Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 47525 ครั้ง)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**************************************************





เงือกวาฬคือกลุ่มครึ่งมัจฉาที่มีความใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด... เพราะพวกเขาแปลงกายเป็นมนุษย์เมื่อใดก็ได้
แต่ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้พวกเขากลายเป็น 'เหยื่อ' ของแวมไพร์

ไคราห์น ราชาแห่งอาณาจักรเซลทิคจะต้องปกป้องประชาชนของเขาให้รอดพ้นจากการคุกคามของผีดูดเลือด
โดยขอความช่วยเหลือจาก เรจินา ราชินีแห่งอาณาจักรมารินาการ์ด และด้วยความปรารถนาที่จะครอบครอง 'สายเลือดจอมราชัน' ทำให้เขาเกือบจะทอดทิ้ง เวสเทียร์ ผู้นำองครักษ์คนสนิทผู้ภักดีมาโดยตลอด

"กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ...ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น"

สารบัญ
[ บทนำ ]
ตอนที่ 1 [ 1 ]
ตอนที่ 2 [ 2.1 + 2.2 ]
ตอนที่ 3 [ 3.1 + 3.2 ]
ตอนที่ 4 [ 4.1 + 4.2 ]
ตอนที่ 5 [ 5.1 + 5.2 ]
ตอนที่ 6 [ 6.1 + 6.2 ]
ตอนที่ 7 [ 7.1 + 7.2 ]
ตอนที่ 8 [ 8.1 + 8.2 ]
ตอนที่ 9 [ 9.1 + 9.2 ]
ตอนที่ 10 [ 10.1 + 10.2 ]
ตอนที่ 11 [ 11.1 + 11.2 ]
ตอนที่ 12 [ 12.1 + 12.2 ]
ตอนที่ 13 [ 13.1 + 13.2 ]
ตอนที่ 14 [ 14.1 + 14.2 ]
ตอนที่ 15 [ 15.1 + 15.2 ]
ตอนที่ 16 [ 16.1 + 16.2 ]
ตอนที่ 17 [ 17.1 + 17.2 ]
ตอนที่ 18 [ 18.1 + 18.2 ]
ตอนที่ 19 [ 19.1 + 19.2 ]
ตอนที่ 20 [ 20.1 + 20.2 ]
ตอนที่ 21 [ 21.1 + 21.2 ]
ตอนที่ 22 [ 22.1 + 22.2 ]
ตอนที่ 23 [ 23.1 + 23.2 ]
ตอนที่ 24 [ 24.1 + 24.2 ]
ตอนที่ 25 [ 25 ]
บทส่งท้าย [ บทส่งท้าย ]

ตอนพิเศษ [1] [ ความปรารถนา ]
ตอนพิเศษ [2] [ องครักษ์เพชฌฆาต ]
ตอนพิเศษ [3] [ ความฝัน ]
ตอนพิเศษ [4] [ กำไลมุก ]
ตอนพิเศษ [5] [ รางวัล ]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2017 19:32:19 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา บทนำ
«ตอบ #1 เมื่อ18-02-2017 18:10:59 »

บทนำ

หากกล่าวว่าแวมไพร์เป็นสิ่งไร้ชีวิตก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริงนัก

พวกเขาไม่มีลมหายใจ ไม่มีหัวใจที่เต้น อีกทั้งระบบการทำงานภายในก็แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติทั่วไปโดยสิ้นเชิง เป็นต้นว่า แวมไพร์ต้องดื่มเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อกระตุ้นให้ตนเองสามารถ 'มีชีวิต' ต่อไปได้ และยิ่งเลือดที่ดื่มกินเข้าไปเป็นของอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น ก็จะยิ่งทำให้พลังของแวมไพร์แข็งแกร่งขึ้น

แต่ว่าเลือดของเผ่าหมาป่าก็เหม็นสาบและรสชาติแย่เสียจนอดทนกล้ำกลืนไม่ได้

อีกทั้งหมาป่ายังเป็นกลุ่มอมนุษย์ที่แข็งแกร่งซึ่งยากจะต่อกรด้วย

ในยุคสมัยที่การเข่นฆ่ามนุษย์ยากขึ้น น่าสงสัยมากขึ้น เสี่ยงต่อการเปิดโปงการมีตัวตนของผีดูดเลือด ทำให้แวมไพร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขาต้องหันไปหาทางเลือกอื่นที่ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากัน นั่นคือการตามหาอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก และเผ่าที่น่าเพ่งเล็งที่สุดคือเผ่านางพรายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสตรีที่ไร้ทางสู้ แต่การเคลื่อนไหวเพื่อหลบหนีของพวกนางก็ว่องไวสมกับที่เป็นเผ่าแห่งสายลม แม้แต่แวมไพร์ก็ยังยากที่จะไล่ตามได้ทัน

เช่นนั้นแล้วยังจะเหลือเลือดของสัตว์ชนิดใดให้พวกเขาดื่มอีก...

คำตอบของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่บนผืนแผ่นดิน แต่คืออมนุษย์คนครึ่งปลาผู้อาศัยอยู่ใต้บาดาล


--------------------------------------------------


เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมักเงียบสงบมากเสียจนในบางครั้งเรียกได้ว่าเงียบเหงา ถึงแม้บาร์ธีมอร์จะมีท่าเรือเป็นของตนเอง แต่ในวันที่ไร้ซึ่งเรือสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนแล้วแต่น่าเบื่อ ร้านรวงเล็กๆ ดำเนินกิจการของตนไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน การค้าขายอาหาร วัตถุดิบ เครื่องปรุงนั้นไม่เคยติดขัด หากแต่ร้านที่มักตกที่นั่งลำบากในฤดูที่ไร้ผู้มาเยี่ยมเยือนจากต่างแดนเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นร้านเครื่องประดับ และน้ำหอมราคาแพง

ผู้หญิงกับเครื่องประดับคงเรียกได้ว่าเป็นสิ่งคู่กัน...

ทว่าสำหรับสามัญชนคนธรรมดาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับอะไรก็ล้วนแล้วแต่มีมูลค่าสูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง อาโกรนาห์มองผ่านหน้าต่างกระจกร้านค้าเพื่อพิจารณาสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งอยู่เนิ่นนานด้วยความหลงใหล ถึงแม้นางจะมีผิวพรรณเนียนสวยและดวงตาเป็นประกาย ดูสูงศักดิ์ราวกับเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางเจ้าถิ่น แต่อาโกรนาห์กลับทอดยิ้มให้กับสร้อยตรงหน้าอย่างอาวรณ์และอ่อนโยน ก่อนจะตัดใจเดินจากมันมาด้วยรู้ว่านางไม่มีสินทรัพย์ที่มากพอจะซื้อมันมาครอบครองได้

แม้อยากจะยืนมองให้นานกว่านี้สักหน่อย แต่เธอสัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่จ้องมองอย่างไม่ประสงค์ดี สตรีเจ้าของเรือนผมสีดำขลับจึงบ่ายหน้าหนีจากร้านค้าเพื่อกลับไปยังที่ที่เธอจากมา ชุดยาวๆ รุ่มร่ามเป็นอุปสรรคในการเดินเท้า และเศษหินเศษดินตามพื้นที่ทิ่มแทงเท้าเปล่าเปลือยก็ยิ่งทำให้อาโกรนาห์เจ็บจนวิ่งไม่ออก

แต่ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลติดตามนางมาอย่างรวดเร็ว

ต้นเหตุของภัยคุกคามมาจากกลิ่นอายของนางที่แตกต่างจากคนอื่นๆ บนถนน หญิงสาวเริ่มออกวิ่ง แม้เท้าของนางจะถูกหินบนพื้นบาดจนได้เลือด นางก็วิ่งผ่านผู้คนบนถนนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้ร้อนและมองตามความตื่นตระหนกของสตรีแปลกหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงรีบ ลัดเลาะออกไปทางด้านหลังเมืองที่เริ่มห่างไกลผู้คน และมุ่งหน้าสู่หน้าผาที่เบื้องล่างคือทะเลเคลติกอันเกรี้ยวกราด

'มันกำลังจะหนีไปแล้ว!!'

'ต้องใช่พวกมันแน่ๆ!!'

อาโกรนาห์สัมผัสได้ถึงเสียงและจิตด้านมืดที่คุกคาม ความเร็วที่ติดตามทำให้หญิงสาวเร่งฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต และเมื่อไปจนสุดทาง เธอก็กระโดดออกจากแผ่นดินเพื่อจะเผ่นพลิ้วลงสู่ท้องทะเลซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวที่ปลอดภัยสำหรับเธอ

พวกแวมไพร์ไม่ลงทะเล... โดยเฉพาะน่านน้ำที่ดุดันคลุ้มคลั่ง

แต่ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะกระแทกกับท้องสมุทร มือข้างหนึ่งที่มีกรงเล็บแหลมคมก็คว้าเข้าที่แขนบอบบาง และกระชากทั้งร่างขึ้นมาให้ห่างจากคลื่นทะเล นางกรีดร้อง และหันไปมองเงาร่างที่ไม่เคยมองเห็นก่อนจะเหวี่ยงร่างกายช่วงล่างขึ้น ให้หางปลาขนาดใหญ่ฟาดใส่ศัตรูอย่างรุนแรง

...ตูม!!

มันทิ้งเธอให้ตกลงไปในทะเล แผ่นหลังกระแทกกับผืนน้ำเสียจนจุก แต่เมื่อได้สติ นางเงือกก็ขยับหางของตนเพื่อดำดิ่งลงไปสู้ก้นสมุทรเบื้องล่าง "มันไปได้ไม่ไกลหรอก" ผีร้ายทั้งสองกลับมาตั้งหลักบนโขดหินและมองหาเงาของนางเงือกในแสงสลัว "เงือกพวกนี้ต้องขึ้นมาหายใจด้านบน อีกไม่นานพวกมันก็จะขึ้นมา"

แวมไพร์ตนหนึ่งพิจารณาทะเลตรงหน้าอย่างครุ่นคิด "แปลว่าเบื้องใต้นี่เอง... เป็นที่ตั้งของอาณาจักรเซลทิค"

อาณาจักรเงือกแห่งทะเลเหนือ อมนุษย์ผู้มีโลหิตร้อนรุ่มและเปี่ยมไปด้วยพลัง ภายใต้ความเยียบเย็นของท้องทะเลอันโหดร้ายประหนึ่งเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงผิวเนื้อ เลือดของชาวเงือกแห่งเซลทิคกลับมีอุณหภูมิและพลังมากพอที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ภายใต้ความทารุณเหล่านั้น และนี่เองคือแหล่งอาหารใหม่ของแวมไพร์

"สิ่งนี้จะต่ออายุให้พวกเราอยู่รอดได้อีกหลายสิบปี..."

ดวงตาของแวมไพร์มองเห็นการเคลื่อนไหวใต้ผืนน้ำ แม้จะไม่ลึกมากนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่เบื้องล่าง นั่นเป็นสัญญาณที่ผีดูดเลือดจะต้องเตรียมตัว ชาวเงือกจะขึ้นมาหายใจเป็นประจำ แต่ก็ไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นบ่อยนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องว่องไวพอที่จะจับอมนุษย์ครึ่งปลาพวกนี้ให้ได้ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง

"มันมาแล้ว..."

ร่างเงาของชาวเงือกปรากฎให้เห็นในสายตา คงมีสักตนที่ต้องโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศ แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและทรงพลัง อีกทั้งยังมุ่งเข้ามาหาแวมไพร์ ทำให้ผู้รุกรานเบิกตาขึ้น "พวกเพชฌฆาต!!" แวมไพร์ทั้งสองดีดร่างลอยขึ้นจากโขดหิน และหันหน้ากลับไปยังแผ่นดินหินผาด้านหลัง ทว่าเพียงแค่สิ้นเสียง ร่างกายที่ใหญ่โตของเงือกสองตนก็กระโจนขึ้นจากท้องน้ำ พร้อมกับหอกเล่มยาวที่พุ่งเข้าเสียบผ่านขั้วหัวใจอย่างแม่นยำ

ฉึก...!

"อ้ากกก...!!!"

แม้ไม่มีแสงแดด แต่แวมไพร์ก็ถูกฆ่าได้ด้วยการตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ ดังนั้นสิ่งที่หลงเหลืออยู่บนปลายหอกเล่มยาวจึงเป็นความว่างเปล่า ร่างของผีร้ายมลายหายสลายไปในอากาศ และร่างของครึ่งมัจฉาก็ตกลงสู่ผืนน้ำอีกครั้งหลังภารกิจเสร็จสิ้น

หางยาวสีดำสะบัดยืดเส้นสายด้วยความพอใจ แล้วจึงขยับเพื่อพาร่างดำลงสู่ก้นทะเล

"เจ้าอย่าคิดว่ามันเป็นผลงานอันน่าภูมิใจ การมาถึงของพวกมันเป็นภัยคุกคามของเรา" เงือกหนุ่มผู้นำเอ็ดคนข้างกายที่เพิ่งจะบิดแขนไปเมื่อครู่ "คุ้มกันองค์หญิงอาโกรนาห์กลับไปยังพระราชวัง ข้าจะไปทูลฝ่าบาท" เงือกสาวที่ยังอยู่ในอาการตระหนกตกอยู่ในวงล้อมของทหารองครักษ์ และยิ่งหน้าถอดสีเมื่อได้ยินว่าพี่ชายของนางกำลังจะทราบเรื่อง

"อย่านำเรื่องของข้าไปบอกท่านพี่นะ..."

องค์หญิงอ้อนวอน แต่ผู้นำองครักษ์กลับหลับตาและค้อมหัวลงอย่างห่างเหิน "กระหม่อมจำเป็น"

"เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับ"

"เกรงว่าคำสั่งของฝ่าบาทจะเด็ดขาดมากกว่าคำสั่งขององค์หญิงขอรับ" อาโกรนาห์เป็นน้องสาวของราชาผู้ปกครองอาณาจักรเซลทิค เป็นบุคคลที่สองที่มีสิทธิ์จะได้ครองบัลลังก์แห่งทะเลเหนือ หากราชาผู้นี้ไม่มีรัชทายาท "และการฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาท ซึ่ง 'ห้ามชาวเซลทิคก้าวขึ้นจากน้ำในร่างมนุษย์นับแต่นี้' ก็เป็นความผิด แม้จะเป็นองค์หญิงอาโกรนาห์ กระหม่อมก็มิอาจละเว้นได้"

ผู้พูดกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ทว่ามิอาจเงยหน้าขึ้นมองหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ได้

"กระหม่อมขอตัวก่อน"

คนสนิทของผู้นำองครักษ์ขยับร่างเข้ามาหาอีกฝ่ายและแตะมือกับศอกแข็งช้าๆ "เจ้าแน่ใจรึว่าไม่ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อน" ผู้นำอังครักษ์ปรายตามองมือข้างนั้นช้าๆ แทนคำตอบ และเงยขึ้นมองผิวน้ำเบื้องบนอย่างครุ่นคิด

"คงต้องกลั้นใจยาวๆ" ชายหนุ่มพึมพำ "ข้าไม่เป็นไรหรอก..."


--------------------------------------------------


สวัสดีค่า... เปิดเรื่องใหม่---

จริงๆก็กลับมาในซีรี่ย์เดิม ถ้าใครเคยตามเซต Blueๆ ทั้งหลาย...
ทั้ง Prussian Blue รึ Azurel Blue อันนี้ก็เป็นซีรี่ย์เดียวกันแหละน้า แต่ว่า.... เรื่องของบัลลังก์จ้าวนาราคือ... เป็นภาคอดีต... ย้อนกลับไปตั้งแต่ฝ่าบาทเลอาฟร์ยังไม่เกิด ฮาาา ถ้าใครมีไทม์ไลน์เรื่องนี้อยู่ในมือก็สามารถเปิดดูได้... ก็... เรื่องของฝ่าบาทเลอาฟร์จะเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1884-1889 แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1854-1862

ดังนั้น... ไม่ต้องอ่าน 2 เรื่องนั้นมาก่อนก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้นะคะ 555 เพราะคนละไทม์ไลน์กันเบย...

หวังว่าแค่บทนำคงจะไม่งงแบบตอนเปิดแอสทารอธ พันธนาการดวงดาว... เน้าะ OTL
เพราะรายละเอียดของจักรวาลนี้น้อยกว่าจักรวาลโน้นม๊ากมาก...
.
.
สวัสดีนักอ่านใหม่ทุกท่านค่า... นิยายซีรี่ย์นี้เป็นการทะเลาะกันของเงือกกับแวมไพร์ เฮ!?
(แต่เรื่องนี้เป็นคู่เงือกxเงือกนะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2017 13:39:22 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 1

ชาวเงือกที่น่าสงสารที่สุดอาจเป็นชาวเงือกแห่งเซลทิคนี่เอง...

อมนุษย์ผู้มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์น้ำภาคภูมิใจว่าพวกเขานั้นสูงส่งกว่ามนุษย์ธรรมดาเบื้องบนที่น่าสมเพช ลุ่มหลง และวนเวียนอยู่กับวัตถุสิ่งของนอกกายที่พาลทำให้จิตใจสกปรกต่ำช้า ไร้ซึ่งคุณธรรมและความยับยั้งชั่งใจ ดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการโดยไม่สนใจความถูกต้อง ต่างจากชาวบาดาลผู้สามารถปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ อีกทั้งยังมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติที่สร้างสรรค์สิ่งสวยงามรอบกาย

ดังนั้นเหตุผลที่ชาวเงือกแห่งเซลทิคน่าสงสาร... นั่นคือพวกเขามีความใกล้ชิดกับพวกมนุษย์มากที่สุด

ด้วยความเป็น 'วาฬ' ของพวกเขา ชาวเงือกที่นี่ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้ทะเลได้ตลอดกาลดั่งชาวเงือกอาณาจักรอื่น พวกเขาจำเป็นต้องขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ และกลั้นเก็บมันเอาไว้ในปอด อีกทั้งยังสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ที่มีขาเมื่อใดก็ได้ในยามที่ต้องการ ซึ่งแม้จะเป็นความสามารถพิเศษ แต่มันก็เป็นความสามารถที่ชาวบาดาลไม่ได้ปลาบปลื้ม

มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาละทิ้งความเป็นมนุษย์ไม่ได้

แต่ถึงกระนั้น... ราชวงศ์แห่งเซลทิคก็ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นที่ถือตัวที่สุด นั่นเป็นเพราะ 'พลัง' บางอย่างที่พวกเขามีเหนือกว่าชาวบาดาลอื่น นั่นคือพลังในการปกป้อง คุ้มครอง และรักษา ว่ากันว่าราชวงศ์แห่งเซลทิคไม่เคยเจ็บป่วย อีกทั้งยังมีอำนาจวิเศษที่สามารถเยียวยาบาดแผลให้หายได้ในพริบตาเพียงแค่แตะสัมผัส แต่การจะใช้ความสามารถนั้นก็ย่อมต้องแลกด้วยพลังและเรี่ยวแรงของตัวเอง

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นข้ารับใช้ที่สนิทชิดเชื้อแค่ไหน แต่หากไม่ใช่คู่ชีวิตแล้ว

...ก็ไม่สามารถแตะต้องกายหรือมองสบตาเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคได้

สิ่งสูงที่สุดที่บริวารรับใช้จะสามารถเห็นได้ก็เป็นเพียงปลายหางเท่านั้น และในตอนนี้ เวสเทียร์ องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคก็กำลังก้มมองปลายหางสีขาวโพลนของเจ้าชีวิต หลังจากรายงานเรื่องขององค์หญิงอาโกรนาห์ แม้จะรู้ดีว่าเรื่อง 'หนีเที่ยว' ของนางเป็นความผิดของเขา และเขาอาจถูกลงโทษได้ แต่เวสเทียร์คิดว่าความปลอดภัยของนางเป็นสิ่งที่คนเป็นพี่อยากได้ยิน

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานจนผู้นำองครักษ์ไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทของเขารับฟังอยู่หรือไม่

...แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เงยหน้าขึ้นมอง

ราชาผู้ปกครองทอดร่างอยู่บนแท่นนั่งขนาดใหญ่ ปล่อยวางท่อนหางมหึมาบนหมอนนุ่มที่ทำมาจากพืชฟองน้ำ นัยน์ตาสีฟ้าเยียบเย็นทองมององครักษ์คนสนิทของตนด้วยสายตาที่ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้ เขาโกรธขึ้งที่รู้ว่าอาโกรนาห์ขัดคำสั่งของตนขึ้นไปบนแผ่นดิน แต่กลับโกรธเคืองยิ่งกว่าที่น้องสาวของตนเลือกทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าความรับผิดชอบในการดูแลนางเป็นขององครักษ์ส่วนตัวของเขา

เขาจะลงทัณฑ์องครักษ์อื่นให้หนักก็ย่อมได้ หากปล่อยให้อาโกรนาห์หนีไป

จะจับพวกเขากดน้ำให้ขาดใจจนกระอักออกมาเป็นเลือดก็ย่อมได้ หากบกพร่องในหน้าที่

...แต่ไม่ใช่กับเวสเทียร์ คนโปรดของเขา

"เจ้าสมควรได้รับโทษ" น้ำเสียงของราชาเรียบเฉยทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ทำให้องครักษ์คนสนิทค้อมหัวลงต่ำด้วยยอมรับโดยดี "จะปกป้องราชวงศ์ได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องง่ายเพียงนี้ก็ไม่สามารถรับผิดชอบได้" ฝ่าบาทแห่งเซลทิคเอ่ยตำหนิต่อหน้าข้ารับใช้ทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น แม้มันจะเป็นคำถามที่กรีดแทงใจของเขาเองก็ตาม

...จะปกป้องอาณาจักรได้อย่างไร ในเมื่อแค่น้องสาวตัวเองก็ไม่เชื่อฟัง

เวสเทียร์ค้อมหัวลงน้อมรับคำตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นบทลงทัณฑ์แบบใดก็ไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ การปล่อยให้องค์หญิงอาโกรนาห์เผชิญกับอันตราย อีกทั้งยังปล่อยให้แวมไพร์ตามมาถึงถิ่นที่เป็นความผิดอันไม่น่าให้อภัยที่สุด มันคือความบกพร่องของเขาในฐานะองครักษ์ระดับสูง คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์น และผู้นำตระกูลเพชฌฆาตอันเก่าแก่ ผู้คอยปกป้องราชวงศ์แห่งเซลทิคมาช้านาน

ท่ามกลางสายตาของเหล่าข้าทาสผู้รับใช้ ...ฝ่าบาทแห่งเซลติคหรี่ตาลงมององครักษ์ของตนอย่างเย็นยา

โทษสถานหนักที่ใช้ลงทัณฑ์เงือกวาฬคือการถ่วงพวกเขาเอาไว้ที่ก้นทะเลเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ซึ่งหากไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เงือกตนนั้นก็มีโอกาสขาดใจตายได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดขึ้นกับเวสเทียร์ ดังนั้นการลงทัณฑ์ที่หนักหนาไม่แพ้กันคือการเฆี่ยนตีเพื่อให้สัมผัสความเจ็บปวดอย่างมนุษย์

"แส้หางกระเบน..." ราชาเอ่ยต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย "ยี่สิบครั้ง"

เมื่อออกคำสั่ง ฝ่าบาทเงือกก็เอนกายลงพิงบัลลังก์ของตนเป็นสัญญาณให้องครักษ์หนุ่มออกไป โดยมีฟาล คนสนิทผู้ดูแลความเรียบร้อยฝ่ายองครักษ์ตามไปด้วย ดวงตาสีครามมองตามพวกเขาทั้งคู่ออกไปหลังม่านสาหร่ายที่กั้นไว้ต่างประตู ก่อนจะหันมาหานางกำนัลที่อยู่ใกล้ "ไปตามอาโกรนาห์มา" นางกำนัลค้อมหัว แต่เมื่อนางตั้งท่าจะออกไป องค์หญิงอาโกรนาห์แห่งเซลทิคก็เข้ามาในที่พักของราชาผู้นำ

นางเป็นหญิงสาววัยสิบหกปี ใบหน้ามนล้อมกรอบด้วยผมยาวสีดำขลับ รับกับท่อนหางขนาดใหญ่ที่มีสีเดียวกัน นางมองสบตาผู้เป็นพี่ครั้งหนึ่ง และเผยอริมฝีปากขึ้นราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

"เจ้าไม่ควรแก้ตัวในเรื่องนี้..."

พี่ชายมองสบกับผู้มาเยือนและเอ่ยขึ้นแทบจะในทันที อาโกรนาห์สัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองขุ่นมัวของอีกฝ่าย และนางก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพราะนางที่ทำให้ราชาแห่งเซลทิคต้องลงโทษบุคคลที่เขาไม่ต้องการจะลงทัณฑ์ที่สุด "อย่าใช้สายตาโต้เถียงเรา ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายขัดคำสั่ง เจ้าเองด้วยซ้ำที่สมควรได้รับโทษแทน" ไคราห์นกราดเกรี้ยว แต่เขารู้ดีว่าไม่สามารถลงทัณฑ์องค์หญิงได้ หากทำเช่นนั้น เผ่าเพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่องครักษ์ ดูแล ปกป้อง และรักษาราชวงศ์แห่งเซลทิคมาตลอดจะต้องอ้อนวอนขอให้เขาสำเร็จโทษเหล่าองครักษ์ผู้บกพร่องในหน้าที่เพื่อให้สาสมกับความไม่พอใจ

องค์หญิงยอมรับว่านางเป็นฝ่ายผิด แต่นางเองก็ยอมรับว่าความดึงดูดใจของอัญมณีที่สวยงามเหล่านั้นมีพลังมากพอที่จะทำให้ชาวเงือกหลงใหล และกล้าที่จะขัดคำสั่งของราชาผู้ปกครอง "ต่อให้ท่านพี่อยากจะลงทัณฑ์ทุกคนที่ขัดคำสั่ง... แต่ท่านสามารถลงโทษชาวเงือกทั้งเซลทิคได้ไหมเล่า"

"อาโกรนาห์...!"

น้ำเสียงของไคราห์นกังวานและทรงพลัง ราชาแห่งเซลทิคขยับกาย ท่อนหางขนาดใหญ่ตวัดลงจากแท่นวาง และพาร่างกายสูงใหญ่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าน้องสาว "ต่อให้เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่เลวให้ประชาชน เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะยกบัลลังก์ให้เจ้าในภายภาคหน้า" ดวงตาคมตวัดมองท่อนแขนบางที่ปรากฎรอยแผลจากกรงเล็บของสัตว์ร้าย "เราควรเพิ่มบทลงโทษเป็นสามสิบครั้ง..."

ร่างสูงกำหมัดแน่น "โทษฐานที่ปล่อยให้น้องสาวเราได้รับบาดเจ็บ"

อาโกรนาห์มุ่นคิ้ว "อย่าเอาบทลงโทษของเวสเทียร์มาขู่ข้านะ!"

"ถ้าเจ้ายังฝืนคำสั่งข้าด้วยการแอบขึ้นไปอีก เจ้าก็คงไร้คุณสมบัติผู้นำ เพราะไม่เห็นแค่ความเดือดร้อนของคนใต้ปกครองของตัวเอง!" ฝ่าบาทกร้าว "ชาวเซลทิคผูกพันกับแผ่นดินมาก แต่ในตอนนี้แผ่นดินเบื้องบนไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เจ้าคิดว่าเราอยากเห็น... คนของตัวเองถูกฆ่าเป็นอาหารให้กับพวกผีดูดเลือดชั้นต่ำอย่างนั้นรึ" อาโกรนาห์กำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธ เมื่อถูกห้ามและตำหนิอย่างรุนแรงด้วยคำว่า 'แบบอย่างที่เลว' และ 'ไร้คุณสมบัติผู้นำ' ซึ่งบาดใจนางเหลือเกิน

แต่นางก็ไม่สามารถเถียงได้...

นางไม่สามารถยอกย้อนได้ ด้วยรู้ว่าเหตุใดชาวเซลทิคที่ได้ชื่อว่าเป็นครึ่งมัจฉาที่มีพละกำลังมากที่สุด จึงต้องยอมจำนนและหลบหน้าศัตรูอย่างพ่ายแพ้เช่นนี้ "เราสู้แวมไพร์ไม่ได้" ฝ่าบาททอดเสียงอ่อนลง "และข้าจะไม่เสี่ยง... สูญเสียนักรบแห่งเซลทิคไปอีก" พวกเขาเคยต่อสู้แล้ว... เมื่อห้าปีก่อนหน้านี้ การต่อสู้ด้วยพละกำลังและทักษะที่ชาวเซลทิคแสนจะภาคภูมิใจ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกแวมไพร์ได้ อีกทั้งยังทำให้พวกเขาสูญเสียองค์ชายเดียร์ราฮาน... องค์ชายสองผู้เป็นที่รักไปตลอดกาล

อาโกรนาห์ไร้คำแก้ตัว และยอมรับว่าสิ่งที่นางทำลงไปเป็นเพียงความพ่ายแพ้ต่อกิเลส

"และนี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเราเองก็เป็นราชาที่ไม่ได้รับความเคารพจากประชาชน กระทั่งจากน้องสาวตัวเอง" เขาสั่งห้ามประชาชน แต่ชาวเงือกแห่งเซลทิคก็หลงใหลในความงามและความเจริญอันน่าสนใจของพวกมนุษย์มากกว่าจะสนใจคำสั่งของราชา จึงได้ลักลอบขึ้นไปยังแผ่นดินเบื้องบนอยู่ร่ำไป และต่อให้ถูกจับได้ ไคราห์นก็ไม่สามารถกักขังคนของตนได้ทั้งอาณาจักรอยู่ดี

อาโกรนาห์สัมผัสได้ว่าพี่ชายกำลังหวั่นไหวกับความจริง เขาไม่เป็นที่เคารพของประชาชนชาวเซลทิค ไม่ใช่เพราะชาวบาดาลหมดศรัทธาในพลังอำนาจของเชื้อประวงศ์ แต่เป็นเพราะราชาไคราห์นผู้นี้นับเป็นครึ่งมัจฉาที่มี 'ตำหนิ' อย่างเห็นได้ชัด จนเกิดเป็นข้อครหาว่าเขาคือทายาทที่ถูกต้องของบัลลังก์จริงหรือ

ราชวงศ์แห่งเซลทิคคือเงือกวาฬผู้มีน้ำเสียงกังวานทรงพลัง และร่างกายที่กำยำใหญ่โต ฝ่าบาทไคราห์นไม่ได้บกพร่องในด้านนั้น จะมีก็แต่เรื่องของผิวพรรณที่แตกต่างออกไป เส้นผมของชายหนุ่มมีสีขาวโพลนจนเกือบมองเห็นได้ในความมืด ต่างจากพี่น้องและเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดที่ล้วนแล้วมีผมสีดำขลับ ทั้งท่อนหางของฝ่าบาทก็ยังเป็นสีขาวเผือด รับกับผิวพรรณที่สว่างเหมือนไร้เลือด

ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้เขาไม่เหมือนวาฬผู้นำที่แท้จริง

ไม่ว่าใครจะกล่าวสิ่งใด... ฝ่าบาทไคราห์นก็คือราชาของกระหม่อม

คงจะมีแต่เวสเทียร์ที่พูดแบบนี้กับเขา ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตอันมีหน้าที่ปกป้อง ดูแล และรักษาเกียรติแห่งราชวงศ์เซลทิคเอาไว้ เวสเทียร์มีลักษณะของชาวเงือกเผ่าเพชฌฆาตที่สมบูรณ์แบบทุกประการ และมีความสามารถเจนจัดจนเป็นที่ยอมรับของทุกคนตั้งแต่อายุสิบแปดปี ต่างจากเขาผู้เป็นถึงราชาแห่งเซลทิค แต่กลับไม่ได้รับความเคารพกระทั่งจากน้องสาวของตัวเอง

"หากเป็นกำลังเราไม่ได้ โปรดอย่าเป็นตัวถ่วงเราเลย..."

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงจากเบื้องบนเหนือทะเล มันคือเสียงแส้หางกระเบนที่แหวกอากาศและฟาดลงบนแผ่นหลังขององครักษ์คนสนิท มือใหญ่กำหมัดหลวมด้วยความอดกลั้น ขณะที่อาโกรนาห์หลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิดเมื่อพี่ชายตัดพ้อ ด้วยรู้ว่าความเจ็บปวดของไคราห์นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครในเซลทิคที่มีผิวพรรณขาวเผือดราวกับแสงจากดวงจันทร์แบบนี้ ไม่มีราชาองค์ใดของเซลทิคที่ไม่ได้รับความเคารพเช่นนี้ และยิ่งผู้นำองครักษ์เวสเทียร์จะภักดีต่อราชามากเท่าไหร่ ไคราห์นก็ยิ่งเหนี่ยวรั้งคนผู้นั้นเอาไว้กับตนมากเท่านั้น

ด้วยตลอดสิบปีที่เขาเป็นราชา... นี่คือความจริงใจเพียงหนึ่งเดียวที่ไคราห์นได้รับจากคนใต้ปกครอง

ดังนั้นไคราห์นจะเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องลงทัณฑ์

...แต่นั่นก็เพื่อแสดงความแข็งแกร่งและเด็ดขาด

--------------------------------------------------

อาณาจักรเซลทิคไม่มีสิ่งก่อสร้างที่ก้นทะเลเหมือนกับอาณาจักรอื่น แต่พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำลอดขนาดมหึมาที่เกิดจากน้ำทะเลกัดกร่อนเข้าไปในแผ่นดินจนเป็นโพรงซับซ้อนที่แสงแดดสามารถส่องผ่านไปถึง สร้างประติมากรรมธรรมชาติที่สวยงามซุกซ่อนเอาไว้ให้ลับตาคน และเป็นที่พักพิงให้กับชาวเงือกผู้ละทิ้งแผ่นดินไม่ได้ ให้ชาวเซลทิคขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ นั่งเล่นบนโขดหินใต้แสงแดดได้อย่างปลอดภัยราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่สวยงามของชาวบาดาล

...โลกอีกใบหนึ่งที่พวกแวมไพร์ยังหาไม่เจอ

แต่ในวันนี้ เวสเทียร์คงไม่มีกะจิตกะใจจะมาชื่นชมธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะนอนพักอยู่ในส่วนที่เรียกได้ว่าสวยงามที่สุดในถ้ำลอดแห่งนี้ก็ตาม แผ่นหลังของชายหนุ่มเคยเรียบเนียนและปรากฎลวดลายอันสวยงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาต แต่บัดนี้มันกลับชุ่มไปด้วยเลือดที่เกิดจากการเฆี่ยนตีด้วยแส้หางกระเบน เพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็เจ็บปวดเกินทน แต่ผู้นำองครักษ์กลับถูกเฆี่ยนถึงสามสิบครั้งโดยไม่โอดครวญหรืออ้อนวอนขอความเมตตาแต่อย่างใด

แต่ถึงอย่างนั้น...มันก็ยากเกินกว่าจะขยับกายได้หลังจากการลงทัณฑ์เสร็จสิ้น

"เจ้าควรจะพักอยู่บนนี้ก่อน รีบกลับลงไปก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มกำลังอยู่ดี" ฟาล คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นกล่าว "ข้าจะทูลฝ่าบาทว่าเจ้าทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสลบไป เจ้าก็ใช้เวลาช่วงนี้พักสักวันสองวันเถอะ" ผู้ที่มีอายุกว่าแนะนำด้วยหวังดี ทว่าเวสเทียร์กลับส่ายหัวช้า แม้จะยังเอนกายกอดพิงโขดหินชื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

"ข้าไม่เป็นไร ท่านฟาล..."

แค่สามสิบครั้งเท่านั้น ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตไม่เคยคิดว่านั่นเป็นเรื่องหนักหนาเลยสักนิด แต่อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าแผลเหล่านี้จะหาย และเขาคงต้องพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะขยับตัวได้อีกครั้ง เพราะหากไม่มีแรงว่ายขึ้นมาสูดอากาศ ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตอาจจมน้ำตายเข้าจริงๆ "ข้ารบกวนท่านบอกเวทอร์สให้รับช่วงงานต่อสักพัก จนกว่าข้าจะกลับไป แต่คงไม่เกินวัน"

"นั่นเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว น้องชายเจ้าคงรู้ดีหลังจากแยกกับเจ้า" ฟาลพ่นลมหายใจช้าๆด้วยอาดูร "พักให้หายเถอะ ฝ่าบาทไม่ได้ใจจืดใจดำจะลงโทษเจ้าซ้ำสองถ้าเจ้าป่วยเพราะเรื่องนี้" เงือกอาวุโสก้าวกลับไปลงในทะเลพร้อมกับแส้หางกระเบนที่ยังมีหยดเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เขาเปลี่ยนขาให้กลายเป็นหาง ก่อนจะขยับว่ายดำลงไปยังเบื้องล่างอันเป็นที่อาศัยที่แท้จริงของชาวบาดาล ทิ้งให้เวสเทียร์นอนพักอยู่เบื้องบน

...ในบริเวณที่พักของราชาแห่งเซลทิค

มันเป็นบริเวณแอ่งน้ำตื้นที่ลึกเพียงพอให้ชาวเงือกทอดร่างพักผ่อนได้เอกเขนกบนพื้นทรายขาว ใต้ร่มเงาและความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า บริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของราชาแห่งเซลทิคเท่านั้น แต่ก็ยังมีองครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งที่ฝ่าบาทอนุญาตให้เขาเข้ามาพักได้เมื่อรู้สึกเจ็บป่วย เพราะในที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายสบายใจซึ่งส่งผลให้ชาวเงือกหายป่วยเร็วขึ้น

แต่ต่อให้บรรยากาศจะดีสักแค่ไหน แต่เวสเทียร์ก็คิดว่ามันคงไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่

ชายหนุ่มทอดถอนใจออกมายาวๆ ขณะเอนตัวคว่ำพิงโขดหินเพื่อไม่ให้แผ่นหลังที่ปวดแสบปวดร้อนสัมผัสกับเม็ดทรายละเอียดที่อาจทำให้อักเสบ ในวันนี้เขาคงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะว่ายน้ำ เพราะแผลเหล่านั้นพาดยาวลงไปถึงบั้นเอวและโคนหาง สร้างความเจ็บปวดมากเสียจนแค่จะหลับตานอนยังทำได้ยาก แต่หากผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ เวสเทียร์ก็คิดว่าเขาไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนอนป่วยเพียงเพราะถูกลงโทษเมื่อกระทำผิด

ในฐานะผู้นำตระกูลเพชฌฆาต การถูกลงทัณฑ์แล้วลุกไม่ขึ้นเช่นนี้ก็น่าอับอายมากพอแล้ว

เผ่าเพชฌฆาตคัดเลือกผู้นำจากการประลองต่อสู้ โดยคัดเลือกจากผู้ที่มีฝีมือดี และลักษณะดี ซึ่งเวสเทียร์นั้นมีพร้อม เขามีทั้งไหวพริบ ความเร็ว และพละกำลัง  ลักษณะโครงสร้างร่างกายที่โปร่งเพรียวทว่าแข็งแกร่ง อันเป็นความสมบูรณ์แบบขององครักษ์แห่งเผ่าเพชฌฆาต ดังนั้นเขาจึงได้รับตำแหน่งผู้นำเผ่าตั้งแต่มีอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น

แต่เวสเทียร์ในวัยยี่สิบแปดกลับไม่สามารถขยับกายได้เพียงเพราะถูกเฆี่ยนด้วยหางกระเบน

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกลงโทษ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว เป็นไปได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาถูกลงโทษคือห้าปีที่แล้ว ก่อนสงครามระหว่างเงือกวาฬแห่งเซลทิคและพวกแวมไพร์ด้วยซ้ำ แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของชาวบาดาล ฝ่าบาทไคราห์นก็ไม่เคยลงโทษเขาอีกเลย ไม่ว่าจะในความผิดใดๆ

แต่ความผิดครั้งนี้คงยากที่จะให้อภัย

หากละเว้น ความน่าเชื่อถือของฝ่าบาทจะยิ่งลดลง... ดังนั้นเขาจึงเต็มใจรับโทษ

ผิวน้ำกระเพื่อมไหวอย่างนุ่มนวล บ่งบอกการมาถึงของเงือกอีกตนที่อาจจะเป็นนางกำนัลที่ฝ่าบาทไคราห์นส่งมา ราชาแห่งเซลทิคอาจดูเย็นชา เพียงเพราะเขาเป็นเงือกที่มีสีขาวเผือด แต่เวสเทียร์รู้ดีว่าจิตใจผู้นำของตนมีแต่ความเมตตา นางกำนัลอาจจะนำหญ้าทะเลซึ่งเป็นสมุนไพรช่วยสมานแผลมาให้เขา

...ซึ่งนั่นก็เพียงแล้ว

ทว่ากลับเป็นมือที่เยียบเย็นชื้นน้ำที่แตะวางบนบาดแผลด้านหลัง ทำให้องครักษ์หนุ่มมุ่นคิ้วด้วยความเจ็บแสบ แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าผู้มาเยือนลากปลายนิ้วไปบนรอยเลือดเหล่านั้น และผิวเนื้อก็ขยับสมานกันเองอย่างเนิบช้า เวสเทียร์ก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหาใช่นางกำนัลตามที่เขาเข้าใจ

ร่างโปร่งไม่แม้แต่จะมองกลับไปหาเจ้าของสัมผัสนั้น ด้วยรู้ฐานะของตัวเองดี "ฝ่าบาท..."

--------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2017 14:06:26 โดย khaosap »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างระหว่างราชากับองครักษ์คู่นี้

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 2.1

แวมไพร์ไม่ว่ายน้ำ แต่สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้พวกมันหันมาล่าเงือกเป็นอาหารนั่นคือ ชาวเงือกแห่งเซลทิคโปรดปรานการขึ้นบกเสียเหลือเกิน และกระทำกันเป็นเรื่องปกติจนในบางครั้งก็ไม่สามารถบอกได้ว่าในตลาดกลางเมืองที่พลุกพล่านนั้นมีชาวเงือกกี่ตนที่เดินปะปนอยู่กับมนุษย์ แต่สำหรับแวมไพร์ผู้มีดวงตาที่สามารถมองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง จมูกที่สามารถแยกแยะกลิ่นของสัตว์ มนุษย์ และอมนุษย์ออกจากกันได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบาดาลจะเป็นที่สนใจของแวมไพร์ผู้เดินเล่นอยู่ในเมืองเดียวกัน

แวมไพร์เพิ่งค้นพบว่าเลือดของชาวเงือกมีรสชาติดี... และการตามล่า เช่นฆ่าชาวเงือกก็ง่ายดายไม่ยุ่งยาก

ดังนั้นนี่จึงเป็นภัยของชาวเซลทิค

หลังจากฝ่าบาทแห่งเซลทิคพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับผีดูดเลือด และสูญเสียองค์ชายเดียร์ราฮาน น้องชายที่เขาหวังพึ่งพา นักรบแห่งบาดาลก็ล่าถอยกลับมาพร้อมกับความสิ้นหวัง แม้ว่าจะสามารถปกปิดที่ตั้งที่แท้จริงของอาณาจักรเอาไว้ได้ แต่ความล้มเหลวของพวกเขาก็เป็นสัญญาณเตือนว่าชีวิตของชาวเงือกแห่งเซลติคจะไม่ปลอดภัยสงบสุขเหมือนเดิมอีกต่อไป นี่จึงเป็นที่มาของคำสั่งเด็ดขาดของราชาไคราห์น...

'ห้ามชาวเซลทิคก้าวขึ้นจากน้ำในร่างมนุษย์นับแต่นี้'

เวสเทียร์ในเวลานั้นเป็นผู้นำเผ่าเพชฌฆาตมาได้ห้าปีแล้ว เขาต่อสู้สุดกำลังในสงคราม ปกป้องเชื้อพระวงศ์ด้วยชีวิตจนถูกทำร้ายจนเจ็บสาหัสเกือบเอาตัวไม่รอด แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับการสูญเสียองค์ชายเดียร์ราฮาน เมื่อได้สติ องครักษ์คนสนิทก็ถามเวทอร์สผู้เป็นน้องชายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนรับรู้ถึงความสูญเสีย และอาการบาดเจ็บของราชา ร่างโปร่งก็รีบรุดไปเฝ้าผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าตัวเองมีสภาพร่างกายที่แย่กว่าก็ตาม

'ครั้งแรก' ที่พวกเขาสัมผัสต้องตัวกันคือเมื่อห้าปีที่แล้ว...

เวสเทียร์ถูกกัด อ่อนล้าจนแทบจะไม่มีแรงว่ายน้ำ พิษร้ายจากเขี้ยวแวมไพร์ลุกลามไปทั่วจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ แต่อย่างไรเขาก็ต้องการพบเจ้าชีวิตอีกสักครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอย่างน้อย ฝ่าบาทไคราห์นก็ยังปลอดภัย

"เจ้ามารบกวนการพักผ่อนของเขาเราหรือ เวสเทียร์" ฝ่าบาทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ที่แสดงออกถึงอารมณ์หรืออาการบาดเจ็บใดๆ ราชาผู้นำทอดกายอยู่ในแอ่นน้ำตื้นภายในสถานที่พักผ่อนส่วนตัวที่ได้ชื่อว่าสถานที่ที่สวยที่สุดบนเกาะถ้ำลอดแห่งนี้ "ควรจะห่วงชีวิตตัวเองเสียมากกว่าไม่ใช่รึ"

เวสเทียร์ค้อมหัวลงต่ำด้วยรู้สึกผิด "กระหม่อมสมควรได้รับโทษ... ในฐานที่ปล่อยให้..."

"เงียบเถอะ"

ราชาผู้นำตัดบท "ไม่ต้องตอกย้ำเราเรื่องเดีย์ราฮาน นี่ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น" ฝ่าบาทหลับตาลง พยายามอดกลั้นความโศกเศร้าเอาไว้ และบังคับไม่ให้น้ำเสียงสั่นคลอนยามพูดถึงน้องชาย "เจ้าจะยังก้มหัวให้เราอีกไหม ราชาที่ปล่อยให้น้องชายต้องมาตายแทนแบบนี้ ซ้ำยังไม่สามารถนำร่างกลับมาได้อีกด้วย" ความเจ็บปวดของไคราห์นไม่ใช่แค่การสูญเสีย แต่เขากลับไม่สามารถนำร่างของเดียร์ราฮานกลับมาได้

"ไม่ว่าใครจะกล่าวสิ่งใด... ฝ่าบาทไคราห์นก็คือราชาของกระหม่อม"

เวสเทียร์หนักแน่น แม้ว่าน้ำเสียงของเขาเองจะแหบพร่า และเกือบสิ้นกำลังวังชาจากพิษของแวมไพร์ ร่างโปร่งเอนร่างลงกับผืนทรายตื้น ทำให้น้ำทะเลท่วมขึ้นมาถึงแผ่นอก ลมหายใจติดขัดทำให้เขาต้องจิกมือกับพื้น แต่ก็ยังก้มหัวอยู่เช่นนั้นเพื่อแสดงความเคารพต่อราชาแห่งทะเลเหนือ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา นั่นคือสัมผัสจากปลายนิ้วเย็นที่เวสเทียร์ไม่เคยคาดคิดว่าตนจะได้รับ

ฝ่าบาทไคราห์นสับสน สิ้นหวัง และโศกเศร้าเกินกว่าจะแยกแยะว่าสิ่งใดถูกต้องเหมาะสม เป็นครั้งแรกที่ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าชีวิต และเป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทไคราห์นได้พิจารณาใบหน้าของผู้นำองครักษ์ในปกครอง ได้มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายซึ่งสะท้อนเงาของเขาเอง มุมปากของคนตรงหน้าแตกช้ำ แต่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส อาการบาดเจ็บก็ทุเลาลง และค่อยๆหายอย่างรวดเร็วจนเจ้าของร่างรู้สึกได้

นี่เองหรือ... อำนาจที่ทำให้ราชวงศ์แห่งเซลทิคไม่สามารถสัมผัสใครได้

"เจ้าถูกกัดหรือ..."

เวสเทียร์หลบลงมองต่ำเมื่อพบว่าตนกระทำการไม่สมควร แต่มือใหญ่ที่ลากไล้จากพวงแก้มลงไปที่ลำคอและลาดไหล่ก็ให้ความรู้สึกดีเกินกว่าจะปฏิเสธ ไม่เคยมีข้าทาสบริวารคนไหนเคยได้รับสัมผัสเช่นนี้จากเชื้อพระวงศ์มาก่อน และเมื่อองค์รักษ์หนุ่มหลับตาลง ร่างสูงก็ยื่นมืออีกข้างมารั้งเขาเข้าหาโดยไม่บอกจุดประสงค์

ฝ่าบาทประทับจูบลงบนรอยแผลที่ลำคอ สัมผัสปลายลิ้นอุ่นร้อนบนผิวเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ รอยเขี้ยวของแวมไพร์ทำให้ราชาหนุ่มไม่สบอารมณ์ เขาขบเม้มบนแผลนั้นซ้ำช้าๆ จนร่างโปร่งสะดุ้งด้วยความเจ็บ แต่ก็ไร้เสียงโอดครวญ ด้วยรู้ว่าฝ่าบาทของตนกำลังช่วยเยียวยาบาดแผล กำลังวังชาที่สูญสิ้นค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา และความรู้สึกที่คล้ายจะสิ้นใจอยู่รอมร่อก็มลายหายไปราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน

รอยเขี้ยวของแวมไพร์จะไม่หายไป

แต่อย่างน้อย... ฝ่าบาทไคราห์นก็ปลอบโยนอย่างที่ไม่เคยทำกับผู้ใดมาก่อน

อำนาจของราชาแห่งเซลทิคสามารถรักษาบาดแผลได้เพียงแค่สัมผัสผ่านผิว แต่ในวันนั้น ฝ่าบาทไคราห์นกลับแตะต้องร่องรอยทั้งหมดด้วยริมฝีปาก ลากไล้ไปทั่วผิวกายสีเข้มที่เขาไม่เคยสัมผัส เวสเทียร์ไม่โอดครวญ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดหรือสุขสม เงือกหนุ่มเพียงมุ่นคิ้ว หรือผ่อนลมหายใจเท่านั้น

องครักษ์หนุ่มรู้ว่าวิ่งใดควรรึไม่ควร รู้จักการวางตัวว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ฝ่าบาทพอใจ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องทำ ทว่าเวสเทียร์ก็ไม่เคยตระหนก เขายินดีรองรับทุกอารมณ์และความรู้สึกที่แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามถึงเหตุผล เพียงแค่ฝ่ามือใหญ่สัมผัสไล้ไปยังบั้นเอว เขาก็รู้ว่าควรจะคืนร่างเป็นมนุษย์ และเมื่อฝ่าบาทประคองเขาขึ้นเหนือร่าง องครักษ์ก็ขยับกายขึ้นเพื่อจะครอบครอง

แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนได้ครอบครองฝ่าบาทแห่งเซลทิค

มันเป็นเพียงการตอบสนอง และรองรับความต้องการ

ครั้งแรกที่ไคราห์นได้แนบชิดกับอีกฝ่าย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะลืม องครักษ์ไม่ปริปากถามหรือทักท้วง เขาขยับเคลื่อนสะโพกมนอย่างช้าๆ ไม่รู้ประสา เสียงครางที่ควรจะเล็ดรอดให้ได้ยินกลับถูกกดกลั้นเอาไว้ในลำคอ เหลือเพียงลมหายใจหอบถี่ด้วยแรงอารมณ์ที่พลุ่นพล่าน ผสานเป็นหนึ่งเดียวจนแยกไม่ออกว่าเป็นของผู้ใด ความสุขสมรู้สึกดีที่ไม่เคยได้รับบังคับให้ร่างสูงขยับกายแทรก กระแทกสวนขึ้นจากเบื้องล่าง มือใหญ่โอบกอดเอวคอดได้รูป กดลึกให้แนบเข้ามารับสัมผัสที่ทวีความดุดันด้วยตัณหา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดกว่าทั้งคู่จะผละแยกออกจากกัน แต่หากพูดให้แน่ชัดก็คงเป็นองครักษ์หนุ่มเสียมากกว่าที่ลุกลี้ลุกรนละจากผู้เป็นนาย เวสเทียร์ไม่แม้แต่จะพักหอบ ชายหนุ่มขยับหนีห่าง และกลับไปอยู่ในร่างของเงือกอีกครั้งเพื่อจะเอนกายค้อมหัวลงต่ำอย่างที่เคยทำเมื่อต้องเข้าเฝ้าราชา ฝ่าบาทไม่เอ่ยขัดเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาเพียงเอนกายลงพิงหินด้านหลัง และขยับยกเหยียดขาเพื่อคืนร่างกลับเป็นเงือกและนอนในท่าทางที่ถนัด

"หากเจ้าไม่สบาย... เราอนุญาตให้เจ้ามาพักที่นี่ได้"

เนิ่นนาน... กว่าฝ่าบาทจะเลือกคำที่เหมาะสมเพื่อทำลายความเงียบได้ "ตอนนี้ก็เช่นกัน"

เวสเทียร์พยักหน้ารับ และถึงแม้จะขอบคุณในความเมตตา แต่เขาก็รู้สถานะของตนดีพอว่าไม่คู่ควรต่อสิ่งใดที่เป็นของฝ่าบาทไคราห์น ดังนั้นขอเพียงแค่ได้อยู่ที่นี่ก็คงจะดีเกินพอ "กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ" เมื่อครู่เขาอาจคิดจะมาเข้าเฝ้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ แต่ในตอนนี้เวสเทียร์คิดว่าเขาอาจจะมีชีวิตต่อไปอีกยาวนานเพื่อรับใช้คนตรงหน้า

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคไม่กล่าวอะไรตอบ ได้แต่มององครักษ์คนสนิทของตนด้วยสายตาครุ่นคิด

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนสนิท... แต่ไคราห์นเพิ่งได้พิจารณาอีกฝ่ายใกล้ๆ ก็ในวันนี้เอง

--------------------------------------------------


ม... ไม่ได้เขียนเรทนาน... เขิล...
 :hao7: :hao7: :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2017 22:07:53 โดย khaosap »

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 2.2


ฝ่าบาทไคราห์นได้ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อมีอายุสิบแปดปี หลังจากราชาองค์ก่อนผู้เป็นบิดาตัดสินใจสละราชบัลลังก์เพื่อสยบเรื่องร่ำลือต่างๆ นานาอันไม่ประสงค์ดี สืบเนื่องมาจากความ 'เจ็บป่วย' ที่พลังอำนาจของราชาเงือกไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นคือการมีสีผิวที่ขาวโพลนเผือดซีด และเส้นผมสีทองขาวสว่างแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคทั้งหมดทั้งปวง

นี่เป็น 'อาการป่วย' ชนิดหนึ่งที่ทำให้ชาวเมืองคลางแคลงใจ

...เชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคจะไม่เจ็บป่วย อีกทั้งมีพลังในการเยียวยารักษาได้เพียงแค่สัมผัส

แต่ไคราห์นกลับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ 'ป่วย' ตั้งแต่กำเนิดอีกทั้งยังไม่มีทางรักษา เขาไม่สามารถทนต่อแสงอาทิตย์แรงกล้าเบื้องบนผิวน้ำได้ เมื่อสัมผัสกับแสงสว่างโดยตรง ผิวพรรณของฝ่าบาทจะเกิดอาการแพ้ และปรากฎรอยแดงในเวลาต่อมา ทว่าเป็นเวลาชั่วครู่เท่านั้น อีกทั้งดวงตาก็ไม่สามารถสู้แสงได้เป็นเวลานานเช่นกัน แต่กลับสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในความมืดและเวลากลางคืน ข่าวลือหนึ่งที่หนาหูในหมู่ประชาชนนั่นคือความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเงือกน้ำลึกในทะเลใต้

ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาอาจไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของราชาแห่งเซลทิค

ข่าวลือนี้ทำให้พระชายาเอกผู้เป็นมารดาของไคราห์นคิดสั้นหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่ามันจะไม่เคยทำให้ราชาแห่งเซลทิคคลางแคลงใจในตัวพระนางเลยก็ตาม ดังนั้นเพื่อเป็นการเหนี่ยวรั้งพระชายาไม่ให้ไปจากเซลทิค ไคราห์นจึงต้องขึ้นครองบัลลังก์แม้จะยังไม่มีความพร้อมใดๆ

แต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาได้สิบเจ็ดปีแล้ว...

ทว่านี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราชาแห่งเซลทิคตัดสินใจไม่เสกสมรสกับหญิงใดด้วยเกรงว่าตนจะไม่สามารถมีบุตรได้ เนื่องจากอาการป่วยที่แปลกประหลาดนี้ และแต่งตั้งองค์ชายเดียร์ราฮานผู้เป็นน้องขึ้นเป็นรัชทายาทในสองปีต่อมา แต่เพียงแค่ห้าปีหลังจากนั้น... อาณาจักรเซลทิคก็สูญเสียรัชทายาทของพวกเขาไป

เวสเทียร์ได้รับตำแหน่งผู้นำเผ่าเพชฌฆาตในวันเดียวกันกับพิธีแต่งตั้งองค์ชายเดียร์ราฮานขึ้นเป็นรัชทายาท ดังนั้นไคราห์นจึงไม่อาจจดจำใบหน้าของเขาได้ในวันนั้น อีกทั้งยังลืมคำสาบานขององครักษ์คนสนิทอีกด้วย แม้ว่ามันจะเป็นคำสาบานที่ทรงพลังที่สุดนับตั้งแต่เผ่าเพชฌฆาตสัญญาจะภักดีต่อกษัตริย์แห่งทะเลเหนือ

'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ...แก่ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น'

คำสาบานของเวสเทียร์ไม่ได้มีต่อราชวงศ์เซลทิค แต่เขาสาบานต่อฝ่าบาทไคราห์น ซึ่งนั่นหมายความว่าหากมีอันตรายใดเกิดขึ้น เวสเทียร์จะสละตัวเองเพื่อราชาของเขาโดยไม่ลังเล และหากสิ้นแล้วซึ่งราชาองค์นี้ เขาเองก็จะตายตกไปตามกัน ซึ่งคำสาบานนั้นไม่ได้มากมายเกินความจริงเลย

ผมของเวสเทียร์มีสีดำขลับและหยักเป็นลอนด์คลื่นเล็กน้อย รับกับผิวกายสีเข้มที่ปรากฎลวดลายคล้ายรอยสักที่มีแต่กำเนิดอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาต รูปร่างลักษณะสง่างามแข็งแกร่งสมเป็นบุรุษผู้นำ ด้วยปัจจัยพื้นฐานเพียงเท่านี้ เวสเทียร์ก็เป็นที่หมายปองของสตรีครึ่งค่อนอาณาจักรได้อย่างไม่ยากเย็น

ในบางครั้ง ฝ่าบาทไคราห์นก็คิดว่าตนเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่ผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้

แต่นับตั้งแต่ 'ครั้งแรก' นั้น ก็เป็นเวลาห้าปีมาแล้วที่พวกเขามีความสัมพันธ์เช่นนี้ โดยที่ไม่เคยเอ่ยถามหรือจำกัดความสิ่งที่เกิดขึ้น เชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคไม่ควรแตะต้องตัวใคร และไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้มองสบตาราชาแห่งทะเลเหนือ มันจึงอาจเป็นอารมณ์ความต้องการเพียงชั่ววูบในครั้งแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นคราใดในครั้งต่อมา การสัมผัสแตะต้องก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้นำองครักษ์ เขาไม่อาจเอื้อมโอบกอดฝ่าบาท ไม่หาญกล้าที่จะเป็นฝ่ายจับจ้อง แต่เป็นฝ่าบาทเองที่ชี้นำ ปลุกเร้า และเฝ้ามองเขาด้วยดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกราวกับก้นมหาสมุทร

ครั้งนี้ก็เช่นกัน... ที่ราชาเซลทิคไม่กล่าวอะไรให้มากเกินความจำเป็น

อีกฝ่ายลากนิ้วไปตามรอยแผลเนิบช้าและเยือกเย็น "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เอ่ยเสียงเบา โดยไม่หันไปหาคู่สนทนา "กระหม่อมสมควรได้รับโทษ โปรดละทิ้งแผลเป็นเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ..." ไคราห์นเดาะลิ้นเบาเป็นสัญญาณให้คนตรงหน้าเงียบปากลงเสีย เขายังคงลากมือไปบนแผ่นหลังนั้น จนร่องรอยบาดเจ็บทั้งหมดเลือนหายไปกับตา

"แผลเดียวที่เราอนุญาตให้ปรากฎบนผิวของเจ้า... คือรอยเขี้ยวเมื่อห้าปีที่แล้ว"

รอยเขี้ยวของแวมไพร์บนลำคอที่แม้แต่อำนาจของเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคก็ไม่สามารถลบล้างได้ แม้จะหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็น แต่นั่นก็เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับไคราห์น "เตือนใจว่าเราเกือบจะเสียเจ้าไป..." คำพูดของราชาทำให้คนฟังตื้นตัน แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันเลยก็ตาม

เขาไม่เข้าใจ... หรือเขาปฏิเสธที่จะเข้าใจกันหนอ

แม้จะอยากถาม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่หัวหน้าองครักษ์ควรเอ่ย เวสเทียร์รู้สถานะของตัวเองดีเสมอมา และตั้งใจว่าจะยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมของตนเองตลอดไป ไม่ว่าฝ่าบาทแห่งเซลทิคจะคิดหรือทำอะไรก็ตาม "กระหม่อมไม่มีวันละทิ้งฝ่าบาท..." ราชาเซลทิคทอดมองคนตรงหน้าสักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นปัดผมยาวเปียกชื้นออกให้พ้นทาง เวสเทียร์รู้จังหวะและความต้องการของเขาเสมอ ผู้นำองครักษ์หลับตาลง เอนเอียงใบหน้าเพื่อเผยลำคอยาวระหงให้ปรากฎแก่สายตา ปล่อยให้ร่างสูงโน้มตัวแนบริมฝีปากกับรอยแผลจางๆ ที่เขาไม่สามารถลบมันออกไปได้

มันอาจจะเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ...

ว่าท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่อำนาจของราชาเงือกก็ไม่อาจสู้แวมไพร์

"อื้อ...!" ราชาแห่งเซลทิคกัดซ้ำลงไปบนรอยแผลราวกับต้องการลบเลือนกลบเกลื่อนสิ่งที่เป็นอยู่ จนร่างรองรับขยับสะดุ้งเกร็งด้วยความรู้สึกเจ็บ "ฝ... ฝ่าบาท..." น้ำเสียงของเวสเทียร์สั่นเครือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังหวาดกลัว

ช่างเข้าใจยั่วเสียจริง...

เรือนร่างตรงหน้าไม่ได้สวยงามสะโอดสะองเช่นสตรี ไม่ได้ปากหวานช่างเอาอกเอาใจอย่างเหล่านางกำนัล แต่กลับมีบางอย่างที่แสนดึงดูด ทั้งการหลบหน้า หลับตาหนีเพื่อเก็บซ่อนอารมณ์ปรารถนาของตนเอาไว้  ทว่ากลับแอ่นกายบิดเร่าเมื่อเขาลากไล้ฝ่ามือไปบนเรียวขา กอบกุมรูดรั้งเพื่อปลุกปั่นกามตัณหาให้ปั่นป่วน ร่างรองรับอิงหน้าผากกับมือที่เหนี่ยวรั้งพิงร่างบนก้อนหินเบื้องหน้า พยุงกายเอาไว้ในท่าคลานเข่า พลางแอ่นยกสะโพกมนขึ้นตอบสนองอย่างเผลอไผล ให้แก่นกายขึงขังขยับแทรกกดกอดและถอดถอนรุกรานอย่างดุดัน

เวสเทียร์ไม่เคยครวญคราง มีเพียงลมหายใจถี่กระชั้นเจียนคลั่งเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความสุขสม

ซึ่งนั่นคงนับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ฝ่าบาทพอใจ

ริมฝีปากอุ่นแนบจูบบนแผ่นหลังเปลือย ราวกับต้องการย้ำให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือให้ระคายสายตา พลางเคลื่อนฝ่ามือลากไล้ไปตามกล้ามเนื้อส่วนท้องของร่างรองรับ ปลุกปั่น ผลักดันให้แรงอารมณ์ถ่าโถม ลุกโชนขึ้นราวกับเพลิงที่แผดเผา จนไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป

องครักษ์หนุ่มเพียงกำหมัด ขยับเกร็งทั่วร่าง ก่อนจะทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคยังไม่ละจาก เขาวางมือบนก้อนหินเบื้องหน้า ขณะผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมององครักษ์คนสนิท และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรดลงพื้นผืนทรายด้านล่าง ราชาหนุ่มก็เอื้อมมือไปรองบั้นเอวตรงหน้าเอาไว้ "ทิ้งตัวลงไปแบบนั้น ระวังจะสำลักน้ำ"

คนพูดขยับถอดถอน... และในทันทีที่ทำเช่นนั้น เวสเทียร์ก็พยายามขยับร่างให้พ้นทางผู้เป็นนาย

"ขออภัยฝ่าบาท..." เวสเทียร์เอนร่างลงพักในส่วนที่ตื้นกว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองจม ทว่ายังไม่คืนร่างกลับเป็นเงือกดังเดิม "กระหม่อมไม่เป็นอะไร" ไคราห์นไม่เคยเชื่อคำพูดนั้นนับตั้งแต่คนตรงหน้าพูดวันละเจ็ดรอบ แต่เขารู้นิสัยของเวสเทียร์ดี จึงเปล่าประโยชน์ที่จะกล่าวตักเตือนเช่นกัน ไคราห์นเอนกายลงบ้างและคืนร่างกลับเป็นเงือก ก่อนจะยกปลายหางขนาดใหญ่ขึ้นวางบนแท่นที่พัก

"หากเจ้ากล่าวว่า 'เป็นอะไร' ขึ้นมา เราเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ"

ในหลายๆ ครั้ง ราชาแห่งเซลทิคก็มีอารมณ์ขันกึ่งประชดแดกดันด้วยใบหน้าเรียบเฉย "เราจะมอบหมายหน้าที่ดูแลอาโกรนาห์ให้เวทอร์สรับผิดชอบแทนนับแต่นี้ น้องชายของเจ้าคงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาด ส่วนเจ้า..." เวสเทียร์กลั้นใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และดูเหมือนว่าเสียงกลั้นใจของเขาจะดังเกินความจำเป็นจนราชาแห่งเซลทิคเหลือบมอง

"เจ้าคัดค้านรึ..."

"กระหม่อมมิกล้าขอรับ" และนี่ก็เป็นคำตอบหนึ่งที่ไคราห์นคิดว่า หากวันใดเวสเทียร์กล่าวเป็นอื่น คงจะเป็นวันที่เขาต้องพิจารณาตัวเอง "กระหม่อมมีหน้าที่รับใช้ฝ่าบาท" ดูเหมือนว่านี่เป็นคำพูดที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาติญาณของเวสเทียร์ไปเสียแล้ว ดังนั้นไคราห์นจึงไม่คิดว่าการนั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายเลย

"รวมทั้งเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า"

ราชามองต่ำลงอย่างพิจารณา เขาไม่เคยหันหน้ามองผู้ใดตรงๆ เช่นเดียวกับเวสเทียร์ที่ไม่เงยขึ้นสบตาผู้เป็นนาย "นับเป็นเรื่องรับใช้ด้วยใช่ไหม" องครักษ์หนุ่มไม่ถามซ้ำว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องใด และตัดความรู้สึกนึกคิดที่อยากจะเอ่ยปากถามสักครั้งในชีวิตว่าฝ่าบาทคิดเห็นเป็นอย่างไร ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตค้อมหัวลงต่ำพร้อมพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม

"ขอรับ..."

...ไคราห์นไม่คิดว่าเขาจะได้รับคำตอบที่จริงใจจากเวสเทียร์อยู่แล้ว

แต่สิ่งหนึ่งที่แว่วมาเข้าหูของราชาทะเลเหนือก็ทำให้เขาต้องหันไปมองยังทิศทะเลเปิด กระแสจิตบางอย่างส่งผ่านมาถึงตัวเขาและทำให้ราชาต้องขยับตัวยืดร่างขึ้น "วาฬ..." ร่างสูงพึมพำ แต่ครั้นจะสั่งให้เวสเทียร์ไปจัดการเรื่องนี้ก็เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงจะยังขยับตัวไม่ได้ แต่เพียงแค่เขายกปลายหางขึ้น องครักษ์ข้างกายก็ขยับตัวเสมือนต้องการจะติดตาม

"ฝ่าบาท..." อีกฝ่ายกลับคืนเป็นเงือก แม้บั้นเอวจะยังปวดระบม

ไคราห์นพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะยื่นมือลงไปในน้ำ "ฟาล..." น้ำเสียงของฝ่าบาทมีหลากหลายโทน และคำที่เอ่ยเรียกข้ารับใช้ก็เป็นเสียงที่กังวานและทรงอำนาจที่สุดของผู้นำอาณาจักร แน่นอนว่าคนสนิทของเขาวนเวียนอยู่ไม่ห่าง ฟาลจึงว่ายมายังที่พักได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกเรียก

"ส่งคนออกไปดูซิ"

ทว่าฟาลกลับค้อมหัวลงก่อนจะกล่าวรายงาน "มีกลุ่มนักล่าต้อนพวกวาฬเข้ามาในเขตอาณาจักรขอรับ" ดวงตาคมฉายแววดุดันขึ้นเมื่อคนสนิทพูดจบ และดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เสียด้วย "กระหม่อมส่งพวกเพชฌฆาตออกไปจัดการแล้ว"

การล่าวาฬเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับช่วงเวลานี้ เนื่องจากฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามาทำให้อาหารในทะเลไม่เพียงพอที่จะให้ความอบอุ่นกับชาวบาดาลได้ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาเนื้อสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งคือเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล และหากชาวเงือกเผ่าอื่นไม่ฆ่าปลาฉันใด ชาวเงือกแห่งเซลทิคก็ไม่ล่าวาฬฉันนั้น พวกเขาเคารพการมีชีวิตอยู่ของกันและกัน ดังนั้น ชาวเซลทิคจึงไม่เดือดร้อนกับการล่าวาฬของชาวเงือกเผ่าอื่น

แต่จะล่วงล้ำเข้ามาในเขตอาณาจักรเซลทิคไม่ได้

"เวสเทียร์อยู่ที่นี่ เราจะลงไปเอง" ราชาทะเลเหนือขยับร่างลงจากแท่นนอน

ฟาลมุ่นคิ้วใส่เวสเทียร์เล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัว เป็นการเอ็ดให้เขาพักอยู่ที่นี่ตามคำสั่งราชา ไคราห์นเผ่นร่างลงไปในทะเล และรีบร้อนออกไปจากบริเวณนั้น "พวกไหนกัน" คนสนิทของเขาติดตามกระชั้นชิด แต่ก็ไม่อาจว่ายนำได้

"...มารินาการ์ดขอรับ"

--------------------------------------------------


เชื่อว่า ถ้าใครอ่านเรื่องเงือกๆก่อนหน้าเรื่องนี้มาก่อน... จะต้องอุทานในใจว่า "มุงอีกแล้วเหรอ มารินาการ์ด"

ฝ่าบาทไคราห์นเป็นเงือก... วาฬหลังค่อมเผือก (Albino Humpback Whale) คือคนอื่นๆในราชวงศ์ก็เป็นเงือกวาฬหลังค่อมปกติ ผมดำ หางดำ (เทาๆดำๆ) แต่ฝ่าบาทไคราห์นป่วยเป็นอัลบิโนซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีนส์ (แต่สำหรับชาวเงือกก็เม้าท์กันไปว่าแม่มีชู้---) ปัจจุบันราชาแห่งเซลทิคองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว แต่พระชายาเอกซึ่งเป็นแม่ของฝ่าบาทไคราห์นยังมีชีวิตอยู่ (แต่ไม่ได้พูดถึง)



นอกเหนือจากเรื่องวาฬหลังค่อมเผือกแล้ว...!!

เราได้รับหลังไมค์ว่าทุกคนจินตนาการถ้ำลอดของฝ่าบาทไม่ออก!!! นี่ข่ะ!!! นี่ถือถ้ำลอดของฝ่าบาทที่เอาไว้นอนเล่น... พักผ่อน... คือฝ่าบาทเป็นพวกที่ป่วยแล้วหายเองได้เพราะพลังในสายเลือดแก (ที่เอานิ้วแตะๆแล้วหายก็เป็นพลังด้วยเหมือนกัน << ปกติไม่ควรแตะพร่ำเพรื่อ << แต่นี่ทั้งแตะทั้งกอดทั้งจูบ << แต่ไม่เคยจูบปากนะ << ฟาลรู้เรื่องนี้ << เรารู้ว่าพวกนายต้องถาม 555)

ถ้ำอันนี้เรายืมภาพมาจาก Melissani Cave ในประเทศกรีซ (กรี้ดดด)  แม้เรื่องจะเกิดในไอร์แลนด์ก็ตาม...


ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมชอบการวางโครงเรื่องแฟนตาซีของคุณ khaosap นะครับ เพราะว่าคุณวางโครงสร้างของสังคมสัตว์ในตำนานได้ดี ประเทศหรืออาณาจักรของสิ่งมีชีวิตต่างๆมีรูปแบบวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีการแบ่งชนชั้นการปกครอง มีโครงสร้างที่ละเอียด ทำให้ดูเหมือนเป็นสังคมที่จับต้องได้จริงๆ และยังมีการเชื่อมโยงของแต่ละเผ่าพันธุ์ในด้านต่างๆที่หลากหลาย ถึงแม้ว่าคู่หลักคือ เงือกกับเงือก แต่ว่าก็มีการปูพื้นเรื่องมาได้ดี มีการเท้าความไปถึงเรื่องของแวมไพร์ มีการบอกเล่าประวัติศาสตร์ และบุคคลใกล้ชิดที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ และที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือเรื่องของลำดับพลัง คุณข้าวเขียนไว้ชัดเจนว่าพลังของเงือกต่ำกว่าแวมไพร์ และพลังของแวมไพร์ก็อาจต่ำกว่าหรือสูสีกับมนุษย์หมาป่า อันนี้มันบ่งบอกถึงระดับพลังที่สื่อถึงสเกลเรื่องได้เป็นอย่างดีครับ ผมชอบตรงนี้ เพราะมันทำให้บางเผ่าพันธุ์ไม่ overpower เกินไป และมันเป็นต้นเหตุชนวนที่จะสร้างพล็อตต่อไปได้อีก มันเพิ่มน้ำหนักและมิติให้กับตัวเนื้อเรื่อง ดีครับอันนี้

แต่ก็มีที่ผมรู้สึกแปลกๆนะ (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว) คือผมรู้สึกว่าการจับคู่ของคุณข้าวกับผมอาจจะเคมีไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ครับ (ฮา) อย่างเรื่องแอชทารอธ คือเซนทอร์ในมุมมองผมที่อ่านปกรณัมมา มันค่อนข้างขัดๆกับความเป็นเซนทอร์ในเรื่องนั้นน่ะครับ แต่เรื่องสังคมและรายละเอียดของประเทศแห่งเซนทอร์นี่สร้างมาได้ดีมากครับ ยอมรับในฝีมือเลย

ส่วนตัว ผมอิงปกรณัมกรีกกับเคลติกเป็นหลักน่ะครับ เซนทอร์ในความรู้สึกผมเลยจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความรักได้ง่ายขนาดนั้น เขาจะโฟกัสกับความรู้และวิชาการมากกว่า ถ้าห้าวหาญก็คือแบ่งเป็นสองประเภทคือพวกเซนทอร์บ้าเลือดกับเซนทอร์แบบอัศวินนาร์เนีย ดังนั้นคู่ มนุษย์ x เซนทอร์ ผมเลยอ่านแล้วรู้สึกมันตงิดๆแบบเคมีไม่ตรงเท่าไหร่ แต่อ่านแล้วโครงสร้างเนื้อเรื่องมีมิติใช้ได้เลยครับ

พอมาถึงเรื่องนี้ ผมชอบตอนทอล์คของคุณข้าวนะครับ คือมันอธิบายหลายอย่างได้ดี อย่างเรื่องการผ่าเหล่าของไคราห์นที่มันเป็นไปได้ แม้ว่าพระบิดาจะไม่ได้มีชู้ แล้วก็มีการยกตัวอย่างสิ่งที่อาจจะจินตนาการไม่ออกอย่างถ้ำลอด ผมชอบตรงนี้นะครับ มันแสดงว่าคุณให้น้ำหนักและความสำคัญกับโครงสร้างเนื้อเรื่องได้ดี ก็ติดตามครับผม แม้ว่าคู่ เงือกกับเงือก สำหรับผมมันก็ยังทะแม่งๆอยู่ดีนั่นแหละนะ (หัวเราะ)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ผมชอบการวางโครงเรื่องแฟนตาซีของคุณ khaosap นะครับ เพราะว่าคุณวางโครงสร้างของสังคมสัตว์ในตำนานได้ดี ประเทศหรืออาณาจักรของสิ่งมีชีวิตต่างๆมีรูปแบบวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีการแบ่งชนชั้นการปกครอง มีโครงสร้างที่ละเอียด ทำให้ดูเหมือนเป็นสังคมที่จับต้องได้จริงๆ และยังมีการเชื่อมโยงของแต่ละเผ่าพันธุ์ในด้านต่างๆที่หลากหลาย ถึงแม้ว่าคู่หลักคือ เงือกกับเงือก แต่ว่าก็มีการปูพื้นเรื่องมาได้ดี มีการเท้าความไปถึงเรื่องของแวมไพร์ มีการบอกเล่าประวัติศาสตร์ และบุคคลใกล้ชิดที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ และที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือเรื่องของลำดับพลัง คุณข้าวเขียนไว้ชัดเจนว่าพลังของเงือกต่ำกว่าแวมไพร์ และพลังของแวมไพร์ก็อาจต่ำกว่าหรือสูสีกับมนุษย์หมาป่า อันนี้มันบ่งบอกถึงระดับพลังที่สื่อถึงสเกลเรื่องได้เป็นอย่างดีครับ ผมชอบตรงนี้ เพราะมันทำให้บางเผ่าพันธุ์ไม่ overpower เกินไป และมันเป็นต้นเหตุชนวนที่จะสร้างพล็อตต่อไปได้อีก มันเพิ่มน้ำหนักและมิติให้กับตัวเนื้อเรื่อง ดีครับอันนี้

แต่ก็มีที่ผมรู้สึกแปลกๆนะ (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว) คือผมรู้สึกว่าการจับคู่ของคุณข้าวกับผมอาจจะเคมีไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ครับ (ฮา) อย่างเรื่องแอชทารอธ คือเซนทอร์ในมุมมองผมที่อ่านปกรณัมมา มันค่อนข้างขัดๆกับความเป็นเซนทอร์ในเรื่องนั้นน่ะครับ แต่เรื่องสังคมและรายละเอียดของประเทศแห่งเซนทอร์นี่สร้างมาได้ดีมากครับ ยอมรับในฝีมือเลย

ส่วนตัว ผมอิงปกรณัมกรีกกับเคลติกเป็นหลักน่ะครับ เซนทอร์ในความรู้สึกผมเลยจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความรักได้ง่ายขนาดนั้น เขาจะโฟกัสกับความรู้และวิชาการมากกว่า ถ้าห้าวหาญก็คือแบ่งเป็นสองประเภทคือพวกเซนทอร์บ้าเลือดกับเซนทอร์แบบอัศวินนาร์เนีย ดังนั้นคู่ มนุษย์ x เซนทอร์ ผมเลยอ่านแล้วรู้สึกมันตงิดๆแบบเคมีไม่ตรงเท่าไหร่ แต่อ่านแล้วโครงสร้างเนื้อเรื่องมีมิติใช้ได้เลยครับ

พอมาถึงเรื่องนี้ ผมชอบตอนทอล์คของคุณข้าวนะครับ คือมันอธิบายหลายอย่างได้ดี อย่างเรื่องการผ่าเหล่าของไคราห์นที่มันเป็นไปได้ แม้ว่าพระบิดาจะไม่ได้มีชู้ แล้วก็มีการยกตัวอย่างสิ่งที่อาจจะจินตนาการไม่ออกอย่างถ้ำลอด ผมชอบตรงนี้นะครับ มันแสดงว่าคุณให้น้ำหนักและความสำคัญกับโครงสร้างเนื้อเรื่องได้ดี ก็ติดตามครับผม แม้ว่าคู่ เงือกกับเงือก สำหรับผมมันก็ยังทะแม่งๆอยู่ดีนั่นแหละนะ (หัวเราะ)

กรี้ดดด... ดีใจที่ได้รับคอมเม้นท์ค่า  :hao6: :hao6: :hao6: (คืออีโมมันดูหื่นจัง)

บางทีก็เฟลๆอยู่บ้างเหมือนกันค่ะที่วางโครง+รีเสิร์ทข้อมูลเยอะมาก แต่เหมือนเคมีการจับคู่เรื่องจะไม่ตรงกะใครเขาเลย OTL แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นก็ชอบวางแผนเรื่องเยอะๆอยู่ดี ฮ่าา จะพยายามต่อไปค่ะ (แต่ความเรียลบางอย่างก็หยวนๆปล่อยๆไปบ้าง << อันไหนเก็บได้ก็เก็บ แฮะๆ)

ตอนเขียนเซนทอร์นี่ก็คิดอยู่ว่าพฤติกรรมมันอ่อนไปรึเปล่า เทียบกะพวก... เอ่อ... ในตำนานอ่ะเน้อะ
แต่ก็อยากลองเปลี่ยนมุมมองดู ฮ่าาา... คืออยากรู้ว่าถ้าเขียนเซนทอร์ให้เป็นเคะ... มันจะโอเคไหม... แต่แน่นอนว่าไม่มีแนวปีนหลัง animal sex แน่ๆ (เรื่องนี้ก็เช่นกัน)

ตอนแรกพยายามจะเขียนเรื่องที่เขาดูดาวเก่ง (ถึงได้ชื่ออาณาจักรแอสทารอธ) แต่ตัวเราเองลงไปศึกษาเรื่องดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์แล้วคิดว่าไม่เข้าใจแน่ๆ ไม่อยากมั่ว OTL สุดท้ายเลยต้องยอมปล่อยให้เป็นยุคที่แบบ... เขาอาจจะทิ้งการดูดาวไปแล้วก็ได้--- หรือระบบโครงสร้างฝูง(อาณาจักร)ที่หาตัวที่แกร่งที่สุดมาเป็นหัวหน้า ไม่ใช่แบบราชวงศ์แนวๆสมมติเทพ (ของเงือกนี่พวกราชวงศ์เขามีพลังเหนือกว่าคนอื่นจริงๆ)

//ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะ ...ขอบคุณมากค่า ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 3.1

ฟาลเป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวทั้งหมด

หนึ่งในองครักษ์จากเผ่าเพชฌฆาตวัยสี่สิบสองปีรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาแปลกใจนับตั้งแต่เวสเทียร์มีชีวิตรอดจากการต่อสู้ได้อย่างปาฏิหาริย์ทั้งที่ถูกแวมไพร์กัด อีกทั้งบาดแผลมากมายบนร่างกายนักรบหนุ่มก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ต่อให้ผู้นำองครักษ์จะเป็นญาติสนิทของเขา แต่ฟาลก็ไม่แน่ใจว่าเขาสามารถถามเรื่องนี้ได้ตรงๆ หรือไม่

เพราะหากเป็นคำตอบที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ผู้ที่รู้สึกอึดอัดใจจะเป็นตัวเวสเทียร์เอง

ฝ่าบาทไคราห์นเลือกจะเป็นกษัตริย์ที่ไร้ซึ่งชายา ด้วยเหตุผลว่าเขาแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น จึงไม่ต้องการถ่ายทอดความอ่อนแอไปสู่ลูกหลาน และด้วยเหตุผลของการไร้ซึ่งชายานี้เองที่อาจทำให้ราชาหนุ่มหันมาหาคนใกล้ตัวแทน ฟาลไม่ได้รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ 'ครั้งแรก' แต่การที่เวสเทียร์ซึ่งไม่เคยอยู่ในสายตาของฝ่าบาทถูกเรียกเข้าพบในถ้ำส่วนตัวเป็นเวลานาน จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจะเกิดความสนใจ แต่ถึงกระนั้น เงือกหนุ่มก็ไม่จาบจ้วงเบื้องสูงจนถึงขั้นตามคนองครักษ์คนสนิทไป แต่เขาสังเกตได้จากอาการและปฏิกิริยาของทั้งคู่

เวสเทียร์ถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฝ่าบาทไคราห์นขึ้นครองบัลลังก์

ถ้ำที่ประทับส่วนตัวของฝ่าบาทเป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้ไม่ได้รับอนุญาต กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้ แต่มันช่างน่าแปลกที่หลังจากเรียกองครักษ์คนสนิทเข้าพบแล้ว กลับเป็นราชาแห่งเซลทิคที่ลงมายังท้องสมุทรเบื้องล่างก่อนตามลำพัง

ฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ฟาลคาดเดาด้วยตนเอง

...เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ซักไซ้ไถ่ถามอะไรจากราชาทะเลเหนือ

"แม้เผ่าเพชฌฆาตได้สาบานว่าจะภักดีต่อราชวงศ์เซลทิค แต่หน้าที่นอกเหนือจากองค์รักษ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง" เวสเทียร์เคลื่อนไหวช้าลง ผิดวิสัยของผู้นำเผ่าที่มีความเร็วเป็นเลิศ อีกทั้งยังดูเหนื่อยล้าจนต้องนอนพักเป็นเวลานาน "องครักษ์ไม่มีหน้าที่รับใช้ในเรื่องส่วนตัว..."

เวสเทียร์บอกได้ว่าฟาลไม่สบอารมณ์ จากน้ำเสียงและวิธีการพูดของเขา

"ฝ่าบาทไร้ซึ่งชายา อีกทั้งยังไม่สามารถสัมผัสแตะต้องใครได้ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ และไม่สามารถหันไปหา 'หญิงใดก็ได้' หากไม่คิดจะหยิบยื่นตำแหน่งชายาให้นาง" หัวหน้าองครักษ์กล่าว "หากฝ่าบาทต้องการข้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลแบบไหน ข้าก็ยินดี ข้ามีหน้าที่ต้องรับใช้... และข้าไม่เรียกร้องตำแหน่งชายา" เวสเทียร์ยืดตัวขึ้นช้าๆ แม้ว่ากายเบื้องล่างจะเจ็บแปลบ "เผ่าเพชฌฆาตสาบานจะภักดีต่อราชวงศ์แห่งเซลทิค และข้า... สาบานต่อฝ่าบาทไคราห์น"  ญาติสนิทส่ายหัวเบา ทว่าเคารพการตัดสินใจของผู้นำองครักษ์ เขาไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน สิ่งที่เวสเทียร์กล่าวมีเหตุผล และเหตุผลของเวสเทียร์ก็มีน้ำหนักพอ

เพียงแต่ฟาลไม่อาจเข้าใจถึงความต้องการของฝ่าบาท

เหตุผลใดที่ทำให้เขาเลือกเวสเทียร์ ผู้เปรียบเสมือนความภูมิใจของเผ่าเพชฌฆาต ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เคยอยู่ในสายตา ฟาลกลัดกลุ้มถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะองครักษ์ระดับสูงสมควรมีคู่ครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องครักษ์ที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมืออย่างเวสเทียร์ แต่อีกฝ่ายจะตกลงกับหญิงใดได้อย่างไรหากยังต้องรับใช้ฝ่าบาทแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟาลรู้สึกว่าฝ่าบาทของตนช่างใจร้ายใจดำ และดูถูกดูแคลนความภักดีที่เผ่าเพชฌฆาตมีให้เหลือเกิน

แต่เมื่อชาวบาดาลสัญญาสาบานต่อสิ่งใดแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยกลับคำ

"เช่นนั้น ก็ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดก็แล้วกัน" ฟาลว่า "แต่ขอให้แน่ใจว่าเจ้าเต็มใจจริงๆ"

"ข้าเต็มใจ..."

--------------------------------------------------

ชาวเงือกจะจะล่าวาฬในฤดูหนาวเท่านั้น

เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง การอาศัยอาหารจำพวกแพลงตอนที่ลอยมากับกระแสน้ำจึงไม่เพียงพออีกต่อไป ชาวบาดาลต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อให้ตนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในน้ำเย็นจัดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันไปหาอาหารที่หนักท้องและให้พลังงานมากกว่าเช่นเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ทั้งแมวน้ำ สิงโตทะเล โลมา และวาฬ

ยกเว้นชาวเงือกแห่งเซลทิคผู้สามารถอดทนต่อความหนาวเย็นในท้องทะเลได้โดยไม่ต้องอาศัยพลังงานหรืออาหารอื่นใด

วาฬที่กำลังถูกไล่ตามเสียงร้องต่ำๆ อย่างตื่นตระหนก สัตว์ยักษ์หายใจถี่ครั้งยิ่งขึ้น ขณะเผ่นขึ้นไปทางเหนือหมายสลัดการติดตามจากกลุ่มนักล่าแห่งมารินาการ์ด หางขนาดใหญ่สะบัดฟาดผิวน้ำหมายจะให้ดังไปถึงหูของชาวเผ่าวาฬแห่งเซลทิค ด้วยรู้ว่ามันจะได้รับการคุ้มครองทันทีที่ผ่านเข้าไปในอาณาเขตทะเลเหนือ วิธีการล่าของชาวบาดาลไม่ซับซ้อนยุ่งยาก พวกเขาเพียงแค่ค้นหาเป้าหมาย และติดตามต้อนให้เหยื่อเผ่นหนีจนเหนื่อยอ่อน ก่อนจะใช้อาวุธคู่กายทำร้ายให้สิ้นลม

แต่การหนีของเหยื่อในครั้งนี้ดูจะเป็นการล่าถอยที่ฉลาดอยู่มาก

ด้วยครึ่งมัจฉาทุกคนล้วนรู้ดีกว่าอาณาเขตของเซลทิคเป็นเขตต้องห้ามในการล่าวาฬ แต่ก็ใช่ว่าวาฬจำนวนมากจะหันมาหลบซ่อนในบริเวณนี้ เนื่องจากชาวเซลทิคจะปกป้องการล่าจากครึ่งมัจฉาด้วยกันเท่านั้น แต่หากเป็นการล่าจากศัตรูตามธรรมชาติแล้ว พวกเขาก็จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ดังนั้นวาฬที่คิดจะหันหน้าไปพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากเซลทิตจะต้องเลือกว่าจะยอมเสี่ยงหรือไม่ เนื่องจากอาณาจักรแห่งนี้อยู่ในเขตล่าอาหารของกลุ่มวาฬเพชฌฆาต

วาฬฟินตัวนี้เลือกจะหันหน้าไปหาเงือกทะเลเหนือ และหลังจากส่งเสียงซึ่งเป็นคลื่นความถี่ต่ำออกไปสักพัก ความหวังที่จะมีชีวิตรอดของมันก็ดูชัดเจนขึ้นมาเมื่อได้ยินสัญญาณตอบกลับ เสียงแหลมเล็กอันเป็นเอกลักษณ์ของวาฬเพชฌฆาตมักทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลตื่นตระหนกเสมอ ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ สัตว์ใหญ่กลั้นใจลึก และรีบเร่งความเร็วขึ้นแม้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้มันแทบหมดแรงก็ตาม แต่กลุ่มเงาดำที่เริ่มปรากฎให้เห็นในสายตาก็ทำให้สัตว์ใหญ่รวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อพุ่งตัวเข้าไปหาผู้มาถึง

"กันพวกพรานออกไป!"

เหตุผลที่เงือกวาฬเผ่าเพชฌฆาตเป็นเผ่าเดียวที่สามารถทำหน้าที่องครักษ์แห่งอาณาจักรเซลทิคได้ นั่นเพราะพวกเขาสามารถว่ายน้ำได้รวดเร็วยิ่งกว่าเงือกเผ่าใด จะแพ้ก็เสียแต่เงือกเผ่าฉลามซึ่งอาศัยอยู่ทางใต้เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถสื่อสารกับวาฬเพชฌฆาตได้อีกด้วย วาฬที่ติดตามมาขยับกระจายตัวล้อมวาฬฟินเอาไว้เป็นการปกป้องตามคำสั่ง ขณะที่ครึ่งมัจฉาพุ่งตรงไปยังกลุ่มพรานผู้รุกรานที่เพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาออกมาไกลจากอาณาจักรของตนมากเกินไป

"พวกเซลทิค!"

กลุ่มพรานร้องบอกเพื่อนพ้องและรีบว่ายมารวมกันเพื่อความปลอดภัย ด้วยรู้ว่าหากขัดขืนการจับกุมนี้ องครักษ์แห่งเซลทิคก็มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ชีวิตได้ทันที "รวมกลุ่มกันเอาไว้!" นักล่าจากมารินาการ์ดมีจำนวนสิบสี่คน แต่ละคนมีอาวุธครบมือ และค่อนข้างชำนาญการล่าวาฬเป็นพิเศษ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับเผ่าเพชฌฆาตแห่งทะเลเหนือที่มีโครงสร้างร่างกายที่สูงใหญ่กว่า มีกล้ามเนื้อที่กำยำยิ่งกว่า ตลอดจนตัวใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด

ผู้นำกลุ่มนักล่าแห่งมารินาการ์ดคือ เกลเลส และเขาก็รู้ซึ้งถึงความผิดอันใหญ่หลวงของตน แต่สิ่งที่ผู้นำควรกระทำในตอนนี้คือดูแลกลุ่มพรานซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเขาให้ปลอดภัย เกลเลสนับจำนวนคนด้วยตาหาง และขยับหางพาตัวเองว่ายออกมาด้านหน้าเพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำ ต่อหน้าผู้นำองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตและวาฬนักล่าตัวเขื่องที่ติดตามมาด้วย "ข้าเกลเลส ขออภัย... เผ่าวาฬแห่งทะเลเหนือ"

วาฬเพชฌฆาตเบื้องหน้าอ้าปากอวดฟันคมที่เรียงรายของมันพร้อมกับเปล่งเสียงร้องแหลมสูงราวกับล้อเลียน

"เงียบเถอะ" เวทอร์สหันไปเอ็ดสัตว์ยักษ์ข้างกาย และหันกลับมายังผู้รุกราน "เจ้ารุกรานอาณาเขตของเซลทิค อีกทั้งยังไล่ล่าวาฬอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการตัดสินใจของข้า พวกเจ้าจะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแห่งเซลทิคเพื่อรับโทษ" แม้เกลเลสจะเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของกลุ่มพรานแห่งมารินาการ์ด ทว่าเวทอร์สกลับมีร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามาก และด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง ทำให้กลุ่มผู้บุกรุกรู้สึกว่าพวกตนตัวเล็กเท่าปลาการ์ตูนก็ไม่ปาน

องครักษ์หนุ่มเหลือบมองคนของตนเบื้องหลังด้วยหางตา วาฬฟินที่เคยเป็นเหยื่อยังคงผ่อนลมหายใจถี่ครั้ง และลอยตัวนิ่งๆอยู่ใกล้ผิวน้ำเพื่อให้จิตใจที่ตื่นกลัวสงบลง "ชาวเซลติคเข้าใจเงือกเผ่าอื่นเรื่องความจำเป็นในการล่าวาฬในฤดูหนาว แต่หากวาฬขอความช่วยเหลือเราในอาณาเขตของเรา ข้าก็จำเป็นต้องขัดขวางการล่าของเจ้า"

เกลเลสค้อมหัวลงเป็นการยอมรับในความผิด "ข้ายินดีรับโทษจากราชาทะเลเหนือ"

"เช่นนั้นก็เตรียมตัวได้เลย" เวทอร์สหันไปหาสัตว์ใหญ่ซึ่งเปลี่ยนวิธีการสื่อสารเป็นการทำเสียง 'คลิก' ถี่ๆ แทนเสมือนกับการบ่นพึมพำกับตัวเอง "ส่งข่าวกลับไปที่เซลทิค บอกท่านฟาลว่าข้าจะนำผู้กระทำผิดเข้าเฝ้า" สัตว์ใหญ่ขยับตัวเล็กน้อยและส่งเสียงแหลมสูงแทนการสื่อสารกับฝูงของตน ก่อนจะว่ายนำเหล่าองครักษ์กลับไปยังอาณาจักรของตน เวทอร์สหันกลับไปหาองครักษ์หญิงที่ยังคอยปลอบขวัญสัตว์ใหญ่

"พวกเจ้าดูแลวาฬตัวนี้ให้ดี หากเขาพร้อมจะออกเดินทางก็ค่อยนำส่ง"

--------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 3.2

เวสเทียร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงหลังดวงอาทิตย์ตกดินก่อนจะถอนหายใจสั้นๆ ด้วยความกังวลในเรื่องที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเวทอร์สจะทำหน้าที่แทนเขาชั่วคราวได้ดีไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แต่ถึงอย่างนั้นเวสเทียร์ก็อดคิดไม่ได้ว่าจะมีใครตั้งคำถามถึงการหายตัวไปของเขาหรือไม่ แม้ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะสั่งลงโทษเขาต่อหน้าเหล่าข้ารับใช้ แต่การถูกเฆี่ยนไม่กี่ครั้ง ในฐานะผู้นำองครักษ์ก็ไม่ควรโอดครวญเจ็บปวดจนต้องส่งผู้แทนออกไปปฏิบัติหน้าที่แบบนี้

ยิ่งเป็นหน้าที่ในการปกป้องอาณาเขตด้วยแล้ว... เวสเทียร์คิดว่านั่นเป็นหน้าที่ของเขาโดยตรง

แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็ออกปากเสียเองต่อหน้าฟาล อนุญาตให้เขาพักอยู่เบื้องบนได้จนกว่าจะหายดี ซึ่งอาการ 'หาย' ที่ว่านี้หมายถึงความปวดระบมบริเวณบั้นเอวหลังจากสะโพกถูกใช้รองรับความต้องการอย่างหนักหน่วง ซึ่งคิดแล้วก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้ที่ญาติผู้ใหญ่อย่างฟาลรับรู้ความสัมพันธ์ของเขากับผู้นำอาณาจักร แต่เวสเทียร์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่พูดเรื่องนี้ต่อใคร

แม้มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่เขายอมรับ ก็ใช่ว่าทั้งอาณาจักรจะเห็นด้วย

เสียงร้องแหลมสูงของวาฬเพชฌฆาตผู้ใกล้ชิดดังมาเข้าหูของเวสเทียร์ เขาจึงรับรู้ว่าเวทอร์สสามารถจับตัวผู้รุกรานได้ทั้งหมดโดยไม่มีการต่อสู้ อีกทั้งยังช่วยชีวิตวาฬฟินเอาไว้ได้อีกด้วย และกำลังนำตัวกลุ่มพรานมาเข้าเฝ้าเพื่อให้ฝ่าบาทไคราห์นตัดสินโทษ เวสเทียร์จึงตัดสินใจขยับกายช้าๆ เพื่อกลับลงไปยังอาณาจักรด้านล่าง

ถ้ำลอดนั้นอาจเป็นที่พักผ่อนของเงือกวาฬผู้ต้องการอากาศทุกชั่วยาม แต่หากพูดถึงอาณาจักรเซลทิคจริงๆก็ยังคงจะหมายถึงบัลลังก์ใต้ทะเล ดูเหมือนว่าเสียงร้องของวาฬยักษ์จะทำให้คนทั้งอาณาจักรตื่นตระหนก และแน่นอนว่าการส่งข่าวด้วยสัญญาณเสียงก็ทำให้ประชาชนรับทราบเรื่องราวทุกอย่างพร้อมผู้นำ และพากันออกมาจากถ้ำเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว ฝ่าบาทแห่งทะเลเหนือกลับไปยังบัลลังก์ของตนซึ่งอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ก่อสร้างด้วยการล้อมเสาต้นสูงเป็นห้องวงรี และประดับม่านสาหร่ายเป็นแถวแทนกำแพงทึบ

เสียงของพวกวาฬมักมาถึงก่อนปรากฎตัวหลายอึดใจ โดยเฉพาะเสียงของคาดันน์ วาฬหนุ่มที่สนิทสนมกับผู้นำเผ่าเพชฌฆาตเสียเหลือเกิน และต่อให้พวกวาฬไม่มีความจำเป็นจะต้องใส่ใจเรื่องภายในของชาวบาดาล แต่คาดันน์ก็ชื่นชอบการมีส่วนร่วมที่ประชุมจนอดไม่ได้ที่จะพาร่างกายใหญ่โตของมันเข้ามาในโถงบัลลังก์ แม้จะถูกมองด้วยสายตาเยียบเย็นของราชาทะเลเหนือก็ตาม แต่คาดันน์อาจเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในอาณาจักรเซลทิคที่ยืดอกเล่าต่อได้ว่าเคยสบตาราชา อีกทั้งยังเคยได้รับการสัมผัสที่ปลายจมูกอย่างเอ็นดูอีกด้วย

...โดยที่ไม่เคยรู้ว่าฝ่าบาทเองก็ไม่แน่ใจว่าดวงตาของมันอยู่ตรงไหน

"นี่ไม่ใช่ธุระของวาฬ..."

น้ำเสียงของผู้นำอาณาจักรดังก้อง เอ็ดสัตว์ยักษ์ต่อหน้าประชาชนจนมันพ่นฟองออกอากาศออกมาอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก ก่อนจะขยับหางใหญ่พาตัวเองขึ้นไปยังผิวน้ำด้านบนเพื่อออกไปให้พ้นสายตา ฝ่าบาทเหลือบมองตามไปเล็กน้อย ก่อนจะละสายตากลับมาที่กลุ่มพรานจากมารินาการ์ด ชาวเงือกทะเลเหนือไม่ใคร่จะได้พบปะกับเงือกเผ่าอื่นมากนัก เนื่องจากอุณหภูมิในน่านน้ำของพวกเขาค่อนข้างเย็น อีกทั้งยังเป็นเขตห้ามล่าวาฬ

ดังนั้นการปรากฎตัวของพรานจากมารินาการ์ดทั้งสิบห้าตนจึงสร้างความสนใจให้กับเผ่าวาฬ

ฝ่าบาทเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อพบว่าขนาดตัวของผู้นำกลุ่มพรานดูเล็กกว่าเวทอร์สอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เกลเลสผู้เคยภาคภูมิใจกับรูปร่างแข็งแรงบึกบึนของตนก็กำลังรู้สึกประหนึ่งตัวเล็กเท่าปลาการ์ตูนเมื่อเหล่าเงือกวาฬมองพวกเขาเป็นตาเดียว อีกทั้งยังรู้สึกทึ่งในความสง่างามน่าเกรงขามของราชาตรงหน้า เกลเลสเคยได้ยินเรื่องราวของฝ่าบาทไคราห์นมาบ้าง และก็รู้เพียงว่าเขาเป็นราชาผู้มีผิวสีขาวเผือด เงือกหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าฝ่าบาทไคราห์นจะขาวได้ขนาดนี้

"เจ้าไม่ควรเงยขึ้นมองฝ่าบาท" เวทอร์สเอ็ด "นี่เป็นกฎที่เคร่งครัดที่สุดของเซลทิค"

เกลเลสก้มหน้าลงในทันที เช่นเดียวกับผู้ติดตามของเขา

"โชคดีที่องครักษ์ไปถึงทันเวลา" ฝ่าบาทกล่าวทำลายความเงียบ "ไม่เช่นนั้น โทษทัณฑ์ของพวกเจ้าอาจจะหนักหนาสาหัสกว่านี้" ร่างสูงทอดกายเอนพิงบัลลังก์ "แต่การจะใช้บทลงโทษของเซลทิคกับเงือกที่มีขนาดเล็กกว่าเช่นพวกเจ้าคงจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่" ดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกปราดมองไปยังเครื่องประดับบนแขนของเกลเลสผู้เป็นหัวหน้า "เจ้าเองก็ดูจะเป็นพรานคนโปรดของราชินี..."

"กระหม่อมได้รับความไว้วางใจในการปฏิบัติภารกิจ แต่ก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่าคนโปรด"

เกลเลสไม่แน่ใจว่าวิธีการพูดของเขาดูจะจาบจ้วงราชวงศ์มากไปหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าฝ่าบาทแห่งเซลทิคจะพอมีเหตุผลอยู่ และอาจเป็นเพียงธรรมเนียมของพวกเขาที่ห้ามเงยหน้าขึ้นมองผู้นำอาณาจักร แต่มารยาทโดยรวมก็ไม่แตกต่างจากราชวงศ์แห่งมารินาการ์ด "เราคงต้องหารือกับผู้นำของเจ้าในเรื่องบทลงโทษ" ราชาหนุ่มทอดเสียง ก่อนจะหันไปหาฟาล

"ส่งคนไปมารินาการ์ด... เราต้องการหารือกับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ"

ฟาลค้อมหัวลงแล้วหันไปสบตาเวทอร์สแทนสัญญาณเรียกให้อีกฝ่ายเสนอตัว "กระหม่อม... อาสาเดินทางไปมารินาการ์ดเองขอรับ" รองผู้นำเผ่าตอบรับคำชี้แนะของผู้อาวุโส "กระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์ สามารถชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ราชินีแห่งมารินาการ์ดได้อย่างแน่นอน"

ทว่าราชาหนุ่มกลับเลิกคิ้ว "เจ้ายังเด็กอยู่มาก เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทต่อราชินี"

"กระหม่อมเสนอเวทอร์สเองขอรับ ฝ่าบาท" ฟาลออกหน้าแทนทันที "เขาอยู่ในเหตุการณ์วันนี้ จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากที่สุด แม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ แต่กระหม่อมคิดว่าบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ใช่ราชินีเรจินาเพียงองค์เดียว" คนสนิทราชากล่าวนุ่มนวล "และหากพูดถึงความประนีประนอม กระหม่อมเห็นว่าองค์ชายเร็กซ์มีอำนาจในการตัดสินใจให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างยุติธรรม"

ไคราห์นไม่กล่าวอะไรตอบ และครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้อยู่สักพัก

ราชินีเรจินาแห่งมารินาการ์ดขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบหญิงแกร่งที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีจิตใจเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าชายชาตรี อีกทั้งยังรักประชาชนมารินาการ์ดมากยิ่งกว่าอะไร การต่อรองกับนางในเรื่องบทลงโทษของกลุ่มพรานนี้อาจทำให้เซลทิคไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะราชินีที่ประชาชนรักผู้นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงในเรื่องของความยุติธรรมระหว่างอาณาจักร

"เช่นนั้นเราจะเชิญองค์ชายเร็กซ์มาที่เซลทิคเพื่อหารือเรื่องนี้" ฝ่าบาทว่า "เจ้าไปได้ เวทอร์ส..."

เวสเทียร์ที่กลับเข้ามาในโถงบัลลังก์อย่างเงียบเชียบลอบไปปรากฎตัวอยู่เบื้องหลังผู้เป็นราชาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น และทันเวลาเวทอร์สก้มหัวลงรับคำสั่งพอดี "ส่วนเรื่องการควบคุมกักบริเวณพวกเจ้า เรามอบหมายให้องครักษ์คนสนิทเป็นผู้ดูแล" แต่มีหรือ ฝ่าบาทไคราห์นจะไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

ราชาเหลือบมองอีกฝายด้วยหางตาก่อนจะพึมพำ "เจ้าขัดคำสั่งเรารึ เวสเทียร์"

"กระหม่อมมีหน้าที่รับใช้ฝ่าบาท จะละทิ้งไปคงไม่ได้"

ไคราห์นขยับหางของตนเล็กน้อย "เจ้าได้รับใช้แล้ว..." นัยน์ตาสีน้ำเงินพิจารณากลุ่มผู้รุกรานแม้จะเอ่ยปากตอบคนสนิท "ให้เจ้าคาดันน์คอยเฝ้าเอาไว้ก็ได้ หากมีใครหลบหนีก็คงรู้เรื่องกัน แค่เสียงมันร้องตัวเดียวก็ลั่นเมืองไปหมด" เวสเทียร์ขบขัน แต่ก็ไม่อาจยิ้มหรือหัวเราะออกมาให้ใครเห็นในเวลานี้ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าลงเก็บความรู้สึกเอาไว้

"กระหม่อมเกรงว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของคาดันน์ขอรับ"

ไคราห์นทอดสายตามองนิ่งจนกลุ่มผู้บุกรุกหวาดกลัวใจแทบหยุดเต้น โดยหารู้ไม่ว่าราชาหนุ่มกำลังค่อนขอดองครักษ์อยู่ในใจ ด้วยเขาพยายามพูดเลี่ยงให้เวสเทียร์ได้พักผ่อน ทั้งที่รู้ตัวว่าสภาพร่างกายไม่สู้ดี แต่หัวหน้าองครักษ์ก็ยังยืนยันในหน้าที่อย่างนั้นโดยไม่รับรู้ถึงความหวังดีของราชาเลยแม้แต่น้อย ฝ่าบาทรู้ดีว่าเขาส่งฟาลไปทำหน้าที่นั้นไม่ได้ ด้วยอีกฝ่ายไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งกับองครักษ์อื่นมากเท่าคำสั่งของเวสเทียร์ แต่ก็ดันเป็นตัวเวสเทียร์เสียเองที่คิดจะทำงานทุกอย่างด้วยตนเองโดยไม่มอบหมายหน้าที่ต่อ

...ช่างเป็นคนหัวทึบเสียเหลือเกิน แต่มีความรับผิดชอบแบบนี้ก็คงดีแล้ว

--------------------------------------------------

เวทอร์สเสยผมเปียกชื้นขึ้นและสูดอากาศลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองดวงจันทร์เสี้ยวเบื้องบนที่แทบจะดับแสง องครักษ์หนุ่มโบกหางเบาๆ เพื่อพาตัวเองว่ายตรงไปยังโขดหินใกล้แผ่นดิน และขยับขึ้นไปนั่งด้านบน ชายหนุ่มอยากสางผม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้นำหวีกระดูกสัตว์ติดตัวมาด้วย ในวันรุ่งขึ้นเขาต้องออกเดินทางไปยังมารินาการ์ดเพื่อเชิญทูตจากฝ่ายนั้นมาพูดคุยเรื่องบทลงโทษและมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้มีใครละเมิดข้อห้ามของเซลทิคอีก

ช่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่น่าชวนหัวเหลือเกิน

องครักษ์หนุ่มไม่อยากจะคิดว่าหากเขาช่วยวาฬยักษ์ตัวนั้นไม่ทันการ ชาวเซลทิคจะโกรธเคืองขนาดไหน "ฝ่าบาทส่งเจ้าไปมารินาการ์ด..." น้ำเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น เวทอร์สไหวไหล่เบาก่อนจะหันไปหาพี่ชายของตนที่ว่ายขึ้นมาหายใจ เวสเทียร์สูดอากาศลึกๆให้เต็มปอด แต่แทนที่จะว่ายกลับลงไปทันที ชายหนุ่มกลับขยับขึ้นมานั่งบนโขดหินใกล้ๆ กัน "เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของเจ้าสินะ"

"พี่เคยไปมารินาการ์ดหรือยัง"

เวทอร์สถาม และมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่าพี่ชายนำหวีติดตัวมาด้วยและเริ่มสางผมตัวเองที่ยาวถึงกลางหลัง หากเป็นธรรมเนียมชาวเงือกแห่งมารินาการ์ด การสางผมถือเป็นเรื่องน่าอาย และพวกเขาจะทำก็ต่อเมื่ออยู่ตามลำพังหรืออยู่กับคู่ครองของตนเท่านั้น แต่สำหรับเงือกแห่งเซลทิคแล้ว การขึ้นมานั่งหวีผมบนโขดหินถือเป็นกิจกรรมผ่อนคลายอย่างหนึ่ง

"ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จ..." เวสเทียร์ตอบ "ที่ใดที่ฝ่าบาทไป ข้าย่อมติดตาม"

"ข้อนั้นข้ารู้อยู่แล้ว" น้องชายพ่นหายใจยาว "ยืมหวีต่อด้วย..."

เวสเทียร์หัวเราะลงคอเบาๆและส่งหวีให้อีกฝ่ายเมื่อเขาสางผมเรียบร้อย "อย่าทำให้อาณาจักรขายหน้าก็เพียงพอ ถือว่าฝ่าบาทมอบหมายงานสำคัญให้เจ้า แม้จะเป็นการไปแจ้งข่าวที่ไม่สร้างความยินดีให้กับราชินีเรจินาก็ตาม" หัวหน้าองครักษ์หรี่ลงเมื่อสังเกตเห็นเงาบางอย่างที่เคลื่อนไหวใต้น้ำ "ราชินีเรจินาอาจต้องเดินทางมาด้วยตนเอง แต่ก็เพราะด้วยความที่นางเป็นผู้นำอาณาจักร จะให้ทิ้งบ้านเมืองมาถึงที่นี่ก็ดูจะเป็นเรื่องยากสักหน่อย" ความรู้สึกบางอย่างที่ปลายหางทำให้เวสเทียร์ขยับกายช่วงล่างเบาๆ

"ไม่เอาน่ะ คาดันน์"

...ฟู่!

วาฬตัวเขื่องโผล่ขึ้นมาจากน้ำทันทีที่ถูกเอ็ด มันพ่นหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะใช้ปากดันหางของครึ่งมัจฉาราวกับเรียกร้องความสนใจ "เอาเจ้านี่ไปด้วย..." เมื่อวาฬหนุ่มโผล่ขึ้นมาพอดี เวสเทียร์ก็เปลี่ยนเป้าหมายการสนทนา แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาทำให้สัตว์ยักษ์เงยมอง ก่อนส่งเสียงแหลมเล็กกรีดร้องเป็นเชิงประท้วง

"หนวกหูน่า"

"แล้วทำไมต้องให้ข้าเอาไปด้วยเล่า ฝูงมันไม่มีหรืออย่างไร"

"การมีตัวตนของวาฬเพชฌฆาตคือการประกาศอำนาจของเผ่าเรา เจ้าควรเอามันไปด้วย" เวสเทียร์ตอบเสียงเรียบ "อาณาจักรเราไม่ได้คบค้าสมาคมกับใครมากนัก แต่ความสัมพันธ์ระดับอาณาจักรก็ไม่ได้ย่ำแย่ แต่ข้าก็คิดว่าเผ่าวาฬดูตกต่ำในสายตาของเผ่าอื่น จากความใกล้ชิดของเรากับพวกมนุษย์ ดังนั้นการพกวาฬไปสักตัวเพื่อสร้างความยำเกรงบ้างจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย"

"ตัวไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คาดันน์ไม่ได้รึไง..." เวทอร์สมุ่นคิ้ว

เวสเทียร์ไหวไหล่ "เจ้าจะไปคุยกับฝูงเองหรือไม่เล่า"

ฝูงวาฬมีสังคมที่ซับซ้อน และพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังชาวเงือกอย่างที่คิด เพียงแค่มีชีวิตอยู่ร่วมกันภายใต้กฎเกณฑ์บางอย่างเท่านั้น ดังนั้นหากจะพูดถึง 'วาฬประดับบารมี' ไม่ว่าใครก็คิดเห็นว่าเจ้าตัวปัญหาคาดันน์นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุด "หยุดกรีดร้องใส่คนอื่นสักพักก็พอ"

"เจ้าก็รู้ว่าเสียงมันเป็นแบบนั้น"

เวทอร์สมีผมยาวกว่าพี่ชาย ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสางนานกว่า "แล้วเรื่องแวมไพร์เล่า มีข่าวคราวอะไรคืบหน้าบ้างไหม" แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะมีเรื่องไม่ลงรอยกับมารินาการ์ด แต่นั่นก็ดูจะเป็นปัญหาที่หาทางออกได้ง่ายกว่าปัญหาการคุกคามของผีดูดเลือด "หลังจากเจ้าสองตัวนั่นถูกฆ่า ไม่มีใครรู้ที่ตั้งอาณาจักรของเราใช่ไหม"

"หน่วยลาดตระเวนไม่ได้รายงานว่ามีวี่แววของแวมไพร์ตนอื่น" เวสเทียร์กล่าว "แต่ก็ยังมีประชาชนที่แอบขึ้นไปยังเบื้องบน ซึ่งพฤติกรรมนี้จะนำไปสู่การเปิดโปงการมีตัวตนของเรา และทำให้แวมไพร์คุกคามเราได้ง่ายยิ่งขึ้น" หัวหน้าองครักษ์มุ่นคิ้วเคร่งเครียด "แม้แต่องค์หญิงอาโกรนาห์ยังไม่อาจหักห้ามใจได้ นับประสาอะไรกับประชาชนที่ผูกพันกับแผ่นดินเสียเหลือเกิน"

เวทอร์สถอนใจ "นี่เป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มแก้ไขจากที่ใด"

"ฆ่าพวกมัน" เวสเทียร์ตอบเสียงเรียบ "ฆ่าพวกมันก่อนที่มันจะฆ่าพวกเรา..."

"แต่เจ้าฆ่าแวมไพร์ทั้งเผ่าไม่ได้" เวทอร์สมุ่นคิ้ว "พวกมันไม่มีราชา หรือผู้นำที่เราเจรจาด้วยได้รึ"

"พวกมันเป็นอมนุษย์ที่เกิดจากมนุษย์ เจ้าก็รู้นิสัยมนุษย์ดีนี่ ต่อให้มีผู้นำสูงสุด พวกเขาก็ยากที่จะเชื่อฟัง" เวสเทียร์ว่า "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีราชาแวมไพร์" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อย "ราชาแวมไพร์ที่ไม่เคยลงมือทำอะไรเพื่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองเลย"

--------------------------------------------------

วันนี้เราจะมาเปิดคลาสวาฬกัน... มีวาฬตัวหนึ่งที่น่าจะมีบทบาท และมีนิสัยอ้วนไปอ้วนมาแต่ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมีชื่อว่า 'คาดันน์' (Cardan = ป้อมปราการสีดำ) ...นิสัยของคาดันน์ง่ายมาก ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและเรียกร้องความสนใจขั้น max

คาดันน์เป็นวาฬประเภท NORTH ATLANTIC TYPE 2

เอ้า... งง... วาฬเพชฌฆาตด้วยกันเองยังแบ่งได้อีกหลายประเภทดังนี้



----- ทางเหนือ -----

ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก (ทะเลระหว่างเอเชียและอเมริกา)

1) RESIDENT ORCAs
.....พวกเรสสิเดนพูดง่ายๆคือเป็นพวกติดบ้าน หากินเป็นหลักแหล่ง มีขนาดฝูงค่อนข้างใหญ่ และส่วนใหญ่จะเน้นกินปลาเป็นหลัก

2) TRANSIENT ORCAs
.....ทรานสิเอนเป็นพวกตรงข้ามกับเรนสิเดน นั่นคือมีขนาดฝูงที่เล็กกว่า หากินไปทั่ว ตัวใหญ่กว่า และเน้นกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

3) OFFSHORE
.....ออฟชอว์เป็นเหมือนผสมระหว่างเรนสิเดนกับทรานสิเอน มีข้อมูลน้อยมาก แต่ระบุว่ากินฉลามด้วยเหมือนกัน



ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก (ทะเลระหว่างอเมริกาและยุโรป)

1) NORTH ATLANTIC TYPE 1
.....นี่มีความลำเอียงทางการตั้งชื่อมาก เพราะออร์ก้าฝั่งยุโรปชื่อธรรมดาไปจนถึงขั้นเชยยย พวกนอร์ธแอตแลนติกไทป์ 1 กินทั้งแมวน้ำและปลา มีขนาดเล็กกว่าไทป์ 2 และมีฟันที่ค่อนข้างบิ่นเพราะกินพวกปลา

2) NORTH ATLANTIC TYPE 2
.....ตัวใหญ่กว่าไทป์ 1 (ประมาณ 8.5 เมตร) และมีฟันที่คมกว่า ล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม



----- ทางใต้ -----

1) TYPE A
.....ลำเอียงทางการตั้งชื่อมากถึงมากที่สุด!? แต่เขาเรียงตามขนาด และลายบนตา ไทป์เอตัวใหญ่สุด ประมาณ 9.5 เมตร

2) TYPE B
.....ไทป์บีตัวเล็กกว่าไทป์เอ และมีจุดสังเกตอีกจุดคือลายบนหลังจะติดสีเหลืองเบาๆ และน่าจะเป็นพวกที่ล่าเพนกวิน

3) TYPE C
.....ไทป์ซีเหมือนวาฬแกร็น ตัวเล็กสุด ประมาณ 6 เมตรเอง (เอง...) และมีความติดเหลืองมากกว่าไทป์บีอีก

4) TYPE D
.....ไทป์ดีเป็นวาฬหน้าตาประหลาดที่สุด(?) เพราะแถบขาวๆเหนือดวงตาเล็กนิดเดียวจนเหมือนพวกกลายพันธุ์ (แต่เปล่า) อีกทั้งยังพบได้ยากมากๆอีกด้วย
.
.
.
คาดันน์เป็นพวก NORTH ATLANTIC TYPE 2



สรุปง่ายคือตัวใหญ่ กินแมวน้ำ(?) กินวาฬตัวอื่น อาจจะกินฉลามด้วย เอาเป็นว่ากินทุกอย่าง ...เป็นตัวละครประเภทอ้วนและกวนประสาทระดับสอง (ไม่เท่าไชร์ ไชร์นี่ลาสบอส---) แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตัว(?)ในเซลทิคที่ฝ่าบาทไคราห์นลูบหัว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2017 07:13:30 โดย khaosap »

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ ชอบการบรรยายและลักษณะการเล่าเรื่องนะคะ อ่านเพลินเลย รอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปล. เราว่า ท่านราชาและท่านหัวหน้าองครักษ์นี้มีเคมีต่อกันนะคะ แบบสาบานจะรัก--- เอ๊ย จงรักภักดีต่อท่านผู้เดียว ไรงี้ กร๊าวใจจัง

ปล.2 รู้สึกว่าท่านราชาจะแอบหมั่นไส้วาฬเพื่อนซี้เวสเทียร์หน่อยๆ สงสัยจะแอบหึง--- แค่กกก

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
น่าติดตามมาก :hao7:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 4.1

อัศวินแห่งท้องสมุทร... มารินาการ์ด

อาณาจักรเงือกที่เก่าแก่นี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ผู้สืบสายเลือดปฐมกษัตริย์ หรือจอมราชัน ราชาผู้อุทิศตนเพื่อเผ่าพันธุ์ครึ่งมัจฉา ด้วยการเสียสละตนทำข้อตกลงกับเทพแห่งมหาสมุทรเพื่อปกป้องอาณาจักรให้รอดพ้นจากการคุกคามของมนุษย์เบื้องบน ดังนั้นสำหรับชาวบาดาลแล้ว จอมราชันแห่งมารินาการ์ดคือครึ่งมัจฉาผู้มีเกียรติสูงสุด และผู้สืบสายเลือดราชวงศ์แห่งมารินาการ์ดก็เช่นกัน

ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ปกครองแห่งมารินาการ์ดคือราชินีเรจินา ธิดาคนโตของราชินีองค์ก่อน

แม้ว่าราชวงศ์แห่งมารินาการ์ดจะสามารถครองบัลลังก์ได้ทั้งชายและหญิงโดยไม่แบ่งแยก แต่ราชินีเรจินากลับไม่โปรดที่จะมีคู่ครองเพื่อสืบทอดสายเลือด ด้วยรู้ดีว่าตนไม่อาจให้กำเนิดบุตรที่มีลักษณะของจอมราชันได้ พระนางจึงตัดสินใจครองตนเป็นโสด และยกหน้าที่การสืบทอดสายเลือดของจอมราชันให้กับองค์ชายเร็กซ์ ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งด้วยภาระนี้ทำให้เขาต้องเสกสมรสกับสตรีชั้นสูงถึงสี่ตนจากอาณาจักรอื่นเพื่อความสัมพันธ์ และเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง พระชายาผู้มาจากเผ่าโลมาแห่งเซลทิคก็ให้กำเนิดธิดาคนที่สาม และได้รับนามว่า องค์หญิงอาร์นิเอส

โดยทั่วไปแล้ว ทายาทของชาวเงือกที่เสกสมรสข้ามเผ่าพันธุ์จะได้ลักษณะเด่นจากบิดา ทว่าเงือกน้อยอาร์นิเอสกลับได้ลักษณะเด่นของมารดามาทั้งหมด

...กระทั่งวิธีการหายใจ

"องค์หญิงสำลักน้ำ!!"

เงือกวาฬแรกเกิดสามารถกลั้นใจได้ไม่นาน แม้ว่าจะมีพัฒนาการที่เร็วกว่าเงือกเผ่าอื่น แต่องค์หญิงน้อยก็ยังไม่สามารถว่ายน้ำขึ้นไปหายใจได้ทันการ และนี่เป็นครั้งที่สามของวัน ที่อาร์นิเอสสำลักน้ำระหว่างเดินทางจากพระราชวังซีเบิร์ธไปยังผิวทะเลเบื้องบน

"แค่ก!!"

พระชายาผู้เป็นมารดายังไม่ฟื้นตัวจากการให้กำเนิด แต่นางก็ไม่อาจทนเห็นบุตรสาวทรมานได้ ต่อให้มีองครักษ์คอยดูแล แต่นางก็พุ่งตัวออกมาอุ้มองค์หญิงว่ายน้ำขึ้นไปยังเบื้องบนด้วยตนเอง "อาร์นิเอส... เจ้าอย่ามัวแต่เล่นจนลืมหายใจสิ!" แม้จะมีอายุได้แค่สองสัปดาห์ แต่องค์หญิงก็รู้ประสา และพอจะตอบโต้กับมารดาได้ไม่ต่างจากทารกมนุษย์อายุแปดเดือน

"แอ..."

แต่ถึงอย่างนั้น องค์หญิงก็ยังไม่ค่อยพูดอยู่ดี พระชายาลูบผมเปียกชื้นของบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะสูดใจลึกๆ เพื่อให้เด็กน้อยทำตาม ก่อนจะดำกลับลงไปใต้ท้องทะเลอีกครั้ง "อาร์นิเอสสำลักน้ำอีกแล้วรึ" องค์ชายเร็กซ์เงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน และทอดยิ้มอ่อนใจเมื่อเห็นชายา "เราควรจะสร้างที่พักในถ้ำแบบอาณาจักรเซลทิคบ้าง ไม่เช่นนั้นธิดาเราคงจมน้ำตายเข้าสักวัน" เงือกหนุ่มเอื้อมมือไปลูบผมสีแดงที่พลิ้วไหวใต้ผืนน้ำ เมื่ออาร์นิเอสรู้สึกได้ถึงสัมผัสนั้น องค์หญิงน้อยก็โผตัวไปหาพระบิดา

"ป้อ...!!"

องค์หญิงน้อยอีกองค์โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังของผู้เป็นบิดา ด้วยสีหน้ารู้สึกตัวถึงความผิด เพราะเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้องค์หญิงอาร์นิเอสผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาต้องสำลักน้ำ ...เพราะมัวแต่เล่นเก็บเปลือกหอยที่ก้นทะเล "ขอโทษพระชายาเสียสิ วิเวียน" องค์ชายเร็กซ์เอ็ดเสียงนุ่ม และให้เวลาองค์หญิงวิเวียนขยับออกมาจากด้านหลังตนช้าๆ ก่อนจะโค้งตัวลงต่อหน้าพระชายา

"ข้าขอโทษ"

เสียงน้อยๆออดอ้อน และช้อนดวงตากลมใสขึ้นมองอย่างวิงวอน ไม่ว่าพ่อแม่คนไหนก็ย่อมเข้าใจว่าความเป็นเด็กคืออะไร การเล่นสนุกจนลืมเวลาเป็นอย่างไร มีหรือพระชายาจะโกรธเด็กตัวเล็กเท่านี้ได้ลงคอ นางยิ้มออกมาจางๆ อย่างใจอ่อนและเอื้อมมือไปลูบหัวองค์หญิงวิเวียนเบาๆ "เอาเถิด... เจ้าคงยังไม่รู้จังหวะหายใจของน้องดี"

องค์ชายเร็กซ์ถอนใจ ก่อนจะหันไปหาองครักษ์ข้างกาย "เจ้าดูแลอาร์นิเอสประสาอะไร พระชายาจึงต้องพรวดพราดออกมาด้วยตนเองแบบนี้"

"ขออภัยองค์ชาย... ได้โปรดลงโทษ"

องค์ชายแห่งมารินาการ์ดหันไปโบกมือให้บุตรสาวทั้งสองพากันไปเล่นตามประสาเด็กดังเดิม พระชายามองตามเด็กทั้งสองไปด้วยความเป็นห่วง และตั้งใจว่าตนควรไปเฝ้าบุตรสาวเสียเอง "เชื้อพระวงศ์นี่วันหนึ่งๆ ก็เสียเวลากับการลงโทษคนใต้บัญชาสินะ"

"องค์ชาย..." องครักษ์หนุ่มก้มหัวลงเมื่อผู้เป็นนายแดกดัน "กระหม่อมไม่มีคำแก้ตัว"

แต่ก่อนที่เร็กซ์จะพูดอะไรต่อ คลื่นเสียงแหลมสูงของสัตว์ขนาดใหญ่ก็ดังเข้าหู และประกาศให้ทั้งอาณาจักรรับรู้ถึงการมาเยือนของอะไรบางอย่าง "ไม่ใช่คณะล่าวาฬแน่ๆ" องค์ชายเร็กซ์หันไปหาองครักษ์ของตน "ส่งคนออกไปดู เราจะไปเฝ้าท่านพี่เรจินา" องครักษ์ข้างกายค้อมหัวรับคำสั่ง แต่องครักษ์อีกตนก็พุ่งเข้ามารายงาน

"องค์ชาย... วาฬของเซลทิคขอรับ"

เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และตั้งใจฟังคลื่นเสียงนั้นอีกครั้งเพื่อตีความ องค์ชายพอจะรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาจึงยกมือขึ้นระงับคำสั่งของตนและตัดสินใจพาตัวเองไปยังลานพระราชวังที่ซึ่งราชินีแห่งมารินาการ์ดประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง "ท่านพี่..." องค์ราชินียกมือขึ้นปราบน้องชาย ด้วยรู้ถึงความหมายของคลื่นเสียงดังกล่าว พระนางยืดตัวขึ้นจากบัลลังก์และวางแขนทั้งสองข้างเอาไว้บนที่พักด้วยท่วงท่านุ่มนวลทว่าสง่างาม และรอคอยการมาถึงของเจ้าของเสียงปริศนา

คลื่นเสียงของสัตว์ใหญ่ประกาศการมาถึงเท่านั้น และหลายอึดใจกว่าร่างเงาของสัตว์ยักษ์จะปรากฎให้เห็นในสายตา พร้อมกับกลุ่มเงือกที่มีรูปร่างแตกต่างแปลกตา ทว่ามันก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับองค์ราชินี พระนางรู้ดีว่าผู้มาเยือนคือใคร แม้จะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ แต่รูปแบบการเดินทางของชาวเงือกแห่งเซลทิคมักจะมีวาฬร่วมเดินทางด้วยเสมอ และนั่นคือความภาคภูมิใจของพวกเขา

แม้ว่าเงือกวาฬจะได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ผูกพันกับแผ่นดิน และไม่อาจละทิ้งความเป็นมนุษย์ได้

แต่วาฬกลับเป็นราชาที่แท้จริงของท้องทะเล... โดยเฉพาะวาฬเพชฌฆาต

ผู้นำขบวนว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำเพื่อสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง ท่อนหางที่ดูกำยำแข็งแกร่งขยับว่ายพาร่างกายที่ดูจะใหญ่โตกว่าลงมาเบื้องล่างมหาสมุทร และหยุดตรงหน้าบัลลังก์ทองของราชินีผู้ปกครอง พร้อมกับค้อมหัวลงอย่างนุ่มนวลนอบน้อมเป็นธรรมชาติ "กระหม่อมขอเฝ้าราชินีแห่งมารินาการ์ด" น้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าก้องดังน่าเกรงขามทำให้ชาวเมืองประหลาดใจและยำเกรงการมาถึง อีกทั้งยังวาฬตัวเขื่องที่ว่ายตามลงมาเคียงข้างกันก็ยิ่งทำให้การมาเยือนครั้งนี้เป็นที่น่าจดจำ

ผู้นำอาณาจักรนิ่งพิจารณาเงือกหนุ่มเบื้องช้าอยู่ครู่หนึ่งและครุ่นคิดหาคำตอบสักพักก่อนจะเอ่ยตอบเสียงนุ่ม "ผู้แทนแห่งเซลทิค... มารินาการ์ดยินดีต้อนรับเจ้า" บรรยากาศรอบตัวขององค์ราชินีดูผ่อนคลายมากกว่าฝ่าบาทไคราห์นมาก แต่ถึงกระนั้น เวทอร์สก็ได้รับการอบรมมารยาทมามากพอที่จะไม่จาบจ้วง วิพากษ์วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรอื่น

"กระหม่อมได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทแห่งเซลทิคให้เดินทางมาแจ้งข่าว"

ประชาชนของเซลทิคไม่มีสิทธิ์สอดรู้สอดเห็นอย่างเช่นชาวมารินาการ์ดกำลังกระทำ พวกเขาแอบมองผู้มาเยือนจากที่อยู่อาศัยของตน แม้จะพยายามไม่แสดงตน แต่สายตาและประสาทสัมผัสอันว่องไวของชาวเผ่าเพชฌฆาตย่อมรู้สึกได้ "หน่วยพรานล่าวาฬของมารินาการ์ดได้บุกรุกเข้าไปในน่านน้ำของอาณาจักรเซลทิคขอรับ" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชินีก็เบิกตาขึ้นและกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว ด้วยรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นความผิดร้ายแรงซึ่งอาจทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างพวกเขาได้

"ฝ่าบาทไคราห์นจึงมอบหมายให้กระหม่อมเดินทางมาเพื่อเจรจาเรื่องบทลงโทษในความผิดนั้น"

"เราจะเดินทงไปเซลทิคเอง"

โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ องค์ชายเร็กซ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยรู้หน้าที่ของตนดี ด้วยเหตุผลที่พระชายาองค์หนึ่งของเขามาจากอาณาจักรเซลทิค ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเจรจากับเผ่าวาฬในฐานะ 'ลูกเขย' แต่ผู้นำอาณาจักรกลับยกมือขึ้นปรามน้องชายช้าๆ เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นให้ถี่ถ้วนเสียก่อน "มีการปะทะกันหรือไม่"

"กระหม่อมเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวน จึงได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากวาฬ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อีกทั้งพรานของมารินาการ์ดก็ตระหนักรู้ในความผิดจึงไม่มีการขัดขืนการจับกุม" เวทอร์สได้ยินองค์ราชินีลอบถอนใจ พลางคิดไปว่าเงือกเผ่าอื่นช่างน่าอิจฉาที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่ต้องกลั้นใจเอาไว้อย่างชาวเผ่าวาฬที่ทำไม่ได้กระทั่งหัวเราะ ดวงตาสีเข้มมองต่ำด้วยความเคยชินเมื่ออยู่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ ไม่กล้าแม้แต่จะมองปลายหางของผู้นำอาณาจักร ต่อให้มันจะเป็นเกล็ดทองคำที่หาดูได้ยากที่สุด อันเป็นลักษณะเด่นของจอมราชันแห่งมารินาการ์ด

"เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เราควรจะเดินทางไปด้วยตนเอง" เรจินาเอ่ย

"ท่านพี่" เร็กซ์ขัดบทพูดของพี่สาว "ราชินีมิควรออกเดินทางไปจากเมือง" เวทอร์สได้รับคำสั่งให้เดินทางมาแจ้งข่าว และเชิญองค์ชายเร็กซ์เดินทางกลับไปยังเซลทิค แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่เคยพบหน้าค่าตาขององค์ชายมาก่อน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยขัดบทสนทนาระหว่างราชินี และผู้ที่น่าจะเป็น 'น้องชาย'

แล้วองค์ชายเร็กซ์เป็นญาติฝ่ายไหนของราชินีกันหนอ...

แม้จะไม่กล้าเงยขึ้นมองผู้นำมารินาการ์ด แต่เวทอร์สกลับหันไปมองผู้ที่กล้าออกความเห็นในทันทีด้วยความประหลาดใจ และสิ่งแรกที่ทำให้เวทอร์สชะงักงันกลับไม่ใช่ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของอีกฝ่าย หรือเส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยที่ไหวตามแรงน้ำ ไม่ใช่ลักษณะร่างกายที่เรียกได้ว่า 'ผอมบาง' หากเปรียบเทียบกับเงือกวาฬ ไม่ใช่กระทั่งท่อนหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองที่อาจสะท้อนแสงแดดได้

แต่กลับเป็นเหงือกปลาบนสะโพกที่ขยับหายใจได้!

องครักษ์แห่งเผ่าเพชฌฆาตเกือบสำลักน้ำ...

"ตามนั้นก็ย่อมได้" องค์ราชินีเอนหายพิงบัลลังก์และหันกลับมายังผู้มาถึง "นั่นคือคำตอบของมารินาการ์ด ในตอนนี้ขอเชิญท่านทูตไปพักผ่อนเสียก่อนเพราะทางเดินทางคงทำให้ท่านอ่อนล้า ขอให้ทางมารินาการ์ดเป็นผู้ตระเตรียมทุกอย่างที่เหลือเอง" องครักษ์หนุ่มลอบกัดริมฝีปากตนเองเมื่อตระหนักได้ว่าอาการเหม่อลอยเพียงชั่วครู่เพราะความตกตะลึงที่เพิ่งเคยเห็น 'เหงือกปลา' เป็นครั้งแรกทำให้เขาไม่ได้ยินคำพูดที่สำคัญที่สุดในการเดินทางมายังมารินาการ์ดในครั้งนี้

...เอาแล้วไง เวทอร์ส

และด้วยความตะลีตะลานลุกลนนั่นเองที่ทำให้เขาเผลอเงยหน้าขึ้นมองสบตาราชินีแห่งมารินาการ์ด และพบว่าพระนางมีใบหน้าที่งดงามอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาลลุ่มลึกบ่งบอกถึงประสบการณ์อันมากมาย ผมยาวสีเดียวกันกับผู้เป็นน้องชายมัดรวบเรียบร้อยและประดับด้วยปิ่นยาวสามเล่มอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำ "ท่านทูตมีนามว่ากระไร เราจักได้เรียกให้ถูก..." น้ำเสียงของนางน่าเกรงขาม ทว่าแตกต่างจากฝ่าบาทไคราห์นในความนุ่มนวลน่าฟัง และเมื่อรู้สึกตัว เวทอร์สก็ก้มหน้าลงด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำเป็นความผิด

"ขออภัย ฝ่าบาท... กระหม่อมล่วงเกิน ได้โปรดลงโทษ"

เวทอร์สได้ยิน 'น้องชาย' ของราชินีถอนใจดัง ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอก "พวกเจ้าเป็นอะไรกันนัก เหตุใดจึงชอบให้ลงโทษกัน" เรจินาหัวเราะด้วยความเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นปัดเบาๆ เป็นเชิงไล่น้องชายให้ออกไป ก่อนจะขยับตัวและเคลื่อนกายมาหยุดเบื้องหน้าผู้มาเยือนจากเซคทิคด้วยตนเอง

"เราถามชื่อเจ้า..." เรจินาเอ่ยซ้ำ

"เวทอร์ส ขอรับ และกระหม่อมไม่ใช่ทูต เป็นเพียงองครักษ์หน่วยลาดตระเวน"

"เจ้าสามารถมองเราได้ เวทอร์ส... สายเลือดจอมราชันมิได้มีพลังในการเยียวยาเช่นราชวงศ์แห่งเซลทิค" พระนางยื่นมือไปหาอีกฝ่ายราวกับต้องการจะเชยคางให้เขาเงยขึ้นมอง แต่ก็หยุดเอาไว้กลางครันราวกับเปลี่ยนใจ "ทางเราจะเตรียมที่พักเอาไว้ให้" พระนางขยับตัวถอยเล็กน้อยแล้วจึงหันไปหาองครักษ์ข้างกาย "ฟาเบียงจะเป็นผู้ดูแลเจ้าระหว่างพักอยู่ที่นี่ หากเป็นการสนทนากันระหว่างองครักษ์คงจะทำให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า" ราชินีวาดมือไปยังองครักษ์ที่ว่า เวทอร์สมองตามเล็กน้อยเพื่อจะพบว่าพระนางมีองครักษ์เป็นเงือกเผ่าฉลาม อีกทั้งยังเป็นชายร่างสูงใหญ่กำยำที่ดูแข็งแรงพอๆ กับเงือกวาฬ

...เหงือกข้างละสามซี่!!!

ในครั้งนี้องครักษ์หนุ่มสำลักน้ำจริงๆ และพ่นฟองอากาศออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนั่นอาจเป็นการเสียมารยาท แต่องครักษ์ของราชินีกลับคาดเดาได้ว่าเขากำลังจะขาดอากาศ "ฝ่าบาท... ทรงสนทนายาวนานเกินไปแล้ว พวกเงือกวาฬต้องหายใจ" ฟาเบียงยิ้มขัน แล้วจึงเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนขององครักษ์วาฬและขยับหางแรงๆเพื่อพาอีกฝ่ายขึ้นไปเบื้องบน

เรจินาอ้าปากค้างน้อยๆ ด้วยเพิ่งนึกได้เช่นกันว่าเงือกวาฬใช้วิธีการกลั้นใจใต้น้ำซึ่งต่างจากพวกเขา

--------------------------------------------------

ฝ่าบาทแห่งเซลทิคเดินทางไปพบวาฬฟินด้วยตนเองเพื่อปลอบขวัญสัตว์ใหญ่

วาฬฟินมีขนาดใหญ่มากจนเกือบจะเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในมหาสมุทร และในความมหึมานั่นเองทำให้อารมณ์ของมันอ่อนไหวกว่าใครอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์ความหวาดกลัวที่ยากจะเยียวยาหลังจากรอดพ้นการล่าของชาวเงือกมาได้ "เขากลัวมาก" ฝ่าบาทไคราห์นกล่าวช้า ลูบมือไปบนผิวกายมันลื่นเพื่อเยียวยาบาดแผล "เป็นความกลัวที่จะหลอกหลอนไปอีกเนิ่นนาน แม้ว่าจะเดินทางออกไปจากน่านน้ำนี้แล้วก็ตาม"

เวสเทียร์ที่คอยอยู่ใกล้ผู้เป็นนายได้แต่ก้มหน้ารับฟัง "ช่างน่าละอายที่เราไม่อาจรักษาได้"

"หากฝ่าบาทมีพลังเยียวยาได้กระทั่งจิตใจ..." เวสเทียร์เอ่ย "กระหม่อมเกรงว่าเส้นกั้นระหว่างราชวงศ์และประชาชนธรรมดาคงจะมากกว่าเดิม ฝ่าบาทคงจะเปรียบได้ดั่งเทพแห่งท้องทะเลที่ไม่มีใครเอื้อมถึง" ฝ่าบาทยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น เขาหันไปหาองครักษ์หนุ่มที่ก้มหน้าลงอย่างรู้สถานะของตนเอง

"พูดอย่างกับว่าตอนนี้เจ้ากล้าเงยหน้าขึ้นมองเราอย่างนั้น"

"มิกล้าขอรับ"

ไคราห์นเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย คล้ายกับต้องการเชยใบหน้านั้นให้เงยขึ้นสบตา ทว่ากลับหยุดชะงักด้วยรู้นิสัยของเวสเทียร์ดี "ใครกันแน่ที่ไม่สบตา..." ในฐานะราชาเขาพูดไม่ได้มากกว่านั้น แม้จะอยากตัดพ้อต่อว่าที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้คุณค่าสถานะของตนเองเลยก็ตาม แค่นี่คือนิสัยของเวสเทียร์ ผู้นำสูงสุดของเผ่าเพชฌฆาต และเขาควรจะเคารพในตัวตนของอีกฝ่าย

อย่างไร... เวสเทียร์ก็เป็นของเขาอยู่ดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรหรือจะคิดอะไรก็ตาม

ไคราห์นขยับหางใหญ่โตเล็กน้อยเพื่อดันให้ตัวเองว่ายขึ้นไปเบื้องบนเพื่อสูดอากาศอีกครั้ง และเมื่อแสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าคม เวสเทียร์ผู้ติดตามก็รู้สึกเหมือนได้เห็นผิวพรรณตรงหน้าสะท้อนประกายแดด "ฝ่าบาท... แสงสว่างทำให้ระคายเคืองผิวนะขอรับ" ร่างสูงยกมือขึ้นเสยผมยาวของตนให้พ้นหน้า และบังแสงไม่ให้ส่องถึงดวงตาเมื่อเขาลืมขึ้นมอง เวสเทียร์พยายามจะใช้แผ่นหลังของตัวเองบดบังแสงไม่ให้ทำร้ายผู้เป็นนาย แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้ฝ่าบาทขบขัน เนื่องจากอีกฝ่ายมีขนาดตัวที่เล็กกว่าเขา จึงแทบไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

"ไม่ต้องห่วงไป แสงแดดฤดูหนาวไม่ทำให้เราระคายหรอก"

"ถึงอย่างนั้น..."

"เวสเทียร์" ไคราห์นเอ่ยเรียก ด้วยความรู้สึกที่อยากถามบางอย่างกับอีกฝ่ายสักคำ แต่ในทันทีที่คิดจะออกปาก ไคราห์นก็คาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้ในทันที และมันก็ไม่เคยคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เขาคิดเลยสักครั้งเดียว นั่นคือคำตอบของคำถามที่ว่า... เหตุผลที่เวสเทียร์ยอมอยู่เคียงข้าง ใกล้ชิดเขาแบบนี้เป็นเพียงเพราะหน้าที่จริงหรือ

...ใช่

นี่เป็นคำตอบที่หนักแน่นของเวสเทียร์ และจะเป็นคำตอบนี้ตลอดไป

"เราจะขึ้นไปเบื้องบน..." ราชาหนุ่มไล่ความคิดเดิมออกจากหัว "เรื่องของแวมไพร์สร้างความลำบากใจให้เราทุกวี่วัน เห็นทีจะต้องลงมือทำอะไรบ้าง" องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับคำสั่ง เขายังนึกไม่ออกว่าฝ่าบาทไคราห์นสามารถทำอะไรได้บ้าง ในเมื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่เสียเปรียบในการต่อสู้กับแวมไพร์

"ฝ่าบาทจะขอความร่วมมือจากพวกหมาป่าหรือขอรับ"

"หารือ..." ราชาหนุ่มตอบ "หมาป่าเองก็คิดจะขอความช่วยเหลือจากเรา และตราบใดที่พวกมันยังไม่เปิดเผยว่าต้องการความช่วยเหลือด้านใด เราจะไม่ตอบตกลงรับความช่วยเหลือจากพวกมันเช่นกัน" ในเมืองท่าบาธีมอร์นี้เองเป็นที่พำนักของหมาป่าตนหนึ่งซึ่งแฝงตัวอยู่ในคราบของช่างแกะสลักตามคำสั่งของจ่าฝูง

ฝ่าบาทไคราห์นได้พบเขาโดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว และต่อให้เขาจะเป็นหมาป่าตนเดียวที่ไม่อาจลงมือทำอะไรได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ความเคลื่อนไหวของอมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นมากพอที่จะเป็นแหล่งข่าวให้ไคราห์นได้ พวกหมาป่าเองก็มีเป้าหมายในการกำหราบแวมไพร์พวกนี้เช่นกัน แต่เพราะธรรมชาติในการไม่รวมกลุ่มของพวกมันทำให้กลุ่มอมนุษย์เหล่านี้กระจัดกระจายและยากที่จะตามหาตัว

"กระหม่อมไม่อาจคาดเดาทางออกของปัญหานี้ได้เลย"

"เราเองก็เช่นกัน" ไคราห์นขยับตัวดำลงใต้น้ำและกลับไปยังบัลลังก์ของตน "คงจะต้องฆ่าพวกมันไปเรื่อยๆก่อนที่พวกมันจะฆ่าเรา" นั่นไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงของปัญหา แต่ก็นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ "แต่ก่อนที่จะแก้ปัญหาภายนอก เราควรจะแก้ปัญหาภายในเสียก่อน ตราบใดที่ยังมีเงือกลักลอบขึ้นไปยังเบื้องบน แวมไพร์ก็คงไม่เลิกราวีเราง่ายๆ หรอก"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 4.2

คาดันน์เป็นวาฬไร้ประโยชน์...

"เจ้าเองก็ไม่ได้ฟังรึ" เวทอร์สอ้าปากค้างหลังจากถามย้ำกับสัตว์ยักษ์ข้างกายว่าราชินีเรจินาตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ "เพราะมัวแต่มองฝูงปลาแซลมอน!" องครักษ์หนุ่มถอนใจยาวและพ่นฟองอากาศออกมาหมดปอดจนเกือบจะเป็นการฆ่าตัวตายด้วยความกดน้ำตนเอง "เซลติคไม่มีแซลมอนรึยังไง!" ชายหนุ่มขยับหางว่ายขึ้นไปเบื้องบนเพื่อสูดอากาศลึกๆ อีกครั้ง ก่อนจะกลับมาพูดคุยกับ 'สัตว์ใหญ่ไร้ประโยชน์'

"เช่นนั้นข้าจะพาเจ้ามาด้วยทำไม!"

วาฬใหญ่ไม่พอใจที่ถูกต่อว่า มันจึงอ้าปากอวดฟันคมและตั้งท่าจะเปล่งเสียงประท้วง แต่เวทอร์สก็รีบดันขากรรไกรมหึมาปิดลง "อย่าโวยวายใส่ข้า!" แต่ต่อให้ปิดปากเช่นนั้น คาดันน์ก็สามารถร้องได้ "คาดันน์!!" เมื่อถูกเอ็ด มันจึงยอมเงียบ แต่ก็ใช่ว่าสัตว์ใหญ่จะพอใจตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำขอโทษ ทว่าเวทอร์สก็ไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลย

เห็นทีจะต้องเรียกผู้ติดตามมาถามเสียแล้ว... แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เสียหน้ามากก็ตาม

"นี่เป็นจุดที่ใกล้ผิวน้ำที่สุดของอาณาจักรเรา" แต่เสียงใหญ่ที่ไม่คุ้นหูทำให้เวทอร์สสะดุ้งสะดุดตัวและขยับกายไปอยู่ข้างคาดันน์ตามสัญชาติญาณ ซึ่งนั่นทำให้วาฬใหญ่เหล่มองอย่างค่อนขอด ผู้มาเยือนคือองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทเรจินา ฝ่ายนั้นมีผมยาวสีควันและดวงตาที่ว่างเปล่าราวกับดวงตาของฉลาม ท่อนหางของฝ่ายนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเงือกทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันหางของเผ่าวาฬ เวทอร์สพิจารณาคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆเป็นการทักทาย

เงือกนี้เป็นเผ่าฉลามบริสุทธิ์อย่างแน่นอน

...แล้วเหตุใดเผ่าฉลามที่อยู่ห่างไกลจึงมาเป็นองครักษ์ของมารินาการ์ดได้

"ได้ยินมาว่าเวลาวาฬหลับใหลจะใช้วิธีการลอยตัวนิ่งๆ เหนือผิวน้ำ" หากจำไม่ผิด อีกฝ่ายจะมีนามว่า ฟาเบียง เขาน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับฟาล คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์น และบรรยากาศรอบตัวไม่แตกต่างกันมาก เวทอร์สจึงไม่รู้สึกลำบากใจเท่ากับการพูดคุยกับพวกเชื้อพระวงศ์ "บ้างก็ว่าเผ่าวาฬไม่หลับนอน"

"เราไม่ได้พักผ่อนในยามกลางคืน ท่านฟาเบียง" เวทอร์สตอบ "เราพักผ่อนเมื่ออ่อนล้า"

"นั่นเป็นความรู้ใหม่เชียวล่ะ" แม้ฟาเบียงจะดูคล้ายฟาล แต่วิธีการพูดกลับไม่เป็นทางการเท่า จนเวทอร์สเกิดความสงสัยว่าบ้านเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นมหานครสีทองแห่งนี้ให้ความสำคัญชนชั้นมากแค่ไหน ทั้งที่เชื้อพระวงศ์แห่งมารินาการ์ดเป็นถึงผู้สืบทอดสายเลือดของจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่ แต่วิธีการปฏิบัติตัวและการวางตนกลับดูแตกต่างจากเซลทิคโดยสิ้นเชิง "ข้าเป็นองครักษ์ของฝ่าบาท และแน่นอนว่าจะร่วมการเดินทางไปยังเซลทิคด้วย หากสอบถามมากความไปก็อย่าได้ถือสา" เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนั้น เวทอร์สก็เริ่มเข้าใจทีละน้อยว่าในการเจรจาครั้งนี้ ฝ่าบาทเรจินาจะเดินทางไปยังทะเลเหนือด้วยตนเอง

"วิธีการปฏิบัติของพวกเราต่างกัน ดังนั้นเพื่อยอมรับในความแตกต่างนั้น ข้าคงต้องศึกษามารยาทที่ควรรู้เอาไว้"

"มารยาทของเซลทิคไม่ได้มีความซับซ้อนหรอก" เวทอร์สว่าไปอย่างนั้น แต่ในใจเขารู้ดีว่ามันซับซ้อนยิ่งกว่าอะไร "เพียงแต่ไม่มีประชาชนคนใดสามารถเงยหน้าขึ้นมองราชาผู้ปกครองอาณาจักรได้ก็เท่านั้น" ฟาเบียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยเขาพอจะรู้กฎข้อนี้อยู่แล้ว "เพราะพลังของเชื้อพระวงศ์แห่งเซลทิคเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีไว้เป็นสาธารณะ"

เพียงแค่มองคงไม่สามารถรักษาแผลได้หรอกกกระมัง...

ฟาเบียงคิดอยู่ในใจ และเขาเลือกที่จะไม่พูดออกไปเพราะรู้ว่ามันคงสร้างแต่ความบาดหมาง ดวงตาสีเข้มมองเคลื่อนไปยังวาฬขนาดใหญ่ที่ลอยตัวนิ่งๆ อยู่เคียงข้างองครักษ์หนุ่ม "นี่เป็นความยำเกรงอย่างหนึ่งของอาณาจักรทะเลเหนือ คือการมีวาฬผู้ติดตาม" คาดันน์เอียงมองคนพูดด้วยดวงตาทีละข้างอย่างพิจารณา และเมื่อเห็นว่าองครักษ์ฟาเบียงไม่ได้ดูมีพิษภัยอะไร สัตว์ใหญ่ก็พ่นฟองอากาศออกมาช้าๆ

"นี่คือคาดันน์..." เวทอร์สไม่รู้จะกล่าวอะไรจึงเลี่ยงไปแนะนำชื่อสัตว์ข้างกายแทน "มันอายุเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น หากล่วงเกินไปบ้างท่านก็อย่าถือสาเลย" คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นขนาดตัวเทียบกับอายุของมัน แต่เมื่อเห็นกิริยาอ้าปากและส่ายหัวไปมาราวกับเด็กๆ ที่กำลังพูดจาล้อเลียนผู้ใหญ่ ฟาเบียงก็หัวเราะร่วนออกมา

"เชื่อแล้วว่ายังเด็ก"

ร่างสูงเอื้อมมือออกไปเบื้องหน้า และรอให้สัตว์ใหญ่ขยับตัวเข้ามาใกล้และวางคางขนาดใหญ่ลงบนมือข้างนั้น "โดยทั่วไป ฉลามไม่ญาติดีกับวาฬ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว เห็นว่าข้าจะต้องละทิ้งความคิดนั้นไป" ฟาเบียงค่อยๆ ลูบมือขึ้นบนปลายปาก และตบมือเบาๆ ด้วยความเอ็นดู "ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนโปรดของฝ่าบาทไคราห์น" วาฬอาจฟังภาษาเงือกรู้เรื่องจริงๆ ไม่ใช่แค่กับเงือกวาฬ เพราะเมื่อฟาเบียงกล่าวเช่นนั้น คาดันน์ก็บิดตัวยืดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง

"มันเป็นวาฬกำพร้า แม้จะได้รับการต้อนรับจากฝูง แต่ก็ดูเหมือนพอใจที่อยู่กับเงือกเสียมากกว่า" เวทอร์สตอบ

สัตว์ที่ถูกพูดถึงเริ่มเปล่งเสียง 'คลิก' ออกมาระรัวราวกับส่งเสริมคำพูดขององครักษ์แห่งเซลทิค แต่เวทอร์สก็ปัดมือเบาๆราวกับปรามให้มันเงียบเสียงลง "เจ้าฟังออกรึ..." ฟาเบียงถาม "เข้าใจภาษาวาฬอย่างที่ข้าเข้าใจภาษาฉลามอย่างนั้นรึ" เวทอร์สอาจสงสัยว่าเงือกวาฬจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เข้าใจภาษาวาฬ แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นคือพวกฉลามมีการสื่อสารด้วยอย่างนั้นหรือ!

"ข้าไม่เคยรู้มาก่อน... ว่าฉลามพูดได้ด้วย"

ฟาเบียงกระพริบตาถี่เล็กน้อยก่อนหลุดหัวเราะ "แค่มองตาก็รู้แล้ว"

นั่นยิ่งยากกว่าพูดเสียอีก! ตาฉลามมันก็ดำๆ โตๆ เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ!!!

"แล้วเหตุใด... เผ่าฉลามที่น่าจะอยู่ทางตอนใต้จึงได้..." เวทอร์สคิดว่านี่เป็นคำถามที่เขาไม่ควรเอ่ย แต่ด้วยความสงสัยแบบเด็กๆที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้เขาหลุดปากออกไปเช่นนั้น "อีกทั้ง... ท่านยังมีลักษณะของเผ่าฉลามเลือดบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย" ฟาเบียงมีร่างกายสูงใหญ่กำยำ บ่งบอกได้ถึงสายเลือดอันแข็งแกร่ง และหากเวทอร์สคาดเดาไม่ผิด คนตรงหน้าเขาจะต้องเป็นเผ่าฉลามขาวอย่างแน่นอน

"มันไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดถึงสักเท่าไหร่น่ะ" องครักษ์หนุ่มทอดยิ้มจาง แทนการปฏิเสธที่จะตอบคำถาม

เวทอร์สค้อมหัวลงน้อยๆ ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน"

"เจ้าควรขึ้นไปหายใจ อาจจะทันดูดวงอาทิตย์ตกพอดี พวกผู้หญิงชอบขึ้นไปสางผมในเวลานี้นะ"

--------------------------------------------------


พอตัดมามารินาการ์ดนี่เขียนลื่น เขียนชิล เขียนสบายม๊ากกก... แต่ทำไม๊ พอตัดกลับไปเซลทิค บรรยากาศระหว่างคู่หลักนี่มั๊นนน... จริงๆเขาก็ไม่ได้ดราม่าอะไรกันหรอกน้า แค่เป็นคู่ที่มีคอนเซปของการ... ไม่ค่อยคุยกัน (โธ่) เหมือนฝ่าบาทก็ค่อนขอดเวสเทียร์อยู่ในใจ แต่ก็ไม่พูดออกมา ส่วนเวสเทียร์ก็เหมือนพยายามจะไม่พูดอะไร แม้ว่าจะคิดอยู่สามหมื่นแปดพันเรื่องก็ตาม

เวลาเขียนถึงคาดันน์นี่รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ เหมือนเป็นหมาเด็กๆ ที่โตแต่ตัว... ยิ่งตอนเถียงกับเวทอร์สยิ่งรู้สึกว่า... ไอ้พวกบ้าาา... คือเวทอร์สก็มัวแต่ตะลึงเหงือกชาวบ้าน เพราะตัวเองไม่เคยเห็น ส่วนคาดันน์ก็มองแซลมอนตามสัญชาติญาณอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทะเลที่ไหน แต่อาหารหลักของนางคือแซลมอน นางจะมองตามก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 5.1

เวสเทียร์รู้สึกเป็นห่วงน้องชาย แต่ด้วยความที่เขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำระดับสูง และองครักษ์คนสนิท ดังนั้นจึงไม่สามารถแสดงออกถึงความกังวลใจได้ แต่ก็ใช่ว่าฝ่าบาทไคราห์นจะไม่รับรู้เสียทีเดียว เขาสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ จากเสียงน้ำที่กระเพื่อมไหวยามเจ้าตัวขยับร่างราวกับต้องการจะออกไปไถ่ถามข่าวคราวหรือทำอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ขององครักษ์ไปได้

แม้ในยามพักผ่อนในถ้ำที่ปลอดภัยห่างไกลมนุษย์และศัตรู องครักษ์คนสนิทก็ต้องคอยเฝ้าไม่ห่างกาย

ราชาหนุ่มเพียงหลับตาลงงีบในยามที่รู้สึกเหนื่อยล้า แต่เขาก็ลอบเผยอเปลือกตาขึ้นมองเวสเทียร์ที่ชะโงกชะเง้อไปทางปากถ้ำราวกับกำลังรอฟังคลื่นเสียงซึ่งอาจเป็นข่าวคราวที่ส่งต่อมาจากมารินาการ์ด

"เจ้าเป็นห่วงเวทอร์สรึ..." สุดท้าย ราชาผู้นำก็ถามออกมา

"ขออภัยฝ่าบาท" เวสเทียร์หันกลับมาและค้อมหัวลง "กระหม่อมรบกวนการพักผ่อน"

ฝ่าบาทหลับตาลงดังเดิม และขยับกายขึ้นเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่าทางการนอน องครักษ์หนุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบหาหมอนอิงซึ่งทำจากฟองน้ำมาช่วยรองครีบหางขนาดใหญ่เพื่อแก้อาการเมื่อยล้า เวสเทียร์คิดว่าเขาสามารถช่วยบีบนวดคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถแตะต้องผู้เป็นนายได้

"เวสเทียร์"

"ขอรับ" องครักษ์หนุ่มรู้สึกได้ว่าเขาเผลอมองผู้นำอาณาจักรมากจนเกินควร แม้จะเป็นการมองแค่ท่อนหาง ครีบ และกล้ามเนื้อหน้าท้องก็ตาม

"เจ้ายังไม่ตอบคำถามเรา..."

ร่างโปร่งกลั้นใจเมื่อถูกทวง "กระหม่อม... เป็นห่วงเวทอร์สขอรับ"

"ไม่ไว้ใจให้เขาทำการใหญ่รึ เขาเป็นว่าที่ผู้นำเผ่าต่อจากเจ้าไม่ใช่หรือ"

เวสเทียร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงช้าและยอมรับในสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าว "ขอรับ... กระหม่อมไม่ควรกังวล เวทอร์สโตแล้ว" หากพูดคุยกับอีกฝ่ายเรื่องน้องชายต่อไป เวสเทียร์ก็มีแต่จะเพิ่มความกังวลเท่านั้น ราชาแห่งเซลทิคจึงสูดอากาศหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง ขณะคิดหาเรื่องราวมาสนทนา

"เจ้าเคยมองเราในยามหลับหรือเปล่า เวสเทียร์"

คำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะออกมาจากปากของคนพูดทำให้องครักษ์หนุ่มเผลอเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่แน่ใจ และชะงักงงันไปสักพักเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาหลับตาระหว่างพูดคุย

เวสเทียร์ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดต่อตัวเอง "กระหม่อมมิบังอาจ"

"ไม่ว่าใครก็อยากเงยหน้าขึ้นมองราชวงศ์แห่งเซลทิคสักครั้ง แล้วตัวเจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ"

"ฝ่าบาทเปรียบเสมือนเทพสำหรับกระหม่อมขอรับ"

ไคราห์นไม่ตอบคำ ด้วยรู้ดีว่าคำพูดของเวสเทียร์ล้วนมาจากอุดมคติของอีกฝ่าย เวสเทียร์ตอบในสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น ในสิ่งที่เขาภูมิใจที่จะเป็น แต่ทว่าไม่เคยตอบสิ่งที่อยู่ในจิตใจของตัวเองจริงๆเลยสักครั้งเดียว

...หรือว่านั่นคือสิ่งที่อยู่ในจิตใจเวสเทียร์ องครักษ์ที่เฉยชาเยือกเย็นเช่นนี้มีจริงหรือ

จะมีสักกี่คนกันที่จะได้รับความเมตตาจากราชาแห่งเซลทิคเช่นนี้

ฝ่าบาทลืมตาขึ้นมาช้าๆ และมองไปยังคนข้างกายซึ่งก้มหน้ามองต่ำตามระเบียบปฏิบัติอันเคร่งครัด เขาเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย และจับปลายผมสีเข้มขึ้นทัดบนใบหูข้างหนึ่งเพื่อมองใบหน้าเรียวคมให้ถนัดตา องครักษ์ที่รู้งานขยับยกร่างขึ้นนั่งบนขอบแท่นที่พัก เพื่อไม่ให้ราชาต้องยืดแขนมากจนเกินควร

"ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งใช้น้ำเสียงเชิงถาม ซึ่งพวกเขารู้ดีว่าคำถามนั้นคืออะไร

"ไม่ล่ะ" ไคราห์นลดมือลง "เพียงแค่อยากมองเจ้า"

ร่างสูงวางมือลงข้างกาย ขณะมองพิจารณาคนตรงหน้าทีละน้อยราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน เวสเทียร์มีผิวสีเข้ม และเส้นสายสีน้ำตาลวาดตวัดบนผิวกายเป็นลวดลายอัตลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาต ซึ่งช่วยขับเน้นให้เห็นถึงกล้ามเนื้อบนร่างให้เด่นชัดยิ่งขึ้น แผ่นอกที่แข็งแรงรับกับหน้าท้องที่แข็งแกร่ง ตลอดจนบั้นเอวที่ได้รูป และสะโพกแน่นตึงซึ่งเชื่อมกับท่อนหางสีเข้ม

เขาคุ้นเคยกับอีกฝ่ายดี ทั้งรูปลักษณ์ที่เห็นด้วยสายตา และสัมผัสที่รู้สึกได้จากฝ่ามือ แต่ทุกครั้งที่ได้ทอดมอง ไคราห์นก็ไม่เคยมีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความสง่างามที่เขาต้องการจะครอบครอง

ไม่ว่าเวสเทียร์จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจหรือไม่ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นของเขาอยู่ดี

...เท่านี้ก็คงเพียงพอ

องครักษ์ไม่แม้แต่จะมองฝ่ามือที่อยู่ข้างกาย ร่างโปร่งหลบตาลงและปล่อยให้ความเงียบงันโอบล้อม ราชาเงือกอาจต้องการความสงบ องครักษ์หนุ่มจึงไม่ปริปาก แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงฝ่าบาทของเขาเพียงแค่ไม่มีเรื่องใดจะสนทนา

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเช่นนี้มาตลอดห้าปีที่ผ่านมา... มีเพียงความเงียบงัน

--------------------------------------------------

เงือกวาฬพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นในยามกลางคืนที่เงียบสงบ เวทอร์สกลับลอยตัวนิ่งๆ อยู่ใกล้ผิวน้ำอย่างไม่มีอะไรให้ทำ เนื่องจากชาวเงือกมารินาการ์ดล้วนนอนหลับพักผ่อน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ลอยตัวแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นเวลานานอย่างที่ไม่เคยทำ

...ฟู่!

คาดันน์ที่ลอยตัวอยู่ใกล้ๆ กัน หลับตาลงด้วยความต้องการจะนอนหลับ และหันหัวเข้ามาอิงพิงร่างองครักษ์หนุ่มข้างกายราวกับไม่เคยรู้ถึงขนาดตัวของตัวเอง ในขณะที่เวทอร์สสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด และตัดสินใจว่าเขาควรจะพักผ่อนบ้าง แม้จะเป็นการงีบหลับสักครู่เดียวก็ตาม

แต่เมื่อหลับตาลง ประสาทหูอันว่องไวก็ได้ยินเสียงว่ายน้ำของเงือกอีกตนที่ขยับเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มหมุนตัวเล็กน้อยเพื่อดำลงไปใต้ทะเล และคาดเดาว่านั่นอาจเป็นฟาเบียง

"เจ้าจะลอยไปติดฝั่งเอา..."

แต่ร่างเงาที่ผุดขึ้นมาจากความมืดกลับไม่ใช่ฟาเบียง เวทอร์สจำน้ำเสียงของเขาได้ องครักษ์แห่งเซลทิคจึงค้อมหัวลงน้อยๆ ตามมารยาทที่ฝึกมา "ฝ่าบาท..." เขาไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่จดจำได้ว่าบุคคลตรงหน้าคือน้องชายของราชินีเรจินา และการมาถึงของเขาก็สร้างความประหลาดใจให้กับเงือกหนุ่มพอสมควร เพราะต่อให้มีความสนิทชิดเชื้อหรือเป็นกันเองมากแค่ไหน ราชวงศ์เงือกชั้นสูงก็ไม่ควรคลุกคลีกับประชาชนธรรมดาให้มากเกินควร

"เร็กซ์..." อีกฝ่ายตอบ "เราชื่อเร็กซ์"

องค์ชายเร็กซ์หรือ...!

เวทอร์สเผลอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และสบมองกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเข้าโดยบังเอิญ "ก... กระหม่อมขออภัย" ร่างสูงรีบก้มหน้าลง และขยับหางว่ายถอยตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า "ฝ่าบาทมีเรื่องจะพูดกับกระหม่อมหรือขอรับ" เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนยกแขนขึ้นกอดอก

"เจ้าว่ายถอยหลังได้ด้วยรึ"

"...ข...ขอรับ" องครักษ์เลิกคิ้วบ้าง "ฝ่าบาท..."

"ชาวมารินาการ์ดว่ายน้ำถอยหลังไม่ได้หรอกนะ วาฬ" องค์ชายเร็กซ์ไหวไหล่ "แล้วก็... เรายังไม่ใช่ฝ่าบาท ฝ่าบาทคือท่านพี่ เจ้าเรียกเราว่าองค์ชายก็พอ" เร็กซ์ไม่ค่อยชินกับความมีมารยาทมากเกินไปจนทำให้บรรยากาศการสนทนาติดขัดแบบนี้ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าชาวเซลทิคให้ความสำคัญกับชนชั้นและราชวงศ์มากแค่ไหน โดยเฉพาะราชวงศ์ที่มีพลังพิเศษในการเยียวยาบาดแผลได้ด้วยการสัมผัส

"เราพาอาร์นิเอสขึ้นมาหายใจ บังเอิญเห็นเจ้าพอดี"

ว่าแล้ว... พระบิดาก็อุ้มบุตรสาวตัวเล็กขึ้นมาในอ้อมแขน องค์หญิงอาร์นิเอสมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกับพระชายาผู้เป็นมารดา และท่อนหางสีเทาอันเป็นลักษณะเด่นของโลมา เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ขณะอิงแอบอยู่ในวงแขนแกร่ง นางดูอ่อนล้าจากการเล่นซนทั้งวันและหลับตาลงพร้อมจะพักผ่อนยาวๆ หากไม่ติดปัญหาว่าต้องการอากาศทุกชั่วยาม "ได้ยินว่าชาวเซลทิคอาศัยอยู่ในถ้ำลอด มีที่ท่าให้นอนหลับพักผ่อนข้ามคืนได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องการขึ้นมาหายใจ" เร็กซ์เอ่ยเป็นเชิงถาม "เราคิดว่าอาร์นิเอสคงต้องการที่ทางให้นอนหลับแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

"เผ่าวาฬพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อยขอรับ" เวทอร์สตอบ "และกระหม่อมงีบหลับเป็นพักๆ เสียมากกว่า"

"เช่นเมื่อครู่รึ" องค์ชายได้ยินเสียงวาฬยักษ์พ่นลมหายใจอีกครั้งและกลับไปลอยตัวนิ่งๆ ไปตามกระแสน้ำตามเดิม เขาพอจะมีประสบการณ์กับพฤติกรรมการหายใจของเงือกวาฬมาบ้าง และรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเข้าใจจังหวะการหายใจพวกนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกจะว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำ และสนทนาอยู่เบื้องบนจะดีกว่า

"ให้กระหม่อมช่วย..."

เวทอร์สเริ่มแต่ก็หยุดชะงัก เขาคิดว่าเขาควรจะช่วยอีกฝ่ายอุ้มธิดา แต่เมื่อคิดได้ว่าตนมาที่นี่ในฐานะผู้นำสาร ไม่ใช่องครักษ์ และอีกฝ่ายก็คงไม่ไว้ใจให้เขาช่วยเหลือ เงือกหนุ่มจึงสลัดความคิดนั้นทิ้งไป "ฝ่า... องค์ชายมีเรื่องใดจะพูดกับกระหม่อมหรือขอรับ"

"เราแค่เห็นว่าเจ้าลอยตัวเล่นอยู่เบื้องบน" เร็กซ์ตอบตามจริง "และเกรงว่าเจ้าวาฬนี่จะได้รับอันตราย ถ้าเข้าไปใกล้ฝั่งมากเกิน" องค์ชายหันหน้ากลับไปยังแผ่นดิน มองไปยังคฤหาสน์ใหญ่ที่เป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ที่อยู่ริมผาเตี้ยๆ และมีบันไดทอดลงมายังทะเลเบื้องล่าง

"มีคฤหาสน์แวมไพร์อยู่ตรงนั้น"

คนพูดเจตนาเพียงแค่เตือนให้อีกฝ่ายระวังตัว แต่ทว่าคนฟังกลับอ้าปากค้างและมองคฤหาสน์ใหญ่กับคนตรงหน้ากลับไปกลับมาอยู่หลายครา

"ฝ่า... องค์ชาย... เหตุใดจึงมีคฤหาสน์แวมไพร์อยู่ใกล้เพียงนี้!"

"เขาอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว ไม่ต้องตกใจไป" เร็กซ์ทอดเสียงบอก "พวกเราไม่ได้มีปัญหากันมากมาย"

องครักษ์หนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกเล่าปัญหาของบ้านเมืองตัวเองให้อีกฝ่ายฟังหรือไม่ แต่การที่มารินาการ์ดตั้งอยู่ใกล้กับคฤหาสน์แวมไพร์เช่นนี้เป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึงให้กับเงือกวาฬแห่งเซลทิคเป็นอย่างมาก "แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ เราเพียงแค่ไม่เปิดช่องว่างให้พวกเขา แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เล่นงานเราเมื่อมีโอกาส"

"ใกล้กันเพียงนี้ เหตุใด..." เวทอร์สพึมพำ "เหตุใดจึงไม่..."

"ทำสงครามรึ" เร็กซ์ตอบประโยคของอีกฝ่าย "เราสู้ไม่ได้ เจ้าก็รู้..." องค์ชายถอนใจ "เราไม่มีอะไรที่จะสู้ได้ ทำได้แค่ระวังระแวงตนเอง" คำว่า 'สู้ไม่ได้' ขององค์ชายเร็กซ์กลับบาดใจคนฟังอย่างประหลาด อาจจะด้วยเพราะชาวเซลทิคเคยผ่านสงครามที่ว่านั้นมาแล้ว และต้องยอมรับความพ่ายแพ้สูญเสียอย่างที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ พวกเขาอาจเป็นเงือกที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด และเงือกวาฬก็ได้ชื่อว่าเป็นเงือกที่มีพละกำลังมากที่สุด แต่เงือกวาฬกลับพ่ายแพ้แวมไพร์อย่างหมดท่า

จะนับประสาอะไรกับเงือกเผ่าพันธุ์อื่น...

"ตราบใดที่พวกมันไม่เหิมเกริม... เราก็คิดว่าจะยังอยู่ร่วมกันได้"

เงือกมารินาการ์ดไม่ต้องขึ้นไปหายใจเบื้องบน อีกทั้งยังไม่มีความต้องการหรือโหยหาสังคมมนุษย์บนแผ่นดินอีกด้วย ชาวมารินาการ์ดจะเข้าใจความทรมานของการมีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับแวมไพร์ได้อย่างไร "..." เวทอร์สขบฟันด้วยความรู้สึกอัดอั้นอธิบายไม่ได้ เขามาที่นี่ในฐานะผู้นำสาร และปัญหาระหว่างเซลทิคกับมารินาการ์ดคือปัญหาของการล่าวาฬ ไม่ใช่เรื่องของแวมไพร์

"ฝ่าบาท... ถ้าแวมไพร์ตามเข่นฆ่าประชาชนของท่าน ท่านจะทำอย่างไร"

"มันว่ายน้ำไม่เก่งเท่าเราหรอก เวทอร์ส"

ใช่... วิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือการตัดขาดจากแผ่นดิน และอยู่ในสถานที่ที่ตนควรจะอยู่ ปัญหาแวมไพร์ของอาณาจักรในตอนนี้มีเพียงทางออกเดียวที่ง่ายดายที่สุด แต่กลับไม่มีใครทำได้กระทั่งองค์หญิงอาโกรนาห์ ว่าที่รัชทายาทแห่งเซลทิค หากพวกเขายังตัดขาดจากแผ่นดินและละทิ้งความเป็นมนุษย์ไม่ได้ ก็ไม่มีทางออกอื่นสำหรับปัญหานี้

นี่คือภาระของที่ฝ่าบาทไคราห์นแบกรับเอาไว้... ในฐานะราชา

"เราได้ยินมาว่า ชาวเซลทิคสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ... สิ่งนั้นทำให้พวกเจ้ามีปัญหากับแวมไพร์หรือเปล่า" องค์ชายเร็กซ์ถามต่อ "เพราะสังคมมนุษย์มีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับชาวเราหลายอย่างเหลือเกิน" เขารู้ว่าองครักษ์ต่างถิ่นมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ แม้เวทอร์สจะเป็นองครักษ์ชั้นสูงที่ถูกอบรมและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ด้วยความเยาวว์วัยที่สังเกตได้ ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกได้ทั้งหมด และแสดงออกมาทางสีหน้าจนเร็กซ์สังเกตเห็น

"พวกเราเป็นครึ่งมนุษย์..." ร่างสูงว่า "การจะตัดขาดจากแผ่นดินเป็นเรื่องยาก"

"เราเชื่อว่าหากชาวมารินาการ์ดสามารถทำได้เช่นเจ้า ก็คงจะทำไม่ต่างกัน" แขนข้างหนึ่งขององค์ชายอุ้มบุตรสาวอยู่ แต่เขาก็เอื้อมมืออีกข้างมายังคู่สนทนา ก่อนจะวางลงบนผมหยักศกเปียกชื้นอย่างอ่อนโยนและเอ็นดู เวทอร์สเบิกตาขึ้นด้วยความตกตะลึง ด้วยเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ แม้สัมผัสของราชพระวงศ์แห่งมารินาการ์ดจะไม่สามารถเยียวยาบาดแผลได้ แต่ความอบอุ่น อ่อนโยนที่เวทอร์สไม่เคยได้รับทำให้ร่างสูงนิ่งชะงักไปชั่วขณะ

"เจ้ากดดันมากจนเกินไปแล้ว การดัดนิสัยคนอื่น ไม่ได้ทำง่ายๆ ในไม่กี่วันหรอกนะ"

"ฝ... ฝ่าบาท"

ร่างสูงคิดจะว่ายถอยออกมา แต่ฝ่ามือที่วางอยู่บนผมสีเข้มกลับลูบเบาๆ แทนการปลอบประโลมซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด เขาจำได้ว่าในวัยเด็กของตนก็เคยกอดกับครอบครัว พวกเขาแตะต้องตัวกันได้โดยไม่มีช่องว่าง แต่เมื่อเข้ามาทำหน้าที่องครักษ์เต็มตัวแล้ว ชายหนุ่มก็แทบจะตัดขาดจากมัน จนแทบจะลืมไปแล้วว่า สัมผัสที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและห่วงใยของผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไร

"สนใจแค่หน้าที่ของเจ้าตอนนี้ก็พอ..."

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 5.2

ชาวเงือกแห่งเซลทิคไม่ใช่เงือกที่อาศัยในทะเลเพียงอย่างเดียว เนื่องจากพวกเขามีความผูกพันกับมนุษย์มากกว่าเผ่าอื่น ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว ชาวเมืองเซลทิคอาศัยอยู่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ รวมทั้งการสร้างหมู่บ้านเล็กๆ ริมผาติดทะเลซึ่งในบัดนี้ถูกทิ้งร้างเนื่องจากภัยคุกคามของแวมไพร์

แต่เหตุผลที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่ถูกรื้อทิ้ง นั่นก็เพราะพวกเขายังเอาไว้เก็บเสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่ม เผื่อใช้เมื่อต้องขึ้นมาจากทะเล ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ชาวเซลทิคดูจะมีรสนิยมในการแต่งกายแบบมนุษย์มากกว่าเงือกเผ่าอื่น

เพราะพวกเขาตาม 'สมัยนิยม' ทันตลอดเวลา

ราชาทะเลเหนือขยับเสื้อคลุมสีเข้มที่ตัดกับสีผิวขาวเผือดของเขา เพื่อจัดแจงให้มันเข้าที่เข้าทางระหว่างเดินจากหมู่บ้านร้างที่เคยเป็นของชาวเงือกแห่งเซลทิคมายังหมู่บ้านของมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยมีองครักษ์คนสนิทเดินเยื้องอยู่เบื้องหลังไม่ห่างกาย พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังร้านไม้เล็กๆ อันเป็นที่พำนักของหมาป่า เจ้าของผลงานแกะสลักหัวไม้เท้ารูปวาฬหลังค่อมที่วิจิตรงดงามในมือของราชาทะเลเหนือตอนนี้

แม้ชาวเซลทิคจะมีเสื้อผ้า และเครื่องประดับของมนุษย์เป็นของตนเอง แต่ฝ่าบาทไคราห์นไม่เคยเข้าใจเลยว่าเหตุใดมนุษย์เหล่านี้จึงต้องเดินถือไม้เท้า ทว่าเวสเทียร์กลับยินดีที่เป็นเช่นนั้น ด้วยเห็นว่ามันเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง และต่อให้ชาวเซลทิคจะภาคภูมิใจว่าพวกเขาใกล้ชิดมนุษย์ แต่ในยุคสมัยนี้ก็ไม่ใคร่จะมีมนุษย์ผู้ใดที่มีผมยาวสีเงินขาวเช่นฝ่าบาทไคราห์น ดังนั้นเขาจึงตกเป็นเป้าสายตาของชาวเมืองในทันทีที่ก้าวเข้าไปในถนนสายกลางซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย

ป้ายหน้าร้านรูปหมาป่าที่ทำจากไม้แกะบ่งบอกถึงฝีมือ ทว่าการตั้งชื่อร้านกลับเรียบง่ายไม่สะดุดตาทำให้ร้าน 'ท่อนไม้' ถูกมองข้ามอย่างง่ายดายหากไม่ใช่ผู้หลงใหลในงานฝีมือ อีกทั้งร้านก็มีขนาดเล็กมากและไม่มีกระจกหน้าร้านเพื่อแสดงสินค้าเหมือนเช่นร้านอื่นๆ อีกด้วย

กระดิ่งที่ประตูส่งเสียงเมื่อเวสเทียร์เป็นผู้เปิดประตูให้ฝ่าบาทไคราห์นก้าวเข้ามา

"สินค้ามีปัญหาหรือ ฝ่าบาท..."

แม้หมาป่าในยามคืนร่างจะมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่หมาป่าผู้เป็นเจ้าของร้านนี้กลับเป็นชายร่างเล็กที่สูงไม่เกินไหล่ของไคราห์น อีกทั้งยังมีใบหน้าเยาวว์วัยกว่า แต่หากจะจำกัดความให้ถูกต้องก็คงจะต้องพูดว่าฝ่าบาททะเลแห่งเหนือและองครักษ์ของเขามีร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปจึงจะถูก

ราชาหนุ่มเหลือบมองไม้เท้าในมือตนเล็กน้อย "เราอยากพบจ่าฝูงของเจ้า"

ดูเหมือนว่าหมาป่าหนุ่มจะคาดเดาคำพูดนี้ได้อยู่แล้ว จึงได้ทอดยิ้มออกมาช้าๆ "ไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระเลยนะ ฝ่าบาท" ชายหนุ่มผายมือไปยังที่นั่งสำหรับลูกค้า และวางอุปกรณ์ช่างในมือลงเสียก่อน เช็ดมือให้เรียบร้อยด้วยผ้าขนหนูแล้วจึงเดินไปหลังร้านเพื่อเตรียมเครื่องดื่มต้อนรับผู้มาเยือน

แม้จะรู้ว่าชาวบาดาลไม่ดื่มน้ำชาและน้ำเปล่าก็ตาม

มารยาทของมนุษย์เป็นสิ่งน่ารำคาญสำหรับไคราห์น แต่ก็ด้วยความคุ้นชินกับพิธีรีตรองของเซลทิคทำให้ราชาหนุ่มอดทนรออย่างใจเย็น เวสเทียร์ขยับไปยืนอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนาย ขณะเหลือบตามองสำรวจไปทั่วร้านอย่างระวังระไว "เจ้าอยากได้ไม้เท้าบ้างหรือเปล่า เวสเทียร์" ราชาหนุ่มเหลือบมองชิ้นงานบนโต๊ะที่ยังไม่สิ้นสมบูรณ์ มันเป็นชิ้นไม้ที่กำลังจะถูกแกะเป็นรูปหมีตัวโต

"ไม้เท้าสำหรับมนุษย์เป็นเสมือนเครื่องมือแสดงยศฐา กระหม่อมจึงมิอาจปั้นแต่งบรรดาศักดิ์ให้เสมอฝ่าบาทได้"

"มันเป็นเพียงสิ่งสมมติในโลกมนุษย์ เจ้าจะมีบ้างก็ไม่เสียหาย ตราบใดที่ในบาดาล เจ้ายังเป็นองครักษ์ของเราอยู่" เวสเทียร์ค้อมหัวลงอีกครั้งโดยไม่กล่าวอะไรตอบ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคำปฏิเสธ "ไม่ว่าจะเป็นโลกใด กระหม่อมก็ขอเป็นเพียงองครักษ์ของฝ่าบาท"

ช่างไม้กลับมาพร้อมกับชุดเครื่องดื่มซึ่งทำจากไม้ทั้งหมด "ข้าทราบมาว่าฝ่าบาทโปรดน้ำทะเล"

เงือกทั้งสองเลิกคิ้วขึ้นแทบจะพร้อมกันเมื่อเห็นว่าของเหลวในแก้วไม้ไม่ใช่ 'น้ำชา' หรือ 'ใบไม้ต้มน้ำจืด' ดังเช่นทุกทีที่เงือกทั้งคู่จะปฏิเสธ ทว่าครั้งนี้กลับเป็น 'น้ำทะเล' ที่ไร้การปรุงแต่ง และอาหารว่างเป็นหอยนางรมสดในฝา

"หมาป่าธรรมดาช่างไปหาสิ่งเหล่านี้มาได้รวดเร็วเสียจริงนะ วาร์เรน..."

ชายหนุ่มยิ้มรับคำชมกึ่งแดกดัน เผยให้เห็นเขี้ยวในปากของเขาที่ดูจะยาวกว่าหมาป่าอื่นๆ "ที่นี่คือตรอกกลางที่ใหญ่ที่สุดของบาธีมอร์ เหตุใดพ่อค้าแม่ขายในแถบนี้จะไม่รู้จักกันเหล่า ด้านหลังร้านข้าก็เป็นร้านขายอาหารทะเลนี่เอง" คู่สนทนานั่งลงที่หลังโต๊ะทำงานของเขา และรวบผมสีแดงยาวเอาไว้เป็นหางม้าที่ท้ายทอย ขณะมององครักษ์ข้างกายราชาหนุ่มหยิบแก้วไม้ไปดูและพิจารณาน้ำทะเลในนั้นอย่างไม่แน่ใจ

"ข้าได้ยินข่าวคราวจากพวกแวมไพร์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรรคพวกของมันหายตัวไปสองคนอย่างไร้ร่องรอย"

"นั่นเป็นฝีมือของเวสเทียร์" ไคราห์นตอบ เขารับแก้วมาจากเวสเทียร์ที่พิสูจน์แล้วว่าน้ำทะเลในนั้นไม่มีพิษภัย "แวมไพร์รุกเข้ามาใกล้มากขึ้นจนน่ากลัวว่าอีกไม่นาน พวกเขาจะพบอาณาจักรเซลทิค และด้วยวิถีชีวิตของพวกเรา เราไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลได้ตลอดไป" ช่างหมาป่าอาจจะคิดว่าร้านของตนอับแสงไปสักหน่อย จึงได้ลุกเดินไปเปิดม่านเพื่อให้แดดส่องเข้ามาภายใน

"เราต้องการติดต่อกับหมาป่า"

วาร์เรนทำท่าครุ่นคิดและลอบมองราชาเงือกทางหางตาเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยกแก้วน้ำขึ้นจิบ "นายหญิงของข้าอาจจะวิ่งเล่นอยู่ในแถบนอร์เวย์ที่ห่างไกล แต่หากนี่เป็นโอกาสที่จะมำให้เราสามารถจัดการกับแวมไพร์กลุ่มใหญ่ที่ละเมิดกฎของอมนุษย์ได้ ข้าคิดว่านางพร้อมจะวิ่งข้ามมายังไอร์แลนด์" เวสเทียร์หยิบหอยนางรมสดขึ้นมาพิจารณาเพื่อตรวจสอบว่ามันมีอันตรายหรือไม่ ก่อนจะส่งให้ฝ่าบาท ผู้ยกมือขึ้นปฏิเสธรวดเร็วราวกับตัดสินใจได้ตั้งแต่แรกเห็นว่าเขาจะไม่กินหอยนางรม

ดังนั้นองครักษ์หนุ่มจึงต้องกลืนหอยตัวนั้นลงคอไป...

"ชาวเราทำได้เพียงป้องกันตัว แต่หากหมาป่ายืนยันจะร่วมมือ เราคิดว่า..."

ไคราห์นชะงักไปครู่หนึ่งราวกับพยายามหยุดความรู้สึกกลัวที่ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ

"เราคิดว่าชาวเซลทิคพร้อมที่จะต่อสู้" องครักษ์สัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวของผู้เป็นนาย ฝ่าบาทไคราห์นยังคงฝังใจกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์ที่พรากน้องชายของเขาไปโดยที่ชาวเซลทิคไม่ได้สามารถพลิกสถานการณ์ให้เหนือกว่าได้เลย

"บาธีมอร์ไม่ใช่สมรภูมิที่เหมาะสม ที่แห่งนี้พลุกพล่านด้วยผู้คน และหากความลับการมีตัวตนของเหล่าอมนุษย์แพร่งพรายออกไป ข้าเกรงว่าผู้ที่เดือดร้อนอาจไม่ใช่ชาวเงือกแห่งเซลทิคฝ่ายเดียว แต่หมายรวมถึงหมาป่า นางพราย และแวมไพร์" วาร์เรนกล่าวตอบ "และข้าไม่คิดว่าการต่อสู้ครั้งเดียวจะทำให้ความวุ่นวายจบสิ้น แวมไพร์พวกนั้นไม่ได้ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อื่นใด แต่ต้องการแหล่งอาหารใหม่ และแหล่งพลังงานที่จะทำให้พวกมันสามารถเอาชนะ..."

คนพูดชะงักไปและสูดหายใจเข้าลึก "เอาชนะราชาแวมไพร์"

"ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าเพื่อการใด การฆ่าก็คือสิ่งที่เรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้" เวสเทียร์เอ่ยขึ้นบ้าง ขณะที่ราชาของเขากำลังจิบน้ำในแก้ว "หากบาธีมอร์ไม่ใช่สมรภูมิที่เหมาะสม ที่ใดจะเหมาะสมอีก นี่เป็นการต่อสู้เพื่อถิ่นที่อยู่ วาร์เรน... ไม่ใช่เพื่ออำนาจ ดังนั้นบาธีมอร์ซึ่งเป็น 'บ้าน' จึงเป็นสมรภูมิที่เหมาะสมที่สุด"

"แวมไพร์พวกนั้นต้องการฆ่าราชาแวมไพร์" วาร์เรนกล่าวตอบ "ทำไมพวกเจ้าไม่หลอกล่อพวกมันไปยังอังกฤษ"

"ทะเลอัลบิออนเป็นของอาณาจักรมารินาการ์ด" ไคราห์นกล่าวเสียงเรียบ ทว่าทรงพลัง "เราไม่สามารถโยนภาระของเราไปยังอาณาจักรอื่นได้ หากเราหลอกล่อแวมไพร์ไปยังอังกฤษ ด้วยการบอกว่าพวกเราอาศัยอยู่ที่อังกฤษ ทว่ามาเดินเล่นที่บาธีมอร์... หากพวกมันโง่เชื่อในคำพูดเรา ชาวเงือกแห่งทะเลอัลบิออนจะได้รับความเดือดร้อน แม้ว่าพวกวิถีชีวิตของเขาจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าเงือกเผ่าวาฬก็ตาม"

"แต่เราไม่คิดว่าพวกมันจะโง่หรอกนะ"

"พวกแวมไพร์ทะเลาะกันเอง ฝ่าบาท" วาร์เรนคิดว่าเขาควรจะอธิบายสถานการณ์ให้ชาวบาดาลเข้าใจ "และการทะเลาะของพวกมันจะก่อให้เกิดสงครามนองเลือดที่รุนแรงเกินกว่าจะปิดบังพวกมนุษย์ได้ ในตอนนี้พวกมันขาดผู้นำ และกำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำพานางกลับมาจากความตาย ซึ่งนั่นทำให้ชาวเงือกถูกเพ่งเล็ง เพราะเลือดของชาวบาดาลมีอำนาจพอที่จะปลุกชีพแวมไพร์"

วาร์เรนเหลือบตาขึ้นมองราชาทะเลเหนือ "โดยเฉพาะเลือดที่มีพลังในการเยียวยาอย่างเลือดของฝ่าบาท"

เวสเทียร์ไม่พอใจที่อีกฝ่ายบังอาจมองสบตาผู้นำอาณาจักร แต่ก่อนที่เขาจะออกปากปรามการกระทำที่อาจเอื้อมนั้น ไคราห์นก็ยกมือขึ้นปรามตัวเขาราวกับรู้ทันในความคิด "เช่นนั้นก็ควรจะให้พวกมันเพ่งเล็งเพียงตัวเรา หาใช่เข่นฆ่าประชาชนของเรา"

"แวมไพร์ต้องดื่มเลือดของสัตว์อื่นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป" วาร์เรนถอนใจ "ไม่มีหนทางใดที่จะห้ามพวกเขาเข่นฆ่า พวกเขาเป็นนักล่า และทางเดียวที่จะต่อสู้กับพวกเขาคือการเอาชนะ ซึ่งข้าจะติดต่อกับนายหญิงของข้าเพื่อการต่อสู้นี้ ขอเพียงแค่ฝ่าบาทคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรเพื่อนำพาพวกมันไปยังอังกฤษ แทนที่จะเป็นบาธีมอร์"

"เจ้าร้องขอในเรื่องยากเสียเหลือเกิน"

"ฝ่าบาท... เราอาจได้รับความช่วยเหลือจากราชาแวมไพร์ หากเป็นที่อังกฤษ ที่นั่นมีคฤหาสน์แวมไพร์อยู่หลายแห่ง และดินแดนที่เปลี่ยวร้างเหมาะสมกับการต่อสู้ของอมนุษย์" แม้คำแนะนำของวาร์เรนจะเป็นการช่วยเหลือ แต่เมื่อพูดถึงความช่วยเหลือ 'จาก' แวมไพร์ สีหน้าที่เรียบเฉยของไคราห์นก็แปรเปลี่ยนเป็นความดุดันในอึดใจเดียว

"ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์พวกใด เราก็ไม่ต้องการจะสมาคม" ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เป็นการตัดบทสนทนา "เราจะหารือกับจ่าฝูงของเจ้าเมื่อนางเดินทางมาถึง"

"เช่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงของฝูงหมาป่าในอีกประมาณหนึ่งเดือนนับจากนี้ จะเป็นการมาถึงของนายหญิง"

ไคราห์นไม่ตอบคำ เขายกหมวกทรงสูงขึ้นใส่ตามสมัยนิยมของมนุษย์ และถอยออกมาจากร้านโดยมีช่างหมาป่าค้อมหัวส่ง ก่อนจะกลับไปตามทางเดินในตรอกกลางซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คน และในเวลานี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันซึ่งมีแสงแดดสาดส่องทั่วเมือง เป็นการยืนยันความปลอดภัยจากการโจมตีของแวมไพร์

"ฝ่าบาทกระหม่อมขอออกความเห็น" เวสเทียร์เอ่ยเสียงเบา

"อืม..."

"กระหม่อมเห็นด้วยว่าบาธีมอร์ไม่เหมาะสมจะเป็นสมรภูมิ หากกังวลถึงความปลอดภัยในความลับของการมีตัวตนของเผ่าพันธุ์ แต่ว่า... การผลักภาระให้แผ่นดินอังกฤษจะทำให้ชาวมารินาการ์ดในทะเลอัลบิออนเดือดร้อน"

"เราก็ไม่คิดว่าบาธีมอร์จะเหมาะสม" ไคราห์นตอบ "แต่ต้องไม่ใช่อังกฤษ ไม่ใช่อัลบิออน..."

"เช่นนั้นแล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไป"

ไคราห์นเหลือบมองคนข้างกายครู่หนึ่งขณะขบคิด "เราอาจต้องหารือกับมารินาการ์ด" ราชาเงือกมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านร้างเพื่อเปลี่ยนการแต่งตัว เพื่อจะกลับไปยังอาณาจักรเซลทิคอีกครั้งหลังจากเสร็จธุระ

"หอยนางรมรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง"

เวสเทียร์พยักหน้าน้อยๆ และตอบอุบอิบ "อร่อยขอรับ" คำตอบนั้นทำให้ราชาเงือกหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยความเอ็นดู

"พวกเจ้ามันเผ่ากินเนื้อ"

.

.

.

เจ้าของร้านแกะสลักมองตามราชาทะเลเหนือและองครักษ์ของเขาหายตัวไปในกลุ่มคน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนที่ดูเหมือนจะเปิดโล่งและสดใสกว่าที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มถอนใจยาวออกมาและเอนตัวพิงประตูร้านด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน  "พวกเงือกวาฬนี่ช่างดื้อดึง ตัวก็ใหญ่ จะขึ้นมาแต่ละทีก็ทำให้แปลกใจได้ทุกครั้งเลยเชียว"

--------------------------------------------------

สมัยนิยม... เป็นคำแปลของ trend เพื่อให้เข้ากับแนวเรื่องที่ดูจะต้องใช้ภาษาเก่าตลอดเวลา และเนื่องจากความทันสมัยของชาวเซลทิคนี้เองง ง... เราจึงสามารถเห็นฝ่าบาทไคราห์นในชุดสูทยุค 1850s ได้ เอร๊ยยย

จะเห็นว่าคู่นี้เป็นอีกคู่ที่คุยกันเรื่องงานได้ดีกว่ากว่าคุยเรื่องส่วนตัว พอเป็นช่วงเวลาส่วนตัวก็จะนั่งมองกัน(?)เงียบๆ เนิบๆ ไม่มีอะไรจุกจิก แต่ถามง่าเวสเทียร์พูดไหม ก็พูดอยู่นะ... ชอบตอนที่นางบอกว่าหอยนางรมอร่อย... นี่อาจเป็นความจริงใจครั้งแรกที่นางพูดก็ได้---

อย่าลืมว่าวาฬเพชฌฆาตเป็นวาฬอ้วนที่กินทุกอย่างที่กินได้...

ใช่... คำพูดของฝ่าบาทไคราห์นที่บอกว่า "พวกเจ้ามันเผ่ากินเนื้อ" คือเป็นคำด่าอย่างเอ็นดู 555

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 6.1

ฝ่าบาททะเลเหนือได้พบกับหมาป่าครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน

แม้ว่าจะเป็นคำสั่งของเขาที่ห้ามชาวบาดาลขึ้นมายังโลกเบื้องบน แต่ไคราห์นกลับลอบเข้ามาเดินในตัวเมืองเสียเอง เพียงเพื่อค้นหาบางสิ่งที่ชาวเงือกแห่งเซลทิคตัดใจจากมันไม่ได้ มันคือเครื่องประดับที่ทำจากไข่มุก ซึ่งแม้จะเสียชื่อเงือกอยู่บ้างที่ต้องมาตามหามุกเนื้อสวยจากมนุษย์ซึ่งอาศัยอยู่บนบก แต่ฝ่าบาทไคราห์นมั่นใจว่าเขาสามารถหนีขึ้นมาเบื้องบนเพียงลำพังได้ง่ายกว่าการหนีลงไปไล่หามุกในหอยนับร้อยนับพันตัวที่ก้นทะเลเคลติก ซึ่งไม่ใช่วิสัยของราชา

อีกทั้งไม่มีทางจะแอบๆซ่อนๆได้อีกด้วย เนื่องจากเขาต้องขึ้นไปหายใจอยู่เป็นระยะ

 แต่การขึ้นมาเพียงลำพังก็เป็นเรื่องเสี่ยง ดังนั้นฝ่าบาทจึงเลือกช่วงเวลากลางวันในฤดูร้อนซึ่งมีแดดจ้า ซึ่งอาจไม่ส่งผลดีต่อผิวขาวที่ทนต่อแสงไม่ได้นาน แต่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกโจมตีโดยพวกแวมไพร์ ทว่าแวมไพร์ก็ไม่ใช่อมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ถึงการมีตัวตนของเขาในเมืองท่าบาร์ธีมอร์แห่งนี้

...ยังมีพวกหมาป่าอีกด้วย

ไคราห์นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่ไม่ใช่ความกดดันคุกคาม แต่เป็นสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเขาตลอดเวลาที่เดินปะปนกับผู้คนในเมือง ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองมีความสูงมากกว่ามนุษย์ทั่วไป อีกทั้งยังมีผิวพรรณที่เผือดซีด และเส้นผมที่ขาวโพลน แต่มนุษย์อื่นมองเขาด้วยความสนใจเพียงครู่เท่านั้น หาใช่การจับจ้องไม่วางตาเช่นนี้

ราชาหนุ่มทันเห็นว่าใครคนนั้นเป็นเจ้าของดวงตาสีเหลืองอำพัน เป็นสตรีร่างเล็กในชุดยาวสีม่วงเข้มยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา แววตาของนางวาวโรจน์ และฉายความเป็นอมนุษย์อย่างไม่ปิดบัง เมื่อเขาก้าวเข้าไปหาอย่างไม่กลัวเกรง หญิงสาวก็แหงนขึ้นมองเขาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน

และกลิ่นอายอมนุษย์ของนางเด่นชัด และบอกเขาได้ในทันทีว่านางเป็นใคร

"เราได้ยินชื่อเสียงของแม่หญิงซินเนย์วาแห่งป่านอร์เวย์มาเนิ่นนาน ไม่คาดฝันว่าจะได้พบ"

หญิงสาวมีผมสีดำขลับยาวหยักเป็นลอน รับกับใบหน้าคมสวย และดวงตาสีอำพันอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าหมาป่า นางค่อยๆยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นเป็นรอยยิ้มปั้นแต่งที่สวยงามสมบูรณ์แบบขณะแหงนมองคู่สนทนาที่สูงส่ง และเจิดจ้าเสียจนน่ากลัวว่าผมสีเงินยาวนั้นจะละลายหายไปกับแสงอาทิตย์

"นับเป็นเกียรติของข้าเช่นกัน ...ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิค"

มีหรือที่นางจะไม่รู้จักราชาผิวเผือกผู้กล้าหาญของเผ่าเงือก ที่แม้จะไร้ซึ่งหนทางเอาชนะแต่ก็ยืนหยัดต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตน ต่อให้แพ้พ่าย แต่อำนาจของราชาและพลังแห่งราชวงศ์ก็ทำให้เขากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง แม้จะยังดิ้นไม่พ้นสถานะ 'เหยื่อของแวมไพร์' ก็ตามที

"น่าประหลาดที่ข้าเพียงมาเดินเล่นในตลาดบาร์ธีมอร์หลังลงจากเรือโดยสาร กลับพบฝ่าบาทเสียได้" ซินเนย์วาเปรย "เช่นนั้นข่าวลือที่ว่าชาวเงือกแห้งเซลทิคตัดขาดจากแผ่นดินแล้วโดยสิ้นเชิง ก็เกรงว่าจะเป็นความเท็จกระมัง" เมื่อถูกทักเช่นนั้น ราชาหนุ่มก็อดรู้สึกเสียหน้าไม่ได้ จริงอยู่ว่าคงไม่มีข้าราชบริพานคนไหนกล้าตำหนิติเตียนเขา แม้กระทั่งฟาล แต่เมื่อถูกจ่าฝูงหมาป่าตั้งข้อสังเกต ไคราห์นก็รู้สึกเหมือนตนถูกดุไม่ปาน

"เรามีธุระบางอย่างบนแผ่นดิน จึงได้แวะเวียนมาเป็นครั้งคราว"

แต่แล้วดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกก็เหบือบมองสร้อยไข่มุกซึ่งทอดตัวอยู่บนเนินอกเนียนสวยของหมาป่าสาว มันล้วนแล้วแต่เป็นไข่มุกเนื้อดีที่มีราคามากในหมู่มนุษย์ และเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่เงือกด้วยกัน "แล้วจ่าฝูงหมาป่ามีธุระอันใดที่บาร์ธีมอร์แห่งนี้กันเล่า"

ซินเนย์วาทอดยิ้มออกมาเมื่อสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ดูจะสนใจไข่มุกของนาง

"ข้ามาเยี่ยมสมาชิกฝูง... ที่ได้รับการแต่งตั้งให้คอยดูแลความเรียบร้อยของบาร์ธีมอร์"

"ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นอาณาเขตของหมาป่าไปแล้วหรือ แต่เราก็ยังเห็นแวมไพร์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในที่แถบนี้ตลอดเวลา" คำพูดนั้นเปรียบได้กับการหยั่งเชิง และตำหนิต่อว่านางจ่าฝูง หมาป่านั้นไม่ถูกชะตากับแวมไพร์จนเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับกัน ดังนั้นเหตุผลที่นางส่งคนมาดูแลเมืองแห่งนี้ก็เพื่อช่วยสอดส่องไม่ให้แวมไพร์กระทำความผิดมากจนเกินควร นั่นคือการรุกรานและคุกคามสิ่งมีชีวิตอื่นที่พวกเขาเรียกว่า 'เหยื่อ' ซึ่งรวมถึงประชาชนชาวบาดาลแห่งเซลทิคด้วย

แต่มาจนถึงตอนนี้ ชาวเงือกก็ยังถูกฆ่าเป็นอาหารเมื่อมีโอกาส...

กล่าวได้ว่านั่นคือความล้มเหลวของหมาป่า

"หมาป่าเพียงตัวเดียวจะไปทัดทานอะไรได้ ข้าเองก็มีอาณาเขตที่ต้องดูแล แม้ว่าจะอยากเรียกสมัครพรรคพวกให้มาร่วมกวาดล้างแวมไพร์นอกรีตที่ยังหลงเหลืออยู่ในบาร์ธีมอร์ก็ตาม" หญิงสาวก้าวออกเดิน เนิบช้าและเชื้อเชิญให้ราชาทะเลเหนือร่วมการเดินทางเพื่อสานต่อบทสนทนา

"เช่นนั้นแล้ว... เหตุใดจึงต้องทิ้งเอาไว้ตัวหนึ่ง หากไม่สามารถทำอะไรได้"

"คนส่งข่าวอย่างไรเล่า ฝ่าบาท" นางเดินมาถึงร้านเล็กๆที่หัวมุมถนน ร้านในห้องแถวที่ไร้ซึ่งหน้าต่างกระจกด้านหน้า ทว่าด้านบนประตูกลับมีป้ายเล็กๆซึ่งเป็นงานแกะสลักรูปหมาป่าที่ละเอียดปราณีต กับชื่อร้าน 'ท่อนไม้' อันแสนจะธรรมดา ซินเนย์วาเปิดประตูเข้าไปและฝ่าบาทก็ต้องเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าด้านในนั้นเต็มไปด้วยงานแกะสลักที่สวยงาม ซึ่งมีทั้งเครื่องประดับ และของตกแต่ง

อีกทั้งยังมีเครื่องประดับที่ใช้ไข่มุกประกอบอีกด้วย

เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มที่สูงกว่าซินเนย์วา มีใบหน้าเยาว์วัยเสมอกันราวกับเป็นพรสวรรค์ของพวกหมาป่าและแวมไพร์ ฝ่ายนั้นมีผมสีแดงเพลิง และดวงตาสีเดียวกัน เขี้ยวที่ดูจะยาวกว่าปกติโผล่พ้นริมฝีปากออกมาเล็กน้อยทำให้เขาดูมีเสน่ห์และน่าค้นหาสำหรับสตรี

"นี่คือวาร์เรน... สายสืบที่ข้ามอบหมายให้ดูแลความเรียบร้อยของบาร์ธีมอร์"


--------------------------------------------------

แม้หน้าที่ขององครักษ์จะต้องอยู่เคียงกายราชาตลอดเวลา แต่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นของทุกวัน เวสเทียร์ก็มีภารกิจของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต นั่นคือการออกล่าหาอาหาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราชาทะเลเหนือใช้เวลาอยู่กับเรื่องส่วนตัว เช่นการหวีผม และพูดคุยกับน้องสาวของเขาซึ่งก็คือองค์หญิงอาโกรนาห์

"น้องได้ยินว่าท่านพี่กับเวสเทียร์ขึ้นไปยังเบื้องบนเมื่อวานนี้"

ไคราห์นยังคงหวีผมของตนต่อไปอย่างใจเย็น แม้ในใจจะนึกคาดโทษองครักษ์สักตนที่นำข่าวนี้ไปบอกองค์หญิง "มีธุระอันใดที่ชาวเงือกจะต้องติดต่อกับเบื้องบนหรือคะ" อาโกรนาห์ยังคงขุ่นเคืองเมื่อครั้งที่แล้วถูกผู้เป็นพี่ต่อว่าเสียจนหน้าชา แต่ในครั้งนี้ ราชาทะเลเหนือกลับเป็นฝ่ายละเมิดกฎที่เขาเป็นผู้ตั้งขึ้นมาเอง

นั่นคือการ 'ห้ามชาวเซลทิคก้าวขึ้นจากน้ำในร่างมนุษย์นับแต่นี้'

"เราจะติดต่อกับพวกหมาป่า" ฝ่าบาทตอบเสียงเรียบ และเหลือบตาขึ้นมองประสานกับน้องสาวช้าๆ "ได้ยินว่าพวกหมาป่าเองก็ไล่ล่าแวมไพร์นอกรีตนั่นอยู่ และมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะตกลงร่วมมือกับเรา" เมื่อได้ยินความคิดของราชาหนุ่มอีกครั้ง องค์หญิงว่าที่รัชทายาทก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ และกล่าวคัดค้านในทันที

"แม้ว่าครั้งนี้ท่านพี่จะเอาพวกหมาป่ามาอ้าง แต่อย่างไรพวกเราก็อยู่ในฐานะ 'เหยื่อ' พวกเราไม่มีทาง..."

"คิดว่าเราอยากให้สงครามมันเกิดอย่างนั้นหรือ อาโกรนาห์" ไคราห์นเสียงแข็งขึ้นจนองค์หญิงชะงัก "คิดว่าเราต้องการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเราจะไม่ชนะอย่างนั้นหรือ" เมื่อเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของน้องสาว ผู้เป็นพี่จึงยอมอ่อนถอย "แต่เพราะมันเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากการคุกคามของพวกมัน เราจะต้องสู้... และเราจะต้องชนะ"

อาโกรนาห์มุ่นคิ้ว และเอ่ยถามอย่างไร้ซึ่งความมั่นใจ "เราจะไม่แพ้แบบครั้งที่แล้วหรอกหรือ"

"มันเป็นทางออกสำหรับเรา" ไคราห์นว่า เขาวางหวีกระดูกสัตว์เอาไว้บนแท่นข้างกาย "สำหรับราชาที่ไม่ได้รับความนับถือจากประชาชน ยิ่งเก็บตัวหลบซ่อนก็ยิ่งดูขี้ขลาดหวาดกลัวความพ่ายแพ้" แววตาของราชาทะเลเหนืออ้างว้างและโดดเดี่ยวเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นองค์หญิงอาโกรนาห์ก็ไม่เคยเห็นพี่ชายยอมแพ้ "การตายของเดียร์ราฮานไม่ใช่เพียงความสูญเสียของราชวงศ์ แต่มันยิ่งทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในตัวราชา"

"ท่านพี่..."

"หากเราต้องการความศรัทธานั้นคืนมา... เราจะต้องทำทุกอย่าง"

อาโกรนาห์ถอนใจเบา นางป่ายปัดมือไปบนผิวน้ำเบื้องหน้าขณะทอดมองเงาของตนเอง "เช่นนั้น น้องคงต้องร่วมมือด้วย" นางเหลือบดวงตาสีดำขลับขึ้นมองพี่ชาย "อย่างน้อยราชาและรัชทายาทก็ไม่ได้แตกคอกัน... แม้จะช่วยสิ่งใดไม่ได้มาก แต่น้องก็ไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของท่านพี่..." คนเป็นพี่ทอดยิ้มจางเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเอื้อมมือขึ้นมาลูบผมสีเข้มของคนตรงหน้าช้าๆ อาโกรนาห์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ราชาเอ็นดูนางได้ถนัดขึ้น

"ท่านพี่ ให้น้องเปียผมให้ไหมคะ..."

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 6.2

เผ่ากินเนื้อทั้งสองออกไปล่าหลังจากตื่นตาตื่นใจกับฝูงปลาในทะเลอัลบิออน

แม้เงือกเผ่าเพชฌฆาตจะได้ชื่อว่าเป็นเผ่ากินเนื้อ แต่พวกเขาก็มีชั้นเชิงในการล่าและมีมารยาทในการกินที่ดี เวทอร์สรู้มาว่าชาวมารินาการ์ดไม่กินปลา ดังนั้นการล่าปลาในอาณาเขตของพวกเขาอาจเสียมารยาทพอๆกับการล่าวาฬในอาณาเขตของเซลทิค เงือกหนุ่มและวาฬใหญ่ผู้ติดตามจึงว่ายน้ำออกไปไกลจากอาณาจักรในเวลาเช้ามืด เพื่อติดตามฝูงปลาแฮร์ริงขนาดใหญ่ และจับมาเป็นอาหาร

เงือกเผ่าเพชฌฆาตจะมีมีดประจำตัวเล่มหนึ่งซึ่งทำจากกระดูกสัตว์พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากพวกเขากินปลาเป็นอาหาร ดังนั้นแต่ละคนจะต้องแล่เนื้อปลาได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเครื่องในของปลาบางชนิดอาจทำให้ชาวเงือกเจ็บป่วยได้ พวกเขาจึงเลี่ยงด้วยการกินแต่ส่วนเนื้อ และทิ้งกระดูกให้กับสัตว์อื่นเช่นแทน

สัตว์อื่นที่ว่าก็เช่นนกทะเลที่บินโฉบอยู่เบื้องบน... แต่คงไม่ใช่วาฬเพชฌฆาต

"คาดันน์!"

เวทอร์สขยับหางพาตัวเองว่ายหนีสัตว์ใหญ่ที่ติดตามมาด้วยหลังจากแล่เนื้อปลาเสร็จแล้วแต่เจ้าวาฬยักษ์กลับเอาคางมาเกยร่างเขาราวกับขอให้ป้อนสิ่งที่อยู่ในมือ "จะเอาก้างหรือไร!" แน่นอนว่าคำตอบของสัตว์ใหญ่ย่อมเป็นการส่ายหัว มันขยับหางใหญ่โตเพื่อจะดันร่างมหึมาเบียดอ้อนเงือกหนุ่ม พร้อมกับอ้าปากรอชิ้นเนื้อที่ควรจะเป็นของเวทอร์ส

"ไม่มีวันเสียล่ะ!"

แม้คาดันน์จะเหมือนเด็กที่มีร่างกายมหึมา ไม่รู้ประสาหรือกาละเทศะ แต่หากเป็นเรื่องการล่าแล้ว เวทอร์สก็คิดว่าอย่างไรวาฬเพชฌฆาตก็คือวาฬเพชฌฆาตอยู่ดี สัตว์ใหญ่พ่นฟองอากาศออกจากรูจมูกเล็กน้อยแทนคำบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะขยับร่างว่ายขึ้นไปหายใจ และกลับมาเพื่อล่าปลาด้วยตนเอง ด้วยการพุ่งเข้าใส่ฝูงปลาและใช้หางมหึมาฟาดใส่พวกมันจนมึนงง และกลับมาจัดการ

สำหรับชาวเงือกแล้ว ปลาแฮร์ริงสักสามสี่ตัวก็มากเกินพอ แต่สำหรับสัตว์ใหญ่ กว่าคาดันน์จะรู้สึกอิ่มและพร้อมเดินทางกลับ ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้าไปมากแล้ว

"พวกเขาคงออกไปล่า"

ราชินีเรจินาเอ่ยกับองครักษ์ข้างกาย "เราได้ยินเสียงวาฬอยู่ไกลๆ พวกเงือกเผ่าเพชฌฆาตเป็นเผ่ากินเนื้อ แตกต่างจากพวกเรา แต่ถึงกระนั้น การที่ท่านผู้แทนจากเผ่าอื่นมาล่าปลาในเขตใกล้ๆ มารินาการ์ดก็เป็นเรื่องที่เราไม่ชินสักเท่าไหร่"

ฟาเบียงหัวเราะเบาในลำคอ "องครักษ์ผู้นั้นก็รู้กาละเทศะดี การล่าปลาในเขตมารินาการ์ดก็ไม่ต่างจากการล่าวาฬในเขตของเซลทิค พวกเขาจึงเดินทางออกไปจากอาณาจักรตั้งแต่เมื่อเช้าตรู แต่การสื่อสารของพวกวาฬใช้คลื่นเสียงเป็นหลัก ซึ่งมันดังมากพอที่จะทำให้เราได้ยิน"

"บางครั้งเราก็สงสัยนักว่าปลานี่รสชาติเป็นอย่างไรหนอ" ราชินีว่า "แต่ก็คงกินไม่ลงหรอก"

ฟาเบียงยิ้มจางขณะเหลือบมองสตรีข้างกายซึ่งตัวเล็กกว่าเขาพอสมควร "เผ่าวาฬใช้พลังงานมากในแต่ละวัน พวกเขาจึงต้องการอาหารปริมาณมาก เพียงแค่ขนาดตัวก็ใหญ่กว่าชาวมารินาการ์ดตั้งเท่าไหร่ โดยเฉพาะเผ่าเพชฌฆาตที่ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่สามารถกระโจนขึ้นจากน้ำได้สูงกว่าความยาวของตัวเองหลายเท่าตัว" คำร่ำลือนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับชาวเงือก เพราะไม่ว่าเงือกเผ่าใดก็สามารถกระโดดขึ้นจากน้ำได้เพียงแค่ช่วงตัวเท่านั้น แต่สำหรับเผ่าเพชฌฆาต พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นนักล่า และมีพละกำลังมาก เงือกวาฬเพชฌฆาตจึงเป็นกลุ่มที่น่ายำเกรงสำหรับเผ่าอื่น

แต่เผ่าเพชฌฆาตนี้เองที่สาบานความซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์แห่งเซลทิค

ดังนั้นหากจะกล่าวว่าเผ่าเพชฌฆาตน่ากลัว ราชวงศ์เซลทิคก็คงจะมีความน่าเกรงขามยิ่งกว่า

"การกระทำของเกลเลสและคณะนักล่านับเป็นความผิด แต่ในบางครั้งเราก็เกร็งที่จะพูดคุยกับพวกเซลทิค ด้วยรู้ว่าบ้านเมืองแห่งนั้นโหดร้ายกว่ามารินาการ์ดมาก แต่ในความเป็นราชินีแล้ว เราก็ไม่สามารถละทิ้งคนของตนเองได้เช่นกัน" เรจินาถอนใจ "เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยว่าฝ่าบาทไคราห์นจะเรียกร้องสิ่งใด"

แม้จะเป็นเพียงองครักษ์คนสนิท แต่เมื่อเห็นฝ่าบาทแห่งมารินาการ์ดหวั่นไหว ฟาเบียงก็ค่อยๆเคลื่อนมือไปสัมผัสกับมือของพระนาง แต่ก็คงไม่สามารถพูดอะไรเพื่อปลอบใจได้ ด้วยเขาเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นผู้นำดี

"เราจึงต้องเดินทางไปด้วยตนเอง... เพื่อปกป้องประชาชนของเรา"

องครักษ์คนสนิทค่อยๆ ปล่อยมือและขยับกายเคลื่อนไปประจำตำแหน่งของตนเมื่อรู้สึกได้ว่ามีเงือกอีกตนว่ายเข้ามา

"ฝ่าบาท ราชรถพร้อมแล้วขอรับ" ราชินีแห่งมารินาการ์ดกลั้นใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจตนเองกลับมา พระนางจะต้องเดินทางไปยังอาณาจักรเซลทิคพร้อมกับองค์ชายเร็กซ์ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีที่ผู้นำอาณาจักรจะเดินทางไปไกลจากบ้านเมือง แต่เกลเลสเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์ อีกทั้งชายาของเขาก็มาจากเผ่าโลมาแห่งเซลทิค จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามองค์ชายไม่ให้เดินทางร่วมไปด้วย

ดังนั้นพระนางจึงต้องฝากบัลลังก์เอาไว้กับคนสนิทของตนแทน

"ฟาเบียง... เราฝากฝังบัลลังก์ไว้กับเจ้าชั่วคราว"

"ด้วยความภักดี" องครักษ์หนุ่มค้อมหัวลง "กระหม่อมจะปกป้องมารินาการ์ดด้วยชีวิต"

--------------------------------------------------

เวสเทียร์กลับมายังถ้ำลอดที่ประทับของฝ่าบาทเมื่อกลับมาถึงอาณาจักร และกลับไปประจำที่ของเขาซึ่งนั่นก็คือข้างแท่นนอนซึ่งทำจากหินและบุปูด้วยฟองน้ำนุ่ม ดูเหมือนว่าฝ่าบาทเพิ่งจะหวีผม และนั่งสนทนากับองค์หญิงอาโกรนาห์ตามประสาพี่น้อง สังเกตได้จากเส้นผมยาวสลวยที่เป็นระเบียบมากขึ้น และเปียเล็กๆที่ข้างแก้มซึ่งนางน่าจะเป็นผู้ถักให้ ราชาหนุ่มชอบนั่งพักผ่อนในถ้ำลอดแห่งนี้จนถึงเวลาสาย จึงค่อยกลับลงไปยังอาณาจักรเซลทิคด้านล่าง ดังนั้นเวสเทียร์จึงไม่แปลกใจที่เชื้อพระวงศ์มักจะมาพบฝ่าบาทในเวลานี้

แม้เชื้อพระวงศ์ที่ว่าจะเป็นองค์หญิงอาโกรนาห์เพียงองค์เดียวก็ตาม

อดีตพระชายาเอกผู้เป็นมารดาของฝ่าบาทปลีกตัวออกไปจากราชวงศ์หลังจะทนรับแรงกดดันและข้อครหาไม่ไหว พระนางไม่สามารถทนฟังเสียงซุบซิบนินทาอันไม่ให้เกียรติบุตรชายของนางได้อีก ว่าเหตุใดเขาจึงมีผิวพรรณที่แตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นมากเสียเหลือ แม้ข่าวลือพวกนั้นจะเงียบลงไปแล้วหลังจากไคราห์นได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ของเซลทิคอย่างเต็มตัว

แต่พระนางก็ยืนยันที่จะจากไป... อดีตราชาแห่งเซลทิคจึงติดตามไปด้วยเหตุผลของสามีที่ดี

"ยิ้มด้วยเหตุผลอะไรกัน..." แม้สายตาของฝ่าบาทจะทอดมองผืนน้ำตรงหน้า และพิจารณาใบหน้าของตนเอง แต่เขาก็สังเกตเห็นสีหน้าและอารมณ์ของเวสเทียร์ได้ด้วยหางตา "ได้รับคำชมจากฟาลหรืออย่างไร" ฟาลเป็นญาติสนิทอาวุโสของเวสเทียร์ และฝ่ายนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนช่างติ นานๆ สักทีหนึ่งจะเอ่ยคำชม ดังนั้นคำชมของฟาลจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากพอๆ กับรอยยิ้มของเวสเทียร์

ซึ่งมันมักจะมาควบคู่กัน

"เปล่าขอรับ" แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ "กระหม่อมเพียงคิดว่าเปียผมเล็กๆนั่นช่างดูอบอุ่นเหลือเกิน"

ไคราห์นละสายตาจะผืนน้ำมามององครักษ์ของตน "เจ้ามองหน้าเราอย่างนั้นหรือ" คำถามนั้นไม่ใช่การคาดโทษ แต่ผู้ได้ยินก็ชะงักนิ่งและกลับไปก้มหน้ายอมรับผิด จนฝ่าบาททะเลเหนือต้องถอนใจออกมา "จะมองก็มองไปเถิด เจ้าเป็นเพียงคนเดียวในอาณาจักรนี้ที่ได้รับสิทธิ์นั้น"

แต่เวสเทียร์ก็ไม่เงยหน้า และไม่กล่าวตอบอะไรเลย

ไคราห์นรู้ดีว่าอีกฝ่ายรู้สถานะของตนเองดีเกินกว่าจะเอื้อมมือมาหาเขา ต่อให้เขายื่นมือให้ฝ่ายนั้นจนแทบจะฉุดรั้งขึ้นมาแล้วก็ตาม และมันก็เปล่าประโยชน์ที่จะเซ้าซี้เวสเทียร์ ฝ่ายนั้นทั้งดื้อรั้น หัวแข็ง และมักคิดว่าการกระทำของตนเหมาะสมถูกต้องในฐานะองครักษ์

ฝ่าบาทเอนกายพิงหมอนอิงช้าๆ ปรายตามององครักษ์คนสนิท

"เจ้ายังสวมต่างหูชิ้นนั้นอยู่อีกรึ" เวสเทียร์เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดังนั้นผมยาวสีดำของเขาจึงเปียกลู่แนบไปกับร่าง และด้วยผิวพรรณสีเข้มของเขา ทำให้ต่างหูชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากทองคำประดับมุกโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งมันเป็นของขวัญที่ฝ่าบาทมอบให้เมื่อสามปีที่แล้ว

"จะเก็บไว้ไม่ให้ห่างขอรับ"

ไคราห์นไหวไหล่เบาด้วยความรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่ามันจะเป็นคำตอบรูปแบบเดิมๆที่สมกับเป็นเวสเทียร์ก็ตาม "เช่นนั้นก็เอาผมทัดหูหน่อยซิ จะได้เห็นชัดขึ้น" องครักษ์หนุ่มไม่ปริปากบ่นหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาค่อยๆยกมือขึ้นจับผมตัวเองขึ้นทัดหูข้างที่สวมเครื่องประดับ ซึ่งแม้ว่าผมที่เปียกลู่จะทำให้ดูไม่น่ามองอยู่บ้าง แต่ราชาหนุ่มก็คิดว่ามันเป็นภาพที่สนใจสำหรับเขาเสมอ

ทุกอิริยาบถของเวสเทียร์ดูเรียบเฉย แต่ก็แฝงด้วยความเคอะเขินที่พยายามไม่แสดงออก

"เงยหน้าขึ้นซิ"

องครักษ์กลั้นใจเมื่อได้ยินคำสั่ง เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาราชาแห่งเซลทิค และเช่นเดียวกันกับทุกครั้ง ดวงตาสีน้ำเงินที่ดึงดูดของฝ่าบาทก็ทำให้เขาอุ่นวาบขึ้นในใจ ราวกับไคราห์นสามารถมองเข้าไปในจิตใจของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่ฝ่าบาทจะรู้หรือไม่... ว่าเขาหวั่นไหวแค่ไหนเมื่อต้องสบตา

องครักษ์หนุ่มเผลอขบริมฝีปากตนเองขณะกลั้นใจ และฟันของเขาเองก็คมพอที่จะทำให้เลือดซึม

"ไม่เอาน่ะ..." ฝ่ายนั้นจรดปลายนิ้วกับริมฝีปากของเขา สัมผัสผ่านแผ่วเบาเพื่อให้เขาหยุดทำแบบนั้น เวสเทียร์เผลอหลบตาเมื่อปลายนิ้วสากขยับดันให้เขาเผยอปากขึ้น และเคลื่อนเข้ามาแตะกับลิ้นอุ่นภายใน โดยไม่ต้องออกคำสั่ง ร่างโปร่งรู้ดีถึงหน้าที่ของตน เขาค่อยๆ ขยับลิ้นตอบสนอง ลากไล้เลียจนชื้นชุ่ม และระมัดระวังไม่ให้ฟันของตนขบโดน

ฝ่าบาทไม่ได้มีความต้องการมากกว่าไปนั้น เขาเพียงแค่ทนเห็นอีกฝ่ายกัดปากตัวเองอย่างเย้ายวนไม่ได้ และองครักษ์ผู้นี้ก็ช่างรู้งาน รู้ใจเขาไปเสียทุกอย่าง มือใหญ่อีกข้างเอื้อมไปประคองใบหน้าเรียวให้แหงนเงยขึ้น อวดลำคอยาวระหงรับกับแผ่นอกกว้างที่แน่นตึง

เวสเทียร์ไม่ได้สวยประหนึ่งนางเงือกในตำนาน แต่มันคือความสง่ามงามที่ไม่ว่าใครเห็นก็หลงใหล

องครักษ์หนุ่มมุ่นคิ้ว เสียงลมหายใจสะดุดกลั้นดึงให้ราชาหนุ่มตระหนักได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ เขากัดซ้ำบนบาดแผลเดิมที่ซอกคอ ถอนปลายนิ้วที่เปียกชุ่มจากริมฝีปากบางที่แสนยวนยั่ว และประคองร่างที่สั่นเกร็งด้วยความวาบหวาม เพื่อขบบนผิวเนื้อราวกับสามารถดื่มด่ำรสเลือดจากบาดแผลได้ไม่ต่างจากแวมไพร์

เวสเทียร์รู้ดีว่าฝ่าบาทของเขาไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่เห็นแผลเป็นบนลำคอ

ร่างสูงทิ้งรอยแดงเอาไว้ก่อนผละออก แต่ก็ช่างน่าหงุดหงิดที่อำนาจของเขาเองช่วยเยียวยาให้รอยจูบเลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ราวกับเขาไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าของใดๆบนร่างตรงหน้าได้เลย เวสเทียร์เท้าแขนกับแท่นหิน ยังคงสับสนงุนงงในการกระทำของเจ้าชีวิต แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะออกคำสั่งใด เขาก็พร้อมที่จะตอบรับเสมอ

"เวสเทียร์..."

ร่างสูงเอ่ยเรียก ชะงักนิ่งไปสักครู่ด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดต่อไป เพราะมันเป็นคำสั่งที่เขาไม่เคยกล่าวถึง เขาดึงร่างโปร่งขึ้นมานั่งบนแท่นหินเคียงกัน ก่อนจะเอนกายลงพิงหมอนอิงข้างตัว พร้อมกับรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามาหาตนช้าๆ "จูบเราบ้างสิ"

คำสั่งของฝ่าบาทก้ำกึ่งและกำกวม แต่คนฟังก็ไม่เอ่ยถาม เขาก้มลง บรรจงแนบริมฝีปากของตนลงจูบบนแผ่นอกกว้างที่เขาไม่เคยกล้าสัมผัส เวสเทียร์ไม่เคยรู้ว่าร่างกายของฝ่าบาทจะอุ่นถึงเพียงนี้ จริงอยู่ว่าพวกเขาเคยอยู่ใกล้กันนับครั้งไม่ถ้วน แต่การเป็นฝ่ายสัมผัสกับถูกสัมผัสช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ

เขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจของราชาหนุ่มอย่างชัดเจน สามารถรับรู้ถึงจังหวะการหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ องครักษ์ค่อยๆลากริมฝีปากลงไปยังกล้ามเนื้อส่วนท้อง รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนมือขึ้นวางบนเส้นผมของเขาและลูบเบาๆเนิบช้า ราวกับชมเชยในความพยายาม

ทำไมฝ่าบาทจึงอยากให้เขาเป็นฝ่ายจูบบ้างหนอ ...นี่ไม่ใช่การละเมิดข้อห้ามอีกข้อของราชวงศ์หรือไร

แต่หากมองว่าการทำเช่นนี้เป็นการปรนเปรอ เวสเทียร์ก็พอจะเข้าใจว่าทำไม

องครักษ์หนุ่มไม่กล้าแตะต้องด้วยมือของตน แต่ก็พรมจูบลงบนผิวกายอุ่นชื้น และยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่า เมื่อร่างสูงขยับเกร็ง พร้อมกับสูดหายใจลึก ในจังหวะที่เขาแตะริมฝีปากลงบนสะดือ

ฝ่าบาทยังคงอยู่ในร่างเงือก และนั่นคือเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นเวสเทียร์ก็อยากทำให้อีกฝ่ายพอใจอยู่ดี

"ต่ำไปแล้ว" เสียงทุ่มต่ำปราม เป็นสัญญาณให้ผละจากท้องช่วงล่าง "เราเคยสอนให้เจ้าทำแบบนี้หรือ"

"หากฝ่าบาทกระทำ เกรงว่าจะเป็นการไม่สมควร" มันเป็นส่วนต่ำของร่างกาย ที่ราชาไม่ควรแตะต้อง ควรจะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปรนนิบัติ ไคราห์นเอื้อมมือไปสัมผัสพวงแก้มสีเนียน ก่อนจะหัวเราะเบาในลำคอโดยไม่กล่าวต่อว่าเขาขบขันในเรื่องใด

"ฝ่าบาทไม่โปรดหรือ..."

"แต่เช้าเลยหรือไร" คำถามของราชาทำให้คนฟังรู้สึกว่าจิตใจของเขาลามกกว่าที่ควรจะเป็น และนั่นอาจเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของฝ่าบาทอีกด้วย เวสเทียร์ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยรู้สึกผิด ก่อนจะถอยตัวออกจากแท่นหินที่ประทับ

"กระหม่อมขออภัย"

"ตอนเย็นก็ได้" ฝ่าบาททอดเสียง "เพราะตอนนี้ฟาลกำลังรอพบเราอยู่"

เวสเทียร์กลั้นใจด้วยลืมไปว่า นี่เป็นเวลาที่ญาติผู้ใหญ่ของตนจะต้องนำข่าวคราวมาแจ้งแก่ผู้นำอาณาจักร และฟาลเองก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเวลาใดสมควรหรือไม่สมควรในการเข้าพบฝ่าบาทไคราห์น ราชาทะเลเหนือหยัดกายขึ้นเล็กน้อย และปรายสายตาลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่าง "เข้ามาได้..."

ราชาวาฬออกปากอนุญาตด้วยน้ำเสียงทรงพลัง และไม่กี่อึดใจ เลขาคนสนิทของเขาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ

"ฝ่าบาท... คาดันน์ส่งข่าวมาแจ้งว่าเหล่าราชรถของมารินาการ์ดออกเดินทางมายันเซลทิคแล้ว และคาดว่าจะมาถึงที่นี่ในเวลาพลบค่ำ" ฟาลเอ่ยรวบรัด และไม่แสดงอาการใดๆออกมาทั้งที่เขารู้ว่าเมื่อครู่นี้ทั้งเวสเทียร์และฝ่าบาทไคราห์นกำลังทำอะไรกันอยู่ "กระหม่อมมอบหมายให้พวกนางกำนัลไปจัดการเรื่องที่พัก และอาหารที่จะใช้เลี้ยงต้อนรับพวกเขา"

"เราได้ยินว่าพวกมารินาการ์ดกินสาหร่าย" ฝ่าบาทว่า "ระวังเรื่องปลาด้วย พวกเขาอาจไม่พอใจนัก"

"อุณหภูมิของทะเลเราหนาวเย็นกว่า กระหม่อมเกรงว่าสาหร่ายอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ" ฟาลตอบ ก่อนจะเหลือบตามองเวสเทียร์ "กระหม่อมปรึกษากับเกลเลส ผู้นำคณะพรานของมารินาการ์ด เขากล่าวว่าเนื้อที่เป็นที่นิยมอีกอย่างก็คือแมวน้ำ และสิงโตทะเล"

ราชาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยประหลาดใจ "น่านน้ำเรามีแมวน้ำมาก"

"กระหม่อมมอบหมายให้เผ่าเพชฌฆาตจัดการเรื่องนี้แล้ว"

เวสเทียร์อ้าปากค้างน้อยๆ ด้วยเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนทั้งที่เป็นถึงผู้นำเผ่า แต่ฟาลก็ลอบนิ่วหน้าใส่เป็นการปรามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไร และหลังจากนั้นก็เป็นการกล่าวรายงานโดนคร่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทั่วๆไปที่ไม่ได้มีความสำคัญ และเมื่อจบการรายงาน ราชาทะเลเหนือก็ขยับตัวยกหางของตนขึ้นเพื่อผละออกจากแท่นนอนแสนสบายในถ้ำลอดแห่งนี้ เพื่อกลับลงไปยังอาณาจักรเบื้องล่างเพื่ออวยพรให้กับทารกเกิดใหม่ที่มาขอเข้าเฝ้าราชาหนุ่มในวันนี้

"ท่านฟาล... เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องล่าแมวน้ำเลย ทั้งที่เมื่อเช้าเราก็ออกล่าร่วมกัน"

"เวทอร์สเพิ่งส่งข่าวมาเมื่อครู่นี้ และหากรอคำสั่งจากเจ้าจะไม่ทันการ" ฟาลตอบเสียงเรียบ เหลือบมองผู้เยาว์วัยกว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง "เวสเทียร์... พวกเราจะต้องดูแลอาคันตุกะจากมารินาการ์ด งดเว้นเรื่องของเจ้ากับฝ่าบาทไปสักพักเถอะนะ... รวมทั้งคืนนี้ด้วย"

ผู้นำเผ่าชะงักเล็กน้อยก่อนจะว่ายตามไปช้าๆด้วยความขัดเขิน "ท... ทำไมท่านจึงรู้..."

"ข้าไม่ได้หูหนวก" ฟาลตอบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

--------------------------------------------------


แอบตื่นเต้นกับความสัมพันธ์ที่ดูจะมีอะไรมากขึ้น(?)ของฝ่าบาทกับเวสเทียร์... เขียนๆไปก็เริ่มรู้ว่าเวสเทียร์นี่ก็ naughty อยู่เบาๆ ในความคิดเราแล้ว เวสเทียร์เป็นผู้ชายที่หุ่นเซ็กซี่... คือไม่ได้หล่อมาก แต่หุ่นแซ่บมาก อะไรงี้ เอวงาม กล้ามสวย (เคะอีกคนที่เอวสวย กล้ามสวย หน้าสวย... ก็คือเลสธีราห์ในพันธนาการดวงดาว ฮ่าาา) คือคิดว่า... เวสเทียร์เป็นคนที่ดูจะเหมาะกับคำว่ารูปปั้น เพราะแค่อยู่เฉยๆ ก็ทำให้ฝ่าบาทอยากจะลวนลาม(?)ขึ้นมาได้ แต่ยังมีหน้าไปโบ้ยกลายๆว่าเขาลามกอีกแหน่ะ (เอ็งน่ะเริ่ม...)

ฝ่าบาทไคราห์นเป็นคนตัวใหญ่ และสูงมาก (เงือกวาฬนะ!!) ในร่างมนุษย์ของพี่แกเราเชื่อว่าทะลุ 200 cm แน่ๆ (กระทั่งเวสเทียร์ที่ตัวเล็กกว่ายังน่าจะอยู่ที่ 190 cm เลย) แต่สำหรับอาณาจักรเงือกวาฬแล้ว ขนาดตัวเท่านี้คือปกติ

ถึงฝ่าบาทจะป่วย แต่ป่วยแค่สีผิวนะ นอกนั้นเป็นปกติทุกอย่างเลย...

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 7.1

เสียงสัญญาณสื่อสารที่คุ้นเคยทำให้เผ่าเพชฌฆาตรับทราบการกลับมาของคาดันน์และเวทอร์สก่อนเวลาถึงหนึ่งชั่วยาม และมันก็เป็นเวลาพลบค่ำที่สิ้นแสงอาทิตย์แล้ว วาฬยักษ์ที่ดูจะอารมณ์ดีตลอดเวลาว่ายนำขบวนราชรถที่เทียมลากโลมาธรรมดาพุ่งผ่านเข้ามาในเขตอาณาจักร และตรงนำไปยังท้องพระโรงที่ประทับของราชาแห่งเซลทิค

อำพันสว่างซึ่งเคยเป็นของกำนัลจากมารินาการ์ดยังทำหน้าที่ได้ดีด้วยการเนรมิตพระราชวังใต้ทะเลให้เรืองแสงสีทองยามกลางคืน แต่ที่เรืองรองกว่าอำพันวิเศษก็เห็นจะเป็นผิวพรรณของราชาทะเลเหนือเมื่อต้องแสงเหล่านั้น

ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใช่เป้าหมายของคาดันน์อีกต่อไป แต่กลับเป็นเวสเทียร์ องครักษ์ผู้อยู่เคียงข้าง มันขยับหางใหญ่โตเพื่อพาตัวเองไปหาเป้าหมายโดยไม่สนใจสีหน้าของผู้นำอาณาจักรหรือเสียงห้ามปรามขององครักษ์เผ่าเพชฌฆาตตนอื่น แต่เอาคางเกยไปยังร่างขององครักษ์คนสนิทช้าๆ ราวกับออดอ้อนหลังจาก 'หายหน้าหายตา' ไปสามวัน

"คาดันน์... ครีบเจ้าจะถูกตัวฝ่าบาท"

เวสเทียร์วางมือบนหัวใหญ่โตนั่น พยายามขยับร่างออกห่างบัลลังก์เป็นการชี้นำให้คาดันน์ว่ายตาม เพื่อไม่ให้ส่วนใดของร่างกายใหญ่โตถูกฝ่าบาทเข้า "เจ้าจะทำฝ่าบาทเสียหน้านะ" ครีบอกของวาฬยักษ์มีขนาดใหญ่พอที่จะบังราชาทะเลเหนือได้ ดังนั้นมันจึงขยับตัวเบี่ยงออกมาอีกเล็กน้อย ตามคำสั่งกลายๆ ของเวสเทียร์ ก่อนจะว่ายจากไปเมื่อได้รับการปลอบโยนจนพอใจ

ฝูงโลมาเทียมราชรถว่ายเป็นขบวนขึ้นไปหายใจอีกครั้งก่อนจะวกกลับลงมาเพื่อทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น ฝ่าบาทไคราห์นหันไปเลขาคนสนิท และยกมือขึ้นปัดเบาๆ ข้างกายเพื่อให้กระแสน้ำเย็นเป็นตัวแทนสัญญาณให้ฟาลดูแลราชรถโลมา

"อาณาจักรเซลทิคยินดีต้อนรับ... ฝ่าบาทเรจินาแห่งมารินาการ์ด"

ฝ่าบาทไคราห์นอาจไม่ใช่เงือกที่เคลื่อนไหวเร็วที่สุด แต่เขาก็สามารถเผ่นพลิ้วลงจากบัลลังก์ของตนเพื่อส่งมือให้กับสตรีร่างเล็กผู้อยู่บนราชรถ ตามธนนมเนียมของชาวบาดาล ราชินีเรจินาทอดยิ้มจางและวางมือบอบบางของนางลงมือฝ่ามือที่ใหญ่กว่าช้าๆ  และเคลื่อนกายลงมาจากที่นั่งอย่างนุ่มนวล

...นี่หรือ ราชวงศ์ของจอมราชัน

ไม่มีครึ่งมัจฉาตนใดที่ไม่รู้จักจอมราชันแห่งมารินาการ์ด ราชาผู้เสียสละ ผู้ยอมขายวิญญาณให้กับเทพแห่งท้องทะเลเพื่อแลกกับการปกป้องอาณาจักร และสตรีผู้อยู่เบื้องหน้าราชาทะเลเหนือในตอนนี้ ก็คือเรจินา ผู้เป็นทายาทของจอมราชัน

ลักษณะเด่นของราชวงศ์มารินาการ์ดคือหางสีทองสว่าง และมันก็สว่างมากเสียจนแทบจะเรืองแสงในความมืด และต่อให้ฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคจะมีผิวพรรณที่ผุดผาดราวแสงจันทร์ที่เรืองรองใต้ท้องทะเล แต่ก็ดูเหมือนจะถูกราศีและบารมีของนางบดบังอย่างง่าย

เรจินารู้มารยาทที่ควรปฏิบัติต่อราชวงศ์เซลทิคเป็นอย่างดี แต่หากนางไม่ใช่ประชาชนใต้ปกครองของผู้ใด หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ และสบตาราชาทะเลเหนือพร้อมกับทอดยิ้มอ่อนโยน "ยินดีที่ได้พบฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเช่นกัน" ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใคร่จะได้สนทนากับใครอื่นมากนัก ดังนั้นการตอบโต้ของนางจึงทำให้เขาเกิดความประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและรอยยิ้มที่งดงามสมกับเป็นการวางตัวของชนชั้นสูงทำให้ราชาหนุ่มกลั้นใจวูบด้วยความตราตรึง

ถึงเขาจะกลั้นใจอยู่แล้วก็ตาม

เงือกมารินาการ์ดเป็น 'เงือกปลา' ที่มีขนาดตัวเล็กกว่าเงือกวาฬของเซลทิคอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีเหงือกอยู่ที่ข้างสะโพกเพื่อใช้ในการหายใจใต้น้ำอีกด้วย ดังนั้นต่อให้มีขนาดเล็ก แต่ไคราห์นก็คิดว่าชาวมารินาการ์ดนั้นมีชีวิตที่น่าอิจฉา นั่นคือพวกเขาไม่ต้องขึ้นไปหายใจทุกชั่วยามแบบชาวเซลทิค

ไคราห์นสังเกตการมาถึงของใครอีกคนด้วยหางตา ...ใครบางคนที่เขาพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง

"ฝ่าบาทไคราห์น พบไม่พบกันเสียนาน" หางสีทองของฝ่ายนั้นขยับไหว และเข้ามาทำความเคารพตามธรรมเนียม นั่นคือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ด ผู้เคยเดินทางมายังเซลทิคเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเพื่อเจริญความสัมพันธ์ และในครั้งนั้น ฝ่าบาทไคราห์นยังเป็นเพียงแค่องค์ชายรัชทายาท

...และองค์ชายเดียร์ราฮานก็ยังมีชีวิตอยู่

ไคราห์นจำได้ว่าองค์ชายเร็กซ์และองค์ชายเดียร์ราฮานค่อนข้างถูกคอกัน

"ฝ่าบาทและองค์ชายคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เราได้ตระเตรียมที่พักเอาไว้ให้แล้ว เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนเถิด" ไคราห์นมอบหมายให้ฟาลจัดการเรื่องการดูแลราชรถโลมา แต่ผู้ที่ดูแลเรื่องที่พักและอาหารการกินของอาคันตุกะทั้งคู่คือองค์หญิงอาโกรนาห์ ว่าที่รัชทายาท เมื่อครั้งที่องค์ชายเร็กซ์เดินทางมายังเซลทิค องค์หญิงอาโกรนาห์มีอายุเพียงหกขวบ จึงไม่แปลกใจที่นางจดจำเขาไม่ได้ในตอนนี้

"เนิ่นนานขนาดนั้นเชียว..." องค์ชายเร็กซ์พึมพำเมื่อองค์หญิงน้อยที่เขาเคยพบกลับกลายเป็นเด็กสาวในวันนี้

การกล่าวต้อนรับและพูดคุยเล็กน้อยดำเนินต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่งฝ่าบาทไคราห์นคิดว่าเขาอาจจะต้องการอากาศในไม่ช้า จึงได้ตัดบทสนทนาอย่างนุ่มนวลและส่งอาคันตุกะทั้งหมดกลับไปพักผ่อนให้เรียบร้อย ก่อนจะปลีกตัวออกมาเพื่อว่ายขึ้นสูดหายใจเบื้องบน

นี่เป็นเรื่องน่าเบื่อของชาวเซลทิคโดยแท้...

--------------------------------------------------

"เหงือกสามซี่รึ..."

เวทอร์สผู้เคยเดินทางออกนอกอาณาจักรกลับมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พี่ชายของตนฟังด้วยความตื่น ถึงแม้จะพยายามรักษาท่าทางสุขุมขององครักษ์ระดับสูงเอาไว้แล้วก็ตาม "เขาคือฟาเบียง... องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินา เป็นเผ่าฉลามขาวโดยแท้ และมีขนาดตัวพอๆ กับฝ่าบาทไคราห์นเชียวล่ะ!"

"เผ่าฉลามขาวไม่น่าจะใหญ่เพียงนั้น... หากตัวเท่าข้าได้ก็นับเป็นเรื่องแปลกแล้ว" เวสเทียร์มุ่นคิ้ว

"แต่เขาตัวใหญ่จริงๆ ดูแข็งแกร่งมากอีกด้วย"

"แล้วเหตุใดเผ่าฉลามขาวที่ควรจะอาศัยอยู่ในไรห์วาจึงมาเป็นองครักษ์ของราชินีแห่งมารินาการ์ดเอาเสียได้" คนเป็นพี่กอดอกและนึกไปถึงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับอาณาจักรอื่น "อาณาจักรไรห์วาเคยตั้งอยู่ในทะเลอัลบิออนเช่นเดียวกับมารินาการ์ด แต่ก็ล่มสลายไปครั้งหนึ่งเนื่องจากสงครามทางทะเลของพวกมนุษย์ทำให้ซากเรือรบสมุทรจำนวนมากจมลงก้นทะเลอันเป็นที่ตั้งของอาณาจักร จนพวกเขาต้องอพยพยกย้ายไปยังทะเลไดอาร์ทางตอนใต้เพื่อตั้งรกรากใหม่"

ต่อให้เวสเทียร์จะท่องประวัติศาสตร์อาณาจักรได้ แต่น้องชายของเขาก็ยังคงตื่นเต้นกับขนาดตัวขององครักษ์ราชินี

"ราชาองค์ปัจจุบันของไรห์วาไม่ได้มาจากเผ่าฉลามขาว เวทอร์ส..." เวสเทียร์นึกได้ "ราชารอยมาจากเผ่าฉลามมาโก"

"ข้าไม่สนว่าราชาของไรห์วาจะเป็นเผ่าอะไร แต่องครักษ์ของฝ่าบาทเรจินาเป็นฉลามขาวแน่ๆ"

...ฟู่!

เจ้าวาฬตัวกวนโผล่ขึ้นมาข้างเวทอร์สที่ลอยตัวนิ่งๆ โผล่ช่วงอกขึ้นเหนือน้ำ ในขณะที่เวสเทียร์ผู้เป็นพี่ขยับขึ้นไปนั่งบนโขดหินใกล้ๆ เพื่อสางผม อันเป็นกิจวัตรประจำวัน "ไง คาดันน์..." เวสเทียร์ทักทายสั้น เรียกเสียงร้อง 'คลิก' ระรัวจากสัตว์ร่างใหญ่ ราวกับมันทักทายตอบ

"ท่านพี่... คาดันน์ไร้ประโยชน์" เวทอร์สฟ้องทันทีเมื่อนึกได้ถึงวีรกรรมอันน่าจดจำของวาฬยักษ์ "มันมัวแต่มองแซลมอน จนไม่ได้ใส่ใจฟังว่าราชินีเรจินารับสั่งอะไร" เวสเทียร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองตาอันเล็กจิ๋วของผู้ถูกใส่ร้าย แต่สัตว์ยักษ์ก็โคลงหัวช้าๆ ราวกับไม่รู้สึกว่านั่นเป็นความผิด

"อันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่มันอยู่แล้ว เช่นนั้นจะส่งเจ้าไปเพื่อการใด..."

เวทอร์สเงียบปากทันทีเมื่อพบว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกดุ หากเวสเทียร์รับรู้ความจริงทั้งหมด

"ท่านพี่ไม่ไปเฝ้าฝ่าบาทหรือ ป่านนี้คงสนทนากับท่านฟาลจนหมดธุระแล้ว" จริงอยู่ว่าเวสเทียร์จะมีช่วงเวลาส่วนตัวยามเย็นบ้างในเวลาที่ฝ่าบาทไคราห์นกลับไปพักผ่อนที่ถ้ำลอดและพูดคุยกับฟาลเรื่องการงานบ้านเมืองประจำวัน ซึ่งโดยทั่วไปก็มีไม่กี่หัวข้อ เป็นต้นว่า การอพยพของฝูงปลาแฮร์ริง การมาถึงของฝูงปลาแซลมอน หรือข่าวการอพยพของวาฬหลังค่อม กลุ่มวาฬที่สนิทกับราชวงศ์มากที่สุด ซึ่งนี่ก็ใกล้ฤดูอพยพของวาฬหลังค่อมแล้ว พวกเขาจะพบกันปีละหนึ่งครั้งก่อนที่ฝูงวาฬจะพากันลงใต้เพื่อเลี่ยงอากาศหนาว และเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ชาวเซลทิคมีโอกาสได้ฟังบทเพลงของวาฬซึ่งขับขานร่วมกับราชาของพวกเขา

เวสเทียร์ยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อนึกถึงเสียงเพลงของฝ่าบาท

ฝ่าบาทไคราห์นมีน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดสำหรับเขา และยิ่งขับขานร่วมกับเหล่าวาฬ มันก็เป็นบทเพลงที่ทรงพลังและตราตรึง

"หากท่านพี่ยิ้มเช่นนั้น เชื่อเลยว่ากำลังคิดเรื่องของฝ่าบาท" เวทอร์สพึมพำ ดึงเวสเทียร์กลับมาจากภวังค์ของตนและกระแอมกลบเกลื่อน ทว่าไม่แก้ต่างในข้อสังเกตของน้องชาย นอกจากฟาลแล้วก็คงจะมีเวทอร์ส ผู้รู้เรื่องของเขากับราชาทะเลเหนือ "นี่ก็เลยเวลาเฝ้ามาสักพักแล้ว หากไม่รีบไป จะไม่ถูกเอ็ดเอาหรือ"

ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ นางเงือกองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตก็โผล่ขึ้นมาด้านหลังคาดันน์ และตบมือลงบนหลังหนาๆ ของมันแทนคำทักทาย "เวสเทียร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง" หญิงสาวเสยผมดำสนิทของนางขึ้นให้พ้นหน้า เผยให้เห็นลวดลายเอกลักษณ์ของเผ่าบนข้างแก้ม "ฝ่าบาทเรียกหาเจ้า..."

องครักษ์หนุ่มกลั้นใจ และโดยไม่รีรอ เขารีบเผ่นกายกลับลงไปในน้ำทันที

"เวทอร์ส..." หญิงสาวหันกลับมา "ท่านฟาลบอกให้เจ้าไปช่วยงานองค์หญิงอาโกรนาห์ นางสนทนาอยู่กับราชินีมารินาการ์ด ทว่ายังไม่มีใครคอยดูแลองค์ชายผู้ติดตามมา" เวทอร์สเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ไหว้วานผู้อื่นที่ดูจะได้งานการมากกว่าเขา หรือผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงที่ไม่ใช่ แต่คนตรงหน้าเขาคือ เลสซีย์ ผู้นำสูงสุดของหน่วยลาดตระเวน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ... หัวหน้าของเวทอร์ส

"เพราะเขาเอ่ยชื่อเจ้า..." เลสซีย์อ่านคำถามได้จากสายตาของลูกน้อง "เขารู้จักเจ้า"

เพิ่งจะพูดคุยกันครั้งเดียวจะไปเรียกรู้จักได้อย่างไร...!

--------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 7.2

เวสเทียร์กลับมายังถ้ำลอดที่ประทับ เขาพบว่าฝ่ายนั้นทอดกายอยู่บนแท่นเดิมและหลับตาพักผ่อนเงียบๆ แต่เสียงลมหายใจก็บอกองครักษ์ได้ว่าราชาหนุ่มยังไม่หลับ "กระหม่อมขออภัยฝ่าบาท" ร่างโปร่งเคลื่อนกายไปข้างแท่นหิน ฝั่งปลายหางของราชาผู้นำ และรอให้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นช้าๆ

"คิดถึงน้องชายขนาดนั้นเชียว"

"กระหม่อมไม่ต้องการรบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาทขอรับ"

"เช่นนั้นแล้วองครักษ์คนสนิทจะมีหน้าที่ใดกัน หากไม่ใช่การอยู่เคียงกายเรา" ฝ่าบาทตำหนิด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งนั่นทำให้เวสเทียร์ต้องก้มหน้านิ่ง ด้วยรู้ซึ้งถึงความผิด แต่ไคราห์นก็เหนื่อยหน่ายจะเอาความ และเขารู้ดีว่าเหตุใดเวสเทียร์จึงพยายามหลบหน้าทั้งที่หน้าที่ของเขาคือการอยู่กับราชาตลอดเวลา

...เลขาอาวุโสของเขา

"พวกวาฬหลังค่อมจะมาถึงในสัปดาห์หน้า เป็นไปได้ว่ามารินาการ์ดจะมีโอกาสร่วมงานเทศกาลประจำปีของเซลทิค" ไคราห์นเริ่ม "แม้เจตนารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเพียงการเดินทางมาเจรจาขอตัวกลุ่มพรานกลับไป แต่มารินาการ์ดก็ไม่ได้ส่งทูตมายังเซลทิคนานมากแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะกระชับความสัมพันธ์" ฝ่าบาทกล่าวเรื่อย "เราจึงสั่งให้ฟาลนำพิณใหญ่ออกมา เพราะไม่ใช่เพียงกลุ่มวาฬเท่านั้นที่พวกเราต้องต้อนรับ แต่หมายรวมถึงอสูรทะเลที่จะมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันอีกด้วย"

การมาถึงของฝูงวาฬหลังค่อมหมายถึงการมาเยี่ยมเยียนประจำปี ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าลงใต้เพื่อจับคู่และเลี้ยงดูลูกวาฬ ดังนั้นเพื่ออวยพรให้กับการเดินทางและการเกิดใหม่ ฝ่าบาททะเลเหนือจะร่วมขับขานเพลงไปกับฝูงสัตว์ และชาวเซลทิคจะร่วมการเต้นรำแหวกว่ายใต้แสงจันทร์อีกด้วย แต่ผู้ที่มาร่วมงานไม่ได้มีเพียงวาฬหลังค่อมเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงอสูรทะเลตัวหนึ่งอีกด้วย มันจะแวะเวียนมาปีละครั้งเช่นกัน ตามสัญญาที่ให้ไว้

พวกวาฬชื่นชอบเสียงเพลง และจะสนุกสนานที่สุดหากฝ่าบาทแห่งเซลทิคเป็นผู้บรรเลงเพลงพิณด้วยตนเอง

"ขอรับ" เวสเทียร์ตอบสั้น

วาฬเพชฌฆาตสมองใหญ่ไม่ใช่รึ กระทั่งคาดันน์ยังฉลาดมากแท้ๆ

แต่เหตุใดองครักษ์เผ่าเพชฌฆาตคนโปรดของเขาจึงโง่ทึ่มเสียเหลือเกิน

ฝ่าบาทถอนใจออกยาวๆ ก่อนจะหยัดกายขึ้นนั่ง และวาดมือช้าๆ ไปข้างตัว ราวกับเป็นสัญญาณให้เวสเทียร์ขยับขึ้นมานั่งข้างกันบนแท่นนอน แน่นอนว่าองครักษ์หนุ่มเข้าใจภาษามือนี้ เขาขยับตัวขึ้นมานั่งเคียงกาย ปล่อยให้มือใหญ่จับปอยผมสีดำชื้นขึ้นทัดหูและเผยให้เห็นต่างหูทองประดับมุกที่ฝ่าบาทเคยมอบให้

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์มุ่นคิ้ว เริ่มเข้าใจความหมายของคนตรงหน้าทีละน้อย "กระหม่อมเกรงว่า..."

"กลัวจะถูกเอ็ดเอาหรือไร" ร่างสูงถามเสียงต่ำอย่างรู้ทัน ทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่สีผิวของเวสเทียร์เข้มเสียจนมองแทบไม่ออกว่ากำลังเคอะเขิน

"ฟาลออกไปเชิญพิณใหญ่ตามคำสั่งเรา เจ้าตีความไม่ออกรึ" เวสเทียร์เผลอขบริมฝีปากตนเองเมื่อเข้าใจนัยแฝงที่แท้จริงของราชา เป็นครั้งแรกที่เขาอยากก่นด่าคนตรงหน้าลอดไรฟันว่าทำเรื่องเล็กให้ใหญ่ไม่เข้าท่า แต่อย่างไรนั่นก็เป็นฝ่าบาทไคราห์น และมันก็เป็นความผิดของเขาเองที่ยั่วเย้าเอาไว้ตั้งแต่เช้า

ปลายนิ้วสากแตะริมฝีปากบางแทนการปรามไม่ให้เขากัดตัวเองจนเลือดซึม

เวสเทียร์หลับตาลงช้าๆ แม้จะอยากจูบปลายนิ้วอันอ่อนโยนนั้น แต่มันก็เคลื่อนหนีไล้ไปตามพวงแก้มของเขาเสียก่อน องครักษ์ทำได้เพียงเอียงหน้ากลับไปหาข้อมือหนา แนบริมฝีปากลงบนเส้นชีพจร และเคลื่อนขึ้นไปยังอุ้งมืออุ่นที่ประคองใบหน้าของตนอยู่

ดูเหมือนการกระทำนั้นทำให้ฝ่าบาทพอใจขึ้น "ตรงอื่นบ้างสิ"

"เราเอง... ก็ไม่ได้หูหนวกหรอกนะ"

ร่างโปร่งกลั้นใจ ค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมองสำรวจคนตรงหน้า ละจากฝ่ามืออย่างนุ่มนวลให้มือใหญ่ขยับไปลูบเส้นผมสีเข้ม ขณะที่เขาแนบริมฝีปากลงบนต้นคอแกร่ง ร่างสูงเป็นฝ่ายเม้มปากบ้างด้วยความไม่คุ้น แต่ราชาหนุ่มคงชอบความรู้สึกเช่นนี้ จึงได้ผ่อนลมหายใจ ปล่อยให้คนตรงหน้าทบทวนสัมผัสที่ค้างคาทีละส่วน

ใจของเวสเทียร์เต้นแรงขึ้นเมื่อเคลื่อนลงต่ำ ลมหายใจอุ่นร้อนลากไล้ผ่านหน้าท้องที่แข็งแน่นด้วยมัดกล้าม และแนบจูบลงแผ่วเบาราวกับไถ่ถามความสมัครใจ หางวาฬขนาดใหญ่ขยับยกทีละน้อย ฝ่าบาทชันขาขึ้นข้างหนึ่ง บังคับตัวเองไม่ให้ทึ้งมือลงไปบนเส้นผมสีเข้มเมื่อริมฝีปากนุ่มฟอนเฟ้นลงต่ำ

ไคราห์นขบกรามด้วยความไม่แน่ใจ... ก็ใครสั่งสอนให้ทำแบบนี้กันหนอ

องครักษ์รวบรวมความกล้า แต่เขาก็กล้าแตะเพียงส่วนปลาย จนกระทั่งได้ยินเสียงสั่นเครือในลำคอด้วยความสุขสม มือใหญ่เกี่ยวร้อยเส้นผมและลูบอย่างอ่อนโยนราวกับปลอบประโลมให้เขาทำแบบเดียวกัน ร่างโปร่งหลับตาลง ก่อนจะครอบครองทั้งหมดของฝ่าบาทด้วยริมฝีปากของตัวเอง

--------------------------------------------------

องค์หญิงอาโกรนาห์สนทนากับราชินีต่างเมืองตามประสาผู้หญิง และแน่นอนว่าคงเป็นการไม่สมควรที่องค์ชายผู้ติดตามจะอยู่ร่วมห้องด้วย เร็กซ์จึงตัดสินใจออกมาจากที่พัก และออกปากถามองครักษ์ในบริเวณนั้นถึงสถานที่ที่คนของของถูกกักบริเวณอยู่ นั่นคือเกลเลสและคณะพรานแห่งมารินาการ์ด

องครักษ์ยามไม่ต้องการบกพร่องในหน้าที่ด้วยการหายไปจากจุดประจำการเพียงเพื่อพาอาคันตุกะเยี่ยมชมอาณาจักร ดังนั้นเขาจึงขอให้องค์ชายรั้งรออยู่สักพักเพื่อให้หน่วยลาดตระเวนที่ไม่ได้มีหน้าที่ในค่ำคืนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย และเมื่อเอ่ยถึงองครักษ์หน่วยลาดตระเวน องค์ชายเร็กซ์ก็ออกชื่อเวทอร์ส หลังจากนึกได้ว่าเขาเคยแนะนำตัวเองว่าเป็นนั่นหน้าที่ของตน

ทำให้ผู้นำองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้ถูกเรียกมารับใช้องค์ชายเร็กซ์

"ฝ่าบาททรงเรียกหากระหม่อมหรือขอรับ" ด้วยความเคยชิน เวทอร์สค้อมหัวลงต่ำและมองเพียงปลาหางสีทองที่สะท้อนแสงจากอำพันวิเศษ และรอฟังเสียงตอบรับจากองค์ชาย ทำให้เขาไม่ทันเห็นเลยว่าอีกฝ่ายพยักหน้า

"ฝ่าบาท..." แต่อย่างไรเวทอร์สก็ไม่กล้าเงยขึ้นสบตาอยู่ดี

"ปลายหางเรามีอะไรอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงจ้องอยู่แบบนั้น" องค์ชายตั้งคำถาม และมันก็ทำให้องครักษ์หนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และสบมองกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย "แล้วเราเป็นองค์ชาย เจ้าลืมอีกแล้วรึ... ฝ่าบาทคือท่านพี่เรจินา"

"ฝ่า... องค์ชาย..." เวทอร์สตะกุกตะกัก "มีสิ่งใดจะรับสั่ง"

เร็กซ์ทอดยิ้มเอ็นดูก่อนจะออกปาก "เราอยากพบพวกพรานมารินาการ์ด เกลเลส ผู้นำของกลุ่มพรานเป็นองครักษ์คนสนิทของเรา" เวทอร์สคิดว่าตนเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก แต่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาทรในน้ำเสียงขององค์ชาย เป็นไปได้ไหมว่าองค์ชายผู้นี้กับองครักษ์คนสนิทที่ชื่อเกลเลสจะมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน เช่นเดียวกับฝ่าบาทไคราห์นและท่านพี่เวสเทียร์ของเขา

...องค์ชายเร็กซ์ก็มีพระชายาถึงสี่องค์แล้วไม่ใช่หรือ!!

"ให้กระหม่อมนำทางนะขอรับ"

ว่าแล้วองครักษ์หนุ่มก็ขยับหางว่ายนำอีกฝ่ายไปยังถ้ำใหญ่ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล โดยด้านในสุดก็คือถ้ำลอดของฝ่าบาทไคราห์น แต่หาเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งจะนำพวกเขาเข้าสู่ส่วนที่ใช้กักบริเวณผู้ทำผิดโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นถ้ำลอดขนาดไม่กว้างขวางมากนัก และไม่มีต้นไม้สวยงามดังเช่นส่วนที่ประทับของฝ่าย แต่ก็มีโขดหินให้พอขึ้นไปนั่งได้ เพราะชาวเงือกเซลทิคไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอากาศเบื้องบนได้ คุกของพวกเขาจึงดูเปิดโล่ง และหากเปลี่ยนร่างเป็นคนก็คงจะวิ่งโทงๆ แหกคุกได้อย่างง่ายดายแน่นอน

แต่ชาวเงือกมีความสัตย์พอที่จะไม่ทำเช่นนั้น...

องครักษ์ยามไม่แสดงสีหน้า แม้ว่าทุกคนจะดูประหลาดใจในการมาถึงขององค์ชายแห่งมารินาการ์ด กลุ่มพรานซึ่งนั่งๆ นอนๆ อย่างไม่มีอะไรทำค่อยหันมา และทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง "องค์ชายเร็กซ์..." เกลเลส ผู้นำกลุ่มพรานยิ้มออกมาด้วยความยินดี ทั้งที่ความผิดที่พวกเขากระทำร้ายแรงมากขนาดนั้นแท้ๆ พวกเขาควรจะสลดหดหู่และอ้อนวอนให้ฝ่าบาทไคราห์นยกโทษให้ด้วยซ้ำ

"องค์ชาย... ได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วย" แต่ประโยคต่อจากนั้นคือคำขอโทษของผู้นำพราน

องค์ชายเร็กซ์ลอบกลอกตากับตนเอง ขณะเคลื่อนร่างไปยังคนสนิทของตน "พวกเจ้าเป็นอะไรกัน จะต้องให้เราลงโทษลงทัณฑ์อยู่ทุกครั้งที่พบหน้า" ผู้เป็นนายยิ้มอ่อนใจ "ผู้มีสิทธิ์ลงทัณฑ์เจ้าคือฝ่าบาทไคราห์น ฝ่าบาทเรจินาเพียงเดินทางมาไกล่เกลี่ยนเพื่อไม่ให้บทลงโทษหนักหนาสาหัสเกินไป" เกลเลสเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินว่าราชินีผู้นำเดินทางมาถึงเซลทิคด้วยตนเองเพียงเพราะเรื่องของพวกเขา

"เจ้าเป็นประชาชนคนหนึ่ง... มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องปกป้อง"

รอยยิ้มขององค์ชายเร็กซ์ช่างอบอุ่น... ในสายตาของเวทอร์ส อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้ใกล้ชิด โดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดมากีดกันราชวงศ์ออกจากประชาชนของเขา และนั่นไม่ใช่ความห่วงหาอาทรที่มีให้เฉพาะบุคคล แต่องค์ชายเร็กซ์ปฏิบัติเช่นนี้กับทุกคนที่เป็นชาวมารินาการ์ด

เกลเลสส่ายหัวและก้มหน้าก้มตาลงด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาขยับหางเบาๆ ครั้งหนึ่งเพื่อลดตัวเองลงอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าองค์ชายเพื่อแสดงความเคารพเทิดทูนอย่างสุดหัวใจ "องค์ชาย... ฝ่าบาท..."

เวทอร์สเพิ่งสังเกตว่าหางของเกลเลสแตกต่างจากหางขององค์ชาย... และมีหนาม

พวกเงือกปลามีเผ่าที่มีหนามบนหางด้วยรึ...!

"ไม่เอาน่ะ... ลุกขึ้นมา เจ้าเป็นถึงองครักษ์คนสนิทของเรา จะใจจืดใจดำไม่มาช่วยแล้วจักเป็นนายที่ดีได้อย่างไร" กลายเป็นว่าราชวงศ์แห่งมารินาการ์ดรู้จักปลอบโยนผู้ใต้บัญชาอีกด้วย ทั้งที่มันเป็นความอ่อนแอที่องครักษ์ไม่สมควรมีด้วยซ้ำ เวทอร์สมองดูองครักษ์คนสนิทของอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็รู้ดีว่านั่นคือวิธีการของมารินาการ์ดหาใช่เรื่องที่เขาจะต้องหัวเสีย

แต่นี่ก็อาจเป็นเหตุผลที่องครักษ์แห่งเซลทิคได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มเงือกที่แข็งแกร่งที่สุด

ชายหนุ่มยืดอกขึ้นน้อยๆ ด้วยความภูมิใจ แม้จะไม่มีร่วมรู้ไปกับเขา

คาดันน์จะต้องเข้าใจความเออออกับตนเองเช่นนี้แน่ ...แต่คาดันน์อยู่ไหนนะ

ว่าแล้วชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าวาฬยักษ์ที่อยู่กับตนตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาหายตัวไป และเขาคงลืมมันเอาไว้ที่โขดหินเบื้องบน จนป่านนี้เลสซีย์อาจไล่ตะเพิดเจ้าสัตว์กวนประสาทตัวนั้นไปลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลเพื่อรอฝูงของมันมาเก็บกลับไปแล้วก็เป็นได้ และเขาก็ควรดีใจที่มีเวลาสงบสุขเสียทีหลังจากถูกมันกรีดร้องอัดหูมาเกือบสามวันเต็ม

...แต่เปล่าเลย เงือกหนุ่มสะดุ้งสะตัวเมื่อช่วงเอวถูกดุนดันด้วยปลายปากขนาดใหญ่ที่นุ่มหยุ่นเหมือนยาง

"เหวอ!"

ทั้งเกลเลสและองค์ชายเร็กซ์ต่างสะดุ้งกับเสียงนั้น ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองวาฬเพชฌฆาตขนาดยักษ์ที่ตามมาถึงในถ้ำ และส่งเสียง 'คลิก' ระรัวราวกับกำลังตำหนิเวทอร์สที่ทอดทิ้งมันไว้กลางทาง "ที่นี่น้ำตื้น... จะเข้ามาทำกันกัน ประเดี๋ยวก็เกยตื้นพุงถลอกหรอก!" เวทอร์สหันไปเอ็ดสัตว์ยักษ์อย่างลืมตัวว่าอยู่ต่อหน้าอาคันตุกะจากต่างแดนน

...ฟู่!

สัตว์ใหญ่พ่นหายใจแรงๆ ก่อนจะว่ายถอยหลังลงไปอยู่ในบริเวณที่น้ำลึกกว่า ซึ่งนั่นก็คือส่วนใกล้ปากถ้ำ

เกลเลสมองอาการว่ายถอยหลังของมันด้วยความทึ่ง "วาฬว่ายถอยหลังได้รึ!" เวทอร์สหันกลับมา และสององครักษ์ก็มองกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยต่างฝ่ายต่างตกตะลึง เกลเลสไม่เคยคิดว่าจะมีสัตว์ชนิดใดว่ายน้ำถอยหลังได้ ในขณะที่เวทอร์สก็แปลกใจว่าทำไมเผ่าอื่นดูจะตื่นเต้นกับการว่ายน้ำถอยหลังนัก

"นั่นก็เป็นคำถามของเราเช่นกัน" องค์ชายเร็กซ์หัวเราะเบาในลำคอ "หากเจ้าวาฬนี่มาตามถึงที่แล้ว เห็นทีว่าเราคงจะต้องกลับที่พักเสียที" องค์ชายว่า เขาหมุนตัวกลับและเตรียมว่ายออกไปจากถ้ำกักบริเวณ เวทอร์สรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยการปรากฎตัวของคาดันน์ทำลายบทสนทนาขององค์ชายและองครักษ์ของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่เอ่ยปากทักท้วงอะไรด้วยนั่นเป็นประสงค์ขององค์ชายเอง

"เจ้าประจำอยู่หน่วยลาดตระเวนหรือ"

อย่างน้อย... องค์ชายเร็กซ์ก็ดูใจดีกว่าฝ่าบาทไคราห์น

"ขอรับ" เวทอร์สตอบสั้นเพียงเท่านั้น ด้วยไม่รู้ว่าตนควรจะอธิบายอะไรต่อหรือไม่ ราชวงศ์เซลทิคไม่ใกล้ชิดกับประชาชนแบบนี้ ต่อให้เป็นองค์หญิงอาโกรนาห์ หรืออดีตองค์ชายรัชทายาทเดียร์ราฮานก็ไม่เคยลงมาคลุกคลีกับประชาชนหรือองครักษ์ลาดตระเวนขนาดลอยตัวนิ่งๆ และลูบหัวคาดันน์อย่างสนิทสนมแบบนี้

"ผิวเหมือนยางเลยนะ"

องค์ชายเร็กซ์พูดกับวาฬยักษ์ และน่าประหลาดใจที่มันดูจะฟังไม่ออกว่าเป็นคำชมทั้งที่เป็นภาษาเงือกเหมือนกับเวทอร์ส อาจจะหลักการเดียวกันกับที่องครักษ์ฟาเบียงเข้าใจภาษาฉลามทั้งที่เขาไม่คิดว่าพวกมันจะสื่อสารได้ แต่อย่างน้อยคาดันน์ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากฝ่ามือนั้นและเริ่มดุนดันปลายปากขนาดใหญ่เข้าหาเป็นการออดอ้อน

น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก

องค์ชายเร็กซ์อาจจะรู้ในเวลานั้นว่าเวทอร์สไม่ใช่คู่สนทนาที่ดี จากลักษณะ 'ถามคำหนึ่ง ตอบคำหนึ่ง' ทำให้สุดท้ายแล้ว อาคันตุกะจากต่างแดนก็พูดคุยกับวาฬแทนที่จะเป็นเงือกด้วยกัน แม้มันจะไม่เข้าใจ และไม่พูดตอบ ไม่ทำเสียง 'คลิก' หรือกรีดร้องอัดหูอย่างที่เคยทำ แต่สัตว์ใหญ่กลับน่าคบหากว่ามาก และใจง่ายยิ่งกว่าง่าย หลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียว มันก็ถึงกับอ้าปากให้องค์ชายสอดมือเข้าไปลูบบนลิ้นสีชมพู

มันชอบการสัมผัสแบบนี้ที่สุด ซึ่งนานๆ ครั้งพวกเขาจะมีเวลาเล่นด้วย

เวทอร์สคิดว่าตนต้องการอากาศ แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายจะลืมไปแล้วว่าเขาหายใจด้วยปอด จึงเป็นการยากที่องครักษ์หนุ่มจะปลีกตัวออกไปซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่น่าจะเสียมารยาท "องค์ชาย..." ชาวเซลทิคด้วยกันจะรู้จังหวะหายใจ และพวกเขาสามารถปลีกตัวขึ้นไปได้ แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการพูดคุยกับราชาทะเลเหนือก็ตาม

แต่องค์ชายเร็กซ์ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเงือกวาฬต้องกลั้นใจ

"ว่ามาสิ..."

"กระหม่อมขอตัวสักพัก" เร็กซ์เหลือบมองคนพูดด้วยหางตา ด้วยเขากำลังระแวงว่าคาดันน์จะกัดมือหรือไม่หากละสายตาไปมองเวทอร์ส แต่กิริยานั้นเองที่ทำให้องครักษ์หนุ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเท่าไหร่ที่เขาพูดน้อย และการเล่นกับวาฬก็เป็นเพียงการประชดประชัน

เหตุใดองค์ชายมารินาการ์ดจะต้องประชดประชันองครักษ์ชั้นลาดตระเวนของเซลทิคเล่า!

"กระหม่อมเป็นองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้..." เวทอร์สตะกุกตะกัก พยายามสานต่อบทสนนทาที่จบลงไปครึ่งชั่วยามที่แล้ว

แต่นั่นทำให้องค์ชายเร็กซ์เข้าใจว่าเขาดึงตัวอีกฝ่ายออกมาระหว่างเวลางาน

"อ้อ... ขอโทษด้วย หากเจ้าต้องทำหน้าที่ก็ไปเถอะ"

...ทำไมองค์ชายผู้นี้จึงขี้ประชดนัก!!

เวทอร์สมุ่นคิ้ว และก้มหน้าลงด้วยความเคยชินเมื่อสนทนากับเชื้อพระวงศ์ "กระหม่อมเพียงแค่พยายามจะแนะนำตัว..." องค์รักษ์หนุ่มว่าต่อไป แม้อากาศที่เหลือในปอดจะเริ่มน้อยลงจนเขารู้สึกมึนชาแล้วก็ตาม "กระหม่อมเป็นน้องชายของผู้นำเผ่าเพชฌฆาต องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์น อายุสิบแปดปีขอรับ"

องค์ชายกะพริบตาปริบ... นี่มันการรายงานตัวของลูกสาววัยสิบขวบของเขา แม่หนูวิเวียน

'ข้าคือวิเวียน องค์หญิงสองแห่งมารินาการ์ด อายุสิบขวบ!'

สุดท้ายแล้วเวทอร์สก็สำลักออกมาเป็นฟองอากาศ และนั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้คาดันน์เข้าใจว่าอีกฝ่ายกลั้นใจต่อไปไม่ได้แล้ว มันว่ายถอยจากองค์ชายใจดี และพุ่งเข้าใส่เงือกหนุ่มอย่างแรงเพื่อดันเขาขึ้นไปเบื้องบน "เวทอร์ส!" องค์ชายเร็กซ์เองก็ตกใจเช่นกัน อีกทั้งทึ่งกับการตัดสินใจของวาฬใหญ่ที่รวดเร็วทันท่วงที

"แค่ก!" เวทอร์สสำลักน้ำ และอ้าปากสูดหายใจให้เต็มปอด ก่อนจะฟุบลงบนหลังของคาดันน์ด้วยความมึนงง

องค์ชายเร็กซ์ตามขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างจากผิวน้ำมากนัก แต่แรงขยับหางของวาฬเพียงครั้งเดียวก็มีพละกำลังมากกว่าเงือกหลายขุม เวทอร์สยังหอบ เขาพยายามตั้งสติเพื่อให้ตนเองกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม แต่เมื่อลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า เขาก็เห็นองค์ชายเร็กซ์ทับซ้อนกันถึงสามร่าง "ฝ่าบาท... กระหม่อมขออภัย..."

"องค์ชาย..." เร็กซ์แก้ไขให้ถูกต้อง "ทำไมองครักษ์วาฬจึงดื้อนัก"

--------------------------------------------------


ในความเป็นจริงแล้ว... วาฬเพชฌฆาต (Orcinus orca) สามารถกลั้นใจได้ราวๆ 20 นาที แต่เพื่อความเว่อร์วังอลังการของชนเผ่าเงือกวาฬ(?) เราขอปรับการกลั้นหายใจเป็น 30-45 นาที (ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทจะแว้บขึ้นไปหายใจทุกๆ 10 นาทีระหว่างว่าราชการ) ในขณะที่วาฬหลังค่อม (Humpback Whale) สามารถกลั้นใจได้ประมาณ 45 นาที

ถามว่าวาฬชนิดไหนกลั้นใจได้นานที่สุด... วาฬหัวทุย (Sperm Whale) กลั้นใจได้ถึง 90 นาที

วาฬเพชฌฆาตชอบการสัมผัส... และแน่นอนว่าการอ้าปากให้ลูบลิ้นคือโคตรอ้อน 555



สงสารเวทอร์ส โดนลืม... เวทอร์สในตอนนี้อายุ 18 ปีเองล่ะ แต่ถ้าใครรู้จักเวทอร์สในสัญญาสาปสมุทรกับสุดขอบทะเลคราม... นั่นคือเวทอร์สในวัย 38 ปีและ 46 ปีตามลำดับ ความสุขุมจึงต่างกันเยอะมากกก (ละชีวิตนางก็หักเหมาก...เป็นหน่วยลาดตระเวนอยู่เซลทิคดีๆ ต้องไปเป็นองครักษ์ที่มารินาการ์ด)

เราเห็นคนสับสน... แม้ฝ่าบาทเลอาฟร์จะได้ชื่อว่าเป็น "พี่ชาย" แต่ในเรื่องนี้คือนางยังไม่เกิดนะขราาา แต่พวกสาวๆ นี่มีศักดิ์เป็นน้อง ก็เลยต้องเรียกพี่กันหมด มี 3 สาวที่อายุมากกว่าเลอาฟร์ นั่นคือ เอนเนส วิเวียน และอาร์นิเอสที่เพิ่งเกิด >.< (ส่วนแอนนิตา จูรา มาเรีย... เกิดหลังเลอาฟร์) (ถ้ามีคนสงสัยอายุท่านน้าในเรื่องนี้...คือ 40 ปี) (กลับไปมองตัวเลข 18 ของเวทอร์สอีกครั้ง) (นั่นแหละ 22 ปีที่ห่างกันนะจ๊ะ)

...ฝ่าบาทกับเวสเทียร์ทำอะไรกัน อืมมม ก็ไม่เชิง...นะ แต่มัน...อืมมม...นั่นแหละ... อิอิ

จริงๆ มันเขียนสนุกกว่าที่คิดแฮะ... คือไม่เคยเขียนเคะแนวนี้เลย (ปกติเราจะชอบเคะราชินี เมะทั้งหมดจะเป็นทีมบูชาเมี---) (อาจจะยกเว้นคูแรนน์ไว้สักคน แต่งเรียฟก็ไม่ได้แนวยอมทุกอย่างขนาดเวสเทียร์... เวสเทียร์นี่เป็นทีมบูชาสามี---) ก็เลยไม่เคยรู้ว่าเวลาลวมลามกล้ามอก กล้ามท้องของฝ่ายรุกมัน... เออ... ภาษากรีดกรายได้อีกกก แล้วเมะต้องสงวนท่าทีขี้เก็กมากกว่าเคะด้วย คือแบบ...โอ้วววว เป็นความท้าทาย

มาพูดเรื่องราชรถของมาริการ์ดที่เทียมลากด้วย "โลมาธรรมดา" มันเป็นสายพันธุ์หนึ่งของโลมาซึ่งอาศัยอยู่มากแถบไอร์แลนด์ (ทะเลเคลติกนั่นเองงง) ที่ใช้ common dolphin เพราะจริงๆ โลมาฝูงนี้ก็คือของกำนัลของเซลติคให้มารินาการ์ด สมัยที่ส่งพระชายามาแต่งงานกับองค์ชายเร็กซ์ (พระชายาที่ไม่เคยคิดชื่อ... อาดูรนัก...)

และเผ่าของเกลเลสคือเผ่าเงือกสเตอร์เจียนล่ะ... ปลาคาร์เวียร์นั่นเอง... ซึ่งปลาสเตอร์เจียนคือลักษณะแข็งแรงน่ากลัวมากๆ เผ่าของเกลเลสจึงเป็นเผ่าองครักษ์ของมารินาการ์ดที่เทียบได้กับเผ่าเพชฌฆาตของเซลทิค

ออฟไลน์ kratair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เเต่งได้สนุกมากค่ะ เราตามมาจากสัญญาสาปสมุทรเลยย เพิ่งมาเจอเรื่องใหม่ของคนเเต่ง :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 8.1

พิณใหญ่แห่งเซลทิคถูกอันเชิญกลับมาจากก้นมหาสมุทร เหตุผลที่ต้องเก็บไว้ไกลขนาดนั้นเนื่องจากความกราดเกรี้ยวของกระแสน้ำด้านบนที่อาจทำให้พิณได้รับความเสียหาย หรือแรงลมเหนือทะเลเองก็รุนแรงไม่แตกต่าง ดังนั้นราชวงศ์เซลติคจึงเลือกที่จะเก็บสมบัติล้ำค่าเอาไว้ในถ้ำเบื้องล่าง และการอันเชิญพิณใหญ่ขึ้นมาก็ต้องใช้แรงเงือกถึงสี่ตน และผู้ควบคุมดูแลอีกหนึ่งตนซึ่งนั่นก็คือฟาล

ราชินีเรจินาเคลื่อนกายออกมาจากที่พักในพระราชวังใต้น้ำ และมองดูเหล่าเงือกวาฬช่วยกันจัดการสถานที่ให้พิณใหญ่ พิณของเซลทิคมีลวดลายสลักเป็นรูปวาฬ มีขนาดใหญ่กว่าพิณของมารินาการ์ดมาก และดูมีน้ำหนักมากกว่ามหาศาล สิ่งที่น่าทึ่งในอีกเรื่องก็คือพิณของเงือกวาฬเป็นพิณคานไขว้สายคู่ นั่นหมายความว่าจะต้องคนเล่นถึงสองคน

...แต่พระนางก็ทราบมาว่าผู้ที่บรรเลงพิณใหญ่คือราชาแห่งเซลทิคเพียงคนเดียว

"อรุณสวัสดิ์ ฝ่าบาท..." น้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกหูทว่านุ่มละมุนเสียจนแทบต้องกลั้นใจทำให้ราชินีต้องหันไปหาต้นทาง และพบว่าฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเคลื่อนกายเข้ามาใกล้พร้อมกับคำทักทาย

"อรุณสวัสดิ์เช่นกัน" เรจินาจรดยิ้มที่มุมปาก "เราได้ยินว่าฝ่าบาทพักผ่อนอยู่ในถ้ำลอดเบื้องบนเพราะต้องหายใจทุกชั่วยาม" องค์หญิงอาโกรนาห์เป็นผู้บอกเล่าเรื่องนี้ และภายในค่อนคืน ดูเหมือนว่าราชินีเรจินาจะรู้จักฝ่าบาทไคราห์นมากขึ้นเสียจนนึกว่าสนิทสนมกันมานับสิบปี "การเป็นเงือกวาฬนี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย"

...การเป็นราชาผิวเผือกนั้นยากเยิ่งกว่าการเป็นเงือกวาฬเสียอีก

ไคราห์นไม่ได้ตอบโต้กลับไป เพียงแต่ทอดยิ้มละมุน "หากการต้อนรับมีเรื่องใดขาดตกบกพร่อง เราก็ขออภัยฝ่าบาทแทนคนของเราด้วย" เซลทิคไม่ได้ใคร่จะมีแขกมาเยี่ยมเยียนมากนัก เนื่องจากทะเลของพวกเขาหนาวเย็นเกินจะทานทน อีกทั้งเผ่าวาฬก็ไม่ใคร่จะสุงสิงกับเงือกด้วยกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเงือกเผ่าอื่น

แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ปฏิบัติกับราชวงศ์อื่นเสมอเมือนที่ปฏิบัติกับราชวงศ์แห่งเซลทิค

"ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฝ่าบาท" เรจินายิ้ม "เรามาในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความผิด จะไปกล้าเรื่องมากใส่เจ้าบ้านได้อย่างไร" แม้จะอยากพูดคุยสัพเพเหระมากกว่านี้ แต่สิ่งที่ติดค้างในใจของราชินีคงเป็นเรื่องสวัสดิภาพคนของนาง "ฝ่าบาทตั้งใจจะตัดสินโทษคนของเราอย่างไร และเมื่อไหร่หรือ"

สมเป็นราชินีแห่งมารินาการ์ด...

ไคราห์นรู้สึกทึ่งกับความตรงไปตรงมาของพระนาง "โชคดีที่วาฬฟินตัวนั้นปลอดภัย เราจึงไม่ได้ถือสาเอาความเอามากมาย แต่อย่างไรก็คงจะต้องลงโทษเป็นตัวอย่าง" ราชินีรู้ดีว่าเผ่าวาฬเป็นเผ่าที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากกว่า ดังนั้นหากจะใช้บทลงโทษของเผ่าวาฬกับคนของนาง เกรงว่าจะหนักหนาสาหัสเกินไป

ทว่าไคราห์นไม่ได้ต้องการลงโทษ "แต่นั่นคือประชาชนของฝ่าบาท..."

ราชินีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้นางเสนอตัวรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะนั่นคือการทำผิดของชาวมารินาการ์ด ไม่ใช่หน้าที่ของราชาเซลทิคที่จะต้องมาสั่งสอน หน้าที่ของพระนางคือการปกป้องประชาชนของตน "ต่อไปนี้ เราจะห้ามชาวมารินาการ์ดไม่ให้ล่าวาฬในแถบตะวันตกอีก"

ทะเลเคลติกของอาณาจักรเซลทิคเป็นทะเลฝั่งตะวันตกค่อนไปทางเหนือ ในขณะที่ทะเลอัลบิออนของอาณาจักรมารินาการ์ดอยู่ฝั่งตะวันออกค่อนไปทางใต้ ดังนั้นอาณาเขตล่าวาฬของมารินาการ์ดจึงแบ่งออกเป็นสองฝั่ง นั่นคือตะวันออกซึ่งก็คือทะเลเหนือ และตะวันตกก็คือทะเลเคลติก ซึ่งฝั่งทะเลเหนือหนาวเย็นมากกว่า และในบางครั้งก็เย็นเกินกว่าชาวเงือกจะทานทนได้ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะล่าวาฬฝั่งทะเลเคลติกซึ่งเสี่ยงต่อการปะทะกับเผ่าวาฬ

การสั่งห้ามล่าวาฬในแถบตะวันตกนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของกลุ่มพราน แต่นั่นก็เป็นข้อเสนอที่เข้าหูราชาเซลทิคอยู่มาก "แล้วหากมีผู้ใดฝ่าฝืนเล่า..."

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตด้วยการออกล่าในน่านน้ำที่อาจจะมีวาฬเยอะกว่า แต่ทรมาณร่างกายมากกว่า และประชาชนเซลทิคเองก็ยังฝ่าฝืนคำสั่ง 'ห้ามเหยียบแผ่นดิน' ของราชาอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นราชินีเรจินาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนของพระนางจะปฏิบัติตามคำสั่งที่ทำให้พวกเขาเสียเปรียบ และเสียประโยชน์

"ไม่หรอก ฝ่าบาท" เรจินาทอดยิ้ม "ด้วยเกียรติของสายเลือดจอมราชัน..."

คำตอบของนางทำให้คนฟังทึ่งไปสักพัก เขาสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามและพลังอันหนักแน่นในน้ำเสียง และเป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทไคราห์นรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้พูดคุยกับผู้นำอาณาจักรอีกคนหนึ่ง แต่กำลังพูดคุยกับ 'สายเลือดจอมราชัน' ทายาทของเงือกผู้กล้าหาญที่สุดในมหาสมุทร

ประชาชนของเขา... จะมีวันเทิดทูนเขาในแบบที่ชาวมารินาการ์ดบูชาสายเลือดจอมราชันบ้างไหม

ฝ่าบาทไคราห์นหลบตาลงต่ำ และมองดูครีบข้างลำตัวสีทองพลิ้วไหวของราชินีกับปลายหางสีขาวสว่างของตนอย่างไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้

--------------------------------------------------

เวทอร์สออกไปปฏิบัติงานลาดตระเวนตั้งแต่เช้ามืดอย่างแข็งขัน จนคาดันน์ยังแปลกใจและไล่ตามถามด้วยเสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลใด เพราะมันยังกินปลาแฮร์ริงไม่อิ่ม "ไปล่ากับท่านพี่เวสเทียร์โน่น! ข้าจะไปลาดตระเวนฝ่ายใต้ เผื่อว่าจะได้ข่าวสารจากเผ่าวาฬหลังค่อม"

นั่นเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นที่สุดขององครักษ์หนุ่ม เนื่องจากวาฬหลังค่อมจะส่งข่าวลงมาจากทะเลฝ่ายเหนือ

...แต่เวทอร์สต้องการเหตุผลสักประการเพื่อไม่ต้องอยู่ประจำอาณาจักรให้องค์ชายเร็กซ์เรียกพบ

การสำลักน้ำต่อหน้าอาคันตุกะจากต่างแดนนับเป็นเรื่องอับอายขายหน้าของเผ่าพันธุ์ เวทอร์สคิดว่าหากเขากลายร่างเป็นปลิงทะเลเปลี่ยนสีและพรางตัวหายไปกับพื้นมหาสมุทรได้ก็คงจะทำ แม้จะรู้ดีว่าองค์ชายจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ก็ตามแต่อีกฝ่ายกล่าวว่า 'รู้จักเขา' ได้อย่างไร ทั้งที่เพิ่งพูดคุยกันสองครั้ง อีกทั้งเป็นสองครั้งที่ต่างฝ่ายต่างมองหางกันไปมา องค์ชายก็เอาแต่ทึ่งในการว่ายถอยหลังของเขา ส่วนเขาก็เอาแต่ทึ่งหางที่มีเกล็ดสีทอง และเหงือก!

"เวทอร์ส! เจ้าจะรีบว่ายไปไหน!"

เลสซีย์ นางเงือกผู้นำหน่วยลาดตระเวนถามเสียงแข็ง ในมือของนางถือหอกเล่มยาวเรียวเล็กที่ยังมีปลาแฮร์ริงเสียบอยู่เรียงราย มันคงจะกลายเป็นอาหารของใครสักคนที่ไม่ได้ออกไปล่าในเช้าวันนี้ ซึ่งนั่นอาจหมายถึง... ท่านพี่เวสเทียร์ของเขา "ข้าไม่เห็นเวสเทียร์แต่เช้า จึงได้จับมาเผื่อ" มือเรียวจับหางปลาเหล่านั้นรูดออกมาแล้วส่งให้องครักษ์หนุ่ม "ไม่ห่วงพี่ชายเลยหรือไร"

เวทอร์สรับปลามาถือไว้ และคิดจะไหว้วานต่อให้ผู้อื่น เช่นคาดันน์

แต่เมื่อหันไปข้างตัว เขาก็พบว่าวาฬตัวแสบอ้าปากกว้างรอการป้อนอย่างอบอุ่น แทนคำตอบว่าวันนี้พี่ชายของเขาคงจะอดอาหารหากเขาไม่เป็นผู้นำกองปลานี้ไปให้ด้วยตนเอง "เมื่อคืนฝ่าบาทเรียกพี่ชายเจ้าของเฝ้า อาจจะมีเรื่องหรือภารกิจที่เขามอบหมายเร่งด่วน ทำให้เวสเทียร์ออกไปล่าตอนเช้าไม่ได้" เลสซีย์ว่า "ดูแลหน่อยก็แล้วกัน"

เวทอร์สพยักหน้ารับ แต่ในใจค่อนขอดว่าจะเป็นภารกิจอื่นใดไปได้

พวกเขาก็ทำแบบนี้มาตั้งห้าปีแล้วไม่ใช่หรือ...

องครักษ์หนุ่มอยากจะถอนใจสักครั้ง หากไม่ติดว่าเขาหวงอากาศในปอด แล้วจึงว่ายกลับไปยังถ้ำเบื้องบนเพื่อตามหาพี่ชาย แต่หางตาของเวทอร์สก็ทันเห็นร่างสีขาวของราชาผู้นำซึ่งกำลังสนทนากับราชินีต่างเมือง ฝ่าบาทไคราห์นมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าราชินีเรจินามาก ขนาดที่ว่านางอาจต้องใช้มือทั้งสองข้างในการกอบกุมมือของฝ่าบาทไคราห์นข้างเดียว

ราชาทะเลเหนือมีท่าทีสุขุมและวางตัวได้สมบูรณ์แบบเสมอในสายตาของชาวเซลทิค แต่ราชินีแห่งมารินาการ์ดก็ใช่ว่าจะเป็นเพียงหญิงธรรมดา นางคือสายเลือดของจอมราชัน หางมีเกล็ดสีทองที่สามารถสะท้อนแสงได้ทุกเวลาแม้ในความมืด ดวงตาเรียวสวยที่รับกับรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ และเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง เพียงเท่านี้ก็ดูงดงามน่าเกรงขามมากพอแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทแห่งเซลทิคจึงดูเป็นเงือกธรรมดาไปในทันทีเมื่ออยู่เคียงกายพระนาง

ฝ่าบาทเรจินายิ้มแย้มสนทนากับราชาทะเลเหนืออย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ นางสามารถมองสบตา หรือกระทั่งส่งมือให้กับฝ่าบาทได้เพื่อให้เขาประคองมือเรียวเล็กนั้นเอาไว้เป็นการทดสอบพลังที่ราชวงศ์หวงแหน

ดูเหมือนว่าฝ่าบาทไคราห์นจะเสนอสิ่งนั้นด้วยตนเอง เพราะเห็นสตรีตรงหน้าได้รับบาดเจ็บที่ฝ่ามือ

เรจินาดูประหลาดใจกับพลังของไคราห์น นางเพียงเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ปราศจากความหมายแฝงหรือความกำกวม และถอยมือของตนกลับมาอย่างนุ่มนวล แต่พวกเขาก็ยังสนทนากันต่อไปเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และทำความรู้จักกันเพื่อมิตรภาพอันดีของอาณาจักร

เวทอร์สถอนสายตาจากผู้นำทั้งสองเพื่อไปตามหาพี่ชาย และเขาก็ได้พบอีกฝ่ายอยู่ห่างจากฝ่าบาทไม่ไกล และทำหน้าที่ขององครักษ์ที่ดีนั่นคือการตามอารักขาผู้นำอาณาจักร "เลสซีย์จับปลามาให้พี่" เวทอร์สเอ่ยกับอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าเวสเทียร์จะไม่รับรู้การมาถึงของเขา ร่างโปร่งยังคงมองไปที่ฝ่าบาทด้วยสีหน้าค่อนไปทางเป็นห่วง

"ท่านพี่..." เวทอร์สเรียกดังขึ้น ดึงพี่ชายของเขากลับมา

"อืม ขอบใจ" เวสเทียร์ถอนสายตากลับมา และมองดูปลาหลายตัวในมือเวทอร์สด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ "แล่ให้ด้วยสิ" ถ้าเป็นเวลาปกติ เวทอร์สคงจะตอกกลับสักทีหนึ่งตามประสาพี่น้อง แต่ครั้งนี้น้ำเสียงของเวสเทียร์แตกต่างออกไปจากเดิม และสายตาของเขาก็เคลื่อนกลับไปมองราชาทะเลเหนืออีกครั้งราวกับไม่ไว้ใจให้อีกฝ่ายพูดคุยกับราชินีแห่งมารินาการ์ดตามลำพัง

ผู้หญิงตัวเล็กเท่านั้นคงทำอะไรฝ่าบาทไม่ได้... หากหมายถึงการกระทำทางกาย

แต่เวทอร์สรู้ดีว่าเวสเทียร์เป็นห่วงด้าน 'จิตใจ'

"ท่านพี่..." คนเป็นน้องเรียกอีกครั้ง "ไม่มีอะไรหรอกน่า" สายตาของชายหนุ่มเคลื่อนกลับไปมองฝ่าบาทของตนอีกครั้ง และพบว่าราชาผู้ไม่เคยยิ้มแย้มของเซลทิคกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้สนทนากับราชินีมารินาการ์ด แม้จะเป็นการหัวเราะเบาๆ อย่างสงวนท่าทีตามตำหรับผู้นำก็ตาม

ใจของเวสเทียร์วูบไหวเมื่อความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นมา และเขาก็รู้ว่ามันคืออะไร

องครักษ์คนสนิทหลับตาลง แต่ไม่สามารถทำกระทั่งหันหลังหนี หรือหายหน้าจากไปได้ด้วยหน้าที่ของ 'คนสนิท' ที่ค้ำคอเขาอยู่ เวสเทียร์ขบกรามแน่น พยายามหันไปสนใจปลาในมือของเวทอร์ส ทว่ามันก็ไม่เป็นผล "บ้าจริง..." ร่างโปร่งพึมพำ พยายามใจแข็งด้วยการกำหอกยาวในมือของตนแน่น จนเล็บคมจิกลงบนอุ้งมือของตนเองอย่างแรง

ฝ่าบาทไม่ใช่ของเขา... เขารู้ดีอยู่แล้ว

เวสเทียร์เลือกที่จะกลืนน้ำลายและความรู้สึกของเขาลงคอไป ด้วยรู้ดีว่าต่อให้พูดออกมาก็ไม่ช่วยอะไร

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 8.2

องค์ชายเร็กซ์ผู้ถูกลืมว่ายขึ้นมายังโขดหินเบื้องบน และกระถดตัวขึ้นนั่งเหนือน้ำ พร้อมกับสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอด 'เงือกปลา' มีระบบการหายใจที่ดีกว่าเงือกวาฬ พวกเขามีทั้งปอดที่ใช้สูดอากาศ และเหงือกที่ใช้หายใจใต้น้ำ เมื่อต้องดำดิ่งลงสู่ก้นทะเล พวกเขาสามารถดันน้ำทะเลเข้าไปในปอดให้เต็มได้โดยไม่รู้สึกแสบ และเมื่อโผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมา ก็สามารถขับน้ำออกมาได้เช่นกัน

วิธีการหายใจแบบนี้ทำให้พวกเขาเป็นชาวบาดาลสมบูรณ์แบบ

แต่การสลบโดยเอาหน้าจุ่มน้ำและเหงือกอยู่เหนือน้ำก็ทำให้ตายได้เช่นกัน

เร็กซ์หันไปหาองครักษ์คนสนิทของตนด้วยความเคยชิน แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงถูกคุมขังอยู่ในถ้ำ และรอให้การเจรจาของราชินีเรจินากับราชาไคราห์นจบลงด้วยดี ซึ่งองค์ชายก็เห็นเค้าลางของความราบรื่นมาสักพักแล้วหลังจากฝ่าบาทไคราห์นตรงรี่เข้าไปคุยกับพี่สาวของเขาแต่เช้า

...ฟู่!

เสียงพ่นลมหายใจรุนแรงของวาฬเพชฌฆาตทำให้องค์ชายสะดุ้งจนเกือบตกจากโขดหิน เขามองสัตว์ยักษ์ค่อยๆ ลอยตัวเข้ามาใกล้และเอียงหัวมองเขาด้วยดวงตาทีละข้าง ก่อนจะเผยอปากขึ้นอวดฟันคมที่เรียงรายขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังยิ้มให้ในแบบฉบับของวาฬ "คาดันน์... ใช่ไหม" เร็กซ์เอ่ยถามก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสผิวนุ่มหยุ่นเหมือนยางของมัน

คาดันน์อ้าปากกว้างขึ้นให้อีกฝ่ายลูบลิ้น ดูมีความสุขราวกับเกิดมาเพียงเพื่อเล่นและกินเท่านั้น

วาฬใหญ่เอาคางขึ้นวางเกย และเปล่งเสียงออกมาเบาๆ เสมือนอยากชวนคนตรงหน้าคุย องค์ชายไม่เข้าใจภาษาวาฬ และคาดันน์ก็ไม่เข้าใจคำพูดของเงือกสีทอง แต่เพียงแค่รอยยิ้มของเขา สัมผัสที่อ่อนโยนของเขา และเสียงนุ่มๆ ที่แม้จะพูดแต่สิ่งที่ฟังไม่ออก แต่วาฬยักษ์ก็พบว่ามันอยากจะลอยตัวอยู่นิ่งๆ เช่นนี้ไปอีกแสนนาน

"มาอยู่นี่เอง คาดันน์..."

เสียงเรียกที่องค์ชายไม่ค่อยคุ้นดึงให้คาดันน์กดหัวลงใต้น้ำและพ่นฟองอากาศออกมาระรัวอย่างขัดใจ มันอ้าปากขึ้นอีกครั้งและส่งเสียงแหลมสั้นๆ ราวกับกำลังเถียงผู้มาเยือน องค์ชายเร็กซ์เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน เขามีใบหน้าละม้ายคล้ายเวทอร์ส ทว่ารูปร่างไม่บึกบึนเท่า ดูปราดเปรียวกว่า  มีดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกัน และทรงผมที่คล้ายกันจนอาจจะแยกไม่ออกหากมองจากด้านหลัง

"องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นสินะ"

เวสเทียร์เหลือบตาขึ้นมองเงือกตรงหน้า และเมื่อเห็นหางที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์ ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงด้วยรู้สถานะของคู่สนทนา "องค์ชายเร็กซ์..." เขารู้ว่าคนตรงหน้าคือน้องชายของราชินีเรจินา ผู้ร่วมเดินทางมาในการเจรจาขอตัวกลุ่มพรานมารินาการ์ดคืน และหัวหน้าพรานกลุ่มนั้น ยังเป็นถึงองครักษ์คนสนิทขององค์ชาย

"เจ้าคงเป็นพี่ชายของเวทอร์ส" องค์ชายทอดเสียง ตั้งใจว่าจะถามถึงอาการสำลักน้ำทะเลที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายแสบปอด แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ด้วยรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องน่าอายของเงือกวาฬ "เจ้าวาฬนี่เป็นเพื่อนเจ้าหรือ" องค์ชายวางมือลงบนปลายปากสีดำหยุ่น และคาดันน์ก็เหลือบตามองเวสเทียร์เล็กน้อยด้วยเจตนาจะ 'อวด' เพื่อนใหม่ของตน

"แม่ของคาดันน์ป่วยตายในเขตของอาณาจักร กระหม่อมเพียงดูแลมันชั่วคราว ทว่ามันก็ไม่ยอมกลับไปร่วมฝูงเสียที"

คำตอบกึ่งขับไล่ไสส่งทำให้วาฬยักษ์พ่นลมหายใจแรงๆ และค่อยๆ อ้าปากอีกครั้งให้องค์ชายเล่นด้วย "มันชอบให้ทำแบบนี้นะ" เร็กซ์ลูบมือบนลิ้นนุ่มๆ หยุ่นๆ และตบมือบนกรามใหญ่เป็นสัญญาณให้มันหุบปากลงจะดีกว่า "มารินาการ์ดไม่มีสัตว์ทะเลฉลาดๆ แบบนี้หรอก" เวสเทียร์รู้ตัวว่าเสียมารยาทที่ไม่กล่าวตอบโต้ เพียงแต่เขากลับฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเหตุใดผู้คนจากมารินาการ์ดจึงเป็นที่รักนัก ทั้งวาฬที่คอยติดสอยห้อยตามเขาตลอดเวลาก็เปลี่ยนไปชื่นชอบองค์ชาย และฝ่าบาทไคราห์นผู้ไม่เคยหัวเราะให้เขาได้ยินเลยสักครั้งกลับมีอารมณ์ขันในยามสนทนากับราชินี

ใจที่เคยมั่นคงกลับหวั่นไหวอย่างไม่แน่ให้อภัยในความอ่อนแอ

"เป็นอะไรรึเปล่า..." องค์ชายโคลงหัว ดึงองครักษ์ตรงหน้าให้กลับมาจากภวังค์ของตน "เรายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลยนะ"

"ขออภัยฝ่าบาท..." เวสเทียร์ค้อมหัวลง "กระหม่อมมีนามว่า เวสเทียร์"

เร็กซ์ลอบกลอกตากับตัวเองสามครั้งทางขวา เมื่ออีกฝ่ายเรียกเขาว่า 'ฝ่าบาท' และอยากจะเอ็ดอีกสักครั้งว่าเหตุใดเงือกวาฬเผ่าเพชฌฆาตผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาครึ่งมัจฉาจึงได้ความจำสั้นประหนึ่งเป็นเผ่าปลาทอง แต่ก็ยั้งปากตัวเองทันด้วยนึกขึ้นได้ว่าเงือกเผ่าปลาทองที่ว่านี้ก็คือเผ่าออรันดาของเขาเอง

หากพลั้งปากด่า ...จอมราชันจะต้องเขกหัวเขาในชีวิตหลังความตายอย่างแน่นอน

"องค์ชาย..." เร็กซ์ยังคงยืนยันที่จะแก้ไข แม้ว่ามันอาจจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วก็ตาม "เจ้ามาตามหาวาฬหรือ" องค์ชายแห่งมารินาการ์ดขยับกายลงจากโขดหิน แช่ตัวลงในน้ำเย็นจัดอีกครั้งและสูดหายใจลึกๆ อีกสักครั้งก่อนจะกลับไปหายใจด้วยเหงือกที่ใต้ทะเล "เห็นทีว่าเราก็คงต้องกลับลงไปเช่นกัน"

เวสเทียร์รู้สึกผิดที่เข้ามาขัดจังหวะของคาดันน์กับผู้มาเยือน "องค์ชายอยากเที่ยวชมอาณาจักรไหมขอรับ"

ข้อเสนอของเวสเทียร์ทำให้เร็กซ์หยุดชะงักด้วยความสงสัยหลายประการ ประการที่หนึ่งคืออีกฝ่ายไม่ใช่องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นหรอกหรือ จึงจะไปไหนมาไหนได้โดยอิสระแบบนี้ ประการที่สองคือเหตุใดเวสเทียร์จึงอยากพบวาฬเด็กที่ดูจะมีงานอดิเรกเป็นการกวนประสาท และประการที่สามคืออาณาจักรเซลทิคแห่งนี้ไม่มีดอกไม้ทะเลสักต้น แล้วองครักษ์ผู้นี้จะพาเขาไป 'เที่ยวชม' อะไรกันหนอ

เวสเทียร์เพียงแค่อยากปลีกตัวออกมาจากสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างที่องครักษ์ระดับสูงไม่ควรจะรู้สึก

และเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าเหตุใด... ผู้นำมารินาการ์ดจึงเป็นที่รักของทุกคน

บรรยากาศรอบตัวเวสเทียร์ต่างจากเวทอร์สผู้เป็นน้องชายยิ่งกว่าปากหน้าผากกับร่องมหาสมุทร องครักษ์หน่วยลาดตระเวน 'ฝ่ายใต้' ผู้นั้นมักมีท่าทีประหม่า และวางตัวไม่ถูก ทว่ายังฝืนแบกรับภาระเอาไว้บนบ่าของตนแม้จะไม่แน่ใจว่าตนจะสามารถทำอะไรได้บ้าง นั่นคือความ 'น่าเอ็นดู' ของเวทอร์ส

สำหรับเวสเทียร์ผู้นี้ ด้วยความที่เขาน่าจะมีอายุมากกว่าเวทอร์สอยู่หลายปี คนเป็นพี่จึงดูสุขุม และวางตัวได้สมกับเป็นองครักษ์ชั้นสูงของอาณาจักร แต่หากแววตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายก็ยังฉายอารมณ์หวั่นไหวที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ออกมาอยู่ดี

ประเดี๋ยวก่อน... ผู้ชายระดับองครักษ์เขาทำหน้าแบบนี้กันด้วยหรือไร

แม้จะเทียบในเรื่องพละกำลังแล้ว เกลเลสของเขาจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ต่อสู้ แต่องค์ชายเร็กซ์ก็มั่นใจว่าองครักษ์คนสนิทของตนมีจิตใจแข็งแกร่งกว่าเวสเทียร์อย่างแน่นอน และคงไม่ต้องพูดถึงฟาเบียง องครักษ์คนสนิทของท่านพี่เรจินา เงือกฉลามตนนั้นอาจเป็นเงือกที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรมารินาการ์ด

ก็เพราะมารินาการ์ดไม่มีเงือกฉลามสักตัว ยกเว้นเขา...

แล้วองค์ชายก็พบว่าตนเองว่ายตามองครักษ์ระดับสูงของเซลทิคลงมาเบื้องล่าง โดยมีคาดันน์ว่ายเคียงข้างตนอยู่ด้วย เร็กซ์เพิ่งรู้สึกในตอนนี้เองว่าเจ้าวาฬเด็กนี่มีขนาดตัวที่ใหญ่โตแค่ไหนเมื่อเทียบกับขนาดตาของมันเอง สัตว์ยักษ์ขยับครีบอกที่มีขนาดใหญ่พอจะบังร่างเงือกทั้งตัวได้ ยกขึ้นป้องร่างขององค์ชายราวกับช่วยคุ้มครองเขาจากภัย... ของเศษน้ำแข็งเหนือผิวน้ำที่อาจจะลอยมาบาดเนื้อ

เร็กซ์ลองจับครีบนั่นด้วยความอยากรู้ พบว่ามันแข็งมากราวกับเนื้อวาฬทำจากไม้หุ้มด้วยหนัง

"พวกวาฬหลังค่อมจะเดินทางลงมาที่นี่ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหมายถึงเทศกาลเล่นแสงจันทร์ประจำปีของเซลทิค" เวสเทียร์พยายามพูดคุย และนี่อาจเป็นข้อดีขององครักษ์คนพี่ที่อย่างน้อยก็ไม่เป็นใบ้เหมือนคนน้อง "ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางลงไปยังทางใต้เพื่อจับคู่และเลี้ยงดูลูกวาฬเกิดใหม่" องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว บรรยากาศของการที่มีใครสักคนมาบรรยายความรู้ใหม่ให้เขาฟัง และนั่นทำให้องค์ชายมารินาการ์ดรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กทั้งที่มีอายุถึงสี่สิบปีและบุตรสาวอีกสามคน

...แต่เขามีแผนจะมีลูกถึงแปดคนเพื่อให้พระชายาทั้งสี่รู้สึกถึงความรักที่เท่าเทียมกัน

"องค์ชาย... จะอยู่ร่วมเทศกาลเล่นแสงจันทร์ไหมขอรับ"

หน้าที่การชักชวนควรเป็นของฝ่าบาทไคราห์น แต่เร็กซ์ก็พอจะเข้าใจว่าราชาทะเลเหนืออาจไม่มีเวลาว่างมาสนทนากับเขาซึ่งเป็นเพียงผู้ติดตาม แต่ต้องสนทนากับราชินีมารินาการ์ด และคงออกปากชวนนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดใจอยู่ดีที่องครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทกลับมาออกปากชวนเขาทั้งที่เพิ่งจะคุยกันเป็นครั้งแรก และนี่คงเป็นประโยคที่สี่หรือห้าที่เวสเทียร์พูดคุยกับเขา

หากเป็นเวทอร์ส... องค์ชายเร็กซ์คิดว่าเขาคงจะสบายใจในการตอบโต้มากกว่า

"เราคงจะให้คำตอบแทนราชินีไม่ได้กระมัง" เร็กซ์เลี่ยงตอบ พวกเขาว่ายผ่านแท่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่เคียงท้องพระโรงแห่งพระราชวังเซลทิค และมองเห็นพิณตัวหนึ่งวางอยู่บนนั้นโดยมีองครักษ์สองตนคอยอารักขาดูแล "นั่นคือพิณแห่งเซลทิคสินะ" อาณาจักรเงือกมักจะมีพิณใหญ่สักตัวหนึ่งเป็นสัญลักษณ์และสมบัติตกทอด และว่ากันว่าพิณของอาณาจักรเซลทิคนับเป็นเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะมากที่สุด

"เพื่อให้ฝ่าบาทขับขานเพลงร่วมกับฝูงวาฬ จึงต้องอันเชิญพิณใหญ่ขึ้นมาจากก้นทะเลขอรับ"

ในน้ำเสียงของเวสเทียร์ เร็กซ์สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเทิดทูนราชาทะเลเหนือมากแค่ไหน และแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่องครักษ์ใต้บัญชาพึงกระทำ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในน้ำเสียงของเวสเทียร์ซึ่งแตกต่างจากเวทอร์ส เมื่อพูดถึงฝ่าบาทไคราห์น สำหรับเวทอร์สแล้ว ความรู้สึกที่เจือใน้ำเสียงคือความยำเกรงและเคารพ

แต่น้ำเสียงของเวสเทียร์กลับเจือด้วยความรักและความหลงใหล

...ไม่ใช่เสียงแบบที่องครักษ์ทั่วไปเขาใช้พูดถึงราชา

องค์ชายส่ายหัวเบาเพื่อไล่ความสงสัยทิ้งไปด้วยตระหนักว่ามันอาจเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง และเอนกายไปหาคาดันน์ซึ่งยังคงว่ายอยู่ข้างๆ สัตว์ใหญ่เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงถามเป็นภาษาที่เร็กซ์ไม่เข้าใจ แต่แล้วเวสเทียร์ก็หันมองข้ามไหล่ตนกลับมาหาวาฬยักษ์ ก่อนจะเดาะลิ้นสั้นๆ ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นคำตอบในภาษาวาฬ

เร็กซ์กะพริบตาถี่... เขาควรไปหัดเดาะลิ้นบ้างดีไหม

--------------------------------------------------

การสนทนากับผู้นำอาณาจักรอื่นทั้งวันทำให้ฝ่าบาทไคราห์นรู้สึกเพลียเสียจนอยากทิ้งตัวลงนอนบนบัลลังก์ใต้ทะเลให้รู้แล้วรู้รอด เพราะระยะทางจากพระราชวังเซลทิคไปจนถึงถ้ำที่ประทับดูจะห่างไกลมากเหลือเกิน เขาพาเรจินาไปเที่ยวชมอาณาจักร ให้นางได้สัมผัสพิณใหญ่ของเซลทิคใกล้ๆ มองความอุดมสมบูรณ์ของแพลงก์ตอน และฝูงปลาหลากชนิดที่เวียนว่ายอยู่ในอาณาเขต

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งฝ่าบาทชื่นชอบ แต่เขาก็ไม่คิดว่าพระนางจะประทับใจร่วมไปกับเขา นั่นคือการออกล่าของเผ่าเพชฌฆาตในยามเช้าของทุกวัน รูปแบบการว่ายน้ำของพวกเขา และการทำงานอย่างเป็นระบบซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นภาพที่สวยงามอีกด้วย

แต่ฝ่าบาทเรจินาเป็นเงือกปลา ดังนั้นพระนางจึงอาจไม่โปรด

เช่นเดียวกับที่เขาทนมองพวกวาฬถูกเข่นฆ่าไม่ได้...

ราชาทะเลเหนือโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง เขาเสยผมสีขาวของตนขึ้นให้พ้นใบหน้า และหันไปข้างกายด้วยความเคยชิน เพียงเพื่อจะพบว่าเวสเทียร์ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา "...ฟาล" ราชากระแอมกับผิวน้ำ แต่ผู้ถูกเรียกกลับว่ายขึ้นมาเบื้องบนอย่างรวดเร็วราวกับรอคำสั่งอยู่แล้ว

"ขอรับ ฝ่าบาท..."

"ไปตามเวสเทียร์มา" ในบางครั้ง เลขาคนสนิทก็นึกสงสัยว่า เหตุใดฝ่าบาททะเลเหนือผู้มีความสามารถในการปรับโทนเสียงเพื่อเรียกใช้คนได้ กลับไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบที่ใช้กับเขาในการพูดกับเวสเทียร์เลย ...ฟาลหมายถึง น้ำเสียงที่วางอำนาจ น่าเกรงขาม และท่าทางของผู้เป็นใหญ่

หากจะเรียกหาเขาเพื่อให้เขาไปตามเวสเทียร์ เหตุใดจึงไม่เรียกเวสเทียร์เสียตั้งแต่แรกหนอ

"ดูเหมือนว่าองค์ชายผู้ติดตามจะเรียกใช้งานเวสเทียร์ขอรับ"

"เหตุใดเขาจึงกล้าเรียกใช้งานองครักษ์คนสนิทของเรากัน" ฝ่าบาทมุ่นคิ้ว "หากเป็นเพราะเรากักขังองครักษ์ของเขาเอาไว้ก็ปล่อยพวกเขาออกมาเสีย" ฟาลค้อมหัวลงเป็นการรับคำสั่งสองประการ ประการที่หนึ่งคือให้ปล่อยตัวกลุ่มพรานจากมารินาการ์ด และประการที่สองคือการเอาตัวเวสเทียร์กลับมาให้เร็วที่สุด

โชคเข้าข้างเลขาคนสนิท... เมื่อดำลงใต้น้ำแล้วพบเวสเทียร์ว่ายตรงมาพอดี

"ฝ่าบาท กระหม่อมขออภัย" องครักษ์คนสนิทค้อมหัวลงเบื้องหน้าราชา "กระหม่อมไม่มีข้อแก้ตัว" ไคราห์นผ่อนลมหายใจด้วยอารมณ์ที่ดูจะสงบลง ก่อนจะกลับไปยังถ้ำที่ประทับ โดยองครักษ์คนสนิทติดตามไปด้วย และเขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายขุ่นเคืองที่เขาหายตัวไป

"องค์ชายเร็กซ์เรียกใช้งานเจ้ารึ" น้ำเสียงของฝ่าบาทขึงขังและคุกคาม แตกต่างจากองค์ชายเร็กซ์ แม้ทั้งคู่อาจจะใจดีเหมือนกันในความคิดของเวสเทียร์ แต่องค์ชายแห่งมารินาการ์ดมักจะทอดเสียงละมุนอยู่เสมอ และชอบถามคำถามที่ทำให้คู่สนทนาใจอ่อนอยู่เรื่อย

...คำถามที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับความรัก ความเอ็นดูจากอีกฝ่าย

"กระหม่อมเห็นองค์ชายอยู่กับคาดันน์ตามลำพัง จึงอาสาพาเขาเที่ยวชมอาณาจักรขอรับ"

"เป็นหน้าที่ของเจ้าหรือไร"

เวสเทียร์ก้มหน้านิ่งเมื่อถูกแทงใจจนจุก "เราจะให้ฟาลไปตามพวกเผ่าโลมา ชายาของเขาเป็นบุตรสาวของตระกูลนั้น องค์ชายเร็กซ์อาจจะสนิทใจพูดคุยมากกว่า" องครักษ์หนุ่มก้มหน้านิ่ง และตำหนิตนเองอยู่เงียบๆ เขาฟังเสียงราชาหนุ่มเคลื่อนกายขึ้นไปบนแท่นหิน และยกหางขึ้นวางบนเบาะรอง

"ราชินีมารินาการ์ดมีอารมณ์ขันมากกว่าที่เราคิดเอาไว้เสียอีก" เมื่อนึกถึงมุกตลกหน้าตายของสตรีที่เป็นถึงผู้นำอาณาจักร ฝ่าบาทก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความขบขัน "กลั้นหัวเราะแทบแย่ ไม่เช่นนั้นต้องสำลักน้ำแน่นอน" เวสเทียร์ไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่พึมพำ 'ขอรับ' อยู่ในลำคอ

เขาไม่ใช่ฟาลที่จะแสดงความคิดเห็นชี้นำฝ่าบาทอะไรได้

และเขาก็ไม่สามารถ... ส่งเสริมเยินยอให้ฝ่าบาทสนิทสนมกับสตรีผู้นั้นได้

"พวกมารินาการ์ดเป็นมิตร พูดคุยได้ง่ายกว่าที่เราเคยคิด ไม่แปลกใจที่เผ่าโลมายกบุตรสาวของตนให้องค์ชายเร็กซ์อย่างง่ายดาย" ไคราห์นเอ่ยต่อไปโดยไม่ได้สนใจท่าทางสงบนิ่งขององครักษ์ข้างกาย เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยพูดอะไรตอบเขาอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ 'เรื่อง' ที่เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคน

...อาจจะนับฟาลเป็นสามก็ได้ แต่ไคราห์นก็ไม่ชอบสักเท่าไหร่

"เจ้าได้คุยกับองค์ชายเร็กซ์... คิดเห็นอย่างไรบ้าง" แม้ว่านั่นจะเป็นคำถามธรรมดา แต่เวสเทียร์กลับคิดว่า เขาจะต้องคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนอย่างดีก่อนจะตอบออกไป

"องค์ชายอ่อนโยนมีเมตตากับคนรอบข้าง และมองโลกในแง่ดีเสมอขอรับ"

"สนิทกันเร็วขนาดนั้นเชียว"

เวสเทียร์ส่ายหัวเบา "กระหม่อมมิกล้า... นี่เป็นความเห็นของคาดันน์ขอรับ"

"เราถามความเห็นเจ้า" ฝ่าบาทเหลือบมององครักษ์คนสนิทด้วยสายตาที่อ่านอารมณ์ไม่ได้

"กระหม่อมไม่มีความเห็นขอรับ" เวสเทียร์ตอบตามตรง เพราะเขาแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยว่าได้พูดคุยกับองค์ชายเร็กซ์เรื่องใดบ้าง เขารู้ว่าตัวเองใจลอย และลอยลับมาหาคนตรงหน้าเพียงอย่างเดียว "ฝ่าบาทไคราห์นคือราชาเพียงองค์เดียวของกระหม่อม" คนฟังผ่อนลมหายใจยาวและหลับตาลง เขาเลือกที่จะไม่ซักไซ้ต่อ เวสเทียร์เริ่มตอบไม่ตรงถามคำถาม อีกทั้งยังกลับไปใช้คำพูดแบบเดิมที่ฟังดูแล้วช่างน่าตื้นตันในความจงรักภักดี

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ไคราห์นคิดว่าตนเองอยากได้ยิน...

--------------------------------------------------


ตอนนี้พยายามจะใส่ปมช่องว่างระหว่างทั้งคู่ เขาอยู่กันมาแบบไม่ค่อยพูดอะไรกัน เหมือนรู้กันอยู่ แต่จะเรียกว่าสนิทก็ไม่สนิท จะห่างก็ไม่ห่าง... พอมีเรื่องกวนใจนิดนึงมันเลยลามเร็ว... เวสเทียร์นี่ดูจะหน่วงเงียบๆ แต่ฝ่าบาทคือเสียงแข็งมาเลย (นิสัยเริ่มชัดแล้วว่าเป็นคนขี้หวง 555)

วิธีการเรียก 'ฝ่าบาท' ของสองพี่น้องที่ดูจะขัดใจองค์ชายเร็กซ์เสียเหลือเกิน มาจากภาษาอังกฤษอันนี้ล่ะ
Your Majesty = ใช้กับกษัตริย์ = ฝ่าบาท
Your Highness = ใช้กับเชื้อพระวงศ์ >> องค์ชาย >> ญาติใกล้ชิดลำดับแรก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2017 08:50:16 โดย khaosap »

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่ะ ตัวละครแปลกดี เป็นเงือกแต่ไม่ใช่เงือกธรรมดาทั่วไปแบบในนิยายอื่นๆ ชอบมากเลย มาถึงตรงนี้แอลืมเรื่องแวมพ์ไพร์ไปเหมือนกัน หวังว่าจะหายจากผีพวกนั้นนานๆนั

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หน่วงที่การไม่ค่อยพูดกันทำให้ดูเหมือนปัญหามันลุกลาม แต่ก็แอบดีใจที่เวสเทียร์มีความรู้สึกหึงหวงกับเค้าบ้างแล้ว ส่วนฝ่าบาทนั้น...ก็หวงได้เสมอต้นเสมอปลายดี แต่อาจจะขัดใจเพิ่มเข้ามาหน่อยเพราะไม่เข้าใจว่าองครักษ์ที่รักเป็นอะไรไป

ปล. ชอบคาดันน์มากเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนน้องหมาที่บ้าน ขี้อ้อน ขี้อวด ห่วงเล่น และเห็นแก่กินได้หน้าเอ็นดูจริงๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
สนุกมาก

โครงเรื่องแน่น โครงสร้างสังคมทั้งในฝูงและระหว่างอาณาจักรสมเหตุสมผลมาก

ให้กำลังใจผู้แต่งค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 9.1

"ทุกครั้งที่เราเห็นฝ่าบาท จะพลอยนึกว่าดวงจันทร์อะไรมาขึ้นอยู่กลางทะเล"

ฝ่าบาทเรจินาหัวเราะก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆ เมื่อราชาหนุ่มเคลื่อนกายเข้าไปหา "นั่นเป็นคำชมหรือเปล่า ฝ่าบาท" ไคราห์นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วจึงค้อมหัวลงบ้างเป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน "ทั้งที่ผิวดวงจันทร์ตะปุ่มตะป่ำขรุขระไม่น่ามองเช่นนั้น"

"เราหมายถึงแสงของดวงจันทร์ต่างหาก" พระนางตอบ "เหตุใดจึงคิดว่าผิวดวงจันทร์เสียได้"

ราชินีมารินาการ์ดทอดกายอยู่บนโขดหินใหญ่ที่บริเวณปากถ้ำ พระนางยกหางขึ้นเหนือน้ำ และทอดมองทะเลเคลติกอยู่เงียบๆ โดยมีองครักษ์ผู้ติดตามจากมารินาการ์ดคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ ฝ่าบาทไคราห์นยกตัวขึ้นนั่งบนหินใกล้ๆ กัน ทว่าอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่า เพื่อไม่ให้ส่วนสูงของตนทำให้อีกฝ่ายต้องแหงนหน้ามอง

"เราคิดว่าชาวมารินาการ์ดไม่โปรดทิวทัศน์เบื้องบนเสียอีก"

"เงือกใดจะไม่โปรดทะเลบ้าง" เรจินาทอดยิ้ม "สาวๆ มารินาการ์ดรักที่จะขึ้นมาสางผม ยามเช้าเราจะได้ยินเสียงพวกนางขับร้องเพลงร่วมกันอยู่ร่ำไป" พระนางเหลือบมองไปข้างกาย นอกเหนือจากฝ่าบาทไคราห์นแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นในบริเวณนั้น ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกของราชาที่มักจะมีองครักษ์คนสนิทอยู่ใกล้ๆ

"แล้วฝ่าบาท... โปรดการร้องเพลงหรือเปล่า" ไคราห์นถาม

ด้วยน้ำเสียงของเขาที่ทุ้มต่ำ ทว่านุ่มนวลอ่อนโยนและกังวาน เรจินาพอจะรู้ว่าคู่สนทนามีความสามารถในการร้องเพลง แม้จะไม่เข้ากับรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มและร่างกายที่แข็งแรงบึกบึนราวกับนักรบโบราณเลยก็ตาม

ราชินีทอดยิ้ม "เราอายุมากแล้ว จะไปสู้สาวๆ ได้อย่างไร"

ฝ่าบาททะเลเหนือหัวเราะในลำคอ "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่โปรดไม่ใช่รึ"

เรจินาเม้มปากเล็กน้อยระหว่างใคร่ครวญคำตอบโต้ "คงโปรดที่จะฟังเสียมากกว่า" พระนางพยายามสนทนาให้เป็นกลาง แม้จะสัมผัสได้กลายๆ ถึงเป้าหมายของบทสนทนาครั้งนี้ แต่จะหักหาญน้ำใจตั้งแต่แรกก็ใช่เรื่องที่ผู้นำอาณาจักรควรทำ "มารินาการ์ดมีกลุ่มนางเงือกประสานเสียง พวกนางจะทำหน้าที่ขับขานบทเพลงในงานเทศกาลสำคัญของเมือง"

"นึกว่าประชาชนจะโปรดเสียงเพลงของฝ่าบาทเสียอีก"

เรจินายิ้มขัน "หากวันใดเราร้องเพลงไม่ได้ขึ้นมา พวกเขามิเลิกโปรดเราอย่างนั้นรึ"

"เช่นนั้นแล้ว..." ไคราห์นทอดเสียง "เหตุใดประชาชนจึงรักฝ่าบาทเหลือเกิน"

ราชินียิ้มตอบ "เราตอบแทนประชาชนไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเคารพนับถือเรา แต่เราสามารถบอกฝ่าบาทได้ว่าเราทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง" ฝ่าบาทเรจินามีอายุมากกว่าฝ่าบาทไคราห์น ดังนั้นความเจนโลกของพระนางจึงมีมากกว่า และคุณงามความดีที่พระนางทำมาตลอดในฐานะผู้นำอาณาจักรก็มีมายาวนานกว่าเช่นกัน "การครองใจคน เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการครองอำนาจเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้นำระดับใดก็ตาม"

การครองใจคนหรือ...

ไคราห์นทบทวน เขาทอดสายตามองออกไปยังทะเลเคลติก และใคร่ครวญคำตอบอยู่เนิ่นนานว่าเขาเคยทำอะไรเพื่อครองใจคนมาบ้างแล้วหรือยัง เขาเคยช่วยเหลือเกื้อกูลประชาชนหรือเปล่า เขาเคยเมตตาผู้คนมากกว่าจะลงโทษลงทัณฑ์บ้างไหม และคำตอบที่ได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความกำกวม

"ฝ่าบาทไม่มั่นใจหรือ"

ราชินีอ่านคำตอบได้จากสีหน้าของคู่สนทนา "หากผู้นำขาดความมั่นใจ ผู้ตามจะมั่นคงได้อย่างไร"

ไคราห์นพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิมเพื่อปกปิดความรู้สึกของตน ความรู้สึกริษยาลึกๆ ที่ราชินีตัวเล็กๆ ผู้นี้ยังมีความภาคภูมิใจในตนเอง แต่เขาซึ่งเป็นถึงราชาทะเลเหนือกลับไม่มั่นใจเลยว่าจะตนเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเหตุผลที่ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใคร่จะได้รับการยอมรับ เป็นเพราะลักษณะภายนอกที่ขาวเผือดผ่าเหล่าผ่ากอแบบนี้ หาใช่กังขาในความสามารถ

"เปลี่ยนคำถามจะดีกว่า" เรจินาเอ่ยต่อ "ฝ่าบาททราบหรือไม่ ว่าจอมราชันเคยทำอะไร"

ไคราห์นผ่อนลมหายใจ "ขายวิญญาณให้กับเทพ กลายเป็นข้าทาสที่ไม่มีวันดับสิ้นลมหายใจ จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดไปในฐานะผู้รับใช้เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ...เพียงเพื่อขอพลังในการคุ้มครองบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม" วีรกรรมอันเสียสละนั้นเป็นที่จดจำ และสร้างความเลื่อมใสประทับใจให้กับอาณาจักรมารินาการ์ด สร้างชื่อเสียงของ 'สายเลือดของจอมราชัน' ให้เป็นสัญลักษณ์ของความเสียสละอันยิ่งใหญ่

"แล้วฝ่าบาททราบหรือไม่ว่าจุดจบของจอมราชันคืออะไร"

ไคราห์นมุ่นคิ้ว ด้วยไม่แน่ใจว่าคำตอบต่อไปจะแทงใจทายาทจอมราชันหรือไม่ "ถูกแวมไพร์ฆ่า..." ร่างสูงสูดหายใจเข้าช้าๆ และกล่าวถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เป็นที่โจษจัน "ถูกผู้หญิงที่รักที่สุดฆ่าอย่างเลือดเย็น แต่ก็ไม่อาจตายได้ จึงต้องเก็บความแค้นเอาไว้และกลับไปเข่นฆ่านางด้วยตนเอง" นั่นคือเหตุการณ์แรกที่ทำให้ชาวบาดาลเกลียดชังผีดูดเลือด เหตุการณ์เมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้วที่จอมราชันแห่งมารินาการ์ดถูกฆ่าโดยผู้หญิงที่เขารักที่สุดซึ่งเป็นแวมไพร์

และนางคือชาร์ดอนเน่... ราชินีแวมไพร์

"ช่างน่าสมเพชที่ราชาบาดาลไปหลงรักผีดูดเลือดชั้นต่ำ ปกป้องและดูแลนางอย่างดีท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้คน และสุดท้ายก็ถูกแว้งกัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด" ราชินีกล่าวเสียงเรียบ "แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้จอมราชันถูกด่าทอต่อว่า ว่าเป็นเงือกที่โง่เง่าที่สุด... ทุกคนยังรักเขาเหมือนเดิม และยังคงยกย่องให้เขาเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในท้องทะเล"

นัยน์ตาสีน้ำตาลของนางค่อยๆ เคลื่อนมามองไคราห์น "ฝ่าบาทมีพลังแห่งราชวงศ์เซลทิคอยู่แล้ว"

"พลังของเราหรือจะเทียบได้กับพลังของจอมราชัน"

"บรรพบุรุษของฝ่าบาทสร้างมันขึ้นมา จะว่ามันไม่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร" เรจินาขยับมือของตนไปสัมผัสมือของราชาหนุ่มช้าๆ "หากมารินาการ์ดมี 'เลือดแห่งผู้เสียสละ' ราชวงศ์เซลทิคเองก็มี 'เลือดของผู้ปกป้อง' เช่นกัน เกียรติของมันไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เหตุใดฝ่าบาทจึงหมดศรัทธาในตัวเองได้"

ราชาหนุ่มถอนใจเบา "เราแตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น"

ฝ่าบาทเรจินาทอดยิ้ม "เราได้ยินเรื่องราวของฝ่าบาทมาตลอด ด้วยผิวพรรณเช่นนี้ แม้ว่าร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงไม่มีข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่อาจครองฐานะเทียบเท่ากับเชื้อพระวงศ์คนอื่นได้" น้ำเสียงของพระนางอ่อนโยนและเข้าใจทำให้คนฟังรู้สึกว่าอีกฝ่ายจริงใจกับเขาอย่างแท้จริง "ฝ่าบาทมิอาจแก้ไขในสิ่งนั้นได้ แต่สิ่งที่ฝ่าบาททำได้นั่นคือการทำให้ผู้คนยอมรับในความสามารถ"

"เราเคยแพ้สงคราม... และทำให้องค์ชายเดียร์ราฮานต้องตาย"

"เรื่องนั้นเป็นที่โจษจันในมหาสมุทร เราทราบดี"

"แล้วฝ่าบาทคิดว่าประชาชนจะยังนับถือความสามารถเราอยู่หรือ"

ราชินีมารินาดาร์ดทอดยิ้ม พระนางบีบมือคู่สนทนาเบาๆ แทนกำลังใจ "หากเราเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินกว่าจะเอาชนะได้ อย่างที่ฝ่าบาทเคยประสบ... เราเองก็อาจจะสูญเสียไม่ต่างกัน" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกก็ค่อยๆ เคลื่อนไปมองสบกับดวงตาหวานสีน้ำตาลอ่อนของราชินี

ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า... ที่ทำให้ใครๆ ต่างหลงรักราชินีแห่งมารินาการ์ด

เพราะความอ่อนโยน นุ่มนวล มีเมตตาของพระนางอย่างนั้นหรือที่ทำให้ประชาชนแห่งมารินาการ์ดยอมรับในตัวราชินี พร้อมจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม หรือกระทั่งเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องราชวงศ์ไว้

เมื่อเห็นคู่สนทนาผ่อนคลายลง ราชินีก็ยิ้มกว้างด้วยยินดีที่สามารถดึงราชาหนุ่มให้ออกจากภวังค์วกวน กังวลและไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองได้

"พวกมารินาการ์ดช่างยิ้มง่าย" ร่างสูงว่า "โลกทั้งใบอาจจะสดใสขึ้นด้วยรอยยิ้มของฝ่าบาท"

"เกินไปกระมัง" เรจินาหัวเราะ "ชาวเซลทิคต่างหากที่หน้าดำคร่ำเคร่งไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย" เมื่อไม่มีความจำเป็นจะต้องกุมมืออีกฝ่ายต่อไป เรจินาก็ค่อยๆ ถอยกลับมา "เคยมีใครบอกฝ่าบาทหรือไม่ ว่าในยามที่ฝ่าบาทยิ้ม แม้จะเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันทำให้ฝ่าบาทดูอ่อนโยนมากขึ้น"

"ไม่เคยหรอก กฎหลักของราชวงศ์เซลทิคคือการห้ามสบตา"

...แต่ก็อาจจะมีคนหนึ่งที่เคยคิดแบบนั้น ทว่าไม่เคยเอ่ยอะไรออกมาให้เขารับรู้เลย

ไคราห์นหัวเราะกับตัวเองก่อนจะแซวอีกฝ่ายกลับ "แล้วเคยมีใครบอกฝ่าบาทหรือเปล่า ว่าในยามที่ฝ่าบาทยิ้มเช่นนี้ มันช่างงดงามเหลือเกิน" พวกเขาอาจจะเรียกได้ว่าเริ่มสนิทสนม แต่สีเรื่อบนพวงแก้มขาวนวลดูนุ่มนิ่มของราชินีก็ทำให้ไคราห์นฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ควรพูดแบบนี้กับผู้หญิง

อันที่จริงก็คงจะมีอยู่หลายคนที่พูดเช่นนี้เมื่อได้สนทนากับราชินีผู้เป็นทายาทจอมราชัน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ชื่นชมหรือเกี้ยวพาราสี แต่ราชินีเรจินาในตอนนี้ก็ดูไม่มีทีท่าจะเสกสมรสกับใคร และคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป

ไม่ใช่เพราะไม่มีใครที่คู่ควร... แต่เป็นเพราะ 'สายเลือดจอมราชัน'

กฎพื้นฐานของการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ นั่นคือบุตรที่เกิดขึ้นมาจะได้ลักษณะของบิดามาทั้งหมด ดังนั้นการที่ราชินีเรจินายังครองตนเป็นโสดนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงเพราะนางคงไม่สามารถให้กำเนิดบุตรที่เป็นเผ่า 'ออรันดา' ได้ ดังนั้นราชินีแห่งมารินาการ์ดจึงยกหน้าที่สืบทอดทายาทให้กับองค์ชายเร็กซ์ทั้งหมด

โดยการปฏิเสธสวามีที่อาณาจักรอื่นหยิบยื่นให้ และรับชายาเข้ามาให้น้องชายแทน

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีเบื้องต้น แต่อย่างไรราชินีก็ยังอยากมีสวามีสักคน และคงจะดีไม่ใช่น้อยหากเป็นสวามีที่ไม่คิดจะมีบุตร เพื่อเปิดทางให้องค์ชายเร็กซ์ได้ก้าวขึ้นเป็นราชาแห่งมารินาการ์ดคนต่อไป ซึ่งหากพูดถึงชายที่คู่ควรจะเป็น 'สวามี' ของราชินีเรจินาในตอนนี้

...ก็เห็นทีว่าจะเป็นฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคกระมัง

--------------------------------------------------

คณะพรานล่าวาฬของมารินาการ์ดได้รับการปล่อยตัวตามประสงค์ของราชาทะเลเหนือ  เกลเลสและพรรคพวกของเขาถูกองค์ชายเร็กซ์อบรมเสียจนหูชา ในขณะที่เวทอร์สฟังการอบรมนั้นอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่ลงโทษให้หนักกว่านี้ แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจยิ่งกว่า นั่นคือเหตุใดองครักษ์จากหน่วยลาดตระเวนฝ่ายใต้อย่างเขาจึงต้องคอยติดตามดูแลองค์ชายเร็กซ์ ทั้งที่ปล่อยให้องค์ชายอยู่กับคาดันน์ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

'เวทอร์ส เราอยากให้เจ้าคอยดูแลองค์ชายเร็กซ์ตลอดเวลาที่พักที่นี่'

...ซ้ำยังเป็นรับสั่งของฝ่าบาทไคราห์นเองด้วย

เงือกหนุ่มพ่นฟองอากาศออกจากปากเล็กน้อยแทนคำบ่นในลำคอ และหันไปมองแผ่นหลังขององค์ชายจากมารินาการ์ด เร็กซ์ยังคงพูดคุยกับเกลเลส ซึ่งเนื้อหาการสนทนาคือการสั่งงาน แน่นอนว่าเจ้าวาฬยักษ์คาดันน์ลอยตัวอยู่เคียงข้างไม่ห่างราวกับเป็นองครักษ์คนสนิทเสียเอง

"นับแต่นี้ไป พวกเจ้าจะต้องไปล่าวาฬในเขตทะเลตะวันออก..." องค์ชายว่า ขณะลูบหัววาฬใหญ่ข้างกาย "ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว เราเกรงว่าพวกเจ้าจะต้องรีบออกเดินทาง ก่อนที่น้ำในเขตตะวันออกจะเย็นมากไปกว่านี้" เร็กซ์หมายถึงทะเลที่อยู่เหนือมารินาการ์ดขึ้นไป ซึ่งมีอุณหภูมิที่หนาวเย็น และผิวน้ำเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว

เกลเลสค้อมหัวลงรับคำสั่ง "ฝ่าบาทและองค์ชายประสงค์จะเดินทางกลับมารินาการ์ดเลยหรือไม่ขอรับ"

"ยังหรอก ท่านพี่ตัดสินใจจะอยู่ที่นี่สักพักเพื่อร่วมเทศกาลเล่นแสงจันทร์ของชาวเซลทิค" เร็กซ์เหลือบมององครักษ์วาฬด้านหลังที่แม้จะดูไม่ใส่ใจพวกเขา แต่เวทอร์สก็รับฟังและจับตามองทุกความเคลื่อนไหว "ไม่ต้องเป็นห่วงไป ที่นี่ไม่อันตรายหรอก"

เกลสเลสเหลือบสายตาไปมองเวทอร์ส ด้วยเขาพอจะคาดเดาได้ว่าองค์ชายเร็กซ์คงจะถูกใจเงือกหนุ่มตนนี้จึงได้สนิทใจจะเรียกหา ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นองครักษ์ของเซลทิค "เช่นนั้น กระหม่อมจะไปลาฝ่าบาท และราชาแห่งเซลทิคก่อนจะเดินทาง"

องครักษ์คนสนิทค้อมหัวลง และออกไปพร้อมกับคณะพรานของเขา

"กระหม่อมขอบังอาจถาม..."

เวทอร์สเคลื่อนกายมาหยุดข้างคาดันน์ และค้อมหัวลงมองปลายหางของอาคันตุกะต่างเมืองเพื่อให้เขาหันมา  "เหตุใดฝ่า... องค์ชาย... จึงเรียกหากระหม่อม" เร็กซ์เลิกคิ้วขึ้น เขายิ้มออกมาด้วยความขบขัน เพราะดูเหมือนว่าเขาจะตามใจเสียจนองครักษ์หนุ่มผู้นี้เริ่มจะนิสัยเสีย ปากกล้ากับเงือกชนชั้นปกครองขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่เขาคงไม่ทำแบบนี้กับราชาแห่งเซลทิคอย่างแน่นอน

"เพราะหากพี่ชายเจ้าพบเราอยู่ลำพังกับคาดันน์ เขาจะพาเราไปชมอาณาจักร" คนฟังเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว และเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปากขององค์ชาย เวทอร์สก็คิดว่าตนหยุดหายใจไปชั่วขณะ

แม้ว่าเขาจะกลั้นใจอยู่แล้วก็ตาม...

ชายหนุ่มรีบกลืนน้ำลายเพื่อบังคับไม่ให้ตนเองสำลักให้อีกฝ่ายเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง "อึ่ก...!"

"เอ้า... ไปได้แล้ว" เร็กซ์จำอาการกระตุกของคนใกล้สำลักได้ เขาจึงว่ายนำขึ้นไปเบื้องบน

รอยยิ้มขององค์ชายเร็กซ์นี่ทำให้เงือกวาฬสำลักน้ำทุกตนรึเปล่านะ

"พี่ชายกระหม่อมเคยทำแบบนั้นหรือขอรับ" เวทอร์สตาค้าง หลังจากตามขึ้นมาเหนือน้ำและสูดหายใจลึกๆ สักครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าเวสเทียร์เคยพาองค์ชายเร็กซ์ไป 'เที่ยวชม' อาณาจักรด้วย อีกฝ่ายเพิ่งมาถึงอาณาจักรเซลทิคได้สามวัน และสองวันในนั้นก็เป็นตัวเขาที่อยู่กับองค์ชายเร็กซ์ แต่สิ่งที่เวทอร์สแปลกใจยิ่งกว่า นั่นคือการที่เวสเทียร์ออกไปไหนมาไหนห่างไกลจากฝ่าบาท

หากจะพูดถึงองครักษ์กับราชาที่สนิทกันที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เห็นจะเป็นเวสเทียร์กับฝ่าบาทไคราห์นี่เอง

"น่าแปลกใจที่องครักษ์คนสนิทของราชากลับมาต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ไม่ค่อยสำคัญเช่นเราเสียได้" องค์ชายหัวเราะเบาก่อนจะนึกได้ "เอ้อ... นั่นไม่ได้ตำหนิหรอกนะ เราเพียงแค่ขบขัน หวังว่าเวสเทียร์คงจะไม่ถูกฝ่าบาทไคราห์นตำหนิเอา"

เวทอร์สมุ่นคิ้ว เพราะเขารู้ดีว่าถ้าฝ่าบาท 'จับได้' ขึ้นมา อีกฝ่ายคงถูกต่อว่าแล้วแน่นอน

"องค์ชายจึงเรียกหากระหม่อมแทน"

เร็กซ์พยักหน้าเบา และพอจะนึกถึงขึ้นได้ว่ามันอาจทำให้เวทอร์สเข้าใจผิด ว่าเขาไม่เกรงใจในหน้าที่ของอีกฝ่าย "แต่ว่า... หากเจ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เช่นการออกลาดตระเวน เจ้าก็ไปได้นะ"

"เช่นนั้นแล้ว ใครจะเป็นผู้ดูแลองค์ชาย" จริงอยู่ว่าเวทอร์สเห็นด้วยกับคำกล่าวขององค์ชายเร็กซ์ เขาควรออกไปลาดตระเวนน่านน้ำฝ่ายใต้ตามหน้าที่ แต่ทะเลเคลติกก็เป็นเหมือนเดิมเช่นทุกวัน อีกทั้งยังมีองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้อีกตั้งมากมาย การที่เขาหายตัวไปสักคนหนึ่งคงไม่เป็นอะไร แม้ว่าเขาจะเป็นถึง 'ผู้นำองครักษ์หน่วยลาดตระเวนฝ่ายใต้' ก็ตาม

"องค์ชายไม่โปรดท่านพี่เวสเทียร์หรือขอรับ"

"จะให้เราโปรดองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นรึ" เร็กซ์เลิกคิ้ว "โปรดแล้วได้อะไรขึ้นมา"

เวทอร์สเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพยายามหาเรื่องมาพูดคุยเพื่อดำเนินบทสนทนาต่อ ก่อนที่องค์ชายจะหันไปเล่นกับคาดันน์ซึ่งกำลังอ้าปากให้ลูบลิ้น "เช่นนั้น..." ชายหนุ่มอึกอัก ด้วยไม่รู้ว่าควรจะถามอย่างไร "องค์ชายโปรดอะไรขอรับ"

"พาเราเที่ยวชมอาณาจักรอีกทีสิ" เร็กซ์ยิ้มขัน "เราโปรดสนทนากับเจ้ามากกว่า"

องครักษ์แห่งเซลทิคค้อมหัวรับคำสั่ง แต่ในขณะเดียวกัน ใจของเขาก็เต้นแรงอย่างหาสาเหตุไม่ได้

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 9.2

ฟาลพบว่าองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทไคราห์นหลบอยู่ด้านล่าง และคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ห่างๆ ด้วยการหลับตาและใช้ประสาทหูในการฟังเสียง ซึ่งทำให้เขาได้ยินความเคลื่อนไหวทั้งจากเหนือน้ำและใต้น้ำ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เวสเทียร์ได้ยินบทสนทนาของฝ่าบาทไคราห์นและราชินีเรจินาด้วย

กระแสน้ำที่พัดมาต้องตัวทำให้องครักษ์หนุ่มลืมตาขึ้น "ท่านฟาล..."

"เวสเทียร์" เลขาอาวุโสพยักหน้าทักทาย "ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะ"

"องครักษ์มารินาการ์ดก็อยู่ด้วย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงขอรับ" ชายหนุ่มตอบ "ท่านมีธุระอะไรหรือเปล่า" แม้จะได้ชื่อว่าเป็นญาติกัน แต่ฟาลก็ไม่ได้สนิทกับเวสเทียร์จนถึงขั้นพูดคุยกันได้ในบรรยากาศสบายๆ ดังนั้นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ฟาลจะเข้ามาคุยกับเวสเทียร์ก็มักจะเป็นเรื่องของฝ่าบาทไคราห์น

"หน่วยลาดตระเวนฝ่ายเหนือเข้ามารายงานว่าฝั่งแผ่นดินดูจะมีพิรุธ" เลขาอาวุโสกล่าว "ดูเหมือนว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามจะเข้าไปสำรวจธราฟัสการ์" เวสเทียร์เบิกตาขึ้น ธราฟัสการ์เป็นชื่อของหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้ผาชายฝั่งซึ่งสร้างโดยชาวเงือกในอดีต พวกเขาเคยเป็นหนึ่งเดียวกับโลกเบื้องบน ใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ไล่ล่าชาวเงือกของแวมไพร์ ฝ่าบาทไคราห์นจึงสั่งปิดหมู่บ้านเป็นการถาวร และแพร่ข่าวว่าชาวบ้านล้มตายจากโรคระบาด ทำให้ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเข้าไปที่นั่น แต่ถึงจะเป็นหมู่บ้านร้าง แต่มันก็ยังเป็นสถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และแน่นอนว่ารวมถึงเสื้อผ้าที่ฝ่าบาทไคราห์นใช้สวมใส่เมื่อขึ้นไปยังโลกเบื้องบนอีกด้วย

"ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่เข้าไปที่นั่น" ฟาลพึมพำ "อาจจะเป็นแวมไพร์"

หมู่บ้านธราฟัสการ์อยู่ห่างจากถ้ำของอาณาจักรเซลทิคพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็สามารถเชื่อมโยงถึงกัน เพราะยังมีเส้นทางที่ทอดยาวจากหมู่บ้านลงไปยังหาดทรายเล็กๆทำให้เงือกสามารถเดินขึ้นมาได้ และหากแวมไพร์ค้นพบเส้นทางนั้น โอกาสที่พวกมันจะค้นพบถ้ำแห่งเซลทิคก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

"เราควรจะรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาท" ฟาลว่า "หากพวกมันค้นพบที่นี่..."

"เหตุใดหน่วยลาดตระเวนฝ่ายเหรือจึงทราบเรื่องบนแผ่นดินได้" ก่อนที่ฟาลจะพูดจบ เวสเทียร์ก็ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา "ธราฟัสการ์อยู่ห่างจากเมืองท่าบาธีมอร์ตั้งมาก แล้วหมู่บ้านร้างที่ผู้คนล้มตายทั้งหมดด้วยโรคระบาดมันฟังดูน่ากลัวไม่พอหรือ เหตุใดจึงมีคนสงสัย และเข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่นั่นอีก หากไม่ใช่เพราะ... มีชาวเราขึ้นไปยังเบื้องบนอีกแล้ว"

ฟาลพยักหน้า "ชาวเมืองขึ้นไปที่นั่น ละเมิดคำสั่งของฝ่าบาทอีกแล้ว"

องครักษ์หนุ่มขบกรามด้วยความขุ่นเคือง "เรื่องนี้ก็ควรรายงานต่อฝ่าบาทเช่นกัน" เขาต้องการการลงโทษให้สาสมกับความผิดของชาวเซลทิคเหล่านั้น ความผิดประการที่หนึ่งก็คือการไม่เคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของราชาผู้ปกครอง และความผิดประการที่สองก็คือการไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของอาณาจักร

"องค์หญิงอาโกรนาห์จัดการเรื่องนั้นแล้ว" ฟาลตอบเสียงเรียบ "พระนางสั่งกักบริเวณพวกเขา เจ้าหนุ่มที่ทำผิดแค่ต้องการจะหาไข่มุกให้เป็นของขวัญแก่หญิงที่หมายปอง"

"ริจะมีเมียแล้วยังคิดได้แค่นี้รึ!" เวสเทียร์ถอนใจ "มนุษย์มันทำไข่มุกได้สวยกว่าชาวเงือกหรือไร"

องครักษ์หนุ่มเป็นห่วงอาณาจักรของเขา แต่โดยที่ไม่รู้เลยว่าเครื่องประดับต่างหูที่ทำจากทองคำเข้ากับไข่มุกซึ่งอยู่บนหูข้างหนึ่งของเขาก็เป็นงานฝีมือของมนุษย์ และผู้ที่มีความเห็นว่าไข่มุกของมนุษย์ดูเข้าท่าเข้าทีกว่าของชาวเงือกก็คือฝ่าบาทไคราห์น ราชาแห่งอาณาจักรเซลทิคเอง

"ฝ่าบาทยังสนทนาอยู่กับราชินีเรจินา แต่เจ้าควรรายงานเรื่องนี้ทันทีที่มีโอกาส"

เวสเทียร์ค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการรับคำสั่ง "ขอรับ"

--------------------------------------------------

ราชาทะเลเหนือใช้เวลาทั้งวันในการสนทนากับราชานีมารินาการ์ด อีกทั้งยังพานางเข้ามาชมภายในถ้ำอีกด้วย และแน่นอนว่าน้ำทะเลใสสะอาด ผนวกกับบรรยากาศร่มรื่นท่ามกลางธรรมชาติทำให้พระนางติดอกติดใจอย่างมากจนอยากจะสำรวจไปเสียทุกที่ แต่อย่างน้อยราชินีก็พอจะรู้จักวางตัวด้วยการปฏิเสธไม่เข้ามาในถ้ำที่อยู่ด้านในสุด แม้ว่ามันจะมีความสวยงามที่สุดก็ตาม

เพราะถ้ำนี้นับได้ว่าเป็นสถานที่ส่วนตัวของฝ่าบาทไคราห์น

ถ้ำที่ประทับของราชาอยู่ด้านในสุดของอาณาจักรถ้ำเซลทิค มีเวรยามรักษาความปลอดภัยในบริเวณทางเข้าซึ่งห่างไกลออกไป ทำให้ราชาทะเลเหนือมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ถูกรบกวน และในตอนนี้ ราชาทะเลเหนือก็นั่งอยู่บนทอดกายอยู่บนแท่นหินที่ประทับ หลับตาพักผ่อนท่ามกลางความสงบและสวยงามของธรรมชาติ หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนา

เงือกวาฬไม่นอนหลับยามกลางคืน พวกเขาพักผ่อนต่อเมื่อเหนื่อยล้าเท่านั้น

เวสเทียร์ควรจะรายงานเรื่องหมู่บ้านธราฟัสการ์ แต่เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของราชาทะเลเหนือเขาก็คิดว่าควรจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนบ้าง อีกไม่นานก็คงจะตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างทุกที

ร่างโปร่งหลับตาลง แต่ยังคงฟังเสียงความเคลื่อนไหว และระวังระไวอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่องครักษ์ ความสามารถในการได้ยินแทบทุกอย่างกระทั่งในยามที่ร่างกายพักผ่อนนี้เป็นความสามารถเฉพาะของเผ่าเพชฌฆาต และดูเหมือนว่าในตอนนี้เวสเทียร์จะเป็นผู้ที่ทำได้ดีที่สุด

เสียงขยับตัวของฝ่าบาททำให้ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทั้งที่เพิ่งงีบไปครู่เดียว

"ไม่หลับไม่นอนรึ"

น้ำเสียงของฝ่าบาทเอ่ยถาม และเสียงน้ำกระเพื่อมไหวก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายขยับตัวขึ้นนั่งช้าๆ ราชาหนุ่มเองก็เพิ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เวสเทียร์จะพักผ่อนอยู่ข้างกายเขาเสมอ แต่ในช่วงนี้องครักษ์หนุ่มไม่มีเหตุผลที่จะขึ้นมาอยู่บนแท่นประทับ จึงไม่แปลกใจที่เวสเทียร์นั่งหลับบนพื้นทรายขาวใกล้ๆ แทน

มันเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายเคยทำในอดีต เมื่อครั้งที่พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน

"กระหม่อมหลับแล้วขอรับ"

ราชาหนุ่มมองอีกฝ่ายก่อนออกคำสั่ง "มานี่สิ" เวสเทียร์ไม่กล่าวตอบ องครักษ์หนุ่มสูดหายใจลึก ขยับกายเคลื่อนเข้าไปหาคนตรงหน้า และยกตัวขึ้นนั่งบนแท่นหินที่ประทับตามคำสั่ง

เขาควรจะหาช่องว่างในการรายงานเรื่องหมู่บ้าน...

ฝ่าบาททอดมองคู่สนทนาอยู่สักพักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบเปรยกับราชินีมารินาการ์ด เวสเทียร์ไม่เคยยิ้ม หรืออาจจะเคยทว่าเขาไม่มีโอกาสได้เห็น ร่างโปร่งมักจะทำเฉยชาและก้มหน้ารับคำสั่งของเขา ไคราห์นไม่คิดมาก่อนเลยว่าบรรยากาศแบบนี้มันน่าอึดอัดขนาดไหน แต่หลังจากได้พูดคุยกับเรจินาในยามกลางวัน กลับมาสนทนากับเวสเทียร์ในยามกลางคืนจึงทำให้เขาเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน

เวสเทียร์เคยรู้สึกอึดอัดไหม แต่อีกฝ่ายปฏิบัติตามหน้าที่จึงไม่เคยพูดออกมา

"ฝ่าบาท... กระหม่อมมีเรื่อง..."

"นั่งเฉยๆ สักพักเถอะ..." ราชาตัดบท เขาคิดว่าเวสเทียร์คงจะพยายามหาข้ออ้างในการลงจากแท่นประทับ องครักษ์หนุ่มมักจะอ้างสถานะของตนในการเว้นระยะ และนอบน้อมเทิดทูนเขาเอาไว้สูงส่งประหนึ่งเทพเจ้าก็ไม่ปาน ซึ่งในตอนนี้ราชาหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจ

หรือเพราะระยะห่างแบบนี้เองที่ทำให้เขาและประชาชนห่างเหินจนเกินไป

"เวสเทียร์..."

"ขอรับ ฝ่าบาท"

"หากเรายกเลิกกฎข้อหนึ่งของราชวงศ์เซลทิค ให้ประชาชนสามารถเงยหน้าขึ้นมองเราได้... พวกเขาจะรู้สึกใกล้ชิดเรามากขึ้นไหม" เวสเทียร์กลั้นใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น และมุ่นคิ้วอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นคำถามหยั่งเชิง และเหตุผลที่ฝ่าบาทนำเรื่องนี้มาพูดกับเขาก่อนแทนที่จะเป็นเลขาคนสนิทอย่างท่านฟาล นั่นก็เราะอีกฝ่ายต้องการให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง

"กฎข้อนี้มีมานานมากแล้ว หากฝ่าบาทจะยกเลิกก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย"

"เจ้าไม่เห็นด้วยรึ"

องครักษ์หนุ่มหลับตาพร้อมกับสูดหายใจลึก "สำหรับกระหม่อม ฝ่าบาทและราชวงศ์เซลทิคสูงส่งเกินเอื้อม จู่ๆ จะให้เงยมองนั้นคงเป็นไปไม่ได้ขอรับ"

"แล้วหากเป็นราชวงศ์มารินาการ์ด... เจ้าเงยหน้ามองพวกเขาได้หรือเปล่า"

เวสเทียร์ไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย แต่ก็ตอบตามตรง "พวกเขาไม่ได้มีพลังเช่นฝ่าบาท"

"แค่มอง เราก็รักษาแผลไม่ได้สักหน่อย" หากราชินีเรจินาจะต้องโดดเดี่ยวเพียงเพราะต้องการรักษาความเป็น 'ทายาทจอมราชัน' เอาไว้ ตัวเขาเองก็คงเดียวดายเพียงเพราะผู้คนเห็นว่าพลังของเขาสูงค่าเกินกว่าจะสัมผัส...

ฝ่าบาทค่อยๆ วาดมือไปบนที่ว่างข้างตัว แทนสัญญาณให้องครักษ์ขยับเข้ามาอีก "เงยหน้าขึ้นสิ"

แม้จะเป็นการออกคำสั่ง และอีกฝ่ายก็ปฏิบัติตามอย่างไร้ความรู้สึก แต่ไคราห์นก็อยากมององครักษ์ของเขาตรงๆ อีกสักครั้ง เผื่อว่ามันจะทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับคนของตนมากขึ้นบ้าง เขาไม่ควรนำเวสเทียร์ไปเปรียบเทียบกับเรจินา อีกฝ่ายเป็นเพียงองครักษ์ ทว่าเรจินาเป็นถึงราชินี ...แต่หากเวสเทียร์ทอดยิ้มเช่นนั้นบ้างมันน่ามองขึ้นอีกสักเท่าไหร่หนอ

องครักษ์คนสนิทเงยหน้าขึ้นมองราชา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนส่ายไหวเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

เวสเทียร์หลบตาลง แต่ไม่ใช่เพราะความอ่อนน้อม รู้ที่ต่ำที่สูง ...แต่เขาเคอะเขิน

ดวงตาของฝ่าบาทเป็นสีน้ำเงินลุ่มลึกดุจมหาสมุทรที่สวยงาม แววตาเฉียบคมของคนที่เปี่ยมด้วยอำนาจ ดูดุดัน น่าเกรงขาม มีเสน่ห์ชวนให้มองต่อไปด้วยความหลงใหล

"ดื้อจริง..." ฝ่าบาทเอ็ด แต่เวสเทียร์กลับรู้สึกว่ามันแฝงด้วยความเอ็นดู เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยิ้มออกมาบ้างหรือไม่ และคงไม่มีความกล้าใดที่จะเงยขึ้นมอง องครักษ์หนุ่มหลับตาลงและนิ่งรอฟังคำสั่งต่อไป

แม้ไม่ได้มองสบตา แต่เวสเทียร์ก็รู้ว่าตนใกล้ชิดราชาหนุ่มเพียงใด

แต่เขาจะได้อยู่ในสถานะนี้ไปอีกนานแค่ไหนหนอ... ในเมื่อการสนทนาระหว่างราชาหนุ่มและราชินีแห่งมารินาการ์ดในวันนี้ พวกเขาจะดูถูกคอกันเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังทิ้งคำพูดหยอดใส่กันเอาไว้อีกด้วย แม้จะเป็นเรื่องดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรจะดีขึ้นจากอดีต แต่องครักษ์หนุ่มก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าหากฝ่าบาทไคราห์นถูกใจฝ่าบาทเรจินาขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น

...เขาจะยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดฝ่าบาทเช่นนี้หรือไม่

มือใหญ่หยาบกร้านเคลื่อนมาสัมผัสเชยปลายคางขึ้น เวสเทียร์หลับตาลง รับรู้ถึงฝ่ามือที่ลากไล้ไปถึงลำคอ และกดโน้มให้เขาเอนเอียงร่างลงไปซบบนแผ่นอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะช้าๆ สงบ และเยือกเย็นสมกับเป็นหัวใจของราชาแห่งเซลทิค

ฝ่าบาทอาจจะเคยประทับจูบบนลำคอของเขา ไม่ว่าจะด้วยแรงตัณหา ความปรารถนา หรือไม่สบอารมณ์กับรอยเขี้ยวที่ไม่อาจจางหาย แต่ไคราห์นไม่เคยแตะต้องริมฝีปากเขา หรือเรือนผมของเขา ดังนั้นความรู้สึกเมื่อริมฝีปากอุ่นแนบจูบลงบนขมับจึงทำให้องครักษ์สะดุ้งน้อยๆ

ราชาหนุ่มมีเหตุผลอะไรกันหนอ

...แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้ แต่เวสเทียร์ไม่แน่ใจว่าเขามีสิทธิ์ไถ่ถาม

มันอาจจะไม่มีคำตอบ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่ไม่เคยจำกัดความ มันเป็นเพียงหน้าที่ ราชาผู้นี้ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับสตรีใด้ได้หากไม่คิดจะแต่งตั้งนางเป็นชายา ดังนั้นการที่เขาหันมาหาเวสเทียร์จึงอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

องครักษ์หนุ่มแนบริมฝีปากจูบบนผิวเนื้อชื้นน้ำบ้าง แทนคำถามที่ทั้งคู่รู้แก่ใจ

ราชาหนุ่มสูดใจลึก ค่อยๆ สางผมกับเส้นผมสีเข้มที่เริ่มแห้งหลังจากอยู่เหนือน้ำเป็นเวลานาน และเมื่อเขาไม่เอ่ยปราม เวสเทียร์ก็เริ่มขยับจูบพรมไปทั่วแผ่นอก พวกเขาเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี และดูจะเป็นเรื่องเดียวที่เข้าใจตรงกันโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ฝ่าบาทต้องการก็ตาม

มือใหญ่ลูบลงไปถึงหลังคอ เกลี่ยเส้นผมหยักยาวเป็นลอนให้พ้นทาง ลากไล้ปลายนิ้วจากลำคอลงไปถึงแผ่นหลัง และผ่านจากแผ่นหลังไปถึงบั้นเอว หางสีขาวค่อยๆ ขยับ แปรเปลี่ยนกลับเป็นท่อนขาแข็งแรงของมนุษย์ ไคราห์นดึงให้อีกฝ่ายขยับขึ้นมาบนร่าง ตัดความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว

เวสเทียร์คงจะอึดอัดใจที่ต้องคอยรับใช้เขา แต่อีกฝ่ายก็อ่อนน้อมยอมตาม ไม่ต่อต้านหรือพูดอะไรออกมา พวกเขาไม่พูดอะไรต่อกัน ปล่อยให้ความเงียบงันตอบคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ โดยไม่รู้เลยว่าคำตอบเหล่านั้นคือความเป็นจริงหรือจินตนาการ

หางยาวสีเข้มกลับกลายเป็นขาบ้าง และอึดใจต่อมาร่างโปร่งก็ตวัดคร่อมอยู่เบื้องบนโดยสมบูรณ์

ไคราห์นโอบรอบช่วงเอวได้รูป ประคองสะโพกสอบแน่นให้สัมผัสกับร่างของตน "วางมือไว้บนบ่า..." คำสั่งทุ้มต่ำออกคำสั่ง ถึงอย่างนั้นเวสเทียร์ก็ไม่อยากทำตาม เขาไม่กล้าสัมผัส ไม่กล้าแม้แต่จะมองว่าริมฝีปากของคนตรงหน้าลากต่ำลงไปมากแค่ไหน

ร่างโปร่งเกร็งแน่นไม่ยอมรับการุกราน แต่สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ดึงดันเข้ามาในร่างได้อย่างสมบูรณ์

เวสเทียร์หอบหนัก รับรู้ถึงฝ่ามือที่กดท้ายทอยของเขาให้แนบหน้าผากตัวเองกับหน้าผากของฝ่าบาท อีกฝ่ายไม่เคยปลอบโยน แต่ก็ไม่เคยดึงดันจนเขาบาดเจ็บ ร่างสูงค่อยๆ ขยับกายเข้าหา เนิบช้าในตอนแรก แล้วจึงค่อยเพิ่มความเร็วและรุนแรงขึ้นตามอุณหภูมิร่างกาย

"...!"

ร่างรองรับขบริมฝีปากตนเองจนได้เลือด ลมหายใจที่ติดขัดแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบหนักหน่วง ในขณะที่มือทั้งสองข้างยอมวางบนท่อนแขนแกร่งตรงหน้าเพื่อพยุงกาย ฝ่ามือหยาบกร้านกลับฟอนเฟ้นไปทั่วร่างอย่างหยาบโลน ขณะขยับโยกสวนขึ้นอย่างดุดัน

เวสเทียร์ไม่เคยหลุดเสียงคราง แต่ร่างโปร่งก็แอ่นกายด้วยความรู้สึกดี ลมหายใจหอบถี่ที่ทั้งคู่แยกไม่ออกว่าเป็นของใครดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสียงเสียดสีขยับกายเข้าหากันที่ดังจนหยาบโลน ไคราห์นประคองร่างของเขาไว้ กดกระแทกบดเบียดเข้ามาจนสุด เพื่อปลดปล่อยความปรารถนาเมื่ออารมณ์ของพวกเขาโหมขึ้นไปจนถึงสุด

ประชาชนคงยินดีหากจะได้ใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ยิ่งขึ้น

...แต่สำหรับเวสเทียร์ เขากลับอยากเก็บฝ่าบาทเอาไว้เพียงคนเดียว

--------------------------------------------------


โอย 555 ว่าจะสู้อัพอาทิตย์ละ 2 ตอนดู (จันทร์ กับ ศุกร์) ...คือคู่นี้มันหน่วงมาก กลัวจะอกแตกตายกันซะก่อน

ฉากของฝ่าบาทไคราห์นกับฝ่าบาทเรจินานี่กลายเป็นง่ายไปเลยเมื่อเทียบกับฉากสุดท้ายเนี่ย!?

ปมของฉากแรกคือเหมือนทั้งคู่เริ่มจะมองกันในเรื่องของผลประโยชน์แล้วล่ะ... ฝ่าบาทไคราห์นก็หล่อ (นางหล่อนะ แต่ขาวเผือก) สง่างาม สมเกียรติ แล้วปณิธานของฝ่าบาทก็ชัดเจนว่าจะไม่มีลูก กลัวลูกพิการไปมากกว่านี้ (การเป็นอัลบิโนนี่คือไม่ใช่แค่ขาวอย่างเดียวนะ มันป่วยหลายอย่าง) ส่วนฝ่าบาทเรจินาก็เป็นผู้หญิง สวยนิดนึง แต่ฉลาด มีชั้นเชิง และฝ่าบาทก็ตั้งใจจะไม่มีลูก เพราะลูกที่เกิดมาจะไม่ใช่เผ่าออรันดาแน่นอน (จะต้องได้ลักษณะของพ่อมาแทน)

สำหรับใครที่งงเลขอายุ... ฝ่าบาทเรจินาอายุ 60 แล้ว แต่เงือกอายุ 60 นี่พอๆ กับผู้หญิงอายุ 40 อ่ะนะ

ส่วนฝ่าบาทไคราห์นอายุ 35 (ฝ่าบาทชอบผู้หญิงแก่กว่าสินะคะ...)

มันเลยกลายเป็นว่า... ต่างฝ่ายต่างเริ่มคิดว่าถ้าจีบกันเอง มันจะส่งเสริมบารมีซึ่งกันและกัน 'สายเลือดจอมราชัน' ของเรจินาเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในกลุ่มเงือก (แค่เกล็ดสีทองมะลังมะเลืองนี่ก็หรูแล้ว) และฝ่าบาทไคราห์นก็เริ่มรู้สึกว่าการปกครองแบบมารินาการ์ดดูจะอบอุ่นและเข้าท่ากว่าการปกครองแบบยกราชาไว้เป็นเทพ ในแบบของเซลทิค

แต่สำหรับเวสเทียร์แล้ว... ไคราห์นก็คือเทพสำหรับเขาอยู่ดี



ในส่วนขององค์ชายเร็กซ์... เราว่าตัวละครนี้มีความเป็นมารินาการ์ดสูงมากกก ใจดี มีเมตตา ยิ้มง่าย และหว่านเสน่ห์ไปทั่วแบบไม่รู้ตัวเลย (ทรงคิ้วท์ไหมล่ะะ ะ) และมีความเกรียนเบาๆ นั่นคือการพยายามทำให้เวทอร์สติดนิสัยของเงือกมารินาการ์ดด้วย จะเห็นว่าหลังๆ เวทอร์สเงยหน้าขึ้นมอง และเริ่มต่อปากต่อคำบ้างแล้ว

เหมือนเขียนคู่นี้ขึ้นมาฮีลคู่หลัก เพราะคู่หลักดูจะอึดอัดกันไปแบบนี้อีกสักพักใหญ่ๆ

สำหรับเรื่องของหมู่บ้านธราฟัสการ์... มันเป็น timeline ของเบื้องบน (อย่าเพิ่งลืมว่าอาณาจักรเซลทิคมีปัญหากับแวมไพรรร์) ในขณะที่องครักษ์และราชาและอาคันตุกะวนจีบกันไปมา ศัตรูของพวกเขาก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว หึหึ


นานๆทีจะเจอคอมเม้นท์... ยังไงก็... ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่าา  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ดีนะครับ ก่อนคอมเมนท์เรื่องนี้...ผมแอบสะกิดใจ แวบไปอ่านผ่านๆเรื่องเงือกที่คุณข้าวบอกไว้ตอนต้นประมาณ 3-4 ตอน แต่ก็เล่นเอาใจหาย + งงๆไปนิดหน่อยเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ)

จุดแรกคือชื่อของราชินี แม่ของเลอาฟร์ ที่แตกต่างกับเรจิน่าในตอนบทต้นๆ เลยทำให้งง แต่อ่านจากรูปการณ์ก็คงจะ...อืม นะ คนเดียวกันมั้ง ดังนั้นคุณข้าวเลยทำเรือผมล่มครับ!! /โวยวาย พออ่านบทเก้าแล้วผมนี่ลุกขึ้นชู้ายไฟ ไคราห์น x เรจิน่า เลย (หัวเราะ) คือเคมีและดูท่าทางประสบการณ์จะใช้ช่วยกันบริหารบ้านเมืองได้ดีครับ น่าสนใจมากคู่นี้ แต่ดัน.....เฮ้อออ

จุดสอง ผมว่าโครงความทับซ้อนของเร็กซ์กับเวทอร์สอาจจะต้องไปปรับนะครับ และแนะนำว่าให้ปรับที่เรื่องเก่า เพราะดูเหมือนบทสนทนาในเรื่องนั้นหลายๆอย่าง ถ้าเราอิงพื้นอดีตจากเรื่องนี้ บทสนทนาตรงนั้นจะดูทับซ้อนและเหลื่อมกันอย่างเห็นได้ชัดว่ามี plot error ครับ

จุดสาม เรื่องนั้นคุณข้าวเขียนจับคู่ได้น่าสนใจมากครับ! (หัวเราะ) เรื่องนั้นนี่น่าอ่านพอสมควรเลยครับ แต่พอเจอองค์ประกอบแวดล้อมพล็อตหลายๆอย่าง มันเลยทำให้ผมทะแม่งๆ ทั้งภาษาพูดที่ดูจะวัยรุ่นไปหน่อย เส้นทางการเดินพล็อต มันเลยทำให้ความน่าสนใจส่วนตัวสำหรับผมลดลงไป ความจริงเส้นทางการเดินพล็อตคุณข้าวโอเคนะครับในเรื่องนั้น แค่ลอจิกบางตัวละครมันทะแม่งๆ และผมก็ยังไม่ชินซะทีกับการเดินพล็อตแบบ Game of Thrones นี่ล่ะ (ฮา) เพราะการเดินเรื่องแบบ straightforward เป็นเส้นตรงไปยังจุดจบโดยไม่ได้ให้รายละเอียด parallel line ของเส้นทางชีวิตคนอื่น มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ซึมซับดีเทลของเรื่องน่ะครับ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด