Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Celestial Blue บัลลังก์จ้าวนารา [08-11-2017] แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 47523 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อะไรคือสามคนหวานมัน?

ไคราห์นนี่คนรักก็ยั่ว น้องก็อ้อน แล้วตัวเองยังอ่อยเวสเทียร์คืนอีก

นี่ทะเลนะ ไม่ใช่บ่อน้ำอ้อย
อิจฉา!

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 23.2

ราชาทะเลเหนือได้รับบทเรียนว่าอย่าทำให้น้องสาว 'งอน' เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นนางจะจับเขาถักเปียยาวตลอดจนปลายผม และขอร้องแกมบังคับไม่ให้เขาแกะมันออกจนกว่าจะหมดวัน ดังนั้น ฝ่าบาทไคราห์นจึงต้องลงไปพบราชินีเรจินาทั้งที่ยังเปียผมอยู่

แต่การเปียผมเป็นรสนิยมส่วนตัว ดังนั้นฟาเบียงจึงไม่แสดงความคิดเห็น

องครัก์คนสนิทของราชินีเรจินาเป็นเงือกฉลามขาว อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางดุดันแข็งกร้าวแบบเงือกฉลามอื่น แต่ด้วยสัญชาติญาณของเงือกวาฬที่มักไม่ถูกกัน ทำให้ฝ่าบาทไคราห์นลอบตั้งสมญาให้อีกฝ่ายว่า 'เจ้าหูทึบ' เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งฟาเบียงยังดูจะหูทึบจริงๆ เพราะหากเงือกวาฬได้ยินเสียงสักร้อยเสียง ไคราห์นเชื่อว่าฟาเบียงได้ยินเพียงสิบเสียงเท่านั้น

แต่อีกฝ่ายดูแลราชินีแห่งมารินาการ์ดได้ดี ไม่มีข้อบกพร่องเลยทีเดียว

"แม้พลังของฝ่าบาทจะช่วยเยียวยาบาดแผลได้ แต่การเสียเลือดปริมาณมากทำให้พระนางอ่อนเพลียอย่างช่วยไม่ได้" ราชินีมารินาการ์ดฟื้นแล้ว แต่พระนางก็ยังไม่อยากลุกไปไหนด้วยรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว ราชาทะเลเหนือทอดกายลงนั่งเคียงข้างแท่นประทับและจับมือเรียวบางกอบกุมเอาไว้

"ทำไมราชาเซลทิคจึงได้ฟื้นตัวเร็วนักหนอ" เรจินาหัวเราะ

"หากได้เนื้อวาฬมาช่วย เราคิดว่าพระนางจะหายในเร็ววัน..." ไคราห์นเปรย

ชาวมารินาการ์ดนิยมบริโภคเนื้อวาฬในฤดูหนาว เนื่องจากสารอาหารและปริมาณแพลงก์ตอนลดน้อยลง อีกทั้งอุณหภูมิของน้ำที่ลดลงทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะจำศีล เผาผลาญน้อย และรักษาตัวเองช้าอีกด้วย แต่คำพูดของราชาเซลทิคก็สะเทือนใจเงือกวาฬมากเช่นกัน พวกเขามีกฎห้ามใครก็ตามล่าวาฬในเขตอาณาจักร แต่ในตอนนี้อาจต้องเป็นผู้ล่าเสียเอง

การนอนพักเฉยๆ ไม่อาจช่วยเรจินาได้... ไคราห์นคิดเช่นนั้น

"ป่านนี้พวกวาฬอพยพลงใต้หมดแล้ว พ้นเขตทะเลเคลติกอย่างแน่นอน" ราชาว่า เขาหันไปหาองครักษ์ฟาเบียง "เราสามารถติดต่ออาณาจักรอาร์มาดาได้ พวกวาฬจะไปชุมนุมที่นั่นในฤดูนี้ ขอเพียงแค่ไม่ใช่วาฬแม่ลูกอ่อน ชาวเราก็พอจะรับได้บ้าง" อาณาจักรอาร์มาดาอยู่ในทะเลทางตอนใต้ของมารินาการ์ด และเป็นที่อาศัยของเหล่าเงือกมาร์ลิน นักล่าผู้แข็งแกร่งอีกเผ่าหนึ่ง

ฟาเบียงค้อมหัวลงน้อยๆ "ฝ่าบาทมีเมตตา... แต่มารินาการ์ดสูญเสียผู้นำกลุ่มนักล่าวาฬไป"

เขาหมายถึงเกลเลส... องครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์

"เผ่าเพชฌฆาตมีความสามารถในการล่าวาฬอยู่แล้วขอรับ ขอเพียงแค่ไม่ใช่ในอาณาเขตของเซลทิค" เวสเทียร์เอ่ยขึ้นราวขันอาสา "กระหม่อมจะรับหน้าที่นี้เอง" ราชินีเรจินามีบุญคุณไม่เพียงแต่กับฝ่าบาทไคราห์น แต่รวมทั้งตัวเวสเทียร์ด้วย ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้นางหายเร็วขึ้น

"เจ้าอยู่ที่นี่" ไคราห์นปราม "มอบหมายงานให้หน่วยอื่นไป"

เวสเทียร์รู้ว่าทำไมราชาจึงรั้งเขา แต่ถึงอย่างนั้น... "ฝ่าบาทไปร่วมไปด้วยก็ได้นี่ขอรับ"

ไคราห์นเลิกคิ้วสูง เขาหันมองเวสเทียร์ เช่นเดียวกับฟาเบียงที่หันมองเวสเทียร์ด้วยเช่นกัน เพราะนี่เป็นวิธีดื้อรั้นที่แปลกใหม่เสียจนคนฟังยังทึ่ง แทนที่จะดึงดันเดินทางไป เจ้าผู้นำเผ่าเพชฌฆาตนี่กลับชวนราชาแห่งเงือกวาฬให้ออกไปล่าวาฬด้วยกัน!

"เราไม่ล่าวาฬ" ไคราห์นปฏิเสธนิ่ม "และเจ้ามีหน้าที่อารักขาเราไม่ใช่รึ"

"ขอรับ" เวสเทียร์ยอมแพ้ และค้อมหัวลง "กระหม่อมจะมอบหมายงานต่อ"

เรจินาสูดใจเข้าลึกๆ และเหลือบมองท้องฟ้าเบื้องบน "ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ฝ่าบาท" นางรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนกำลังฟื้นตัว เนื่องจากฝ่าบาทไคราห์นกุมมือเอาไว้ แต่ใจคอจะให้เขามานั่งเคียงข้างนางไปตลอดก็คงไม่ใช่เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าฟาเบียงแบบนี้

อีกฝ่ายยังไม่รู้เรื่องฟาเบียง... และพระนางก็คิดว่าควรจะรีบพูด

"สงบดีแล้ว ฝ่าบาท" ราชาทอดยิ้ม "แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังวางใจไม่ได้" ไคราห์นคิดว่าเขาจะต้องไปพบเจ้าราชาแวมไพร์นั่นอีกสักครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางต่อไป แม้ทุกอย่างจะดูคลี่คลาย แต่เขาก็ไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไร "เราขอบคุณในน้ำใจฝ่าบาท บุญคุณครั้งนี้จะต้องมีการตอบแทนอย่างแน่นอน"

ขอแค่ไม่โกรธที่เราจะแต่งงานก็พอ... เรจินาถอนใจ

พระนางออกแรงบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ "ฝ่าบาทต้องขึ้นไปหายใจแล้วกระมัง" ราชินียิ้มขำ "เรามีฟาเบียงคอยดูแลแล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงไปหรอก" ราชาหนุ่มเหลือบมองไปยังองครักษ์ ผู้ซึ่งมองเขาไม่วางตานับตั้งแต่เข้ามายังที่ประทับรับรองแห่งนี้ ไคราห์นค่อยๆ ปล่อยมือนาง เขาถอยตัวออกห่างราชินีก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆ

"คนรักของพระนางน่ะหรือ..."

"เอ๋..!" เรจินาผุดลุกขึ้นนั่งด้วยตกใจผิดวิสัยคนป่วย ก่อนจะงอตัวด้วยความจุกที่กลางอก

"ฝ่าบาท!"

ไคราห์นเอื้อมไปประคองพระนาง แต่คนที่เกือบจะไวกว่าเสียงคือองครักษ์ฟาเบียง  ราชาทะเลเหนือถอยจากอีกฝ่ายเมื่อถูกนัยน์ตาสีเข้มดุดันมองกลับเป็นเชิงเอ็ด "ฝ่าบาทหยอกแบบนี้ หญิงใดจะไม่ตกใจบ้าง" ฟาเบียงหลบตาลงตามเดิมเมื่อสังเกตได้ว่าเวสเทียร์เองก็จดจ้องเขาอยู่

เรจินาไม่เข้าใจผู้ชายพวกนี้... นี่พวกเขาพูดจริงหรือเล่นอยู่กันแน่!

"ฝ่าบาทอำเราเล่นหรือเปล่า" เรจินาถอนใจ "เรากับฟาเบียง..."

"บางทีกษัตริย์ก็มีเหตุผลในการปกปิดความสัมพันธ์กับองครักษ์" ไคราห์นยิ้มจาง คำพูดนั้นทำให้เรจินาต้องเงยขึ้นมองคู่สนทนา พระนางพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น ดูเหมือนว่าฝ่าบาทไคราห์นจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพระนางกับองครักษ์คนสนิทแล้วจริงๆ "เราปฏิเสธกันไปแล้วไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทเรจินา"

ใช่... พวกเขาเคยหยั่งเชิงปฏิเสธกันไปแล้ว แต่เรจินาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

ราชินีมารินาการ์ดถอนใจเบา เห็นทีว่าพระนางคงต้องเป็นฝ่ายเริ่ม เพราะฝ่าบาทไคราห์นเองก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจสตรี พระนางควรจะเป็นฝ่ายชัดเจนแต่แรก "ฟาเบียงมาจากไรห์วา" คู่สนทนาของนางพยักหน้าช้าแสดงอาการรับรู้ "เขาเป็นน้องชายอดีตราชาแอนโธเน่แห่งไรห์วา"

"เราทราบเรื่องบัลลังก์แห่งไรห์วาแล้ว" ไคราห์นตัดบทนุ่มนวล "อดีตราชาเอลเซียร์ยกบัลลังก์ให้องค์ชายรอยซึ่งมีอายุน้อยกว่าองค์ชายฟาเบียง ซึ่งขัดต่อกฎแห่งบรรพกษัตริย์" ราชาหนุ่มหันมอง 'เจ้าหูทึบ' พลางนึกในใจว่าอีกฝ่ายก็ดูสุขุมสมกับเป็นองค์ชายอยู่หรอก "ที่น่าแปลกใจนั่นคือองค์ชายกลายมาเป็นองครักษ์ของฝ่าบาทเรจินาได้อย่างไร"

ราชินียิ้มแห้ง "เขาถอยมาตั้งหลัก และตั้งใจจะมาขอแรงสนับสนุนจากเรา แต่ไรห์วาอยู่ห่างไกลเกินอำนาจของเรา" นางเงือกตรงหน้าดูจะขัดเขินขึ้นมาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ "เราเป็นคนรั้งให้ฟาเบียงอยู่ที่มารินาการ์ด"

ราชาทะเลเหนือเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทนคำว่า 'อ้อ อย่างนั้นเอง'

"หากองค์ชายต้องการบัลลังก์กลับคืนมา เรายินดีสนับสนุน" ฟาเบียงเลิกคิ้วบ้าง ด้วยรู้ดีว่าเผ่าวาฬ 'ไม่ชอบ' พวกฉลามมากแค่ไหน ทว่าราชาเซลทิคกลับอาสาช่วยเหลือเขาเสียอย่างนั้น คงไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอยากเขี่ยเขากลับไปไรห์วาหรอกกระมัง ฟาเบียงเหลือบมองเวสเทียร์ที่ปั้นหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างราชาหนุ่ม "ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสายเลือดบรรพกษัตริย์... การกระทำของอดีตราชาเอลเซีียร์ไม่ถูกต้อง"

"กระหม่อมละทิ้งแล้วซึ่งฐานันดร... เพียงเพื่อจะอยู่เคียงกายฝ่าบาทเรจินาเท่านั้น"

ราชาทะเลเหนือจรดยิ้มที่มุมปาก "เช่นนั้นการเสกสมรสอย่างเป็นทางการก็คือให้เกียรติพระนางอย่างถูกต้อง"

"ฝ่าบาทไคราห์น!" เรจินามุ่นคิ้ว ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าที่อีกฝ่ายยั่วยุให้ฟาเบียงกลับไปไรห์วาก็เพื่อต้องการให้องครักษ์หนุ่มพูดออกมาว่าแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์อย่างไรกับราชินี "เราเกรงว่ามันจะกระทบความสัมพันธ์ของเซลทิคกับมารินาการ์ด" พระนางรู้ว่าชาวเซลทิคปลาบปลื้มพระนาง และมีความคาดหวังให้พระนางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฝ่าบาทไคราห์น

แต่พระนางก็ตัดสินใจที่จะเสกสมรสแล้ว...

ราชาทะเลเหนือยิ้มตอบ "เราตั้งใจจะไม่สมรสกับผู้ใดมาตั้งแต่แรกแล้ว ฝ่าบาทเรจินา..."

ราชินีมองผิวพรรณขาวโพลนของอีกฝ่าย และเอื้อมมือไปวางบนท่อนแขนกำยำนั้นเพื่อจะพบว่าแม้แต่มือของพระนางก็ยังสีเข้มกว่า และปล่อยให้ราชาหนุ่มเคลื่อนมือมากอบกุมมือของพระนางตอบ "ฝ่าบาทไม่โกรธเราหรือ..." นางช้อนตาขึ้นมองคู่สนทนา แม้จะไม่ใช่การออดอ้อน แต่ก็เป็นสีหน้าที่ยากจะปฏิเสธ

"กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททั้งสองก็เหมาะสมกันดีในเรื่องนี้" ฟาเบียงเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศ ราชาเซลทิคค่อยๆ ถอยมือกลับด้วยรู้สถานะตัวเอง องครักษ์มารินาการ์ดเหลือบมองเวสเทียร์ครู่หนึ่งแล้วจึงเคลื่อนสายตากลับไปหาฝ่าบาทไคราห์น "ความเสมอกันในเรื่องการปกปิดความสัมพันธ์กับองครักษ์"

"ฟาเบียง..." เรจินาเอ็ด

"ขออภัยฝ่าบาท" เงือกฉลามค้อมหัวรับผิด

"เจ้าอาจจะหูทึบ แต่สายตาว่องไวสมกับเป็นฉลาม" ไคราห์นตอบเรียบ "เรื่องการสมรส เรายินดีช่วยเหลือ หากไรห์วาจะเข้ามามีส่วนร่วมใดๆ ก็ตาม เซลทิคจะไม่ยินยอม" ราชาวาฬขยับว่ายถอยหลัง ซึ่งทำให้เงือกฉลามนึกทึ่งอยู่ในใจ "เราคงต้องขอตัวก่อน ฝ่าบาทเรจินา ทางเราจะจัดการเรื่องเนื้อวาฬเอง พักผ่อนให้เต็มที่เถิด"

"เราซึ้งในน้ำใจ ฝ่าบาทไคราห์น"

เรจินายิ้ม และเฝ้ามองอีกฝ่ายว่ายจากไปพร้อมองครักษ์ของตน ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่คนข้างกาย "เจ้าไปย้อนฝ่าบาทเช่นนั้นได้อย่างไร คิดว่าเขาอยากปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างตนกันองครักษ์อย่างนั้นหรือ" หากมีเรี่ยวแรง นางก็อยากจะตีคนตรงหน้าสักหลายครั้ง ทว่าตอนนี้เพียงอ้าปากพูดก็เหนื่อยมากพอแล้ว

"เราเหนื่อยแล้ว" พระนางเอนกายลงนอนตามเดิม "เร็กซ์ไปไหนเสีย เจ้าเห็นเขาบ้างหรือเปล่า"

"ออกไปกับเจ้าวาฬยักษ์ขอรับ" ฟาเบียงตอบ "คงจะได้มันกลับมารินาการ์ดด้วยกันเป็นแน่"

--------------------------------------------------

ไม่เพียงแต่คาดันน์ที่อยู่กับองค์ชายเร็กซ์ แน่นอนว่าองครักษ์หน่วยลาดตระเวนฝ่ายซ้ายอย่างเวทอร์สก็อยู่ด้วย ทว่าวันนี้กลับไม่ใช่การเที่ยวเล่นอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่เร็กซ์เดินทางมาถึงถ้ำแห่งเผ่าเพชฌฆาตเพื่อฟังการหารือกันของเหล่าผู้อาวุโส "เราต้องสรรหาผู้นำหน่วยลาดตระเวนใหม่ ซึ่งต้องคัดเลือกจากผู้นำหน่วยย่อยสี่ทิศ" ซินเธียร์ อดีตองครักษ์คนสนิทของราชาบริททาเนียร์เป็นเงือกอาวุโสที่สุดในเผ่า หลังได้รับอำนาจในการตัดสินใจจากฝ่าบาทไคราห์น และหารือกับเวสเทียร์ ผู้นำเผ่าเรียบร้อยแล้ว นางจึงมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้

"หากพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เวทอร์สเหมาะสมที่สุด..." เงือกตนหนึ่งเอ่ย

แต่เวทอร์สมีอายุเพียงสิบแปดปี เจ้าตัวยอมรับว่าเขาไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวนที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญได้อย่างรวดเร็วในภาวะวิกฤต หากเขาต้องตัดสินใจอย่างเลสซีย์ เงือกหนุ่มยอมรับว่าตนเลือกไม่ได้ "ข้าขอปฏิเสธตำแหน่ง" เขายืดอกหนักแน่น "ความแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงความฉลาดเฉลียว..."

"แต่เวสเทียร์ก็ได้ตำแหน่งผู้นำเผ่าตั้งแต่อายุสิบแปด" เงือกอีกตนว่า "ข้าจึงไม่ขัดข้อง"

ซินเธียร์ยกมือปรามคนในที่ประชุม "ตำแหน่งผู้นำเผ่าของเรามีหน้าที่ปกป้องราชา อายุน้อยและฝีมือดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผู้นำหน่วยลาดตระเวนหมายถึงความปลอดภัยของอาณาจักร จะใช้เพียงคนที่มีความสามารถไม่ได้ หากไม่ตัดสินใจให้เร็ว การศึกอาจพ่ายแพ้" นางมองสบตาเวทอร์สครั้งหนึ่ง "ในอนาคต เจ้าจะแกร่งขึ้น เวทอร์ส แต่ในตอนนี้... เจ้ายังไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุด"

"ขอรับ ท่านซินเธียร์" เงือกหนุ่มค้อมหัว

"เช่นนั้นก็เหลืออีกสามทิศให้เลือก" นางเงือกอาวุโสว่า "แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฝ่าบาทมอบหมายให้ข้าจัดการ" จู่ๆ นางก็หันไปสบตาเจ้าวาฬคาดันน์ที่อยู่ในที่ประชุมด้วย "ฝ่าบาทจะมอบราชรถวาฬให้มารินาการ์ดเป็นของกำนัล" ในเขตน่านน้ำของอาณาจักร มีวาฬเพชฌฆาตหลายกลุ่ม แต่ถึงอย่างนั้น การมอบราชรถวาฬให้กับอาณาจักรอื่นก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

...เช่นนั้นข่าวลือที่ว่า ฝ่าบาทเรจินาช่วยชีวิตฝ่าบาทไคราห์นเอาไว้ก็ท่าจะเป็นเรื่องจริง

"และองครักษ์หน่วยจู่โจมจะหมุนเวียนเดินทางไปประจำอยู่ที่มารินาการ์ดสักพัก" เหล่านักรบหันมองกันด้วยความฉงน "มารินาการ์ดอาจมีภัย นี่จึงเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีควรทำ หมายถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างอาณาจักร" ซินเธียร์รู้ดีว่าฝ่าบาทของนางไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนมาตั้งแต่แรก ด้วยลักษณะผิดแปลกไปจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น ดังนั้นคำสั่งของอีกฝ่ายจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควรมาแต่ไหนแต่ไร

ความเงียบที่เกิดขึ้นแทนเสียต่อต้านที่ไม่อาจพูดออกมาได้...

"หากไม่มีใครอาสา ข้าจะไปมารินาการ์ดเอง" เวทอร์สกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ เขาเคลื่อนตัวออกมาเบื้องหน้านางเงือกอาวุโส "มารินาการ์ดสูญเสียกำลังคนไปเพื่อช่วยเหลือเรา รวมทั้งองครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์ด้วย" เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านซินเธียร์ "ข้าอาสาเดินทางไปมารินาการ์ด... แทนที่ตำแหน่งองครักษ์ผู้นั้น"

เผ่าเพชฌฆาตหันมองกันเล็กน้อยและค่อยๆ เคลื่อนกายออกมาทีละคนสองคน

"ข้าจะไปประจำการที่มารินาการ์ดด้วย"

"หน่วยของข้าด้วย"

"ข้าด้วย..." เสียงที่ไม่คุ้นเรียกความสนใจของทุกคน พวกเขาหันไปมองผู้มาเยือนอีกคนที่ตัวเล็กกว่าใคร อีกทั้งยังมีเขาเดี่ยวเหนือหน้าผาก เอลลาร์ยกมือขึ้น "ข้าสามารถ... ทำยาให้พวกมารินาการ์ดกลายเป็นมนุษย์ได้ พวกเจ้าก็แค่ไปสอนวิชาต่อสู้ให้พวกเขา" เงือกนาร์วาลเคลื่อนกายไปเบื้องหน้า เคียงข้างเวทอร์ส แม้เขาจะดูตัวเล็กกว่ามากก็ตาม "เพราะฝ่าบาทไคราห์น... ช่วยเหลือเผ่านาร์วาลมาตลอด ข้าจึงอยากตอบแทน"

เผ่านาร์วาลไม่เคยเคารพราชาแห่งเซลทิค พวกเขาหลบไปอาศัยในดินแดนขั้วโลกที่ไม่ได้รับการเหลียวแล แต่มีเพียงราชาผิวเผือกผู้นี้เท่านั้นที่สนใจไถ่ถามความเป็นไปและไม่เคยขาดการติดต่อ ด้วยมีเพียงเหตุผลเดียว

'อย่างไรเจ้าก็เป็นเงือกวาฬ เราเป็นพวกเดียวกัน'

'เราได้ผลึกแห่งแสงจากเบลีซเป็นของกำนัล เรามอบให้พวกเจ้าใช้นำทางในความมืดที่ขั้วโลก'

'ได้ยินว่าอำพันของมารินาการ์ดสามารถทำให้อุ่น หากเราได้มันมา เราจะให้พวกเจ้า'

"เหตุผลที่ข้าเดินทางมาที่นี่... ก็เพื่อจะบอกฝ่าบาทว่า เราค้นพบส่วนผสมของพิษที่สามารถฆ่าแวมไพร์ได้ โดยที่ไม่ต้องแทงหัวใจพวกมัน" เอลลาร์กล่าว "ฝ่าบาทอยากให้ชาวเซลทิคขึ้นไปที่บาร์ธีมอร์ได้อย่างเสรี อย่างที่เคยทำ โดยไม่ต้องกลัวแวมไพร์"

เผ่านาร์วาลนับเป็นพวกโลมา ดังนั้นเมื่อเอลลาร์กล่าวยืดยาวเช่นนั้น พวกเพชฌฆาตจึงไม่ลังเลที่จะเดินทางไปมารินาการ์ดอีกต่อไป "เราจะหมุนเวียนกันทุกหน่วย! ทุกเดือน! ไปสอนพวกเงือกปลาให้สู้เป็น... แล้วช่วยกันเอาชนะพวกแวมไพร์!"

ซินเธียร์ยิ้มเล็กน้อยก่อนหันมองเวทอร์ส "ฝ่าบาทเลือกเจ้าให้ไปกับองค์ชายเร็กซ์อยู่แล้ว เวทอร์ส"

"เจ้าด้วย... คาดันน์"

--------------------------------------------------

ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเผ่าเพชฌฆาตหารือไปถึงไหนแล้ว...

ราชาแซลทิคยอมรับว่าเขาไม่มีอำนาจพอที่จะสั่งคนของตัวเองได้ แต่ได้คาดหวังว่าการยกเลิกกฎราชวงศ์สักข้อหนึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างเขาและประชาชนน้อยลงบ้าง และกฎข้อนั้นก็คือการ 'ห้ามเงยหน้ามอง'

ฝ่าบาทไคราห์นยกเลิกกฎข้อนี้ไปแล้ว...

"เหตุใดฝ่าบาทจึงเลือกเวทอร์สไปมารินาการ์ดล่ะขอรับ" ในฐานะพี่ชาย เวสเทียร์ยอมรับว่าเขาเป็นห่วงอีกฝ่าย แต่ก็รู้ว่าเวทอร์สโตพอ และแข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่ตัวคนเดียวได้แล้ว "ทั้งยังเรื่องจะส่งคนไปประจำอยู่ที่นู่นสักระยะด้วย"

"พรุ่งนี้เราจะขึ้นไปหาเจ้าแวมไพร์ปลิ้นปล้อนนั่น" ไคราห์นตอบ "ถึงมันจะลื่นเป็นปลาไหล แต่ก็เป็นปลาไหลไฟฟ้าที่ได้เรื่องอยู่บ้าง เราคงต้องพึ่งพามันในเรื่องนี้ และมารินาการ์ดช่วยเราเอาไว้ พวกเขาไม่มีทักษะการต่อสู้อย่างชาวเรา ดังนั้น เราจึงต้องปกป้องพวกเขาเป็นการตอบแทน"

เวสเทียร์พยักหน้ารับรู้ "แล้วเรื่องเผ่านาร์วาล..."

"ท่านแม่ดึงดันจะเดินทางปลีกตัวออกไปก็จริง แต่ในเมื่อจะไปแล้ว ไปอยู่กับเผ่านาร์วาลก็ดูจะปลอดภัยกว่า และทำให้พวกเขาใกล้ชิดกับเรามากยิ่งขึ้นอีกด้วย ครั้งนี้พวกเขานำข่าวดีมาบอก พิษที่ค้นพบจะเป็นอาวุธสำคัญของชาวบาดาลในการต่อสู้กับอมนุษย์จากเบื้องบน อีกทั้งเรื่องของยาที่จะแปลงเหล่าเงือกปลาเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย"

"ฝ่าบาท..."

ฟาลที่หายหน้าหายตาไปร่วมวัน เดินทางกลับมายังถ้ำที่ประทับพร้อมข่าวความเคลื่อนไหว "เผ่าเพชฌฆาตตอบรับคำสั่งของฝ่าบาท เราจะหมุนเวียนกันไปประจำการที่มารินาการ์ด โดยมีเอลลาร์ เจ้าเงือกนาร์วาลเดินทางไปด้วย เขาอาสาจะช่วยสอนให้เงือกปลาพวกนั้นเดินเหินแบบมนุษย์"

"แล้วเธรมาร์... ไอ้ตัวแสบที่เอาเขาถากหน้าน้องสาวเราจนเป็นแผลนั่นไปหดหัวอยู่ไหน"

ฟาลลอบหัวเราะกับคำเรียกนั้นก่อนจะค้อมหัวตอบ "เธรมาร์ก็จะร่วมเดินทางไปด้วยขอรับ แต่ในตอนนี้... องค์หญิงอาโกรนาห์เรียกเขาไปพูดคุยด้วยเป็นการส่วนตัว" เมื่อได้ยินคำว่า 'ส่วนตัว' พี่ชายก็เบิกตาขึ้นอย่างยอมไม่ได้

"ถ้ำใด! ใครอยู่ด้วยบ้าง! องครักษ์ของนางไปไหน เจ้านั่นชื่ออะไรนะ! ฟาโอ!"

