เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น แต่ผมก็ยังคงรู้สึกถึงแรงรัดรึงจากวงแขนหนาหนักของใครบางคนที่พาดผ่านตัวอยู่ อาการวิงเวียนหัวยังค้างคาอยู่เล็กน้อยแต่ไม่มากแล้ว ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้น ปรับโฟกัสสายตาจนเห็นเพดานสีขาวสะอาดอยู่ตรงหน้า
ด้านข้างมีร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งนอนประชิด ฝ่ามือหนาพาดอยู่บนเอวราวกับกาวเหนียว ผมพยายามขยับตัวอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่น แต่ก็เหมือนจะเปล่าจะโยชน์เมื่อไอ้ค่ายลืมตาขึ้นมาหลังจากนั้นแทบจะทันที
“ตื่นแล้วเหรอ” นี่คือคำทักทายแรกในเช้าวันใหม่ ผมกรอกตาไปมาก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ
ต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมสินะ แม้ในใจจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม
“หิวมั้ย เดี๋ยวกูหาข้าวต้มในตู้ไปเวฟให้”
“ไม่ล่ะ กูว่าจะรีบอาบน้ำแล้วกลับห้องเลย”
“นอนพักต่อก็ได้นี่หว่า”
“อาจจะไม่แล้ว อยากโทรหาไอ้ทูให้รีบมารับ”
“กูไปส่งก็ได้”
“ไม่เว้ย มึงนอนต่อเถอะ อ้อ! เสื้อผ้าของมึงขอยืมต่อนะ แล้วจะเอามาคืนให้” ผมรีบพูดและปิดประเด็นด้วยการกุลีกุจอลงจากเตียง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำอย่างเร็วรี่
บาดแผลที่ฝ่าเท้ายังหลงเหลือความเจ็บอยู่เล็กน้อยจนทำให้เดินลำบาก แต่เพราะไม่อยากอยู่กับอีกฝ่ายนานเลยต้องฝืนใจอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใช้สวมนอน ส่วนตัวที่ใส่มานะเหรอ เปื้อนอ้วกจนไม่เหลือสภาพแล้ว
“เติร์ด ก่อนมึงออกไปกินข้าวต้มก่อนสิ”
กลิ่นหอมกรุ่นลอยขึ้นมาเตะจมูก ผมมองไปที่โต๊ะกินข้าวขนาดเล็ก เห็นข้าวต้มใส่ชามวางอยู่พร้อมกับน้ำดื่ม แถมคนทำยังยืนยิ้มแป้นส่งมาให้อีกต่างหาก
“ไม่ล่ะ ไอ้ทูคงใกล้มาถึงแล้ว”
“ก็ให้มันขึ้นมาดิ มึงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
“กูอยากกลับว่ะไอ้ค่าย ไว้วันหลังแล้วกันนะ” สิ้นคำพูดนั้นผมคว้ามือถือและสวมรองเท้าเดินออกจากห้องทันที ถึงแม้จะรู้สึกแย่จากการกระทำของตัวเองนิดหน่อยแต่แบบนี้แหละดีแล้ว อีกหน่อยเวลาก็จะเยียวยาเราทั้งคู่เอง
หลังลงมาจากห้องผมก็เห็นว่าเพื่อนรักอย่างไอ้ทูขับรถมารออยู่ก่อนแล้ว และเพื่อไม่ให้ไอ้ค่ายตามลงมาทันผมจึงรีบแทรกตัวเข้าไปในรถและเร่งให้ไอ้ทูขับออกไปอย่างรวดเร็ว เราเงียบกันพักหนึ่ง เสียงเพลงโพสต์ร็อกที่ดังคลออยู่ช่วยให้บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นนิดหน่อย แต่แม่งก็ไม่สามารถปกปิดความอยากรู้ของคนขับข้างๆ ได้อยู่ดี
