ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #03
เวลาว่างหลังเลิกงาน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ดีนมักพกพาเจ้ากล้องมิลเลอร์เลสตัวโปรดออกไปหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานตามที่ต่าง ๆ แทนการนั่งดื่มกาแฟในร้านประจำ
นานทีปีหนจะได้มาปล่อยแก่ในย่านวัยรุ่นสักครั้งก็ไม่พลาดสังเกตวิถีชีวิตความเป็นไปของเด็กรุ่นหลัง รับรู้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้วว่าแตกต่างกับรุ่นเขาอยู่มากโข แต่ไม่คิดว่าสองสามปีมานี้จะมากกว่าที่เคยคิดไว้
แต่จะว่าไป วิถีชีวิตของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย นิตยสาร LIVE (ไลฟ์) ปักษ์หน้า เห็นทีต้องหยิบเรื่องนี้มาเป็นเมนหลักของเล่มเสียแล้ว
นิ้วเรียวยาวกดปุ่มชัตเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพราะเลือกโหมดเงียบที่เหมาะกับการถ่ายแนวสตรีทจึงไม่มีเสียงชัตเตอร์ดังรบกวนคนรอบข้างให้หงุดหงิดใจ
สองขาก้าวเดินเข้าซอยนั้นออกตรอกนี้ ยิ่งยามมืดค่ำแสงไฟจากตึกก็ยิ่งท้าทายคุณภาพของกล้อง ดีนไม่ใช่คนชอบรัวชัตเตอร์แบบไม่คิด ทุกครั้งที่กดปุ่มนั้นเพื่อเก็บภาพ เขาต้องมั่นใจแล้วว่ามันจะได้ภาพที่ดีที่สุด ตรงใจและไม่มีการลบทิ้งทีหลัง เพราะเคยชินกับการใช้กล้องฟิล์มมาก่อน ฟิล์มที่ถูกใช้แล้วใช้เลยลบภาพทิ้งไม่ได้ ทำให้มีเฉพาะภาพที่จำเป็นเท่านั้นที่ถูกบันทึกลงไป
หนุ่มลูกครึ่งสองซีกโลกแวะหาอาหารฟาสฟู้ดง่าย ๆ รองท้องก่อนเปลี่ยนเป้าหมายจากการเดินถ่ายรูปเล่นไปยังร้านขายหูฟังชื่อดังในย่านนี้ ระหว่างทางก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพไปด้วย จนเดินมาถึงร้านในเวลาที่ใกล้ปิดเต็มที
เขาชอบความเป็นส่วนตัวที่ไม่ต้องลงทุนเพื่อให้ได้มา เพราะตอนนี้เขานั่งลองหูฟังแบบต่าง ๆ อยู่ในร้านแบบส่วนตัวสุด ๆ ราวกับสั่งปิดร้านเพื่อบริการเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วเขาเพียงแค่มาเยือนในเวลาที่ผู้คนบางตาแล้วก็เท่านั้น
เพลงที่เขามักใช้ลองหูฟังใหม่ ๆ คือเพลง Closer ของ Travis เพลงที่ให้ความรู้สึกล่องลอยเหมือนคนเสพกัญชาหนัก ๆ ยิ่งโดยเฉพาะในท่อนหลังฮุคแรก ทั้งเสียงร้องและดนตรีเสริมกันจนชวนเคลิ้มฝัน ดีนปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์นานจนกระทั่งถูกทักทายจากคนคุ้นเคย
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับคุณดีน” ผู้จัดการร้านทักทายลูกค้าหนุ่มที่หายหน้าหายตาไปนาน นึกในใจว่าวันนี้แปลกนัก มีโอกาสได้ต้อนรับลูกค้าประจำรายเก่าถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน
ดีนยิ้มทักทายนำร่องไปก่อนเอ่ยหลังจากถอดหูฟังอินเอียร์ออกแล้ว “เมื่อครู่นี่เองครับ ว่าง ๆ เลยแวะมา”
“แล้วนี่มีใครเอาของใหม่ให้ลองรึยังครับ”
ดีนเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างฉงนก่อนจะแจ้งแก่ใจเมื่ออีกฝ่ายหันไปหยิบ ‘ของใหม่’ มายื่นให้
“แต่มันอาจไม่ถูกใจคนชอบฟังดนตรีอย่างคุณนักนะครับ”