"ฝ่าบาท... ใจเย็นขอรับ" เวสเทียร์ปราม

"ฝ่าบาทเรจินาอยู่ด้วยขอรับ พระนางรู้สึกดีขึ้นบ้างจึงได้ขึ้นมาสนทนากลางแสงจันทร์กับองค์หญิง" ฟาลว่า เขาขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อรวบรวมความกล้าในการตั้งคำถามกับราชา "ฝ่าบาทเรจินาจะเสกสมรสกับองครักษ์ฟาเบียงหรือขอรับ"

"อืม... เราให้อาโกรนาห์ไปคุยเรื่องสาวๆ แล้ว" ไคราห์นตอบสบาย "ให้ฝ่ายเราจัดการก็เป็นเรื่องดีแล้ว ฟาล มิเช่นนั้นชาวเมืองจะพากันนินทากล่าวหาว่าเรา 'ถูกทิ้ง' อีกทั้งยังเป็นการออกตัวปกป้องฝ่าบาทเรจินาไม่ให้พวกฉลามไรห์วาเสนอหน้ามาหาเรื่องอีกด้วย" เวสเทียร์อาจรู้สึกไม่พอใจมาทั้งวันที่ฝ่าบาทของตนดูจะสนใจงานแต่งงานของราชินีเมืองอื่น แต่เมื่อได้ยินเหตุผลแล้ว องครักษ์หนุ่มก็คิดว่าเขาประมาทความคิดราชาเซลทิคมากเกินไป

"ขอรับ..." ฟาลค้อมหัว "เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน"

ราชาทะเลเหนือมองเลขาของตนออกไปจากถ้ำ ก่อนจะถอนใจยาวด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย "ทั้งวันเลยเชียว" ร่างสูงเหลือบมององครักษ์ของตน "จะไม่แกะเปียผมให้เราหน่อยหรือ" เวสเทียร์ยังไม่คุ้นกับรูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติตัวเป็นองครักษ์ที่ดีด้วยความเคยชิน และแน่นอนว่าลืมไปหมดสิ้นว่าเขาคือ 'คนรักของราชา'

แล้วจะต้องทำตัวอย่างไรเล่า... แบบเหล่าชายาน่ะหรือ!

แค่คิดก็ขนลุกแล้ว...

"กระหม่อมคิดว่ามันเข้ากับฝ่าบาทดีขอรับ" เวสเทียร์ตอบ "แล้วนี่ก็ยังไม่ครบวันหนึ่งตามสัญญาขององค์หญิง ใครจะกล้าอาสารื้อออก" ที่ผ่านมาเวสเทียร์เป็นคนใต้บัญชาที่ไม่ใคร่จะมีปากเสียง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายโต้บ้าง ฝ่าบาทไคราห์นก็เริ่มคิดว่าคนตรงหน้าดูจะดื้อ และไม่ยอมใครง่ายๆ อย่างที่เขาคิด

นี่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาถึงสิบปีโดยไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงกันได้อย่างไร!

ราชาหนุ่มเอื้อมมือไปจับเปียผมที่ยังชื้นน้ำด้านหลังของตน "กระหม่อมจะทำให้ขอรับ" เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทไม่ตอบโต้ เวสเทียร์จึงยืดตัวขึ้นอาสาด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะขุ่นเคือง

นี่เขาถูกราชาเซลทิค 'งอน' เข้าแล้วหรือไร!!

คนอย่างฝ่าบาทน่ะหรือ... จะงอนเป็นกับเขาด้วย

เวสเทียร์ลอบสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย ราชาหนุ่มนั่งนิ่งให้เขารื้อเปียผมออก และใช้หวีสางให้เรียบร้อยตามเดิม แม้จะรู้สึกพิเศษอยู่บ้างที่เขามีโอกาสได้สางผมให้ราชา แต่ฝ่าบาทก็วางตัวเป็นปกติทุกประการ ราวคุ้นเคยกับมันดี "ฝ่าบาทเคืองกระหม่อมหรือเปล่า"

"เคืองเรื่องใดกัน" อีกฝ่ายตอบตามที่คิด ก่อนจะส่งเสียง 'อ้อ' ในลำคอเบาๆ "ถูกของเจ้า อาโกรนาห์ขอเอาไว้วันหนึ่ง แต่เราก็ไม่เห็นนางจะตามมาดูนี่ ควรจะเอาออกดีกว่า" เวสเทียร์ลูบมือไปบนผมเปียกชื้น สีของมันขาวโพลนอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเส้นผมจริงๆ

"อยากให้เราหวีให้เจ้าบ้างไหม"

"ม... มิได้ขอรับ" องครักษ์สะดุ้ง เขาปฏิเสธพัลวันก่อนที่จะได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วน "ฝ่าบาท..." ร่างโปร่งเสียงอ่อนลง "กระหม่อมวางตัวไม่ถูก... ไม่รู้ว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง"

ไคราห์นยิ้มบาง "อึดอัดหรือเปล่า"

"แค่ไม่ชินขอรับ" องครักษ์ไม่อยากปฏิเสธ เพราะเขาเอาแต่หนีมาตลอด ทำให้เขาเกือบจะเสียคนตรงหน้าไปแล้วไม่ใช่หรือ "เพราะเป็นแค่องครักษ์มาตลอด"

"ที่ผ่านมาไม่เคยคิด... อยากจะทำอะไรแบบคนรักบ้างเลยหรือ"

เวสเทียร์รู้สึกร้อนที่ใบหน้า คิดว่าโชคดีแล้วที่เขาหวีผมอีกฝ่ายอยู่ด้านหลังแบบนี้ "กระหม่อม..." หากกล่าวว่าเขารู้สถานะและหน้าที่ดีจนไม่คิดอะไร... ก็คงจะเป็นการโกหก เขาไม่ควรโกหกอีกฝ่าย หลังจากโกหกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา "อยากหวีผมให้ฝ่าบาท" คนฟังยิ้มขันด้วยความเอ็นดู เขาเงยคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เวสเทียร์หวีถนัดขึ้น

"แล้วอะไรอีก..."

"อาจจะ..." เสียงขององครักษ์เบาลงจนเกือบเป็นกระซิบ "นวดแขนให้... ถ้าฝ่าบาทเมื่อย"

"แค่แขนหรือ แล้วตรงอื่นเล่า"

"ฝ่าบาท!"

"เรายังไม่ได้บอกเลยว่าตรงไหน" ร่างสูงหัวเราะร่วน "แต่จะไม่แซวก็ได้ หากพูดไปแล้วเจ้าจะไม่ทำ" เขาจรดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก "รอลุ้นว่าเจ้าจะทำอะไรบ้างก็คงตื่นเต้นดี" ฝ่าบาทไคราห์นอาจพูดจาแปลกจนเวสเทียร์ไม่รู้จะเอ่ยอะไรตอบ เขาก้มลงหวีผมอีกฝ่ายเงียบๆ ระหว่างคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร

"อย่างไรกระหม่อมก็จะทำ" องครักษ์อุบอิบตอบ ก่อนเรียกอีกครั้ง "ฝ่าบาท..."

"ว่าอย่างไร..."

"กระหม่อมอยาก... จูบฝ่าบาทด้วย"

"ข้อนี้ไม่ต้องบอก..." ราชาถอนใจ หันกลับไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา ก่อนบรรจงแนบริมฝีปากจูบ "...ให้ทำเลย" เสียงทุ้มกระซิบบอก และจูบซ้ำอย่างอ่อนโยน เวสเทียร์สะดุ้งเกร็งด้วยขัดเขิน เขาจูบตอบ และวางมือไว้บนแขนแกร่งขณะถูกรวบเข้าไปแนบอก การมีหางปลาทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด แต่องครักษ์ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไร หากเปลี่ยนร่าง อีกฝ่ายจะว่าเขามักมากหรือไม่หนอ

"จะต้องเริ่มที่จูบคอด้วยหรือเปล่า" ราชาแอบเย้า เขาลากลมหายใจผ่านไปยังพวงแก้ม กระชับวงแขนให้เวสเทียร์เอนอยู่ในอ้อมกอด "จะทำแบบครั้งแรกอีกทีไม่ใช่หรือ" ร่างโปร่งสะดุ้งไหวเมื่ออีกฝ่ายก้มลงกระซิบข้างหู แม้เขาจะไม่เคยลืม 'ครั้งแรก' แต่สถานะตอนนี้ช่างแตกต่างจากเวลานั้นมากเหลือเกิน

"ก... กระหม่อมยังไม่ได้ตกลง..."

"รู้จักปฏิเสธเราแล้วหรือ"

เวสเทียร์รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก้มจูบบนรอยแผล รอยเขี้ยวของแวมไพร์ที่ไม่มีวันจางหาย ไม่ว่าจะรักษาด้วยอำนาจใดก็ตาม องครักษ์หลับตา ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา ในยามที่ฝ่าบาทขบกัดซ้ำอย่างที่เขาทำทุกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยน่าหงุดหงิด

ร่างโปร่งสูดใจลึก และเปลี่ยนกายช่วงล่างเป็นขา ก่อนตวัดขึ้นนั่งบนตักของราชาอย่างที่เคยทำเมื่อห้าปีที่แล้ว ไคราห์นชันเข่าขึ้น โอบคนตรงหน้าเข้ามาหาตัว กดเนินเนื้อหนั่นแน่นแนบกับท่อนขาแกร่งด้านล่าง ให้กลางกายของพวกเขาสัมผัสกันทีละน้อย อ้อยอิ่ง เนิบช้า

ฝ่าบาทรั้งคนตรงหน้าลงมาจูบ พวกเขาจูบกันครั้งแล้วครั้งเล่า จมดิ่งไปในห้วงอารมณ์ยั่วเย้าแห่งความปรารถนาอันร้อนรุ่มราวเปลวไฟ แม้จังหวะการเคลื่อนไหวจะไม่แตกต่างจากในความทรงจำ แต่มันก็ถูกบันทึกซ้ำด้วยสัมผัสแนบแน่นยิ่งกว่าครั้งอื่นใด

นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขา... ในฐานะคนรัก

--------------------------------------------------


แอบตัดฉากสุดท้ายซะงั้นอ่ะ 555

คือหมดแรงกะทันหัน เรทนี้มันยาก เอาไว้ไปท่ายากในตอนพิเศษละกันนะ อิอิ

แต่ตอนนี้ยาวตั้ง 15 หน้า A4 และทำให้รวมเล่มบัลลังก์จ้าวนาราทะลุ 300 หน้าอย่างชิลๆไม่ต้องลุ้น (อุตส่าห์ลุ้นให้ 280-290 หน้า โธ่ << คืออยากเขียนนิยายบางๆ บ้าง) ช่วงนี้จะเป็นช่วงหย่อนเส้นเรื่อง และคลายปัญหาลง ก่อนที่จบ... ฮื้อออ (น่าจะ 25 ตอนจบอ่ะน้า << มีตอนพิเศษต่อ คือเขียนพลอตตอนพิเศษเอาไว้พอสมควรเบย ระหว่างเขียนเรื่อง หน่วงมาก กดดันมาก 555)

จริงๆ ฝ่าบาทกับเวสเวสนี่น่าจะเป็นคู่น้ำเน่าเหมือนกัน ดูจากพฤติกรรมแล้ว... แต่ถามว่าใครดูหมกมุ่นกว่ากัน แรกๆ อาจจะเป็นเวสเวส แต่หลังๆ น่าจะเป็นฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทดันมีชั้นเชิงทำให้เวสเวสคิดว่าตัวเองโรคจิตอยู่คนเดียว 555

เวสเวสในความคิดเราคือเขาไม่ได้สวยนะ แต่เป็นคนที่เอวดี สะโพกสวย ...เซ็กซี่

บางทีจับนิดจับหน่อยก็อยากขย้ำแล้ว---

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
ขำ ที่เวสเวส คิดว่าตัวเองโรคจิตคนเดียว 55555

ออฟไลน์ April❤

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ชอบเค้าสวีทกัน :-[

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 24.1

เงือกวาฬไม่นอนหลับยามกลางคืน พวกเขาพักผ่อนเมื่อเหนื่อย ดังนั้นเวลากลางคืนของพวกเขาจึงเทียบเท่ายามกลางวัน เพียงแค่ไม่มีแสงสว่าง แต่นี่ก็เป็นวันที่สองแล้ว ที่ราชาเซลทิคพักผ่อนข้ามคืน และตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยมีองครักษ์คนสนิทนอนอยู่ข้างกาย

ออกจะแปลกไปเสียหน่อยที่องครักษ์ตื่นสายกว่าราชา

ฝ่าบาทเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะไม่รบกวนเวลานอนของเวสเทียร์ เพราะกิจกรรมเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นแตกต่างจากจินตนาการของเขาเอาไว้มากเหลือเกิน จริงอยู่ว่าไคราห์นเคยคิดบ้างเหมือนกันว่าหากเขา 'จีบ' เวสเทียร์ติดขึ้นมาจริงๆ เขาอยากจะทำอะไรบ้าง  แต่เมื่อมารู้เอาทีหลังว่าอีกฝ่ายต่างหากที่ชอบเขามาตลอด ราชาเซลทิคก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้

แต่ที่แปลกใจยิ่งกว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของพวกเขาเป็นความเข้าใจผิดเสียอย่างนั้น

"เจ้าคนลามก" ราชาหนุ่มกระซิบหยอกคนข้างตัว และหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างมั่นใจว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาเถียง แต่แล้วดวงตาสีเข้มก็ปรือขึ้นมองตามเสียงทุ้ม ก่อนจะหลบลงต่ำ ขณะนึกค่อนขอดอยู่ในใจ

ช่างเป็นการอรุณสวัสดิ์ที่น่าซาบซึ้งเหลือเกิน...

ไคราห์นกลืนน้ำลายช้า ระหว่างชั่งใจว่าควรจะพูดอะไรต่อ "เราทำให้เจ้าตื่นหรือเปล่า"

เวสเทียร์เป็นแค่องครักษ์ จะยอกย้อนราชาก็คงไม่ใช่เรื่องสมควร ต่อให้ตอนนี้จะเป็นมากกว่านั้นแล้วก็ตาม "กระหม่อมตื่นได้สักพักแล้วขอรับ" เมื่อไม่รู้จะกล่าวอะไรตอบโต้ เวสเทียร์ก็เฉไฉไปเรื่องอื่นแทน "แต่เกรงว่าหากขยับตัวแล้วฝ่าบาทจะตื่นไปด้วย..."

"ไม่เหนื่อยรึ"

ร่างโปร่งยิ้มขำ "ฝ่าบาทก็ไม่ได้อ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไรนี่ขอรับ"

"ใครกันแน่ที่ชอบผละออกไปทันทีน่ะ" ราชาทักท้วง "ยังไม่ทันพักหายใจหายคอ เจ้าก็ถอยออกไปทุกครั้ง" แม้เวสเทียร์จะนอนหนุนแขนอยู่ แต่ไคราห์นก็ขยับไปโอบร่างนั้นเข้ามาใกล้ตัวเองยิ่งขึ้น จนเวสเทียร์ต้องขยับไปนอนหนุนบนบ่ากว้างแทน "เจ้าหรือเรากันแน่ ที่เย็นชา หืม... เวสเทียร์"

"กระหม่อมไม่ได้เย็นชา" ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ "กระหม่อมแค่กลัวฝ่าบาทหนัก"

"เราตัวเล็กขนาดนั้นหรือไร"

เวสเทียร์ชะโงกขึ้นไปจูบบนสันกราม ราวกับออดอ้อนให้คนตรงหน้าหยุดพูดเสียที

...เจ้าองครักษ์นี่ชักจะได้ใจมากไปเสียแล้ว

แต่ไคราห์นก็ยอมอ่อนลง และหันไปจูบหน้าผากมนตอบ "ไม่เหนื่อยจริงๆ หรือ" ที่เขาถามเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นองครักษ์ และเป็นถึงผู้นำเผ่าเพชฌฆาตที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือการต่อสู้ดีที่สุด แต่เพราะเวสเทียร์ 'สมควร' จะเหนื่อย "สามครั้งน่ะนะ..."

ไคราห์นเองยังเพลียจนไม่อยากขยับตัวด้วยซ้ำ

"ได้นอนสักพักก็ดีขึ้นแล้วขอรับ"

เจ้าคนลามก... เผ่าเพชฌฆาตนี่แข็งแรงสมคำร่ำลือเหลือเกินนะ

ไคราห์นโอบอีกฝ่ายเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอึมครึมมืดครึ้มในฤดูหนาว ระหว่างนึกหาเรื่องพูดคุยต่อ "คนรักกันไม่ควรอึกอักในบรรยากาศแบบนี้หรือเปล่า..." จริงอยู่ว่ากฎเกณฑ์ของราชวงศ์กีดกันราชาออกจากประชาชน กลายเป็นบุคคลที่ต้องเทิดทูนเอาไว้เหนือหัวตลอดเวลา แต่เวสเทียร์ก็เป็นคนใกล้ชิด เป็นองครักษ์คนสนิทของเขา อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับเขา เหตุใดที่ผ่านมาพวกเขาทั้งคู่จึงไม่มีเรื่องให้พูดกันเลย

"กระหม่อมชินกับความเงียบขอรับ"

ร่างโปร่งฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่าย ด้วยการแนบหน้ากับอกกว้าง มันเป็นจังหวะที่มั่นคงสม่ำเสมออย่างที่เขาจินตนาการไว้ "แต่ก็อยากพูดคุยกับฝ่าบาทบ้างเหมือนกัน" เวสเทียร์รู้ดีว่าเหตุใดไคราห์นจึงถามแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายเริ่มสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขากำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม นั่นคือการไม่ค่อยพูดกัน ไม่มีอะไรให้คุยกัน แม้จะใกล้ชิดกัน และเอ่ยปากว่ารักกัน แต่มันก็เป็นความรักที่ยังมีช่องว่าง

"เจ้าพูดไม่เก่ง... ครั้งแรกที่เข้ามาทำหน้าที่ เราก็เห็นเป็นเช่นนั้น"

"กระหม่อมแค่ไม่อาจเอื้อม"

"เจ้าคุยอะไรกับเวทอร์สบ้าง" ในเมื่อพูดเรื่องของกันและกันดูจะไปไม่รอด ไคราห์นก็เริ่มหันไปสนใจคนข้างกายอีกฝ่าย ซึ่งนั่นก็คือน้องชายอย่างเวทอร์ส "ทุกเช้าที่ออกไปล่า หรือว่าช่วงเวลาที่ฟาลเข้ามารายงานความเคลื่อนไหว เจ้าไปนั่งสางผมกับเวทอร์สหรือเปล่า พูดคุยเรื่องใดบ้าง"

"เรื่องฝ่าบาท..." เวสเทียร์ตอบอุบอิบ "ว่าฝ่าบาททำอะไรบ้างในแต่ละวัน"

นี่เวสเทียร์ไม่เคยสนใจอย่างอื่นนอกจาก 'ตัวเขา' เลยหรืออย่างไร

ไคราห์นเลิกคิ้วด้วยฉงน "เจ้ามีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า" องครักษ์อึกอักเล็กน้อยด้วยไม่อยากให้คำตอบเดิม นั่นก็คือ 'ฝ่าบาท' เขาเหลือบมองไปรอบตัวขณะคิดหาคำตอบ และไปสะดุดกับหีบใส่เครื่องประดับของไคราห์นที่อยู่อีกด้านหนึ่งของถ้ำ ลามไปยังแท่นวางอาวุธไม่ว่าจะเป็นดาบที่ทำจากกระดูกสัตว์ หรือหอกเล่มยาวที่ทำจากกระดูกสัตว์เช่นกัน

เขาควรจะชอบอาวุธ หรือเครื่องประดับดีหนอ

เวสเทียร์ส่ายหัวเบาเมื่อเขาไม่สามารถให้คำตอบเฉไฉไม่ซ้ำซากได้ "กระหม่อมชอบฝ่าบาท"

เจ้าคนทื่อ...

ไคราห์นถอนใจ เขาลูบผมสีเข้มเป็นเชิงปลอบโยน " นี่ใจคอจะไม่ให้เรา 'จีบ' เจ้าเลยหรือไร" ก่อนจะเป็นคนรักกันก็ต้องจีบกันเสียก่อน เป็นการทำความรู้จักสนิทสนมกัน เพื่อเข้าถึงความคิด ความรู้สึก สิ่งที่สนใจ งานอดิเรก แต่ตอนนี้เขากับเวสเทียร์กลายเป็นคนรักกันทั้งที่เขายังไม่รู้จักเวสเทียร์ดีเลยด้วยซ้ำ

แต่เชื่อว่าเวสเทียร์คงจะรู้จักเขาพอสมควรแล้ว

"กระหม่อมรักฝ่าบาทมานานแล้ว เหตุใดจะต้องจีบอีก"

ในหัวเวสเทียร์ คำว่า 'จีบ' นั่นคือการทำให้รัก ซึ่งสำหรับเขา... เจ้าตัวรู้ว่ารักฝ่าบาทแห่งเซลทิคมานานแล้ว แม้ว่าในครั้งแรกที่ได้พบจะเป็นความชื่นชม และเมื่อได้ทำหน้าที่ก็เรียกได้ว่าเคารพบูชา แต่ต่อมาเวสเทียรืก็มั่นใจว่าเขาหลงรักฝ่าบาททะเลเหนือไปแล้ว

...เจ้าคนทึ่ม

"ฝ่าบาทยังไม่ตอบเลยว่าเหตุใดจึงส่งเวทอร์สไปมารินาการ์ด" ระหว่างที่ราชากำลังพยายามหาจังหวะในการพูดคุยให้ 'หวานซึ้ง' กว่าที่เป็นอยู่ เจ้าองครักษ์คนบื้อที่นอนอยู่ข้างกายเขากลับหยิบยกประเด็นขึ้นมา จนไคราห์นอยากเอ็ดเหลือเกินว่าเหตุใดจึงเอาเรื่องงานขึ้นมาพูดบนเตียงแบบนี้

แต่เวทอร์สเป็นน้องชายแท้ๆ เวสเทียร์จึงต้องการคำตอบ

"กระทั่งเผ่าเพชฌฆาตยังต่อต้านเรา เวสเทียร์..." ราชาเริ่ม "ไม่แน่ว่าอาจไม่มีใครอาสาจะไปประจำการอยู่มารินาการ์ดด้วยซ้ำ สำหรับพวกเขาแล้ว เรจินาไม่ได้มีบุญคุณหรือน่าเลื่อมใส อีกทั้งคำสั่งจากปากเราก็ใช่ว่าจะน่ายอมรับ แต่คนหนึ่งที่พอจะฝากฝังเรื่องนี้ได้ก็คือเวทอร์ส เขาใกล้ชิดกับพวกมารินาการ์ดมากพอ และรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย ดังนั้นเราจึงบอกซินเธียร์ว่า... หากเวทอร์สขันอาสา เราจะให้เขาเดินทางไปประจำอยู่มารินาการ์ดเป็นการถาวร ในฐานะทูตแห่งเซลทิค"

เวสเทียร์อยากถามว่าเหตุใดราชาจึงไม่บอกเขา แต่นั่นก็คงจะเป็นการสำคัญตัวเองผิดไป

"หากเจ้าปรึกษาเจ้า มีหรือเจ้าจะเห็นด้วย" ไคราห์นอ่านคำถามจากสีหน้าของอีกฝ่ายได้ เขาจึงช่วยตอบ "เจ้าจะอาสาไปเองเสียอีก เวสเทียร์"

องครักษ์เม้มปากเล็กน้อยเมื่อพบว่าราชาของเขารู้เท่าทันแทบทุกเรื่อง "หากเป็นเมื่อก่อน กระหม่อมก็จะอาสา..." ว่าแล้วก็หลับตาลง และขยับซบไหล่ราชาสักครั้งแทนคำออดอ้อน "แต่ในเมื่อฝ่าบาทพูดออกมาว่าต้องการกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่คิดจะจากไปไหนอีก"

"ดีแล้ว..." ไคราห์นหัวเราะเบาด้วยความเอ็นดู "ดีแล้วที่พูดไปว่าต้องการ"

"แต่ห้ามพูดตอนใกล้จะหมดลมแบบนั้นอีกนะขอรับ"

"อย่างไรเราก็ต้องตายเข้าสักวัน เวสเทียร์" ร่างสูงกระชับวงแขน "และถึงเวลานั้น เราก็คงจะบอกรักเจ้าอีกครั้งอยู่ดี ...ที่รัก" คนฟังหลับตาลง ก่อนจะหลบซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตนกับบ่าอีกฝ่าย อย่างไรเขาก็ไม่ชินกับความสัมพันธ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยมันก็อบอุ่น อ่อนโยน และรู้สึกดีกว่าที่ผ่านมาเหลือเกิน

--------------------------------------------------


ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ๊ยยยยย ตอนยังไม่บอกรักกันก็อึดอัดอยากให้เค้าได้สมหวังกันเร็วๆ แต่พอรู้ว่าใจตรงกันแล้วนี่มัน... หวานกันจนน่าหมั่นไส้ คนไม่มีคู่นี่อิจฉาตาร้อนเลยทีเดียวววว ชิชิ  :m31:

ออฟไลน์ theG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
มาอ่านตามรวดเดียว แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ยอมรับว่าแรกๆ จินตยาการตามยากจีงๆค่ะ ไม่รุ้จักถ้ำลอด ถถถถถ แต่ความหน่วงของราชากะองครักษ์นี่ถูกใจเราสุดๆ /เป็นพวกมาโซค่ะ 5555555 นี่แอบรุ้สึกว่าองครักษ์แอบมีความควีนอะ จูบคือจูบ กอดคือกอด ไม่ต้องมาลีลา  :hao7: ชอบสุดๆ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 24.2

วาร์เรนกลับมายังตึกแถวอันเป็นที่ตั้งร้านไม้แกะสลักของเขา ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่สักพัก ต่อให้เขามั่นใจว่าจะไม่มีแวมไพร์ตนใดโจมตีอาณาจักรเงือกอีกแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เลือดแห่งราชวงศ์เซลทิคก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่

"คราวหลังก็บอกกันบ้าง..."

ราชาแวมไพร์เอ่ยทำลายความเงียบ หลังจากเอ็ดคนตรงหน้าไปโทษฐานที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ซินเนย์วาหลอกให้เขาเดินทางกลับอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้พวกแวมไพร์กบฎเข้ามายังเซลทิค ก่อนจะส่งนางพรายลมไปตามเขากลับมา "หากข้ากลับมาไม่ทันมันจะเป็นอย่างไร"

"เจ้าไม่มีวันเห็นด้วยกับแผนนี้ วาร์เรน" ซินเนย์วาโต้ "มันคือการใช้เงือกเป็นเหยื่อ"

"แต่เจ้าก็ดื้อดึงที่จะทำ" แวมไพร์หนุ่มมุ่นคิ้ว "ชีวิตของพวกเขา..."

"เจ้าก็ยังพยายามจะลากสงครามกลับไปที่มารินาการ์ด ที่หน้าบ้านของเจ้า" ซินเนย์วาเลิกคิ้ว "มารินาการ์ดเปราะบาง ไม่สามารถทำอะไรได้กระทั่งใช้ขาเดิน แล้วเจ้าคิดว่า... เงือกพวกนั้นจะปลอดภัยเมื่อหลบอยู่ใต้ทะเลจริงหรือ"

วาร์เรนถอนใจ "อย่างน้อยหากมีข้าอยู่ พวกมันก็ไม่กล้าทำอะไร"

"พวกมันกล้าลุกขึ้นมากบฎต่อเจ้า" ซินเนย์วาตอบ "และพวกเงือกเซลทิคนี่ก็ดุพอที่จะสู้พวกมันได้ ข้าเห็นด้วยกับฝ่าบาทไคราห์น เงือกต้องสู้เท่านั้น เพื่อประกาศว่าพวกเขาไม่ใช่ 'เหยื่อ' ของผู้ใด" จริงอยู่ว่าเงือกแห่งเซลทิคค่อนข้างดุร้ายและใจถึง อีกทั้งยังสามารถแปลงเป็นมนุษย์เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งทักษะและชั้นเชิงในการเอาชนะก็ดูจะมีมากกว่าเงือกพวกอื่น ทำให้พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับผีดูดเลือดได้อย่างไม่ต้องสงสัย

"ข้าควรจะกลับคฤหาสน์" แวมไพร์หนุ่มว่า "ข้ารู้สึกไม่ดีกับมารินาการ์ด"

เขาไม่รู้เลยว่ามีใครรู้ ความลับเรื่องการฟื้นคืนชีพของฝ่าบาทไคราห์น ผู้สิ้นลมหายใจไปแล้วทว่ากลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอำนาจแห่งสายเลือดจอมราชัน เพราะหากเลือดแห่งราชวงศ์เซลทิคที่สามารถเยียวยาบาดแผลได้จะนับว่าเป็นเลือดที่มีอำนาจมาก แต่หากเทียบกับพลังของทายาทจอมราชันผู้สามารถชุบชีวิตคนตายได้แล้ว วาร์เรนเชื่อว่าหากแวมไพร์กบฎรับรู้ความจริงข้อนี้ พวกมันจะต้องหันไปเล่นงานมารินาการ์ดแทนอย่างแน่นอน

และต่อให้เป็นครึ่งมัจฉาที่ไม่ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจ ก็ยังยากที่จะหนีให้พ้น

"เจ้าอยู่ที่นี่ไปสักพัก หากรีบกลับไป หนอนบ่อนไส้ในคฤหาสน์เจ้าจะต้องสังเกตเห็น พวกมันจะกลับมาเล่นงานเซลทิคได้" ซินเนย์วาเองก็เห็นว่าฝ่าบาทไคราห์นถูกพิษของเวเรเซียโน และเขาไม่ควรจะมีชีวิตรอดแบบนี้ แต่นางก็เลี่ยงที่จะเอ่ยถึงว่าเหตุใดราชาเงือกจึงยังมีชีวิตอยู่

"ข้าแยกร่างไปทุกที่ไม่ได้ ซินเนย์วา" วาร์เรนส่ายหัว "มีแต่จะต้องฆ่าพวกมันให้สิ้นซากเท่านั้น"

"เธโธเรียร์กำลังสืบหาแหล่งกบดานของมัน แต่ต่อให้เป็นนางพรายลม หากเข้าใกล้พวกมันมากเกินไปก็อาจกลายเป็นอาหารได้เช่นกัน" นางหมาป่าวางมือลงบนบ่าสหาย "เจ้าต้องขอความช่วยเหลือจากพวกนักล่า" หากโลกนี้มีแวมไพร์ พระเจ้าย่อมสร้างนักล่าแวมไพร์ขึ้นมาเพื่อไม่ให้ผู้ใดอยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

"อย่างน้อยถ้าได้พวกเขาเฝ้าดูแลที่นี่... อาจจะดีกว่า"

นี่เขาเป็นแวมไพร์ประเภทใดกันที่ต้องคบค้าสมาคมกับนักล่าแวมไพร์

แต่วาร์เรนก็เห็นด้วย "เช่นนั้น ข้าจะไปลอนดอน" ชายหนุ่มหยิบผ้าคลุมบ่าของตนมาสวม "เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่สักพัก เผื่อว่าฝ่าบาทจะขึ้นมา" ราชาแวมไพร์ตรงไปที่ประตู และเมื่อเปิดก็พบว่าราชาเงือกแห่งเซลทิคยืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว

"ฝ... ฝ่าบาท..."

