บทที่ 6 ชายบำเรอ
ท้องพระโรง
“ทูลฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ใต้เท้ากรมอาญาคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง
เหวินเจิ้งไล่มองหน้าเหล่าขุนนางทีละคนก่อนจะไปหยุดที่ใต้เท้ากรมอาญา
“ว่ามา” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม
“เมื่อคืนนี้ จวนใต้เท้าจางถูกโจรชั่วบุกปล้น ใต้เท้าจางและบ่าวรับใช้ทั้งหมด.. ล้วนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงรายงานของใต้เท้ากรมอาญา ท้องพระโรงก็เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงทันที
เหวินเจิ้งนั่งมองความวุ่นวายภายในห้องพระโรงอย่างเงียบๆ มุมปากยังคงประดับรอยยิ้มละไม
เจ้าขุนนางพวกนี้ช่างแสดงกันได้สมบทบาทเสียจริง!
“บังอาจ โจรชั่วที่ไหนมันช่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้!” ใต้เท้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์
ก็โจรชั่วในท้องพระโรงนี้อย่างไรเล่า เหวินเจิ้งตอบคำถามในใจ
“โหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน” ใต้เท้าอีกคนทอดถอนหายใจ
ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นนั้น
“พวกเราจะต้องลากพวกโจรชั่วมาลงโทษให้จงได้!” ใต้เท้าอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“เช่นนั้นก็อย่ามามั่วพูดกันอยู่เลย มิสู้พวกท่านออกไปจับโจรชั่วมาลงโทษต่อหน้าเรามิดีกว่าหรือ ใครจะรับอาสาดีล่ะ หื้ม..” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นทำลายเสียงอื้ออึงในท้องพระโรงไปจนสิ้น
ร่างโปร่งแผ่ไอแห่งอำนาจออกมาจนเหล่าขุนนางต้องลอบกลืนน้ำลาย ดวงตาคู่งามทว่าดำมืดกวาดมองขุนนางทั่วท้องพระโรงอย่างจงใจ แรงกดดันมหาศาลถูกกลั่นออกมาจากใบหน้างดงามที่ยังคงประดับรอยยิ้ม
“จงประกาศออกไปให้รู้โดยทั่วกัน หากจับมาได้ข้าจะถลกหนังของพวกมันทั้งที่ยังเป็นๆ ก่อนจะโรยเกลือทาทับที่บาดแผล ตัดลิ้นเลาะฟันให้พวกมันรู้สึกอยู่มิสู้ตาย จากนั้นค่อยโยนพวกมันให้เผ่ากินคนดีหรือไม่ โทษฐานสังหารท่านพ่อตาของเรา”
เหล่าขุนนางสูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ ราวกับฝ่าบาทตั้งใจจะพูดให้พวกเขาฟังมากกว่าข่มขู่พวกโจรชั่ว หรือฝ่าบาทจะรู้อะไรบางอย่าง?
“ฝ่าบาท เช่นนั้นก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับกระหม่อมเถิด” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้น หยุดความคิดฟุ้งซ่านของเหล่าขุนนางคนอื่นเสียสิ้น
เหวินเจิ้งปรายตามองอัครเสนาบดีหย่ง
เจ้าจิ้งจอกเฒ่า!
“เราอนุญาต หวังว่าโจรชั่วที่ท่านจับได้มันจะเป็นโจรชั่วจริงๆ”
อัครเสนาบดีเหยียดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เหวินเจิ้งกำมือเป็นหมัดแน่นในขณะที่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
เสด็จพ่อ ท่านวางราษฎร์ของพวกเราไว้ในมือของโจรชั่วพวกนี้หรือ..
“ฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง” เหวินเจิ้งเอ่ยถามขึ้นขณะอยู่ในตำหนักบรรทม
ตอนนี้ภายในตำหนักบรรทมมีเพียงสวี่กงกงและเหวินเจิ้งเท่านั้น เหล่าข้ารับใช้และราชองครักษ์ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในตำหนักแห่งนี้นอกเสียจากฮ่องเต้จะเรียกเท่านั้น ผู้อื่นอาจจะมองว่าสวี่กงกงเป็นเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้ทรงไว้ใจจึงได้มีรับสั่งให้คอยรับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิด
หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นพระองค์ที่ตั้งใจเตรียมความพร้อมเอาไว้เสมอต่างหาก ประการแรกคือเพื่ออำนวยความสะดวกให้พระองค์ยามที่พระองค์เสด็จออกนอกวัง และประการที่สอง.. เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่ามือสังหารทั้งหลายลงมือง่ายขึ้น
“พระนางขังตัวเองอยู่แต่ในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบขณะช่วยเหวินเจิ้งเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสีดำดูทะมัดมะแมง
“นางร้องไห้หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“หนักเท่าเราหรือไม่”
“..กระหม่อมมิทราบ” มือที่กำลังช่วยจัดเสื้อให้ฮ่องเต้ชะงักลงทันที แววตาฝ้าฟางหม่นหมองลง
เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะปัดมือเหี่ยวย่นออก ร่างโปร่งเดินไปสอดส่องที่ข้างหน้าต่างเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วจึงพริ้วกายออกจากห้องไป เหลือเพียงสวี่กงกงยืนอยู่เพียงลำพัง
“ทรงรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ..” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นเบาๆปล่อยให้คำพูดเหล่านี้ถูกสายลมพัดพาจนสลายหายไป
“หย่งเซิง เจ้าตามเรามาอีกแล้วหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่ายพลางหันไปมองข้างกาย หย่งเซิงไม่พูดอะไรเพียงเดินตามเขามาเงียบๆ
หลังๆมานี้เขารู้สึกแปลกๆทุกครั้งเวลาต้องอยู่กับราชองครักษ์หน้าตายผู้นี้ ทั้งรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้สึกหวาดหวั่นไปพร้อมกัน บางครั้งยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
วันนี้เขาคิดว่าตนเองสามารถหลบหลีกออกจากวังได้โดยไม่มีใครรู้แท้ๆ ที่ไหนได้หย่งเซิงกลับมาดักรอเขาที่ประตูวังฝั่งประจิมเสียอย่างนั้น ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะแอบออกจากวังหลวงวันนี้
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” สุดท้ายก็เป็นเขาที่ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวต้องหลุดถามออกมา
“เพราะกระหม่อมเฝ้าดูพระองค์อยู่เสมอ” หย่งเซิงตอบกลับเรียบๆแต่กลับเรียกเลือดลมให้สูบฉีดบนใบหน้าเหวินเจิ้งได้เป็นอย่างดี
“เจ้าจะเอาไปรายงานอัครเสนาบดีหย่งกระมัง” เหวินเจิ้งเรียบเคียงถาม ไม่รู้ว่าตนเองต้องการคำตอบแบบไหนของหย่งเซิงกันแน่ ทีแรกเขาอยากให้อีกฝ่ายคอยจับตาดูเขาเพื่อหาเวลาลงมือสังหารตามคำสั่งของอัครเสนาบดีหย่ง จึงได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายมากมายทั้งให้อีกฝ่ายมาค่อยเดินอยู่ใกล้ๆแถมยังให้อีกฝ่ายเขามานั่งด้วยกันในห้องทรงพระอักษรอีกต่างหาก
แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรไปหมด แม้แต่เขายังไม่เข้าใจตัวเองเลย
“ต่อให้ฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมก็ไม่รายงานหรอกพ่ะย่ะค่ะ” อีกแล้ว คำตอบเรียบๆของหย่งเซิงมักส่งผลต่อความรู้สึกของเขามากมายเหลือเกิน จากที่เมื่อกี้รู้สึกเหมือนหัวใจห้อยต่องแต่งอยู่บนขอบหน้าผา มาตอนนี้กลับรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวาน
หากเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่..
