NOV: วาระซ่อนเร้น
By: Dezair
……………………..
ตอนที่ 14
ไฟนอลไครซิสคือวิบากกรรมของนิสิตมหาวิทยาลัยที่แท้จริง
เจียระไนไม่ได้ไปหาสิตางศุ์อีกตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก แถมต้องทุ่มเวลาทั้งหมดกับเปเปอร์ที่ต้องส่ง และหนังสือที่ต้องอ่าน ดีว่าปีสี่คณะนี้ไม่มีธีซิสอีก ไม่อย่างนั้นสองขาคงเข้าไปเหยียบนรกอย่างไม่ต้องสงสัย
‘แดกข้าวกับอะไร’
แต่ถึงจะไม่ได้เจอกัน ก็ส่งข้อความหากันทุกวัน อันที่จริงร่างสูงอยากโทร.หามากกว่า แต่ก็กลัวจะรบกวนเวลาอ่านหนังสือทำรายงานของอีกฝ่าย การสอบถามความเป็นไปในแต่ละวันด้วยข้อความ ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
‘เมื่อเช้าขนมปัง เมื่อตอนกลางวันก๋วยเตี๋ยว ตอนเย็นยัง’
คำว่ายังจากคู่สนทนาทำเอาเจียระไนหันมองนาฬิกาแทบไม่ทัน
...ทุ่มกว่า แต่ข้าวเย็นยังไม่แดก มึงรอกูไปทำให้แดกรึไง?!!...
ร่างสูงเปลี่ยนวิธีการคุยเดี๋ยวนั้น เขากดโทรศัพท์หาสิตางศุ์ทันที ปลายสายรับ แต่เขาไม่ทันพูดอะไร เสียงหัวเราะจากฝั่งนั้นก็ดังมาก่อน
‘กะแล้วว่าโทร.มาแน่ๆ’ เสียงสดใสแบบนี้แสดงว่าเจ้าตัวไม่เครียด
“เปเปอร์เสร็จแล้วเหรอ ถึงกวนตีนกู”
‘อีกนิดเดียว เลยพักมาทำกับข้าวก่อน’ เสียงโคร้งเคร้งดังขึ้นเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในครัว
‘โจ๊ก...วิดีโอคอลมั้ย’ คำถามจากปลายสายทำเอาเจียระไนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลง เขากดตัดสาย แล้วเป็นฝ่ายกดหา อึดใจต่อมา หน้าขาวๆ ตาใสๆที่สวมแว่นกรอบบางและรอยยิ้มสวยๆก็ปรากฏบนหน้าจอ เจียระไนเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว หลายวันแล้วที่ไม่ได้เจอกัน
ถ้าถามว่าคิดถึงมั้ย...บอกเลยว่าคิดถึงมาก แต่พอได้เห็นหน้ากันแบบนี้ คำว่าคิดถึงมากกลับน้อยจนอธิบายความรู้สึกทั้งหมดไม่ได้
...ไม่ใช่แค่คิดถึงมาก แต่รักมาก...
‘โจ๊กกินข้าวแล้วเหรอ ทำไมตาโรยๆ นอนไม่พอเหรอ’ คนที่กำลังวุ่นวายเดินไปเดินมาในครัว บางทีก็หลุดไปจากเฟรม บางทีก็มาแค่แขน แต่เสียงของสิตางศุ์ก็ยังชัดเจน
เจียระไนลูบหน้าตัวเองเล็กน้อย รู้สึกคันคอจนต้องกระแอมเบาๆ ช่วงสอบก็แบบนี้ ทั้งรายงาน ทั้งอ่านหนังสือ จะให้นอนพอได้ยังไง
“มึงทำอะไรกิน” เขาเปลี่ยนคำถาม เพราะไม่อยากพูดให้อีกฝ่ายเป็นห่วง
‘ผัดขี้เมา’ นอกจากคำตอบแล้ว เจ้าตัวยังยื่นหน้าเข้ามายิ้มเผล่ใส่ด้วย
“มึงเนี่ยนะ กินผัดขี้เมา?”
‘อืม แต่ไม่ใส่ใบกะเพรา ไม่ใส่พริกไทยอ่อน ไม่ใส่โหระพา ขิง ข่า อะไรพวกนั้น’
“แล้วมันจะเป็นผัดขี้เมาได้ไงวะ”
‘ก็เผ็ดไง’ เจียระไนหัวเราะเสียงดังเข้าไปในโทรศัพท์
‘กูอยากกินอ่ะ จะสั่งร้านตามสั่งก็กลัวแม่ค้าจะดุ เลยต้องมาทำกินเอง’
“แล้วนึกยังไง อยากกิน” เสียงจากอีกฝั่งเงียบไป แต่สิตางศุ์ยังคงอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ ดวงตาคู่สวยจับจ้องผ่านกล้องมาสบตากับเจียระไน
‘กู...คิดถึงมึง...’ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผัดขี้เมาที่ร่างสูงเคยทำให้กิน นอกจากจะอร่อยแล้ว สิตางศุ์ยังจำได้ว่าเป็นอาหารที่รายนั้นชอบ พอคิดถึง ‘โจ๊ก’ ขึ้นมา ก็เลยอยาก...
ระหว่างพวกเขามีเพียงการจับจ้องกันและกันผ่านทางโทรศัพท์อย่างเงียบๆ ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเจียระไนพูดขึ้นมา
“กูก็เหมือนกัน” รู้ว่าเรายังเจอกันตอนนี้ไม่ได้ รู้ว่ายังมีเรื่องที่เราต้องทำ รู้ว่ายังมีเรื่องที่ทำให้ต้องวางเรื่องของเราเอาไว้ข้างๆ เพราะฉะนั้น...เวลานี้...เรื่องของเราคือกำลังใจที่จะทำให้ทุกอย่างผ่านพ้น
“มึงรีบทำได้แล้ว จะแดกกี่โมง ไอ้ที่เดินไปเดินมาเมื่อกี้นั่นหาของไม่เจอรึไง”
‘หาเจอสิ เออ มึงจะส่งเปเปอร์เมื่อไร’ เจียระไนปรายตาไปมองกองหนังสือและโน้ตบุ้คที่เกิดค้างอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาที่เขานั่งอยู่ รายงานเสร็จไปเยอะแล้ว สัปดาห์หน้าก็น่าจะเข้าไปส่งได้
“อาทิตย์หน้า น่าจะวันจันทร์”
‘เหมือนกันเลย ว่าจะส่งวันจันทร์ ส่งเปเปอร์แล้ว ไปหาอะไรกินกันมั้ย’
“มึงอยากกินอะไรล่ะ”
‘ตอนนี้อยากผัดขี้เมา’ แล้วเสียงหัวเราะของคนซื่อๆที่ชักจะเริ่มกวนขึ้นทุกทีก็ดังขึ้น ก่อนที่หน้าใสๆพร้อมรอยยิ้มสวยจะโผล่มาที่หน้าจอให้เจียระไนตีหน้าดุ
“กูหมายถึงวันจันทร์หน้า”
‘อยากกินอาหารเวียดนามร้านนั้น’ ไม่ต้องระบุชื่อร้าน เพราะร้านอาหารเวียดนามในความทรงจำของพวกเขามีร้านเดียว ร้านเล็กๆบนชั้นสองของอาคารพาณิชย์ ในย่านช้อปปิ้งใกล้มหาวิทยาลัย
‘มึงอยากกินเปล่า ถ้ามึงไม่อยาก จะกินร้านอื่นก็ได้นะ’
...อยากสิ ถ้าร้านไหนที่มึงอยาก กูก็อยากทั้งนั้น...
“กินร้านนั้นแหละ แล้วเมื่อไรมึงจะทำสักที วันนี้จะเสร็จมั้ย ผัดขี้เมาไม่ใส่อะไรเลยของมึงน่ะ” คนถูกแซวเรื่องผัดขี้เมาหัวเราะสดใส
‘มึงพูดซะผัดขี้เมากูโป๊เลย’
สิตางศุ์หายไปจากกล้อง ได้ยินแต่เสียงโคร้งเคร้งหยิบจับเครื่องครัว เดาเอาว่าคงกำลังทำอาหารต่อ แต่เจ้าตัวก็ยังขยันส่งเสียงมาชวนคุยโต้ตอบอยู่เรื่อย ร่างสูงเอนตัวลงนอนตามความยาวของโซฟา แล้ววางโทรศัพท์พิงกับพนัก เสียงพูดคุยของพวกเขายังคงดังต่อเนื่อง ก่อนที่เสียงของเจียระไนจะเงียบไป
ใบหน้าขาวโผล่มาที่หน้าจอโทรศัพท์เหมือนสงสัย แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ดวงตาคู่สวยมองผ่านกล้องด้วยแววอ่อนโยน รอยยิ้มน้อยๆจุดที่ริมฝีปากสีสด ก่อนจะพึมพำเสียงเบาให้คนที่หลับไปแล้ว
‘กู้ดไนท์นะโจ๊ก...’
ค่ำนี้ เจียระไนหลับฝันดี
................................................
...อาการไม่ค่อยดีว่ะ...
ร่างสูงสะบัดศีรษะ 2-3 ที เพื่อไล่ความมึนออกไป ตั้งแต่ตอนที่วิดีโอคอลคุยกับสิตางศุ์คราวก่อน พวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีก แต่ก็ยังส่งข้อความคุยกันทุกวัน เจียระไนเร่งทำรายงานหามรุ่งหามค่ำ บางวันแทบไม่ได้พักผ่อน จนเหมือนหวัดจะกิน
...แค่หวัดพอ อย่าเป็นไข้เลย วันนี้นัดกินข้าวกับไอ้โซ่ด้วย...
“โจ๊ก เสร็จแล้ว พอดีเจออาจารย์พุธ เลยคุยกับแกนานไปหน่อย” ร่างสูงโปร่งวิ่งลงจากตึก วันนี้สิตางศุ์ไม่ได้สวมชุดนิสิตถูกระเบียบเพราะแค่เอารายงานมาส่ง แต่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบก็เรียกสายตาคนรอบข้างได้แล้ว โดยเฉพาะสายตาของเจียระไน
“คุยไร” ร่างสูงถาม แล้วออกเดินช้าๆไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่ คำตอบของคนข้างกายดังเข้าหู แต่เขาแทบจับประเด็นไม่ได้ ลมหายใจร้อนผ่าวทุกครั้งที่หายใจออกมา มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นแตะที่ซอกคอของตนเองแล้วก็รับรู้ว่าอุณหภูมิของร่างกายชักจะสูงมากขึ้นทุกที
“เป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าไม่อยากกิน” สิตางศุ์เห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบก็ชักเป็นห่วง แต่หนุ่มเชื้อสายจีนโบกมือไปมา
“เปล่า ขึ้นรถเถอะ” แล้วเจียระไนก็ขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ คนผิวขาวจัดเดินไปนั่งที่เบาะข้างๆ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองอย่างนึกห่วง แต่ไม่ทันได้ถามอะไร โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น สิตางศุ์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู บนหน้าจอขึ้นเป็นสายเรียกเข้าจากมารดา
“ฮัลโล แม่ สอบเสร็จแล้ว ส่งเปเปอร์แล้ว กำลังจะไปกินข้าว...กับเพื่อน”
คำหลังนั้นแอบมองคนข้างกายเล็กน้อย เขาหวังว่าเจียระไนจะเข้าใจ ว่าสถานะของพวกเขาต่อคนในครอบครัว ยังไงก็ยังเป็นเพื่อน
“ไม่ๆ ไม่ใช่กตกับแพทหรอก เพื่อนสนิทอีกคนนึง”
ถึงแม้เพื่อนสนิทคนนี้จะไม่เหมือนเพื่อนสนิทคนไหนก็ตามที
“กลับพรุ่งนี้ ตอนเช้าเลย เดี๋ยวส่งไฟลท์ให้นะ” ปลายสายถามไถ่อีกไม่กี่ประโยค ก็เกือบจะวางสายอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่สิตางศุ์รั้งเอาไว้
“เดี๋ยวแม่...เอ่อ...” ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนข้างกายอีกครั้ง เจียระไนยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถ แต่...ไม่รู้จะคิดมากรึเปล่า เรื่องที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อน
...แต่...เพื่อนคนนี้เป็นคนพิเศษ ไม่เหมือนเพื่อนคนไหนในชีวิต...