เงือกร่างสูงปรายตามองผ้าคลุมสีแดงของอีกฝ่าย และก้าวเข้าไปในร้านโดยไม่รอคำเชิญ "เจ้าช่างเป็นแวมไพร์ที่อภิสิทธิ์เสียเหลือเกิน จะออกไปข้างนอกในยามกลางวันก็ทำได้ด้วย" ราชาเงือกอาจรู้สึกหงุดหงิดใจที่ต้องพูดคุยกับคนปลิ้นปล้อน แต่วาร์เรนกับซินเนย์วาอาจเป็นตัวเลือกเดียวสำหรับเขา หากต้องการจะรับรู้เรื่องราวเบื้องบน

"จะไปไหนอีกหรือไร..."

ซินเนย์วาเหลือบมองไม้เท้าในมือราชา เขายังคงเก็บมันไว้ แม้ว่าจะโกรธวาร์เรนมากแค่ไหนก็ตาม แต่นับตั้งแต่รู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือดาบชั้นดี ราชาเซลทิคก็พอจะเข้าใจว่าวาร์เรนหวังดีต่อเขา

แต่ก็คงอดโกรธไม่ได้ และคงจะโกรธมากเสียด้วย

ราชาแวมไพร์รู้ดีว่าไม่ควรล้อเล่นกับคนตรงหน้า เขาจึงยอมถอยกลับมาแต่โดยดี เวสเทียร์ตามราชาของเขาเข้ามาในร้าน ทั้งคู่อยู่ในชุดสูทชายยาวอันเป็นเสื้อผ้าที่นิยมสำหรับยุคสมัยนี้ "หากไม่ใช่เพราะมีธุระ เราก็คงจะตัดขาดจากเบื้องบนและคนอย่างพวกเจ้าไปแล้ว"

วาร์เรนขยับร่างไปขวางระหว่างฝ่าบาทและซินเนย์วาเอาไว้

"ตำหนิข้าเถอะ อย่าไปว่านางเลย" นางหมาป่าเลิกคิ้วฉงน เนื่องด้วยปกติแล้ววาร์เรนไม่เคยออกหน้าปกป้องใครแบบนี้ "ข้าเป็นคนออกอุบายทั้งหมด"

"ไม่ว่าจะขอโทษขอโพยอย่างไร เราก็คงอภัยให้ไม่ได้" ราชาเงือกกำไม้เท้าในมือแน่น "แต่เพราะมันไม่มีใครอื่นอีกแล้ว เราจึงต้องขึ้นมาพบเจ้าอีกครั้ง" ไคราห์นยอมรับว่าเขาอับจนหนทาง ชาวบาดาลไม่เคยรับรู้เรื่องราวความเป็นไปของเบื้องบน ไม่รู้กระทั่งว่าใครดีหรือใครเลว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นคนเลวในภายหลังหรือไม่

แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าวาร์เรนเป็นราชาแวมไพร์...

"เหตุใดเจ้าจึงฆ่าคนของตัวเองได้ลงตอ" ไคราห์นออกปากถามราชาแวมไพร์ "เหตุใดเจ้าจึงปกครองพวกเขาไม่ได้ ทั้งที่เจ้าเป็นแวมไพร์ที่มีพลังมากถึงเพียงนั้น" วาร์เรนเข้าใจจุดประสงค์ของไคราห์น อีกฝ่ายต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดเพื่อคิดหาวิธีปกป้องคนของตัวเอง "มันคงไม่ใช่การเล่นละครให้เราตายใจเชื่ออีกหรอกกระมัง"

"พวกมันคือกบฎ" ซินเนย์วาตอบแทน "กฎของอมนุษย์คือการรักษาความลับของเผ่าพันธุ์เอาไว้ แต่พวกมันไม่ใช่ พวกมันพยายามจะเปิดเผยตัวตน และก้าวขึ้นเป็นผู้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร นั่นเป็นภัยคุกคามต่อพวกมนุษย์" ไคราห์นปรายมองคนพูดด้วยหางตา ขณะพยายามจะข่มความรู้สึกและอคติเอาไว้ในใจ "พวกมันจะฆ่าวาร์เรน... แต่ผู้ที่สามารถฆ่าราชาแวมไพร์ได้ จะต้องมีพลังทัดเทียมกัน ซึ่งนั่นก็คือพลังของราชินีแวมไพร์ ที่ตายไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว"

"ชายาของเจ้า..."

นอกจากจะเป็นราชาที่สมารถเข่นฆ่าคนของตนได้แล้ว วาร์เรนยังฆ่าได้กระทั่งชายาของตัวเอง

"ข้าไม่ใช้ศัพท์สูงขนาดนั้น ฝ่าบาท" วาร์เรนถอนใจเบา "นางไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า... นางแค่ 'ฉกฉวย' พลังไปจากข้า แต่นางก็ไม่มีวันเอาชนะข้าได้" เมื่อเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้น ความแค้นก็ปรากฎขึ้นในในดวงตาสีแดงเพลิง "ข้าฆ่านางไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว รวมทั้งแวมไพร์นอกรีตตนอื่น แต่มันก็ยังมีหลงเหลืออยู่ พวกมันตั้งใจจะปลุกชีพนางขึ้นมาเพื่อสู้กับข้าอีกครั้ง ในตอนนี้พวกมันจึงต้องการเลือดของฝ่าบาท ที่มีอำนาจในการเยียวยา"

"เลือดของเราไม่สามารถคืนชีพใครได้" ไคราห์นเอ่ยเรียบ

"ต่อให้ฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น หากพวกมันยังไม่ได้เลือดฝ่าบาทไปทดลอง พวกมันก็จะไม่ยอมหยุด" ซินเนย์วาพยายามอธิบาย "แต่สงครามครั้งนี้จะทำให้แผนการของพวกมันชะลอออกไปอีกหลายสิบปี พวกมันต้องการกำลังพล ด้วยการสร้างแวมไพร์หน้าใหม่ขึ้นมา และในช่วงเวลานั้น เรามีเวลาเตรียมตัวก่อนที่พวกมันจะบุกอีก"

"แวมไพร์มีปัญหาขาดแคลนอาหาร เพราะข้าสั่งห้ามฆ่ามนุษย์" วาร์เรนเสริม "เมื่อก่อนนี้การฆ่ามนุษย์สักคนสองคนต่อวันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนไป วิธีการล่าของเราจะถูกเพ่งเล็ง อาจนำมาซึ่งการถูกเปิดโปงการมีตัวตนได้ ข้าจึงสั่งห้ามล่ามนุษย์เด็ดขาด ซึ่งการมีชีวิตอยู่ด้วยเลือดของสัตว์นำมาซึ่งความไม่พอใจ"

"พวกมันจึงหันมาล่าอมนุษย์ด้วยกันแทน" ไคราห์นจับประเด็นได้ในที่สุด

"นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าสั่งห้าม" วาร์เรนเสียงแข็ง "แต่ในตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร พวกมันต้องการเลือดของฝ่าบาทไปปลุกชีพนังนั่น เพื่อมาสู้กับข้า" ราชาแวมไพร์มุ่นคิ้ว "ข้าจะไปหาพวกนักล่าแวมไพร์ ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ให้มาประจำการอยู่ที่บาร์ธีมอร์"

นักล่าแวมไพร์คือมนุษย์ปุถุชนเดินดินธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นนักล่า นั่นคือการมีเลือดที่เป็นพิษต่อแวมไพร์ และความสามารถในการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วเหนือมนุษย์อื่น

"แล้วเจ้า..." ไคราห์นเลิกคิ้ว "จะกลับไปที่อังกฤษรึ"

"มารินาการ์ดอาจมีอันตราย" วาร์เรนตอบ "ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องการคืนชีพของฝ่าบาทจะส่งผลต่อใครมากกว่ากัน จะกลายเป็นคำร่ำลือเกี่ยวกับพลังการรักษาแห่งเซลทิค หรืออำนาจวิเศษในสายเลือดจอมราชัน และข้าไม่อาจแยกร่างเฝ้ามองทั้งสองสถานที่ได้ ดังนั้นจึงต้องเลือก"

ไคราห์นนิ่งไปครู่หนึ่งขณะครุ่นคิดตาม

เขาและวาร์เรนมีความเห็นตรงกันว่า มารินาการ์ดจะมีภัย ดังนั้นการตัดสินใจของราชาเซลทิคดูจะเหมาะสมแล้ว "เราค้นพบพิษที่จะฆ่าพวกแวมไพร์ได้โดยไม่ต้องแทงหัวใจอีกต่อไป" ราชาหนุ่มเอ่ยเรียบ "พิษที่สกัดจากตัวแทนแห่งแสงสว่าง"

ซินเนย์วาเลิกคิ้ว "ยาพิษหรือ... ฝ่าบาท"

"ถ้ามันทำให้ชาวเงือกปกป้องตนเองได้" วาร์เรนเอ่ยต่อ "ข้าก็อยากให้ฝ่าบาทเผยแพร่สิ่งนั้นออกไปให้ทั่วเจ็ดคาบสมุทร ให้พวกเขามีอาวุธที่จะสู้กับผีดูดเลือด" คนพูดหลับตาลงช้า พร้อมกับสูดหายใจลึก "ถ้ามีใครโกรธแค้นแวมไพร์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม... ให้บอกว่าราชาเป็นผู้ออกคำสั่ง ให้พวกเขาแค้นข้า ดีกว่าไปตามล่าพวกนอกรีตนั่น และถูกฆ่าตายไป เพราะอย่างไร... ชาวเงือกก็ทำอะไรข้าไม่ได้"

"พิษนั่นอาจจะฆ่าได้กระทั่งตัวเจ้าเอง วาร์เรน" ไคราห์นแกล้งขู่

แต่คู่สนทนาเหลือบตาขึ้นมองกลับ ก่อนจรดยิ้มมุมปาก "ไม่มีอะไรฆ่าราชาแวมไพร์ได้หรอก"

--------------------------------------------------

เวทอร์สต้องการเข้าพบราชาทะเลเหนือเพื่อยืนยันคำสั่งของอีกฝ่ายที่ถ่ายทอดมายังท่านซินเธียร์ ว่าต้องการให้เขาไปประจำอยู่ที่มารินาการ์ดเป็นการถาวร จริงอยู่ว่าองครักษ์หนุ่มไม่หวาดหวั่น และเต็มใจที่จะไป แต่เขายังอยากรู้เหตุผลว่าทำไมพี่ชายของเขาจึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ราวกับว่าเวสเทียร์เองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

หากไม่ติดว่าคนที่ดูจะมีปัญหามากกว่าฝ่าบาทคือองค์ชายเร็กซ์แห่งมารินาการ์ดเสียเอง

"เจ้าไม่คัดค้านสักหน่อยหรือ"

องค์ชายติดใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เขาไม่อยากขัดการประชุมของเผ่าเพชฌฆาต ซึ่งดูจะมีแต่เหล่านักรบที่ฮึกเหิมอยู่ตลอดเวลา "เหตุใดจึงกล้าออกปากว่าจะไปจากบ้านเกิดตัวเองได้แบบนั้น" สำหรับ 'เงือกปลา' อย่างองค์ชายเร็กซ์ เขาไม่มีความกล้าหาญมากมายเท่าพวกวาฬ แม้ว่าเขาจะสูญเสียองครักษ์คนสนิท แต่เผ่าสเตอร์เขียนสามารถสรรหาองครักษ์ที่แข็งแกร่งพอมารับใช้เขาต่อได้

ไม่จำเป็นที่เวทอร์สจะต้องละทิ้งบ้านเกิดไปเพื่อรับผิดชอบเรื่องนี้เลยสักนิด

"มันไม่ใช่เพียงความรับผิดชอบหรอกขอรับ" องครักษ์ตอบเสียงเรียบ "มันแฝงความภูมิใจของเผ่าเราด้วย" เผ่าเพชฌฆาตได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักรบที่ห้าวหาญและแข็งแกร่งที่สุด ทำให้พวกเขามีความภูมิใจในชาติกำเนิดยิ่งกว่าอะไร และยิ่งได้ทำภารกิจเพื่อราชา เวทอร์สคิดว่านั่นเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต

แต่สำหรับองค์ชายเร็กซ์แล้ว... ไม่ใช่เพียงความภูมิใจและความรับผิดชอบ

มันอาจเป็นเพียงความรู้สึกต้องการจะปกป้องอย่างแรงกล้า ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเด็ดขาด

"ฝ่าบาท..." เวทอร์สเอ่ย แต่แล้วก็นึกได้ว่าเรียกผิด "องค์ชาย... ไม่ต้องเป็นห่วงไป นี่เป็นความภาคภูมิใจของกระหม่อม" เขาอาจจะไม่ได้ภูมิใจที่ตนได้ทำภารกิจสำคัญ แต่เขาภูมิใจที่ได้ปกป้องคนที่ตนต้องการปกป้องรักษา และเคารพเทิดทูนเอาไว้เทียบเท่ากษัตริย์แห่งเซลทิค

เวทอร์สเชื่อว่าพี่ชายของเขาคงรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อครั้งที่ร่วมประลองคัดเลือกองครักษ์คนสนิท

คาดันน์ลอยตัวนิ่งๆ อยู่ข้างองค์ชายมารินาการ์ด มันเองก็ดูจะทึ่งในคำสั่งของราชาแห่งเซลทิคเช่นกัน "จำเป็นแค่ไหนที่คาดันน์จะต้องไปด้วย" เร็กซ์รู้สึกผิด เขาไม่ได้ยินดีที่ฝ่าบาทไคราห์นตัดสินใจมอบหลายสิ่งหลายอย่างให้ แต่เขากลับกำลังรู้สึกผิดที่จะต้องพรากเอาชีวิตของผู้อื่นมาจากบ้านเกิด องค์ชายเร็กซ์รักมารินาการ์ด และเขารู้สึกการจากบ้านเกิดของตนไปจะทำให้ปวดใจมากแค่ไหน

เขาไม่อยากเป็นต้นเหตุที่จะต้องทำให้ใครต้องเสียสละเพื่อเขา

"มันคงพอใจจะอยู่กับองค์ชาย กระหม่อมจึงเห็นด้วยกับฝ่าบาท" เวทอร์สตอบ เขาเหลือบมแงวาฬยักษ์ที่เงียบเสียงมาตั้งแต่เมื่อวาน และรับรู้ได้ว่ามันรู้สึกไม่ดี แต่เขาอ่านใจมันไม่ได้ หากคาดันน์ไม่เอ่ยออกมา อย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าวาฬนี่คิดอะไรอยู่ "อย่างน้อยมารินาการ์ดก็จะได้มีวาฬสื่อสาร ส่งข่าวกลับไปยังเซลทิคได้ ในยามที่ต้องการขอความช่วยเหลือ"

เร็กซ์ยอมรับว่าเขากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป...

ฝ่าบาทไคราห์นคงคาดการณ์อะไรได้ จึงได้มอบของกำนัลให้มารินาการ์ดมากมายขนาดนี้

"องค์ชายอย่าทำหน้าแบบนั้น"

เวทอร์สตัวใหญ่กว่าคู่สนทนา ดังนั้นต่อให้เขาลอยตัวอยู่ต่ำกว่า เขาก็ยังดูโตกว่าเร็กซ์อยู่ดี แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับการอยู่ในระดับเดียวกันกับเหล่าราชาและเชื้อพระวงศ์ แต่องค์ชายแห่งมารินาการ์ดนี่เองที่ไม่เคยถือสา และทำให้เขารู้สึกว่า คนตรงหน้าช่างเปราะบาง ต้องการให้ใครมาปกป้อง

"แวมไพร์พวกนั้นตายไปหมดแล้วขอรับ"

เร็กซ์ถอนใจ วางมือลงบนหลังของคาดันน์เพื่อประคองตัวเอง "เราไม่เคยต่อสู้ เวทอร์ส... ไม่เคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่น นั่นคือเหตุผลที่ฝ่าบาทไคราห์นเป็นห่วงมารินาการ์ดใช่ไหม แต่หากเรายอมรับทหารของเซลทิคและฝึกให้คนของเราชำนาญขึ้นมา เรายิ่งรู้สึกว่า... สงครามจะต้องเกิดขึ้นสักวันอย่างแน่นอน"

"ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ... กระหม่อมจะสู้แทนองค์ชายเอง"

--------------------------------------------------


คุยอะไรดี... อา... เออ... คือเวสเทียร์อ่ะ เขาเป็นเผ่าวาฬเพชฌฆาต คือโดยธรรมชาติแล้ววาฬเพชฌฆาตจะไม่นอน จะลอยตัวเนือยๆ เอื่อยๆ อืดๆ เวลาเหนื่อย อะไรงี้ (ลอยตัวเป็นหมู่คณะ) และไม่จำเป็นว่าจะต้องนอนตอนกลางคืนด้วย!!! ดังนั้นเวสเทียร์จึงดูใช้เวลาพักผ่อนน้อยมาก... แม้ว่าเมื่อคืน... จะเล่นไปสักสามยกก็ตาม (อิอิ)

ส่วนฝ่าบาทไคราห์น.... ธรรมชาติของวาฬหลังค่อมคือมันตัวใหญ่ ชิล สโลวไลฟ์ และเอ่อ... ดูมึนๆมาก

ฉะนั้นฉากตื่นนอนที่ฝ่าบาทดูมึนๆ แล้วเวสเทียร์ดูตื่นเต็มตาเนี่ย... น่าจะเรื่องปกติ 555



เวทอร์ส... ผู้ชายที่แมนที่สุดในเรื่องนี้ (หืม...) จริงๆ คู่นี้ไปแค่นี้แหละนะ เป็นโบรแมนซ์...

เหมือนเวทอร์สก็ให้เร็กซ์เลือกว่าจะเอายังไง แล้วเขาก็ไม่วอแว ไม่อยากได้อะไรมากกว่านี้ อย่างเวสเทียร์คืออยากได้นะ มีความตัดพ้อ ได้คืบเอาศอกนิดนึง แต่เวทอร์สคือรักบริสุทธิ์ใจ << ความจริงคือเอ็งรักคนมีเมียมีลูกแล้ว

เร็กซ์เลือกที่จะ... เอ็นดูมากกว่า เพราะ... เขาเป็นคนที่มีชีวิตเรียบๆ และเถรตรงสุดๆ มีเมียก็ต้องรักเมีย และมีเมียแล้วก็ต้องมีลูก อะไรประมาณนั้น เพราะเมียเขาทั้งหมด (4 คน) ถามว่าเขารักใครมากกว่ากัน ความจริงคือรักเท่ากัน... รักเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องรัก (แต่ถ้าลูกเนี่ย ก็คงจะรักมากกว่าเมีย 555) ดังนั้นเร็กซ์จึงเว้นเวทอร์สเอาไว้ใน king zone (ห๊ะ) เหมือนพยายามจะไม่แตะความสัมพันธ์ ไม่ให้มากไปกว่านี้ แต่ก็ไม่อยากหักหาญ

...จริงๆ เหมือนจะกลัวว่าถ้าถลำมากกว่านี้ ชีวิตจะไม่เป็นสุข



ทุกสังคมมันต้องมีผู้ชายแบบเวทอร์สน่า... ดี๊ดี แต่นก เนี่ย 555555555555

ตอนหน้าเจอกันนน จบแล้วเราจะหวานนน

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนที่ 25

"เจ้าควรจะเงยหน้าขึ้นมองเราได้แล้ว เวทอร์ส"

ฝ่าบาทไคราห์นเอ่ยขึ้นขณะสนทนากับองครักษ์ลาดตระเวนฝ่ายใต้ "เรายกเลิกกฎข้อนั้นไปแล้ว" ราชาเซลทิคทอดตัวอยู่บนบัลลังก์ของเขา โดยที่มีเวสเทียร์อยู่เคียงข้าง ราชรถวาฬแห่งเซลทิคพร้อมที่จะออกเดินทางไปมารินาการ์ดเป็นการถาวร "ต่อไปนี้เจ้าคือองครักษ์แห่งมารินาการ์ด..."

เวทอร์สค้อมหัวรับคำสั่ง "เป็นเกียรติของกระหม่อมในฐานะตัวแทนฝ่าบาทขอรับ"

ราชินีเรจินาพักผ่อนอยู่ที่เซลทิคเป็นเวลาสามอาทิตย์หลังจากนั้น โดยเผ่าเพชฌฆาตแห่งเซลทิคล่าวาฬกลับมาได้ตัวหนึ่ง และมอบเนื้อทั้งหมดให้กับชาวมารินาการ์ด ด้วยพวกเขาไม่อาจกินพวกเดียวกันได้ และตอนนี้เรจินาก็แข็งแรงพอ และพร้อมที่จะเดินทางกลับเมืองของตัวเองแล้ว

อาณาจักรเซลทิคมอบฝูงวาฬราชรถให้มารินาการ์ดฝูงหนึ่ง และองครักษ์หน่วยจู่โจมที่จะไปพำนักอารักขาที่นั่นเป็นการชั่วคราว โดยหมุนเปลี่ยนเวียนหน่วยกันทุกเดือน เพื่อสอนวิถีการต่อสู้ให้กับชาวมารินาการ์ด อีกทั้งยังมีคนจากเผ่านาร์วาลร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อสอนวิธีการปรุงยาที่จะทำให้ชาวเงือกมีขาเหมือนมนุษย์เป็นการชั่วคราว

หากจะสู้กับเบื้องบน... พวกเขาคงไม่อาจเป็นเงือกได้ตลอดกาล

"เราฝากดูแลมารินาการ์ดแทนด้วย"

องครักษ์หนุ่มค้อมหัวลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย "กระหม่อมจะทำให้อาณาจักรเซลทิคภูมิใจ" ดวงตาสีเข้มกวาดมองเหล่าองครักษ์ที่มาร่วมส่งเขา มองฟาลที่พยักหน้าให้กำลังใจ มองท่านซินเธียร์ที่ทอดยิ้มให้ และมองสหายร่วมรบของเขา "และทำให้เผ่าเพชฌฆาตภูมิใจด้วยเช่นกัน"

ฝ่าบาททะเลเหนือมอบดาบเล่มหนึ่งให้เวทอร์ส มันมีลักษณะโค้งงอได้องศาตามรูปร่างกระดูกของวาฬ

นักรบระดับสูงเท่านั้นที่จะได้ใช้อาวุธแบบนี้

ราชินีเรจินารู้ดีว่าสงครามยังไม่จบสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ พระนางจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจของไคราห์น และน้อมรับไว้ด้วยยินดี "เราไม่ได้จากกันไปไหนหรอก ฝ่าบาท..." ราชินียิ้ม "เราจะมาเชิญฝ่าบาทไปร่วมพิธีอภิเสกของเราด้วยตัวเอง" ไคราห์นยิ้มตอบ และช้อนมือเล็กเรียวบางขึ้นมาจูบเบาๆ

"เรายินดีที่ได้พบฝ่าบาทเจรินาเสมอ"

นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองไปยังองครักษ์คนสนิทของพระนาง และว่าที่สวามีของราชินีแห่งมารินาการ์ด "แต่เกรงว่าฟาเบียงอาจจะไม่ชอบเราสักเท่าไหร่ ตามสัญชาติญาณของฉลาม" คนพูดจรดรอยยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกขบขัน "เพราะเราเองก็ไม่ถูกชะตากับฟาเบียงเพราะสัญชาติญาณของวาฬเช่นกัน"

ฟาเบียงเลิกคิ้ว แต่แล้วก็ยิ้มออกมา "กระหม่อมจะพยายามไม่ทำให้ฝ่าบาทกริ้วแล้วกัน"

แน่นอน... ถ้าเขาดูแลฝ่าบาทเรจินาไม่ดี ฝ่าบาทไคราห์นคงจะกริ้วเป็นแน่

"คาดันน์..." วาฬเพชฌฆาตไม่ค่อยได้รับการต้อนรับในท้องพระโรง แต่ครั้งนี้มันได้รับเกียรติอย่างสูง ทว่าสัตว์ใหญ่กลับเคลื่อนกายออกมาด้วยท่าทางหม่นหมอง มันเงยหน้า และเอียงตามองราชาทะเลเหนือช้าๆ "เจ้าไม่ใช่สมบัติของใคร ดังนั้นเราจึงไม่รั้งเจ้าไว้..."

สัตว์ใหญ่ขยับหาง เคลื่อนร่างกายเข้าไปหาราชาทั้งอย่างนั้น และเคยกางบนหน้าตักฝ่าบาทบนบัลลังก์พร้อมกับส่งเสียงแหลมสูง ชาวเซลทิคเข้าใจภาษวาฬ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าคาดันน์กำลังจะบอกอะไร และนั่นก็ทำให้ทุกคนทึ่ง

...มันไม่ต้องการจะไป

มันขออยู่กับราชาทะเลเหนือเท่านั้น

ฝ่าบาทเบิกตาขึ้น แล้วจึงวางมือบนปลายปากนุ่มหยุ่น "เจ้าโตแล้วนะ" มันเป็นวาฬพลัดฝูง สนิทสนมกับชาวเงือกจนไม่สามารถกลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกของตัวเองได้ มันโปรดปรานองค์ชายเร็กซ์ และพอใจเมื่ออีกฝ่ายลูบหัวเล่นด้วย แต่หากว่ามันจะต้องเลือกระหว่างฝ่าบาทกับองค์ชาย

มันก็ยังอยากอยู่กับฝ่าบาทมากกว่าอยู่ดี

สัตว์ใหญ่ส่ายหัวช้า เปล่งเสียงออดอ้อนเบาๆ คล้ายร้องขอ ต่อให้ฝ่าบาทจะไม่อ่อนโยน ไม่ใจดี แต่ในยามที่ราชาหดหู่ ก็มีเพียงมันเพียงตัวเดียวไม่ใช่หรือไคราห์นหันหน้าไปหาได้

วาฬใหญ่มองต่ำ รอฟังการตัดสินใจของฝ่าบาท

"ก็ได้... เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป" ไคราห์นทอดยิ้มออกมา "ในฐานะผู้สื่อสารระหว่างเซลทิคและมารินาการ์ด"

ตาเล็กๆ เหลือบขึ้นมองคนตรงหน้า ขณะที่หางมหึมาขยับโบกและดันตัวเองเข้าไปคล้ายจะโอบกอดราชาแห่งเซลทิค "คาดันน์!" เหล่าองครักษ์ร้องเสียงหลง พุ่งเข้ามาดึงหางและครีบของสัตว์ยักษ์เอาไว้ ไม่ให้มันเบียดร่างผู้นำอาณาจักรซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ "คาดันน์! ถอยออกมา!!"

"เอาเถิด..." ฝ่าบาทไคราห์นตบมือบนปากของมันเบาๆ "เรารู้ว่าเจ้ายินดี แต่ทำแบบนี้จะถูกลงโทษ"

วาฬยักษ์ยอมขยับถอยออกมาเมื่อถูกขู่ มันหันไปหาองค์ชายเร็กซ์อีกครั้ง และว่ายไปหาฝ่ายนั้นเพื่อจะออดอ้อนเป็นครั้งสุดท้าย "นี่ก็เริ่มสายแล้ว รีบออกเดินทางจะดีกว่า" ราชาหนุ่มทอดยิ้มให้อาคันตุกะของเขา "แล้วส่งสัญญาณกลับมาหาเราด้วย"

เวสเทียร์เคลื่อนกายไปหยุดข้างคาดันน์ก่อนกระซิบ "เจ้าออกไปส่งพวกเขา..."

ราชินีเรจินาขึ้นประทับบนราชรถ และหันมาส่งยิ้มให้วาฬยักษ์ครู่หนึ่งด้วยความเอ็นดู ฝูงวาฬค่อยๆออกว่าย มุ่งไปยังทิศตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของมารินาการ์ด โดยมีคาดันน์ว่ายตามไปด้วยห่างๆ มันส่งเสียงเรียกเวทอร์ส ให้ฝ่ายนั้นหันมามองด้วยความฉงน

คาดันน์ลอยตัวอยู่นิ่งๆ กลางมหาสมุทรเช่นนั้น ขณะเฝ้ามองขบวนราชรถจากไป

...มันรู้ว่าพวกเขาจะต้องได้พบกันอีกครั้งเป็นแน่

--------------------------------------------------

THE END

--------------------------------------------------


ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
บทส่งท้าย

ฝ่าบาทเรจินาสมรสกับองครักษ์ฟาเบียง



ในอีกสามปีต่อมา... พระนางให้กำเนิดบุตรชาย นามว่า เลอาฟร์

ทำให้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรไรห์วาและมารินาการ์ด

เนื่องด้วยฟาเบียงมีศักดิ์เทียบเท่าราชาแห่งไรห์วา

การถือกำเนิดของเลอาฟร์จึงหมายความถึงการวมอาณาจักร

มารินาการ์ดจะต้องตกเป็นของไรห์วา ตามกฎแห่งบรรพกษัตริย์



ฝ่าบาทไคราห์นสนับสนุนมารินาการ์ด

และช่วยเหลือจนมารินาการ์ดได้รับชัยชนะในสงคราม



แต่แลกด้วยการเสียชีวิตของฟาเบียง

--------------------------------------------------

เรจินาไม่อาจยอมรับการสูญเสียได้



ผมของนางกลายเป็นสีขาวโพลน และสุขภาพซูบผอม ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว



นางรู้ดีว่าตนไม่อาจมีชีวิตได้ยืนยาวไปกว่านี้

จึงตัดสินใจทำสัญญากับราชาแวมไพร์ด้วยการมอบเลือดของนางแก่เขา

เพื่อให้เขากลายเป็นทาสแห่งสายเลือดจอมราชัน เพื่อปกป้องอนาคตของมารินาการ์ด



นางบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาทไคราห์น เพื่อไม่ให้เขาโกรธแค้น





องค์ชายเร็กซ์ก้าวขึ้นเป็นราชาแห่งมารินาการ์ด



เขาไม่ติดต่อกับเซลทิค แต่ตั้งใจจะกลับไปอีกครั้ง...

เมื่อพร้อมที่จะยิ้มให้กันและกันเท่านั้น

--------------------------------------------------


สามสิบห้าปีแล้ว... ที่เร็กซ์ไม่ได้เดินทางไปอาณาจักรเซลทิค

เขาเคยมาที่นี่ในฐานะองค์ชาย แต่ในตอนนี้กลับเป็นถึงพระบิดร... เป็นถึง 'น้า' ของราชาแห่งมารินาการ์ด

ราชาทะเลเหนือได้ชื่อว่าเป็นผู้นำความก้าวหน้ามาสู่เหล่าครึ่งมัจฉา ผู้สนใจแต่โลกใต้ทะเล แต่เงือกแห่งเซลทิคกลับไม่เคยทอดทิ้งแผ่นดิน พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ อีกทั้งยังสามารถสรรสร้างอาวุธใหม่ๆ ที่ใช้ต่อกรกับศัตรู เพื่อป้องกันชาวบาดาลจากการรุกรานอีกด้วย

เร็กซ์คิดถึงวันวาน... คิดถึงการไปเยือนอาณาจักรทะเลเหนือในครั้งนั้น

ราวกับว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

"ฝ่าบาทยิ้มนะขอรับ" เสียงขององครักษ์ดังขึ้นข้างตัว เวทอร์สยิ้มมองขณะสังเกตท่าทางของผู้เป็นนาย "กระหม่อมกังวลว่าฝ่าบาทอาจหนาว เพราะนี่ก็น่าจะเป็นเทศกาลเล่นแสงจันทร์ของชาวเซลทิคพอดี" เทศกาลเล่นแสงจันทร์หมายถึงการมาชุมนุมกันของวาฬอพยพหนีอากาศหนาว ดังนั้นอุณหภูมิที่ลดลงอาจจะทำให้อดีตราชาแห่งมารินาการ์ดป่วยได้

เร็กซ์หัวเราะร่วนและยกมือขึ้นปัดเบาๆ ในกระแสน้ำ

"เรายังแข็งแรงดี ไม่ต้องกังวลไป..."

"อายุแปดสิบปีสำหรับเผ่าวาฬก็ยังไม่เกษียณเลยด้วยซ้ำขอรับ" เวทอร์สยิ้มตอบ น้อยครั้งนักที่องครักษ์คนสนิทจะแย้มยิ้ม อีกฝ่ายยังคงเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาตเสมอมา นั่นคือการไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย เวทอร์สในตอนนั้นมีอายุเพียงสิบแปดปีก็ดูเคร่งขรึมและเป็นผู้ใหญ่มากพอแล้ว ยิ่งในตอนนี้มีอายุถึงห้าสิบสามปี ดังนั้นคงไม่ต้องเสียเวลาถามหาเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย

หากเวทอร์สมีอายุถึงห้าสิบสามปี เวสเทียร์ผู้พี่ก็คงจะหกสิบสามเข้าไปแล้ว

ช่างฟังดูแก่นัก แต่สำหรับชาวเงือกนี่ก็เพิ่งจะวัยกลางคน

เสียงราชรถวาฬด้านหน้าเรียกร้องความสนใจจากองครักษ์ เขาเบนสายตาไปจากพระบิดร "กระหม่อมขอตัวก่อน" องครักษ์ระดับสูงเคลื่อนกายออกไปจากราชรถที่ประทับ เพื่อจะตรงไปยังด้านหน้าสุดของขบวน วาฬด้านหน้าชะลอความเร็วด้วยไม่รู้ว่าจะต้องทำประการใดกับสิ่งที่ปรากฎเบื้องหน้า

ยังมีวาฬใหญ่ตัวหนึ่ง ลอยตัวประจันหน้าขวางทางพวกมันอยู่ ครีบอกของมันมีขนาดมหึมา และเมื่อพิจารณาประกอบกับกระโดงหลังสูงตระหง่าน เวทอร์สก็รู้ทันทีว่านี่เป็นวาฬที่มีอายุตัวหนึ่ง มันเอียงหัวมองด้วยดวงตาเล็กๆ ทีละข้าง ก่อนจะเผยอปากขึ้นเมื่อแน่ใจว่าใครคือผู้มาเยือน

"ท่านน้า" เลอาฟร์ ราชาองค์ปัจจุบันแห่งมารินาการ์ดเอ่ยเรียกญาติอาวุโสด้วยความไม่แน่ใจ ขณะที่อดีตราชาเคลื่อนกายออกมาจากราชรถที่ประทับ "ปล่อยให้เวทอร์สจัดการ..."

"ฝ่าบาท..."

แต่แล้วอดีตราชาเงือกก็ปราดเข้าไปหาวาฬตัวนั้น กอดจะยกแขนขึ้นกอดมันด้วยความคิดถึง "คาดันน์..."

มันตอบรับด้วยการส่งเสียงแหลม ก่อนจะพ่นอากาศออกจากจมูกเป็นสาย และเอี้ยวร่างเข้าหาเงือกตรงหน้าพร้อมกับขยับครีบใหญ่เข้ามาคล้ายอยากโอบกอด เวทอร์สค่อยๆ ขยับร่างเข้าไปประคองพระบิดร และมองดูสหายเก่าที่บัดนี้ตัวโตเสียจนเขาแทบจำไม่ได้ สัตว์ใหญ่อ้าปากกว้าง แทนการทักทายที่คุ้นเคย รอให้องครักษ์เอื้อมมือไปลูบลิ้นนุ่มหยุ่นของมันด้วยความยินดี

"ฝ่าบาทเลอาฟร์" เวทอร์สยิ้ม "นี่คือคาดันน์... วาฬสื่อสารแห่งเซลทิค"

ราชามารินาการ์ดเคลื่อนตัวลงจากราชรถที่ประทับ ทว่าสายตาของเขาไม่ได้หยุดที่วาฬตัวเขื่อง แต่กลับเป็นแสงสว่างที่เคลื่อนออกมาจากด้านหลังของสัตว์ผิวดำท้องขาว

ผิวของราชาทะเลเหนือเป็นสีขาวโพลนล้อแสงจันทร์ เช่นเดียวกับผมยาวสีเดียวกันที่พลิ้วไหวในกระแสน้ำ และหางขนาดมหึมาอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าวาฬ ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องราชามารินาการ์ดก่อนใครอื่น เขาวางมือบนหลังของสัตว์ใหญ่ และไม่สนใจสายตาตกตะลึงของเหล่าองครักษ์แห่งมารินาการ์ดที่เพิ่งมีโอกาสได้พบราชาทะเลเหนือเป็นครั้งแรก

"ฝ่าบาทไคราห์น..." เวทอร์สค้อมหัวลงเมื่อเห็นอีกฝ่าย และถอยกายลงไปต่ำกว่าด้วยรู้สถานะของตน

"เจ้าเป็นลูกของเรจินาสินะ" เจ้าเงือกหนุ่มอ้าปากน้อยๆ เมื่อน้ำเสียงทุ้ม ทว่านุ่ม และกังวานเอ่ยถามคำถามที่ไม่ใช่คำทักทายตามมารยาทปกติของราชา "เราสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแบบเดียวกัน ในครั้งแรกที่พบนาง" รอยยิ้มจางจรดที่มุมปากราชาทะเลเหนือ เขาผายมือออกไปข้างตัวอย่างนุ่มนวลงดงาม

"ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรเซลทิค"

--------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนพิเศษ [1] ความปรารถนา

เวสเทียร์อยู่ในฐานะองครักษ์คนสนิทมาตลอดสิบปี แม้ห้าปีในนั้นจะพ่วงหน้าที่แปลกๆ มาด้วย

แต่การจะเปลี่ยนจากองครักษ์เป็นคนรักในชั่วข้ามนั้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะชินได้ง่ายๆ จนตอนนี้ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว ผู้นำเผ่าเพชฌฆาตก็พบว่าตัวเองยังไม่ชินสักเท่าไหร่ ฝ่าบาทไคราห์นอาจจะปากหวานขึ้น พูดมากขึ้น และสนใจเขามากขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่เขาทำให้ราชาก็เป็นเพียงการดูแล อารักขา รักษาความปลอดภัยเหมือนเดิมดังเช่นที่ผ่านมา

ไคราห์นรู้ดีว่าคนรักของตนค่อนข้างจะ 'ทื่อ' และติดไปในทาง 'ทึ่ม' เสียด้วย หากพูดเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรัก ราวกับยังพยายามบ่ายเบี่ยงจากมันอยู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ เวสเทียร์ก็จะกลายเป็นคนขี้อ้อนขึ้นมาในชั่วอึดใจ และเพียงครู่เดียวหลังจากนั้น เจ้านั่นก็จะกลับไปเป็น 'คนทื่อ' ตามเดิม

ไม่รู้ว่าคนแบบนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน เมื่อครั้งที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันครั้งแรก

"นับแต่นี้ไป... เจ้าจะต้องขออะไรก็ได้จากเราวันละหนึ่งข้อ"

เมื่อนึกอุบายบางอย่างได้ ฝ่าบาทไคราห์นก็เอ่ยมันออกมา"จะหลังตื่นนอน หรือก่อนนอน หรือระหว่างวันก็ย่อมได้ แต่วันละหนึ่งข้อ" ผู้ฟังได้แต่อ้าปากค้าง และเผลอมองคู่สนทนาด้วยความตกตะลึง  เขาวางตัวไม่ถูก เขารับมือไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็น 'ภารกิจ' ที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยก็ตาม

แต่แค่ตอบคำถามว่าเขามีสิ่งใดที่ชอบเป็นพิเศษหรือไม่ เวสเทียร์ก็คิดออกแต่คำว่า 'ฝ่าบาท'

"ฝ่าบาท... กระหม่อม..."

เขาเดาว่าอีกฝ่ายจะตัดบทไม่ให้เขาโต้แย้ง แต่น่าแปลกที่ไคราห์นรับฟัง "เจ้า... ทำไมรึ"

"กระหม่อมคิดไม่ออกขอรับ"

"เขาว่าเผ่าเพชฌฆาตฉลาดไม่ใช่หรือ"

นี่นอกจากจะทำเหมือนความสัมพันธ์อึมครึมที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว ฝ่าบาทไคราห์นยัง 'หลอกด่า' เขา อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนอีกด้วย!

อีกฝ่ายกำลังว่าเขาโง่!!

ไม่ว่าจะต่อว่าด่าทอในด้านใด เวสเทียร์ก็ไม่เคยโต้เถียง ทว่าครั้งนี้... เขาจะไม่ยอมอีกต่อไป

"เช่นนั้น ฝ่าบาทรับปากได้หรือไม่ ว่าจะปฏิบัติตามคำขอของกระหม่อม" ราชาทะเลเหนือเลิกคิ้ว ยืดตัว และเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมกับยกดแขนขึ้นกอดอกซึ่งมันยิ่งทำให้เขาดูขึงขัง ดุดัน และจริงจังมากกว่าเดิม

"เจ้าคิดว่ามีสิ่งใดที่เราทำไม่ได้รึ"

เวสเทียร์ค้อมหัวลง "ขออภัยขอรับ"

เมื่อเห็นท่าทีดังนั้น ราชาหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าเขาเผลอเอ็ดองครักษ์คนสนิทอีกแล้ว แขนแกร่งค่อยๆ คลายออก และปล่อยวางไว้ข้างตัวดังเดิม แล้วจึงทอดเสียงอ่อนลง "ได้... เราจะทำตามคำขอของเจ้า เริ่มวันนี้เลย เจ้าอยากได้อะไร" นี่เป็นสิ่งที่ไคราห์นอยากถามเวสเทียร์มานานแล้ว นอกเหนือจากว่าชอบอะไร แต่อีกฝ่ายอยากได้อะไรจากเขาบ้างไหม

และแน่นอนว่าการรอคำตอบของอีกฝ่ายทำให้ราชาใจเต้นได้

เวสเทียร์สูดหายใจลึก "บอกรักกระหม่อมได้ไหมขอรับ"

ราชาไคราห์นแห่งเซลทิคถึงกับหน้าชา และพยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้ตัวเองหน้าแดง แต่แน่นอนว่าเสียงหัวใจที่เต้นดังเสียจนองครักษ์เองยังได้ยินย่อมสูบฉีดเลือดขึ้นไปทำให้ใบหน้าคมร้อนผ่าวด้วยความเก้อเขิน

ไคราห์นไม่เคยคิดเลยว่าองครักษ์ของตนจะฉลาดแกมโกงได้ถึงเพียงนี้

เห็นทีเขาคงต้องถอนคำพูดเมื่อครู่...

"ฝ่าบาท" องครักษ์เอ่ยเรียก น้ำเสียงแฝงด้วยความเร่งเร้า หลังจากฝ่าบาทยกเลิกกฎการห้ามมองของราชวงศ์ ผู้คนก็รู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดราชามากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เวสเทียร์ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดี และครั้งนี้ก็เช่นกัน ร่างโปร่งเพียงแค่แอบมองสีหน้าของผู้เป็นนาย ฝ่าบาทไคราห์นมีผิวขาวจัด จนแทบจะเรืองแสงเมื่ออยู่ใต้น้ำ ดังนั้นความรู้สึกตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผิวพรรณของราชาผู้ขาวเผือดกลายเป็นชมพูจัดขึ้นมาได้

ราชาทะเลเหนือสูดหายใจลึก ประหนึ่งต่อสู้กับตัวเอง "เรา... รักเจ้า"

น้ำเสียงของฝ่ายนั้นทุ้ม ทว่านุ่มละมุนอยู่ในลำคอ แม้จะไม่ค่อยมีเยื่อใยหรือความรู้สึกส่งผ่านมาทางคำพูด แต่เวสเทียร์ก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี "พูดอีกครั้งได้ไหมขอรับ"

"เกินวันละข้อแล้ว"

"เอาของพรุ่งนี้มารวมก็ได้ขอรับ"

...เอาของทั้งเดือนทั้งปีมารวมกันในวันเดียวก็ได้

ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้กันหนอ หรือเป็นเพราะที่ผ่านมาไคราห์นไม่เคยรู้เลยว่าเวสเทียร์มีนิสัยพูดคุยอย่างไร เพราะพวกเขาไม่เคยคุยกับแบบสามัญชนคนธรรมดาเลยสักครั้ง ฝ่าบาททอดมองคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูอย่างลืมตัว และเมื่อไม่มีคำตอบจากราชาหนุ่ม เวสเทียร์ก็ก้มลงไปจูบบนปลายหางสีขาวโพลนเพื่อแสดงความเคารพ

"จูบให้มันสูงกว่านั้นหน่อยไม่ได้หรือไร"

จะจูบทั้งที จูบแค่ปลายหาง... ไคราห์นจำไม่ได้ว่าเขาเคยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายจูบปากหรืออย่างไร

ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับหางยกหนี และเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้องครักษ์คนสนิทแทน เขาช้อนใบหน้านั้นขึ้นและเป็นฝ่ายแนบจูบกับริมฝีปากนั่นเสียเอง ร่างโปร่งจูบตอบแผ่วเบา เผยอริมฝีปากตอบรับอย่างไม่รู้ประสา และกลั้นใจเมื่อรู้สึกได้ถึงลิ้นอุ่นร้อนของคนตรงหน้าค่อยๆ รุกแทรกเข้ามาแนบชิด

ไม่รู้ฝ่าบาทไปเรียนวิธีจูบแบบนี้มาจากไหนกัน เขาก็ไม่เคยจูบกับใครมาก่อนเลยไม่ใช่หรือ

ฝ่ายรุกรานเป็นถอยออกก่อน และกระซิบถามชิดริมฝีปาก "จะไม่พูดกลับบ้างรึ"

"ฝ่าบาทไม่ได้ขอให้กระหม่อมพูดนี่ขอรับ"

"เวสเทียร์!"

ราชาหนุ่มคิดว่าเขาจับทางอีกฝ่ายได้บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางขององครักษ์คนสนิท ไคราห์นก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อน "พรุ่งนี้คำขอห้ามซ้ำกับวันนี้ แล้วของวันมะรืนนี้ก็ห้ามซ้ำกับพรุ่งนี้" เวสเทียร์อาจไม่ใช่คนโง่ แต่เพียงแค่ไม่อยากคิดอะไรมาก จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดอะไรใหม่ๆ แต่ใช้วิธีลอกคำตอบเดิมๆของตัวเอง

"ซ้ำได้อีกทีเมื่อไหร่ขอรับ"

นั่นไง... เขาเคยเดาผิดเสียที่ไหน

องครักษ์หลบตาลงมองต่ำก่อนอุบอิบพูด "กระหม่อมแค่ชอบเวลาฝ่าบาทบอกรัก" ต่อให้อยากด่าว่าเจ้าคนขี้เกียจ แต่ลองเวสเทียร์พูดเช่นนี้ มีหรือฝ่าบาทจะใจแข็งต่อไปได้ และนอกเหนือจากการออดอ้อนแบบใช้คำพูดทื่อๆ นิ่มๆ ตามฉบับขององครักษ์ที่อ้อนใครไม่เป็นแล้ว เวสเทียร์ยังเม้มริมฝีปากของตัวเองราวกับกำลังขาดความมั่นใจอยู่อีกด้วย

องครักษ์ระดับผู้นำที่ไหนเขาจะทำแบบนี้!

ไคราห์นแตะปลายจมูกกับอีกฝ่าย ก่อนจะใช้มือประคองช้อนใบหน้าเรียวขึ้นมาจูบอย่างอดไม่ได้ นับตั้งแต่จูบกันครั้งแรก เขาก็เฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าเหตุใดจึงไม่เคยจูบอีกฝ่าย ทั้งที่มันทำให้รู้สึกดีขนาดนี้ เวสเทียร์ลอบยิ้ม และจูบตอบเนิบช้า แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยกว่า แต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็รู้ว่ากิริยาแบบใดที่จะทำให้ราชา 'ทนไม่ได้'

"แล้วเจ้าจะพูดบ้างหรือไม่ เมื่อไหร่ดี..."

เวสเทียร์ลอบเม้มปาก เมื่ออีกฝ่ายกระซิบถาม เขารู้ว่าราชากำลังมองสีหน้าและกิริยาของเขาอยู่ ดวงตาสีน้ำเงินครามของอีกฝ่ายอยู่ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจบางอย่างที่ทำให้เขาเฉไฉไปเรื่องอื่นไม่ได้ ไม่ว่าจะรู้สึกเขินอายมากเท่าไหร่ก็ตาม "จะโกงให้เราพูดอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ เวสเทียร์"

แต่ยังไม่ทันที่เวสเทียร์จะเอ่ยตอบ ประสาทการได้ยินของคนทั้งคู่ก็เตือนว่ามีผู้เข้ามาในเขตถ้ำที่ประทับ ราชาทะเลเหนือเป็นฝ่ายผละออกจากคนตรงหน้าก่อนด้วยความเสียดาย และอึดใจต่อมา เลขาอาวุโสของเขาก็ขึ้นมารายงานความเป็นไปประจำวัน

ท่านฟาล... ข้าไม่เคยรู้สึกรักท่านมากขนาดนี้มาก่อน!

"ฝ่าบาทเรจินาแจ้งกำหนดการณ์พิธีอภิเสกของพระนางในอีกสามเดือน และพระนางจะเดินทางมาด้วยตนเอง" ฟาลกล่าวรวบรัด ด้วยรู้ดีว่าเขาอาจมารบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของราชาทะเลเหนือกับองครักษ์คนสนิท

ดูเหมือนว่าพักหลังๆ มานี้เขาจะแยกทั้งสองออกจากกันยากกว่าเดิม พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็จริง แต่ฟาลจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ความสัมพันธ์ไม่ได้พัฒนาขนาดนี้ ฝ่าบาททะเลเหนือก็พอจะมีช่วงเวลาปลีกตัวออกไปเล่นกับคาดันน์บ้าง ทว่าในตอนนี้ เวสเทียร์กลับอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้จะเป้นช่วงที่องค์หญิงอาโกรนาห์เข้าพบพี่ชายของตนก็ตาม

แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงเองก็เป็นฝ่ายรั้งให้เวสเทียร์อยู่ด้วย

แต่อย่างน้อยฝ่าบาทไคราห์นก็ยังมีความเกรงใจเลขาอาวุโสอยู่บ้างในฐานะญาติ นั่นคืออีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อจนเกินควรหรือไม่ทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้จนผิดสังเกต หรือเป็นเพราะพลังของอีกฝ่าย ร่องรอยต่างๆ ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนร่างกายจึงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

"บอกฝ่าบาทว่าไม่ต้องลำบากเดินทางมา ในอีกสามเดือนข้างหน้า ทะเลแห่งนี้จะหนาวเย็นที่สุด ประเดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี" ไคราห์นถอนใจ "แต่ในเมื่อมีเวลาถึงสามเดือน เราจะขึ้นไปเยี่ยมเผ่านาร์วาลสักหน่อย ไม่ได้ไปพบท่านแม่ร่วมปีแล้ว" นั่นเป็นคำสั่งให้ฟาลเตรียมราชรถให้พร้อมโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อไม่มีเรื่องใดจะรายงานต่อ เลขาก็ค่อยๆ ค้อมหัวลง

"ฝ่าบาทจะไม่... หนาวหรือขอรับ"

เวสเทียร์ถามขึ้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ เพราะโดยปกติแล้วองครักษ์คนสนิทไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น "พวกนาร์วาลมีอำพันวิเศษให้ความอบอุ่น แต่ว่าตอนนี้อาณาจักรเราไม่มีสิ่งนั้นเลย เพราะยกให้พวกเขาไปแล้ว" ความหนาวเย็นน้ำทะเลที่เงือกวาฬทนได้คือระดับความเย็นในทะเลเคลติกแห่งนี้ หากเดินทางขึ้นเหนือมากไปกว่านี้พวกเขาอาจหนาวตายได้ ซึ่งนั่นเป้นสิ่งที่เวสเทียร์เป็นห่วง

"ชั่วครู่เดียว" ไคราห์นตอบเรียบ แม้จะอยากหยอดว่า 'มีเจ้าอยู่คงไม่หนาว' ก็ตาม

แต่การทำเช่นนั้นต่อหน้าฟาลก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

ทว่าฟาลกลับเห็นด้วยกับเวสเทียร์ "กระหม่อมเองก็เป็นห่วงว่าฝ่าบาทอาจจะหนาวนะขอรับ ต่อให้ไม่ป่วยก็ตาม"

ไคราห์นผ่อนลมหายใจเบาเมื่อได้ยินดังนั้น "ใจจริงเราอยากพาเจ้าไปดูแสงเหนือ" จู่ๆ เขาก็หันมาองครักษ์คนสนิท "เจ้าไม่เคยเห็นแสงเหนือ เพราะเราขึ้นไปขั้วโลกในฤดูร้อนทุกที ไม่ใช่หรือ เวสเทียร์" คนถูกกล่าวถึงอ้าปากค้างน้อยๆด้วยประหลาดใจ

"ก... กระหม่อม.... หรือขอรับ"

"มันสวยมาก เจ้าน่าจะชอบ"

นี่ยิ่งกว่าการหยอด 'จีบ' ต่อหน้าฟาลอีก... แต่ราชาหนุ่มกำลังออกปากชวนองครักษ์ 'ไปเที่ยว'

ฟาลเริ่มจับความได้ว่าเขากลายเป็น 'ก้างขวางคอ' เลขาอาวุโสค้อมหัวลงช้าๆ ก่อนตอบ "กระหม่อมจำได้ว่ามารินาการ์ดมอบอำพันวิเศษให้เราเป็นของกำนัลตอบแทนกับฝูงราชรถที่ฝ่าบาทประทานห้ไป" ฟาลถอยตัวออกไป "กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อยขอรับ"

เวสเทียร์หันมาหาราชาทะเลเหนือ "ฝ่าบาท... เรื่องแสงเหนือ..."

"เรื่องที่เราจะขอจากเจ้าวันนี้... เวสเทียร์" ไคราห์นกล่าวต่อราบเรียบไม่ฟังเสียง "คือให้เจ้าไปเที่ยวกับเรา... ในเมื่อเราสั่งให้เจ้าขอเราวันละหนึ่งข้อ... เราก็จะขออะไรเจ้าวันละหนึ่งข้อเช่นกัน" เวสเทียร์อ้าปากค้างน้อยๆ กับประโยคที่แสนจะวางอำนาจของราชา "และเจ้าจะต้องปฏิบัติตามคำขอของเราด้วย..."

...แต่กระหม่อมไม่ได้ออกปากเลยว่าอยากจะให้ฝ่าบาทขออะไรก็ได้วันละหนึ่งข้อ!!!

"สร้างสรรค์ และสวยงามกว่าการขอให้บอกรักอีก จริงไหม"

ยังข่มเขาอีกด้วย!

--------------------------------------------------


เรื่องของเรื่องคือ ช่วงนี้เรางานเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

และวันศุกร์อาจจะไม่ได้โผล่หัวมา ดังนั้นเขียนเสร็จวันนี้ก็อัพวันนี้เลยละกันนะ ฮ่าๆ

ยิ่งเขียนฉากหวาน... ก็ยิ่งพบว่า... สองคนนี้จริงๆแล้วไม่ได้ยอมกันเล้ย (คือเราอยากได้ฟิลแมนxแมนอ่ะนะ ต่อให้เวสเทียร์จะท๊าสทาส แต่คือ... นางก็มีความควีนอยู่ในตัวเองเยอะเหมือนกัน) ตอนแรกจะใส่ข้อมูล (อีกแล้ว นี่นิยายหรือสารคดี 555 ) เรื่องกระแสน้ำเย็น กระแสน้ำอุ่น แต่คือเราไม่แม่นเรื่องเดือน เราเลยไม่ใส่ดีกว่า (เมื่อเช้าเจอหนังสือ Fisheries in Celtic Sea พูดเรื่องกระแสน้ำ ประเภทปลา ประชากรปลาในแต่ละฤดู ข้อมูลแน่นมากกกก เหมาะกับชาวประมง แต่ราคาเล่มละ 3,7xx บาท โอย งั้นไม่เป็นไร ไปดูแสงเหนือกันเถอะ คลิเช่ๆ กว่ามานั่งจับปลาแฮร์ริง)

ที่อัพรัวหลายตอนเพราะกลัวจบแล้วจะดาวน์กัน (เพราะเรจินาจะตายในอนาคตอ่ะน้า)

จริงๆนางก็เป็นตัวประกอบแหละ... แต่พอเขียนถึงจริงๆแล้ว เราพบว่า เรจินาเป็น 'เพื่อน' ของไคราห์น และอยู่ในระดับเพื่อนสนิทเลยแหละ ดังนั้น เล่ม spin-off ต่อไปที่จะพาเลอาฟร์ (ลูกของเรจินา) มาหาไคราห์นในอีก 35 ปีข้างหน้าคือจะแบบ... ไคราห์นจะรู้สึกยังไงนะ เขาต้องเฮิร์ทมากแน่ๆ แต่อย่างน้อยก็มีลูกไว้ดูต่างหน้า (?)

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
มีการเกทับกันด้วยอ่ะ น่าร้ากกกกก

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ตามอ่านทีเดียว 3 ตอน

สนุกมากกกกกกก

งงเล็กน้อยว่าทำไมเร็กซ์ไม่มาเซลติกถึง 35 ปี ดูเหมือนจะโกรธอะไรสักอย่าง หรือฉันเข้าใจผิด

ตลกไคราห์นกับเวสเวสที่เอาชนะกันในเรื่องหยุมหยิม ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตามอ่านทีเดียว 3 ตอน

สนุกมากกกกกกก

งงเล็กน้อยว่าทำไมเร็กซ์ไม่มาเซลติกถึง 35 ปี ดูเหมือนจะโกรธอะไรสักอย่าง หรือฉันเข้าใจผิด

ตลกไคราห์นกับเวสเวสที่เอาชนะกันในเรื่องหยุมหยิม ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ

อ้ะ เรื่องเร็กซ์นี่... จริงๆคือ เขาเกรงใจ ไม่อยากเอาภาระไปเล่าให้ฟัง เพราะไคราห์นก็จะช่วยแบบเต็มที่ทุกที แล้วตอนเรจินาตายคือไคราห์นเสียใจมากกกกก
(หลังจากนั้นมารินาการ์ดค่อนข้างเจอหนัก โดนแวมไพร์รังควานบ่อย เร็กซ์ถึงขั้นมีความคิดจะย้ายอาณาจักรลงใต้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ย้าย เพราะเลอาฟร์(ลูกเรจินา) แก้ปัญหาแทน)

เดี๋ยวแก้ในบทความด้วยค่า เผื่อมีคนงงเช่นกัน ฮ่าาา

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เข้ามาอ่านรวดเดียว 4 ตอน ในที่สุดก็เห็นฉากหวานแหววกระเซ้าเย้าแหย่ของฝ่าบาทกับเวสเวส แอร๊ยยยยย เขินนนน >///<

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนพิเศษ [2] องครักษ์เพชฌฆาต

มารินาการ์ดนั้นแตกต่างจากเซลทิคโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้

ทั้งอุณหภูมิน้ำที่อุ่นกว่า ปลาที่ชุกชุมกว่า ไม่ว่าจะเป็นคอด โอปาห์ โมลา โมลา แมคเคอเรล เซียเอนนา มูลเลท และอื่นๆ อีกมากมายเกินกว่าที่เงือกหนุ่มจะจำได้ไหว แต่ปลาชนิดเดียวที่เขาสนใจกลับอาศัยอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปของมารินาการ์ด นั่นคือปลาแฮร์ริง ทำให้เงือกหนุ่มต้องเสียเวลาทุกเช้าในการเดินทางออกไปจากอาณาจักรเพื่อ 'ล่าอาหาร' อันเป็นพฤติกรรมแปลกประหลาดที่สุดสำหรับเงือกในอาณาจักร

แม้พระชายาองค์หนึ่งขององค์ชายเร็กซ์จะมาจากเผ่าโลมาของเซลทิค รวมทั้งองค์หญิงน้อยอาร์นิเอสเองก็เป็นเงือกโลมา แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ไม่ได้ 'เรื่องมาก' เท่าเวทอร์สผู้มาจากเผ่าเพชฌฆาตซึ่งมีขนาดตัวใหญ่กว่า และต้องการอาหารมากกว่า อีกทั้งด้วยตำแหน่งสูงศักดิ์ ทั้งสองจึงสามารถล่าอาหารได้ในเขตอาณาจักร

และองค์หญิงน้อยก็ดูจะโปรดปรานแมคเคอเรลมากกว่าแฮร์ริง

...ช่างเป็นรสนิยมโลมาเหลือเกิน!!

องครักษ์แห่งมารินาการ์ดล้วนมาจากเผ่าเงือก 'สเตอร์เจียน' เผ่าเงือกโบราณผู้มีหนามบนหาง เว้นเสียแต่องครักษ์คนสนิทของราชินีเรจินาผู้เป็นเงือกฉลามขาว และในตอนนี้ก็พ่วงเวทอร์ส องครักษ์คนสนิทขององค์ชายเร็กซ์เข้าไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งมาจากเผ่าวาฬเพชฌฆาต

แน่นอนว่าการที่ตำแหน่งระดับสูงนี้ตกเป็นของเงือกที่มาจากเผ่าอื่นย่อมสร้างความไม่พอใจต่อตัวองครักษ์ด้วยกัน แต่ใครเล่าจะกล้าหาเรื่องฉลามขาวกับวาฬเพชฌฆาต แม้ว่าเวทอร์สจะมีอายุน้อยจนเรียกได้ว่า 'เยาว์วัย' แต่ขนาดตัวใหญ่โต และท่าทางเรียบเฉยของเขาก็ทำให้เผ่าสเตอร์เจียนไม่กล้าหาเรื่องด้วย

เว้นแต่เรื่องเดียวที่องครักษ์เผ่าเพชฌฆาตรู้สึกว่าตนมักจะโดนปั่นหัวอยู่เสมอ

นั่นคือทิศทางการเคลื่อนที่ของฝูงปลาแฮร์ริง

"แฮร์ริงเหรอ คงจะไปทางตะวันออกแล้วล่ะ"

"ขึ้นเหนือไปแล้วมั้ง"

"ข้าไม่ได้สนใจกินปลานี่"

โดยปกติแล้วเผ่าเพชฌฆาตจะออกล่าพร้อมกับฝูงวาฬ ซึ่งพวกมันมักจะส่งเสียงและจับทิศทางการเคลื่อนไหวของเหยื่อจากเสียงสะท้อน ทำให้การหาอาหารไม่ยากเย็นมากนัก แต่สำหรับเวทอร์สผู้ไม่สามารถเปล่งเสียงร้อง 'ปี้ด ปี้ด' ได้แบบคาดันน์ หากจับทิศทางผิดก็หมายถึงการ 'หลงทาง' ได้เหมือนกัน

เหตุผลที่เวทอร์สไม่ออกล่ากับฝูงวาฬราชรถที่ฝ่าบาทไคราห์นมอบให้มารินาการ์ด นั่นก็เพราะตอนนี้ฝูงสัตว์นั่นกำลังเดินทางกลับไปเซลทิคเพื่อนำอำพันวิเศษไปมอบให้ราชาทะเลเหนือเป็นการตอบแทน ทำให้การล่าของเวทอร์สในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ 'หลงทาง' ไม่เป็นท่า อย่าว่าแต่จะพึ่งหน่วยจู่โจมที่ฝ่าบาทส่งมาสอนวิธีการต่อสู้ให้พวกสเตอร์เจียนเลย พวกเขาก็หลงทางไปพร้อมๆ กันเพราะไม่มีใครร้อง 'ปี้ด ปี้ด' ได้สักคน

มันทำให้เขากลับมาไม่ทันองค์ชายเร็กซ์ตื่นนอนอนด้วย

"กินมันตรงนี้เลยไม่ได้หรือไง!" เพื่อนองครักษ์เริ่มอารมณ์เสีย เขาพาตัวเองว่ายขึ้นไปใกล้ฝูงแมคเคอเรลก่อนจะสะบัดปลายหางฟาดใส่พวกมันแรงๆ ครั้งหนึ่ง จนมีสองสามตัวที่มึนงงกับแรงฟาดนั่น รอให้เงือกวาฬเอาปลายหอกแทงจับพวกมันกลับมา

"เดี๋ยว เดี๋ยว! ไม่เอาน่า!"

เพื่อนองครักษ์หยุดยื้อคนมีโทสะ ก่อนที่ปลายหอกแหลมจะแทงใส่ปลาตัวหนึ่งที่มึนงงอยู่ในน้ำ "พวกเงือกปลาไม่ชอบให้เราล่าในเขตของเขาหรอก เหมือนกับที่เราไม่ชอบให้พวกเขาล่าวาฬในเขตเราไง" เวทอร์สปัดมือใส่แมคเคอเรลที่มึนงง ก่อนจะคว้าหางของมันเอาไว้ด้วยนึกอะไรบางอย่างได้

"เวทอร์ส เจ้าห้ามกินนะ!! หนึ่งคือมันไม่อร่อย สองคือมันเป็นอาหารโลมา สามคือเราอยู่ในเขตมารินาการ์ด!"

เผ่าเพชฌฆาตไม่อยากยอมรับว่าพวกเขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าโลมา

"แต่พวกสเตอร์เจียนแกล้งบอกทิศเราผิดๆ แบบนี้ เราจะต้องเสียเวลาหาอาหารนานแค่ไหน นี่ไม่ใช่น่านน้ำที่เราชำนาญเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไม่ถามพวกมันให้เสียเวลาแล้ว แล้วนี่ก็ใกล้จะอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราต้องกลับไปสอนเจ้าปลากระดูกแข็งพวกนั้นต่อนะ" เวทอร์สถอนใจ "มีปลาอะไรอีกนกจากแฮร์ริง มูลเลทไหมเล่า" เงือกหนุ่มเหลือบมองหาฝูงมูลเลทที่เผื่อจะอยู่ในบริเวณนั้น

"มูลเลทแล่ยากจะตายไป ปาดไปปาดมาไม่ดีโดนไส้ ขมตาย"

เป็นครั้งแรกที่เวทอร์สคิดว่าเผ่าเพชฌฆาตนี่ช่างเรื่องมากเรื่องการกินเสียเหลือเกิน

"โมลา โมลาดีไหมเล่า ลอยโง่ๆ นิ่งๆ จับง่ายจะตายไป ล่าตัวเดียวก็เพียงพอสำหรับเราทั้งหน่วยแล้ว"

ผู้นำซึ่งคนที่ดูจะมีสติที่สุดในหน่วยจู่โจมหันมาหาเวทอร์ส "เจ้าควรจะไปรับใช้องค์ชายเร็กซ์ได้แล้ว ประเดี๋ยวพวกเราจะเอาปลาไปฝาก นี่ก็ใกล้เวลาที่องค์ชายจะตื่นนอนแล้ว" เวทอร์สยังคงจับหางแมคเคอเรลตัวนั้นเอาไว้ เขาพยักหน้าให้กับผู้นำหน่วยก่อนจะปลีกตัวออกมาเพื่อแล่ปลา

ทว่าไม่ใช่เพื่อเป็นอาหารเช้าของตัวเอง...

--------------------------------------------------

องค์ชายเร็กซ์พอจะรู้ว่าเหตุใดพักหลังๆ มานี้เวทอร์สจึงเดินทางกลับมาช้าหลังจากล่าอาหาร

แต่เหตุผลการมาสายในวันนี้ขององครักษ์เผ่าเพชฌฆาตดูจะแตกต่างจากทุกวัน เพราะจู่ๆ เจ้าคนทื่อนั่นก็ไปโผล่หน้าที่ประทับขององค์หญิงอาร์นิเอสพร้อมกับเนื้อปลาชิ้นเท่าแขนท่อนซึ่งเลาะเอาก้างและหัวออกแล้ว

...ถึงอย่างนั้นองค์ชายก็ยังไม่คุ้นเคยที่จะเห็นมันอยู่ดี

อย่างไรแมคเคอเรลก็นับเป็น 'ปลา' ดังนั้นชิ้นเนื้อของมันจึงสะเทือนใจ 'เงือกปลา' ไม่มากก็น้อย

"เวทอร์ส..." องค์ชายเอ่ยเรียก ทำให้คนที่รออยู่ด้านหน้าที่ประทับสะดุ้งเล็กน้อยและพยายามซ่อนชื้นเนื้อเหล่านั้นเอาไว้ด้านหลังของตน "มารอพบอาร์นิเอสหรือ" องครักษ์หนุ่มก้มหน้าลงด้วยรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปรายงานตัวต่อองค์ชายก่อน แต่เร็กซ์ก็ไม่ได้ถือสา เขาปราดเข้าไปในที่ประทับของบุตรสาวเพื่อปลุกนาง

ที่พักของชาวมารินาการ์ดส่วนใหญ่สร้างจากกองหิน ก่อขึ้นมาเป็นห้องที่มีหลังคาและทางเข้าปิดด้วยสาหร่ายต้นสูง ก้นทะเลของพวกเขามีก้อนหินมากมายที่สามารถขยับขยายและสร้างเป็นเพิงพักได้ ต่างจากกองหินของเซลทิคที่มีไว้เพียงเพื่อให้วาฬดำลงไปขัดถูเพรียงและปรสิตที่เกาะตามตัว เวทอร์สเหลือบมองพืชน้ำอันได้แก่สาหร่ายหลากหลายชนิดรอบตัวและนึกไปว่าพวกเงือกปลานี่กินสาหร่ายแบบปลาหรือไม่หนอ

องค์ชายเร็กซ์กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับบุตรสาวผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงและท่อนหางสีเทาเหมือนหางโลมา เด็กน้อยแอบอยู่หลังบิดาของนางและมีอาการสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากความหวาดกลัว

องค์ชายเร็กซ์มีธิดาสามคน คนโตที่สุดคือองค์หญิงเอนเนสผู้เงียบขรึม รองลงมาคือองค์หญิงวิเวียนผู้งดงาม และคนเล็กสุดในตอนนี้คือองค์หญิงอาร์นิเอสผู้ได้ความเป็นโลมามาจากมารดาทั้งหมด

และธิดาทั้งสองขององค์ชายล้วน 'กลัว' เวทอร์ส

เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่โตของเขา ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเขา อีกทั้งผิวพรรณสีเข้ม และลวดลายบนตัวก็ยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่องค์หญิงอาร์นิเอสจะไม่กล้าออกจากที่ประทับด้วยรู้ว่าเวทอร์สเฝ้าอยู่ด้านหน้า

"แอบอยู่แบบนั้น ประเดี๋ยวก็สำลักน้ำกันพอดี..." องค์ชายเอ็ดบุตรสาว

"กระหม่อมขออภัยองค์หญิงขอรับ" เวทอร์สค้อมหัวลง และต่อให้เขามีกิริยานอบน้อมมากสักแค่ไหนก็ไม่ช่วยทำให้อาร์นิเอสหายกลัวอยู่ดี "พอดีพวกกระหม่อมกำลังเถียงกันว่าควรจะล่าปลาชนิดใดแทนแฮร์ริงดี แล้วก็บังเอิญจับแมคเคอร์เรลได้ กระหม่อมจึงนำมาให้องค์หญิง และพระชายา"

เร็กซ์พอจะรู้ว่าชาวเซลทิคมีทักษะการแล่ปลาได้เรียบร้อยมากแค่ไหน แต่ก็เพิ่งมีโอกาสเห็นใกล้ๆ ในวันนี้

เพราะชายาของเขาเองไม่เคยทำให้ดูเช่นกัน

องค์หญิงอาร์นิเอสอาจยินดีกับอาหาร แต่ด้วยคู่สนทนาเป็นองครักษ์ตัวโตทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยความไม่แน่ใจ "ขอบคุณเขาเสียสิ" เร็กซ์ยิ้มเอ็นดู "เร็วเข้า ประเดี๋ยวเวทอร์สจะว่าเราไม่สั่งไม่สอนลูกสาว" อาร์นิเอสกำหมัดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเองก่อนจะขยับมาเบื้องหน้า

"ข... ขอบคุณ!"

เสียงใสๆ ของนางทำให้องครักษ์ยิ้มตอบด้วยความเอ็นดู "กระหม่อมจะกล้าว่าอะไรองค์ชายขอรับ" เวทอร์สอุบอิบ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งบนกองหินหน้าที่ประทับเพื่อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าองค์หญิงอาร์นิเอส เร็กซ์จึงอุ้มบุตรสาวขึ้นและย่อตัวลงนั่งในตำแหน่งเหนือกว่าด้วยความเคยชิน เขาให้เด็กน้อยนั่งบนหน้าตัก และรู้สึกได้ว่าน้ำหนักของนางดูจะมากเป็นสองเท่าหากเทียบกับบุตรสาวอีกสองคนซึ่งเป็น 'ปลา'

"ปากเท่านี้คงจะต้องตัดเป็นชิ้นพอดีคำเสียก่อนนะขอรับ"

เวทอร์สหยิบมีดกระดูกสัตว์ที่เขาพกติดตัวเสมอขึ้นมาเพื่อตัดเนื้อปลาให้เป็นชิ้นเล็กพอดีคำ และตั้งใจจะคว้าแผ่นสาหร่ายใกล้ตัวออกมารองวางอาหารก่อนถวาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา กลับพบว่าองค์หญิงน้อยอ้าปากรอให้ป้อนด้วยความเคยชิน

"เอ่อ... องค์ชายขอรับ"

เร็กซ์ส่ายหัวปฏิเสธด้วยเขาไม่อยากจับเนื้อปลา "เจ้าป้อนทีสิ"

"แต่กระหม่อม..."

"เราคิดว่าพระชายาก็คงออกไปล่าเหมือนกัน แต่ตอนนี้อาร์นีอ้าปากรอแล้ว เจ้าจะปล่อยให้นางรอหรือ" เวทอร์สกระพริบตาปริบ ก่อนจะหยิบชิ้นเนื้อเล็กๆ ขึ้นมาป้อนให้เด็กน้อย และเมื่อนางรู้สึกถึงรสอาหาร นางก็หุบปากลงเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ก่อนจะอ้าปากอีกครั้งเพื่อรอคำต่อไป

"เอ่อ..." เวทอร์สจำได้ว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์ และไม่ใช่ในระดับที่สามารถใกล้ชิดกับองค์หญิงได้ขนาดนี้

"เจ้าน่าจะสนิทกับอาร์นิเอสมากกว่าเรา ตั้งแต่เจ้าทั้งสองเป็นวาฬเหมือนกัน"

"องค์หญิงเป็นโลมาขอรับ"

เวทอร์สยังคงป้อนปลาให้องค์หญิง แต่คำตอบของอีกฝ่ายที่หนักแน่นเสียจนเร็กซ์ยังแปลกทำให้เขาหัวเราะออกมาด้วยขบขัน "เจ้าเองก็เคยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกโลมาไม่ใช่หรือ" เร็กซ์จำได้ว่าเผ่าโลมานั้นมีหลายพวก ทั้งเผ่าเพชฌฆาต และเผ่านาร์วาลก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของโลมา แต่พวกเขากลับไม่ลงรอยกันจนแยกตัวออกมาอย่างในปัจจุบัน

"กระหม่อมเป็นวาฬขอรับ"

"แล้วโลมากับวาฬต่างกันอย่างไรเล่า" องค์ชายเร็กซ์ไม่เคยแยกออก กระทั่งสัตว์ในธรรมชาติจริงๆ เขายังแยกไม่ออกว่าเหตุใดพวกนั้นจึงเรียกวาฬ และเหตุใดพวกนี้จึงเรียกโลมา ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงพวกเงือก หากเป็นเงือกที่หายใจด้วยปอด อย่างไรก็เป็น 'เงือกวาฬ' ในสายตาของเขาอยู่ดี

"หากองค์ชายหมายถึงพวกสัตว์... วาฬมีสองรูจมูก ส่วนโลมามีรูจมูกเดียว" เวทอร์สตอบเรียบ "ส่วนเงือกนั้น... เราวัดที่พละกำลัง" จู่ๆ องครักษ์ก็ยืดอกขึ้นด้วยความภูมิใจ "พวกวาฬเท่านั้นที่กระโจนขึ้นเหนือน้ำได้ พวกโลมาทำไม่ได้ขอรับ"

หากจำไม่ผิด... เร็กซ์จำได้ว่าฝ่าบาทไคราห์นกระโดดขึ้นจากน้ำไม่ได้สูงมากนัก ต้องเรียกให้คาดันน์คอยช่วย แต่พวกนาร์วาลและเพชฌฆาตต่างหากที่กระโจนกันสูงเสียเหลือเกิน

"ต่อให้เป็นสัตว์... วาฬเพชฌฆาตก็มีรูจมูกเดียวนี่"

องค์ชายเร็กซ์คลุกคลีกับคาดันน์ มีหรือเขาจะไม่สังเกต แต่เมื่อทักออกไปแบบนั้น องครักษ์หนุ่มก็ดูจะ 'งอน' ขึ้นมาดื้อๆ ด้วยการไม่ตอบโต้ อีกทั้งยังเบนสายตาไปทางอื่นอีกด้วย แต่เขาก็ยังคงป้อนองค์หญิงต่อไปตามหน้าที่

"ท่านพ่อ..." อาร์นิเอสเอ่ยเรียก "เราอยากหายใจ"

เวทอร์สหันมองเด็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไปหาด้วยความเคยชิน "ให้กระหม่อมนำทางนะขอรับ" เร็กซ์เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าเวทอร์สจะอาสา แต่เขาก็ส่งนางให้ชายหนุ่มอุ้ม และเวทอร์สขยับหางเพียงครั้งเดียวก็สามารถพาตัวเองและองค์หญิงขึ้นไปยังผิวน้ำเบื้องบนได้

นี่อาจเป็นเรื่องพละกำลังที่อีกฝ่ายว่า...

อาร์นิเอสรู้สึกเกร็ง แต่นางไม่กลัวเขาเหมือนเมื่อก่อน เด็กหญิงสูดหายใจลึก และแหงนมองท้องฟ้าอึมครึมในฤดูหนาวด้วยความเสียดาย "ดวงอาทิตย์ไม่ออกมาเลย" เสียงใสๆ หงอยเหงา "ไม่ได้เห็นมาหลายวันแล้วด้วย" เวทอร์สยิ้มให้องค์หญิง และกระชับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนท่อนแขนกำยำ

"ดวงอาทิตย์ขี้อายขอรับ... คล้ายองค์หญิงเลยทีเดียว"

"เราไม่ได้ขี้อายสักหน่อย!"

"เช่นนั้นองค์หญิงก็อย่าหลบหน้ากระหม่อมสิขอรับ" เวทอร์สยิ้ม อาร์นิเอสเหลือบมองลวดลายบนผิวของอีกฝ่าย นางกลัวรูปร่างหน้าตาที่แปลกออกไปของเขา แต่เมื่อขึ้นมานั่งบนท่อนแขนกำยำ องค์หญิงก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นเงือกธรรมดาที่ไม่ต่างจากบิดาของตนสักเท่าไหร่

อาจจะแข็งแรงกว่า ตัวใหญ่กว่า แต่ผิวเนื้อก็อบอุ่นเหมือนกัน ...อีกทั้งมีรอยยิ้มเหมือนกัน

ถ้าลองหลับตาดูก็อาจจะไม่กลัวก็ได้

เมื่อคิดแล้วก็ลองหลับตาดู และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากเวทอร์สได้ "องค์หญิงกลัวลายบนหน้ากระหม่อมหรือขอรับ"

"เปล่า!" ถึงจะตอบว่าใช่ แต่เวทอร์สก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเพื่อแก้อาการกลัวนั้นอยู่ดี เพราะนี่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเพชฌฆาตที่ไม่มีใครลบล้างออกได้ "เราไม่ได้กลัวลายบนหน้าเจ้า... เรา..." เสียงเล็กๆ เถียง และหยุดนิ่งไปสักพักก่อนแถต่อ "เพราะเจ้าตัวใหญ่กว่าท่านพ่อ!"

"หากตัวเล็กกว่าองค์ชายเร็กซ์แล้วจะอุ้มองค์หญิงขึ้นได้อย่างไรขอรับ"

"ท่านป้าเรจินายังอุ้มเราได้เลย!"

ดูท่าแล้ว... เมื่อโตขึ้น องค์หญิงอาร์นิเอสจะเป็นแม่หนูตัวแสบน่าดูเลยเชียว เวทอร์สไม่ต่อปากต่อคำ เขาค่อยๆ พาองค์หญิงกลับไปหาบิดาของนาง ซึ่งยังคงรออยู่ที่เดิม "ขออภัยองค์ชาย" เวทอร์สค้อมหัว และปล่อยให้องค์หญิงกลับไปหาบิดาของนาง

"ไม่ร้องไห้ออกมาก็นับว่าเก่งแล้ว" องค์ชายเร็กซ์ขำ "เจ้าคุยอะไรกับนางน่ะ"

"เขาว่าเราขี้อาย!" อาร์นิเอสฟ้องบิดา "แล้วก็ว่าเราขี้กลัวด้วย!"

"แล้วเจ้าไม่ได้กลัวลายบนหน้าเขาหรือ อาร์นี" เร็กซ์ทอดเสียงถาม จรดยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย "หากไม่กลัวจริงๆ มองหน้าเขาสักครั้งหนึ่งสิ ให้รู้กันไปว่าใครเป็นองค์หญิง" เด็กหญิงอ้าปากค้าง ด้วยเพราะนางกลัวลายสีเข้มของอีกฝ่ายจริงๆ แต่ก็ใจแข็งหันไปจ้องหน้าเวทอร์สที่หลบตาลงมองต่ำอย่างรู้ฐานะตัวเอง

แต่แล้วดวงตาสีเข้มก็เคลื่อนช้อนขึ้นมองสบช้าๆ ทำให้อาร์นิเอสกลั้นใจ และหันไปซุกหน้ากับแผ่นอกของบิดาแทน

"ไม่!"

เร็กซ์หัวเราะและลูบปลอบบุตรสาวด้วยความเอ็นดู "เดี๋ยวนี้รู้จักแกล้งลูกเราแล้วนะ เวทอร์ส"

"ขออภัยองค์ชาย" ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าผู้เป็นนายทำให้องครักษ์รู้ว่าเร็กซ์ไม่ได้ถือโทษโกรธเขา "องค์หญิงมีความกล้าหาญ กระหม่อมชื่นชม" แม้จะรู้ว่ากลัว แต่อาร์นิเอสก็ยังใจแข็งต่อสู้ นี่เป็นความกล้าที่หาได้ยากในเด็กวัยนี้ "แต่กระหม่อมคงลบลายบนตัวไม่ได้"

"มันก็สวยดีออกนะ" เร็กซ์ไหวไหล่ "จะเรียกอย่างไรดี... เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเผ่าเพชฌฆาตกระมัง"

เวทอร์สเลิกคิ้ว แล้วจึงเบือนสายตาไปทางอื่นพร้อมกับค่อนขอดในใจ

...หากไม่คิดอะไรก็อย่ากล่าวว่าผู้ใดมีเสน่ห์เลยขอรับ องค์ชาย

--------------------------------------------------


เราพบปลากลายเป็นนก... //จิ้บๆๆๆ

นอกจากจะนกพ่อเขาแล้ว ยังต้องไปช่วยเลี้ยงลูกเขาอีกด้วย 555



จริงๆ การคิดกิจวัตรของเงือกนี่เป็นอะไรที่แอบยาก เพราะ 1) เขาไม่ใช้เงิน 2) ดังนั้นเขาจึงไม่มีอาชีพ 3) แล้ววันๆ มันทำอะไรกัน (วะ) ก็แอบคิดว่า เงือกมันก็คงมีโมเม้นท์อิจฉา ไม่ชอบหน้า ทะเลาะกันแหละ ตามความว่างของชีวิต

เดิมทีมารินาการ์ดนาการ์ดจะมีองครักษ์มาจากเผ่าสเตอร์เจียน (ปลาสเตอร์เจียน aka ปลาคาร์เวียอ่ะแหละ) แต่พอมีเวทอร์สมา... ทางเผ่าสเตอร์เจียนก็คงไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะ 1) องครักษ์ราชินีก็เป็นฟาเบียงไปแล้ว ฉลามขาวงี้... ใครเถียงฉลามขาวอ่ะ... 2) เวทอร์สก็เป็นวาฬเพชฌฆาตอีก ใครจะสู้อ่ะ แรงเยอะกว่าฉลามขาวอีก 555

วิธีเดียวที่จะแกล้งเวทอร์สได้โดยไม่โดนต่อยหน้าคือหลอกทิศทางนี่แหละ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไป แล้วปลาก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนทิศอยู่ตลอดเวลา จะไปโกรธก็ไม่ได้ แต่พวกเพชฌฆาตก็ฉลาดพอจะรู้แหละว่าโดนปั่นหัวอยู่

ตอนนี้แอบแทรกเกร็ดไปนิดๆ หน่อยๆ เช่น... จริงๆ วาฬเพชฌฆาตเป็นโลมาแหละนะ (แต่เราว่ามันก็ไม่ได้สำนึกว่าตัวเองเป็นโลมา ออร์ก้าเป็นประเทศออร์ก้า อะไรงี้ ออร์ก้าจะกินทั้งปลา ทั้งวาฬ ทั้งโลมา ฉลาม แมวน้ำ สิงโตทะเล ออร์ก้ากินหมด 555) และเราเชื่อว่าหลายคนเคยถามแบบเร็กซ์... นั่นคือวาฬกับโลมามันต่างกันยังไง

อันนี้เราอนุมานจากที่่อ่านๆ มาแหละ... จริงๆ พวกสัตว์ดุ้น (?) ในทะเลนี่เรียกรวมๆ ว่า Cetacean (เป็น Infraorder)

แต่จะแบ่ง Family ออกเป็น Tooth กับ Baleen ซึ่งโลมาอยู่ในประเภท Tooth (แต่ก็จะมีวาฬประเภท Tooth อยู่บ้าง เช่น Sperm Whale) และประเภท Tooth มักจะมีจมูกแค่รูเดียว!? ในขณะที่พวก Baleen มีจมูก 2 รู... อะไรประมาณนั้น



แล้วเวทอร์สก็ดูไม่ชอบเวลาโดนทักว่าเป็นโลมา (อาจจะเพราะเขาคิดว่าเขาแข็งแรงกว่าโลมาล่ะมั้ง 555)



แอบตลกฉากแรกที่เถียงกันว่าจะกินปลาอะไรกันดี เพราะปลาเยอะเหลือเกิน แต่ไม่มีไอ้ตัวที่อยากกินซะงั้น (มันก็มีแฮร์ริงนะ แต่ไม่ได้ชุกชุมเท่าฝั่งทะเลเหนือ) คือเหมือนแฮร์ริงจะอร่อย (ใช่ อร่อยนะ เราชอบ 555) แต่แมคเคอเรลก็ไม่ได้แย่อะ คือแค่มันเป็นของโปรดของโลมา พวกเพชฌฆาตแอบเหยียด 555

ถ้าใครงงชื่อปลา...

คอด = ปลาคอด | โอปาห์ = ปลาพระจันทร์ | โมลา โมลา = ปลาพระอาทิตย์ | แมคเคลเรล = ซาบะ = ญาติปลาทู | เซียเอนนา = ปลาจวด | มูลเลท = ปลากระบอก

รำคาญ เลือกไม่ได้ว่าจะเอาปลาอะไร ไปกินโมลา โมลากันเถอะ (โถ่...)

ออฟไลน์ kratair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านจนจบ สนุกมากกกกกกเลย :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ April❤

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
สงสารเวทอร์ส แอนด์ เดอะแก๊งค์ 555 ทนๆกินไปก่อนนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เงือกสายพันธุ์ใหม่

"เงือกนก"

ฮ่า ๆ ๆ ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ช่างบรรเจิดยิ่งนัก

คือได้ความรู้เรื่องวาฬไปด้วย

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
จะมองมุมไหนทำไมนางก็นก วงวาร  :hao5:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8: :o8: :o8: :o8: สนุกมากค่ะขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนพิเศษ [3] ความฝัน

ชาวเงือกแห่งเซลทิคมี 'ขั้นตอน' ในการขึ้นบกที่ไม่น่ามองสักเท่าไหร่

แต่ฝ่าบาทไคราห์นเชื่อว่า ไม่ว่าเงือกจากอาณาจักรใดขึ้นบกก็คงจะไม่น่ามองทั้งนั้น

หมู่บ้านธราฟัสการ์มีบ้านเล็กๆ ประมาณยี่สิบหลัง แต่ละหลังใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวของเสียมากกว่าจะพักผ่อนนอนหลับ มันตั้งอยู่ใกล้ชายหาดเล็กๆ ที่ขนาบด้วยหินผาสูงตระหง่าน ซึ่งชาวเงือกใช้เป็นทางเดินขึ้นมาก่อนตรงเข้าไปยังที่พักของตนซึ่งเป็นบ้านที่สร้างจากไม้ เพื่อล้างตัวด้วยน้ำจืดและสวมเสื้อผ้า

เดิมทีชาวเงือกที่อาศัยที่นี่เป็นพวกโลมา พวกเขามีความสามารถในการจับปลา และนำไปขายในตลาดที่บาร์ธีมอร์จนสร้างรายได้ที่เรียกว่า 'เงิน' เป็นกอบเป็นกำ และรายได้เกือบทั้งหมดนั้น พวกเขาก็ถวายให้กับราชาแห่งเซลทิค ผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่สุด

เผ่าโลมาเสียหน้าครั้งใหญ่หลังจากส่งบุตรชายคนโตของผู้นำเผ่าไปหมายจะสมรสเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับมารินาการ์ด ทว่าถูกปฏิเสธ จนต้องส่งบุตรสาวคนรองของเผ่าไปสมรสกับองค์ชายเร็กซ์แทนในภายหลัง ทำให้พวกเขารู้สึกพ่ายแพ้ต่อเผ่าเพชฌฆาตซึ่งเป็นญาติห่างๆ กัน อีกทั้งความแข็งแกร่ง และดุดันของผู้นำเผ่าเพชฌฆาตคนปัจจุบันก็มีมากเกินกว่าเผ่าโลมาจะเอาชนะทางพละกำลังได้

พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายในการ 'เอาใจ' ราชาเป็นเรื่องเงินตรา และความก้าวหน้าในโลกเบื้องบนแทน

ทว่ามันก็ทำให้ชาวเซลทิคต้องพบกับฝันร้ายครั้งใหญ่เมื่อธราฟัสการ์ถูกโจมตีโดยพวกผีดูดเลือด และนำมาซึ่งการสูญเสียรัชทายาท หลังจากนั้น ชาวเงือกจึงไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้อีก แต่ฝ่าบาทไคราห์นก็ยังต้องการหาทางออกที่ดีกว่า ราชาเซลทิคจึงต้องขึ้นมาหารือกับพวกหมาป่าด้วยตนเอง

ทว่าตอนนี้ได้เวลาที่เขาควรจะกลับไปยังเซลทิคแล้ว

ร่างสูงปลดผ้าคลุมไหล่ออกจากบ่ากว้างและแขวนเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะถอดสูทออกมาและแขวนไว้บนไม้แขวนอีกอันหนึ่ง เขาอยู่ในห้องนอนซึ่งจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้นอนบนเตียงของพวกมนุษย์นั้นคือเมื่อใด

แม้บ้านที่พักของราชาเซลทิคจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แต่มันก็เป็นบ้านที่สร้างด้วยวิธีการง่ายๆ อันเกิดจากการลักจำของช่างชาวเงือก และมีห้องเพียงสี่ห้องเท่านั้น ซึ่งก็คือห้องนอน ห้องอาบน้ำ ห้องนั่งเล่น และห้องเก็บของซึ่งก็คือเงินทองของพวกมนุษย์

ชาวเงือกอาจทอดทิ้งธราฟัสการ์ไปแล้ว

แต่บ้านพักของฝ่าบาทไคราห์นยังคงได้รับการดูแลอย่างดีเสมอมา

ไคราห์นพยายามแกะกระดุมเสื้อที่ข้อมือของตน ขณะบ่นอยู่ในใจว่าเหตุใดมนุษย์จึงได้คิดค้นเสื้อผ้าที่สวมใส่ยากเย็นถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นปกคอสูงที่แข็งตรงเสียจนทำให้รู้สึกปวดคาง เสื้อตัวในที่มีแผงระบายลูกไม้บนอกชั้นหนึ่ง ทับด้วยเสื้อกั๊กอีกชั้นหนึ่ง คลุมด้วยเสื้อสูทหางยาวตัวนอกอีกชั้นหนึ่ง แล้วยังต้องคลุมด้วยผ้าคลุมบ่าเป็นชั้นสุดท้าย ซึ่งแม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่การแต่งตัวเช่นนี้ทำให้ไคราห์นร้อนจนเหงื่อออกอย่างที่ไม่เคยเป็น

นี่เป็นเหตุผลที่พวกมนุษย์ต้อง 'อาบน้ำ' กระมัง

"ให้กระหม่อมช่วยไหมขอรับ" เมื่อเห็นว่าราชาเซลทิคไม่สามารถปลดกระดุมได้ด้วยมือเดียว เวสเทียร์จึงอาสาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาหลบสายตาลงต่ำอย่างที่เคยทำขณะรอคอยคำตอบ

"อืม..."

ไคราห์นยื่นข้อมือให้คนตรงหน้า เวสเทียร์เพิ่งจะถอดสูทตัวนอกของตนออก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตท่าทางของราชาหนุ่มอยู่ ดังนั้นจึงหันมาช่วยเหลือเสียก่อน ร่างโปร่งปลดกระดุมแขนเสื้อทั้งสองข้างออกอย่างคล่องแคล่วและนุ่มนวล แล้วจึงขยับเข้ามาช่วยปลดกระดุมคอเสื้อที่น่าอึดอัดเป็นลำดับต่อไป

"เหตุใดเจ้าจึงถอดๆ ใส่ๆ ชุดนี่ได้ด้วยตัวเองทุกครั้งนะ"

"กระหม่อมมองกระจกขอรับ" องครักษ์ตอบเสียงเรียบ ราชาของเขาเหลือบหางตาไปมองกระจกบานใหญ่ที่หน้าเตียง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อคอเสื้อถูกปลดออกเสียที "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์ลังเล "กระหม่อมขอตัวก่อน"

"จะช่วยถอดแล้วก็ถอดให้หมดสิ"

ชาวเงือกไม่สะทกสะท้านกับการเห็นร่างมนุษย์เปล่าเปลือยของกันและกัน และความสัมพันธ์ของเวสเทียร์กับฝ่าบาททะเลเหนือก็ยิ่งสร้างความ 'คุ้นเคย' เกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นอย่างดี เวสเทียร์จึงไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธ แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างก็ตาม

มือเรียวเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดอย่างใจเย็นและเนิบช้า เขาปรับลมหายใจให้เป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ใจจะเต้นโครมครามอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เสื้อขาวค่อยๆ แหวกออก เผยให้เห็นแผ่นอกกว้างกำยำที่ขาวเสียจนแทบจะกลืนไปกับเสื้อ

ฝ่าบาทไคราห์นยื่นนิ่ง เขาพิจารณาคนตรงหน้าใกล้ๆ ในช่วงเวลานั้น

เวสเทียร์หลบตาของเขาอย่างที่ทำเป็นประจำ แม้กิริยาของอีกฝ่ายจะนุ่มนวลไม่มีสะดุด แต่ราชาหนุ่มสัมผัสได้ว่าหัวใจขององครักษ์กำลังเต้นเร่าด้วยความตื่นเต้น จังหวะของมันดังมากเสียจนเขาเองยังได้ยิน

ไคราห์นเอื้อมมือไปปลดกระดุมบนปกเสื้อทรงสูงของอีกฝ่ายบ้าง

"...!"

เวสเทียร์สะดุ้ง แต่เขาไม่ออกปากถามด้วยรู้ว่าราชากำลังทำอะไร เขาหยุดมือชะงักไปเมื่อสัมผัสกับขอบกางเกง จังหวะเดียวกับที่กระดุมเสื้อเลื่อนหลุด และเผยลำคอระหงที่คุ้นตา "เงยหน้าขึ้นสิ" องครักษ์ยังหลบตาลงต่ำ ขณะแหงนขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายปลดกระดุมเสื้อที่เหลือได้สะดวก

"จะให้เราถอดที่เหลือเองแล้วหรือไร"

ฝ่าบาทไคราห์นอาจเอาแต่ใจอย่างที่สุด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายถามทำให้เวสเทียร์เคลื่อนมือไปปลดกระดุมกางเกงต่อ "ขออภัยขอรับ"

ผิวสีเข้มปรากฎให้เห็นใต้สาบเสื้อ เวสเทียร์หนาว เขารู้ตัวว่าอากาศหนาวเสียจนขนลุกไปหมด แต่ก็ไม่อาจบอกได้

กางเกงถูกถอดลงไปกองอยู่ที่พื้น และเวสเทียร์คิดว่าเขาควรจะไปหาเสื้อคลุมให้ราชาเพื่อให้อีกฝ่ายคลุมร่างเดินกลับไปยังชายหาด แต่ฝ่ามืออุ่นกลับวางทาบลงบนอกของเขาจนร่างโปร่งหยุดชะงัก "เจ้าหนาวรึ" ผิวของเวสเทียร์เย็นเยียบ ร่างสูงลากมือลงไปยังหน้าท้องแข็ง สัมผัสถึงความเย็นบนผิวกาย 

"ประมาทอากาศเบื้องบนมากไปรึไร"

คนถูกถามกลั้นใจ เขางอตัวหนีจากสัมผัสนั้นเล็กน้อย แต่ก็พบว่าด้านหลังของตนคือตู้ไม้บานใหญ่ที่ไม่มีทางให้หลบเลี่ยง เวสเทียร์ไม่เคยปฏิเสธฝ่าบาท แต่ตอนนี้เขาสับสนว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้งตนหรือต้องการอะไร

ปลายนิ้วอุ่นลากลงไปถึงขอบกางเกง และขยับเพียงนิดเดียวก็ปลดมันลงไปกองกับพื้นได้ไม่ยากเย็น และอึดใจต่อมา ขายาวขาวซีดก็ก้าวเข้าประชิดและกดเข้าหาร่างโปร่ง ราชาหนุ่มจับมือข้อมือทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะรวบมันขึ้นไว้เหนือหัวในยามที่เบียดท่อนขาเข้ามาแนบชิด

เพียงเท่านี้ก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรแล้วกระมัง

อีกฝ่ายก้มลงคลอเคลียซอกคอระหง ขบเม้มติ่งหูนิ่ม และลากลมหายใจไปตามผิวหนังเย็น และนวดเฟ้นผ่านบั้นเอวไปถึงสะโพก องครักษ์สูดหายใจเข้า เขาเคยรู้งานอยู่เสมอ รู้วิธีการปรนนิบัติอีกฝ่ายให้พอใจ ทว่าในครั้งนี้มันค่อนข้างต่างออกไปมากสักหน่อย

"ฝ่าบาท" เวสเทียร์พึมพำเรียก "ให้กระหม่อม..."

มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาอยู่เบื้องบน ...อีกทั้งยังยืนอยู่ด้วย!

"ไม่ต้อง" เสียงทุ้มปฏิเสธ ก่อนที่ฟันคมจะขย้ำกัดจุดเดิมที่เขาไม่เคยชอบใจ ให้ร่างโปร่งสะดุ้งหลุดเสียงครางออกมา "อยู่เฉยๆ ก็พอ" เขาลดมือลง ลากปลายนิ้วไปยังกลีบปากและกดเข้าไปสัมผัสกับลิ้นอุ่นร้อนที่ตวัดรอบเลียเนิบช้าอย่างรู้งาน ส่วนมืออีกข้างก็เคลื่อนไปช้อนยกท่อนขาข้างหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

"...!"

เวสเทียร์ไม่กล้าแตะต้องราชา แต่การจะเหนี่ยวตู้เสื้อผ้าด้านหลังก็ดูจะอันตรายมากกว่านัก "อือ..." ร่างโปร่งขบริมฝีปาก แอ่นสะโพกรับนิ้วเย็นเปียกชุ่ม และพยายามสูดใจลึกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เสียงหอบหายใจสะท้อนไปทั่วห้อง และเพียงไม่กี่อึดใจ สิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าปลายนิ้วก็แทรกลึกเข้ามา

"อื้อ...!" มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในน้ำเสียอีก อาจเป็นเพราะน้ำหนักของเขาด้วยก็เป็นได้

"จะกอดเราไว้ก็ได้" ฝ่าบาทเองก็หอบหนัก เขาช้อนมือเข้าใต้ข้อเข่า ก่อนจะดันขาข้างนั้นให้ยกขึ้นสูงอีก "ถ้ารู้สึกดีก็ร้องออกมา..." ขาข้างที่ยังหยัดอยู่บนพื้นเขย่งจนสุดปลายเท้า ถ่ายเทน้ำหนักไปบนแผ่นหลังที่กดแนบกับประตูไม้

เวสเทียร์มุ่นคิ้ว

เขาอาจจะรู้สึกดี... ทว่าตอนนี้ยังห่างไกลจากคำนั้นนัก

"จ... เจ็บขอรับ" องครักษ์กระซิบบอก "ฝ่าบาท..." เสียงแหบพร่าเว้าวอน มือสั่นเทาเอื้อมไปกอดรอบลำคอแกร่ง และเหนี่ยวยกตัวเองขึ้นจากอีกฝ่าย แต่กายแกร่งกลับยิ่งแทรกลึกเข้ามาเพราะน้ำหนักตัวของเขาเอง "ข... ขอเวลา..." ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ร่างรองรับสั่นเทา เขาซบลงกับบ่าผู้รุกราน และขบริมฝีปากกลั้นใจกับความเจ็บปวด

ไคราห์นหยุดการเคลื่อนไหว เขาเอียงจูบขมับชื้นเหงื่อราวปลอบใจ ก่อนจะช้อนขาเรียวอีกข้างขึ้นมา

"อา...!"

เวสเทียร์ครางเสียงแผ่ว เขาเสียศูนย์ทรงตัว และคว้ากอดบ่ากว้างเอาไว้ตามสัญชาติญาณ ขณะที่อีกฝ่ายขยับยกร่างของเขาขึ้น และประคองกอดสะโพกมนเอาไว้ "ดีขึ้นไหม" ราชาพึมพำถาม เขาถอยร่างออกจนเกือบจะแยกจาก "ช้าๆ ก็ได้"

ฝ่าบาทไคราห์นไม่ใช่คนอ่อนโยน แต่ก็ใจเย็นมากพอ

"ก... กระหม่อมไม่เป็นไร..." มันอาจเป็นคำติดปากที่ฆ่าตัวตายที่สุดของเวสเทียร์ในตอนนี้ เพราะเมื่อสิ้นเสียง กายแกร่งก็ดันลึกเข้ามาภายในจนสุดในคราเดียว

"อ๊า...!!"

ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก ลมหายใจกระตุกสั่นด้วยตกใจ ก่อนจะมองสบตาอีกฝ่ายราวกับประท้วง "ฝ่าบาท..." ช่วงล่างของเขาเกร็งรัดอีกฝ่าย เรียกเสียงครางทุ้มต่ำอย่างพอใจจากคนตรงหน้า ฝ่ามืออุ่นร้อนกอบกุมสะโพกของเขาหนักขึ้น และยิ่งขยับแยกเนินเนื้อเบื้องล่างเพื่อให้การสอดแทรกง่ายยิ่งขึ้น

"ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ"

น้ำเสียงทุ้มหยอกแกล้ง ขณะที่ดวงตาจับจ้องใบหน้าแดงจัดด้วยแรงอารมณ์ ราวกับต้องการจดจำมันเอาไว้ให้ขึ้นใจ ก่อนจะเริ่มขยับช้าๆ ให้คนตรงหน้าหลุดเสียงครางออกมาอย่างที่ไม่เคยทำ และเน้นย้ำสัมผัสในจุดทำให้ร่างรองรับรู้สึกดี จนเสียงครางที่เคยอึดอัดกลับกลายเป็นการระบายความต้องการที่ฟังดูหวานหู

 

"ฝ่าบาท...!"

ราชาเซลทิคสะดุ้งตื่นหลังจากงีบหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน งานเลี้ยงสังสรรค์ของชาว 'เงือกปลา' ดูจะทรมาน 'เงือกวาฬ' เสียเหลือเกิน หลังจากขับร้องเพลงอวยพรให้ราชินีเรจินาและเสวนากับราชาจากเมืองอื่นจนต้องกลั้นหายใจจนหน้าเขียว ฝ่าบาทไคราห์นก็ปลีกตัวขึ้นมาพักบนกลุ่มกองหินแห่งหนึ่งซึ่งเหล่าองครักษ์ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้

"ขออภัยที่รบกวนขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะมีพายุฝน กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะสำลักน้ำ"

เวสเทียร์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เจ้าตัวขยับกายขึ้นมานั่งเคียงข้างบนแท่นประทับ "เราคงต้องลงไปพักที่มารินาการ์ดขอรับ" ไคราห์นปรือตามองคนพูดก่อนพยักหน้าช้าๆ หลังตระหนักได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นความคิดสัปดนในฝันของเขาเอง

"เราพูดอะไรแปลกๆ ออกไปหรือเปล่า"

เวสเทียร์เลิกคิ้ว "เปล่าขอรับ"

"แล้วไม่ได้ทำท่าอะไรแปลกๆ ใช่ไหม"

"ฝ่าบาทฝันร้ายหรือขอรับ" องครักษ์เป็นห่วง เขาเอื้อมมือไปจับมือใหญ่และพบว่าชีพจรอีกฝ่ายเต้นแรงผิดปกติ ในบริเวณนั้นไม่มีองครักษ์คนอื่นแล้ว เนื่องจากเวสเทียร์ส่งพวกเขาไปจัดแจงเรื่องที่พัก ดังนั้นองครักษ์หนุ่มจึงสามารถอยู่ใกล้ชิดราชาได้ "มันเป็นแค่ฝัน... ไม่มีอะไรหรอกขอรับ"

ไคราห์นผ่อนลมหายใจเบา "อืม แค่ฝันก็ดีแล้ว"

...นี่ราชาทะเลเหนือฝันอะไรกันหนอ!

"มีอะไรที่กระหม่อมจะช่วยได้ไหมขอรับ" เวสเทียร์เป็นห่วง หากไคราห์นฝันร้ายขึ้นมาจริงๆ เขาก็อยากรู้ว่าความฝันนั้นคืออะไร และเขาสามารถช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่ ฝ่าบาทฝันถึงองค์ชายเดียร์ราฮานหรือเปล่าหนอ หรือว่าฝันเรื่องพระบิดา ราชาบริททาเนียร์กันเล่า

"ช่วย..." ไคราห์นหลับตาอีกครั้ง "อืม ไม่มีอะไรหรอก"

"ฝ่าบาท..."

ร่างสูงผละมือออกจากอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมไปจับปลายผมสีเข้มทัดหูช้าๆ "มันไม่ใช่ฝันร้ายหรอก ไม่ต้องห่วง" ถึงราชาจะพูดเช่นนั้น แต่คนฟังก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี "ไป... ควรจะลงไปเบื้องล่างได้แล้ว" ราชาตัดบทเพื่อความสบายใจ ต่อให้ตัวเขาเองจะยังสลัดภาพความฝันไปไม่ได้ก็ตาม

เขาไม่เคยทำแบบนั้นบนบก... อันที่จริงก็เคยคิดอยู่บ้าง แต่ไม่เคยลงมือสักครั้ง

หากเขาทำจริงๆ เวสเทียร์จะยอมหรือไม่หนอ

"นี่ เวสเทียร์..." องครักษ์คนสนิทโคลงหัว เขาหลบตาลงเล็กน้อยเมื่อหลังนิ้วของอีกฝ่ายคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ราชาทะเลเหนือดูมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง และอีกฝ่ายก็ดูจะลำบากใจในการพูดออกมา "ช่างมันเถอะ" อีกครั้งที่ราชาตัดบท

"นี่เป็นวันมงคลของฝ่าบาทเรจินา"

จะไปคิดเรื่องสัปดนวนเวียนในหัวทำไม...

"จะวันใดก็ช่าง หากฝ่าบาทเป็นทุกข์ กระหม่อมจะไม่ห่วงได้อย่างไร"

นับตั้งแต่เปิดปากเปิดใจพูดกันมานี้ ไคราห์นคิดว่าเวสเทียร์ปากหวานขึ้นเยอะ เขายิ้มจางก่อนจะหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู "เอาไว้กลับไปเซลทิค เราจะบอกเจ้าก็แล้วกัน" นิ้วสากลากผ่านกลีบปากนุ่ม ก่อนจะลดมือลง เพื่อยันกายขึ้นจากที่ประทับ "ไปกันเถอะ"

"ฝ่าบาทไคราห์น!"

เสียงตื่นตระหนกของใครอีกคนดังขึ้น ก่อนที่ร่างจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเบื้องบน เวสเทียร์ขยับหอกยาวในมือให้มั่นและตั้งรับอย่างรวดเร็วจนปลายแปลมของมันจ่ออยู่บนคอของผู้มาเยือน เธรมาร์ถลึงตามองอาวุธขององครักษ์คนสนิทก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

"เอ่อ..."

"จะโหวกเหวกโวยวายทำไมกัน นาร์วาล" ราชาหยัดกายนั่ง ทอดปลายหางสีขาวสะท้อนแสงจันทร์ลงในน้ำ "เมื่อปัญหาอะไรจะฟ้องเราหรือ พวกมารินาการ์ดห้ามเจ้าล่าปลาหมึกในเขตอาณาจักรหรือไร" เผ่านาร์วาลชื่นชอบปลาหมึก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเธรมาร์ เขาไม่ได้ทะเลาะกับกลุ่มองครักษ์สเตอร์เจียน ในความเป็นจริงแล้ว เธรมาร์และเอลลาร์แทบไม่ได้เสวนากับเงือกปลาสามัญชนเลยด้วยซ้ำ

"ฝ่าบาทส่งคนไปพบข้า..." เธรมาร์ละล่ำละลัก "บอกว่าองค์หญิงอาโกรนาห์..."

ไคราห์นไหวไหล่ และลอบกลอกตาครั้งหนึ่ง "อืม นางคิดถึงเจ้า... ทำไมรึ"

"องค์หญิงบอกว่าคิดถึงข้า!!!"

เวสเทียร์คำรามในคออย่างไม่สบอารมณ์ที่มีใครสักคนตะโกนใส่ฝ่าบาทของเขา "การพูดว่า 'กระหม่อม' มันยากเย็นนักหรือไร รู้สถานะของตัวเองบ้าง" องครักษ์เอ็ด เวสเทียร์ตัวใหญ่ว่าเธรมาร์ และนับว่าพวกนาร์วาลนั้นเป็น 'โลมา' พวกหนึ่ง ซึ่งอยู่ในระดับ 'ต่ำกว่า' เขา ดังนั้นจึงมีสถานะต่ำกว่าราชาแห่งเซลทิคแน่แท้

ต่อให้พวกเขาจะสามารถรักษาแผลให้ตัวเองได้ก็ตาม

"ช่างเถอะ เวสเทียร์ พวกนาร์วาลฉลาด แต่ไม่ค่อยมีมารยาทหรอก"

"ฝ่าบาทว่าข้า... ว่ากระหม่อมไม่มีมารยาทรึ!"

"ก็พูดไปตรงๆ แล้ว" ราชาหนุ่มกอดอก ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนดูชัดขึ้นกว่าเดิม "แล้วอย่างไร ตื่นเต้นที่น้องสาวเราคิดถึงเจ้ารึ ...แค่ตื่นเต้นหรือไร" เธรมาร์ไม่เข้าใจเลยว่าราชาเซลทิคเป็นคนอย่างไรกันแน่ เขาเคยมีภาพลักษณ์ของคนที่ใจดีมีเมตตา ทว่าเมื่อได้เสวนาด้วยจริงๆแล้ว ฝ่าบาทไคราห์นดูจะเป็นคนที่เอาแต่ใจและขี้ประชดอย่างที่สุด

"กระหม่อม..." เธรมาร์พึมพำ "ขอกลับเซลทิคสักสัปดาห์หนึ่งได้ไหมขอรับ เผื่อองค์หญิง..."

"ไม่ได้ห้าม" ไคราห์นตอบเรียบ "เจ้ามาประจำที่มารินาการ์ดทั้งที่เราไม่ได้สั่ง นั่นก็เป็นน้ำใจมากแล้ว" ร่างสูงขยับกายลงน้ำ เพื่อจะกลับไปยังอาณาจักรสีทองเบื้องล่างที่ยังคงมีงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่ "ต่อไปเราอาจจะส่งเจ้าไปอาณาจักรอื่นด้วย เพื่อเผยแพร่ความรู้และสูตรยาของเจ้า"

"ฝ... ฝ่าบาท..." เธรมาร์เรียกอีกครั้ง "กระหม่อมขออะไรอีกสักอย่างได้ไหมขอรับ"

เวสเทียร์เลิกคิ้ว เขาเป็นองครักษ์คนสนิทของฝ่าบาทมาร่วมสิบปียังไม่แม้แต่จะกล้าขออะไรหากอีกฝ่ายไม่เปิดโอกาส แต่เหตุใดเจ้าหนุ่มนาร์วาลนี่ถึงกล้าหาญ และโลภมาก ช่างขอเสียเหลือเกิน "กระหม่อมอยากได้เงินของพวกมนุษย์... เผื่อว่าจะนำไปซื้อของ... ให้องค์หญิงอาโกรนาห์"

อาโกรนาห์เป็นน้องสาวของไคราห์น...

ดังนั้นคนเป็นพี่จึงงุนงงไม่น้อยที่อีกฝ่ายมาขอความช่วยเหลือกระทั่งเรื่องนี้

"เพราะที่ขั้วโลกไม่มีสิ่งใดมีมูลค่า จะมีก็แต่เขาของกระหม่อม แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปขายได้เสียหน่อย" เธรมาร์พึมพำต่อ "แล้วฝ่าบาทจะส่งกระหม่อมไปอีกสักกี่อาณาจักรก็ได้ ต่อให้เป็นทะเลยิปรอลตาร์ กระหม่อมก็จะไป" ทะเลยิปรอลตาร์เป็นสุสานของชาวเงือก มันเป็นน่านน้ำที่น่ากลัวสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากเฉียดเข้าไปใกล้

"เจ้ารู้จักคำว่า 'ค่าจ้าง' ขึ้นมาบ้างแล้วสินะ" ไคราห์นเลิกคิ้ว "ได้ แต่ในฐานะพี่ชาย เรารู้ว่าอาโกรนาห์ชื่นชอบสิ่งใดมากที่สุด ประเดี๋ยวเราจะหามันมาให้เจ้าเอง ดีหรือไม่"

ฝ่าบาทไคราห์นอาจเป็นคนเงียบขรึม ดุดัน และเอาใจยาก แต่เมื่อจบประโยค เธรมาร์ก็คิดว่าอีกฝ่ายใจดีมีเมตตาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เพราะต่อให้เธรมาร์จะได้เงินตราของพวกมนุษย์มา เขาก็คงไม่มีปัญญาจะไปเดินซื้อหาของในตลาดบาร์ธีมอร์ด้วยตนเองอยู่ดี

"ขอบคุณมากขอรับ ฝ่าบาท"

ไคราห์นไม่ยิ้มตอบ เขาดำลงไปในน้ำและกลับไปยังมารินาการ์ดพร้อมเวสเทียร์

"อืม... มีเรื่องให้ขึ้นบกแล้ว"

--------------------------------------------------


กามล้วนๆ---

ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ (ไม่ใช่ ...ไม่เท่าไหร่... แต่งานเยอะมากค่าาาาาาาาาาาาาาา) แต่พอดีมันเป็นตอนพิเศษเลยอัดหยอดๆ ได้ ลองหายหัวช่วงไคลแมกซ์สิ ฮาาา ตอนพิเศษนี้มันจะไปโยงกับตอนพิเศษหน้าๆ (อิ) ซึ่ง... เรทอีกแล้ว (หึฟ์) แต่เป็นเรื่องเป็นราวมีสาระขึ้นมานิ๊ดดดนึง

คนกาม... แล้วยังมีหน้าไปว่าคนอื่นลามก ฝ่าบาทนะ ฝ่าบาท 555

จริงๆ ท่ายืนนี่เป็นอะไรที่แอบแฟนตาซี คือฝ่าบาทจะต้องแข็งแรงขนาดไหน อุ้มได้แบบ... ไม่เซ ไม่หงาย อย่าคิดภาพตาม มันตลกกก 555) ไคราห์นแข็งแรงนะ เป็นเมะกล้ามสวย แต่ไม่ถึงกับกล้ามปูนมฟูฟินาเล่อะไรขนาดนั้น แต่แค่มองแว่บเดียวก็รู้ว่าแรงเยอะมากกก อะไรงี้



ปล. ยิปรอลตาร์ >> ช่องแคบเชื่อมแอตแลนติกกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวเงือกไม่เข้าเมดิเตอร์เนียนข่าา งานประมงเยอะมากไป นางชอบทะเลเปิด 555

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฝ่าบาทฝันลามก 555 สงสารก็แต่เวสเทียร์ กลุ้มแทบตายคิดว่าฝ่าบาทฝันร้าย ถถถถ แถมนี่ฝ่าบาทยังหาข้ออ้างขึ้นบกได้อีก ไม่รอดแน่เวสเวส  :laugh:

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
ฝ่าบาท ค่ลบร้าาาาา

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นี่มาส่งปลาเข้าปากเงือกชัด ๆ

ในน้ำก็แล้ว บนบกน่าจะดี ฮี่ ๆ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนพิเศษ [4] กำไลมุก

แม้เงือกวาฬจะรับรู้ความเป็นไปของ 'เบื้องบน' เสมอ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่พวกเขาจะหาสร้อยไข่มุกสักเส้นที่ถูกใจ เนื่องด้วยไข่มุกเม็ดใดก็ไม่เข้าตาราชาสักที "หรือจะเป็นมุกสีชมพูเส้นนี้ล่ะขอรับ นายท่าน นำเข้ามาจาก..."

ด้วยความรำคาญ ฝ่าบาทไคราห์นยกมือปรามไม่ให้เจ้าของร้านพูด เขาเป็นเงือก มีหรือจะดูมุกไม่ออก

ชายมนุษย์ร่างเล็กค้อมหัวลงน้อยๆ และวางกำไลข้อมือลงบนผ้ารองกำมะหยี่สีเข้มเพื่อขับเน้นให้เห็นถึงความมันวาวของเครื่องประดับ ลูกค้าของเขาในวันนี้ดูจะเป็นคุณชายเรื่องมากจากเมืองไหนสักแห่ง และถามหาเครื่องประดับประเภทกำไลข้อมือเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามแนะนำสร้อยมุกเส้นไหน คุณชายก็ไม่ปรายตามองเลยสักครั้งเดียว

คุณชายผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่เสียจนน่าสงสัยว่าเขาเป็นมนุษย์จริงๆ หรือเปล่า อีกทั้งมีผิวพรรณขาวเผือดอย่างผิดธรรมชาติ และเรือนผมยาวสีขาวโพลนยาวที่มัดเอาไว้หลวมๆ ตรงต้นคอ ซึ่งนี่ไม่ใช่ลักษณะทรงผมตาม 'สมัยนิยม' ของพวกเขาเลย

ไหนจะผู้ติดตามที่มีผิวเข้มอย่างกับอินเดียแดง อีกทั้งยังสักตามตัวกระทั่งบนใบหน้าอีกด้วย ร่างกายสูงใหญ่บ่งบอกได้ถึงความแข็งแรง สะท้อนภาพลักษณ์อันป่าเถื่อนของกลุ่มคนที่ไม่มีวัฒนธรรม แต่การวางของฝ่ายนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนน้อมจนน่าแปลกใจ

ชายเจ้าของร้านไม่แน่ใจว่าเขาควรจะกลัวคุณชายหรือผู้ติดตามมากกว่า

แต่หากนี่ไม่ใช่คุณชายใหญ่กับทาสอินเดียนแดงแล้วจะเป็นพวกใดได้อีก!

"อายุน้อยไปหรือเปล่านะ" โดยที่ไม่แตะต้องเครื่องประดับ คุณชายผมยาวก็พึมพำกับตัวเอง และเคลื่อนสายตากลับไปยังกำไลอีกเส้นที่เป็นมุกสีนวลทว่ามีขนาดใหญ่กว่ามาก ดวงตาสีครามตวัดมองเจ้าของร้าน "เจ้าทำให้เส้นนั้นยาวขึ้นอีกได้หรือเปล่า น้องสาวเราข้อมือใหญ่"

แม้จะดูดุดัน แต่คุณชายคนสูงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดาไม่ถือตัว

"แน่นอนขอรับ คุณชาย" เจ้าของร้านยิ้มรับ "กระผมขอเวลาสักครู่เดียวเท่านั้น"

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์กระซิบเรียก "กระหม่อมเสนอให้ร้อยเส้นใหม่" นัยน์ตาสีเข้มชำเลืองมองเม็ดมุกเปล่าที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเครื่องประดับ "ตรงนั้นทรงสวยกว่า กลมกว่ามาก" เจ้าของร้านมองตามสายตาของเวสเทียร์ไปด้วย และนึกภาวนาในใจว่าอย่าให้คุณชายเปลี่ยนใจ เพราะสิ่งที่เวสเทียร์พูดถึงนั้นไม่ใช่ของดีเท่ากำไลที่คุณชายผู้นี้ตัดสินใจเลือกแล้ว

"นั่นมุกน้ำจืด เวสเทียร์" ไคราห์นตอบเบา "ทั้งเส้นนั่นราคาไม่ได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่บนหูเจ้า"

องครักษ์เงือกมุ่นคิ้ว ประการแรกนั่นคือนึกตำหนิตัวเองที่ลืมไปว่ายังมีสิ่งที่เรียกว่ามุกน้ำจืดอยู่ด้วย และประการต่อมาคือความหมายในคำพูดของราชาทะเลเหนือ เวสเทียร์เหลือบตากลับไปมองฝ่าบาทของตนเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นจับหูซ้ายของตนที่ยังสวมเครื่องประดับมุกอยู่

มุกเม็ดเดียวบนนั้นไม่ได้ใหญ่มาก... แต่มันเป็นมุกที่สวยที่สุดที่เวสเทียร์เคยเห็น

"นั่นเป็นไข่มุกทะเลใต้ที่หายากเชียว..."

เจ้าของร้านเองก็ดูประหลาดใจกับคำพูดของคุณชาย แต่ด้วยความที่ไม่อยากยุ่งเรื่องของลูกค้าให้มากความ เขาจึงหันมาจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ชายหนุ่มขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจที่ประทานลูกค้ากระเป๋าหนักผู้นี้มาให้เขากลางฤดูหนาว แต่ก็ลอบมองไข่มุกบนเครื่องประดับบนหูของผู้ติดตามบ้างด้วยความอยากรู้

เขาเห็นด้วยว่ามันเป็นมุกที่สวยงามมาก และน่าเชื่อถือจริงๆ ว่าเป็นมุกที่นำเข้ามาจากทะเลใต้ อันแปลว่าราคาแพงหูฉี่เลยทีเดียว

คุณชายประเภทใดจะซื้อเครื่องประดับหูให้ทาสแบบนี้...

อีกทั้งเครื่องประดับแบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเขานิยมกันด้วย

ฝ่าบาทหนีบไม้เท้าเอาไว้ใต้แขน ขณะหยิบกำไลมุกสีชมพูขึ้นพิจารณา "หากมีอายุมากกว่านี้ก็คงจะสวยกว่านี้แน่" อาโกรนาห์เป็นผู้หญิง และนางคงจะโปรดปรานสีหวานๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้มากกว่าสีขาวจืดๆ ที่นางพบเจอทุกวี่ทุกวัน ซึ่งนั่นก็คือตัวเขาเอง

แต่มุกสีชมพูเส้นนี้มีอายุน้อยเกินไป อีกทั้งยังไม่ค่อยจะกลมเสียด้วย

"ไม้เท้าของคุณชาย..." เจ้าของร้านชวนคุยอย่างอารมณ์ดี "ผลงานของพ่อหนุ่มเจ้าของร้านท่อนไม้สินะขอรับ" อีกฝ่ายดึงเส้นเอ็นออกมาใหม่ ให้มีความยาวมากกว่าเดิม เพื่อจะเปลี่ยนถ่ายไข่มุกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว "งานปราณีตและมีราคามากเสียจนน่าตกใจที่เขายังอยู่ที่บาร์ธีมอร์นี้"

ไคราห์นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงวาร์เรน

"แต่ก็ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเขาหรอกนะขอรับ วิธีการพูดจาก็ดูเป็นผู้ดีมจากไหนที่ไหนเสียด้วย"

"เราไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขาหรอก" ราชาตอบเรียบ "เพียงแค่มองหาช่างแกะสลักฝีมือดีสักคนหนึ่ง เมื่อซื้อชายกันเสร็จสิ้นก็ไม่มีธุระใดให้เสวนาต่อ" คำตอบของฝ่าบาทดูเย็นชาเสียจนเจ้าของร้านอดกลั้นใจไม่ได้ และเริ่มคิดว่าเขาควรจะระวังคำพูดกับอีกฝ่ายให้มากขึ้นหากต้องการค้าขายในระยะยาวกับลูกค้าเงินหนักแบบนี้ เพราะไม่แน่ว่าในอนาคต คุณชายผู้นี้อาจจะอยากซื้ออะไรให้น้องสาวอีกก็เป็นได้

แต่ไข่มุกทะเลใต้ที่เป็นของผู้ติดตามผู้นั้นเล่า...

คุณชายไปสรรหามาจากไหน แล้วเหตุใดจึงไม่กลับไปที่เดิม

"เจ้าหาไข่มุกทะเลใต้ได้หรือเปล่า" คำถามที่ทำให้ผู้ค้าเสียวไส้โพล่งออกมาในอึดใจ แม้เขาไม่ต้องการจะปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนไม่มีปัญญาไปหาสินค้าราคาแพงนั้นมาได้ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ต้องเงินหนักเท่านั้น แต่หมายถึงเส้นสายติดต่อพ่อค้าต่างเมืองอีกด้วย

"กระผม... ไม่กล้านำเข้ามาขอรับ"

เวสเทียร์ชำเลืองมองราชาก่อนพึมพำเสนอความเห็น "ให้ท่านฟาลติดต่อพวกทะเลใต้ก็ได้นี่ขอรับ"

"ซื้อไข่มุกให้เจ้า จะบอกให้ฟาลจัดแจงได้อย่างไร" ไคราห์นตอบเรียบ "ประเดี๋ยวก็โดนเอ็ดเอาทั้งคู่"

เวสเทียร์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดพร้อมกับอ้าปากโต้แย้ง "ม... ไม่จำเป็นเลยขอรับ ของหายากแบบนั้น ฝ่าบาทจะประทานเครื่องประดับที่อยู่ในกล่องเก็บมาก็ได้" ราชาทะเลเหนือหันมองคนพูด ก่อนจะจรดยิ้มที่มุมปากด้วยความขบขัน "ไม่ตลกนะขอรับ!"

"อยากได้ไข่มุกเจ็ดคาบสมุทรนั่นหรือ เวสเทียร์"

คนฟังกลั้นใจ และยิ่งปฏิเสธเป็นพัลวัน "ม... ไม่ใช่อย่างนั้น..."

"ประเดี๋ยวกลับไปแล้วเราจะให้เจ้าก็แล้วกัน" ไคราห์นกล่าวต่อสบายอารมณ์ "อย่างไรมันก็เป็นเครื่องหมายแทนคำสัตย์ของเราอยู่แล้ว"

"กระหม่อมปฏิเสธ..." องครักษ์กดเสียงหนักแน่นแน่วแน่ "กระหม่อมไม่คู่ควรกับมัน"

"เจ้าเคยปฏิเสธเราหรือ เวสเทียร์"

เจ้าของร้านยังคงร้อยไข่มุกต่อไปอย่างใจเย็น แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ในที่แห่งนี้ก็ตาม เขาสัมผัส.. ได้ถึงความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างคนคู่นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญในร้านของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังอยากรู้ว่าคุณชายตรงหน้ามีสถานะเป็นใครกันแน่ เพราะจากคำพูดคำจาแล้ว ดูจะไม่ใช่คุณชายธรรมดาทั่วไป แต่น่าจะเป็นชนชั้นปกครอง และเป็นชนชั้นปกครองระดับดยุกขึ้นไปเสียด้วย

นี่จะเป็นท่านดยุกจากเมืองใดหนอ...

หวังว่าคงไม่ใช่ดยุกแห่งบาร์ธีมอร์หรอกกระมัง!!!

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เสียงอ่อน ด้วยรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะโต้เถียง "ประทานให้องค์หญิงเถอะขอรับ" เจ้าของร้านตื่นตกใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายดูจะสูงศักดิ์กว่าระดับดยุกเสียอีก "มันเป็นสมบัติของราชวงศ์"

มีคำว่าราชวงศ์หลุดออกมาแล้วด้วย!!!

...หรือว่านี่จะเป็นองค์ชาย!!

"ให้อาโกรนาห์เอาไปคล้องคอเธรมาร์หรืออย่างไร เจ้าก็รู้ว่าฝ่ายชายต้องเป็นคนให้สร้อยเวลาจะแต่งงาน แต่จะให้เรายกให้เธรมาร์ก็ใช่เรื่องเสียที่ไหน น่าเกลียดจะตายไปที่จะเอามรดกตระกูลไปให้ว่าที่เขยยืมใช้ เพราะไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่างเดียว" เวสเทียร์ได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของคนรอบตัว ดังนั้นเขาจึงเหลือบมองเจ้าของร้านอย่างไม่ไว้ใจหลังจากสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นจนเกินควร

"เหตุใดจึงใช้เวลานานนัก" องครักษ์หนุ่มถามเสียงเข้ม "เจ้าคิดอะไรอยู่"

คนถูกถามสะดุ้งสุดตัวและเงยหน้าขึ้นมองผู้ติดตามร่างสูงที่หันไปคว้าหัวไม้เท้าแกะสลักรูปวาฬ หมายจะดึงดาบที่ซ่อนอยู่ในนั้นออกมา "เวสเทียร์ ราชาหนุ่มแตะมือเวสเทียร์เป็นเชิงปราม "อย่าวู่วามไป" เขาเคลื่อนปลายนิ้วไปกอบกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้

"งานศิลปะต้องใช้เวลา"

เจ้าของร้านพยักหน้ารัวเร็วก่อนจะหันไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำอย่างดีเพื่อมาใส่เครื่องประดับราคาแพง "นี่ขอรับ นายท่าน กระผมขออภัยในความล่าช้า..." เวสเทียร์รับกล่องสวยมาจากอีกฝ่ายแทนราชาของเขา  ในที่สุดคุณชายและผู้ติดตามก็ออกจากร้านไป

"โอย ต่อให้เงินหนักก็เถอะนะ แต่ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ คงไม่ดีมั้ง"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ตอนพิเศษ [5] รางวัล

เงือกวาฬอาศัยอยู่ในถ้ำซึ่งไม่ค่อยจะมีลมพัดผ่านสักเท่าไหร่ ดังนั้นการเดินเล่นในเมืองบาร์ธีมอร์กลางฤดูหนาวเช่นนี้ทำให้เวสเทียร์หนาวจนปลายนิ้วแข็งชาไปหมด ในขณะที่ฝ่าบาทของเขาไม่รู้สึกอะไรเลย

หากเป็นวาฬจริงๆ ก็คงพูดได้ว่าอีกฝ่ายมีชั้นไขมันที่หนากว่าทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่า

แต่ในเมื่อเป็นเงือก เวสเทียร์หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมฝ่าบาทจึงดูคุ้นชินกับอากาศมากกว่าเขา ทั้งที่อีกฝ่ายเพียงแค่สูงกว่า และดูจะมีกล้ามเนื้อมากกว่าเขา 'เล็กน้อย' ซึ่งกล้ามเนื้อไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นไม่ใช่หรือไร

เวสเทียร์กระชับเสื้อตัวนอก หยุดก้าวเดินเมื่อลมหนาวพัดมาปะทะร่าง เขามองดูปลายนิ้วตัวเองที่ถือกล่องใส่กำไลมุก เล็บที่เคยขาวนวลบัดนี้ขึ้นสีม่วงจางๆ พวกเขากำลังเดินทางไปยังธราฟัสการ์เพื่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับลงทะเล แต่เส้นทางระหว่างนั้นเป็นทางเดินที่ขนาบด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

ช่างลมดีเหลือเกิน...

ฝ่าบาททะเลเหนือเหลือบมองคนข้างกาย ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ "อุ่นขึ้นไหม"

เขาพอจะรู้ว่าเวสเทียร์ขี้หนาว และดูไม่ค่อยชอบลมสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่แสดงออก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่องครักษ์ควรทำ ทว่านั่นเป็นความคิดในอดีต ตอนนี้พวกเขาเป็นมากกว่านั้นแล้ว คงไม่ต้องรู้สึกกระดากมากหากอยากจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ "เราถือเอง"

ราชาคว้ากล่องกำมะหยี่มาถือไว้อีกมือ และกระชับจับมือเวสเทียร์ให้แน่นขึ้น "เย็นเชียว"

"ขออภัยฝ่าบาท..."

แม้จะเป็นคำที่เขาอยากสั่งห้ามไม่ให้เวสเทียร์พูด แต่เมื่อร่างโปร่งกุมมือตอบ ไคราห์นก็ลืมความคิดนั้นไป "ปากสั่นแล้ว" ราชาทะเลเหนือขยับไปเดินใกล้ๆ ใช้มือที่ยังถือกล่องปลดผ้าคลุมบ่าของตนออกอย่างไม่ค่อยถนัดนัก ปล่อยมือจากร่างโปร่งครู่หนึ่งเพื่อสะบัดเสื้อตัวหนักวางคลุมบ่าอีกฝ่าย

"ฝ่าบาท... ไม่จำเป็น..."

"ปฏิเสธเก่งนะ เดี๋ยวนี้" ราชาตัดบท "อยู่ข้างบนสักพักก่อนก็แล้วกัน ในตัวบ้านน่าจะอุ่นกว่า" ครั้งนีเวสเทียร์พยักหน้ารับรัวเร็วไม่ปฏิเสธ หากร้องขอได้ เขาก็อยากจะจุดไฟในเตาผิงแล้วนั่งอิงอยู่ตรงนั้นสักชั่วยามเลยทีเดียว องครักษ์มองหาหมู่บ้านปลายทาง และก็พบว่ามันอยู่ห่างออกไปอีกสักอึดใจ

อึดใจในที่นี้หมายถึงอึดใจหนึ่งของเงือกวาฬ ซึ่งนานพอดู

"ฝ่าบาท... ไม่หนาวหรือขอรับ" ร่างโปร่งอุบอิบถาม เหลือบมองคนข้างกายที่ยังคงไม่รู้สึกอะไร ทั้งยังเอาตัวเองบังลมให้เขาอีกด้วย นี่มันช่างน่าอับอายในฐานะองครักษ์เหลือเกิน "กระหม่อมควรเป็นฝ่าย... ดูแลฝ่าบาท"

"ถ้าหนาวขึ้นมา เจ้าก็ทำให้อุ่นหน่อยแล้วกัน"

หืม...

เวสเทียร์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างองครักษ์ที่ดี "ฝ่าบาทไม่โปรดใบไม้ต้มน้ำใช่ไหมขอรับ" เขากำลังพูดถึง 'น้ำชา' ที่วาร์เรนคอยจะเอามาเลี้ยงต้อนรับอยู่เรื่อย แต่ฝ่าบาทก็ไม่แตะต้องเลยแม้แต่น้อยหลังจากได้กลิ่น "เช่นนั้น จะอาบน้ำอุ่นดีไหมขอรับ ถ้าไม่ร้อนจนเกินไปคงไม่เป็นไร หรือฝ่าบาทไม่โปรดน้ำจืด..."

"ถ้าเอาน้ำทะเลมาต้ม กาก็พังกันพอดี" ไคราห์นตอบเรียบ "ตามใจเจ้า..."

เวสเทียร์เริ่มวางแผนในใจ เขาจำได้ว่าครั้งนี้แล้วเขาตักน้ำใต้ดินขึ้นมาจากบ่อกลางหมู่บ้าน และเก็บเอาไว้ด้านหลังบ้านพัก ก่อนอื่นคงต้องเอาฟืนมาสุมไฟที่ใต้เตา แล้วจึงเอากาใหญ่ใส่น้ำมาวางต้ม และอาจจะต้องรอไปอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าน้ำจะเดือด แล้วจึงเอาไปผสมกับน้ำเย็นในอ่างให้ฝ่าบาทอาบได้

ทุกอย่างสามารถทำให้บ้านได้ ดังนั้นเวสเทียร์จึงมั่นใจว่าเขาจะไม่หนาวตายเสียก่อน

ผ้าคลุมบ่าของฝ่าบาทตัดเย็บจากเส้นใยขนสัตว์ ดังนั้นมันจึงมีน้ำหนักมาก ทว่าป้องกันความหนาวเย็นได้ดีมากเช่นกัน กว่าพวกเขาจะเดินขึ้นไปถึงหมู่บ้าน เวสเทียร์ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว "กระหม่อมขอตัวไปเตรียมน้ำร้อนก่อนนะขอรับ" เมื่อเปิดประตูเข้าบ้าน องครักษ์ที่รู้งานก็้ถอดผ้าคลุมบ่าผืนใหญ่ออกพับวางบนแขนของตัวเอง แล้วหันไปมองเตาผิง

"ให้กระหม่อมจุดไฟ..."

"ไปเถอะ เราไม่ได้หนาวขนาดต้องนั่งผิงไฟ" ราชาตอบเรียบ เขาถอดเสื้อนอกออก และเริ่มปลดกระดุมที่ปลายแขนเพื่อคลายความอึดอัดจากเสื้อผ้าของพวกมนุษย์ เขามองตามแผ่นหลังของเวสเทียร์ผู้รีบออกไปเพื่อเตรียมน้ำอุ่นให้ราชา

"เจ้าคนบื้อ..." ร่างสูงหัวเราะเบา "ทีแบบนี้ล่ะบื้อ ทีตอนเราไม่ได้คิดอะไรล่ะฉลาดนัก"

ไคราห์นเดินกลับไปยังห้องนอน เขาจำความฝันตัวเองได้ และสิ่งหนึ่งที่จะทำตามแน่ๆ คือการถอดเสื้อผ้าอย่างชาญฉลาด นั่นคือการเดินไปถอดหน้ากระจก เขาปลดกระดุมแขนออกได้แล้ว เหลือเพียงแต่กระดุมบนปกคอเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องเม็ดเล็กเท่านี้ อีกทั้งยังเป็นสีเดียวกับเสื้ออีกด้วย

เวสเทียร์ทำงานเร็วและเป็นระบบ เพียงแค่ฟังเสียง ไคราห์นก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่ องครักษ์หนุ่มจุดไฟในเตาทำอาหาร และตักน้ำจากถังเก็บน้ำข้างบ้านมาเติมให้เต็มกาทองเหลืองขนาดใหญ่ แบ่งอีกส่วนหนึ่งเพื่อนำไปใส่อ่างไม้ในห้องอาบน้ำ และคงต้องอีกต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าน้ำในกาจะเดือด

เหตุใดการมีชีวิตแบบมนุษย์จึงได้ลำบากยากเย็นนักหนอ

องครักษ์คนสนิทนั่งเฝ้ากาต้มน้ำ และใช้มืออังความร้อนจากเตาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อให้ตัวเองอุ่น

"เวสเทียร์"

ฝ่าบาทเปลี่ยนน้ำเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย ทำให้องครักษ์รีบกลับเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยิน "ฝ่าบาท..." ราชาทะเลเหนือยังยืนอยู่หน้ากระจก และดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหากับกาปลดกระดุมที่คอ "ฝ่าบาทจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยหรือขอรับ" ร่างสูงพยักหน้า และเงยคางขึ้นเพื่อให้เวสเทียร์ถนัด

"เราจะอยู่ทันการเปลี่ยนสมัยนิยมไหมนะ เมื่อไหร่มนุษย์จะเลิกใส่เสื้อคอแข็งๆ นี่สักที"

องครักษ์ยิ้มขำ "กระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องใส่เสื้อคอแข็งแบบนี้ แต่ยอมรับว่าเสื้อผ้าของพวกเขาทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นจริงๆ" เมื่อเขาปลดกระดุมออก ราชาก็ถอนใจออกมายาวราวกับว่าเพิ่งได้หายใจเต็มปอด "บางที... พวกราอาจจะสูงใหญ่เกินมนุษย์ทั่วไปก็ได้ขอรับ จึงอึดอัดกับเสื้อผ้าของพวกเขา"

จริงอยู่ว่าฝ่าบาทไคราห์นอาจจะสูงที่สุดในเมืองบาร์ธีมอร์นี้แล้วก็เป็นได้ และกระทั่งตัวเวสเทียร์เองก็จำไม่ได้ว่าเคยพบมนุษย์ที่มีขนาดตัวเท่าๆ กันบ้างหรือเปล่า

"พูดอย่างกับว่าเราเอาเสื้อผ้าใครมาใส่ ชุดนี่เราก็ไปยืนขาแข็งให้พวกเขาวัดตัวไม่ใช่หรือไร"

"ขออภัยขอรับ" เวสเทียร์หลบมองต่ำ เขาสัมผัสได้ว่าราชาไม่พอใจ

"เราไม่ได้ดุเจ้านะ เวสเทียร์" ไคราห์นถอนใจเบา "เสียงเราดุหรือ"

องครักษ์เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้า ก่อนจะหลบลงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นเพราะความเก้อเขินที่ถูกมอง "เปล่าขอรับ..." เขาพึมพำตอบ "ฝ่าบาท... เสียงดี"

ไม่รู้ว่านี่เป็นคำชมประเภทไหนกัน ตกลงว่าเวสเทียร์ชอบตอนเขาร้องเพลงหรือ

"เสียงดีแบบไหนกัน..."

"ก็..." เวสเทียร์ไม่ใช่คนพูดเก่งนัก เขาจึงนึกคำไม่ออก "สวยงาม ตรึงตราขอรับ" เขาเงยขึ้นมองฝ่าบาทอีกครั้งและพบว่าครั้งนี้ ราชาดูงงงวยกับคำพูดของเขาและกำลังพยายามตีความอย่างสุดความสามารถ "เอาเป็นว่า... กระหม่อมชอบขอรับ"

"หึ..." ราชาหลุดขำ "มีส่วนใดของเราบ้างที่เจ้าไม่ชอบน่ะ เวสเทียร์"

ร่างโปร่งเสมองทางอื่นและพยายามคิดคำตอบ "ม... ไม่มีขอรับ"

"เปลี่ยนคำถามจะดีกว่า" ไคราห์นเริ่มสนุก "เจ้าชอบส่วนใดของเรา ห้ามตอบว่าทุกอย่าง ให้เลือกจุดที่เจ้าชอบที่สุด" ฝ่าบาทดูจะรู้จักเวสเทียร์ดีเกินไปเสียแล้วจึงได้ดักทางคำตอบของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรู้ทัน ซึ่งนั่นทำให้องครักษ์ต้องขบริมฝีปากขณะคิดอย่างหนัก

เราไม่เคยบอกเจ้าหรือไรว่าอย่ากัดปากแบบนั้น มันช่าง...

ไคราห์นกำหมัดหลวมๆ และสูดหายใจเข้าช้าๆ เขายังรอคำฟังคำตอบ "ฝ่าบาทจะโกรธไหมขอรับ" เวสเทียร์นึกย้อนไปเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว ในวันที่เขาได้เห็นราชาทะเลเหนือเป็นครั้งแรกในชีวิต "หากกระหม่อมจะตอบตามที่คิดจริงๆ"

"ตอบตามที่คิดอีกสักหลายๆ ครั้งเถอะ"

"กระหม่อมชอบผิวของฝ่าบาท..."

ช่างเป็นคำตอบที่ยากจะเข้าใจเสียเหลือเกิน

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบโต้ องครักษ์ก็พยายามจะอธิบาย "ม... หมายถึง... กระหม่อมพบฝ่าบาทครั้งแรกในวันสถาปนา สีผิวของฝ่าบาทเป็นสิ่งแรกที่กระหม่อมเห็นและจดจำได้ สำหรับกระหม่อมแล้วมันสวยงาม..." ร่างโปร่งกัดปากเมื่อว่ายิ่งพูดไปยิ่งดูไม่เข้าท่า "แต่กระหม่อมก็ไม่ได้ชอบแค่รูปลักษณ์ภายนอกนะขอรับ"

"เช่นนั้นแล้วชอบอะไรอีก"

ไคราห์นยิ้มจาง จริงอยู่ว่าสีผิวของเขาอาจจะแตกต่างจากคนอื่นสักหน่อย แต่โดยทั่วไปแล้วจะมองในแง่ของความหวาดกลัวเสียมากกว่าจะชื่นชม นี่จึงอาจเป็นคนแรกที่บอกว่า 'ชอบ' ผิวพรรณขาวเผือดที่สว่างราวกับแสงจันทร์ของเขา

"ฝ่าบาท... ใจดี" เวสเทียร์พยายามพูดต่อ "แล้วก็อบอุ่นมากๆ"

บรรยากาศแบบนี้ดีเกินกว่าจะขัด... แม้จะอยากดึงคนตรงหน้ามาจูบสักครั้ง แต่ก็ยังอยากฟังต่อไป

"แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่กระหม่อมชอบที่สุดก็คงจะเป็นผิวของฝ่าบาท"

เป็นคำตอบที่... จะว่าน่ารักก็คงใช่ จะว่ายั่วยวนก็คงใช่อีกเช่นกัน

"แล้วเหตุผลใดที่ทำให้เจ้าตัดสินใจร่วมประลองคัดเลือกองครักษ์ในตอนนั้น" ฝ่าบาทเสียงอ่อนลง กลายเป็นโทนที่เวสเทียร์คิดว่าชอบที่สุด "อายุแค่สิบแปดไม่ใช่รึ แต่คิดจะสู้กับพวกโตๆ แล้ว ตัวเต็งในตอนนั้นก็อายุมากกว่าเจ้าตั้งเท่าตัว"

"กระหม่อมอยากปกป้องฝ่าบาท" เวสเทียร์คิดว่าเขาตอบคำถามนี้ได้ จึงเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างแน่วแน่ "หาก... เพียงเพราะลักษณะที่สวยงามแบบนี้มันแตกต่าง จนทำให้ไม่มีใครนับถือ หรืออยากอยู่เคียงข้าง โดยไม่มองถึงความสามารถเลย... กระหม่อมก็จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทเอง"

"อ้อ..." ราชาอึ้งไป เช่นเดียวกับองครักษ์ที่รู้สึกได้ในภายหลังว่ามันเป็นคำปฏิญาณที่คล้ายการสาบานรัก

...ตกลงว่าเป็นรักแรกพบหรือไร

"เพราะแบบนี้... เจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นออกมาหรือ 'กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น' นั่นเป็นคำสัตย์ที่ทรงพลังมากสำหรับเผ่าองครักษ์ที่รับใช้เรามานาน" ไคราห์นยิ้มตอบ เขาเอื้อมมือไปหมายจะลูบยาวสีเข้มของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เวสเทียร์กลับก้มหน้าหลบสายตา

"ฝ่าบาทอย่าทวนสิขอรับ!" ...เขาเขิน

"เช่นนั้นก็ทวนเองดีหรือไม่ ไหนพูดอีกทีซิ"

เมื่อครั้งที่ยังเป็นแค่ราชากับองครักษ์... ฝ่าบาทไม่ได้ขี้แกล้งแบบนี้เลย

เวสเทียร์สูดใจเข้า "เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอรางวัล" เขายืดอก "วันนี้กระหม่อมยังไม่ได้ขออะไรจากฝ่าบาทเลย"

"ชักจะได้ใจนะ" ราชายิ้ม "เอาเถอะ รางวัลก็รางวัล อยากจะได้อะไรกัน... แต่คงไม่ใช่คำบอกรัก เพราะเจ้าเพิ่งจะขอไปเมื่อวานนี้" ไคราห์นลดมือลงข้างตัวดังเดิม และยิ้มมองด้วยความเอ็นดู องครักษ์ย่อเข่าลงจรดพื้น แสดงความเคารพในแบบองครักษ์ของพวกมนุษย์

"กระหม่อมถวายแล้วซึ่งชีวิต ต่อฝ่าบาทไคราห์นแห่งเซลทิคเท่านั้น"

ช่างทื่อเหลือเกิน... แต่ก็สมกับที่เป็นเวสเทียร์

"อืม วันนี้อยากได้อะไร"

"อยากให้ฝ่าบาทตอบ... ว่าชอบกระหม่อมตรงไหนขอรับ"

...ชักจะเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันจริงๆ

เวสเทียร์ยืดตัวขึ้นยืนอีกครั้ง และช้อนสายตามองราชากึ่งออดอ้อนขอคำตอบ "กระหม่อม.... ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะชอบกระหม่อม" เมื่อก่อนนั้น เวสเทียร์ไม่เคยคาดหวังว่าจะให้ฝ่าบาทไคราห์นตอบรับความรู้สึก เพราะนอกจากเขาจะไม่ใช่สตรีแล้ว ฝ่าบาทดูจะไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียด้วย นับตั้งแต่ประกาศว่าจะไม่มีชายา แม้จะงุนงงอยู่บ้างเมื่อครั้งที่พวกเขามีความสัมพันธ์กันในครั้งแรก แต่ก็พยายามคิดว่านั่นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชายทุกคนย่อมรู้ 'วิธีการ'

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะหน้าด้านเผชิญกับมัน...

"จึงอยากรู้ว่า... ฝ่าบาท... ชอบตรงไหน แล้วก็เมื่อไหร่ขอรับ"

"เราให้ไปนานแค่ไหนแล้ว" นิ้วยาวขาวเผือดเคลื่อนขึ้นมาแตะเครื่องประดับบนใบหู "จำได้หรือเปล่า"

เครื่องประดับหูที่ทำจากทองคำขาวเข้ากับไข่มุกราคาแพงที่สรรหามาจากทะเลใต้ แม้มันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอย่างที่สตรีนิยมชมชอบ แต่ความมันวาวและเกลี้ยงเกลาก็ทำให้มันสวยงามไม่แพ้ใคร

"ห้าปีขอรับ" เวสเทียร์พึมพำ "ฝ่าบาทกล่าวว่ามันเป็นรางวัลที่กระหม่อมติดต่อพวกนาร์วาลได้"

เมื่อห้าปีก่อน ฝ่าบาทไคราห์นตัดสินใจตามหาเผ่านาร์วาล เนื่องจากได้ยินมาว่าพวกเขามีความสามารถในเรื่องยาพิษต่างๆ เพื่อสรรหาอาวุธมาต่อกรกับแวมไพร์ และส่งเวสเทียร์กับหน่วยอารักขาระดับสูงออกไปถึงขั้วโลกเพื่อการนี้

"หากกล่าวว่ามันแทนคำสัตย์สัญญาที่จะครองคู่กับเจ้าเพียงคนเดียว... เจ้าจะรับหรือไร"

"ฝ่าบาท!" หน้าเวสเทียร์ขึ้นสีเรื่ออย่างรวดเร็ว เจ้าตัวอ้าปากพะงาบราวกับอยากโต้แย้ง

"เวลาจะตกรางวัลองครักษ์ เขาต้องให้อาวุธกันต่างหาก เหตุใดจึงคิดไม่ทันเสียได้" ราชาหัวเราะในลำคอ "ก็เพราะเจ้าไม่ตอบรับอะไรเลย เราจึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้มากความ ประเดี๋ยวราชาจะหน้าแตก แล้วเวลาต่อมาเจ้าก็ยังนอนกับเรา เราจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีเหมือนกัน"

เวสเทียร์หยุดคิดทบทวน และเขาก็ยอมรับว่าตนไม่เคยคิดเลยว่าเครื่องประดับชิ้นนี้จะมีความหมายแบบนั้น แต่ด้วยความยินดีที่ได้รับรางวัลจึงได้สวมใส่ติดกาย "แต่... แต่ว่า... นั่นก็ไม่ตรงคำถามกระหม่อมอยู่ดี" ร่างโปร่งบ่ายเบี่ยง "กระหม่อม..."

...จะให้ชมองครักษ์ระดับผู้นำเผ่าว่า 'น่ารัก' ก็คงฟังดูขนลุกไม่น้อย

แต่ไคราห์นไม่รู้ว่าควรจะใช้คำใดอธิบายความรู้สึกในตอนนี้

"นั่นคือ 'เมื่อไหร่' เวสเทียร์..." ร่างสูงพูดต่อด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย "ส่วน 'ตรงไหน' จะให้เราพูดดีหรือว่าทำอย่างอื่นดี" อันที่จริงเขาควรจะพูดเรื่อง 'นามธรรม' เสียก่อน แล้วจึงค่อยพูดเรื่อง 'รูปธรรม' จึงจะลงตัวที่สุด ทว่าในตอนนี้ราชาอยากจะมองข้ามความ 'นามธรรม' นั่นไปเสียเหลือเกิน

รู้สึก 'ผิดบาป' แบบมนุษย์อย่างไรก็ไม่รู้...

"เรายอมรับว่าไม่เคยมองเจ้าหรอกนะ... เพราะคิดว่าเจ้าก็เหมือนกับคนอื่นๆ" ความรู้สึกที่เวสเทียร์ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เขาต้องหันมองราชาอย่างไม่แน่ใจ "ไม่เคยคิดว่าจะมีใครรักหรือภักดีกับเราแบบที่เจ้า กระทั่งคำสัตย์ของเจ้า... เราเพียงแค่จำได้ แต่ไม่เคยเชื่อมั่นเลย เพราะมันเป็นเพียงหน้าที่..."

เวสเทียร์อาจจะน้อยใจกับความจริง ราชาหนุ่มจึงเอื้อมมือไปจับปอยผมทัดหูให้เพื่อจะมองเครื่องประดับชิ้นนั้นให้ชัดตาอีกสักครั้ง "หากครั้งแรกของเจ้า... คือการถอนสายตาจากเราไม่ได้ ครั้งแรกของเราก็คงเป็นสัมผัสที่ทำให้ลืมไม่ลง"

เขามองเวสเทียร์ครั้งแรกในวันนั้น... วันที่ทั้งคู่แตะต้องตัวกันเป็นครั้งแรก นำมาซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในวันนี้

"มันอบอุ่น อ่อนหวาน และทำให้เราสบายใจอย่างประหลาด ต่อให้ห้าปีหลังจากนั้นจะเป็นความหวานที่ดูจะขมอยู่สักหน่อยก็ตาม" เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและแนบหน้าผากเข้าหา "...เจ้าแค่เป็นคนที่เราจะเสียไปไม่ได้ เวสเทียร์"

คนฟังรู้สึกได้ว่าหน้าร้อนไปถึงหู จึงยอมหลับตาและอิงแอบด้วยแต่โดยดี

ฝ่าบาทหนอ... ฝ่าบาท

เวสเทียร์เงยหน้าขึ้น และเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากจูบคนตรงหน้า ราชาจูบตอบแผ่วเบา ก่อนกระซิบถาม "นี่รางวัลของเราหรือ"

คนฟังงับริมฝีปากหยอก ก่อนจะจูบซ้ำครั้งหนึ่ง "ใครจะกล้าตกรางวัลฝ่าบาทขอรับ"

"ถวายมาเถอะ..."

คนฟังสูดใจเข้า คลอเคลียริมฝีปากกับเขาอยู่อย่างนั้นสักพักราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนจะแนบริมฝีปากจูบ และเริ่มปลดกระดุมคอเสื้อของตัวเองออกด้วยมือเดียว

เหตุใดเวสเทียร์จึงถอดได้ แต่เขาทำไม่ได้เล่า!

เมื่อหายใจสะดวกขึ้น ร่างโปร่งก็กลับไปช่วยฝ่าบาท เขาแหวกสาบเสื้อออก เผยผิวกายขาวซีดทว่าแน่นไปด้วยมัดกล้าม ดึงเข็มขัดหนังออกอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่ละริมฝีปากจากไป ปล่อยให้มือหยาบหนาเคลื่อนขึ้นมาประคองพวงแก้มเย็นและบดเบียดจูบซ้ำไปมาอย่างมัวเมา

กางเกงผ้าเนื้อดีร่วงหล่นลงไปกองที่พื้น แต่ยังไม่ทันที่เวสเทียร์จะถอดเสื้อตนเอง ฝ่าบาทก็รั้งปลายนิ้วผ่านสาบเสื้อจนกระดุมทั้งแถวร่วงกระจาย ก่อนแนบมือสัมผัสกับแผ่นอกเย็นเยียบ

...เป็นคนใจร้อนจริงๆ เสียด้วย

กางเกงถอดง่ายกว่าเสื้อหลายเท่า พริบตา ร่างโปร่งก็ถูกดันลงกับฟูกเตียงนอน ตามด้วยกายสูงใหญ่ของราชาแห่งเซลทิค "เหตุใดเจ้าถึงได้ 'รู้งาน' นับแต่ครั้งแรกกัน" ไคราห์นหัวเราะในลำคอ เขาเท้าแขนลงเหนือร่างอีกฝ่าย เหลือบมองท่อนขาเรียวแข็งที่ขยับเปิดทางให้ด้วยหางตา

ราชาไม่ได้ตั้งการคำตอบ เขาบดจูบอีกครั้ง ใช้ลิ้นร้อนพัวพันดึงความสนใจ ระหว่างเคลื่อนมือลงไปสัมผัสเบื้องล่าง เวสเทียร์สะดุ้ง และเหมือนทุกครั้งที่พวกเขาทำเช่นนี้ อีกฝ่ายเพียงหายใจถี่รัว ทว่าไม่หลุดเสียงใดๆ ออกมา

ไคราห์นไม่เคยสนใจ 'เสียง' นั้น ทว่าเมื่อได้ยินสักครั้ง เขาก็นึกติดใจ

เขาเคลื่อนริมฝีปากไปจูบที่ปลายคาง วนกลับไปที่สันกราม และซอกคออุ่นร้อน ขณะที่มืออีกข้างกอบกุมกลางกายเอาไว้ เวสเทียร์รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจูบลงบนอก เขาสูดใจลึกขณะบิดกายรับสัมผัสหวามไหว รู้สึกได้ว่ามันเคลื่อนต่ำลงไปทุกที

"ฝ...ฝ่าบาท..."

องครักษ์หนุ่มสั่นสะท้าน เมื่อริมฝีปากร้อนครอบครองส่วนอ่อนไหว "อือ...!" เวสเทียร์แทบจะผุดขึ้นนั่ง แต่สัมผัสปลุกปั่นก็ผลักให้เขาแอ่นกายเหยียดอย่างสุขสม "ฝ่าบาท... อย่าทำแบบนั้น..." ยิ่งปราม คนถูกห้ามยิ่งดูดดึง ดื้อดัน กระหวัดปลายลิ้นร้อนให้ร่างรองหลุดเสียงคราง

ร่างโปร่งกดกลั้นอารมณ์จนปลายเล็บจิกอุ้งมือเป็นแผล เขาถอนใจเมื่อฝ่าบาทยอมล่าถอย และเผยอริมฝีปากรับจูบอันดุดันที่บดเบียดลงมารุนแรงราวกับลงโทษ "ดื้อจริง..."

เวสเทียร์ยอมให้ฝ่าบาทดุ ดีกว่าจะปลดปล่อยออกมาทั้งอย่างนี้

"หรือมันไม่สมใจเจ้าหรือไร"

"อา...!" ปลายนิ้วที่เปียกชุ่มด้วยน้ำลายกดแทรกเข้ามาในร่างโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว ช่องทางแน่นหดเกร็งด้วยตกใจ ทว่าพยายามผ่อนคลายอย่างรู้งาน มืออีกข้างของฝ่าบาทเอื้อมขึ้นมาคลายหมัดของคนตรงหน้า และประสานนิ้ววางเอาไว้เหนือหัว เวสเทียร์เสหน้าหนีขณะกัดฟันแน่น ขยับขาอ้าออกเพื่อผ่อนคลายตัวเองอีกสักนิดก็ยังดี

ปลายนิ้วลากผ่านและเน้นย้ำจุดกระสัน ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งสั่นด้วยความหวามไหว "ฝ่าบาท..." เวสเทียร์เสียงพร่า เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้ง แสดงถึงความไม่พอใจในตัวเขา

"ฝ่าบาท..." เวสเทียร์ทอดเสียง เผยอตาขึ้นมองร่างเบื้องบนที่จับจ้องเขาด้วยอารมณ์ปรารถนา

"เรียกชื่อเราบ้างสิ"

อา... ช่างยากเหลือเกิน

เวสเทียร์ส่ายหัว แล้วก็ต้องสะดุ้งเกร็งเมื่อนิ้วที่กดแทรกอยู่ภายในขยับงอขึ้นอย่างรู้จังหวะดี "อ...อา...!" องครักษ์หนุ่มเบิกตาโพลง เผลอบีบมือของฝ่าบาทที่กอบกุมประสานเอาไว้ "ฝ่าบาท.... กระหม่อม..."

"แค่เรียกชื่อเอง..."

น้ำเสียงนั่นสั่นพร่าไม่ต่างจากเขา แต่เวสเทียร์เชื่อว่าราชามีความอดทนมากพอ และหากเขายังดื้อดึงต่อไป อาจจะต้องพูดอะไรที่น่าอายกว่านี้ออกมาแน่นอน

"ค... ไคราห์น..."  ร่างโปร่งกัดริมฝีปากตนเอง "ได้โปรด..."

ปลายนิ้วอุ่นถูกถอดถอน และครู่เดียวหลังจากนั้น ร่างเบื้องบนก็กดกายของตนเข้าไปแทนที่ แม้เพียงแค่ส่วนปลาย ร่างรองรับก็เกือบจะถึงจุด "อะ...!" ดวงตาสีเข้มเบิกโพลง เขาคว้าท่อนแขนกำยำเอาไว้ ทว่ามือใหญ่กลับดึงรั้งขึ้นไปเหนือหัว ในจังหวะที่สะโพกแกร่งบดเบียดเข้ามาจนเกือบสุด

เวสเทียร์ได้รสเลือดจากริมฝีปาก เสียงหอบไม่เป็นจังหวะสะท้อนก้องไปทั่ว

ราชาหนุ่มกระซิบ "ถ้ารู้สึกดีก็ร้องออกมา เวสเทียร์"

"อื้อ!" เมื่อร่างสูงเริ่มขยับ เสียดสีร่างกายกับช่องทางทีละน้อย ในหัวของเวสเทียร์ก็แทบจะขาวโพลน ร่างสูงโปร่งสั่นคลอนไปตามจังหวะรุกราน ผสานกับเสียงหอบครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างสุดระงับ ฝ่าบาทยังจับมือทั้งสองของเขาเอาไว้ ขณะเร่งจังหวะให้โหมขึ้นด้วยไฟราคะ

"อ...อา!" เวสเทียร์หลับตา พยายามแยกขาของตนออกเพื่อตอบสนอง แต่ความแสบร้อนจากการเสียดสีก็บดขยี้ความปรารถนาอย่างรุนแรง เขาบีบมืออีกฝ่ายแน่น ขณะเกร็งร่างรัดส่วนสัดแข็งขืน เพื่อจะปลดปล่อยความปรารถนาออกมาเมื่ออารมณ์ถูกผลักดันไปจนถึงจุดสูงสุด

ของเหลวอุ่นร้อนเปรอะเปื้อนไปถึงเรือนกายสูงตระหง่าน ทว่าผู้รุกรานยังไม่สาแก่ใจ เขาละมือไปจับยึดเรียวขาเอาไว้และรุกล้ำเข้ามาอย่างไม่ขาดตอน

"อื้อ...!"

เวสเทียร์เอื้อมมือไปยึดราวเหล็กบนหัวเตียง ปรือตามองท่อนขาที่ถูกดันขึ้นมาจนเข่าแทบจะชิดอก เขารู้ดีว่าฝ่าบาทรุนแรง แต่ยิ่งที่เขาหลุดเสียยง อีกฝ่ายก็ยิ่งทวีน้ำหนักมือ ราวกับว่ามันยิ่งกระตุ้นความต้องการอันดุดันเหล่านั้นขึ้นมา

เมื่อราชาถึงที่สุดของอารมณ์ เวสเทียร์ก็แทบจะหมดสติด้วยความเหนื่อยอ่อน

แต่เป็นถึงองครักษ์ระดับนี้ จะให้เขาสลบตั้งแต่รอบแรกอย่างนั้นหรือ

ด้วยความเคยชิน ร่างโปร่งพยายามจะขยับถอน แต่ฝ่าบาทก็ยึดร่างของเขาเอาไว้พร้อมกับกดกายย้ำเข้ามาให้แน่ใจว่าพวกเขาจะยังไม่แยกจากกัน "ทำไมถึงได้ดื้อทุกเรื่องแบบนี้น่ะ" เสียงทุ้มแหบพร่าเอ็ดปนเสียงหอบ ก่อนจะก้มลงจูบปลอบที่ขมับชื้นเหงื่อ "อยู่แบบนี้สักพักนั่นล่ะ"

ไปตายอดตายอยากมาจากไหนกัน...

องครักษ์บ่นอยู่ในใจ เขาคุ้นเคยกับอีกฝ่ายดี แต่ก็มีไม่อยครั้งที่ราชาจะดุดันขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แต่จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทไคราห์นก็แทบจะไม่รุนแรงจนเกินควรเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายใช้พละกำลังทำให้มันเร่าร้อนยิ่งขึ้นมากกว่า

ทว่าครั้งนี้เขารู้ดีว่าตน 'ถูกแกล้ง' แล้วเหตุใดจึงกลายเป็นคนขี้แกล้งเช่นนี้ได้

เวสเทียร์ เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคอช้าๆ "กระหม่อมควรจะไปดูกาต้มน้ำ"

"ยังไม่เดือดหรอก เดี๋ยวเราจัดการเอง" เพียงแค่ได้ยินว่าราชาจะ 'ทำงานบ้าน' เวสเทียร์ก็อยากลุกออกไปให้รู้แล้วรู้รอด "ถ้าเจ้าดื้อนัก... ทำให้เดินไม่ได้เสียเลยดีไหม"

"ฝ่าบาท...." เวสเทียร์ปรามเสียงอ่อน แต่สิ่งที่รู้สึกต่อมาก็คือความแข็งแกร่งที่ยังฝังอยู่ในร่างที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป "ฝ่าบาท กระหม่อมจะต้องช่วยฝ่าบาทอาบน้ำ" หากอีกฝ่ายลงมือแบบนี้อีกสักครั้ง เวสเทียร์คิดว่าเขาคงจะลุกไม่ขึ้นไปสักพักใหญ่ๆ

ต่อให้ราชาทะเลเหนือจะเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ก็เถอะ!

"น้ำนั่น เจ้าจะเป็นคนอาบต่างหาก..." ราชาช้อนแขนแกร่งเข้าใต้เอวได้รูป และช้อนร่างโปร่งขึ้นมาโดยยังไม่แยกจากกัน "อีกสักรอบคงได้เวลาน้ำเดือดพอดี"

น้ำหนักตัวกดร่างโปร่งลงบนกายอีกฝ่าย เวสเทียร์ขบริมฝีปากตัวเองเมื่อการสอดแทรกเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ราชาหนุ่มแนบริมฝีปากจูบปลอบ ประคองสะโพกสอบไว้เหนือร่าง ขณะขยับขยายช่องทางให้พร้อมอีกครา "โทษฐานที่กัดปากตัวเองแบบนั้น" คนพูดจูบอ่อนหวาน และยิ้มบางอย่างพอใจเมื่อคนตรงหน้าครางชิดริมฝีปากตน "ถ้ารู้สึกดีก็ร้องออกมา..."

"อา...!"

แขนเรียวเกี่ยวกอดผู้รุกราน เวสเทียร์ไม่มีแรงพอจะยกร่างขยับได้อย่างเคย แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคเลยสักนิด "แค่แสดงออกอย่างที่เจ้ารู้สึกก็พอ เวสเทียร์" คนฟังกลืนน้ำลาย และหลับตาลงอย่างไม่อาจต่อต้าน

แต่ต่อให้เขาสามารถเลือก... เวสเทียร์ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีวันปฏิเสธฝ่าบาทไคราห์น

--------------------------------------------------


คิดว่าหมดแล้วมั้ง ตอนพิเศษ (รวมเล่มชักจะหนา 370 หน้าแล้วเนี่ย ฮาาา)

โอย เหนื่อยยย ฉากเรทแบบเรทจังๆ นี่มัน... ดูดพลังงานยิ่งนัก... 55555555

จริงๆ พาร์ทหลังนี้มีชอตน่ารักหลายชอตมากกกก

จนแบบ... นี่มันจะฟิลรวนไปรึเปล่า ทั้งหวาน ทั้งหื่น---

ฝ่าบาทก็มีมุมตลก ตอนอยากจะขย้ำเขาให้เขารู้แล้วรู้รอดเพราะเขาน่ารัก แต่ก็ต้องอดเอาไว้เพราะเขาน่ารักเกินไปปป ไหนจะความหลอก(?)ใช้หน้าด้านๆ ให้เขาไปต้มน้ำให้ตัวเองอาบ แต่จริงๆ คือจะเอาไว้อาบเขานั่นแหละ (ทำไมการต้มน้ำมันยาวนานนัก หรืออิพวกนี้มันทำเร็ว---)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2017 08:24:07 โดย khaosap »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด