บทที่ 9 อดีต
“สวี่กงกง ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือ” หย่งเซิงเอ่ยถามขึ้นในที่สุด หลังจากที่สวี่กงกงพาเขามายังหอสมุดเก่าที่ไร้ผู้คน เมื่อมาถึงก็ไม่ยอมพูดอะไรอยู่นานจนเขาต้องเป็นฝ่ายถามขึ้น
“ราชองครักษ์เซิง เจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงโหดร้ายหรือไม่” สวี่กงกงเอ่ยถามทั้งที่สายตายังคงมองเหม่อไปยังความมืดมิดนอกหน้าต่าง
“...” หย่งเซิงไม่ตอบเพียงมองตามสายตาของสวี่กงกงเข้าไปในความมืดมิด
“คนที่เปลี่ยนองค์ชายสี่ผู้ร่างเริงสดใสเป็นฮ่องเต้ผู้เหี้ยมโหดก็คือข้าเอง” น้ำเสียงแหบแห้งเพราะความสูงวัยสั่นเครือเล็กน้อยยามห้วนนึกถึงอดีต
“ฮ่องเต้แต่เดิมนั้นเป็นทั้งน้องชายที่น่ารักและเป็นทั้งพี่ชายที่อ่อนโยน พระองค์ทรงใจดีกับทุกคนโดยไม่สนใจชนชั้นวรรณะ เป็นองค์ชายสี่ผู้งดงามเที่ยงธรรมสนับสนุนคนมีความสามารถ ไม่สนใจสินบน ไม่หลงใหลในนารี พระองค์เพียงทำงานหนักเพื่อราษฎร์” กล่าวถึงตรงนี้สวี่กงกงก็อดที่จะคลี่ยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ “พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของราษฎร์”
“ยามนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงเล็งเห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นขององค์ชายสี่จึงคิดจะแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท ทว่าเหล่าขุนนางและพระสนมผู้เป็นมารดาของเหล่าองค์ชายต่างไม่เห็นด้วย ฝ่ายขุนนางนั้นไม่เห็นด้วยเพราะองค์ชายสี่ทรงเที่ยงธรรมเกินไป พระองค์ทรงไม่รับสินบนและไม่ยอมปล่อยผ่านขุนนางที่กระทำความผิด ในขณะที่พระสนมต่างไม่เห็นด้วยเพราะหวังจะให้บุตรของตนได้ขึ้นครองราชย์”
สวี่กงกงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “แม้แต่พระสนมซูเฟยผู้เป็นพระมารดาแท้ๆขององค์ชายสี่ก็ไม่เห็นด้วย พระนางหวังให้องค์ชายเจ็ดผู้เป็นน้องชายร่วมสายเลือดแท้ๆขององค์ชายสี่ขึ้นครองราชย์มากกว่า”
“เพราะเหตุใด” หย่งเซิงเอ่ยถาม ถ้าว่ากันตามศักดิ์แล้ว เหวินเจิ้งที่เป็นพี่ชายควรมีสิทธิมากกว่าน้องชายก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว อีกอย่างทั้งสองเกิดจากพระสนมซูเฟยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นครองราชย์พระนางก็น่าจะได้ประโยชน์เหมือนกัน
สายตาสวี่กงกงหม่นแสงลง “เพราะพระนางรักองค์ชายเจ็ดมากกว่า องค์ชายเจ็ดนั้นหัวอ่อนเชื่อคำคนง่าย ต้นตระกูลของพระนางจะมีอำนาจมากขึ้นหากองค์ชายเจ็ดขึ้นครองราชย์ แตกต่างกับองค์ชายสี่ผู้สนใจคนมีความสามารถมากกว่าสายสัมพันธ์ของเครือญาติ องค์ชายทั้งสองสนิทกันมาก ผู้คนทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองพระองค์นั้นไม่มีใครคิดอยากจะขึ้นครองราชย์ จนกระทั่ง.. ข้าเสนอความคิดหนึ่งให้กับอดีตฮ่องเต้”
หย่งเซิงละสายตาจากความมืดหันมามองใบหน้าด้านข้างของขันทีเฒ่า
“ข้าเองก็เห็นถึงความสามารถขององค์ชายสี่เช่นกัน หากพระองค์ขึ้นครองราชย์ราษฎร์จะต้องอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน โดยไม่สนใจความคิดขององค์ชายสี่ ข้าได้เสนอให้อดีตฮ่องเต้พระราชทานสมรสแก่องค์ชายสี่ เพื่อสร้างฐานอำนาจให้องค์ชายสี่ หญิงสาวที่ถูกเลือกคือกู่ฮวา หญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน บุตรสาวของใต้เท้ากู่ผู้เป็นที่เสื่อมใสของราษฎร์”
“ยามนั้นองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อมีพระชนม์มายุเพียงสิบห้าชันษา พระองค์เพียงน้อมรับนางไว้มิได้ระแคะระคายถึงความนัยที่มาพร้อมกับหญิงงาม นับตั้งแต่นั้นมาการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงัน พระองค์ทรงถูกลอบสังหารอยู่หลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ด้วยฝีมือราชองครักษ์ของอดีตฮ่องเต้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่คิดจะขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงคิดเพียงว่าหากพระองค์นิ่งเสียเหล่าพี่น้องจะเลิกราไปเอง”
“ในยามนั้นมีเพียงองค์ชายสามและองค์ชายเจ็ดที่คอยอยู่เคียงข้างพระองค์ พระองค์ทรงไว้ใจองค์ชายทั้งสองมาก พระองค์ยอมเรียนวิชาตัวเบาเพื่อเอาไว้หนีมือสังหารจะได้ไม่ต้องพึ่งพาราชองครักษ์ให้เหล่าพี่น้องหวาดระแวงอีก แต่หลังจากนั้นไม่นานองค์ชายสามก็ถูกจับกุมข้อหาวางยาพิษองค์ชายเก้าจนสิ้นพระชนม์และต้องโทษประหารในที่สุด ยามนั้นท่านอาจารย์ขององค์ชายสามบุกมาที่ตำหนักขององค์ชายสี่เพื่ออ้อนวอนให้ช่วยชีวิตองค์ชายสามแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ องค์ชายสี่มิอาจช่วยได้ทันการณ์ท่านอาจารย์จึงลงมือปาดคอตนเองต่อหน้าต่อตาขององค์ชายสี่”
หย่งเซิงห้วนนึกถึงยามที่เหวินเจิ้งเอ่ยถึงอาจารย์ผู้สอนวิชาตัวเบา ยามนั้นน้ำเสียงของเหวินเจิ้งฟังดูเศร้าสร้อยหดหู่นัก ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้
“หลังจากนั้นกองกำลังที่องค์ชายสามแอบซ่องสุมไว้ก็โดนกวาดล้างจนเหี้ยน ที่แท้แล้วองค์ชายสามทรงวางแผนที่จะแย่งชิงบัลลังก์มาโดยตลอด.. เมื่อองค์ชายสี่รู้เข้าก็ทรงเสียพระทัยอย่างหนัก ยามนั้นองค์ชายเจ็ดแวะเวียนมาพบปะพูดคุยกับองค์ชายสี่บ่อยครั้งจนพระองค์กลับมาร่าเริงอีกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองร่ำสุราด้วยกันองค์ชายเจ็ดกลับลอบวางยาพิษองค์ชายสี่..”
“ที่แท้แล้วองค์ชายเจ็ดทรงถูกจางหลิน..ฮองเฮาองค์ปัจจุบันล่อลวงให้วางยาพิษองค์ชายสี่ พระนางหลงรักองค์ชายสี่มานานจึงวางแผนให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์”
“หากองค์ชายเจ็ดวางยาพิษสำเร็จ องค์ชายสี่จะขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร” หย่งเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนความคิดหนึ่งจะวาบเข้ามาในหัว
“ใช่ พระนางเพียงต้องการสร้างแรงจูงใจให้กับพระองค์ เมื่อองค์ชายสี่ตระหนักได้ว่าเหล่าพี่น้องโหดร้ายเพียงใด เมื่อนั้นพระองค์จะต้องลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวพระองค์เอง”
“อดีตฮ่องเต้ก็ทรงทราบดีจึงได้ปล่อยให้องค์ชายเจ็ดวางยาพิษสำเร็จสินะ” น้ำเสียงเย้ยหยันของหย่งเซิงมิได้ทำให้สวี่กงกงโกรธเคืองแต่อย่างใด เพราะที่หย่งเซิงเอ่ยออกมานั้นล้วนเป็นความจริง พระองค์รู้ว่าองค์ชายเจ็ดตั้งใจจะลอบวางยาพิษองค์ชายสี่แต่ก็มิยอมช่วย เพราะอดีตฮ่องเต้ทรงต้องการให้องค์ชายสี่กลายเป็นฮ่องเต้ด้วยตัวของพระองค์เอง
“ตอนนั้นองค์ชายเจ็ดถูกจับกุมข้อหาวางยาพิษและต้องโทษประหาร พระสนมซูเฟยจึงมาขอร้องให้อดีตฮ่องเต้ทรงประทานพระราชอภัยโทษให้แก่องค์ชายเจ็ด เมื่อไม่สำเร็จพระสนมก็ผูกคอตายด้วยความคั่งแค้น ต่อมาต้นตระกูลของพระนางก็ถูกสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรด้วยข้อหากบฏ”
สวี่กงกงพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดในลำคออย่างยากลำบากพลางเอ่ยต่อ “ก่อนอดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ได้เขียนราชโองการให้องค์ชายสี่ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ และบอกความจริงแก่องค์ชายสี่ว่าเหล่าพระสนมชายาที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้นั้น แท้ที่จริงแล้วพวกนางล้วนเป็นคนรักของเหล่าองค์ชายพระองค์อื่น ที่อดีตฮ่องเต้สั่งจับแยกกันอย่างลับๆเพื่อให้ต้นตระกูลของพวกนางคอยค้ำจุลองค์ชายสี่ องค์ชายสี่ทรงตระหนักรู้ถึงสาเหตุที่เหล่าพี่น้องต่างตีตัวออกจากพระองค์ก็ยามนี่นี้เอง พระองค์พาหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกละอายกลับไปยังตำหนัก แต่กลับต้องพบความจริงที่ว่า เหล่าพระชายาและสนมของพระองค์ต่างรวมตัวกันผูกคอตายที่ห้องนอนของพระองค์.. เพื่อไม่ให้เรื่องราวอัปมงคลเหล่านี้ถูกแพร่งพราย ข้าจึงสั่งให้ปิดข่าวและปล่อยข่าวลือว่าองค์ชายสี่ทรงสังหารพระชายาและเหล่าสนมด้วยตัวของพระองค์เอง”
หย่งเซิงเหม่อมองออกไปยังความมืดมิดนอกหน้าต่างด้วยหัวใจปวดหนึบยามนึกถึงความรู้สึกของร่างโปร่งที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นเพียงลำพัง
“หลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงประหารชีวิตองค์ชายทั้งสามพระองค์ที่คิดก่อการกบฏด้วยตัวของพระองค์เอง แต่เพื่อมิให้ชื่อเสียงขององค์ชายทั้งสามต้องเสียหายพระองค์จึงได้ปล่อยข่าวลวงออกไปว่าองค์ชายทั้งสามพระองค์ถูกองค์ชายสี่ฆ่าเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ จากนั้นก็เนรเทศเหล่าองค์ชายที่เหลือที่ถูกพรากจากคนรักออกไปยังนอกแคว้น.. เพื่อปลดปล่อยเหล่าออกองค์ชายออกไปจากกรงขังแห่งนี้”
“เป็นเช่นนี้เอง..” เพราะเหตุนี้พระองค์จึงได้เกลียดชังอดีตฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ “แล้วคนของอดีตฮ่องเต้เล่า”
ท่านพ่อบอกเขาว่าเหวินเจิ้งเป็นคนกำจัดคนของอดีตฮ่องเต้ด้วยตัวของพระองค์เอง สวี่กงกงขอบตาแดงก่ำพลางตอบว่า
“พระองค์เกลียดชังคนของอดีตฮ่องเต้แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายเห็นพวกเขาโดนอัครเสนาบดีหย่งสังหารได้ จึงได้แอบส่งพวกเขาออกจากแคว้นอย่างลับๆจนหมด หลังจากนั้นก็ปล่อยข่าวลือว่าพระองค์ทรงฆ่าพวกเขาด้วยตัวของพระองค์เอง”
“…”
“..ราชองครักษ์เซิง ฝ่าบาทมิได้กลัวเจ็บจึงไม่ฆ่าตัวตาย ฝ่าบาทเพียงแค่กลัวว่าจะต้องตกนรกขุมเดียวกับเหล่าพระสนมเท่านั้น ฝ่าบาทแม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ไม่เคยทิ้งราษฎร์ของพระองค์” น้ำเสียงสวี่กงกงสั่นเครือ เป็นเขาเองที่เสนอความคิดพระราชทานสมรสให้แก่ฝ่าบาท ทั้งที่รู้ว่าพวกนางต่างพึงใจอยู่กับองค์ชายพระองค์อื่น ขุนนางที่เคยสนับสนุนพระองค์จึงเปลี่ยนฝ่ายเมื่อได้ยินข่าวว่าบุตรสาวของตนโดนองค์ชายสี่สังหาร
“ราชองครักษ์เซิง เจ้าอย่าได้เกลียดชังฝ่าบาทเลยนะ” เขาเห็นสายตาที่ฝ่าบาทมองหย่งเซิง มันแตกต่างจากยามที่พระองค์มองพระชายาในอดีต แตกต่างจากยามมองเหล่าพี่น้อง แตกต่างจากยามมองเขา สายตาของพระองค์ลึกซึ้งและสุขใจ
เขาไม่อาจทนมองฝ่าบาทถูกคนที่พระองค์พึงใจเกลียดชังได้อีกแล้ว เขารู้ว่าวันนี้ฝ่าบาททำลงไปด้วยอารมณ์หึงหวง ถึงแม้เขาจะดูไม่ออกว่าหย่งเซิงคิดเช่นไรกับฝ่าบาทแต่เขารู้ว่าหย่งเซิงมิได้ต้องการสังหารฝ่าบาทแน่ เพราะเหตุนี้เขาถึงยอมให้หย่งเซิงเดินตามฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดเสมอ
“ท่านวางใจเถิด” หย่งเซิงกล่าวเพียงเท่านี้ก็เดินผละออกมา เขายังคงสงสัย เหตุใดเหวินเจิ้งถึงยอมให้สวี่กงกงอยู่เคียงข้าง ทั้งที่คนของอดีตฮ่องเต้คนอื่นถูกขับออกไปจนหมด..
สวี่กงกงมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่ของหย่งเซิงไปจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองความมืดมิดอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาออกว่าราชการแล้ว
“เข้ามา” เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับสวี่กงกงและขันทีรับใช้ก็เปิดประตูเข้าไปในตำหนัก ทุกอย่างในห้องดูเรียบร้อยดี เหม่ยลี่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในขณะที่เหวินเจิ้งนั่งดื่มสุราอยู่บนเก้าอี้
“ฝ่าบาท..” ขันทีห้องทะเบียนหน้าเจื่อนเมื่อไม่เห็นร่องรอยของการร่วมอภิรมย์
“อย่าเสียงดังประเดี๋ยวนางจะตื่น” เหวินเจิ้งเอ่ยปรามเบาๆ ในเมื่อนางเป็นคนที่หย่งเซิงพึงใจเขาเองก็ทำอะไรนางไม่ลง
สวี่กงกงถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเหวินเจิ้งด้วยความเป็นห่วง
“ฝ่าบาท สีพระพักตร์ดูไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมตามหมอหลวงมาดีหรือไม่” สีหน้าของเหวินเจิ้งดูซีดเซียวและอ่อนล้านัก
“ไม่ต้อง ไปเถอะ” เหวินเจิ้งยันกายลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินมาหยุดที่ข้างกายสวี่กงกงแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “หย่งเซิงเล่า”
“..อยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยข่าวออกไปว่าเรามิได้ร่วมอภิรมย์กับนาง” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินออกไปทันที
สวี่กงกงมองแผ่นหลังตั้งตรงด้วยความเจ็บปวด ท่าทางอ่อนล้าของเหวินเจิ้งเมื่อครู่อันตรทานหายไปจนหมด มีเพียงท่วงท่าองอาจสง่างามเท่านั้นที่จะเผยให้ผู้คนได้เห็น
เมื่อก่อนมีเพียงวังหลวงที่กัดกร่อนจิตใจฝ่าบาท บัดนี้ความรักกลับมีอนุภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่า มันกำลังจะคร่าชีวิตของพระองค์..
เมื่อเหวินเจิ้งเดินออกมานอกตำหนักก็เห็นขบวนตามเสด็จรออยู่ ที่หัวขบวนมีหย่งเซิงยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็แสร้งยิ้มละไมอย่างเคยพลางเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปหา
“หย่งเซิง เจ้าเลิกงอนเราแล้วหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่มือที่ไพล่หลังกลับบีบเข้าหากันแน่น เมื่อวานตอนที่เห็นว่าหย่งเซิงกลับไปยืนที่ท้ายขบวนเหมือนเมื่อก่อน เขาทั้งเจ็บปวดใจ ทั้งน้อยใจ รู้สึกไม่มั่นคงอย่างที่เคย แม้แต่ตอนนี้การเฝ้ารอคอยคำตอบของอีกฝ่ายช่างแสนทรมาน
เขากำลังกลัวว่าจะถูกเกลียด..
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดที่ฟังดูห่างเหินทำให้หัวใจเหวินเจิ้งบีบรัดจนพูดไม่ออก
“..อืม” เหวินเจิ้งเพียงครางรับคำในลำคอก่อนจะเดินเลยผ่านหย่งเซิงออกไป ขอบตาคู่สวยร้อนผ่าวพยายามกล้ำกลืนก้อนเหนียวหนืดในลำคออย่างยากลำบาก ทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม
“ฝ่าบาท ฉลองพระองค์..” สวี่กงกงรีบเดินตามประกบเหวินเจิ้งด้วยความเป็นห่วง ใกล้ถึงเวลาออกว่าราชการแล้วแต่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดูไม่ดีเลย
“..เราจะกลับไปเปลี่ยนที่ตำหนักก่อนแล้วค่อยตรงไปท้องพระโรง” เหวินเจิ้งตอบทั้งที่เท้ายังก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นเกินไปนัก
“พ่ะย่ะค่ะ..” สวี่กงกงเหลือบมองร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงที่ด้านข้าง ใบหน้าของหย่งเซิงเรียบสนิทยากจะคาดเดาอารมณ์
ท้องพระโรง
“อัครเสนาบดีหย่ง โจรชั่วที่บุกเข้าจวนใต้เท้าจางเป็นเช่นไรบ้าง”
“ทูลฝ่าบาท ยังจับตัวไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยตอบพลางซ่อนสีหน้าเคียดแค้น ขุนนางในราชสำนักทุกคนต่างรู้ดีว่าแพะรับบาปที่พวกเขาหามาถูกฝ่าบาทปล่อยตัวไป
ทำให้ตอนนี้ห้องขังว่างเปล่า เขากลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถที่ไม่สามารถจับกุมพวกโจรชั่วได้ ราษฎร์ต่างก็ระส่ำระส่ายด้วยความหวาดกลัว
“อัครเสนาบดีหย่ง เราไม่นึกเลยว่าท่านจะไร้ความสามารถถึงเพียงนี้” เหวินเจิ้งยังคงประดับรอยยิ้มละไมไว้บนใบหน้าอย่างเคย
บรรดาขุนนางต่างลอบกลืนน้ำลาย บรรยากาศในท้องพระโรงวันนี้ช่างกดดันเสียจนพวกเข้าไม่กล้าสบตาฮ่องเต้โดยตรง
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันตอบ
“ในยามที่โจรชั่วลอยนวลเช่นนี้ พวกเจ้ากลับยังมีแก่ใจถวายฎีกาให้เราร่วมอภิรมย์กับเหล่าสนมอีกหรือ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอันแน่นไปด้วยโทสะ เหวินเจิ้งเอ่ยพลางโยนฎีกาทีละม้วนทีละม้วนลงไปกลางท้องพระโรง
เหล่าขุนนางก้มหน้าจนคางชิดอก วันนี้ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ไม่ดีหรือไร เหตุใดวันนี้จึงมากดดันพวกเขาเช่นนี้
“ฝ่าบาท สายเลือดมังกรเป็นเรื่องสำคัญพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่กลัวตาย น้ำเสียงเจือความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
“ชีวิตของราษฎร์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่แท้จริง อัครเสนาบดีหย่งท่านทำให้เราผิดหวังนัก เหตุใดท่านถึงได้ชักช้ายิ่งนัก!” น้ำเสียงของเหวินเจิ้งค่อยๆไต่ระดับดังขึ้น เหงื่อผุดซึมเต็มแผนหลังของเหล่าขุนนางด้วยความหวาดกลัว
“ฝ่าบาท ได้โปรดคลายโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางคุกเข่าตัวสั่นเทิ้ม
อัครเสนาบดีหย่งคุกเข่าทั้งที่ในใจยังครุ่นคิด ฝ่าบาทมีโทสะที่เขาไม่อาจจับโจรชั่วได้จนเวลาผ่านมาเนินนาน หรือมีโทสะที่เขากระทำการใดชักช้ากัน?
เหวินเจิ้งมิได้สั่งให้ขุนนางลุกขึ้นอย่างที่เคยกลับลุกขึ้นเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที สร้างความงุนงงให้กับเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารที่รออยู่ด้านนอก
เหล่าขันทีและราชองครักษ์รีบจัดขบวนเดินตามเหวินเจิ้งอย่างรวดเร็ว เหวินเจิ้งยังคงเดินด้วยท่าทีสบายๆแต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลยจนกระทั่งไปหยุดที่สวนดอกบัว
สวนดอกบัวแห่งนี้เป็นที่ที่เขาชอบมากที่สุดในวังหลวง เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่ยิ่งหายใจหัวใจก็ยิ่งเจ็บแปล็บ แม้จะอยู่ท่ามกลางสายลมและกลิ่นหอมของดอกบัว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเหมือนกับถูกกักขังในกรงแคบๆ หันไปมองทางไหนก็มืดมิดไร้ทางออก
นี้เป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นครองราชย์ที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้ รู้สึกอย่างวิ่งหนีออกไปให้ไกล ให้ห่างไกลจากวังหลวงแห่งนี้ แต่ที่เท้าของเขากลับถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นคอยลากเขากลับมายังกรงขังแห่งนี้เสมอ เขารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง แต่ก็มิอาจปลิดชีวิตตัวเองได้
หย่งเซิงมองแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวและสิ้นหวังของเหวินเจิ้ง ดวงตาดำสนิทฉายแววเวทนาสงสารจับใจ ยิ่งเห็นเหวินเจิ้งเหน็ดเหนื่อยเขาก็ยิ่งอยากโอบกอดอีกฝ่ายไว้ ความสิ้นหวังของเหวินเจิ้งแผ่ขยายออกมาบีบรัดหัวใจเขาจนยากจะหายใจ
เหวินเจิ้งค่อยๆหันหน้ากลับมาหาหย่งเซิงราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ เหวินเจิ้งจ้องมองเขาไปในดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายก็จะขยับปากโดยไร้เสียง
‘ข้าเหนื่อยและทรมานเหลือเกิน.. หย่งเซิง’
หย่งเซิงมองภาพนั้นนิ่งก่อนจะเดินเข้าไปผลักร่างโปร่งของเหวินเจิ้งจนหงายหลังตกสระน้ำไปด้วยกัน ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
สวี่กงกงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม เขามั่นใจว่าหย่งเซิงไม่คิดจะสังหารเหวินเจิ้งแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงทำเช่นนี้
ในขณะที่ข้าราชบริพารคนอื่นได้แต่ยืนนิ่งชั่งใจว่าควรกระโดดลงไปช่วยฮ่องเต้ดีหรือไม่ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหย่งเซิงเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่ง ที่ได้รับมอบหมายให้วางยาพิษฝ่าบาท หากพวกตนทะเล่อทะล่าเข้าไปช่วยอาจจะทำให้ผิดแผนได้
เหวินเจิ้งที่โดนผลักตกน้ำหลับตานิ่ง เขาไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืน หรือแท้ที่จริงแล้วเขาไม่อยากขัดขืนนั้นเอง เมื่อร่างกายสัมผัสโดนสายน้ำอันเย็นเยียบร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ในขณะที่ร่างกายกำลังหนาวเหน็บอยู่ๆก็รู้สึกอุ่นวาบที่ริมฝีปาก เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิง กำลังป้อนอากาศให้กับเขา ดวงตาดำสนิทที่กำลังจ้องมองเขาช่างมั่นคงให้ความรู้สึกปลอดภัยนัก ฉับพลันร่างกายก็รู้สึกอบอุ่น
หย่งเซิงกำลังกอดเขา กำลังให้ความอบอุ่นแก่เขา เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว คราวนี้เขาไม่ได้ฝืนกลั้นน้ำตาอีก เพียงปล่อยให้มันไหลออกมา อาศัยน้ำช่วยชะล้างความอ่อนแอของเขาให้หมดไป เขากอดหย่งเซิงแน่น แน่นที่สุดเท่าที่แรงของเขามี ขอเพียงชั่วขณะนี้เท่านั้น ให้หย่งเซิงเป็นคนของเขา คนของเขาเพียงคนเดียว..
“ฝ่าบาท!” สวี่กงกงรีบปรี่เข้ามาก่อนจะห่มผ้าแห้งลงบนตัวของเหวินเจิ้งทันทีที่หย่งเซิงอุ้มเหวินเจิ้งขึ้นจากน้ำ
“ราชองค์รักษ์เซิง!” ราชองครักษ์ต่างกรูกันเข้ามาชี้ดาบใส่หย่งเซิงทันที
หย่งเซิงมองดาบที่ชี้มาทางตัวเองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะไล่มองหน้าราชองครักษ์ทีละคน ทุกคนล้วนก้มหน้ามิกล้าสบตา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้ทุกต้องไหม ทีแรกคิดว่าราชองครักษ์เซิงคงตั้งใจสังหารฮ่องเต้ในน้ำ แต่ร่างสูงกลับอุ้มฮ่องเต้ขึ้นจากน้ำเสียอย่างนั้น พวกเขาทุกคนต่างก็สับสนมึนงง
หากพวกเขาไม่จับกุมหย่งเซิงเกรงว่าคงจะต้องถูกฝ่าบาทประหารด้วยโทษฐานสมรู้ร่วมคิด
“พวกเจ้าจะจับกุมหย่งเซิงหรือจะสังหารเรากันแน่” เหวินเจิ้งที่ถูกหย่งเซิงอุ้มอยู่ยื่นมือไปปัดดาบที่ชี้มาทางหย่งเซิงอย่างแรงจนมือเป็นแผลถูกบาด ราชองครักษ์ที่ถูกปัดดาบหน้าซีดเผือก
“ฝ่าบาท!” หย่งเซิงตะคอกเหวินเจิ้งเสียงดัง บาดแผลที่มือของเหวินเจิ้งเลือดไหลไม่หยุด หย่งเซิงรีบวางเหวินเจิ้งลงกับพื้นก่อนจะรีบฉีกแขนเสื้อตัวเองออกมาพันรอบมืออีกฝ่ายอย่างเบามือ
เหวินเจิ้งมองสีหน้าเคร่งเครียดของหย่งเซิงอย่างสุขใจ อย่างน้อยๆหย่งเซิงก็เป็นห่วงเขา เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เราไม่เป็นไร” เหวินเจิ้งชักมือกลับทันทีที่หย่งเซิงพันแผลให้เรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราเพียงหน้ามืดจนหงายหลังตกลงไปในสระเท่านั้น.. ใช่ไหม”
เหวินเจิ้งส่งรอยยิ้มละไมให้กับราชองครักษ์และขันทีคล้ายกดดันให้พวกเขาต้องพยักหน้ารับ
“พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าราชองครักษ์ต่างเหงื่อซึมเต็มแผนหลัง เห็นอยู่ชัดๆว่าหย่งเซิงผลักฮ่องเต้จนตกน้ำ เหตุใดฮ่องเต้ถึงบอกว่าพระองค์หน้ามืดได้เล่า ถึงจะสงสัยแต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าถาม
“สวี่กงกง หย่งเซิงเป็นราชองครักษ์เพียงคนเดียวที่กระโดดลงไปช่วยเรา เราควรปูนบำเหน็จให้หย่งเซิงดีหรือไม่” เหวินเจิ้งแสร้งหันไปถามสวี่กงกงที่ยืนสับสนอยู่ด้านข้าง สวี่กงกงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบรับเบาๆ
“พ่ะย่ะค่ะ”
ราชองครักษ์คนอื่นต่างหน้าซีดเผือก พระองค์ตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาพอจะคาดเดาได้แล้ว เมื่อก่อนฝ่าบาทมักแสร้งทำท่าจะตกน้ำให้พวกเขาต้องรีบกระโดดลงไปช่วยเก้อเสมอ บัดนี้พระองค์ทรงตกน้ำจริงๆ พวกเขากลับไม่มีใครยื่นมือลงไปช่วยสักคน
“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการให้ดี ให้สมกับคุณความดีที่หย่งเซิงได้ช่วยชีวิตเราไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือเงินทอง หากเจ้าเห็นว่าสมควรก็จัดการมอบให้หย่งเซิงเสีย” หย่งเซิงจ้องมองเหวินเจิ้งตาไม่กระพริบ ฮ่องเต้เสียสติคิดจะทำอะไรกันแน่
“ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมเลินเล่อ ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบคุกเข่าด้วยแน่ใจแล้วว่าฮ่องเต้ต้องการตำหนิพวกเขาเป็นแน่
“ในเมื่อพวกเจ้าร้องขอเช่นนั้นเราจะใจร้ายได้อย่างไร” เหวินเจิ้งเหยียดตามองราชองครักษ์ที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว “จับพวกมันทั้งหมดกดน้ำเป็นเวลาสามวันสามคืนจากนั้นก็ปลดพวกมันทุกคนออกจากตำแหน่งราชองครักษ์เสีย”
จับกดน้ำ!
ราชองค์รักษ์ที่คุกเข่าอยู่ต่างหน้าซีดสลับเขียวคล้ำ การจับกดน้ำเป็นวิธีที่พวกเขาใช้ทรมานพวกนักโทษ พวกเขารู้ฤทธิ์ของมันดี นักโทษจะต้องโดนจับกดน้ำเมื่อใกล้หมดลมหายใจก็จะถูกกระชากขึ้นมาจากน้ำได้โอกาสในการหายใจจากนั้นก็จะถูกระชากลงไปในน้ำอีกครั้งทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา อาจทำให้คนคนหนึ่งเป็นบ้าได้เลย
“ฝ่าบาท..”
“เป็นพวกเจ้าเอ่ยขอการลงโทษ เมื่อเรามอบให้ พวกเจ้ากลับไม่พอใจหรือ” เหวินเจิ้งเอามือไพล่หลังถามอย่างอารมณ์ดี เหล่าราชองครักษ์ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับการลงโทษแต่โดยดี
“ฝ่าบาทรีบไปเปลี่ยนฉลองพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ แผลที่มือก็ด้วย” สวี่กงกงเอ่ยเตือนก่อนจะหันไปสั่งให้ขันทีน้อยวิ่งไปตามหมอหลวง
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เหวินเจิ้งเดินผ่านเหล่าราชองครักษ์ไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
หย่งเซิงรีบก้าวเท้าตามไปแต่กลับถูกหนึ่งในราชองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่จับชายเสื้อเอาไว้ทำให้ต้องชะงักเท้าลง หย่งเซิงปรายตามองเหล่าราชองครักษ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกนั้นมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“เจ้า.. ช่วยแจ้งอัครเสนาบดีหย่งให้ช่วยพวกข้าได้หรือไม่” หย่งเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสะบัดชายเสื้อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยตอบ
“แล้วจะแจ้งให้” เหล่าราชองค์รักษ์มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวขอบคุณ
หย่งเซิงเมินเฉยท่าทางดีใจของราชองครักษ์แล้วรีบสาวเท้าเดินตามร่างโปร่ง ไม่รู้ว่าบาดแผลที่มือของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรบ้าง ในอกเขาสุมไปด้วยไฟโทสะ ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ช่างน่าตายเสียจริงๆ!
-------------------------------------
ในที่สุดก็เปิดปมของเหวินเจิ้งกันแล้ววว
เห็นนักอ่านรู้สึกปวดใจไปกับตัวละคร เราก็แอบดีใจนิดๆ (?)
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