“แม่...คุยกับโจ๊กมั้ย เพื่อนที่โซ่จะไปกินข้าวด้วยน่ะ...” คราวนี้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถหันมามองอย่างคาดไม่ถึง สิตางศุ์กดเปิดสปีกเกอร์แล้วยื่นมาใกล้ๆร่างสูง
“สวัสดีครับ...” เจียระไนอยู่ในภาวะสมองคิดไม่ทัน เลยส่งคำแรกไปก่อนคือทักทาย
‘จ้า ชื่อโจ๊กหรือโจ๊ะนะ’
“โจ๊กครับ”
‘แล้วโจ๊กกับโซ่จะไปกินอะไรกันล่ะ’
“อาหารเวียดนามครับ”
‘โอ้โฮ โซ่กินเป็นด้วยเหรอ’
“กินเป็นสิแม่ โจ๊กพากิน”
‘แสดงว่าโจ๊กเก่งนะเนี่ย แต่ก่อนโซ่กินเป็นซะที่ไหน’
“คนเรามันก็หัดกันได้นะ” คนเป็นลูกแท้ๆรีบแย้ง เกรงจะโดนมารดาเผากันออกสปีกเกอร์ เสียงหัวเราะสดใสถอดพิมพ์เดียวกันมาดังมาจากปลายสายที่กระบี่
‘แม่ถึงชมว่าโจ๊กเก่งที่หัดโซ่ได้ โจ๊กอยากได้อะไรจากกระบี่มั้ย เดี๋ยวแม่จะเตรียมไว้ให้โซ่ถือกลับไปตอนเปิดเทอม’ เจียระไนคันปาก อยากบอกว่าอยากได้เมียจากที่นั่น แต่เกรงแม่ยายจะไม่เข้าใจ เดี๋ยวไว้รอเจอเลยดีกว่า จะได้ขอได้ถนัด
“ตอนนี้ยังไม่อยากครับ…คุณแม่”
...เน้นเสียงหนักๆที่คำว่าตอนนี้ และเบานิดหน่อยตรงคำว่าคุณแม่ เดี๋ยวไก่ เอ๊ย แม่ยายตื่น...
‘งั้นไว้ตอนไหนอยากได้อะไรก็บอกนะ แม่ไม่กวนล่ะ กินกันให้อร่อย แล้วโซ่อย่าลืมส่งไฟลท์มาด้วยล่ะ’
“รู้แล้ว” ลูกชายแท้ๆดึงโทรศัพท์กลับไปแล้ว แต่ยังกดยุกยิกอยู่ คาดว่าเจ้าตัวคงกำลังส่งข้อความเป็นรายละเอียดการเดินทางกลับบ้านเกิดในวันพรุ่งนี้
...ใช่...พรุ่งนี้โซ่จะกลับแล้ว และกว่าจะได้มากรุงเทพฯอีกก็ตอนเปิดเทอม...ไม่นานหรอกสำหรับบางคน แต่สำหรับเจียระไนคนนี้ นานจนแทบจะขาดใจ...
“พรุ่งนี้...กูไปรับพาไปสนามบินนะ” สารถีขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้จะเป็นการไปส่งก็ตามที สิตางศุ์หันมายิ้ม
“ขอบใจ แล้ว...ไม่อยากได้อะไรจากกระบี่จริงๆเหรอ เค้กตรังมั้ย อร่อยนะ”
“มึงควรจะพรีเซ้นต์โอท็อปกระบี่มั้ย ไม่ใช่แนะนำเค้กตรังให้กู” คนกระบี่แต่แนะนำของดีจังหวัดตรังหัวเราะสดใส
“ก็เค้กตรังอร่อยจริงๆนี่นา โอ๊ย” มือใหญ่ๆเคาะมะเหงกลงกับหน้าผากขาวไปที โทษฐานชักจะกวนกันมากขึ้นทุกวัน แถมกวนไม่พอ ยังหัวเราะหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอีกต่างหาก แล้วแบบนี้จะปล่อยมันกลับกระบี่ได้ยังไง
“โจ๊ก...ทำไมมือมึงร้อนๆอ่ะ” คนถูกเคาะหน้าผากรู้สึกแปลกๆกับอุณหภูมิของอีกฝ่าย พอลองเอื้อมมือไปแตะแขนใหญ่ก็ถึงกับตาโต
“แขนมึงร้อน!” เจียระไนชะงัก รีบชักแขนออกจากมือขาวๆนั่น พอดีกับที่เขาเลี้ยวขึ้นลานจอดรถแล้วมีที่จอดว่าง เลยรีบจอดอย่างรวดเร็ว
“โจ๊ก มึงไม่สบายเหรอ กลับบ้านมั้ย”
...เรื่องสิ กูกำลังจะได้กินข้าวกับมึงเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่มึงจะกลับกระบี่ ใครจะโง่กลับบ้านวะ...
“กินก่อน ค่อยกลับ”
“แต่มึงตัวร้อน...”
“กูไม่ได้ขี้”
“หะ?”
“เออหน่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ขี้มันก็ตัวร้อนแบบนี้แหละ ไป เดี๋ยวช้า ของหมด มึงไม่ได้แดกที่อยากแดก กูไม่รู้ด้วย!” แล้วร่างสูงก็เปิดประตูลงจากรถอย่างรวดเร็ว
ทว่า...พอลงไปยืนก็เหมือนพื้นจะโคลงขึ้นมากะทันหัน มือเอื้อมไปคว้าประตูรถเพื่อพยุงตัว แต่อาการมึนศีรษะทำให้เขาคว้าพลาดได้แต่จับอากาศแทน พอคว้าอะไรไม่ได้ คราวนี้ร่างสูงใหญ่เลยล้มตึงลงกับพื้น
“โจ๊ก!!!” เสียงของสิตางศุ์ดังลั่นลานจอดรถ แต่แทบไม่เข้ามาในสติของเจียระไนเลย
........................................
สายใจ สะใภ้คนที่ 5 ของตระกูลตั้งกาญจนพาณิชย์กำลังนั่งดูละครรีรันตอนบ่ายอยู่ภายในห้องทำงานของสามี วันนี้หล่อนมีนัดกับคู่ชีวิตต้องไปออกงานด้วยกันตอนเย็น แต่เนื่องจากทำผมเสร็จเร็ว ก็เลยมานั่งรอที่ออฟฟิศ ชีวิตของผู้หญิงที่ลูกๆเติบโตจนพึ่งพาตัวเองได้แล้ว ก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้กังวลเสียเท่าไร ยกเว้น...ตอนที่มีเบอร์แปลกๆโทร.เข้ามาทางโทรศัพท์
หญิงร่างอวบเชื้อสายจีนเพ่งมองเบอร์เล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจกดรับสาย
“ฮัลโล”
‘สวัสดีครับ คุณแม่ของโจ๊กรึเปล่าครับ’ ชื่อเล่นของลูกชายคนกลางทำเอา นิ้วอวบที่สวมแหวนเพชรเม็ดโตต้องเอื้อมไปกดปิดเสียงละครรีรัน
“ใช่จ้ะ”
‘ผมชื่อโซ่เป็นเพื่อนที่คณะของโจ๊กครับ ตอนนี้โจ๊กไม่สบาย ไข้สูงมาก...’
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?!” สายใจไม่รอให้อีกฝ่ายบรรยายอาการจนจบ หล่อนก็รีบพูดแทรก
‘คอนโดของโจ๊กครับ’
“ป้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” แล้วหล่อนก็รีบลุกจากโซฟาเดินไปสั่งสามีที่นั่งทำงานอยู่ ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์หาน้องชายคนเล็กของสามีซึ่งเป็นหมอให้รีบตามไปที่คอนโดของลูกชายคนกลางเป็นการด่วน
...โจ๊กไม่สบาย!...
…ให้อาม่าโล้สำเภากลับไปเมืองจีนตอนอายุเท่านี้ยังง่ายกว่าลูกชายของหล่อนคนนี้ป่วยซะอีก!!!..
......................................
ถึงมือหมอ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือหมอมาถึงมือคนไข้แล้ว สายใจยืนกอดอกเงียบๆ มองน้องชายคนที่ 7 ของสามีตรวจอยู่พักใหญ่ แม้จะคันปากมากๆก็ตาม
พอ ‘โซ้ยเจ็ก’ หรืออาคนที่ 7 ของเจียระไนปลดสเตโทสโคปลงจากหู ความเงียบที่ถือมานานก็ถูกโยนทิ้ง
“เป็นไงบ้างล่ะโซ้ยเจ็ก ต้องพาไปโรง’บาลมั้ย” ประชาลูกชายคนเล็กของอาม่าแห่งตระกูลตั้งกาญจนพาณิชย์ และเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ทำธุรกิจแต่เลือกประกอบอาชีพในสายแพทย์หันมามองพี่สะใภ้
“ไม่ต้องหรอก เป็นไข้ พักผ่อนไม่พอ ดูใต้ตามันสิ” แล้วคนเป็นอาก็ตบหัวหลานชายที่ยังถูกพิษไข้รุมเร้าไปหนึ่งทีด้วยความรักและเอ็นดู
“งั้นพามันกลับบ้านใหญ่ จะได้มีคนดูแล” สายใจกำลังจะกดโทรศัพท์ตามคนมาช่วยพาลูกชายตัวใหญ่กลับไปนอนที่บ้านตระกูลตั้ง แต่ก็เหมือนจะนึกขึ้นได้
“เออ! อาม่าไม่สบาย...ถ้าเห็นโจ๊กป่วย แกจะยิ่งเป็นห่วง...”
“ให้โจ๊กอยู่ที่นี่ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมดูแลให้” เสียงของบุคคลที่สี่ที่ยืนอยู่มุมห้องดังขึ้นมา ทำเอาทั้งสายใจและประชาหันมอง
เพื่อนของเจียระไน เพื่อนคนนี้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่...ท่าทางน่าจะสนิทกันพอดู
“เราเป็นเพื่อนไอ้โจ๊กเหรอ” ประชาย้อนถาม
“ครับ เป็นเพื่อนที่คณะ”
“อยู่ภาคฯเดียวกัน?”
“เปล่าครับ แต่วันนี้นัดกันไปส่งเปเปอร์ แล้วไปกินอาหารเวียดนามด้วยกันต่อ แต่โจ๊ก...เอ่อ...โจ๊กเป็นลม ผมก็เลยพากลับ” สิตางศุ์เล่า เขาเป็นคนพยุงเจียระไนกลับขึ้นรถโดยให้นอนยาวที่เบาะหลัง แล้วตนเองเป็นคนขับรถกลับมาที่นี่ ก็เลยมาถึงได้อย่างปลอดภัย
“อาหารเวียดนาม?” สายใจและประชามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะหันไปทางเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้มป่วยของเจียระไนอีกหน
“เรากับโจ๊กรู้จักกันมานานแล้วเหรอ”
“ก็...รู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่งครับ แต่เพิ่งมาสนิทกัน”
...เพิ่งมาสนิทกันอีกต่างหาก...
สายใจกวาดตามองเพื่อนของลูกชายคนนี้ ก่อนจะตัดสินใจหันไปมองน้องชายของสามี
“ให้โซ้ยเจ็กเขาจัดการโจ๊กไปแล้วกัน เรามากับป้าหน่อยสิ”
..................................