ดีนยิ้มรับ แม้พอรู้ว่านับจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตน แต่ก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้
…อืม รู้ใจเหมือนเคย…
ตอนฟังแค่อินโทรก็พอไหวอยู่ ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่พอเสียงร้องดังขึ้นเท่านั้นแหละ ไม่ถูกใจเขาจริง ๆ อย่างที่ผู้จัดการร้านได้ออกตัวไว้
เขาชอบฟังดนตรีของเพลงมากกว่า หลายครั้งที่ไม่สนใจเนื้อเพลงว่ามันชวนเศร้า ดราม่าน้ำตาตกแค่ไหน ขอเพียงแค่ท่วงทำนองมันดึงดูดให้เขาสนใจได้มากพอ เขาก็พร้อมจะตกอยู่ในห้วงของเสียงเพลงแล้ว
ดีนฟังต่อเล็กน้อยจนจบท่อนฮุคของเพลงเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจคนที่อุตส่าห์นำมันมาเสนอให้ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาสนใจฟังเนื้อร้องทุกคำแบบนี้เพราะเจ้าหูฟังนี่ทั้งผลักทั้งดันเสียงนักร้องเข้าหูเขาเสียจริง
…เพิ่งรู้ว่าเพลงนี้แม่งโคตรดราม่า…
สิ่งหนึ่งที่ดีนเคยนึกแปลกใจตัวเองคือคนที่ไม่อินเรื่องความรักอย่างเขากลับเข้าใจอารมณ์ของเพลงว่าแบบไหนเรียกว่าเศร้าจนน้ำตาไหลได้ ทำไมถึงอินกับความเศร้าของเพลงได้มากกว่าการรับฟังเรื่องราวความรักของคนรอบข้าง คิดหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ไม่นานก็ได้ข้อสรุปที่ว่าอาจเป็นเพราะทักษะที่สั่งสมมาจากการเรียนคณะอักษรศาสตร์ที่ให้เขาต้องแยกแยะอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร เสียง หรือแม้แต่รูปภาพ สิ่งเหล่านั้นคงหล่อหลอมให้เขาเข้าถึงความลึกซึ้งที่ซ่อนในงานศิลป์ได้มากกว่าชีวิตจริง
ดีนถอดหูฟังออกแล้วยื่นคืนให้ผู้จัดการร้านที่ยืนยิ้มยินดีอยู่ข้าง ๆ “จริงอย่างที่คุณว่า เจ้านี่ไม่ตอบโจทย์ผมเท่าไหร่”
“มันคงเสียใจแย่ คุณเป็นคนแรกที่ปฏิเสธมันเลยนะครับ” ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ จนคนฟังร่วมผสมโรงไปด้วย “ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ มีลูกค้าประจำร้านผมคนหนึ่งมาลอง ไอ้เด็กนั่นพูดลั่นร้านอย่างถูกอกถูกใจว่าเจ๋งโคตร ช่างต่างกับคุณลิบลับ”
“ถ้าชอบเหมือนกันก็แย่งกันแย่สิครับ”
ผู้จัดการร้านปิดท้ายบทสนทนานั้นด้วยการบอกว่าเห็นด้วยกับความคิดนั้นก่อนจะปลีกตัวออกไปเพื่อให้ลูกค้าหนุ่มได้เสพสุขอยู่ในโลกส่วนตัวอีกครั้ง
DEAN @DEANada . 1s
เป็นคนชอบนั่งฟังเพลงในร้านขายหูฟัง ผจก.บอกว่ามีของใหม่ให้ลอง อืม เจ้านี่มันเน้นเสียงร้องไปหน่อย ผมชอบพวกเน้นเบสมากกว่า // แต่คุณคงชอบมันสินะ คำถามกว้าง ๆ ที่ไม่ระบุว่าหมายถึงใคร แต่เจ้าตัวรู้ดีว่ากำลังส่งคำถามนี้ไปถึงใครคนนั้นที่ผู้จัดการร้านเพิ่งพูดถึง ใครสักคนที่ไม่รู้นึกอย่างไรถึงได้เก็บมาคิดอยู่แบบนี้ ฟังจากคำบอกเล่าของผู้จัดการร้านและคุณสมบัติของเจ้าหูฟังสัญชาติอเมริกันนั่นแล้วก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายมีรสนิยมการฟังเพลงอย่างไร แต่ทำไมถึงต้องเก็บมาคิดจนไม่เป็นอันสนใจท่วงทำนองของเพลงโปรดที่เสียงเบสกำลังกระหึ่มได้ที่
เมื่อไม่มีสมาธิจะสนใจฟัง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจบอกลาทุกคนแล้วออกจากร้านไปก่อนทั้งที่ตั้งใจว่าจะนั่งจนร้านปิด
.
.
.
ทั้งที่ควรจะรีบนอนพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้มีประชุมหัวข้อหลักของนิตยสารประจำเดือนหน้าตั้งแต่เช้า แต่ดีนยังมีกะใจไล่ดูรูปที่ถ่ายมาวันนี้ กดเลื่อนดูไปเรื่อยจนหมดแล้วย้อนดูอีกครั้ง ตั้งใจจะสรรหารูปที่ชอบที่สุดของวันมาอัพอินสตาแกรมเพื่อเก็บเป็นบันทึกเรื่องราวประจำวัน งานนี้หวยออกที่รูปคนเดินสวนกันตรงทางม้าลายที่ใช้ข้ามถนนเส้นเล็ก ๆ ในตอนที่เขากำลังมุ่งหน้าไปร้านขายหูฟัง
โพสลงไปแล้วยังนั่งจ้องมองคนในภาพด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
…คุ้นเคย…
เด็กวัยรุ่นเชิ้ตขาวกางเกงสแล็คดำที่ดูอย่างไรก็น่าจะเป็นชุดนักศึกษาเดินผ่านกล้องของเขาไป มันแปลกตรงที่เขากำลังรู้สึกคุ้นเคยคนในภาพทั้งที่ถ่ายไม่ติดหน้าเขามาด้วยซ้ำ ด้านข้างแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเคยเห็น แต่ทำไมความรู้สึกนี้ถึงได้ติดค้างอยู่ในใจ
ดีนตัดใจปิดหน้าจอ โยนมันทิ้งไว้ไม่ไกลตัวนักก่อนหลับตาลงพร้อมความรู้สึกที่ยังคาใจ หากไม่ติดว่าตนต้องมีสมองปลอดโปร่งไปสู้รบกับทีมงานทุกคนในวันพรุ่งนี้ เขาก็จะรื้อรูปที่เคยถ่ายทั้งหมดออกมาดูให้กระจ่างแก่ใจเสียเดี๋ยวนี้
.
.
.
“ถ้าพร้อมกันแล้วก็เปิดประชุมเลยนะครับ”
คนที่นั่งเป็นประธานการประชุมในวันนี้คือดีน หากครั้งไหนที่เป็นการประชุมเรื่องงาน เขาก็จะใหญ่สุดในฐานะบรรณาธิการ แต่หากเป็นการประชุมบอร์ดบริหาร พี่ชายเขาจะเป็นคนนั่งตำแหน่งนั้นแทน
ดีนไม่สนใจงานบริหาร เขายกหน้าที่นั้นให้พี่ชายอย่างไม่อิดออด ด้วยเพราะชอบการลงลุยงานมากกว่ามองภาพรวมจากมุมสูงเหมือนนกอินทรี อีกทั้งยังเข็ดขยาดกับตัวเลขมหาศาลที่พาลให้ปวดหัว แต่นั่นก็ไม่น่าสะอิดสะเอียดเท่ากับการที่ต้องทำงานศิลปะที่รักควบคู่กับการคำนึงถึงการตลาด
…โลกของธุรกิจคือปีศาจตัวร้ายที่คอยทำลายจินตนาการของนักสร้างสรรค์...
