NOV: วาระซ่อนเร้น
By: Dezair
…………..
ตอนที่ 12
“ไม่มีทาง! กูให้เวลามึงสามวัน!! หมายถึงให้มึงคิด! ไม่ใช่ให้มึงทิ้งกูไป!!!”
เสียงอาละวาดดังลั่นด้านหลังโรงอาหารที่เคยเงียบสงบ คนผิวขาวจัดสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็พยายามตั้งสติใช้น้ำเสียงอ่อนๆตอบกลับไป
“โจ๊ก...กูไม่ได้ทิ้งมึง กูแค่ขอใช้เวลาสามวันที่มึงให้ แบบที่ไม่มีมึง แล้ว...พรุ่งนี้กูนัดน้องมี่กินข้าว กูจะได้รู้ว่าถ้าไม่มีมึงเหมือนแต่ก่อน กูจะเป็นยังไง เวลากูอยู่กับคนอื่น กูจะรู้สึกเหมือนอยู่กับมึงมั้ย คนโง่ๆอย่างกู คงต้องใช้วิธีแบบนี้ ไม่อย่างนั้นกูก็ไม่รู้สักที”
ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากและเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของสิตางศุ์เลยทีเดียว เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะดูเด็ดเดี่ยวแต่ดวงตาคู่สวยก็เศร้าสร้อยเหมือนต้องผ่านการไตร่ตรองมาอย่างหนักเพื่อยอมรับกับวิธีการนี้
...แต่...ให้ตายเถอะวะ!! คนอย่างไอ้โจ๊กไม่ชอบวิธีแบบนี้เว้ย!!...
“กูนับวันนี้วันที่หนึ่ง! มึงเหลือแค่สองวันคือพรุ่งนี้กับมะรืน! แล้วมึงต้องให้คำตอบกูภายในวันมะรืน!!” เจียระไนตะคอกดังลั่น เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันห่างสายตาไปนานๆ แถมมันยังไปอยู่ใกล้ชิดผู้หญิงอีก เกิดอยู่ได้แล้วชอบขึ้นมา ที่เขารอมาตลอดก็เสียเปล่าน่ะสิ
…ไม่มีทาง!! ยังไงๆก็ไม่มีทางโว้ย!!...
สิตางศุ์เอียงคอเล็กน้อยในขณะที่ไตร่ตรองจำนวนวันที่อีกฝ่ายรวบรัด
“เดี๋ยวสิ…กูนึกว่ามึงนับวันพรุ่งนี้เป็นวันแรกซะอีก แล้วก็นึกว่าสามวันที่มึงบอกคือนับจากวันพรุ่งนี้ไปสามวัน แล้วมึงเอาคำตอบวันที่สี่งี้”
“วันที่สี่ห่าอะไร?!! กูต้องได้คำตอบวันมะรืน!!!”
“อ้าว…แบบนี้กูก็ห่างกับมึงแค่วันเดียวน่ะสิ”
…จะพอหรือ? แค่วันเดียวกับคนโง่ๆที่กำลังหาคำตอบของความรู้สึกที่มี...
“วันเดียวก็พอแล้ว!! มึงจะห่างกับกูไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นทำไมนานๆ?!!” ยิ่งอยู่นานยิ่งไม่ดี ยิ่งอยู่นานเจียระไนยิ่งใจหาย ทางฝั่งผู้หญิงชอบสิตางศุ์ก็พอเข้าใจเพราะรายนั้นก็ชอบมาตั้งแต่ปีก่อนที่มางานโอเพ่นเฮ้าส์แล้ว แต่ถ้าเกิดสิตางศุ์ไปชอบทางนั้นเข้าด้วยจะทำยังไง?!
“แบบนี้กูจะหาคำตอบได้ยังไง...”
“มึงจะหาคำตอบอะไรมาหาที่กู! มึงอยากรู้อะไรมาถามที่กู! ไม่ต้องสะเหล่อหาคำตอบเอง!!”
