ตอนที่ 10
เพราะชอบเลยต้องจีบ
ไอ้เติร์ดยืนตัวแข็งทื่อ ผมรอฟังคำตอบจากมันอย่างจดจ่อ พยายามก้าวเท้าต่อไปอีกนิดทั้งที่แทบไม่เหลือแรงเดินต่อไปแม้แต่เซนเดียว
“รอก่อนได้มั้ย กู...จะกลับไปเอารถ” ชาวีล้มอยู่ไม่ไกล อย่างน้อยก็แค่ตึกคณะแพทย์เอง
แค่อีกฟากของมหา’ลัย...
“ไอ้ค่ายพอแล้ว” ดวงตาพร่าเลือนส่งผลให้ผมมองสีหน้าของมันไม่ออก สัมผัสได้แค่ฝ่ามืออบอุ่นที่จับแขนเอาไว้เท่านั้น
“อย่าไปกับเขา”
“มึงต้องไปโรง’บาลนะ ต้องไปเดี๋ยวนี้ พี่อั้นช่วยผมหน่อยครับ”
“ไม่ๆ กูปกติดี เติร์ดกูขอร้อง” ผมพยายามยกมือติดสั่นของตัวเองลูบบนขากางเกงไปมา อย่างน้อยเลือดสกปรกนี่อาจไม่ทำให้คนตรงหน้าผะอืดผะอมมากนัก
ผมคิดมาตลอดว่าการกระทำเหี้ยๆ ที่ผ่านมาจะทำให้ผมด้านชาทางความรู้สึก ผมไม่เคยร้องไห้ให้กับความรัก ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยคิดจะทุ่มเทแล้วพอไม่สมหวังก็มานั่งฟูมฟาย ความรู้สึกของผมมีภูมิต้านทานเสมอ แต่สุดท้ายไอ้เติร์ดกลับพังมันลงทุกอย่าง
ตอนนี้ขาข้างซ้ายเจ็บจนเหมือนมีคนกำลังจับมีดมาเลาะกระดูกของผมและสับเป็นชิ้นๆ จนผมหวั่นใจว่าจะไม่สามารถทำตามสัญญาและพาไอ้เติร์ดกลับไปได้ แค่รู้ว่ามันต้องไปกับคนอื่นผมก็...
“ค่ายมึงได้ยินกูมั้ย รอก่อนนะ รอพี่อั้นก่อน” น้ำเสียงนั้นดูร้อนรน ผมเซถอยหลังไปหลายก้าว อย่างน้อยก็เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องรอนานนัก
“กู...กูจะกลับไปเอารถ”
“แต่มึงไปไม่ได้ไอ้เหี้ยมึงได้ยินมั้ย มึงไปไม่ได้!”
“ได้ยินแล้ว เข้าใจแล้ว” นี่อาจเป็นประโยคที่ผมเค้นอยู่นานกว่าจะเปล่งออกมาได้ แต่เพราะฝืนวิ่งมาไกลเกินไป เหนื่อยมากเกินไป ความอดทนเลยสิ้นสุด ปล่อยให้ภาพในม่านสายตาค่อยๆ พร่ามัวก่อนจะปิดลงอย่างจำยอม...
ยังดีที่เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงของไอ้เติร์ด อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ได้พยายามแม้ไม่ได้รับคำตอบเป็นเชิงตกลงก็ตาม
“พี่อั้นเบาแอร์ให้หน่อยได้มั้ย ไอ้ค่ายสั่นไม่หยุดเลย” เสียงที่แว่วเข้าโสตประสาททำให้ผมพยายามปรือตาขึ้น แต่เหมือนเลือดที่เกาะอยู่ตรงเปลือกตาแม่งโคตรเป็นอุปสรรคจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้
ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หลับไปนานเท่าไหร่ แต่ความเย็นที่ตกกระทบสลับกับความอุ่นจากร่างกายของใครอีกคนมันทำให้รู้สึกวางใจขึ้นมาได้บ้าง
หัวของผมคงหนุนอยู่บนตักของมัน ฝ่ามืออุ่นๆ ที่แนบแก้มอยู่ตอนนี้ก็ด้วย
ไม่รังเกียจใช่มั้ย
“ค่าย มึงตื่นอยู่หรือเปล่า” เสียงนั้นช่างนุ่มหูราวกับห่วงใย เป็นน้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมานานแล้วตั้งแต่เราทะเลาะกัน
“...” ผมอยากตอบว่าตื่นอยู่ แต่ก็ไม่เหลือแรงเพื่อตอบสนองใดๆ อีก
“อดทนนะ จะถึงโรง’บาลแล้ว”
อืมกูจะอดทน ขอแค่มีมึงอยู่ตรงนี้ก็พอ
ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ไม่รังเกียจกัน วันนี้เรา...
ได้กลับด้วยกันแล้ว ‘มีคนตั้งข้อสงสัยเรื่องบทละครเก่าๆ เรื่องหนึ่งว่าเป็นผลงานของเชกสเปียร์จริงมั้ย’
‘แล้วไงต่อ’
‘นักสถิติเลยต้องตรวจสอบด้วยการพิสูจน์อักษรแล้วนับจำนวนคำ เช็กสเปียร์มักใช้ชุดคำเดิมๆ และจำนวนใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเขียนเรื่องไหนก็ตาม แต่มีคำนึงที่เขาไม่เคยพูดเลยในงานเขียน’
‘อะไรวะ’
‘คำว่ารัก’
‘คำนี่แม่งเป็นชุดคำในสมองกูเลยนะ’
‘ใช่ การใช้คำบ่งบอกว่าคนๆ นั้นเป็นคนยังไง บางคนพูดคำหยาบบ่อย หรือบางคนพูดคำว่ารักพร่ำเพรื่อ การพิสูจน์คำในประโยคนั้นเลยสามารถระบุตัวตนคนเขียนหรือคนพูดได้’
‘แล้วมึงอ่ะเติร์ด ชอบพูดคำไหนบ่อยสุด’
‘ไม่รู้ดิ มึงอ่ะ คำว่ารักเหรอ’
‘คงงั้นมั้ง’ ตอนนั้นประโยค ‘ผมรักคุณ’ อาจเป็นคำพูดติดปากที่ผมมักใช้กับคนอื่นเสมอ แต่วันนี้ผมรู้คำตอบแล้ว ตัวตนที่เป็นผม กับคำเดิมๆ ที่พูดมาตลอดหลายปี
นี่คือตัวตนของคนชื่อค่าย เป็นเจ้าของคำพูดที่จดลิขสิทธิ์ทางความรู้สึก...
เติร์ด ผมรู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงคนหลายคนคุยกัน แม้จะเบามากๆ แต่ก็รบกวนการนอนของผมไม่น้อย เลยจำต้องค่อยๆ ฝืนเปลือกตาขึ้น แสงที่วาบเข้ามาในตาแม่งทำเอาไม่กล้ามองชั่วขณะ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะปรับโฟกัสให้ชัดและมองเห็นเป็นปกติ
นั่นแหละครับ ภาพแรกที่ผมเห็นคือหัวของมนุษย์แก๊งโหดสามคน กำลังชะโงกหน้าเข้ามาในเฟรมพร้อมกับส่งยิ้มให้ ความเจ็บชาที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในความรู้สึกดันให้ผมต้องเบ้หน้าอยู่หลายครั้ง ก่อนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนจะเอ่ยประโยคกวนๆ เป็นการทักทาย
“เป็นไงบ้างครับคุณขุนพล ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก มึงนอนยาวหนึ่งวันเต็มๆ เลยรู้ตัวป่ะ” สิ้นเสียงของไอ้โบน ไอ้ทูก็รับไม้ต่อทันที
“แถมกลับมาคราวนี้มีเกราะใหม่ด้วย โคตรเท่เลยว่ะ” เกราะ?
ความสับสนเร่งให้ผมกวดตามองไปยังร่างกายของตัวเอง แต่เพราะนอนอยู่ในแนวระนาบ สิ่งเดียวที่เห็นชัดที่สุดในตอนนี้เลยมีแค่เท้าข้างซ้าย ไอ้เหี้ย! ใครโบกปูนบนขากูวะ แถมห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศเพราะถูกเชือกรั้งกับคานเหล็กเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ไม่เอาไม่ช็อกครับเพื่อน แค่ขาหัก”
ขาหัก!
“ใส่เฝือกสามเดือน ห้ามวิ่งหกเดือน หรรษาจังเล้ย”
“หัวแตกเย็บหกเข็ม”
“ข้อศอกกับหัวเข่าถลอก ตามตัวมีแต่แผล ไอดอลโคตรๆ”
“แถมแอ๊บทำหน้าซีดเหมือนตีนไก่ที่ชอบกินประจำได้ด้วย”
ทำไมกูรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมอีกรอบวะ โชคดีที่ไอ้เติร์ดพูดขัดเพื่อนสารเลวทั้งสองลงก่อน ไม่งั้นคงถูกแซวจนสลบคาเตียงอีกแน่ๆ
“มึงสองคนพอได้ละ ค่ายมึงได้ยินกูมั้ย” เจ้าของใบหน้าขาวถามผม มองจากมุมนี้ขนตาของมึงยาวมากเลยว่ะ
“...”
“ไอ้ค่าย ถ้าได้ยินส่งเสียงหน่อย หรือจะกะพริบตาก็ได้”
คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกสนใจใบหน้าของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ แล้วกลับมาจดจ่อกับการพยายามอ้าปากเปล่งเสียงอย่างสุดความสามารถ แม้ลำคอจะแห้งผากจนเหมือนกลืนทรายเอาไว้ทั้งกำมือก็ตาม
“ไอ้...เติร์ด”
“เฮ้ออออ โล่งอกไปที เดี๋ยวรอพยาบาลก่อนนะ” เจ้าของชื่อถอยห่างออกจากขอบเตียงพร้อมกับไอ้ทูและไอ้โบน แต่คนที่โผล่เข้ามาในม่านสายตากลับไม่ใช่พยาบาล หากแต่เป็นแม่กับพี่สาวของผม ไม่สิ! พ่อเองก็ยืนอยู่ตรงปลายเตียงด้วย
นี่มันวันครอบครัวชัดๆ
“แม่ควรภูมิใจมั้ยที่ลูกแม่เหมือนไอรอนแมน” น้ำเสียงติดตลกทักทายกลับมาด้วยรอยยิ้ม พ่อกับพี่สาวก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน โธ่...คำพูดนี้เหมือนเป็นการสมน้ำหน้ากรายๆ เลย
“ผมเจ็บอยู่นะ ไม่คิดจะปลอบใจสักคำเลยหรือไง”
“แม่ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าแกดี เคยเตือนหลายครั้งแล้วกับบิ๊กไบค์ว่าอย่าขับเร็ว แล้วตอนนี้เป็นไง”
“ชาวี ชาวีผมเป็นไงบ้าง!” พอนึกถึงลูกรักที่ขับประจำใจก็หล่นลงไปกองที่ตาตุ่ม จำได้ว่าผมทิ้งมันไว้ตรงถนนระหว่างคณะแพทย์กับทันตะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีชะตากรรมเป็นยังไงบ้าง
“ไม่ต้องห่วงนะค่าย” แม่พูดปลอบ พ่อเลยเสริมต่อ
“พังยับทั้งคัน”
“ส่งศูนย์แล้วจ้า”
“ม่ายยยยยยยยยยยย”
“ต่อจากนี้พ่อจะให้แกเลิกขับบิ๊กไบค์ อย่างน้อยก็สักปีนึงจะได้รู้ตัวว่าทำอะไรผิดลงไปบ้าง” คนที่ยืนอยู่ปลายเตียงปรับน้ำเสียงให้เคร่งขรึมขึ้น
จริงๆ ครอบครัวผมไม่มีใครเนี้ยบนักหรอก บ้านเราทำธุรกิจส่วนตัว เรื่องสปอยลูกนี่ก็ตั้งแต่เด็ก ผมเพิ่งมาถูกดัดนิสัยไม่ให้ทำตามใจตัวเองก็ตอน ม.ปลายนี่เอง ซึ่งก็คงไม่ทันเท่าไหร่เพราะนิสัยใจร้อนและอยากได้อะไรก็ต้องได้กลายเป็นสันดานติดตัวไปโดยปริยาย
แต่พี่สาวผมอย่างพี่เคลียร์ไม่เป็นนะ บ้าของแบรนด์เนมก็จริง แต่ทำงานคุ้มค่าเงินเดือนที่พ่อแม่จ่ายให้มาก พูดแล้วก็น้ำตาจะไหล ไม่ได้เสียใจเรื่องนิสัยต่างกับพี่นะ กูเสียใจเพราะรถ
ซื้อมาตั้งล้านสาม กว่าจะขอพ่อกับแม่มาได้เลือดตาแทบกระเด็น ทำเกรดเทอมก่อนให้เยอะขึ้นจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน สุดท้ายความพยายามก็เป็นผล เกรดเพิ่มขึ้น 0.2 จากการช่วยติวของไอ้เติร์ด เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์แม่งมีจริง
“พ่อ ผมไม่ได้ขับเร็วเลยนะ แค่ทางมันมืดเฉยๆ”
“ตามไปดูกล้องวงจรปิดที่คณะแพทย์แล้ว พุ่งมายังกับจรวด นั่นเรียกว่าช้าแล้วเหรอ”
เบิ้ดคำซิเว่า ได้แต่ยอมจำนนต่อหลักฐาน และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้สลายหายไปราวกับอากาศ
“ถ้าไม่ให้ผมขับชาวี งั้นพ่อกับแม่ซื้อดูคาติให้ผมใหม่ก็ได้” ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มจากคนในครอบครัวก็ส่งมาให้ หัวใจของผมอุ่นวาบราวกับได้รับการเอาใจใส่ โดยเฉพาะพี่เคลียร์ พี่คงจำได้ว่ากำไลข้อมือแอร์เมสที่ใส่แรดๆ อยู่นี่น้องอย่างผมก็ซื้อให้ เพราะงั้น...
“ค่าย”
“ครับแม่”
“ลูกควรเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพนะ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”
“โธ่แม่! แล้วผมจะอยู่ยังไง”
“ช่วงนี้แกขาหัก ยังไงคงต้องรบกวนเพื่อนๆ อย่างเติร์ด ทู แล้วก็โบนก่อนนะลูก ถือซะว่าสมเพชเวทนาเด็กใจแตกคนหนึ่ง” พ่อผมหันไปหาแก๊งโหดทั้งสามคน พวกมันพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนความหวังทั้งหมดจะพังทลายลงทันทีที่พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง
ผมถูกตรวจร่างกายและให้ยาอีกรอบ มีคนที่บ้านคอยเฝ้าไข้ให้ตลอด ขณะที่เพื่อนรักก็ยังอยู่กันครบ กระทั่งเวลาล่วงเลยไปพักใหญ่แม่ก็เดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง
“เดี๋ยวแม่กลับแล้วนะค่าย พรุ่งนี้จะแวะเข้ามาใหม่” มือเรียวเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ เป็นการบอกลา
“ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ ไอ้เติร์ดจะดูแลผมอย่างดี” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ต้องใช้แม่เป็นข้ออ้างในการรั้งตัวมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“งั้นแม่ฝากค่ายด้วยนะเติร์ด รายนี้ตามใจจนเคยตัว ใครก็เอาไม่อยู่”
“ครับ”
หลังจากกลับกันหมด ทั้งห้องเลยเหลือเพียงสามลิงที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้กรายๆ ไอ้เติร์ดกับพี่อั้นพาผมมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่คืนก่อน และไม่นานไอ้ทูกับไอ้โบนก็ตามมา พวกมันเล่าว่าสภาพผมเละเทะมาก เลือดนี่แทบอาบไปทั้งตัวและใบหน้า ร่างกายสั่นราวกับเจ้าเข้าทรง ทุกคนอยู่ในภาวะตื่นตระหนกกลัวว่าผมจะตายกลางทาง แต่พอถึงมือหมอก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก
แม่ผมอยู่เฝ้าไข้ตลอดทั้งคืน ไอ้เติร์ดเองก็ไม่ได้ไปไหน ต่างคนต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแล ซื้อผลไม้กับของกินมาฝาก แม้หมอจะบอกให้งดอาหารหลายอย่างก็ตาม
“ถ้าพวกมึงเบื่อจะกลับกันเลยก็ได้นะ มีเรียนด้วยไม่ใช่เหรอ” ผมบอกเพื่อน เข้าใจว่าพวกมันก็คงเหนื่อยไม่น้อย
“ก็เลิกเรียนแล้วเนี่ยถึงแวะมา มีแต่ไอ้เติร์ดเนี่ยแหละที่เฝ้ามึงทั้งคืน เรียนก็ไม่ได้ไป กราบตีนมันซะ” ไอ้ทูโบ้ยปากไปยังร่างโปร่งที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงโซฟาสีครีมข้างๆ ไอ้โบน
“ขอบคุณมากนะเว้ย”
“เออ ไม่เป็นไรหรอก คราวหลังก็อย่าขับรถเร็ว”
“ไม่ทำอีกแล้ว” ผมตอบกลับเสียงอ่อน ไม่บอกหรอกว่าคนที่ทำให้ผมสมาธิหลุดจนไม่มองทางเป็นใคร เพราะพูดไปก็คงเท่านั้น
มันคงกำลังสานสัมพันธ์ต่อกับพี่อั้น ขณะเดียวกันก็คงรู้สึกรังเกียจผมด้วย แต่ใจไม่รักดีของผมมันก็เอาแต่หลอกตัวเองและพยายามรั้งอีกฝ่ายไว้ให้มากที่สุด แม้ตอนนี้ที่เหนื่อยจนไม่มีแรงก็ไม่คิดปล่อยให้ใครทั้งนั้น
“กูต้องนอนโรง’บาลอีกนานแค่ไหนวะ”
“หมอบอกสี่ห้าวันมั้ง รอดูอาการมึงก่อน”
“ที่คณะเขาจะไม่ว่ากูเหรอ ไหนจะซ้อมละครเวทีอีก”
“ไอ้ค่าย ตอนนี้ทางทีมเขาเปลี่ยนพระเอกแล้ว มึงเล่นมาขาหักแบบนี้จะซ้อมต่อได้ยังไง” ไอ้โบนเป็นคนให้ความกระจ่างในคำถามนี้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จากคืนก่อนจนถึงตอนนี้ ความจริงผมไม่ได้อยากเล่นละครเวที ไม่ได้อยากรับบทพระเอกหรือตัวประกอบใดๆ ทั้งนั้น ผมแค่อยากอยู่กับไอ้เติร์ดเพราะคนเขียนบทกับนักแสดงคงต้องทำงานร่วมกันอีกเยอะ แต่การกลับไปเป็นคนคุมซาวน์เหมือนเดิมก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลามาเป็นไม้กันหมาบางตัวที่จ้องจะงาบกระดูก
Rrrr...!
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหันขวับไปยังต้นเสียงก็เห็นว่าไอ้เติร์ดกำลังหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หลังจากกดรับไม่นานมันก็เดินออกห้องไป คนที่นั่งใกล้ที่สุดอย่างไอ้โบนเลยพูดขึ้น
“พี่อั้น” ฉิบหายนี่ ตามจองล้างจองผลาญกูไม่หยุด
“ไอ้เหี้ยทู ไหนมึงบอกจะช่วยกูสอดส่องเรื่องมือถือของไอ้เติร์ดไง” ผมหันไปจวกคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้พิงพนัก ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เพราะความชะล่าใจ แผนการจีบของผมเลยไม่คืบหน้าเท่าไหร่
“ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะคุยกับไอ้พี่อั้นวะ ที่ผ่านมาก็ดูท่าไม่สนใจใครนอกจากมึง”
“ก็ตอนนี้มันสนแล้วไง”
“เออๆ เดี๋ยวจัดการให้”
“อย่าบอกว่าเดี๋ยว เรื่องนี้รอไม่ได้นะเว้ย”
“โอเคคร้าบบบบบ แต่มีอีกอย่างที่กูอยากถาม คืนก่อนมึงไม่ได้รถล้มเพราะขับเร็วใช่มั้ย ดูยังไงมึงก็ไม่น่าประมาทขนาดนั้นอ่ะ”
“คือกู...จูบไอ้เติร์ด แล้วมันตื่นขึ้นมาพอดี”
“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยยย ทำไมมึงง่าวขนาดนี้วะเชี่ยค่าย ตกลงมึงชื่อค่ายหรือควาย” ตอนกูผิดนี่ก็รีบเหยียบให้จมดินเลยนะพวกเพื่อนเวร
“ก็มันอดใจไม่ไหวนี่หว่า” ความหื่นไม่เคยเข้าใครออกใคร ยิ่งผู้ชายกลัดมันที่ขาดหญิงด้วยแล้วจะเหลือความอดทนอะไรกับกูวะ
“แล้วไงต่อ จูบมันแล้วขับรถหนีงี้เหรอ”
“เปล่า ไอ้เติร์ดมันบอกว่ารังเกียจกู คือกูรับไม่ได้”
“แหมมมม ทำมาเป็นกระแดะรับไม่ได้ ปกติหน้ามึงไม่ได้บางขนาดนี้นะ”
“มึงไม่เข้าใจน้ำเสียงกับฟีลลิ่งเพื่อนมึงในตอนนั้นหรอกไอ้ทูว่ามันจริงจังขนาดไหน ไอ้เติร์ดไม่เคยพูดและแสดงท่าทีแบบนั้นกับกูเลยสักครั้ง ไหนจะเรื่องพี่อั้นอีก แม่งตีกันจนกูทนไม่ไหวขับรถไปแหกโค้งเลย”
“ปัญญาอ่อนฉิบหาย”
นี่คือเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบใจยามหกล้มถูกมั้ย? เพราะเท่าที่สัมผัสได้แม่งมีแต่ล้มแล้วเหยียบกูซ้ำแถมฝังดินกลบร่างให้อีกต่างหาก
“กูจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ เวลาไอ้เติร์ดมันโกรธหรือน้อยใจอะไรหัดเข้าใจมันด้วย มึงจูบมันก่อน มันด่าเช็ดกลับมาก็สมควรแล้ว”
“...”
“ที่สำคัญมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงคิดยังไง ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปดิวะ ใจร้อนแบบนี้ก็ตายห่าหมด”
ผลั่ก! ผมเผลอกลั้นหายใจอัตโนมัติเมื่อประตูเปิดออก ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทั้งสองท่านรีบยกมือถือขึ้นมากดอย่างเนียนๆ ลืมไปซะสนิทว่าก่อนหน้าเราพูดเรื่องอะไรอยู่ บอกเลยว่างานตอแหลไม่มีใครสู้พวกโหดอย่างผมได้หรอก
“ใครโทรมา” เหยื่อมาแล้วต้องรีบต้อนให้จนมุม
“รุ่นพี่”
“รุ่นพี่ไหนอ่ะ”
“ไม่เสือกสิครับ”
“ก็อยากเสือกอ่ะ”
“มันน่าจะล้มให้ฟันหัก จี้อยู่นั่นแหละ” โอ้โหเดี๋ยวนี้โคตรแสบ อารมณ์มาเต็มซะด้วย ผมเลยไม่คิดจะเถียงนอกจากมองดูร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งตรงจุดเดิม สักพักไอ้ทูก็เดินเข้าไปนั่งเบียดด้วย ยันไอ้โบนให้กระเตงสังขารมาที่เก้าอี้แทน
“เชี่ยเติร์ด”
“หืม...”
“ยืมมือถือหน่อยดิ พอดีแบตหมด” นี่สิเพื่อนยาก ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ ขอร้องปุ๊บไอ้ทูก็จัดให้อย่างเร็วรี่ด้วยการปฏิบัติภารกิจเสือกระดับชาติ
“กูเอาที่ชาร์จมา” แต่จู่ๆ ความฝันก็ดับวูบ โธ่...ไอ้เวร
“ไม่! เอ่อกูอยากยืมดูแอพสโตรมึงด้วยอ่ะ ช่วงนี้เป็นเหี้ยอะไรไม่รู้ เวลาจะโหลดแอพใหม่ก็ทำไม่ได้”
“ก็เอาไปชาร์จดิ เดี๋ยวจะช่วยดูให้”
“ไม่ได้ นี่หมดแบบหมดจริงจังเลย กว่าจะชาร์จขึ้น กว่าจะเปิดเครื่องโคตรเสียเวลา ทำไม...แค่นี้ให้เพื่อนไม่ได้เหรอ” ไอ้ทูเริ่มยัดดราม่าเข้ามาอย่างเนียนๆ แต่หน้าของมันตอนนี้ต้องบอกเลยนะครับว่าตอแหลสุดๆ
ไอ้เติร์ดเหมือนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง สายตาก็กวาดมองผมกับไอ้โบนสลับกันไปมา แต่ด้วยความกะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหลที่มีมากกว่าปกติ เราเลยไหวตัวทันรีบพูดตัดช่องทางทันที
“ไม่ต้องมาขอกูน้า เล่นเกมอยู่อย่าเสือกครับ”
“อุ๊ย! แม่ไลน์มามีอะไรอ่ะ”
“อ่ะๆ”
เสร็จโก๋! สุดท้ายมือถือของไอ้เติร์ดก็ตกอยู่ในมือของไอ้ทูจนได้ ผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนรักมันเสือกอะไรบ้าง แต่จากการหุบถ่าง เลื่อนๆ สไลด์บวกปาดมั่วอย่างเนียนๆ นั้นคงทำให้รู้ความลับของไอ้เติร์ดมาบ้างเหมือนกัน
ไม่นานแขกไม่ได้รับเชิญก็โผล่เข้ามาสร้างความร้าวฉานในชีวิตอีก ผมถอนถอยหายใจทันทีที่เห็นพี่เชนทร์หุ่นหมีกับศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างพี่อั้นยืนอยู่ตรงประตู
“หวัดดีครับพี่ ลมอะไรหอบมาวะเนี่ยยยยยยย” เสียงทักทายของไอ้โบนถือเป็นการเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สามภายในห้อง
“จะมาดูสภาพพระเอกละครหน่อย เป็นไงมึง เฟี้ยวจนได้เรื่อง” คนมาใหม่เดินมาหยุดอยู่ตรงขอบเตียง พี่เชนทร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ส่วนพี่อั้นวางถุงผลไม้ไว้ในมือแล้ววกกลับไปนั่งแทรกไอ้เติร์ดตรงโซฟาอย่างถือวิสาสะ เฮ้ย! กูไม่ยอม ลุกเดินไปได้พ่อจะตบให้กะโหลกแยก เย็บแผลให้หนักกว่ากูร้อยเท่า
“ไอ้ค่าย กูถามก็ช่วยสนใจด้วย ไม่ใช่มองแต่โซฟา” คนที่เกาะอยู่ข้างๆ ดึงสติผมอีกรอบ
“พี่ถามว่าไงอ่ะ” ผมตอบอย่างหงุดหงิด สายตาก็เหลือบมองไอ้เติร์ดไม่หยุด
“มึงเป็นไงบ้าง”
“ก็อย่างที่เห็น ขาหัก หัวแตก แผลเต็มตัว ต้องการคนดูแลและใส่ใจ ไม่ใช่นั่งคุยกับคนอื่นโดยไม่สนใจคนเจ็บอยู่แบบนี้ มันไม่โอเค” ประโยคยืดยาวถูกจุดออกมาจากสมองอันฉลาดน้อยของผมเรื่อยๆ เพื่ออะไรน่ะเหรอ ก็เผื่อใครบางคนที่นั่งเต๊าะกันอยู่ตรงนั้นจะได้หันมาสนใจกันบ้างไง
แต่สุดท้ายครับ กูก็หมาหัวเน่าอยู่ดีเพราะไอ้เติร์ดไม่คิดจะใส่ใจ
“มีตัดพ้อเว้ย แล้วรู้ยังเรื่องละครเวที”
“รู้แล้ว ได้ใครมาเล่นแทนล่ะครับ”
“เดือนนิติปีหนึ่ง ถึงจะเล่นได้แต่ก็ไม่เหมือนมึง บทมันต้องชั่วมาจากข้างในไง”
“ถ้าจะพูดกันขนาดนี้ก็ด่ามาตรงๆ เถอะ ผมรู้ว่าผมเลว ทำตัวแย่ๆ และเอาแต่ใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มาทีหลังจะดีกว่านี่หว่า” พูดไปก็เหลือบมองไปยังโซฟาอยู่หลายครั้ง
เห้อมมมมมมม กูไม่อยากจะทนแต่กูก็ต้องทนงี้
“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาพิสูจน์”
“บางทีเวลาก็ไม่ได้ช่วยอะไร”
“ก็ต้องดูที่ความตั้งใจแล้วล่ะ”
“จะดีเร้อ”
“มึงขาหักอยู่ ให้เดินกะเผลกไปคงไม่ไหว”
เอ้า! นี่เราคุยเรื่องละครเวทีกันอยู่เหรอ ลืมไปซะสนิท เข้าใจว่าเป็นเรื่องของไอ้เติร์ดกับรุ่นพี่เพลย์บอยเขี้ยวงอกมากกว่า
“นี่พี่มาเยี่ยมผมจริงดิ” ผมถามพี่เชนทร์อีก
“เออสิวะ”
“มาเยี่ยมผมหรือเยี่ยมไอ้เติร์ดอ่ะ” เป็นอันรู้กัน คนถูกพาดพิงถึงเลยหันมาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มาหาไอ้เติร์ด”
“...”
“จะคุยเรื่องงาน”
“คุยกันในไลน์ไม่พออีกหรือไง หรือต้องเห็นหน้ากันด้วย”
“งั้นไอ้เติร์ด ไปคุยกันข้างนอกดิ”
“ไม่ให้ไป ไอ้เติร์ดต้องดูแลผม ตอนนี้อาการผมแย่มาก”
“ก็เห็นพูดไม่หยุด แถมเพื่อนมึงก็อยู่อีกตั้งสองคน”
“ไอ้เติร์ดมันสัญญากับแม่ผมเอาไว้แล้วว่าจะดูแลผมอย่างดี ถึงตอนนี้คิดจะหนีไปอย่างนั้นเหรอ ช้ำใจว่ะ” ผมแสร้งทำหน้าหงอยลง จนคนมองลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง
ถึงจะทำตัวน่ารำคาญ แต่เพื่อตัดปัญหาไม่ให้มันต้องไปกับเขาผมก็จะทำเหี้ยๆ แบบนี้ต่อไปนั่นแหละ
“ทำตัวเด็กฉิบหายเลย นี่ไอ้ค่าย...คืนนี้เขานัดซ้อมพิเศษเพราะเราเปลี่ยนพระเอกกะทันหัน ไอ้เติร์ดมันต้องคุยเรื่องงาน ช่วยเข้าใจด้วย” ไม่นานพี่เชนทร์ก็ช่วยไขความกระจ่างให้ ความรู้สึกผิดเลยแทรกเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“ผมขอโทษพี่ ฝากขอโทษทุกคนในกองด้วยที่ทำให้ลำบาก”
“มันเป็นอุบัติเหตุป่ะวะ ไม่มีใครโทษมึง มีแต่คนสงสัยเพราะเล่าต่อๆ กันมา...ขาหักขนาดนั้นวิ่งมาจากคณะแพทย์ได้ไงวะ มึงเป็นแรมโบ้เหรอ”
“ตอนนั้นมันชาๆ มั้ง เลยไม่คิดว่าขาจะหัก”
“แต่ปลอดภัยมาก็ดีละ”
“อ่าฮะ”
“หน้าที่ของมึงก็กลับไปคุมซาวน์เหมือนเดิมแล้วกัน เพื่อนมันก็รอเข้าทีมอยู่”
“อ่าฮะ”
“ยังไงไลค์บรารี่ก็ยังต้องการคนคุมซาวน์เก่งปฏิบัติแต่โง่ทฤษฎีอย่างมึง”
“อ่าฮะ”
“นี่สรุปจะคุยกับกูหรือจะดูคนข้างๆ”
“คุยกับพี่ดิ”
“คุยกับกูแต่ตามึงหักเหมุมหน้ากูฉิบหาย ถ้าไอ้เติร์ดเป็นปลากัดแม่งคงตั้งท้องไปนานแล้วไอ้ควาย อารมณ์เสีย!” “อ่าฮะ”
“จะอ่าฮะทำเหี้ยไรนักหนาไอ้สัด”
พี่เชนทร์ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ ใครจะมีอารมณ์มาสนใจวะ สำคัญที่สุดคือคนที่นั่งห่างจากเตียงออกไปโน่น แม่งไม่รู้ว่าคุยเหี้ยอะไรกับไอ้พี่อั้นบ้าง เห็นหงุงหงิงๆ กันอยู่สองคน อยากเตะปากคนโว้ยยยยยยยย
อ่านต่อด้านล่างค่ะ