอกว่า ‘ใช่’ และไม่อยากยอมรับด้วย
“กูแค่จะอำมึงเล่น เป็นจริงได้ไงวะ” เหมือนมีนาพึมพำกับตัวเองมากกว่า
ห๊า! อำเล่น เล่นได้จริงมาก คณิตครางในใจ เป็นเขาที่คายความจริงออกมาซะเอง สงสัยต้องต่อยปากตัวแล้วสิ
คณิตจะแก้ตัวตอนนี้ไม่ทันซะแล้ว ได้แต่มองตามมือพี่ชายที่ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรออกไปยังปลายสาย ไม่นานนักก็กรอกเสียงเข้มดิบเถื่อนอย่างสุดๆ ลงไป โดยที่ยังไม่ละสายตาจากใบหน้าของเขา ราวกับคาดโทษว่า...
‘มึงตายแน่ เสือกมีผัว’
“สี่...มึงรีบมาบ้านด่วน โทรบอกไอ้สามด้วย...เออ!...ลุกมาเลย...ด่วนมาก!...แม่งไอ้เชี่ย...น้องมึงมีผัวไง! สำคัญไหม...เออ...มีกี่กระบอกก็เอามาให้หมด”
แล้วพี่ชายคนที่สามของคณิตก็วางสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเหมือนเดิม กลับมาพูดกับน้องชายต่อด้วยสุ้มเสียงที่เข้มและเถื่อนน้อยลง แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
“แม่ง! กูก็เข้าข้างมึงมาตลอดนะไอ้หนึ่ง ว่ามึงต้องไม่ใช่ มึงก็บอกกูว่าไม่ใช่ พูดซะกูกล้าพนันกับพวกมัน...เป็นไงล่ะ กูต้องเสียเงินแสนให้พวกมันจนได้สิวะเนี่ย” สำหรับมีนา เงินหลักแสนมันน้อยซะเมื่อไรกันเล่า
เนื่องจากคณิตเป็นน้องชายคนเล็กที่ตัวเล็กสมกับตำแหน่งมาก ขณะที่พี่ทั้งสามตัวสูงใหญ่ได้บิดามาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรูปร่าง ส่วนคณิตรูปร่างหน้าตาคล้ายมารดา พานทำให้พี่ทั้งสามกลัวว่าน้องชายคนเล็กจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แทนที่จะได้น้องสะใภ้อาจได้น้องเขยมาแทน คณิตต้องยืนยันเสียงแข็งว่าตนเป็นผู้ชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผ่านการขึ้นครูมาแล้ว หลีหญิงก็เป็น แม้จะจีบสาวไม่ค่อยติดก็เถอะ
ทว่าพี่ชายทั้งสามก็ยังมองน้องชายด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นชายแท้ทั้งแท่ง ก็มีแต่มีนาที่ดูจะเข้าข้างความเป็นแมนของคณิตบ้างนิดหน่อย การพนันขันต่อระหว่างพี่น้องจึงเริ่มต้นขึ้นตามประสาวัยคะนองเมื่อครั้งที่คณิตยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย โดยวางเงินเดิมพันคนละแสน มีผลแพ้ชนะเมื่อคณิตแต่งงานกับผู้หญิง...หรือผู้ชาย
‘กุมภา’ พี่ชายคนโต กับ ‘ตุลา’ พี่ชายคนรองจะได้เงินคนละแสนจาก ‘มีนา’ ในกรณีที่คณิตพาผู้ชายเข้าบ้าน ในฐานะสามีหรือภรรยาก็ได้
ส่วนมีนาจะได้เงินจากกุมภาและตุลา...คนละแสน รวมกันก็จะได้สองแสน ในกรณีที่คณิตแต่งงานกับผู้หญิง
เพราะเหตุนี้ไง คณิตเลยอดคิดไม่ได้ว่าที่มีนาหัวเสีย มองตาขวาง จะงับหัวเขาได้อยู่แล้ว เป็นเพราะเจ้าตัวต้องเสียเงินสองแสนหรือเปล่า
“ก็ใครใช้ให้พี่สองเล่นเยอะขนาดนั้นเล่า ก็...น่าจะหลักพันก็พอ” เขาพูดไม่เต็มเสียงนัก ยิ่งโดนมีนามองด้วยสายตาอยากกระโดดงับหัวเขาแล้วด้วย อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า
“เด๊ะๆ เดี๋ยวโดน” มีนาชี้หน้าน้องชายที่ทำให้ตนเสียเงินแสน ไม่ใช่แสนเดียวด้วย แต่สองแสน เพราะต้องจ่ายให้พี่ชายสองคน คนละแสน “มึงทำให้กูเสียเงินแสนนะไอ้น้องเวร”
หัวคิ้วพี่ชายของคณิตขมวดยุ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนคลายออกมาได้ เมื่อคิดอะไรบางอย่างออกมาได้ 
“แต่กูไม่ยอมเสียเงินสองแสนคนเดียวแน่” เรื่องอะไรจะยอมเล่า เงินสองแสนนะ ไม่ใช่เงินสองร้อย มันต้องมีตัวหาร และตัวหารก็คือคนที่ทำให้เสียเงินสองแสน “มึงเลยไอ้ตัวดี คนละครึ่งเลยนะ มึงแสนห้า กูห้าหมื่น”
“อ้าว! ทำไมผมต้องจ่ายด้วยล่ะพี่สอง ผมไม่ได้พนันกับพวกพี่ซะหน่อย” ...แล้วมันครึ่งตรงไหนกันวะ ลืมไปว่า พี่ชายคนนี้ตกเลข สมองทึบกว่าพี่น้องคนอื่น
“ก็มึงหลอกกู หลอกว่าแมนแท้ๆ แมนทั้งแท่ง แล้วไงล่ะ แมนมากนะมึง แมนๆ มีผัว” พี่ชายเอ่ยประชดเสียงเล็กเสียงน้อย แบบที่ทำเอาน้องชายอยากปิดประตูใส่หน้านัก
“ก็ผม...” พอโดนชี้หน้าอีกที ก็ต้องรีบหุบปากที่จะเถียงกลับ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเป็นน้องคนเล็ก มันก็ดีแค่ตอนเด็กๆ มีพ่อแม่โอ๋เอาใจ ได้ทุกอย่างก่อนพี่ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนม ของเล่น เสื้อผ้าฯลฯ ถ้าพวกพี่แกล้ง แค่ร้องไห้นิดเดียว พี่ชายก็โดนพ่อแม่ลงโทษทันที แต่พอโตจนช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว เขาก็งัดข้อกับพี่ชายทั้งสามไม่ได้เลย มีแต่ ‘ครับๆ’ ตลอด   
เขากับพี่ชายทั้งสามคน อายุห่างกันมาก จะเรียกเขาว่าลูกหลงก็ไม่ใช่ เพราะเขาคือความพยายามของพ่อกับแม่ตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว ว่าจะมีลูกสี่คน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า ‘สี่’...คนรองว่า ‘สาม’...และคนที่สามว่า ‘สอง’ เพราะจะให้ลูกคนสุดท้ายชื่อ ‘หนึ่ง’ ไงล่ะ
พอลูก ‘คนที่สาม’ ที่ชื่อ ‘สอง’ ลืมตาขึ้นมาหายใจเอาอากาศบนโลกเข้าปอดนานหลายปีแล้ว แต่ลูกชายคนสุดท้ายที่ตั้งเป้าไว้กลับไม่ยอมมาเสียที รอจนเกือบตัดใจปิดอู่แล้วเชียว ลูกคนที่สี่อย่างเขาถึงได้โผล่เข้ามาอยู่ในท้องแม่และกว่าจะโผล่หน้ามาให้เห็นก็ใช้เวลาเกือบสิบเดือนแน่ะ มิหนำซ้ำเขายังเกิดเดือนเดียวกับพี่ชายคนที่สามด้วย ก็เดือนมีนาคมไง
ถ้าเขาอดทนอีกสักวันสองวันก็ได้เกิดเดือนเมษาไปแล้ว ชื่อก็คงไม่ใช่ ‘คณิต’ แต่เป็น ‘เมษา’ ให้ชื่อได้เข้ากับพวกพี่ชายหน่อย เพราะอย่างนี้เขาเลยรู้สึกแปลกแยก ยิ่งโต ยิ่งแปลกไปอีกที่ร่างกายไม่ยักจะสูงใหญ่เหมือนพี่ๆ เลยกลายเป็นเรื่องถูกล้อ นำไปสู่การพนันของพี่ชายทั้งสามคน
พี่ชายยืนมองน้องชายตาขวางสักพัก ถึงได้ถอนใจยาวอย่างปลงๆ
“ลงไปดูมันหน่อย สภาพแบบนั้นก็ขับรถมาได้นะ”
สภาพแบบนั้น มันสภาพแบบไหน คณิตสงสัย แต่ก็ไม่ถาม แล้วก็ไม่อยากลงไปดูด้วย...ใจแข็งและปากกล้าเข้าไว้ไอ้หนึ่ง!
“ไม่ลงไปหรอก ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน พี่สองลงไปไล่มันด้วย ถ้าไล่มันกลับได้นะ เดี๋ยวผมจ่ายหนี้พนันแทนให้เลย”
“ค่ากระสุนด้วยนะมึง นัดละแสน”
คุณมาลัยคงจะยอมให้บรรดาลูกชายเล่นปืนในบ้านหรอก อย่างมากก็ได้แค่หมัดสองหมัด แลกกับไม้เรียวของคุณมาลัยที่ไม่ชอบเห็นลูกชายใช้กำลังแก้ปัญหาหรือทำร้ายใคร โตจนขี่หลังควายแล้วควายหนักก็เถอะ ยังไงซะลูกชายบ้านนี้ก็หนีไม่พ้นไม้เรียวของคนเป็นแม่ ส่วนสามีคุณมาลัยอย่างคุณวิกรม...ว่าไงก็ว่าตามเมียสุดที่รักอยู่แล้ว
“กล้าจริง ผมก็กล้าจ่าย”
...รนหาที่เองนะบอส!

จัดการล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อยืดสีเขียวมะนาวกับกางเกงขาสั้นสีตุ่นๆ คณิตก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่งของตัวเองต่อ...แบบคนที่ไม่รู้จะทำอะไรในเช้าที่วุ่นวายใจ ดูเวลาก็เกือบแปดโมง
คณิตนอนมองเพดานสีขาวได้ไม่ถึงห้านาที ก็มีคนมาเคาะประตูห้องในจังหวะช้าและเบา เจ้าของห้องเดาได้เลยว่าเป็นมารดาของตน คณิตเด้งตัวลุกจากเตียง เดินช้าๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ ไปยังประตู เขากลัวว่าพี่ชายทั้งสามคน มันจะบอกเหตุผลว่าทำไมถึงได้ทำร้ายแขกของลูกชายคนเล็กน่ะสิ
พอเปิดประตูเท่านั้น คณิตก็ถึงกับผงะ เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ ตรงมุมปากขึ้นสีแดงจางๆ จากกำปั้นของลูกชายคนใดคนหนึ่งของคุณมาลัยกับคุณวิกรม คณิตอยากรู้ว่ากำปั้นเป็นของใคร?
พี่สี่...พี่สาม...หรือพี่สอง คณิตจะให้รางวัลได้ถูกคน แต่อชิตะคงไม่เจ็บมากใช่ไหม อย่างน้อยมารดาของเขาอยู่ด้วย พี่ชายทั้งสามคนไม่กล้าทำอะไรมาก น่าจะแค่ต่อยแต่ไม่ถึงกับกระทืบ
แต่ลับหลังก็ไม่แน่...มีโดนหนักจนอ่วม คลานแทนเดินแน่ คณิตรู้จักนิสัยพี่ชายทั้งสามคนดี แม้จะชอบแกล้งน้องชายแค่ไหน แต่ก็ไม่ลืมที่จะรักและหวงน้องชายตัวเท่ามดอย่างเขาหรอก กี่รายแล้วที่โดนทั้งมือและตีนพี่ชายทั้งสามของเขาประเคนให้ ข้อหามารังแกน้องชายสุดรัก
“ยืนมองอะไรฮึ พาพี่เขาเข้าไปในห้องสิ” คำพูดของคุณมาลัยติดจะตำหนิหน่อยๆ ก่อนนางจะขยับไปทางซ้ายมือนิดหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้แขกของลูกชายคนเล็กเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปในห้องนอน
“นอนพักก่อนนะลูก สายๆ แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นก็ไปคลินิกกันนะ”
“ครับคุณแม่” ถ้าไม่ได้มารดาใจดีของคณิตช่วยไว้ หมัดที่ประเคนใส่ปากเขาคงไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว ซ้ำยังอาจได้เท้าอีกสามคู่ตามลงมากระทืบซ้ำอย่างสนุกตีน
เห็นหน้าเจ้าของห้องแล้ว อชิตะก็อยากดึงตัวเข้ามากอดเพราะความคิดถึงมากล้นในอก ยิ่งเดินผ่านเจ้าตัวเพื่อไปหาเตียงนอนขนาดเล็กก็ยิ่งต้องใช้พลังในการหักห้ามใจ ไม่ดีแน่ถ้าทำอย่างใจคิดต่อหน้ามารดาของคณิต แม้เรื่องราวบางส่วนที่สามารถเปิดเผยได้ เขาได้สารภาพออกไปแล้ว จะเรียกว่าสารภาพก็อาจจะไม่ใช่นัก เพราะมีเหตุการณ์ทำให้ต้องสารภาพออกมา เหตุจากลูกชายที่คนเป็นแม่ใช้ให้ไปตามลูกชายคนเล็กของบ้านลงมาพบเขานั่นเอง
เขาที่ตอนแรกบอกมารดาของคณิตว่ามาตามลูกชายท่านกลับไปทำงาน ครั้นพอคนที่ถูกใช้ให้ขึ้นไปตามคณิตกลับลงมาจากชั้นบนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเลย ตรงมากระชากคอเสื้อเขาที่กำลังกายหดหายไปกว่าครึ่งเพราะพิษไข้เล่นงานขึ้นมา แล้วซัดหมัดใส่หน้าเขาเต็มแรง เขาถึงกับล้มไม่เป็นท่า เกือบโดนซ้ำลงมาอีกหลายหมัด โชคดีที่คุณมาลัยห้ามลูกชายเอาไว้ด้วยเสียงราบเรียบแต่เฉียบขาด พร้อมมือที่คว้าไม้เรียวจากซอกมุมไหนสักแห่งด้วยความเร็วสูงมาก ทำเอาลูกชายตัวใหญ่เท่าเขาถึงกับผงะ ถอยไปยืนอยู่มุมห้องเลยทีเดียว
ตัวใหญ่ซะเปล่าแต่กลัวไม้เล็กนิดเดียว เขาไม่เห็นจะกลัวเลย
การที่อชิตะไม่กลัวไม้เรียว เพราะตั้งแต่เกิดมาเจ้าตัวยังไม่เคยสัมผัสกับแรงหวดของมันสักครั้ง มารดาของชายหนุ่มไม่เคยใช้ไม้เรียวกับลูกคนไหน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคุณเอมอรคือสายตาที่ตวัดมองมาอย่างคาดโทษ
แล้วไม้เรียวจากมือของคุณมาลัยก็เค้นเอาเหตุผลของการกระทำรุนแรงและไร้มารยาทของลูกชายออกมาจนได้ คำตอบทำเอาไม้เรียวในมือหญิงวัยกลางคนร่วงลงพื้น แล้วร่างท้วมตามวัยก็ค่อยๆ ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ไม้สัก มองหน้าคนที่คุกเข่าตรงหน้าด้วยคำถามและต้องการคำตอบ ขณะที่บิดาของคณิตมีสีหน้าราบเรียบ
‘ก็มันเอาน้องเป็นเมีย แล้วที่น้องหนีกลับมาบ้าน ก็คงเพราะมันทำให้น้องเสียใจ’
‘จริงหรือคุณ’
‘ครับคุณแม่คุณพ่อ ผมกับหนึ่ง...เรารักกัน วันก่อนเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ผมก็เลยตามมาปรับความเข้าใจและรับหนึ่งกลับครับ’
บิดามารดาของคณิตไม่รู้เลยว่าความจริงถูก ‘บิดเบือน’ และยังมีความจริงอีกเกือบครึ่งที่เขาไม่สามารถสารภาพออกมาได้ เขาไม่กล้าบอกว่าได้ทำร้ายลูกชายคนเล็กของคุณมาลัยอย่างไร ถึงได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายต่อกัน เพราะไม่ได้บอกเขาถึงได้ขึ้นมายังชั้นสามของบ้านที่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นสามคูหา เข้ามาในห้องลูกชายคนเล็กของคุณมาลัยและกำลังจะได้กอดให้สมกับความคิดถึง
อชิตะล้มตัวลงนอนตามสภาพคนป่วยที่เพิ่งถูกบังคับให้กินยาหลังจากกินโจ้กที่คุณมาลัยใช้เด็กในอู่ไปซื้อที่ตลาดใกล้บ้าน ซึ่งห่างไปไม่ถึงห้าสิบเมตรมาให้
ส่วนเจ้าของห้องออกมายังยืนใจแป้วหน้าจ๋อยอยู่หน้าห้องตรงหน้ามารดา
“แม่...” คณิตไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรกับมารดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอชิตะ เพราะเขายังไม่แน่ใจนักว่ามารดารู้ความจริงแล้วหรือยัง
“แม่รู้แล้ว เข้าไปดูแลพี่เขาเถอะ” คุณมาลัยยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายคนเล็ก “คุยกันให้เข้าใจนะ นึกถึงวันที่รักไว้ให้มากๆ”
“พ่อว่าไงบ้างครับแม่”
“พ่อเรานะเหรอ เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว เลยไม่เป็นอะไรมาก” พอคนเป็นแม่บอก ลูกชายก็ทำตาโตทันที คณิตไม่อยากจะเชื่อว่าบิดาก็คิดแบบเดียวกับพวกพี่ชายเขา
“แล้วแม่รับได้หรือครับ” คณิตถามมารดา ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มใจดีของมารดาเป็นคำตอบมาก่อน
“ชีวิตเป็นของเรานะ แม่ไม่ยุ่งหรอก จะรักใครชอบใคร แม่ก็ไม่ห้าม เอาที่เราพอใจและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว”
ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน...คงไม่ทันแล้วล่ะ
“เข้าไปดูพี่เขาเถอะ แม่จะลงไปจัดการพี่ๆ ของเราก่อน” คุณมาลัยลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายอีกครั้ง ก่อนเดินกลับลงไปชั้นล่าง
คณิตมองตามแผ่นหลังของมารดาไปจนสุดสายตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ เรื่องไม่ได้แย่ แถมบิดามารดาเขาก็เข้าใจ เรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่กลับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่เขาก็อยากรู้นักว่าอชิตะโกหกอะไรออกมาบ้าง แล้วจะตามมาทำให้เรื่องไม่จบไม่สิ้นซะทีทำไมกันนะ
เฮ้อ...
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเมื่อเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง คณิตทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงข้างกายคนป่วย คณิตอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะหน้าผากของอชิตะ มันร้อนจัดมาก สมควรไปหาหมอที่สุด   
“บอส...บอส....ลุก...ไปหาหมอเถอะ” พอเรียกแล้ว อชิตะก็ปรือตาขึ้นมามอง แทนที่จะลุกตามคำบอกของเขา คนป่วยกลับพลิกตัวหนี หันหลังให้เขาซะนี่
อารมณ์คิดถึงมันก็มี ทว่าอารมณ์น้อยใจของคนป่วยมีมากกว่า ไม่รู้มาจากไหนมากมาย ทั้งที่เมื่อแรกเห็นหน้าอยากกอดแทบตาย คิดถึงขั้นอยากทำมากกว่ากอดด้วยซ้ำ 
“บอส” คณิตเรียกอีกครั้ง พลางรั้งไหล่หนาให้พลิกกลับมานอนหงายเหมือนเดิม “ไปหาหมอ ตัวร้อนจี๋เลยรู้ไหมบอส เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก” เขาไม่ได้ห่วงอะไรมากหรอก...ก็แค่ไม่อยากรอให้อาการป่วยเยอะกว่านี้ เกรงว่าจะได้หามส่งโรงพยาบาล แล้วใครต้องลำบาก เขานี่แหละต้องลำบากเฝ้าไข้ ปรนนิบัติดูแลคนป่วยที่ไม่รู้จักเจียมตัว ขับรถมาไกลหลายร้อยกิโลเมตรทั้งที่ป่วยแท้ๆ
“ไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก” มีเสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากลำคอคนป่วย
“ลุกไปหาหมอ” คณิตยังย้ำคำเดิม ทำลืมๆ น้ำเสียงประชดไปเสีย
“ผมอยากรู้” คนป่วยเอ่ยถามจากลำคอที่แห้งแล้ง “ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง...สักนิดก็ไม่มีหรือหนึ่ง”
“ไม่ครับ สักนิดก็ไม่มี” ยืนยันคำตอบด้วยการสู้ตาคนถาม ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของคนป่วย นิ่งไปสักพักใหญ่นั่นแหละ อชิตะถึงได้เปิดปากเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาด้วยอารมณ์ความน้อยใจที่คณิตเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก พาใจของคนตัวเล็กไหวโยกราวกับดอกหญ้าต้องลมแรง
“รักกันบ้าง...ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ครับ...” ต่อให้หัวใจอ่อนยวบเพียงไร คำตอบของคณิตก็ยังคงไม่ตรงกับหัวใจดวงน้อยของตน จะให้ยอมรับว่าอ่อนไหวไปกับผู้ชายคนนี้ตั้งนานแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด เขาต้องคืนอชิตะให้ณัชชา ไม่ใช่หน้าด้านมีความสุขล้นปรี่ในขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งหัวใจแตกสลาย “ความรู้สึกของคนเรามันต่างกัน บอสจะบังคับให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับบอส เพียงเพราะผมมีอะไรกับบอสไปแล้ว มันไม่ได้หรอกนะครับ”
“เชื่อไหมหนึ่ง...ว่าผมทำได้ ผมจะทำให้คุณเห็นว่าผมทำได้ วันหนึ่งคุณจะรู้สึกกับผมแบบที่ผมรู้สึกกับคุณ” น้ำเสียงของอชิตะเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ไม่มีวันนั้นแน่บอส เพราะผมไม่วันรักบอสเด็ดขาด!”

จบตอนที่ 16

ขออภัย คนเขียนรีไรท์เพลินไปหน่อย แล้วมันก็รีๆ แก้ๆ วนไปวนมาสองสามรอบแล้ว (ตรวจคำผิดด้วย)
เลยแบบว่า รอให้รีไรท์เสร็จก่อนไรงี้ แล้วตอนนี้ก็โอเคแล้ว ไม่ต้องแก้อะไรอีกแล้ว
เลยเอามาลงซะที (ตอนนี้ใกล้จัดอาร์ตแล้ว อิอิ)
ตามตอนที่ 17 กันเน้อออออ
ปล.เผื่อใครอ่านแล้วเจอคำผิด ช่วยแนะนำด้วยนะคะ นี่คนเขียนก็ตรวจคำผิดไปด้วย เปิดพจนานุกรมไปด้วย ทุกอย่างเลยช้าไปหมด แต่ก็มีที่ลอดสายตาไปแน่ๆ
สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
17

“บอส...”
คณิตเรียกชื่อเจ้าของแผ่นหลังที่นอนหันหน้าเข้าหาผนังห้องด้วยสุ้มเสียงที่ไม่มั่นใจนัก ว่าจะง้อคนอีกฝ่ายดีไหม เพราะหลังจากเขาพูดตัดเยื่อใยออกไป อชิตะก็พลิกตัวหันหน้าหนีเขาทันที นอนเงียบไปสิบนาทีแล้ว เป็นสิบนาทีที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับไปเพราะพิษไข้ แต่กำลังรู้สึกไปกับคำพูดของเขา
จากสิบนาทีก็กลายเป็นครึ่งชั่วโมงที่คณิตนั่งอยู่ในความเงียบ กับเสียงผ่อนลมหายใจเบาบางของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนเจ้าตัวจะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ราวกับเป็นสัญญาณว่าได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดแล้ว ว่าจะแก้สถานการณ์ตรงหน้าด้วยวิธีใด
...ก็คงต้องง้อ เป็นครั้งแรกเลยนะที่เขาง้ออชิตะ เพราะเห็นว่าป่วยหรอก คงไม่มีฤทธิ์เดชทำอะไรเขาได้
“บอสครับ” คณิตรั้งไหล่หนาให้เจ้าของมันหันกลับมาเพื่อสบตากัน เพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แล้วจะได้พาไปหาหมอที่คลินิกใกล้บ้าน แต่อชิตะยังคงปฏิเสธที่จะหันกลับมา คณิตจึงต้องเพิ่มคำพูดง้องอนลงไปอีก “หันมาคุยกันก่อนนะบอส ผมไม่อยากให้เราสองคนเป็นแบบนี้เลย บอสไม่คิดจะโกรธผมจริงๆ หรอกใช่ไหม”
ทันทีที่พูดจบ มือหนาก็ดึงตัวคณิตถลาลงไปปะทะอกแกร่งที่มีไอร้อนจากพิษไข้พุ่งออกมาจางๆ และในนาทีเดียวกันคนตัวขาวก็ถูกจับพลิกลงมานอนใต้ร่างหนาที่คร่อมทับราวกับไม่ใช่คนป่วย ให้ได้สัมผัสกับลมหายใจร้อนจัดจากจมูกโด่งที่เป่ารดบนใบหน้า
ที่คณิตคิดว่าคนป่วยจะสิ้นฤทธิ์ คิดผิดถนัด!
สิ่งที่กลบความตื่นตระหนกของคณิตในสถานการณ์ที่คิดว่าไม่ปลอดภัยนี้ได้ คือลูกตาสีเข้มที่เคลือบคลอด้วยน้ำใสๆ ก่อนน้ำร้อนผ่าวหยดหนึ่งจะหล่นกระทบผิวแก้มเนียน คณิตเบือนหน้าหนีภาพที่อีกฝ่ายเช็ดเม็ดน้ำตาตัวเองทิ้ง คณิตไม่อยากเห็นคนเข้มแข็งในเวลาที่อ่อนแอเลยสักนิด ไม่อยากเห็นน้ำตาของอชิตะที่ฟ้องว่ามันมาจากคำพูดของตัวเอง
ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยวะไอ้หนึ่ง!
มึงไม่ผิด มึงไม่ผิดจำไว้!
อย่าไปรู้สึกผิดเด็ดขาด!
คณิตด่าและปลุกปลอบความอ่อนแอของตัวเองดังลั่นในใจ
แม้จะหันหน้าหนีแต่ปลายคางก็ถูกดึงให้กลับมาสบตา ยามนี้ไม่มีหยดน้ำตา มีเพียงดวงตาแดงก่ำ พิษไข้ทำให้อชิตะอ่อนแอเกินความจำเป็น ชายหนุ่มจึงต้องตามหาความเข้มแข็งของตัวเองคืนมา ความเข้มแข็งที่หลอกล่อและยั่วยวนอยู่ตรงหน้า ปากหนาเคลื่อนเข้าใกล้กลีบปากของคนใต้ร่าง เพื่อครอบครองอย่างใจปรารถนา ไม่มีการปฏิเสธจากเจ้าของกลีบปากหวานล้ำ ลิ้นร้อนสามารถเข้าไปในความหวานที่หลงใหลไม่น้อยกว่าเรือนร่างที่ยังห่อหุ้มด้วยเสื้อยืดเนื้อบางและช่องทางรักที่ทำให้คลุ้มคลั่งได้เสมอ แม้ยามไม่ได้สัมผัสก็ตาม
“อื้ออออ”
บดขยี้และกวาดต้อนความหวานจนอิ่มเอมใจจึงได้ถอดถอนปลายลิ้นออกมา ความร้อนระอุจากพิษไข้ถูกลืมเลือน เพราะถูกรักษาให้เบาบางได้ด้วยเรียวลิ้นนุ่มของคนตัวเล็ก นัยน์ตาคมทอดมองคนที่นอนทอดตัวอยู่บนเตียงใต้การคร่อมทับของเขา ดวงตาฉ่ำหวานของอชิตะบอกถึงหัวใจรักอันหลงใหล ความรู้สึกอยากครอบครองล้นภายในอก อชิตะอยากย้ำรอยรักในช่องทางคับแคบของคณิต จดจารึกความเป็นเจ้าของร่างกายขาวสะอาดนี้เพียงคนเดียวและตลอดไป
อชิตะไม่อาจหักห้ามความต้องการของร่างกายได้อีกต่อไป พิษไข้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้เขารุกรานเข้าไปเชยชมร่างกายของคณิตได้
“ผมขอนะหนึ่ง...คิดถึงเหลือเกิน” เสียงแหบแห้งกระซิบบอกอย่างออดอ้อน ยามที่ดวงตาเรียวเล็กเต็มไปด้วยความสับสนในสิ่งที่ตัวเองยินยอม และเลือกที่จะปิดเปลือกตาลง ซ่อนแอบทุกความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นไม่ให้ล่วงรู้ ฟ้องความหน้าไม่อายของตัวเอง และหัวใจที่ไม่เคยตรงกับปาก
ดวงตาที่ปิดสนิทช่วยไม่ให้มองเห็นภาพตรงหน้าได้ ทว่าเนื้อกายที่ไร้เสื้อผ้าปกปิดเพราะถูกถอดออกจนหมดนั้น ไม่สามารถหลีกหนีสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ปากร้อนจัดกว่าครั้งไหนย้ายจากใบหน้าสู่ซอกคอขาวรสชาติหวานแสนคิดถึง ย้ำรอยรักด้วยคมฟันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และคงจะตีตราไปจนถึงร่างกายขาวสะอาดตาในอีกไม่กี่นาทีนี้ เม็ดเล็กสีชมพูถูกกลืนเข้ามาในอุ้งปากชื้น ขบย้ำจนเจ้าของมันดิ้นคล้ายจะขาดใจ เลือดในกายของคณิตร้อนและสูบฉีดแรง จากผิวขาวกลายเป็นสีจางของเลือดทั่วร่างกาย   
“บะ...บอส...อย่า...พะ...พอแล้ว” เสียงแหบพร่าร้องห้าม มือเล็กคว้าไหล่หนาแล้วดึงไว้ไม่ให้เลื่อนต่ำลงไปกว่านั้น ขอให้หยุดแค่หลุมเล็กบนหน้าท้อง อย่าลงไปไกลกว่านี้เลย เพราะมันเป็นบ้านของเขา บิดามารดาก็อยู่ข้างล่าง ลูกจ้างของอู่อีกหลายชีวิต บรรดาพี่ชายทั้งสามอีกเล่า รู้สึกอับอายเกินกว่าจะทำตามแรงอารมณ์ปรารถนาที่พลุ่งพล่านได้
“....นะหนึ่ง” อีกฝ่ายเล่าไม่อยากหยุด ยืดกายที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบขึ้นมามองด้วยสายตาฉ่ำหวานด้วยความปรารถนา อ้อนขอเสียงพร่าหวานชวนเคลิ้มไหว “...นิดเดียว ให้หายคิดถึง” คำตอบที่ได้คือใบหน้าที่ส่ายรัวเร็ว
“อย่าเพิ่งเลยนะบอส บอสกำลังไม่สบาย” คณิตเอ่ยอ้างเสียงแหบเบา สองมือดึงร่างหนาของคนป่วยขึ้นมากอดเอาไว้ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องกอด ทั้งที่เขาสามารถลุกหนีไปจากเตียงแคบหลังนี้เลยก็ได้ ซึ่งคำตอบมันมีอยู่แล้วว่าทำไมต้องกอด นั่นเพราะ ‘คิดถึง’ ไงเล่า
‘คิดถึง’ เช่นเดียวกับที่ได้ยินอีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยให้หัวใจตีปีกรัวๆ
‘คิดถึง’ ตั้งแต่แรกเห็นหน้า หรืออาจตั้งแต่วันนั้นที่จากมา
‘เฮ้อ...’
คณิตได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเบาๆ กึกก้องอยู่ในหัวสมองอันน้อยนิดของตน อยากยอมแพ้ หากก็เกรงกลัวต่อหนทางข้างหน้า อนาคตที่มองไม่เห็นในปัจจุบัน และไม่อยากทำร้ายหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแต่กลับต้องถูกทิ้ง เพราะความโง่งี่เง่าของเขาในวันนั้น
“ผมไม่สบายก็เพราะคุณนะหนึ่ง” คืนที่กระโจนลงสระว่ายน้ำ อชิตะที่ตัวเปียกชื้นนอนตากยุงตากน้ำค้างจนถึงเช้า อาการป่วยเลยมาเยือนในรอบหลายปี แล้วอชิตะจึงเปลี่ยนจากถูกกอดเป็นคนกอดเสียเอง
“ผมอยู่ของผมเฉยๆ จะไปทำให้บอสป่วยได้ไง” คณิตขอเถียงไว้ก่อน ซึ่งก็ควรเถียงไหมล่ะ สบตาสีเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็เห็นแต่ความอ่อนล้า แล้วอชิตะก็พูดไปอีกเรื่อง
“อยู่ด้วยกันนะหนึ่ง อย่าหนีผมอีกเลย” 
แรงกดหนักจากริมฝีปากอุ่นร้อนบนหน้าผากทำให้คณิตผ่อนลมหายใจลง หยุดความคิดวุ่นวายใจไว้ก่อน หลับต่ออีกนิด เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น และเพื่อให้ตัวเองได้กอบโกยเอาความสุขจากอ้อมกอดนี้ไว้จนเต็มห้องหัวใจ     
 
แรงกระแทกรัวๆ ที่ทำให้เตียงไม้ขนาดสามฟุตครึ่งสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหวสิบริกเตอร์ ปลุกให้เจ้าของเตียงปรือตาขึ้นมามองอย่างยากลำบากด้วยร่างกายที่เปลี่ยนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเผลอหลับใหลในอ้อมกอดของคนป่วย
   ทำไมรู้สึกตัวหนักและหัวหมุนขนาดนี้วะ คณิตคิดในใจ ก่อนจะรีบขืนตัวออกจากวงแขนที่กอดรัดของอชิตะ อีกฝ่ายก็ปรือตาขึ้นมามองบุคคลที่สามด้วยเช่นกัน คนตัวเล็กแทบไม่ต้องคิดว่าควรทำอะไรก่อนเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสามคนยืนทำหน้าเหี้ยมข้างเตียง คณิตคว้าผ้าห่มที่กองอยู่แค่ช่วงเอวขึ้นมาคลุมถึงปลายคาง รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้นกว่าปกติไปมาก รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะล้มตัวลงนอน ไม่ใช่ต้องมาจ้องตากับพี่ชายทั้งสามของเขา
   “นี่บ้านกูนะไอ้หนึ่ง!...แม่ง! มีผัวแล้วแรดนะมึง” มีนาเปิดปากด่าคนแรก สภาพน้องชายมีรอยจ้ำแดงเต็มตัว รวมรอยกัดด้วย แม้จะจำใจยอมรับแล้วก็เถอะ แต่อดไม่ได้ที่จะโวยวายใส่น้องชายตัวดี ก็มันทำให้เขาเสียเงินหลักแสนนี่หว่า
   คณิตไม่กล้าเถียงได้แต่ปิดปากเงียบ เวลานี้สงบปากสงบคำดีที่สุด ดูหน้ามีนาแล้วยังไม่หายโมโหที่ต้องเสียเงินเพราะถือหางข้างเขามาตั้งแต่เด็ก
   “เอาไงกับมันดี กระทืบเลยไหม”
ตุลา...พี่ชายคนรองของคณิตเอ่ยถามพี่และน้องชายของตน พร้อมกับหักนิ้วมือเตรียมความพร้อมอย่างพวกนักเลงหัวไม้
มันที่กล่าวถึงกำลังหย่อนเท้าลงบนพื้นห้อง ต่อมาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่ใกล้เคียงกับพวกพี่ชายของคณิต
“อย่าคึกให้มาก เดี๋ยวก็โดนคุณนายฟาด”
กุมภา...คนอายุมากสุดและเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดบอกกับน้องๆ ด้วยสุ้มเสียงเหี้ยมที่นานครั้งจะได้ยิน บอกต่ออีกว่า
“แล้วค่อยเล่นมันข้างนอก สนุกกว่าเยอะ” บอกกันซึ่งๆ หน้านี่แหละ ถ้าหนีละก็ แสดงว่าไม่แน่จริง ขี้ขลาดตาขาว ไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นน้องเขยพวกเขาแม้แต่นิดเดียว 
   “ไม่พูดอะไรหรือไง ผัวมึงจะโดนกระทืบนะ” มีนาหันไปถามน้องชาย ก่อนก้มหยิบเสื้อผ้าบนพื้นห้องโยนไปที่เตียงให้
คณิตจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะหลักฐานคาตา ถ้าปฏิเสธออกไปจริงๆ เรื่องอาจแย่ลง จึงได้แต่คว้าเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างทุลักทุเลใต้ผ้าห่ม
   “น้องกูเป็นใบ้” ตุลาว่า
   “ผัวมันก็เป็น” มีนาพูดเสริม น้ำเสียงหมิ่นๆ เพราะอชิตะก็ยังไม่เปิดปากพูดอะไร
เนื่องจากคนทั้งสามคือพี่ชายของคณิต อชิตะจึงต้องให้ความเคารพ แม้ใจอยากสวนกลับไปหลายคำก็ตาม การโต้เถียงหรือโต้ตอบรังแต่จะทำให้ผิดใจกันเปล่าๆ อะไรยอมได้เขาก็พร้อมจะยอมเพื่อให้เป็นที่ต้อนรับและยอมรับของคนในครอบครัวคณิต
   “แล้วนี่ไม่สบายหรือเปล่า” พี่ชายคนโตดูจะสังเกตอาการตาปรือ หน้าแดงเพราะพิษไข้อ่อนๆ ของน้องชายเล็กได้ก่อนใคร
“ไม่สบายหรือหนึ่ง” อชิตะทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับวางมือบนหน้าผากเล็กซึ่งร้อนกว่าปกติ ต่างจากเขาที่อุณหภูมิลดลงจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว ไม่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแบบเมื่อหลายชั่วโมงก่อน 
   “มึงเอาไข้มาปล่อยน้องกูหรือวะ” มีนาหาเรื่องต่อเพราะรู้สึกไม่ชอบหน้าว่าที่น้องเขย ที่เป็นต้นเหตุให้เขาแพ้พนันพวกพี่ชาย
   “ไปหาหมอนะหนึ่ง” อชิตะไม่ได้สนใจคำพูดหาเรื่องและใบหน้าพี่ชายทั้งสามของคณิต ชายหนุ่มห่วงคนป่วยมากกว่า ทว่าคนป่วยส่ายหน้าปฏิเสธ ทำเอาเผลอดุเสียงดังใส่ตามความเคยชิน “อย่าดื้อหนึ่ง!”
คนดื้ออ้าปากจะเถียงทั้งที่ลำคอตีบตันว่า
‘ไม่ได้ดื้อโว้ย! ป่วยแค่นี้ กินยาก็หาย ทีตัวเองไม่ไปก็ยังหายเลยไม่ใช่หรือไงวะ’
แต่พี่ชายที่ดูจะเอาเรื่องอชิตะมากที่สุดก็ชิงพูดแทรกขึ้นเสียก่อน ด้วยแรงอารมณ์ที่ดูจะเว่อร์ไม่น้อย
   “มึงไม่มีสิทธิ์ตะคอกน้องกู!” มีนานั่นเอง “หน็อยแน่ เอาน้องกูทำเมียยังไม่พอใช่ไหม มึงยังจะเอามันเป็นทาสในเรือนเบี้ยมึงอีกหรือไงห๊ะไอ้คนรวย!” ขับรถหรู มีสัญชาติยุโรปมาซะขนาดนั้น แถมยังเป็นเจ้าของบริษัท มีนาจึงสรุปได้ว่า...ว่าที่น้องเขยเป็นคนรวยมาก!
   “ผมแค่เป็นห่วง” อชิตะสาบานได้ว่า เขาไม่ได้กลัวท่าทีคุกคามของพี่ชายคณิตแม้แต่น้อย แต่การพูดด้วยน้ำเสียงเบากว่าปกติ เพราะให้เกียรติในความเป็นพี่ชายของคณิตมากกว่า อย่างน้อยความเกรงใจและนอบน้อมก็ทำให้เขาได้การยอมรับมากขึ้น
   “หึ! เป็นห่วงตัวมึงก่อนเถอะ เจอตีนพวกกูแน่” ตุลาเอ่ยเยาะ พร้อมกับทำตาวาวอย่างนึกสนุก ก็นานแล้วที่ไม่ได้กระทืบคน แถมคนที่อยากกระทืบก็คือคนที่เอาน้องชายเขาทำเมีย ถึงจะดีใจที่ได้เงินแสนมาฟรีๆ จากการพนันที่เกือบลืมไปแล้วก็เถอะ แต่มันก็ดีใจไม่สุด เนื่องจากไม่คิดว่าคำปรามาสเล่นๆ ที่ไม่ได้จริงจังมากมายจะกลายเป็นความจริงซะได้
“ไปหาหมอไหม พี่พาไป” พี่ชายคนโตที่เงียบฟังอยู่นานจึงเอ่ยถามขึ้น กุมภาเดินมาใกล้เตียงอีกนิด พอที่จะเอื้อมมือมาลูบศีรษะน้องชายด้วยความรักและห่วงใย
   “กินยาก็พอพี่สี่”
   “งั้นก็ตามใจ แล้วจะลงไปกินเอง หรือจะให้...” คนพูดเหลือบมองว่าที่น้องเขยนิดหนึ่ง เป็นเชิงบอกให้รู้ว่ากำลังพูดถึงเจ้าตัวอยู่ “...ลงไปเอา”
   “ผมลงไปกินเอง”
“ผมไปเอาให้หนึ่งเองครับ”
คณิตและอชิตะตอบแทบจะพร้อมกัน คนถามจึงเป็นคนเลือกคำตอบด้วยตัวเอง
   “ตามมา”
สายตาของพี่ใหญ่สุดบอกให้รู้ว่าใครต้องเป็นคนตามตนลงไป

ต่อด้านล่างคร้าา
   
   

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
กว่าข้าวต้มหมูสับที่มาพร้อมความหอมฟุ้งชวนหิว จากฝีมือผู้หญิงคนเดียวของบ้านจะมาอยู่ตรงหน้าคณิตได้ ก็กินเวลาเกือบสามชั่วโมง คนที่ยกมาให้ไม่ใช่ใครอื่นคือช่างใหญ่แห่ง ‘วิกรมการช่าง’ ปราศจากเงาของกุมภา ตุลา และอชิตะด้วย
   “คิดถึงผัวมากเลยหรือวะ น้องกูแม่ง...แรดว่ะ”
มีนาพูดใส่หน้าคนป่วยด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดกึ่งแหย่ แล้ววางถ้วยข้าวต้มที่พร่องไปแค่สองสามช้อนลงบนโต๊ะ หลังจากพบว่าน้องชายเอาแต่มองประตูห้อง ไม่สนใจความห่วงใยของพี่ชายที่ส่งผ่านแรงลมเป่าให้ข้าวต้มในช้อนเบาความร้อนลงเลยสักนิด
   อาการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะอาการหนักหรือเบา หากต้องกินข้าวก่อนกินยาละก็ จะได้รับการดูแลอย่างดี ยิ่งข้าวต้ม ป่วยน้อยป่วยมาก คนที่รับอาสาดูแลจะตักป้อนให้ถึงปาก
   “ไม่ใช่สักหน่อย” คณิตปฏิเสธไม่เต็มเสียงนัก ก้มหน้าไม่สู้สายตารู้ทันของพี่ชาย แล้วนิ้วชี้ของมีนาก็แทงอยู่ใต้คางคนปากแข็ง จิ้มบังคับให้เงยหน้าขึ้นมา
   “หึ! ตั้งแต่ผัวมา สาวแตกขึ้นเยอะเลยนะ ว่าแต่...” เว้นจังหวะไปนิด ละนิ้วจากคางน้องชาย ก่อนเลื่อนมือลงมาหยุดที่จุดกึ่งกลางลำตัวคนเป็นน้อง “...มึงคงจะไม่ตัดน้องชายมึงทิ้งหรอกนะ”
...ก็มีนายังไม่อยากมีน้องสาว
   “บ้า!! ใครมันจะไปตัดเล่า!” คณิตตะโกนตอบหน้าดำหน้าแดง เพราะคำถามของพี่ชายทำให้เขาทั้งโมโหและอายในเวลาเดียวกัน พยายามปัดมือที่วุ่นวายอยู่กับกล่องดวงใจของเขาออกไปให้พ้นตัว
“สะดีดสะดิ้งนะ” พี่ชายว่าพร้อมหัวเราะลั่น มีนาแกล้งขย้ำกล่องดวงใจน้องชายซ้ำอีกรอบ ก็แกล้งกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดอะไร คนเป็นพี่น้อง ซ้ำยังเป็นพี่น้องผู้ชายด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก แต่ว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในสภาพตัวงอนิดๆ ดันเห็นภาพพี่น้องเล่นขย้ำกล่องดวงใจกัน ถึงกับก้าวพรวดเข้ามาด้วยอารมณ์หึงหวง ลืมความเจ็บตามร่างกายไปชั่วขณะ
   “ทำอะไรกัน!” ถามเสียงขุ่นจัด ใจจริงอชิตะอยากถามว่า ‘จับทำไม!!’ แต่ยั้งไว้ทัน 
   “บีบไข่น้องชายกูไง” ไม่พูดเปล่า มีนาโชว์ขย้ำให้อชิตะดูอีกรอบ “จะทำไม นี่น้องกู กูมีสิทธิ์ ทำมากกว่านี้ยังได้เลย อยากดูไหมล่ะ”
   “ปล่อยได้แล้วพี่สอง” คณิตปัดมือของพี่ชายออก มันก็ปกติที่คณิตถูกพี่ชายขย้ำน้องชายเล่น จะไม่ปกติก็เพราะมีคนนอกครอบครัวมองตาขวางตาแข็งเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาก็ไม่ปาน
   “หวงเนื้อหวงตัวกับพี่? เห็นมันดีกว่าพี่?” มีนาหรี่ตาถามน้องชาย ชักหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบแล้วสิ   
   “เปล่า” คณิตตอบเสียงเบา พลางขยับตัวออกห่างมือพี่ชายอีกนิด ก็คณิตไม่อยากให้คนนอกครอบครัวเข้าใจผิดหรือรู้สึกหงุดหงิดนี่น่า ดูก็รู้ว่าอชิตะไม่ชอบ   
   “เปล่า? แล้วขยับหนีทำไมห๊ะ...มึงก็อีกคน นี่น้องกู กูจะทำอะไรก็ได้ อย่าคิดว่าเป็นผัวมันแล้วจะมีสิทธิ์ในตัวมันมากกว่าพี่อย่างกู” มีนาหันไปชี้หน้าว่าที่น้องเขย
   “ผมรู้ แต่ผมก็มีสิทธิ์หวงคนของผม ผมไม่อยากให้ใครมาแตะต้องตัวหนึ่งเรื่อยเปื่อย” น้ำเสียงที่เอ่ยบอกนั้นสุภาพ แต่ทุกคำที่เอ่ยออกมาย้ำหนักทุกคำ   
   “ห่า! เรื่อยเปื่อยหรือวะ! คนของมึงงั้นเหรอ! แล้วมันน้องของกูไหมห๊ะ” มีนาลุกพรวดพราดขึ้นยืนชี้หน้าอชิตะ ก่อนจะซัดหมัดซ้ำร่องรอยความบอบช้ำเดิมที่อยู่ใต้เสื้อเนื้อดี อีกฝ่ายทรุดลงไปกองพื้นทันที ไม่ได้ลุกขึ้นมาตอบโต้ ได้แต่นั่งตัวงอกุมท้องตัวเองอยู่บนพื้นห้อง ถ้าแค่หมัดเดียวอชิตะคงไม่เจ็บจนกระอักอย่างนี้ แต่เพราะชายหนุ่มโดนมาไม่รู้กี่หมัดจากพี่ชายทั้งสามคนของคณิตมาก่อน
   อชิตะเงยหน้าขึ้นมองคนบนเตียงที่อยู่ในอาการเบิกตาค้างด้วยความตกใจกับสภาพกองพื้นของเขา เห็นคณิตทำท่าจะถลาจากเตียงลงมาหาเขา แต่เจ้าตัวก็เปลี่ยนใจ ขยับตัวกลับไปนั่งพิงหัวเตียงตามเดิม มีเพียงลูกตาเรียวเล็กเท่านั้นที่ทอดมองลงมา บอกชัดเจนว่า... ‘ห่วง’ เขามากทีเดียว
   ได้เห็นสายตาที่แสดงออกมาว่าเป็นห่วง อชิตะคิดว่าคุ้มแล้วที่ยอมให้พี่ชายทั้งสามของคณิตยำมือยำตีนเขาอยู่ฝ่ายเดียว
   “สำออยให้น้องกูเป็นห่วงหรือไงวะ ลุกขึ้นมา ชักช้าอยู่ได้ หรือมึงอยากถูกกระทืบซ้ำ” 
   โดนน้ำเสียงหงุดหงิดของมีนาตะคอกสั่ง อชิตะจึงต้องพยุงตัวลุกขึ้นยืน สั่งตัวเองในใจว่าให้ ‘อดทน’ เพราะพี่ชายทั้งสามของคณิตก็ ‘อดทนมาก’ กับเรื่องที่เขาทำร้ายคณิต
...ความเย็นของปลายกระบอกปืนที่กดลงบนหน้าผาก ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องจริง จนจบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคณิต...เล่าทุกความจริง ไม่มีปกปิด
   พอลุกขึ้นยืนได้เต็มตัว แบบที่พยายามยืดหลังให้ตรงได้แล้วนั้น คำถามหาเรื่องของมีนาก็ตามมาอีก
   “มึงบอกกูใหม่สิ ว่ากูมีสิทธิ์ทำอะไรกับร่างกายน้องกูได้ไหม”
   “หนึ่งโตแล้ว ไม่เหมาะที่พี่จะทำเหมือนหนึ่งเป็นเด็ก และผมก็ไม่ชอบ” อชิตะยังยืนยันความคิดของตน...ต่อให้เป็นพี่น้องกัน เขาก็ไม่ชอบ 
   “ไม่เหมาะ ไม่ชอบ...แสดงว่ากูไม่มีสิทธิ์ มึงมีสิทธิ์คนเดียวว่างั้น เพราะเป็นผัวมัน” 
   “ครับ”...ก็อยากให้มีแค่เขาคนเดียวที่แตะต้องตัวคณิตได้
“ไม่มีใครมีสิทธิ์ในตัวผมทั้งนั้นแหละ” คณิตโวยวายขึ้น ด้วยสุดแสนจะรำคาญแต่ละคำพูดของพี่ชาย ย้ำอยู่ได้ว่าอชิตะเป็นอะไรกับเขา
‘ผัว’ ได้ยินบ่อยๆ แล้วหดหู่ชะมัด
อชิตะก็อีกคน จะเถียงทำไม เถียงให้ได้อะไรขึ้นมา แล้วสภาพที่โดนแค่หมัดเดียวถึงกับล้มตัวงออยู่บนพื้น ทำหน้าเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น กว่าจะลุกขึ้นมายืนตั้งตัวให้ตรงได้ก็ใช้เวลาหลายอึดใจ คล้ายกับว่าที่โดนไปไม่ใช่แค่หมัดเดียว แต่มากกว่า หรือที่หายไปหลายชั่วโมงกับพวกพี่ชายเขา...โดนซ้อมมาอย่างนั้นเหรอ!?
ใช่แน่! อชิตะต้องโดนซ้อมมาแน่ๆ เพียงแต่ไม่ใช่ที่ใบหน้า คงเป็นตามร่างกายซึ่งเสื้อผ้าสามารถช่วยอำพรางสายตาคนเอาไว้
ใจมันวูบหวิวขึ้นมาทันทีด้วยความเป็นห่วง อชิตะเจ็บมากขนาดไหนนะ พี่ชายเขาแต่ละคน ตัวเล็กเสียที่ไหน แรงมือและเท้าไม่เบาแน่
   “มึงหุบปากไปเลย”
โดนนิ้วของพี่ชายชี้หน้า แถมตายังขวางขุ่นเหมือนหมาบ้า คนเป็นน้องเลยต้องทำตาม อารมณ์แบบนี้อย่าเข้าไปยุ่งเชียว
มีนาหันกลับมาที่อชิตะอีกครั้ง
   “มึงยืนให้ดีนะ อย่าให้ล้ม ไม่งั้นกูซ้ำหนักกว่าเดิมแน่”
“ครับ” ประโยคที่บอกเป็นคำสั่ง อชิตะปฏิเสธไม่ได้ ไม่อย่างนั้นที่โดนซ้อมไปทั้งหมด ซ้ำโดนปืนจ่อหัวอีกนั้น ก็คงสูญเปล่า จำต้องยืนยืดตัวตรงให้เหมือนกำแพงทนแดดทนฝน แต่เขาต้องทนมือทนเท้า ตั้งรับอย่างมั่นคงกับสิ่งที่จะตามมาแทบจะทันที
   ผลัวะ!
   หน้าของอชิตะหันขวาไปตามแรงหมัดหนักพุ่งเข้าปะทะ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอุ้งปาก เซถอยหลังไปนิดหนึ่ง และกำลังจะตั้งตัวให้ตรง อีกหมัดก็ตามมาอย่างรวดเร็วแบบไม่ยอมให้ได้ตั้งตัวติด หมัดที่สองทำเอาเกือบล้ม ดีที่ยั้งตัวเองไว้ทัน จากนั้นยังมีตามมาอีกสองหมัด ขณะที่คนบนเตียงได้แต่มองอย่างเป็นห่วงผสมไปกับความสงสารจับหัวใจ แต่ไม่มีคำห้ามหรือร้องขอให้คนเป็นพี่หยุดหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บไปด้วย
ทั้งที่คณิตอยากห้าม อยากขอให้พี่ชายหยุดได้แล้ว หากก็รู้นิสัยพี่ชายดี...ยิ่งห้าม ยิ่งจะทำ...ยิ่งโมโหอย่างนี้ด้วยละก็ ยิ่งไม่ควรปกป้องอชิตะเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอชิตะเจ็บหนักกว่าเดิมแน่ 
   ...ทนหน่อยนะบอส
   “มึงจำไว้ หนึ่งคือน้องกู กูมีสิทธิ์ ส่วนมึงเมื่อไรที่ทำให้มันเสียใจ กูจะเป็นคนเจาะหัวมึงคนแรก” มีนาขู่เสียงเข้ม หลังจากปล่อยหมัดใส่หน้าว่าที่น้องเขยจนพอใจแล้ว
   “ครับ” อชิตะตอบพลางเช็ดเลือดที่ปากไปด้วย
   “ครับอะไร? กูอยากยินได้ยาวกว่านี้”
   “ครับ...ผมจะไม่ทำให้หนึ่งเสียใจ ไม่มีวันที่ผมจะเปลี่ยนใจไปจากหนึ่ง ผมจะรักหนึ่งยิ่งกว่าชีวิต และจะดูแลหนึ่งให้ดีที่สุด ผมจะมีแค่หนึ่งคนเดียว” อชิตะจ้องตาอีกฝ่ายเพื่อแสดงความจริงใจ ย้ำชัด หนักแน่น ไม่รู้ว่ามีนาจะพอใจคำพูดของเขาหรือไม่ หรือรู้สึกพึงพอใจหรือเปล่า เขาแค่ตอบไปความรู้สึกที่มีในตอนนี้ ความรู้สึกที่มั่นใจว่าจะคงอยู่ตลอดชีวิต ตลอดลมหายใจ...
   คณิตคือผู้ชายคนเดียวที่เขาจะรักไปตลอดจนถึงวันตาย
   “เฮอะ...กูไม่เชื่อว่ะ” น้ำเสียงของมีนาเหยียดหยันเยาะเย้ย “ขนาดคู่หมั้นมึง มึงยังทิ้ง แล้วน้องกูจะเหลือเหรอ?”
   คณิตอึ้งกับคำพูดของพี่ชาย มีนารู้เรื่องของณัชชาได้ยังไง หรืออชิตะเล่า คงจะใช่ แต่สิ่งที่มีนาพูดตรงกับความหวาดกลัวในหัวใจของคณิต วูบหนึ่งที่ใบหน้าอาบน้ำตาของณัชชาผ่านเข้ามาในหัว กระแทกความรู้สึกอย่างจัง ย้ำเตือนให้จำแบบที่ลืมไม่ได้เลย
   ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเป็น ‘ที่รัก’ ถูกทอดทิ้งให้กลายเป็นคนที่ไม่ต้องการ ซึ่งวันหนึ่งอาจเป็นเขาที่ถูกทิ้ง หมดความสำคัญ ไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อมีคนใหม่ก้าวเข้ามาในชีวิตของอชิตะ
   “ผมไม่ได้ขอให้พี่เชื่อ แต่ผมจะทำให้เห็น” คำตอบของอชิตะยังคงหนักแน่นเช่นเดิม จ้องตาอย่างไม่หวั่นเกรงใบหน้าเย้ยหยันของมีนา
   “เผอิญกูไม่อยากเห็น แล้วมึงอยากเห็นไหมหนึ่ง” มีนาหันไปถามคนที่เมินสายตาไปทางหน้าต่างห้อง แต่ก็คงแค่สายตา เพราะหูได้ยินทุกคำพูด
   คณิตดึงสายตากลับมาภายในห้อง มองสบกับดวงตาสีเข้มที่ทำให้หัวใจของเขาอ่อนแอลงทุกวัน
   “ผมไม่อยากเห็น” เขาไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อนาคตเขาถูกทิ้งเพราะหมดความสำคัญ หรือเรื่องที่อชิตะจะรักเขาไปตลอดชีวิต มันไม่ควรมีเรื่องใดเกิดขึ้นเลย ไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ! 
   “อ้าว นี่มึงจะเล่นตัวไปทำไมวะหนึ่ง”
คำตอบของน้องชายดันไม่ถูกใจพี่ชายเสียอย่างนั้น รักน้องก็จริง ห่วงน้องก็จริง ทว่าที่มีนาโมโหหรือทำหงุดหงิดไปทั้งหมด ก็เพื่อทดสอบความอดทนและความจริงใจของว่าที่น้องเขย คนอย่างมีนาไม่ยอมให้น้องชายโดนฟันแล้วทิ้งแน่ ซึ่งดูๆ แล้วว่าที่น้องเขยก็ไม่คิดจะทิ้งน้องของเขาซะหน่อย เรื่องที่มันเล่า ถึงจะเลวระยำ หมาไม่แดก สมควรโดนเจาะกะโหลกให้สาสมกับสิ่งที่มันทำกับน้องชายเขาก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ เขาและพี่ชายยังไม่โหดเหี้ยมพอที่จะเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา โดยเฉพาะชีวิตของไอ้คนที่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อรับผิดชอบสิ่งที่ทำกับน้องชายเขาไปตลอดชีวิต
“ไม่ได้เล่นตัว ก็แค่...” จะบอกออกไปว่า ‘ก็แค่...กลัวอนาคตที่มองไม่เห็น กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวเผลอใจรักไปมากกว่านี้ กลัวรักจนถอนตัวไม่ขึ้น กลัวถูกทิ้ง’ ก็บอกไม่ได้
“แค่อะไร ?” พี่ชายยังคงเค้นถาม อีกคนก็พลอยอยากรู้ไปด้วย คนไม่อยากตอบหันหน้าหนีไปมองหน้าต่างห้องแทน
“แค่อะไร?” มีนาสาวเท้าเข้าไปชิดเตียง ใช้นิ้วแข็งบีบคางเล็กให้หันกลับมา “อย่าสะดิ้งให้มาก กูยังไม่อยากมีน้องสาว ตอบมาว่าแค่อะไร อย่าให้มีน้ำโห เพราะคนที่จะเจ็บ ไม่ใช่มึง แต่จะเป็นผัวมึงนะหนึ่ง”
“.....” คณิตยังเงียบ แต่สายตานี่ขว้างค้อนอันใหญ่ใส่พี่ชายไปแล้ว ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนากับคำว่า ‘ผัว’ เนี่ย
“คิดว่าพี่ชายมึงไม่กล้าใช่ไหม”
“.....” คนเป็นน้องเม้มปากแน่น ต่อต้านตาขวาง
“ก็ได้” คางเล็กถูกสลัดทิ้งทันที มีนาหันกลับไปหาคนต้นเรื่อง เอ่ยปากสั่งเสียงเข้ม “กูอนุญาตให้มึงล้มได้” พูดจบ มีนาก็ประเคนหมัดใส่ลำตัวของอชิตะทันที คนโดนหมัดล้มลงไปกองพื้นทันทีเช่นกัน ก่อนจะถูกเตะซ้ำอีกหลายครั้ง อชิตะได้แต่งอตัวรับแรงอัดที่ดูจะน้อยกว่าครั้งแรกที่โดนในห้องของมีนา แรงไม่มากแต่เจ็บไม่น้อยเพราะซ้ำลงไปกับรอยเดิม ทนเจ็บไปอีกสองสามอึดใจ ปลายเท้าที่เตะลงมาถึงได้หยุดลงเพราะ...
“บอกแล้วๆ” คณิตตะโกนบอกอย่างสุดทน เขากลัวอชิตะจะช้ำในตายเสียก่อน
อชิตะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ใช้มือยันตัวเองขึ้นนั่ง นาทีนี้เขายืนไม่ไหวจริงๆ
“ไม่เห็นผัวเจ็บก็ไม่ยอมบอกหรือมึง” แสยะยิ้มอย่างพอใจที่เอาชนะความปากแข็งของน้องชายได้ “ตอบมาว่าแค่อะไร ขอความจริงด้วย รู้ใช่ไหมว่ามึงไม่เคยโกหกพี่มึงได้” แต่ไหนแต่ไร คณิตก็โกหกไม่เก่งอยู่แล้ว โกหกทีไร โดนพวกพี่ชายจับได้ตลอด
“.....” เอาเข้าจริงคณิตก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองกลัวอะไร
“ไอ้หนึ่ง อย่าลีลา หรือมึงอยากให้ผัวมึงตายคาตีนกู” มีนาขู่ซ้ำ
“ก็แค่...กลัว ผมกลัว...” ก้มหน้าตอบเสียงเบาอย่างจำยอม
...ความกลัวที่ครอบคลุมทุกความหมายและความรู้สึก อิทธิฤทธิ์ของมันรุนแรง ร้ายกาจ คนอ่อนแอไม่สามารถต้านทานมันได้ แล้วคณิตก็เป็นผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่ง ในบางเวลาปากอาจกล้าเก่ง นั่นก็แค่ปาก ไม่ใช่ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นใต้อกซ้ายของตัวเองเสียหน่อยที่อ่อนแอและอ่อนไหวเหลือเกิน มันไม่เคยแข็งเหมือนปากเลยสักครั้ง
ทุกครั้งที่หนีจากอชิตะมา หากลึกๆ แล้วเขารู้ตัวว่าโหยหาที่จะกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของอชิตะเสมอ มันเป็นความย้อนแย้งที่บ้าบอสิ้นดี
อยากหนี...แต่ก็อยากให้มาตามหาจนเจอ
“สั้นๆ แค่นี้?”
“อืม”
“เอายาวๆ หนึ่ง กูไม่ชอบอะไรที่มันสั้นๆ แล้วมองตาด้วย ไม่ใช่ตาพี่มึง ตาผัวมึงน่ะ มองตามันแล้วพูด” มีนาไม่ได้อยากช่วยให้คนที่ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า ‘ข่มขืน’ น้องชายตนได้สมหวังหรือสมรักอะไรหรอก แต่คนทำระยำต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป น้องชายเขาเสียหาย มันต้องรับผิดชอบ ส่วนรักหรือไม่รัก มันก็เห็นอยู่เต็มสองตา คนหนึ่งยอมทนให้ซ้อม อีกคนก็เล่นตัวทั้งที่สายตาแสดงออกมามากมายว่าเป็นห่วงเหลือเกิน
“พูด! ก่อนที่กูจะโมโหแล้วลงกับผัวมึงอีกรอบ คราวนี้กูรับปากเลยนะว่าผัวมึงเข้าโรงพยาบาลแน่”
คณิตพ่นลมหายใจออกมาอย่างสิ้นท่า มองใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มบวมและช้ำแดง คณิตอยากมองทะลุไปให้ถึงผิวเนื้อใต้ร่มผ้าว่ามันจะบอบช้ำแค่ไหน
ท้ายสุดคณิตก็ต้องยอมพูด อย่างน้อยก็มีกำลังใจจากพี่ชาย เห็นโหดๆ แบบนี้ มีนาก็ทำเพื่อเขาทั้งหมด
“ผมกลัวครับบอส กลัวว่าวันหนึ่งผมจะเป็นเหมือนคุณหวาน”
...ผู้หญิงที่อชิตะบอกว่ารัก รักจนถึงขั้นพร้อมร่วมชีวิต แล้วไงล่ะ ทุกวันนี้เป็นไง ณัชชายังคงมีน้ำตากับความรักที่พลิกผัน เปลี่ยนไปราวกับโกหก เป็นเหมือนเรื่องตลกร้ายที่ความรักซึ่งร่วมกันสร้างมานานหลายปี กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ไร้ค่า ไร้ความหมาย เพียงเพราะอชิตะหมดรัก
“มันจะไม่มีวันนั้นหนึ่ง” ดวงตาสีเข้มจริงจังกว่าครั้งไหน 
“วันนี้บอสก็พูดได้” เขาเกลียดความเด็ดขาดในแววตาของอชิตะ มันทำให้เขาอ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานไหว
“ไม่ว่าวันไหน ผมก็จะพูดแบบนี้หนึ่ง” 
‘ไม่ว่าวันไหน’ อย่างนั้นเหรอ?
มันจะมี ‘วันนั้น’ ไหม?
วันที่คำพูดของอชิตะในวันนี้จะเป็นความจริงไปตลอดกาล 
คณิตไม่ได้ต้องการความรักที่ยิ่งใหญ่ รักกันปานจะกลืนกินเหมือนคู่ของภาคีกับสีฟ้า เขาขอเพียงแค่...ตลอดไปได้ไหม?
ถ้าจะต้องรักกันจริงๆ เขาก็ขอให้มันเป็นความรักแท้ที่ยาวนานไปตลอดลมหายใจของเขาและอชิตะ
มันจะเป็นไปได้ไหม...
จะรักกันไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายได้ไหม...