“โจ๊ก กูแค่อยากรู้ว่าถ้ากูไม่มีมึง กูจะอยู่ยังไง...” การทอดเสียงอ่อนเพื่อปรามอารมณ์คนใจร้อนที่เคยใช้ได้ผลเสมอมา มาวันนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเชื้อไฟในใจเจียระไนให้โหมกระหน่ำ
“แล้วก่อนหน้านี้ที่กูไม่ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตมึง มึงรู้ไม่พอรึไง?! ถึงจะอยากมารู้เอาตอนนี้!! กูไม่มีมึงมาตลอดสองปี!! พอมาวันนี้กูได้มึงมาแล้ว!! แต่มึงมาเขี่ยกูออกไปสามวันเพราะอยากรู้ความรู้สึกเวลาไม่มีกู!! ไอ้สัด!! เหตุผลเชี่ยอะไรของมึง!!”
สิตางศุ์พูดไม่ออก เขาเองก็รู้ตัวว่าคนที่เห็นแก่ตัวที่สุดก็คือเขา คนที่โง่ที่สุดก็คือเขา คนที่ทำร้ายคนอื่นมากที่สุดก็คือเขา และคนที่รับเคราะห์จากการกระทำของเขาก็คือเจียระไน
“ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้า! กูให้เวลาถึงเที่ยงวันมะรืน มึงต้องบอกกูให้ได้ว่ามึงเลือกใคร!! แล้วพรุ่งนี้...”
พอพูดถึงเรื่องพรุ่งนี้ที่อีกฝ่ายขอให้เขาออกไปจากชีวิต เจียระไนก็รู้สึกจุกขึ้นมาเล็กน้อย แต่เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไอ้คนข้างกายไปไหนมาไหนโดยไม่มีเขาเอี่ยววะ?!
“…พรุ่งนี้ มึงจะออกจากคอนโดก็โทร.บอกกูด้วย! ถึงคณะแล้วก็บอกอีกรอบ! แล้วไปกินข้าวที่ไหนก็บอกด้วย! ตอนจะกลับก็บอกอีกที! กลับถึงห้องแล้ว ปิดประตูล็อกแล้วโทร.หากูด้วย! เข้าใจมั้ย?!” ดวงตาคู่สวยกะพริบตาปริบๆ กับคำสั่งยาวเป็นชุดของคนตรงหน้า แถมฟังๆดูแล้ว ไม่เหมือนเขาใช้ชีวิตโดยไม่มีเจียระไนเลยสักนิด เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็ต้องรายงานหมด
“แล้วแบบนี้ จะเหมือนกูใช้ชีวิตแบบไม่มีมึงได้ไงล่ะ” เขาท้วง แต่คนถูกท้วงไม่สนใจ ย้ำเสียงหนักแน่น
“กูไม่สน! ก่อนเที่ยงวันมะรืน กูจะเอาคำตอบ!”
“เดี๋ยวนะโจ๊ก เมื่อกี้มึงบอกว่าเที่ยงวันมะรืน แล้วทำไมตอนนี้กลายเป็นก่อนเที่ยงแล้วอ่ะ” เห็นบื้อๆซื่อๆแต่เรื่องหัวไว สิตางศุ์ก็พอจะมีอยู่บ้าง แต่...คนฉลาดไม่สู้คนเฉลียว เพราะเจียระไนคนเฉลียวเถียงขวับ
“ถ้ายังถามกูอีกล่ะก็ กูจะเอาตีห้าวันมะรืนด้วย!! มึงเอามั้ยล่ะ?!”
เสียงตะโกนของเจียระไนค่อนข้างดังจนทำให้มีนิสิตหลายคนเริ่มชะโงกหน้ามามอง สิตางศุ์เลยไม่พูดอะไรอีกได้แต่พยักหน้ายอมรับเงื่อนไข พวกเขายืนกันอยู่อย่างนั้นเงียบๆ แต่ยิ่งเงียบ เจียระไนก็ยิ่งหวั่นไหว
...จะได้เห็นหน้ามันแค่วันนี้...แล้วพรุ่งนี้...มันจะไปกับน้องมี่ ในขณะที่ไอ้โจ๊กคนนี้...ทำได้เพียงนั่งรอ และภาวนาขอให้มันเลือกผู้ชายคนนี้ คนที่รอมันมาเกือบสองปี...
ร่างสูงไม่คิดอะไรอีกแล้ว เขาเอื้อมมือไปคว้าแขนขาว ดวงตาเรียวทอดมองด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ริมฝีปากเผยอค้าง
อยากจะเอ่ยคำบางคำที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ
“โซ่...กู...”