“เคลียร์กันยังอ่ะ แต่ดูจากสภาพแล้วน่าจะหนักกว่าเดิม”
“ไอ้โบนเป็นไงบ้างวะ” ด้วยไม่อยากตอบคำถาม ผมเลยเปลี่ยนเรื่องทันที
“หน้าแหกสิถามได้ มันร้องโอดโอยฉิบหายตอนกูหามแม่งส่งโรง’บาล”
“ฝากขอโทษมันด้วยนะ”
“คิดไงไปจูบมันวะ ประชดไอ้ค่ายเหรอ”
“...” เงียบอีก พูดถึงไอ้ค่ายทีไรก็เจ็บจี๊ดในใจทีละน้อย
“เมื่อคืนกูโทรถามเหตุการณ์ในวงเหล้าแล้วนะ”
“กูไม่อยากฟัง”
“น้องชิงชิงคนนั้นเป็นฝ่ายรุกไอ้ค่ายนะเว้ย กูไม่อยากให้มึงสองคนเข้าใจกันผิดเพราะเรื่องแค่นี้”
“แค่นี้เหรอวะ กูเห็นตำตาว่าแม่งบี้ปากกันอยู่”
“เพื่อนมันบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพราะอยู่ดีๆ น้องชิงก็ขึ้นคร่อมแล้วบี้ปากไอ้ค่ายเลยไง ไม่มีอินโทร ไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า เป็นใครก็ตั้งตัวไม่ทันป่ะวะ มึงแค่ซวยไปเห็นช็อตเด็ดพอดี”
“แล้วทำไมมันไม่แก้ตัวกูด้วยเหตุผลนี้วะ”
“ถ้ามันพูดมึงจะเชื่อมั้ย เหี้ยๆ อย่างไอ้ค่ายใครก็ไม่อยากเชื่อ”
“เออไง การกระทำหลายอย่างมันฟ้อง” จำได้ว่าตั้งแต่น้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายโสต ผมก็เห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของไอ้ค่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งไลน์ ทั้งการปรากฏตัวของน้องเขา ทั้งความสนิทสนมเกินความจำเป็น หลายอย่างทำให้ผมไม่สามารถคิดในเชิงบวกได้
“แล้วนี่จะเอาไง” ไอ้ทูหันมามองผม ก่อนจะเปลี่ยนไปจดจ่อกับการมองถนนตรงหน้าแทน
“กูจะตัดใจ คงเป็นได้แค่เพื่อน”
“เสียดายว่ะ เดินทางกันมาไกลจากจุดนั้น สุดท้ายก็กลับไปที่เดิม”
“ก็ดีกว่าต้องอยู่แบบเจ็บๆ”
“ไม่ให้โอกาสมันบ้างเหรอวะ”
“เคยให้แล้ว ไม่รักษาเอาไว้เองก็ควรจบ”
“สงสารไอ้ค่ายว่ะ”
“สงสารกูเถอะ”
“เฮ้อออออออ ทำไมการรักใครสักคนมันเหนื่อยขนาดนี้วะ สู้ไม่รักเหมือนกูยังดีซะกว่า”
“เลือกได้กูก็ไม่อยากรักใครหรอก”
รถแล่นไปบนถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผมหวนคิดถึงครั้งแรกที่เจอกับไอ้ค่าย พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเอง มีใครบ้างวะบังคับไม่ให้เริ่มต้นรักใครสักคนได้ แต่ในเมื่อรักได้ก็ควรบอกให้หยุดได้เหมือนกัน
ผมไม่อยากเจอไอ้ค่าย แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าตัวในเช้าวันจันทร์อยู่ดี หลังเลิกคลาสเราต่างแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเองในกองละครนิเทศฯ
ไอ้พี่เชนทร์เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาตบบ่าผม จากนั้นก็ตามด้วยพี่อั้น เดาว่าทั้งคู่คงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันศุกร์แล้ว ดูได้จากบรรยากาศอึมครึมที่เป็นอยู่จากทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายโสตที่ตอนนี้ผมเห็นไอ้ค่ายเลือกปลีกวิเวกมาอยู่ไกลจากรุ่นน้องที่ชื่อชิงชิงค่อนข้างมาก
“เป็นไงบ้าง ดีกันยังวะ” คำถามคลาสสิกหลุดออกมาจากปากผู้กำกับหุ่นหมี
“ก็ไม่มีอะไรนี่พี่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
“เหรอ เสียใจมั้ยที่พูดแบบนั้น”
“พี่จำได้มั้ยที่เราเคยพูดกัน เรื่องเพื่อนที่เคยหยุดตัวเองเพื่อจะรักใครสักคนอย่างจริงจัง ตอนนี้ไอ้ค่ายเป็นคนส่วนมากที่หยุดไม่ได้ว่ะ”
“กูก็เห็นมันหยุดแล้วนะ เรื่องคืนนั้นมึงเข้าใจผิดไปเองไม่ใช่เหรอ”
“ก็ถ้าไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งผมก็คงเชื่ออย่างนั้น แต่นี่ไม่ใช่ไง” แล้วประเด็นมันก็วนมาอยู่ที่เรื่องเดิมๆ คือการหวนนึกถึงภาพนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
ดีแค่ไหนแล้วที่ตอนนี้ยังไม่ได้คบกัน เพราะถ้าเราต่างถลำลึกว่ามากกว่าที่เป็น แล้วมารู้ความจริงทีหลังว่าไอ้ค่ายไม่ได้รักผมจริงมันจะเจ็บขนาดไหนวะ
“ฟุ้งซ่านว่ะมึง ให้กูเรียกชิงชิงมาเคลียร์มั้ย”
“เหอะ! ไม่ต้อง”
“ความรักมันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง”
“แต่ถ้าซ้ำซากขนาดนี้แม่งไม่เรียกอุปสรรคหรอก เรียกเหี้ย”
“เอาเหอะ ยังไงกูก็ทีมมึงอยู่แล้ว มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ หรือจะบอกไอ้อั้นให้แก้แค้นก็ได้นะ” คนถูกพาดพิงยิ้มแฉ่ง ยืนกดนิ้วเสียงดังกรอดเป็นท่าประกอบด้วย
โอยยยย ให้ไอ้พี่อั้นแก้ปัญหามีหวังว่าสุดท้ายจะเจอศพไอ้ค่ายลอยอยู่แถวอ่างน้ำคณะมากกว่า
รุ่นพี่ปีสี่เดินจากไป ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงมุมห้อง หยิบมือถือขึ้นมากดเลื่อนตามข่าวสารไปทั่วเนื่องจากว่างอยู่คนเดียว นี่ยังคิดเลยว่าสักพักคงไปช่วยฝ่ายศิลป์ทำพร็อพประกอบฉากแทน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเห็นทีผมต้องสู้รบปรบมือกับคนที่เดินส่งยิ้มมาแต่ไกลเสียก่อน
“ขอนั่งด้วยดิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขอ ซึ่งแทบไม่รอให้ผมตอบมันก็ทิ้งตูดลงบนพื้นไปแล้ว
“ว่างเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้อัดเสียงแล้วหนิ”
“ก็ไม่ใช่หน้าที่กูที่ต้องอัดนี่หว่า หิวมั้ยกูมีขนมติดมา”
“ขอโทษไอ้โบนหรือยัง” ผมเปลี่ยนประเด็นอย่างเร็วรี่
“ขอโทษแล้ว”
“ดีละ เดี๋ยวกูจะไปช่วยฝ่ายศิลป์ทาสี มึง...จะไปด้วยกันมั้ย” เกลียดตัวเองจริงๆ ที่เผลอพูดออกไปแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลายิ้มมีความสุขพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีลิงโลด
เราเดินออกไปด้านหลังคณะ แหล่งซ่องสุมของฝ่ายศิลป์ที่กำลังง่วนอยู่กับการทำฉากมากมายมหาศาล แม้จะจ้างช่างมืออาชีพมาทำฉากใหญ่ๆ มากมาย แต่ด้วยงบที่มีจำกัดทำให้เราต้องทำเองค่อนข้างเยอะ
“อ้าวไอ้เติร์ด ไอ้ค่าย ลมอะไรหอบมาวะเนี่ย” เพื่อนที่ทำหน้าที่นี้ตั้งแต่แรกทักทายขึ้น
“ว่างงานเลยจะมีช่วย มีอะไรให้กูแสดงฝีมือบ้างวะ” ผมถาม ซึ่งเพื่อนมันก็ยินดีรีบชี้ไปยังฉากใหญ่ของงานที่มีแต่ไม้อัด
ไอ้ควายยยยยย นี่พวกมึงไม่ได้ลงมือเหี้ยไรเลยนี่หว่า
“ทาสีพื้นให้พวกกูก่อนแล้วกัน สีขาวอยู่ข้างเสา แปรงก็อยู่ตรงนั้น ขอบใจมากเว้ย” ว่าแล้วก็หันไปสรรสร้างกับการทาสีฉากอาคารเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมมองหน้าไอ้ค่ายเลิกลัก ก่อนขายาวจะก้าวไปหยิบถังสีขนาดใหญ่ออกมาวางไว้ใกล้ๆ กับผม
“แปรงอันแค่เนี๊ยะ” เผลอพูดอย่างปลงตก ทาสามวันโน่นกว่าจะเสร็จ
“เดี๋ยวกูช่วย กูทาเร็ว”
เรานั่งยองๆ บนแผ่นไม้อัด แล้วตั้งหน้าตั้งตาละเลงสีขาวกันทีละมุมไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นไอ้ค่ายก็ชวนผมพูดอยู่หลายเรื่อง จนสุดท้ายก็มาหยุดตรงเรื่องหนังสั้นที่เราแพลนว่าจะทำกัน
“กูว่าจะเลื่อนเวลาที่เรานั่งรถไฟลงใต้ให้เร็วขึ้นว่ะ กูไปดูปฏิทินมาแล้ว ช่วงต้นเดือนหน้าเป็นวันหยุดยาวห้าวัน เราน่าจะกระชับมิตรกันนะ”
“แล้วถามไอ้ทูกับไอ้โบนยังวะ”
“ยัง นี่คุยกับมึงคนแรก เผื่อเห็นด้วยเราจะได้ไปเที่ยวกันไง”
“ไปทำงานป่ะวะ”
“ทำงานด้วย ได้เที่ยวด้วย”
“ก็ถ้าพวกมันตกลงกูยังไงก็ได้”
“เยส” เคยคุยกันไว้พักหนึ่งแล้วว่าปิดเทอมจะนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ ระหว่างเดินทางก็ใช้เวลาเขียน Screenplay ไปด้วย โดยการเสนอไอเดียกันเรื่อยๆ เผื่อจะคิดอะไรดีๆ ออก
ถ้าเปลี่ยนมาเดินทางเร็ว บางทีจิตใจทุกคนอาจดีขึ้นเพราะได้พักผ่อนไปในตัว งานนิเทศฯ ช่วงนี้ต้องบอกว่าค่อนข้างหนัก แม้จะไม่มีสอบแต่ละครเวทีก็ใกล้เข้ามาทุกที หากเคลียร์งานแล้วพาตัวเองปลีกวิเวกได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
“แล้วมีคนอื่นไปด้วยมั้ย” ผมถามไอ้ค่ายอีก
“ไม่ๆ มีแค่เรา”
“งั้นก็ยกเรื่องนี้ไปคุยในไลน์ หรือไม่ถ้าเจอไอ้ทูกับไอ้โบนก็ลองถามความเห็นมันซะ”
“ไม่มีปัญหา แค่มึงโอเคก็ดีแล้ว”
“อืม”
“เติร์ด...”
“ว่า”
“ที่มึงบอกว่ากูรักแต่ตัวเองอ่ะมึงพูดถูก” มือหนายังคงตวัดแปรงจุ่มสีลงบนพื้นไม้อย่างช่ำชอง มันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมด้วยซ้ำ แต่เรารู้ดีว่าเจ้าของคำพูดประโยคนั้นกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “กูรักตัวเอง กูเห็นแก่ตัว และเพราะความเห็นแก่ตัวเนี่ยแหละกูถึงได้รั้งมึงไว้ เพราะมึงอยู่ตรงนี้กูถึงมีความสุข ถ้าไม่มีมึงกูคงอยู่ไม่ได้”
“มึงไม่ผิดหรอกที่จะคิดแบบนี้ แต่ไว้รอวันไหนที่มึงอยากให้กูมีความสุขโดยที่มึงไม่ได้มีส่วนร่วมในนั้น เราค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันเถอะ” ไม่ต้องพัฒนาไปมากกว่านี้แล้ว หยุดอยู่ตรงนี้ก็พอ
“มึงจะรอกูใช่มั้ย”
“ไม่รู้”
“แต่กูรอมึงนะ”
“อย่าพูดเพื่อกดดันกูเลยว่ะ ถ้าวันไหนที่มึงเจอคนที่ดีกว่ากูก็ไปเถอะ กูไม่อยากรั้งมึงไว้” ไม่แน่พรุ่งนี้มะรืนนี้ไอ้ค่ายอาจเจอใครสักคนที่รับมันได้ในทุกๆ อย่าง รักในสิ่งที่มันเป็นมากกว่าผมก็ได้
เพราะตั้งเกิดเรื่องในคืนนั้น ความรู้สึกของผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
Rrrr..!
สายที่สามแผดเสียงดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องประจำ ผมมองไปยังรายชื่อที่ปรากฏตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะเนียนไม่รับสายอีกก็เหนื่อยที่ต้องฟังเสียงเรียกเข้าจากคนขี้ตื๊อแล้ว เลยตัดสินใจรับอย่างจำยอม
“ว่าไง” กรอกเสียงลงไปเสร็จก็เหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังไปด้วย ตอนนี้ก็ปาไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว
[เก็บของเสร็จยัง ตื่นเต้นมากพรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้ว]
ไอ้ค่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ใช่! พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดยาวที่เราแพลนว่าจะนั่งรถไฟไปเที่ยวเพื่อจำลองสถานการณ์และทดลองเขียนบทก่อนถ่ายทำหนังสั้นกันในเทอมหน้า ไอ้ทูกับไอ้โบนก็ตอบตกลงเห็นด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกเอาไว้ก็คือ...
ทริปนี้จะไม่มีผมในนั้น
ซึ่งแน่นอนผมบอกไอ้ทูเอาไว้แล้ว มันเข้าใจและตัดสินใจเดินทางกันสามคนโดยไม่ได้บอกไอ้ค่าย อาจเพราะผมบกพร่องในหน้าที่ ยึดความรู้สึกเหนือหน้าที่ของตัวเอง แต่มันคงไม่โอเคเท่าไหร่ที่ตลอดห้าวันนี้เราต้องอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
“อืม เก็บเสร็จแล้ว” ผมโกหกอย่างหน้าด้านๆ
แต่ถ้าบอกความจริงในตอนนี้ ไม่ยกเลิกทริป ไอ้ค่ายก็คงตามมาลากคอถึงที่ห้องซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
[นี่กูเอาเสื้อผ้าไปหลายชุดเลย มีกางเกงชิลๆ ไว้ใส่เล่นน้ำ กล้องถ่ายรูป เสื้อกันฝนนี่ต้องเอาไปด้วยมั้ย]
“ก็แล้วแต่มึงสิ”
รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ
[พาวเวอร์แบงค์ก็ชาร์ตไว้เต็ม ไอพอดเอาไว้ฟังเพลง กีตาร์โปร่ง ขนมก็อัดไปเต็มกระเป๋าเผื่อมึงหิว นี่เอาสมุดจดบันทึกไปให้มึงด้วยเผื่อคิดอะไรได้กลางทาง เติร์ดมึงอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย]
“มะ...ไม่แล้ว” ทำไมถึงรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ วะ เพียงเพราะไม่ได้ร่วมทริปกับมึงเหรอวะค่าย
[เฮ้ยกูต้องเอาแมคบุ๊กไปด้วยป่ะ]
“แล้วแต่มึงสิ”
[เดี๋ยว แว่นตากับหมวก แปรงสีฟัน ยาสีฟันอีก โอยยยยยยย] เจ้าตัวบ่นระงมผ่านปลายสาย สลับกับเสียงกุกกักไปมาเหมือนกำลังตระเตรียมของอย่างรีบเร่ง
“เตรียมเสร็จมึงก็ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เดินทางเช้า”
[กูไม่นอนอ่ะ ไว้ไปนอนบนรถไฟยังได้]
บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่เหี้ยฉิบหาย ว่าแต่ไอ้ค่าย เป็นผมนี่แหละที่รักแต่ตัวเอง แคร์แต่ตัวเอง ขณะที่อีกฝ่ายกำลังดีใจอย่างลิงโลดผมกลับนั่งคุยโทรศัพท์นิ่งๆ อยู่บนเตียง
“มีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง”
[งั้นบอกฝันดีกูหน่อยดิ]
“อืม ฝันดี”
[ฝันดีครับ]
ผมเป็นฝ่ายวางสายก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองมือถืออยู่อย่างนั้น คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่รู้สึกอึดอัดและลำบากใจที่สุด เราไม่ค่อยมีทริปยาวไปเที่ยวด้วยกันในกลุ่มเพื่อนเท่าไหร่ มาคราวนี้ก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องผิดสัญญา เพียงแต่...
ช่างแม่งเหอะ แค่ล้มตัวลงบนหมอนและหลับตา เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง
Rrrr..!
แปดครึ่งเสียงเรียกเข้าทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกให้ผมต้องฉุดตัวเองลุกออกจากเตียง ทันทีที่เห็นปลายสายเป็นชื่อของไอ้ค่ายผมก็ทำหูทวนลมและรอจนกว่าอีกฝ่ายจะเงียบไปเอง
มันดังอยู่อย่างนั้นสองสามครั้ง จนผมมั่นใจว่าเพื่อนอีกสองคนคงตามไปสมทบแล้วจึงกดปิดเครื่องเพื่อไม่ให้ใครรบกวน
ช่วงบ่ายคล้อยเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมเดินไปเปิดประตูก่อนจะเห็นเพื่อนรักที่อยู่คนละชั้นยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า
“ไอ้ทู!”
“เออกูเอง มีอะไรให้กินมั่ง หิวฉิบหายเลยว่ะ” มันเดินเกาท้องเข้ามาภายใน ผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงถูกมัดไว้ลวกๆ สภาพที่เห็นตอนนี้ดูยังไงก็ไม่พร้อมสำหรับการเดินทาง ที่สำคัญตอนนี้ก็บ่ายกว่าแล้ว
“เดี๋ยวนะ มึงไม่ได้ไปสุราษฎร์เหรอ”
“สุราษฎร์ห่าไรกูเพิ่งตื่น พอดีเห็นมึงอยู่คนเดียวเลยอยากอยู่เป็นเพื่อน”
“...”
“เนี่ยเมื่อคืนกูโทรไปบอกไอ้โบนแล้ว มันก็เข้าใจนะ”
“แล้วมึงได้บอกได้โบนมั้ยว่าทริปนี้กูไม่ไป”
“ไม่ แต่แม่งคงรู้อยู่แล้วว่ามึงไม่สะดวกใจเท่าไหร่ ไปหาอะไรให้กูแดกทีซิ” เมื่อถูกเร่งมากๆ เลยจำต้องเข้าครัวทำของกินง่ายๆ ให้เพื่อนรักที่ตื่นเอาสายโด่ง ในใจก็นึกเป็นห่วงไอ้เพื่อนสองตัวขึ้นมาครามครัน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
“แล้วนี่มึงเปิดมือถือไว้มั้ย”
“ไม่ กลัวไอ้ค่ายโทรตาม” ไอ้ทูตอบพลางซดบะหมี่ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย หนีปัญหาเหมือนกูเลย กลัวแม่งกลับมาจะโดนเฉ่งกันทั้งคู่
“ฉิบหายแน่”
“พรุ่งนี้ค่อยเปิดเครื่องให้แม่งด่า ถึงตอนนั้นอารมณ์คงดีขึ้นเพราะถึงทะเลเรียบร้อย”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
“เออนี่รู้ป่ะ น้องชิงชิงลาออกจากทีมแล้วนะ”
“อะไรยังไง”
“โดนกระแสบูลลี่จากฝ่ายโสตเนี่ยแหละ แหม...เขาเห็นกันตำตามั้งว่าน้องกล้าได้กล้าเสียกับไอ้ค่ายขนาดไหน ถ้าอยู่ต่อก็คงเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกนาน”
“อืม” ผมพยักหน้ารับฟังโดยไม่แสดงความเห็น ก็เห็นหลายๆ คนมาบอกให้ผมเลิกคิดมากเพราะไอ้ค่ายไม่ได้เล่นด้วย แต่เข้าใจใช่มั้ยครับ ภาพนั้นยังคงติดตาผมอยู่เลย
“ให้อภัยมันเถอะ กูไม่เคยเห็นมันจริงจังกับใครเท่ามึงเลยนะเว้ย”
“ลองมาเจอเหมือนกูมั้ย”
“โอเคกูไม่เสือกละ ไปทำบะหมี่มาให้อีกซองซิ หิวจนจะแดกหัวมึงได้อยู่แล้วเนี่ย” ผมส่ายหน้าไปมา แต่ก็ยอมทำตามคำขอของเพื่อนอย่างว่าง่าย ไอ้ทูแดกจนอิ่มแปล้ ล้างชามให้เสร็จมันก็หนีไปอาบน้ำแต่งตัว กลับมาเคาะห้องอีกทีก็ชวนเที่ยวและดูหนังจนดึกดื่น
เราแยกย้ายตัวใครตัวมันตอนเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขหนึ่ง หลังปิดประตูลงเราต่างก็อยู่ในโลกของตัวเอง ดึกแล้ว ตอนนี้เพื่อนอีกสองคนคงถึงกำลังหลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ก๊อกๆ
ตีสามเสียงเคาะประตูดังอีกรอบ ผมเดินงัวเงียออกไปอย่างโมโห นึกโกรธที่ไอ้ทูชอบสร้างปัญหาตอนดึกดื่น แต่สุดท้ายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เพื่อนติสต์แตกของตัวเอง หากแต่เป็น...
“เชี่ยโบน!”
“เออกูเอง ไอ้เติร์ดมึงไม่ได้ไปเที่ยวกับไอ้ค่ายเหรอ”
“ไม่ แต่ทำไมมึงมายืนอยู่ตรงนี้วะ” ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองเป็นแบบไหน แต่หัวใจที่เต้นกระหน่ำและบีบรัดแน่นจนเหมือนหายใจไม่ออกอยู่ตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนขึ้นมา
“กูน่าจะถามมึงมากกว่า พอดีกูอยากให้มึงสองคนได้ปรับความเข้าใจกันกูเลยไม่ไป”
“ไอ้เหี้ยยยยยยยยย” ผมสบถดังลั่น รีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดเอาไว้ขึ้นมาพร้อมกับกุญแจรถ
“เดี๋ยวไอ้เติร์ดมึงจะไปไหน”
“สถานีรถไฟ”
“ตอนนี้เนี่ยนะ กูว่าไอ้ค่ายอาจจะกลับห้องไปแล้วก็ได้ มึงลองโทรหามันก่อนเถอะ”
“เหรอวะ” ผมฉุกคิดได้ ดังนั้นจึงยืนกระวนกระวายเปิดเครื่องอยู่หน้าห้อง ไม่มีมิสคอลทิ้งไว้แม้แต่สายเดียว เดาว่าคนตัวสูงอาจจะกลับไปแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจเลยกดโทรเช็กไปอีกรอบ
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...
“ไม่ติดว่ะ ยังไงกูก็จะไปที่สถานีรถไฟ ส่วนมึงรีบไปปลุกไอ้โบนแล้วแวะไปหามันที่ห้องดู ได้ข่าวยังไงก็โทรบอกกูด้วย”
“โอเค”
ต่างคนต่างแยกย้าย ผมพุ่งไปที่รถยนต์ส่วนตัวก่อนจะเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ภาวนาอยู่ในใจว่าไอ้ค่ายคงไม่อยู่ตรงนั้น ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงตีสาม ไม่มีใครบ้ารออยู่หรอก ไม่มี…
ทันทีที่ไปถึง จุดแรกที่ผมวิ่งไปคือที่ที่เรานัดหมายกันเอาไว้และผมก็เห็นว่ามันยังอยู่ตรงนั้นจริงๆ
“ไอ้ค่าย”
เจ้าของชื่อรีบหันขวับมาอย่างไวว่อง ร่างสูงสวมเสื้อฮาวายสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะอยู่หน้าชานชาลา มันนั่งทับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ขณะข้างกายเต็มไปด้วยข้าวของไม่ว่าจะเป็นกีตาร์หรือสัมภาระอื่นๆ
“โอ้โหปล่อยให้กูรอนานเชียว ไหนอ่ะกระเป๋า”
“...”
“กูซื้อตั๋วเผื่อมึงสามคนแต่ตอนนี้สายไปนิดหน่อย ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราซื้อกันใหม่นะ” มันรู้ว่าโดนทิ้งแต่ก็ยังตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนเหมือนเคย
เท้าที่ก้าวย่างไปหาอีกฝ่ายเริ่มสั่นเรื่อยๆ จู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนแอจนอยากปล่อยโฮออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด
“กู...ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร คิดว่ามึงติดธุระเลยไม่โทรตามกลัวจะรบกวน แถมตอนนี้แบตก็หมดไปแล้วด้วย”
“...”
“ไหนอ่ะ ไอ้ทูกับไอ้โบน”
“มันยังไม่มา” และตอนนี้ผมก็เดินไปประชิดกับเพื่อนตัวสูงเรียบร้อยแล้ว เนื้อตัวของมันเต็มไปด้วยรอยแดงจากการถูกยุงกัด สภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่ามันไม่โอเคแค่ไหน แต่ทำไมถึงยังฝืนยิ้ม
“พรุ่งนี้เราเดินทางกันใหม่ รอให้พร้อมๆ ก่อนก็ได้”
“คงไม่ทันแล้ว”
“มันฉุกละหุกเนอะ ไม่เป็นไร แต่ถ้าคราวหน้าไม่อยากให้กูไปด้วยก็โทรบอกก่อนนะ”
“...”
“บางทีกูก็สำคัญตัวเองผิดไง”
“...”
“บางทีก็เข้าใจไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าเราจะกลับมารักกันได้อีก” และตอนนั้นเองที่ผมโผเข้ากอดไอ้ค่ายไว้แน่น พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างลืมอาย...
ทำคนอื่นมาเยอะ โดนเองบ้างรู้สึกยังค่าย