V
V
V

ตามตอนต่อไปนะคะ วันที่ 24 ค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
18

คณิตทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่ภายในห้องกว้างของเจ้าของบ้านรูปตัวยู ด้วยความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความว่างเปล่า สมองที่คิดไปสารพัดเรื่องราวนับตั้งแต่เดินทางออกจากจังหวัดบ้านเกิด จนมาถึงเมืองหลวงมากแสงสี คลับคล้ายจะถูกกระชากทิ้งทันทีที่ก้าวลงจากรถ และพบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งส่งยิ้มจางๆ ที่ฝืนจะทำให้มันแจ่มใสมากที่สุดมาให้
ณัชชาคงอยากคุยกับเขา ส่วนเขาเอ่ยทักทายแค่ประโยคเดียว
‘สวัสดีครับคุณหวาน’
แล้วเดินเลี่ยงขึ้นชั้นสามของบ้านมาเสีย ตรงเข้าห้องนอนของอชิตะแบบที่ไม่คิดจะบิดพลิ้วไปไหนอีก ส่วนคนทั้งสองจะมีเรื่องอะไรที่ต้องพูดคุยกันในห้องนั่งเล่น เขาก็ไม่อยากรู้ ไม่อยากคิด ไม่อยากเดา หากยิ่งรู้ ยิ่งคิด ยิ่งเดา ยิ่งตอกย้ำความผิดที่เขาเป็นคนก่อขึ้น
เฮ้อ...สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น
เวลาแต่ละนาทีเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าจนน่าเบื่อ เขาควรเปลี่ยนความเบื่อหน่ายแสนว่างเปล่าให้เป็นอะไรดีล่ะ คณิตถามตัวเอง ผ่านไปสักพักถึงได้คำตอบ 
ตั้งแต่หนีกลับบ้าน เขาก็ปิดโทรศัพท์ เพิ่งมาเปิดเอาตอนใกล้ถึงกรุงเทพฯ มีสายที่โทรหาเขาเยอะ กว่าร้อยสายแน่ะ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของเบอร์โทรเรียกเข้า หนึ่งในนั้นคือภาคี
โทรหามันหน่อยก็ดี แก้เบื่อ
บอกตัวเองแล้ว คณิตก็หยิบเอาโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมา เลื่อนหารายชื่อแล้วกดโทรออก รอสัญญาณจากปลายสายนานพอสมควร เกือบวางสายแล้วถึงได้ยินเสียงเข้มดุของอีกฝ่าย
“หายหัวไปไหนมา กูโทรหาแทบตาย บอสก็ด้วย ตามหามึงเหมือนคนบ้า เดือดร้อนกันไปหมด” คนปลายสายตวัดเสียงขุ่นถามรัวเร็ว
‘เดือดร้อน’ ที่ภาคีว่าคือการที่เจ้าตัวถูกโทรมาหากลางดึก ขณะที่กำลังกอดก่ายเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมหวานของคนรัก ชักชวนทำกิจกรรมรักร่วมกันบนเตียงในบ้านหลังเล็กแต่เต็มไปด้วยความรัก หลังจากที่ร้างกิจกรรมลึกล้ำไปนานเกือบสัปดาห์ น้ำเสียงอ้อแอ้ของคนเมาพร่ำเพ้อหาแต่คณิตชนิดไม่เหลือคราบนักธุรกิจหนุ่มมาดเท่ เมามายเสียจนเขาจำใจยอมทิ้งภารกิจรักบนเตียงไปหา แม้สีฟ้าจะเข้าใจ แถมไล่ให้เขาออกไปรับตัวคนเมาที่ผับแล้วพาตัวไปส่งบ้าน เพราะกลัวคนเมาขับรถกลับไม่ไหวหรือไปก่ออุบัติเหตุขึ้น เดือดร้อนคนร่วมถนนอีก เดือดร้อนเขาแท้ๆ แทนที่จะได้นอนกอดเมียจนถึงเช้า กลับต้องมาดูแลอดีตบอสเสียได้
“ถ้ามึงจะโทรมาด่ากู คราวหน้ามึงก็ไม่ต้องโทรมาเลยนะ” เสียงขุ่นมา คณิตก็เสียงขุ่นกลับ ยอมเสียที่ไหน มันน่าโมโหไหม แทนที่จะได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากเพื่อนรัก กลับต้องมาโดนดุด่า ทำน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจใส่
อันที่จริงเขาน่าจะรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งหัวใจได้แล้วนะ ว่าเพื่อนรักอยู่ข้างใคร การที่อชิตะโผล่ไปที่บ้านเขาได้ถูกต้องแม่นยำ เขาเชื่อว่าเพราะไอ้เพื่อนทรยศชี้จุด มีมันคงเดียวที่เคยไปบ้านเขา
“มึงโทรมาเองนะหนึ่ง” ฝ่ายเพื่อนย้อน แว่วได้ยินเสียงสีฟ้าลอดเข้ามาตามสายว่า
‘ลมอาบน้ำก่อนนะติน’
‘รอตินก่อนครับ ตินอาบด้วย’
แหม...คุยกับเมียเสียงอ่อนเสียงหวานต่างกับคุยกับเพื่อนลิบลับ คณิตนึกค่อนขอดเพื่อนรักในใจ
‘ไม่เอา ลมเหนียวตัว...ตินก็ใส่กางเกงด้วย’
สงสัยที่หงุดหงิดใส่เขา คงเป็นเพราะโมโหที่โทรไปรบกวนตอนมันกำลังฉ่ำรักบนเตียงแน่ๆ แต่ช่างเถอะ คณิตไม่สนใจ ไม่สำนึกด้วย เพราะของเริ่มขึ้น ขอด่าเพื่อนก่อน
“กูหมายถึงที่มึงโทรมาเกือบร้อยสายโว้ย ไม่ใช่ตอนนี้ที่กูโทรหามึง นี่กูก็จะโทรมาชำระความมึงด้วย ใครใช้ให้มึงบอกบอสว่าบ้านกูอยู่ไหนห๊ะ ทรยศกูได้นะมึง” ด่าอย่างขัดใจ
“บางทีมึงก็เยอะเกินไปหนึ่ง จะอะไรกับบอสมากมาย เล่นตัวอยู่ได้”
“กูไม่ได้เล่นตัว!” ...สีฟ้าเนี่ยไม่เล่นตัวเลยเนอะ
“ที่มึงทำมาทั้งหมดคือเล่นตัวว่ะหนึ่ง ขอเถอะ เลิกหนี แล้วคุยกับบอสดีๆ กูอยากให้มึงเห็นตอนบอสเมาเหมือนหมา เขาเอาแต่พร่ำเพ้อหามึง มึงทำให้บอสร้องไห้เพราะมึงเลยนะ กูไม่อยากเชื่อตาตัวเองด้วยซ้ำตอนเห็นบอสร้องไห้”
คืนที่ไปรับอชิตะที่ผับ ทำให้ภาคีได้เห็นน้ำตาของอชิตะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา
“ใช่เรื่องของกูไหมที่ต้องเห็นน่ะ ร้องก็ร้องไปสิ ไม่ใช่เรื่องของกูสักหน่อย” คณิตโต้กลับอย่างมีอารมณ์
เหอะ! ใช่ว่าอชิตะมีน้ำตาคนเดียวซะที่ไหน เขาก็มีไม่ใช่หรือไง บ่อยกว่าด้วยซ้ำ แล้วเขาก็เห็นน้ำตาของอชิตะมาแล้วเถอะ ไม่เห็นอยากจะอวดเลย
แต่หัวใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด...อชิตะร้องไห้เพราะเขาเลยนะ
“มันเรื่องของมึงเต็มๆ เพราะมึงเป็นคนเริ่ม ถ้ามึงไม่ชวนบอสจูบ...“
“ไอ้ติน! มึงยังเป็นเพื่อนกูอยู่ไหมห๊ะ หรือมึงรักมึงหลงบอส จนลืมเพื่อนอย่างกูไปแล้วใช่ไหมวะ” ถามประชดอย่างน้อยใจ รู้ว่าเขาผิด แต่จะย้ำอะไรนักหนา แล้วที่ภาคีรู้เรื่องชวนจูบ เพราะอชิตะบอกแน่ๆ
หึ...ไม่รู้ว่าจะพูดเอาดีเข้าตัวไปเท่าไรแล้ว ภาคีถึงได้เข้าข้างเต็มตัวขนาดนี้ 
“กูยังเป็นเพื่อนมึง แต่กูเห็นใจบอส กูว่ามึง...“ เสียงของภาคีอ่อนลง ตรงข้ามกับเสียงของคณิตโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มร่างเล็กเอ่ยสวนด้วยความรวดเร็ว สาดอารมณ์ใส่เพื่อนรักเต็มที่
“แล้วมึงไม่เห็นใจกูเลยหรือไง กูโดนทำร้ายนะไอ้ติน มึงก็เห็นสภาพกูตอนที่โดนบอสข่มขืน มึงว่ากูสนุกหรือไงที่โดนผู้ชายข่มขืน”
“กูอยากให้มึงให้อภัยบอส ทั้งหมดที่บอสทำไปก็เพราะมึงไปยั่วอารมณ์เขาก่อน”
“ไอ้ห่าติน! มึงแม่ง ไม่ใช่เพื่อนกูแล้วว่ะ”
“กูยังเป็นเพื่อนมึง กูแค่อยากให้มึงเห็นใจบอสหน่อย บอสก็แค่รักมึง”
“กูต้องเห็นใจคนที่ข่มขืนกูอย่างนั้นเหรอ? มันข่มขืนกู...ชัดไหม บอสมึงข่มขืนกู!”
เพราะน้อยใจที่เพื่อนแปรพักตร์ อารมณ์เลยมาคุเต็มที่ และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา คณิตโกรธทั้งคนปลายสายและคนที่ยืนกอดอกพิงประตูไว้ อชิตะมองมาที่เขา จ้องหน้าเขาเขม็ง
แผ่นหลังของคณิตตั้งตรงพร้อมต่อสู้ จ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้ หูก็ฟังเสียงคนปลายสายที่พูดเหมือนจะสั่งสอนเขา แต่ภาคีจะรู้ไหมว่ายิ่งทำให้อารมณ์ของเขาไต่สูงขึ้น จวนเจียนจะระเบิดได้อยู่แล้ว   
“มึงอย่างี่เง่าได้ไหมหนึ่ง ที่มึงยอมบอสขนาดนั้น กล้าพูดไหมว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับบอส”
“ไม่! กูไม่รู้สึกเหี้ยอะไรกับบอสเหี้ยๆ ของมึงทั้งนั้น มันบ้าของมันเอง มันอยากรู้สึกอะไรก็ช่างหัวมัน แต่กูไม่! ชัดไหมว่ากูไม่!!”
แม้คนที่คณิตจงใจให้ได้ยินเต็มสองหูจะยืนพิงประตูห้องในท่าเดิมก็ตาม ทว่าแววตาที่ส่งมาถึงก็ร้อนแรง สายตาบอกชัดว่าไม่ชอบคำพูดจากปากเขา ทำให้เสียวสันหลังขึ้นมาทันที
“หลอกใครก็ได้ แต่อย่าหลอกใจตัวเอง เพราะมึงไม่มีวันหลอกสำเร็จ”
เออ! ไอ้คนรู้ดี ไอ้คนมีประสบการณ์
“พูดอะไรของมึง” คณิตชักเสียงใส่ รู้ทั้งรู้ว่าคำพูดของภาคีหมายถึงอะไร ไม่อยากยอมรับ เลยต้องปากแข็ง นอกจากปากแข็ง ก็ยังต้องจ้องตาแข็งกับเจ้าของห้องด้วย
“พูดความจริงไง มึงหวั่นไหวให้บอสแล้วสินะ แต่มึงไม่กล้ายอมรับ เอาแต่วิ่งหนีเหมือนคนโง่ โง่ที่ไม่รู้ว่าต่อให้หนีให้ตาย มึงก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้น” คนปลายสายพูดจากประสบการณ์ของตัวเองล้วนๆ
“ความจริงบ้าบออะไร...ใจกู กูรู้ดี ไม่มีสักส่วนเสี้ยวเดียวที่จะเป็นอย่างที่มึงพูด” นาทีนี้คณิตเกลียดคำพูดของเพื่อนเหลือเกิน ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร วันนี้พูดเยอะฉิบ ทั้งที่มันเป็นคนพูดน้อย
“กูพูดถูกทุกอย่างมากกว่า เอาละ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าปากหรือหัวใจของมึง อันไหนเก่งกว่ากัน” คำพูดของเพื่อนลอดผ่านมาให้หงุดหงิดใจยิ่งขึ้น ยิ่งประโยคต่อมา ยิ่งแล้วใหญ่ “อ้อ...แต่กูว่า ถ้าวัดกันตอนนี้ ร่างกายของมึงฉลาดที่สุด มึงว่าไหม?” คนพูดน้อย ต่อยทีเดียวรับรองว่าเจ็บสุดๆ
“ไอ้เพื่อนเวร! มึงหมายความไง มึงรู้อะไรมา บอสเหี้ยๆ ของมึงบอกอะไรมึง” ลูกตาคณิตแทบลุกเป็นไฟ ตวัดมองเจ้าของห้องอย่างฉุนเฉียว
“บอกเท่าที่กูจำเป็นต้องรู้” เพราะคำพูดลูกชายของอชิตะในคืนนั้น ภาคีจึงตัดสินใจได้ว่าจะยืนอยู่ข้างไหน ช่วยเหลือใคร
‘กินที่ลับ ไขที่แจ้ง’
คณิตเพิ่งรู้ซึ้งถึงคำๆ นี้ก็ยามนี้เอง ตอนที่รวมหัวคิดแผนไล่ต้อนสีฟ้าให้จนมุมต่อความรักของภาคี มันสนุกสนานที่เห็นสีฟ้าพ่ายแพ้ต่อความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ พอถึงคราวตัวเอง มันสนุกไม่ออก และรู้สึกทั้งโกรธ เกลียด แค้นจนอยากจะฆ่าคน ‘กิน’ ให้ตายคามือเสียให้ได้ ขณะเดียวกันก็อับอายถึงขีดสุด เพราะเพื่อนรักรู้ความลับว่าไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวที่เขามีอะไรกับอชิตะ
“ถ้ามึงไม่รัก ไม่รู้สึกดีกับบอส มึงคงไม่ยอมบอสขนาดนั้น มึงบอกว่าบอสข่มขืน แต่ทุกครั้งหลังจากวันนั้น มึงก็ยอมตลอดไม่ใช่หรือไง ร่างกายมึงต้องการ หัวใจมึงยอมรับ แต่ปากมึงแข็ง”
“กูไม่เคยยอมมัน!!”
คนปากแข็งทนฟังสิ่งที่เพื่อนพูดไม่ได้อีกต่อไป รวมถึงทนมองหน้าอชิตะไม่ได้ด้วยเช่นกัน โทรศัพท์เครื่องบางถึงได้ลอยด้วยความแรงสูงเต็มความโกรธ พุ่งตรงไปยังประตูห้องนอน เฉียดใบหน้าอชิตะไปแค่นิดเดียว แล้วปะทะเข้ากับบานประตู ร่วงลงพื้นในสภาพแตกกระจาย
เหมือนใครเอากลองมาตีในอก เอาไฟมาสุมในตัว ลมหายใจของคณิตร้อนยิ่งกว่าลาวาสีทอง ที่คณิตโกรธจนกลายเป็นความเกรี้ยวกราด แท้จริงเป็นเพราะอับอายเกินกว่าจะยอมรับว่าเพื่อนพูดถูกทุกคำ!
‘กูไม่เคยยอมมัน’
ก็แค่คำแก้ตัว ใช้ปกป้องตัวเอง หลอกลวงหัวใจให้หลงเชื่อ แต่ก็นั่นแหละ หัวใจก็ฉลาดเกินไป มีแต่เขาคนเดียวที่โง่ โง่ที่เชื่อว่าจะหลอกหัวใจตัวเองได้
คณิตรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ตายยังไงบอกไม่ถูก เมื่อร่างสูงใหญ่ของอชิตะเข้ามาใกล้ ขยับขึ้นบนเตียง มือแข็งคว้าจับไหล่เขาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปไหน ตรึงไว้ด้วยสายตาที่อัดเต็มไปด้วยความหมายในแบบเดิมที่รู้ว่าคืออะไร ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดบนหน้าผากบางเบา ทว่าร้อนแรงราวกับจะยั่วยุปลุกเร้าคลื่นอารมณ์น่าอายให้โหมลุก อารมณ์ดังลาวาสีทองเมื่อครู่จมหายไปในลมหายใจที่ผ่อนช้าลง หายเข้าไปในบรรยากาศอันว่างเปล่า แต่สาดคลุ้งไปด้วยความต้องการลึกลับ
...ร่างกายไม่เคยโกหก มันกำลังทรยศคณิตอีกแล้ว มันอ่อนปวกเปียก เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับเตียงนอนนุ่มตามแรงผลักของคนที่ยกเรือนกายแน่นหนาขึ้นมาคร่อมทับ...ล้อมกรอบ...กักขัง
ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไล้ทั่วใบหน้าเล็ก ก่อนปลายนิ้วโป้งจะกดคลึงเคล้นบนกลีบปากบางสีสด คณิตกลั้นหายใจต่อรสสัมผัสของนิ้วร้อนได้เพียงอึดใจเดียว ปากหนาก็โน้มลงมาโจมตี ฟันคมขบกลีบปาก ขบย้ำอย่างนุ่มนวลเอาใจอยู่สักพัก แบบที่ไม่ได้รุกเข้าไปด้านในโพรงปาก แล้วผละออกมามองดวงตาเรียวเล็กซึ่งไหวระริก
อชิตะจ้องเอาคำตอบ แบบไม่มีคำถามหลุดจากปาก เพราะคำถามส่งผ่านรอยสัมผัสทางกายและสายตาไปเรียบร้อยแล้ว
‘ขอนะหนึ่ง ขอครอบครอง ตีตราเป็นเจ้าของ ย้ำให้รู้ตรงกันว่าร่างกายของเรา โหยหากันและกัน...มากขนาดไหน’
เมื่อคำถามคือภาษากาย คำตอบย่อมเป็นภาษากายด้วยเช่นกัน เพราะคณิตอับอายเกินกว่าจะยอมรับด้วยสุ้มเสียงพร่าสั่นของตัวเอง
สองมือเล็กยกเกี่ยวต้นคอหนา ดึงรั้งให้โน้มลงมาใกล้มากขึ้น เพียงพอที่จะเป็นฝ่ายยกริมฝีปากของตนขึ้นกัดกลืนปากหนาของอีกฝ่ายได้ หัวใจเก่งกล้าออกอิทธิฤทธิ์ อาจหาญบุกล้ำเข้าไปในอุ้งปากร้อนชื้น ลิ้นเล็กไขว่คว้าหาเป้าหมาย ไม่ยากที่จะค้นพบ เรียวลิ้นพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร และดูไม่เพียงพอเสียแล้วสำหรับหัวใจไร้ทิศทางของคณิต 
ดวงตาเรียวเล็กเยิ้มหวานบอกให้รู้ถึงความต้องการ ไม่ต่างจากความต้องการของคนที่จ้องตาตอบ อชิตะดึงตัวอดีตลูกน้องขึ้นจากเตียง ราวกับว่าคณิตรู้ความต้องการของเขาเป็นอย่างดี มึอนิ่มจึงจับชายเสื้อเขาไว้ ก่อนปลดเปลื้องผ้าเนื้อดีออกจากกายหนาที่เต็มไปด้วยร่องรอยความบอบช้ำจากมือและเท้า คนตัวเล็กช้อนตาขึ้นมามอง ถามด้วยความรู้สึกห่วงใยอย่างที่สุดต่างจากคำพูดก่อนหน้าลิบลับ
“ยังเจ็บอยู่ไหมบอส” 
“เจ็บ...แต่เชื่อเถอะหนึ่ง ผมมีแรงเข้าไปอยู่ในตัวคุณทั้งคืนแน่”
คนตัวเล็กน่าแดงซ่าน รสของคำพูดทำให้เลือดในกายร้อนปานจะเดือด อชิตะอาศัยจังหวะนี้ทำให้ร่างกายเล็กเปลือยเปล่า แก่นกายอันไม่เคยทรยศหักหลังความรู้สึกปรารถนาของคนร่างเล็ก สร้างรอยยิ้มบนเรียวปากหนา ชายหนุ่มแทรกกายกลับมาจุดเดิม เพิ่มเติมคือตวัดเรียวขาเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายมาวางไว้บนหน้าตัก อุ้งมือร้อนกอบกุมส่วนอ่อนไหวของคนตัวเล็ก ขยับรูดขึ้นลงช้าๆ เน้นๆ ปลุกความต้องการของคณิตให้โลดแล่นยิ่งกว่าเดิม ก้นเล็กส่ายสั่นอย่างอึดอัด แค่จับก็เหมือนพร้อมจะระเบิด
ยามที่ปลายนิ้วนิ่มแต่ร้อนดังไฟแตะต้องไปตามมัดกล้ามบนหน้าท้องแข็งแรงของเขา ชักชวนให้อชิตะจมดิ่งในห้วงเหวลึกล้ำ อชิตะลืมเลือนความเกรี้ยวกราดเมื่อนาทีก่อนของคณิตไปจนสิ้น เวลานี้มีเพียงไฟปรารถนาโหมไหม้ เชื้อเพลิงชั้นเยี่ยมคือผู้ชายตัวเล็กเจ้าของผิวกายหอมหวานชวนกัดกิน ร่างกายเล็กแสดงออกชัดกว่าครั้งใดที่เคยได้สัมผัสแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน คณิตกำลังเชิญชวนเขาแบบไร้เสียงให้ตักตวงได้ตามใจชอบ
อชิตะทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้หลังประตู ในห้องแห่งนี้ให้เหลือเพียงแรงปรารถนาที่ตรงกัน สิ่งที่กำลังจะหลอมรวมร่างกายให้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว   
มันเป็นภาษาใบ้แสนยั่วยวนถึงขีดสุด อชิตะไม่นึกอยากถามหรืออยากรู้ว่าอะไรดลใจคณิตให้ทำเช่นนี้ นั่นคือมือเล็กที่ลูบไล้ต่ำลงไปจนถึงขอบกางเกงของเขา คิ้วเรียวตามธรรมชาติแบบไม่ได้ปรุงแต่งขยับย่นเข้าหากัน เป็นภาพที่น่ามอง น่าหลง มันฟ้องอาการว่าเจ้าตัวกำลังขัดใจ ตาฉ่ำหวานช้อนมองเหมือนต่อว่ากลายๆ ว่า ‘ไม่ยุติธรรม’
เนื้อตัวของคณิตเปลือยเปล่า เสื้อผ้าทั้งบนล่างหลุดจากตัวไปกองอยู่บนพื้นนานแล้ว ขณะที่อชิตะยังเหลือกางเกงยีนห่อหุ้มร่างกายส่วนล่าง ปิดกั้นไม่ให้เนื้อกายได้สัมผัสกันโดยตรง
คณิตกำลังเป็นเหมือนหนังสือคนละเล่ม...
เป็นหนังคนละม้วน...
ย้อนแย้ง...
เมื่อครู่ยังเกรี้ยวกราดเหมือนแมวบ้า มาตอนนี้ยั่วยวนเสียจนอชิตะอยากโหมกายใส่อย่างรุนแรง เอาให้ครางจนสิ้นอาย
อชิตะยันกายขึ้นอีกครั้งเพื่อปลดสิ่งกีดขวางออกจากเอวสอบ รูดดึงให้พ้นปลายเท้า โยนรวมไปกองกับเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ
ความ ‘ยุติธรรม’ ที่คนตัวเล็กต้องการ นำมาซึ่งใบหน้าเห่อร้อนทวีคูณจากของเดิม ความยุติธรรมกำลังชี้ชวนอยู่ตรงหน้า มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ามัดกล้ามบนหน้าท้องแข็งแรงของอชิตะ ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเกินกว่าจะกล้าสัมผัส ไม่ว่าครั้งใดก็ไม่เคยลดขนาดความยิ่งใหญ่ลงเลย
สิ่งยิ่งใหญ่ที่จะเชื่อมต่อให้เขากับอชิตะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ครั้นเงยหน้าขึ้น คณิตก็พบสายตาฉ่ำร้อนด้วยไฟอารมณ์จับจ้องชนิดไม่วางตา ให้ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นอาหารจานอร่อย จานเดียวในโลก ที่กำลังจะถูกตักกินจนเกลี้ยงจาน
“อ๊ะ!”
หลุดเสียงร้องขึ้นมาทันที เมื่อนิ้วแกร่งบุกรุกนำทางนักล่าเข้าไปยังร่องเร้นลึก ชนิดที่ไม่มีคำพูดใดให้ตั้งตัว ทั้งที่ลูกตาสีเข้มยังจับจ้องบนใบหน้าเขาแท้ๆ ส่วนอ่อนไหวของเขาก็ยังถูกปลุกเร้าช้าบ้าง แรงบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่ใจคนปรนเปรอ
นิ้วกระด้างวนเวียนคลึงเคล้นให้ช่องทางคับแคบได้ผ่อนคลาย ขยับขยายก่อนจะรองรับท่อนกายร้อนระอุของเจ้าของนิ้ว
คณิตยกมือขึ้นจับต้นแขนทั้งสองของคนตัวโต กำแน่นจิกลึกระบายความอึดอัดที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซ่านแผ่กว้างจากกึ่งกลางลำตัวสู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย จากหนึ่งนิ้วก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น ร่างกายไม่ต่างจากแก้วบางที่พร้อมปริร้าวและแตกสลายได้ทุกเมื่อ ฟันขาวขบกัดริมฝีปากล่างจนได้รสชาติเลือดจางๆ
คุ้นเคยมาแล้วหลายหน แต่ก็ยังไม่ชินเสียที คณิตยังคงเจ็บและจุก
“ผ่อนลมหายใจหนึ่ง อย่าเกร็ง” เสียงทุ้มแหบพร่าบอกกล่าว หลอกล่อความเจ็บปวดเบื้องหลังด้วยแรงรูดรั้งท่อนกายด้านหน้าของคณิต อชิตะไม่ได้แตะต้องร่างกายส่วนอื่นของคณิตเลย แม้แต่ริมฝีปากบางแสนหวานก็ไม่เข้าใกล้ น้ำตาเม็ดเล็กตรงหางตาซ้ายขวาก็ด้วยเช่นกัน ที่ไม่แตะต้องเพราะอยากเห็นใบหน้าน่ารักยามถูกอารมณ์รักคุกคามให้เต็มสองตา
“อย่างนั้น...คนเก่ง” ร่างกายคนเก่งกำลังบิดเร่า เอวเล็กสั่นส่าย กลีบปากเผยอยั่วยวนสายตา เสียงหายใจหอบกระเส่า หลุดเสียงครางแผ่วหวิวฟังหวาน ปลุกพลังในกายให้โหมคึก ตัวตนของอชิตะกำลังไต่ระดับ ใกล้ขีดความบ้าคลั่ง ปรารถนาดำดิ่งลงไปในหลุมลึกที่กำลังขุดสร้างด้วยนิ้วทั้งสาม
“ชอบไหมหนึ่ง ถูกใจตรงนี้หรือเปล่า ดูดใหญ่เลย” ปลายนิ้วร้อนกดย้ำตรงผนังนุ่มด้านใน ตรงจุดที่ทำให้ร่างกายเล็กกระตุกอย่างแรง เสียงเล็กครวญครางแทนคำตอบรับ 
นอกจากกดย้ำตรงจุดกระสันแล้ว ยังสลับกับขยับถอนนิ้วเข้าออกเป็นจังหวะช้าบ้างเร็วบ้าง เสียงครวญครางยิ่งดังแรงขึ้น
“อ๊ะ...บะ...บอส...ผมจะ...”...จะไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ไม่ไหวก็ปล่อยออกมาหนึ่ง ผมอยากเห็น” เสียงทุ้มที่เอ่ยบอก ไม่ต่างจากคำสั่ง อชิตะเร่งมือทั้งสองให้ทำหน้าที่เต็มเหนี่ยว เพื่อส่งให้คนตัวเล็กเดินทางไปถึงสวรรค์โดยเร็วที่สุด
“อะ...อ๊า...ฮืออออ...”
เมื่อโดนบุกรุกปลุกเร้าทั้งหลังและหน้า ไม่นานนักเสียงหวีดร้องยาวนานเพราะความซาบซ่านจึงดังขึ้น ร่างกายเล็กกระตุกเกร็งอย่างหนัก ก่อนปลดปล่อยน้ำสีขาวข้นออกเต็มอุ้งมือหนาที่ยังไม่หยุดขยับรูด โลกทั้งใบของคณิตขาวโพลนในพริบตา เขากำลังตกจากที่สูง แต่ไม่เจ็บปวด มีเพียงความสุขสม กับเนื้อตัวที่บางราวกับปุยนุ่น ลมหายโรยริน ขณะที่ก้อนหัวใจใต้แผ่นอกเต้นกระเด็นกระดอนเกือบหลุดออกมาจากเนื้อหนัง
หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะปกติเลยด้วยซ้ำ มันก็ต้องถูกใช้งานหนักอีกครา เมื่อปรือตาไปเห็นการกระทำของอชิตะ ส่วนที่อ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากปลดปล่อยหนักหน่วงออกมา พลันขยายพองจนน่าอาย เพราะภาพตรงหน้าที่ตาเห็นคือ นิ้วยาวชุ่มน้ำสีขาวข้นผลุบหายเข้าไปภายในอุ้งปากหนา มันเป็นภาพที่เซ็กซี่ เร่งเร้าความรู้สึกอย่างแปลกประหลาด ปลุกอารมณ์สงบให้พลุ่งพล่าน ทั้งที่เขาควรมองว่ามันน่ารังเกียจ ชวนขยะแขยงไม่ใช่หรือไง นอกจากไม่รังเกียจแล้ว เขายังไม่ยอมหันหนี ยามที่นิ้วแกร่งถูกดึงออกมาจากริมฝีปาก แล้วยื่นตรงมาตรงหน้า เข้ามาชิดติดริมฝีปากของเขา
ไม่มีคำพูด มีเพียงสายตาสั่งให้อ้ารับเข้าไปไว้ในโพรงปาก คำปฏิเสธคงห่างไกลเกินกว่าคณิตจะไขว่คว้าไปถึง ดวงตาเรียวเล็กปิดลง ปล่อยให้เรียวปากของตนอ้ารับนิ้วชื้นแฉะเข้ามาอย่างว่าง่าย อย่าถามหารสชาติ เพราะคณิตไม่สามารถบอกได้ รู้เพียงว่านิ้วเปียกชื้นจากน้ำลายที่ขยับเข้าออกนั้น ปลุกเร้าความปรารถนาได้ดีไม่แพ้นิ้วที่ยังคงวนเวียนเข้าออกในช่องทางลึกลับเบื้องล่าง
“พร้อมนะหนึ่ง”
พร้อมอะไร? คำถามผุดขึ้นในใจ คำตอบก็มาทันที แบบไม่ทันให้ตั้งตัว
“อึก...!” ร่างกายเล็กสะท้านเกร็ง ในจังหวะที่ความใหญ่โตร้อนจัดดังเหล็กติดไฟทำหน้าที่แทนนิ้ว แทรกตัวผ่านรอยจีบรอบสู่ภายในอันคับแคบ ปลายเล็บจมลงไปบนต้นแขนคนตัวใหญ่ ระบายความเจ็บปวดจากความตึงแน่นในช่องทางด้านหลัง
อชิตะจับยึดเอวเล็กเอาไว้ ดึงรั้งไม่ให้เรือนกายขาวห่างหนีไปตามเรี่ยวแรงบดเบียดและกระแทกรุนแรงเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน
“บะ...บอส...เจ็บ...” ความเจ็บจากแท่งร้อนคล้ายเหล็กติดไฟ นิ้วทั้งสามที่สอดแทรกกระแทกเข้าออกในนาทีก่อนหน้าเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
“ผมจะไม่ไหวแล้ว ขอนะหนึ่ง” สิ้นคำขอ ไม่รอเอาคำอนุญาต คือแรงกระแทกรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ร่างเล็กสะท้านตามแรงกระแทกขย่มนั้น 
“...อ๊า” จุก เจ็บ จนพูดไม่ออก คล้ายจะขาดใจตาย ทว่าก็ยังไม่ตาย “อึก...บอส...อ๊า...เดี๋ยวก่อนได้ไหม...ฮื้ออ...” ปลายนิ้วอ่อนแรงแตะเบาบนหน้าท้องแกร่ง ห้ามปรามแรงขยับที่โหมใส่ช่องทางคับแคบ ไม่กล้าแตะแรงนักเพราะรอยช้ำขึ้นสีน่ากลัวบนเนื้อตัวของอชิตะ ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้จากการยอมเป็นกระสอบทรายให้พี่ชายทั้งสามของเขาเหวี่ยงทั้งหมัด หน้าแข้ง ปลายเท้าเข้าใส่ไม่ยั้ง ให้สาสมกับสิ่งที่ทำกับน้องชายคนเล็กของพวกเขา 
“ฮือออ...ไม่ไหวแล้วหนึ่ง” เสียงทุ้มแหบพร่า ผสานกับเสียงหอบหายใจฟืดฟาดกัดฟันตอบไปตามแรงอารมณ์ ข่มความคับแน่นที่โอบรัดตัวตนของตัวเองแทบไม่ไหว แน่นเสียจนปวดหนึบไปทั้งกาย ถ้าหยุดขยับคงได้เจียนตายมันตรงนี้
อชิตะถอนแท่งร้อนจัดออกเกือบสุด แล้วกระแทกกลับ ถอนแล้วกระแทกกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือข้างหนึ่งรั้งเอวเล็กไม่ให้ขยับหนีไปตามแรงกระแทกหนักหน่วง อีกมือรูดดึงปลุกแก่นกายอ่อนไหวของคณิตให้พองโตขึ้นอีกหน ปลุกเร้าหวังให้ทะยานไปข้างหน้าด้วยกันอีกครั้ง
ทุกส่วนของร่างกายทำงานไปพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่นัยน์ตาคมเข้มที่กวาดต้อนเรือนกายบอบบางสีแดงก่ำมาไว้ในม่านสายตา ร่างกายน่ากลืนกินกำลังสั่นคลอนไปตามแรงกระแทกกระทั้น ชวนหลงใหลให้โหมแรงเพิ่ม เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดรุนแรงในหนแรก กลายเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวานฟังไพเราะเหมือนบทเพลงที่ชื่นชอบ
ลาวาในกายใกล้ประทุมากเท่าไร อชิตะยิ่งไม่ยั้งแรง ไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกายที่บวมช้ำขึ้นสีแดงอมเขียวอมม่วงของตน ชายหนุ่มผู้กุมเกมเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น เน้นหนักแน่นอีกห้าหกจังหวะ ก่อนวาระสุดท้ายปลายทางจะมาถึง ภูเขาไฟของเขาปลดปล่อยลาวาร้อนสีขาวข้นในช่องทางคับแน่นจนทะลัก ไหลย้อนมาโอ้อวดความบ้าคลั่งของตนเอง อีกคนหนึ่งเล่าก็ไม่ต่างกัน
“อ๊ะ! บอส! ฮื้อออ...” คนตัวเล็กร้องเสียงหลง ปลดปล่อยเป็นหนที่สอง และยังไม่ทันปรับลมหายใจให้ช้าเลยด้วยซ้ำ ร่างอ่อนปวกเปียกก็ถูกพลิกให้นอนคว่ำหน้ากับหมอน บั้นท้ายถูกยกลอยสูง ช่องทางที่เพิ่งได้รับอิสระ ปราศจากแท่งเนื้อร้อนที่รุกเร้าอารมณ์ให้แตกกระเจิง ครวญครางเสียงที่ไม่คิดว่าจะเป็นเสียงของตัวเองออกมาตลอดเวลา กลับถูกตัวตนของอชิตะแทรกเข้ามาทีเดียวมิดด้าม ซึ่งมันง่ายกว่าครั้งเมื่อครู่มาก คงเพราะมีน้ำรักเป็นตัวช่วยด้วยอีกแรง
บทเพลงรักบทเดิมขับขานด้วยท่วงทำนองใหม่ ก่อนจบลงด้วยถ้อยคำกระซิบแผ่วเบาข้างหูของคนที่ถูกทาบทับลงมาทั้งตัว
“คุณยอมผมแล้วนะ”
“.....” แล้วคณิตจะเอาอะไรไปเถียงกับเพื่อนได้อีก
“คิดถึง...อยู่ด้วยกันไปตลอดนะหนึ่ง”
หนทางข้างหน้าที่ชื่อว่า ‘อนาคต’ ต่อให้ขรุขระ เต็มไปด้วยขวากหนาม โรยด้วยเศษแก้ว หรือมีแต่คมหอกคมดาบพุ่งเข้าใส่ อชิตะก็ไม่กลัว ไม่เคยนึกกลัวเลยสักนิดเดียว
...เพราะเขากำลัง ‘รัก’
...รักแบบไม่กลัว ‘ผลลัพธ์’             

********************************************
ติดตามตอนที่ 19 วันจันทร์นะคะ
ตอนนี้ก็เลยครึ่งทางมาแล้วววววว

BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
19

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะสาย ยังไงคุณก็ต้องตอกบัตรนะ” อชิตะเอ่ยบอก เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วเห็นคณิตยังนั่งกุมมือนหย่อนเท้าลงข้างเตียง คณิตกำลังต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความต้องการของเขา พอเช้ามาก็กลับมาเป็นคณิตคนเดิม ไม่ช่างออดอ้อนเหมือนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
ไม่ใช่สิ...ต้องบอกว่าตั้งแต่บทรักยาวนานจบลงด้วยท่วงท่ามาตรฐาน น้ำรักถูกปลดปล่อยแทบจะพร้อมกัน ร่างกายที่อาบไล้ด้วยคราบเหงื่อของเขาทาบทับบนเนื้อตัวชุ่มเหงื่อของคณิต พอเจ้าตัวปรับแรงเต้นของหัวใจและลมหายใจให้เป็นปกติได้แล้ว คณิตคนเดิมก็กลับมาทันที 
‘กลับไปหาคุณหวานได้ไหม แล้วผมจะไม่หนีไปไหนอีก’
คือข้อเสนอที่เอ่ยขึ้นยามเขาดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแนบชิดด้วยความรู้สึกทั้งรักและหลง ซึ่งมันได้กระชากความรู้สึกที่อิ่มเอมในหัวอกไปจนหมดสิ้น แล้วเปลี่ยนมันเป็นเมฆหมอกสีดำทะมึนก้อนใหญ่เต็มท้องฟ้า
‘มันเป็นไปไม่ได้หนึ่ง’ เป็นไปไม่ได้จริงๆ และไม่มีวันจะเป็นไปได้
‘ถือว่าผมขอ’
‘ถ้าผมขอคุณบ้างล่ะ ขอให้เลิกขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้ คุณทำให้ผมได้ไหม’
พอได้คำตอบแบบที่ไม่อยากได้ คนตัวเล็กในอ้อมแขนก็ขืนตัวออกไปทันที แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา จากนั้นก็ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้
อชิตะเดินไปหาคนตัวเล็ก มือหนาคว้าไหล่เล็กยกดึงให้เจ้าตัวลุกขึ้นยืน โน้มใบหน้าประทับริมฝีปากบนหน้าผากเกลี้ยง มันคือคำรักที่ถ่ายถอดให้อีกฝ่ายรับรู้ เข้าใจ แล้วยอมรับมันไป
“ไปอาบน้ำ” ย้ำอีกครั้ง วันนี้เขาจะให้คณิตกลับไปทำงาน ไม่ใช่เป็นเหตุผลเรื่องงาน หากเป็นเพราะไม่อยากให้ ‘ห่างตา’ เพราะกลัวว่าจะต้องเหนื่อยตามตัวคณิตเป็นหนที่สาม
“ผมอยากให้บอสคิดใหม่ ถ้าบอสทำให้ผมได้ ผมจะไม่หนีบอสไปไหน...จริงๆ” คณิตยังไม่ละความพยายามจากเมื่อคืน เขาช้อนสายตาร้องขอขึ้นมามองหน้าอชิตะ อีกฝ่ายถอนหายใจหนักๆ ก่อนเอ่ย
“จะไปอาบน้ำ หรือจะเอาคำตอบบนเตียง คำตอบที่ยังไงมันก็เหมือนเมื่อคืน” ไม่ใช่คำขู่อย่างแน่นอน อชิตะเอาจริง คนฟังก็รู้สึกได้ ถึงหันสายตาหนี ขืนตัวออกมา แล้วเดินหนีเข้าในห้องน้ำด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด   

สำหรับการเข้างานที่สายไปเกือบห้าสิบนาที ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ทำให้คณิตผู้ซึ่งเดินตามหลังเจ้าของบริษัทเข้ามาถูกจับจ้องจากสายตาเพื่อนร่วมงานเกือบทั้งบริษัท สายตาทุกคู่มองเหมือนมีคำถามแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมา ตัวคณิตก็รู้สึกอึดอัดกับสายตาเหล่านั้น มันดูไม่ปกติ ไม่ปกติเอามากๆ
มันไม่น่าไว้ใจแล้ว คณิตบอกตัวเองในใจ
จะให้คิดว่าทุกคนมองรอยเขียวช้ำแดงบนใบหน้าเจ้าของบริษัทก็คงไม่ใช่ ถ้าใช่คงต้องมีหน่วยกล้าตายเข้ามาแสดงความห่วงใยแทนพนักงานทุกคนในบริษัทแล้วสิ
หรือว่า...เพราะการที่ครั้งนี้เขาหายไปนาน แล้วโผล่มาในวันนี้ ทุกคนคงสงสัยว่าเขาหายไปไหนมา หายไปนานก็อาจคิดว่าเขาลาออกไปแล้ว พอโผล่หน้ามาเลยพากันสงสัย แต่มันก็น่าแปลกว่าทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาทักเขา แปลกยิ่งกว่าคือทุกคนพร้อมใจกันเงียบราวกับนัดกันเอาไว้ ต่างไปจากบรรยากาศออฟฟิซในตอนเช้าแบบปกติที่คุ้นเคย 
ครั้นจะเดินแยกไปนั่งโต๊ะทำงานของตัวเองก็ถูกคว้าข้อมือไว้
“ปล่อย” คณิตสั่งเสียงเบาราวกระซิบ หวั่นเกรงสายตาเพื่อนร่วมงาน เดี๋ยวจะกลายเป็นประเด็นร้อนไปเสียเปล่าๆ แต่ก็ดังพอสำหรับเหล่าคนที่เงี่ยหูตั้งใจฟัง อย่างน้อยก็นิรดาคนหนึ่ง
“โต๊ะทำงานคุณอยู่ในห้องผม” ตอนคณิตอาบน้ำ อชิตะโทรบอกแม่บ้านให้ขอแรงพนักงานชายที่มาทำงานเช้าให้ช่วยยกโต๊ะทำงานของคณิตมาไว้ในห้องทำงานเขา ก็เพื่อให้อยู่ในสายตา และเรื่องนี้คงกลายเป็นหัวข้อสนทนายามเช้าของพนักงานในบริษัทไปแล้ว
พนักงานคนไหนอยากรู้ บอสหนุ่มก็ไม่ว่า เพราะตัวกระจายข่าวของออฟฟิซอย่างนิรดาโทรมาหาเขาตอนรถจอดติดไฟแดง อาศัยความเป็นญาติห่างๆ ที่ไม่ต้องกลัวโดนไล่ออก ถามแบบไม่เกรงใจมาว่า
‘มีแต่คนถามนุ่นเรื่องบอสกับหนึ่ง จะให้นุ่นตอบว่ายังไงคะ นี่นุ่นก็ไม่อยากโกหกด้วย นุ่นบอกความจริงเลยได้ไหมคะบอส’
นิรดาคงอยากเล่าตั้งแต่เข้ามาเห็นเขาจูบกับคณิตในครั้งนั้นแล้วล่ะ
เขาก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง อยากเปิดเผยเสียด้วยซ้ำ จะได้ไม่มีพนักงานชายคนไหนในบริษัทมาเกาะแกะคนของเขา พอได้เป็นเจ้าของแล้ว อชิตะก็รู้สึกหวงแหนและหึงหวงไปหมด รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครคิดไม่ซื่อกับคณิตหรอก แต่เขาก็ไม่ควรประมาท เผื่อว่าอาจมีใครบางคนดันคิดไม่ซื่อกับคณิตขึ้นมาก็ได้   
‘ได้...ผมไม่มีปัญหา แต่คงรู้นะนุ่นว่าควรพูดแค่ไหน’ เพราะปัญหามันอยู่ที่อีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังโวยวายเสียงเบา หน้านิ่วคิ้วขมวด แยกเขี้ยวจะงับหัวเขาอยู่ในตอนนี้
“บอสทำอย่างนี้ทำไม ย้ายโต๊ะทำงานผมทำไม กลัวคนไม่รู้หรือไงว่าเอาผมเป็นเมียแล้ว หรือกลัวผมไม่โดนด่าใช่ไหม งั้นผมลาออก” คณิตรู้แล้วว่าทำไมสายตาทุกคนถึงแปลกไป ยิ่งนิรดาที่พาตัวเองมาอยู่ในสายตานี่อีก เจ้าหล่อนยิ้มชนิดอยากผูกมิตรกับเขาเป็นอย่างมากมาให้ เห็นแล้วรำคาญลูกตา
รำคาญกว่านิรดาก็คือเจ้านายของนิรดานี่แหละ 
“ไปทำงาน”
“ไม่!”
“มันไม่ดีหรอกนะหนึ่ง ที่คุณจะยืนเถียงผมต่อหน้าทุกคน...ไม่อายหรือไง?”
อาย?
ใช่! เขาควรอาย!
สายตาของทุกคนมองมาที่เขากับอชิตะเป็นจุดเดียวกัน ชนิดที่ไม่มีใครสนใจงานบนโต๊ะเลย ทุกคนรู้เรื่องระหว่างเขากับอชิตะเป็นที่เรียบร้อย ต้องเป็นนิรดาแน่ที่เป็นตัวกระจายข่าวเสียหายของเขา คณิตนึกไปถึงตอนที่รถจอดติดไฟแดง นิรดาโทรเข้ามาหาอชิตะ เขาไม่รู้ว่านิรดาพูดหรือถามอะไรเจ้านายตัวเอง แต่ก็ได้ยินเต็มสองหูตอนที่อชิตะตอบอีกฝ่ายไปว่า
‘ได้...ผมไม่มีปัญหา แต่คงรู้นะนุ่นว่าควรพูดแค่ไหน’
มันต้องเป็นคำอนุญาตให้นิรดาเม้าธ์เรื่องเขาจนสนุกปากแน่ๆ
คณิตตวัดสายตาแค้นใจไปให้นิรดา เจ้าหล่อนกลับส่งยิ้มไม่รู้ไม่ชี้มาให้ เรื่องตีเนียนหนีความผิดเนี่ย ยกให้นิรดาเป็นที่หนึ่งในบริษัทเลยเอ้า!
แต่ตอนนี้เขาควรไปหลบอายในห้องทำงานของอชิตะก่อนดีกว่า โวยวายตรงนี้ก็ใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้แย่ลง ก่อประเด็นเม้าธ์มอยได้อีกปีกระมัง คณิตบอกตัวเองเช่นนั้น ก่อนสะบัดข้อมือออกมจากมือใหญ่ที่จับยึดไว้ในหนแรก ก้มหน้าเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของอชิตะ สถานที่นั่งทำงานแห่งใหม่ของเขา
ในใจก็ร้องโวยวายหัวเสียไปด้วย เหตุจากที่เผลอปล่อยให้อชิตะจับมือนานขนาดนั้นต่อหน้าทุกคนในบริษัท พลาดไปแล้วไอ้หนึ่ง!
ครั้นพอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าโต๊ะของตัวเองตั้งอยู่ทางซ้ายมือ หันหน้าตั้งฉากกับโต๊ะทำงานหลังใหญ่ของอชิตะ บนโต๊ะของเขาไม่มีกองงานอะไรเลย สะอาดเอี่ยม เป็นระเบียบมากกว่าที่เขาจัดเองเสียอีก จะมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่อง กล่องปากกาดินสอ อุปกรณ์ทำงานที่สำคัญๆ กับกระถางต้นเฟิร์นเงินเล็กๆ เท่านั้น งานที่รับผิดชอบของเขา คงถูกโอนไปให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นทำหมดแล้ว
คณิตกำลังจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ถูกสวมกอดจากด้านหลังซะก่อน ตามจูบหนักๆ เข้าที่ขมับ ข้างแก้ม
“ทุกคนรู้เรื่องของเราหมดแล้ว ช่วงแรกอาจต้องตอบคำถามเยอะหน่อย แต่คงไม่นานหรอก” ทุกคนต้องมีคำถามกับเรื่องที่เกิดขึ้น และคณิตจะกลายเป็นคนที่ถูกจับจ้องและมองในแง่ร้ายมากกว่าเขา ถามว่าห่วงความรู้สึกของคนตัวเล็กในอ้อมแขนนี้หรือเปล่า อชิตะตอบเลยว่าห่วง...ห่วงมาก แต่อย่างไรเสีย เรื่องระหว่างเขากับคณิต สักวันทุกคนก็ต้องรู้ ให้รู้ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากรู้วันหลังหรอก
“ทำไมต้องบอกทุกคน” คณิตถามกลับเสียงขุ่น
“ก็ไม่มีอะไรต้องปิด” คำตอบไม่ต่างจากคำพูดที่ไม่ผ่านกระบวนการคิด ทำให้คณิตหงุดหงิดใจยิ่งขึ้น
“เห็นแก่ตัวที่สุด เอาแต่ความต้องการของตัวเอง เคยสนใจความรู้สึกของใครไหม คุณหวานต้องเจ็บปวดเพราะคุณ ผมก็ต้องถูกตราหน้าว่าแย่งของคนอื่น” คณิตร่ายยาวอย่างคนโมโหจัด พลางหันกลับมาเผชิญหน้าคนก่อเรื่องวุ่นวายในชีวิตเขา
“ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วได้ในสิ่งที่ผมต้องการ ผมก็พร้อมจะเห็นแก่ตัว” อชิตะบอกอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาแข็งกร้าวเอาเรื่องของคณิต
ฟังแล้วคณิตก็ได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“คุณมัน...” ยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องก็เปิดเข้ามา   
“อุ๊ย! เอ่อ...ขอโทษค่ะ” เป็นนิรดาที่เปิดประตูเข้ามา ทำท่าตกใจเล็กน้อยแต่พองาม เนื่องจากเคยเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แถมครั้งนั้นยังล่อแหลมกว่ามาก เพราะนี่แค่กอด แต่นั่นจูบดูดดื่มเลยนะ
คณิตรีบผลักร่างหนาออกไป แล้วเดินหนีไปนั่งหลังโต๊ะทำงานทันที นึกด่าอชิตะในใจที่กอดเขาไม่เลือกสถานที่ ต่อให้เป็นห้องทำงานที่พนักงานคนอื่นไม่สามารถมองเข้ามาเห็นได้ก็ตาม แต่ถ้าคนจะซวยก็หนีไม่พ้น อย่างเช่นตอนนี้ที่นิรดาเปิดประตูเข้ามาเห็น เชื่อเถอะ พอกลับออกไป เจ้าหล่อนเอาไปโพนทะนาทั่วบริษัทแน่
“มีอะไรหรือเปล่านุ่น”
ความจริงนิรดาทำงานฝ่ายบุคคล แต่ต้องเข้ามาทำหน้าที่เลขาของอชิตะแทนอรอุมา เนื่องจากสามวันก่อนอรอุมาถูกรถชนขาหัก 
“คนของนิตยสาร ‘MI Star’ ที่นัดสัมภาษณ์บอสมาถึงแล้วค่ะ นุ่นให้รอที่ห้องรับรอง”
“บอกให้เขารอก่อน อีกห้านาทีผมออกไป”
“ค่ะ บอส” ได้คำตอบแล้ว นิรดาก็ถอยหลังออกจากห้อง ไม่วายเหลือบมองคณิตแวบหนึ่ง...เรื่องนี้ต้องขยาย
“หนึ่ง”
อชิตะเดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานเจ้าของชื่อ จ้องมองใบหน้าที่เงยขึ้นมาตามเสียงเรียก ความขุ่นเคืองใจยังอัดเต็มอยู่ในดวงตาเรียวเล็ก หากเขาก็พยายามจะปลุกปลอบให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายบรรเทาลง
“อยู่ด้วยกันนะ รับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน...ผมรู้ มันยากที่คุณจะผ่านความรู้สึกแย่ๆ นี้ไปได้ แต่ผมก็อยากให้คุณพยายาม” ...เพื่อผม เพื่อคนเห็นแก่ตัวอย่างผม
คนฟังเบือนหน้าหนี กิริยาที่บอกว่าไม่ยอมรับ แต่ในใจแล้ว กลับทอดถอนใจ ราวกับกำลังยอมรับ หรือว่าเขาจะอยู่เฉยๆ สักพัก อยู่กับเรื่องบ้าบอพวกนี้ไปก่อน อชิตะเหมือนน้ำเชี่ยวในฤดูฝนหลากที่ไม่ควรเอาเรือไปขวาง อย่าว่าแต่ขวางไม่ได้เลย เรืออย่างเขาก็ดูจะหลงใหลสายน้ำเชี่ยวไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์ไฟปรารถนาลุกไหม้เผาเตียงจนถึงครึ่งค่อนคืนหรอก ทั้งที่ตอนแรกเขาร้อนเหมือนภูเขาไฟเตรียมปล่อยลาวาสีทองเต็มที่ แต่พออชิตะมาโดนตัวนิดหน่อย จ้องด้วยสายตาอยากกลืนกินเขาไปทั้งตัว ลาวาร้อนสิ้นท่ากลายเป็นน้ำหวานให้อชิตะดื่มกินจนหมดสิ้น

“จะไปไหน บอกมาก่อน”
เปิดประตูออกมาคณิตก็เจอกับคำถามของเลขาชั่วคราวของอชิตะ นิรดาย้ายมานั่งโต๊ะทำงานของเลขาตัวจริงที่ขาหักมาทำงานไม่ได้อย่างน้อยก็สามเดือน และตอนนี้หญิงสาวกำลังรับหน้าที่ใหม่จากอชิตะ ได้รับค่าจ้างก้อนโต ซึ่งเธอก็ยินดีทำเป็นอย่างมาก
งานง่าย เงินดี มีหรือนิรดาจะไม่เอา อชิตะให้มากกว่าเงินเดือนประจำของเธอซะอีก
“เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย” คณิตย้อนถามคนที่ลุกจากโต๊ะทำงานมายืนขวางหน้าตนเอาไว้ ขวางไม่พอ ยังกางแขนกั้นอีก โชคดีของภาคีเหลือเกินที่หนีรอดจากผู้หญิงอย่างนิรดาไปได้ แต่ก็กลายเป็นโชคร้ายของผู้ชายอีกคนแทน นั่นก็คือแฟนใหม่ของนิรดา ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็พนักงานหนุ่มหล่อในบริษัทนี่แหละ
“เกี่ยวสิคะคุณหนึ่ง เกี่ยวมากด้วย เพราะบอสให้ฉันตามดูแลนาย นายไปไหน ฉันต้องรู้ ฉันต้องเห็น และฉันต้องตามไปด้วยทุกที่” นิรดาลอยหน้าตอบ นี่แหละคือหน้าที่ใหม่ของเธอ งานง่าย ได้เงินดี แถมยังได้แกล้งคู่อริเก่าด้วย
“มันจะมากไปแล้วนะ” คณิตหมายถึงคนที่ออกคำสั่งบ้าๆ นี่ เห็นเขาเป็นอะไร นักโทษหรือไง เอาเถอะ อยากสั่งอะไรก็สั่งไป ใครจะสน อย่างนิรดาจะทำอะไรเขาได้
“มากน้อยก็ไม่รู้แหละ แต่นายต้องบอกฉันมาว่าจะไปไหน” 
“ไปขี้ จะตามมาไหม” คณิตบอกอย่างรำคาญใจ ถึงจะพอเข้าใจว่านิรดาทำตามคำสั่งก็เถอะ อารมณ์มันพาลไปแล้วไง 
“ยี้! ไปเลยไป๊” นิรดาทำหน้ารับไม่ได้ ก่อนโบกมือไล่คู่แค้นของเธอ แต่ก็ยังยืนคุมเชิง ยืนมองตามหลังคณิตว่าเดินไปห้องน้ำจริงไหม เห็นว่าเดินไปทางห้องครัวก็พอใจ ไม่หนีออกนอกบริษัทก็เป็นใช้ได้
คณิตไม่ได้คิดจะหนีไปไหน เขาแค่อยากออกมาชงกาแฟดื่มให้หายเครียดต่างหาก งานชิ้นใหม่ที่อชิตะยื่นให้ก่อนออกจากห้อง มันง่ายซะที่ไหน เพราะได้โจทย์ในการออกแบบว่าต้องเป็นบ้านสำหรับพักอาศัยควบคู่กับการเนรมิตให้เป็นเป็นแกลเลอรีส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ลูกค้ารายนี้เป็นนักธุรกิจต่างชาติที่หลงใหลในงานศิลปะและสะสมงานศิลปะมาหลายสิบปี มีทั้งงานจิตรกรรม ภาพพิมพ์ และประติมากรรม พอจะสร้างบ้านหลังใหม่จึงอยากให้ของรักของสะสมอยู่ในทุกส่วนของบ้าน เดินไปทางไหนภายในบ้านก็ได้เจอแต่งานศิลปะสวยงาม   
เจองานหินแล้วปวดหัว ออกมาก็เจอคำสั่งบ้าๆ อีก ปวดหัวเข้าไปใหญ่ ยังไงก็ต้อง ‘อดทน’ แต่ไม่มีทางซะหรอกที่เขาจะ ‘พยายาม’ อย่างที่อชิตะต้องการ คนอะไรเห็นแก่ตัวที่สุด ไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา ทั้งที่เขาคิดว่ามันดีต่อทั้งสามฝ่ายที่สุดแล้ว
เขาไม่ได้อยากอยู่กันแบบสามคนชูชื่นหรอกนะ มันเป็นแค่ข้อเสนอที่สักวันจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ อย่างเช่น ให้มีงานแต่งงานระหว่างอชิตะกับณัชชาขึ้นมาก่อน จากนั้นเขาก็จะค่อยๆ ดึงตัวเองออกมา ซึ่งไม่รู้ด้วยวิธีไหน แต่มันก็ต้องมีสักวิธีแหละน่า เขาว่านะ เขาน่าจะคิดออกได้ในตอนนั้น ทว่าอชิตะไม่ยอมรับข้อเสนอนะสิ!
 