“เราได้เมนหลักของเดือนหน้าแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มไฟแรงคนหนึ่งในสังกัดของว่าที่พี่สะใภ้ที่เขาจำชื่อไม่ได้เกริ่นนำขึ้นมา
“อืม เดือนแห่งความรัก หวังว่าเมนของเล่มคงไกลจากความรักนะ” ดีนพูดดักคอจนอีกฝ่ายลอบกลืนน้ำลาย หันมองหัวหน้าทีมอย่างต้องการความช่วยเหลือ ทว่าหญิงสาวที่ยังปั้นหน้านิ่งตั้งแต่เข้ามากลับไปยอมปริปากพูดอะไร
“แต่เดือนแห่งความรัก เราก็ต้องยกความรักมาพูดถึงนะครับ อีกอย่าง ก็ถือเป็นการฉลองที่ความรักของท่านประธานกับพี่ดาวสุกงอมเต็มที่จนลั่นระฆังวิวาห์ด้วย”
“เวิ่นเว้อ”
คล้ายเป็นการประกาศเจตนากลาย ๆ ว่าตนไม่ยินดีกับงานแต่งของคนทั้งคู่สักเท่าไหร่จนเพื่อนสาวคนสนิทที่นั่งข้างกันต้องเตะขาเตือนสติ
ดีนไม่ใส่ใจ ไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้ง แม้อาจทำให้หญิงสาวที่นั่งชูคอด้วยใบหน้าเรียบตึงนั่นเสียหน้าไปบ้างก็ตาม “นิตยสารหัวไหน ๆ ก็คงทำเรื่องความรัก เราจำเป็นจะต้องไปตามกระแสด้วยรึไง”
“แต่เราจะนำเสนอในมุมที่แตกต่างตามแบบฉบับของเรา รวมถึงนำเสนอเรื่องราวความรักของท่านประธานซึ่งสังคมกำลังจับตามอง มีแต่คนอยากรู้ ยังไงก็ต้องได้รับความสนใจที่ดีแน่ครับ”
“คิดว่านี่เป็นไอเดียที่ดีแล้วเหรอ” คราวนี้ชายหนุ่มตั้งใจส่งคำถามไปให้คนเป็นหัวหน้าแผนกแทนลูกน้อง ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่กับการไม่รักษาน้ำใจกันต่อหน้าทีมงานทั้งหมด เพราะดีนถือว่าการถกเถียงเรื่องงานให้จบในที่ประชุมย่อมดีกว่าการเก็บความไม่พอใจไปก่อให้เกิดความบาดหมางนอกรอบ
ดาวหันมามองสบ นัยน์ตาเรียบเฉยไม่แพ้อีกฝ่าย “ขอโทษที่อาจไม่ถูกใจบอกอนะคะ เพียงแต่ทีมของฉันเห็นพ้องต้องกันว่าน่าทำ ฉันก็เลยให้พวกเขาลองเสนอคุณดู”
“ไม่มีความสามารถพอจะห้ามลูกน้องเหรอ”
“ปากหมา” ผิงที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยตำหนิเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคน แม้ว่าจะมีคนอ่านปากเธอได้ แต่ก็ไม่ถือเป็นการหักหน้า ‘เจ้านาย’ มากนัก
“เอ่อ คิดไตร่ตรองกันไปก่อนนะคะ ผิงขอตัวบอกอไปปรับทัศนคติสักครู่” กล่าวจบแล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงคนตัวโตออกจากห้องโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจสักนิด ห้องประชุมเล็กที่อยู่ติดกันคือสถานที่ ‘ปรับทัศนคติ’ ที่ผิงเลือก
“เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย” ผิงถามอย่างอ่อนใจหลังจากที่ดันอีกฝ่ายเข้ามาในห้องด้วยกันพร้อมปิดล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว
ดีนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนผิดกับอารมณ์คนที่กำลังยืนต่อว่าอยู่ตรงหน้า “ฉันยังไม่ได้ใช้อารมณ์เลยสักนิด เหตุผลล้วน ๆ”
“เหตุผลกวนประสาทน่ะสิ”
“แล้วเธอคิดว่าไอ้ไลฟ์ฉบับเลิฟนั่นมันดีพอเหรอวะ กุมภาฯทีไรก็เล่นเรื่องความรักทุกที น่าเบื่อ”
ผิงจะไม่อะไรเลยถ้าหากคำปิดท้ายนั้นไม่ใส่อารมณ์ตามคำพูดมาเต็มที่จนอดกลอกตามองบนทีล่างทีไม่ได้ หมั่นไส้พ่อคนไม่อินเรื่องความรักเหลือประมาณ “ก็เพราะว่าเป็นกุมภาฯไง เรื่องความรักมันถึงได้น่าสนใจ ถึงจะมีทุกปี แต่ก็ใช่ว่าเราจะทำออกมาเหมือนกันซะหน่อย”
“ไม่เหมือน เพราะเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวของประธานบริหารกับหัวหน้าคอลัมนิสต์น่ะเหรอ ที่ฉันห้ามก็เพราะหวังดีหรอกนะ กลัวว่าตีพิมพ์ไปแล้วสุดท้ายไม่ได้แต่ง จะอายไปมากกว่านี้”
“ปากเสีย!” แม้จะด่าเพื่อน แต่ก็ทำให้ผิงเอะใจอยู่เหมือนกัน ปกติแล้วดาวก็ไม่ใช่คนชอบเอาความรักมาป่าวประกาศ นึกสงสัยในคราแรกว่าทำไมถึงยอมให้ลูกน้องในทีมนำเรื่องของเธอมาเขียนเป็นเมนของเล่ม อาจเป็นเพราะเจ้าตัวยังไม่อยากให้ใครรู้ว่างานวิวาห์ของเธอมีโอกาศล่มสูงขนาดไหนก็เป็นได้
“แต่ก็ได้ข่าวมาว่าเด็กมันวางคอนเซ็ปต์แต่ละคอลัมน์ไว้หมดแล้วนะ”
“เด็ก?”