คำที่อยากจะบอก ความรู้สึกที่อยากจะเอ่ย แต่...ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นิสิตตรงนั้น มีอะไรกันรึเปล่า” อาจารย์คนหนึ่งเดินมาถาม เสียงตะคอกของเจียระไนเมื่อครู่ คงทำให้มีคนไปตามมาดู
“เปล่าครับ” เจียระไนเป็นคนตอบ สิตางศุ์หันมามองเขา และเป็นอีกครั้งที่ร่างสูง ‘ยอม’
เขายอมปล่อยมือที่จับแขนขาวโดยไม่พูดอะไรอีกแล้ว ก่อนจะเป็นฝ่ายหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในโรงอาหาร
ร่างโปร่งมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก้มลงมองแขนตัวเอง ไออุ่นที่ยังอยู่บนผิวทำให้เผลอยกมือขึ้นลูบเบาๆ สายตาที่เจียระไนมองเมื่อครู่นี้ ยังติดอยู่ในใจ และมันทำให้สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
แม้ไม่พูดอะไร ไม่ร้องขออะไร แต่...สายตาคู่นั้นบอกทุกอย่าง
สายตาที่บอกว่าเจียระไนไม่อยากปล่อยเขาไป สายตาที่บอกว่าอยากอยู่กับเขา สายตา...ที่ผสมปนเปไปด้วยความลึกล้ำ ห่วงหา และกังวล...
...เป็นสายตาที่...ทำให้คำหนึ่งคำผุดขึ้นมาในใจ...
... ‘ชัด’ ...
…ความรู้สึกทั้งหมดของ ‘โจ๊ก’ ชัดเจนและสัมผัสได้...
สิตางศุ์รู้สึกเหมือนถูกถาโถมด้วยความชัดเจนจากดวงตาเรียวคู่นั้นจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม ยืนแทบไม่อยู่
... ไม่ว่าความชัดเจนของโจ๊กจะคือความรัก ความชอบ หรือความรู้สึกดี...
หัวใจ...ก็บอกว่าไม่อยากให้สายตาคู่นี้เมินหนีไปจากเขาอีกแล้ว
.........................
เจียระไนกลับเข้ามาในโรงอาหารเพื่อคว้ากระเป๋าแล้วลากคอเสื้อเพื่อนสนิทอย่างปราการออกไปโดยไม่ทานข้าวเที่ยง คล้อยหลังร่างสูงใหญ่ของหนุ่มภาควิชาการปกครอง สิตางศุ์ก็กลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พฤกษาต้องเป็นคนไปซื้อนมกล่องมาให้ แต่ก็เหมือนร่างโปร่งจะดูดไม่หมดด้วยซ้ำ และก็ต้องเป็นพฤกษาที่พาสิตางศุ์ไปส่งที่คอนโด
‘ไงล่ะ มึงเห็นรึยังว่าเพื่อนมึงเป็นยังไง’
ในหัวของอลงกตมีแต่เสียงของพฤกษาดังซ้ำๆมาตั้งแต่เที่ยงจนตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมดำแล้ว แต่เขาก็ยังสลัดสีหน้าท่าทางเซื่องซึมของ ‘เพื่อน’ ออกจากหัวไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
หนุ่มนักฟุตบอลประจำคณะเตะฟุตบอลอัดเข้าโกลจนตุงตาข่ายเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดจะนับ ฟุตบอลเคยช่วยให้เขาสงบจิตสงบใจได้ดี แต่วันนี้...มันทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีเหมือนเคย
ลูกกลมๆไหลลงมานอนสงบที่พื้นหญ้า ในขณะที่คนเตะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง แล้วปล่อยให้ความเงียบในตอนค่ำของสนามฟุตบอลอยู่เป็นเพื่อน
‘มึงเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว ไอ้โจ๊กทำสำเร็จ มึงต้องยอมรับ’ คำพูดของพฤกษายังคงดังเข้าหูซ้ายที หูขวาที ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนเก่ง เรื่องเรียนของมันแย่กว่าเขาที่มุ่งเอาดีด้านกีฬาเสียอีก แต่...ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องรักๆใคร่ๆของมัน โดดเด่นจริงๆ
‘เราทุกคนเห็นว่าไอ้โซ่รู้สึกยังไงกับไอ้โจ๊ก อย่าว่าแต่กูกับมึงเลย ขนาดพี่เวฟเรียนจบไปแล้ว ไม่ได้เจอไอ้โซ่บ่อยๆ ยังเคยโทร.มาถามกูเรื่องนี้’
‘…ยอมรับเถอะ ไอ้โซ่ไม่ได้แค่อยากอยู่กับไอ้โจ๊ก...แต่มันรักไอ้โจ๊ก...’
