11
กลางความสับสน
“กลาง ไอ้เปาอ่ะ”
“ไอ้กลาง เชี่ยเปาล่ะไม่มากับมึงหรอ”
“น้องกลางรู้จักนางแบบที่ถ่ายกับเปาป่ะ”
“โอ้ย ไอ้เปาดังใหญ่ละแม่งเหมาะกันสุด กลางดูรูปยัง”
“อ้าวน้องกลาง เปาไปไหน”
ตั้งแต่เด็กจนผมโต ผมมักจะได้รับเลือกให้ทำกิจกรรมโดยเฉพาะแข่งขันวาดภาพ มีอยู่ปีนึงได้รับรางวัลบ่อยจนไม่สร้างความหมั่นไส้ให้กับคนอื่น ผมได้รับจดหมายลูกโซ่ในวันหนึ่ง บนกระดาษมีสีแดงเหมือนเลือดอยู่ประปราย ข้อความนั้นเขียนถึงผมต่างๆ นานา(ในทางที่ไม่ดี) ถ้าอยากรู้ว่าใครเขียนให้ผมส่งต่อไป ตอนนั้นมันน่ากลัวมาก เพื่อนๆ เอาแต่มามุงที่โต๊ะผมแล้วขอดูจดหมายฉบับนั้น ถามผมว่าใครเขียนนะ ไอ้เปาเองมันก็แอบชะโงกหน้ามาดูด้วยแต่ด้วยความที่ตัวเตี้ยเลยได้แต่หรี่ตาเดินลากเท้ากลับโต๊ะตัวเองไป ส่วนผมทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่จนกลายเป็นที่พูดถึงทั้งชั้นแต่ผมไม่ได้ส่งต่อตามที่เขียนไว้แถมกระดาษนั้นก็หายไปหลังจากนั้น
สถานการณ์ตอนนี้ก็คล้ายๆ กันทุกคนแวะเวียนมาที่โต๊ะผมแล้วถามในสิ่งที่ผมก็ไม่รู้แถมยังยัดเยียดภาพในมือถือมาให้ผมดูแทน ผมกำลังนั่งสเก็ตภาพอะไรไปเรื่อยอยู่ลานม้าหินอ่อนข้างคณะคนเดียว เพื่อนพี่น้องที่รู้จักเดินมาแวะเวียนถามผมจนผมอยากจะติดป้ายประกาศไว้บนหน้าผาก ไอ้เปาที่ตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงเพราะไม่กี่วันมานี้รูปที่มันได้ไปถ่ายแบบให้กับนิตยสารแฟชั่นได้เผยแพร่ไปทางอินเทอร์เน็ต ไอ้เปากลายเป็นจุดสนใจอีกครั้งแต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจุดสนใจนี้มันทิ้งภาระให้กับผม ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายผมตอบคำถามแบบนี้ไม่หยุด ไอ้ตัวดีมันก็หายตัวไปสองวันแล้วครับมันทิ้งท้ายว่าเดี๋ยวติดต่อกลับเอง
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“โห ปกติเห็นตัวติดกัน”
“ไม่หรอกครับ”
“เห็นกลางเดินคนเดียวอย่างงี้ ทั้งคณะอยากรู้กันทั้งนั้น โกรธอะไรกันรึเปล่า”
“เปล่าครับ มันไปทำธุระ”
“โล่งอก พี่จะไปกระจายข่าว”
ขนาดนั้นเลยหรอครับ ผมไม่ใช่แฝดมันนะครับ ผมหัวเราะแหะพวกพี่ๆ ที่ล้อมวงผมอยู่คุยกับผมซักพักก็ขอตัวไป เฮ้อ หายใจไม่ออกเลย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็ไม่เห็นมีข้อความอะไรกลับมา มันจะเป็นอะไรรึเปล่านะ
“ไอ้กลาง”
“อ้าวเบงเบง”
“กูชื่อเจ เลิกเรียกเบงเบงเหอะแม่งตุ๊ดชะมัด”
“เออโทษทีติดอะ”
“นั่งด้วยดิ”
“เอาดิ มาทำอะไรแถวนี้”
“มาหามึงนั่นแหละ กว่าจะเจอปกติถ้าเห็นไอ้เปากูคงหามึงเจอเร็วกว่านี้”