“อือ เด็กฝึกงานแผนกพี่ดาวไง เจ้าของไอเดียนี้”
“เหอะ! เด็กนั่นอินเลิฟรึไงหรือคิดว่าการเกาะกระแสข่าวสังคมจะช่วยให้หนังสือดังได้”
“พาล”
“…?”
“นายไม่มีความรักก็อย่าขวางโลก ไว้นายเจอคนที่ทำให้รู้จักความรักเมื่อไหร่ ขี้คร้านจะออกไลฟ์ฉบับเลิฟทุกเดือน”
“เหอะ! ไม่มีทาง”
บทสรุปของการประชุมในวันนี้คือดีนต้องยอมอ่อนให้กับทีมคอลัมน์ แม้ธีมหลักของเล่มจะผ่านด้วยความฝืนใจเต็มที แต่ดีนก็ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว ผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดทำให้การบ้านฝ่ายนั้นไปคิดออกแบบทั้งเล่มมานำเสนอในวันจันทร์หน้าซึ่งเหลือเวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น หากครั้งนี้ไม่ถูกใจ คงไม่ยอมให้ไลฟ์ฉบับเลิฟเกิดขึ้นแน่นอน!
。。。。。
คืนวันอาทิตย์ที่อาจจะหนักหน่วงสำหรับทีมคอลัมน์แต่ไม่ใช่สำหรับบรรณาธิการหนุ่มหล่อ เพราะเขามีนัดนั่งชิลกับเพื่อนสมัยมัธยมที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง
มองไปรอบร้าน ก็พบว่าบรรยากาศดีทีเดียว ร้านนี้เพื่อนที่ชื่อธันวาเป็นคนนัด ได้ยินมาว่าเป็นร้านของเพื่อนของบอมพ์ คนที่ธันวาเคยแนะนำให้รู้จักสมัยเรียนแล้วบอกว่าพ่อมันเป็นแพทย์ประจำตระกูลเขา หย่อนก้นลงนั่งแล้วก็มองคู่รักที่ความรักไม่เคยจืดจางตามกาลเวลาฝั่งตรงข้ามด้วยความหมั่นไส้ จริง ๆ ก็มองตั้งแต่เห็นระยะไกลแล้ว ผู้ชายคนนั้นวางแขนพาดเก้าอี้เพื่อนของเขาแสดงความเป็นเจ้าของออกนอกหน้าสะดุดตาเสียอย่างนั้น
“ถ้ารู้ว่ามึงพาแฟนมาด้วย กูจะไม่มา”
“เพื่อนมึงวอนส้นตีนกู”
“อย่าถือสาดีนดิพี่แรม” หนุ่มน่ารักที่สุดในกลุ่มนามว่าธันวาหันไปมองค้อนไอ้พี่แรมอย่างน่ารัก เออ มันน่ารัก แต่ไม่ถึงกับสาว ธันวาก็เป็นผู้ชายแมน ๆ เป็นคนหล่อที่ได้แฟนหล่อกว่า ได้กันไปได้กันมาก็ชักจะกลายเป็นหนุ่มหน้าตาน่ารักขึ้นทุกวัน ส่วนไอ้พี่แรมของมันก็เป็นผู้ชายที่เท่ฉิบหาย เท่จนน่าหมั่นไส้ คนอะไรจะเท่ทั้งภาพลักษณ์ทั้งความคิด แถมสองคนนี้ยังเป็นหมอด้วยกันทั้งคู่อีก
“มึงก็วอนตีนจริงอย่างที่พี่แรมว่านั่นแหละไอ้ดีน ไม่มีอะไรก็ทำให้มันมีขึ้นมาได้นะไอ้ห่า”