อลงกตหงายหลังผึ่งลงนอนกับพื้นหญ้าอย่างไม่สนใจว่าจะสกปรกหรือไม่ ใจหนึ่งก็ยอมรับคำพูดของพฤกษา เขาเองก็สนิทกับสิตางศุ์ ทำไมจะดูไม่ออกว่าเพื่อนสนิทรายนั้นรู้สึกยังไง แต่อีกใจ...อลงกตไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย
...เพราะไอ้โจ๊กเป็นผู้ชาย...
โลกข้างนอกไม่เหมือนโลกในมหาวิทยาลัย โลกข้างนอกมีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ โลกข้างนอกมีทั้งคนพร้อมจะสนับสนุนและพร้อมจะทำลายคนอื่นด้วยวิธีที่สกปรกที่สุด
...ไอ้โซ่จะเป็นยังไง ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นหอกทิ่มแทงอนาคตของมัน...
“มองไกลๆ กูนึกว่าศพ” เพื่อนซี้หน้าทะเล้นชะโงกหน้ามาเหนือร่างของอลงกต ก่อนจะโยนขวดน้ำเย็นเฉียบใส่อกหนา
“เชี่ย เจ็บ” แค่ปล่อยให้ตกตามแรงโน้มถ่วงของโลกยังเจ็บเลย แต่นี่ดันโยนลงมาใส่
พฤกษายักไหล่ไม่ยี่หระ มองเพื่อนสนิทลุกขึ้นนั่งเปิดขวดน้ำที่ซื้อมาให้ แล้วกรอกปากจนน้ำกระฉอกเลอะเทอะ
...สารรูปดูไม่ได้จริงๆ...
“ไอ้โซ่เป็นไงบ้าง” คนที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าเอ่ยปากโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนค้ำหัว
“กูบอกให้มันแก้เปเปอร์ ’จารย์พุธซะ จะได้ไม่ต้องคิดมากเรื่องอื่น แต่กูว่าไม่มีเรื่องไหนในโลกที่น่าคิดมากเท่าเปเปอร์ ’จารย์พุธอีกแล้วว่ะ ดีนะกูไม่ลงวิชานี้ แค่หัวข้อกูยังแปลไม่ออกเลย”
“สัด แล้วนี่มึงกลับมาทำไม ลืมของเหรอ”
“อือ”
อลงกตเงยหน้ามองอย่างสงสัย เพราะคนที่รับคำว่าลืมของกลับไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเลย นอกจากขวดน้ำเมื่อครู่ที่ให้เขา
“กูทิ้งเพื่อนที่กำลังจะเป็นบ้าไว้ที่นี่อีกหนึ่งคน” ไม่มีคำพูดอะไรอีก นอกจากหนุ่มนักฟุตบอลจะกระตุกแขนคนที่ยืนให้ทรุดตัวลงนั่งข้างกัน สนามฟุตบอลยามพลบค่ำค่อนข้างสว่างเพราะไฟจากสปอร์ตไลท์ที่มุมสนามสาดลงมา ที่หน้าโกลมีชายหนุ่มปีสี่สองคนนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ
“มึงว่าไวมั้ย ปีสี่แล้ว” อยู่ๆ อลงกตก็ตั้งคำถาม
“อือ กูยังไล่จีบสาวไม่ครบทุกคณะเลย ขาดทันตะกับวิศวะฯ พวกนี้แม่งเอาแต่เข้าแล็ป แล้วกูตามเข้าไปได้ซะที่ไหน”
“มึงก็คิดเป็นแต่เรื่องแบบนี้”
“แล้วมึงล่ะ มีอะไรยังไม่ได้ทำ?” พฤกษาหันมาถาม
“คิดว่าไม่มีแล้วมั้ง คณะนี้ให้กูมาทุกอย่างแล้ว” นอกจากความรู้ นอกจากประสบการณ์ คณะเล็กๆแห่งนี้มอบความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเพื่อน ระหว่างรุ่นพี่ ระหว่างรุ่นน้อง มาให้เขา
โดยเฉพาะเพื่อน...เพื่อนที่มารู้จักกันที่นี่ เพื่อนที่มาเจอกันที่นี่ เพื่อนที่มาสนิทกันที่นี่
“แพท เรื่องไอ้โซ่...กูรู้ว่าบางทีกูก็งี่เง่า...”
“กูก็ว่ามึงรู้ว่ามึงงี่เง่า แต่รู้แล้วทำไมถึงยังทำ?”
“เพราะกูรู้ว่าถ้ากูทำ มึงก็ขัดกูอยู่ดี”
“อ้อ กูจะได้มีหน้าที่งี้?” อลงกตยกยิ้มจางๆที่มุมปากแล้วเหลือบมามองเพื่อนสนิท
“ขอบใจที่เป็นเพื่อนกูมาตั้ง 4 ปี”
4 ปี ที่เรียนรู้ที่จะอดทนซึ่งกันและกัน อลงกตรู้ดีว่าทั้งเขาและพฤกษามีเรื่องไม่ถูกใจกันหลายเรื่อง มีเรื่องชวนให้หัวเสียในนิสัยของกันและกันก็หลายครั้ง แต่...วันนี้ มันก็ยังนั่งอยู่ข้างๆเขา
“มึงจะตายวันพรุ่งนี้รึไง รีบขอบใจกูจัง”
หนุ่มนักฟุตบอลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามถึงเพื่อนสนิทของพวกเขาอีกคน
“จบไป ไอ้โซ่จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ มันซื่อบื้อแบบนั้น มึงว่ามันจะอยู่รอดมั้ยวะ”
“มีไอ้โจ๊กดูแล ถ้ายังไม่รอด กูว่าโลกนี้แม่งอย่ามีมนุษย์อยู่เลย” พอพฤกษาพูดถึงบุคคลที่สี่ คนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ไอ้โจ๊กอีกแล้ว สรุปกูต้องยอมรับเรื่องไอ้โจ๊กใช่มั้ย”
“ก็ถ้ามึงนับตัวมึงเป็นเพื่อนไอ้โซ่ มึงก็ต้องยอมรับ เราเป็นเพื่อนมันนะเว้ย เป็นห่วงได้ แต่อย่าบงการ...โอ.เค. กูก็แอบบงการแหละที่พาไอ้โจ๊กเข้ามาในชีวิตมัน แต่...คนที่เลือกจะให้ไอ้โจ๊กอยู่ในชีวิตต่อไปก็คือไอ้โซ่ ไม่ใช่กูหรือมึง” คนผิวเข้มได้แต่ก้มหน้านิ่ง พฤกษาเห็นโอกาสที่เขาจะพูดจูงใจมัน
“กต กูรู้ว่าที่มึงให้ไอ้โจ๊กรอ ใจนึงมึงก็กะกันท่านั่นแหละ แต่อีกใจมึงก็อยากให้มันตัดสินใจเรื่องไอ้โซ่ให้ดีก่อนที่จะจีบ แล้วนี่ก็จะสองปีแล้วนะเว้ย...”
สิตางศุ์ที่ใจดี สุภาพ อะไรก็ได้ แท้จริงแล้วตัดสินใจยาก คิดช้า ทำอะไรก็แคร์คนนั้นทีคนนี้ที อลงกตกลัวเจียระไนจะเป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชมภาพลักษณ์ภายนอก แต่พอเอาเข้าจริงก็เบื่อหน่ายกับความเฉื่อยชาของสิตางศุ์แบบนี้
“...ไอ้โจ๊กมันพิสูจน์ตัวเองไม่พอเหรอวะ”
ไม่รู้ที่พฤกษาพูดไปจะเข้าหูเข้าหัวบ้างไหม แต่มือใหญ่สีคล้ำชี้ไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างโกลแล้วสั่งเรียบๆ
“มึงเอามือถือกูให้ที” คนหน้าทะเล้นที่วันนี้อุตส่าห์อยู่ในโหมดจริงจังยอมลุกไปหยิบมาให้ แต่พอเดินกลับมายื่นให้แล้ว คนที่ยังนั่งอยู่บนพื้นหญ้ากลับสั่งอีกรอบ
“นั่งลงสิ”
“อะไรของมึงวะ วันนี้แม่งสั่งจังเว้ย” แม้จะบ่นแต่ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆเหมือนเมื่อครู่ อลงกตมองโทรศัพท์มือถือในมือตัวเองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา
“กูจะโทร.หาน้องมี่...” ดวงตาของพฤกษาเหลือบมามองคนพูด หนุ่มนักฟุตบอลจึงเอ่ยต่อเสียงพร่า
“...มึงนั่งอยู่กับกูก่อนนะ”
เพราะคบกันมาถึง 4 ปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเวลานี้อลงกตรู้สึกยังไง มันเสียใจแค่ไหนที่ดึงเอารุ่นน้องในสายรหัสเข้ามาอยู่ในสถานะแบบนี้ มันเสียใจแค่ไหนที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างสิตางศุ์และเจียระไน ทั้งๆที่ไม่หวังเลยแม้แต่นิดเดียว และมันเสียใจที่สุด...ที่ใช้ ‘น้องมี่’ เป็นเครื่องมือผลักเจียระไนออกไป
พฤกษาไม่พูดอะไร นอกจากนั่งอยู่ข้างๆอย่างนั้น...และเขาตั้งใจจะนั่งอยู่ตรงนี้ จนกว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆจะลุกขึ้นยืนไหวอีกครั้ง
...................................
มนทิชายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้านานมากแล้ว พรุ่งนี้หล่อนมีนัดกับรุ่นพี่หนุ่มที่เป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนเลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปัจจุบันนี้เขาเรียนอยู่ปีสี่แล้ว ในขณะที่หล่อนเพิ่งเข้าปีหนึ่ง รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ได้เจอกันแค่ปีเดียว และอาจจะไม่มีโอกาสได้รู้จักกันเลย แต่…หล่อนก็ยังเชื่อในโอกาส
เพราะคำว่าโอกาส…มันเปิดโอกาสให้หล่อนได้รู้จักเขาจริงๆ ในฐานะรุ่นน้องร่วมภาควิชา และโชคชะตาพาให้หล่อนกลายเป็นหลานรหัสของเพื่อนสนิทของเขา จนกระทั่ง...เขานัดไปกินข้าวในวันพรุ่งนี้
เด็กสาวมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้ม หันซ้ายแล้วลองยิ้มอีกที จากนั้นก็หันขวาแล้วลองยิ้มอีกรอบ ยิ้มแบบไหนที่ ‘พี่โซ่’ จะชอบ หล่อนก็ไม่รู้ ที่รู้ๆคือพรุ่งนี้หล่อนจะต้องยิ้มให้เขามากๆ เขาจะได้ยิ้มตอบหล่อนกลับมา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำเอาเด็กสาวร่างผอมบางหันไปมอง ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ามาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้หล่อนยิ้ม ก่อนจะรับสาย
“ค่ะ พี่กต”
‘น้องมี่ ไอ้โซ่โทร.มาบอกแล้วใช่มั้ยว่าจะพาไปกินข้าว’
“ค่ะ พี่โซ่ก็บอกพี่กตเหรอ” ออกจะประหลาดใจนิดหน่อยที่สิตางศุ์บอกเรื่องนี้กับพี่รหัสปีสี่ของหล่อน แต่พอคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน หล่อนก็พอจะเข้าใจว่าเขาคงคุยกัน
‘อือ พี่ก็เลย...อยากโทร.มาบอก...’
“พี่โซ่บอกแล้วล่ะ ยังบอกให้มี่เลือกร้านเอาไว้เลย มี่ไม่รู้จะเลือกร้านอะไรดี พี่โซ่ชอบกินอะไรเหรอคะ”
‘กินอะไรก็ได้ น้องมี่อยากกินอะไรก็บอกมันแล้วกัน’ แล้วเสียงของปลายสายก็หายไปเหลือเพียงความเงียบ เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยกับความเงียบของรุ่นพี่ในสายรหัส ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
'น้องมี่...พี่ขอโทษนะ' ประโยคต่อมาของอลงกตทำเอาเด็กสาวนิ่ง รู้สึกมีอะไรบางอย่างทำให้ความสุขของหล่อนค่อยๆแห้งทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบอกตัวเองว่าไม่ใช่ มันคงไม่เกี่ยวอะไรกับความสุขที่หล่อนเฝ้ารอและจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
“พี่กตขอโทษมี่เรื่องอะไร”
‘พี่ไม่น่าให้มี่ได้เจอกับไอ้โซ่เลย’
“พี่กตหมายความว่ายังไง”
‘ไอ้โซ่น่ะ...มันไม่รู้ใจตัวเอง ที่มันนัดมี่กินข้าวพรุ่งนี้ เพราะพี่...เป็นคนแนะนำมัน...ทั้งๆที่พี่ไม่น่าทำแบบนี้’
“พี่กตจะพูดอะไร”
‘มันอยากรู้...ว่าที่รู้สึกกับอีกคนหนึ่ง...คืออะไร...’
มนทิชานิ่งไป คำว่า ‘อีกคนหนึ่ง’ ทำให้หล่อนหวนนึกถึงคำพูดของเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนที่พากันเล่าต่อกันมา
‘พี่โซ่ ไออาร์ ปีสี่’ มีคนจับจองแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ก็ตาม แต่คนทั้งคณะก็รู้กันทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้น...หล่อนก็ยังหวัง
“อีกคนที่ว่าหมายถึงเรื่องพี่โจ๊กใช่มั้ยคะ”
ความเงียบคือคำตอบเป็นอย่างดี เด็กสาวถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง หล่อนน่าจะรู้ดีว่าโอกาสที่หล่อนมีก็มีแค่โอกาสของรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้น หล่อนเกิดช้าเกินไป มาช้าเกินไป เป็นได้แค่รุ่นน้องของเขาเท่านั้นเอง
“...มี่ไม่อยากยอมรับเลย” หล่อนเอ่ยแล้วกัดริมฝีปากอย่างอัดอั้น
...ไม่อยากยอมรับ...ไม่อยากรับรู้...
“...แต่...ถ้าไม่ใช่พี่โจ๊กแล้วจะใคร...” เด็กสาวพึมพำ
หล่อนรู้แก่ใจ รู้...ว่าคนที่ควรได้อยู่ข้างๆสิตางศุ์คือเจียระไน คนที่หล่อนเองก็ไม่รู้ว่ามีดีอะไร แต่...ทุกครั้งที่หล่อนเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน สิตางศุ์ยิ้ม...ยิ้มทั้งตา ยิ้มทั้งปาก ยิ้มแบบที่...ไม่เคยมอบรอยยิ้มแบบนี้ให้ใคร
‘พี่ขอโทษ พี่ไม่ควรดึงมี่เข้ามา ถ้าจะโกรธ ก็โกรธพี่ แต่อย่าโกรธไอ้โซ่ มันทำเพราะมันบื้อ’
“อย่าว่าพี่โซ่สิ” แม้จะเจ็บ แต่พอคนอื่นมากล่าวหาสิตางศุ์ มนทิชาก็ต้องปกป้องกันบ้าง
“จริงๆแล้ว มี่...ก็พอจะได้ยินมาบ้าง พอพี่กตมาพูดแบบนี้ มี่ก็..เข้าใจ ไม่ต้องห่วงนะ มี่ไม่กล้าไปแย่งพี่โจ๊กหรอก”
‘พี่ไม่ได้กลัวว่ามี่จะไปแย่งไอ้โจ๊ก แต่…พี่ไม่อยากให้มี่คาดหวังมากกว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง’
แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่คำว่าสายรหัสกลับผูกพัน มนทิชาซาบซึ้งในความปรารถนาดีของรุ่นพี่หนุ่มรายนี้ เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ถึงขั้นโทร.มาเตือนสติของหล่อนด้วยตัวเขาเอง
“ขอบคุณค่ะพี่กต แต่ถ้า...พรุ่งนี้ มี่โทร.ไปหา รับสายมี่ด้วยนะ เผื่อมี่ร้องไห้อ่ะ”
ปลายสายเงียบไปอีกหน ก่อนจะตอบกลับมาแผ่วเบาอย่างเห็นใจ
‘ร้องตอนนี้เลยก็ได้นะ พี่ฟังได้’
แล้วหลังจากนั้น ระหว่างคนทั้งคู่ก็มีแค่เสียงสะอื้นเบาๆของเด็กสาววัยสิบแปดปี
...............................