“ทำไมต้องไอ้เปาวะ” ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ไอ้เชี่ย มีชั่วโมงไหนบ้างที่มึงไม่อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่นับวันนี้”
เคยมีคนพูดลักษณะนี้กับผมหลายคน ผมไม่ได้สังเกตอะไรมากนักแต่ผมรู้ว่าไอ้เปามันจะอยู่รอบๆ ตัวผมเสมอ หันซ้ายก็เจอหันขวาก็เจอ แปลกนะ ทั้งๆ ที่ตอนเด็กๆ ผมมักจะไปวอแวให้ไอ้หน้าตายมันมาเล่นกับผมมากกว่า
“เว่อร์ไป” ผมตอบไอ้เจ
“แต่ก็ดีเหมือนกัน เจอหน้ามันแล้วหมั่นไส้”
“ว่าแต่มึงมีอะไรนะ”
“เออเกือบลืมเลย” ไอ้เจทำหน้าตกใจก่อนจะค้นกระเป๋ามัน ขนาดตกใจตามึงยังไม่โตเลย ไอ้เจเป็นคนลูกคนจีนครับ ตาตี่เป็นอาตี๋ ถ้ามันอ้วนกว่านี้หน่อย เด็กสมบูรณ์เรียกพี่เลยครับ
“อ่ะนี่กำหนดการประชุมงานสี่เสาวันพุธนี้สี่โมงเย็น เราจะไปกลับกับรถตู้พวกคณะกรรมการ หัวหน้าฝ่ายก็ไปกับเรา วันศุกร์เก็บของ เสาร์อาทิตย์นี้มึงก็ไปนอนที่นู่นเลย”
วันจันทร์หน้างานสี่เสาศิลปะจะมาถึงแล้วครับ ผมที่พึ่งสอบเสร็จได้พักไม่นานก็ต้องคุยงานจนสายแทบไหม้ ไลน์ที่ไม่ค่อยได้ตอบก็ต้องเข้าไปคุยไปอ่าน การทำงานกับคนกลุ่มใหญ่แถมตั้งสี่มหาลัยนี่ค่อนข้างหนักเลยครับ ขนาดไม่ใช่เจ้าภาพสถานที่นะครับแต่ก็อยู่ในฐานะประธานชั้นปีที่เป็นตัวแทนของมหาลัยยังจะบ้าตายเลย
“เออแล้วพวกแก็งคอหล่นอีกสามตัวล่ะ”
ไอ้เจพูดขึ้นหลังจากปล่อยให้ผมอ่านเอกสารซักพัก ส่วนมันก็นั่งกดโทรศัพท์ตามประสาคนติดโซเชียลไปไหนต้องอัพอยู่ตลอด
เวลา
“มันไปส่องสาว แต่ไม่ใช่สไตล์กู”
“หน้าอย่างมึงอะนะไม่สนสาว”
ไอ้เจที่นั่งข้างผมทำหน้าตกใจอีกครั้ง ตอนนี้มันเท้าคางจ้องหน้าผมอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าตอนแรกเราเกือบจะเกลียดกันแล้ว ตั้งแต่ได้ทำงานร่วมกัน ผมก็ได้เพื่อนใหม่มาอีกหนึ่ง ไอ้เจมันทำงานเก่งครับบางทีก็ดีกว่าผมซะอีก
“ไม่ใช่แบบนั้น แค่ไม่ชอบไปแบบนั้น เข้าใจป่ะ”
ผมวางเอกสารลง ไอ้เจทำหน้ากรุ่มกริ่มไม่น่าไว้วางใจ ประโยคต่อมาทำให้ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
“นึกว่าไม่สนสาวแต่สนหนุ่มแทน”
“ไอ้เชี่ย พูดไรวะ”
“มานี่ ในฐานะที่กูเสียดายหน้าตามึง โสดไปทำไม เดี๋ยวจัดให้”
ไอ้เจคว้าคอผมเข้ามาใกล้ในตอนที่ผมยังงงงวย มันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่ แก้มแทบจะติดกับหน้าผม ผมเหลือบตามองมันอย่างฉงน
“อะไรของมึง”
“ไม่อะไรทั้งนั้น เอ้า ยิ้ม หนึ่ง สอง สาม”
ผมยิ้มแล้วเสียงชัตเตอร์จากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไอ้เจหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำบางอย่างในโทรศัพท์แล้วไม่นานไอ้ข้อสงสัยที่ผมอยากรู้ก็ปรากฏบนหน้าจอ
JJ green ได้แท็กคุณในโพสต์
ไอ้เจมันลงรูปผมในเฟซบุ๊กของมันเอง รูปที่ผมกับมันหัวติดกันเหมือนแฝดนรก หน้าตายิ้มแย้มมองกล้องมีแต่ผมที่ปากยิ้มแต่หน้าตาออกไปทางงงมากกว่า
คนซ้ายยังร้าง แต่ถ้ายังว่างคนขวาเลยครับ
Khonklang Kp“เฮ้ย ดูคอมเม้นดิ ไหลเร็วเลย ทำไมทีกูโพสต์ไลค์กันห้าสิบก็ว่าเยอะแล้วนะ”
“เล่นไรมึงวะไอ้เจ”
“หาสาวให้เพื่อนไง เอ๊ะคอมเม้นนี่ผู้ชายก็มีนะ”
“สัด ไม่เอาทั้งนั้นแหละ”
Big threwa ถามคนข้างๆ หรือถามพวกกูวะไอ้เจ
Mama sang น้องกลางงงง โผล่ในเฟซบุ๊กไอจีคนนู่นคนนี้ที
Tom seam ชอบคนข้างๆ อะครับ
Fight fire สเป็คผมต้องทำไงครับ
Peper mint พี่ขอคนขวา แต่กลัวคนซ้ายน้อยใจจัง
“เฮ้ย เพื่อนกูทักแชทมาเลยว่ะ บอกชอบมึง แต่ไม่ใช่ผู้หญิง”
“ไอ้สัด พอเลย”
“เออแกล้งเล่น ขอถ่ายรูปมึงเรียกเรทติ้งเฉยๆ เห็นนั่งเหงา”
“เล่นหน้ามึงดิ”
“ดูทำหน้า เออกูไปละ เย็นละเนี่ย”
“เออเจอกัน”
Yes best ทำตัวแบบนี้ไอ้เปาไม่ว่าหรอ
Teletap bieee สัดเจอยากเจอดีนะมึง
Fah Fatikan สองคนนี้ยังไง เปาก็อยู่กับผู้หญิง กลางก็อยู่กับหนุ่ม
ผมอ่านคอมเม้นล่าสุดพร้อมกับขมวดคิ้ว ไอ้เปาอยู่กับผู้หญิงอะไรนะ ผมเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของไอ้เปา รูปล่าสุดเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วมันนั่งก้มหน้าเขียนอะไรซักอย่างโดยมีผู้หญิงสาวสวยที่คิดว่าเป็นนางแบบคู่กับมันนั่งอยู่ข้างๆ เธอชะโงกหน้าดูกระดาษบนโต๊ะด้วย แคปชั่นจากคนถ่ายว่า “อยู่กันสามคนนะไม่ใช่สอง” หัวใจรูปแอปเปิ้ลของผมเหมือนโดนกัดให้เป็นรอยเขี้ยว ความรู้สึกมันแหว่งยังไงชอบกล
กระดาษสมุดบนโต๊ะพัดไปซ้ายขวาตามแรงลม ใจลอยคิดอะไรไปไกลและเรื่องพวกนั้นก็ไม่พ้นเรื่องของไอ้เปา นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยซักพัก โทรศัพท์ในมือผมสั่นขึ้นมาเกือบสะดุ้งเกือบร้องเสียงดังแล้วมั้ยล่ะ เมื่อมองจอก็เป็นชื่อของคนที่ผมกำลังคิดถึงผมตอนนี้
(อยู่ไหน)
“คณะ”
น่าแปลกที่น้ำเสียงของผมมันไม่เหมือนเดิม และคงไม่แปลกถ้าไอ้เปามันจะรู้สึก
(เป็นอะไร)
“เปล่า”
(มึงเป็นแน่ๆ อ่ะ ไอ้เจแกล้งอะไรมึงรึเปล่า)
มันคงจากรูปที่ไอ้เจแท็กผม “ไม่มีโว้ย มึงอะมีไรโทรมา” ผมกลบความรู้สึกและน้ำเสียงอย่างรวดเร็ว
(เปล่ากูเสร็จธุระละ ไปกินข้าวกัน)
“กูไม่หิว แต้งกิ้วเว้ย เดี๋ยวจะกลับละ”
(หันหลังมา)
ไอ้เปาเวอร์ชั่นโตโคตรเอาแต่ใจ บ้าด้วย และผมก็บ้าจี้หันไปตามมัน ไอ้เปาเดินตรงมาหาผม มือขวาจับโทรศัพท์แนบไว้ที่หู หน้าตาไม่สบอารมณ์ ไอ้เปามาพร้อมกับเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มพาดไว้ที่บ่า มันใส่เสื้อเชิ้ตมีปกเสื้อเชิ้ตแบบคอจีนสีขาว เมื่อมันเดินมาใกล้ๆ ถึงพอเดาว่ามันคงไปถ่ายแบบมาเพราะมันแต่งหน้าแถมผมยังเซ็ทเป็นทรงอีกต่างหาก
ตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้วที่คณะค่อนข้างเงียบ ยิ่งเป็นลานม้าหินอ่อนยิ่งไม่มีคน ผมชอบตรงนี้เพราะมีร่มจากต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นสบาย พอพระอาทิตย์ตกจะเห็นแสงสีส้มเหมือนสปอร์ตไลท์ลอดเงาใบไม้โคตรสวยครับ
“เป็นอะไรถามคำตอบคำ แล้วทำไมต้องนั่งนิ่งให้มันกอดคอแบบนั้นวะ” ประโยคหลังดูเหมือนจะบ่นกับตัวเองมากกว่า
“ชู่ว ดูนี่สิ”
ผมชี้ให้มันดูข้างหน้า ภาพตรงหน้าเหมือนภาพวาดสีน้ำที่ผมไม่ถนัด บางทีผมชอบสีขาวดำของดินสออีอีแต่บางทีผมก็อยากเห็นสีสันจากภาพบ้าง
“สวย”
“ใช่มั้ยล่ะ”
“น่ารัก”
“เอ๊ะ...”
“เซ็กซี่”
“ไม่ใช่ละ”
ผมทำหน้าเอือมยื่นมือไปผลักหัวมันไม่รู้ตัวว่ามันจ้องผมอยู่ก่อน ไอ้บ้านี่เคยเครียดนานๆ บ้างมั้ย หน้าตาไม่สบอารมณ์ของมันเริ่มผ่อนคลาย อืม ก็ดีอย่างน้อยไอ้เปาที่ล้นๆ ก็กลับมาแล้ว
“ฮ่าๆ หน้าโคตรเหวอ แล้วคุณคนกลางมานั่งทำเอ็มวีอะไรตรงนี้ครับ”
“มารอนางเอกเอ็มวีมั้ง”
“อ้าวรอกูหรอ สวัสดีค้า”
“กวนตีน ละมึงกลับมาทำไม”
“เห็นใครบางคนนั่งเหงาๆ เพื่อนไม่มี”
“ก็เพื่อนมันทิ้งอะ”
“ไม่ได้ทิ้งโว้ย ไปทำงาน...กระทันหันไปหน่อย เนี่ยจับโทรศัพท์ก็รีบมาหาเลย”
“ทำงานอะไร”
“ถ่ายแบบไง กูไม่ได้อยากทำหรอก มัน...อะไรหลายๆ อย่าง”
ไอ้เปายักไหล่แบบไม่ใส่ใจ มันเลี่ยงที่ไม่พูดและผมก็ไม่ถามต่อ สายตามันมองไปที่แสงอาทิตย์ บรรยากาศค่อยมืดๆ มันไม่น่ากลัวหรอกแต่ไอ้คนข้างๆ ผมไม่แน่ แล้วผมก็คิดอะไรบางอย่างออก
“จะหลอกผีกูอะดิ”
และผมลืมไปว่า ไอ้เปามันรู้ทันความคิดผมเสมอ
“เปล๊า”
“แหน่ะเสียงสูง ป่ะเก็บของ ที่พูดว่าหิวอะเรื่องจริง กินข้าวให้ตรงเวลาบ้างจะได้ไม่ปวดท้อง”
ไอ้เปาช่วยผมเก็บของพึ่งสังเกตว่ามันไม่เอาอะไรมาเหมือนเคย มีแค่โทรศัพท์กับกุญแจรถ แล้วมันก็เดินนำผมออกจากลานม้าหินอ่อนแต่สองมือของมันจับข้อมือผมไม่ปล่อย โตแค่ไหนก็กลัวผีหรอเนี่ย
“หึหึ”
“หัวเราะอะไร”
“นึกถึงตอนเด็กๆ วันที่กูลืมของในห้องแล้วขอให้มาเป็นเพื่อน ไอ้เปาเด็กน้อยตัวสั่นกึกๆ เดินตามหลังกูดึงเสื้อกูซะเกือบขาด”
“แล้วมึงก็แกล้งหลอกผีกู”
“ฮ่าๆ เหมือนตอนนี้เลย”
“ไม่เหมือน”
ไอ้เปามันหยุดเดินอีกก้าวเดินก็ออกจากลานม้าหินอ่อน ลมพัดผมให้ปลิวไปมา มันหันหน้ากลับมา “ต่างกันตรงนี้” มันชูมือมันที่จับมือผมไว้ แล้วก็พูดต่อ “แล้วต่างกันตรงที่กูได้เดินอยู่ข้างหน้ามึงด้วย”
นั่นสินะ
.
.
“แอบไปกินกันสองคนอีกแล้ว”
“กินข้าวเพื่อนกินข้าว”
“อ๋อนึกว่ากินกันเอง”
“หูไม่ดีเลอออพวกมึงอะ”
พวกเรานั่งอยู่หอสมุดครบแก็งครับวันนี้มานั่งหาข้อมูลพรีเซ้นงานกลุ่ม คนที่หาข้อมูลก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผม นอกนั้นก็อย่างที่เห็นแซวสาว แซวคนนู้นคนนี้แล้วก็กลับมาแซวผมเหมือนเดิม
“เช็คอินก่อน อ่อยสาว อยู่ห้องสมุดกับหนุ่มฮอตทั้งหลายครับ แท็กๆ ให้หมด โดยเฉพาะไอ้เปาสาวมาตรึมแน่”
ผมส่ายหัวเบาๆ มึงต้องดูหนังหน้ามึงนะเพื่อนกล้วย เอาเถอะ เอาที่มึงสบายใจ
“กูว่าไอ้กลางต้องด่ากูอยู่ในใจแน่ๆ”
“กูปวดหัว”
“เฮ้ยมึงพอก่อนดิ อย่าเครียด”
“งานไม่เท่าไหร่ กูปวดหัวเพราะมึงเนี่ยสงสารพ่อแม่มึงด้วย”
“ไอ้สัดกลาง เดี๋ยวหาผัวให้หรอก”
“อูยยย ไอ้กล้วยดูหน้าพ่อมันด้วย”
ก่อนที่เราจะฆ่ากันตายไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงทักขึ้นด้านหลังพวกเราหยุดเล่นกันแล้วหันไปมองพร้อมกัน คนที่เดินมาทักเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ไม่ได้อยู่เอกเดียวกัน
“เอ่อขอโทษนะคะ เปา...”
“เอาแล้ว คนสวยมาหาต่อหน้าคนบางคนเลย...”
“มีอะไรหรอ”
“คือเรามีเรื่องจะขอให้ช่วย”
เธอดูเขินอายเมื่อต้องยืนอยู่หน้าโต๊ะผู้ชายกว่าห้าคน คาดว่าเธอคงจะนั่งโต๊ะไม่ไกลจากพวกเราเพราะเห็นเพื่อนเธอหันหน้ามาดูหลายครั้ง แต่ไม่ว่าใครก็แอบมองมาทางโต๊ะเราทั้งนั้น
“นั่งก่อนสิ”
“คือว่า...” เธออ้ำอึ้งอยู่นาน จนพวกผมต้องทำเป็นหันมาคุยกันเองเพื่อลดความประหม่าของเธอลง แต่ดูเหมือนไอ้เปาจะรอนานไม่ได้
“มีไรป่ะ”
“คือ...เราอยากให้เปาช่วยสอนเราลงสีน้ำได้มั้ย!” เธอพูดเสียงดังและเร็วพร้อมกับยกมือไหว้ แก้มเธอแดงปลั่งน่ามอง ไอ้เปาหันมามองรอบๆ โต๊ะแล้วหยุดที่ผม พอมันเห็นก็ขมวดคิ้วฉับหน้าตามันดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที สงสัยผมจะจ้องเธอมากเกินไป มันเลยเอื้อมมือมาปิดตาผมไว้
“อะไรเนี่ย” มันชอบเธอหรอไม่อยากให้ผมมองงั้นน่ะ
“ทำงานน” มันปล่อยมือแล้วยืดแก้มผมแทน ไม่สนใจเพื่อนร่วมรุ่นที่ได้แต่ก้มหน้าอยู่ตรงข้ามกัดริมฝีปากอย่างประหม่า แล้วไอ้เปาก็เลิกยุ่งกับผม ไอ้เชี่ยเพื่อนรอคำตอบอยู่
“ทำไมต้องให้เราช่วย”
“คือว่า เราลงเรียนเพ้นท์แล้วเราไม่เก่งเรียนสีน้ำเลย ทำยังไงก็ไม่ดี เรากลัวเอฟ อ.ที่ปรึกษาเราเค้าแนะนำให้เรามาถามเปา”
“...”
“ช่วยเราเถอะ เราขอร้อง เรากลัวเอฟจริงๆ นะ เราจ้างติวก็ได้ ไม่งั้นคะแนนเราดิ่งแน่”
เธอยกมือไหว้ปลกๆ ถ้าเป็นผมก็คงจะรับปากโดยไม่ยาก เพื่อนมีปัญหาแถมสวยน่ารักขนาดนั้น ไอ้เปาไม่ตอบในทันทีแต่มันหันหน้ามาหาผม เหมือนกับอยากได้คำตอบ เฮ้ๆๆ คิดเองสิไอ้น้อง
“ว่าไง”
“ถามอะไรกูล่ะ”
“แค่นี้ก็ไม่ค่อยมีเวลาเจอกันละ มึงอยากให้กูสอนเค้าเพิ่มมั้ย”
ไอ้บ้านี่...เธอขมวดคิ้วอย่างสงสัย ส่วนเพื่อนสามหน่อของผมทำเป็นตั้งหน้าตั้งตาเปิดหนังสือ แต่หูมึงนะกระดิกเชียว
“เอ่อ..ก็...ตามใจสิ”
ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกถึงปากจะบอกไปแบบนั้นแต่ใจกลับเต้นผิดจังหวะ ไอ้เปาทำท่าคิดหนัก มันเหมือนหนักใจชั่วครู่แล้วก็ถอนหายใจ ถึงมันจะบ้าบอเข้าถึงง่ายแต่เวลานี้ก็ทำให้สาวข้างหน้าเกร็งอย่างบอกไม่ถูก
“เราว่างแค่เย็นวันพุธกับวันพฤหัส”
“ได้...ได้จริงๆ หรอ” เธอยิ้มอย่างดีใจ น้ำตาที่คลอเล็กน้อยทำเอาผมแทบจะหากระดาษทิชชู่ให้เธอแทบไม่ทัน
“อืม เอาเบอร์ติดต่อมาสิ”
“เอ่อขอกระผมแทรกนิดๆ นะคร้าบ ว่าแต่เธอชื่อไรอ่ะ หน้าคุ้นๆ” ไอ้ทัพลุกขึ้นมากอดคอส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยไปข้างหน้าอย่างปิดไม่มิด
“เราลืมเลย มัวแต่ตื่นเต้น เราชื่ออิง เอกแฟชั่นดีไซน์”
“เฮ้ย ที่ถ่ายเอ็มวีด้วยป่ะ คนดังนะเนี่ย”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกแค่ไปช่วยพี่ที่รู้จักกัน อ่ะนี่เปาเบอร์เรา”
“โอเค”
“งั้นเราไม่กวนละ ขอบคุณมากนะคะ”
ผมนิ่วหน้าไอ้เบสเหยียบเท้าผม ผมหันไปมองมันอย่างเอาเรื่อง ไอ้ฝัด เจ็บนะเว้ย
“ไม่โอเคก็บอกไม่โอเคดิ”
“อะไรของมึงเนี่ย เจ็บ”
ไอ้เบสยักไหล่ทำหน้ากวนตีนก่อนจะแกล้งผมโดยการถ่ายรูป มันบอกว่าเพราะผมไม่ติดโซเชียลมันเลยจะสร้างกระแสให้ผม เล่นกันไม่นานก็ถึงเวลาพักผ่อนเพื่อนผมหนังตาปิดกันทุกคน ผู้เหลือชีวิตรอดมีผมกับไอ้เปาที่หน้าตาเริ่มไม่ไหวแล้วมันนอนหน้าแนบกับโต๊ะแล้วหันหน้ามาทางผม ผมที่กำลังเปิดหนังสือพึ่บพับชะงัก
“ง่วงก็กลับมั้ย ทำงานดึกหรอวะ”
“นิดหน่อย”
“งั้นมึงนอนไป ฝืนลืมตาทำไม”
“กลัวมึงเหงา”
“ไม่เหงาเว้ย คนเยอะแยะ นอนไปๆ”
ผมวางมือบนหัวมันลูบเล่นเหมือนตอนเด็กๆ ที่มันมักจะรำคาญแล้วปัดมือผมออกตลอด ยาสระผมตรานกกระปูดแดงนี่มันขายที่ไหนวะ ทำไมผมมันนุ่มตั้งแต่เด็กยันโต
[ต่อด้านล่างค่ะ]