บทที่ 10 สมหวัง
“โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกเท่าไร เพียงไม่กี่วันก็ถอดผ้าพันแผลได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งให้คนต้มยาเผื่อเอาไว้ หากฝ่าบาททรงรู้สึกปวดแผลก็ให้จิบทีละน้อย” หมอหลวงเอ่ยอย่างนอบน้อมหลังจากรักษาบาดแผลที่ข้อมือของฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อย
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปได้แล้ว” เหวินเจิ้งโบกมือไล่หมอหลวงอย่างเกียจคร้าน หมอหลวงเห็นเช่นนั้นก็รีบโค้งกายถอยออกไปจากตำหนักบรรทม
“สวี่กงกง..” เหวินเจิ้งเอื้อมมือไปหยิบเศษผ้าที่เปื้อนเลือดขึ้นมาดู
เศษผ้านี้คือชายแขนเสื้อของหย่งเซิงที่ฉีกมาทำแผลให้เขา เมื่อนึกถึงสีหน้าโกรธขึงของอีกฝ่าย เหวินเจิ้งก็อดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ คนผู้นี้กำลังโกรธเพราะเขา ความคิดนี้ทำให้เขาอารมณ์ดีนัก
อารมณ์ความรู้สึกของเขาถูกผูกติดกับอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว..
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้
“นับแต่นี้มอบหน้าที่ราชองครักษ์ทั้งหมดให้หย่งเซิงเสีย” เหวินเจิ้งไล่นิ้วมือไปตามชายผ้าอย่างสุขใจ
“ฝ่าบาท..” หากพระองค์ไม่มีราชองครักษ์คอยรับใช้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำเช่นไร
“มีราชองครักษ์หลายคนก็เท่ากับมีมือสังหารหลายคนมิใช่หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่สายตายังคงจ้องมองเศษผ้า
สวี่กงกงชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“หากฝ่าบาทพอใจ กระหม่อมจะหาคนที่.. ไว้ใจได้มารับตำแหน่งราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ”
“สวี่กงกง คนที่ไว้ใจได้ไม่มีอีกแล้วในวังหลวงแห่งนี้ ดูอย่างหมอหลวงผู้นั้นสิทำหน้าดีใจใหญ่เชียวเมื่อเห็นว่าเราโดนวางยาพิษ”
“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ!” สวี่กงกงอุทานด้วยความตกใจจนร่างกายสั่นเทิ้ม
“เราโดนวางยา”
“ได้.. ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” อาหารทุกมื้อของฝ่าบาทมีเขาคอยดูแลอย่างเข้มงวด แล้วฝ่าบาทจะโดนวางยาได้อย่างไร
“เอาเป็นว่าเรารู้ก็แล้วกัน” เมื่อเห็นทาทางตื่นตระหนกของสวี่กงกงเหวินเจิ้งก็เอ่ยปลอบ “อย่าตระหนกไป เราไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”
จากที่เขาสังเกต ร่างกายเขาเพียงอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง บางครั้งรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่บ้าง
มุมปากเหวินเจิ้งบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างเย้ยหยัน
สวี่กงกงจนด้วยคำพูด ความตายเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทถวิลหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วเขาจะไปห้ามฝ่าบาทได้อย่างไร เมื่อไม่นานมานี้เขาพึ่งมีความหวังเพราะฝ่าบาทดูมีความสุขมมากขึ้นเมื่ออยู่ใกล้หย่งเซิง แต่ดูเหมือนตอนนี้ความหวังนั้นจะริบหรี่เสียจนมองแทบไม่เห็น
“สวี่กงกง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหย่งเซิงให้เราที” เหวินเจิ้งสอดเศษผ้าเปื้อนเลือดเอาไว้ใต้หมอนอย่างถะนุถนอม
สวี่กงกงมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ ก่อนจะรับคำแล้วขอตัวออกไปตามหย่งเซิง ไม่นานหย่งเซิงก็ตามหลังสวี่กงกงเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยถามทันทีที่เห็นใบหน้าซีดขาวของเหวินเจิ้ง ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก ทว่าน้ำเสียงที่ถามออกไปเจือความร้อนรนไม่น้อย
“เราไม่เป็นไร น่าเสียดายที่เราตายยากกว่าที่คิด” เหวินเจิ้งยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่าย
“…” หย่งเซิงไม่ตอบเพียงจ้องมองผ้าพันแผลที่ข้อมือของเหวินเจิ้งนิ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจนแทบดูไม่ออก
“หย่งเซิง นับแต่วันนี้ไปเจ้าก็เข้ามาอารักขาเราในห้องบรรทมเถิดนะ”
หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เหวินเจิ้งหมายความว่าให้เขานั่งเฝ้าพระองค์ยามหลับหรือ
“เราไล่องครักษ์พวกนั้นไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าคนเดียว ไหนๆเราก็ปูนบำเหน็จให้เจ้าเสียมากมาย เข้ามานั่งเป็นเพื่อนเรายามหลับเสียหน่อยได้หรือไม่.. หากเจ้าเงียบเราจะถือว่าเจ้าตอบตกลงนะ”
ใบหูหย่งเซิงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยทว่าไม่ได้ปฏิเสธ
“..ดี” เมื่อเห็นหย่งเซิงมิได้ปฏิเสธเหวินเจิ้งก็คลายมือที่กำเข้าหากัน พลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งสวี่กงกง “เราจะนั่งอ่านฎีกาที่นี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงออกไปยกฎีกาทั้งหมดมาไว้บนโต๊ะก่อนจะฝนหมึกเตรียมไว้ให้เหวินเจิ้งอย่างใส่ใจ
“ฝ่าบาทควรพักผ่อน” หย่งเซิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเหวินเจิ้งเดินตรงมายังโต๊ะเขียนอักษร
“เราเพียงโดนบาดเล็กน้อย มิได้โดนตัดแขนเสียหน่อย” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางกวักมือเรียกให้หย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้ๆ
หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปหาออย่างว่าง่าย
“นั่งสิ” เหวินเจิ้งผายมือให้หย่งเซิงนั่งฝั่งตรงข้ามกับตน ก่อนจะหันไปโบกมือไล่สวี่กงกงให้ออกจากห้องไป
หย่งเซิงยอมนั่งลงแต่โดยดีในขณะที่ดวงตาดำสนิทยังคงจับจ้องมาที่ใบหน้างดงามของเหวินเจิ้งอย่างไม่พอใจ
“ที่เราบอกว่าชอบให้เจ้ามอง เรามิได้โกหก” เหวินเจิ้งยกยิ้มจนดวงตายักโค้ง ท่าทางน่ารักออดอ้อนทำให้หัวใจหย่งเซิงอ่อนยวบรีบหลุบตาลงต่ำซ่อนประกายประหลาดเอาไว้
“หย่งเซิง.. เจ้าไม่ชอบเราก็ไม่เป็นไร เจ้ามีหญิงที่พึงใจแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าเราจะสิ้นลม ไม่ว่าจะด้วยฐานะมือสังหาร องครักษ์.. หรือบ่อน้ำของเรา เราล้วนพอใจทั้งนั้น” น้ำเสียงจริงใจไร้แววหยอกล้ออย่างทุกครั้งทำให้หย่งเซิงเงยหน้าขึ้นสบตาเหวินเจิ้ง ในดวงตาดำขลับคู่สวยฉายแววสุขใจ ไม่มีความสิ้นหวังอย่างที่เขาเคยเห็นในสวนบัวอีกแล้ว
หย่งเซิงรู้สึกวูบโหวง เขารู้ความหมายของอีกฝ่าย เหวินเจิ้งเลือกที่จะมีความสุขก่อนที่ความตายจะมาเยือน และเลือกให้เขาอยู่เคียงข้างแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนสั่งให้เหม่ยลี่วางยาก็ตาม
“ทรงรู้.. ว่าเป็นข้าหรือ” หย่งเซิงถามเสียงเบาหวิว
“เราชอบเจ้า หากชีวิตเราทำให้แม่ของเจ้าได้สมปรารถนาก็ช่างเถิด” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงเบาคล้ายกับจะปลอบโยน “เราเคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าหากถึงเวลาเจ้าอย่าได้ลังเล.. เจ้าไม่ทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ”
เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางกางฎีกาออก
หย่งเซิงร่างกายสั่นสะท้าน ฮ่องเต้ผู้นี้ชอบเขา ชอบเขาทั้งที่รู้ว่าเขาวางยาพิษ และถึงอย่างนั้นก็ยังคงอยากให้เขาอยู่เคียงข้าง ช่างโง่งมนัก!
“ต่อให้ท่านไล่ ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะเป็นทุกอย่างให้ท่านเอง” หย่งเซิงเอ่ยเสียงหนักแน่น มันเป็นน้ำเสียงหนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาไม่อยากให้เหวินเจิ้งรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่อาจให้ร่างโปร่งที่แสนเปราะบางต้องทนทุกข์เพียงลำพัง เขาจะปลดปล่อยเหวินเจิ้งออกไปจากกรงขังแห่งนี้ด้วยตัวเขาเอง “ข้าจะปลอดปล่อยท่านเอง”
เหวินเจิ้งชะงักก่อนจะละสายตาจากฎีกาขึ้นมาสบดวงตาดำสนิท จ้องมองมันอย่างลึกซึ้งโหยหา ก่อนจะดึงคอเสื้อของร่างสูงเข้ามาใกล้และประทับจุมพิตลงไป ครั้งนี้แผ่วเบาและอ่อนโยนมิได้รุนแรงเฉกเช่นก่อนหน้านี้
“เจ้า.. อดทนกับเราหน่อยนะ ไม่นานนักหรอก” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่ริมฝีปากยังชิดติดกับริมฝีปากของหย่งเซิง
หย่งเซิงได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะกัดริมฝีปากเหวินเจิ้งอย่างแรง แต่มิได้ทำให้เลือดออก เพราะเขาใจอ่อนเกินไป ทำอย่างไรฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ถึงจะยอมมีชีวิตอยู่ต่อไปกันนะ
เหวินเจิ้งดูจะพอใจไม่น้อยที่หย่งเซิงโต้กลับอย่างรุนแรง จึงยิ่งแนบริมฝีปากเข้าไปอีก ทั้งสองต่างพลัดกันรุกพลัดกันรับ จนเหวินเจิ้งหายใจไม่ทันหย่งเซิงจึงถอนริมฝีปากออก
“ตอนนี้ เราชอบเจ้าไปหมดทั้งตัวแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงพร่าดวงตาหยาดเยิ้ม ใบหน้างดงามขึ้นสีระเรื่อพาให้คนมองจิตใจสั่นไหว
หย่งเซิงหัวใจเต้นแรงใบหูแดงก่ำ รีบละสายตาออกจากใบหน้าแสนยั่วยวนของอีกฝ่าย พยายามอดทนอดกลั้นไม่ให้ความเร่าร้อนในร่างกายพลุ่งพล่าน
“ท่านไม่อ่านฎีกาแล้วหรือไร หากไม่อ่านก็กลับไปนอนเสีย” หย่งเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าเรียบเฉยขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
เหวินเจิ้งมองท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หลากหลายความรู้สึกทั้งขมฝาดทั้งหวานล้ำ ถึงแม้หย่งเซิงจะไม่พอใจเขา แต่ก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกสุขใจแล้ว เพียงแต่อดที่จะตัดพ้อโชคชะตาของเขามิได้ หากเขาได้พบกับหย่งเซิงในฐานะอื่น จะเป็นอย่างไรนะ เราสองคนจะได้เป็นสหายกันหรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่
อ่า.. ข้าชักจะโลภอีกแล้วสิ
เหวินเจิ้งรีบกางฎีกาออกมาอ่านอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความคิดของตน ฎีกาเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องที่ขุนนางเร่งเร้าให้เขามอบโอรสสวรรค์ให้กับฮองเฮา เหล่าขุนนางคิดอะไรอยู่ทำไมเขาจะไม่รู้ พวกมันคงคิดว่าหากเขาตายโดยทิ้งทายาทเอาไว้ พวกมันจะใช้ลูกของเขาเป็นหุ่นเชิดในการปกครองแผ่นดิน
ให้ลูกของเขาไร้ซึ่งอำนาจ เพียงให้พวกมันคอยชักใยอยู่เบื้องหลังม่าน กำเริบเสิบสานเอารัดเอาเปรียบราษฎร์อย่างสมใจ แต่เขาไม่มีวันยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรอก
เพราะเหตุผลนี้เขาจึงบ่ายเบี่ยงที่จะมอบโอรสสวรรค์ให้กับฮองเฮาเสมอมา และนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวที่อัครเสนาบดีหย่งยังไว้ชีวิตเขามานานถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าอัครเสนาบดีหย่งจะไม่อาจอดทนรอต่อไปได้แล้ว จึงสั่งให้หย่งเซิงลงมือ เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เขาไม่มีวันยอมให้ลูกของเขาต้องทนทุกข์ทรมานเป็นตุ๊กตาให้พวกโฉดชั่วของแผ่นดินชักใย
บัลลังก์มังกรแห่งนี้ควรได้เวลาที่จะส่งต่อให้กับผู้ที่เหมาะสมกับมันอย่างแท้จริงแล้ว..
“นั้นเกี๊ยวท่านอัครเสนาบดีหย่งหรือ”
“ใช่ ข้าได้ยินมาว่าท่านยังจับเจ้าโจรชั่วที่บุกข้าจวนใต้เท้าจางมิได้เลย”
“จริงหรือ นี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ”
“จริงซิ! ฮ่องเต้ทรงพิโรธใหญ่ บอกว่าท่านอัครเสนาบดีหย่งนั้นช่างไร้ความสามารถนัก”
“ฮ่องเต้เสียสติผู้นั้นกล้าต่อว่าอัครเสนาบดีหย่งผู้เที่ยงทำได้อย่างไรนะ!”
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นตามถนนที่เกี๊ยวของอัครเสนาบดีหย่งเคลื่อนผ่าน แน่นอนว่าม่านบางๆมิอาจกั้นเสียงซุบซิบนั้นได้หมด
อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่น ตอนนี้ข่าวลือว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีไม่ได้เรื่องถูกแพร่สะพัดไปในหมู่ราษฎร์เสียแล้ว เป็นเพราะฮ่องเต้เสียสติผู้นั้น!
หากพระองค์ไม่ลอบปล่อยแพะรับบาปที่เขาหามา ป่านนี้ชื่อเสียงของเขาคงไม่มัวหมอง แม่แต่พวกโจรชั่วที่เขาจ้างไปถล่มจวนใต้เท้าจางก็หนีหาย ด้วยกลัวว่าเขาจะส่งพวกมันเข้าคุกจริงๆ
เคร้ง!
เสียงกรีดร้องของชาวบ้านและเสียงดาบกระทบกันดังขึ้นพร้อมกับเกี๊ยวที่หยุดชะงักลง
“เกิดอะไรขึ้น” อัครเสนาบดีหย่งเลิกม่านขึ้นด้วยความตกใจ
“เรียนนายท่าน พวกโจรที่เราตามหามันบุกเข้ามาขอรับ” องครักษ์คนสนิทกระซิบตอบเสียงเครียด “นายท่านรีบหนีเถิดขอรับ”
อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หน้าถอดสี เจ้าพวกนี้คงตั้งใจจะมากำจัดเขาก่อนที่เขาจะตามล่าพวกมัน!
“รีบไปจัดการพวกมันเร็วเข้า” อัครเสนาบดีหย่งสั่งเสียงต่ำ
“นายท่าน” องครักษ์คนสนิทเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พวกโจรมีจำนวนเยอะกว่าพวกเขามาก หากสู้กันต่อไปเกรงว่านายท่านคง..
“ข้าไม่หนี ต่อหน้าชาวบ้านหน้าโง่พวกนี้เจ้าจะให้ข้าหนีหรือ!” เขาจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงที่เขาอุตส่าห์สั่งสมมาหลายสิบปีต้องป่นปี้เพราะพวกโจรถ่อยเด็ดขาด!
ในช่วงขณะที่นั้นเองพวกโจรก็จัดการองครักษ์และสังหารคนห่ามเกี้ยวจนหมด เหลือเพียงอัครนาบดีหย่งและราชองครักษ์คนสนิทที่คอยคุ้มกันเป็นปราการสุดท้าย
อัครเสนาบดีหย่งลอบกลืนน้ำก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำให้ชาวบ้านที่มุ่งดูอยู่ห่างๆด้วยความกลัวได้ยิน
“พวกโจรถ่อย หากเจ้าต้องการชีวิตของข้าก็มารับไปเสีย อย่าได้แตะต้องชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง!” น้ำเสียงมั่นคงไม่หวั่นไหวแม้แต่ความตายทำให้ดวงตาที่ฉายความหวาดกลัวของชาวบ้านเปลี่ยนมาเป็นเหลื่อมใส
“หึ อัครเสนาบดีหย่ง ในเวลาแบบนี้เจ้ายังคิดจะสร้างภาพให้กับตนอีกหรือ” หัวหน้าโจรเอ่ยด้วยความแค้น ทีแรกพวกเขารับเงินจากอัครเสนาบดีหย่งโดยตกลงกันว่าเขาจะไปถล่มจวนใต้เท้าให้ แลกกับฝ่ายอัครเสนาบดีหย่งต้องหาแพะมารับบาปแทนพวกเขา
แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อแพะรับบาปที่อีกฝ่ายหามาหายไป และพวกเขาทุกคนถูกประกาศจับ ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามข้อตกลง หากพวกเขาต้องตายก็ขอลากเจ้าพวกขุนนางตัวดีลงนรกไปด้วยกัน!
“ทางการเล่า” อัครเสนาบดีกระซิบถามราชองรักษ์เสียงเครียด
“พวกชาวบ้านคงกำลังวิ่งไปตามแล้วขอรับ อีกไม่นานก็คงมา” องครักษ์ตอบเสียงเบา พลางตั้งท่าป้องกันเจ้านายเต็มที่
อัครเสนาบดีหย่งเหงื่อซึมเต็มแผนหลัง เกรงว่าสถานการณ์ตอนนี้กว่าพวกทหารจะเคลื่อนตัวมาเขาก็คงหัวหลุดจากบ่าไปแล้ว!
“พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดจึงบุกมาทำร้ายข้า” เขาต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุด
ราวกับพวกโจรอ่านความคิดได้พวกมันหัวเราะเสียงดังก่อนจะตะโกนก้อง
“หึๆ อย่าได้ถ่วงเวลาอีกเลยนายท่าน พวกข้ามีได้โง่เขลาเช่นนั้น!” สิ้นเสียงตะโกนเหล่าโจรก็ปรี่เข้ามาที่เกี้ยว อัครเสนาบดีหย่งหน้าซีดเผือก คิดหาวิธีเอาตัวรอด ในชั่วขณะที่ดาบขององครักษ์คนสนิทปะทะกับดาบของโจรป่านั้นเองก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งพลิ้วกายเข้ามากลางวง เพียงฝ่ามือเดียวโจรหกคนที่บุกเข้ามาก็กระเด็นออกไปไกล
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่ตาค้าง ร่างสูงใหญ่คร้ามเข้มดูองอาจห้าวหาญ ดวงตาสีดำสนิทมืดมิดเสียจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“เจ้าเป็นใครกัน!” หัวหน้าโจรตะโกนถามด้วยความตระหนก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามียอดฝีมือเช่นนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
“อาเซิง!” อัครเสนาบดีหย่งครางชื่อของหย่งเซิงเบาๆ ไม่คิดเลยว่าคนที่มาช่วยเขาในยามนี้จะเป็นบุตรชายที่เขาแทบไม่ให้ความสำคัญ
หัวหน้าโจรหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่เห็นว่าอัครเสนาบดีหย่งรู้จักยอดฝีมือเช่นนี้ พวกเขาพลาดไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมียอดฝีมือออกโรงมาปกป้องเจ้าอัครเสนาบดีชั่ว เหล่าโจรต่างมองมาที่หัวหน้าโจรเป็นตาเดียว ไม่รู้ว่าควรเสี่ยงตายบุกเข้าไปหรือว่าจะหนีไปเลยตอนนี้ดี
สายตาที่ชายร่างสูงใหญ่มองพวกเขาน่ากลัวจนเกินไป เพียงพริบตาที่สบกันก็ถึงกับทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว แรงกดดันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำเอาพวกเขาขวัญหนีดีฟ่อไปหมดแล้ว
“หัวหน้า..” ลูกสมุนคนหนึ่งเอ่ยเรียกหัวหน้าโจรที่กำลังยืนหน้าซีดเผือก หากจะหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครว่าหัวหน้าขี้ขลาดหรอก เป็นพวกเขาเองก็มิกล้าต่อกรเช่นกัน
หย่งเซิงก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวราวกับจะขู่ขวัญพวกโจร ยิ่งร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้เหล่าโจรก็ยิ่งรนถอยลงไป พลังปราณอันแกร่งกล้ากดดันเสียจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“ไป..” หัวหน้าโจรเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ของเหล่าลูกสมุน พวกมันรีบเหินตัวหนีออกไปทันทีไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมาเก็บซากศพของเพื่อนโจรที่โดยหย่งเซิงซัดกระเด็นไปในทีแรกแม้แต่น้อย
ทันทีที่พวกโจรหนีจากไปทหารของทางการก็เคลื่อนตัวมาถึงพอดี
“เกิดอะไรขึ้นขอรับท่านอัครเสนาบดีหย่ง” หัวหน้ากองรีบปรี่เข้ามารับหน้าทันที พลางมองไปรอบๆ เห็นซากศพขององครักษ์และคนห่ามเกี๊ยวกระจัดกระจายเต็มพื้น
“นายกอง เมื่อสักครู่มีโจรชั่วบุกเข้ามาสร้างความวุ่นวาย แต่ข้าไม่เป็นไร วานเจ้าไปดูทีว่าพวกชาวบ้านปลอดภัยดีหรือไม่” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยเสียงราบเรียบ
พวกชาวบ้านที่ได้ยินเช่นนั้นต่างมองท่านอัครเสนาบดีด้วยความซาบซึ้ง
“ขอรับ.. แล้วเขาคือ” นายกองรีบรับคำอย่างเอาใจก่อนจะหันไปเห็นหย่งเซิงที่กำลังเดินมาทางพวกเขา
“ลูกชายข้า หย่งเซิง” สิ้นคำของอัครเสนาบดีหย่ง ชาวบ้านที่ยืนดูเห็นการณ์รอบข้างก็เสียงดังฮือขึ้นมาทันที
“บุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งหรือ!”
“มิใช่ว่าท่านอัครเสนาบดีหย่งมีบุตรชายเพียงคนเดียวหรือ”
“เก่งกาจนัก เห็นพลังฝ่ามือที่ใช้ซัดพวกโจรชั่วเมื่อกี้ไหม”
“ช่างมีความกตัญญูนัก ถึงกับบุกฝ่าวงล้อมโจรชั่วเข้าไปช่วยบิดา”
“สมแล้วที่เป็นลูกชายของท่านอัครเสนาบดี มีความสามารถน่าชื่นชมนัก”
หย่งเซิงไม่สนใจเสียงชื่นชมที่ดังเซ็งแซ่อยู่รอบข้าง เพียงตรงเข้ามาหา ‘ท่านพ่อ’ ของเขาที่อยู่ในเกี๊ยวก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
“เราไปคุยกันที่บ้านเถิดลูก” อัครเสานาบดีหย่งตอบน้ำเสียงอ่อนโยน
หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น นี้เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อพูดจาอ่อนโยนกับเขา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนถึงกับกล้าพูดจาไพเราะกับเขาอย่างหน้าด้านเช่นนี้..
หย่งเซิงก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยัน หากคนพวกนี้รู้ว่าท่านแม่และเขาถูกไล่ออกมาจากจวนอย่างไรมิรู้ว่าจะยังตั้งหน้าตั้งตาชื่นชมตาเฒ่ามากเล่ห์ผู้นี้ได้อีกหรือไม่
“ท่านอัครเสนาบดีหย่ง ให้คนของข้าน้อยห่ามเกี๊ยวไปส่งเถิดขอรับ” นายกองเอ่ยปากอย่างเอาใจ
“ต้องรบกวนท่านแล้ว”
-------------------------------------------------------
จิตตก : ตอนนี้ฮ่องเต้แอบรุกเบาๆ
ยิ่งทุกคนรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆไปกับตัวละครเราก็ยิ่งดีใจ 555555
แปลว่าความรู้สึกของตัวละครส่งไปถึงนักอ่านทุกท่าน

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