คณิตกำลังจะกดน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟ คำถามของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“หายไปนาน กลับมาทำเอาช็อกทั้งบริษัทเลยนะไอ้น้องหนึ่ง” คนนี้เป็นรุ่นพี่ที่คณิตเคารพมากที่สุดในบริษัท มากกว่าเจ้าของบริษัทซะอีก ด้วยอายุที่มากกว่าถึงหนึ่งรอบเชียวนะ ชื่อเกียรติศักดิ์ มีภรรยาสวย ลูกสาวก็น่ารัก ที่คณิตมักล้ออยู่บ่อยๆ ว่าโชคดีที่ลูกสาวได้แม่มาทั้งหมด ไม่อย่างนั้นโตมาคงได้เป็นสาวหนวดดกแน่ เพราะเกียรติศักดิ์เป็นผู้ชายที่อุดมด้วยขนเส้นหนามาก หนวดเคราเนี่ยถ้าไม่ได้โกนสักวันสองวันก็เหมือนไปอยู่ป่ามาสองสามเดือน
“ช็อกอะไรกันพี่ ผมก็แค่ลาพักร้อน” คณิตแกล้งย้อนถาม เฉไฉเหมือนไม่รู้เรื่องเม้าธ์ของคนในบริษัท
“เรื่องแกกับบอสไง เอาซะอึ้งกันทั้งบริษัท”
“เอาอะไรมาพูด มันไม่มีอะไร” บอกปัดๆ ไป แต่คนมากวัยกว่าไม่ได้เชื่อตาม ก็มันน่าเชื่อที่ไหนเล่า หลักฐานเต็มสองตาของเกียรติศักด์ ย้ายโต๊ะทำงานเอย จับมือกันเอย ทะเลาะกันเอย หายตัวไปเฉยๆ แต่ไม่ถูกไล่ออก กลับมาทำงานได้แบบชิลๆ นี่ไม่รวมเรื่องเม้าธ์จากนิรดาที่ว่าเห็นทั้งคู่กอดจูบกันด้วยนะ 
“โกหกโทษถึงตายนะเว้ย” คนเป็นพี่ที่นับถือชี้หน้า ยัดคำถามยากจะตอบไปให้อีกว่า “ไปทำอีท่าไหนถึงตกล่องปล่องชิ้นกับบอสได้วะ” ก็เกียรติศักดิ์สงสัยและอยากรู้มาก ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมงานทั้งบริษัท ตอนหนุ่มรุ่นน้องอย่างภาคีก็ว่าเซอร์ไพรส์แล้ว ครั้งนี้จัดว่าเซอร์ไพรส์กว่ามาก 
แต่คนที่ไม่เซอร์ไพรส์เท่าไรก็ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนาแบบได้จังหวะมาก อันที่จริงก็รอจังหวะมานานแล้วต่างหาก
“ก็พี่มีตาแต่ไร้แววไง ผมนี่ เห็นมานานแล้ว ไม่อยากจะคุย” คนมาใหม่ทำโอ่ กอดอกอย่างภาคภูมิใจในความฉลาดเฉลียวของตัวเอง
ภัทรพลเป็นคนช่างสังเกตกว่าคนปกติทั่วไป อะไรที่คนอื่นไม่เห็น เจ้าตัวมักเห็น เพียงแต่ไม่พูด วันนี้มีโอกาสเลยพูดมันซะเลย
“คุยมาเถอะ กูอยากรู้” คนอายุมากตบไหล่คนฉลาด อย่าว่าแต่เกียรติศักดิ์อยากรู้เลย คณิตก็อยากรู้
“ก็ไอ้หนึ่งของเราอยู่ที่ไหน บอสก็อยู่ที่นั่น มองหาแต่ไอ้หนึ่ง ตัวก็ติดกันยังกะคู่ขา...เออๆ ใช้คำผิดไปนิ้ดดด...ตัวติดกันยังกะผัวเฝ้าเมีย” ถึงจะแก้คำพูดใหม่ แต่ไอ้ที่แก้ใหม่ก็ไม่ได้รื่นหูคณิตเลย เดือดร้อนให้ต้องถลึงคู่เล็กใส่ภัทรพล ให้เจ้าตัวเอาคำหยาบคายบาดหูใส่ปากกลับไปซะ ผิดกับอีกคนหนึ่งที่ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ร้องขอคำยืนยันแทบจะทันที
“จริงหรือวะ”
“ไม่จริงเลยพี่...มึงก็พูดเกินไป บอสก็สนิทกับทุกคนแหละ กูคนเดียวที่ไหนเล่า” คณิตเอ่ยแก้ คนรู้มากก็ยังแฉยังไม่เลิก 
“มันก็จริงที่ว่าบอสสนิทกับทุกคน แต่สนิทที่สุดคือมึงเว้ยไอ้หนึ่ง คิดดูตั้งแต่มึงทำงานที่นี่มา มีวันไหนบ้างที่บอสไม่ไปขอเชยชมหน้าตี๋ๆ ของมึงที่โต๊ะทำงาน ไปไหนมาก็มีของฝากมาให้มึง ประเคนถึงโต๊ะเลยด้วยซ้ำ พวกกูถึงพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย”   
นี่ก็พูดเกินไป แต่ก็น่าคิดนะ ไม่ว่าจะไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แม้แต่ออกไปคุยกับลูกค้านอกบริษัท พอกลับเข้ามา อชิตะมักจะมาพร้อมถุงขนม ถุงของฝาก และทุกถุงจะกองบนโต๊ะเขาเสมอ
ทุกวันไหม?
ก็ไม่ทุกวันนะ
เรียกว่า...ทุกครั้งมากกว่า
“ก็แค่สนิทกันไหมเล่า” คณิตเริ่มคิดตามแต่ปากยังเอ่ยปฏิเสธ
“สนิทมากครับมึง สนิทแบบที่ไปไหนก็กระเตงเอามึงไปด้วยทุกงาน ดูอย่างพาไปเลี้ยงเหล้าก็ได้ จองพื้นที่ข้างตัวมึงตลอด พอเมาก็หามแต่มึงกลับบ้าน ส่วนพวกกู เมายิ่งกว่าหมายังต้องคลานไปขึ้นแท็กซี่เองเลย นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่มึงมาสายเกือบทุกวัน บอสก็ยังไม่เคยเรียกตัวไปด่า สปอยมึงซะ เป็นกูนะ กูไล่มึงออกตั้งแต่เดือนแรกที่มึงล่อมาสายครึ่งเดือนแล้วว่ะไอ้หนึ่ง”
จะพูดให้คิดตามทำไม
อืม...มันก็น่าคิดอีกแล้ว
เอ้ย! ต้องไม่คิดสิวะไอ้หนึ่ง
คณิตสั่งตัวเองไม่ให้คล้อยตามคำพูดของภัทรพล
“อ้อ...มีอีกอย่างนะ”
ห๊ะ! อะไรอีก อะไรที่เขาไม่รู้ ไม่สังเกตเห็น
“กูมั่นใจว่าบอสเล็งมึงไว้นานแล้ว”
“จริง? มั่นใจเบอร์ไหนวะ” เกียรติศักดิ์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย 
“เบอร์ล้านพี่ ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เลย พี่ปูมากระซิบบอกเองนะพี่” ภัทรพลหันไปตอบคนถาม
‘พี่ปู’ คือฝ่ายบุคคล เป็นลูกพี่ลูกน้องของภัทรพล
“ตอนที่มึงมาสมัครงาน บอสก็รับมึงทันที ทั้งที่มึงยังไม่ได้ทำแบบทดสอบเลยนะเว้ย”
“เหอะ! กูก็ทำแบบทดสอบเว้ย ไอ้ตินก็มาพร้อมกู บอสอาจจะถูกชะตากับไอ้ตินก็ได้ กูเป็นเพื่อนมัน บอสเลยรับพร้อมกันทั้งสองคน” เทียบกันแล้ว ระหว่างภาคีกับเขา ระดับความเก่ง เขาเป็นรองเพื่อนมาก คิดเอาเถอะเกียรตินิยมกับเกือบไม่จบน่ะนะ
“แต่พี่ปูบอกกูว่า ตอนนั้นบริษัทเปิดรับตำแหน่งเดียว แล้วคนที่บอสเลือกคือมึง แต่เห็นว่ามึงกับไอ้ตินเป็นเพื่อนกัน เลยรับทั้งสองคน เห็นปะ บอสเลี้ยงต้อยมึงตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่มึงไม่รู้ตัวไง”
“พี่ปูมั่วหรือเปล่า” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ใจคณิตชักจะเขวไปกับคำอ้างอิงบุคคลที่น่าเชื่อถือและเป็นเหมือนพี่ใหญ่ในบริษัท ระดับพี่ปูพูดเอง ความน่าเชื่อถือแทบจะเต็มร้อย แล้วเขาก็จำได้ว่า เมื่อครั้งที่มาสมัครงานที่นี่ ก็รู้มาก่อนว่าบริษัทเปิดรับแค่ตำแหน่งเดียว เขาคงสู้เพื่อนรักไม่ได้ แต่ที่มาเพราะคิดว่ามาเอาประสบการณ์เรื่องการสมัครงานเฉยๆ ไม่คิดว่าจะได้งานด้วยซ้ำ
“ไม่เชื่อพี่ปู แล้วมึงจะเชื่อใครได้ นี่พี่ปูนะเว้ย เจ้าแม่ความจริง ไม่มีมั่วเหมือนยายนุ่นแน่นอน”   
“นั่นสิวะ นึกๆ ดูก็น่าจะจริงนะ แสดงว่าบอสหวังผล แล้วก็ได้ผลสมใจ รวบหัวรวบหางเอาเป็นเมียจนได้” เกียรติศักดิ์ที่เงียบฟังอยู่นานเอ่ยสรุป
“โวะ! ไม่ใช่แล้วพี่” คณิตยังไม่ยอมแพ้ เรื่องอะไรจะยอมรับ ยังไงก็ขอแก้ตัวไว้ก่อน “ผมกับบอสไม่ได้มีอะไรกัน” ถึงมีและหลายครั้งแล้วก็เถอะ ให้ยืดอกยอมรับแบบแมนๆ ไม่มีเสียหรอก
“ไม่ต้องแก้ตัว ของมันเห็นอยู่ หลักฐานคาตา ไม่โดนรวบหัวรวบหางกลายเป็นเมียบอส แล้วบอสจะให้แบกโต๊ะทำงานมึงไปไว้ในห้องทำไม แต่กูก็สงสัยนะ ทำไมบอสต้องให้มึงไปทำงานในห้องเดียวกันด้วยวะ หรือไม่อยากให้มึงห่างตา เด็ดละซี่” คำพูดของภัทรพลติดจะหยอกเย้าในประโยคสุดท้าย
“ไปกันใหญ่แล้ว แยกย้ายๆ ทำงานๆ พูดอะไรไร้สาระ ไม่เข้าท่า” คณิตรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ยิ่งคุยยิ่งต้อนให้ตัวเองจนมุม 
“ยังแยกไม่ได้ครับไอ้หนึ่ง มึงต้องยอมรับกับกูมาก่อน มึงกับบอสแฮป ‘ปี้’ กันแล้วใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ” คนพูดย้ำซะคนฟังหลุดด่าเสียงดัง
“ไอ้ห่าภัทร! ปากมึงนี่จัญไรมาก” ไม่ให้ด่าได้ไง ก็มันเน้นคำว่า ‘ปี้’ ซะขนาดนั้น
“นี่มึงอายคำว่าแฮป ‘ปี้’ ของกูหรือวะ หน้าแดงโคตรๆ” คนพูดไม่พูดเปล่า ยังเอามือไปจิ้มแก้มขึ้นสีแดงอย่างสนุกมือ “มึงรู้ตัวไหมหนึ่ง มึงแม่ง...น่ารักขึ้นว่ะ รู้งี้กูชิงตัดหน้าบอสซะก็ดี”
หือ? คืออะไร?
อย่าบอกนะว่า...
คณิตมองหน้าคนพูดอย่างอึ้งๆ
ภัทรพล...ผู้ชายมีกล้าม สูงยาวเข่าดี หน้าตาจัดว่าดีมาก สาวติดเยอะมาก เพราะเห็นมันเอารูปมาอวดบ่อยๆ ควงมาอวดก็ไม่เคยซ้ำหน้า มีครั้งหนึ่งที่ผู้หญิงมาตบกันหน้าบริษัทแย่งภัทรพลกันอย่างเมามัน สุดท้ายก็ถูกทิ้งทั้งคู่ แบบนี้แล้วมันไม่น่าจะเข้าข่ายชอบผู้ชายเลยนี่หว่า
“มึงก็เอาด้วยอีกคน เป็นเทรนด์หรือไงวะ” ชายมาดแมนเกินร้อยด้วยพุงพลุ้ยถามแบบปลงๆ อกเป็นไม้กระดาน แท่งหฤหรรษ์ก็มีเหมือนกัน มันน่าพิศวาสตรงไหน เกียรติศักดิ์ผู้มีภรรยาสวยระดับดาวคณะบริหารสงสัยเสียจริง!
“ประสบการณ์ชีวิตน่าพี่ ขำๆ ไง ชายเหนือชายเป็นยอดชาย” ภัทรพลยอมรับอย่างมาดแมนเต็มภาคภูมิในความเป็นชายเหนือชายของตน “แต่ถ้าผมเจออย่างไอ้หนึ่งนะ ผมคงเอาจริงว่ะพี่ รักฟันหวังแต่งแน่นอน เอ...หรือว่าจะตีท้ายครัวบอสดี ว่าไงครับไอ้หนึ่ง อย่างกูพอจะได้แฮป ‘ปี้’ กับมึงไหม” ภัทรพลพูดไปขำไป ไม่ได้จริงจังนัก แค่หยอกเย้าตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทกัน
“ไอ้จัญไรภัทร! ก่อนมึงจะได้แฮป ‘ปี้’ กู กูจะ ‘บี้’ มึงลง ‘หลุม’ เจ๊หน่องก่อนเถอะ” ภัทรพลจัญไรมา คณิตก็จัญไรกลับ ใครจะยอมให้มันล้อฝ่ายเดียวเล่า เจ๊หน่องที่อ้างถึงคือกระเทยไซส์หมี หัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัทที่หวังเตาะภัทรพลมาหลายปี
“พี่ภัทรนั้นไซร้อยากลง ‘หลุม’ น้องหนึ่งมากกว่านะครับ ว่าไงครับน้องหนึ่งคนดี มาแฮป ‘ปี้’ กับพี่ภัทรกันนะครับ รับรองว่าฟ้าไม่เหลือง พี่ไม่ยอมหยุดแน่ ฮ่าๆๆ” พูดอย่างเดียวคงไม่สนุก ภัทรพลถึงได้ดึงแก้มคณิตไปด้วย โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะซวยหนัก

V
V
ต่อด้านล่างค่ะ 


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“คงไม่ได้หรอกมั้ง” เสียงเข้มจัดดังมาจากด้านหลัง ภัทรพลชักมือกลับแทบไม่ทัน หันไปก็เจอหน้าขึงเข้มของคนเป็นนาย แววตาที่มองเขาก็ไม่ต่างจากน้ำเสียงเลยสักนิด 
“แหะๆ บอส ได้ยินตั้งแต่ตรงไหนครับ ผมจะได้แก้ตัวถูก” ภัทรพลยิ้มจืดเจื่อน บ่นกับตัวเองในใจว่าซวยแล้ว เล่นจนได้เรื่อง 
“ตั้งแต่ ‘ขำ ๆ’ ” อชิตะตอบด้วยน้ำเสียงระดับเดิม “แต่ผมไม่ขำด้วยนะภัทร”
“ผมขอแก้ตัวสักนิดนะครับบอส ที่บอสได้ยิน ผมแกล้งแหย่หนึ่งเฉยๆ ครับ สาบานได้เลยว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับหนึ่งจริงๆ” ภัทรพลทำใจกล้าพูดแก้ตัว ก็หน้าตึงๆ ของเจ้านาย มันน่ากลัวนี่หว่า แต่ก่อนแต่ไรเคยเป็นซะที่ไหน
“เรื่องถึงเนื้อถึงตัว ผมก็ขอด้วยนะ อย่าให้มีอีก ผมไม่ชอบ”     
“ครับบอส” ภัทรพลรีบรับคำเสียงดัง แสดงให้เห็นว่าน้อมรับทุกคำสั่งของเจ้านาย “ต่อไปจะไม่มีอีกแล้วครับ งั้นผมกลับไปทำงานก่อนนะครับบอส” ว่าแล้วก็ส่งซิกให้เกียรติศักดิ์เดินออกมาด้วยกัน เดินพ้นออกมาได้ก็เหมือนหลุดจากเครื่องประหารหัว โดนคนอายุมากโบกท้ายทอยอีกสองทีซ้อน ข้อหาเกือบพาซวย   
“คุณก็ด้วยนะ” อชิตะบอกคนที่พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็หันหน้าไปกดน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟทันที
กึก!
คณิตวางถ้วยกาแฟบนเคาน์เตอร์จนเกิดเสียงดัง บอกอารมณ์ไม่พอใจคำสั่งของอชิตะ อันที่จริงคือไม่พอใจตั้งแต่อชิตะโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับคำพูดบอกเป็นนัยๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าตัวแล้ว ถึงจะห้ามความคิดของทุกคนในบริษัทไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ควรป่าวประกาศไหมล่ะ
แล้วที่เขาพยายามแก้ตัวไปทั้งหมดเมื่อกี้ สูญเปล่าเลยสิ หงุดหงิดชะมัด ไม่กงไม่กินกาแฟมันแล้ว เสียอารมณ์
“ลืมกาแฟหรือเปล่า?” ถามหลังจากคว้าแขนเล็กไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผ่านหน้าออกจากห้องครัวไป โดยไม่หยิบเอาถ้วยกาแฟไปด้วย
คนตัวเล็กหันกลับมามองตาเขียว ตอบเสียงห้วน
“ไม่กินแล้ว หมดอารมณ์!”
“โกรธเหรอที่ผมห้าม?” อชิตะถามทั้งที่รู้คำตอบดี แต่ที่ไม่รู้และต้องถามออกมาอีกครั้งก็คือ “ชอบที่ภัทรทำหรือไง? หรือว่าชอบภัทร?” เพราะความสนิทสนมที่เห็นเมื่อครู่ ทำให้อชิตะนึกกลัว
“.....” คณิตเงียบ ไม่อยากตอบคำถามชวนหาเรื่อง พูดมาได้ไงว่าเขาชอบภัทรพล เขาไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย คำตอบของคณิตเลยมีแค่ลูกตาที่ร้อนเป็นลูกไฟขนาดย่อม 
“อ้าว...อุ๊ย...เอ่อ...” บุคคลที่สามซึ่งโผล่เข้ามาอุทานเสียงเบา แบบที่บีบเสียงให้เล็กมาก ต่างจากร่างใหญ่อวบด้วยไขมันในชุดรัดติ้วสีสันสดใส “หน่องขออภัยที่รบกวนเวลาสวีตค้า...บอส เชิญบอสตามสบาย เดี๋ยวหน่องจะกระซิบน้องๆ ไม่ให้เข้ามารบกวนนะคะ” ว่าแล้วก็รีบถอยหลังกลับ ถือถ้วยกาที่ตั้งใจจะเอามาล้างกลับไปด้วย...มีเรื่องเม้าธ์อีกแล้ว
เมื่อมีคนมาเห็น แถมเป็นโทรโข่งหมายเลขสองบดเบียดกับหมายเลขหนึ่งอย่างนิรดาอีกด้วย คณิตยิ่งโมโหคนตรงหน้ามากขึ้นอีกร้อยเท่า
“คุณนี่มันทำลายผมทุกทางจริงๆ” ชื่อเสียงของเขาป่นปี้ พอๆ กับร่างกายกับหัวใจไปแล้ว

คณิตเดินกระแทกเท้าออกมาจากห้องครัวด้วยอารมณ์หลากหลาย อย่างแรกคือโกรธมากถึงมากที่สุด อย่างที่สองคือโมโหจนอยากยกกระติกน้ำร้อนฟาดหัวเจ้าของบริษัท อย่างที่สามคือหงุดหงิดจนอยากทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างที่สี่คืออับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีไปนอกโลก และอย่างที่ห้าคือเรื่องที่ภัทรพลพูดจนเขาเขว 
มันจริงอย่างที่ภัทรพลว่าหรือเปล่า เรื่องที่อชิตะให้ความสนิทสนมเขามากเป็นพิเศษ...มากกว่าคนอื่น ซึ่งเขาก็รู้ว่ามันจริง เขาเป็นลูกน้องที่อชิตะสนิทมากกว่าใครถ้าไม่นับรวมภาคีนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าความสนิทสนมของอีกฝ่าย ‘แฝง’ ไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
‘...บอสเลี้ยงต้อยมึงตั้งแต่วันแรกแล้ว’
เป็นไปได้เหรอ?
ภัทรพลอาจจะจับต้นชนปลายมั่วซั่วก็ได้ รวมถึงพี่ปูฝ่ายบุคคลด้วย แต่เท่าที่รู้จักพี่ปูมาหลายปี เธอเป็นคนที่ถ้าเรื่องไหนไม่ใช่ความจริงจะไม่พูด หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง...
ไม่เอาๆ ไอ้หนึ่ง อย่าไปคิด หยุดคิดซะ คิดไปก็เปลี่ยนปัจจุบันไม่ได้เว้ย
เฮ้อ...แต่ทำไมพี่ปูไม่บอกเขาตั้งแต่แรกนะ จะได้ไหวตัวทัน
แต่ถ้าจริง เขาก็ไม่ใช่ฝ่าย ‘เริ่ม’ น่ะสิ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง อชิตะก็คิดไม่ซื่อกับเขามานานแล้ว คำถามของเขาวันนั้นที่นำมาซึ่งจูบแรกและสร้างปัญหายาวมาจนถึงวันนี้ ก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้น เขาแค่หลงกลหรือไม่ก็ตกหลุมพรางเท่านั้นเอง
เขาไม่ผิด! ไม่ผิด!
รู้สึกดีชะมัด แต่ดีใจไม่ถึงสองวิ ความดีใจก็บินหนีไปเร็วกว่าจรวดซะอีก ขาที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดกึก ปลายเท้าถูกตอกตึงด้วยตะปูที่มองไม่เห็น น้ำลายเหนียวขึ้นมาฉับพลัน เมื่อพบว่าใครที่ผลักประตูบริษัทเข้ามา เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังเป็นจังหวะตรงมาที่เขา
หญิงวัยห้าสิบหกในชุดสีครีมเหลือบทองแบบเรียบหรูทำให้ทั่วบริเวณเกิดความเงียบสงัด...ชวนขนหัวลุก เธอมาพร้อมกับความเกรี้ยวกราดฉุนเฉียว
“สวัสดีค่ะคุณเอมอร เชิญที่ห้องรับรองก่อนนะคะ” เลขาจำเป็นของอชิตะปราดเข้าไปทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย หวังคลี่คลายสถานการณ์ ไม่ให้มีการปะทะกันรุนแรงเกิดขึ้น เพราะคำสั่งของเจ้านายที่จ้างให้เธอ ‘ดูแล’ นั้น ต้องครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจของคณิตด้วย
นิรดารู้ว่าคุณเอมอรมาบริษัทลูกชายทำไม ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโผล่มา
“ฉันไม่ได้มานั่งเล่น!”
แค่สายตาที่ตวัดมาทีเดียวก็ทำเอานิรดากระเด็นไปหลายสิบโยชน์ ถึงจะเป็นญาติกัน แต่ก็นั่นแหละ ห่างซะจนนับญาติกันไม่ถึง ฐานะก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
“เงินสิบล้านที่ขู่เอาไปจากฉัน มันหมดแล้วหรือไง ถึงซมซานกลับมาหาลูกชายฉันอีก คราวนี้ต้องการเท่าไรล่ะ ยี่สิบล้านพอไหม” ไม่มีสักครั้งที่คุณเอมอรจะลดตัวมาจัดการ ‘ตัวปัญหา’ ในชีวิตลูกชายด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะตัวปัญหาไม่ใช่ผู้หญิงเหมือนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น แต่ดันเป็นผู้ชาย!
แล้วลูกชายเธอก็หลงแบบไม่ลืมหูลืมตา
“หรือว่าอยากได้มากกว่ายี่สิบล้าน เรียกมาสิ เรียกเหมือนที่เธอเรียกร้องวันนั้น...เธอบอกว่าไงนะ ได้สิบล้านแล้วจะออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน จะไม่กลับมาอีก ถ้ากลับมาให้ฉันแจ้งความจับเธอข้อหากรรโชกทรัพย์ได้เลย แล้วไง ก็ยังหน้าด้านกลับมาอีกจนได้ คำพูดพวกวิปริตผิดเพศ มันเชื่อไม่ได้จริงๆ”
คณิตแว่วได้ยินเสียงอุทานของผู้ร่วมเหตุการณ์ดังระงม ตัวเขาก็จนด้วยคำโต้ตอบหรือคำแก้ตัวใดๆ ในเมื่อเขาเรียกเงินจากคุณเอมอรจริง
“คุณแม่ครับ” อชิตะที่ก้าวขึ้นมายืนข้างคณิตพูดแทรก สุ้มเสียงแข็งแบบที่ไม่ยินยอมให้คณิตถูกกล่าวหาหรือเอาผิดอะไรทั้งนั้น พร้อมเอ่ยปกป้อง “เงินที่หนึ่งเอาไป ผมก็ใช้คืนให้คุณแม่หมดแล้ว คุณแม่ไม่ควรเข้ามาวุ่นวายกับคนรักของผมอีก”
คณิตหันไปมองหน้าลูกชายคุณเอมอร มันก็ไม่ต่างกับว่าเงินสิบล้านที่เขานำไปบริจาคให้มูลนิธิต่างๆ เป็นเงินของอชิตะน่ะสิ เขารู้สึกแย่ยังไงบอกไม่ถูก แต่คงไม่แย่เท่าคุณเอมอรที่จ้องหน้าลูกชายเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือลูกของตัวเอง
“แกหลงมันมากจนตาบอดไปแล้วรู้ไหม มันไม่ได้รักแก มันแค่อยากได้เงินล้านไปถลุงเล่น ทำไมลูกชายฉันถึงได้โง่ขนาดนี้นะ” คุณเอมอรทั้งโกรธและผิดหวังในตัวลูกชาย
“ผมว่าคุณแม่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมไม่อยากอายลูกน้อง” ความจริงคืออชิตะกลัวว่าคณิตจะอายเพื่อนร่วมงานมากกว่า
“นี่แกไล่ฉัน! แกเห็นมันดีกว่าฉันงั้นเหรอ” คุณเอมอรขึ้นเสียงสูง
“แล้วแต่คุณแม่จะเข้าใจเถอะครับ”
“ตาอิง!” คุณเอมอรโกรธจนตัวสั่น ตวัดสายตากลับมายังผู้ชายตัวเล็กที่เธอนึกรังเกียจ มันทำให้ลูกชายเธอวิปริตผิดเพศ “อยากได้เท่าไร บอกฉันมา ฉันยินดีจ่ายเท่าที่เธอต้องการ แล้วก็ออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน ไปแล้วไปลับ อย่ากลับมาอีก...ร้อยล้านพอไหม” คุณเอมอรเอ่ยอย่างคนที่ใช้เงินฟาดทุกอย่างให้ได้ดังใจ เธอเสนอเงินจำนวนมากที่คิดว่าคนฟังต้องอยากได้จนตัวสั่น...เงินแค่ร้อยล้านไม่ได้มากอะไรเลย เมื่อเทียบกับเงินที่เธอมีอยู่ในบัญชีธนาคารและในทรัพย์สินอื่นๆ
เสียงซุบซิบดังกว่าเดิม ‘ร้อยล้าน’ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคณิต ยกเว้นเจ้าตัวที่ถูกเสนอเงินร้อยล้านให้ ไม่ได้อยากได้สักนิด ทว่าปากกลับตอบกลับไปว่า
“ผมตกลง ได้เงินแล้วผมจะไม่กลับมาอีก”
อชิตะหันมามองหน้าคณิต อีกฝ่ายหันมาสบตาด้วยเช่นกัน สายตาที่เห็นคล้ายกับจะบอกว่า ‘นี่แหละที่ผมต้องการ’ แต่อชิตะรู้ดีว่าการตอบลงรับข้อเสนอก็แค่ข้ออ้างใช้เป็นเส้นทางออกไปจากชีวิตเขา 
“หึ...ได้ยินชัดหรือยัง มันก็แค่ต้องการเงิน แกฉลาดได้แล้วอิง ตาสว่างสักที” คุณเอมอรหันไปพูดกับลูกชาย ก่อนจะหันไปสั่งเลขาคู่กายที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเธอ “สมุดเช็คกับปากกา” รวดเร็วทันใจ ของที่ต้องการยื่นมาให้ถึงมือ แค่กรอกตัวเลขลงไปเท่านั้น เพราะลายเซ็นได้เขียนไว้พร้อมแล้ว
จังหวะที่กระดาษแผ่นเล็กมูลค่าร้อยล้านจะถึงมือคณิต อชิตะก็ดึงมาจากมือมารดาเสียก่อน 
“นุ่น ผมขอสมุดเช็ค” หันไปบอกเลขาจำเป็น นิรดารับคำด้วยความรวดเร็ว หญิงสาววิ่งเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย และกลับออกมาพร้อมสมุดเช็ค
“คิดจะทำอะไร?” คุณเอมอรมองหน้าลูกชายนิ่ง เห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ลูกชายคุณเอมอรวางสมุดเช็คลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด ก้มกรอกตัวเลข ตวัดลายเซ็น เสร็จแล้วก็ยื่นให้มารดา พร้อมกับคืนเช็คร้อยล้านบาทไปด้วย
“ผมให้คุณแม่สองร้อยล้าน แล้วเลิกยุ่งกับผมและ ‘เมีย’ ซะที”
ลูกชายย้ำคำที่ทำเอาคนเป็นแม่อยากจะกรีดร้องด้วยความโกรธที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ หากทำได้แค่กำหมัดแน่นระงับอารมณ์ก่อนจะเสียภาพพจน์ที่น่าเกรงขามไปเสีย
“แกจะให้ฉันยอมรับผู้ชายเป็นลูกสะใภ้นี่นะ ฉันไม่มีวันยอมเด็ดขาด” ใครมันจะยอม รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น   
“นั่นเป็นสิ่งที่ผมบังคับคุณแม่ไม่ได้ แต่ผมขอร้องคุณแม่ เลิกยุ่งกับครอบครัวผมได้แล้ว”
คนเป็นแม่สะอึกอีกครั้ง นี่ลูกชายคนเล็กกู่ไม่กลับแล้วหรือไร ครั้นพอหันไปมองคนที่ลูกชายเธอกางปีกปกป้อง มันก็ทำหน้าโกรธจัดตั้งแต่ได้ยินลูกชายเธอเรียกว่า ‘เมีย’ แล้ว
คุณเอมอรฝืนข่มความโกรธลงอก ลากเสียงถามลูกชายคนเล็กไปอย่างเชือดเฉือนว่า
“ครอบครัวของแกคนเดียวหรือเปล่า ถามมันดูสิ ว่ามันอยากเป็นเมียแกไหม ดูหน้ามันว่าตอนนี้มันรู้สึกยังไงกับแก รักแกเหรอ? หึ... ถ้ามันรักแก มันคงไม่ไปหาฉัน ขอให้ฉันช่วยเอาแกออกไปจากชีวิตมันหรอกนะอิง” หวังว่าลูกชายเธอจะคิดได้บ้าง แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นตัวเองที่สะอึกซ้ำซาก
“ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ ในเมื่อผมก็เอาหนึ่งกลับเข้ามาในชีวิตผมได้แล้ว หนึ่งจะเต็มใจหรือไม่ ยังไงเขาก็เป็นเมียผม เมียที่ผมนอนกอดอยู่ทุกคืน” อชิตะจ้องตาคนเป็นแม่ ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย “คุณแม่กลับไปเถอะครับ ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจ”
“นี่แกจะทำเพื่อแม่สักครั้งไม่ได้หรือหะอิง” คุณเอมอรสุดจะทนแล้ว งัดไม้ไหนมาพูด มาขู่ ลูกชายก็ไม่เปลี่ยนใจ จนต้องลองใช้ไม้สุดท้าย “ถ้าเลือกไอ้วิปริตนี่ ก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่!” คุณเอมอรวัดใจลูกชาย
พูดจบ ที่ว่าเงียบแล้ว ยิ่งเงียบยิ่งกว่า เสียงโทรศัพท์สักเครื่องดังขึ้นก็คงเหมือนเสียงระเบิด
“ตอบฉันมาอิง แกจะเลือกแม่หรือมัน”
อชิตะไม่ได้ตอบในทัน แม้คำตอบจะมีก่อนที่คำถามจะจบด้วยซ้ำ ชายหนุ่มหมายคว้ามือเล็กมากุม หากเจ้าของมันกลับขยับหนี มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...ตอนนี้ เวลานี้ มีเขาที่สู้อยู่คนเดียว อุปสรรคความรักที่แท้จริง ไม่ใช่มารดาที่ไม่ยอมรับการตัดสินใจของเขา แต่เป็นคนปากแข็งที่ปฏิเสธทุกความรู้สึกของเขามากกว่า
“ต่อให้ผมไม่เรียกคุณแม่ว่าแม่ แต่คุณแม่ก็ยังเป็นแม่ของผม” ไม่ใช่คำตอบที่ตรงคำถาม ทว่ามันก็เป็นคำตอบที่บอกให้มารดาและรวมถึงทุกคนรู้ว่าเขาเลือก...ใคร
“แกหลงมันมากกว่าที่ฉันคิดนะอิง ก็ดี...เชิญแกใช้ชีวิตวิปริตขอแกกับมันให้มีความสุขละกัน” คุณเอมอรเชิดหน้าบอกลูกชายหัวดื้อ 
‘เพี๊ยะ!’
อย่างที่ไม่มีใครจะคิดทัน ฝ่ามือของคุณเอมอรก็ตวัดลงไปบนใบหน้าของคณิตเต็มแรง ซีกหน้าขาวสะบัดไปตามแรงมือ
ต่อให้รู้ว่าลูกชายเป็นฝ่ายดื้อดึง ทั้งที่คนที่เธอตบหน้าและเรียกว่า ‘มัน’ ทุกคำ จะแสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้อยากยืนข้างลูกชายเธอเลยก็ตาม แต่ยังไงซะ คุณเอมอรก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของคณิต ผิดที่เป็นผู้ชาย...ผิดที่ลูกเธอหลงจนไม่ลืมหูลืมตา
“แต่แกก็อย่าลืมว่าคุณย่าของแกเป็นโรคหัวใจ และคงไม่อยากรู้ว่าหลานชายมีเมียเป็นผู้ชาย หึ...เคยบอกคุณย่าไม่ใช่หรือ ว่าจะมีหลานให้อุ้ม”
นี่คือจุดอ่อนที่สุดของลูกชายคนเล็ก เพราะเป็นหลานรักที่สุด อชิตะจึงรักย่ามากที่สุด เธอจะลามือก็ได้ แล้วให้ทุกอย่างเป็นหน้าของแม่สามีแทน

**********************************************
จบตอนที่ 19 ค่ะ
ตามต่อตอนที่ 20 วันพฤหัสฯ นะคะ
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
20

เวลาปาเข้าไปใกล้ตีสองแล้ว แต่คนตัวเล็กที่มาอาศัยนอนบนเตียงในห้องของบ้านเพื่อนรักยังคงบังคับเปลือกตาให้ปิดสนิทไม่ได้ คณิตนอนพลิกตัวไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ หยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่แต่เป็นเครื่องสำรองของอชิตะที่ให้ใช้แทนของเก่าที่โดนปาทิ้งขึ้นมาดูไม่ต่ำกว่ายี่สิบรอบ นับตั้งแต่ได้รับข้อความสั้นๆ ตอนสี่โมงเย็น
‘เดี๋ยวผมไปรับ’
เฮอะ!
‘เดี๋ยว’ นี่คือเมื่อไรล่ะ
จากสี่โมงจนถึงตีสอง สำหรับคณิตแล้ว ‘มันไม่เดี๋ยว’ แล้วนะ
หลังจากถูกตบจนหน้าหันอย่างไม่ทันตั้งตัวต่อหน้าทุกคนในบริษัท เรื่องที่โดนด่าว่าวิปริตผิดเพศ ขู่เอาเงิน แล้วยังเรื่องที่อชิตะประกาศว่าเขาเป็น ‘เมีย’ อย่างเต็มปากเต็มคำอีกเล่า เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะนั่งทำงานท่ามกลางสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมของทุกคนได้
หลายคนเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา บางคนก็มองมาด้วยสายตาเห็นใจปนสงสาร อีกจำนวนหนึ่งก็เหมือนจะเชื่อไปแล้วว่าเขาเห็นแก่เงิน แต่ที่ทุกคนรู้เหมือนๆ กันคือเขาโดนตบ โดนด่าว่าวิปริต แย่งว่าที่เจ้าบ่าวของณัชชา และเป็นเมียของอชิตะ แก้ตัวกี่พันรอบก็แก้ไขความจริงที่ทุกคนได้ยินไม่ได้แล้ว
อชิตะพาเขามาที่ร้านกาแฟชื่อ ‘เชิญครับ’ เป็นร้านของคุณน้ำฟ้า (ผู้ชายที่กำลังจะเป็นแฟนคุณหมอ) แถมยังนั่งอวดน้ำตาให้เจ้าของร้านกาแฟดูอีกด้วย ทำไงได้ตอนนั้นอารมณ์มันสุดจะทนจริงๆ โดนตบหน้าเจ็บก็จริง แต่ไม่ถึงกับต้องร้องไห้หลั่งน้ำตาอะไร เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่ที่ทำให้มีน้ำตาคือคำพูดของคนที่ตอบคำถามหมอพิษณุมากกว่า
‘แล้วจะทำยังไงต่อไป’ หมอพิษณุถาม
‘ไม่รู้ว่ะ เหนื่อย คิดอะไรไม่ออก’
ไม่รู้...เหนื่อย...คิดอะไรไม่ออก...อย่างนั้นเหรอ แล้วใครมันพูดว่าเลือกเขาต่อหน้าคุณเอมอร ต่อหน้าคนทั้งบริษัทล่ะ
ไม่สินะ...อชิตะไม่ได้พูดออกมาจากปากว่าเลือกเขา หลังจากถูกมารดาบังคับให้เลือก แต่คำพูดที่ตอบคุณเอมอรออกไป ก็บอกชัดเจนไม่ใช่หรือไงว่า...เลือกเขา!
เมื่อเลือกเขาแล้วก็ต้องรู้สิว่าต้องทำยังไงต่อไป ไม่ใช่ตอบว่า ‘ไม่รู้’ ถ้าไม่รู้จริงๆ ทำไมไม่ปล่อยเขาไปให้ซะสิ้นเรื่องสิ้นราวล่ะ
แล้วไอ้ที่ว่า ‘เหนื่อย’ ควรเป็นเขามากกว่าไหม
เหนื่อย...ที่ต้องพยายามโทษตัวเอง โทษว่าตัวเองเป็นคนผิด เพื่อกลบเกลื่อนบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวหนักหน่วงอยู่ในอกด้านซ้าย
เหนื่อย...ที่ต้องวิ่งหนี แต่ก็อยากให้อีกคนวิ่งตาม ไม่อยากหันกลับไปมองแล้วพบว่า ถูกทิ้งให้วิ่งอยู่คนเดียว โดดเดี่ยวบนเส้นทางที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง
เหนื่อย...ที่ต้องทำใจให้แกร่งเป็นภูผา ทั้งที่ความจริงหัวใจเขาเข้มแข็งได้ไม่เท่าเม็ดทรายด้วยซ้ำ
เหนื่อย...จนอยากจะยอมแพ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องดิ้นรนหนีไปไหนทั้งนั้น 
คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดไม่ให้ความคิดมันไปไกลกว่านี้ ลองพยายามปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ข่มความรู้สึกให้หลับใหล
ลูกแกะตัวที่ 1...2...3...4...5........86...87...88........109...110...111...
ให้ตายเถอะ! เมื่อไรจะหลับสักทีวะ คณิตโวยวายในใจ อยากลุกจากเตียงไปปลุกเพื่อนให้ตื่นมาเป็นเพื่อนคุย เขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปกับความคิดสารพัดอย่างที่วิ่งวนเวียนอยู่ในหัว หากก็เกรงใจ ตีสองแล้ว เพื่อนรักของเขาคงนอนกอดเมียหลับสบายไปแล้ว 
แอ๊ด...
เสียงประตูเปิดเข้ามาและปิดในเวลาไล่เลี่ยกัน คณิตไม่ได้หันกลับไปมองว่าเป็นใคร ความเงียบและฝีเท้าที่ก้าวตรงมาก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นใคร...ใครที่เพิ่งโผล่มาตอนนี้
มาได้ซะทีนะ!
แต่มาพร้อมกลิ่นเหล้าคลุ้ง และมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวมาด้วย คณิตไม่ชินเท่าไรกับกลิ่นบุหรี่ที่ติดมากับอชิตะ เขารู้ว่าอชิตะสูบบุหรี่ แต่ไม่ติด และไม่สูบบ่อย แม้แต่ตอนเที่ยวสังสรรค์ในยามราตรี อชิตะก็ไม่เคยควักบุหรี่ขึ้นมาสูบให้เห็น ยกเว้นเวลาที่มีเรื่องเครียดมากๆ ซึ่งก็น้อยมากจริงๆ ที่เจ้าตัวจะมีเรื่องให้เครียด
อชิตะเครียดเรื่องเขาหรือเปล่าถึงต้องพึ่งบุหรี่ ก็คงใช่ มีเรื่องเขาเรื่องเดียวแหละที่สร้างปัญหาให้เจ้าตัว
“เหม็น” คณิตเอ่ยขึ้น หลังจากถูกซ้อนกอดจากด้านหลัง แผ่นหลังเล็กแนบสนิทกับแผ่นอกแกร่ง ศีรษะหนุนบนท่อนแขนแข็งแรงแทนหมอนใบเดิม กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ที่ปะปนมากับลมหายใจเป็นเหมือนเสียงกระซิบบอกเล่าถึงความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่อชิตะมี
“เครียดนิดหน่อย ทนหน่อยนะ” บอกพลางจูบซับบนเรือนผมนุ่ม บุหรี่ที่นานครั้งอชิตะจะสูบสักมวนหนึ่ง ต่อให้เครียดขนาดไหนก็ไม่เกินสองมวน แต่วันนี้กลับสูบไม่น้อยกว่าครึ่งซอง คุณย่าที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่อยู่ให้เขาคุยด้วยไม่กี่คำก็หนีเข้าห้อง เขาก็ยังไม่มีโอกาสพูดเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ หรือเพราะเขายังไม่กล้าพอก็ไม่รู้
“.....”
“พูดว่าอะไรนะ?” อชิตะชะโงกหน้าขึ้นถาม เขาได้ยินไม่ชัดว่าคณิตพูดอะไร เพราะเจ้าตัวงึมงำอยู่แค่ในลำคอ
“บอสไปไหนมา” ครั้งนี้พูดดังขึ้น
“ไปดื่มมานิดหน่อย”
“กับคุณหมอเหรอ” พอแยกกันก็เห็นอชิตะเดินข้ามถนนไปยังคลินิกสัตว์ของคุณหมอพิษณุ ส่วนตัวเขากลับมาพร้อมภาคีกับสีฟ้า
“เปล่า ไปคนเดียว”
“ที่ร้านเดิม?” ใบหน้าสวยจัดของหญิงสาวเจ้าของผับแวบเข้ามาในหัวทันที ตามมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดค่อนไปทางไม่พอใจคำตอบที่ได้...ไปคนเดียวก็เข้าทางผู้หญิงคนนั้นเลยสินะ   
“อืม” อชิตะตอบรับในลำคอ
“แล้ว...” ตั้งใจจะถาม แล้วก็เปลี่ยนใจ 
“แล้ว...” อชิตะทวนคำที่อีกฝ่ายพูดทิ้งไว้แค่คำเดียวแล้วเงียบไป หรือว่า... “ถ้าจะถามถึงคุณพลอย ก็เหมือนเดิม เข้ามาชวนคุยแล้วก็อาสานั่งเป็นเพื่อน คงเห็นว่าผมมาคนเดียว กลัวเหงา”
คณิตไม่มีทางเห็นหรอกว่าคนที่นอนกอดตนจากข้างหลัง กำลังมีรอยยิ้มแต้มริมปากหนา
คุณพลอยคือหญิงสาวเจ้าของผับที่อชิตะชอบไปนั่งดื่มเป็นประจำ คณิตก็ไปด้วยแทบทุกครั้ง และลูกน้องหนุ่มตัวเล็กก็บอกเขาหลายครั้งว่าไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ เนื่องจากเธอแสดงออกชัดเจนว่าชอบเขา
“ก็เลยอยู่จนร้านปิดเลยสิท่า” คณิตไม่รู้ตัวหรอกว่าปลายเสียงของตนสะบัดขนาดไหน รู้แต่ว่าความหงุดหงิดมันเพิ่มขึ้นอีกเท่า พอได้ยินเสียงหัวเราะพออกพอใจของอชิตะ เจ้าตัวก็หันไปแหวใส่ทันที “หัวเราะอะไรบอส!”
“คุณพลอยคุยสนุก” อชิตะตอบกลั้วรอยขำ รู้สึกผ่อนคลายอย่างไรบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกหน่วงหนักอยู่ในอกแท้ๆ
“ตอบไม่ตรงคำถาม” คราวนี้คณิตหันมาทั้งตัว ขยับตัวออกห่าง ทิ้งช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น หึ...อย่าหวังจะได้กอดเลย
“คำถามไหนล่ะ” คนตัวใหญ่กว่านอนสบตากับคนตัวเล็กผ่านความมืดสลัวภายในห้อง “คำถามแรกหรือคำถามที่สอง” หัวใจของเขากำลังอิ่มเอมด้วยความสุข เพราะสัมผัสได้ถึงความหึงหวงของคณิตเป็นครั้งแรก
“.....” ไม่ตอบ ริมฝีปากเล็กปิดสนิทและติดจะยื่นนิดหน่อยด้วย   
“นอนเถอะ ดึกแล้ว” อชิตะแกล้งเปลี่ยนเรื่อง ขยับตัวหมายจะคว้าคนตัวคณิตเข้ามากอดเหมือนเดิม แต่ก็ถูกมือเล็กตีปัดไม่ให้แตะต้องตัว
“ผมยังไม่ได้คำตอบ!” คณิตกระแทกเสียงใส่
“อยากรู้ไปทำไม” อชิตะได้ทีแกล้งต่อ อยากเห็นคณิตแสดงความหึงหวง
“บอสก็แค่ตอบ มันยากหรือไง”
“หึง?” 
“เปล่า!” หึงซะที่ไหนเล่า แค่หงุดหงิด หงุดหงิดเหมือนทุกครั้งที่เห็นหญิงสาวเจ้าของผับเดินโปรยยิ้มเข้ามาชวนอชิตะคุย
“หงุดหงิดที่ผมคุยกับคุณพลอย”
“เปล่า” ยอมรับว่าหงุดหงิดจริง แต่ใครจะตอบออกไปเล่า ก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าเขาไม่ชอบคุณพลอยอะไรนั่น บอกไปหลายครั้งแล้วด้วย
“ผมก็คุยด้วยเท่าที่หนึ่งเคยเห็น ไม่ต้องคิดมาก” อชิตะลากเสียงบอกอย่างนุ่มนวลเอาใจ และพร้อมจะตามใจเสมอในทุกอย่างที่คณิตต้องการ เอาตามความจริง เขาไม่ชอบเท่าไรกับการที่มีผู้หญิงมานั่งเอาใจ คอยรินเหล้าและชวนคุยเสียงหวาน มันทำให้เขาไม่สนุก รสชาติแอลกอฮอล์พานไม่อร่อยไปด้วย เขาชอบนั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนหรือลูกน้องคนสนิทมากกว่า
“ใครเขาคิดมากเล่า ผมก็แค่ไม่ชอบผู้หญิงแบบคุณพลอย” คณิตเถียงกลับเสียงแข็ง
“ทำไมไม่ชอบล่ะหนึ่ง คุณพลอยออกจะสวยน่ารัก นิสัยก็ดี” ถามแล้วยิ้ม รู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่คณิตไม่ชอบหญิงสาวเจ้าของผับคืออะไร คณิตเคยบอกว่า...เพราะเธอชอบเขา กลัวเขาตกหลุมเสน่ห์ที่เธอขุดดักไว้ด้วยความเซ็กซี่ยั่วยวน อันมีจุดเด่นเป็นหน้าอกอวบอิ่มในชุดรัดรูปอวดสัดส่วนของผู้หญิง
หญิงสาวเจ้าของผับคือนิยามของคำว่าหน้าเป๊ะ หุ่นเลิศ เซ็กซี่แบบเป็นธรรมชาติ ซึ่งผู้ชายคนไหนก็มองจนคอเคล็ด แต่ไม่ใช่เขา
“ผู้หญิงนิสัยดีที่ไหนอยากจะแย่งแฟนคนอื่น” คณิตบอกอย่างฉุนจัด แต่ต้องสะอึกกับคำพูดของตัวเอง เขาก็ไม่ได้ต่างจากคุณพลอยเลย ที่เป็นอยู่ตอนนี้ แม้ไม่ได้ ‘แย่ง’ ก็เหมือนแย่งเอามาแล้ว แถมแย่งสำเร็จอีกด้วย
...แย่งแบบไม่รู้ตัว 
คณิตพลิกตัวกลับ หันหลังซ่อนความสับสนและรู้สึกผิดไว้ไม่ให้อชิตะเห็น 
“ผมชอบนะที่เราคุยกันได้เกือบเหมือนเดิมแล้ว” เสียงกระซิบจากด้านหลังดังขึ้น พร้อมกับมือที่สอดเข้ามาโอบกอดทั้งตัว ฝังตัวคณิตไว้ในอ้อมแขน แรงกดหนักที่กลางกระหม่อมจากริมฝีปากอุ่นร้อนไม่ได้ทำให้อะไรในหัวใจคณิตบรรเทาลงเลย
“ถ้าบอสอยากให้เราสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิม” คณิตกลั้นใจพูด สะกดน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวไปกับความรู้สึกภายในอก “บอสก็แค่ปล่อยผมไป เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายใคร จะไม่มีใครต้องเสียใจและเจ็บปวดเพราะเราสองคน”
“.....” ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธจากอชิตะ มีเพียงแรงกอดกระชับที่เพิ่มขึ้น ริมฝีปากที่กดแช่ทิ้งไว้บนกลุ่มผมเส้นเล็ก
“แค่...ปล่อยผมไป” ริมฝีปากเล็กสั่นระริก บางสิ่งบางอย่างวิ่งมาจุกที่ลำคอ พยายามกลืนมันกลับลงไป ก่อนจะหลุดออกมาเป็นเสียงสะอื้นเบา “อึก...ปะ...ปล่อยผมไปนะบอส อย่าพยายามทำในสิ่งที่ผลลัพธ์ที่ได้ มันได้ไม่คุ้มเสียเลย”
เสียผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งไป ผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง น่ารัก แสนดี... มันไม่คุ้มเลยจริงๆ กับการที่ได้มาซึ่งผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง     
“ให้ผมได้พยายามเถอะหนึ่ง” สุ้มเสียงนุ่มนวลดังหนักแน่น “ต่อให้ได้ไม่คุ้มเสีย ผมก็พร้อมจะเสีย ขอแค่ให้ผมได้มีคุณ ได้กอดคุณแบบนี้ทุกคืน จะให้เสียอะไรอีกมากเท่าไร ผมก็ยอม เพื่อคุณคนเดียว...หนึ่ง” อชิตะจับคางเล็กให้หันใบหน้ามาสบตากันผ่านความมืดสลัว ก่อนประทับริมฝีปากหนาของตนบนกลีบปากบาง บดเบียดและสอดลิ้นแทรกเข้าไปในโพรงปากหวานอย่างนุ่มนวล เพื่อชิมรสชาติที่แสนลุ่มหลง ตักตวงเพื่อเสริมกำลังใจ จูบที่ไม่ได้รับการปฏิเสธ ย่อมนำมาซึ่งความหวังที่เพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่อชิตะรู้ในยามที่จูบรสหวานสิ้นสุดลง และใบหน้าของคนตัวเล็กซุกซบซ่อนแววตาสั่นระริกไว้กับอกของเขา คือเขาต้องรอเวลาให้คณิตยอมรับหัวใจตัวเอง เลิกกลัวที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่กับเขา ที่ไม่ใช่ลูกน้องกับเจ้านาย ทว่าเป็น ‘คนรัก’ กัน 
“พยายามไปด้วยกันนะหนึ่ง” มือของเขาลูบแผ่นหลังเล็กปลอบโยน คนในอ้อมกอดไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงสะอื้นเบาบางแทนความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน
“หนึ่ง...”
“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องปลอบผม...อึก...ผมขออยู่เงียบๆ” คณิตปล่อยให้น้ำตาไหล เพื่อต่อสู้กับอะไรหลายอย่างที่ตีร้องขู่คำรามอยู่ในหัวอกของตน
“ผมรักคุณนะ”
...ไม่ต้องบอก เขาไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจดจำ ไม่อยากให้ตัวเองหลงใหลได้ปลื้มไปกับมัน 

V
V
V
ต่อด้านล่างค่ะ   


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่อิง หนึ่ง” เปิดประตูห้องออกมา คณิตกับอชิตะก็เจอเข้ากับคำทักทายยามเช้าจากใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของสีฟ้า “ผมมาตามไปกินมื้อเช้าครับ”
ทั้งสองเดินตามเจ้าของบ้านไปยังโต๊ะอาหาร มีอาหารหลายอย่างตั้งวางรอท่าก่อนอยู่แล้ว ภาคียืนรินน้ำเปล่าใส่แก้วอยู่ข้างโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นแขกของบ้านเดินตามคนรักของตัวเองเข้ามา ก็หยิบจานขึ้นมาจัดแจงตักข้าวสวยร้อนๆ ให้กับทุกคน ส่วนสีฟ้าก็เดินเข้าไปในครัว ก่อนกลับออกมาพร้อมจานแอปเปิ้ลหั่นชิ้นและส้มเขียวหวาน
“มีอะไร?”
คณิตนั่งลง ส่งเสียงห้วนถามหาเรื่อง เมื่อคนเป็นเพื่อนมองหน้าแล้วอมยิ้มล้อเขา ปากภาคีไม่ได้พูด แต่สายตานี่คือเอ่ยแซวสภาพหน้าตาของเขาไปหลายประโยคแล้ว
หน้าตาของเขาเป็นอย่างไรน่ะเหรอ ภาคีถึงได้ยิ้มล้อ ก็หน้าตาของคนที่ผ่านการร้องไห้มาทั้งคืนไงเล่า ส่องกระจกดูก็ยังตกใจกับขอบตาบวมเป่งของตัวเองเลย
เมื่อคืนเขาหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย รู้แต่ว่าหลับไปทั้งน้ำตาและอ้อมกอดของคนร่วมเตียง
“ร้องไห้เก่งขึ้นนะ เหมือนใครก็ไม่รู้” ประโยคแรกภาคีพูดกับคณิต ประโยคหลังหันไปยิ้มล้อคนรักที่นั่งข้างๆ และกำลังตักผัดผักรวมมิตรใส่จานให้เขา
คนโดนล้อแยกเขี้ยวใส่พอให้น่ารัก ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะอะไรที่เป็นเรื่องจริง สีฟ้าก็ไม่อยากเถียง เถียงยังไงก็แพ้
“เรื่องของกู” คณิตมองเหวี่ยง แจกค้อนวงใหญ่ให้เพื่อนรัก แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะเถียงเอาชนะแบบที่ชอบทำ ดึงสายตากลับมาสนใจจานข้าวของตัวเองที่มีพะแนงหมูมาอยู่ในจานตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
...ก็เป็นคนข้างๆ ที่ตักใส่จานให้
...ก็อย่าหวังว่าเขาจะตอบแทนด้วยการตักอาหารให้เหมือนที่อีกคู่หนึ่งทำหรอก ไม่จำเป็นต้องทำสักนิด  เพราะมันจะดูหวานกันเกินไปแล้ว
อาหารที่วางเต็มโต๊ะ ทำให้หนุ่มเจ้าคำถามนึกสงสัยขึ้นมา 
“มึงว่างมากจนมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวเยอะแยะขนาดนี้เลยหรือไง แบบนี้มึงต้องตื่นตีอะไรเนี่ย” เพราะบนโต๊ะมีอาหารถึงห้าเมนู ประกอบไปด้วยผัดผักรวมมิตร ผัดพริกขิงไก่กรอบ พะแนงหมู หมึกผัดไข่เค็ม และเมนูสุดท้ายต้มกะทิสายบัวที่มีปลาทูสดตัวใหญ่อวดความอร่อยของอาหารถ้วยนี้
คณิตกินอาหารฝีมือของเพื่อนรักมาก็บ่อย เพื่อนทำอาหารอร่อย เคยแนะนำเล่นๆ ว่าให้มันลาออกจากงาน แล้วไปเปิดร้านอาหารซะเลย แต่วันนี้รสชาติพะแนงหมูที่ตักใส่ปาก อร่อยก็จริง แถมอร่อยมากด้วย แต่ไม่ใช่รสชาติที่คุ้นเคย เหมือนไม่ใช่รสชาติที่ปรุงจากมือของเพื่อนรัก แบบว่าพะแนงหมูจานนี้ อร่อยไปคนละแบบกับพะแนงที่ภาคีเคยทำให้เขากิน
หมึกผัดไข่เค็มวางลงมาบนจานข้าวของคณิต...จากคนเดิม
“เช้านี้ตินไม่ได้เข้าครัวหรอกหนึ่ง อาหารพวกนี้มาจากบ้านใหญ่” คนตอบคือสีฟ้า
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญของวัน ครอบครัวใหญ่ของสีฟ้าจึงจัดเต็มเสมอ ไม่มีเสียหรอกที่จะทำอาหารเพียงแค่อย่างหรือสองอย่าง อย่างข้าวต้มก็นานครั้งมากจึงจะมีวางบนโต๊ะอาหารมื้อเช้า
“เมื่อคืนตินกลับดึกมาก เมามาด้วยเลยตื่นสาย” คำบอกที่ติดจะบ่นคนรักหน่อยๆ ขณะที่มือก็ตักผัดพริกขิงไก่กรอบใส่จานให้อย่างเอาอกเอาใจ แววตาของสีฟ้าที่มองภาคี ไม่ว่าครั้งไหนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
คำตอบของสีฟ้าทำเอาคณิตคิ้วขมวดขึ้นมาทันที เมื่อคืนตอนคณิตเข้านอน เห็นว่าเพื่อนยังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน เครียดขนาดนั้นยังมีอารมณ์ออกไปดื่มเหล้าอีก ดื่มจนเมาด้วย แต่อีกประเด็นหนึ่งเล่าที่น่าน้อยใจ...ทำไมภาคีไม่ชวนเขาไปด้วย
“ไม่ชวนกูเลยนะมึง” คณิตทำปากยื่น เคืองเพื่อนพอสมควรที่ไม่ยอมชวนเขาไปด้วย ทั้งที่เขาก็นอนอยู่ในห้องติดกันแค่เนี้ย
“ถึงชวน มึงก็คงไม่ไป” ภาคีตอบเพื่อน
“ชวนกูก็ไปเถอะ” งานไหนมีเหล้า มีของมึนเมา มีหรือคณิตจะไม่ไป ยิ่งเป็นของฟรี จะไปแต่หัววันด้วยซ้ำ “แล้วมึงไปกับใคร” ...เพื่อนคนไหน เขาจะได้โทรไปด่ามันสักหน่อย โทษความผิดคือไม่โทรมาชวนเขาด้วย
“ไปกับบอส”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ คณิตหันไปมองตาขวางเอากับคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ สลับกับตักกับข้าวใส่จานให้เขาเรื่อยๆ จนจะเต็มจานอยู่แล้ว
ไหนว่าเมื่อคืนไปคนเดียว!
ถ้ารู้ว่าไม่ได้ไปคนเดียว มีภาคีไปด้วย เขาคงไม่หงุดหงิดถึงเบอร์นั้น หงุดหงิดที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘หึงหวง’ ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเลยด้วยซ้ำ
“ตอนแรกไปคนเดียว” อชิตะหันมาตอบ ข่มรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้เผยออกมา ขืนยิ้มแรง มีหวังโดนเหวี่ยงเพิ่มอีกแน่ เมื่อคืนเขาโทรมาชวนภาคีไปดื่มเป็นเพื่อน แล้วมารับอดีตลูกน้องที่หน้าประตูรั้ว ให้ภาคีเดินออกมาหาเอง เพราะไม่อยากให้คณิตรู้
‘แถเถอะ’
คณิตขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงใส่คนที่เมื่อคืนโกหกเขาได้แนบเนียนมาก เขาหมดอารมณ์กินข้าวทันที รู้สึกว่าเมื่อคืนตนพลาดอย่างแรง
 “อิ่มแล้วเหรอหนึ่ง” สีฟ้าถาม เมื่อคณิตรวบช้อนกับส้อมเข้าหากัน ยกน้ำขึ้นดื่มไปครึ่งแก้ว ในจานยังเหลือกับข้าวเต็มจาน 
“ครับ” คณิตพยักหน้าตอบสีฟ้า ความจริงยังไม่อิ่มหรอก กินไปสามคำเอง แต่จำเป็นต้องอิ่มเพราะหมดอารมณ์กิน
“งอนบอสหรือไงที่ไม่ชวนมึงไปด้วย” ภาคีถามเพื่อน เห็นหน้าคณิตก็เดาอารมณ์ออก 
“ตรงไหนที่กูงอน แล้วกูจะงอนหาพระแสงอะไร” คณิตตอบอย่างหงุดหงิด เขาเปล่างอน แค่โมโหที่เมื่อคืนถูกหลอก...หลอกให้แสดงความหึงหวงไปขนาดนั้น
อายชะมัด!
“มึงงอนได้ทุกเรื่องแหละ” ภาคีว่าขำๆ เห็นเพื่อนตัวเองเริ่มมีมุมที่เหมือนสีฟ้าไปทุกที...ขี้งอน ขี้น้อยใจ ร้องไห้เก่ง ชอบประชด ปากไม่ตรงกับใจ “บอสก็อย่าตามใจมันมาก ยิ่งถูกตามใจ มันยิ่งเอาแต่ใจครับ” เจ้าของบ้านหันไปพูดกับอดีตนายจ้าง ที่ตอบรับคำพูดของตนมาแค่รอยยิ้มตรงมุมปาก แต่นั่นก็พอรู้ว่าเป็นความพึงพอใจ
“ห่าติน!” มือเร็วเท่ากับใจที่โมโหคำพูดของเพื่อน คณิตหยิบแอปเปิ้ลในจานที่วางใกล้มือปาใส่เพื่อน โดยที่ภาคีหลบไม่ทัน โดนหน้าผากอย่างจัง ก่อนแอปเปิ้ลชิ้นนั้นจะตกลงข้างถ้วยต้มกะทิสายบัว
“พูดความจริงก็โกรธหรือวะ” ภาคียังไม่เลิกยั่วอารมณ์เพื่อน สีฟ้าขยับปากจะปรามคนรัก หากก็เปลี่ยนใจ คิดว่านั่งกินข้าวเงียบๆ แล้วฟังดีกว่า
อารมณ์ของคณิตไม่ได้แค่โกรธอย่างเดียว มันมีอารมณ์น้อยใจเพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อนรักที่ควรจะอยู่ข้างเขา กลับไปอยู่ข้างคนอื่น แทนที่จะปกป้องเขา ก็กลับยัดเยียดใส่มืออชิตะเสียอย่างนั้น
“เออ! กูโกรธ โกรธที่มึงพูดเรื่องไร้สาระ กูไม่ชอบ”...ไม่ชอบที่มึงเห็นดีเห็นงามให้กูลงเอ่ยกับบอส มึงชอบหรือไงวะไอ้ตินที่เพื่อนแย่งผู้ชายของคนอื่นมาน่ะ
 “ก็ได้ ถ้ามึงอยากให้กูพูดเรื่องมีสาระ” ภาคีเปลี่ยนน้ำเสียงกลับมาจริงจัง “มึงเพลาๆ เรื่องเล่นตัวลงบ้างนะหนึ่ง เห็นแล้วกูเหนื่อยแทนบอส” 
“มึงไม่อยากเห็นบอสที่รักของมึงเหนื่อย มึงก็บอกเขาให้หยุดสิวะ ไม่ใช่มาบอกกู” คณิตประชดด้วยความน้อยใจ ทำเหมือนอชิตะไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะด้วย
“อย่ามาประชดกู” ภาคีดุเสียงเข้ม คณิตเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด ขณะเดียวกันก็เหมือนน้องที่เขาต้องดูแลและสั่งสอนในบางเรื่อง อย่างเช่นเรื่องนี้ “มึงจะดื้ออะไรนักหนา มึงกับบอสก็มาถึงขั้นนี้แล้ว กูก็ไม่อยากเห็นบอสเหนื่อยที่ต้องวิ่งไล่ตามมึงตลอดชีวิต แล้วกูก็ไม่อยากเห็นมึงเอาแต่วิ่งหนีความจริงเหมือนคนบ้าที่วิ่งหนีเงาตัวเอง”
กูไม่ได้บ้า บอสมึงนั่นแหละบ้า...คณิตได้แต่นึกเถียงเพื่อนเสียงดังอยู่ในใจ แล้วก็ไม่อยากมองสายตากดดันให้ยอมรับความจริงของเพื่อนด้วย
“กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วนี่” ยังไงก็จะประชด ในเมื่อกดดันกันนัก คณิตก็จะต่อต้านให้ถึงที่สุด เอาสิ...ใครจะชนะ
‘เงา’ หรือ ‘เขา’
“กูเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ว่าอย่าประชด” คนพูดตาขวาง วางช้อนส้อมลง ภาคีตั้งท่าเอาจริงเหมือนพ่อกำลังกำราบลูกชายตัวร้าย
“ก็กูอยากประชด เหมือนที่มึงอยากเข้าข้างบอสของมึงไง เชิญมึงอยู่ข้างบอสของมึงให้พอใจไปเลยนะ ไม่ต้องมาสนใจเพื่อนอย่างกูหรอก” ถึงจะหัวเดียวกระเทียมลีบ เพื่อนรักตีจาก อย่างไรซะ คนอย่างคณิตก็ไม่จนตรอกให้ใครมาต้อนเข้ากรงหรอก ปากมีไว้ทำไมล่ะ เถียงไปสิ ประชดไปสิ “แล้วกูก็ไม่ได้มีมึงเป็นเพื่อนคนเดียวสักหน่อย ชิตก็มี มันหวังดีกับกูมากกว่าเพื่อนอย่างมึงซะอีก” แล้วก็สะใจที่เห็นหน้าเพื่อนรักกระตุก ชื่อของชิตตะวันยังกระตุกต่อมอารมณ์ของภาคีได้ตลอดสิน่า
“หวังดีกับผีสิ มันหวังเอามึงทำเมีย รู้ไว้ซะบ้าง ถ้าไม่มีกูคอยกันมันออกจากมึง มึงไม่มีโอกาสมานั่งลอยหน้าลอยตาชื่นชมมันอย่างนี้หรอกไอ้หนึ่ง” ภาคีร่ายยาวอย่างมีอารมณ์ ก่อนมือของคนรักจะแตะที่หน้าขาเป็นเชิงเตือน ภาคีถึงได้พยายามข่มอารมณ์ลง
“แล้วกูที่นั่งอยู่ตรงหน้ามึงตอนนี้ล่ะ เป็นยังไง หึ...มึงบอกกูสิ ว่ากูเป็นยังไง มีความสุขดีงั้นเหรอ ชีวิตกูสนุกสนานนักสินะ” คณิตยกยิ้มเยาะ เยาะทั้งตัวเอง เยาะทั้งเพื่อน “มึงพอใจใช่ไหมที่กูเป็นแบบนี้ ชอบที่กูต้องทุกข์ทรมานใจใช่ไหม อยากให้กูเป็นคนเลว เป็นคนที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งถูกทิ้งหรือไง มึงชอบใช่ไหม ตอบกูมาสิ ตอบกูมา!” คณิตระเบิดคำพูดอัดแน่นในอกออกมา ดวงตาเล็กร้อนจัด ขึ้นสีแดงก่ำ น้ำตาหยดหนึ่งหล่นกระทบผิวแก้ม ก่อนสายน้ำตาพรั่งพรูไหลพราก ทว่าก็ยังจ้องเอาคำตอบจากเพื่อนรักตาไม่กะพริบ
“กูขอโทษ ที่กูพูดเพราะหวังดีกับมึงนะ” ภาคีเอ่ยเสียงอ่อนลง สำนึกผิดที่กดดันเพื่อนมากเกินไป ขยับตัวจะลุกไปปลอบขอโทษ แต่คนที่นั่งอยู่ใกล้คณิตที่สุดชิงตัดหน้าไปเสียก่อน
“ฮื่อๆๆ...มึงไม่ต้องมาหวังดีกับกู ฮื่อๆๆ...มึงไม่ใช่เพื่อนกูอีกแล้วไอ้ติน...อึก...มึงก็เอาแต่เข้าข้างคนอื่น...ฮื่อๆ” คณิตปล่อยโฮเสียงดังกับแผ่นอกของคนที่ดึงเขาเข้าไปกอด “บอสก็อีกคน...ฮื่อๆ...ไม่ต้องมากอดผม เอามือออกไปเลย ไปกอดไอ้ตินนู่น...ฮื่อๆๆ” ปากทั้งด่า ทั้งพูด และร้องไห้ไปด้วย แต่ก็ยังฝากสายน้ำตาไว้ที่เดิม ไม่ได้ดิ้นรนหนีหรือขยับขัดขืนแต่ประการใด
“ไม่กอดแล้วจะหยุดร้องไหม ถ้าหยุด ผมจะได้ปล่อย ไม่อยากกอดคนที่ไม่เต็มใจหรอก”
เฮอะ...กล้าพูดนะ! คณิตค้อนในใจ
ร้องไห้จนหนำใจ ได้ระบายอะไรที่มันอัดแน่นในอกออกไปบ้าง คณิตก็ขยับตัวออกจากวงแขนที่โอบรัดและมือที่ลูบแผ่นหลังปลอบโยน ตอนที่ร้องไห้สุดเสียงก็ได้ยินเสียงเก็บถ้วยจานอาหารบนโต๊ะ ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้พบแต่โต๊ะที่ว่างเปล่า เหลือแค่แจกันปักดอกกุหลาบสีชมพูหวาน ความรู้สึกผิดก็บังเกิดในใจของคณิตทันที ไม่ได้หายโกรธเพื่อนอย่างภาคีหรอก คณิตยังน้อยใจเพื่อนทรยศอยู่ แต่รู้สึกผิดกับสีฟ้าต่างหาก กินข้าวอิ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าเขาเป็นตัวทำวงอาหารมื้อเช้าแตกเสียได้ แต่เขาไม่ได้ผิดคนเดียวซะหน่อย ตัวการอีกคนก็ไอ้เพื่อนสนิทของเขานั่นไง ถ้ามันไม่เริ่ม ไม่ด่าเขา เขาจะร้องไห้น้ำตาแตกไหมล่ะ
พอเห็นสีฟ้าเดินนำหน้าภาคีออกมาจากห้องครัวหลังจากยกจานชามไปเก็บเรียบร้อยแล้ว คณิตจึงรีบส่งยิ้มขอโทษทันที
“ขอโทษนะครับคุณลมที่ทำให้หมดอารมณ์กินข้าว” บอกเสียงอ่อย ไม่กล้าสู้หน้า นอกจากรู้สึกผิดแล้วก็ยังรู้สึกอายอีกด้วย ร้องไห้เป็นเด็กขนาดนั้น ไม่อายก็ไม่ใช่คณิตแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเข้าใจ...เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้” สีฟ้าบอกด้วยรอยยิ้มเข้าใจ เขาเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดนกดดันหนักๆ เข้า ก็ต้องมีซวนเซเสียศูนย์กันบ้าง เขาก็เคยมาก่อน เจ็บใจทำอะไรใครไม่ได้ ก็ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ร้องแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น
“เดี๋ยวนี้ก็เป็นครับ” ภาคีเอ่ยแซวคนรัก เลยโดนหยิกเข้าที่เอวหนา
“น้อยลงแล้วเหอะ”
“แต่เมื่อคืนยังงอนตินอยู่เลยนะครับ ง้อตั้งนานกว่าจะหายงอน” พูดกลั้วรอยยิ้มขำ สาเหตุที่สีฟ้างอนเพราะเขามองไม่เห็นชุดนอนที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ (เมื่อคืนเขาเมามาก) พอสีฟ้าเห็นเขาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนตัวอื่นมาใส่ ก็ตั้งหน้างอนตั้งแต่วินาทีนั้นเลย
“งอนแล้วก็หายนี่ ไม่ได้งอนข้ามวันข้ามคืนซะหน่อย” ว่าอาย ๆ ทว่าก็เต็มไปด้วยความสุข
ภาพที่เห็นคนรักยิ้มให้กันสะกิดหัวใจคณิตไม่น้อยเลย ชายหนุ่มนึกอยากมีช่วงเวลางดงามอย่างนี้บ้าง เมื่อครั้งที่คบหากับญาดา มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสดใส สดชื่น มีความสุขในแบบของหนุ่มสาวทั่วไปก็จริง แต่มันยังเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘ความผูกพัน’ อย่างที่เห็นในตัวของคู่รักตรงหน้า
‘ความผูกพัน’ บางครั้งก็ดูเล็กน้อยกว่าความรัก แต่มันยาวนานกว่าความรักซะอีก คณิตคิดเช่นนั้น โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังเผลอมองลูกตาสีเข้มของใครบางคนอยู่ พอรู้ตัวก็ตวัดสายตาหนี ความหงุดหงิดก็วิ่งกลับมาทำงานอย่างแข็งขันทันที
หงุดหงิด ‘ใจ’ ตัวเองนี่แหละ!
“กูกลับละ” คณิตบอกลาเพื่อนรัก
“หายโกรธกูยัง” ภาคีถามเสียงอ่อนง้อเพื่อน “ที่พูดทั้งหมดก็เพราะกูหวังดี”
คณิตเบ้ปากเพราะยังเคืองและน้อยใจเพื่อนตัวดีอยู่พอสมควร
“เอาความหวังดีของมึงไปกองไว้ที่หน้าตักบอสสุดที่รักของมึงเถอะ กูไม่อยากได้”
“มึงนี่นะไอ้หนึ่ง ไปๆ จะกลับก็กลับไป” ภาคีพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แล้วหันไปพูดกับอดีตนายจ้างที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาในอดีต “ฝากมันด้วยนะครับบอส อยากให้มันหายฟุ้งซ่าน บอสก็เอางานให้มันทำเยอะๆ จะได้เลิกบ้า”
“ไอ้ห่าติน! อีกแล้วนะมึง” ลูกตาเล็กของคณิตเป็นประกายวาววับเอาเรื่อง อยากจะกระโดดงับหัวเพื่อนรักจริงๆ ถ้าไม่ติดเกรงใจสีฟ้าละก็นะ
“ผมกลับก่อนนะติน ลานะครับน้องลม” อชิตะเอ่ยลาเจ้าของบ้านทั้งสอง
“มีอะไรให้ลมกับตินช่วยบอกได้นะครับพี่อิง เราสองคนยินดีช่วยเต็มที่” สีฟ้าบอก
เจอคำพูดของสีฟ้าเข้าไป คณิตก็เผลอค้อนตาคว่ำใส่คนรักของภาคี สีฟ้าก็เป็นไปอีกคน นี่คือการประกาศตัวชัดแล้วใช่ไหมว่าอยู่ข้างใคร ทำไมมีแต่คนเข้าข้างอชิตะ ไม่มีใครเห็นใจเขาหรือไงนะ คิดแล้วน้อยใจชะมัด
คนโดนคณิตค้อนรีบอธิบายเพราะไม่อยากถูกงอนไปด้วยอีกคน
“เรื่องของลมกับตินที่ผ่านมา หนึ่งก็เห็นใช่ไหม ว่าไม่มีใครมีความสุขเลย ลมก็ไม่มีความสุขที่หนีใจตัวเอง ส่วนตินก็ไม่มีความสุขที่ลมเอาแต่หนี แล้วยังทำให้คนรอบตัวของเราวุ่นวายและไม่มีความสุขไปด้วย ลมถึงอยากให้หนึ่งใช้ ‘ใจ’ มากกว่า ‘เหตุผล’ เพราะบางครั้งเหตุผลมันก็ทำให้เราทุกข์มากกว่าสุข”
ใช่ว่าสีฟ้าไม่เห็นใจณัชชา ณัชชาเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ แต่เมื่อทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องทำใจยอมรับและหายจากความเจ็บปวดให้เร็วที่สุด
อาจฟังดูโหดร้ายกับคนที่ถูกทิ้ง แต่ก็ดีกว่าจองจำตัวเองไว้ในความรักที่ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม และอชิตะเองก็ไม่ได้คู่ควรกับความรักของณัชชาอีกต่อไป หลายวันก่อนสีฟ้าบอกณัชชาไปเช่นนี้ เพื่อนคนน่ารักของเขาก็พยักหน้ารับพร้อมน้ำตาที่รินไหลอย่างเงียบเชียบ จนเหือดแห้งไปในที่สุด
น้ำตาบนแก้มแห้งแล้วก็ใช่ว่าข้างในจะแห้งตาม ณัชชาจะตัดใจจากออกมาหรือฝืนรักต่อไป อันนี้สีฟ้าก็ไม่สามารถรู้ใจเพื่อนได้ ได้แต่หวังว่าณัชชาจะลืมความเจ็บได้ในเร็ววันและเปิดหัวใจรักใครคนใหม่ที่คู่ควรกับเธอมากกว่าคนรักเก่า ที่ไม่ได้รักเธอเหมือนในวันวานอีกแล้ว
ส่วนเรื่องของอชิตะกับคณิต สีฟ้าก็หวังให้คนทั้งคู่ลงเอยกันด้วยดี และเขาคิดว่าต้องมีสักวันที่คนทั้งคู่จะรักกันได้และมีความสุขเหมือนเขากับภาคี แต่เมื่อไร สีฟ้าก็ไม่รู้ ได้แต่ลุ้นและเอาใจช่วยเท่าที่จะทำได้