ร่างโปร่งหยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้ากับหย่งเซิงโดยตรงก่อนจะยกยิ้มละไมอย่างเคย
“หย่งเซิง เราไม่ต้องการคนโลเลเหลาะแหละ เจ้าควรเลือกข้างเสีย"
“ข้ายืนข้างท่าน.. เหวินเจิ้ง” รอยยิ้มของเหวินเจิ้งชะงักค้างทันที มิใช่เพราะอีกฝ่ายเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเอ่ยชื่อเขาตรงๆ
นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยมีใครพูดจาเช่นนี้กับเขาอีก แม้กระทั่งเอ่ยชื่อก็ไม่เคย ในหัวใจรู้สึกแปรปรวนอย่างบอกไม่ถูกทั้งหวานทั้งขมฝาด
หย่งเซิงจ้องมองแววตาที่สลับซับซ้อนของอีกฝ่ายโดยไม่ยอมให้รายระเอียดเล็กน้อยหลุดรอดจากสายตาไปได้
“เจ้าอยากโดนตัดหัวหรือไร” น้ำเสียงที่เหวินเจิ้งเอ่ยออกไปสั่นพร่าจนน่าตกใจ
“หากข้าโดนตัดหัว แล้วใครจะคอยเฝ้ามองท่านเล่า” หย่งเซิงบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม เหวินเจิ้งมองร่างสูงใหญ่อย่างตกตะลึง นี้เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายยิ้ม หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น ยามอีกฝ่ายยิ้มดวงตาจะยักโค้งเช่นนี้เอง มือเรียวยกขึ้นไปแตะริมฝีปากร่างสูงโดยไม่รู้ตัว
หย่งเซิงชะงักเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายจับแต่โดยดี นิ้วเรียวลูบไล้ริมฝีปากเขาอย่างแผ่วเบา เขาพึ่งรู้วันนี้เองว่าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้มีนิ้วมือที่เย็นเฉียบเช่นนี้ หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ยิ่งเหวินเจิ้งลูบไล้ริมฝีปากเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งทรมาน ดวงตาดำสนิทจับจ้องไปยังริมฝีปากคู่งามของเหวินเจิ้ง เขาเองก็อยากสัมผัสอีกฝ่ายเช่นกัน
เหวินเจิ้งยกยิ้มน้อยๆขณะไล้มือไปตามรูปปากของหย่งเซิง ความรู้สึกอบอุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่ายช่วยคลายความหนาวเย็นบนนิ้วมือของเขา
“เราชอบริมฝีปากอันอบอุ่นของเจ้า..”
ร่างกายหย่งเซิงสั่นสะท้านก่อนจะจับมือเรียวของเหวินเจิ้งออกแล้วก้มลงไปประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม
เหวินเจิ้งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่เมื่อสัมผัสความอุ่นร้อนจากริมฝีปากของหย่งเซิง ร่างกายที่ขึงเกร็งก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะค่อยๆเผยอริมฝีปากรับปลายลิ้นร้อนของอีกฝ่ายเข้ามา หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นระรัวตวัดลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากงามอยากหิวกระหาย ริมฝีปากเหยียบเย็นซุกซ่อนความหอมหวานเอาไว้เช่นนี้เอง หย่งเซิงมึนเมาไปกับความหอมหวานอย่างโง่งม
เหวินเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกรับรู้เพียงกลิ่นอายของหย่งเซิงเท่านั้น เหวินเจิ้งรั้งคอของร่างสูงให้เข้ามาใกล้มากขึ้นอย่างเผลอไผล หัวใจต้องการตักตวงความหิวกระหายที่แสนหวานนี้ ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งอบอุ่น ราวกับแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ร่างกายที่เคยเย็นเฉียบของเขากำลังถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นของหย่งเซิง
เพียงเท่านี้ ไม่พอ..
หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงรสคาวของเลือดในปาก เหวินเจิ้งกัดเขา.. ลิ้นเล็กของเหวินเจิ้งกำลังไล่เลียบาดแผลบนปลายลิ้นของเขา ร่างสูงใหญ่เริ่มร้อนรุ่มด้วยแรงอารมณ์
ไม่ได้! เขาจะทำตรงนี้ไม่ได้
หย่งเซิงดันร่างโปร่งที่กำลังกัดริมฝีปากล่างเขาออก จ้องมองใบหน้างดงามที่บัดนี้ริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเขา ดูน่ารักน่าเอ็นดู หย่งเซิงกำฟันแน่นพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
“หย่งเซิง..” เหวินเจิ้งครางถามอีกฝ่ายอย่างขัดใจ เขายังไม่เต็มอิ่มเลย
หย่งเซิงมองสายตาละห้อยของเหวินเจิ้งด้วยความทรมาน เขาอยากตอบสนองร่างโปร่งเหลือเกิน แต่ที่นี้ไม่ได้!
“พวกเราอยู่ที่กรมอาญา..” หย่งเซิงกระแอมไอเพื่อเรียกสติตัวเองเล็กน้อยก่อนเอ่ยเตือนสติฝ่ายตรงข้ามบ้าง
ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ห้องเก็บบันทึกของกรมอาญา หลังจากเหวินเจิ้งออกมาจากวังก็ตรงมาที่นี้ทันที ซึ่งเขาเองก็ตามอีกฝ่ายมาด้วย น่าตกใจที่เหวินเจิ้งรู้เวลาผลัดเปลี่ยนเวรยามของกรมอาญาเป็นอย่างดีจึงลอบเข้ามาที่นี้ได้อย่างง่ายดาย
เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะเปื้อนบนริมฝีปากตัวเอง โดยไม่ยอมละสายตาจากดวงตาดำสนิทที่มีประกายรุ่มร้อนวาบผ่าน เหวินเจิ้งแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ
“หย่งเซิง เจ้ายกลูกตา ใบหู ริมฝีปาก และเลือดให้เราเถิด”
หย่งเซิงได้ยินเช่นนั้นก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ ต่อจากชอบริมฝีปากเขาแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้เสียสติกำลังชอบเลือดของเขาหรือ
“มีหลายอย่างในตัวข้าที่ท่านอาจจะชอบอีก”
“อย่างเช่นอะไรเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสนใจ มีอะไรที่เขาควรจะชอบอีกหรือ
“แล้วท่านจะค่อยๆรู้ไปเอง” เขาจะทำให้ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ชอบทุกอย่างที่เป็นเขา!
เหวินเจิ้งจ้องมองคนอมพะนำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไปยอมตอบก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำพลางเอามือไพล่หลังเดินหาสมุดบันทึกต่อทั้งที่ในหัวยังคงสับสนวุ่นวาย
หัวใจยังคงเต้นแรงอย่างโง่งม นี้เป็นครั้งแรกที่เขาจูบกับบุรุษด้วยกัน ที่แท้แล้วให้ความรู้สึกเช่นนี่เอง ถือว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่เหตุใดเจ้าหย่งเซิงจึงได้ดูสงบนิ่งนัก คิดแล้วเหวินเจิ้งก็อดหันไปมองหน้าหย่งเซิงมิได้
“..เจ้า เคยจูบกับบุรุษอื่นหรือไม่”
หย่งเซิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ไม่เคย ทำไมข้าต้องจูบกับบุรุษด้วย”
เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว นั้นสิ แล้วเหตุใดเจ้าต้องจูบข้าเล่า? เหวินเจิ้งรู้สึกสงสัยแต่ไม่อยากถาม เพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถจูบกับบุรุษอื่นนอกจากหย่งเซิงได้เช่นกัน แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว ฉับพลันความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว เหวินเจิ้งเหล่มองหย่งเซิงอย่างครุ่นคิด
หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอะไร เขาชอบที่เหวินเจิ้งครุ่นคิดเรื่องของเขา
“แล้วสตรีเล่า” หย่งเซิงชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าเหวินเจิ้งจะถามเขาเรื่องนี้ ในใจพลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาควรตอบตามจริงหรือไม่
“…”
“เคยซินะ” เหวินเจิ้งหรี่ตามองหย่งเซิงระยะประชิดเป็นการข่มขู่ให้อีกฝ่ายตอบกลายๆ
“..อืม”
คำตอบสั้นๆของหย่งเซิงทำให้เหวินเจิ้งรู้สึกคันคะเยอในใจ ใบหน้างามงอง้ำก่อนจะหมุนกายเดินไปหาสมุดบันทึกต่อ หย่งเซิงจ้องมองปฏิกิริยาของเหวินเจิ้งด้วยหัวใจพองโต
เหวินเจิ้งมิได้ยิ้มละไมอย่างเคย สิ่งนี้ช่วยยืนยันได้ว่าเขามีตัวตนมากแค่ไหนในหัวใจของอีกฝ่าย มุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง
“หย่งเซิง” เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ
“ขอรับ” หย่งเซิงเลือกใช้คำนี้แทน ‘พ่ะย่ะค่ะ’ เพื่อย่นระยะห่างของคนสองคนให้สนิทสนมกันอีกนิด เหวินเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ
“เจ้าจงเป็นชายบำเรอของเราเสีย” หย่งเซิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาดำสนิทจ้องมองใบหน้าแดงเปล่งปลั่งของเหวินเจิ้ง ในใจพลันรู้สึกขบขัน
“ทั้งที่ข้าต้องทำงานให้กับท่านพ่อน่ะหรือ” เหวินเจิ้งชะงักมือที่กำลังควานหาบันทึกเล็กน้อย หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนชิดก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านแม่และข้าถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลี่ตั้งแต่ข้ายังเด็กเพราะภรรยาเอกของท่านพ่อไม่ชอบนาง”
แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆอีกฝ่ายก็เล่าเรื่องของตัวเอง แต่เขาเองก็ไม่รังเกียจที่จะฟัง.. ออกจะรู้สึกสนใจนิดๆ
“เจ้าจึงได้ออกไปฝึกวิชาที่ภูเขาเทียนซานหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างสงสัย หย่งเซิงพยักหน้ารับ
“ในตอนที่พวกข้าถูกไล่ออกมาได้ประมาณหนึ่งปีก็บังเอิญพบอาจารย์เข้า ข้าและท่านแม่จึงได้ติดตามท่านอาจารย์ไปยังภูเขาเทียนซาน ก่อนตายท่านแม่ของข้าได้สั่งเสียไว้ว่าให้ข้านำป้ายวิญญาณของท่านไปวางไว้ในศาลบรรพบุรุษตระกูลหลี่ แต่ทว่าท่านพ่อไม่ยอมจึงได้ยื่นเงื่อนไขหนึ่งแก่ข้า”
“ให้เจ้ามาสังหารข้าใช่หรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน หย่งเซิงจ้องมองรอยยิ้มนั้นอย่างเผลอไผล ร่างโปร่งเอื้อมมือมาลูบหัวของหย่งเซิงอย่างแผ่วเบาราวกับจะปลอบโยนก่อนเอ่ยต่อ “เจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าไป.. หากเราต้องการริมฝีปากเจ้าเมื่อไรเราจะเรียกเอง”
หย่งเซิงเข้าใจในทันทีว่า ‘หน้าที่ของเจ้า’ ที่อีกฝ่ายหมายถึงคือเรื่องที่เขาต้องสังหารอีกฝ่ายตามคำสั่งของท่านพ่อ หย่งเซิงหลุบตาลงซ่อนความวูบไหวในแววตา
เหวินเจิ้งจ้องมองใบหน้าของหย่งเซิงในดวงตาดำขลับทอประกายอ่อนโยน ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ทั้งที่รู้ว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดี แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป
ได้นั่งพักดื่มน้ำบ้าง ชีวิตในชาตินี้ก็คงไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก..
“หย่งเซิง เจ้าจงเป็นน้ำให้เราได้ดื่มเสียเถิดนะ”
หย่งเซิงซ่อนดวงตาพราวระยับขอตนอย่างมิดชิดก่อนจะเอ่ยตอบ
“ขอรับ”
เหวินเจิ้ง.. ข้าจะทำให้เจ้ามิอาจขาดน้ำบ่อนี้ไปตลอดชีวิต
--------------------------------------------------------------
จิตตก : เรื่องนี้ไม่จบเศร้าแน่นอนค่ะ แต่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่คงจะเป็นจิตใจที่ท้อแท้ของฮ่องเต้เรา คงต้องให้หย่งเซิงช่วยกันเยียวยาต่อไป
ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยนะคะ

ขอบคุณค่า