บทที่ 16 ชาตินี้..
เขารู้สึกอบอุ่น..
รู้สึกอบอุ่นราวกับกำลังถูกใครบางคนโอบกอด อ้อมกอดที่เขามักเก็บไปนอนฝัน อ้อมกอดที่เขาโหยหา อ้อมกอดของหย่งเซิง..
แต่เขาตายไปแล้ว..
ตายอย่างมีความสุข.. เพราะมีหย่งเซิงอยู่เคียงข้าง..
ที่แท้โลกหลังความตายก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด..
เขาทั้งรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน จนเขารู้สึกสงสัย..
เขาตายแล้วจริงหรือ เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงต้นไผ่ที่แสนคุ้นเคย..
ป่าไผ่..
ในขณะที่เขากำลังพยายามเงี่ยหูฟังเสียงต้นไม้ อยู่ๆความอบอุ่นที่โอบล้อมตัวเขาก็ค่อยๆถอนตัวออกไปจนเขาต้องรีบคว้าความอบอุ่นนั้นไว้อย่างหวงแหน
ชั่วขณะที่ความอบอุ่นถอนตัวไปเขารู้สึกใจหายคล้ายกับกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญ มันทำให้เขาหวาดผวา
เจ้าความอบอุ่นนั้นชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมกลับมาโอบกอดเขาเหมือนเดิมจนเขาต้องเป็นฝ่ายกอดมันไว้แน่น
ข้าพึ่งถูกหย่งเซิงสะบั้นรักเจ้าก็จะมาผละจากข้าไปอีกหรือ..
เขาอดพร่ำเพ้อในใจไม่ได้ ใครจะรู้ว่าแม้แต่ในโลกหลังความตายเช่นนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด เขานึกว่าหากตายไปแล้วจะไม่เจ็บปวดเสียอีก
หย่งเซิงเจ้าจะมีอิทธิพลต่อหัวใจเราไปถึงชาติหน้าจริงหรือ..
อยู่ๆเขาก็รู้สึกอุ่นวาบที่ศีรษะ เจ้าตัวอบอุ่นนี้กำลังปลอบโยนเขาหรือ อ่า.. ชักอยากจะร้องไห้เสียแล้ว
“ท่านน้ายังไม่ฟื้นหรือ”
เสียงของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดังเข้ามาในหัว
“ยังพ่ะย่ะค่ะ.. แต่คงอีกไม่นาน” เสียงทุ้มแฝงความรักใคร่เอ็นดูอย่างปิดไม่มิดทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าเสียงของเด็กหนุ่มคนเมื่อกี้
เสียงนี้.. ช่างคุ้นเคย
“งั้นหรือ.. ความจริงท่านมิต้องมากพิธีกับข้าเช่นนั้น” เสียงของเด็กหนุ่มแฝงความขบขันไม่น้อย
“ฝ่าบาทควรจะทำตัวให้ชินเสียพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของเสียงทุ้มดูจะไม่ค่อยสนใจน้ำเสียงขบขันของเด็กหนุ่มเท่าไรนัก “แล้วออกมาจากวังหลวงเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาชอบเสียงทุ้มนี้เหลือเกิน
“ท่านไม่ต้องห่วง วิชาตัวเบานี้ข้าฝึกมาตั้งแต่เด็ก” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“กระหม่อมหมายถึงท่านหมอหลวงประจำตัวพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“.. เพ่ยหลินไม่รู้หรอก” เสียงของเด็กฟังดูลังเลเล็กน้อย
เพ่ยหลิน..?