จบตอนที่ 20 ค่ะ
ไม่มีคนอ่านหรือเปล่า...คนเขียนเหงาน้า
แต่ก็พอเข้าใจเนอะ คุณอิงนิสัยไม่ดีเนอะ อืมมมมม...นี่ถ้าเขียนยังไม่จบ สงสัยไม่เขียนต่อแล้วแน่ๆ
แต่เขียนจบแล้วว 555+ ก็จะลงไปเรื่อยๆ เนอะ
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบมาชะเง้อดู

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
21
บรรยากาศในออฟฟิซของเช้าวันนี้แตกต่างจากเช้าเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง แตกต่างจนน่าประหลาดใจปนไปกับความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คณิตนึกกลัว แทนที่จะเจอสายตาทุกคู่จ้องมองมาอย่างเหยียดหยันจากเหตุความอัปยศที่เกิดขึ้น หรือน่าจะเกิดเสียงซุบซิบเกี่ยวกับตัวเขาจากเหตุการณ์น่าอายบ้าง แต่ไม่เลย ทุกคนนั่งทำงานกันเป็นปกติดี มีพูดคุยกันข้ามโต๊ะบ้าง บางคนก็เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทักทายเขา ทักทายเจ้าของแผ่นหลังกว้างในชุดสูทสีเข้มที่เดินอยู่ด้านหน้าเขา
“สวัสดีครับบอส...สายอีกแล้วนะครับไอ้น้องหนึ่ง” เป็นคำทักทายของเกียรติศักดิ์ที่เพิ่งถือถ้วยกาแฟออกมาจากห้องครัว
“ก็...ก็เป็นปกติ...นะพี่” คณิตตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงเท่าไร เพราะยังรู้สึกอับอายกับเหตุการณ์เมื่อวาน วันนี้เขามาทำงานสายเกือบสองชั่วโมง เพราะต้องกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านของอชิตะก่อน
คณิตรู้สึกว่าบรรยากาศมันปกติแบบที่ไม่ปกติเลย ทุกคนคล้ายลืมว่าเมื่อวานมีเรื่องโลกแตกอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ทุกคนจะลืม!
นอกจากจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ยกบริษัท!!       
ขณะที่กำลังคิดหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์ที่เป็นปกติแบบไม่ปกตินี้ คนด้านหน้าก็หยุดเท้าลง หันมาบอกเขาที่เดินตามมาข้างหลังแบบห่างพอสมควรว่า
“ผมให้คนย้ายโต๊ะคุณกลับที่เดิมแล้วนะ”
มองไปทางซ้ายมือ ห่างจากประตูห้องทำงานของอชิตะไม่ไกลนัก เยื้องกับโต๊ะทำงานของเกียรติศักดิ์ คณิตเห็นโต๊ะทำงานของตัวเองกลับมาตั้งอยู่ตำแหน่งเดิมแล้ว
“คุณจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด” อชิตะบอกต่อ คนฟังเผลอย่นหัวคิ้ว   
“แล้วจะขนเข้าไปทำไมแต่แรก” คณิตบ่นอุบอิบ เมื่อวานขนเข้า วันนี้ขนออก
เฮ้อ...อชิตะต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ เขาไม่เข้าใจ พลางสาวเท้าเดินก้มหน้าไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ทิ้งตัวลงนั่ง พยายามแอบมองหาความผิดปกติของทุกคน
ไม่เห็นมีใครมองเขาเหมือนตัวประหลาดสักคน เสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่มีมากระทบหู สักนิดก็ไม่มี ไม่แม้แต่จะมีใครทำหน้าเหมือนอยากรู้อยากเห็น ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อวานสักคน 
หรือว่า...เหตุการณ์เมื่อวานเป็นความฝัน?
บ้า! มันจะเป็นความฝันได้ยังไง โดนตบจนหน้าหัน มีกลิ่นเลือดจางในปากเลยนะ โชคดีที่พอโดนตบแล้ว นิรดาผู้คล่องแคล่วว่องไวไปเสียทุกเรื่องก็วิ่งเข้าไปในครัว หาน้ำแข็งมาประคบแก้มข้างที่โดนตบให้อย่างรวดเร็ว
มันต้องมีใครสักคนที่บอกเขาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นจะตามเอาจากเกียรติศักดิ์ รายนั้นก็ยืนสะพายกระเป๋า หอบหิ้วงานไปหาลูกค้าแล้ว คนที่นั่งใกล้เขาที่สุดตอนนี้ก็เหลือแต่... 
“ภัทร...” เรียกแล้วยังไม่หัน “ภัทร...ไอ้ภัทร” เรียกถึงสามครั้งกว่าภัทรพลจะละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์หันมาหาเจ้าของเสียงเรียก
ภัทรพลเลิกคิ้วแทนคำถาม พลางซดกาแฟซึ่งเหลืออยู่ครึ่งถ้วยจนหมด
“เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” คณิตเลื่อนเก้าอี้ไปหาภัทรพล กระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน
“ก็ดีแล้ว” ภัทรพลบอกปัดๆ เพราะไม่อยากพูด ทั้งที่คันปากยิบๆ
“ดียังไงวะ กูนี่เกร็งไปหมดแล้ว เม้าธ์เรื่องกูสักหน่อย กูคงจะรู้สึกดีกว่านี้”...ตอกย้ำให้รู้สึกผิดบ้างก็ได้ เขาจะได้หาเรื่องไปเหวี่ยงวีนคนก่อเรื่องหลักที่นั่งสบายอยู่ในห้องทำงาน ตัดขาดทุกสายตาของพนักงานทุกคน ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกหวาดกลัวและระแวงสงสัยเช่นที่เขากำลังรู้สึก
นั่น! ตายยากจริงเชียว พูดถึงก็โผล่หน้าออกมาจากห้องทันที อชิตะหยุดพูดกับนิรดาสองสามประโยค แล้วก็เดินตรงมาหาเขา ภัทรพลรีบขยับตัว หันหน้าไปจ้องจอคอมพิวเตอร์ทำงานต่ออย่างรวดเร็ว แต่คณิตก็แอบเห็นหูของภัทรพลกระดิกอยู่นะ คงเตรียมตั้งใจฟังสุดฤทธิ์ เรื่องอยากรู้อยากเห็นละเป็นที่หนึ่ง... รองจากเขา
“ผมออกไปข้างนอกนะหนึ่ง ถ้าใกล้เลิกงานแล้วผมยังไม่กลับมารับ กลับเองได้ใช่ไหม?”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องบอกเลย ไม่ใช่เด็กซะหน่อย” คณิตพึมพำตอบ ไม่ได้มองหน้าคนที่ยืนข้างโต๊ะทำงานของตน มือก็ทำทีเป็นวุ่นวายอยู่กับอุปกรณ์ทำงานทั้งหลายแหล่ ขณะเดียวกันก็แอบเหล่ตามองเพื่อนร่วมงานคนอื่นไปด้วย ทุกสายตาเหมือนไม่ได้พุ่งตรงมาที่เขากับอชิตะเลย แต่ ‘หู’ นี่ไม่แน่ 
“ผมไม่อยู่ ห้ามดื้อ...นะครับ”
ถ้าจะบอกเฉยๆ ก็ไม่ใครว่าหรอก ทำไมต้องก้มลงมากระซิบตอนไอ้สองคำสุดท้ายด้วย และทำไมต้องลูบหัว ไม่ใช่เด็กห้าขวบ... รู้ไหมว่าอายคนโว้ย!
จะหลบก็ไม่ได้ เดี๋ยวอชิตะเสียหน้าต่อหน้าลูกน้อง จะด่าก็ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของบริษัท คณิตเลยได้แต่เค้นเสียงพูดเบายิ่งกว่ากระซิบว่า
“เอามือออกได้แล้ว ผมอาย”
“ไปแล้วนะ”
“อืม”
เมื่อแผ่นหลังในชุดสูทสีเข้มหายลับไปหลังประตูออฟฟิซ อึดใจต่อมาก็บังเกิดเสียง...
“ฮิ้วววววว...”
เสียงใครบ้างก็ไม่รู้ คณิตรู้แต่ว่าหยิบปากกาขึ้นมาเขวี้ยงใส่ศีรษะภัทรพลเต็มแรง โทษความผิดที่มัน ‘ฮิ้ว’ แรงกว่าใครพวก แทนที่ภัทรพลจะสำนึกกลับหัวเราะเสียงดังอย่างอัดอั้นมานาน แสดงสีหน้าว่าถูกอกถูกใจความร้อนบนใบหน้าเขาซะเหลือเกิน
“หน้ามึงแดงแล้ว” 
“แดงเพราะโมโหมึงนั่นแหละ” แก้ตัวไปแบบหนังถลอก ก่อนจะลุกเดินหนีเสียงแซวของเพื่อนร่วมงานหลายคน ที่บางคนอมยิ้มแซว บางคนยังไม่เลิกเป่าปาก ส่วนบางคนอย่างไอ้ภัทรก็ยังลุกตามหลังมา ส่งเสียงหัวเราะชวนให้หันไปค้อนแล้วค้อนอีก คนเป็นเพื่อนก็ยังไม่หยุด
“โถๆ ‘เมียบอส’ ครับ นับวันยิ่งสาวแตกนะครับ” ภัทรพลที่ตามมากอดไหล่จากด้านหลังเอ่ยแหย่ คณิตย้ายไหล่หนี แล้วเดินไปหยิบถ้วยมาชงกาแฟดับความร้อนบนผิวหน้า...อายเพราะถูกแซว และไม่ได้เตรียมรับสถานการณ์เช่นนี้มาด้วยแหละ
อายคำว่า ‘เมียบอส’ ที่ภัทรพลเรียกแทนชื่อเขาด้วย แค่อายนะ แต่เขาไม่ได้โกรธมัน คนที่ควรโดนโกรธคือคนที่พูดต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นเมียนั่นแหละ สมควรโดนโกรธที่สุด
“ไปไกลๆ กูเลย” คณิตผลักไหล่คนที่เดินมากระแซะข้างกาย รำคาญความช่างแหย่ช่างแกล้งของมัน เห็นใครมีจุดอ่อนไม่ได้ชอบใช้โจมตีตลอด
“แหมมม...ทำรำคาญ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเมียบอสนะ กูจะขย้ำก้นมึงให้สาแก่ใจ ครวญครางเรียกชื่อกูไม่ขาดปากแน่มึง ของกูใหญ่นะเว้ย ลีลาก็เด็ดสะระตี่ ลองแล้วติดใจแน่” ภัทรพลกัดปากทำหน้าหื่น
“ไอ้ห่าภัทร! ไอ้เหี้ย!” คณิตสุดจะทนความจัญไรของเพื่อน ว่าจะไม่โกรธมันแล้วนะ “มึงออกไปเลยไอ้ภัทร ก่อนกูจะเอาน้ำร้อนราดหน้ามึง” ที่พูดนี่ไม่ได้ขู่นะ คิดจะทำจริงด้วยถ้ามันไม่หยุด
“อยากกินราดหน้าพอดีว่ะ อุ๊ย...ก้นนุ่มว่ะ ฮ่าๆๆ...โอ๊ย! เล่นแรงนะมึง” ภัทรพลร้องเสียงหลง หลบจานพลาสติกที่คณิตหยิบมากฟาดศีรษะเขาแบบไม่ยั้งแรงเลย เพราะโดนเขาขย้ำก้น “พอๆ กูไม่เล่นแล้ว จับนิดจับหน่อยทำหวง เอ้า..เข้าเรื่องเลยดีกว่า”
“อะไร?” คณิตวางจานกลับไปที่เดิม
“เรื่องที่มึงอยากรู้ไงว่าทำไมไม่มีใครเม้าธ์มึงเรื่องเป็นเมียบอส...อยากรู้ว่ะ บอสเด็ดถึงใจมึงไหม แต่กูว่าอย่างบอสนี่แรงคงดีไม่น้อย เอามึงทั้งคืน กูก็ว่ายังได้นะ”
“ไอ้ห่าภัทร! มึงจะเล่าหรือจะให้กูฟ้องบอส!!” คณิตชี้หน้าขู่ 
“โด่ ถามแค่นี้ก็ไม่ได้ ขี้ฟ้องผัวหรือไงจ้ะตัวเอง...เออๆ เล่าก็ได้” ภัทรพลคิดจะแหย่ต่ออีกหน่อย แต่ตาเพื่อนเขียวป๊าด กาแฟร้อนในมือก็เตรียมจะสาดใส่เขารอมร่อ เลยต้องเข้าเรื่องซะที “เมื่อวานหลังจากที่บอสกับมึงออกไปใช่ไหม ตอนเย็นใกล้เลิกงานบอสก็กลับมาเรียกประชุมทั้งบริษัท เรื่องของบอสกับมึงนั่นแหละ แม่ง...ถ้ามึงเห็นหน้าบอสตอนประชุมนะ มึงคงอยากหาเชือกผูกคอตายเหมือนทุกคนในตอนนั้นแน่ ตั้งแต่ทำงานมา กูก็เพิ่งเห็นบอสเวอร์ชั่นโหดเป็นครั้งแรก โหดสลัดมาก ไม่กล้าสบตาเลยว่ะ”
ทำหน้าแบบไหน? คณิตก็อยากเห็นเหมือนกัน จะเหมือนตอนที่ข่มขู่เขาไหม
“เล่ามา น้ำไม่เอา ขอเนื้อๆ” คณิตเร่งเพื่อน
“ก็นั่นแหละ บอสขอ...แต่กูว่าบอสสั่งมากกว่าว่ะ สั่งห้ามทุกคนพูดถึงเรื่องเมื่อวาน ให้ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามนินทาเรื่องของมึงกับบอส ห้ามทำให้มึงรู้สึกอึดอัด ลำบากใจ แต่จะก็แซวได้ ขอแค่อย่ามากจนทำให้มึงรู้สึก ‘แย่’ ไม่อย่างนั้นโทษที่น้อยที่สุดคือโบนัสเหลือครึ่งเดือน”
“ทุกคนก็เชื่อเหรอวะ” คณิตไม่อยากจะเชื่อ ความคิดคน คำนินทาพวกนั้น ห้ามกันได้หรือไง
“คำสั่งของเจ้าของบริษัท ใครจะกล้าขัด...เลยเป็นอย่างที่มึงเห็น มีใครนินทามึงให้รกหูรกใจบ้าง” ภัทรพลไม่อยากบอกเลยว่า สิ่งที่ทุกคนกลัวรองจากอชิตะคือกลัวได้โบนัสครึ่งเดือนนี่แหละ ทุกปีนี่โบนัสไม่น้อยกว่าสามสี่เดือนเลยนะ
นั่นสิใครจะกล้าขัด แต่อชิตะจะรู้ไหมเล่าว่า ยิ่งไม่มีใครพูดถึง ยิ่งทุกคนทำตัวเป็นปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายิ่งรู้สึก ‘แย่’ ไม่ได้รู้สึกดีเลยให้ตายเถอะ นินทาเขาจนต้องวิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำเหมือนผู้หญิงซะยังดีกว่า
“คิดมากทำไมวะ แบบนี้ก็ดีแล้วไง ไม่มีอะไรเข้าหูให้กวนใจมึง” ภัทรพลตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงปลอบ “ส่วนลับหลังก็ช่างมัน ปากคนห้ามไม่ได้หรอก แต่จากที่กูสังเกตนะ เช้ามาก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องมึงกับบอสในแง่ไม่ดีเลย อันที่จริงก็ตั้งแต่ตอนเย็นหลังเลิกประชุมเลยมั้ง”
“กูไม่อยากทำงานที่นี่แล้วว่ะ” คณิตถอนหายใจยาวออกมา มองกาแฟในถ้วยที่เริ่มคลายความร้อนและคงจะเย็นชืดในไม่ช้า
“จะไปนอนให้บอสเลี้ยงว่างั้น แหม...ได้ผัวรวยเป็นบุญจริงๆ” ยักคิ้วลิ่วตาแซว
“กูไม่มีอารมณ์ด่ามึงแล้วนะเหี้ยภัทร เชิญมึงตามสบาย อยากพูดอะไรก็พูดเลย เต็มที่” คณิตบอกเสียงเหนื่อยหน่าย สู้ปากกับภัทรพล ไปแข่งเห่ากับหมายังมีโอกาสชนะมากกว่า
“คิดมากน่ามึง นี่กูอุตส่าห์เอาความลับที่ประชุมมาบอกเลยนะเว้ย ขืนมึงทำตัวเศร้า รู้สึกแย่กับเรื่องที่กูเล่า บอสเชือดกูแน่” คนพูดทำหน้าจริงจัง ก็ภัทรพลไม่อยากฉลองปีใหม่กับเงินโบนัสแค่ครึ่งเดือนนี่หว่า
คณิตพยักหน้าไปแกนๆ เทกาแฟทิ้งในอ่างล้าง หมดอารมณ์จิบรสชาติความขมของมันแล้ว และไม่อยากกลับโต๊ะทำงานเลย เพราะไม่อยากเจอบรรยากาศที่เป็นปกติแต่ไม่เป็นปกติของทุกคน
“ยิ้มหน่อยสิวะ เป็นเมียบอส มันก็ไม่ได้แย่หรอกมั้ง”
“มึงเป็นกู มึงจะยิ้มออกไหมล่ะ” คณิตถามกลับเสียงห้วน มันจะย้ำคำว่า ‘เมียบอส’ บ่อยเกินไปแล้วนะ
“เป็นกู กูจะออเซาะบอส แล้วขอเงินเดือนเพิ่ม ไม่ต้องมากก็ได้แบบกูเกรงใจงี้ ก็ขอขึ้นสักสี่เท่า...บอสคร้าบบบ หนึ่งทำงานน้ากกกก...หนัก ทั้งกลางวันกลางคืน แถมบอสยังชวนหนึ่งโต้รุ่งอีก บอสต้องเพิ่มเงินเดือนให้หนึ่งแล้วนะคร้าบบบ” ภัทรพลลากเสียงเล็กเสียงน้อย ทำท่าเหมือนเมียสาวอ้อนผัวแก่
ขณะที่คณิตได้แต่มองปลง หมดอารมณ์ด่า ด่าไปภัทรพลก็ใช่จะสะทกสะท้าน 
“มึงไม่ขำหรือวะ ว้า...ไม่สนุกสิวะเนี่ย” ภัทรพลทำหน้าเซ็ง ตบบ่าเพื่อนซ้ำอีกรอบ ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้น “บอสรักมึง กูมองออก เห็นมาตั้งนานแล้ว แค่กูไม่พูด แต่ตอนนี้กูพูดได้แล้ว เพราะบอสทำให้เห็นว่าเลือกมึง ส่วนเรื่องที่มันซับซ้อนกว่านี้ ที่ทั้งมึงและบอสไม่ได้พูดถึง แต่กูก็พอเดาๆ ได้บ้างแหละ เพราะกูฉลาด กูว่า ยังไงซะ มึงก็คงรู้สึกดีกับบอสไม่มากก็น้อยใช่ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นมึงก็คงไม่ยอมบอส...แน่ะ มีหลบตาเป็นสาวน้อยอีกแล้วเพื่อนกู”
“หุบปากมึงไปเลยไอ้ภัทร อย่างมึงไม่ได้เรียกว่า ‘ฉลาด’ เรียก ‘เสือก’ เหมาะกับมึงมากกว่า” ก็รู้ว่าภัทรพลปลอบเพราะหวังดี คงไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ ไม่ใช่เพราะคำสั่งของอชิตะ แต่เป็นเพราะความเป็นเพื่อนกันเสียมากกว่า
“กูน้อมรับ ว่าแต่มึงโอเคแล้วใช่ไหม” ใช่ว่าภัทรพลจะไม่ห่วงเพื่อน ไอ้ที่พูดแหย่ทั้งหมดก็เพื่อให้คณิตหายเครียด
“ยัง แต่ก็ขอบใจ” ซึ้งน้ำใจภัทรพลไม่น้อย
“ขอเป็นเหล้า โซดา น้ำแข็ง กับแกล้มคืนนี้ได้ป่าวครับ แบบของฟรีไรงี้นะครับคุณหนึ่ง” ภัทรพลแค่พูดเล่น ไม่ได้จริงจัง ที่ไหนได้กลับได้จริง
“อืม อยากเหมือนกัน” ดื่มแก้เครียดสักหน่อย ชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี
“โห กูหูฝาดไปหรือเปล่าวะ ขี้เหนียว งกจนเกลือเรียกพี่แบบคุณหนึ่งเนี่ยนะ ยอมควักเงินเลี้ยงเหล้ากู” ภัทรพลทำตาโต ใช้นิ้วมือแคะหูสองข้างประกอบคำพูด
ภัทรพลก็พูดเกินไป เขาไม่ได้งกอะไรสักหน่อย แค่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงใครต่างหาก เนื่องจากมีเจ้านายจ่ายเงินเลี้ยงตลอด
“จะไปไหม ถ้าไปก็เงียบ ไม่ต้องบอกใคร เพราะกูมีปัญญาเลี้ยงแค่มึงคนเดียว” ยังไงซะ ถึงทำใจป้ำเลี้ยงเหล้าเพื่อน แต่คณิตก็ประมานตนเหมือนกันนะ เงินมีน้อยจะให้เลี้ยงคนจำนวนมากกว่าสอง กระเป๋าฉีกแน่   
“แล้วกูจะเจอข้อหาฉกเมียบอสไปเมาไหมวะ ยิ่งไม่อยากให้กูถึงเนื้อถึงตัวมึงอยู่ด้วย ถ้าบอสรู้ว่าไปกับกูสองคนด้วยละก็ งานนี้กูอาจตกงานได้นะเว้ย” ภัทรพลว่า ไม่มีสีหน้าล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มโดนเตือนตัวต่อตัวไปเมื่อเย็นหลังประชุมด่วน (ที่ไม่เกี่ยวกับงานเลยสักนิด) แบบนอกรอบ ตัวต่อตัว...โหมดหวงเมียของอชิตะน่ากลัวน้อยซะที่ไหน
“มึงอย่าเว่อร์ แค่ไปดื่มเหล้า แล้วจะไปไหม ไม่ไป กูไปคนเดียวก็ได้”
“ไปก็ได้ แต่ถ้าบอสจับได้ว่ามึงไปกับกู มึงต้องปกป้องกูด้วยนะ ห้ามให้บอสไล่กูออกเด็ดขาด ตัดเงินเดือนกูก็ไม่เอา”
“เออ!” พยักหน้ารับตัดรำคาญ ภัทรพลก็พูดเว่อร์ไป แค่ไปกินเหล้าด้วยกัน ไม่ถึงกับถูกไล่ออกหรอก ลองทำดูสิ เขานี่แหละจะโวยวายให้เข็ด คนอะไรแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้

“บ๊าย...บาย...เจอกันพรุ่งเน้นะ...ไอ้เวรพาททท”
คนเมายืนเกาะประตูรั้วสีดำ มือข้างหนึ่งยกโบกร่ำลาเพื่อนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อประตูรั้วเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากประตูรั้วใหญ่เปิดออกมา ร่างสูงของเจ้าของบ้านที่ยังอยู่ในชุดทำงานตอนเช้า เพียงแต่เจ้าตัวถอดสูทออกไปแล้ว เดินออกมาพร้อมคำถาม น้ำเสียงเย็นเยียบคล้ายกำลังข่มอารมณ์คุกรุ่นภายใน
“ปิดเครื่องทำไม” อชิตะเดินตรงมาหิ้วปีกคนเมา
“หื้อ...แบตม้านนน...หมดน่าซี่” คณิตบอกเสียงยานคางตามสภาพความเมามาย จนคนที่ช่วยพยุงต้องส่ายหน้า เลิกเอาความคนเมา แล้วหันมาห่วงแทน
“ไหวไหม?” อชิตะถามอย่างเป็นห่วง ขณะที่พาร่างเล็กคลุ้งกลิ่นเหล้าเข้ามาในบริเวณรั้วบ้าน ปล่อยให้สาวใช้ที่เดินตามหลังมาเมื่อครู่ปิดประตูรั้วให้ ก่อนจะเดินตามหลังมา ทิ้งระยะห่างพอสมควรอย่างรู้บทบาทหน้าที่ของตน
“หวายยย~~คร้าบบ~~บอสสส~~” บอกเสียงอ้อแอ้ตามประสาคนเมา คณิตยอมรับว่าเมามาก ยกไปหลายแก้วมาก แต่ก็ไม่เกินลิมิตของตัวเอง ดังนั้น สติของเขายังมี ไม่ถึงกับเมาเหมือนหมา แต่ก็ซ่าเหมือนเคยเมื่อร่างกายเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์เข้มข้น
ร่างคนเมาถูกประคองอย่างนุ่มนวลด้วยความห่วงใย 
“จะไปไหน?” จู่ๆ คนเมาก็ดิ้นออกจากวงแขน เดินปัดเป๋ไปยังสระว่ายน้ำที่อยู่ไกลไม่เกินสิบก้าว อชิตะพอรู้ว่าคนตัวเล็กคิดจะทำอะไร
เมาแล้วกระโดดลงสระ
“อาบน้ำ” คณิตตอบเหมือนวันนั้นเป๊ะ ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ดูน่ามองไปอีกแบบในสายตาคนที่เดินตามหลังมา
“ไม่เอาหนึ่ง คุณเมามาก เดี๋ยวจม” อชิตะคว้าแขนคนเมาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดลงสระ ครั้งนี้คณิตเมากว่าครั้งนั้นพอสมควร
“ม่ายย~~ม่ายยยย ผม~จา~ลง~~” คนเมายังดื้อ แถมยังตีหน้ายุ่งใส่คนห้าม “ปล่อย...ปล่อย...ผม...จา...ลง~~” ไม่พูดเปล่า คณิตสะบัดแขนสุดแรงคนเมา แล้วรีบกระโจนลงสระว่ายน้ำแบบที่อชิตะคว้าตัวไว้ไม่ทัน มิหนำซ้ำยังเสียหลักตกลงไปด้วยอีกคน
บอสหนุ่มคว้าเอวคนเมาเข้ามาชิดตัว ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะจมน้ำเพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“ห้ามไม่เคยฟังเลย ดื้อจริง” อชิตะบ่นไม่จริงจังนัก ใช้มือข้างหนึ่งลูบเม็ดน้ำออกจากใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์เหล้า ก่อนจะพาร่างที่เล็กกว่าไปยืนตรงขอบสระ โดยให้แผ่นหลังเล็กพิงไว้กับขอบสระ ดึงท่อนแขนเล็กให้โอบรอบลำคอเขา ร่างกายไม่ได้แค่ใกล้กันแต่มันบดเบียดแนบชิด อชิตะเหลือบไปเห็นคนใช้หนุ่มที่วิ่งตามเสียงตูมออกมาดูเหตุการณ์ จึงโบกมือไล่ให้กลับเข้าไปเข้าในเสียพร้อมกับสาวใช้ที่ยืนรอเขาเรียกใช้นั้นด้วย
“ก๊ะดื้อกับบอสคนเดียวน้าาาา ไม่ชอบหรือคร้าบบ...”
หากไม่เมา อชิตะก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้เจอคณิตเวอร์ชั่นช่างอ้อนช่างยั่วหรือเปล่า คณิตที่ดูจะอ้อนตาเยิ้ม ลากเสียงยาวฟังหวานหู มิหนำซ้ำมือเล็กทั้งสองข้างยังขยุ้มอยู่ตรงท้ายทอยของเขาด้วย บังคับให้ต้องโน้มลงมาหาใบหน้าของคนเมา ก่อนความกล้าอันเป็นผลผลิตของความเมาจะชักชวนให้คณิตสัมผัสริมฝีปากหนาของอชิตะด้วยเรียวลิ้นของตนเอง
คืนนั้นคณิตเริ่มต้นด้วยคำถาม หากคืนนี้เล่ากลับเริ่มต้นด้วยเรียวลิ้นนุ่มนิ่มของตัวเองไปเสีย 
คณิตทำตามความต้องการของร่างกายที่เมามาย ทำตามหัวใจที่ร่ำร้องมาตลอด ในหัวของคณิตกึกก้องด้วยคำพูดประโยคหนึ่งของภัทรพล เมื่อครั้งนั่งดื่มด้วยกันในผับ
‘มึงลองรักแบบที่ไม่ต้องกลัวอะไรดูสิวะ รักไปตามที่ใจมึงต้องการ รักโดยที่แม่งไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น เอาแค่ที่มึงรัก เอาแค่ที่มึงอยากได้จากบอส’
คำแนะนำที่สอนให้เห็นแก่ตัวสิ้นดี... 
แล้วจุดจบของคนเห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างไร คณิตอยากรู้ และคงอีกไม่นานก็อาจได้รู้ ทว่าตอนนี้ เขาขอเห็นแก่ตัวได้ไหม เห็นแก่ใจอ่อนแอของตัวเอง เขาขอกอบโกยความสุขที่เผลอใจหลงใหลไปตอนไหนก็ไม่รู้ให้เต็มที่เสียก่อน เมื่อความทุกข์ทรมานจากผลของความเห็นแก่ตัวมาเยือนเมื่อไร เขาจะน้อมยอมรับมันไว้คนเดียว ไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
ชายหนุ่มร่างเล็กใช้ลิ้นเข้าเกาะเกี่ยวลิ้นชื้นแฉะของอชิตะ ดูดกลืนลิ้นร้อนนั้นเหมือนคนบ้าแสนตะกละตะกลาม บดเบียดรุนแรงเหมือนที่เจ้าของมันเคยทำ คณิตเรียนรู้ว่าต้องทำแบบไหน อชิตะถึงจะพอใจ ส่วนเขาก็ไม่ต่างกัน พอใจจนเรียกว่าใกล้เคียงกับความถึงใจ จูบแบบที่เคยจูบกับผู้หญิงอื่น มันกลายเป็นจูบที่เทียบไม่ติดกับจูบที่ได้จากอชิตะเลย
จูบของอชิตะเหมือนจูบที่ต้องการเอาทุกอย่างไปจากเขา เอาหัวใจ เอาลมหายใจ เอาวิญญาณ เอาความผิดชอบชั่วดีไปจนหมดสิ้น จูบที่หัวใจเขาไม่เคยปฏิเสธได้จริงเลยสักครั้ง
คณิตอยากจูบ จูบให้ได้เหมือนอชิตะ จูบที่จะเอาทุกอย่างไปจากอีกฝ่าย เอามาให้หมด เอามาเป็นของตัวเอง 
“เมาแล้วอ้อนนะหนึ่ง เป็นแบบนี้แล้ว ผมก็อยากให้หนึ่งเมาทุกวันเลยรู้ไหม” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังคลอเคลียชิดริมฝีปากคนเมาที่หอบหายใจถี่หลังจากหยุดจูบแสนยาวนานลง 
ยามเมื่อคณิตมองสบตากับดวงตาสีเข้ม ดวงตาคู่นั้นฉายแววรักใคร่และหลงใหลอย่างไม่ปิดบัง เมื่อไรกันนะที่อชิตะรักเขา มันจะใช่อย่างที่ภัทรพลพูดหรือเปล่า
“บอสคร้าบ” คณิตเอ่ยตามเสียงหัวใจสั่ง จ้องตาของอชิตะ “อย่าเพิ่งเหนื่อยนะ อดทนกับผมไปก่อน ผมอาจจะ...ปากเสีย พูดไม่น่าฟัง ทำตัวไม่น่ารัก ด่าบอสทุกคำ เหวี่ยงวีนไม่มีเหตุผล แต่...แต่...ผมก็ไม่เคยเกลียดบอส ไม่เคยเกลียดบอสได้จริงๆ สักที”
คนเมามักจะพูดความจริงที่ตรงกับหัวใจมากที่สุด เนื่องจากไม่มีสติมากพอที่จะคิดหาคำพูดใดมาโกหก คณิตก็เช่นกัน
“แล้ว...แล้ว...ผมก็ไม่รังเกียจสัมผัสของบอสด้วย ผม...มีความสุข...ที่...เอ่อ...ที่บอสเข้ามาอยู่ในผม”
อะไรดลใจให้พูด คณิตก็ไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าเมื่อพูดจบ รางวัลของความกล้าคือความรักของอีกฝ่ายที่ถาโถมลงมาใส่ ริมฝีปากของเขาถูกครอบครอง ไม่เหลือช่องว่าง ลิ้นร้อนรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากหวานชวนหลงใหลไม่เคยเบื่อ มากกว่าจูบคืออชิตะอยากเข้าไปอยู่ในช่องทางคับแคบแต่ชวนให้บ้าคลั่งตามคำพูดเชิญชวนของคนเมาเสียจริง
“อื้อออ...” คณิตกอบโกยเอาอากาศเข้าปากแทบจะทันทีเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ จูบนี้ยาวนานที่สุดเท่าที่คณิตจำได้ มันไม่ได้อ่อนหวานเพราะยังรุนแรงเหมือนเดิม ทว่ามันกลับเติมเต็มหัวใจของเขาเหลือเกิน
“ตอนนี้อยากให้ผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณไหม” คนถามยิ้มตาฉ่ำหวานฟ้องความปรารถนาในร่างกายและหัวใจ ส่วนกลางลำตัวนั้นไม่ต้องพูดถึง มันร้อนระอุจนปวดหนึบไปหมดแล้ว เขาดึงสะโพกเล็กให้เข้ามาบดเบียดความต้องการที่แข็งกร้าว กวาดตามองวงหน้าขึ้นสีแดงจัด ซึ่งไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างพึงพอใจ ยิ่งทำตอบที่ได้อีกเล่า ก็แทบอยากจะกดตัวตนของเขาลงไปช่องทางรักเสียตั้งแต่นาทีนี้เลย
“ถามทำไมเล่า...” คณิตใกล้สร่างเมา ความอายเลยต้องทำงานหนัก เสียงหัวเราะเบาในลำคอดังขึ้นข้างแก้ม ก่อนคณิตจะถูกพาขึ้นจากสระ จากนั้นก็ถูกโอบประคองอย่างนุ่มนวล จบค่ำคืนบนเตียงหลังใหญ่ ภายในห้องที่ทำให้โลกทั้งใบของคนทั้งคู่มีแค่กันและกัน
ทุกการสอดประสานเป็นไปด้วยความพร้อมใจ ไม่ใช่การหักหาญอย่างที่นึกอยากดิ้นหนี หรือต้องหลอกล่อเช่นที่เคยผ่านมา ครั้งนี้คณิตเต็มใจ โอบกอดร่างกำยำของอชิตะไว้ด้วยความรู้สึกว่าตนนั้น...รักเหลือเกิน

************
จบตอนที่ 21 ค่ะ
ไม่รู้จะทิ้งท้ายว่าอะไรแล้ว ติดตามตอนต่อไปละกันเนอะ
BY สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 พึ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ....ดีมากกกกเลยยยย...ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
22

ความรู้สึกแรกเมื่อลืมตา ไม่ใช่ความเจ็บปวดร้าวระบมของร่างกายส่วนล่าง หากคือคำพูดน่าอายของตัวเองเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมากลางสายน้ำมากกว่า ที่ทำให้คณิตไม่กล้ามองดวงตาสีเข้มคมระยับของเจ้าของห้องซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงข้างตัวเขาเลย
อชิตะสวมชุดสูทเรียบร้อยเตรียมตัวพร้อมสำหรับออกไปทำงาน แต่ลูกน้องหนุ่มยังไม่ขยับกายไปไหนไกลจากเตียง ความรู้สึกที่บังคับให้คณิตหลบสายตาพึงพอใจของอชิตะคือบทรักครั้งล่าสุด...เมื่อคืนเขาตอบสนองเสียจนอีกฝ่ายไม่หยุดเรียกร้อง
“นอนต่อเถอะ ผมรู้ว่าวันนี้คุณคงไปทำงานไม่ไหว”
กลางดึกจนถึงเมื่อสองชั่วโมงก่อน ถือว่าหนักหนาไม่น้อยสำหรับคนที่ต้องรองรับความต้องการบ้าคลั่งของเขา ช่องรักของคณิตแทบไม่ได้พัก เพราะอชิตะได้ฝังความปรารถนาลงไปในช่องทางคับแคบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่คิดอยากถอนตัวตนที่เต็มไปด้วยความต้องการออกมาเลยด้วยซ้ำ
“หนึ่ง ผมขอแบบเมื่อคืนอีกบ่อยๆ นะ” 
ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มโน้มเข้าใกล้ น้ำเสียงทุ้มนุ่มชักชวนให้ดวงหน้าร้อนเห่อยิ่งขึ้น ทำให้คณิตไม่กล้าสบตาอชิตะยิ่งกว่าเดิม คนตัวเล็กหลับตาลง ผ่อนลมหายใจให้ช้าจนเกือบเป็นกลั้นหายใจ เมื่อริมฝีปากเดิมประทับรอยอุ่นบนแก้มด้วยแรงที่แผ่วเบา แตกต่างจากเมื่อคืนที่เรียกได้ว่าแทบจะกัดกินผิวเนื้อของเขาให้ติดคมเขี้ยวเสียด้วยซ้ำ
“ผมไปนะ เจอกันตอนเย็น” ผิวแก้มสีระเรื่อทำให้อชิตะไม่นึกอยากจากไปไหน อยากกอดรัดให้สุขสมในหัวใจไปทั้งวันทั้งคืน เมื่อคืนคณิตน่ารักกว่าครั้งไหนที่ได้โอบกอดตีตราเป็นเจ้าของ บางช่วงของจังหวะรักก็คล้ายความฝัน ลึกกว่านั้นความหนักหน่วงบางอย่างยังไม่จางไป
คำพูดแกมขู่ของมารดายังคงเป็นปัญหาหน่วงหนัก หรือว่าเย็นนี้เขาควรรวบรวมความกล้า ทิ้งความกลัว เอาความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปบอกหญิงชราที่เขารักมากไม่ต่างจากรักผู้ให้กำเนิด เข้าไปบอกว่าเขารักผู้ชาย จะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้คนเดียว ต่อให้ใครจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แม้แต่คุณย่าที่เขารักก็ไม่สามารถใช้คำพูดใดมาเปลี่ยนสิ่งที่เขาตัดสินใจเลือกไปแล้ว
“บอสครับ”
เสียงเรียกแผ่วเบาดึงอชิตะออกจากความคิดเครียด
“ผมขอไปทำงานที่บริษัทอื่นได้ไหม” พูดจบ ฝ่ายอชิตะก็ตั้งคำถามทันที
“จะไปทำงานกับติน?” คิ้วเข้มขยับตึงบอกความไม่พอใจสิ่งที่คณิตพูด ทว่าก็พอนิ่งใจได้บ้างว่าภาคีจะไม่แย่งตัวคณิตไปไกลหูไกลตาเขาแน่ เพราะเขาขออดีตลูกน้องคนสนิทไว้แล้ว และอีกฝ่ายก็รับปากว่าจะไม่แย่งตัวคณิตไปจากบริษัทเขา
“เปล่า” คณิตส่ายหน้า “ผมว่าจะไปสมัครงานที่บริษัทที่เพื่อนทำอยู่น่ะครับ เห็นมันบอกว่ากำลังเปิดรับรับพนักงานเพิ่ม”
“ทำไมหนึ่ง ที่บริษัทผมมันเป็นอะไร ไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงต้องอยากไปทำที่อื่น”
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่ผม...ผมอายที่ทุกคนรู้ว่าผมเป็นอะไรกับบอส”
“ทำไมต้องอาย” อชิตะข่มเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้เหมือนเป็นการตะคอก “เป็นเมียผม มันน่าอายมากหรือไง จำไว้นะหนึ่ง ต่อให้คุณอายแค่ไหน คุณก็หนีความจริงไม่ได้ ว่าคุณคือเมียผม ความจริงที่คุณต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต”
“ถ้าผมหนีความจริงได้ ผมก็คงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ มานอนบนเตียงของบอส ปล่อยให้บอสเรียกว่าเมียให้บาดหูหรอก” พออชิตะใส่อารมณ์มาก่อน คณิตก็เริ่มมีอารมณ์ตาม ทั้งที่เขาคิดมาอย่างดีแล้วว่าจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่อชิตะต้องการ และเขาก็จะลองรักแบบไม่ต้องกลัวอะไรดูสักครั้ง ยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว แย่งของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืน ไม่มีคำพูดน่าอายแบบนั้นหรอก
แต่ก็นั่นแหละ ครั้นถูกถามด้วยน้ำเสียงห้วนกึ่งกระชากเหมือนเขาทำอะไรผิดนักหนา ซ้ำอชิตะยังตอกย้ำด้วยคำพูดไม่น่าฟังที่พยายามจะลืมมันไปแล้วแท้ๆ
...ไม่อยากมองหน้าแล้วโว้ย
เพราะรู้ตัวว่าขืนจ้องตากับอชิตะนานกว่านี้ อารมณ์คงเพิ่มสูงจนทะลุไปดาวอังคารแน่ๆ คณิตเลยเลือกทิ้งตัวลงนอนหันหน้าหนีซะเลย
“หนึ่ง! ลุกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” อชิตะเรียกคนตัวเล็กที่ทิ้งตัวลงนอนแล้วหันหลังให้ แล้วยังดึงผ้าห่มมาคลุมมิดศีรษะ ทำตัวเหมือนเด็ก...
“ไม่! ผมไม่มีอะไรจะคุยกับบอส” คณิตตะโกนตอบออกมาจากผ้าห่ม เขาโกรธอชิตะที่โมโหไม่เข้าเรื่อง ตีความหมายคำพูดของเขาไปไกลถึงไหนนะ เขาก็แค่อาย ไม่ได้รังเกียจซะหน่อย ไม่ได้จะคิดหนีไปไหนแล้วด้วย เพียงแค่จะลาออกแล้วไปหางานที่ใหม่ทำเท่านั้นเอง   
“หนึ่ง!!”
“.....” เรียกไปเถอะ เรียกให้คอแตกตาย เขาก็ไม่สน
“หนึ่ง!”
“.....”
“หนึ่ง”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว บอสไปทำงานเถอะ กลับมาค่อยคุยกัน คุยตอนนี้ก็ทะเลาะกันเปล่าๆ”
“ผมจะไปทำงานได้ยังไงในเมื่อเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“ก็คุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกน่า ไม่กลับคำด้วย และการที่ผมบอกว่า ผมไม่ได้เกลียดบอส ชอบให้บอสเข้ามาอยู่ในตัวผม บอสก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ” คณิตกัดฟันพูดคำน่าอายออกไป เผื่อว่าอารมณ์ของคนฟังจะสงบลง เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่อชิตะยังเงียบ ไม่มีคำพูดหรือการเคลื่อนไหวใดมาให้ได้ยิน คณิตเลยเอาตัวออกมาจากผ้าห่ม พลิกตัวกลับหาคนอารมณ์ร้อน สิ่งที่พบคือรอยยิ้มน้อยๆ ติดที่มุมปากของอชิตะ...พอใจซี่ท่า
“ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีหนึ่ง ทำไมต้องอาย มันน่าอายตรงไหน ตินก็ไม่เห็นต้องอายใคร”
“นั่นมันไอ้ตินไง ไม่ใช่ผมสักหน่อย” คณิตอดค้อนอชิตะกลับไม่ได้ ช่างยกตัวอย่างมาได้นะ ไม่ได้ดูหนังหน้าอดีตลูกน้องคนสนิทเลย รายนั้นน่ะอยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่ามีเมียเป็นสีฟ้าคนสวย ผู้ชายที่เป็นรักแรกของมัน
แต่เขาไม่ใช่ไง!
ใครอยากประกาศเล่าว่ามีสามีเป็นตัวเป็นตน ทั้งที่ควรจะมีเมีย
“น้องลม น้องฟ้า ก็ไม่เห็นอาย” อชิตะยังไม่หยุดอ้าง
“พอแล้วบอส ไม่ต้องมายกตัวอย่างอะไรทั้งนั้น ผมไม่คล้อยตามหรอกนะ สรุปคือผมไม่อยากให้ใครรู้ไงบอส ถึงพวกนั้นจะรู้แล้วก็เถอะ ผมอยากให้มันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่อยากให้มีคนจับจ้อง กลายเป็นหัวข้อสนทนาทุกวัน บอสเข้าใจไหม” แต่คณิตก็ได้คำตอบที่ไม่นำพาของอีกฝ่าย
“ผมสั่งให้พวกนั้นเลิกพูดเรื่องของเราได้น่า”
“เฮอะ...บอสโง่หรือเปล่า คิดอะไรตื้นไปไหม” คนโดนด่าถึงกับคิ้วกระตุก ชักสีหน้าดุใส่ แต่คณิตไม่สนใจ ก็ความจริงทั้งนั้น “บอสคิดหรือว่าทุกคนจะทำตาม พวกนั้นก็แค่พยักหน้ารับคำ ทำเหมือนไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่ความคิดพวกเขาล่ะ หยุดได้ไหม ลับหลังอีก ไม่มีทางแน่ๆ ที่จะไม่เม้าธ์เรื่องผมกับบอส”
“ผมรู้ว่าความคิดคนห้ามไม่ได้ แต่ก็ปล่อยผ่านได้นี่หนึ่ง นานวันไป พวกนั้นก็คงมีเรื่องใหม่มาพูดแทนเรื่องของเรา” คนฟังทำหน้าไม่เชื่อถือ อชิตะจึงยกเรื่องนิรดามาอ้างเพิ่มน้ำหนักคำพูดของตน “จำเรื่องนุ่นที่ถูกตินยกเลิกงานแต่งได้ไหม ทุกคนพูดถึง แต่สุดท้ายแล้วก็เลิกพูด เรื่องของเราก็เหมือนกัน เลิกกังวลได้แล้ว”
“เฮอะ! บอสก็พูดง่ายเนอะ ผมไม่ได้หน้าหนาหน้าทนเหมือนบอสนี่” ว่าอย่างหมั่นไส้ อชิตะลอยตัวเหนือปัญหาเกินไปแล้ว “งั้นบอสรับปากผมได้ไหม ว่าถ้าผมโกรธหรืองอนบอส ไม่พูดกับบอส บอสจะไม่มาง้อผมต่อหน้าทุกคนเหมือนเมื่อวาน อ้อ...รวมทั้งเวลาที่บอสจะออกไปทำธุระนอกบริษัทด้วย บอสต้องไม่แวะมาที่โต๊ะผม ไม่ต้องมาบอกว่าจะไปไหน ไปทำอะไร บอสทำได้ไหม”
เพราะตอนที่ความสัมพันธ์ยังเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง อชิตะไปไหนหรือไปทำอะไรนอกบริษัท มักจะแวะมาที่โต๊ะของเขากับภาคี เพื่อบอกกล่าวก่อนออกไปเสมอ ซึ่งนั่นมันเมื่อก่อนไง ทุกคนในบริษัทก็เห็นเป็นเรื่องปกติ เห็นว่าเขากับเพื่อนเป็นลูกน้องคนสนิทที่เจ้าของบริษัทฝากฝังให้ช่วยดูแลตอนไม่อยู่ แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่แล้ว เขาอยู่ในฐานะที่ทุกคนรู้ว่าเป็นอะไรกับอชิตะ ทุกการกระทำของเขากับอชิตะย่อมถูกจับจ้องและพูดถึงไม่ขาดปากแน่
“ยังมีอีกนะ บอสทำได้ไหมที่จะไม่สนใจผมในเวลาทำงาน ปล่อยให้ผมทำงานของผมไป บอสไม่ต้องโผล่หน้ามาให้เห็น ไม่จำเป็นไม่ต้องมาพูดด้วย คุยกันเฉพาะเรื่องงานจริงๆ ย้ำว่าเรื่องงานที่ผมต้องทำ ไม่ใช่เอาเรื่องงานมาอ้างให้ผมเข้าไปหาในห้องทำงาน เพราะมันจะทำให้คนอื่นคิดว่าผมเข้าไปทำอะไรกับบอสในห้องนั้น ขนมก็ไม่ต้องซื้อมาฝาก ตอนเช้ามาทำงานก็ต่างคนต่างมาก ตอนกลับบ้านก็ไม่ต้องรอ ต่างคนต่างกลับ บอสทำได้ไหม ถ้าทำได้ ผมก็จะไปทำงานกับบอสเหมือนเดิม”
ข้อเสนอที่คณิตรู้ว่าอชิตะไม่มีวันทำได้แน่
“มันเยอะและยากมากนะหนึ่ง ผมทำไม่ได้” สำหรับอชิตะแล้ว ให้เปลี่ยนพนักงานยกบริษัทยังง่ายกว่าสิ่งที่คณิตเสนอให้เขาทำ ขนาดตอนยังไม่ได้คิดอะไรกับคณิต เขายังแวะเวียนไปหาเจ้าตัวอยู่บ่อยๆ เช้ามาทำงานก็เดินไปทัก ออกไปทำธุระข้างนอกก็บอกให้รู้ เกือบทุกเย็นวันศุกร์ก็ต้องลากตัวไปเที่ยวดื่มด้วยกัน 
“ถ้าบอสทำไม่ได้ มันก็เท่ากับว่าบอสทำตัวเป็นเชื้อเพลิงที่สุมไฟให้ลุกอยู่ตลอดเวลา แบบนี้เมื่อไรพวกนั้นจะเลิกเม้าธ์เรื่องของเราล่ะ ผมถึงต้องขอลาออกไปหางานที่อื่นทำ บอสเข้าใจใช่ไหม” คณิตเอ่ยสรุปถึงความต้องการของตัวเอง
“.....” อชิตะเถียงไม่ออกกับเหตุผลของอีกฝ่าย แต่การที่คณิตออกไปทำงานที่อื่น มันก็ไม่ต่างกันไหม หรือว่ายิ่งแย่กว่า
“ให้ผมไปหางานใหม่นะ”
“.....” อชิตะมีสีหน้าครุ่นคิด เขาไม่อยากให้คณิตไปทำงานที่ไหนไกลตา คนมันหวง ไปไกลสายตาก็ห่วงว่าจะไปทำให้ใครตกหลุมเสน่ห์เข้าอีก
“เช้าไปทำงาน เย็นก็กลับ...กลับมาอยู่กับบอสเหมือนเดิม” คณิตโน้มน้าวต่อ
“เข้าใจแล้ว” อชิตคิดออกแล้วว่าจะจัดการปัญหานี้ยังไง “ถ้าไม่อยากไปทำงานที่บริษัทก็อยู่บ้านเฉยๆ”
คณิตไม่เข้าใจ แบบนี้มันเรียกว่าเข้าใจตรงไหน เอาแต่ใจตัวเองมากกว่า
“บอส! ผมไม่ได้เป็นง่อยนะ ให้อยู่เฉยๆ แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนกินใช้เล่า” คณิตโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ผมจ่ายให้คุณทุกเดือนแน่ แล้วอยู่กับผม คุณไม่ต้องจ่ายอะไรสักบาท เพราะคุณเป็นเมียผม ผมต้องเลี้ยงดูคุณอยู่แล้ว หมดปัญหาแล้วนะหนึ่ง ไม่ต้องคิดไปสมัครที่ไหนทั้งนั้น”
คณิตหงุดหงิดจนหัวเหวี่ยง ไฟจะออกหูได้อยู่แล้ว ถึงเขาไม่ได้เกลียดอชิตะ แต่คำว่า ‘เมีย’ ที่ออกมาจากปากอชิตะ เขาก็ยังไม่เลิกเกลียดมัน
“บ้าไปแล้วบอส! แล้วหยุดเรียกผมว่า ‘เมีย’ ซะที ผมไม่ใช่ผู้หญิง! ผมไม่อยากได้ยิน” มันแสลงใจโว้ย
คณิตเกลียดสถานะที่ถูกยัดเยียดให้ลูกผู้ชายอย่างเขารับไว้ ต่อให้ถูกกอด สอดใส่ โดนเล้าโลมให้ร้องครวญครางมาหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่คู่ควรกับคำว่า ‘เมีย’ แม้แต่น้อย
เขาเป็นผู้ชายที่มีไอ้จ้อน มีไข่คู่ ไม่ได้มีรังไข่ซะหน่อย ฉะนั้นคำว่าเมีย มันไม่ใช่คำที่เหมาะกับเขาเลยให้ตายเถอะ
“ไม่ชอบ?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงถามแกมแหย่ มองอีกฝ่ายที่ทำหน้าบึ้งแสดงความไม่ชอบใจ เข้าใจว่าคณิตไม่ชอบคำนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวอยู่ในสถานะเมียเขาจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะหาคำไหนมาแทนคำว่าเมีย เพราะคำนี้มันตรงตัวที่สุด
คณิตเป็นเมียเขา...คือความจริงที่จะต้องเป็นตลอดไป
“เออสิบอส! ผมก็บอกบอสไปแล้วนะว่าอย่าเรียกผมว่าเมีย ผมไม่ชอบ ผมเกลียด ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ดีใจหรอกที่ถูกเรียกว่าเมีย”
“งั้นภรรยา”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกบอส” จะเมียหรือภรรยา มันก็เป็นสิ่งควรคู่กับผู้หญิงมีนม ไม่ใช่ผู้ชายมีไอจ้อนอย่างเขา   
“แล้วคุณอยากให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะ” อันที่จริงอชิตะก็พอรู้ว่าคำที่ใช้แทน ‘เมีย’ มีอะไรบ้าง หากก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตให้เขาใช้คำไหน
“.....” พอโดนสวนด้วยคำถาม คณิตก็เงียบไปเลย
“ถ้าไม่หามาแทนคำว่า ‘เมีย’ ผมก็ต้องเรียกคุณว่า ‘เมีย’ เหมือนเดิมนะ” เหมือนจะหลอกเด็ก เด็กที่ขยับคิ้วยุ่ง ตวัดตามองแรงอย่างจะฉีกเนื้อเขาทิ้ง
“.....” คณิตกัดปากขัดใจ
“เร็ว” อชิตะเร่งด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
นิ่งอยู่นานเพราะชั่งใจว่าจะใช้คำไหนดี ท้ายแล้วคณิตก็เลือกคำที่คิดว่าดีที่สุด มันต้องดีกว่าคำว่า ‘เมีย’ แน่ๆ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขาไม่ถูกผลักไปอยู่ในฐานะที่ควรเป็นของผู้หญิง
“คนรัก...ก็ได้ ฟังดูดีกว่าเยอะ เอาคำนี้ ต่อไปห้ามบอสเรียกผมว่าเมีย ไม่อย่างนั้นมีเรื่องแน่” คณิตรู้ตัวว่าผิวหน้าขาวๆ ของตัวเองคงกลายเป็นสีเลือดไปแล้ว เพราะความรู้สึกร้อนใบหน้ารุนแรงเหมือนโดนราดด้วยน้ำมันแล้วจุดไฟเผา
ท่องเอาไว้คณิต...
‘คนรัก’ มันเบากว่าอีกคำเยอะ
ไม่ต้องอายนะ ไม่ต้องอาย!
V
V

ต่อด้านล่างค่ะ


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“คุณอิงคะ คุณท่านให้มาเรียนว่า ถ้ายังไม่ขึ้นไปหาท่านบนเรือน เอ่อ...ก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีกค่ะ”
หนึ่งในคนใช้ของเรือนผู้เป็นย่าเดินเข้ามาบอก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมเมื่อหมดหน้าที่แล้ว
คนเป็นหลานชายคนโปรดของเจ้าของเรือนวัยแปดสิบสามปี ทว่ายังแข็งแรงและเดินเหินได้คล่องแคล่วกว่าคนวัยเดียวกัน จัดการดับจุดแดงบนปลายมวนบุหรี่ที่เหลือเกือบครึ่งทิ้งลงถังขยะ
กว่าสองชั่วโมงแล้วที่อชิตะขับรถเข้ามาจอดภายในรั้วบ้านเรือนไทยหลังเก่าแต่ก็ยังงดงามและมีโครงสร้างที่แข็งแรง ทั่วบริเวณร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และไม้ดอกหอมที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งอวดยามราตรี ชายหนุ่มยืนพิงประตูรถอยู่อย่างนั้นกับควันบุหรี่ลอยคลุ้ง 
การเผชิญหน้ากับหญิงชราผู้เป็นที่รักยากยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับความดื้อด้านของคณิตซะอีก ยากเสียจนต้องใช้รสชาติของควันบุหรี่เข้าช่วยดับความเครียดที่เกิดจากความไม่กล้า...เขายังไม่กล้าพอที่จะทำให้คุณย่า ‘เสียใจ’ กับทางที่เขาตัดสินใจเลือก หนักกว่านั้นคือกลัวว่าท่านรับไม่ได้ จนกระทบกับสุขภาพร่างกายของท่าน
อชิตะสูดลมหายใจเข้าลึก ใจนึกอยากดึงบุหรี่ออกมาสูบอีกสักมวนสองมวน แต่มันก็แค่ถ่วงเวลาได้ไม่กี่นาที ที่สำคัญคือคุณย่าคงเหลือความอดทนน้อยเต็มที ถึงได้สั่งให้คนเดินมาตามเขา ซ้ำยังใช้คำขู่ที่ไม่เคยสักครั้งจะมีมาให้หลานชายคนโปรดได้ระคายหู
เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดซะว่าเขาทำดีที่สุดได้เท่านี้ ท่านไม่รู้วันนี้ วันอื่นก็ต้องรู้ ความลับไม่มีในโลก และคณิตก็ไม่สมควรเป็นความลับที่เขาต้องปิดบังใครทั้งนั้น
บอกตัวเองเช่นนั้นแล้ว อชิตะก็ก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับหญิงชราที่ตนรักไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด

“หมดไปกี่มวนล่ะเจ้าอิง กลิ่นคลุ้งมาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว” ขึ้นเรือนมาได้ ยังไม่ได้ยกมือไหว้เลยด้วยซ้ำ อชิตะก็เจอคำถามของคนเป็นย่าทันที
หญิงสูงวัยนั่งบนเบาะนุ่มและรองด้วยเสื่อถักเนื้อหนาอีกชั้นหนึ่ง เท้าแขนข้างซ้ายไว้กับหมอนสามเหลี่ยมผ้าไหมแท้สีเงินดิ้นทอง ก่อนหันไปบอกสาวใช้ทั้งสองที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่างให้ไปทำงานอื่นเสีย นางอยากคุยกับหลานรักเพียงลำพัง
คุณย่าหรือคุณนภาแม้จะมากวัยและควรมีลูกหลานอยู่ใกล้ชิด ทว่าท่านชอบชีวิตคนเดียวมากกว่า ชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ในสายตาเป็นห่วงของลูกหลาน ทำนู่นทำนี่แบบที่ไม่ต้องมีลูกหลานคนไหนวิ่งปรี่เข้ามาหา พร้อมกับสั่งให้ท่านนั่งนอนอยู่เฉยๆ ที่สำคัญสุดคือท่านไม่ต้องการให้ลูกหลานมาเอาใจ มาคอยห่วงใยเกินจำเป็น อยากให้แต่ละคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมาเป็นกังวลกับคนแก่วัยใกล้ฝั่งเช่นท่านหรอก 
“กินอะไรมาหรือยัง ฉันว่าอิ่มควันที่อัดเข้าไปแล้วมั้ง” ท่านถามต่อ แม้จะเป็นคำถามที่ดูเหมือนประชดหลานรัก ทว่าท่านก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย
“ยังเลยครับคุณย่า”
ด้วยหลานรักของคุณนภารู้ว่ากลิ่นบุหรี่ที่หอบติดตัวมาด้วยนั้น เจ้าของเรือนไม่โปรดปรานเท่าไร อชิตะจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเรือนไม้สักห่างออกมาไกลจากทุกที ไม่ได้คลานเข้าไปสัมผัสร่างผอมบางแต่แข็งแรงเช่นทุกครั้ง
“แล้วหิวหรือเปล่า จะไปกินก่อนก็ได้นะ อิ่มแล้วค่อยมาคุยธุระของเรา” 
“ผมอยากคุยก่อนครับ” ความหิวนั้นไม่มีหรอก มีแต่ความกังวลผสมกับความเครียดจากธุระสำคัญ
“ใจร้อนถึงขั้นนี้ ทำไมมาถึงแล้วยังไม่ขึ้นมาคุยเลยล่ะฮึ ต้องให้ส่งคนไปตามถึงยอมรามือจากบุหรี่ขึ้นมาหาฉันได้ นี่ถ้าไม่มีใครไปตาม คืนนี้จะได้คุยไหมเจ้าอิง” คุณนภาเอ่ยติงหลานรัก สุ้มเสียงของท่านแข็งแรงไม่ต่างจากร่างกาย คงเพราะรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองมาตั้งแต่อายุยังน้อย ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีแต่ประโยชน์ ท่านจึงแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บไม่เคยแวะมาทักทายให้ต้องลงเรือนไปนอนบนเตียงในโรงพยาบาลอย่างเพื่อนวัยเดียวกัน ยกเว้นโรคหัวใจ โรคประจำตัวที่ยังเวียนอยู่ในร่างกาย ทว่าท่านไม่ได้ยี่หระกับมันเลย ถือคติที่ว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย ตายช้าตายเร็วก็ตายเหมือนกัน ท่านถึงได้มีความสุขกับชีวิตมาจนทุกวันนี้
‘ตายเร็วตายช้าก็ตายเหมือนกัน’ คุณนภาคิดของท่านแบบนี้ แต่ลูกหลานท่านสิ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนท่านถ้วนหน้า กลัวท่านสิ้นลมแบบไม่ทันได้ดูใจ จนท่านต้องแกล้งโกรธ กล่าวหาว่าลูกหลานแช่งท่าน ท่านจะตายเพราะลูกหลานแช่งมากกว่าจะตายเพราะโรคจริงๆ นั่นแหละถึงเบาหูได้บ้าง   
“อาการคุณย่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ” อชิตะเริ่มเกริ่นปูทางเสียก่อน เห็นรอยยิ้มรู้ทันบนใบหน้ามากริ้วรอยแห่งวัย ก่อนตามมาด้วยคำพูดที่ทำเอาหลานชายอ้าปากค้างเลยทีเดียว
คุณย่านภาเข้าประเด็นโดยไม่รอช้า ท่านรู้ว่าหลานชายมาด้วยเรื่องอะไร หากปล่อยให้เริ่มต้นเอง จากเวลาสามทุ่มคงยืดเยื้อไปหลังเที่ยงคืนเป็นแน่
“ไม่ต้องมาถามอาการของฉันหรอก ฉันยังแข็งแรงดีเหมือนเดิม อยู่ได้อีกร้อยปีนั่นเชียว แต่ถ้าฉันจะตกใจจนหัวใจวายตายตามความวิตกกังวลของพวกเธอ มันก็วายไปตั้งแต่ที่แม่เอมอรหอบหิ้วเอาเรื่องลูกชายคนเล็ก ที่ลุกมาถอนหมั้นว่าที่สะใภ้ที่เขาถูกใจนักหนา มาคว้าเอาลูกน้องผู้ชายมาเป็นสะใภ้แทน” ถ้อยคำของหญิงสูงวัยเรียบเรื่อย เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป
แต่คนฟังกลับรู้สึกว่าโลกมันพลิกกลับอย่างไรอย่างนั้น จนเผลอขยับเข้าหาเจ้าของเรือน แต่แล้วก็ยั้งตัวเองไว้เสีย เพราะคุณนภาโบกมือไล่ให้กลับไปนั่งที่เดิม เนื่องจากท่านเหม็นกลิ่นบุหรี่อย่างมาก
ท่านไม่ชอบให้หลานชายสูบบุหรี่ หากก็เข้าใจว่าคนเป็นหลานมีเรื่องกลุ้ม ถึงได้สูบเยอะจนกลิ่นเหม็นเกาะติดตัวมาแบบที่ท่านอยากไล่ให้ไปนั่งติดขอบบันไดนู่นเลยด้วยซ้ำ
“คุณย่ารู้แล้ว” อชิตะทั้งตกใจและโล่งอกในคราวเดียวกัน สิ่งที่กลัวกลับกลายเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี คำขู่ของมารดาในวันนั้นกลายเป็นเรื่องตลกในวันนี้เสียได้ คุณย่าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ อชิตะก็รู้แล้วว่าทุกสิ่งที่เขากลัวเป็นเพียงความคิดไปเองของเขา
คุณย่ารับเรื่องที่เขามีคนรักเป็นผู้ชายได้ 
”แม่เราเอามาฟ้องถึงเรือน คงอยากให้ฉันออกโรงจัดการลูกชายหัวดื้อให้กระมัง” ปลายเสียงสะบัดขำ ยามนึกถึงอาการของลูกสะใภ้ในวันที่เอาเรื่องลูกชายคนเล็กมาฟ้องเธอ
เอมอรไม่พอใจที่นางวางเฉย ไม่ดิ้นอย่างที่เจ้าตัวหวังไว้ ก็ใช่เรื่องที่จะดิ้นไปตามความคิดของอีกฝ่ายที่เอ่ยอ้างว่าความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเป็นเรื่องวิปริตผิดเพศกันเล่า ในเมื่อนางไม่เคยมองเห็นเป็นเรื่องวิปริตแต่อย่างใดเลย ทำไมผู้ชายชายสองคนจะรักกันไม่ได้ โลกมันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ลูกสะใภ้ของเธอยังย่ำอยู่กับความคิดคับแคบ ยึดติดกับอดีตที่ปลูกฝังมาว่าผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้นที่รักกันได้ นางไม่เห็นด้วยอย่างแรง
หกสิบกว่าปีที่เปิดใจให้กับความรักในรูปแบบที่ไม่จำกัดเพศ เพศเดียวกันรักกัน ไม่น่าแปลก มันก็งดงามเช่นเดียวกับความรักหญิงชายนั่นแหละ ไม่มีหรอกที่จะต่างกัน เพราะต่างก็ใช้ ‘หัวใจ’ เหมือนกัน   
“คุณย่าไม่โกรธหรือครับ ที่ผมรักผู้ชาย หาผู้ชายมาเป็นหลานสะใภ้คุณย่า”
“อยากให้ฉันโกรธจนหัวใจวายตายหรือไง ฉันเป็นให้สมใจเราได้นะเจ้าอิง” นางแกล้งแหย่ หลานชายส่ายหน้าทันที
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่คิดว่าคุณย่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมเลือก” อชิตะเอ่ยแก้ 
“ฉันอยู่มากี่ยุคแล้ว เห็นอะไรมานักต่อนัก มันไม่ใช่เรื่องยากที่ฉันจะเข้าใจ นอกจากจะเข้าใจ ฉันยังคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดวิปริตอะไรอย่างที่แม่เรากล่าวหา” คนเป็นย่าพูดให้หลานชายฟัง “แม่เราก็เดือดร้อนเกินไป๊ ชอบกะเกณฑ์ชีวิตผัวชีวิตลูก ไม่ได้ดังใจก็ต้องเอาให้ได้สมใจ สมแล้วที่เป็นแม่ของเรา ถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลยรู้ไหม เรากับแม่น่ะ”
อชิตะยิ้มอย่างยอมรับในคำพูดของคนเป็นย่า เขานิสัยเหมือนมารดาอย่างที่ท่านพูดจริงๆ ทุกอย่างต้องเป็นดังใจของเขา อะไรที่ไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ต้องเอามาให้ได้ 
“แต่ฉันก็เตือนแม่เราไปเยอะแล้ว ก็หวังว่าจะปล่อยลูกชายคนเล็กให้มีชีวิตเป็นของตัวเองซะที เพราะฉันเห็นแล้วว่าครั้งนี้ลูกสะใภ้ฉันเอาชนะลูกชายตัวเองไม่ได้แน่ สงสารกลัวแต่ว่าเส้นเลือดในสมองจะแตกซะก่อน ไอ้ที่กลัวกันว่าฉันจะไปก่อนคงได้กลัวเก้อแน่” ไม่มีประโยคไหนที่คุณย่าวัยแปดสิบสามปีจะไม่ใส่เสียงหัวเราะน้อยๆ ลงไปด้วย
“ขอบคุณมากครับคุณย่าที่เข้าใจสิ่งที่ผมเลือก” อชิตะอยากคลานเข้าไปหาคนเป็นย่า แล้วกอดให้สมกับที่ท่านเป็นคุณย่าที่เขารัก ท่านเข้าใจเขาและอยู่ข้างเขามาตั้งแต่จำความได้ เมื่อกอดไม่ได้ ก็ได้แต่ยกมือไหว้ให้สมกับการปกป้องของท่าน
“ลืมแล้วรึไงเจ้าอิง เราเป็นหลานรักของฉันนะ” คุณย่ายิ้มอ่อนโยนยามเอ่ยบอกหลานชาย “เราเลือกอะไร ทำอะไร ฉันเคารพทุกอย่าง ฉันไม่ได้หวังให้เราเลือกใช้ชีวิตแบบคนส่วนมากหรอกนะ ฉันหวังแค่ให้เราเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตัวเอง แม้มันจะไม่ถูกต้องตามความคิดของคนอื่นก็ตาม ในเมื่อชีวิตเป็นของเรา ต้องใช้ให้คุ้ม... ‘คุ้ม’ ที่ฉันหมายถึงคือมันทำให้ชีวิตเรามีความสุข อะไรที่มันทุกข์ก็ไม่ต้องเลือก จำคำของย่าไว้นะ” 
“ครับคุณย่า”
“หายเครียดแล้วนะ”
“ครับ” อชิตะยิ้มเบาใจ
“แล้วก็พาหลานชายคนใหม่มาแนะนำให้ฉันรู้จักด้วย จะได้พิศดูว่าส่วนไหนที่ทำให้หลานรักฉันค้นพบความรักรูปแบบของตัวเองได้ หวังว่าจะสู้ ‘พี่สะใภ้’ ฉันได้นะ” ท่านพูดด้วยรอยยิ้ม หวนนึกไปถึงเรื่องราวของพี่ชายกับพี่สะใภ้
“พี่สะใภ้?” อชิตะทวนคำอย่างงงๆ
“งงล่ะซี่เจ้าอิง” ท่านยิ้ม
“ครับ งงมาก” จะไม่ให้อชิตะงงได้ยังไง ย่านภามีพี่ชายเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือปู่ใหญ่ของเขา ท่านชื่อธาตรี เสียไปเมื่อสามปีที่แล้วด้วยโรคชรา และท่านก็ครองตัวโสดมาตลอดชีวิตของท่าน
“เรายังไม่ลืมปู่พรตใช่ไหม”
“ยังไม่ลืมครับคุณย่า”
ปู่พรตเป็นเพื่อนของย่านภาก่อนจะกลายมาเป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัท ‘ทีทีจี อีเลคโทรนิคส์’ ของปู่ธาตรี ซึ่งตอนนี้พี่ชายคนโตของเขานั่งแท่นผู้บริหารต่อจากปู่ใหญ่
ปู่พรตรูปร่างผอมสูง ผิวขาวผ่อง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย บางครั้งก็มองเห็นว่ามีมุมสวย โดยเฉพาะดวงตากลมที่ถูกล้อมด้วยขนตายาว ตอนเด็กเขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าว่าปู่พรตติดขนตาปลอม นอกจากนั้นดวงตาของปู่พรตก็เหมือนยิ้มได้ น้ำเสียงของท่านไม่แหบห้าวเพราะมันนุ่มนวลน่าฟัง ท่านร้องเพลงทีไร สะกดทุกคนได้เมื่อนั้น 
สิ่งที่จำได้มากที่สุดคือปู่พรตใจดีมาก เป็นคนเดียวที่ทำให้ปู่ใหญ่หัวเราะเสียงดังได้ ในยามที่ปู่ใหญ่เป็นฟืนเป็นไฟก็มีแค่ปู่พรตที่กล้าเข้าใกล้ จากนั้นก็จะเปลี่ยนคนหน้ายักษ์ให้กลายเป็นคนหน้ายิ้มได้ในเวลาไม่กี่นาที
หรือว่าปู่ทั้งสองคนจะ...รักกัน
จริงเหรอ?
ไม่มีใครรู้ ทุกคนในครอบครัวเขาเห็นปู่พรตเป็นเพียงเพื่อนรักของย่านภา เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัททีทีจีฯ และหมดลมหายใจก่อนปู่ใหญ่ไปเพียงเจ็ดเดือน...เท่านั้นจริงๆ
แท้จริงแล้ว ท่านทั้งสองคนต่างเป็นดวงใจของกันและกันอย่างนั้นเหรอ?
ความทรงจำบางอย่างของอชิตะย้อนกลับมา วันที่ปู่พรตสิ้นลมหายใจ เป็นวันแรกที่เขาเห็นน้ำตาของปู่ใหญ่ คุณธาตรีผู้ชายที่ไม่เคยร้องไห้ให้กับอะไรในชีวิต ยกเว้นความตายของปู่พรต วันนั้นเขายังแอบน้ำตาซึมตามปู่ใหญ่ไปด้วยเลย แต่คนที่ร้องไห้แข่งกับปู่ใหญ่คือพี่ชายคนโตของเขา เพราะรักกันมาก มากเสียจนเรียกได้ว่ารักเหมือนพ่อกับลูก ทั้งที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือด 
“แบบที่เราเข้าใจแหละเจ้าอิง บางเรื่องไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ชีวิตจะได้สงบสุขอย่างที่ควรเป็น รู้แล้วเก็บไว้ให้ดี ไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง ให้เรื่องของปู่ใหญ่กับปู่พรตอยู่ในใจของเราก็พอ” ท่านพูดอย่างรู้ทันความคิดของหลานชาย
“แบบนี้ใช่ไหมครับ คุณย่าถึงรับเรื่องของผมได้” เพราะคุณย่ารับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณปู่ทั้งสองมาตลอด ท่านถึงรับได้กับความรักของเขา
“ไม่หรอก ฉันบอกแล้วไงว่าเราเป็นหลานรักของฉัน ฉันอยู่ข้างเรา เหมือนที่อยู่ข้างพี่ชายที่ฉันรัก”
ถามอชิตะว่าอึ้งไหมกับเรื่องที่ได้รู้ในคืนนี้
อึ้ง...ครอบครัวของเขาไม่มีใครรู้สักคน
ทึ่ง...ที่ความรักของปู่ทั้งสองยาวนานจนถึงวันสิ้นลมหายใจ เพราะตั้งแต่ที่เขาจำความได้ ก็เห็นทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันแล้ว
เรื่องนี้อาจไม่สำคัญสำหรับใคร แต่สำหรับเขา มันเป็นดังกำลังใจชิ้นโตที่ไม่มีวันหมด ตอกย้ำให้ความมั่นใจมันเพิ่มพูน ว่าความรักยั่งยืนยาวนานจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตมีจริงกับคู่รักที่เป็นผู้ชาย เมื่อมันเกิดขึ้นกับคู่ของปู่ทั้งสองได้ มันจะต้องเกิดขึ้นกับเขาและคณิตได้เหมือนกัน
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันนะคะ T^T
อุ่นใจขึ้นบ้างว่างานเราไม่น่าเบื่อเกินไป

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
23
‘พบกันครึ่งทาง’ คือข้อสรุปของเช้าวันนั้นที่ผ่านมาได้สองเดือนแล้ว ข้อสรุประหว่างเขากับคนบ้าอำนาจ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องงานของเขา ที่เขาต้องการลาออกจากบริษัทแล้วไปหางานใหม่ทำ
อชิตะยัดเยียดการพบกันครึ่งทางให้เขาต้องยอมรับแบบห้ามมีข้อโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นคือเขาต้องไปทำงานพร้อมกับเจ้าของบริษัททุกวัน หรือไม่ก็ต้องนั่งอยู่บ้านเฉยๆ รอให้อชิตะเลี้ยงดูในฐานะเมีย
การพบกันครึ่งทางคือการให้เขาทำงานเป็น ‘ฟรีแลนซ์’ รับงานจากบริษัทเป็นรายชิ้น แต่ฟรีแลนซ์อย่างเขาได้อภิสิทธิ์ความเป็น ‘คนรัก’ ของเจ้าของบริษัทพวงท้ายมาด้วย เขาได้เงินเดือนเหมือนเดิมทุกเดือน ได้รับโบนัสเหมือนพนักงานประจำทุกอย่าง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากการพนักงานประจำ เพียงแต่ไม่ต้องไปนั่งทำงานที่บริษัท และมีบ้านทั้งหลังเป็นสถานที่ทำงาน
เฮ้อ...รอบที่เท่าไรไม่รู้ของวันที่ต้องถอนหายใจทิ้งไปกับลมเย็นภายในสวนหลังบ้าน แรงแดดกำลังหมดไปจากฟ้า ขณะที่เขายังกุมขมับกับลูกค้าสาวว่าที่เจ้าสาวของคุณหมอฟัน ผู้ซึ่งต้องการเรือนหอระดับล้านดาว ตั้งโจทย์ความต้องการสารพัดอย่าง นี่ต้องได้ นั่นต้องมี นู่นก็ขาดไม่ได้ พื้นที่สำหรับปลูกสร้างมีไม่ถึงร้อยตารางวา แต่อยากได้ยิ่งใหญ่ขนาดพระราชวังบักกิงแฮม เขาก็เพลียเป็นเหมือนกันนะ
คณิตเข้าใจนะว่า ‘บ้านคือชีวิต’ ยิ่งสร้างเป็นเรือนหอด้วย ก็ต้องออกแบบเพื่อสามชีวิตเป็นอย่างน้อย เพราะในอนาคตต้องมีชีวิตน้อยๆ เพิ่มเข้ามาในบ้านหลังนี้แน่ แต่จะทำให้หรูหราแบบที่เจ้าของงานต้องการ ในขณะที่พื้นที่มีจำกัด มันจึงเป็นงานโคตรยากเลยทีเดียวสำหรับคณิต
นอนกางแขนกางตีโจทย์แสนล้านความต้องการของลูกค้ายังไม่แตก แต่ฟ้าเริ่มมืดเพราะสิ้นแสงอาทิตย์แล้ว บวกกับยุงที่เริ่มบินตัวเบาออกหาอาหารมื้อค่ำกันเป็นโขยง คณิตจึงเปลี่ยนจากนอนมาเป็นนั่ง ตั้งใจจะหอบงานเข้าไปทำต่อในห้องทำงานของอชิตะ แต่ยังไม่ทันลุก เจ้าของบ้านก็โผล่หน้ามาให้เห็นซะก่อน เมื่อเห็นเขาจะลุกขึ้นยืน อชิตะก็ยื่นมือมาให้จับ ดึงตัวเขาขึ้น แล้วใช้จังหวะนั้นโน้มใบหน้าลงมาแนบริมฝีปากบนแก้มเขา ก่อนไล่ลงมาสัมผัสริมฝีปากด้วยรสจูบที่แทบจะเอาลมหายใจเขาไปจนหมดตัว 
อชิตะยังอยู่ในชุดสูทสีเข้มแบบตอนเช้า เจ้าตัวมาถึงแล้วก็ตรงมาหาเขาอย่างทุกวัน มากอดมาจูบแสดงความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาหลายชั่วโมง ซึ่งเขาก็ยังไม่ชินซะที แม้จะผ่านมาสองเดือนแล้วก็ตาม เป็นสองเดือนที่ถูกบังคับให้ตื่นมาต้องเห็นหน้าเป็นคนแรก สบตาเป็นคนสุดท้ายของทุกค่ำคืน
ยอมรับว่าไอ้ที่ไม่ชินเพราะเขาเขิน เขาอาย รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาซะเลย ไม่รู้สิ มันเหมือนกับว่าคณิตคนเดิมจากไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไกลสุดขอบฟ้านู่นมั้ง ตรงนี้จึงเหลือแค่คณิตที่เหมือนผู้หญิงแต๋วแตกเข้าไปทุกวัน
...อชิตะกอดก็เขิน
...อชิตะจูบก็อาย
...อชิตะชวนขึ้นเตียงก็ว่าง่าย
...อชิตะจะทำอะไรตามใจชอบก็ไม่ขัด
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ยอมว่าง่ายไปกับอชิตะ ต้องขัดขืนสุดกำลังสติที่มีเหลือติดเนื้อติดตัว นั่นคือความคิดอยากแสดงบทเลิฟซีนไม่แคร์โลกของอีกฝ่าย เขาไม่ยอมร่วมมือไปกับอชิตะแน่ ก็ใครมันจะไปยอมเล่า คนในบ้านตั้งกี่ชีวิต คนข้างบ้านอีกล่ะ แม้จะมีรั้วรอบมิดชิดก็เถอะ บทความซวยจะมาเยือนก็ห้ามไม่ทันหรอก เขาถึงต้องห้ามตัวไม่แคร์โลกอย่างอชิตะเป็นอันดับแรก
ห้ามไม่ให้เอาเรื่องบนเตียงออกมาอยู่นอกห้องนอน อย่างตอนนี้ไง เผลอไม่ได้คลุกวงในตลอด
“อื้อ...บอส! ไม่เอา เดี๋ยวคนเห็น หยุดเลยนะบอส” คณิตยันใบหน้าคมเข้มออกจากซอกคอ เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะทำแค่จูบ เพราะอชิตะกำลังจะฝังรอยฟันบนซอกคอเขา
นอกจากไม่อายฟ้าอายดินแล้ว คณิตยังค้นพบอีกด้วยว่า อชิตะมีความเป็น ‘S’ พอสมควร เพราะไม่ว่าเลิฟซีนระดับอนุบาล ประถม หรือปริญญาเอกสิบใบ อชิตะจะทำให้เขาเจ็บตัวทุกครั้งร่ำไป พอบอกให้ทำเบาหน่อยเพราะบางวันเขาก็ไม่ไหวจริงๆ ก็หาว่าเขาหาเรื่องไม่ให้ความร่วมมือ พอปล่อยตามใจก็เล่นเอาเขาลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลยก็มี เช้าไหนที่ลุกไม่ขึ้น สภาพร่างกายเหมือนคนพิการครึ่งล่าง วันนั้นเตรียมตัวอายสายตาของคนในบ้านได้เลย 
แต่นั่นช่างมันเถอะ มาสนใจเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้าก่อนดีกว่า มาฟังคำแก้ตัวของอชิตะซี่ มันน่าโดนห้านิ้วฟาดบนหน้าไหมล่ะ!
“ไม่มีใครเข้ามาหรอก ผมสั่งไว้แล้ว” นี่แหละพ่อจอมอำนาจ สั่งทุกอย่าง สั่งทุกคน แต่ลืมคิดว่าสั่งความคิดคนไม่ได้
“อยากทำก็ไปในห้อง ผมไม่เอาที่นี่” บอกเสียงจริงจัง พูดแล้วก็อายตัวเอง เขาต้องกล้าหาญถึงเบอร์นี้เลยนะ ถึงจะเอาอชิตะอยู่ ไม่อย่างนั้นคงมีสักวันที่ได้โชว์เลิฟซีนต่อหน้าคนในบ้านทั้งห้าชีวิต อาจจะรวมถึงหลายชีวิตที่อยู่ข้างบ้านด้วย คิดแล้วเครียด เป็นคณิตคนใหม่นี่ช่างยากจริงๆ
โชคดีที่คณิตคนเดิมยังทิ้ง ‘ปาก’ ไว้ให้ใช้ต่อสู้ปกป้องยางอายตัวเอง
อชิตะปล่อยมือจากตัวเขาแล้ว เขาเลยเดินไปเก็บของบนโต๊ะทำงานชั่วคราว ของที่ต้องเก็บก็ไม่มีอะไรหรอกนอกจากกระดาษ...กระดาษ...และกระดาษ กระดาษที่จดโจทย์ของลูกค้า กระดาษคำตอบของโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเขาร่างความคิดไว้คร่าวๆ ก่อนลงมือออกแบบจริง   
“วันนี้เห็นคนในบ้านบอกว่านอนหน้าเครียดทั้งวัน มีอะไรหรือเปล่า หรือว่างานมันยากไป” อชิตะไม่ได้จำกัดอิสระของคณิต เพียงแต่เขาสั่งทุกคนให้ช่วยจับตาดูคณิต ว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง แล้วมารายงานเขาทุกเย็น ให้เขารู้ว่าแต่ละวันคณิตกินอยู่หรือใช้ชีวิตอย่างไร
ถึงแม้ความสัมพันธ์จะชัดเจนขึ้นทุกวัน ดีขึ้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะดีได้มากขนาดนี้ แต่อชิตะก็ยังรู้สึกระแวงอยู่ลึกๆ ว่าคณิตจะหนีเขาไปอีกครั้ง กลัวผิวน้ำทะเลที่เงียบสงบจะซ่อนคลื่นลูกใหญ่ไว้ข้างใต้
“ผมคงไม่ถูกโรคกับเรือนหอครับ ปวดหัวชะมัด คุณวิมลมาลานั่นก็จ้างร้อยจะแสน ความต้องการล้านแปดอย่าง” คณิตเปิดปากบ่นแบบไม่กลัวถูกไล่ออก เป็นหนึ่งในข้อดีของการเป็นคนรักของอชิตะ แบบว่าพอความสัมพันธ์มันไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้องแล้ว มันก็เหมือนเขามีสิทธิ์พูดได้มากขึ้นกว่าเดิม เอาแต่ใจเรื่องงานได้อีกระดับหนึ่ง ประมาณว่าจากระดับหนึ่งก็กระโดดไปที่ระดับแปดไรงี้ ยอมรับว่ามันเป็นข้อเสียที่ไม่น่าเอาอย่างเท่าไร แต่ก็นะ ก็การตามใจของอชิตะทำเขาเหลิงเองนี่น่า
“ให้ภัทรทำแทนไหม แล้วคุณไปทำโพรเจกต์ออฟฟิซใหม่ของคุณชลชาติแทน”
“ไอ้ภัทรจะได้กระโดดงับคอผมสิครับบอส” ขืนอชิตะเอางานเขาไปให้ภัทรพลทำแทนละก็ มันได้บุกมาโวยวายถึงบ้านแน่ ภัทรพลไม่ชอบงานออกแบบเรือนหอเหมือนกัน “ผมทำได้ ไม่ต้องเอางานผมไปโยนให้ใครหรอก แค่ตอนนี้ผมยังจินตนาการพระราชวังบักกิงแฮมบนที่ดินไม่ถึงร้อยตารางวาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“เบื่อไหม?” อชิตะมองแผ่นหลังเล็กแล้วถาม แม้ความกลัวจะเป็นเพียงจุดที่เล็กมากในความรู้สึก ทว่ามันก็คือความกลัวที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้ในเวลาแค่เดือนสองเดือน 
เพราะรัก เพราะหวง อชิตะจึงกลัว กลัวว่าคนคนนี้จะหนีไปจากชีวิตเขาอีกครั้ง เขามีอำนาจควบคุมอิสระของคณิตได้ก็จริง แต่เขาไม่สามารถเข้าไปควบคุมความคิดของคณิตได้ เขาไม่รู้ว่าภายใต้ท่าทีที่อ่อนลงให้เขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เชื่อฟังเขาทุกเรื่อง ยอมเขาทุกอย่าง ลึกลงไปในความรู้สึกนึกคิดแท้จริงของเจ้าตัวนั้น เขาไม่รู้ว่าคณิตคิดอะไรอยู่
แม้เรื่องของปู่ใหญ่กับปู่พรตที่รักกันจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต จะเป็นตัวอย่างของรักแท้ที่เกิดขึ้นกับคู่รักเพศเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องระหว่างเขากับคณิตจะลงเอยด้วยความสมหวังเช่นเดียวกับปู่ทั้งสอง เพราะเรื่องราวของพวกท่านเริ่มต้นด้วยความรักแบบแอบรัก จนกลายเป็นความรักยิ่งใหญ่ยาวนานเท่ากับลมหายใจของชีวิตตามที่ผู้เป็นย่าเล่าให้เขาฟัง
ต่างจากเรื่องเขากับคณิต มันไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสวยงาม ไม่ได้น่าจดจำแบบที่เอามาเล่าให้ใครชื่นชมได้ เขาถึงไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำให้ความรักของเขาเดินทางไปยังจุดเดียวกับของปู่ทั้งสองได้ไหม
“เบื่อเหรอ? บอสก็กล้าถามเนอะ”
น้ำเสียงประชดกึ่งแง่งอนดึงอชิตะออกมาจากความกลัวนั้น
“ไม่เบื่อหร้อก สบายจะตาย วันๆ เห็นแต่หน้าคนไม่กี่คน นั่งกินน้ำลายบูดก็อร่อยดีนะบอส ผมชอบจะตาย ไม่มีเบื่อแน่” 
“ผมก็ไม่ได้ห้ามคุณออกไปไหนนะหนึ่ง คุณจะไปไหนก็ได้ ผมไม่ว่า”
“ครับ บอสไม่ได้ห้าม ไม่ว่าเล้ยยย...แต่ต้องมีคนสองคนห้อยเป็นไส้ติ่งติดตัวไปด้วย” เริ่มแรกก็มีทะเลาะกันเรื่องที่ว่าถ้าเขาจะออกนอกบ้านไปไหนก็ตาม ต้องมีคนในบ้านตามเขาไปด้วย อย่างน้อยที่สุดเลยคือสองคน เขางอนไปสามวัน เป็นสามวันที่ไร้ประโยชน์มาก เพราะท้ายแล้วเขาก็ต้องยอม ไม่อย่างนั้นคนมีอำนาจจะหนีบไปทำงานด้วยกันทุกวัน ก็เขาไม่อยากกลับไปทำงานที่บริษัทอีกแล้ว เลยต้องยอมให้มีผู้คุมตัวเวลาที่อชิตะไปทำงาน พักหลังเขาเลยไม่ค่อยออกไปไหน
“ก็กลัวหาย” อชิตะบอกอย่างที่เคยบอกทุกครั้ง เมื่อพูดเรื่องนี้กัน   
“ถึงผมหาย บอสก็ตามเจอละน่า” คณิตเอ่ยปลงๆ “รับปากแล้วไงว่าจะไม่ไปไหน น่าจะวางใจได้แล้วนะ” ไม่เข้าใจเลยว่าอชิตะจะกลัวไปทำไม สองเดือนที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความคิดจะหนีเหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ แถมทำตัวว่านอนสอนง่าย เรียกว่าใช้ชีวิตเป็นคนรักของอชิตะแบบร้อยเปอร์เซ็นเลยเถอะ
“อย่างนั้นพรุ่งนี้ไปหาคุณย่ากัน” อชิตะเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่เอาบอส ไม่ไป ผมจะทำงาน” คณิตปฏิเสธเช่นทุกครั้งที่อชิตะเอ่ยชวนให้ไปพบผู้เป็นย่า ที่ต้องปฏิเสธเพราะเขายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับหญิงสูงวัย ถึงอชิตะจะบอกว่าคุณนภาเอ่ยปากเองว่าอยากเจอเขา ท่านไม่รังเกียจและยอมรับความสัมผัสของเขากับหลานชายท่าน ซึ่งมันน่ายินดีใช่ไหมที่ได้รับการยอมรับ แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะเอาหน้าไปให้ท่านเห็น เขาละอายใจเกินกว่าจะพบคนในครอบครัวของอชิตะ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะได้รับการต้อนรับที่ดี เพราะความผิดที่ไม่ว่าผ่านไปกี่เดือนและต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปี มันฟ้องว่าเขาไม่ใช่คนดีเต็มร้อย
...เขาคือหัวขโมยที่น่ารังเกียจ
การแย่งคนรักของคนอื่น มันไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ ต่อให้เขาไม่ตั้งใจก็ตาม มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสิ่งที่เป็นมาจนถึงวันนี้ มันเริ่มจากเขา เขาเป็นคนก่อเรื่อง ตั้งคำถามบ้าบอ ดังนั้นอย่าเอาเขาไปให้ใครชื่นชมเลย     
“คิดมาก พอแล้ว หยุดคิดได้แล้ว” อชิตะเอ่ยบอกด้วยรู้ว่าคณิตกำลังตกอยู่ในความคิดใด เขาประคองใบหน้าเล็กไว้ในอุ้งมือ 
คณิตสัมผัสถึงนิ้วอุ่นที่คลึงเบาๆ ระหว่างหัวคิ้วเขา มันช่วยให้เขาหลุดออกจากความคิดที่ทำให้อารมณ์ดิ่งลึกลงหุบเหวความผิดวุ่นวายและละอายใจ
“ไม่อยากให้ผมคิดมาก บอสก็เลิกชวนผมไปหาคุณย่าของบอสได้แล้ว เพราะยังไงผมก็ไม่ไป”
“ดื้อ” อชิตะเอ่ยด้วยความเอ็นดู ละมือจากใบหน้าลงมาพักไว้ที่เอวเล็ก เขายอมตามใจอีกฝ่าย ส่วนผู้เป็นย่านั้น ท่านเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย เข้าใจอะไรง่าย เขาบอกท่านว่าคณิตยังไม่พร้อม ท่านก็เข้าใจ ไม่ได้ว่ากล่าวหรือติงอะไรมา บอกแต่เพียงว่า
‘ถ้าเขายังมีเรื่องไม่สบายใจ ยังไม่พร้อม ก็ไม่ต้องบังคับเขามานะเจ้าอิง ฉันไม่ได้รีบไปไหน ยังอยู่ให้ได้เจอกันอีกหลายสิบปีละน่า’ 
“บอสก็ดื้อเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่พูดเรื่องนี้ทุกวัน” คณิตเถียงหน้ายุ่ง “ขอผมอยู่ของผมแบบนี้ได้ไหม ไม่ต้องพาผมไปพบใครทั้งนั้น ผมยอมบอสตั้งหลายเรื่อง ไม่ขัดคำสั่งบอสเลยสักอย่าง บอสก็ต้องยอมผมเรื่องนี้นะ แลกกัน”
“แต่ผมก็อยากให้คุณไปพบท่าน คุณย่าใจดี ไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องย้ายไปอยู่กับท่าน เพราะผมเป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่คนเดียว รู้ไหมว่าท่านชอบอยู่คนเดียวมาก แต่พอผมบอกจะพาหลานชายคนใหม่ไปอยู่ด้วย คุณย่ายอมทันทีเลย” พูดจบ คนฟังถึงกับทำหน้าเหมือนกลืนยาขม ครั้นจะอ้าปากบอกว่าไม่เอาไม่ไป เสียงของสาวใช้คนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหวานมาค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่สระว่ายน้ำ” สาวใช้รายงานเจ้านายหนุ่มทั้งสองแล้วเดินกลับออกไป
ชื่อของณัชชายังมีอิทธิพลสำหรับคณิตเสมอ ชายหนุ่มตัวขาวลอบระบายลมหายใจออกมา ด้วยความรู้สึกผิดที่อัดอั้นในอกไม่คลายหรือเจือจางลงเลย นานแค่ไหนกันนะความรู้สึกนี้จะหมดไปซะที ต่อให้เขาลองรักแบบไม่กลัวอะไรแล้วก็ตาม แต่ก็เหมือนมีชนักติดหลัง...แน่ลึกลงทุกวัน
“ไม่ต้องคิดมาก หวานคงแวะมาเยี่ยม” อชิตะบอกเจ้าของสีหน้าอึดอัดผสมริ้วรอยความเครียดที่ปิดไม่มิด “ไปด้วยกันนะหนึ่ง เผื่อหวานอยากคุยด้วย” พอเอ่ยชวน คณิตก็ส่ายหน้ารัวเร็ว เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะถูกชวน
“ไม่ไป ผมยังไม่พร้อม” อีกกี่สิบปีก็ไม่พร้อม คณิตไม่อยากเจอหน้าณัชชา พอๆ กับที่ไม่อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ของอชิตะ ไม่อยากย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของคุณนภา เพราะเขาไม่อยากระแวงกับความคิดของคนที่รู้ว่าเขาแย่งอชิตะมาจากณัชชา
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกหนึ่ง หวานไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ผมกับหวานเป็นพี่น้องกัน คุณก็เหมือนกัน ไปคุยกันให้สบายใจทั้งสองฝ่ายนะ” อชิตะพูดโน้มน้าว อยากให้คณิตรู้สึกดีขึ้น เข้าใจว่าที่คณิตไม่ออกไปพบณัชชาก็เพราะติดอยู่กับการกล่าวโทษตัวเอง 
“บอสอย่าทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายได้ไหม ยิ่งบอสอยากให้ผมพูดกับคุณหวานเหมือนเดิม เหมือนผมไม่ได้ทำอะไรผิดไว้กับเธอ ผมยิ่งรู้สึกแย่นะบอส” คนตัวเล็กไม่เข้าใจ ทำไมอชิตะถึงทำราวกับว่าทั้งเขาและเจ้าตัวไม่ได้ทำร้ายอะไรณัชชาเลย ทำราวกับว่าความเจ็บปวดของอดีตคู่หมั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เหมือนฝุ่นผงเข้าตา ปัดเป่าออกสักหน่อยก็หาย ทั้งที่มันไม่ใช่สักนิด ความรู้สึกของคนถูกทิ้งไม่ได้เล็กน้อยขนาดที่ว่าพูดปลอบคำสองคำแล้วจะหาย
คณิตไม่รู้หรอกว่าปริมาณความรักของณัชชาที่ให้อชิตะมากมายเท่าไร รู้แต่ว่ามันมากพอที่จะทำให้ณัชชายังไม่จากไปไหน ไม่เจ็บแค้นกับสิ่งที่อชิตะทำ และยังคงรอคอยความรักของอชิตะกลับคืนมา
“ผมไม่ได้อยากทำให้คุณรู้สึกแย่ ผมแค่ไม่อยากให้คุณหนีไปตลอด ถ้าคิดแต่จะหลบหน้า แล้วเมื่อไรคุณจะรู้ว่าหวานไม่ได้โกรธหรือเกลียดคุณเลย ถ้าหวานจะโกรธหรือเกลียดใครคนหนึ่ง คนนั้นก็ต้องเป็นผม ผมคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกผิดทั้งหมดเอาไว้ ไม่ใช่คุณนะหนึ่ง” อชิตะอาจทำให้คณิตเข้าใจว่าตนเองไม่ได้รู้สึกกับความเจ็บปวดของณัชชาอย่างที่ควรเป็น แต่ไม่เลย ชายหนุ่มรู้สึกผิดกับการเลือกทิ้งอดีตคู่หมั้นที่เคยวาดฝันอนาคตครอบครัวด้วยกันไว้ด้านหลัง เลิกราอย่างคนที่เห็นแก่ตัว ไร้หัวใจ เขารู้สึกผิดไม่ต่างจากคณิต เพียงแต่เขาเลือกเก็บความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่แสดงออกมาให้เห็น เพื่อรักษาสิ่งที่เป็นปัจจุบันเอาไว้ให้ดีที่สุด
หากเขาเอาแต่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เลือกไปแล้ว อนาคตของเขากับคณิตคงไม่พ้นเลิกรา เพราะปล่อยให้ความรู้สึกผิดมันกัดกินหัวใจ ลุกลามจนพังทลาย
“อย่าโทษตัวเองหนึ่ง” ...เหมือนที่เขาพยายามจะไม่โทษอะไรทั้งนั้น
“มันต้องรับผิดชอบทั้งสองคนนั่นแหละ” คณิตแย้งเสียงอ่อนลง แต่ไม่ยอมอ่อนให้กับคำชักชวนของอชิตะ “คุณหวานหายหน้าไปนาน ที่มานี่ก็คงอยากคุยกับบอสจริงๆ อาจเป็นเรื่องสำคัญก็ได้ บอสรีบไปหาคุณหวานเถอะ” เขาให้เหตุผล ก่อนจะชิงเดินเข้ามาบ้านเสีย 
คณิตไม่พร้อมเจอหน้าณัชชาและไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เขาจะพร้อม หรืออาจไม่มีวันนั้นเลยก็ได้

คณิตอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว และหากนับเวลาที่ปฏิเสธการออกไปพบณัชชา มันก็ผ่านมาเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มแอบมองผ่านประตูหน้าต่างห้องนอน ยังเห็นคนทั้งสองนั่งคุยกันที่เก้าอี้ข้างสระว่ายน้ำ ดวงไฟให้แสงส่องสว่างพอที่จะเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของณัชชา มือเธออยู่ในอุ้งมือใหญ่ เหมือนเธอกำลังร้องไห้ ไม่นานนักก็ถูกรวบเข้ามากอดปลอบโยน
ณัชชาร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะหัวใจหญิงสาวยังคงไม่จางจากความบอบช้ำ การปลอบกอดของอชิตะก็ไม่น่าจะแปลกเช่นกัน เพราะคนผิดก็ต้องรับผิดชอบดวงใจที่แตกสลายจากฝีมือตน ทว่าคณิตกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น เหมือนมีเรื่องราวที่ไม่สามารถมองเห็นผ่านสายตาเพียงอย่างเดียว มันต้องผ่านการได้ยินด้วย เรื่องราวจึงจะสมบูรณ์
ความอยากรู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกับณัชชา มันสั่งให้คณิตเปิดประตูห้องนอนออกมา เดินลงบันได เดินผ่านโถงกลางบ้าน ผ่านกรอบประตูออกมานอกตัวบ้านทรงตึกรูปตัวยู แฝงตัวเองไว้ในความมืดสลัวพ้นจากแสงของโคมไฟบริเวณสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มใช้ความเงียบของปลายเท้าย่องเข้าใกล้ นึกด่าตัวเองว่าทำตัวเหมือนมนุษย์เมียชอบจับผิดสามีกับคนรักเก่า แต่ยืนยันได้ว่าเขาไม่มีความคิดจะจับผิดอชิตะแม้แต่น้อย ไม่ได้มองณัชชาในแง่ร้าย แค่ความอยากรู้มันบังคับเท่านั้นเอง
จนกระทั่งใกล้มากพอจะได้ยินเสียงสะอื้นของคนในอ้อมกอดอชิตะ เสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง อาจเป็นเพราะมือที่ลูบปลอบอย่างอ่อนโยนบนแผ่นหลังบอบบางกระมัง ทำให้ณัชชาคลายความเจ็บช้ำในหัวใจและคราบน้ำตาลงได้
เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาลงราวกับจะเปิดทางให้เสียงทุ้มนุ่มนวลทว่าหนักแน่นของอชิตะได้แสดงบทบาทสำคัญของตน
คณิตตั้งใจฟังทุกคำพูด หัวใจเต้นช้าลงจนกลัวว่าจะหยุดเต้นเสียให้ได้
“ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพี่ พี่จะรับผิดชอบเอง หวานไม่ต้องเครียด ไม่ร้องแล้วนะ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะครับ”
“หวานขอโทษ...อึก...มันไม่ควรเกิดขึ้น...หวานควรระวังตัว...” เสียงของณัชชายังเจือรอยสะอื้น
“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกแล้วนะครับ“ อชิตะเหมือนจะตัดบท
“แต่...”
“ไม่มีแต่ หวานมีพี่อยู่ทั้งคน พี่จะไม่ปล่อยให้หวานต้องแบกรับปัญหาคนเดียว พี่เป็นคนก่อก็ต้องรับผิดชอบผลของมัน”
“แต่หวานไม่ได้มาหาพี่อิง เพื่อให้พี่อิง...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อะไรที่มันกลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา มาทำสิ่งที่เราทำได้ดีกว่า เชื่อพี่ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
“ค่ะพี่อิง”
บทสนทนาของอชิตะกับณัชชาจะมีต่อไปอีกนานแค่ไหน คณิตไม่ขอรับรู้แล้ว เขาหมุนตัวเดินกลับ จากออกมาด้วยน้ำหนักเท้าที่แผ่วเบาเช่นตอนมา เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังให้โดนจับได้มาแอบฟังคนอื่นเขาคุยกัน ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในบ้าน เดินขึ้นบันได เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ก่อนทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงในห้องที่มีเพียงความเงียบปกคลุม กับความรู้สึกที่ไม่รู้จะต้องรู้สึกอย่างไร และเสียงในหัวของตัวเอง
สิ่งที่ได้ฟัง บทสนทนาบางส่วนที่ได้รู้ มันชัดเจนมากพอที่จะทำให้เดาเรื่องราวของรอยน้ำตาและความรับผิดชอบของอชิตะได้ เสี้ยวหนึ่งของความคิด คณิตอยากให้ความเข้าใจของตัวเองไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่อย่างที่คิดปะติปะต่อเอาเอง รอให้อชิตะมาก่อน เขาจะถามให้รู้ความจริง ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เขาแค่คิดผิดไปเอง
คณิตมองไปที่ประตูห้อง หวังให้นาทีใดนาทีหนึ่งบานประตูจะเปิดเข้ามา พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดสูทเนื้อดีก้าวเข้ามาในห้อง มาเพื่อให้เขาถามสิ่งที่ค้างคาในใจ คำตอบที่อยากได้ยิน คำตอบที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไปเอง
ผ่านไปนานจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี ยามค่ำคืนเปลี่ยนเป็นเช้าวันใหม่ คณิตยังนั่งอยู่ที่เดิมตรงปลายเตียง หัวเราะเยาะให้กับความกลัวที่เคลือบเอาไว้ด้วยความอดทน ประตูห้องนอนยังไม่ถูกใครเปิดเข้ามา เจ้าของห้องยังไม่ปรากฏตัว
หลายครั้งที่คณิตตัดสินใจจะเดินออกจากห้องไปตามหาอชิตะ เพราะทนต่อสู้กับความคิดของตัวเองไม่ไหว ทว่าก็รั้งตัวเองเอาไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย
เพื่ออะไรล่ะ? จะไปตามหาคำตอบให้หายคาใจอย่างนั้นหรือ การที่อชิตะไม่กลับห้อง รถของณัชชายังไม่พ้นจากประตูรั้วออกไป มันก็เป็นคำตอบของคำถามทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือไง
เขาควรให้นิยามของความรู้สึกในยามนี้ว่าอย่างไรดี ความรู้สึกที่ร้อนไหม้ในก้อนเนื้อหัวใจ ความอึดอัดคับแน่นในอกกว่าครั้งไหน น้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมาทางเบ้าตาเพราะมันรินไหลอยู่ภายใน เขาเหมือนหายใจไม่ออกไปทุกที
‘มึงลองรักแบบที่ไม่ต้องกลัวอะไรดูสิวะ รักไปตามที่ใจมึงต้องการ รักโดยที่แม่งไม่ต้องสนใจใครทั้งนั้น เอาแค่ที่มึงรัก เอาแค่ที่มึงอยากได้จากบอส...’
คำยุของภัทรพลเมื่อสองเดือนก่อนย้อนกลับมาดังซ้ำๆ ในหัว 
ถ้า ‘ลอง’ แล้วลงเอยแบบนี้ แบบที่เจ้าของตัวจริงกลับมาทวงคืน เขาต้อง ‘ทำใจ’ ยังไง หรือต้อง ‘รู้สึก’ แบบไหน ภัทรพลไม่ได้บอกไว้ เพราะภัทรพลเองคงไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ความคิดของคณิตหยุดลงเมื่อประตูบานที่นั่งจ้องข้ามคืนถูกเปิดเข้ามา คนที่เขารอก้าวตรงมาหา ใบหน้าแม้จะนิ่งเรียบแต่ก็เต็มไปด้วยริ้วรอยความอ่อนล้า แววตาของอชิตะจืดจางเหมือนถูกสูบเอาชีวิตชีวาออกหมดสิ้น
ใกล้แค่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเหมือนยิ่งถอยห่างไปอยู่กันคนละครึ่งฟ้า คล้ายคนแปลกหน้าของกันละกัน ราวกับไม่มีวันจะเข้าใกล้กันได้อีกแล้ว เมื่อคำพูดหนึ่งถูกเปล่งออกมาจากปากของอชิตะ
“หวานท้อง...”
จริงอย่างที่คณิตสรุปจากบทสนทนาเมื่อคืน
“...กับผม”
นี่ก็เป็นสิ่งที่คณิตเตรียมรับมือมาตลอดทั้งคืน มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ณัชชาจะท้องกับใครได้ถ้าไม่ใช่อดีตคู่หมั้นของตน ส่วนอชิตะก็พร้อมรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำทิ้งไว้ ทุกอย่างลงตัว ถูกต้องแบบที่ควรเป็นมานานแล้ว 
“ผมต้องรับผิดชอบ”
อืม...มันแน่นอน นอกจากความรับผิดชอบแล้ว เด็กที่จะเกิดมาก็เป็นลูกของอชิตะ ลูกที่เจ้าตัวเคยวางแผนร่วมกับณัชชาว่าจะมีสักสามสี่คน 
เขาควรยินดีใช่ไหม?
...ยินดีกับโซ่ทองคล้องใจคนทั้งคู่
เขาควรดีใจหรือเปล่า?
...ที่ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจจะคลายลงและจางหายไปซะที ชนักที่ติดหลังอยู่นานมีคนดึงออกให้แล้ว แต่ทำไมสิ่งที่บีบคั้นอยู่ในอก ถึงได้ทะลักออกมาเป็นคำถามโง่ๆ ด้วยนะ
“แล้วผมล่ะ?”
...ควรต้องเดินออกไปใช่ไหม
“ผมจะย้ายไปอยู่คอนโดฯกับหวาน คุณอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ แต่ผมอาจจะไม่กลับมา” น้ำเสียงของอชิตะฟังว่างเปล่า แต่ในความว่างเปล่าคือปลายมีดกรีดลึกลงบนความรู้สึกคนฟัง มันคือคำบอกลาของคนที่เพิ่งพูดกับคณิตเมื่อวานว่า
‘ก็กลัวหาย’
กลัวเขาหาย แต่กลับเทเขาทิ้งได้อย่างง่ายดาย ใช่สิ อชิตะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วนี่ เจ้าตัวเคยบอกเลิกณัชชาได้แบบเลือดเย็นที่สุดมาแล้ว ทำไมจะทำอีกครั้งไม่ได้ แค่เปลี่ยนคนที่อชิตะจะเลือดเย็นด้วยก็เท่านั้น
“ขอบคุณครับบอส แต่ไม่เป็นไร” คณิตกลืนความรู้สึกว่างเปล่าแต่เจ็บลึกลงไปในอก เอ่ยบอกเหมือนเป็นคำพูดที่อยากพูดมานานแสนนาน “ผมจะได้กลับคอนโดฯเสียที ลาก่อนครับบอส”
ลาก่อนและจบสิ้นกันซะที...   
ดีใจสิวะไอ้หนึ่ง!
เมื่อก่อนมึงต้องการแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
แต่นั่นมันเมื่อก่อน ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ ‘ลองรัก’ ไปแล้ว
เจ็บชะมัด...   

......... โปรดติดตามตอนต่อไป ..............

ว้าววว ใกล้เดินทางมาถึงจุดจบแล้วน้าา เหลืออีก 9 ตอนก็จะจบแล้วนะคะ

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
24
ภาคีเป็นเพื่อนที่คณิตสนิทและรักมากที่สุด ไม่ว่าคณิตจะมีปัญหาหรือเรื่องอะไรก็ตาม ภาคีจะเป็นคนแรกเสมอที่คณิตวิ่งไปหา แต่ในเวลาที่คณิตขับรถพ้นรั้วของบ้านปูนเปลือยรูปทรงสี่เหลี่ยมออกมานั้น ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะขับออกจากกรุงเทพฯ ด้วยความเร็วที่เรื่อยเฉื่อย ไม่เร่งรีบ ใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจังหวัดติดทะเล
เมื่อมาถึงจุดหมายคือบ้านของชิตตะวันแทนที่จะเป็นบ้านของภาคี เจ้าของบ้านต้อนรับคณิตเป็นอย่างดีก่อนกลับไปทำงานต่อเพราะทิ้งงานสำคัญเอาไว้ คณิตเห็นความอยากรู้ในแววตาที่มองมาของชิตตะวัน อีกฝ่ายคงมีคำถาม เพียงแต่รู้ว่าเขาไม่พร้อมจะตอบอะไรทั้งสิ้น เจ้าตัวถึงไม่ถามอะไร
คณิตล้มตัวลงนอนตรงโซฟากลางบ้านหลังขนาดพอดีสำหรับหนุ่มโสดแต่ไม่สดอย่างชิตตะวัน แต่ก็แอบสังเกตว่าหนุ่มโสดจะมีคนมาอยู่ร่วมบ้านด้วยหรือเปล่า เห็นได้จากรองเท้าที่เบอร์เล็กกว่าของเจ้าของบ้าน รองเท้าเพ้นต์ลายน่ารัก ไม่น่าใช่สไตล์ชิตตะวันแน่ แต่สติของคณิตก็ไม่ได้ยาวนานขนาดจะเที่ยวจับผิดชีวิตของใครนัก พอล้มตัวลงนอน ความเหนื่อยล้าของร่างกายจากการขับรถมาไกล กับอารมณ์ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า อารมณ์ของคนที่ถูกเททิ้งก็พาเข้าสู่นิทราโดยง่าย
หลับไปกี่ชั่วโมงคณิตไม่รู้ พอตื่นก็เห็นท้องฟ้านอกกระจกเป็นสีเทาใกล้ดำเต็มที ไฟในห้องสว่างพรึบในจังหวะนั้นพอดี เด็กคนหนึ่งในชุดนักศึกษาน่าจะเป็นเจ้าของเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย
...แม้ในฝัน อชิตะยังตามมาหลอกหลอน มาตามเอาตัวเขากลับ ฉุดกระชากลากถูจนเขาต้องพ่ายแพ้ แต่พอรถวิ่งไปถึงครึ่งทาง สองข้างทางเป็นป่าเขา ไร้บ้านเรือนของผู้คน อชิตะก็จอดรถ ไล่เขาลง แล้วขับจากไป ทิ้งให้เขายืนร้องไห้กลางสายฝนกับเสียงฟ้าร้องคำราม...แต่ที่แท้ก็คือเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จัก
คนมาใหม่สะดุ้งนิดหนึ่ง ยืนจ้องหน้าคณิตที่ยังมึนเพราะเพิ่งตื่น ดวงตาเรียวเล็กกลิ้งไปมาเหมือนกำลังทบทวนความจำของตัวเองอยู่สักพัก ถึงได้หลุดคำทักทายออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนคนนี้คือใคร มีความสำคัญอย่างไรกับเจ้าของบ้าน
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ผมกวนพี่หรือเปล่าครับ”
“เปล่า” คณิตส่ายหน้าหลังจากยกมือขึ้นรับไหว้เด็กหนุ่มแล้ว พลางคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของรองเท้าผ้าใบที่เพ้นต์ลายน่ารัก เป็นเด็กใหม่ของเจ้าของบ้านแน่ๆ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเลยทีเดียว
เด็กคนนี้มีผิวขาว ผอมเพรียว ริมฝีปากเล็กแดง คิ้วไม่เข้มจัดแต่ก็พอดีกับใบหน้าเล็กเรียวและเส้นผมย้อมสีน้ำตาลเข้ม มีดวงตาเรียวเล็กและเปลือกตาชั้นเดียว แก้มใสไม่มีร่องรอยเม็ดสิว โดยรวมแล้วถ้าสายตาเขาไม่ผิดพลาด หน้าตาแบบนี้เป็นน้องชายเขาได้สบายเลย จะผิดไปก็ตรงที่ว่าไอ้เด็กหน้าคล้ายดันตัวสูงกว่าเขาไปมากนี่แหละ
เด็กสมัยนี้ทำไมมันสูงจังวะ คณิตเห็นแล้วอิจฉา
“พี่ใช่พี่หนึ่งหรือเปล่า น่าจะใช่ เพราะเหมือนในรูปเลย แต่ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปเยอะ”
อ้าว...ไอ้น้อง ถามเองตอบเองเลย
“งั้นพี่ก็ไม่ต้องบอกแล้วนะว่าพี่เป็นใคร”
“อืม...ไม่ต้องบอก ผมรู้แล้ว” ตอนบอกว่ารู้แล้ว น้ำเสียงเด็กหนุ่มแผ่วลงนิดหนึ่ง “ตามสบายนะพี่...ไม่ใช่สิ ก็พี่มีสิทธิ์อยู่บ้านหลังนี้อยู่แล้วนี่ ผมขอเวลาเก็บของนิดนะ ไม่นานหรอก ของผมมีไม่มาก ก็ไม่ได้ตั้งใจมาอยู่ถาวร แต่พอดีว่าบ้านผมหนี้เยอะ เลยต้องมาอาศัยบ้านเขาอยู่” ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งปรูดขึ้นบันไดไป
คณิตไม่งงคำพูดของเด็กหนุ่มนักศึกษาหน้าใสหรอก พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ควรถามเขาสักคำไหมว่าเป็นอะไรกับเจ้าของบ้านหรือเปล่า ไม่ใช่สรุปเอาเอง แล้วสีหน้าแบบนั้น
...เจ็บปวดชัดๆ
แล้วเขาควรทำยังไง ตามขึ้นไปอธิบายให้เข้าใจว่าเขาแค่มาอาศัยพักใจที่พังยับเยิน หายดีเมื่อไรก็กลับบ้านกลับช่องแล้ว ไม่ได้คิดจะมาทวงใครคืนเลย
ครั้นพอคณิตตัดสินใจจะตามขึ้นไปอธิบายให้หนุ่มน้อยเข้าใจเสียใหม่ เสียงรถยนต์ซีอาร์วีสีดำคริสติลวิ่งเข้ามาจอดเสียก่อน คณิตเลยเปลี่ยนใจ ทิ้งตัวลงนั่งเหมือนเดิม ไม่นานชิตตะวันก็เดินเข้ามาในบ้าน พร้อมถุงกล่องอาหาร
“เพิ่งตื่นเหรอ” ชิตตะวันถามขณะเดินเอาถุงกล่องอาหารไปวางบนโต๊ะอาหารที่อยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน ถัดไปคือห้องครัว
“เด็กมึง...” คณิตพูดแค่นั้น คนที่เอ่ยถึงก็เดินปานวิ่งลงมาจากชั้นสอง กระเป๋าเป้บนแผ่นหลังใหญ่เสียจนคณิตคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะออกไปอยู่ป่าสักเดือนหรือสองเดือน แล้วไอ้ที่หอบหิ้วอยู่ในมือ ใช่ถุงเต้นส์หรือเปล่า พกมาขนาดนี้เลย
“อะไร?” ชิตตะวันเดินย้อนกลับมาบริเวณส่วนนั่งเล่นของบ้าน มองตามสายตาของคณิตก็ได้คำตอบ “ไหนบอกวันนี้ไม่กลับ” เขาถามเด็กหนุ่มที่ตีหน้าเรียบแต่แววตาฟ้องความรู้สึกออกมาหมดสิ้น
เด็กน้อยที่ก่อนหน้านี้วิ่งไปเก็บของใส่กระเป๋า กลับลงมาด้วยสภาพตาแดงก่ำ ปลายจมูกเล็กก็แดงไม่ต่างกัน ใบหน้าใสเคลือบคราบน้ำตาที่เจ้าตัวเช็ดออกไม่หมด
“กลับมาเก็บของ” เด็กหนุ่มตอบด้วยสุ้มเสียงที่บังคับให้เป็นปกติ ยังไงก็ฟังสั่นเครืออยู่ดี แล้วหันกลับมาทางชายหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้าเป็นครั้งแรก หลังจากที่เห็นผ่านรูปถ่ายมาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเอ่ยลาอย่างเด็กที่มีมารยาท “ผมไปแล้วนะครับ จะไม่กลับมาที่นี่อีก พี่สบายใจได้”
“เปล่าเว้ย กูไม่ได้ทำอะไรเด็กมึง ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง” คณิตรีบปฏิเสธ เมื่อชิตตะวันหันหน้ามาทางเขาแบบมีคำถาม นี่คงคิดว่าเขาทำอะไรเด็กมันสินะ “กูอยู่ของกูเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรให้สะเทือนใจเด็กมึงแม้แต่คำเดียว มึงเคลียร์เอง กูไม่เกี่ยว” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งดูคู่กรณีทั้งสองเคลียร์ปัญหากัน
ดีเหมือนกัน...มีเรื่องบันเทิงของคนอื่นเป็นตัวฆ่าอารมณ์เจ็บปวดของตัวเอง
“จะไปไหน” ชิตตะวันดึงสายตากลับไปยังเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก็ไม่คิดว่าวันนี้เบิกฟ้าจะกลับบ้าน เนื่องจากเจ้าตัวบอกว่าจะไปทำรายงานที่หอเพื่อนแล้วจะค้างที่นั่นเลย เขาเลยไม่ได้บอกเรื่องของคณิต
“ไปหาที่อยู่ใหม่” เบิกฟ้าตอบ พลางเดินดุ่มๆ ไปที่ประตู ในใจของเด็กหนุ่มคิดแต่ว่าจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“มีเงินหรือไง” ชิตตะวันเดินไปคว้าแขนคนตัวเล็กไว้
“ไม่มี แต่ที่อยู่ฟรีก็มีเยอะ มีคนยินดีให้กูอยู่ฟรีอีกหลายคน ไม่ได้มีมึงคนเดียวซะหน่อย” 
“ปากดี เดี๋ยวจะโดนดี เอากระเป๋าไปเก็บ” 
“ไม่! กูจะไป”
คนนอกเหตุการณ์มีสะดุ้งพอสมควร คณิตไม่คิดว่าเด็กหนุ่มหน้าใสจะฝีปากแรง ใช้ ‘มึงกู’ กับผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าหลายปี
“จะเอาไปเก็บดีๆ หรือต้องให้ทำอย่างอื่น” คนอายุมากกว่าขู่ เด็กหนุ่มที่ตาขวางอยู่แล้ว ยิ่งขวางขุ่นขึ้นอีก ปลดกระเป๋าใหญ่ออกจากหลัง แล้วเหวี่ยงฟาดใส่คู่กรณีทันที ชิตตะวันถึงกับเซ
“อยากให้เอาไปเก็บนัก มึงก็เอาไปเก็บเอง แต่กูจะไป” ว่าแล้วก็ก้าวฉับๆ ออกนอกประตูไป
“แสง!” ชิตตะวันคำรามตามหลัง ก่อนจะตามออกไปในสภาพหงุดหงิด 
เมื่อครู่กรณีเปลี่ยนสถานที่เคลียร์จากในบ้านเป็นนอกบ้าน ครั้นจะให้คณิตนั่งอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ใช่นิสัยโดยแท้จริงของตน ทนนั่งติดเบาะไม่ถึงสองนาที คณิตเลยย่องเงียบตามไปดูทั้งสองคนที่ยืนยื้อยุดฉุดกระชากกันด้วยบทสนทนาที่ดังพอประมาณ แต่ไม่มากพอที่จะเผื่อแผ่ไปให้เพื่อนบ้านได้บันเทิงร่วมไปด้วย
แล้วสิ่งที่คณิตเกาะประตูมองไปเห็นคือ...
เหี้ยแล้ว!
เคลียร์กันด้วยเสียงไม่พอใช่ไหมไอ้ชิต! ...ไหงมึงต้องลากเข้าไปเคลียร์ในรถป้ายแดงด้วยวะ
ท้องฟ้าว่ามืดแล้ว แต่กระจกรถคันใหญ่ยิ่งมืดกว่า คณิตพยายามคิดในแง่ดีว่าเจ้าของบ้านกลัวเสียงโวยวายที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ของฝ่ายที่เด็กกว่า ว่าจะดังไปรบกวนเพื่อนบ้านให้รำคาญ เลยลากไปเคลียร์ในรถที่มีห้องโดยสารกว้างขวางเหมาะกับกิจกรรมบันเทิงหลายชนิด
เกาะขอบประตูเพ่งสายตาดูเหตุการณ์ในรถนานหลายนาที จากเสียงก่นด่าที่เล็ดลอดออกมาเบาแสนเบานั้นได้เงียบหายไป จนทั่วบริเวณเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงของค่ำคืนในตัวเมืองต่างจังหวัด  ไม่มีเสียงเครื่องยนต์วิ่งผ่านให้หนวกหู เพราะบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในซอยตันและเป็นหลังเกือบสุดท้ายด้วย
ภายในความเงียบสงบที่คณิตเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความอยากรู้อันใกล้เคียงกับความเสือกตามนิสัยเดิมของตน ไม่นานนักความคิดในแง่บวกก็โดนตีแสกหน้า ภายในห้องผู้โดยสารตอนหลังทำท่าว่าจะมีกิจกรรมบันเทิงเกิดขึ้น!
เหี้ยชิต!!
รถมันไม่ใช่ที่รโหฐานนะเว้ย
เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่
คณิตไม่นึกอยากเสือกกับกิจกรรมภายในห้องผู้โดยสารของรถสีดำคริสตัลอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะช่วยให้หนุ่มน้อยหน้าใสลดความอับอายฟ้าอับอายดินลงบ้าง ด้วยการขยับเท้าแผ่วเบาไปที่สวิตช์ไฟ จิ้มนิ้วกดลงไป เสี้ยววินาทีนั้นจึงเหลือแต่สว่างจากดวงจันทร์บนฟ้าเพียงอย่างเดียว
ทันทีที่ละมือจากปุ่มสวิตช์ไฟ คณิตแว่วได้ยินเสียงก่นด่าที่น่าจะดังก้องห้องโดยสารแต่เล็ดลอดออกมาเพียงแผ่วเบา แล้วเงียบหายไปเลย
อ้อ...แล้วก็เสียงอะไรสักอย่างที่โขกเข้ากับกระจกรถอีกสองทีมั้ง