ดีนไหวไหล่ ไม่สนใจ รับแก้วที่เพื่อนชงให้มาดื่มอย่างสบายใจ เพื่อนกลุ่มนี้คือเพื่อนที่สนิทตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม มีสมาชิกกันทั้งหมดหกคน สองในหกเป็นหมอ นอกจากธันวาคนน่ารักก็มีไอ้เก่งอีกคน ไอ้นี่มันเก่งสมชื่อ เป็นที่พึ่งพาของเพื่อนได้ทุกเรื่องจริง ๆ ส่วนคนที่ชงเหล้าให้เขาเมื่อครู่นี้ชื่อทีม หมอนี่ชงเหล้าเก่งชนิดที่ถูกใจเพื่อนทุกคน อีกสองคนเป็นแฝดนรก คนหนึ่งโอม คนหนึ่งนะโม แม่มันตั้งชื่อตามคำขึ้นต้นบทสวด มาหมดทั้งพุทธทั้งพราหมณ์ แม่คงหวังให้ลูกขึ้นสวรรค์ แต่พวกมันไม่มีศาสนาในจิตใจ วัน ๆ คิดแต่เรื่องลงนรก
ดื่มเหล้าพลางฟังเพลงบ้างฟังเพื่อนพูดบ้าง สายตาก็มองสำรวจไปทั่วร้านตามประสาคนช่างหาแรงบันดาลใจในต่างที่ บางมุมเห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากร้านเปิดตอนกลางวัน เขาคงต้องหาเวลาสักสองสามชั่วโมงมาหมกตัวอยู่ที่นี่
มองไล่ไปทั่วก่อนมาหยุดสายตาที่คู่รักตรงหน้า สองคนนั้นก็ไม่ได้พลอดรักอะไรกันนัก ธันวาไม่ใช่คนชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าเพื่อนฝูง แต่ทั้งที่นั่งข้างกันเฉย ๆ แบบนั้น ทำไมถึงรู้สึกได้ถึงความรักที่แผ่กระจายออกมา
และสงสัยจะเพราะว่าจ้องนานเกินไป แขนแกร่งที่เคยวางพาดเก้าอี้ถึงได้เลื่อนขึ้นมาคล้องคอคนข้าง ๆ
ดีนหัวเราะหึ
...ยังไม่เลิกหวงอีกเหรอ…
“ไอ้ดีน มึงมองพวกมันทำไมวะ ไอ้พี่แรมจะแดกหัวมึงอยู่ละ” มือชงของกลุ่มสะกิดถามอย่างหวาดกลัว
ใคร ๆ ก็กลัวแรมกันทั้งนั้น จะมีก็แต่ดีนที่ไม่สนใจอะไร หนำซ้ำยังกล้ากวนประสาทอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง
“ไอ้ธันว์…ทำไมมึงถึงยังคบกับเขาวะ”
“ไอ้ห่า!” เพื่อนฝูงรอบวงพร้อมใจกันสรรเสริญความกล้าของเขา แต่ดีนไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะหวาดหวั่นกับอารมณ์คุกรุ่นของคนที่ถูดพาดพิงเลยสักนิด
“ถามอะไรของมึงไอ้ดีน ไอ้ห่านี่ไม่เคยตายจริง ๆ ด้วยสินะ” เก่ง คนที่สนิทสนมกับแรมมากกว่าเพื่อนคนอื่นของธันวาเอ่ยเตือนอย่างหวาดกลัวตามประสาคนในวงการเดียวกัน รู้จักมักคุ้นกันมาเนิ่นนาน
“ผิดตรงไหน กูไม่ได้ถามว่าเมื่อไหร่มันจะเลิกกันสักหน่อย”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ!!” สี่เสียงประสานกัน ขณะที่คู่รักที่ตกเป็นประเด็นยังคงเงียบ ฝ่ายเพื่อนเขานั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งคอยปรามคนรักไม่ให้ลุกพรวดไปเอาเรื่องเพื่อนสนิท ทั้งคอยส่งสายตาให้เพื่อนหยุดพูดในสิ่งที่ชวนให้บรรยากาศมันแย่ไปมากกว่านี้
…ทว่าดีนก็ยังคงเป็นดีน…สงสัยอะไรก็ถาม...
“มันคนละเจตนาเว้ย ถ้าถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกกัน มันเนกาทีฟ เหมือนกูไม่พอใจที่พวกมันคบกัน อยากให้เลิกกันเร็ว ๆ แต่ที่ถามว่าทำไมยังคบกันเพราะกูอยากรู้ความรู้สึกของมันเว้ย อยากรู้ว่าทำไมถึงคบกันได้นานขนาดนี้”
“เออ เอากับมัน ไอ้บอกอขี้สงสัย” โอมถึงกับปลงตก ยกมือกุมขมับ เดือดร้อนแฝดน้องต้องช่วยนวดคลึงให้
“ก็รัก…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเรียกทุกคนให้หันไปมองกันเป็นตาเดียว ธันวาตอนนี้สองแก้มแดงซ่านด้วยความขวยเขิน “กูรักพี่แรม พี่แรมรักกู”
แรมเลื่อนมือข้างที่พาดคอขาวขึ้นอีกระดับ จนตอนนี้มันวางแหมะและลูบเส้นผมของคนรักด้วยความเอ็นดู
“ง่าย ๆ แค่นั้นเหรอ”
“มันไม่ง่ายหรอกนะดีน”
“แล้วทำไมฟังดูง่าย”
“กูจะอธิบายยังไงดีวะ” ธันวาขยี้หัวด้วยความสับสน “กูไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงนะ แต่สำหรับกู มันเลยจุดที่รักกันหวือหวาแล้ว ความหวานมันก็ยังมีอยู่ตามประสาคนรักกัน แต่ที่เพิ่มมาคือมันเป็นความรู้สึกที่เราอยากใช้ชีวิตในทุกห้วงขณะไปกับเขาอ่ะ มึงเข้าใจไหม”
“ทุกห้วงขณะเลยเหรอ”
“กูไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลานะ แต่หมายถึงว่าเราพร้อมจะแชร์ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตกับเขาคนนี้ ทั้งเรื่องของเราและเรื่องของเขา เราอยากให้ทุก ๆ วันของเรามีเขาอยู่ด้วยกัน บางเรื่องไม่ต้องพูดไม่ต้องเล่าให้ฟังกันก็ได้ แค่เขานั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ดีต่อใจแล้ว ความรักมันไม่มีนิยามตายตัวหรอก พี่แรมเองก็ยังคิดไม่เหมือนกูเลยด้วยซ้ำ วันหนึ่งเมื่อมึงมีความรัก มีใครสักคนที่ทำให้รู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยกันแบบคู่ชีวิต มึงอาจจะรู้สึกต่างหรือเหมือนกันกับกูก็ได้”
“กูจะพยายามเข้าใจ”
“กูไม่แปลกใจเลยทำไมมึงถึงไม่เคยมีแฟน” คราวนี้แรมเอ่ยออกมาบ้าง “อย่าโทษว่าเพราะปากหมาเลยไม่มีใครชอบนะ เพื่อนมึงก็ปากหมากันทั้งนั้น กูเองก็ปากหมา ยังมีแฟนเลย”
“ที่มันไม่มีก็เพราะว่ามันเลือกต่างหากล่ะพี่” เก่งแย้งแทนเพื่อน เพราะเป็นที่รู้กันว่าไม่ว่าใครเข้าหาดีนมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยเล่นด้วยสักราย
“มึงจะด่าว่ากูไม่เลือก?”
“ปะ เปล่านะพี่” เก่งยกมือโบกพัลวันก่อนที่ธันวาจะพาลโมโหไปอีกคน “แต่ไอ้ดีนมันรอพรหมลิขิต”
“กูไม่เชื่อในพรหมลิขิต”
“เอากับมันสิวะ” คราวนี้โอมต้องเป็นฝ่ายนวดขมับให้แฝดน้องบ้างแล้ว
“กูแค่เชื่อในเรื่องของเวลาที่เหมาะสม”
“เออ ไอ้ห่า ฟังมึงพูดแล้วพวกกูปวดหัวฉิบหาย” ทีมบ่นก่อนจะซดเหล้าที่เริ่มจืดจนหมดแก้ว
“หมายถึงผิง?” ธันวาเลิกคิ้วถาม
“เกี่ยวอะไรกับผิงวะ นั่นของกูนะเว้ย” ไอ้คนติ๊ต่างว่าเขาเป็นของตัวร้องโวยวายใหญ่
“เขาไม่ชอบมึงหรอก เลิกโง่เถอะไอ้เก่ง” นะโมตบหัวเพื่อนไปหนึ่งฉาด เทียวไล้เทียวขื่อตั้งแต่เจอกันครั้งแรกตอนปีหนึ่งที่ยกโขยงกันไปหาดีนที่คณะ แต่ก็อย่างที่นะโมว่า เก่งไม่เคยอยู่ในสายตาเธอเลย
“ผิงไม่ได้ชอบกู กูก็ไม่ได้ชอบผิง”
“มึงแน่ใจเหรอวะ” คราวนี้แฝดพี่ถามย้ำ
“กูไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องของเพื่อนมาป่าวประกาศ”
“หมายความว่ากูยังมีสิทธิ” เก่งยืดตัวพูดอย่างมีหวัง
“มึงยังหวังอยู่อีกเหรอไอ้หมอควาย!”
“สัด กูรักษาคน”
หลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยสังสรรตามประสาเพื่อนฝูงจนไม่มีใครทันได้สังเกตคนที่เงียบไปอย่างดีนนอกจากคู่รักตัวอย่างของกลุ่ม แรมลูบไหล่คนรักด้วยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเพื่อน ขณะที่ดีนกำลังครุ่นคิดถึงคำตอบของธันวา คิดตรึกตรองอยู่นานก็ยึดเป็นข้อสรุปให้กับทุกคู่รักที่ตัดสินใจอยู่ด้วยกัน
In reply to DEAN
DEAN @DEANada 4s
@DEANada คงเป็นเพราะอยากอยู่เคียงข้างกันในทุก ๆ วัน #เหรอวะดีนละจากหน้าจอหลังจากรัวนิ้วพิมพ์ตอบทวีตของตัวเองเมื่อหลายวันก่อน ใบหน้าที่เป็นส่วนผสมของสามเชื้อชาติอย่างลงตัวเงยขึ้นในจังหวะที่เพลงโปรดของใครหลายคนดังขึ้น ก็คงจะโปรดจริง เพราะคนเกือบทั้งร้านพร้อมใจกันเปล่งเสียงร้องเนื้อเพลงท่อนแรกไปพร้อมกับนักร้องบนเวที
‘ฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้ตื่นมาพร้อมเธอ อีกครั้ง’ให้ตายเถอะ! มองไปทางไหนก็เห็นคู่รักหันหน้าเข้าหากันพลอดรักกันหวานซึ้งจนต้องเบือนหน้าหนี แต่ก็ดันมาพบกับคู่รักในกลุ่มเสียได้ เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เห็นธันวาในโหมดอ้อนแฟนแบบนี้
‘คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีโอกาสถึงวันไหน’ธันวาเอียงคอจนศีรษะอิงซบลาดไหล่คนรักถู ๆ ไถ ๆ ท่าทางเหมือนลูกแมวอ้อนเจ้าของ อีกฝ่ายก็ลูกผมธันวาอย่างแสนรักแสนหวง นัยน์ตาที่เพื่อนเขาบอกว่าดุและพากันกลัวจ้องมองธันวาด้วยสเน่หาเต็มเปี่ยม
‘อยากจะบอกว่ารัก ฉันรักเธอ อยากจะบอกให้รู้ ให้เข้าใจ เผื่อฉันไม่มีโอกาสบอกเธออีกต่อไป ให้เธอจำคำ ๆ นี้เอาไว้’‘…ว่าฉันรักเธอ’
ให้ตายเถอะ! ทำไมเขาต้องนั่งจ้องสองคนนั้นพลอดรักกันจนอ่านปากเพื่อนผู้น่ารักได้เป็นประโยคชวนเลี่ยนนั่นด้วย
DEAN @DEANada . 1s
ฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้ตื่นมาพร้อมเธอ อีกครั้ง // นี่สินะความรู้สึกของคู่รักที่(ยัง)อยากอยู่ด้วยกัน TBC.
-------------------------------------------------
การที่คน 2 คน จะโคจรมาพบกันนั้นไม่ง่าย
เป็นกำลังใจให้ดีนกับรณณ์ด้วยนะคะ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์