เหตุใดชื่อของเพ่ยหลินจึงมาปรากฏในโลกหลังความตาย
“หากฝ่าบาทเสด็จมาที่นี้บ่อยเช่นนี้กระหม่อมอาจจะต้องเป็นคนไปบอกเอง”
“หากข้าไม่มาด้วยตนเองท่านก็มิยอมส่งข่าวไปที่วังอยู่ดี” เสียงของเด็กหนุ่มกดต่ำอย่างมีโทสะ
“หากมีโอกาสที่ความจะแตกแม้เพียงสักนิด กระหม่อมจะไม่ขอเสี่ยงพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเองก็ขู่ขวัญไม่แพ้กัน ความอบอุ่นที่วางทาบอยู่บนศีรษะของเขาหายไปแล้ว
“แต่คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือน้าของข้านะ ท่านหย่งเซิง” เสียงของเด็กหนุ่มดังใกล้เข้ามา
หย่งเซิง?
จะเป็นไปได้อย่างไร มิใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ
ความอบอุ่นที่อยู่รอบตัวมลายหายไป เหลือไว้เพียงความหนักอึ้งของศีรษะ เขาพยายามลืมตา ในลำคอรู้สึกแห้งผากร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง
ความทรมานนี้เจ็บปวดคล้ายกับตอนมีชีวิตอยู่
“ตอนนี้อาเจิ้งเป็นของข้าแล้ว”
อาเจิ้ง..
เสียงทุ้มที่เขาคิดถึงกำลังเรียกชื่อของเขา..
หัวใจที่เคยหยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงเต้นของหัวใจและเสียงทุ้มของใครอีกคน
สรรพสิ่งรอบข้างเริ่มชัดเจนขึ้นในความรู้สึก เสียงของต้นไผ่ กลิ่นของป่า ความอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย..
“.. หย่.. เซิง..” แสงสว่างวาบเข้ามาในดวงตาจนอดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้ เสียงของเขาแหบแห้งราวกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาแรมเดือน ในคอรู้สึกแห้งผาก ร่างกายหนักอึ้งไปเสียทุกส่วน
“อาเจิ้ง!”
“ท่านน้า!”
น้ำเสียงร้อนรนระคนดีใจสองเสียงดังเข้ามาใกล้จนเขาต้องฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก เขาอยากจะมั่นใจ ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
ที่นี้ต้องไม่ใช่ตำหนักบรรทมที่แสนน่ากลัว
ที่นี้ต้องไม่ใช่วังหลวงที่แสนเน่าเฟะ
ที่นี้ต้องไม่มีสายตาผู้คนคอยจับผิด
เขาไม่ได้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด
เขาไม่ได้กำลังถูกโซ่ตรวนที่ชื่อว่าฮ่องเต้ล่ามคออยู่
เขาไม่ได้กำลังมีชีวิตอยู่..
ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนสองคนฉายชัดในดวงตา
หย่งเซิง.. เหวินอี้..
เหวินเจิ้งดวงตาเบิกโพรงมองใบหน้าของคนทั้งสองสลับไปมา ในหัวสับสนวุ่นวายราวกับพึ่งโดนทุบด้วยของแข็ง ก่อนจะจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงที่บัดนี้นัยน์ตาดำสนิทฉายชัดไปด้วยความเป็นห่วง กังวลระคนโล่งใจ หลากหลายความรู้สึกปะปนกันจนเขามึนงง
“เจ้า.. ไม่ได้.. ฆ่า.. เรา” เหวินเจิ้งเค้นเสียงอย่างโกรธเคือง แม้หัวใจจะอ่อนยวบไปแล้วหกส่วนทันทีที่เห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอีกฝ่าย
แต่ความผิดหวังที่ว่าเขายังคงเป็นฮ่องเต้เหวินเจิ้งยังมีมากกว่า ทั้งที่เขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้วแท้ๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่ต้องกลับไปนั่งบนบัลลังก์ที่น่าขยะแขยงนั้นแล้วแท้ๆ
“.. เจ้า.. สนุกนัก.. หรือ..” ที่มาล้อเล่นกับความรู้สึกของข้า เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว เขารู้สึกเหนื่อย.. แต่กลับไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา
ตอนนี้ร่างกายเขาขยับไม่ได้ทำได้เพียงจ้องหน้าของคนที่ทำให้เขาทั้งรักทั้งผิดหวัง
“เอ่อ.. ข้าออกไปรอข้างนอกนะท่านน้า” เหวินอี้รู้สึกกระอักกระอวนจนไม่กล้าอยู่ต่อ เขาเองก็ถือว่ามีส่วนรู้เห็นกับแผนการในครั้งนี้ ดังนั้นปล่อยให้หย่งเซิงแก้ปัญหาไปก่อน จากนั้นเขาค่อยมาสมทบจะดีกว่า
หย่งเซิงไม่สนใจเหวินอี้ที่แอบย่องออกไป เพียงเดินไปหยิบน้ำแกงไก่อุ่นๆบนโต๊ะก่อนจะกลับมานั่งที่ข้างเตียง
“ดื่มเสีย ท่านมิได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว” หย่งเซิงเอ่ยพลางอุ้มเหวินเจิ้งให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอาหมอนไปรองไว้ที่แผ่นหลัง
เหวินเจิ้งแม้จะรู้สึกเจ็บใจแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืน เขาในตอนนี้ไร้สิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว
“.. เจ้าไม่ตอบ.. คำถาม.. เรา” เหวินเจิ้งไม่สนใจช้อนที่ยื่นมาจ่อปาก สายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าที่เขาหลงใหลอย่างผิดหวัง
หย่งเซิงมองดวงตาดำขลับที่แดงก่ำไปด้วยแรงอาฆาตแค้นระคนผิดหวังท้อแท้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ดื้อดึงแค่ไหนเขาเองรู้ดีแก่ใจ หากเขาไม่ตอบเหวินเจิ้งก็คงไม่ยอมดื่มแน่ ทั้งที่ทรมานขนาดนี้แท้ๆยังไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ
“ข้ามิได้วางยาพิษท่าน สิ่งที่อยู่ในสุราวันนั้นคือยาจำศีล” หย่งเซิงเว้นระยะให้เหวินเจิ้งทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด เขารู้ดีว่าเหวินเจิ้งในสภาพนี้คิดอ่านได้ช้านัก “มันจะทำให้ท่านค่อยๆอ่อนแรงลงจนหยุดหายใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานท่านก็จะฟื้น หากตรวจจับชีพจรแม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังคิดว่าท่านต้องยาพิษ”
ยาจำศีล..
หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดข้าถึงมีอาการเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับต้องยาพิษเล่า
“เพราะท่านฟื้นต้านพิษไม่ยอมหลับยอมนอนยาจึงถูกกระตุ้นให้แสดงผลรุนแรงขึ้น” หย่งเซิงตอบคำถามราวกับอ่านใจได้ เดิมทียาจำศีลจะทำให้ผู้ดื่มยาต้องอยู่ในสภาวะอ่อนแรงจนไม่แรงขยับตัวและหลับใหลในที่สุด
แต่เป็นเพราะเหวินเจิ้งไม่ยอมนอนทั้งยังใช้กำลังภายในแอบลอบออกมาจากวังทำให้ยาจำศีลถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง โชคดีที่ผลของยาอยู่ไม่เช่นนั้นยาจำศีลอาจจะกลายเป็นยาพิษไปจริงๆ..
“.. เจ้า.. ทำแบบนี้ทำไม..” ดวงตาดำขลับฉายแววสับสน จนหย่งเซิงใจอ่อนยวบมือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าซีดเซียวของเหวินเจิ้งอย่างแผ่วเบา
“ข้ามิอาจสูญเสียท่านไปได้” เหวิงเจิ้งมองเข้าไปในดวงตาดำสนิทที่ฉายแววเจ็บปวด “ข้าสังหารฮ่องเต้เหวินเจิ้งไปในชาติที่แล้ว ดังนั้นชีวิตในชาตินี้ของท่าน.. อาเจิ้ง จงเป็นของข้าเถิด”
หย่งเซิงยังคงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าเขารู้สึกได้ถึงความเว้าวอนในน้ำเสียงที่เกือบจะใกล้เคียงกับการขอร้อง
เหวินเจิ้งต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจสิ่งที่หย่งเซิงต้องการจะสื่อ
“ฝ่าบาท.. ชีวิตในชาติหน้าของพระองค์.. ทรงมอบให้กระหม่อมเถิด..”
ที่แท้ความหมายที่อีกฝ่ายพูดเอาไว้ก่อนเขาจะสิ้นใจหมายถึงแบบนี้เอง หย่งเซิงต้องการจะช่วยให้เขามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ในฐานะของเหวินเจิ้งคนธรรมดา มิใช่ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง..
“ท่านเป็นอิสระแล้ว”
ราวกับคำพูดของหย่งเซิงช่วยพังทลายกำแพงแห่งความหวาดระแวง
ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว..
“.. ขะ.. ข้า..” เขารู้สึกสับสนไปหมด นี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน เขามีเรื่องราวมากอยากจะพูดแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร
หย่งเซิงยกยิ้มพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเหวินเจิ้งก่อนจะคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบ ต่อไปนี้เหวินเจิ้งจะเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น..
หลังจากเหวินเจิ้งร้องไห้ไปพักใหญ่ เมื่อใจสงบลงก็อดที่จะรู้สึกเก้อเขินมิได้ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น แม้แต่ตอนที่ยังเป็นองค์ชายสี่เขายังไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าพี่สามและน้องเจ็ดเลยด้วยซ้ำ
“ทำไม.. เจ้าถึงไม่บอกข้า..” น้ำเสียงของเหวินเจิ้งอู้อี้และแหบแห้งเสียจนฟังแทบไม่ออก
หย่งเซิงจึงปล่อยตัวอีกฝ่ายออกเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวมีสีระเรื่อเพราะความขัดเขิน ในใจของหย่งเซิงก็อดที่จะรู้สึกปิติยินดีมิได้
“ท่านดื่มน้ำแกงสักนิดเถิด แล้วข้าจะบอกท่าน” เหวินเจิ้งแม้ไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้ลำคอของเขาแห้งผากเกินไปจริงๆจึงยอมอ้าปากรับน้ำแกงอุ่นๆที่อีกฝ่ายป้อนให้ ทีแรกเขาคิดว่ามันจะเย็นชืดแล้ว แต่เมื่อมันไหลลงคอจึงรู้ว่ามันยังอุ่นอยู่ “ข้าเกรงว่า หากบอกท่านเสียแต่ทีแรกท่านคงไม่ยอมให้ความร่วมมือ”
เหวินเจิ้งพยายามทำทุกวิถีทางให้ตัวเองตาย เขากลัวว่าเหวินเจิ้งจะไม่ยอมมีชีวิตอยู่เพื่อเขา
“.. หากตอนนี้ข้า.. ไม่ยอมเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างสงสัย หากเขาไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกฝ่ายจะทำอย่างไร
“ข้าจะขังท่านไว้กับข้า มิยอมให้ท่านตายอย่างไรเล่า” หย่งเซิงยกยิ้ม ต่อให้ต้องจับเหวินเจิ้งมัดไว้เขาก็จะทำ จะไม่ยอมให้เหวินเจิ้งวิ่งเข้าหาความตายอีกเป็นครั้งที่สอง “โชคดีที่ท่านสัญญาว่าจะยกชีวิตในชาตินี้ของท่านให้ข้าแล้ว”
“ข้าไปสัญญากับเจ้าตอนไหน” เหวินเจิ้งขมวดคิ้วสงสัย หลังจากดื่มน้ำแกงที่อีกฝ่ายป้อนไปหลายคำตอนนี้เสียงเขาดีขึ้นมาก
“ตอนที่ท่านกำลังจะตายอย่างไรเล่า” หย่งเซิงตอบหน้าตายในขณะที่เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าไปตอบรับตอนไหน แม้จะจำได้ลางๆว่าเคยได้ยินหย่งเซิงพูดทำนองนี้อยู่ก็ตาม
“...”
เมื่อเห็นเหวินเจิ้งเงียบไปหย่งเซิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยอย่างจำนน
“ข้าโกหก ท่านยังมิได้ตอบรับข้า”
เหวินเจิ้งมองใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงเงียบๆ บ้างทีอาจจะเป็นอย่างที่หย่งเซิงบอก หากเขารู้แต่แรกคงไม่ยอมร่วมมือด้วยเป็นแน่..
“เพราะ.. หัวใจของเจ้ามิได้มอบให้ข้า เช่นนั้นแล้วชีวิตของข้าจึงได้ว่างเปล่าอย่างไรเล่า” หากหัวใจของหย่งเซิงเป็นของเขา เขาก็ยินดีจะมอบชีวิตให้อีกฝ่าย แต่หัวใจของหย่งเซิงได้มอบให้ผู้อื่นไปแล้ว ปล่อยให้หัวใจของเขาเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ ไม่อาจลอยกลับที่เดิมได้อีกต่อไป
แม้แต่ตัวเขายังมิอาจปลอบโยนหัวใจของตนเองได้เลย
“หากข้ามอบหัวใจให้ท่าน ท่านจะมอบชีวิตของท่านให้ข้าหรือไม่” ไม่ใช่แค่หัวใจ เขาสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับฮ่องเต้เสียสติตรงหน้า ไม่ว่าอะไร หากทำให้อีกฝ่ายยอมมีชีวิตเคียงข้างเขา..
“หย่งเซิง เจ้ามิอาจพูดพล่อยๆกับข้า” เหวินเจิ้งกดเสียงต่ำ เขาได้รับรู้ด้วยตัวของเขาเองแล้วว่าการมีความหวังลมๆแล้งๆมันน่ากลัวอย่างไร ราวกับเขาตกจากที่สูงแล้วถูกขยี้ซ้ำอีกครั้ง มันสิ้นหวังเสียจนยากที่จะกลับมายืนหยัด เขาไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
“ข้ามอบมันให้ท่านนานแล้ว..” หย่งเซิงจ้องมองดวงตาดำขลับที่เจ็บช้ำอย่างแน่วแน่ อย่างให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเขา “ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน.. หัวใจรักของข้าจะเป็นของท่านตลอดไป”
เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกเจ็บใจที่ตอนนี้ร่างกายของเขาขยับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาอยากจะชกตัวเองให้สุดแรง เขากลัวว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเพียงภาพหลอน จะเป็นเพียงจินตนาการที่เขาสร้างขึ้น กลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเขายังนอนอยู่ที่ตำหนักบรรทมอันหนาวเหน็บ กลัวว่าเมื่อมองไปรอบข้างจะเห็นสายตาสอดรู้สอดเห็นของเหล่าขันที กลัวว่าจะต้องออกไปว่าราชการท่ามกลางพวกโฉดชั่ว
กลัวว่าหย่งเซิงจะเป็นเพียงมือสังหารไร้หัวใจที่ถูกส่งมาเพื่อฆ่าเขา..
หย่งเซิงมองดวงตาดำขลับที่เต็มไปด้วยความสับสนก่อนจะโน้มตัวเข้าไปประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบา เขารับรู้ได้ถึงความเย็บเชียบของริมฝีปากคู่งาม ในใจพลันรู้สึกปวดหนึบ เขาจะแทนที่ความเย็นเหยียบด้วยความอบอุ่นจากร่างกายเขา หย่งเซิงทั้งขบเม้มทั้งดูดดุ้นเมื่อเหวินเจิ้งเผลออ้าปากเขาก็อาศัยจังหวะนั้นเขาสำรวจโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างถือสิทธิ์
เหวินเจิ้งหลับตาลงดำดิ่งไปกับรสสัมผัสที่เขาโหยหาก่อนจะรู้สึกเจ็บแปล็บที่ปลายลิ้น
หย่งเซิงกัดเขา!
แม้จะเจ็บแต่เขาก็ไม่มีเรียวแรงพอจะขืนตัวเองออกมา ทำได้เพียงโอนอ่อนผ่อนตาม เมื่อเขาเริ่มหายใจติดหย่งเซิงถึงจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ
“อาเจิ้ง.. ท่านจงใช้เวลาทั้งชีวิตของท่านพิสูจน์เอาเถิด” หย่งเซิงยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นริมฝีปากของเหวินเจิ้งเริ่มมีสีระเรื่อมากขึ้นแม้จะมาจากอาการช้ำจากรสจูบของเขาก็เถอะ
เหวินเจิ้งรู้สึกสับสนมึนงงไปชั่วขณะ ที่แท้เหวินเจิ้งกัดเขาก็เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างเป็นความจริง เช่นนั้น..
“ลี่เอ๋.. เหม่อยลี่เล่า” เมื่อเห็นสายตาคมกริบของหย่งเซิงเขาจึงต้องรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกเหม่ยลี่จนลิ้นพันกัน
“นางเป็นเพียงเพื่อนสมัยเด็กของข้า” เขาไม่ชอบที่เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกผู้อื่นอย่างสนิทสนม
“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนาง” นี้เป็นเรื่องที่คาใจเขามาตลอด เหตุใดหย่งเซิงถึงยอมโดนฝังแทนเหม่ยลี่ หากมิใช่เพราะทั้งสองคนรักกันจะมีเหตุผลอื่นได้อย่างไร
หย่งเซิงชะงักไปเล็กน้อยตั้งใจว่าจะไม่ตอบคำ แต่เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของเหวินเจิ้งก็อดที่จะใจอ่อนมิได้
“ข้ามิได้เอาชีวิตเข้าแลก.. ข้าเพียงมิอยากให้ท่านถูกฝังเพียงลำพัง แม้จะเป็นเพียงป้ายหลุมศพธรรมดาก็ตาม” หากเป็นไปได้ เขาอยากจะถูกฝังร่วมกับเหวินเจิ้ง เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำป้ายชื่อของเขาลงไปฝังเคียงข้างป้ายชื่อของเหวินเจิ้ง หากหลุมศพของเหวินเจิ้งถูกทำลาย อย่างน้อยก็จะมีป้ายชื่อของเขาไปเป็นเพื่อน
เขาไม่อาจทนเห็นเหวินเจิ้งต้องโดดเดี่ยว แม้จะเป็นเพียงป้ายหลุ่มศพก็ตาม
เหวินเจิ้งเข้าใจทุกอย่างในทันที ยิ่งได้เห็นใบหูแดงก่ำของอีกฝ่ายหัวใจเหวินเจิ้งก็ยิ่งลิงโลด มุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มจนดวงตายักโค้งทั้งที่ใบหน้าแดงเรื่อก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
ที่แท้เป็นเขาที่คิดไปเองว่าอีกฝ่ายมีใจให้เหม่ยลี่ ที่แท้ตลอดมาหย่งเซิงมีใจให้เขามาโดยตลอด ที่แท้เป็นเขาเองที่มองไม่เห็น
ความโล่งใจ ความดีใจ ความตื่นเต้น ความรู้สึกทั้งหลายหลอมรวมกลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้างดงาม ทั้งที่เขากำลังยิ้มแต่น้ำตากลับไหลอย่างห้ามไม่อยู่
หัวใจที่เคยเคว้งคว้างในอากาศลอยกลับเข้าที่เดิมของมันพร้อมกับเกาะกำบังอันแข็งแกร่งที่คอยห่อหุ้มจนเขารู้สึกตัวเบาวิวจนแทบลอยได้
หย่งเซิงดึงเหวินเจิ้งเข้ามากอด หัวใจของเขาเองก็ได้รับการเติมเต็มแล้วเช่นกัน
“ชีวิตของท่านมอบให้ข้าเถิด” หย่งเซิงเอ่ยขออีกครั้ง หากไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเขาก็มิอาจวางใจได้ เขาอยากมั่นใจว่าเหวินเจิ้งจะอยู่กับเขาตลอดไป
“.. ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“อะไรหรือ” หย่งเซิงถามกลับทันทีอย่างร้อนใจ ตอนนี้ต่อให้ต้องควักหัวใจออกมาวางบนฝ่ามือของอีกฝ่ายเขาก็ยอมแล้ว
“เจ้าให้ข้าเรียกว่า.. อาเซิงได้หรือไม่” สิ่งนี้เป็นเป็นแผลใจของเขามาโดยตลอด ยิ่งเห็นเหม่ยลี่เรียกชื่อหย่งเซิงอย่างสนิทสนมแผลใจของเขาก็เริ่มขยายวงกว้าง แม้แต่ความทรงจำที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาเรียกชื่อก็ยังติดแน่นฝังตรึงเสียจนน่ากลัว
“ท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นบนแผ่นดินนี้ที่ข้าอยากให้เรียกชื่อของข้ามากที่สุด” เขายังเสียใจมาตลอดที่ปฏิเสธเหวินเจิ้งในวันนั้น เขาอยากได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาอีกสักครั้ง แต่ก็ละอายใจเกินกว่าจะพูดออกมา โชคดีที่เหวินเจิ้งเองก็อยากเรียกชื่อของเขาเช่นกัน มันทำให้เขาอดที่จะเฝ้ารอมิได้ แต่ว่าตอนนี้เขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น “อาเจิ้ง มอบชีวิตท่า..”
“ข้ามอบให้เจ้าหมดเลย อาเซิง.. ข้าจะเป็นชายบำเรอของเจ้า” คำตอบของเหวินเจิ้งทำเอาหย่งเซิงสำลักน้ำลายตัวเอง ใบหูครามเข้มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้มันน่านัก..
“ท่านน้าจะไปแล้วหรือ” เหวินอี้เอ่ยถามขึ้น
ท่านน้าฟื้นขึ้นมาได้สิบห้าวันแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะใช้เวลานานกว่านี้กว่าท่านน้าจะหายดี แต่ที่ไหนได้ ท่านหย่งเซิงคอยตามติดท่านน้าเป็นเงาตามตัว ทั้งทำน้ำแกงบำรุงให้ทั้งพาท่านน้าออกไปเดินออกกำลังจนตอนนี้ท่านน้ากลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเก่าเสียอีก
“ข้าจะเดินทางเช้าของวันพรุ่งนี้” เหวินเจิ้งตอบพลางเอามือไพล่หลังเดินเอื่อยๆรับลมที่พัดพาป่าไผ่
“แล้วท่านจะกลับมาที่นี้อีกไหม” เหวินอี้มองท่าทางองอาจสง่างามราวกับเทพเซียนของอีกฝ่ายอย่างชื่นชม ท่านน้าของเขาในตอนนี้งดงามเสียยิ่งกว่าตอนเป็นฮ่องเต้เสียอีก เขารู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของท่านน้าในตอนนี้เป็นรอยยิ้มที่กลั่นออกมาจากใจ หาใช่หน้ากากที่ใช้หลอกลวงผู้อื่นเฉกเช่นเมื่อก่อน
“ข้าจะไม่กลับมาที่นี้อีกแล้ว” เหวินเจิ้งหยุดเดินก่อนจะหันมาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าระไม้คล้ายกับเขาอยู่หกส่วน “ข้ายินดีจะถูกฝังอยู่ข้างนอกนั้น ชาติหน้าข้าจะเกิดเป็นคนป่า”
เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะแต่เหวินอี้รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง ท่านน้าคงอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี้
“เช่นนั้น เราคงมิได้พบกันอีก” แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อเทียบกับการที่ท่านน้าจะต้องตายจากไปแบบนี้ถือว่าดีกว่ามาก ขอเพียงท่านน้ามีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ฮ่องเต้เหวินอี้ เราขอฝากราษฎร์ของเราด้วย” เหวินเจิ้งก้มลงคุกเข่าต่อหน้าของเหวินอี้ที่ยืนเบิกตากว้างตกใจกับท่าทางของท่านน้า “ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆปีพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านน้า..” เหวินอี้รีบลงไปพยุงเหวินเจิ้ง ไม่นึกเลยว่าท่านน้าจะแกล้งเขาเช่นนี้
“ข้าพูดจริงนะ” เหวินเจิ้งอมยิ้มเมื่อเห็นสายตาตำหนิของอีกฝ่าย “ข้าอยากให้เจ้าดูแลราษฎร์ให้ดี แล้วก็อายุยืนๆหน่อย”
“ท่านน้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราษฎร์และอายุของข้าหรอก” เหวินอี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่านน้าชอบเห็นว่าเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อย
“ข้าควรห่วงเรื่องความรักของเจ้าและเพ่ยหลินมากกว่าหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้า เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี้ชอบเพ่ยหลินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ตัวของเพ่ยหลินนั้นไม่รู้คิดอย่างไรบ้าง
“ท่านน้า!” ใบหน้าหล่อเหลาของเหวินอี้ขึ้นสีระเรื่อ
“ต้องขอบคุณเพ่ยหลินที่ทำให้เจ้าเป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จ” ความรู้เรื่องสมุนไพรของเพ่ยหลินไม่ธรรมดาเลย
“ท่านยังโกรธที่พวกข้ารู้เรื่องยาจำศีลแต่ไม่ได้บอกท่านอยู่หรือ” วันนั้นเพ่ยหลินดูออกทันทีว่ายาที่อยู่ในขวดหยกที่หย่งเซิงมอบให้เขาเป็นยาจำศีล ดังนั้นเขาจึงรู้แผนของหย่งเซิงมาโดยตลอด แต่เพราะกลัวว่าท่านน้าจะไม่ยอมร่วมมือด้วยจึงไม่ได้บอกความจริง
“เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคิดว่าข้าโกรธนัก” เหวินเจิ้งบ่นอุบตั้งแต่สมัยเป็นฮ่องเต้ยันตอนนี้ บ้างครั้งเขาเพียงแกล้งโมโหไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้โกรธเป็นจริงเป็นจังเสียหน่อย “ข้าหมายถึงเรื่องที่เพ่ยหลินทำให้ฝนตกวันนั้นต่างหาก”
“หากเพ่ยหลินเอ่ยปากเองก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว”
เหวินเจิ้งปรายตามองเหวินอี้ที่ยกยิ้มอย่างภูมิใจ
“เจ้าเองก็โง่งมเพราะความรักเหมือนกันหรือ” เหวินเจิ้งพึมพำเสียงเบาเสียจนเหวินอี้ฟังไม่รู้เรื่อง
“ท่านว่าอย่างไรนะ”
“เปล่า” เหวินเจิ้งเดินต่อพลางกล่าวว่า “ในเมื่อมีเพ่ยหลินอยู่ข้างเจ้าข้าก็วางใจ”
เหวินอี้ชะงักพลางมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างสง่างามของเหวินเจิ้ง ในดวงตาดำขลับของเด็กหนุ่มฉายแววอาลัยอาวรณ์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นจริงจัง
ท่านน้า.. สักวันหนึ่ง.. เราจะต้องได้พบกันอีกครั้ง
--------------------------------------------------------------