NOV: วาระซ่อนเร้น
By: Dezair
……………………..
ตอนที่ 15
เจียระไนนั่งอยู่ที่ระเบียงคอนโดเพียงลำพัง ไกลลิบๆคือตึกหน้าตาประหลาดที่ครั้งหนึ่ง เคยมีคนนั่งดูตึกนั้นเคียงข้างกัน แต่วันนี้...ใครคนนั้นไม่อยู่ตรงนี้แล้ว
...ไอ้โซ่ไปแล้ว...
...กลับกระบี่ไปแล้ว...
...ถึงมันสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่...มันก็มีหน้าที่ที่จะต้องกลับบ้าน พ่อแม่มันรออยู่ทางนั้น และมันขอ...ขอให้รอมันกลับมา...
“ถ้าโดด ขออนุญาตไม่คว้านะเฮีย” ดวงตาเรียวตวัดมองตามเสียง คนพูดยืนพิงประตูระเบียงแสยะยิ้มกวนประสาทส่งมาให้
“กูจะโดดไม่โดดมันก็เรื่องของกูมั้ย?!” ตั้งแต่สิตางศุ์กลับกระบี่ ดูเหมือนมารดาของเจียระไนจะขยันส่งญาติพี่น้องมาดูใจเขาเหลือเกิน หมุนเวียนสับเปลี่ยนราวกับมาเข้าเวร อย่างวันนี้ก็ส่งเจตน์มา
...แล้วไอ้เวรนี่มันมาอยู่สงบๆซะที่ไหน นู่น...มันพาเมียมันมาด้วย มาถึงมันก็พากันเข้าครัว สงสัยได้กันในครัวกูเสร็จแล้ว ถึงได้เสนอหน้ามายุ่งกับกูที่นี่...
“อ้อ สรุปจะโดด? แล้วจะโดดวันนี้เลยมั้ย พรุ่งนี้พี่โซ่กลับมา ทันงานศพเฮียพอดี”
“เชี่ยเจ๋ง! มึงจะไปไหนก็ไป! กวนตีนกูอยู่ได้!” คนยิ่งหงุดหงิด สวรรค์ก็ยังใจดำส่งคนแบบนี้มาอยู่ใกล้มือใกล้เท้า เจตน์แสยะยิ้มแล้วยักไหล่ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้ ที่หน้าจอมีใบหน้าของใครบางคนปรากฏอยู่ บอกให้รู้ว่ากำลังทำการวิดีโอคอลอย่างต่อเนื่อง
“โซ่!” เจียระไนร้องแล้วรีบคว้ามือถือมาใกล้ สิตางศุ์ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเคยแล้วส่งเสียงมาจากกระบี่
‘โดดอะไร โดดเรียนเหรอ?’
...โดดเรียนพ่องมึงสิ ยังไม่เปิดเทอม...
“ไม่มีอะไร แล้วนี่มึงทำอะไร ว่างเหรอ”
‘อืม พ่อแม่แล้วก็ญาติๆกำลังช่วยกันแพ็คของให้ นี่ๆ...ทัศน์ไง จำได้มั้ย’ โทรศัพท์มือถือถูกหันไปทางชายหนุ่มที่คุ้นหน้า ทัศน์เพื่อนร่วมทริปที่ไปเชียงคานเมื่อคราวก่อน
‘หวัดดีครับ พี่โจ๊ก สบายดีเปล่าพี่ แต่งงานยัง’ ทัศน์ยกมือไหว้ผ่านมาทางวิดีโอคอล แถมพ่วงด้วยคำถามที่เจียระไนอยากจะตะโกนตอบกลับไปจริงๆ ว่าคนที่กูจะแต่งด้วยก็พี่มึงไง!
‘ถามไรเนี่ย ทัศน์ ไอ้โจ๊กยังเรียนไม่จบเลย’ เจ้าของโทรศัพท์ย้อนถามเองแต่ผสมมาด้วยเสียงหัวเราะ ดูจะไม่คิดอะไรเท่าไรกับคำถามมีเล่ห์นัยของน้องชายลูกพี่ลูกน้อง
‘เดี๋ยวกูให้มึงเจอแม่กูนะโจ๊ก...นี่ๆ นี่แม่กู...’ แล้วมือถือก็ถูกหันไปทางผู้หญิงวัยกลางคนที่ส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือมาให้ รอยยิ้มแบบนี้แบบเดียวกับสิตางศุ์เลย เจียระไนทำหน้าไม่ถูกที่จู่ๆก็ได้เจอหน้าแม่ยาย แต่ก็ยังยกมือข้างหนึ่งไหว้ เพราะอีกมือติดที่ถือโทรศัพท์อยู่
‘นี่โจ๊กเหรอ...โอ้โฮ หล่อกว่าในรูปที่ทัศน์ให้ดูตั้งเยอะ’
“ขอบคุณครับ” ถูกแม่ยายชม คิดร้ายปากร้ายไม่ออกเลย
‘โจ๊กคนนี้เหรอ ที่ทัศน์มันบอกว่าไปเที่ยวเชียงคานด้วยกัน’ เสียงผู้ชายดังเข้ามาในโทรศัพท์ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร ทำเอาคนขี้หวงที่ตัวอยู่กรุงเทพฯขมวดคิ้วมุ่น
‘ใช่ พ่อ’
คิ้วที่ขมวดคลายออกอย่างรวดเร็ว หน้าตาขึงขังเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยม...อ่า เมื่อกี้นี้เสียงพ่อตาว่ะ...
‘พ่ออยากเจอตัวจริงซะหน่อย’ คราวนี้เสียงเริ่มจะแข็งขึ้นเล็กน้อย เจียระไนชักใจคอไม่สู้ดี
‘ตัวจริงท่าจะหล่อกว่าพ่อเยอะนะ ตอนดูในรูปของทัศน์ก็ว่าหล่อแล้ว ในโทรศัพท์ยิ่งหล่อใหญ่เลย’ แต่แม่ยายยังยกหาง ถือว่าสถานการณ์พอหายใจได้!
โทรศัพท์ถูกหันกลับไปทางสิตางศุ์แล้ว
‘แม่ชมว่าโจ๊กหล่อตลอดเลย’
...ถ้าคนอื่นชมจะด่าว่ามายุ่งอะไรกับหน้ากู แต่นี่แม่แฟนไง แม่ยายไง นอกจากจะด่าไม่ได้แล้ว ยังยิ้มจนแก้มหุบไม่ได้อีกต่างหาก...
“แม่มึงก็สวย” รู้เลยว่าโครงหน้าสเป็คของสาธารณชนแบบสิตางศุ์ได้มาจากใคร
‘จีบไม่ได้นะ พ่อกูหวงแม่กูมาก’ ใบหน้าขาวรีบบอกผสานมากับเสียงหัวเราะ ดูเหมือนเจ้าตัวจะเดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปชั้นบนของตัวบ้านแล้ว
ตั้งแต่สิตางศุ์กลับบ้าน พวกเขาก็โทรศัพท์คุยกันทุกวัน และหลายครั้งเป็นการคุยกันผ่านทางวิดีโอคอล คนผิวขาวจัดเปิดเผยครอบครัว ที่อยู่และบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้จัก และเวลานี้ เจ้าตัวก็กำลังพาคนปลายสายที่อยู่กรุงเทพฯเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวด้วย
...ที่หน้าต่างนั่น มองเห็นลิบๆเป็นอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าที่กระบี่...
...สาบาน...ว่ากำลังใจจดใจจ่ออยู่ที่หน้าต่าง ไม่ได้สนใจเตียงนอนที่มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่นั่นเลย...เตียงนี้โซ่นอนทุกคืนสินะ ตุ๊กตานั่น แม่งก็คงนอนกอดทุกคืนเหมือนกัน อยากกลายร่างเป็นตุ๊กตาดูสักทีเว้ยเฮ้ย!...
‘โจ๊ก...พรุ่งนี้กูจะกลับกรุงเทพฯแล้วนะ’ เสียงจากคนที่กระบี่ดังปลุกสติ
“อือ มึงส่งไฟลท์บินมาแล้วไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวกูไปรอรับ แล้วมึงเข้าคณะเลยมั้ย” พรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรก แต่ไม่รู้ว่าวันแรกของสิตางศุ์จะมีเรียนรึเปล่า
‘เข้าสิ กูมีเรียนวันนั้นเลย แต่ไอ้กตกับไอ้แพทไม่มี ของฝากพวกมันไว้เอาไปให้วันอื่น’
“แล้วของกู?” คนสำคัญที่สถาปนาตัวเองว่าสำคัญมากๆรีบร้องหาส่วนแบ่ง สิตางศุ์ยิ้มกว้าง
‘ของมึงก็มี เค้กตรังนะ’
“เออๆ เดี๋ยวไว้กูไปกระบี่ กูค่อยหาโอท็อปกระบี่เองก็ได้!”
‘กูบอกพ่อกับแม่แล้วแหละ ว่าเรียนจบ จะชวนมึงมาเที่ยวบ้านกู...’
“แล้วพ่อแม่มึงว่าไง” เจียระไนถามด้วยใจสั่นเล็กน้อย
‘บอกว่าดี เดี๋ยวจะพาเที่ยว’ แค่นี้คนฟังก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก จะมีอะไรดีเท่ากับการที่คนสำคัญของคนที่เขารักก็รักและเอ็นดูเขา
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังเข้ามาในโทรศัพท์ สิตางศุ์หายหน้าไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่หน้าจอใหม่
‘ป้ากับลุงกูแวะมา เดี๋ยวกูลงไปหาเขาก่อนนะ’
“อืม ไปเถอะ”
รอยยิ้มสวยๆปรากฏบนหน้าจอ ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป เจียระไนกำลังจะวางโทรศัพท์ลงข้างกาย แต่มันสั่นเพราะมีข้อความเข้าเสียก่อน เขาเปิดขึ้นมาดู แล้วก็ต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เป็นข้อความจากสิตางศุ์
‘เจอกันพรุ่งนี้นะโจ๊ก’
เจียระไนยิ้มอย่างอิ่มใจ แล้วพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความรู้สึกดีใจไม่ต่างกัน
‘เจอกันพรุ่งนี้’
........................................
สนามบินดอนเมือง อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ
ไฟลท์บินเที่ยวเช้าสุดมีผู้คนค่อนข้างมาก เจียระไนยืนรออยู่ที่หน้าประตูทางออกหลังจากเมื่อครู่นี้ มีประกาศว่าเที่ยวบินจากกระบี่มาถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพแล้ว
ยืนรออยู่อึดใจใหญ่ๆ ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็กสีดำก็เดินออกมา มือซ้ายลากกระเป๋า มือขวาหิ้วกล่องมาด้วย ที่หลังมีเป้สะพาย และแน่นอน พอดวงตาคู่สวยสบเข้ากับดวงตาเรียวๆของเขา คนผิวขาวจัดก็ฉีกยิ้มกว้าง สาวเท้าเข้ามาหาเร็วๆ
“มึงขนอะไรมาเยอะแยะ” เหมือนจะบ่น แต่มือใหญ่ดึงกล่องกระดาษที่มัดอย่างดีมาถือเอาไว้
“ของฝากไง” สิตางศุ์พูดแล้วยิ้ม มือล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง ก่อนจะพบว่ามีสายเรียกเข้าทันทีที่เครื่องของเขามีสัญญาณ
“ฮัลโล แม่ เพิ่งถึงเอง แต่เจอโจ๊กแล้ว” เจียระไนไม่ได้ยินว่าปลายสายคุยอะไรกับลูกชาย เพราะเสียงในสนามบินค่อนข้างดัง แต่เขาก็เห็นคนข้างกายเปิดกระเป๋าเป้หาของจ้าละหวั่น
“เออ ไม่มีจริงด้วยอ่ะ!” ดวงตาคู่สวยเหลือกโต ท่าทางตกใจจริงจนร่างสูงชักเป็นห่วง
“อะไร?” เขาถาม ทั้งๆที่อีกฝ่ายยังมีโทรศัพท์แนบข้างหู สิตางศุ์หันมองด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“กุญแจห้อง! กูลืมไว้ที่บ้านที่กระบี่!!”
“กุญแจห้องมึงน่ะเหรอ?”
“อืม! ทั้งคีย์การ์ด! ทั้งกุญแจเลยอ่ะ! ทำไงดี?!”
“ไม่เป็นไร กูมี…อ่า… “ เจียระไนปากไวอย่างลืมตัว เพราะเขามีทั้งคีย์การ์ดและกุญแจที่แอบปั๊มเก็บเอาไว้
“จริงด้วย! มึงมีคีย์การ์ด!” สิตางศุ์เหมือนเห็นแสงสว่างในปัญหาที่เกิดขึ้น ทว่าวินาทีต่อมา แสงนั้นก็ดับลงอย่างรวดเร็ว
“แต่กูมีแค่คีย์การ์ด ไม่มีกุญเเจห้องมึง เข้าไม่ได้อยู่ดี” คนไม่เคยรับศีลข้อมุสารีบโกหกอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่กุญแจห้องของสิตางศุ์อยู่ที่ลิ้นชักในโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเขา
“เออว่ะ ทำไงดีล่ะ” คนลืมกุญแจเอาไว้ที่บ้านต่างจังหวัดถึงกับทำหน้าหงอยอีกหน ประโยคหลังเหมือนถามทั้งตัวเอง ถามทั้งมารดาที่ยังอยู่ในสาย และถามทั้งคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มึงนอนห้องกูก็ได้” เจียระไนเสนอหนทางอย่างใจกว้าง
“นอนห้องมึง?”
“อือ แล้วก็ให้ที่บ้านมึงส่งกุญแจมา ไม่ยากหรอก”
“แต่ว่า...รบกวนมึงน่ะสิ”
“รบกวนเชี่ยอะไร ไหน ขอกูคุยกับแม่มึงหน่อย” สิตางศุ์ส่งโทรศัพท์มือถือให้ร่างสูงอย่างว่าง่าย เจียระไนทำกระแอมเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นสุภาพชนที่บุพการีของสิตางศุ์จะวางใจฝากลูกชายเอาไว้กับเสือตัวนี้
“สวัสดีครับ ผมโจ๊กนะครับ”
‘จ้า โจ๊กบอกโซ่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวแม่จะหาคนขึ้นกรุงเทพ นั่งเครื่องแป๊บเดียวก็ถึง จะเอากุญแจห้องไปให้’
…โอ้โฮ แม่ยายโคตรเปย์ แต่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกเขยคนนี้เลยสักนิด!...
“ไม่ต้องครับไม่ต้อง! ให้โซ่ค้างกับผมก็ได้ แล้วกุญแจค่อยส่งมาทางไปรษณีย์” ไม่เปิดโอกาสไม่ใช่เรื่องใหญ่ คนอย่างเจียระไน หาทางเปิดเองได้
‘จะดีเหรอ โจ๊ก’
“ดีครับ ห้องผมใหญ่ ผมนอนคนเดียวด้วย ให้โซ่มาค้างกับผมได้ ไม่ลำบาก แล้วกุญแจก็ส่งไปรษณีย์มาที่ห้องผมก็ได้ครับ”
‘งั้นแม่ฝากด้วยแล้วกันนะ เดี๋ยวแม่จะให้คนไปส่งไปรษณีย์ เอาแบบด่วนพิเศษเลย’
ใจคนฟังอยากจะแนะนำให้ส่งแบบช้าพิเศษก็ได้ ไม่รีบ
ปลายสายขอคุยกับลูกชายอีกที เจียระไนเลยส่งให้คุยกับคนผิวขาวจัดที่ทำหน้าสลดเพราะลืมของสำคัญ ดูท่าสิตางศุ์คงถูกดุเล็กน้อย เพราะเห็นทำหน้ายู่ ก่อนจะยอมเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเหลือบตามามองเขาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด
“ลำบากมึงเลย”
“กูพูดสักคำรึยังว่าลำบาก”
“แต่ไม่รู้กุญแจจะมาถึงเมื่อไหร่นะ หรือให้กูลองถามคุณพัฒน์ดูดีมั้ย เผื่อเขาจะมีกุญแจสำรองห้องกู”
“คนที่ขายห้องให้มึงน่ะเหรอ ถ้าเขามี กูจะแจ้งความ ขายห้องแล้วเสือกเก็บกุญแจห้องเอาไว้ คิดไม่ดีชัดๆ”
…ไม่เหมือนไอ้โจ๊กคนนี้ มีกุญแจห้องชัดๆ แต่บอกว่าไม่มี โคตรอภิมหาคนดีเลย!...
“ไม่นะ คุณพัฒน์เป็นคนดี” สิตางศุ์รีบปฏิเสธ ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำพูด ไหนจะไอ้การสั่นหน้าสั่นมือนั่นอีก ร่างสูงชักเคืองสายตาที่เห็นคนตรงหน้าชมผู้ชายอื่นออกหน้าออกตาขนาดนี้
“เออ! กูก็คนดีเหมือนกัน เพราะงั้นมึงนอนห้องกูจนกว่ากุญแจจะมา” เจอไม้นี้ สุดท้ายก็เถียงไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับอย่างยอมจำนน
เจียระไนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ เปิดเทอมวันแรกของเทอมสอง ก็เหมือนเทวดาจะรู้เห็นเป็นใจ ให้ค่าชดเชยช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา
...แต่จริงๆแล้ว กูควรให้ค่าชดเชยตลอดสองปีที่ผ่านมาด้วยเปล่าวะ?...
“โจ๊ก ยิ้มไร เยาะเย้ยกูเหรอ ที่กูลืมของ” คนลืมกุญแจทำหน้ามุ่ย ถูกแม่ดุในสายก็พอแล้ว ยังถูกคนตรงหน้ายิ้มใส่อีกด้วย ปกติไม่เห็นจะเคยยิ้ม ทีพอเขาทำเรื่องล่ะยิ้มอยู่ได้
“เยาะเย้ยพ่อมึงสิ ไปๆ เดี๋ยวรถติด” แล้วร่างสูงก็เดินนำออกจากอาคารผู้โดยสาร รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ที่แก้มของคนเดินนำ แน่นอนว่าคนผิวขาวจัดที่เดินตามย่อมมองไม่เห็น
.............................
‘เลิกเรียนแล้วกลับบ้านเลย’
ประโยคนี้ไม่เคยอยู่ในใจของเจียระไนมาก่อนนับตั้งแต่เข้าอนุบาลจนกกระทั่งเทอมสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย แต่...นี่คือครั้งแรกที่พอเลิกเรียนคาบเช้าปุ๊บ ก็ลากคนที่เลิกเรียนพร้อมกันกลับปั๊บ!
“วันนี้ห้องโจ๊กสะอาดแหะ แต่ก่อนนู้น ที่เคยมาช่วยทำความสะอาดน่ะ ห้องเละอย่างกับเกิดสงคราม”
แขกผู้มีเกียรติที่จะมาอาศัยอยู่ด้วยกันในวันนี้เดินตามเจ้าของห้องเข้ามาในคอนโดที่สะอาดเอี่ยมอ่อง เจียระไนชะงักไปเล็กน้อย ไม่อยากบอกเลยว่าไม่ใช่ครั้งนี้ที่ห้องเขาสะอาดเป็นพิเศษ แต่เพราะครั้งนู้น เขาทำให้มันสกปรกเป็นพิเศษต่างหาก
“มึงอยากให้เละเหมือนคราวก่อนที่มึงมามั้ยล่ะ” สิตางศุ์ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เอา เดี๋ยวนอนไม่ได้”
“เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องนอนไป แล้วกล่องนี่ไว้ตรงนี้ได้มั้ย” เจียระไนสั่ง ก่อนจะถามถึงกล่องในมือตัวเองที่ร่างโปร่งหิ้วมาจากกระบี่
“อื้อ เดี๋ยวกูต้องแยกอีกทีว่าอันไหนของใคร...” คนผิวขาวจัดตอบแล้วก็ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ไม่ยอมเอากระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องนอนตามที่เจ้าของห้องสั่ง เจียระไนหันมามองด้วยความสงสัย
“เอ่อ...ให้กูนอนในห้องนอนมึงจะดีเหรอ...”
“ดี” เจ้าของห้องตอบเสียงห้วนแล้วดึงกระเป๋าเดินทางลากเข้าห้องนอนทันที สิตางศุ์รีบก้าวเท้าตามเพราะกลัวอีกฝ่ายจะโกรธ
“โจ๊ก กูไม่ได้...”
“กูคิดถึงมึงจะตายห่าอยู่แล้ว อุตส่าห์ได้มึงมานอนด้วย ยังจะเสือกขอนอนนอกห้องกูอีกเหรอ?!” เสียงทุ้มของคนที่ลากกระเป๋าเข้ามาในห้องนอนบอกให้รู้ว่าเจียระไนกำลังหงุดหงิด แม้สิตางศุ์จะเห็นเพียงแผ่นหลังของคนพูดก็ตาม
ร่างโปร่งรู้ตัวว่าความขี้เกรงใจของเขากำลังทำให้อีกฝ่ายหัวเสีย และเผลอๆ...อาจทำให้เจียระไนโกรธ
...ไม่เอาหรอก...ไม่ให้โกรธกันอีกแล้ว...
สิตางศุ์ก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ และนี่คงเป็นการตัดสินใจที่เร็วที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว เพราะแขนขาวสอดเข้าไปตรงช่วงเอวของร่างสูงแล้วโอบรัดเอาไว้
“กูก็คิดถึง...”
เจียระไนชะงักกึก ทั้งอารมณ์หงุดหงิด ทั้งคำพูดที่กำลังอยากจะด่าหายวับเหมือนถูกโยนทิ้งภายในเสี้ยววินาที เขาก้มลงมองแขนที่โอบเอวเขาเอาไว้ ก่อนจะเอี้ยวหน้าไปมองที่ไหล่ แต่ก็เห็นแค่กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มซุกอยู่
“ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียว แต่กูว่ามันนานมากเลย...ทั้งๆที่เราก็คุยกันทุกวัน แต่ว่า...แต่ว่ากูก็อยากเจอมึงแบบนี้มากกว่า...”
หัวใจเจียระไนแทบละลายลงไปกองเป็นน้ำ ไม่รู้ว่าคำพูดของคนที่เอาแต่ซุกอยู่กับหลังของเขาผสมอะไรมา แต่...แต่มันมีฤทธิ์ต่อหัวใจมากเกินไป
...แย่แล้ว...จะยิ้ม..ทำไงดี กูจะยิ้ม!...
“แต่มึงไม่อยากนอนกับกู” คนพยายามกลั้นยิ้มทำเสียงห้วน เกร็งคอ ทำแก้มตอบ ทำอะไรก็ได้ที่ทำได้ เพื่อไม่ให้แสดงออกถึงความปลื้มปริ่มในอกเวลานี้
“เปล่า..แต่กูกลัวมึงไม่ชิน ถ้ามีคนมานอนด้วย...” คนตอบยังคงเอาหน้าซุกแผ่นหลัง เจียระไนชักอยากเห็นว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่...สิตางศุ์กอดเขาแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ ได้แต่ยืนให้อีกฝ่ายกอดหลัง ซุกหลังอยู่แบบนั้น
...แล้วหน้ากูก็เอี้ยวได้แค่นี้ซะด้วย มองจนตาจะเหล่ก็เห็นแค่ผมไอ้โซ่ สัดเอ๊ย! ทำไมคอกูไม่หมุนได้สัก 360 องศาวะ...
“เราก็เคยนอนด้วยกันมาแล้ว ตอนที่กูไปค้างห้องมึง”
“ก็ตอนนั้นยัง...ยังไม่ได้เป็นแบบนี้...”
“เป็นยังไง”
“ก็...เป็นคนศึกษากัน...อ่า...มันไม่เหมือนเดิมเปล่าวะ ตอนนั้นเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เอ่อ...กู...กูกลัวมึงไม่ชิน...”
“แล้วมึงชิน?”
“อื้อ ตอนกลับกระบี่ กูไปซื้อตุ๊กตาตัวใหญ่มากมานอนด้วย ตอนเช้าตื่นมา ตุ๊กตาตกเตียงทุกทีเลย ทำไมอยู่ดีๆกูนอนดิ้นก็ไม่รู้...” อ้อ...ตุ๊กตาหมีที่เจียระไนแอบเห็นบนเตียงตอนสิตางศุ์วิดิโอคอลนั่นเอง
“มึงกลัวนอนดิ้นถีบกูตกเตียงเหมือนตุ๊กตามึงรึไง”
“เปล่า...กูกลัวมึงถีบกลับ” เจียระไนกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เขาหัวเราะออกมาดังลั่นกับคำพูดซื่อๆของคนที่ยังกอดซ้อนหลังเอาหน้าซุกเขาอยู่
ร่างสูงปลดแขนขาวที่กอดเอวเขา แล้วหันกลับไปหาคนที่เปลี่ยนจากซุกหน้ากับหลังเขาเป็นก้มหน้าคางชิดอกตัวเอง เขาประคองใบหน้าที่เคยขาวจัดแต่ตอนนี้มันขึ้นสีเรื่อจนน่าแกล้ง ดวงตาคู่สวยมองมาที่เขาอย่างกล้าๆกลัวๆ
...แบบนี้ยิ่งต้องพูดให้มั่นใจ ผู้ชายที่ชื่อเจียระไนคนนี้จะไม่มีวันถีบคนที่ชื่อสิตางศุ์แน่นอน...
“กูไม่ถีบมึงหรอก”
“แล้วถ้ากูนอนดิ้นแล้วถีบมึงล่ะ...”
“กูจะจูบมึงน่ะสิ”
สิ้นประโยคนั้น ริมฝีปากสีสดก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้อีกแล้ว เจียระไนบดเบียดความคิดถึงทั้งหมดที่มีลงกับความนิ่มหยุ่นนั้น เขาดูดดึง ขบย้ำเหมือนหิวโหย มันร้อนแรงจนคนถูกฝากฝังความรู้สึกแทบยืนไม่อยู่ สองมือต้องจับแขนใหญ่ของร่างสูงเอาไว้เพื่อพยุงตัว
นาน...จนแทบลืมหายใจ ก่อนที่ริมฝีปากของเจียระไนจะถอยห่างอย่างช้าๆ ฝ่ามือที่เคยประคองแก้มเรื่อๆนั่น ค่อยๆเลื่อนลงมาแตะที่เอว แล้วรั้งอีกฝ่ายให้เข้ามาแนบชิด ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยคู่นั้น พาสิตางศุ์ดำดิ่งเข้าสู่ภวังค์ในขณะที่ค่อยๆดึงชายเสื้อออกมาจากกางเกง แล้วสอดฝ่ามือเข้าไปไล้บั้นเอวเบาๆ ริมฝีปากเบียดชิดเล็มไล้กลีบปากของสิตางศุ์อีกหน
และคราวนี้...ไม่ใช่แค่รสจูบอย่างเดียวอีกแล้ว แต่แทรกสอดปลายลิ้นเข้าสู่โพรงปากของอีกฝ่ายด้วย
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของร่างโปร่งดังขึ้น ทั้งเสียงและแรงสั่นทำเอาคนที่กำลังถูกชักนำลงไปในห้วงอารมณ์ถึงกับสะดุ้งรู้ตัวในทันที
ร่างขาวขยับตัวออกห่างแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นมารดาโทร.มา
“ฮัลโล แม่” ริมฝีปากส่งเสียง แต่ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เจียระไนหันมองไปทางอื่น ดูเหมือนกำลังพยายามยับยั้งอารมณ์ตัวเองอยู่
“อ๋อ...ที่อยู่ที่จะให้ส่งกุญแจมาเหรอ อ่า...แม่คุยกับโจ๊กละกันนะ” แล้วมือขาวก็ยื่นโทรศัพท์ให้ร่างสูง
“แม่น่ะ จะถามที่อยู่ มึงคุยไปนะ กูจะออกไปแยกของฝากก่อน” พอเจียระไนรับโทรศัพท์ไป คนผิวขาวจัดก็รีบเผ่นออกจากห้องทันที ดวงตาเรียวมองตาม ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอย่างหมดซึ่งความพยายามจะทำตัวเป็นสุภาพชนแบบก่อนหน้านี้
“ครับ แม่...”
...ชวดเมียเพราะแม่ยาย...ด่าไม่ออกเลยกู!!!...
.....................................
>>ต่อหน้าถัดไปค่ะ >>