คณิตหันหลังกลับเข้าบ้าน เดินขึ้นไปอาบน้ำในห้องนอนแขก ที่ชิตตะวันบอกตั้งแต่ตอนกลางวันที่เขามาถึงว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน อาบน้ำเสร็จก็ลงมาหาอะไรใส่ท้องเพราะความหิวเล่นงาน ความจริงหิวตั้งแต่เห็นกล่องข้าวแล้ว แต่ทนหิวเอาไว้ก่อน อะไรที่ทำให้เขาต้องทนหิวน่ะเหรอ...ก็ใครมันจะกินข้าวลงเล่า ในเมื่อมีคนกำลัง ‘ตั้ม’ กันในรถที่จอดอยู่ข้างตัวบ้าน
แต่ตอนนี้มันหิวจัดไง ทนไม่ไหวแล้ว และสองคนในรถคันใหญ่คงจะใกล้จบกิจกรรมเข้าจังหวะแล้วมั้ง นี่เขาเผื่อเวลาให้ชิตตะวันถึงสองยกเลยนะเว้ยถึงลงมาเนี่ย 
คณิตเดินไปที่โต๊ะอาหาร ยังไม่ทันเปิดดูว่าเจ้าของบ้านซื้อข้าวกล่องเมนูไหนมาให้ ชิตตะวันก็เดินหน้าตามีความสุขนำเข้ามาเสียก่อน มีเด็กน้อยหน้าตาหงิกงอเดินตามหลังมาห่างๆ มองจากสภาพการเดินของเด็กแสงแล้ว ปากเจ่อซะขนาดนั้น รวมถึงรอยฟันบนต้นคอขาวนั้นอีก ปากมันก็ขยับไปตามสิ่งที่คิดทันที
“ซาดิสม์นะมึง” พูดเองก็สะอึกตรงหัวใจ ไอ้คนที่ทิ้งเขาไปแล้ว มันก็ซาดิสม์เหมือนกันนี่หว่า
ชิตตะวันหัวเราะเบาๆ เป็นเชิงรับ พลางขยับเก้าอี้ให้เบิกฟ้าที่เดินตามหลังมาได้นั่งง่ายขึ้น
“เด็กมันชอบ”
“ชอบเหี้ยมึงสิ” ค้อนตาคว่ำแล้ว เบิกฟ้าก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งให้เบาที่สุด ส่วนล่างด้านหลังจะได้ไม่กระทบกระเทือนมาก ในใจนึกก่นด่าคนที่ทำให้เขาตกอยู่สภาพร่างกายส่วนล่างสะบักสะบอม ระบมร้าวไปหมด ยังไม่นับอาการปวดหลังอีกนะ ในรถก็มีพื้นที่แค่นั้น ไอ้คนหื่นมันยังอยากจะเล่นเขาทุกท่า ถึงจะด่าไปเยอะจนเสียงแหบแห้งแล้วก็ตาม คนอย่างชิตตะวันก็ไม่สำนึก กลับชอบใจที่ทำเขาเจ็บและยอมแพ้ได้
“ด่าแล้วหน้าแดง ไอ้ห่าชิตคงกลัวหรอกนะน้อง ด่าแล้วต้องแถมของ...” มือคณิตคว้าของที่ใกล้มือที่สุดคือกล่องทิชชูขึ้นมา ก่อนจะปาใส่หน้าชิตตะวันเต็มแรง ชิตตะวันซึ่งกำลังเผลอมองแก้มแดงของเบิกฟ้าเพลินจึงโดนไปเต็มหน้า
“เล่นอะไรเนี่ยหนึ่ง ชิตเจ็บนะ” ชิตตะวันทันเห็นกล่องทิชชูลอยข้ามฝั่งมาแค่เสี้ยววินาที ไม่มีเวลาให้ทันหลบหลีก มันจึงกระทบกลางหน้าเต็มๆ เป็นที่สนุกสนานของคนปา ส่วนอีกคนที่เหลือก็ไม่พ้นหัวเราะสะใจ ก่อนจะหยุดลงดื้อๆ
เบิกฟ้าสะดุดกับคำเรียกขานของชิตตะวันที่ให้กับอีกฝ่าย และยังแทนตัวเองด้วยชื่ออีก...ความน้อยใจตีรวนทันที แต่ต้องนั่งทนฟังคนทั้งคู่คุยกันเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“กูไม่ชอบเห็นเด็กน้อยโดนเสือหื่นอย่างมึงเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวเว้ย...มือมี ตีนมี ก็อย่าปล่อยให้มันรังแกมากนัก เดี๋ยวมันจะได้ใจ เล่นเราไม่หยุด” ท้ายๆ คณิตหันมาแนะนำหนุ่มน้อยจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง
“ปากนะครับหนึ่ง ระวังจะโดนเล่นซะเอง” ชิตตะวันว่าขำๆ ไม่ได้นึกรู้เลยว่ามีคนนั่งจับผิดคำพูดของตนทุกคำ พลางจัดแจงข้าวกล่องบนโต๊ะที่สั่งให้พ่อครัวของโรงแรมทำให้แบบง่ายๆ กับกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยดำของชอบของคณิตอีกกล่องใหญ่ออกมาจากถุง ดีนะที่เขาสั่งให้ทำข้าวผัดทะเลกล่องใหญ่มาเผื่อความหิวรอบดึกด้วย ไม่อย่างนั้นอาหารคงไม่พอสำหรับผู้ชายสามคนหรอก ต้องขับรถออกไปซื้อเพิ่มแน่ ซึ่งความอร่อยของร้านอาหารตามสั่งแถวนี้ ไม่อยากจะพูดเลยว่าเขาทำเองยังอร่อยกว่ามาก
“มีของชอบของหนึ่งด้วยนะ” ชิตตะวันนำเสนอ
“มีกุ้งทอดกระเทียมด้วย สุดยอดว่ะ รู้ใจกูจริงๆ” คณิตพูดตาวาวเพราะถูกใจ ยิ่งเห็นกุ้งตัวโตแล้วด้วย ยิ่งถูกใจหนักมาก
“ชิตไปเอาจานให้”
ชิตตะวันทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี ชายหนุ่มลุกเดินไปหยิบจาน ช้อน และส้อมในห้องครัว ครั้นกลับออกมาก็พบว่าบรรยากาศดูอึมครึม อารมณ์น้อยใจของคนบางคนลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
เจ้าของบ้านหันไปหาแขก ไม่ได้ถามด้วยปากแต่ใช้สายตาถามแทน คณิตส่ายหน้า ทำหน้างงแตกเป็นคำตอบ คณิตจะรู้ได้ไงเล่าว่าเด็กน้อยหน้าใสเป็นอะไร พอชิตตะวันเดินหายเข้าไปในห้องครัว หน้าเด็กแสงก็เป็นแบบนี้แล้ว
“เป็นอะไร ไม่พอใจอะไรอีก” ชิตตะวันถามพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่ม หลังจากส่งอุปกรณ์การกินให้คณิตเรียบร้อยแล้ว “ไม่บอกแล้วกูจะรู้ไหมห๊ะ” เขาใส่อารมณ์นิดหน่อย ก็คนมันใช้พลังงานไปเยอะตอนอยู่ในรถเลยรู้สึกหิวเป็นพิเศษ แต่เบิกฟ้ามาเป็นซะแบบนี้ นั่งทำหน้าบึ้งหน้าตูม ปากหงิกงอ พร้อมประกาศสงครามประสาทอีกครั้ง
ถ้าจะให้เดาความคิดของเบิกฟ้าละก็ ชิตตะวันขอยอมแพ้ อารมณ์เจ้าเด็กนี่แปรปรวนยิ่งกว่าลมฟ้าอากาศซะอีก เห็นหน้าตาน่ารัก ดูว่านอนสอนง่าย ความจริงคือมันไม่ง่ายเลย บอกให้มันไปซ้าย มันก็ไปขวา บอกว่าไม่ มันจะเอาให้ได้ บอกให้เงียบ มันก็เถียงจนเส้นเลือดในสมองเขาเกือบแตกทุกที ที่เอาชนะมันได้ทุกวันนี้ก็หลักการเดียวเลยคือ...ลากขึ้นเตียง จัดการปอกเปลือก แล้วกิน มันถึงจะสงบปากสงบคำลงได้ 
“แล้วใครอยากให้มึงรู้วะ” เมื่อถูกว่า เบิกฟ้าก็สวนกลับเสียงสะบัด อารมณ์น้อยใจคับอกจวนระเบิด เบิกฟ้าไม่ได้อยากเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนสำคัญของชิตตะวันหรอก แต่มันอดไม่ได้ไงเล่า คิดดู คำพูดคำจาที่ชิตตะวันมอบให้คนที่บอกเขาในรถว่าเป็นแค่เพื่อนสิ แทนตัวเองว่า ‘ชิต’ งี้ เรียกอีกฝ่ายว่า ‘หนึ่ง’ งี้ มันน่าน้อยใจไหมล่ะ
สาบานได้ว่าเขาไม่ได้โกรธหรือโทษคณิต เพราะคนที่ถูกรักอย่างคณิต ไม่ใช่คนที่เขาควรโกรธหรือเกลียด เขามีเหตุผลพอน่า แต่กับอีกคน เบิกฟ้าไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล ใช้อารมณ์อย่างเดียวเลย แตกหักกันไปก็ได้ เขาพร้อม!
“หึงกูกับหนึ่งว่างั้น” ชิตตะวันลองเดาอารมณ์เด็กน้อยดูสักครั้ง ขืนนั่งรอเบิกฟ้าบอก ใกล้เข้าโลงมันก็ไม่ยอมบอกเขาหรอก ดูท่ามันตั้งใจชวนเขาทะเลาะเต็มที่ สงสัยเขาจะเดาถูก เพราะตาลูกเล็กแทบจะถลนออกมาจากเปลือกตาชั้นเดียว ปฏิเสธเสียงแปดหลอดกลบเกลื่อนใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัด
“กูไม่ได้หึง!”
“หึงที่กูพูดเพราะกับคนอื่น”
“ไม่ได้หึง!!”
“หึงแน่ๆ” แกล้งเด็กเป็นอีกเรื่องสนุกของชิตตะวัน พอเดาถูก อารมณ์ของชิตตะวันเลยดีขึ้น ชายหนุ่มหยิบจานพร้อมช้อนและส้อมไปวางตรงหน้าเบิกฟ้า อีกฝ่ายรีบผลักออกไปให้พ้นตรงหน้าตัวเอง ซึ่งก็แทบจะตกขอบโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง
“ของแตกหนึ่งชิ้นเท่ากับหนึ่งวันที่มึงลุกจากเตียงไม่ได้ ไม่น่าจะลืมนะ กูย้ำไปหลายรอบแล้วนี่” รอยยิ้มเหี้ยมแฝงรอยหื่นกระหาย กับคำขู่ที่ไม่ได้เป็นคำขู่แต่อย่างใด เพราะมันเคยเกิดขึ้นแล้ว เบิกฟ้าเลยต้องเอื้อมไปหยิบจานกลับมาไว้ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง
“หรือกูควรเพิ่มกฎอีกข้อดี” คนพูดหรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ “วันไหนที่มึงหึงกูแบบไร้สาระ วันนั้นกูจะให้น้องเบิกฟ้าแก้ผ้าเดินในบ้าน ดีไหม”
“ไอ้โรคจิต!” เบิกฟ้าแทบอยากฟาดจานกระเบื้องสีขาวใส่เจ้าของความคิดอุบาทว์ แต่ยั้งมือตัวเองไว้ทัน 
“เออว่ะไอ้ชิต มึงโรคจิตจริงๆ” คณิตรีบสนับสนุนคำพูดเด็กเบิกฟ้า หลังจากนั่งฟังคู่รัก (น่าจะใช่แล้วล่ะ) สนทนาเคลียร์ปัญหากันอีกรอบ โดยมีเขาเป็นประเด็นหลักอีกจนได้
และอีกเรื่องที่คณิตนึกแปลกใจ ชีวิตเขาทำไมถึงได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อนั้นมีคำว่า ‘ฟ้า’ เยอะนักนะ ทั้งสีฟ้า น้ำฟ้า และนี่ยังมีเบิกฟ้าโผล่มาอีกคน แต่ละคนก็ล้วนเป็นคนรักของคนที่เขารู้จัก แอบคิดว่าต่อไปจะเจอใครที่มีคำว่า ‘ฟ้า’ อยู่ในชื่ออีกบ้าง   
“เด็กจะได้เลิกหึงอะไรไร้สาระไง อยู่กับมัน ผมชิตหงอกไม่รู้กี่เส้นแล้วเนี่ย” ชิตตะวันหันไปบอกคณิต ชายหนุ่มไม่ได้พูดเกินจริง อิทธิฤทธิ์ของเบิกฟ้าเยอะไปหมด เบิกฟ้าเป็นเด็กเอาแต่ใจและขี้โมโหง่าย เวลาโกรธหรือโมโหเขาขึ้นมา อะไรอยู่ใกล้มือมันจับเขวี้ยงใส่เขาหมด เขาถึงต้องตั้งกฎขึ้นมาปราบถึงจะเบาฤทธิ์ลงได้บ้าง   
“กูไม่ได้หึง ไม่มีความจำเป็นต้องหึงด้วย ในเมื่อกูกับมึง...ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” คราวนี้เบิกฟ้าปฏิเสธเสียงอ่อนหลง ยิ่งแผ่วลงในประโยคสุดท้าย มันเป็นความจริงที่จี๊ดหัวใจดีเหลือเกิน ก็เขาอยู่ในฐานะเด็กบนเตียงของชิตตะวัน เงินในกระเป๋าทุกบาทก็ไม่ได้มาจากพ่อแม่ แต่เป็นของคนที่รับเลี้ยงดูเขาตลอดจนกว่าจะเรียนจบ
“ยังไม่เลิกหึงอีก” ชิตตะวันหันทั้งตัวมาถาม
“กูปะ...อื้ออ...” พูดได้ไม่เต็มคำ ต้นคอที่มีริ้วรอยแดงจากกิจกรรมในรถก็ถูกมือใหญ่กระชากเข้าไปหา ก่อนอีกฝ่ายจะบดริมฝีปากเข้าหากลีบปากเขา ครั้นพอดิ้นเพื่อให้หลุดก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากมือใหญ่ล็อกคอเขาไว้แน่น ซ้ำออกแรงบีบไม่ให้ขัดขืนอีกด้วย ปากก็กดหนักขึ้น จนต้องรีบผ่อนแรงดิ้นของตัวเองลง ลิ้นร้อนรุกเข้ามาเพราะเขาเปิดทาง เกี่ยวพันกันเหมือนบนโต๊ะอาหารมีแค่สองคน นานเข้าก็เหมือนร่างกายมันร้อนเป็นไฟ ต้องการอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยตลอดสองสามเดือนมานี้ สิ่งที่ไม่เคยขาดทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
ภาพที่เห็นทำเอามือที่กำลังตักกุ้งเข้าปากชะงักอย่างตะลึง ไม่ใช่ไม่เคยเห็นผู้ชายจูบกัน คณิตเห็นภาคีกับสีฟ้าออกบ่อย ส่วนตัวเองก็ไม่ใช่ไม่เคย แต่ทำไมเล่า ทำไมต้องอ้าปากค้างราวกับดูฉากสยองขวัญตอนตีหนึ่ง
แม่ง! ปรับองศากันสนุกเลยนะ เกรงใจแขกบ้างไหม คณิตได้แต่นึกถามในใจ เพราะยังไม่กล้าทำลายเลิฟซีนดุเดือดแบบไม่อายใครของชิตตะวันกับเบิกฟ้า

V
V
อ่านต่อกระทู้ล่างนะคะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
นานเหมือนผ่านไปสักสิบปีได้กระมัง คณิตถึงเห็นปากของคนสองคนละออกจากกัน เอ่อ...มันมีน้ำลายด้วย ไม่ได้รังเกียจนะเว้ย แต่ต้องรีบเอากุ้งคืนจานเลยทีเดียว
เป็นชิตตะวันที่ดึงกระดาษทิชชูเช็ดคาบน้ำลายให้เบิกฟ้าที่พยายามจะก้มหน้าหนีสายตาคนร่วมโต๊ะ หน้าแดงยิ่งกว่าผลเชอร์รีสุก ปลายนิ้วชี้ของชายหนุ่มร่างใหญ่ดันคางเล็กให้เงยขึ้นมาสบตากัน เจ้าของใบหน้าปัดนิ้วนั้นทิ้ง ซ้ำยังก้มหน้าลงอีก ปลายคางจะชนอกแล้วมั้ง ชิตตะวันจึงเปลี่ยนมาใช้ทั้งมือจับคางบังคับให้ใบหน้าเงยขึ้นมาแทน
แววตาเด็กน้อยสั่นไหวสะท้อนความเคอะเขินที่นานครั้งเจ้าตัวจะแสดงออกมาให้ชิตตะวันเห็น นานครั้งได้เห็นที มันก็ทำให้ยิ่งรู้สึก...รัก
คิดว่า...นิยามความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่ผิดหรอก เบิกฟ้าเข้ามาในจังหวะที่ดี และตัวมันเองก็ทำให้เขาหลงรักมันได้ง่ายๆ โดยที่มันไม่รู้ตัว เพราะมันเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กป๋า มีค่าแค่เรื่องบนเตียง แล้วมันยังชอบเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้ชายที่เห็นในรูปถ่ายที่เขาเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานอยู่เสมอ
ได้เวลาเคลียร์ให้มันเข้าใจซะที เขาจะได้ปวดหัวน้อยลง แม่ง...คบเด็กมันสดชื่นหัวใจก็จริง แต่กำราบไม่ได้ก็อยู่อย่างปวดหัวให้เส้นเลือดในสมองแตกไปเถอะ
“เมื่อกี้ก็พูดไปแล้วนะว่าหนึ่งเป็น ‘คนอื่น’ สำหรับกู แต่มึงคือคนที่กูเลือกพาเข้ามาในชีวิต มึงมีความสำคัญมากกว่าคนอื่นนะ” เป็นครั้งแรกที่ชิตตะวันใช้คำพูดบอกแทนการกระทำ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เบิกฟ้าแม้จะเข้ามาด้วยเงื่อนไขและความบ้าชนิดไหนก็ตาม แต่ท้ายแล้วเขาก็ชอบที่จะมีเด็กคนนี้อยู่ในสายตา
เขาหลงรักที่มันดื้อไปเสียทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องบนเตียงที่มันชอบบอกว่าทำตามหน้าที่ ขอเท่าไร มันก็ให้เท่านั้น มันไม่เคยอิดออด มีแต่สนองให้สมกับเงินที่มันได้จากเขา มันทำให้เขาพอใจได้มากกว่าใคร มันจับคนในหัวใจเขาโยนออกไปได้เพียงเวลาไม่นาน
“กูจะเชื่อมึงได้ไง ในเมื่อมึงพูดเพราะกับพี่เขาทุกคำ กับกูนี่ มึงกูตลอด” ถึงจะเคลิ้มไหวไปกับคำพูดของชิตตะวัน แต่เบิกฟ้าก็มีข้อโต้แย้งอยู่ดี 
“ก็กูพูดกับหนึ่งแบบนี้มาตลอด จะให้เปลี่ยนมาใช้มึงกู เพราะหนึ่งมันหมดความสำคัญกับกูไปแล้วนี่นะ มันใช่เรื่องไหมล่ะ”
“ก็มึงยังแคร์ ยังรักเขาอยู่ไง” ขอเถียงอีกนิดเถอะ ก็มันค้างคาใจนี่น่า
“การที่กูเอามึงในรถ หรือจูบมึงต่อหน้าเขา ถ้าฉลาดมึงก็น่าจะรู้ได้แล้วนะ ว่ากูกำลังบอกมึงว่า เขาไม่ได้มีความหมายกับหัวใจกูอีกแล้ว กูไม่ได้รักมัน เพราะกูมีมึง ไอ้เด็กขี้โมโหอย่างมึงเนี่ย กูหลงรักเข้าไปได้ยังไงวะ” ชิตตะวันยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ทำท่าระอาที่เด็กน้อยไม่ฉลาดเอาซะเลย “กูรักมึง เลิกหึงงี่เง่าได้แล้ว เสียเวลากินข้าว ยิ่งหิวๆ อยู่ด้วย”
เด็กขี้หึงกลั้นยิ้มไว้ไม่ให้ออกนอกหน้า เพราะยังมี ‘คนอื่น’ อยู่ด้วย คนอื่นเลยมีโอกาสได้พูดบ้าง หลังนั่งอมน้ำลายอยู่นาน
“โหวววว...ไอ้คุณชิตตะวัน พูดซะกูอยากไสหัวไปให้พ้นหน้ามึงตอนนี้เลยว่ะ นี่มึงหมดรักกูง่ายๆ เชียว” คณิตแกล้งถาม ทว่ามันเหมือนปลายมีดแหลมที่ย้อนมาปักกลางอกของตัวเอง เจ็บจี๊ดอีกแล้ว
เฮ้อ...ถามเขาแต่ตัวเองดันมาเจ็บเอง
ชิตตะวันเคยบอกว่ารักเขามาก แต่ตอนนี้มันไม่ได้รักเขาแล้ว ไม่ต่างกับอีกคนที่ทำทุกอย่างให้ได้เขามาไว้ในกำมือ ทำทุกอย่างให้เขายินยอมพร้อมใจและรักไปแล้ว สุดท้ายก็ทิ้งเขาเหมือนสิ่งของไร้ค่า ทิ้งได้อย่างง่ายดาย
“รักได้ มันก็ต้องเลิกได้จริงไหมครับหนึ่ง ในเมื่อชิตเจอไอ้เด็กขี้โมโหคนนี้แล้ว” ชิตตะวันก็พยักหน้าไปทางไอ้เด็กขี้โมโห ที่ตอนนี้มือไม้ดูจะเกะกะไปหมด ไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหน
“มึงไม่ต้องย้ำก็ได้ กูซึ้งกับมันเยอะพอแล้ว ไอ้ที่ว่ารักได้ก็ต้องเลิกได้เนี่ย เฮ้อ...” พูดแล้วคณิตก็ถอนใจยาว “กูขอนอนบ้านมึงคืนหนึ่งนะ พรุ่งนี้กูก็กลับแล้ว” คณิตตั้งใจมาหาชิตตะวันด้วยความหวัง หวังว่าชิตตะวันยังคงต้องการเขาอยู่ อย่างน้อยความต้องการของชิตตะวันก็ทำให้เขารู้สึกกลับมามีคุณค่าอีกครั้ง หลังจากความรู้สึกนั้นถูกทุบทิ้งเพราะใครอีกคนหนึ่ง
...แต่แล้วก็พบว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการเอาซะเลย!
“ชิตรู้ว่าหนึ่งไม่มีที่ไป ถึงได้ขับรถมาหาชิต ถ้าไม่มีที่ไปก็อยู่ด้วยกันก่อน เพราะเด็กมันคุยรู้เรื่องแล้ว ใช่ไหม?” ท้ายประโยคชิตตะวันหันไปถามเด็กขี้โมโห อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับคำ
“กูถูกทิ้งว่ะ แม่ง...อยากร้องไห้ แต่กูร้องไม่ออก ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไร” คณิตปล่อยเรื่องของตัวเองออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเทข้าวกล่องเย็นชืดใส่จาน ไม่มีอารมณ์จะเอาไปอุ่นให้ร้อน ปากก็ขยับพูดไปเรื่อยๆ “มันทิ้งกูง่ายๆ เลยนะเว้ย ทำเหมือนกูไม่มีหัวใจ ตอนอยากได้กู มันทำทุกทางให้ได้กู แม้แต่ข่มขืนกู มันก็ทำ มึงก็เห็น กูหนีมันไปสองรอบ มันก็ตามเจอทั้งสองรอบ แต่พอ...พอกูรักมันแล้ว มันกลับทิ้งกู เทกูทิ้ง...เหี้ยไหมล่ะมัน”
“เหี้ยจริงครับพี่” เบิกฟ้าเห็นด้วย พร้อมจะมีอารมณ์ร่วมไปกับเจ้าของเรื่อง “มันทำแบบนี้กับพี่ได้ไง ข่มขืนยังไม่พอ ยังหลอกให้พี่รักแล้วทิ้งไปอีก เหี้ยเรียกพ่อแล้วครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก อย่าอินเกิน” ชิตตะวันหันไปปรามเด็กหนุ่มที่อารมณ์กำลังมา ไม่อยากให้เบิกฟ้าอินกับเรื่องของคณิตมากนัก เดี๋ยวจะกลายมาเป็นภาระเขาทีหลัง ยิ่งชอบคิดเองเออเองอยู่ด้วย ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าสักวันเขาจะทิ้งเจ้าตัวก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ ยิ่งเบิกฟ้าแม่งคิดอะไรเหมือนคนอื่นซะที่ไหน
“ไม่เด็กแล้วโว้ย โตจนมีผัวแล้วเนี่ย” เจ้าตัวขี้โมโหสวนกลับ แล้วหันไปคุยกับคณิตต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง เคร่งเครียดด้วยเรื่องของตัวเอง “หรือผมต้องเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ว่าไม่แน่อาจโดนพวก ‘รักได้ก็เลิกได้’ เททิ้งตอนที่มันเบื่อผมแล้ว”
นั่นไง เป็นอย่างที่ชิตตะวันคิดไว้ไม่ผิด เบิกฟ้าเริ่มเพ้อไปไกลแล้ว ความช่างคิดของมันทำเขาปวดหัวได้ตลอดสิน่า
“เออ! น้องเตรียมตัวไว้เลย แม่งผู้ชายมันก็เหี้ยเหมือนกันหมด!” คณิตก็ผสมโรงเข้าไปด้วย
“ใช่! ผู้ชายมันเหี้ย!!” เบิกฟ้าใส่อารมณ์เต็มที่ ราวกับว่าตัวเองโดนทิ้งเป็นที่เรียบร้อย
“ใช่! เหี้ย!!” คณิตก็ใช่ย่อย ใส่อารมณ์ทับเข้าไปอีก
“ผู้ชายมันเหี้ย! เหี้ยหมดโลก!”
“เหี้ยมาก! แม่งดีแต่มีไอ้เจี้ยว!”
“ใช่พี่! แม่งชอบใช้เจี้ยวคิดแทนสมอง ถ้ามันมาเหี้ยใส่ผมเมื่อไรนะ อย่าให้เผลอ ผมตัดเจี้ยวของมันไปประจานบนเฟซแน่ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเบิกฟ้า”
“อย่าลืมส่งรูปตอนตัดลูกมันมาให้พี่ด้วยนะ พี่จะได้ช่วยประจานอีกแรง เอาให้ผู้ชายเหี้ยๆ ดูเป็นตัวอย่าง ว่าอย่าได้เล่นกับคนอย่างพวกเรา”
 “เดี๋ยวก่อนนะหนึ่ง มึงก็ด้วย ลืมไปหรือเปล่าว่าก็เป็นผู้ชาย” ชิตตะวันส่ายหน้าขำปนระอาใจ สองคนนี้ ไม่เมาก็เหมือนเมา   
 “แม่ง! ก็ผู้ชายมันเหี้ยหมดกันหมดทุกคนไง แต่กูกับน้องเบิกฟ้า ไม่เหี้ยเว้ย ใช่ไหมไอ้น้อง” คณิตถามพวกร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เขารู้สึกสบายใจขึ้น ยามได้ระบายคำด่าออกมาเรื่อยเปื่อย จริงบ้าง เว่อร์บ้าง มันได้ความสะใจไม่น้อยเลย
“ครับพี่หนึ่ง เราสองคนแม่งเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่ผู้ชายเหี้ยมันเลวไงครับ มันรักเดียวใจเดียวไม่เป็น ได้ซั่มแอนด์ตั้มเราแล้ว พอเบื่อ มันก็เท ทำเหมือนเราเป็นถุงยาง สุขสมอารมณ์ใคร่แล้ว แม่งก็โยนทิ้ง!!”
“พอได้แล้วไอ้เด็กเหี้ย คิดไปถึงดาวไหนวะ ด่าเหี้ยอยู่ได้ กูไปเอาคนอื่นนอกจากมึงรึยัง...ก็ยัง หรือกูบอกเลิกมึงหรือไง...ก็เปล่า หยุดจินตนาการไร้สาระแล้วกินข้าวซะ” ด่าแล้วก็เทข้าวในกล่องใส่จานให้ไอ้เด็กเหี้ย ก่อนจะเทพะแนงเนื้อในถุงเล็กลงไปราดบนข้าวให้อีกครั้ง เมนูนี้เขาสั่งกะมากินเอง แต่พอเบิกฟ้ามาร่วมโต๊ะด้วย เลยต้องเสียสละให้เด็กมันไป เพราะเบิกฟ้าชอบกินเนื้อมาก
แต่มันก็ยังไม่เลิกด่าเขา มันน่าจับสั่งสอนอีกสักรอบดีไหม
“พี่หนึ่งดูสิ! ขนาดมันเพิ่งบอกว่ารักผมเองนะ มันยังด่าผมว่าไอ้เด็กเหี้ยเลย แล้วตอนมันไม่รักผมขึ้นมาล่ะ แม่ง มันไม่ไล่ผมอย่างกับหมูกับหมาหรือไงวะ แม่งเหี้ยว่ะ! เอาไปไกลๆ เลยนะ กูไม่กิน ไม่หิว เชิญมึงกินคนเดียวเลย!”
โอ้ย...ชิตตะวันจะบ้าตายกับความบ้าบอคอแตกของเด็กขี้โมโห มันกินอะไรผิดสำแดงมาหรือไงวะ ไม่น่าจะใช่ ที่มันโวยวายจนน่าถีบ เพราะมีตัวทำเคมีที่เพิ่งอกหักมาต่างหาก
“อย่าให้โมโหนะแสง ไม่งั้นมึงเจอดียิ่งกว่าตอนในรถแน่” ชิตตะวันขู่เสียงเข้ม คิดว่าน่าจะได้ผล กลับผิดคาด พอมีพวกละปีกกล้าขาแข็งอีกเท่าตัว มันไม่กลัว แถมบ้าขึ้นอีก
“เอาเซ่!! อยากทำจนก้นกูฉีก หมอไม่รับเย็บก็เอาเลย หรือจะให้กูลุกไม่ขึ้นไปสิบวันสิบปีก็เอาสิ ใครจะไปสู้กับตัวเหี้ยได้ แม่งมึงมันเหี้ย! รักประสาอะไรวะ ด่ากูทุกคำ...ผมอยากเมาว่ะพี่หนึ่ง ไปกันไหม ไปดื่มให้ลืมตัวเหี้ยที่มันกำลังจะทิ้งผม”
“จัดไปไอ้น้องแสง ดื่มให้ลืมเหี้ย แล้วก็ไปหาเหี้ยตัวใหม่กัน” คนถูกชวนตอบรับทันที อยากได้แอลกอฮอล์มาล้างแผลใจเหมือนกัน หาผู้ชายในผับสักคนสองมาควงเล่น เผื่อจะลืมตัวเหี้ยบางตัวได้ เมื่ออชิตะไม่ต้องการเขา มันก็ต้องมีใครสักคนต้องการเขาละน่า
“จัดไปพี่ ไปหาเหี้ยตัวใหม่กัน โยกเสร็จจะได้โขลกต่อ อ้อ...ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง มันหล่อเว่อร์วังมากพี่หนึ่ง เห็นแล้วพี่จะตะลึงจนพูดไม่ออก พวกรับอยากได้มันทุกคน แม้แต่พวกรุกบางคนก็อยากเสนอตัวเป็นรับให้มันเลยนะ แต่ไอ้เหี้ยนี่ มันเรื่องมาก หล่อเลือกได้ไง ไม่ถูกใจจริง มันไม่สน แต่หน้าอย่างพี่ สเปกมันเลยนะ ผมเห็นหน้าแบบพี่นี่แหละที่มันควงเกือบครึ่งปีเลย นานกว่าคู่ขาทุกคนของมัน ดูรูปก่อนก็ได้ เผื่อพี่ชอบ ผมจะได้โทรนัดให้มันมาเจอที่ผับ” ว่าแล้วเบิกฟ้าก็ล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา วิ่งแบบเจ็บตูดไปนั่งข้างคณิต เปิดหน้าจอโทรศัพท์ หารูปเพื่อนสนิทที่เอ่ยถึง เจอแล้วก็ยื่นให้คนอายุมากกว่าดู
“ถูกใจเปล่าพี่ ถ้าพี่สนนะ ผมจัดการให้มันสนองพี่ได้คืนนี้เลย” 
คณิตหรี่ตามองรูปบนหน้าจอ รูปเด็กนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคที่ดูตัวใหญ่กว่าอายุ หน้าตาคมเข้มด้วยคิ้วหนา ปากหยักได้รูป จมูกโด่งมาก ดวงตาดุดันแต่ก็มีแววซุกซนอย่างคนเจ้าชู้ จัดว่าหล่อเว่อร์วังชนิดที่รุกบางคนอยากเสนอตัวเป็นรับให้อย่างคำที่เบิกฟ้าบอกจริงทุกอย่าง แต่จะสะดุดก็ตรงที่...ไอ้เด็กอีกคนที่อยู่ในรูปด้วยนี่แหละ คือเบิกฟ้าไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม ในรูปเจ้าตัวถูกคนเป็นเพื่อนนั่งกอดจากด้านหลัง คางวางเกยอยู่บนไหล่เล็ก แถมไม่ได้ใส่เสื้อกันทั้งคู่ ตาเยิ้มแดงก่ำทั้งสองคน
“...แน่ใจนะว่า หน้าตาอย่างพี่เป็นสเปกเพื่อนเรา” คณิตเงยหน้าขึ้นถาม
“แน่สิพี่ มันคลั่งจะตายผู้ชายหน้าขาว ปากนิด จมูกหน่อย ยิ่งตาชั้นเดียวนะ มันจะชอบมาก มีลักยิ้มด้วยยิ่งเพอร์เฟก ไหนพี่มีลักยิ้มหรือเปล่า พี่ยิ้มสิ” เบิกฟ้าถือจังหวะจับหน้าคณิตมาใกล้ แล้วสั่งให้เจ้าของใบหน้ายิ้ม แล้วก็ต้องผิดหวัง เมื่อไม่พบสิ่งที่ต้องการหา “ว้า...พี่ไม่มีอ่ะ แต่ไม่เป็นไรมั้ง ของอย่างนี้มันหยวนกันได้” 
“พอ หยุดพากันไปนอกโลกซะที หนึ่งก็อย่าไปประชดชีวิตตัวเองแบบนั้น ไอ้เหี้ยนั่น มันไม่ได้มารู้สึกหรือเจ็บปวดกับหนึ่งหรอกนะ ทำร้ายตัวเองแค่ไหน มันก็ไม่รู้สึกแบบที่หนึ่งรู้สึก มีแต่หนึ่งที่จะเจ็บเรื้อรังไปตลอดชีวิต ชิตเป็นห่วงนะ”
“อืม ขอบใจที่เป็นห่วงกู แต่กูว่ามึงห่วงเด็กของมึงก่อนดีกว่านะ อะนี่ ดูซะ” พูดจบ คณิตก็ยื่นมือถือของเบิกฟ้าข้ามโต๊ะไปให้ชิตตะวัน อีกฝ่ายรับมาอย่างงงๆ ไม่ต่างจากเจ้าของเครื่องนัก
เบิกฟ้าเลยลุกกลับไปนั่งที่เดิมข้างชิตตะวัน ไปดูว่ารูปในมือถือของเขามีอะไรที่น่าเป็นห่วง เบิกฟ้าเชื่อว่ารูปทุกรูปของเขา ที่ถ่ายเองกับมือ หรือจะเพื่อนถ่ายให้ก็ตาม ปลอดภัย ไม่มีอะไรเสื่อมเสีย ไม่มีรูปโป๊ ไม่มีคลิปซั่มด้วย ไม่มีรูปเสพยา ซึ่งเขาก็ไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แล้วมีอะไรที่คณิตคิดว่าน่าเป็นห่วง
นั่งลงปุ๊บ เบิกฟ้าก็เห็นว่าชิตตะวันทำหน้าเครียดจัด คิ้วเข้มแทบจะผูกเป็นปมอาฆาตได้อยู่แล้ว
...มีอะไร?
“มึงแน่ใจใช่ไหมว่าแค่เพื่อน?” ชิตตะวันยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเบิกฟ้า ถามเสียงเหี้ยมเสียจนเบิกฟ้านั่งไม่ติดเก้าอี้ คือหน้าชิตตะวันดูโหดร้ายและพร้อมจะฆ่าเขาให้ตายคามือมาก
“นะ...แน่ใจ ก็...ก็มันเป็นเพื่อน หรือมึงจะให้มันเป็นพ่อกูล่ะ” ถึงจะปากคอสั่น แต่ท้ายประโยคเจ้าตัวก็ทำปากกล้าได้เหมือนเดิม
เบิกฟ้าไม่เห็นเข้าใจ ในรูปที่เห็นก็เป็นรูปเดียวกับที่เขาให้คณิตดู มันแค่รูปที่เขาให้เพื่อนร่วมวงเหล้าอีกคนถ่ายให้ วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม เลี้ยงฉลองกันในหอพัก แล้วแอร์ห้องเพื่อนดันเสีย ก็เลยแก้เสื้อดื่มเหล้ากันทุกคน ไม่เห็นมีอะไรที่ทำให้ต้องคิ้วกระตุกได้นี่หว่า
“เพื่อนบ้านมึง แก้เสื้อ นั่งซ้อนหลัง โอบเอว วางคางบนไหล่มึงนี่นะ”
“ก็เออสิ ก็เพื่อนกัน ผู้ชายด้วยกัน แก้ผ้าอาบน้ำมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเลยนะ” เบิกฟ้าอธิบาย ดูรูปอีกครั้ง ดูกี่ที ก็เพื่อนกันของแท้
...มีตรงไหนบอกว่าไม่ใช่เพื่อน
“เพื่อนมึงชอบแบบหนึ่งใช่ไหม?” ชิตตะวันเปลี่ยนมาตั้งคำถามแทนการโยนให้เด็กโง่คิด รอให้มันคิดได้เอง มีหวังรอไปถึงชาติหน้า บังเอิญเขาขี้เกียจรอ
“ก็ใช่สิ คนที่มันคบนานที่สุดก็หน้าตาแบบพี่หนึ่งนี่แหละ แล้วมันก็บอกกูว่า มันชอบผู้ชายหน้าใส ตัวขาว ตาชั้นเดียว ปากนิด จมูกหน่อย มีลักยิ้ม”
“งั้นมึงมองกล้องนะ แล้วยิ้ม ยิ้ม!”
“อะไรวะ ทำไมต้องตะคอกด้วย บอกดีๆ ก็ทำแล้วเถอะ” เบิกฟ้าบ่นงึมงำ แต่ก็ยิ้มสดใสใส่กล้อง
แชะ~
“มึงดู” ส่งรูปที่เพิ่งถ่ายให้เจ้าของมันดู ชี้หน้าจอให้เห็นเป็นจุดๆ “มึงตัวขาว มึงตาชั้นเดียว มึงปากเล็ก จมูกมึงก็เหมือนปั้นมาแล้วอย่างดี ปั้นเสร็จก็วางลงบนหน้ามึง แล้วมึงก็มี...ลักยิ้ม!”
“แล้วไง?” เบิกฟ้าก็ยังงงคงเส้นคงวา จนชิตตะวันถอนหายจะทิ้งอย่างแรง หมดคำพูดกับความโง่ปนซื่อของเบิกฟ้า ต้องโดนเสียบก่อนใช่ไหม มันถึงจะรู้ว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ คิดจะเสียบก้นงอนๆ แบบเต็มไม้เต็มมือของมัน พูดแล้วของขึ้น ก้นมันมีเขาเสียบได้คนเดียว คนอื่นอย่าหวัง!
ชิตตะวันหมดอารมณ์จะชี้ทางสว่างให้เด็กเบิกฟ้า คณิตเลยรับอาสาเอง
“เพื่อนน้องเคยกอดน้องไหม”
“ก็เคย มันบอกว่าตัวผมอุ่นดี ยิ่งตอนหนาวนะ มันก็ยิ่งชอบมากอด บอกให้ไปหาเสื้อกันหนาวมาใส่ มันก็ไม่ยอม” เบิกฟ้าตอบไปตามความจริง โดยไม่ระวังภัยที่จะมาถึงตัวเลย ถ้าหูดีกว่านี้ เด็กหนุ่มคงได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ของชิตตะวันเป็นแน่
“แล้วเพื่อนน้องเคยหอมแก้มน้องด้วยไหม”
“มันก็ทำเป็นประจำของมันนะพี่ แรกๆ ผมก็โวยวายแหละ เล่นเหี้ยอะไรของมัน  มันดันหัวเราะชอบใจ พอผมเลิกโวย มันก็เอาใหญ่ ตอนเมานี่อย่าให้พูด ทั้งปากทั้งน้ำลายเต็มหน้าผมหมด ไอ้นี่มันเมาแล้วชอบเลื้อย”
“เพื่อนคนอื่นล่ะ มีแบบนี้ไหม ที่ชอบกอดชอบจูบน้องน่ะ” คณิตยังถามต่อ ขณะที่ชิตตะวันหัวร้อนไปหมดแล้ว
“ไม่มีนะพี่ มีมันคนเดียวเลย”
“แล้วมันกอดจูบเพื่อนคนอื่นนอกจากน้องไหม”
“อืม...” เบิกฟ้าคิดทบทวนอยู่นาน ก่อนส่ายหน้า “ไม่นะพี่ ไม่เห็นมันทำกับใคร คงเพราะมันสนิทกับผมที่สุดมั้ง แบบเพื่อนซี้ย่ำปึ๊กงี้ เชื่อไหมว่ามันหวงเตียงจะตายห่า มีผมคนเดียวนี่แหละที่มันยอมให้ไปนอนบนเตียงมันได้ เพื่อนคนอื่นนะ นู่นเลย กองกันบนพื้นหน้าทีวีตลอด คู่ขามันก็ด้วย มันไม่ยอมพามาซั่มที่ห้องสักคน มีแต่มันไปซั่มที่ห้องเขา”
“ซี้ปึ๊กห่าอะไรของมึง มันจะซั่มปี้มึงมากกว่า ไม่รู้หรือไง!!” ชิตตะวันเหลืออดแล้ว ยิ่งฟังยิ่งไฟออกหู เขาก็เพิ่งรู้ว่ามันซื่อขนาดนี้
“ทุเรศว่ะ มึงคิดได้ไงว่ามันจะปี้กู มันเพื่อนกูนะเว้ย เพื่อนๆๆๆ ได้ยินไหมว่าเพื่อน!” เบิกฟ้าตะโกนเถียงกลับ เขาไม่พอใจมาก มากล่าวหาเพื่อนสนิทเขาได้ยังไง นั่นคบกันมาตั้งแต่เจี้ยวไม่มีขนเลยนะ
“โอเค มันไม่ปี้มึง แต่มันจะเสียบก้นมึง พอเข้าใจไหม มันชอบมึง มันจะเอามึง ดูมือมัน ดู!” ชิตตะวันตะคอกอย่างหัวเสีย ถ้าไอ้เด็กนั่นอยู่ตรงหน้าเขาละก็ มันได้เละคาตีนแน่ ทำตัวเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อดีนัก กล้ารักกล้าชอบเขา แต่ไม่กล้าบอก ก็จงขี้ขลาดและมองปลาย่างต่อไปเถอะ
“มืออะไรอีกเล่า” เบิกฟ้ากระชากเสียงถาม คว้าเอามือถือมาดูรูปที่ชิตตะวันอยากให้ดู ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ก็แค่รูปที่เหมือนรูปเดิม เพียงแต่ครั้งนี้มือของเพื่อนวางอยู่บน...เป้า
แม่ง! ก็แค่บนเป้ากางเกงไหมล่ะ
ก็เพื่อนกัน มันเมาด้วย เขาก็เมา ใครจะไปคิดเล็กคิดน้อยกันเล่า
“กูสั่ง ห้ามเข้าใกล้เพื่อนเหี้ยที่อยากเสียบก้นมึงจนตัวสั่น ห้ามอยู่กับมันสองต่อสอง ห้ามให้มันถูกตัวมึงแม้แต่ปลายเส้นผม”
“กูไม่ทำ!” เบิกฟ้องตะโกนใส่หน้าคนที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดง กะอีแค่มือวางผิดที่ เพื่อนเขาไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย
“มึงต้องทำตามคำสั่งกู!”
“ไม่!!”
“จะทำหรือไม่ทำ” ชิตตะวันกดเสียงต่ำ ตาคมดุจ้องเหมือนให้โอกาสเด็กน้อยแก้ไขคำพูดของตัวอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับสวนกลับด้วยตาเขียวขุ่น ฟ้องว่ามันดื้อและจะเอาชนะให้ได้
“ไม่-ทำ-เว้ย!!” ย้ำทีละคำ เอาให้ชิตตะวันรู้เลยว่าบังคับเขาไม่ได้ แม่งเรื่องอะไรจะยอมเลิกคบกับเพื่อน เพียงเพราะความเข้าใจผิดของผู้ใหญ่เจ้าอารมณ์เล่า
“โอเค! สงสัยกูต้องสั่งสอนมึงก่อน ว่ามีแต่กูเท่านั้นที่เป็นเจ้าของตัวมึง ไอ้เหี้ยหน้าไหน มันอย่าหวัง!” พูดแล้วชิตตะวันก็ลุกขึ้นกระชากตัวเด็กหนุ่มเข้าหา กดเสียงต่ำเย็นเยือกกว่าครั้งไหน “แล้วพรุ่งนี้ กูค่อยไปสั่งสอนไอ้เหี้ยตัวที่มันจ้องจะเสียบก้นเมียกู!”
“เอ้ย! ไม่อาวววว ปล่อยกูๆๆ ไอ้เหี้ยชิต กูไม่เอานะเว้ย” คนที่ถูกลากออกจากโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่เกือบสี่ทุ่มแล้ว ขืนตัวเต็มกำลัง กำปั้นที่ทุบรัวบนมือและแขนของชิตตะวัน ทำได้แค่สะกิดผิวของอีกฝ่ายเท่านั้น ตอนนี้ชิตตะวันหน้ามืดแล้ว เขาอยากสั่งสอนเด็กโง่เต็มทน และไม่อยากเสียเวลาลากตัวไปสั่งสอนถึงบนเตียงในห้องนอนชั้นสอง
ห้องครัวนี่แหละ เวิร์ก!

คนที่เหลืออยู่บนโต๊ะอาหารอย่างคณิตได้แต่กุมขมับ อยากจะเสนอความคิดเห็นว่า ควรลากขึ้นไปเคลียร์และตั้มกันบนห้องนอนอันเป็นสถานที่รโหฐานดีกว่าไหม มันทั้งสะดวกและเป็นส่วนตัวมากกว่า
แต่...เฮ้อ ใครจะกล้าพูดสอดขึ้นมากันเล่า ตั้งแต่รู้จักชิตตะวันมา ครั้งนี้แหละที่เห็นว่าโหดที่สุด นึกแล้วสงสารช่วงล่างของเบิกฟ้าจริงจริ๊ง...
เด็กมันก็เถียงคำไม่ตกฟาก อยากเอาชนะแบบเด็กๆ โดยไม่ห่วงสวัสดิภาพร่างกายตัวเองเลย
เสียงโวยวายเหมือนถูกพาไปเชือด เสียงกะละมังถ้วยชามหล่นกระทบพื้นครัวเป็นว่าเล่น ก่อนเสียงนั้นจะสงบลง ที่ลอยเข้าหูมีแต่เสียงครางเบาที่ทำเอาคณิตต้องรีบลุกจากโต๊ะอาหารไปทันที
แม่ง! ไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้วะ
เฮ้อ...แต่แบบนี้ก็ดีอย่าง มีคนทะเลาะกันให้สมองเขาไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนต่อจนถึงตอนเช้า
คณิตก้าวออกมาพ้นตัวบ้าน
“ตอนนี้บอสกำลังทำอะไรอยู่ คิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงบอสไหม คงไม่สินะ ก็บอสเป็นฝ่ายทิ้งผมนี่น่า” คณิตพึมพำกับตัวเอง เมื่อแหงนหน้ามองจันทร์สีนวลเพียงลำพัง
คนอย่างคณิตไม่มีใครต้องการจริงเลยสักคน 

จบตอนที่ 24
เหลืออีก 8 ตอนแล้วนะคะ
^_^
สีเหลืองอ่อน
(เฮ้อ...แอบคิดว่า มันไม่สนุกจริงๆ ใช่ไหมเนี้ย T^T)

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
25

...เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป
ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน
เพราะคนไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้
ก็ฉันนั้นเข้าใจดีว่าเธอไม่ต้องการ
ยอมจากไปพร้อมน้ำตาเป็นคนที่ไร้ค่า
เพราะเป็นความจำเป็นของคนไม่จำเป็น...*
“พี่...พี่หนึ่ง”
“หือ...” คณิตขานรับเสียงเบา เมื่อถูกเรียก มือของเด็กหนุ่มหน้าใสแตะข้อศอกเขาแบบกล้าๆ กลัวๆ...ใบหน้าเบิกฟ้าพร่ามัวในสายตาเขาเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรนะพี่ ไหวไหม กลับกันเถอะ”
“ไหว ชอบยี่ห้อไหน เลือกเลยนะ ไอ้ชิตให้บัตรมาแล้ว” คณิตบอกเด็กหนุ่ม
เขากับเบิกฟ้าตั้งใจจะตั้งวงเหล้ากันคืนนี้ หลังจากเมื่อคืนพลาดไปก่อน เนื่องจากพายุชิตตะวันลงกลางห้องครัวยันไปกลางเตียง กว่าเด็กหนุ่มหน้าใสจะปีนลงจากเตียงได้ก็เกือบบ่ายสอง ถึงร่างกายจะระบม สิ้นสภาพ เหมือนโดนสูบวิญญาณไปจนหมดตัว แต่เบิกฟ้าก็ฟื้นคืนสภาพได้เร็วมาก
 “ผมว่าพี่ไม่ไหวแล้วล่ะ กลับเถอะ”
ฝ่ายเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนและเป็นห่วง คณิตยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งขวดเหล้าถูกแย่งไปจากมือ เบิกฟ้าวางมันไว้บนชั้นที่เขาเพิ่งหยิบออกมา
“ป่ะ กลับก่อน ไว้เดี๋ยวผมกลับมาซื้อเอง” ใบหน้าพร่ามัวของเบิกฟ้าไม่ต่างจากน้ำเสียงที่เปล่งออกมา...สงสาร
สงสารเขาใช่ไหม?
“พี่ไม่...อึก...ไม่เป็นไร...” คณิตเพิ่งรู้ว่ามือเขาสั่นมาก ในจังหวะที่ท่อนสุดท้ายของเพลงลากเบาและจบลงแบบบาดลึกในอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความทรมาน มันเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดเขาให้ทรุดลงไปกองบนพื้นผิวเย็นเฉียบ
 
...ยอมจากไปพร้อมน้ำตา เป็นคนที่ไร้ค่า
เพราะเป็นความจำเป็นของคน
ไม่จำเป็น...*

ท่ามกลางเสียงเพลงบทใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น บทเพลงรักหวานซึ้งบอกเล่าถึงความรักชั่วนิจนิรันดร์ แต่คณิตยังจมอยู่กับบทเพลงที่เพิ่งจบไปเมื่อนาทีก่อน กับเสียงร่ำไห้ที่ดังจนทุกคนในบริเวณนั้นได้ยิน ชายหนุ่มไม่ทันได้เห็นสายตาของผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เดินผ่านไปมา แต่ละคนเหลือบมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นผสมกับความสังเวช ต่างก็นึกเดาไปถึงสาเหตุมากมายที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งนั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“พี่...”
เบิกฟ้าเรียกเขา แต่เขาไม่แรงตอบกลับให้เจ้าตัวคลายกังวลใจได้เลย
“โอ้ย...จะทำไงดีวะ...ต้องโทรหาพี่ชิต...ใช่แล้ว!...ต้องโทรหาพี่ชิต...รับเร็วๆ สิวะพี่...พี่ชิตรับหน่อย...แสงรับมือคนเดียวไม่ได้นะเว้ย”
...เด็กน้อยหนอ ต่อหน้าชิตตะวันทำปากเก่งขึ้นมึงกู ลับหลังกลับเรียกชื่อ แถมให้เกียรติเรียก ‘พี่’ อีกแน่ะ คณิตนึกอย่างขำๆ แต่ร่างกายกลับร้องไห้ไม่หยุด น้ำตามันมาจากไหนเยอะแยะวะ
“มึง! พี่หนึ่งร้องไห้ กูไม่รู้จะทำยังไง มึงรีบมาเร็ว...กูไม่รู้ อย่าถามมากได้ไหม...ไม่รู้ๆๆ...โธ่เว้ย! เค้นจังวะ...คิดอยู่...หรือเป็นเพราะเพลงที่ห้างเปิดวะ...กูก็ไม่แน่ใจนะ ตอนแรกพี่หนึ่งก็ปกติไง ยังเผามึงให้กูฟังตั้งหลายเรื่อง แต่พอเพลงคนไม่จำเป็นดังขึ้นเท่านั้นแหละ พี่หนึ่งก็สติหลุดไปเลย...ก็กูพยายามจะพาพี่หนึ่งไปที่รถแล้ว แต่พี่หนึ่งไม่ยอมลุก...กูดึงแล้ว พี่เขาไม่ยอมให้ความร่วมมือไง...มึงขึ้นรถแล้วใช่ไหม...เร็วๆ เลย...กูกลัวพี่หนึ่งขาดใจตายซะก่อน...”
แค่ร้องไห้เองไอ้น้อง ไม่ตายหรอก แต่มันบ้าชะมัด! เขาพยายามจะร้องไห้ตลอดทั้งคืน กลับไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอเจอเพลง แม่ง...

“รู้สึกตัวแล้วติน”
เสียงใครวะ คุ้นๆ เหมือนเสียงคุณลม เมียรักไอ้ตินเพื่อนสนิทเขา ไม่ใช่หรอกมั้ง ไอ้ตินไม่น่าจะมาที่นี่ได้ มันไม่ถูกกับไอ้ชิต...หรือจะใช่
“หนึ่ง เป็นไงบ้าง”
นี่ก็เสียงเหมือนเพื่อนเขา
คนที่ร้องไห้จนเป็นไข้ นอนตัวร้อนทั้งคืนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา ลำบากพอสมควรเพราะเปลือกตาหนักกว่าทุกวัน แถมเบ้าตายังปวดร้อนจนอยากจะปิดเปลือกตาลงอีกรอบ คณิตเพ่งสายตามองคนที่ยืนล้อมรอบเตียงนอน พบว่าทั้งสามใบหน้าเป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้น
“พวกมึงต่อยกันหรือเปล่าวะ” คนป่วยฝืนเสียงแหบแห้งของตัวเองถามออกมา ก่อนจะโล่งอกเมื่อใบหน้าของไอ้หนุ่มเลือดเดือดทั้งสองไม่มีสีช้ำแดงแต่อย่างใด
“เปล่าครับหนึ่ง พอดีมีกรรมการดี” ชิตตะวันเป็นฝ่ายตอบ หันหน้าไปทางสีฟ้าที่กำลังเลื่อนมือไปแตะแขนคนรักเป็นเชิงห้าม
“มึงอย่าแหย่มันสิวะไอ้ชิต” คณิตปรามเจ้าของบ้าน ชิตตะวันยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทั้งห้องจึงเหลือเขา ภาคี และสีฟ้า “มึงกับคุณลมมาได้ไง...ปวดตัวจังว่ะ” ท้ายประโยคคณิตบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มีสีฟ้าช่วยเอาหมอนสอดรองหลังให้
“มึงไม่สบาย เพ้อทั้งคืน จะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป” ภาคีบอกเพื่อน สีหน้าของชายหนุ่มคลายความกังวลลงจากเมื่อคืนเยอะ เมื่อคืนเขาเป็นห่วงคณิตมาก เพื่อนทั้งไข้ขึ้นและเพ้อนักมาก ครั้นจะพาไปหาหมอ คนป่วยก็ดื้อ ดิ้นไม่ยอมไป ยังดีที่ยอมกินยา เขาและคนรักนั่งเฝ้าตั้งแต่ห้าทุ่มจนถึงเช้า ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน เพื่อนถึงฟื้นคืนสติ
...คิดถึงเรื่องที่รู้และเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว ภาคียิ่งแค้นแทนเพื่อน
“อ้าวเหรอ” คณิตยังงงๆ  จำได้ว่ากลับจากซุปเปอร์มาเก็ตในสภาพที่เดินผ่านใคร คนก็มองอย่างกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด มีเขางอก มีหางโผล่ ทั้งที่เขาแค่เดินน้ำตาไหลเหมือนน้ำป่าทะลัก กลั้นสะอื้นจนตัวโยนเหมือนเด็กห้าขวบที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้ เดินแทบไม่ไหว ชิตตะวันกับเบิกฟ้าต้องช่วยหิ้วปีกคนละข้าง กลับถึงบ้านก็ตรงเข้าห้องนอน ล้มตัวนอนร้องไห้ไม่ต่างจากคนบ้า เขาจำได้เท่านี้แหละ
นึกแล้วอายชะมัด เขาทำไปได้ไง ร้องไห้หนักขนาดนั้น   
“มือไปโดนอะไรมา” คณิตเพิ่งสังเกตเห็นว่ามือข้างขวาของภาคีถูกพันด้วยผ้าก็อด
“เมื่อคืนโดนน้ำร้อนลวกน่ะหนึ่ง” เป็นสีฟ้าที่ตอบแทนคนรัก
“โง่นะมึง ทำยังไงให้น้ำร้อนลวกวะ” คณิตถามปนว่า แต่แทนที่เพื่อนจะตอบกลับยิงคำถามแทน
 “ทำไมมึงไม่บอกกู ไม่มาหากูวะ” ภาคีเริ่มเรื่องที่อดกลั้นมาตลอดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน มันช็อกแบบพูดไม่ออก แอบน้อยใจเพื่อนด้วยที่เห็นเขาพึ่งไม่ได้ มันถึงได้ไปพึ่งคนที่เป็นศัตรูกับเขามาตลอด “ถ้ามันไม่โทรไปด่ากู กูคงจะโง่ไปอีกนาน ไม่รู้ว่าเพื่อนกูโดนทำร้ายจนจะตายห่าอยู่รอมร่อ”
คณิตไม่แปลกใจที่ภาคีรู้เรื่องแล้ว ก็ขับรถมาถึงบ้านชิตตะวัน ไม่เป็นเพราะเรื่องที่เขาถูกอชิตะทิ้งแล้วหนีมาพักใจที่บ้านชิตตะวัน ภาคีคงไม่มีวันมาเหยียบบ้านของศัตรูหมายเลขหนึ่งแน่
“มึงก็พูดเว่อร์เกินไป กูจะตายห่าอะไรเล่า ยังหายใจเป็นปกติดีเว้ย อย่ามาดราม่า” คณิตเข้าใจว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่เขาไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก...อย่างมากก็แค่ใกล้ตาย 
“แต่มึงร้องไห้จนสลบ แล้วยังไข้ขึ้นอีกนะหนึ่ง” ภาคีบอกเสียงเข้ม หน้าเครียดขึ้น รู้สึกว่าตัวเขาเป็นเพื่อนที่ใช้ไม่ได้ ยิ่งนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ผ่านมาระหว่างคณิตกับอชิตะ ไม่ว่าครั้งไหน เขาก็เข้าข้างอดีตนายจ้างตลอด เพราะเห็นอชิตะเป็นคนดี เป็นคนที่เขาเคารพมากคนหนึ่ง เมื่อเรื่องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ เขาก็ละอายใจมาก เหมือนตัวเขาเป็นคนที่สนับสนุนเพื่อนให้ไปเจอกับเรื่องเลวร้าย “กูขอโทษมึงนะหนึ่ง กูน่าจะเชื่อมึง ช่วยมึง อยู่ข้างมึง แต่กู...กู..กลับไปเชื่อคนเหี้ยๆ อย่างมัน” เสียงของภาคีสั่น เจ็บปวดไปกับความเจ็บปวดของเพื่อนรัก มือนุ่มนวลของคนรักเอื้อมมากุมมือเขาไว้ เพื่อปลอบโยนอย่างที่ทำมาตลอดทั้งคืน
“มึงอย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิวะ แม่ง...ทำกูอยากร้องไห้นะมึง...อึก” เสียงคณิตแหบแห้งสั่นไหว อารมณ์ภายในกำลังถูกจับเขย่าอีกครั้ง ขอบตาเมื่อยล้าเริ่มร้อนขึ้น ไม่นานนักน้ำร้อนผ่าวก็ไหลอาบแก้ม ต้องรีบใช้หลังมือเช็ดทิ้ง “กูไม่เป็นไร...ดีซะอีก ตัวเหี้ยหลุดออกจากชีวิตกูซะที ได้ชีวิตกูคืนเลยนะมึงไอ้ติน มึงควรยินดีกับกู ถึง...อึก...ถึง...มันจะเจ็บ แต่กูก็...อึก...ไม่ตาย...”
...เขาไม่ตายสักหน่อย แค่เจ็บปวดเจียนตาย อีกไม่นานก็จะหายดี กลับมาเป็นคณิตคนเดิมได้อีกครั้ง
“แต่มึงเหมือนตายทั้งเป็น” เพราะคำเพ้อจากพิษไข้ของคณิต มันฟ้องความเจ็บปวดทั้งหมดของเพื่อนออกมา  ทั้งน้ำตา คำอ้อนวอน ความเสียใจมากมายพรั่งพรูออกมาหมด ภาคีถึงได้เจ็บปวดและแค้นแทนเพื่อนอย่างมาก “มึงไม่รู้ตัวหรอก ว่ามึงนอนเพ้อทั้งคืน ละเมอเหมือนคนบ้า”
“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย คนไม่สบายก็เพ้อไปเรื่อยเปื่อยแหละ มึงไม่ต้องจริงจังมาก” คณิตแก้ตัวไม่เต็มเสียง เนื่องจากเพื่อนทำหน้าจริงจังมาก เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพ้อทั้งคืน ละเมอเหมือนคนบ้าอย่างที่ภาคีว่า มันเป็นแบบไหน เขาไม่เห็นด้วยสิ
“กูรู้สึกผิดว่ะ” ภาคีพูดขึ้น หลังจากเงียบไปสักพัก
“มันไม่ใช่ความผิดของมึง” เพราะมันเป็นความผิดของเขา ผิดตั้งแต่เป็นคนเริ่มต้นเอ่ยชวนอชิตะจูบกลางสระว่ายน้ำในคืนนั้น เขาก็แค่รับผลกรรม จ่ายหนี้ด้วยความเจ็บปวดของตัวเอง
“ตอนกูต่อยบอส กูว่ากูโมโหที่สุดแล้วนะ แต่พอมาเห็นสภาพมึงเมื่อคืน กูน่าจะต่อยให้มันหนักกว่านั้น เอาให้สาสมกับที่ทำมึงเจ็บ ทำเพื่อนกูเสียใจ”
“ห๊า! มึงกับบอสต่อยกัน” คณิตตาโต ถามอย่างตกใจ นึกภาพเจ้านายที่เคารพกับอดีตลูกน้องคนสนิทซัดหมัดใส่กันไม่ออกเลย แต่ใบหน้าของภาคีไม่เห็นจะมีรอยฟกช้ำดำเขียวตรงไหนเลย
“เปล่าหรอกหนึ่ง” สีฟ้าเป็นคนตอบแทนคนรัก “ตินต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนพี่อิง เขารู้ตัวว่าผิด เลยปล่อยให้ตินต่อยจนพอใจ”
คณิตฟังแล้วก็นึกห่วงขึ้นมาจับใจ เพราะความรู้สึกในใจที่มีต่ออชิตะ มันยังเท่าเดิม ยังไม่จางจากไปไหน...ครั้งก่อนก็ปล่อยให้ชิตตะวันต่อย ปล่อยให้พี่ชายสามคนของเขารุมกระทืบ ทำไมอชิตะชอบทำตัวเป็นกระสอบทรายนักนะ
“เป็นห่วงพี่อิงเหรอ?” ก็สีฟ้าถามตามที่เห็น อาการบนใบหน้าคนป่วยปิดไม่มิด ถามจบก็ถูกคนรักมองค้อนทันที
“มึงเป็นห่วง?” ถึงจะขัดใจที่คนรักถามคำถามที่แสลงหูตน แต่ภาคีจะโทษคนรักก็ไม่ได้ ในเมื่อเพื่อนแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงออกมาซะขนาดนั้น
“อืม...ห่วง” คณิตยอมรับอย่างง่ายดาย คร้านจะเถียงหรือปฏิเสธให้วุ่นวาย อาการบนใบหน้าเขาคงฟ้องหมดแล้ว “มือมึงไม่ได้โดนน้ำร้อนลวก แต่เป็นเพราะมึงต่อยบอสจนมือเจ็บใช่ไหม” คณิตอยากรู้ เพื่อนรักต้องต่อยอีกฝ่ายแรงขนาดไหนกันนะ มือถึงได้เจ็บจนต้องพันผ้าไว้...แต่คนที่ยอมเป็นกระสอบทรายน่าจะเจ็บกว่าหลายเท่า
“จะพูดว่ากูทำเกินไปหรือไง” ภาคีย้อนถามเสียงขุ่น มองหน้าเพื่อนตาขวาง
“กูแค่ถาม ไม่ได้ว่ามึงสักหน่อย” คณิตว่าเสียงอ่อน ภาคีกำลังด่าเขาทางสายตา ว่าเขาเจ็บแล้วไม่จำ ดันไปห่วงคนที่ทำเขาเจ็บ แทนที่จะเป็นห่วงมันที่ต่อยจนเจ็บมือ
“ตินต่อยพี่อิงก็จริง แต่ไม่กี่ทีเองหนึ่ง แต่ที่เจ็บจนต้องพันแผลไว้ เพราะเมื่อคืนตินโมโหตัวเองที่มีส่วนทำให้หนึ่งเป็นแบบนี้” สีฟ้าบอกความจริง ครั้งแรกที่บอกคณิตไปว่าภาคีโดนน้ำร้อนลวก เพราะไม่อยากให้คณิตรู้เรื่องเมื่อคืน ที่ภาคีโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่ได้ ต้องระเบิดออกมาด้วยการชกกำแพงรั้วที่เป็นปูนแข็งๆ
“โทษตัวเองทำไมวะ” พอรู้ความจริง คณิตก็ดุเพื่อนทันที “มึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องกูกับบอสเลยนะ มันเป็นเรื่องของพวกกูสองคน มึงไม่เกี่ยว ไม่ใช่ความผิดของมึง อย่าโทษตัวเองอีกนะ กูขอ”
“แต่กูเสียใจหนึ่ง เสียใจที่กูเข้าข้างบอส เชื่อว่าบอสรักมึงจริง ไม่มีวันทำให้มึงเสียใจ นี่กูยังจำคำด่าของมึงได้ทุกคำ ถ้ากูฟังมึง เชื่อมึง ปกป้องมึง มึงก็ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เมื่อคืนมึงคงไม่รู้ ว่ามึงเพ้อเหมือนคนเสียสติ ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ แล้วยิ่งมึงละเมอว่าอยากตายเป็นสิบๆ รอบ มึงจะไม่ให้กูรู้สึกผิดอะไรเลยหรือไง ในเมื่อกูช่วยคนผิด ถ้ากู...” ภาคีหยุดพูด เพราะเจ้าตัวกำลังฝืนกลืนก้อนหนักๆ ลงคอไปก่อน มือนุ่มนวลของคนรักลูบแขนเขาเป็นเชิงปลอบและให้กำลังใจ เขายิ้มให้สีฟ้า แล้วจึงเล่าความรู้สึกของตัวเองออกมาอีกครั้ง “ถ้ากูรู้ว่าบอสจะตัดสินใจแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อ ด้วยวิธีที่ทำให้มึงเจ็บเจียนตาย กูคงไม่ขัดขวางไอ้ชิตกับมึงหรอก ถึงมันจะเจ้าชู้ แต่มันก็ทำให้กูเห็นว่ามันรอมึงมาตลอด กูน่าจะรู้นะว่ามันรักมึงเกินกว่าจะทำร้ายมึงได้ลงคอ”
“แต่มันก็มีคนของมันแล้ว มึงยังไม่เห็นหรือไง” คำพูดของภาคีก็ไม่ถูกนัก ที่ว่าชิตตะวันรอเขามาตลอด มันไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด ชิตตะวันรอเขาก็จริง แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหว เขาเข้าใจชิตตะวัน ไม่ได้โทษที่มันหมดรักเขา เพราะถ้าเป็นตัวเขา เจอคนที่ใช่ ที่พร้อมเข้ามาในชีวิตเขา อยู่ข้างเขา ต้องการเขา และเห็นเขามีค่า เขาก็พร้อมจะเปิดใจ และจบการรอคอยที่ไม่เห็นปลายทางไปซะ
“กูหมายถึงก่อนหน้านั้น ถ้ากูไม่ขัดขวางมึงกับมัน มึงก็คงไม่ต้องเจ็บปวดกับความเห็นแก่ตัวของบอส”
“เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว มึงเป็นเอามากนะ เรื่องก็แค่นี้เอง ยังกับกูเป็นคนแรกของโลกที่โดนเท โดนทิ้งแล้วไงวะ ต้องตายทุกคนหรือไง กูไม่ตายหรอกน่า เจ็บแค่มดกัด สองสามวันก็หาย” คณิตส่ายหน้าขำคำพูดของเพื่อน แม้ใจจะไม่ขำตามก็เถอะ เขาจำเป็นต้องแสดงความเข้มแข็งให้เพื่อนเห็น มันจะได้เลิกทุกข์ใจไปกับเรื่องที่จบไปแล้ว “คุณลมช่วยดูแลหน่อยนะครับ ดูมันอินกับเรื่องผมเหลือเกิน” หันไปบอกสีฟ้า แต่อีกฝ่ายดันเผาคนรักซะนี่
“ดูแลมาเกือบตลอดทางเลยละหนึ่ง” บอกด้วยรอยยิ้มล้อคนรัก “ขับรถออกจากกรุงเทพฯไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ต้องเปลี่ยนมาขับแทน เพราะอะไรรู้ไหม” สีฟ้าถามคนป่วย ที่ส่ายหน้าทันทีที่ถูกถาม
คณิตจะรู้ไหม ในเมื่อไม่ได้นั่งมาด้วย
“ก็เพราะ...” สีฟ้าทิ้งจังหวะไว้นิดหนึ่ง เขามองหน้าคนรักเป็นเชิงเย้าแหย่ ภาคีหน้าแดง หันหน้าหนีไปอีกทาง “ตินร้องไห้จนขับรถต่อไม่ไหว ร้องไห้เหมือนเด็กเลยนะหนึ่ง ผมต้องปลอบเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ กว่าจะหยุดปล่อยน้ำตาได้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะมีความสุขที่ได้เผาคนรัก
“ร้องไห้เลยหรือครับคุณลม” คณิตถามอย่างไม่เชื่อ มันอาการหนักถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอ เอ...ความจริงเพื่อนเขาก็เป็นประเภทอ่อนไหวง่ายนะ ตอนช่วงที่ยังไม่เข้าใจกันกับสีฟ้า ภาคีเคยร้องไห้เพราะกลัวสีฟ้าจะหนีไปจากมัน แต่ก็ไม่นึกไงว่าจะเสียน้ำตาเพราะเรื่องของเขาด้วย
“ใช่แล้ว ผมถ่ายรูปหลังร้องไห้ไว้ด้วยนะ หนึ่งอยากเห็นรูปผู้ชายขี้แยไหม” สีฟ้าถามกลั้วเสียงหัวเราะสดใส
“เอามาเลยครับคุณลม ส่งเข้าไลน์มาเลย” คณิตคิดจะเก็บรูปไว้ล้อเพื่อนในวันหลัง
“มันมีที่ไหนเล่า มึงก็เชื่อคนง่ายนะ” ภาคีบอกเพื่อน หน้ายังขึ้นสีแดงเพราะความอายที่ถูกคนรักเผาเรื่องที่เขาร้องไห้ ตอนนั้นเขาไม่ไหวจริงๆ ทั้งรู้สึกผิด สงสารเพื่อน โกรธและผิดหวังในตัวอดีตนายจ้างด้วย เขาเคารพอชิตะมาก ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขาหมดความเคารพนับถือคนคนนี้ได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้ว
“งั้นตินก็ว่าลมโกหกสินะ” สีฟ้าตีหน้ายุ่งก่อนจะยิ้มร้าย ดึงเอาโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋าทันที พอภาคีจะแย่ง สีฟ้าจึงวิ่งหลบไปยืนที่เตียงอีกฝั่งหนึ่ง พร้อมกับกดส่งรูปไปให้คนที่อยากได้ในเวลาอันรวดเร็ว “เรียบร้อยแล้วหนึ่ง หลักฐานที่ยืนยันว่าผมพูดความจริง”
เสียงสั่นสั้นๆ ดังมาจากโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงก่อนที่สีฟ้าจะพูดจบด้วยซ้ำ คณิตรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเร็ว กดดูรูปที่สีฟ้าส่งมาให้ทันที
โห...ภาคีตาบวมแดงเป็นลูกมะนาวเลย 
“มึงรักกูขนาดนี้เชียว” คณิตเงยหน้าขึ้นยิ้มล้อคนในรูป หันหน้าจอไปให้ดูด้วย ก่อนจะถูกสวนกลับ ชนิดตาเหลือกเลยทีเดียว
“สงสัยมึงอยากจะได้ ‘คลิป’ ตอนมึงละเมอเพ้อเจ้อเหมือนคนบ้าสินะ” ภาคีถามเสียงนิ่ง เจือรอยยิ้มของคนที่ถือไพ่ใบใหญ่กว่า
“กูไม่เชื่อ มึงไม่ได้ถ่ายไว้หรอก มึงหลอกกู หลอกกูแน่ๆ ใช่ไหม ใช่ไหมครับคุณลม” ประโยคหลังคณิตหันไปถามสีฟ้าที่เดินกลับมายืนข้างคนรักเหมือนเดิม
“ไม่มีหรอกหนึ่ง ตินโม้”
“ไอ้ห่าติน! หลอกกูได้นะ” ใจหายวูบเลยตอนที่เพื่อนขู่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้คนอื่นเห็น แต่เป็นเขาที่ไม่อยากเห็นตัวเองตอนสิ้นสภาพ เพ้อคร่ำครวญบ้าบออะไรออกมาตอนที่สติไม่มี ถ้าภาคีไม่พูดเกินจริง เขาละเมอว่าอยากตายด้วยเหรอ
“ลมก็...บอกมันทำไมครับ” ภาคีหันไปพูดเสียงน้อยอกน้อยใจใส่คนรัก
“อ้าว ก็ใครใช้ให้ตินโกหกเล่า สามครั้งแล้วนะ” สีฟ้าว่า แล้วแจกแจงว่าสามครั้งนั้น คือครั้งไหนบ้าง “ครั้งแรกโกหกลมว่าจะไปหาอะไรกินในครัว แต่ไปชกกำแพงทำร้ายตัวเอง ครั้งที่สองโกหกว่าลมไม่ได้ถ่ายรูปตินไว้ และครั้งที่สามก็โกหกเรื่องคลิป ต้องโดนลงโทษรู้ไหม” สีฟ้ายิ้มมีความหมาย เป็นความหมายที่รู้กันอยู่สองคน
“ไม่เอานะครับลม ตินก็ตายสิ” ...แย่แน่ในเมื่อ ‘หนึ่งคำโกหก’ เท่ากับ ‘หนึ่งสัปดาห์’ ที่เขาไม่ได้ส่งเจ้าลูกชายเข้าไปสัมผัสช่องทางรักของคนรัก
“ไม่รู้ล่ะ กฎต้องเป็นกฎ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎ จะมีกฎไว้เพื่ออะไร” 
“แต่ตินไม่ได้อยากให้มีกฎเลยนะ” ภาคีเถียงกลับ
เรื่องกฎที่ทำให้เขาอดดื่มด่ำร่างกายสีฟ้า มันเกิดขึ้นเพราะ...เขาโกหกสีฟ้าแล้วโดนจับได้
อันที่จริงครั้งนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจโกหกสีฟ้า เพียงแต่ไม่อยากบอกเรื่องจริง เพราะรู้ว่าถ้าบอก สีฟ้าต้องโกรธและอาละวาดแน่ คือเขาไปพบลูกค้าแถวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่ลูกค้าดันติดธุระสำคัญซะก่อน เลยเลื่อนนัดไปวันหลัง เขาก็เลยถือโอกาสแวะซื้อของกินของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างฯ แต่บังเอิญเจอนิรดาที่มาซื้อของเช่นเดียวกับเขา เลยหยุดคุยกัน คุยไม่ถึงห้านาทีเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีผู้หวังดีต่อภรรยาสุดที่รักของเขา ถ่ายรูปตอนเขาคุยกับนิรดาส่งไปให้สีฟ้า มันก็เกิดเป็นเรื่องสิ พอกลับถึงบ้านสีฟ้าถามว่าเขาไปไหนมา เขาก็ตอบตามความจริง โดยเว้นเรื่องไม่ถึงห้านาทีกับนิรดาเอาไว้ จากนั้นหลักฐานรูปถ่ายก็ถูกจ่อติดหน้าเขาทันที!
“อย่ามางอแงนะติน แล้วใครใช้ให้ตินโกหกลม ถ้าวันนั้นตินไม่โกหกลม บอกลมมาตรงๆ ลมก็ไม่ต้องมาเขียนกฎให้ตินปฏิบัติหรอก” นึกถึงวันนั้นแล้ว สีฟ้ายังโมโหไม่หาย ชื่อของนิรดายังเป็นอะไรที่จี้ต่อมจี๊ดของสีฟ้าได้เสมอ
“ก็ตินรู้ไง ว่าถ้าบอกแล้วลมต้องโมโหและอาละวาดแน่ ตินเลยไม่บอก”
“หึ! ไม่ต้องมาด่าทางอ้อมว่าลมเป็นคนเจ้าอารมณ์หรอกน่า ลมรู้ตัวดี ว่าลมเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห โกรธง่าย ชอบอาละวาด ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบก็บอกมาได้นะ ลมจะได้ไม่ทำอีก ตินจะได้มีความสุขกว่านี้ ทุกวันนี้อยู่กับลมแล้วไม่มีความสุขใช่ไหม” สีฟ้าร่ายยาว ทุกคำเต็มไปด้วยความน้อยใจ
“โธ่ลมครับ...ไปกันใหญ่แล้ว” ภาคีรีบดึงสถานการณ์กลับก่อนจะไปไกลกว่านี้ หันไปมองคณิตที่นั่งมองตาปริบๆ ยังไม่ทันส่งซิกให้เพื่อนหายตัวไปก่อน คณิตก็ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจเหลือเกิน เจ้าตัวรีบลุกจากเตียงนอน เดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เพราะคณิตก็อยากเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยแหละ
“ใช่สิ ก็ลมเป็นคนชอบโวยวาย ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นี่ ลมขอโทษที่ทำให้ตินเหนื่อยใจ กฎนั่นไม่ต้องมีก็ได้ ตินจะได้โกหกลมแบบไม่ต้องมีความผิดอีกต่อไป”
“โธ่ลม ไม่พูดประชดตินสิครับ” ทำไมเรื่องดราม่าของคณิต มันถึงได้กลายเป็นเรื่องดราม่าของเขาไปได้เนี่ย ภาคีคิดอย่างอ่อนใจ แต่ยังไงซะ เขาก็ต้องรีบง้อคนรักด่วน “มีกฎก็ดีนะครับ ตินจะได้ไม่กล้าโกหกลมอีกเลยไง นะครับ...ดีกันนะ” ภาคีดึงภรรยาสุดที่รักมานั่งบนตัก คนตัวเล็กดิ้นขัดขืน ไม่ยอมแต่ก็แพ้แรงกอดของคนตัวใหญ่   
“ลมไม่ได้ประชด แต่ลมตามใจตินอยู่ไง ไม่อยากให้ลมตั้งกฎเอาเองตามใจชอบ โดยที่ตินไม่เห็นด้วย ลมก็ยกเลิกให้แล้ว ไม่ดีหรือไง ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาว่าลมอีก” สีฟ้าถามกลับเสียงสะบัด เบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากคนรักที่พยายามจะจูบง้องอนเอาใจ แต่ดันหนีไม่พ้น สามีสุดที่รักเก่งกาจกว่าเยอะ กลีบปากหวานก็เสร็จภาคีจนได้
จูบของภาคีช่างหวานและช่างง้องอน คนที่ร้อนเป็นน้ำต้มเมื่อครู่จึงเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นน้ำหวาน ชวนให้ภาคีหลงใหลชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ต่อให้สีฟ้าจะเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน ภาคีก็ยินยอมเป็นคนที่คอยตามง้องอนและตามใจสีฟ้าทุกอย่าง
และคงจะไม่ใช่แค่จูบเพียงอย่างเดียว ภาคีพาสีฟ้าเตลิดไปไกลกว่าแค่จูบ เมื่อมือเผลอเลื่อนเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวเล็ก จากนั้นก็ลากไล้มายังด้านหน้าบ้าง ใช้ปลายนิ้วสะกิดเม็ดสีหวานบนหน้าอกคนรัก ปลุกเร้าอารมณ์วาบหวาม ลืมคิดถึงสถานที่ เพราะพอได้สัมผัส มันก็หยุดไม่อยู่
ภาคีอยากสัมผัสทั้งหมดของร่างกายคนรักเสียแต่ตอนนี้ เผื่อว่าต้องทำตามกฎถึงสามสัปดาห์เต็ม!
“อื้อ...ตะ...ติน...มันห้อง...อื้อ...ห้องหนึ่ง...” เสียงห้ามกระท่อนกระแท่นแทรกสอดไว้ด้วยเสียงครางแผ่วเบา
“นิดเดียวครับ”
“อื้อ...มะ...ไม่นิด...ละ...อื้อ...แล้วนะ...ไม่เอา...อื้อ...” 
‘นิดเดียว’ ของภาคีคือมือที่ล้วงต่ำผ่านขอบกางเกงชั้นในอย่างปรารถนา เลื่อนสัมผัสเข้ากับสิ่งนุ่มนิ่มเหมาะมือ และมันกำลังจะเริ่มเติบโตในอุ้งมือเขา
“เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำ...แล้วคืนนี้ลมก็จะเริ่มต้นลงโทษติน” ริมฝีปากเร่าร้อนกระซิบบอกข้างใบหูเล็ก มือขยับปลุกเร้าเป็นจังหวะ
“ไม่นะติน...” สีฟ้าพยายามดึงมือคนรักออกจากส่วนอ่อนไหวของตน แต่ไม่สำเร็จ ภาคีดื้อจะสัมผัสเขาให้ได้ เขากำลังจะต้านไม่ไหว กลายเป็นว่าเขากำลังนั่งคร่อมทับอยู่บนตักของภาคีไปแล้ว 
“นะครับลม...” คนตาโตส่งสายตาหวานฉ่ำด้วยอารมณ์ความต้องการ ลิ้นร้อนลากเลียเอาความหวานจากซอกคอขาว อันมีกลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของคนรัก พ่นลมหายใจอุ่นบนรอยเปียกชื้นให้สีฟ้าทรมานด้วยความต้องการแบบเดียวกัน
“แต่...” สีฟ้าเผลอลังเล
“แค่เสร็จคามือก็ได้ครับ” ภาคีดึงใบหน้าออกจากซอกคอขาว เพื่อมาส่งสายตาหวานอ้อนวอนคนรัก ใบหน้าสวยหวานเกินชายของสีฟ้ากำลังบอกเขาว่า เจ้าตัวเริ่มคล้อยตามไปกว่าครึ่ง
“แต่...มันมีเสียง...หนึ่งจะได้ยิน” สีฟ้ารู้จักตัวเองดี ยามที่อารมณ์ถึงจุดสิ้นสุด เสียงหวีดร้องสุขสมจะหลุดออกมาจากริมฝีปากตนได้ดังขนาดไหน
“ไม่ได้ยินหรอกครับ...เชื่อตินนะครับ...ลมคนดี...ช่วยกันนะครับ” เรื่องหลอกล่อภาคีเก่งนัก “ทำให้ตินหน่อยนะครับ...นะครับ ตินจะไม่ไหวแล้ว” ภาคีเร่งเร้าต่อด้วยสุ้มเสียงหวานเต็มไปด้วยความต้องการ เขาดึงมือคนให้เกาะกุมตัวตนร้อนจัดของตัวเอง ผ่านกางเกงยีนเนื้อหนา
“แต่หนึ่ง...”
“ไม่ได้ยินครับ มันไม่ได้ยินแน่นอน เชื่อตินนะครับลม”
มือเล็กที่เริ่มปลดหัวเข็มขัดของคนตัวใหญ่เป็นคำตอบสำหรับการร้องขอครั้งนี้ สีฟ้ายอมขับไล่ความอายออกไป ลองคิดซะว่าในห้องมีเพียงเขากับคนรัก...เพียงสองคน
“ขอบคุณครับ” ภาคีก้มหน้าเข้าหากลีบปากสีหวาน สัมผัสจากมือนุ่มนิ่มของคนรัก ปลุกปั่นให้อารมณ์กระพือปีก สีฟ้าสัมผัสตัวตนของเขาด้วยความอ่อนหวานแบบที่เจ้าตัวชอบทำ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ริมฝีปากจะสัมผัสกันและกัน เพื่อให้เต้นรำเป็นจังหวะเดียวกับรสสัมผัสด้านล่างที่ต่างปรนเปรอให้กันและกันอยู่แล้วเชียว หากไม่ถูกขัดขวางซะก่อน
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ไม่ต่างจากระฆังตีหมดยก หรือไม่ก็ค้อนของผู้พิพากษาบนบัลลังก์ตัดสินโทษทัณฑ์ความผิด
“.....”
“....!”
“คือ...กูหิว กูไปก่อนนะ มึงต่อได้เลย ยกห้องให้” ว่าแล้วคณิตก็รีบสาวเท้าไปยังประตูห้อง กระชากออกอย่างรวดเร็ว ยังไม่พ้นออกจากห้องก็ได้ยินเสียงโวยวายของสีฟ้าดังลั่น เจ้าตัวคงอายมากที่ถูกเห็นภาพล่อแหลมแสนเซ็กซี่ เพียงนิดเดียวที่คณิตได้มีโอกาสเห็นใบหน้าแดงก่ำของสีฟ้า ร่างกายที่สั่นสะท้านตามอารมณ์ภายใน เขาบอกได้เลยว่าสีฟ้าโคตรเซ็กซี่ เสียงครางหวานอีกเล่า
มิน่า...เพื่อนเขาถึงหว่านล้อมจะเอาให้ได้ ยังมีหน้ามาหลอกล่อสีฟ้าด้วยว่า เขาไม่ได้ยิน!
สีฟ้าก็เชื่อ!
ไอ้ตินเอ้ย!! ไอ้หื่นขึ้นสมอง หื่นไม่ดูสถานที่ ห้องนอนก็เล็กแค่นี้ เตียงก็อยู่ห่างจากห้องน้ำไม่กี่ก้าว เขาที่ยืนสงบนิ่งมองภาพตาบวมช้ำของตัวเองผ่านกระจกเงาจะไม่ได้ยินได้ยังไงเล่า ถึงจะได้ยินแบบเบามากๆ ก็ตาม แต่หูเขาดีไง เบาแค่ไหนเขาก็ได้ยินและจับประเด็นได้
...จะว่าไปก็อิจฉาความรักของภาคีกับสีฟ้า ทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยความรักที่มีมายาวนาน ภาคีรักสีฟ้ามานาน เช่นเดียวกับสีฟ้าที่รักภาคีมากเช่นกัน เวลาสีฟ้างอน ภาคีจะคอยง้อจนสำเร็จ เขาไม่เคยเห็นครั้งไหนที่ภาคีเหนื่อยในการง้อสีฟ้า เพื่อนของเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ มันรักเดียว ใจเดียว ไม่ว่าผ่านไปนานกี่ปี ความรักที่มีให้สีฟ้า ไม่เคยหมด ไม่มีจืดจาง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
สีฟ้าเป็นผู้ชายที่โชคดี ไม่รู้ว่าโชคดีที่สุดในโลกหรือเปล่า แต่โชคดีแน่นอนที่มีภาคีเป็นคนรัก ความรักของภาคีเป็นของจริงเสมอสำหรับสีฟ้า ไม่เคยเป็นภาพลวงตาแม้สักครั้งเดียว แต่ความรักของคนบางคน กลับไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่หลอกลวงให้เจ็บปวด
เมื่อไรเขาจะโชคดีเหมือนสีฟ้าบ้าง... 

จบตอนที่ 25
ก็เหลืออีก 7 ตอนแล้วนะคะ T^T
ตอนนี้คนเขียนก็กำลังปั่นอาร์ตเล่ม 2 อยู่
สนใจหนังสืออิงหนึ่ง ก็เก็บเงินรอได้นะคะ ^__^
สีเหลืองอ่อน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่านครับ

เป็นเรื่องที่เขียนดีมากๆ พล๊อตเรื่องสมจริง ภาษาดี บรรยายรื่นไหล แปลกใจจังที่คนอ่านน้อยมากๆ เรื่องอาจจะตกเร็วไปเพราะนิยายในเล้าเยอะมาก ผมเองยังเพิ่งเห็นเลย ขนาดเข้ามาอ่านอยู่บ่อยๆ

เห็นใจหนึ่งนะทั้งๆ ที่พยายามจะเป็นคนดีอย่างที่สุดแล้ว สุดท้ายต้องมาเจอแบบนี้ อิงคงมีเหตุผลความจำเป็นอะไรมากกว่าที่เห็น แต่การเลือกวิธีหักดิบแบบนี้เป็นครั้งที่สอง ยืนยันได้เลยว่าอิงเป็นคนที่เลือดเย็นจริงๆ ต่อให้ในใจรู้สึกเจ็บก็เถอะ

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อืม จะว่าไม่ดี มันก็ไม่เชิงนะครับ ในมุมมองผม เราร่ายกันทีละจุดดีกว่า

จุดแรก เรื่องแพทเทิร์นของงานเขียนครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม คนอ่านส่วนมากจะอ่านหรือไม่ ก่อนที่จะดูเนื้อเรื่องหรือพล็อต คนส่วนมากจะดูก่อนว่าสามารถเขียนได้ ‘สบายตา’ หรือเปล่า มีการเว้นวรรคถูกไหม มีการขึ้นหัวข้อและขึ้นบรรทัดใหม่ ย่อหน้าใหม่ จัดองค์ประกอบของเนื้อความหนึ่งตอนให้คนอ่านสามารถย่อย ‘สาส์น’ ที่เราจะส่งไปได้อย่างเรียบง่ายหรือเปล่า ถ้าเขียนติดกันเป็นพรืด ไม่ได้เว้นวรรคหรือเว้นบรรทัดให้สบายตาเหมาะสม ไม่ได้มีการใช้ลูกเล่นในภาษา หรือไม่ได้เล่นสีแสงเอฟเฟกต์อะไรมาก(พวกตัวจุด, ตัวย่อ, ตัวหนา, ตัวเอียง) คนอ่านจะอ่านแล้วเหนื่อยครับ เพราะใน Perspective ของเขา อ่านแล้วเขาต้องมานั่งย่อยความอีกครั้ง ใครพูดอะไร ตรงไหนคือการคิด ตรงไหนของใคร ตรงไหนบรรยาย อรรถรสในการอ่านมันจะเสียไปครับ แล้วจะพาลทำให้คนไม่ติดตามเอาในกรณีที่พล็อตหรือเนื้อเรื่องคุณไม่ได้เด่นขึ้นจากพล็อตโดยทั่วไปครับ สำหรับเรื่องนี้ มีบางตอนก็เว้นบรรทัด บางตอนก็ไม่เว้นบรรทัดเลย บางตอนเล่นลูกเล่นทำให้เราแยกออกได้ว่าตรงไหนคำพูด ตรงไหนบรรยาย ตรงไหนเป็นความรู้สึก แต่บางตอนก็เขียนติดๆกันจนเราต้องมานั่งย่อยอีกทีครับ อยากให้ปรับตรงนี้หน่อย การเว้นช่วงทำหน้าที่คล้ายๆการพักหายใจสำหรับคนอ่าน เมื่อเราสื่อความจนจบ แล้วอยากจะให้คนอ่านพักเพื่อย่อยความครับ อย่าเขียนติดกันเป็นพรืด

ในเรื่องแพทเทิร์นมีปัญหาก็จริง แต่สำหรับเนื้อความบรรยาย ผมโอเคมากเลยครับ เขียนสื่อได้ตรงประเด็นทุกอย่าง ความสับสนของคณิต ความเด็ดขาดและบุคลิกที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งของอชิตะ ลักษณะนิสัยตัวละครทุกอย่างทำออกมาได้ดีครับ บรรยายให้เห็นภาพได้ชัดเจน ที่ผมชอบมากที่สุดของบรรยาย คือส่วนของ ‘สำนึกเสียใจ’ และความหวั่นไหวที่คณิตมี สำนึกเสียใจของคณิตทำออกมาได้ดีมากครับ บรรยายได้เรียล ชัดเจน แต่บางทีอย่างที่ผมบอก มันเขียนติดๆกันไปหมดจนรู้สึกว่ามัน Redundant (เยิ่นเย้อ) ถ้าเว้นบรรทัด หรือเว้นเพื่อใส่บรรยายอย่างอื่นเพื่อเพิ่มความหนักของความรู้สึกให้หน่วงมากขึ้น ก็จะทำให้คนอ่านย่อยความได้ดีขึ้น ความหวั่นไหวของคณิตก็ทำได้ดีมาก คือความรู้สึกสามารถบรรยายออกมาโดยที่คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจ เห็นภาพ อินกับความรู้สึกของคณิต (ในช่วงแรกๆ)

ทีนี้ถึงจุดที่ผมว่าบรรยายได้แย่ครับ หนึ่ง การบรรยายความเซ็กซี่ของตัวละคร ผมคิดว่าการบรรยายติดจะตลก (เพราะเราอิงคณิตซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขัน) ดังนั้นพอถึงช่วงที่มันควรจะบรรยายเร้าอารมณ์คนอ่านให้อินไปกับบุคลิกหรือลักษณะทางกายภาพของใครในเรื่อง มันเลยดูแปลกๆติดจะขำขันเสียอย่างนั้นน่ะครับ ซึ่งจุดที่เป็นฉากอัศจรรย์ทำได้ดีนะครับ เพียงแต่ต้องเว้นบรรทัดเพิ่ม หรือเคาะเว้นวรรคเพิ่มอีกหน่อย ไม่งั้นมันพรืดมาเยอะๆแล้วคนอ่านไม่รู้สึกว่ามันเร้าอารมณ์สักเท่าไหร่ครับ สอง พาร์ทบรรยายของคนอื่นที่ไม่ใช่อชิตะกับคณิต ทำออกมารวบรัดมาก ผมไม่เข้าใจลอจิก และไม่ได้รู้สึกกับความอินเลยครับ เช่นตัวละครแรก ภาคี ฉากตอนทะเลาะกันนี่ผมรู้สึกว่ามันปวดหัวมาก คือไม่เข้าใจลอจิกของภาคีเลย ควรจะเอาฉากความคิดของภาคีในตอน 26 กว่าๆมาใส่ในช่วงแรกๆนะครับ เพราะคนอ่านจะได้เข้าใจภาคี ไม่งั้นผมรู้สึกว่าเขา bias เข้าข้างอชิตะจนทุเรศเลยล่ะ (คือใช้คำนี้ได้นะ เพราะว่าเรื่องในตอนนั้นมันคือการ ‘ข่มขืน’ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าเรื่องปูมาว่าภาคีเป็นเพื่อนที่ดี ปฏิกิริยามันควรจะดีกว่านี้ครับ ไม่ใช่พูดจาวนเวียนหาเรื่องให้คณิตกลับไปดีกับอชิตะ แล้วหาว่าเพื่อนเล่นตัว บลาๆ พยายามโยงคณิตกลับไปให้ได้ ผมว่ามันไร้สาระไปหน่อย ถึงจะสามารถวางเหตุผลได้ว่า ภาคีเข้าข้างคณิตไม่ได้มากเพราะว่าบริษัทต้องพึ่งอชิตะอยู่ แต่เราหาทางลงให้ดีกว่าได้นะครับ ไม่อย่างนั้นมันดูไม่สมเหตุสมผลครับ)

จุดที่สอง พล็อต พล็อตเรื่องนี้ดูจะธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาเลยครับ(?) (หัวเราะ) ผมชอบนะครับเรื่องที่เราเอาประเด็นที่มีการผูกกันหลายจุดใส่ตูมมา แล้วให้คนอ่านค่อยๆไล่ตามไปทีละประเด็น ค่อยๆแตกตัวละครเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะการทำอย่างนี้จะค่อยๆเพิ่มความเรียลให้กับตัวละครหลัก ทำให้มันเป็นวรรณกรรมที่แน่นขึ้นในด้านข้อมูลสนับสนุน แม้จะเป็นพล็อตแบบธรรมดา ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท แต่เนื้อเรื่องและตัวละครที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างจากนิยายน้ำเน่าทั่วไปมากทำให้มันน่าสนใจดีมากครับ แต่ประเด็นคือพล็อตมันมีบางจุดที่ผมว่ามันไม่เมคเซนส์ แต่หลายจุดก็ทำได้ขยี้ใจผมมาก ผมอินกับหลายประเด็นทีเดียวนะครับ เช่น

หนึ่ง เป็นผมผมทำไม่ได้ครับ จะให้ผมมาเป็นแฟนกับ CEO แล้วทำให้เขาเลิกกับคู่หมั้นที่คิดมานาน วางแผนชีวิตครอบครัวเสร็จสรรพหมดแล้ว คือเรื่องไม่ได้ปูมาก่อนว่าคณิตชอบอชิตะ (ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง มันก็ไม่ถูกอยู่ดีแหละครับ เพราะผู้หญิงไม่ผิดอะไรเลย ผู้หญิงเป็นคนน่ารักด้วยซ้ำ เป็นผมผมทำไม่ลงอะ เราเจ็บเองดีกว่าให้ผู้หญิงมารับเคราะห์) หรือเรื่องปูมาก่อนว่าอชิตะชอบคณิต (ซึ่งถ้าอย่างนี้จริง ผมจะถือว่าเรื่องจะฉีกออกไปอีกแบบหนึ่งเลยครับ อชิตะจะกลายเป็นคนดูมักมาก เห็นแก่ตัว และไม่คู่ควรกับผู้หญิงแบบหวานครับ) แต่ข้อดีของพล็อตตรงนี้คือ คุณคนแต่งสร้างให้คณิตมีทั้งความสับสน และทำให้เข็มทิศคุณธรรมของเขาไม่หวั่นไหวเลย ตรงนี้ผมประทับใจมาก เพราะคนส่วนมากจะไหลๆไปกับเซ็กซ์ แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปอย่างงงๆยังไงไม่รู้

ถ้าสังเกต เรื่องนี้พอเกิดการมีเซ็กซ์ที่ไม่สมยอม คณิตจะพูดตลอดว่าเขา ‘ถูกข่มขืน’ เขาไม่มาหวั่นไหวกับความหล่อเหลาหรือบุคลิกอะไรภายนอกครับ คือผมชอบคณิตที่ชัดเจนว่าเขารู้ตัวว่าถูกทำอะไร และถ้าไม่ยอม ก็คือไม่ยอม นอกจากนี้ พอคณิตคิดได้ เขาทำทุกอย่างโดยตั้งอยู่บนเข็มทิศคุณธรรมอย่างดี ไม่ใช่ทำปากอย่างใจอย่าง คือคณิตโลเล แต่ถ้าตัดสินใจแล้วคือทำเลย ไม่มีท้อ ไม่มีขัด และฉีกกรอบตัวนางโง่ๆไปทุกรายครับ ได้ มึงไม่ปล่อยกูใช่ไหม กูหาตัวช่วยอื่น (แม่ของอชิตะ, ครอบครัว, เพื่อนที่แอบรัก แล้วตอนที่อยู่กับชิตตะวันนี่ก็คือตรงมาก จะหักดิบทำและตอบรับเลยครับ ดีมาก ไม่ใช่มาเล่นตัวหลอกใช้คนแบบที่ตัวนางชอบทำกับพระรอง) ตรงนี้ได้ใจผมไปมากครับ

สอง ตัวละครเพิ่มมาแบบไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องมากไปครับ แค่พล็อตตรงจุดหนึ่งกับพล็อตหลักนี่ก็สุดแสนจะหนักแล้วครับ ถ้าจะเพิ่มตัวละคร ควรเพิ่มตัวละครที่เกี่ยวกับพล็อตตรงนี้ อย่างแฟนคุณหมอนี่เพิ่มมาอย่างชั่วคราว แฟนชิตตะวันนี่ก็เพิ่มมาอย่างชั่วคราว (แถมสองคู่นี้ยังทิ้งนัยยะแบบที่ไม่จำเป็นต่อเรื่องเอาไว้อีก) คือเราสามารถใส่มาได้นะครับ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่เราเน้นพล็อตหลัก เพราะคนอ่านจะโฟกัสกับพล็อตหลักอยู่ ฉากงอนง้อความหวานของภาคีกับสีฟ้าก็เหมือนกันครับ พวกนี้ควรใส่มาตอนที่โทนเรื่องไม่หนักมาก แล้วเราอยากซ่อนนัยยะที่น่าสนใจเอาไว้ให้คนอ่านไปอ่านต่อ อีกฉากนึงคือการสู้รบตบมือ, นัยยะมีเซ็กซ์, หึงเพื่อน อะไรพวกนี้ของเบิกฟ้ากับชิตตะวัน ฉากพวกนี้ไม่ควรมีครับ เพราะผมงงว่ามันไม่เกี่ยวกับพล็อตหลักสักนิด (ทั้งๆที่ตอนนั้นคือคณิตหนีมา เรื่องควรจะอยู่ในโทนเศร้า ปรับความเข้าใจ แต่สองคนนี้มาทีนี่พลิกโทนเรื่องเลยครับ ผมเลยว่ามันตงิดๆนะ) เราสามารถใส่เบิกฟ้ามาได้แต่ไม่ให้เขาเด่นมาก เพราะเขาต้องช่วยเพิ่มสีสันให้กับความเศร้าของคณิต (ผมชอบฉากผสมโรงกันไปนอกโลกนะครับ ตลกดี (หัวเราะ))  แต่ก็ยังมีข้อดี คือบางตัวละครก็ drive เรื่องได้ดีมาก เช่น คุณแม่, คุณย่าของอชิตะ, พี่ชายทั้งสามของคณิต ตัวละครเหล่านี้โผล่มาไม่เยอะ แต่มีเอกลักษณ์เด่นมาก สื่อสารบทของเขาครบถ้วน ส่งผลต่อพล็อตได้อย่างสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักครับ

จุดที่สาม เรื่องเคมีการจับคู่และลอจิกของ Interaction ระหว่างตัวละครครับ เรื่องนี้คาบเกี่ยวกับระหว่างจุดแรกกับจุดที่สอง เช่นเรื่องของภาคีที่ผมพูดไปแล้ว และเคมีการจับคู่ของแต่ละคู่ที่ผมยังว่าแปลกๆอีกด้วยครับ (อันนี้เลยอาจจะทำให้ไม่ตรงจริตคนอ่านมากนัก) เช่น คุณหมอ-เจ้าของร้านกาแฟข้างบ้าน อันนี้ปกติ แต่ต้องดูบุคลิกด้วยครับ คือถ้าเจ้าของร้านกาแฟโหดร้ายเงียบขรึมเย็นชา มันก็จะเกิดคำถามว่าคนแบบนี้เป็นเจ้าของร้านกาแฟได้ยังไง? แล้วนิสัยของตัวคุณหมอมันเป็นยังไง ถ้าเย็นชา เย็นชาแล้วประกอบอาชีพหมอเฉพาะทางด้านไหน เพราะบุคลิกเย็นชาส่งผลต่อหน้าที่การงาน จะเห็นว่ามันเป็นโซ่กระทบๆต่อไปครับ ระวังเรื่องเคมีจับคู่นิดหนึ่ง หรือ ชิตตะวัน-เบิกฟ้า คู่นี้มีเรื่องของ Age Gap หรืออายุที่ห่างกันมาก แล้วมาได้ยังไง? ผมเข้าใจเรื่องพื้นหลังของเบิกฟ้าที่อาจจะยากจนหรืออะไรก็ตามแต่ที่ดันเรื่องให้เบิกฟ้าต้องมาอยู่กับชิตตะวัน แต่การที่เราเปิดตัวเพื่อนของเบิกฟ้ามาปุ๊ป ผมนี่เปลี่ยนเข็มทันทีเลยนะครับ ผมมองว่าสตอรี่ของเบิกฟ้ากับเพื่อนของเขา ถ้าจะจับคู่กัน มันน่าสนใจกว่าการจับคู่เบิกฟ้า-ชิตตะวัน อีกเยอะ เพราะว่าเราเห็นพล็อต ตัวนางมีปัญหา-เจ้าของรีสอร์ต และมี Age Gap มาเยอะมากจนเดาทางได้ แต่การจับคู่แบบ เพื่อน-เพื่อน ที่มีบุคลิกรูปร่างแบบเบิกฟ้าและเพื่อนของเขา รวมถึงแบ็คกราวน์ของเบิกฟ้าที่เป็นตัวนาง การแก้ปัญหาของพล็อตตรงนี้จะต่างกับการจับคู่แบบแรกมากครับ พล็อตต้องคิดเยอะขึ้นมากถ้ามันสมจริง และมันน่าสนใจกว่าเยอะ การจับคู่หลักของเรื่องผมโอเคนะ เพราะว่าตัวพล็อตมันมีอะไรซับซ้อนกว่าที่เห็น และนิสัยตัวละครนางก็เด่นจนกลบพวกพล็อต ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท ไปจนหมดเลย (ไม่บ่อยที่เราจะเจอตัวนางแบบคณิต และคาแรกเตอร์ผู้หญิงแสนดีขนาดหวานครับ มันเลยทำให้การดำเนินพล็อตน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจำเจ)

จุดที่สี่ ชื่นชมเรื่องการควบคุมโทนเรื่องครับ แต่ยังมีปัญหาที่ทำให้โทนเรื่องไม่สม่ำเสมอจากสามจุดด้านบนที่กล่าวมาแล้ว โทนเรื่องนี้เป็นแบบสบายๆปนขำขัน แต่มีความเรียล ความหน่วง มิติและแบ็คกราวน์ตัวละครแน่นทำให้ดูน่าสนใจครับ แต่ปัญหาคือบางจุดที่เป็นโทนเศร้า ก็มีปัญหาอย่างที่ผมบอกไปด้านบน(ฉีกโทน ไม่ดิ่งจนสุด) โทนวาบหวาม (ก็มีปัญหาการเว้นเคาะบรรยาย ไม่สุดอีก) โทนจริงจัง (เจอคาแรกเตอร์ภาคีไปทีนี่ผมว่าลอจิกตัวละครนี้ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ แล้วครับ ดูมีไบแอสมากแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ของเพื่อนสนิท) สิ่งที่สม่ำเสมอตลอดคือโทนขำขันปนสนุกสนาน อย่างฉากคณิตอยู่กับเพื่อนๆที่ทำงาน เอาจริงๆไมว่าคณิตอยู่กับฉากไหน เขาจะดึงเรื่องได้ดีขึ้นมากๆครับ คุณคนแต่งเขียนคณิตออกมาได้ดีที่สุดเลย คาแรกเตอร์เด่นมาก สมจริงมาก โลเลแต่มีความแข็งแกร่ง และฉลาด มีอารมณ์ขันอีก สุดยอดครับ ผมชอบหลายๆฉากที่มีคณิตนะครับ เป็นฉากที่ดีมาก เช่น ช่วงที่คณิตโดนข่มขืนจนถึงคณิตติดต่อคุณหญิงแม่เพื่อแก้ไขปัญหา, ช่วงที่อชิตะโดนพี่ชายสามคนของคณิตซ้อม (อันนี้บรรยายได้หนักหน่วง บ่งบอกความรักน้องได้ชัดเจนมากครับ ออกมาแค่บทเดียว แต่เนื้อความและนัยยะครบถ้วน ได้ใจผมไปเต็มๆเลยสำหรับตัวละครพี่ชาย ให้คะแนนเต็มในฐานะทำหน้าที่ครบถ้วนและสมเหตุสมผลมาก ตัวละครแม่เองซะอีกที่ดูจืดจาง ว่าดูเหมือนอะไรกัน...ไม่ได้รักลูกเลยเรอะ ลูกถูกข่มขืนนะเฮ้ย)



เพิ่มเติม 1 : คุณไอเก่งนะครับ ทำให้ผมเกลียดพระเอกได้เนี่ย (หัวเราะ) ปกติผมจะไม่ค่อยตัดสินคนเท่าไหร่นะ แต่อย่างอชิตะนี่ผมคบไม่ได้จริงๆแฮะ (หัวเราะ) คนแบบนี้ผมคบไม่ได้ครับ งูพิษชัดๆ คือมึงจะเอาแต่ใจมากเกินไปละ ผมยังงงอยู่ว่าที่เหลือ 5 ตอน มันจะหาทางลงยังไงให้มันเมคเซนส์กับการกระทำทั่วๆไปของมนุษย์ที่เจอได้ในสังคม แต่ไม่เป็นไรครับ อะไรที่เราปรับได้ก็ค่อยๆปรับ ถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนไป

เพราะจากที่ผ่านๆมา ก็มีทั้งพี่ชายคณิต ทั้งภาคี(ที่ ณ ตอนนี้น่าจะคิดได้แล้ว) ผมไม่คิดว่าอชิตะจะพร้อมรับมือสองกลุ่มนี้นะครับ เพราะถ้าผมเป็นพี่ชายคณิต ผมก็ไม่เอาไว้นะ น้องผมไม่ใช่ของที่คุณจะมาเล่นแล้วมันพัง เพราะคุณ 'ซ่อม' คนไม่ได้ คุณอาจทำให้เขากลับมาดีคืนผมได้ แต่บาดแผลในใจคุณลบมันไม่ได้ เป็นผมนี่ผมให้คณิตกลับมาทำงานที่บ้านเลย เดี๋ยวเปิดบริษัทให้ ไม่ก็เป็นฟรีแลนซ์ น้องคนเดียวผมมีปัญญาเลี้ยง ไอ้บ้านั่นโผล่มาเมื่อไหร่ เหยียบเท้าเข้าบ้าน ผมยิงนัดเดียวเข้าจุดตายอะ ไม่ผิดด้วย มึงบุกรุก (หัวเราะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2017 22:26:53 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบมาชะแว็บดู เพราะคิดว่าเรื่องน่าจะหนักหน่วงอยู่ไม่น้อย
ตอนอิงบอกหนึ่งว่า "หวานท้องกับผม" แล้วก็... "แต่ผมคงไม่กลับมาที่นี่แล้ว" นี่คือ เจ็บปวดไปกับหนึ่งเลย
เข้าใจว่ากว่าจะมาถึงจุดที่หนึ่งยอมทำตามใจตัวเองทั้งที่รู้สึกผิดมันไม่ง่าย เหมือนจะมีความสุขแต่ต้องแบกรับกับความรู้สึกผิดบาปในใจตลอดเวลา สุดท้ายสิ่งที่ได้รับเป็นแบบนี้น่ะหรือ
จากที่หนึ่งเคยพูดถึงพี่อิงที่ปล่อยมือจากคนรักง่าย ๆ ทั้งหวาน ทั้งหนึ่ง ทั้งที่ว่ารักนักหนา แล้วรู้สึกว่าผู้ชายแบบนี้จะฝากชีวิตไว้ด้วยได้หรือ
คนเขียนบอกเหลืออีกเจ็ดตอน นึกไม่ออกเลยว่าจะจบแบบสุขนาฏกรรมของความรักได้ยังไง
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
26

เจ็บ...แต่ก็สมควร หมัดหนักที่กระแทกใส่หน้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ละหมัดที่ต่อยลงมาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้นและผิดหวังในตัวเขา ซึ่งทุกหมัดก็แค่ทำให้เจ็บ กลิ่นเลือดคลุ้งในปาก หากมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เมื่อเขาต้องเลือกอีกครั้ง เลือกรับผิดชอบชีวิตของณัชชาและลูกในท้องของเธอ

ทำยังไงได้ในเมื่อณัชชาไม่รู้ว่าใครคือพ่อของลูกในท้อง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียงแค่คืนเดียว กลับฝากชีวิตหนึ่งที่จะต้องโตเติบและต้องมีพ่อคอยโอบอุ้ม อดีตผู้หญิงที่เขารักไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ณัชชาไม่อยากให้บิดาผู้เคร่งครัดและมารดาซึ่งเจ้าระเบียบ รู้ว่าลูกสาวคนเดียวทำตัวเหลวไหล สร้างความอับอายให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยการท้องไม่มีพ่อ สร้างความอับอายให้วงศ์ตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตามายาวนาน การเป็นตระกูลผู้ดีเก่าแก่เป็นดังกรอบของสังคมที่กำหนดให้ลูกหลานต้องมีชีวิตที่ดีงาม การท้องไม่มีพ่อ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เชิดหน้าชูตาได้

เมื่อณัชชาไม่รู้จะแก้ปัญหาของตัวอย่างไร และเขาก็สมควรรับผิดชอบความทุกข์ร้อนของหญิงสาว บทสรุปจึงเป็นแบบนี้ แบบที่เขาต้องเลือกเลิกรากับคนที่เคยใช้ความพยายามอย่างมากในการได้มาครอบครอง หากกลับต้องผลักไสออกไปจากชีวิตด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค ทำเหมือนการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีความหมาย และคณิตไม่มีความสำคัญมากไปกว่าคนที่เคยนอนด้วยกัน ทั้งที่ความจริงคณิตคือความรัก ทุกวันนี้ก็ยังรัก ยังคิดถึง อยากเจอ อยากกอด อยากสัมผัส อยากทำทุกอย่างที่เคยทำร่วมกัน

นึกแล้วก็ตลกแต่มันขำไม่ออก เขากลัวคณิตจะหนีจากเขาไป เฝ้าหวงไม่ยอมให้คลาดสายตา คอยกำหนดชีวิตแต่ละวันของอีกฝ่ายให้เป็นไปแบบที่เขาต้องการ เข้านอนพร้อมเขา ตื่นนอนพร้อมเขา จะไปไหนต้องมีเขาตามไปด้วย หรือไม่ก็ต้องมีคนของเขาเฝ้าติดตาม ไม่ต่างจากการจับคณิตใส่กรงขังที่มองไม่เห็น ท้ายแล้วก็เป็นเขาเสียเองที่ไล่คณิตออกไปจากชีวิต

เขาที่เฝ้าพูดมาตลอดว่าจะไม่มีวันทิ้งคณิต ไม่มีทางปล่อยมือจากผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด แต่วันนี้...เขากลับทำไม่ได้อย่างที่พูดในวันนั้น

‘แล้วผมล่ะ’

คำถามที่คลุ้งไปความเจ็บปวด คำตอบของเขายิ่งทำให้คนถามเหมือนจะแหลกสลายในนาทีนั้น ลูกตาเล็กของคณิตเล่าทุกความรู้สึกออกมาจนหมด คณิตเจ็บปวด...เขาก็ไม่ต่างกัน ไม่ได้น้อยกว่ากันเลย

ใช่ว่าในความใจร้ายจะไม่มีความเจ็บปวด

“พี่อิง คิดอะไรอยู่คะ” คำที่ถูกถามดึงอชิตะออกมาจากภวังค์ความคิด เขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มีณัชชานั่งอยู่ข้างๆ ทำแผลบนหน้าผากด้านซ้ายให้เขาอย่างเบามือ เนื่องจากตอนที่โดนต่อยล้มไปกองพื้น หน้าผากเขากระแทกกับมุมโต๊ะเข้าให้ ดีที่ได้แค่เลือด
ไม่ถึงขั้นต้องไปหาหมอให้เย็บแผล

“ไม่มีอะไรครับ พี่ว่าหวานขึ้นไปนอนนะ ดึกแล้ว” อชิตะเปลี่ยนเรื่อง เขาให้ณัชชาย้ายมาอยู่บ้านที่กำลังจะกลับไปเป็นเรือนหอของเธออีกครั้ง

“ดึกที่ไหนล่ะคะ ยังไม่ถึงสองทุ่มเลย” หญิงสาวทำหน้ายู่ที่ถูกไล่ไปนอน รู้ว่าอชิตะเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเธอที่เปลี่ยนแปลงไป เธอมักจะเหนื่อยง่าย แต่ก็ไม่มีอาการแพ้ท้องให้น่าเป็นห่วง

“พรุ่งนี้เราต้องไปพบคุณพ่อคุณแม่ของหวานแต่เช้านะ จำไม่ได้หรือไง ไป...ขึ้นไปนอนได้แล้ว พี่ไปส่ง” บอกพลางลุกขึ้น ดึงว่าที่คุณแม่ให้ลุกตาม

พรุ่งนี้เป็นคิวที่เขาจะต้องไปหาบิดามารดาของณัชชา เพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้นและกำหนดฤกษ์แต่งที่เร็วที่สุด จะใช้ฤกษ์เดิมก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นท้องของเจ้าสาวจะโตจนเป็นที่ผิดสังเกตของแขกในงาน ซึ่งมันจะทำให้ชื่อเสียงของฝ่ายเจ้าสาวเสียหาย ถูกนินทา ส่วนบิดามารดาของเขา วันนี้เขากับณัชชาได้เข้าไปบอกพวกท่านเรียบร้อยแล้ว และพรุ่งนี้ท่านทั้งสองก็จะตามไปด้วย
วันนี้ตอนที่เข้าไปบอกบิดากับมารดาของเขา แม้มารดาจะยินดี ที่เขาทำให้ท่านสมใจ ได้ลูกสะใภ้อย่างที่หวังไว้แต่แรก แต่ในความยินดีนั้นก็มีความเคลือบแคลงสงสัย เพียงแต่ไม่พูด ไม่ถาม

“พี่อิงจะไปทั้งหน้าแบบนี้เหรอคะ” ณัชชาถามอย่างไม่แน่ใจ “แผลหายแล้วค่อยไปก็ได้” เธอเสนอความคิด

“นัดผู้ใหญ่ไว้แล้วก็ต้องไป พี่ไม่อยากให้เสียเวลาด้วย”

“หวานกลัวพ่อกับแม่เสียใจ” ใบหน้าหญิงสาวหม่นแสงลง

“แต่ท่านจะดีใจที่หวานมีหลานให้ท่านอุ้มมากกว่านะ” อชิตะพูดปลอบ ลูบศีรษะว่าที่คุณแม่เพื่อให้กำลังใจ

“แต่ทุกคนจะรู้ว่าหวานท้องก่อนแต่ง พ่อกับแม่ต้องอายคนอื่นเพราะหวาน” เสียงของณัชชาเศร้าลงไปอีก นึกถึงสิ่งที่จะตามมา เธอท้องได้สิบสัปดาห์แล้ว และไม่รู้ว่าฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่สุดจะเป็นวันไหน ยิ่งแต่งช้า ท้องก็ยิ่งโต หลังแต่งงานเมื่อถึงเวลาคลอด ทุกสิ่งจะฟ้องความจริงทั้งหมดออกมาว่าเธอท้องก่อนแต่ง ต่อให้มีพ่อของเด็กแล้วก็ตาม...

...คืนนั้นเธอไม่น่าไปเที่ยวผับเลย เธอคงไม่ต้องตื่นขึ้นมาบนเตียงของผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เธอไม่อยากนึกถึง เพราะมันทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้นและเช้าวันต่อมา ที่เธอตื่นขึ้นมา แล้วไม่ได้พบแค่เขา ทว่ายังมีผู้หญิงของเขาที่เปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด ด่าว่าเธอด้วยคำหยาบคาย ทำให้เธอหน้าชาด้วยการตั้งข้อหาว่าเธอคือ ‘ชู้’

แล้วเธอจะกล้าเอาเรื่องลูกไปพูดกับผู้ชายคนนั้นได้ยังไง หลอกตัวว่าไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครซะดีกว่า

“บางเรื่องมันก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา ก็ต้องปล่อยมันไป คุณอาเขมกับคุณน้าน้องต้องแคร์ความรู้สึกของลูกของท่านมากกว่าคำพูดของคนอื่น หวานไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเครียด พี่จะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง หากท่านจะด่าว่าหรือตำหนิอะไรหวาน พี่จะรับไว้ทั้งหมด”

“หวานทำให้พี่อิงลำบาก” หญิงสาวน้ำตาคลอ “...หวานขอโทษ หวานไม่น่ามาปรึกษาพี่อิง ทำให้พี่อิงต้องรับผิดชอบอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองเลย”

“ไม่ขี้แยสิครับ หวานโตแล้วนะ จะเป็นแม่คนแล้ว” อชิตะเช็ดน้ำตาเม็ดเล็กที่หล่นบนแก้มหญิงสาว “เราสองคนเคยรักกันนะหวาน พี่จะทิ้งหวานได้ยังไง พี่ดีใจที่หวานเลือกมาหาพี่ ให้พี่ช่วยแก้ปัญหา เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หวานรับมือคนเดียวไม่ได้ หวานต้องมีพี่” ว่าแล้วก็ดึงร่างเล็กเข้ามากอดปลอบโยน

ณัชชาซุกหน้ากับอกอุ่นที่คุ้นเคย เธอยังรักอชิตะ ยังรักอยู่มาก ลึกๆ เธอดีใจเหลือเกิน หากพ่อของลูกเธอคือผู้ชายที่เธอรัก   

“พี่อิงรักหวานไหม” ถามทั้งที่รู้คำตอบดี อ้อมกอดของอชิตะไม่ได้เป็นของเธออีกแล้ว แม้เขาจะโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอยู่ก็ตาม

“รัก”

รัก...ที่ไม่เหมือนเดิม

“โกหก” เธอต่อว่า เสียงไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ “พี่อิงไม่ได้รักหวานแล้ว” ณัชชาค่อยๆ ถอนตัวเองออกจากวงแขนที่โอบกอดเธอไว้ ฝืนยิ้มกับความจริงที่ไม่สามารถวิ่งหนีได้

 “รักแบบที่ผ่านมา มันอาจหมดไปนานแล้ว แต่รักแบบตอนที่เราเป็นเด็ก มันยังมีอยู่เหมือนเดิมนะหวาน” อชิตะยังจำวัยเด็กที่ณัชชาเป็นน้องรักของพวกเขาทั้งสี่คนได้ เขาและพี่ชายไม่มีน้องสาว ณัชชาจึงกลายเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของพวกเขา

“บอกว่ารักเหมือนพี่น้องตรงๆ ก็ได้ หวานรับได้ เลิกเสียใจแล้วค่ะ” ณัชชายิ้ม ฝืนยิ้มให้เหมือนคำพูดของตัวเอง

“พี่ขอโทษที่รักหวานเหมือนเดิมไม่ได้” ชายหนุ่มวางมือไว้บนศีรษะณัชชา แล้วลูบอย่างที่ชอบทำ เขาเห็นหญิงสาวยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ไม่ได้สดใสเหมือนเคย 

“เอาแต่ขอโทษกันไปมา หวานก็ไม่ได้นอนพอดี” ณัชชายิ้มอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นยิ้มที่ยังไม่สดใสเช่นเคย “หวานไปนอนแล้วนะคะ พี่อิงไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ หวานขึ้นไปนอนเองได้ พี่อิงทำงานต่อเถอะ”

ณัชชาลุกเดินออกมา แต่พอเดินไปถึงประตูห้องนั่งเล่น เธอก็หันกลับไปมองอชิตะ พบว่าชายหนุ่มนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าลังเล สับสน...และเจ็บปวด

ภาพที่เห็นทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายชั่วโมงก่อน

‘หัวใจบอสทำด้วยอะไร บอสทำกับมันแบบนั้นได้ยังไง’ มันคือคำถามของอดีตลูกน้องของอชิตะ ภาคีมาด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความผิดหวังที่รุนแรง 

แล้วเธอล่ะ หัวใจเธอทำด้วยอะไร ทำไมถึงเอาปัญหาของตัวเองไปสร้างปัญหาให้คนอื่น ทำไมไม่รับผิดชอบตัวเอง ...ไม่ควรมีใครต้องเจ็บปวดเลย   

‘บอสทำมัน แต่บอสไม่รับผิดชอบมัน คำสัญญาของบอส มันอยู่ไหน บอสเอาคำเหี้ยๆ ของตัวไปทิ้งที่ไหน บอสทำได้ยังไงวะ!’ ภาคีตะคอกใส่หน้าอชิตะ ขณะที่เธอได้แต่ยืนมอง ใจอยากจะพูด อยากอธิบาย แต่ปากมันหนักเกินกว่าจะเอ่ยคำใดออกมา เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอเอง...

อชิตะไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ไม่แม้แต่จะปกป้องตัวเองในยามที่ภาคีปล่อยหมัดใส่หน้า อชิตะปล่อยให้ภาคีได้ระบายความโกรธแค้นแทนเพื่อนเท่าที่อีกฝ่ายต้องการ

 “พี่อิง” เธอเดินกลับมาที่เดิม มาหยุดตรงหน้าคนที่เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ โลกบนจอสี่เหลี่ยมที่มีรูปใบหน้าบึ้งตึงของคณิตอยู่ในนั้น จนเธอต้องเรียกเขาอีกครั้ง อชิตะถึงรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมองและถามเธอ

“ทำไมยังไม่ขึ้นไปนอน” อชิตะคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง ไม่ให้ณัชชาเห็นว่าเขากำลังนั่งมองรูปของใครอยู่ หารู้ไม่ว่าณัชชาเห็นมันแล้ว

“ไม่ต้องแต่งงานได้ไหม ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องของหวาน ให้มันเป็นปัญหาของหวานคนเดียว ตอนนี้หวานอาจยังแก้ปัญหาเองไม่ได้ แต่ถ้าหวานมีเวลาคิดอีกนิด หวานอาจแก้มันได้ด้วยตัวเอง” หญิงสาวบอกอย่างเด็ดเดี่ยว...ช้าไปไหมที่เธอจะทิ้งความเห็นแก่ตัว

“หวานแก้ปัญหาเองไม่ได้ หวานต้องมีพี่ ลูกต้องมีพ่อนะหวาน ถ้าหวานยังไม่รู้ว่าพ่อของลูกคือใคร พี่ก็คือพ่อ คือสามีของหวาน” อชิตะดึงแขนณัชชาให้นั่งลง ลูบศีรษะอย่างเบามือเพื่อให้หญิงสาวคลายความคิดของตนลง เขาปล่อยให้ณัชชาเผชิญปัญหาเองไม่ได้ ณัชชาเปราะบางเกินไป ต้องมีเขาปกป้องดูแล

ทว่าณัชชากลับยืนยันหนักแน่นในความคิดของตัวเอง

“หวานจะไม่แต่งงานกับพี่อิง หวานจะไปอยู่ต่างประเทศ เมื่อไรที่หวานกล้าเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง หวานจะกลับมาค่ะ” เธอน่าจะคิดได้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่มาคิดได้เอาตอนที่ปัญหาของเธอได้สร้างปัญหาให้คนอื่นไปแล้ว

“ไม่ได้หวาน พี่ไม่ยอมให้หวานทำแบบนั้นแน่” อชิตะมองเด็กดื้อด้วยสายตาจริงจัง “หวานต้องแต่งงานกับพี่”

“หวานไม่แต่ง”

“ถ้าหวานไม่แต่ง พี่จะโทรบอกคุณน้ากับคุณอาตอนนี้เลย บอกว่าหวานท้องกับใครที่ไหนไม่รู้ และกำลังคิดจะหนีไปต่างประเทศ เลือกเอานะหวาน”

“พี่อิง! ทำไมต้องขู่หวานด้วย” ณัชชาร้องเสียงดังอย่างขัดใจ เธอพยายามจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองอยู่นะ

“อย่าขึ้นเสียงกับพี่” อชิตะดุหญิงสาว

“แต่หวานไม่อยากให้พี่อิงรับผิดชอบเรื่องนี้ หวานก่อเองก็ต้องแก้เอง” หญิงสาวบอกเสียงอ่อนลง

“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีกนะหวาน” ชายหนุ่มตัดบท

“แต่งก็แต่งค่ะ แต่หลังคลอด เราหย่ากันนะคะ” เป็นอีกวิธีที่ณัชชาคิดได้ มันน่าจะดีต่อเธอและอชิตะ เขาจะได้กลับไปหาคนที่เขารัก

“ใครใช้ให้คิดแบบนี้ห๊ะ” อชิตะดุอีกครั้ง “การแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะหวาน พี่ตัดสินใจแต่งงานกับหวาน เพราะจะเป็นพ่อของลูกหวาน นั่นหมายความว่าพี่จะเป็นตลอดไป มันจะไม่มีการหย่าเกิดขึ้น”

“แต่พี่อิงไม่ได้รักหวานแล้ว เราจะอยู่กันไปได้ยังไง อยู่กันแบบไหน หวานไม่อยากให้พี่ทรมานไปจนตาย แล้วหนึ่งอีกล่ะ พี่ไม่อยากกลับไปหาเขาเหรอ” ณัชชาย้อนถามหวังให้อชิตะเปลี่ยนใจ เห็นตามไปกับวิธีของเธอ

“เราจะคุยกันแค่เรื่องของเรานะหวาน ตรงนี้มีแค่หวานกับพี่”

“แต่...”

“สิ่งที่หวานต้องเลือกคือให้พี่เป็นพ่อของลูก เป็นสามีของหวานไปจนกว่าหวานจะเจอคนที่หวานรัก คนที่ดูแลหวานและลูกต่อจากพี่ได้ เมื่อถึงวันนั้นพี่จะหย่าให้ แต่ถ้าหวานยังไม่รักใคร หวานจะมีพี่ พี่จะไม่ทิ้งหวานกับลูกไปไหน”

...เธอจะรักใครได้อีก ก็ในเมื่อเธอรักแต่พี่อิงของเธอมาตลอดชีวิตแล้ว

“เข้าใจแล้วนะ เข้าใจแล้วก็ขึ้นไปนอน พรุ่งนี้เราสองคนต้องรับศึกหนักรู้ไหม” เพราะบิดาผู้เข้มงวด มารดาเจ้าระเบียบคงไม่ยินดีเท่าไรที่ลูกสาวคนเดียวท้องก่อนแต่ง มิหนำซ้ำยังท้องกับผู้ชายที่เลิกรากับลูกสาวตนไปแล้ว พรุ่งนี้เขาต้องโดนหนักแน่ รวมถึงบิดามารดาของเขาด้วย เพราะเมื่อเดือนก่อนท่านทั้งสองเพิ่งเข้าไปพูดเรื่องถอนหมั้นณัชชาให้เขา พรุ่งนี้เลยไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง

“หวานรักพี่อิง อยากอยู่กับพี่อิงไปตลอดชีวิต ไม่อยากเสียพี่อิงให้ใคร แต่หวานก็ไม่อยากให้พี่อิงต้องทรมานหัวใจตัวเองไปตลอดชีวิตเหมือนกัน หวานจะทำไงดี” เธอโผเข้าหาอ้อมแขนที่ดึงเธอเข้าไปปลอบโยน น้ำตาหญิงสาวไหลเป็นทางยาว “ที่หวานมาหาพี่อิง เอาเรื่องท้องมาปรึกษา ลึกๆ แล้วหวานหวังให้พี่อิงรับเป็นพ่อของลูกหวาน อยากให้ลูกในท้องเป็นลูกของเราสองคน เหมือนที่พี่กับหวานวางแผนสร้างครอบครัวด้วยกัน” ณัชชาสารภาพความในใจ มันคือความเห็นแก่ตัวของเธอ

“พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไง ไม่ไปไหน” 

“แต่ใจของพี่อิงไม่ได้เป็นของหวาน มันไม่ได้อยู่ที่หวานแล้ว” ณัชชาขยับฝืนตัวออกมา มองหน้าอชิตะอย่างตัดพ้อ เธอจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เธอรักไปตลอดชีวิตได้เหรอ ทั้งที่รู้ว่าหัวใจเขาไม่ได้เป็นของเธออีกต่อไปแล้ว ทุกคืนที่เขานอนกอดเธอ หัวใจเขาจะไปกอดคนอื่น คนที่เขารัก เธอจะทนได้หรือ?

“มันไม่สำคัญหวาน สิ่งที่สำคัญคือพี่จะดูแลหวานให้ดีที่สุด” อชิตะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าหญิงสาว มีแต่คนร้องไห้เพราะสิ่งที่เขาเลือกทำ

ครั้งที่ผ่านมา เขาเลือกเพราะหัวใจ แต่ครั้งนี้ เขาเลือกเพราะเหตุผลและความรับผิดชอบ

“แต่ก็ไม่มีหัวใจให้หวาน” เป็นความจริงที่ณัชชาเจ็บปวด ความรักที่เคยได้รับมาตลอดหลายปี หมดลงในเวลาไม่กี่เดือน มันยากจะทำใจให้ยอมรับ “จะมีโอกาสไหมที่พี่อิงจะกลับมารักหวานเหมือนเดิม เหมือนเมื่อก่อนตอนที่เรารักกัน”
อชิตะตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเอาความรู้สึกทั้งหมดเป็นคำตอบให้กับคำถามของณัชชา

“พี่ไม่อยากเปลี่ยนหัวใจตัวเอง” ...หัวใจที่โลเล มันไม่มีทางมีความสุข

“ขอบคุณพี่อิงที่ไม่ให้ความหวังหวาน หวานจะได้ไม่ต้องหวังว่าจะได้ความรักของพี่อิงคืนมา” ณัชชาเจ็บมาก ทว่ามันก็น้อยกว่าครั้งแรกที่ความรักของอชิตะจากเธอไปเป็นของคนอื่น

v
v
อ่านต่อความเห็นข้างล่างนะคะ



ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น แกกับน้องหวานจะแต่งงานกัน แล้วหนึ่งล่ะ ฉันงงไปหมดแล้ว” เจ้าของห้องทำงานเงยหน้าจากซองกระดาษสีชมพูหวานขึ้นมาตั้งคำถาม หลังจากสอดการ์ดสีขาวคืนกลับเข้าไปในซอง การ์ดที่ระบุรายละเอียดของงานพิธีสมรสในช่วงเช้าและฉลองสมรสในช่วงเย็น

ซึ่งมีชื่อเจ้าบ่าวคืออชิตะ เพื่อนที่ยามนี้ขอบตาคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน ออร่าของความเป็นเจ้าบ่าวในอีกไม่ถึงสองเดือนไม่มีเลย อชิตะเหมือนคนอมทุกข์ เพื่อนของเขาไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว   

หมอพิษณุตกใจมากที่ได้รับการ์ดแต่งงานของอชิตะกับณัชชา ทั้งคู่เลิกกันแล้ว และเพื่อนของเขาก็หันไปคบกับลูกน้องตัวเอง ทั้งยังพาไปอยู่ในบ้านด้วยกัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น คณิตหายไปไหน?

“ฉันกับหนึ่งเลิกกันแล้ว” อชิตะตอบเพื่อน

“ไปด้วยกันไม่ได้?” 

“เปล่า”

“แล้วเพราะอะไร” พิษณุถามต่อ สำหรับเรื่องอื่นหมอพิษณุคงไม่เซ้าซี้ถาม หากเพื่อนไม่คิดจะบอกเอง ยกเว้นเรื่องนี้ที่เขาอยากได้คำตอบ รวมทั้งเหตุผลของการเลิกรา ที่สำคัญกว่านั้นคือวันแต่งงานที่ถูกกำหนดให้เร็วขึ้นกว่าฤกษ์เดิม

“หวานท้อง”

“ท้อง?” พอเพื่อนพยักหน้า พิษณุก็ถามต่อ เป็นคำถามที่คนถูกถามถึงกับผงะ “ท้องกับใคร?”

“ถามแบบนี้ทำไม หวานก็ต้องท้องกับฉันสิวะ” ว่าที่เจ้าบ่าวแสร้งทำเสียงเข้มให้เหมือนว่ากำลังไม่พอใจที่หมอพิษณุถาม

“ฉันรู้จักแกดีนะอิง” พิษณุจ้องตาเพื่อน พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าใช่ “แกบอกโดยพฤติกรรมมาตลอดว่าไม่เคยมีอะไรกับน้องหวาน และตอนที่เกิดเรื่องหนึ่ง แกคงไม่บอกเลิกน้องหวานง่ายขนาดนั้น ถ้าแกมีอะไรกับน้องหวานแล้ว ฉันพูดถูกใช่ไหม” ตบท้ายด้วยคำถาม

อชิตะพยักหน้าแทนคำตอบ

“รู้ไหมว่าใครเป็นพ่อเด็ก”

“หวานบอกว่าตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่เจอใครในห้องแล้ว”

“เป็นไปได้เหรอ น้องหวานจะไม่รู้ว่าเป็นใคร” หมอสัตว์ติดใจสงสัย 

“แกสงสัยอะไร”

“แค่คิดว่าน้องหวานอาจรู้ แต่ไม่บอก” คุณหมอพูดตามที่คิด แล้วย้อนถาม “หรือแกไม่คิด ไม่สงสัย”

“หวานไม่บอก แสดงว่าหวานไม่อยากพูดถึงหมอนั่น” ใช่ว่าอชิตะจะไม่สงสัย แต่ในเมื่อณัชชาไม่ต้องการพ่อของลูก เขาก็ไม่อยากเค้นเอาความจริงอะไร บางทีผู้ชายคนนั้นก็ไม่เหมาะจะเป็นพ่อของใครได้

“แกเลยรับเป็นพ่อเด็ก แทนที่จะตามหาพ่อตัวจริงมารับผิดชอบสิ่งที่มันทำ ฉันว่าแกเลือกวิธีผิดไปนะอิง” หมอพิษณุติง ไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของเพื่อน

“แต่สำหรับฉัน มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด” อชิตะเชื่อว่าอย่างนั้น ไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่าการรับเป็นพ่อของลูกณัชชา แม้ตัวเขาจะเจ็บปวดก็ตาม “ฉันรู้สึกผิดว่ะหมอ ที่หวานต้องเจอเรื่องนี้เป็นเพราะฉัน ฉันต้องรับผิดชอบ"   

“แกรับผิดชอบด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดของแกก็ได้ ที่ฉันพูดไม่ใช่ฉันไม่สงสารน้องหวาน ยังไงน้องหวานก็เหมือนน้องฉันคนหนึ่ง เพียงแต่ฉันอยากให้แกทบทวนใหม่อีกครั้ง คิดด้วยหัวใจ ไม่ใช่ความรู้สึกผิด ไม่อย่างนั้นแกจะอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ผิดทั้งกับตัวเองและกับคนที่แกบอกฉันว่าแกรักเขา คนที่แกทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามา แต่พอแกทำได้ แกกลับทิ้งเขา”

“แกเคยบอกให้ฉันปล่อยหนึ่งไป ฉันก็ทำตามแล้วไง” อชิตะอ้างคำพูดของหมอพิษณุในวันที่เอาเรื่องคณิณมาปรึกษา

‘...เหนื่อยว่ะ’ คำพูดของอชิตะในวันที่มารดาตนตบหน้าคณิตต่อหน้าคนทั้งบริษัท

‘เหนื่อยก็หยุดก่อนดีไหม’ คือคำที่หมอพิษณุแนะนำเพราะห่วงเพื่อน

‘ถ้าฉันหยุด ก็เท่ากับว่าฉันปล่อยหนึ่งไป...ฉันจะทำไงดีวะ’

‘ถ้าหนึ่งไม่รักแก แกก็ควรปล่อยหนึ่งไป คนไม่รักกันอยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุข’

‘แต่ฉันรัก’

‘แกรัก แต่หนึ่งไม่ได้รัก ต่อให้พยายามกังขังหนึ่งไว้แค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องหนีไปจนได้ ขอโทษที่ฉันต้องพูดแบบนี้ แต่ถ้าแกคิดว่าแกรักหนึ่งจริง ก็ควรปล่อยหนึ่งไป แกไม่อยากเห็นหนึ่งมีความสุขหรือไง’

‘ขอบใจสำหรับคำแนะนำ แต่ฉันทำไม่ได้’

แม้ครั้งหนึ่งหมอพิษณุเคยพูดบอกให้เพื่อนปล่อยมือจากคณิตเสีย เพราะไม่อยากเห็นเพื่อนเหนื่อยกับการไล่ล่าความรักของคนที่เอาแต่วิ่งหนี ทว่าเมื่อความพยายามของอชิตะสำเร็จ คณิตยอมหยุดที่จะวิ่งหนี หันกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันกับอชิตะ วันนี้คำแนะนำของหมอพิษณุจึงเปลี่ยนไป   

“นั่นมันตอนนั้น ตอนที่หนึ่งเอาแต่วิ่งหนีแก ไม่ใช่ตอนนี้ที่สถานการณ์มันเปลี่ยนไป หนึ่งไม่ได้หนีแกไปไหนอีกแล้ว”

“ฉันเลือกไปแล้ว”...เลือกที่จะทิ้งคณิต เขามันบ้า   

“เลือกใหม่อีกครั้งก็ได้อิง ถ้ามันทำให้แกมีความสุข” คุณหมอแนะนำเพื่อนเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้อะไรมันสายเกินแก้ “แกควรใช้ชีวิตเพื่อคนที่แกรัก ไม่ใช่รับผิดชอบความผิดของตัวเอง ถ้าแกอยากรับผิดชอบมากละก็ แกควรรับผิดชอบชีวิตผู้ชายที่แกข่มขืนเอาเป็นเมีย มากกว่าจะรับเป็นพ่อของลูกในท้องน้องหวาน”

ทันทีที่หมอพิษณุพูดจบ เสียงจากนอกห้องก็ดังขึ้น ดังเข้าให้ได้ยินเพราะประตูห้องทำงานของคุณหมอปิดไม่สนิท
เป็นเสียงหมอกานต์ 

“อ้าวเบียร์ มายืนทำอะไรตรงนี้ กาแฟคุณฟ้าฝากมาให้คุณหมอไม่ใช่เหรอ ยังไม่เอาไปให้อีก ดูสิ ละลายหมดแล้วมั้ง” ถามเสร็จ คนถามก็เดินเลยไปยังห้องครัวหลังคลินิก จึงไม่ทันเห็นอาการตกใจบนใบหน้าของหมอหนุ่มรุ่นน้องสถาบันเดียวกัน
แล้วประตูห้องก็เลื่อนเปิด ก่อนคุณหมอสัตว์อายุน้อยที่สุดในคลินิกจะก้าวเข้ามา ในมือปุริมมีแก้วกาแฟเย็นของหมอพิษณุที่คนรักหนุ่มฝากมาให้

“คุณฟ้าฝากมาครับพี่นุ” ปุริมยื่นแก้วกาแฟให้หมอพิษณุ อีกฝ่ายรับมาถือ พลางดึงทิชชูใกล้มือมาเช็ดหยดน้ำรอบแก้ว แล้ววางลงบนที่รองแก้วบนโต๊ะ

แต่ปุริมก็ยังไม่เดินออกไป

“มีเรื่องจะคุยกับพี่หรือเปล่า” พิษณุอ่านจากสีหน้า ปุริมเหมือนมีเรื่องอยากพูด

“ผมว่าบ่ายนี้จะขอลาไปทำธุระ คือผมเพิ่งรู้เมื่อกี้เองครับ เลยไม่ได้ลาไว้ก่อน”

“ไปสิ ถ้าธุระมันด่วนมาก ไปตอนนี้เลยก็ได้ พี่ดูเวรให้เอง ไปเถอะ” 

“ขอบคุณครับพี่นุ” ปุริมยกมือไหว้เจ้าของคลินิก ก่อนหมุนตัวเดินออกมาพร้อมกับคำถามในใจที่ต้องการคำตอบให้เร็วที่สุด
 
**************************

เสียงดนตรีสดใสดังเบามาจากประตูร้าน แสดงว่ากำลังมีลูกค้าหรือใครคนหนึ่งเข้ามาในร้านดอกไม้แห่งนี้ เจ้าของร้านเงยหน้าจากหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเย็นวานหลังจากไปแจกการ์ดแต่งงานให้กับเพื่อนฝั่งเจ้าบ่าวเสร็จ และวันนี้เธอควรจะไปกับเขาด้วย หากแต่สถานที่แห่งนั้นเธอไม่ต้องการเหยียบเข้าไปอีก เพราะไม่อยากพบใครบางคน คนที่เธออยากลืมออกไปจากชีวิต
แต่คนที่เธออยากลืมกลับมายืนอยู่ตรงหน้า ระหว่างเธอกับเขามีเพียงเคาน์เตอร์ไม้สีเข้มกั้น แต่มันไม่สามารถกั้นเธอจากคำถามของอีกฝ่ายได้

“คุณท้องกับผมใช่ไหม”

มันคือความจริงที่ณัชชาพยายามจะหลบหนี...ก็หนีไม่พ้น

“สัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก” หลังตื่นมาพบความจริงในเช้าวันนั้น ปุริมยังตามมาขอรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำ แต่เธอไม่ต้องการความรับผิดชอบอะไรจากเขา นอกจากคำสัญญาว่าจะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเขาต้องไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่ไปที่คลินิกของหมอพิษณุอีกเลย

“ตอบคำถามมาก่อนว่าคุณท้องกับผมใช่ไหม” ชายหนุ่มไม่สนคำสัญญา สิ่งที่ปุริมสนคือความจริง ความจริงที่ว่าเขาคือพ่อของลูกในท้องณัชชา 

“ฉันกำลังจะแต่งงาน” หญิงสาวตอบไม่ตรงคำถาม พยายามไม่มองดวงตาแข็งกร้าวคาดคั้นเอาคำตอบของปุริม เขาดูโมโห
เมื่อณัชชาไม่ตอบ มันก็เป็นคำตอบว่า ‘ใช่’

“ผมไม่มีวันยอมให้ลูกของผมเป็นลูกของคนอื่น ไม่ยอมให้ลูกเรียกคนอื่นว่าพ่อแทนผมแน่ ผมจะบอกคุณอิง ว่าคุณท้องกับผม ผมคือพ่อของลูกในท้องคุณ”

“เบียร์จะทำลายชีวิตฉันไปถึงไหน ที่ทำคืนนั้นยังไม่พอใจอีกหรือไง ฉันขอได้ไหม หยุดทำลายชีวิตฉันเถอะ แค่นี้ฉันก็เกลียดตัวเองมากพอแล้ว” ณัชชาพูดเจือรอยสะอื้น “ฉันไม่ได้รักเบียร์ ส่วนเบียร์ก็มีคนของตัวเองแล้ว กลับไปเถอนะ ฉันขอนะ” เธออ้อนวอนผ่านม่านน้ำตา ริมฝีปากเล็กบดเข้าหากันห้ามเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา

ปุริมหัวใจอ่อนยวบ เขาไม่เคยแพ้น้ำตาผู้หญิง แต่มีเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เขาเห็นน้ำตาเธอครั้งแรก แล้วอดสงสารไม่ได้...วันที่ณัชชาถูกทิ้งและมาหมอพิษณุที่คลินิก เขามาทำงานเช้า เจอเธอนั่งร้องไห้อย่างคนที่หัวใจสลาย มันทำให้เขาสงสารจับหัวใจ

“ผมไม่มีใครแล้ว เลิกหมดทุกคนแล้ว” เขาสารภาพ ตั้งแต่ที่ล่วงเกินณัชชาในคืนนั้น และตื่นขึ้นมาหญิงสาวก็โดนคู่ขาคนล่าสุดของเขาอาละวาดใส่ เกือบจะถูกตบด้วยซ้ำ ดีที่เขาออกจากห้องน้ำมาขวางไว้ทัน หลังจากนั้นความรู้สึกผิดก็โจมตี มันทำให้เขานึกไปถึงวันหนึ่งที่หากมีผู้หญิงที่เขารักจริง คิดจะแต่งงานด้วย มาเจอเหตุการณ์แบบณัชชาเข้า เขาอาจจะเสียเธอไปตลอดชีวิต เขาจึงบอกเลิกผู้หญิงทุกคน เพื่อรอเวลาที่จะเจอผู้หญิงที่ทำให้เขารักหมดหัวใจ

โชคดีที่วันนั้นเขาคิดได้ ทำให้วันนี้เขากล้าพูดได้เต็มปาก

“เราสองคนมาลองเริ่มต้นกันไหมครับ ก่อนถึงวันแต่งงานของคุณ ให้ผมพิสูจน์ตัวเอง ว่าผมเป็นพ่อที่ดีของลูกเราได้ และ...” ปุริมมองสบตาหญิงสาว น้ำตาของเธอไหล หากก็รอฟังคำพูดจากเขา “...ผมเป็นคนรักที่ดีของคุณได้ดีกว่าคุณอิงแน่นอน”

“แล้วถ้าเบียร์ทำไม่ได้ล่ะ” มีความลังเลในน้ำเสียงของณัชชา หัวใจเธอหวั่นไหว อย่างน้อยปุริมก็เป็นพ่อของลูกในท้องเธอ ในวันที่เธอถูกอชิตะทิ้งขว้างหัวใจ ปุริมก็ทำให้เธอยิ้มได้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่นั้น 

“ผมก็จะพยายามทำจนสำเร็จ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ผมก็จะไม่ยอมแพ้”

“ฉันจะเชื่อเธอได้ใช่ไหมเบียร์” ณัชชาถามทั้งน้ำตา

“ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ครับ แต่ผมจะทำให้คุณเห็นเอง ว่าผมทำทุกอย่างเพื่อคุณและลูกได้เท่าชีวิตของผม แค่คุณให้โอกาสผมสักครั้ง”   

จบตอนที่ 26
นับถอยหลังกันต่อ ก็เหลืออีก 6 ตอนเนอะะะ
ต่อมาก็ถึงความในใจคนเขียน
อยากบอกว่าโคตรดีใจที่มีคนอ่านเม้นท์แล้วววว คือดีใจมากๆ นะคะ
แล้วอยากจะกรีดดดดดดดดดดดดดดร้องอีกสักสามร้อยล้านตลบ
สำหรับคำแนะนำอย่างลึกซึ้ง โหยยย คนเขียนปริ่มมากๆๆๆ ขอบคุณมากๆ นะคะ
เขียนแนะนำ บอกกล่าวได้ดีมากๆ เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ยุุ่งๆ สมองมึนๆ เลยไม่ได้มาตอบ
ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตอบนะคะ ขอไปเคลียร์เล่มนิยายก่อน
แล้วดึกๆ จะมาขอบคุณเป็นข้อๆ ไปเลยนะคะ
แต่อยากจะบอกความในใจว่า คนเขียนอ่านไปกรี้ดไป เขินไป อายไป
ที่อายก็เพราะอายนิยายตัวเองที่มีจุดแย่ จุดบกพร่องเยอะมากพอสมควร
ถ้าไม่มีคุณช่วยวิจารณ์ชี้แนะ ก็คงไม่รู้จุดนี้
(แต่หลายอย่างอาจแก้ไขไม่ทันแล้ว แต่จะเอาคำแนะนำไปใช้ในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ อิอิ)

สีเหลืองอ่อน
ปล. เราดีใจจริงๆ นะคะ เจอคำวิจารณ์ชี้แนะที่ยาวๆ แบบนี้ ขอบพระคุณจริงๆ ^_____^

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หวานจ๊ะ เป็นผู้หญิงต้องสตรองนะ ในเมื่อพ่อของลูกตัวจริงมาแสดงความรับผิดชอบแถมอ้าแขนรับขนาดนี้แล้วก็ปล่อยอิงไปเถอะ (เพราะยังไงเขาก็บอกชัดว่าไม่ได้รักหล่อนแบบคนรักแล้ว แล้วหล่อนก็พยายามจะไม่ให้เขารับผิดที่ไม่ได้ก่อ)
ถ้าต้องรอหล่อนมั่นใจในอีกสองเดือนข้างหน้า ป่านนั้นถ้าหนึ่งกับพี่อิงไม่ซูบตายหนึ่งคงตัดใจจากพี่อิงได้แล้วล่ะ
สำหรับพี่อิง... ถึงไม่ได้ทำหวานท้องแต่ก็ยากจะให้อภัย (ในความคิดเรา) อยากเป็นพระเอกนักสินะ (ทางอื่นมีไม่คิด ไม่ทำ ทางที่เลือกนี่ดีเหลือเกิน หึ) ในเมื่อเลือกแบบนี้แล้วเราก็เชียร์ให้หนึ่งตัดใจเสียเลย
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ sweetivy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนจบขอให้อิงกับหนึ่งไม่คู่กัน ให้หนึ่งมีแฟนใหม่ เกียจอิคุณอิง โลเลเกิน

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
27
กึก...

ปลายเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของชายหนุ่มผิวขาวสะดุดค้างไปเสี้ยววินาที เมื่อดวงตาเรียวเล็กที่กวาดตามองรอบบริเวณบาร์แอนด์เรสเตอรองห์ในชั้นใต้ดินของโรงแรมกลางกรุงแห่งนี้ ที่นี่ไม่มีเสียงดนตรีสนั่นหวั่นไหวด้วยท่วงทำนองเร้าใจชวนให้ขยับโยกกายด้วยลีลาแดนซ์กระจาย เพราะเสียงเพลงจากวงดนตรีสดไลฟ์แจ๊ซที่ดังเคล้าคลอบรรยากาศอยู่นั้นไพเราะเหมาะกับความมีระดับของสถานที่เรียบหรู ตกแต่งด้วยโทนสีเทาอมม่วง คลุมบรรยากาศด้วยแสงไฟสลัวจาง

บาร์แอนด์เรสเตอรองห์แห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีเมนูค็อกเทลที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯ การันตีด้วยรางวัลนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีไวน์ แชมเปญ วิสกี้ เบียร์ และอาหารนานาชาติหลากหลายเมนูให้ลูกค้าได้เลือกสรร ด้วยคุณสมบัติยอดเยี่ยมการันตีด้วยรางวัลเต็มตู้โชว์หลังเคาน์เตอร์บาร์ สถานที่นี้จึงเป็นที่ติดอกติดใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

หากเป็นการกินเที่ยวดื่มยามราตรีแบบปกติตามระดับเงินในกระเป๋าแล้ว คนอย่างคณิตคงไม่หาญกล้าเข้ามาใช้บริการด้วยเงินของตัวเองเป็นแน่ แต่ครั้งนี้ที่ก้าวเท้าเข้ามาได้เพราะเงินในกระเป๋าลูกค้าของบริษัทสถาปลีลาต่างหาก ที่ชักชวนหลังคุยงานกันได้ลงตัวเมื่อชั่วโมงที่แล้วบนโต๊ะอาหารเย็น ว่าจะพามาลิ้มลองเมนูกับแกล้มรสเยี่ยมอย่าง 'กุ้งลายเสือชุบแป้งทอด' กับเบียร์สัญชาตินอกรสเยี่ยมฟองหนานุ่ม

แต่แล้วด้วยความบังเอิญหรือเพราะฟ้าแกล้งก็ไม่รู้ สายตาคณิตก็เจอเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่คุ้นเคยแต่ห่างหายกันไปนานมาก...ทำให้รสชาติเบียร์ต่างชาติในรูปของเบียร์สดรสแรงแต่นุ่มนวลพร้อมฟองหนาชวนละเลียดตามคำคุยของลูกค้าใจป้ำ เปลี่ยนเป็นขมเฝื่อนในลำคอเสียให้ได้ ทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่กลิ่นของเบียร์เลยก็ตาม

“มีอะไรหรือเปล่า?”

คำถามจากลูกค้าใจป้ำดังขึ้นไม่ห่างจากใบหูนัก พร้อมกับมือที่แตะรวบเข้าที่ช่วงเอวอย่างถือวิสาสะแต่ก็นุ่มนวลไม่น่าเกลียดอะไรนัก แต่ก็ใช่จะถูกใจคณิต

“เปล่าครับ” ปฏิเสธไปแล้ว ก็ถือโอกาสขยับตัวออกมาให้พ้นมือใหญ่ที่เกี่ยวเอวของตนไว้

คณิตนึกบ่นตัวเองในใจ...รู้ทั้งรู้ว่าลูกค้ารายนี้คิดอย่างไรกับเขา แสดงออกชัดขนาดนั้น ตามติดตัวอย่างกับเป็นเหาฉลาม แต่เพราะความเห็นแก่กินของตัวเองและอีกฝ่ายก็หลอกล่อได้ตรงจุดดีแท้ เขาถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ มาเผชิญหน้ากับความบังเอิญในรอบสามเดือนที่ถูก ‘เททิ้ง’

คณิตหยุดความคิดในหัวของตัวเองไว้ก่อนจะไปไกล ไม่ใช่เวลามางี่เง่าบ่นว่าตัวเอง...เจอก็ช่างปะไร ไม่มีอะไรเกี่ยวกันแล้ว ตัดขาดกันไปแล้ว อชิตะเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาหาเขาซะหน่อย แถมพื้นที่ข้างตัวยังมีชายหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานจับจองเป็นเจ้าของ ชายคนนั้นนั่งอิงและซุกซบใบหน้าบนไหล่ของอชิตะ ผมดำยาวพอทัดใบหูได้นั้นปิดบังใบหน้าไว้เกือบหมด เห็นเพียงปลายจมูกและริมฝีปาก

เฮอะ! พอไม่ต้องเป็นเจ้าบ่าวของใคร ไม่ต้องรับผิดชอบลูกในท้องของอดีตคู่หมั้น เพราะพ่อที่แท้จริงเปิดเผยตัวและยืนยันจะรับผิดชอบทุกการกระทำของตน ไม่ยอมให้ลูกตัวเองเรียกคนอื่นว่าพ่อเด็ดขาด ก็ออกหาเหยื่อหน้าโง่รายใหม่เลยรึไง 

ความจริงที่ถูกบอกเล่าโดยคนรักของภาคีเมื่อเดือนก่อน เกี่ยวกับงานแต่งที่เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวกะทันหัน มันเป็นความจริงที่เขาไม่เห็นอยากรู้ แต่ก็นั่งฟังจนจบ 

หึ! เลือกเป็นคนดี...คนดีอย่างอชิตะจะรู้ไหมว่าทำให้เขาตายทั้งเป็นไปพักหนึ่งเลย 

“อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง คุณเลือกเลย ไม่ต้องเกรงใจ”

พอคณิตนั่งลง เมนูอาหารจากบริกรก็ถูกส่งมาให้ คณิตรับมาเปิดดูไล่สายตาแค่เมนูแรกกับเมนูที่สอง แล้วสั่งไปแบบไร้อารมณ์อยากกินเหมือนตอนแรก ลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยน้ำลายสอเพราะอยากกินกุ้งลายเสือชุบแป้งทอดสักสองสามจาน แต่ถึงไม่ได้สั่งเมนูที่อยากกินและเบียร์สดรสชาติร้อนแรง ฝ่ายลูกค้าใจป้ำก็จัดการสั่งให้เรียบร้อย เมื่อบริกรเดินกลับไปพร้อมออร์เดอร์ของลูกค้า คำถามที่คณิตไม่อยากตอบก็เอ่ยออกมาจากปากคนร่วมโต๊ะทันที

“รู้จักหมอนั่นเหรอ?”

คณิตไม่ได้มองตามสายตาคนถามที่มองผ่านไหล่ตนไปยังโต๊ะที่ตั้งเยื้องไปด้านหลัง เพราะรู้อยู่แล้วว่า ‘หมอนั่น’ คือใคร จึงไม่เห็นว่าผู้ชายหน้าขาวผมยาวที่อิงซบไหล่อชิตะในตอนแรก ได้นั่งยืดตัวตรง โชว์เรียวหน้าหล่อเหลาแต่ดูละมุนตาให้คนในร้านได้เห็น ปากสีสดแบะออกเหมือนเด็กกำลังเตรียมร้องไห้ ก่อนคว้าแก้วที่ถูกเติมเต็มด้วยเบียร์ดำฟองหนานุ่มกรอกใส่ปากรวดเดียวจนหมด
คณิตคร้านจะปฏิเสธด้วยคำโกหก จึงตอบไปตามความจริง...บางส่วน

“ผมเคยทำงานบริษัทเขาครับ” ...เว้นความสัมพันธ์ส่วนตัวเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรเล่าให้ลูกค้าฟัง

ภูมิ ผู้เป็นลูกค้าใจป้ำพยักหน้ารับรู้ เขามองเรื่องราวบนโต๊ะที่เยื้องไปด้านหลังของคณิตเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกเดินมาทิ้งตัวลงนั่งเบียดคนตัวเล็กกว่าบนโซฟาสีม่วงเข้มตัวเดียวกัน

“มีอะไรมากกว่าเจ้านายลูกน้องหรือเปล่า” ภูมิถามแบบไม่อ้อมค้อม เขาชอบผู้ชายหน้าตาแบบคณิต ปากนิด จมูกหน่อย ตาเรียวเล็ก แก้มใส ตัวขาว เห็นครั้งแรกก็อยากทำความรู้จักมากกว่าแค่เรื่องงาน แต่ถ้าหัวใจของอีกฝ่ายไม่ว่าง หรือมีบางส่วนเสี้ยวที่เป็นของคนอื่น คนอย่างภูมิก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยว ดันทุรังผูกสัมพันธ์ด้วยเด็ดขาด

เพราะสายตาที่จริงจัง ไม่มีแววหยอกล้อ ซ้ำยังไม่แพรวพราวเหมือนเช่นที่ผ่านมา คณิตถึงยอมบอกความจริง เผื่อว่าภูมิจะได้เลิกคิดอะไรกับเขา ดูแล้วผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่พวกชอบยุ่งกับคนของคนอื่นมั้ง โดยเฉพาะของมือสองแบบเขา

ไม่ได้อยากเอาตัวเองไปตีค่าตีราคาอะไรนักหรอก แต่ก็นะ...ความรู้สึกภูมิใจในตัวเองไม่มีเหลือแล้ว มันถูกทำลายแบบไม่เหลือซากเลยด้วยซ้ำ ใครไม่เจอเหตุการณ์อย่างเขาก็คงไม่มีวันเข้าใจ ว่าการเป็นคนที่เคยถูกต้องการมากๆ แต่สุดท้ายก็ถูกเททิ้งแบบง่ายๆ มันรู้สึกเช่นไร

ศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้กู้คืนมาได้ มันก็แก้อดีตที่เป็นรอยจารึกบนก้อนเนื้อหัวใจไม่ได้

เขายังเจ็บ...ทั้งที่ควรเลิกเจ็บได้แล้ว แต่ก็ยังเจ็บ เจ็บเหมือนเดิม เจ็บแม่งมันทุกคืนนั่นแหละ

“เคยคบกัน” ตอบไปแล้วก็แอบคิดไม่ได้ว่า เขาใช้คำนี้แทนความสัมพันธ์ที่ผ่านมากับอชิตะได้หรือเปล่า

เขากับอชิตะ ‘คบ’ กันอย่างนั้นเหรอ?

หรือแค่ ‘มีอะไรกัน’ เท่านั้นหรือเปล่า?

หรือจะเรียกว่า ‘คู่นอน’ น่าจะตรงกับความสัมพันธ์ช่วงเวลานั้นมากกว่า

ถามตัวเองแบบนี้แล้ว ความน้อยใจก็ยิ่งโถมเข้าใส่ชนิดไม่ออมแรงเลย ต่อให้ที่ผ่านมาอชิตะอยากจะได้เขามากอดแค่ไหน มันก็เหมือนเป็นการบังคับที่เขายินยอมเพราะหนีไม่พ้น มันก็แค่นั้น แค่ถูกบังคับให้นอนด้วย มีอะไรกันแบบที่เขายอมบ้าง ไม่ยอมบ้าง แทบไม่มีโมเมนต์ความสัมพันธ์ของคนที่คบหากันเลย ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่คบญาดา เขาจีบเธอ พาไปกินข้าว เดินเที่ยวห้างฯ ถือถุงเสื้อผ้าที่หญิงสาวช้อปปิ้ง พาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างในวันหยุด มีช่วงเวลาหวานใส่กัน ป้อนข้าว ป้อนขนม โทรคุยกันทุกคืน

แต่ความสัมพันธ์ของเขากับอชิตะ มันข้ามขั้นตอน มันเป็นอะไรที่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ยังมีคำถามกับตัวเองว่า มันมาถึงจุดที่เขาร้องไห้ใจจะขาดได้อย่างไร หากความเจ็บปวดเป็นปืนที่มีกระสุน มันคงลั่นไกสาดกระสุนใส่เขาให้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว ก็ไม่คิดจะรัก มันก็ดันรักไปโดยไม่รู้ตัว เจ็บปวดถึงขีดสุดนั่นแหละ ถึงได้รู้ตัวว่ารักมาก

‘รักโดยไม่รู้ตัว’ ช่างเป็นนิยามที่บ้าบอสิ้นดี อยากหัวเราะให้โลกแตก แต่ใจมันดันไม่ร่วมไปกับความคิดซะนี่

“คนอะไรหน้ายุ่งก็ยังน่ารัก” คำพูดนั้นมาพร้อมกับริมฝีปากที่แนบบนผิวแก้มแบบไม่ทันให้ตั้งตัวหรือหลบหนีไปไหนได้ แต่ก็ดึงคณิตออกมาจากความคิดเจ็บปวดของตัวเองได้ทันที

“คุณภูมิ!” ถ้าไม่คิดว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของคนในบาร์ และภูมิเป็นเพื่อนพี่ชายของสีฟ้าที่แนะนำมาใช้บริการบริษัทน้องเขยละก็ คณิตคิดว่าภูมิคงได้ชิมเลือดในปากของตัวเองแทนรสชาติเบียร์แน่

“ขอทิ้งทวนหน่อย ก็ผมอุตส่าห์อ่อยมาตั้งนาน จู่ๆ ก็มีเจ้าของซะงั้น” ภูมิว่าเสียงละห้อย ที่ฟังก็รู้ว่าแสร้งทำ

อ้าว แล้วมันความผิดของเขาหรือไง คณิตคิดอย่างหัวเสีย แต่พอจังหวะที่จานใบโตใส่กุ้งตัวใหญ่ชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบท่าทางอร่อยสมราคามาวางตรงหน้า ตามด้วยเบียร์สีทองอมส้มฟองหนาในแก้วทรงสูง ก็ทำเอาหลงลืมความหงุดหงิดที่ถูกขโมยหอมแก้มเมื่อครู่ไปเสีย

แว่วได้ยินเสียงของภูมิดังอยู่ชิดใบหู

“จูบเมื่อกี้ถือว่าเป็นค่าเบียร์คืนนี้ สั่งได้ไม่อั้น”

คณิตถูกใจคำพูดของภูมิตรงประโยคหลังที่สุด ก็ไม่เสียหาย แค่จูบแก้มครั้งเดียว แต่ลิ้นคนพลิกได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันตัวเองเสียเปรียบและต้องจ่ายเกินค่าเบียร์ค่ากุ้ง คณิตเลยย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นทำให้คณิตรู้ว่าโต๊ะที่อยู่เยื้องไปด้านหลัง...ว่างเปล่าไปเสียแล้ว

แผ่นหลังชายหนุ่มสองคนกำลังไกลไปเรื่อยๆ มือที่ครั้งหนึ่งเคยประคองตัวเขา ครั้งนี้ถูกใช้ประคองผู้ชายคนใหม่
ก้อนหัวใจใต้อกกำลังถูกทุบอย่างไม่ยั้งมือ

ทำไมยังต้องเจ็บอยู่วะไอ้หนึ่ง!

มึงมันโง่

โง่ที่คิดว่ารักแล้วจะเลิกรักได้ง่ายๆ

โง่ที่คิดว่าความเกลียดที่เพียรฝังใส่หัวจะบดขยี้ความรักให้แดดิ้นตายไปจากหัวใจ

โง่ที่ยังมองตามไปจนสุดสายตา

โง่ที่ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าคนที่หายไปจากสายตาจะกลับมาหา

โง่ที่ยังรอ

โง่สิ้นดี

โง่ไม่มีใครเกิน

โง่!
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ห้องในคอนโดมิเนียมขนาดเล็กที่คณิตอยู่มาตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เป็นห้องสตูดิโอแบบเก่าสร้างมาเกือบสามสิบปีแล้ว ประตูยังเป็นลูกบิดอยู่เลย ขนาดห้องไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่ก็สะดวกสบายสำหรับการใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองใหญ่

การที่คณิตอยู่คนเดียว เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ภายในห้องก็ควรต้องมืดไร้แสงจากหลอดไฟอย่างเช่นทุกคืน ไม่ใช่สว่างจ้าด้วยฝีมือใครบางคน พร้อมกลิ่นบุหรี่ที่ลอยจางในอากาศ

หลายคำถามดังก้องอยู่ในหัวสมอง

มาทำไม?

มาเพราะอะไร?

ต้องการอะไรอีก?

ทำไมถึงเพิ่งมาตอนนี้?

ก็มีคนใหม่แล้วไม่ใช่หรือไง?

หรือนึกหวงของที่ตัวเองเททิ้งไปแล้ว...คงใช่ แต่ไม่คิดหรือไงว่ามันช้าเกินไป

เพราะกินเที่ยวด้วยกันบ่อย พอถึงเวลาที่พากันกลับ ก็กลับมานอนที่คอนโดฯของเขาหรือไม่ก็คอนโดฯของอชิตะ หลังๆ เมื่อเรือนหอสร้างเสร็จก็ไปจบค่ำคืนกันที่นั่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อชิตะจะมีกุญแจห้องของเขา ตอนถูกเททิ้งเขาก็ไม่ได้ทวงเอากุญแจคืนด้วยสิ อชิตะถึงเข้ามานั่งไขว่ห้างบนโซฟาข้างเตียงนอนขนาดหกฟุตของเขาได้หน้าตาเฉย


ไม่สิ...หน้าตาแบบนี้เรียกว่า ‘หมาหวงก้าง’ มากกว่า ตัวเองไม่เอา เททิ้งแล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ไป สงสัยเข้าใจว่าเขากับภูมิกำลังคบหากัน

หึ...เข้าใจแบบนี้ก็ดี ถึงเวลาเขาเอาคืนบ้าง ถึงจะไม่ช่วยให้ความเจ็บปวดที่มีจางลงก็เถอะ อย่างน้อยก็ได้ความสะใจละน่า

คณิตกระหยิ่มยิ้มในใจภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มยืนหยั่งเชิงโดยไม่พูดอะไร รอให้แขกไม่ได้รับเชิญลุกขึ้นเดินเข้ามาหา พร้อมคำถามจากน้ำเสียงกดต่ำแต่เข้มจัดอย่างคนที่กำลังข่มอารมณ์ร้อนของตนเอง

“คบกันนานหรือยัง?”

เพราะอีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาประชิดในเวลาอันรวดเร็ว แบบที่สามารถคว้าตัวเขาเข้าไปกอดได้อย่างง่ายดาย ด้วยสัญชาตญาณ คณิตจึงก้าวถอยหลังจนแผ่นหลังกระแทกกับประตูที่ปิดสนิท จากนั้นถึงได้ตั้งสติก่อนเชิดหน้าตอบ

“นาน...แล้วคงจะนานไปจนหัวหงอก ตัวเหี่ยวเลยนู่นเลย” ถึงจะทำใจกล้าตอบคำถามด้วยคำตอบที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายสะอึกได้ แถมยังจ้องตาขุ่นแข็งเหมือนหมาบ้าอย่างท้าทาย ทว่าใจข้างในของคณิตเริ่มกลัวและกำลังคิดหาทางหนีรอด

เปิดประตูหนีไปสิวะไอ้หนึ่ง

เมื่อตะโกนบอกตัวเองอย่างนั้น มือคณิตคลำหาลูกบิดประตู ยังไม่ทันเจอก็ถูกกระชากดึงด้วยลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงมาจากใบหน้าที่ก้มต่ำเสียก่อน ดวงตาดุดันที่เห็นกำลังลุกวาวราวกับลูกไฟ

“เลิกกับมันซะ” อชิตะสั่งเสียงเข้ม

“ไม่” คณิตก็ตอบด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกัน

“หนึ่ง! ทำตามที่ผมสั่ง”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม!” ตะคอกมา เขาก็ตะคอกกลับ กลัวอยู่หรอกเพราะอชิตะทำหน้าเหมือนเสือโคร่งไซบิเรียที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อซะขนาดนั้น แต่ถึงจะกลัว ก็ใช่ว่าเขาจะต้องยอมให้อชิตะมาวางอำนาจใส่ได้ ในเมื่อปักหลักตั้งใจแล้วว่าจะเอาคืนให้สะใจ
คณิตเป็นคนดื้อ แต่ก็ลืมไปว่าความดื้อของตน เป็นสิ่งที่คนตรงหน้าอยากเอาชนะมากที่สุด 

“อยากให้ผมแสดงสิทธิ์อย่างนั้นเหรอ” อชิตะคว้าร่างตรงหน้าเข้ามาในวงแขน แล้วรัดแน่นขึ้นเมื่อเจ้าของร่างดิ้นขัดขืน “จำเอาไว้ว่าผมมีสิทธิ์ในตัวคุณทุกอย่าง ผมเป็นเจ้าของคุณ คุณคือของของผม”

“ผมไม่จำ!” คณิตจ้องมองใบหน้าที่อยู่ห่างจากหน้าเขาแค่ปลายจมูกอย่างแค้นเคือง “คุณต่างหากที่ต้องจำว่าคุณไม่มีสิทธิ์ในตัวผม ไม่มีอีกแล้ว กลับไปซะ”

“ต้องทำให้จำสินะ” อชิตะกัดฟันข่มอารมณ์ ก่อนกระชากใบหน้าเล็กเข้ามาบดจูบ ตอกย้ำว่าปากเก่งกล้าของคณิตเป็นของเขาคนเดียว

อชิตะทั้งกัด ทั้งดูด ไล่ต้อนลิ้นเล็กที่พยายามหลีกหนีสุดฤทธิ์ ท้ายสุดก็ต้องพ่ายแพ้ ยอมให้เขาดื่มด่ำจนพอใจ

“ภูมิใจมากใช่ไหมที่ได้รังแกคนไม่มีทางสู้ ชอบใช่ไหมที่ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีความสุขมากใช่ไหมที่ได้กดขี่ข่มเหงผมทุกทาง” ตาเรียวเล็กคลอเม็ดน้ำตา “เลิกข่มเหงทำระยำกับผมซะที คุณทิ้งผมไปแล้ว แล้วจะกลับมาทำซากอะไร!” คณิตตะโกนใส่หน้า ขืนตัวออกจากวงแขนที่รัดแน่นจนเจ็บแต่ไม่สำเร็จ ขณะที่ใจก็ร้าวรานจนอยากร้องไห้ให้ใจมันขาดไปเลย

V
V
อ่านต่อทู้ล่าง


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ไม่ว่าเมื่อไรตอนไหน อชิตะก็ใช้กำลังเอาชนะเขาเสมอ ไม่เคยสักครั้งที่จะถนอมความรู้สึกของเขา 

“คุณมันเห็นแก่ตัว อยากได้ผม คุณก็มา พออยากจะไป คุณก็ทิ้ง เห็นผมเป็นอะไร? ของตาย...ของเล่น...หรือของที่คุณยังกอบโกยเอาไปไม่หมด”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น” น้ำเสียงของอชิตะอ่อนลง ใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กที่พยายามจะสะบัดหนีแต่หนีไม่พ้น เพราะตัวยังติดอยู่ในวงแขนอีกข้างหนึ่งของเขา “หนึ่งน่าจะรู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง ที่ผมทำไปเพราะมันจำเป็นต้องทำ หวานไม่มีใคร มีแต่ผม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหวาน ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะผม ผมถึงต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองก่อ แต่ตอนนี้ ผมเป็นอิสระ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมหนึ่ง” อชิตะอธิบายช้าๆ หวังให้คนฟังเข้าใจ

“เห็นแก่ตัว”

คณิตจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง สายตาของชายหนุ่มบอกอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่อัดอั้นในอกตลอดหลายเดือนออกมา

“ตอนคุณไล่ผม คุณคิดถึงความรู้สึกผมไหม ตอนคุณอยากได้ผม คุณเคยถามความต้องการผมไหม ที่ผ่านมาคุณเคยคิดถึงจิตใจผมบ้างไหม ไม่ว่าจะทำอะไร คุณก็เอาแต่ความต้องการของตัวคุณเอง อยากได้อะไรคุณก็ต้องได้ คุณไม่เคยแคร์ว่าผมจะเจ็บปวด เสียใจ จะเป็นจะตายเพราะสิ่งที่คุณทำ ตั้งแต่วันแรกที่คุณอยากได้ผม จนถึงวันที่คุณเทผมทิ้ง เพราะอยากเป็นคนดี อยากรับผิดชอบเป็นพ่อของลูกคนอื่น ทำเหมือนผมเป็นไอ้ตัวไม่ค่า ไม่มีความรู้สึก ต้องยอมรับสิ่งที่คุณยัดเยียดให้ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วตอนนี้ คุณคิดว่าผมอยากจะกลับไปเริ่มต้นใหม่กับคุณไหม ทั้งที่ผ่านมาระหว่างผมกับคุณ มันไม่มีคำว่าเริ่มต้นด้วยซ้ำ มันมีแต่การยัดเยียดและบีบบังคับผมทุกทาง!”

สิ้นคำพูดที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกที่สะสมมานาน น้ำตาคณิตก็ร่วงเผาะ ไม่มีเสียงสะอื้น แต่เสียงที่หลุดออกมาจากปากหลังจากนั้นก็ยังคงสั่นเครืออย่างน่าสงสาร

“แทนที่คุณจะสั่งให้ผมเลิกกับคนใหม่ คุณควรออกไปจากชีวิตผมได้แล้ว ออกไปแล้วอย่ากลับเข้ามาอีก เพราะยังไงผมก็ไม่มีวันกลับไปเป็นของตายซ้ำซากของคุณ ที่คุณนึกจะเททิ้งเมื่อไรก็ได้”

ใช่...บทเรียนจากเรื่องของณัชชาทำให้เขาเจ็บกว่าทุกเรื่องที่อชิตะทำกับเขา แต่ก็ทำให้เขาจำขึ้นใจ จำว่าอชิตะทำอะไรก็ได้โดยไม่คิดถึงจิตใจของใคร นอกจากของตัวเอง

เขาไม่มีวันกลับไปอยู่กับความไม่แน่นอน หวาดระแวงกับความเห็นแก่ตัวของอชิตะอีกแน่ ต่อให้ส่วนลึกของหัวใจที่เต้นอยู่ใต้อกร่ำร้องให้อชิตะกลับเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันที่รู้ความจริงเรื่องณัชชากับปุริมแล้วก็ตาม

ยอมรับว่าเขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าอชิตะจะโผล่มาหาเขา แต่ก็ไม่มา รอจนเลิกรอ หากก็ยังเหลือส่วนเสี้ยวความหวังอันน้อยนิดอยู่ แต่พอวันนี้มาถึงจริงๆ กลับรู้สึกว่าอยากให้อชิตะตายไปซะให้พ้นหน้าเขา ตายไปจากโลกใบนี้เลยยิ่งดี เพราะเขาไม่อยากหายใจร่วมกับคนที่ทำเหมือนเขาเป็นของตาย กดขี่ข่มเหงทุกทางให้เขาพ่ายแพ้ พออยากได้ก็มา อยากไปก็ทิ้ง ที่กลับมาหาเขาก็คงแค่หวงของที่ตัวเองทิ้งไปก็เท่านั้น

ยิ่งคิดใจก็ยิ่งโกรธ โกรธจนเกลียด เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า และเกลียดยิ่งกว่าคือสองมือที่ปาดน้ำตาออกจากแก้มเขา กับคำพูดที่เห็นแก่ตัวไม่เปลี่ยน ไม่เคยสำนึกเลยสินะ

“ผมจะออกไปจากชีวิตคุณได้ยังไง ในเมื่อผมรักคุณ”

คำว่ารักที่ออกจากปากอชิตะ คณิตจะไม่ยอมหลงเชื่อเด็ดขาด

“สิ่งที่คุณทำ มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัวของคุณเอง โดยเอาคำว่ารักมาอ้าง เพราะถ้าคุณรักผมจริง คุณจะไม่ทำกับผมเหมือนที่คุณทำมาตลอด” คณิตใช้สองมือผลักร่างหนาออกไป มันง่ายขึ้นเพราะอชิตะไม่ได้คุมขังเขาไว้ในวงแขนเหมือนแต่แรก “ผมมีคนที่รักผมแล้ว เขาดีกว่าคุณมาก ดีจนผมคิดว่าตายไปสิบชาติ คุณก็ไม่มีวันดีได้เท่าเขา” คณิตตบท้ายด้วยคำประชดชุดใหญ่ แล้วก็หมุนตัว คว้าลูกบิดประตู หมายจะออกไปจากห้องของตัวเองที่อยู่ไม่ได้อีกแล้ว

คว้าได้แค่ลูกบิดประตู ยังไม่ทันได้หมุนปลดล็อกเอาตัวเองออกไปนอกห้อง ท่อนแขนก็ถูกคว้าหมับ ซ้ำยังกำแน่น ปิดทางไม่ให้สะบัดหลุดอีกตามเคย คณิตถูกบังคับให้ต้องหันกลับไปเผชิญหน้า สบสายตาดุดันอีกครั้ง

“ห้ามไปไหน จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง โทรไปเลิกกับมันซะ” 

“ไอ้ที่ผมพูดไปทั้งหมด มันก็เรียกว่ารู้เรื่องแล้วนะ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้เรื่อง ผมก็ขอพูดอีกครั้งว่า ผมไม่เลิกกับเขา ต่อให้วันหนึ่งผมเลิกกับเขา ผมก็จะมีคนใหม่ที่ไม่ใช่คุณ” คณิตพูดเสียงแข็ง “คุณควรรู้เรื่องได้แล้วว่าผมไม่ยอมกลับไปเป็นของของคุณอีก คุณไม่สิทธิ์มายุ่งกับชีวิตผม”   

“งั้นเหรอ?” อชิตะแสยะยิ้ม “ลองดูไหมว่าผมมีสิทธิ์หรือไม่มี จำไม่ได้หรือไงว่าคุณเคยพูดกี่ครั้งแล้วว่าผมไม่มีสิทธิ์ในตัวคุณ แต่ผมก็ทำให้เห็นมาตลอดว่าผมมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในตัวคุณก่อนผู้ชายคนไหน ผมไม่มีวันยอมให้ใครเข้าไปอยู่ในตัวคุณแทนผมแน่ มีผมคนเดียวที่ทำให้คุณร้องครวญครางได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ เข้าใจไว้ซะหนึ่ง ถ้าผมอยากได้ ผมก็ต้องได้ เหมือนที่คุณพูดไง” ก็ไม่คิดว่าจะมาใช้คำพูดที่ทำให้น้ำตาเม็ดโตหล่นจากหน่วยตาเรียวเล็กอีกครั้ง แต่ถ้าไม่พูด ไม่ทำ ก็ต้องสูญเสีย ซึ่งคนอย่างอชิตะไม่มีวันยอม

คณิตพูดถูก เขาเห็นแก่ตัว อยากได้ก็ต้องได้ ก็ไม่น่าแปลกที่เขาจะทำเรื่องเห็นแก่ตัวอีกครั้ง ทำทุกอย่างให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ ต่อให้ใช้กำลัง ถูกเกลียด แต่มันก็คุ้ม เพราะเขาได้มา ไม่ใช่เสียไป!

“จะทำระยำกับผมว่างั้น” ถามเสียงสั่น มันเจ็บที่ใจเพราะคำพูดเลวบัดซบของคนเห็นแก่ตัว “คิดหรือว่าผมจะยอม! ไอ้เหี้ย!!” สิ้นเสียงตะโกนอย่างสุดกลั้น คณิตฟาดหมัดใส่ใบหน้าของอชิตะทันที แบบที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว น้ำหนักหมัดจากความโกรธมันทำให้คนถูกต่อยถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว

คณิตตรงเข้าคว้าคอเสื้ออชิตะด้วยความโกรธขีดสุด ง้างหมัดจะต่อยซ้ำให้สมกับความคับแค้นใจที่คล้ายจะปะปนไปกับความน้อยใจ ทว่าด้วยสรีระที่ด้อยกว่าและอชิตะตั้งตัวได้ในเวลาอันรวดเร็วแค่ไม่กี่วินาที จากเคยเป็นฝ่ายได้เปรียบ คณิตกลับเสียเปรียบไปเพียงเสี้ยวนาทีที่ได้แค่ง้างแขนกลางอากาศ ก่อนมือข้างนั้นจะถูกคว้าหมับ มืออีกข้างหนึ่งก็ถูกกระชากหลุดจากคอเสื้อคนตัวใหญ่

“อย่าอวดเก่งหนึ่ง” อชิตะกระชากร่างเล็กเข้ามาปะทะแผ่นอกเต็มแรงโกรธ โกรธที่คณิตชกเขา แถมยังจะเข้ามาต่อยซ้ำอีก เก่งขึ้นเยอะนะ แต่เก่งแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เพราะเขาทำอะไรได้มากกว่าที่คณิตจะคาดถึง ซึ่งมันก็อยู่ในหัวเขาแล้ว วิธีจัดการคนดื้อให้หนีไปหาใครไม่ได้ “ถ้ายังอยากเห็นเดือนเห็นตะวัน อย่าอวดเก่งกับผม แล้วไปเลิกกับมันซะ แต่ก่อนไปก็เอาหลักฐานไปบอกมันด้วยว่าคุณมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว” 

“ไอ้เหี้ย! มึงจะเลวไปถึงไหนวะ เห็นกูเป็นตัวอะไร อยากนัก ทำไมมึงไม่ไปหาคู่ขามึงนู่น ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้สารเลว ไอ้โรคจิต ไอ้เห็นแก่ตัว เมื่อไรมึงจะตายๆ ไปซะ”   

เมื่อมือใช้ไม่ได้ คณิตก็ใช้เท้าเตะแข้งขาอชิตะไปมา แต่การกระทำนั้นก็ไม่ต่างจากลูกแมวบ้าที่ไร้กรงเล็บ ปากร้องตะโกนด้วยความหงุดหงิดที่ทำอะไรอชิตะได้ไม่มากไปลมปากที่ตะเบ็งออกมาอย่างสุดเสียง ซ้ำยังถูกจับโยนลงกลางเตียง ไม่ทันพลิกตัวหนี ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวตามขึ้นมาดักทางไว้ด้วยกรงแขนแข็งแรงและร่างกายที่ใหญ่โตกว่า

“อยากให้ผมตาย คุณก็ต้องตายไปด้วย” อีกฝ่ายคำรามตอบ ฟังน่ากลัว   
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว เข็มขัดถูกปลด กางเกงถูกกระชากออก ร่างกายหนาใหญ่โถมเข้ากอดก่ายอย่างกระหายอยาก ปากหนาคลุ้งกลิ่นบุหรี่จางๆ บดขยี้ลงมาจนได้กลิ่นเลือดในปาก คณิตดิ้นสุดกำลัง มือทุบตีแผ่นหลังหนาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าก้อนหิน เป็นเขาเองที่เจ็บ เจ็บทั้งมือ เจ็บทั้งร่างกายที่ถูกกัดกลืน เจ็บอีกหลายเท่าเมื่อส่วนแข็งกร้าวที่ร้อนระอุชำแรกแทรกลงมาในช่องทางด้านหลังแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซ้ำยังมีแค่ความเย็นชืดของน้ำลายเป็นตัวหล่อลื่น!

“อ๊า! เจ็บ!” เสียงที่คิดว่าดัง กลับเบาเหลือเกินเมื่อหลุดออกมาจากริมฝีปาก สะโพกเล็กกระเสือกกระสนหนีจากความเจ็บร้าวที่เกิดขึ้น ทว่าอาวุธร้ายกาจที่ทำลมหายใจขาดห้วงด้วยความเจ็บปวดยังตามติดยิ่งกว่าเจ้ากรรมนายเวร ดึงดันผลักไสเข้ามาอย่างไม่คิดปรานี

“อืม...ทนหน่อยหนึ่ง” เสียงทุ้มต่ำกระซิบบอกข้างใบหู กลบเสียงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากที่กดแนบลงไปบดเบียด แต่คณิตก็เบือนหน้าหนี ซุกใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวดไว้กับหมอนใบใหญ่ เนื้อตัวสั่นระริกเพราะความเจ็บปวดจากช่องทางด้านหลังที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย

มือเล็กกำผ้าปูที่นอนสีฟ้าสดใสไว้แน่นระบายความเจ็บที่ชำแรกรุนแรงขึ้นทุกวินาที

“ใกล้แล้วหนึ่ง ผมจะเข้าไปในตัวคุณหมดแล้ว”

“ไป-ตาย-ซะ” เสียงแหบแห้งด้วยความเจ็บปวดฝืนพยายามตอบกลับ 

“ตายไปด้วยกันนะหนึ่ง” อชิตะบอกกลั้วเสียงหัวเราะต่ำ เสพสุขกับภาพร่างกายเล็กที่สะท้านไหวเพราะความเจ็บปวดจากการสอดใส่ไร้สิ่งช่วยเหลือ 

เขาควรจะหยุด อชิตะคิดเช่นนั้น ทว่าเขากลับเดินหน้า เสือกไสท่อนลำเข้าไปให้ถึงสุดทางอย่างไม่คิดลังเล เขาต้องการคณิต ต้องตีตราความเป็นเจ้าของซ้ำลงไป พอๆ กับที่อยากเห็นความเจ็บปวดของร่างกายเล็กที่บิดร้าวนี้

ร่างเล็กที่สั่นคลอนไปตามแรงกระแทกกระทั้น ช่างเป็นภาพที่สวยงามนัก

เรียวขาที่ถูกยกพาดไหล่เพียงข้างเดียวก็ดูงดงามจนอดใจไม่ให้ฝังรอยคมฟันลงไปไม่ได้

ช่องทางรักอุ่นนุ่มแต่รัดแน่นก็รองรับทุกความต้องการของเขาได้อย่างไม่สิ้นสุด เขาถึงโหยหาแต่มันไม่จบสิ้น

หน่วยตาเรียวเล็กที่อัดแน่นไปด้วยเม็ดน้ำตาแวววาว เขาก็ชอบจะได้เห็น แม้ตอนนี้จะถูกซ่อนให้อยู่หลังเปลือกตาบางเพื่อหนีจากสายตาเขาก็ตาม

แม้กระทั่งความเจ็บปวดของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาผ่านสีหน้าและร่างกาย ก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยความสุขและสนุกที่ได้หยอกล้อกับมัน เขาถึงได้ชอบให้อีกฝ่ายเจ็บปวด เพื่อจะได้ปลอบโยนในภายหลัง     

คงเป็นความจริง...เขาอาจจะโรคจิตอย่างที่คณิตกล่าวหามาตลอดก็ได้ เพียงแต่มีคนคนเดียวที่ทำให้เขาเป็นโรคจิตได้ คนคนนั้นคือคนที่ส่งเสียงครวญครางใต้ร่างกายของในตอนนี้ไง

“คุณเป็นของผม ผมไม่มีวันปล่อยให้คุณเป็นของคนอื่น!”
:hao5:

จบตอนที่ 27
นับถอยหลังเหลืออีก 5 ตอนแล้วววว
ปล. ค้างคำขอบคุณอีกรอบแล้วนะคะ
คือเวลาหมดไปกับไถทวิตบ้าง (แก้เครียด) เคลียร์นิยายบ้าง
ทำปก ทำอาร์ต ทำเล่ม งานจุกจิกไปหมด
ไม่มีเวลาตั้งใจเขียนคำขอบคุณและตอบเลย ค้างไว้ก่อนนะคะ (ไม่รู้ว่ารอหรือเปล่า)
เพราะถ้าต้องเขียนคำขอบคุณต่างๆ และตอบในบ้างข้อ
ต้องใช้ใจให้นิ่งค่ะ การบรรยายจะออกมาอย่างไม่ติดขัด
แต่ตอนนี้ใจไม่นิ่งเลย วุ่นวายไปหมด ทั้งที่มีหลายเรื่องอยากบอก ^___^
สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รักแน่เหรออิง ทำไมเรารู้สึกแค่หลงในรสกามากับอยากเป็นเจ้าของ
คำพูดหนึ่งสะกิดใจ ถ้ารักจริงทำไมไม่คิดถึงใจไม่ถนอมน้ำใจหนึ่งเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด