[จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]  (อ่าน 74005 ครั้ง)

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
«ตอบ #90 เมื่อ11-05-2017 23:05:00 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
«ตอบ #91 เมื่อ19-05-2017 21:13:59 »

บทที่ 10 สมหวัง

          “โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกเท่าไร เพียงไม่กี่วันก็ถอดผ้าพันแผลได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งให้คนต้มยาเผื่อเอาไว้ หากฝ่าบาททรงรู้สึกปวดแผลก็ให้จิบทีละน้อย” หมอหลวงเอ่ยอย่างนอบน้อมหลังจากรักษาบาดแผลที่ข้อมือของฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อย

          “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปได้แล้ว” เหวินเจิ้งโบกมือไล่หมอหลวงอย่างเกียจคร้าน หมอหลวงเห็นเช่นนั้นก็รีบโค้งกายถอยออกไปจากตำหนักบรรทม

          “สวี่กงกง..” เหวินเจิ้งเอื้อมมือไปหยิบเศษผ้าที่เปื้อนเลือดขึ้นมาดู

          เศษผ้านี้คือชายแขนเสื้อของหย่งเซิงที่ฉีกมาทำแผลให้เขา เมื่อนึกถึงสีหน้าโกรธขึงของอีกฝ่าย เหวินเจิ้งก็อดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ คนผู้นี้กำลังโกรธเพราะเขา ความคิดนี้ทำให้เขาอารมณ์ดีนัก

          อารมณ์ความรู้สึกของเขาถูกผูกติดกับอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว..

          “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้

          “นับแต่นี้มอบหน้าที่ราชองครักษ์ทั้งหมดให้หย่งเซิงเสีย” เหวินเจิ้งไล่นิ้วมือไปตามชายผ้าอย่างสุขใจ

          “ฝ่าบาท..” หากพระองค์ไม่มีราชองครักษ์คอยรับใช้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำเช่นไร

          “มีราชองครักษ์หลายคนก็เท่ากับมีมือสังหารหลายคนมิใช่หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่สายตายังคงจ้องมองเศษผ้า

          สวี่กงกงชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

          “หากฝ่าบาทพอใจ กระหม่อมจะหาคนที่.. ไว้ใจได้มารับตำแหน่งราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ”

          “สวี่กงกง คนที่ไว้ใจได้ไม่มีอีกแล้วในวังหลวงแห่งนี้ ดูอย่างหมอหลวงผู้นั้นสิทำหน้าดีใจใหญ่เชียวเมื่อเห็นว่าเราโดนวางยาพิษ”

          “อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ!” สวี่กงกงอุทานด้วยความตกใจจนร่างกายสั่นเทิ้ม

          “เราโดนวางยา”

          “ได้.. ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” อาหารทุกมื้อของฝ่าบาทมีเขาคอยดูแลอย่างเข้มงวด แล้วฝ่าบาทจะโดนวางยาได้อย่างไร

          “เอาเป็นว่าเรารู้ก็แล้วกัน” เมื่อเห็นทาทางตื่นตระหนกของสวี่กงกงเหวินเจิ้งก็เอ่ยปลอบ “อย่าตระหนกไป เราไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”

          จากที่เขาสังเกต ร่างกายเขาเพียงอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง บางครั้งรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่บ้าง

          มุมปากเหวินเจิ้งบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างเย้ยหยัน

          สวี่กงกงจนด้วยคำพูด ความตายเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทถวิลหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วเขาจะไปห้ามฝ่าบาทได้อย่างไร เมื่อไม่นานมานี้เขาพึ่งมีความหวังเพราะฝ่าบาทดูมีความสุขมมากขึ้นเมื่ออยู่ใกล้หย่งเซิง แต่ดูเหมือนตอนนี้ความหวังนั้นจะริบหรี่เสียจนมองแทบไม่เห็น

          “สวี่กงกง”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

            “ตามหย่งเซิงให้เราที” เหวินเจิ้งสอดเศษผ้าเปื้อนเลือดเอาไว้ใต้หมอนอย่างถะนุถนอม
            สวี่กงกงมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ ก่อนจะรับคำแล้วขอตัวออกไปตามหย่งเซิง ไม่นานหย่งเซิงก็ตามหลังสวี่กงกงเข้ามา
          “เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยถามทันทีที่เห็นใบหน้าซีดขาวของเหวินเจิ้ง ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก ทว่าน้ำเสียงที่ถามออกไปเจือความร้อนรนไม่น้อย

          “เราไม่เป็นไร น่าเสียดายที่เราตายยากกว่าที่คิด” เหวินเจิ้งยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่าย

          “…” หย่งเซิงไม่ตอบเพียงจ้องมองผ้าพันแผลที่ข้อมือของเหวินเจิ้งนิ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจนแทบดูไม่ออก

          “หย่งเซิง นับแต่วันนี้ไปเจ้าก็เข้ามาอารักขาเราในห้องบรรทมเถิดนะ”

          หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เหวินเจิ้งหมายความว่าให้เขานั่งเฝ้าพระองค์ยามหลับหรือ

          “เราไล่องครักษ์พวกนั้นไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าคนเดียว ไหนๆเราก็ปูนบำเหน็จให้เจ้าเสียมากมาย เข้ามานั่งเป็นเพื่อนเรายามหลับเสียหน่อยได้หรือไม่.. หากเจ้าเงียบเราจะถือว่าเจ้าตอบตกลงนะ”

          ใบหูหย่งเซิงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยทว่าไม่ได้ปฏิเสธ

          “..ดี” เมื่อเห็นหย่งเซิงมิได้ปฏิเสธเหวินเจิ้งก็คลายมือที่กำเข้าหากัน พลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งสวี่กงกง “เราจะนั่งอ่านฎีกาที่นี้”

          “พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงออกไปยกฎีกาทั้งหมดมาไว้บนโต๊ะก่อนจะฝนหมึกเตรียมไว้ให้เหวินเจิ้งอย่างใส่ใจ

          “ฝ่าบาทควรพักผ่อน” หย่งเซิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเหวินเจิ้งเดินตรงมายังโต๊ะเขียนอักษร

          “เราเพียงโดนบาดเล็กน้อย มิได้โดนตัดแขนเสียหน่อย” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางกวักมือเรียกให้หย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้ๆ

          หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปหาออย่างว่าง่าย

          “นั่งสิ” เหวินเจิ้งผายมือให้หย่งเซิงนั่งฝั่งตรงข้ามกับตน ก่อนจะหันไปโบกมือไล่สวี่กงกงให้ออกจากห้องไป

          หย่งเซิงยอมนั่งลงแต่โดยดีในขณะที่ดวงตาดำสนิทยังคงจับจ้องมาที่ใบหน้างดงามของเหวินเจิ้งอย่างไม่พอใจ

          “ที่เราบอกว่าชอบให้เจ้ามอง เรามิได้โกหก” เหวินเจิ้งยกยิ้มจนดวงตายักโค้ง ท่าทางน่ารักออดอ้อนทำให้หัวใจหย่งเซิงอ่อนยวบรีบหลุบตาลงต่ำซ่อนประกายประหลาดเอาไว้

          “หย่งเซิง.. เจ้าไม่ชอบเราก็ไม่เป็นไร เจ้ามีหญิงที่พึงใจแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าเราจะสิ้นลม ไม่ว่าจะด้วยฐานะมือสังหาร องครักษ์.. หรือบ่อน้ำของเรา เราล้วนพอใจทั้งนั้น” น้ำเสียงจริงใจไร้แววหยอกล้ออย่างทุกครั้งทำให้หย่งเซิงเงยหน้าขึ้นสบตาเหวินเจิ้ง ในดวงตาดำขลับคู่สวยฉายแววสุขใจ ไม่มีความสิ้นหวังอย่างที่เขาเคยเห็นในสวนบัวอีกแล้ว

          หย่งเซิงรู้สึกวูบโหวง เขารู้ความหมายของอีกฝ่าย เหวินเจิ้งเลือกที่จะมีความสุขก่อนที่ความตายจะมาเยือน และเลือกให้เขาอยู่เคียงข้างแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนสั่งให้เหม่ยลี่วางยาก็ตาม

          “ทรงรู้.. ว่าเป็นข้าหรือ” หย่งเซิงถามเสียงเบาหวิว

          “เราชอบเจ้า หากชีวิตเราทำให้แม่ของเจ้าได้สมปรารถนาก็ช่างเถิด” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงเบาคล้ายกับจะปลอบโยน “เราเคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าหากถึงเวลาเจ้าอย่าได้ลังเล.. เจ้าไม่ทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ”

          เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางกางฎีกาออก

          หย่งเซิงร่างกายสั่นสะท้าน ฮ่องเต้ผู้นี้ชอบเขา ชอบเขาทั้งที่รู้ว่าเขาวางยาพิษ และถึงอย่างนั้นก็ยังคงอยากให้เขาอยู่เคียงข้าง ช่างโง่งมนัก!

          “ต่อให้ท่านไล่ ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะเป็นทุกอย่างให้ท่านเอง” หย่งเซิงเอ่ยเสียงหนักแน่น มันเป็นน้ำเสียงหนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาไม่อยากให้เหวินเจิ้งรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่อาจให้ร่างโปร่งที่แสนเปราะบางต้องทนทุกข์เพียงลำพัง เขาจะปลดปล่อยเหวินเจิ้งออกไปจากกรงขังแห่งนี้ด้วยตัวเขาเอง “ข้าจะปลอดปล่อยท่านเอง”

          เหวินเจิ้งชะงักก่อนจะละสายตาจากฎีกาขึ้นมาสบดวงตาดำสนิท จ้องมองมันอย่างลึกซึ้งโหยหา ก่อนจะดึงคอเสื้อของร่างสูงเข้ามาใกล้และประทับจุมพิตลงไป ครั้งนี้แผ่วเบาและอ่อนโยนมิได้รุนแรงเฉกเช่นก่อนหน้านี้

          “เจ้า.. อดทนกับเราหน่อยนะ ไม่นานนักหรอก” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่ริมฝีปากยังชิดติดกับริมฝีปากของหย่งเซิง

          หย่งเซิงได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะกัดริมฝีปากเหวินเจิ้งอย่างแรง แต่มิได้ทำให้เลือดออก เพราะเขาใจอ่อนเกินไป ทำอย่างไรฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ถึงจะยอมมีชีวิตอยู่ต่อไปกันนะ

          เหวินเจิ้งดูจะพอใจไม่น้อยที่หย่งเซิงโต้กลับอย่างรุนแรง จึงยิ่งแนบริมฝีปากเข้าไปอีก ทั้งสองต่างพลัดกันรุกพลัดกันรับ จนเหวินเจิ้งหายใจไม่ทันหย่งเซิงจึงถอนริมฝีปากออก

          “ตอนนี้ เราชอบเจ้าไปหมดทั้งตัวแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงพร่าดวงตาหยาดเยิ้ม ใบหน้างดงามขึ้นสีระเรื่อพาให้คนมองจิตใจสั่นไหว

          หย่งเซิงหัวใจเต้นแรงใบหูแดงก่ำ รีบละสายตาออกจากใบหน้าแสนยั่วยวนของอีกฝ่าย พยายามอดทนอดกลั้นไม่ให้ความเร่าร้อนในร่างกายพลุ่งพล่าน

          “ท่านไม่อ่านฎีกาแล้วหรือไร หากไม่อ่านก็กลับไปนอนเสีย” หย่งเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าเรียบเฉยขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

          เหวินเจิ้งมองท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หลากหลายความรู้สึกทั้งขมฝาดทั้งหวานล้ำ ถึงแม้หย่งเซิงจะไม่พอใจเขา แต่ก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกสุขใจแล้ว เพียงแต่อดที่จะตัดพ้อโชคชะตาของเขามิได้ หากเขาได้พบกับหย่งเซิงในฐานะอื่น จะเป็นอย่างไรนะ เราสองคนจะได้เป็นสหายกันหรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่

          อ่า.. ข้าชักจะโลภอีกแล้วสิ

          เหวินเจิ้งรีบกางฎีกาออกมาอ่านอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความคิดของตน ฎีกาเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องที่ขุนนางเร่งเร้าให้เขามอบโอรสสวรรค์ให้กับฮองเฮา เหล่าขุนนางคิดอะไรอยู่ทำไมเขาจะไม่รู้ พวกมันคงคิดว่าหากเขาตายโดยทิ้งทายาทเอาไว้ พวกมันจะใช้ลูกของเขาเป็นหุ่นเชิดในการปกครองแผ่นดิน

          ให้ลูกของเขาไร้ซึ่งอำนาจ เพียงให้พวกมันคอยชักใยอยู่เบื้องหลังม่าน กำเริบเสิบสานเอารัดเอาเปรียบราษฎร์อย่างสมใจ แต่เขาไม่มีวันยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรอก

          เพราะเหตุผลนี้เขาจึงบ่ายเบี่ยงที่จะมอบโอรสสวรรค์ให้กับฮองเฮาเสมอมา และนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวที่อัครเสนาบดีหย่งยังไว้ชีวิตเขามานานถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าอัครเสนาบดีหย่งจะไม่อาจอดทนรอต่อไปได้แล้ว จึงสั่งให้หย่งเซิงลงมือ เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เขาไม่มีวันยอมให้ลูกของเขาต้องทนทุกข์ทรมานเป็นตุ๊กตาให้พวกโฉดชั่วของแผ่นดินชักใย

          บัลลังก์มังกรแห่งนี้ควรได้เวลาที่จะส่งต่อให้กับผู้ที่เหมาะสมกับมันอย่างแท้จริงแล้ว..

 

          “นั้นเกี๊ยวท่านอัครเสนาบดีหย่งหรือ”

          “ใช่ ข้าได้ยินมาว่าท่านยังจับเจ้าโจรชั่วที่บุกข้าจวนใต้เท้าจางมิได้เลย”

          “จริงหรือ นี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ”

          “จริงซิ! ฮ่องเต้ทรงพิโรธใหญ่ บอกว่าท่านอัครเสนาบดีหย่งนั้นช่างไร้ความสามารถนัก”

          “ฮ่องเต้เสียสติผู้นั้นกล้าต่อว่าอัครเสนาบดีหย่งผู้เที่ยงทำได้อย่างไรนะ!”

          เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นตามถนนที่เกี๊ยวของอัครเสนาบดีหย่งเคลื่อนผ่าน แน่นอนว่าม่านบางๆมิอาจกั้นเสียงซุบซิบนั้นได้หมด

          อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่น ตอนนี้ข่าวลือว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีไม่ได้เรื่องถูกแพร่สะพัดไปในหมู่ราษฎร์เสียแล้ว เป็นเพราะฮ่องเต้เสียสติผู้นั้น!

          หากพระองค์ไม่ลอบปล่อยแพะรับบาปที่เขาหามา ป่านนี้ชื่อเสียงของเขาคงไม่มัวหมอง แม่แต่พวกโจรชั่วที่เขาจ้างไปถล่มจวนใต้เท้าจางก็หนีหาย ด้วยกลัวว่าเขาจะส่งพวกมันเข้าคุกจริงๆ

          เคร้ง!

          เสียงกรีดร้องของชาวบ้านและเสียงดาบกระทบกันดังขึ้นพร้อมกับเกี๊ยวที่หยุดชะงักลง

          “เกิดอะไรขึ้น” อัครเสนาบดีหย่งเลิกม่านขึ้นด้วยความตกใจ

          “เรียนนายท่าน พวกโจรที่เราตามหามันบุกเข้ามาขอรับ” องครักษ์คนสนิทกระซิบตอบเสียงเครียด “นายท่านรีบหนีเถิดขอรับ”

          อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หน้าถอดสี เจ้าพวกนี้คงตั้งใจจะมากำจัดเขาก่อนที่เขาจะตามล่าพวกมัน!

          “รีบไปจัดการพวกมันเร็วเข้า” อัครเสนาบดีหย่งสั่งเสียงต่ำ

          “นายท่าน” องครักษ์คนสนิทเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พวกโจรมีจำนวนเยอะกว่าพวกเขามาก หากสู้กันต่อไปเกรงว่านายท่านคง..

          “ข้าไม่หนี ต่อหน้าชาวบ้านหน้าโง่พวกนี้เจ้าจะให้ข้าหนีหรือ!” เขาจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงที่เขาอุตส่าห์สั่งสมมาหลายสิบปีต้องป่นปี้เพราะพวกโจรถ่อยเด็ดขาด!

          ในช่วงขณะที่นั้นเองพวกโจรก็จัดการองครักษ์และสังหารคนห่ามเกี้ยวจนหมด เหลือเพียงอัครนาบดีหย่งและราชองครักษ์คนสนิทที่คอยคุ้มกันเป็นปราการสุดท้าย

          อัครเสนาบดีหย่งลอบกลืนน้ำก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำให้ชาวบ้านที่มุ่งดูอยู่ห่างๆด้วยความกลัวได้ยิน

          “พวกโจรถ่อย หากเจ้าต้องการชีวิตของข้าก็มารับไปเสีย อย่าได้แตะต้องชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง!” น้ำเสียงมั่นคงไม่หวั่นไหวแม้แต่ความตายทำให้ดวงตาที่ฉายความหวาดกลัวของชาวบ้านเปลี่ยนมาเป็นเหลื่อมใส

          “หึ อัครเสนาบดีหย่ง ในเวลาแบบนี้เจ้ายังคิดจะสร้างภาพให้กับตนอีกหรือ” หัวหน้าโจรเอ่ยด้วยความแค้น ทีแรกพวกเขารับเงินจากอัครเสนาบดีหย่งโดยตกลงกันว่าเขาจะไปถล่มจวนใต้เท้าให้ แลกกับฝ่ายอัครเสนาบดีหย่งต้องหาแพะมารับบาปแทนพวกเขา

          แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อแพะรับบาปที่อีกฝ่ายหามาหายไป และพวกเขาทุกคนถูกประกาศจับ ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามข้อตกลง หากพวกเขาต้องตายก็ขอลากเจ้าพวกขุนนางตัวดีลงนรกไปด้วยกัน!

          “ทางการเล่า” อัครเสนาบดีกระซิบถามราชองรักษ์เสียงเครียด

          “พวกชาวบ้านคงกำลังวิ่งไปตามแล้วขอรับ อีกไม่นานก็คงมา” องครักษ์ตอบเสียงเบา พลางตั้งท่าป้องกันเจ้านายเต็มที่

          อัครเสนาบดีหย่งเหงื่อซึมเต็มแผนหลัง เกรงว่าสถานการณ์ตอนนี้กว่าพวกทหารจะเคลื่อนตัวมาเขาก็คงหัวหลุดจากบ่าไปแล้ว!

          “พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดจึงบุกมาทำร้ายข้า” เขาต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุด

          ราวกับพวกโจรอ่านความคิดได้พวกมันหัวเราะเสียงดังก่อนจะตะโกนก้อง

          “หึๆ อย่าได้ถ่วงเวลาอีกเลยนายท่าน พวกข้ามีได้โง่เขลาเช่นนั้น!” สิ้นเสียงตะโกนเหล่าโจรก็ปรี่เข้ามาที่เกี้ยว อัครเสนาบดีหย่งหน้าซีดเผือก คิดหาวิธีเอาตัวรอด ในชั่วขณะที่ดาบขององครักษ์คนสนิทปะทะกับดาบของโจรป่านั้นเองก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งพลิ้วกายเข้ามากลางวง เพียงฝ่ามือเดียวโจรหกคนที่บุกเข้ามาก็กระเด็นออกไปไกล

          ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่ตาค้าง ร่างสูงใหญ่คร้ามเข้มดูองอาจห้าวหาญ ดวงตาสีดำสนิทมืดมิดเสียจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

          “เจ้าเป็นใครกัน!” หัวหน้าโจรตะโกนถามด้วยความตระหนก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามียอดฝีมือเช่นนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง

          “อาเซิง!” อัครเสนาบดีหย่งครางชื่อของหย่งเซิงเบาๆ ไม่คิดเลยว่าคนที่มาช่วยเขาในยามนี้จะเป็นบุตรชายที่เขาแทบไม่ให้ความสำคัญ

          หัวหน้าโจรหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่เห็นว่าอัครเสนาบดีหย่งรู้จักยอดฝีมือเช่นนี้ พวกเขาพลาดไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมียอดฝีมือออกโรงมาปกป้องเจ้าอัครเสนาบดีชั่ว เหล่าโจรต่างมองมาที่หัวหน้าโจรเป็นตาเดียว ไม่รู้ว่าควรเสี่ยงตายบุกเข้าไปหรือว่าจะหนีไปเลยตอนนี้ดี

          สายตาที่ชายร่างสูงใหญ่มองพวกเขาน่ากลัวจนเกินไป เพียงพริบตาที่สบกันก็ถึงกับทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว แรงกดดันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำเอาพวกเขาขวัญหนีดีฟ่อไปหมดแล้ว

          “หัวหน้า..” ลูกสมุนคนหนึ่งเอ่ยเรียกหัวหน้าโจรที่กำลังยืนหน้าซีดเผือก หากจะหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครว่าหัวหน้าขี้ขลาดหรอก เป็นพวกเขาเองก็มิกล้าต่อกรเช่นกัน

          หย่งเซิงก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวราวกับจะขู่ขวัญพวกโจร ยิ่งร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้เหล่าโจรก็ยิ่งรนถอยลงไป พลังปราณอันแกร่งกล้ากดดันเสียจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

          “ไป..” หัวหน้าโจรเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ของเหล่าลูกสมุน พวกมันรีบเหินตัวหนีออกไปทันทีไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมาเก็บซากศพของเพื่อนโจรที่โดยหย่งเซิงซัดกระเด็นไปในทีแรกแม้แต่น้อย

          ทันทีที่พวกโจรหนีจากไปทหารของทางการก็เคลื่อนตัวมาถึงพอดี

          “เกิดอะไรขึ้นขอรับท่านอัครเสนาบดีหย่ง” หัวหน้ากองรีบปรี่เข้ามารับหน้าทันที พลางมองไปรอบๆ เห็นซากศพขององครักษ์และคนห่ามเกี๊ยวกระจัดกระจายเต็มพื้น

          “นายกอง เมื่อสักครู่มีโจรชั่วบุกเข้ามาสร้างความวุ่นวาย แต่ข้าไม่เป็นไร วานเจ้าไปดูทีว่าพวกชาวบ้านปลอดภัยดีหรือไม่” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

          พวกชาวบ้านที่ได้ยินเช่นนั้นต่างมองท่านอัครเสนาบดีด้วยความซาบซึ้ง

          “ขอรับ.. แล้วเขาคือ” นายกองรีบรับคำอย่างเอาใจก่อนจะหันไปเห็นหย่งเซิงที่กำลังเดินมาทางพวกเขา

          “ลูกชายข้า หย่งเซิง” สิ้นคำของอัครเสนาบดีหย่ง ชาวบ้านที่ยืนดูเห็นการณ์รอบข้างก็เสียงดังฮือขึ้นมาทันที

          “บุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งหรือ!”

          “มิใช่ว่าท่านอัครเสนาบดีหย่งมีบุตรชายเพียงคนเดียวหรือ”

          “เก่งกาจนัก เห็นพลังฝ่ามือที่ใช้ซัดพวกโจรชั่วเมื่อกี้ไหม”

          “ช่างมีความกตัญญูนัก ถึงกับบุกฝ่าวงล้อมโจรชั่วเข้าไปช่วยบิดา”

          “สมแล้วที่เป็นลูกชายของท่านอัครเสนาบดี มีความสามารถน่าชื่นชมนัก”

          หย่งเซิงไม่สนใจเสียงชื่นชมที่ดังเซ็งแซ่อยู่รอบข้าง เพียงตรงเข้ามาหา ‘ท่านพ่อ’ ของเขาที่อยู่ในเกี๊ยวก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

          “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

          “เราไปคุยกันที่บ้านเถิดลูก” อัครเสานาบดีหย่งตอบน้ำเสียงอ่อนโยน

          หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น นี้เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อพูดจาอ่อนโยนกับเขา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนถึงกับกล้าพูดจาไพเราะกับเขาอย่างหน้าด้านเช่นนี้..

          หย่งเซิงก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยัน หากคนพวกนี้รู้ว่าท่านแม่และเขาถูกไล่ออกมาจากจวนอย่างไรมิรู้ว่าจะยังตั้งหน้าตั้งตาชื่นชมตาเฒ่ามากเล่ห์ผู้นี้ได้อีกหรือไม่

          “ท่านอัครเสนาบดีหย่ง ให้คนของข้าน้อยห่ามเกี๊ยวไปส่งเถิดขอรับ” นายกองเอ่ยปากอย่างเอาใจ

          “ต้องรบกวนท่านแล้ว”
-------------------------------------------------------
จิตตก : ตอนนี้ฮ่องเต้แอบรุกเบาๆ

ยิ่งทุกคนรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆไปกับตัวละครเราก็ยิ่งดีใจ 555555

แปลว่าความรู้สึกของตัวละครส่งไปถึงนักอ่านทุกท่าน  :hao5:

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  :hao4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #92 เมื่อ19-05-2017 21:24:22 »

สงสารฮ่องเต้อ่ะ ทำไมยอมทำร้ายตัวเองแบบนี้

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #93 เมื่อ19-05-2017 21:37:38 »

จริงๆแล้วหยงเซิงก็ไม่ใช่คนดีเลยเริ่มไม่ชอบล่ะฮองเต้เธอจะโง่ไปล่ะนึกว่าจะฉลาดกว่านี้

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #94 เมื่อ19-05-2017 21:40:14 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #95 เมื่อ19-05-2017 21:47:20 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #96 เมื่อ19-05-2017 22:31:20 »

 :ling3:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #97 เมื่อ19-05-2017 22:34:11 »

กตัญญูกับแม่(ที่เสียไปแล้ว)โดยการจะฆ่าคนรักของตัวเองนี่มันใช่เหรอคะ? ตอบ!
เฮียหย่งควรตัดสินใจนะคะว่าจะเลือกอะไร
จากใจ...พ่อเฮียหย่งตอแหลมากค่ะ

เหวินเจิ้งนี่ฉลาดไปทุกเรื่องเลยนะ
รู้ทุกอย่างแต่ไม่พูดอะไร

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #98 เมื่อ19-05-2017 22:50:19 »

ปลายทางสุดท้ายจะเป็นเช่นไรนะ

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #99 เมื่อ19-05-2017 23:40:56 »

กลัวจะจบเศร้าอ่ะ
ฮืออ
 :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
« ตอบ #99 เมื่อ: 19-05-2017 23:40:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #100 เมื่อ20-05-2017 02:29:49 »

เออ เราชักงงกับทั่นองครักษ์แล้วสิ ตกลงแกจะรักฮ่องเต้คอยดูแลหรือจะฆ่านางกันแน่ -*-

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #101 เมื่อ20-05-2017 19:51:05 »

 :katai1: นึกว่าจิ้งจอกเฒ่าจะโดนล่ะ รอดไปได้อีก  :katai1:

ออฟไลน์ pare_140

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-6
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #102 เมื่อ20-05-2017 22:46:27 »

 :katai1:

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
«ตอบ #103 เมื่อ24-05-2017 23:20:23 »

บทที่ 11 ความสุข

          หลังจากกลับมาถึงจวน อัครเสนาบดีหย่งก็เดินนำหย่งเซิงเข้าไปในโถงก่อนจะเดินไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน หย่งเซิงเดินตามเข้ามาเงียบๆ แต่มิได้นั่งลง เพียงยืนอยู่ที่กลางห้องโถงด้วยใบหน้าเรียบเฉย

          “เจ้าทำได้ดีมาก” อัครเสนาบดีหย่งยกยิ้มอย่างพอใจ

          หมอหลวงส่งข่าวมาบอกเขาว่าหลายวันมานี้ฮ่องเต้ทรงร่างกายอ่อนแอลงมาก ยามออกว่าราชการก็มีท่าทีอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้างดงามที่เคยเปล่งปลั่งบัดนี้ซีดเซียวลงไปมากจนเหล่าขุนนางแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่

          “หวังว่าท่านจะรักษาสัญญา” หย่งเซิงยังคงใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาดำสนิทจ้องมองผู้เป็นบิดาอย่างเย็นชา เหตุใดท่านแม่ของเขาจึงได้โง่งมหลงใหลได้ปลื้มบุรุษเลือดเย็นผู้นี้กัน

          “ยอมแน่นอน” การรักษาสัญญาเรื่องนำป้ายหลุมศพภรรยารองของเขาไปไว้ในศาลบรรพชนนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

          สายตาที่อัครเสนาบดีหย่งจ้องมองหย่งเซิงนั้นดูห่างเหินจนแทบดูไม่ออกว่าเป็นพ่อลูกกัน หย่งเซิงเองก็มิได้อยากจะนับญาติกับบิดาใจร้ายผู้นี้เท่าไรนัก จึงตั้งใจไว้ว่าหากเรื่องทุกอย่างจบลง เขาจะไม่กลับมาเหยียบเมืองหลวงแห่งนี้อีก

          “เช่นนั้นข้าขอตัว” ในขณะที่หย่งเซิงกำลังจะหันหลังจากไปอัครเสนาบดีหย่งกลับเอ่ยรั้งเอาไว้เสียก่อน

          “อาเซิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับพระสนมตำหนักเต๋อเฟยมีความสัมพันธ์ลับกันหรือ”

          หย่งเซิงชะงักเท้าก่อนเอ่ยตอบ

          “ท่านรู้อยู่แล้ว ยังจะถามข้าไปทำไม” ท่านพ่อของเขาต้องการอะไรกันแน่

          “อาเซิง นางมีใจให้เจ้าจึงได้ยอมเสี่ยงกระทำการอุกอาจมิใช่หรือ” หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะหรี่ตาลงอย่างงครุ่นคิด ท่านพ่อกำลังใช้เหม่ยลี่เป็นเครื่องมือในการรั้งให้เขาอยู่ทำงานให้หรือ

          “ตามกฎมลเฑียรบาลหญิงสาวทุกคนในวังหลวงล้วนเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ ยิ่งเป็นพระสนมด้วยแล้ว นางมิอาจแต่งงานกับชายอื่นได้อีกตลอดชีวิต” อัครเสนาบดีหย่งบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนเอ่ยต่อ “แต่ข้า.. สามารถทำให้มันเป็นไปได้”

          อัครเสนาบดีหย่งรู้ดีว่าบุตรชายคนนี้ไร้ซึ่งความรักฉันท์พ่อลูกกับตน เพียงแต่เขายังคงต้องการความสามารถของบุตรชายคนนี้อยู่ เดิมทีเขาคิดว่าหากวางยาพิษฮ่องเต้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้น เขาจะโยนความผิดทั้งหมดให้หย่งเซิง ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของหย่งเซิงนั้นเขาได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว

          บุตรคนนี้เขาสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกมาก!

          หย่งเซิงจ้องมองใบหน้าสูงวัยของอีกฝ่ายด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ยิ่งคิดยิ่งผิดหวัง ท่านแม่ของเขาช่างโง่งมนัก!

          “ข้าไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง” เหตุใดเขาจึงต้องทำงานให้ท่านพ่อเพื่อนางด้วย

          อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หัวคิ้วกระตุกด้วยความสงสัย สายสืบของเขารายงานว่าหย่งเซิงพึงใจเหม่ยลี่จนถึงขนาดมอบสุราพิษให้นางเพื่อมิให้นางได้ร่วมอภิรมย์กับฮ่องเต้มิใช่หรือ แต่เหตุใดท่าทีของหย่งเซิงในยามนี้ช่างดูเย็นชาราวกับเขากำลังเอ่ยถึงคนอื่นที่มิใช่นางในดวงใจ

          “เจ้ารู้หรือไม่ หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ นางสนมจะต้องถูกฝังทั้งเป็นในสุสานของฝ่าบาท.. นั้นรวมถึงพระสนมเต๋อเฟยด้วย” ถึงแม้หย่งเซิงไม่คิดแต่งงานกับเหม่ยลี่ แต่คงมิอาจปล่อยให้นางต้องตายจากไปได้หรอก

          “ที่ท่านจะพูดก็คือ ท่านจะช่วยลบชื่อนางออกจากทะเบียนรายชื่อเช่นนั้นหรือ” หย่งเซิงนิ่งคิดก่อนเอ่ยถาม เขาอยากรู้ว่าท่านพ่อต้องการใช้ประโยชน์อะไรจากเขา

          “ข้าสามารถทำให้เจ้าได้” อัครเสนาบดีหย่งยกยิ้มที่เห็นหย่งเซิงให้ความสนใจกับข้อเสนอของตนแล้ว

          “เงื่อนไขของท่านคือ..”

          “เจ้าต้องอยู่ทำงานรับใช้ตระกูลหย่งชั่วชีวิต”

          หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับข้อเสนอที่เห็นแก่ตัวของอีกฝ่าย ‘รับใช้ชั่วชีวิต’ กับตระกูลที่เคยผลักไสเขากับท่านแม่หรือ หย่งเซิงพลันรู้สึกขยะแขยงเลือดในกายของตนขึ้นมา เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองมีสายเลือดเดียวกับชายแก่ตรงหน้า สายเลือดเห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก!

          “แล้วข้าจะลองคิดดู” กล่าวจบหย่งเซิงก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไปทันที

          “อาเซิง เจ้าคิดดูให้ดีเถิด ผู้ที่จะช่วยพระสนมเต๋อเฟยได้มีเพียงข้าเท่านั้น” อัครเสนาบดีหย่งยังคงพูดไล่หลัง

          หย่งเซิงบิดมุมปากเป็นรอยยิ้ม

          มันก็ไม่แน่หรอกท่านพ่อ!

 

          “อาเซิง!” หย่งเซิงชะงักเท้าก่อนจะหันไปค่อมหัวทำความเคารพหญิงสาวนางหนึ่งที่รีบสาวเท้าเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

          “พระสนม”

          “อาเซิง หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่เห็นเจ้าอีกเลย ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปแล้ว” เหม่ยลี่เอ่ยอย่างร้อนรน ตั้งแต่วันที่ฮ่องเต้เสด็จมาหานางแล้วนางมอมสุราพิษพระองค์ นางก็ไม่เห็นหน้าหย่งเซิงอีกเลย นางนึกเป็นห่วงกลัวว่าฮ่องเต้จะทรงทำอะไรหย่งเซิง

          “กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงไม่สนใจท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของเหม่ยลี่ เพียงตอบกลับอย่างเย็นชาเท่านั้น

          เหม่ยลี่หน้าเสียเล็กน้อยที่หย่งเซิงมีท่าทีเย็นชาใส่

          “พระสนม..” นางกำนัลเอ่ยเตือนด้วยความเห็นห่วง ตอนนี้ข่าวลือเรื่องพระสนมและราชองครักษ์เซิงมีความสัมพันธ์ลับกันกำลังแพร่กระจายไปทั่ววังหลวง หากมีคนมาพบเข้าว่าพระนางยืนคุยกับราชองครักษ์เซิงอย่างใกล้ชิดอีก มีหวังต้องโดนพระสนมคนอื่นในวังใช้เรื่องนี้มาหาเรื่องพระนางถึงที่เป็นแน่

          นางกำนัลมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะมีคนซุ่มจับตามองอยู่ นับตั้งแต่นายหญิงของนางขึ้นเป็นพระสนม มีนางสนมหลายคนบุกมาเยาะเย้ยถากถางไม่เว้นแต่ละวัน เพราะได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงมิได้ร่วมอภิรมย์กับพระนางในคืนนั้น

          “..อาเซิง เรามีเรื่องจะขอร้องเจ้า” เหม่ยลี่กำมือเข้าหากันแน่น กลัวว่าหย่งเซิงจะไม่ยอมรับฟัง

          หย่งเซิงจ้องมองท่าทีลังเลของเหม่ยลี่ก่อนจะพยักหน้า

          “เรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” อย่างน้อยเหม่ยลี่ก็ช่วยให้เขาวางยาพิษเหวินเจิ้งสำเร็จ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง เขาก็ตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว

          “ตามเราเข้าไปที่ตำหนักเถิด คุยที่นี้ไม่ได้” เหม่ยลี่ยิ้มดีใจ พลางชักชวนให้หย่งเซิงไปที่ตำหนัก นางอยากหาโอกาสอยู่กับหย่งเซิงสองต่อสองมานานแล้ว มีเรื่องมากมายที่นางอยากรู้ ช่วงที่ไม่ได้พบกันหย่งเซิงเป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากหรือไม่

          “มิได้นะเพคะ” นางกำนัลรีบเอ่ยห้าม หากมีใครรู้ว่าพระสนมอยู่กับราชองครักษ์ในที่ลับสองต่อสอง ข่าวลือเรื่องบัดสีต้องแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน

          “คุยที่นี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขาเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้กับตนเองเหมือนกัน

          เหม่ยลี่มีท่าทีขัดใจเล็กน้อยพลางหันไปมองค้อนนางกำนัลคนสนิท

          “อาเซิง.. เรื่องทะเบียนรายชื่อผู้ที่จะถูกฝังรวมไปกับพระศพของฝ่าบาท มีชื่อข้าด้วยหรือไม่” เหม่ยลี่เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล นางไม่อยากถูกฝังทั้งเป็น เพียงหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เคียงคู่กับหย่งเซิง ชายที่นางรัก

          “พระสนมมิต้องเป็นกังวล กระหม่อมหาทางช่วยพระสนมเอาไว้แล้ว” หย่งเซิงเอ่ยออกมาด้วยเสียงราบเรียบเช่นเดิม แต่ส่งผลรุนแรงต่อหัวใจของเหม่ยลี่นัก

          นางตื้นตันใจจนขอบตาร้อนผ่าว หย่งเซิงมีนางอยู่ในใจเช่นกันหรือ จึงได้คิดหาทางช่วยนาง แม้รู้ว่าจะต้องเสี่ยง หย่งเซิงก็ยอม.. เพื่อนาง

          “หนทางที่เจ้าคิดไว้ หากทำให้เจ้าต้องเสี่ยง เจ้าก็อย่าทำเพื่อข้าเลย” เหม่ยลี่เอ่ยทั้งที่เสียงสั่นเครือ

          “พระสนมโปรดวางพระทัย”

          ได้ยินเช่นนั้นเหม่ยลี่ก็ตื้นตันใจโผเข้ากอดหย่งเซิงอย่างลืมตัว พยายามซุกไซ้ฝังตัวเองเข้าไปในร่างกายสูงใหญ่กำยำ หัวใจรู้สึกเต็มตื้น ช่างคุ้มค่ากับการที่นางยอมเสี่ยงวางยาพิษฮ่องเต้เหลือเกิน

          “พระสนม!” นางกำลังตื่นตกใจรีบมองไปรอบด้านอย่างหวาดระแวงก่อนจะรีบเข้าไปดึงตัวพระสนมออกมา

          หย่งเซิงชะงักเล็กน้อยที่อยู่ๆเหม่ยลี่ก็โผเข้ากอด ร่างสูงใหญ่ออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถดึงเหม่ยลี่ออกจากตัวได้แล้ว หย่งเซิงจ้องหน้าเหม่ยลี่อย่างไม่ค่อยพอใจนัก

          “พระสนม สำรวมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

          เหม่ยลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติ รีบเช็ดน้ำตาอย่างเก้อเขิน นางไม่ควรใจร้อนจนเกินไป ตอนนี้นางยังเป็นพระสนมอยู่หากใครมาพบเห็นเข้าอาจจะทำให้หย่งเซิงเดือดร้อนเพราะนางก็เป็นได้

          “ข้าขอโทษ ข้าเพียงดีใจมากเกินไปหน่อย” เหม่ยลี่ยิ้มทั้งน้ำตา

          นางกำนัลคนสนิทได้แต่ถอนหายใจโล่งอกโชคดีที่ไม่ค่อยมีใครใช้เส้นทางนี้เท่าไรนัก

          “เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว” หย่งเซิงเอ่ยจบก็หันหลังจากไปทันที เหม่ยลี่ไม่เอ่ยรั้งเพียงมองแผ่นหลังสูงใหญ่เดินจากไปอย่างสุขใจ หย่งเซิงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

          “พระสนม..” นางกำนัลคนสนิทรู้สึกลำบากใจนัก “การช่วยพระสนมจะเป็นไปได้จริงหรือเพคะ”

          “ต้องได้สิ อาเซิงรับปากข้าแล้ว” เหม่ยลี่รู้สึกลำพองใจนัก

          “แต่การช่วยพระสนมนั้นคงมีเพียงวิธีเดียว..” นั้นคือหาหญิงสาวนางอื่นมาเป็นตัวตายตัวแทนของพระสนม นั้นหมายความว่าหญิงสาวผู้นั้นต้องถูกฝังทั้งเป็นแทน วิธีการนี้ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ

          “ขอเพียงข้าได้ครองคู่กับอาเซิง เรื่องอื่นใดข้าล้วนไม่สนใจ” เหม่ยลี่เอ่ยออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม นางกำนัลคนสนิทได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

          ที่ด้านหลังภูเขาจำลองไม่ไกลจากเหม่ยลี่และนางกำนัลคนสนิทมีเงาร่างสองร่างกำลังนั่งอยู่ ทั้งสองคนต่างได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของคนทั้งสาม

          “ฝ่าบาท..” เสียงแหบทุ้มเพราะความแก่ชราดังขึ้น น้ำเสียงเจือความกังวลไม่น้อย

          “ไม่นึกเลยว่าการออกมาเดินเล่นตามลำพังของเราจะทำให้พบเรื่องน่าสนใจเข้า” น้ำเสียงที่ตอบกลับฟังดูอ่อนล้าไม่น้อย

          เหวินเจิ้งค่อยๆลุกขึ้นโดยมีสวี่กงกงช่วยพยุง เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากด้านหลังของภูเขาจำลองก็ไม่พบใครแล้ว

          “.. ฝ่าบาท กลับตำหนักกันเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงมองใบหน้าเผือกสีของเหวินเจิ้งอย่างเป็นกังวล

          เหวินเจิ้งไม่ตอบเพียงมองไปทางที่ร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงลับหายไป วันนี้เขารู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก จึงแอบออกมาเดินเล่น เมื่อรู้สึกหน้ามืดจึงไปนั่งพักข้างหลังภูเขาจำลอง ไม่นึกเลยว่าจะมาได้ยินบทสนทนาของหย่งเซิงและพระสนมเต๋อเฟยเข้า

          สิ่งที่เขาสงสัยได้รับความกระจ่างแล้ว พวกเขาสองคนรักกัน หย่งเซิงและพระสนมเต๋อเฟย..

          หย่งเซิง ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะใช้วิธีไหนช่วยคนรักของเจ้า..

          เหวินเจิ้งบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มทั้งที่ใบหน้าซีดเซียว ในสายตาของสวี่กงกงรอยยิ้มนี้ช่างดูอดสูนัก

          “ฝ่าบาท..”

          “ไปเถิด” เหวินเจิ้งหันมายิ้มให้สวี่กงกงก่อนจะหมุนกายเดินนำไป สวี่กงกงมองแผ่นหลังตั้งตรงอย่างเวทนา ในเวลาแบบนี้พระองค์ก็ยังทรงไม่ยอมพึ่งพากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ..



          “ฝ่าบาท” หย่งเซิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาทันทีที่เห็นร่างโปร่ง

          เหวินเจิ้งยกยิ้มเป็นการตอบรับ

          “เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูแตกตื่นนัก” หย่งเซิงขมวดคิ้วมองใบหน้าคนพูด ยามนี้เหวินเจิ้งอ่อนแอลงมาก ใบหน้าที่เคยเปล่งปลั่งบัดนี้ซีดเซียวจนขาวเผือก ร่างกายผ่ายผอมไร้เรี่ยวแรง ยามเดินก็ยังเดินได้อย่างเชื่องช้าบางครั้งก็ซวนเซจนเกือบจะล้ม นัยน์ตาดำขลับที่เคยสุกใสก็หมองจาง มีเพียงแผ่นหลังเท่านั้นที่ยังคงตั้งตรงอย่างสง่างาม

          เหวินเจิ้งยามนี้มิใช่เทพเซียนอย่างกาลก่อน เป็นเพียงมนุษย์รูปงามที่อ่อนแอบอบบางเท่านั้น

          “ฝ่าบาทหายไปจากตำหนัก มิใช่เรื่องที่ควรแตกตื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ตนเองเผลอตะโกนต่อว่าอีกฝ่ายออกไป ตอนที่กลับมาที่ตำหนักแล้วรู้ว่าเหวินเจิ้งหายไปนั้นมีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเขาว้าวุ่นสับสนด้วยความเป็นห่วงแค่ไหน สมองเขาราวกับถูกฟาดด้วยของแข็ง หัวใจหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่มแทบอยากจะจับทหารยามมาฉีกเป็นชิ้นๆข้อหาปล่อยให้เหวินเจิ้งแอบหนีออกไปนอกตำหนักได้ เหวินเจิ้งยามนี้อ่อนแอลงมาก เป็นโอกาสของเจ้าพวกขุนนางชั่วโฉดที่อาจจะอาศัยจังหวะนี้ก่อการกบฏ

          หากเกิดอะไรขึ้นกับเหวินเจิ้ง เขาจะเป็นคนแรกที่จะจับพวกขุนนางมาฉีกเป็นชิ้นๆ!

          “กังวลเกินไปแล้ว” เหวินเจิ้งเอื้อมมือมาสัมผัสผิวแก้มที่แสนอบอุ่นของหย่งเซิง หย่งเซิงสะดุ้งกับอุณหภูมิที่เย็นเหยียบบนฝ่ามืออีกฝ่าย ก่อนจะเป็นฝ่ายกุมมือเย็นเฉียบนั้นด้วยความสงสาร

          เหวินเจิ้งไม่สนใจสายตาตื่นตระหนกของนางกำนัลและขันที เพียงเดินเข้าไปในตำหนักทั้งที่หย่งเซิงยังคงจับมือของตนอยู่

          ขอเพียงแค่หย่งเซิงเป็นของเขายามที่อยู่กับเขาก็พอ นอกจากนั้นเขาจะพยายามไม่สนใจสิ่งอื่นใด เวลาของเขาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้ขอให้เขาได้ตักตวงความอบอุ่นจากอีกฝ่ายสักหน่อยเถิด

          หย่งเซิงเพียงปล่อยให้เหวินเจิ้งลากตนเข้าไปในตำหนัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น มือร่างบางเหยียบเย็นเสียจนน่ากลัว ความเย็นจากมือข้างนี้ส่งตรงถึงหัวใจของเขา ราวกับหัวใจของเขาถูกแช่แข็งไปด้วย

          ยิ่งเห็นร่างโปร่งเจ็บปวดและอ่อนแอลงเขาก็ยิ่งใจหาย หากเป็นไปได้ ให้เขาเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียยังจะดีกว่า

          “เจ้ากลับมาจากจวนอัครเสนาบดีหย่งหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพลางค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีหย่งเซิงช่วยพยุง

          ระยะนี้พิษออกฤทธิ์ถี่ขึ้น ร่างกายหนาวเย็นตลอดเวลา เรี่ยวแรงของเขาก็เริ่มหดหาย ยามหายใจเข้าก็รู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง บางครั้งก็ไอออกมาเป็นเลือด

          ไม่นึกเลยว่ายามต้องพิษจะรู้สึกทรมานเช่นนี้ หากรู้แต่แรกให้หย่งเซิงฟันเขาในตายในดาบเดียวเสียจะดีกว่า

          “พระองค์ซูบผอมลงไปอีกแล้ว” หย่งเซิงไม่ตอบกลับเปลี่ยนเรื่องแทน

          “เจ้าจะตำหนิที่เราไม่ค่อยกินข้าวอีกแล้วหรือ” เหวินเจิ้งพูดกลั้วหัวเราะ หลังจากต้องพิษเขาก็เกิดอาการเบื่ออาหารกินอะไรไม่ค่อยลง จนหย่งเซิงทนไม่ได้ต้องมานั่งคอยกำกับให้เขากินข้าวทุกที

          เหวินเจิ้งลูบมืออันอบอุ่นของหย่งเซิงเล่น รู้สึกสุขใจเพียงหย่งเซิงยอมให้เขานั่งจับมือเล่นเขาก็มีความสุขขนาดนี้แล้ว นับวันเขายิ่งหวังน้อยลงน้อยลงทุกที หากมีชีวิตอยู่ต่อไปเขาอาจจะหวังน้อยจนแทบไม่หวัง ออกบวชเป็นพระไปเลยก็ได้

          หย่งเซิงขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเพียงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นร่างโปร่งผายผอมลงไปมากกว่านี้ เขาปวดใจจนแทบบ้าอยู่แล้ว

          “เวลานี้เจ้าเป็นเพียงความสุขเดียวของเรา.. ดังนั้นอย่าตำหนิเราเลยนะ” เหวินเจิ้งจับมือของหย่งเซิงมาทาบกับหน้าตนพลางยิ้มอย่างออดอ้อน

          หย่งเซิงใจอ่อนยวบก้มลงประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบาทั้งขบกัดและเน้นย้ำ พยายามยับยั้งชั่งใจมิให้รุนแรงเกินไปนัก เขาไม่อยากให้มันกับส่งผลกระทบกับร่างกายที่อ่อนแอของอีกฝ่าย

          เหวินเจิ้งหลับตานิ่ง เพียงรับสัมผัสอันอบอุ่นของอีกฝ่าย ให้ความอบอุ่นบรรเทาความเจ็บปวดทางกายและทางใจ

          แม้จะรู้ว่ามันช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่ในบางเวลาหากความเจ็บปวดมันจางหายไปบ้าง ให้เขาได้มีโอกาสพักหายใจบ้าง เท่านั้นก็พอแล้ว..



-------------------------------------------------

ฮ่องเต้ทรงพระอ้อนหย่งเซิง 5555555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #104 เมื่อ24-05-2017 23:40:35 »

หย่งเซินจะทำอะไรกันแน่ สงสารฮ่องเต้อ่าาา

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #105 เมื่อ24-05-2017 23:58:56 »

สงสารฮองเต้อ่ะเราว่าถ้าจะเป็นแผนมันหน้าจะมีวิธีดีกว่านั้น ขุนนางหนุ่มหล่ออีกคนไปไหนอ่ะมาช่วยฮองเต้เร็วพระเอกเรามันไม่ได้เรื่องเลย

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #106 เมื่อ25-05-2017 01:49:25 »

 :hao5:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #107 เมื่อ25-05-2017 05:05:52 »

อึดอัดใจจจจจจจจจจจจจจ
เฮียหย่งจะทำอะไรก็ทำซักอย่างซักทีเถอะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #108 เมื่อ25-05-2017 14:16:51 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ April❤

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #109 เมื่อ26-05-2017 21:41:47 »

 :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
« ตอบ #109 เมื่อ: 26-05-2017 21:41:47 »





ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #110 เมื่อ26-05-2017 21:43:11 »

 :hao5: :hao5: :hao5:  :pig4:

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #111 เมื่อ27-05-2017 01:18:57 »

แผนพี่หย่งชัวร์ เดี๋ยวพอทุกอย่างผ่านไปก็คงจะขุนฮ่องเต้แน่ๆ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #112 เมื่อ27-05-2017 07:13:31 »

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #113 เมื่อ27-05-2017 07:45:01 »

สงสารฮ่องเต้อ่ะ ไม่อยากให้ตายเลย ฮือ...

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
«ตอบ #114 เมื่อ01-06-2017 15:40:04 »

บทที่ 12 เหวินอี้

             “จะไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มฟังดูเหี้ยมเกรียมดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เหวินเจิ้งสะดุ้งโหยง

             “หย่งเซิง เจ้าเองหรือ” เหวินเจิ้งยิ้มเจื่อนพลางหันข้างหลัง เห็นหย่งเซิงเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามา

              “ฝ่าบาท นี้มิใช่เวลาจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกนะพ่ะย่ะค่ะ”

             เขาโกรธจนแทบกระอักเลือด ตั้งแต่เหวินเจิ้งล้มป่วยก็สั่งให้เขาคอยเฝ้าอยู่ด้านในห้องทรงพระอักษรเสมอ นี้เป็นครั้งแรกที่เหวินเจิ้งให้เขาออกมาอยู่นอกห้อง เขารู้สึกสังหรณ์ใจเลยเดินตรวจตารอบตำหนักทำให้เห็นร่างโปร่งที่วันนี้เชื่องช้ากว่าทุกทีกำลังเหินตัวออกนอกวัง

             ในสภาพร่างกายย่ำแย่เช่นนี้ เจ้าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ยังคิดจะออกไปนอกวัง! แค่เพียงคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหวินเจิ้งก็ทำเอาเขาร้อนใจจนโทสะซุ่มอกด้วยความเป็นห่วง

             “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เหวินเจิ้งถามแก้เก้อเหมือนเด็กที่โดนจับโกหกได้

             “กระหม่อม มิได้โง่งม” เขาไม่บอกเหวินเจิ้งหรอก หากบอกไปอีกฝ่ายต้องหาวิธีที่ทำให้เขาจับไม่ได้แน่นอน

             เหวินเจิ้งถอนหายใจเบาๆทั้งที่ริมฝีปากยังยกยิ้ม

             “เช่นนั้น เจ้าก็ปล่อยเราไปสักครั้งเถิด” เขาเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ช่างน่าขันที่ต้องมาขอร้องราชองครักษ์ของตนเอง

             หย่งเซิงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งก่อนตอบ

              “เช่นนั้นต้องให้กระหม่อมไปด้วย” เขาคงห้ามฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ขอตามไปด้วยเลยจะดีกว่า

             “วันนี้เจ้าจะตามเราไปในฐานะอะไรหรือ” เหวินเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนถาม น้ำเสียงแลดูจริงจังกว่าทุกครั้ง หย่งเซิงรู้ในทันทีว่าคำตอบของเขาจะเป็นตัวชี้ชะตาว่าเขาจะได้ตามอีกฝ่ายไปหรือไม่

             “ทุกฐานะที่ท่านอยากให้ข้าเป็น” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เหวินเจิ้งใจอ่อนยวบ พลันความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว เหวินเจิ้งหน้าแดงเรื่อจนหย่งเซิงสงสัยต้องยกมือขึ้นนาบที่หน้าผากของเหวินเจิ้งด้วยความเป็นห่วง

             เหวินเจิ้งรีบจับมืออบอุ่นนั้นไว้มั่นก่อนจะเอ่ยบางอย่างเสียงเบาเสียจนหย่งเซิงต้องก้มหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย

             “อะไรนะ”

             “…” เสียงเหวินเจิ้งยังคงแผ่วเบา

             “ข้ามิได้ยิน” หย่งเซิงขมวดคิ้วแน่น

             เหวินเจิ้งตวัดสายตาขึ้นมามองหย่งเซิงทั้งเขินอายทั้งงุ่นง่าน

             “ข้าบอกว่า.. หากเจ้าเรียกข้าว่าอาเจิ้ง ข้าจะยอมให้เจ้าไปด้วย” หย่งเซิงเบิกตากว้าง หัวใจพลันท่วมท้นด้วยความอ่อนหวาน ที่แท้ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ก็อย่างให้เขาเรียกชื่ออย่างสนิทสนม

             หย่งเซิงยิ้มจนดวงตายักโค้งพลางยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหูนิ่ม

             “อาเจิ้ง ให้ข้าไปกับท่านเถิด” เหวินเจิ้งหน้าเห่อร้อนทันทีที่ได้ยิน ทั้งรู้สึกชื่นช่ำและอ่อนหวานจวนเจียนจะละลาย หัวใจที่กำลังเจ็บปวดเต้นแรงจนต้องเอามือแนบอก
             
             “ชะ.. เช่นนั้นก็ไปเถิด” เหวินเจิ้งรีบพูดจนลิ้นพันกัน หย่งเซิงมองท่าทางน่ารักนั้นอย่างสุขใจก่อนจะอุ้มร่างโปร่งขึ้นมาแนบอก เหวินเจิ้งดวงตาเบิกกว้างจ้องมองดวงตาดำสนิทอย่างสงสัย

             “สีหน้าท่านไม่ค่อยดี ให้ข้าอุ้มท่านไปเถิด อาเจิ้ง” เหวินเจิ้งใจอ่อนยวบ เพียงพยักหน้าเบาๆหนึ่งครั้ง ยกหย่งเซิงก็ยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะอุ้มเหวินเจิ้งพลิ้วกายจากไป

             ดวงตาดำสนิทฉายแววเอ็นดูร่างโปร่งในอ้อมกอด ยามว่าง่ายก็น่ารักนัก
             
               
             ยิ่งมาตามทางที่ร่างในอ้อมกอดบอก เขาก็ยิ่งสงสัย ที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้คือป่าไผ่แถวชานเมือง ปกติเหวินเจิ้งจะลอบออกจากวังหลวงในยามกลางคืนเท่านั้น แต่วันนี้กลับออกมาตอนกลางวันแสกๆ
แถมช่วงนี้ในเมืองหลวงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรร้ายแรงให้อีกฝ่ายต้องออกมาดู แล้วเหตุใดเหวินเจิ้งต้องยอมเสี่ยงออกมาเช่นนี้

             “ปล่อยข้าลงตรงนี้เถิด” สรรพนามแสดงความสนิทสนมทำให้หย่งเซิงลอบยิ้ม ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

             “ที่นี้คือ” ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ ดูเรียบร้อยและสะอาดตา

             เหวินเจิ้งหันมามองหย่งเซิงพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวคำพูดที่ทำให้หย่งเซิงใจหาย

             “เจ้าฆ่าข้าเสีย”

             “ทำไม” หย่งเซิงกดเสียงต่ำ

             “นับจากตรงนี้ไป มีเพียงคนของข้าเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้” หย่งเซิงจ้องมองสายตาที่แน่วแน่ของเหวินเจิ้ง พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ

             ในบ้านหลังนั้นคงซ่อนใครบางคนเอาไว้ หากเขาเป็นสายของท่านพ่อก็ต้องฆ่าเหวินเจิ้งเสียแต่ตอนนี้ แต่หากมิใช่เขาจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

             “นับแต่นี้ข้าเป็นคนของท่าน” หย่งเซิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

             “ขอแค่เรื่องนี้เท่านั้น.. ข้าหวังว่าเจ้าจะพูดความจริง” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางถอนหายใจ ตอนนี้เขาเหลือเวลาอีกไม่มาก ไม่มีเวลามาหวาดระแวงสงสัยอีกแล้ว

             หย่งเซิงรู้สึกคันคะเยอในใจที่เหวินเจิ้งไม่เชื่อใจเขา แต่ก็ไม่พูดอะไรเพียงเดินตามเหวินเจิ้งไปยังหน้าบ้านหลังนั้น

             เหวินเจิ้งยกมือขึ้นเคาะประตูเป็นจังหวะสองสามครั้งประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เยี่ยมหน้าออกมานอกประตู

             เด็กหนุ่มคนนั้นมีผิวที่ขาวผ่องรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสุกใสเปล่งรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่อย่างที่ชนชั้นสูงมักจะมี หย่งเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย เด็กคนนี้จะว่าไปก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเหวินเจิ้งถึงหกส่วน เพียงแต่รูปร่างดูองอาจกำยำมากกว่า

             “ท่านน้า” เด็กหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อยที่วันนี้ท่านน้าของเขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว แถมหน้าตาก็ดูซีดเซียวจากตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย “ท่าน.. ไม่สบายหรือ”

             “อาอี้ เข้าไปคุยข้างในดีหรือไม่ ตรงนี้หนาวเหลือเกิน” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้า เด็กหนุ่มรีบหลีกทางให้เหวินเจิ้งทันที ทั้งยังแอบเหลือบตามองหย่งเซิงอย่างหวาดระแวง จนเหวินเจิ้งต้องเอ่ยเพื่อคลายความสงสัย “นี้คือหย่งเซิง คนของเรา”

             เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายคือคนจากตระกูลหย่ง แต่ในเมื่อท่านน้าบอกว่าเป็นคนของท่านน้าเขาก็ไม่คิดติดใจสงสัย

             “ข้าชื่อ เหวินอี้” เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าเหวินอี้เอ่ยแนะนำตัวอย่างมีมารยาท

             หย่งเซิงหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย เด็กนี้ใช้สกุลเหวิน เช่นนั้นก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ ทีแรกเขาแอบคิดว่าเด็กหนุ่มอาจเป็นลูกของเหวินเจิ้งเพราะใบหน้าที่คล้ายคลึง แต่พอคิดดูอีกที เด็กนี้ก็อายุมากเกินกว่าจะเป็นลูกของเหวินเจิ้งได้

             “ข้าหย่งเซิง” หย่งเซิงเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจเพียงเดินเข้าไปในตัวบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายมีเพียงของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น

             “เพ่ยหลินเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เพียงเดินไม่นานเขาก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว

             “ออกไปเก็บสมุนไพรขอรับ.. ท่านน้าใบหน้าของท่านซีดเซียวเหลือเกิน” เหวินอี้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ท่านน้าในความทรงจำของเขางดงามเปล่งปลั่งราวกับเทพเซียน แต่ยามนี้กลับดูอ่อนแรงเสียจนน่าใจหาย

             “เราอายุมากแล้วจะให้วิ่งมาที่ชานเมืองโดยเหงื่อไม่ออกหน้าไม่ซีดได้อย่างไร” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะ

             “ท่านน้า ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับ” เหวินอี้ขมวดคิ้วแน่น ท่านน้าของเขาวิชาตัวเบาล้ำเลิศเพียงใด เขานั้นประจักษ์แจ้งแก่ใจดี อีกอย่างท่านน้ามิได้อายุมากถึงเพียงนั้น จะมาบอกว่าหน้าซีดเพียงเพราะวิ่งมาที่ชานเมืองจะให้เขาเชื่อได้อย่างไร ขนาดหย่งเซิงที่มาด้วยกันยังไม่หอบเลยแม้แต่น้อย ท่านน้ากำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากเขา

             ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว เหวินอี้หน้าซีดลงเล็กน้อย หรือว่าท่านน้าจะ..

             ราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ เหวินเจิ้งพยักหน้ารับ

             “เหวินอี้ ได้เวลาแล้ว.. หากเจ้ายังมิเปลี่ยนใจล่ะก็” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มไม่สนใจดวงหน้าที่ซีดลงของเด็กหนุ่ม

             “ท่าน..” กำลังจะตายหรือ เด็กหนุ่มได้แต่ต่อประโยคหลังในใจ แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าสักวันท่านน้าของเขาจะต้องวิ่งเข้าหาความตายสำเร็จในที่สุด แต่เขาไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ เหวินอี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้า “ข้าไม่มีวันเสียใจขอรับ”

             น้ำเสียงมั่นคงไร้ซึ่งความลังเลทำให้เหวินเจิ้งห้วนนึกถึงพ่อของเหวินอี้ พี่สามเองก็แน่วแน่มั่นคงเช่นนี้เหมือนกัน

             “เช่นนั้นก็ดี..”

             แอ๊ด

             สิ้นเสียงพูดของเหวินเจิ้งประตูบ้านก็เปิดออกเผยให้เห็นบุรุษอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่ง คนผู้นั้นมีผมยาวสลวย ผิวขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากอิ่มแดง พูดได้ว่าเป็นบุรุษที่สวยงามมากกว่าหล่อเหลา

             ชายหนุ่มผู้นั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในบ้าน

             “ฝ่าบาท!” ชายหนุ่มรีบคุกเข่าอย่างล้นลาน จนสมุนไพรที่เก็บอยู่ในย่ามหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น

             “เพ่ยหลิน ไม่ต้องมากพิธี” เหวินเจิ้งชินชาเสียแล้วกับท่าทีล้นลานของเพ่ยหลินที่มีต่อเขา

             “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” เพ่ยหลินก้มหน้านิ่งไม่ยอมขยับจนเหวินอี้ทนไม่ไหวต้องรีบฉุดเพ่ยอี้ขึ้นมาจากพื้น

             “พี่หลิน สมุนไพรของท่านกระจัดกระจายหมดแล้ว” เหวินอี้เอ็ดเสียงเบาพลางก้มลงเก็บสมุนไพรกลับใส่ย่าม เพ่ยหลินเห็นเช่นนั้นก็รีบโบกมือห้าม

             “ท่านอี้ไม่ต้อง ให้ข้าเก็บเองเถิด” เพ่ยหลินรีบก้มลงเก็บสมุนไพรจนหัวโขกกับคางของเหวินอี้เข้าอย่างจัง

             “โอ้ย..” เหวินอี้กุมคางพลางร้องออกมาเบาๆ เพ่ยหลินเห็นเช่นนั้นใบหน้าก็ยิ่งซีด

             “ท่านอี้ ขะ.. ข้าจะต้มยารักษาให้ท่าน” เอ่ยจบเพ่ยหลินก็วิ่งหายออกไปทันที

             “ไม่ต้อง พี่หลิน..” เหวินอี้จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่ถอนหายใจทั้งฉุนทั้งขัน

             “พวกเจ้าสนิทสนมกันดีนะ” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้าพลางลุกขึ้นมาช่วยเหวินอี้เก็บสมุนไพรที่กระจัดกระจายบนพื้น หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะก้มลงมาช่วยอีกคน

             ร่างสูงรู้สึกขัดแย้งในใจนัก ทั้งที่ไม่อยากให้เหวินเจิ้งออกแรงมาก แต่ก็ตัดใจห้ามไม่ลง ทำได้เพียงปล่อยให้เหวินเจิ้งทำตามใจตัวเองส่วนเขาก็ช่วยแบ่งเบาภาระเท่าที่จะช่วยได้

             “ท่านเห็นเป็นเช่นนั้นหรือ” เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

             “เพ่ยหลิน.. จะตามเจ้าไปด้วยไหม” มือที่กำลังเก็บสมุนไพรของเหวินอี้ชะงักเล็กน้อย

             “.. ที่ข้าไปเพราะเพ่ยหลินเองก็ต้องการเช่นนั้น” เหวินเจิ้งจ้องใบหน้าที่แน่วแน่ของเหวินอี้

             “เช่นนั้น บัลลังก์ของเจ้าก็คงไม่โดดเดี่ยวเกินไปนัก” เด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้ามาสบตาเหวินเจิ้ง พลางเอ่ยทั้งรอยยิ้ม

             “ขอรับ”

             เหวินเจิ้งเพียงยิ้มตอบกลับเท่านั้น เมื่อเก็บสมุนไพรจนเรียบร้อยแล้วเหวินเจิ้งก็ลุกขึ้น

             “อีกสามวันให้หลังเราจะมาอีก” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็เดินออกจากบ้านโดยมีหย่งเซิงตามไปติดๆ

             “ท่านหย่งเซิง” หย่งเซิงชะงักเท้าหันมาเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม เห็นเด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดใจพูดไม่ได้เสียทีจนหย่งเซิงหมดความอดทน

             “วางใจเถิด ท่านน้าของเจ้าอยู่ในความดูแลของข้า” หย่งเซิงเดินเขามาหาเด็กหนุ่มพลางยื่นขวดหยกเล็กๆให้ก่อนจะเอ่ยต่อ “เหวินเจิ้งจะไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป”

             กล่าวจบหย่งเซิงก็เดินจากไปทันที เหวินอี้ได้แต่ก้มหน้ามองขวดหยกที่อยู่ในมืออย่างสงสัย

             “นั้นขวดอะไรเหรอ” เพ่ยอี้สะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆเพ่ยหลินก็โผล่หน้ามาจากด้านหลัง

             เหวินอี้หัวใจเต้นโครมคราม พี่หลินช่างทำให้คนให้ตกอกตกใจเสียจริงๆ เพราะเพ่ยหลินยื่นหน้ามาใกล้มากทำให้เหวินอี้อดไม่ได้ที่จะมองริมฝีปากแดงเรื่อของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะรีบหันหน้าหนี

             “ผะ.. ผู้ติดตามของท่านน้าให้มา”

             เพ่ยหลินเอียงคอมองท่าทีแปลกประหลาดของเหวินอี้ก่อนจะยกชามยายื่นไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

             “ข้าต้มยามาให้ท่าน” เหวินอี้อยากจะบอกเพ่ยหลินว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บถึงขนาดต้องกินยา แต่พอเห็นท่าทางใสซื่อของอีกฝ่ายก็ใจอ่อนต้องยื่นมือไปรับก่อนจะซดทีเดียวหมดชาม

             เพ่ยหลินยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นเหวินอี้ดื่มยาของตนจนหมดพลางรับชามยาไปวางไว้ที่โต๊ะ

             “ฝ่าบาทรีบกลับเหลือเกิน ข้าคิดว่าจะตรวจชีพจรให้พระองค์เสียหน่อย” เพ่ยหลินเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างเป็นห่วง วันนี้เขาเห็นใบหน้าของเหวินเจิ้งดูซีดเซียวเสียจนน่าเป็นห่วง

             “...” เหวินอี้หน้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเหตุผลที่ท่านน้าดูอ่อนแรง

             “ฝ่าบาทจะมาอีกวันไหนหรือ ข้าจะได้ออกไปเก็บสมุนไพรมาเตรียมไว้”

             “.. อีกสามวัน” เหวินอี้วางขวดหยกไว้บนโต๊ะพลางจ้องมันไม่วางตา ไม่รู้ว่าในขวดหยกใส่อะไรไว้กันแน่ และเกี่ยวอะไรกับความเหน็ดเหนื่อยของท่านน้า

             เพ่ยหลินเห็นเหวินอี้จ้องมองขวดหยกไม่วางตาจึงหยิบขึ้นมาดูก่อนจะเปิดฝาขวดอออก กลิ่นหอมบางอย่างลอยตลบอบอวลออกมาทันที

             “นี้มัน!!” เพ่ยหลินอุทานอย่างตกใจ

             เหวินอี้มองท่าทางตะลึงตะลานของเพ่ยหลินด้วยความงุนงง

             “ในขวดมันคืออะไรหรือ”

             เพ่ยหลินตาเป็นประกายพลางหันมาทางเหวินอี้ด้วยท่าทางดีอกดีใจ

             “นี้คือยาวิเศษหายาก กว่าจะเก็บส่วนประกอบของมันได้ทั้งหมดนั้นไม่ง่ายเลย ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสยานี่”   

             “แล้วมันคือยาอะไรกัน” พอเห็นท่าทางดีอกดีใจของเพ่ยหลินเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้


             “มันคือ..”



---------------------------------------------------------

ตัวละครลับโผล่มาแล้ววว

เรื่องนี้ใกล้จบเข้าไปทุกทีแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามกันนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #115 เมื่อ01-06-2017 17:29:57 »

อ้าวววว อย่าเพิ่งตัดฉับสิ งื้ออออ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #116 เมื่อ01-06-2017 17:37:50 »

 :pig4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #117 เมื่อ01-06-2017 20:00:10 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #118 เมื่อ01-06-2017 20:30:37 »

 o22

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #119 เมื่อ01-06-2017 21:47:57 »

อ้าวๆทิ้งให้ค้างอีกแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด