วันควายๆของคุณชายโย 3
กว่าจะกลับมาถึงค่ายในวันต่อไปได้ก็บ่ายกว่าๆเพราะเมื่อวานกว่าจะรอให้เล็กหลับได้ก็ปาไปเกือบเช้า มันเล่นร้องไห้สะอื้นอยู่ในผ้าห่มจนผมต้องเข้าไปปลอบ ปลอบจนน้องหลับฟ้าก็เกือบจะสว่าง เลยได้นอนไปแค่สามสี่ชั่วโมงบนโซฟาแคบๆ พอรถของโรงพยาบาลสัตว์มาส่งมิคาเอล คุณลุงก็รีบเข้ามามาถามไถ่ถึงอาการไม่หยุด เป็นห่วงไม่แพ้กับคนลูก พอเคลื่อนย้ายอะไรเสร็จมิคาเอลก็ดูจะแฮปปี้มากๆที่ได้กลับบ้านซึ่งนั่นยิ่งทำให้เล็กแฮปปี้ขึ้นพอกัน ปล่อยให้เล่นกันอยู่ซักพักก็ปล่อยให้มิคาเอลพักผ่อน ผมเลยพาเล็กกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเผื่อวันนี้พวกวิศวะที่บ้านจะมีคิวไปเที่ยวไหนด้วย
เข้าบ้านไปสิ่งแรกที่เข้าไปเจอคือไอ้อู้อ้าปากกินขนมปังอยู่แบบงงๆ หน้าตามันนี่ล่กขึ้นมาทันที เหมือนคันปากอยากจะถามแต่ก็สงวนท่าทีไว้ หางกระดิกตีพื้นป้าปๆขนาดนั้น มองมาจากกรุงเทพยังรู้เลยว่าอยากรู้ใจจะขาดอยู่แล้ว เผลอๆเดี๋ยวซักพักมันก็ไปจับกลุ่มกับเพื่อนมันวิเคาะห์อะไรไร้สาระอีกแน่ๆ
ส่วนเล็กก็เงียบลงทันทีที่เข้ามาในบ้าน มือมันจะเขี่ยๆมือตัวเองเล่น ตาก็จะเริ่มมองพื้นไปเรื่อย หลีกเลี่ยงการสนทนาสุดๆ ไอ้ที่เห็นแปลกตาน่าจะเป็นติดผมแจ เดินไปไหนก็เดินตาม นั่งไหนก็นั่งตาม แถมยังสะดุ้งทุกครั้งที่คนเรียกผมอีกต่างหาก กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเคลื่อนขบวนกันได้ก็ล่อซะพระอาทิตย์เกือบตกดิน
“เห้ยเล็ก กูเติ้ลนะ เรียกเติ้ลไม่ถนัด เรียกนายนภัทรก็ได้”
“ส่วนกูพี่แป๊ะ เรียกแป๊ะไม่ถนัด เรียกโกงอยู่ก็ได้”
“โกงอยู่นี่อะไรวะพี่”
“โหยไอ้เติ้ล มึงนี่นอกบ้าน”
“บ้านนอก!!”
“หลังคาบ้านมึงนี่กระเบื้องหรือกะลา โกงอยู่นี่ดังเลยมึงดังเลย เล่นหนังเรื่องเทรนทูปูดำขยำปูนาอะไรซักอย่าง คนนี่ยกนิ้วให้เลย”
“ยกนิ้วโป้งหรอ?”
“นิ้วกลาง!! สงสัยคนเกาหลีไม่ชอบปูดำ”
“เงี้ยพี่ คนแพ้อาหารทะเลเยอะ”
อีกหนึ่งในความผิดพลาดในชีวิตคือมีพวกแม่งมาอยู่ในรถเนี่ยแหล่ะ....
“ฮ่าๆ ตลกอ้ะ”
เอ้า... เสือกขำ
“เห้ย นี่ขำจริงหรอ!” ผมหันไปถามเล็ก ซึ่งมันก็หัวเราะจนน้ำตาคลอ มองกระจกหลังไปนี่เห็นหน้าไอ้สองตลกปริ่มกันเหมือนได้เกรดเอ
“เข้พี่แป๊ะ มีคนขำมุกเราว่ะพี่”
“ไอ้เชี่ย กูไม่ไหวแล้วเติ้ล กูต้องโทรบอกแม่แล้วอ่ะ ฮือๆ ทำไงดี ประทับใจมาก” เล่นใหญ่กันไปอีก ไอ้คนหัวเราะก็ยังหัวเราะไม่หยุด ไม่ยักรู้ว่าเส้นตื้น
“ขำตามมารยาทรึเปล่าไอ้เล็ก” ไอ้เติ้ลชะโงกหน้ามาถาม
“หื้อ เปล่านะ ตลกจริงๆ มุกดูไม่น่ากล้าเล่นได้เลยอ่ะ”
“เอ่า ชิบหาย เหมือนโดนหลอกด่า”
“ไม่ๆ เราไม่ได้ด่านะ มันแบบ มันตลกจริงๆ เอ่อ จะ จะ จริงๆ” ล่กเลยครับทีนี้ สงสัยคิดมากกลัวไอ้เติ้ลโกรธ มันรีบเขย่าแขนผมเหมือนขอความช่วยเหลือทันที น้ำตาคลอจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ
“มุกพวกมึงก็ไม่น่าจะกล้าเล่นได้ซักมุกอ่ะ”
“ไอ้โยนี่ใจร้ายใส้ระนาด”
“แฮ่!!”
“ระยอง!!”
“แฮ่!!”
“ระนอง!!”
“แฮ่”
“ระ-“
“อีกระนึงก็ตีนกูเนี่ยแหล่ะ เลิกเล่น ลงไปซื้อไก่ให้กู” ผมโยนกระเป๋าเงินใส่ไอ้แฝดตลก ไอ้แป๊ะบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็ยอมลงไปซื้อไก่ให้แต่โดยดี มีพวกมันนี่อย่าได้หวังรถเงียบเลย รำคาญยาวไปจนถึงแหล่ะกว่าจะเลิกคึก
“ฮือออ พี่ ผมขำอ่ะ ปวดท้องเลยเนี่ย”
“เส้นตื้นจังวะเรา” ผมขยี้หัวมัน ยิ้มเก่งเชียวแบบนี้ แก้มบุ๋มเลย
“พี่คงเส้นสูงมากอ่ะ ไม่ขำเลยอ่อ”
“ไม่ใช่ว่าเส้นสูง อ่า หมายถึงเส้นลึกสินะ เออ ไม่ได้เส้นสูงหรอก แต่มุกมันไม่ตลก”
“ตลกดิ ขำจะตาย”
“ขำตรงไหนวะ”
“แฮ่ตรงแฮ่ แบบ แฮ่!!” เออ แฮ่ให้ดูอีก แฮ่เองขำเอง เอ็นดูไม่ไหวจนต้องขยี้หัวไปอีกรอบ มัวแต่มองน้องเพลิน พอมองเลยกระจกออกไปอีกทีก็เจอไอ้แป๊ะยิ้มเลวแซวอยู่ริมหน้าต่าง ไอ้นี่มันกวนส้นตีนจริงๆ เห็นแล้วอยากต่อยตาให้หายตี่ซักสามสี่ที
“โอ๊ย ไก่ร้านนี้มันจะอร่อยหรอวะเติ้ล”
“ทำไมวะพี่”
“ไก่มันดูกินหญ้าอ่อนมากเลยอ่ะ” มาละ มันมาละ ผมด่ามันด้วยสายตาผ่านกระจกมองหลังทันที เดี๋ยวเถอะมึง ไอ้หน้าตี๋
“โห ใช่อ่อพี่!!” ไอ้นี่ก็ตบได้ตบดี ไอ้น้องเวร
“แบบกินแล้วสำลัก คุกๆๆๆๆเลยอ่ะ”
“โห ขนาดนั้น!!”
“เจ้านี้อร่อยนะครับพี่ จริงๆมีขายในเมืองอีกหลายสาขาเลย อ่อ ไก่ไม่กินหญ้าอ่อนนะครับ” ความเล็กครับ น้องมันรีบหันไปแก้ตัวให้ร้านไก่ประจำจังหวัดทันทีสงสัยกลัวเสียชื่อ เลยได้รับสายตาเอ็นดูไปจากไอ้แป๊ะไอ้หนึ่งที
“โถลูกพ่อ หนูโตมายังไงลูก”
“ห๊ะ? ครับ?”
“เติบโตมาอย่างใสซื่อแต่ครอบครองหัวใจของเสี่ยใจง่ายเข้าให้ซะแล้ว”
ไอ้แป๊ะ!!!
น้องยังหันหน้าไปอยู่ ผมเลยชูนิ้วกลางใส่มันไปทันที
“เล็ก บอกทางพี่” ผมรีบจับหัวเล็กหันกลับมาทันที น้องมันก็งงๆ บอกทางแบบงงๆ ชี้นู้นชี้นี่ไปไม่ได้เอะใจอะไรมาก ส่วนไอ้สองตัวด้านหลังก็คิกคักกันทันที กว่าจะถึงได้กลายเป็นผมแทนที่ต้องอึดอัดแทนเล็ก รีบเนรเทศพวกมันออกจากรถทันที แม่งเอ๊ย
พอมาถึงก็พบว่าทุกคนมาถึงก่อนหมดแล้ว คนเริ่มเยอะ เล็กก็เริ่มกลัวครับ น้องเริ่มเดินเบียดผมอีกรอบ ตาก็เริ่มล่องแล่กขวาทีซ้ายที
“เล็ก ช่วยพี่ถือไก่หน่อย”
“อื้อ” น้องรับไปถือแต่โดยดี
“เอาไปนั่งกินกับปันกับอู้ไป” ผมพะเยิดหน้าไปทางปันกับอู้ที่นั่งเอาเท้าเตะน้ำกันอยู่
“ไม่เอา นั่งด้วยดิ”
“เล็ก”
“ไม่เอาพี่ ไม่ชอบ ไม่เอา”
“เดี๋ยวนั่งอยู่ใกล้ๆ เอาไปชวนเพื่อนกินไป” มันเบะปากทำท่าจะร้องไห้ปลอมๆผมเลยเขกหัวมันไปหนึ่งที ไอ้พวกปีหนึ่งก็กำลังจับไอ้อู้โยนน้ำ น้องเทคผมมันก็ตัวเล็กขี้โวยวายง่ายต่อการจับโยนจริงๆ แกล้งกันไปอยู่แบบนั้น ผมเลยผลักน้องไปนั่งแถวปัน แอบภาวนาให้ปันมันยอมสื่อสารภาษาคนกับเล็กเหมือนกัน
นั่งกินไก่กันสองคนไปซักพักอู้ก็ขึ้นจากน้ำมาคุยด้วยครับ ซักพักก็คุยใหญ่เชียว เห็นแบบนี้ค่อยโล่งใจ คุยต่อไม่เท่าไหร่ ชวนกันเล่นน้ำอีก นี่เลยแอบส่งสายตาปรามไอ้แป๊ะไปก่อนเลยทีนึง เดี๋ยวเล่นอะไรแผลงๆอีก
“น้องคนนั้นชื่ออะไรนะ” เสียงเหม็นๆดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม แค่เสียงยังเหม็นเลยครับคิดดู
“เสือก”
“ไอ้เหี้ยโย”
“เหี้ยไรไอ้หมอ” ไม่มองก็เกือบคิดว่าเป็นกองขยะที่นักท่องเที่ยวมาทิ้งไว้ครับ เห็นแล้วรำคาญลูกตาดำเหลือเกิน
“พวกมึงนี่ก็เหมือนหมาดีเนาะ” ไอ้ภูมิหัวเราะขึ้นมากลางวง
หมดอารมณ์จะคุย ผมยกมือถือมาไถเล่นพรางส่องพวกที่เล่นน้ำอยู่ไปด้วย กลัวจะเกิดอันตรายอะไรกัน แต่ละคนดูไม่ค่อยมีสติกันซักเท่าไหร่ เห็นไอ้แป๊ะจับอู้ทุ่มอยู่สามสี่รอบครับ น้องก็โวยวายลั่นน้ำตก เล่นกันจนตัวเปื่อยซักพักอู้ก็ว่ายท่าลูกหมาตกน้ำมาขึ้นฝั่ง แค่เห็นอู้ว่ายกลับ ไอ้หมอมันก็ลุกขึ้นรอแล้วครับ
“พี่หมอ แกะกระเป๋าผมเอาผ้าเช็ดตัวให้หน่อยสิ”
“เดี๋ยวกูพาไป ตรงนั้นคนเมาเยอะ” ผมมองตามไอ้หมอไปก็เจอกลุ่มวัยรุ่นนั่งกินเหล้ากันเสียงดังดูอันตรายจริงครับ ไอ้หมอถึงได้เดินติดระยะประชิดขนาดนั้น ผมได้แต่ถอนหายใจ มีไอ้หมอไปด้วยก็หมดห่วง ขืนเดินไปคนเดียวกลัวมันจะโดนฟาดกระดูกหักเสียก่อน
ต่อจากนั้นแค่ประมาณสิบนาที เล็กก็ว่ายกลับฝั่งมาเหมือนกัน ผมเลยเปิดกระเป๋ามันหยิบผ้าเช็ดตัวออกมารอไว้ให้ ไอ้ภูมิดึงกับหันมามองพร้อมกับยกคิ้วสงสัยใส่
“ห้องอาบน้ำอยู่ตรงไหนนะพี่” มันกอดตัวเองเหมือนหนาว ผมเลยรีบลุกขึ้นยืน
“ไป เดี๋ยวพาไป”
“ครับ” ผมปล่อยให้น้องเดินนำแล้วตัวเองเดินตาม ไม่ลืมส่งสายตาใส่รอบข้างที่แซวน้องไปด้วยทีนึง มันขาวครับ ขาวซีดๆเลย แขนที่โผล่ต่อจากเสื้อสีดำมันออกมาเนี่ย ตัดกับสีเสื้อได้เป็นอย่างดี ล่อสายตาคนรอบข้างเสียเหลือเกิน พอเดินไปจะถึงก็ตรงจังหวะกับที่อู้ออกมาจากห้องอาบน้ำพอดี
“เชี่ย มึงโคตรขาวเลยว่ะเล็ก”
“นายก็ไม่ได้ดำนะอู้”
“แต่มึงขาวไปอ่ะ” อู้เดินมาบีบๆแขนเล็ก
“เอ้อ คืนนี้วัดแถวบ้านมีงาน พ่อเราบอกว่าให้ชวนไป คนอื่นตกลงแล้วแต่นายอาบน้ำอยู่”
อ่า....
หมาตรงนี้แหล่ะครับ ไม่ได้โดนชวน...
“เอาดิ น่าสนุกออก”
“เราสนิทกับเจ้าของชิงช้าสวรรค์ด้วยนะ”
“เห้ยดี โกงค่าเข้าได้ไหมวะ”
“ไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวไม่สบาย” ผมดันหลังเล็กไปนิดนึง ไม่ได้หงุดหงิดที่น้องมันคุยเพลินอะไรหรอก
แต่หงุดหงิดที่ไม่ได้ถูกชวนไปงานวัด!!!
โคตรไร้สาระเลย!!
“อย่าดันดิพี่” เล็กหันมาค้อนผม สงสัยจะติดใจไอ้อู้เข้าให้แล้ว ผมส่ายหัวแล้วดันหลังมันต่อ พอเข้าห้องน้ำไปได้ผมก็ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ รอจนน้องอาบน้ำเสร็จเลยเดินไปรอหน้าห้องน้ำก่อน ยอมรับครับ หงุดหงิดจริงๆว่ะ
“อารมณ์เสียหรอ” แรงสะกิดที่แขนยิกๆจนต้องหันไปมอง
“ไม่เห็นรู้ว่าจะไปงานวัด”
“อ้อ จะไปงานวัดนะ”
“บอกคนอื่นครบแล้วลืมบอกกู..พี่ เนี่ยนะ” แอบหลุดครับ อยู่กับพวกวิศวะไม่ค่อยได้พูดคำว่าพี่เท่าไหร่ เล็กมันงงไปนิดนึง
“ก็บอกแล้วตอนนี้นี่ไง”
“ไหนบอกว่าบอกคนอื่นครบแล้วไง”
“พี่เป็นคนอื่นที่ไหนอ่ะ”“...”
“เป็นเพื่อนผมต่างหาก”อ่า....
ไอ้หมอ!!
ลืมถาม!!
ตกลงมึงรับมือกับเด็กปีหนึ่งได้ยังไงวะ!!!
.
.
.
ต่อจากน้ำตกก็เป็นงานวัดที่เพิ่งโดนเพื่อนเล็กชวนมาครับ เป็นสถานที่ที่ถ้าผมไม่ติดวิศวะมหาลัยนี้คงไม่น่าได้มาเดิน ฝุ่นเยอะฟุ้งไปหมด ปัดจนเลิกปัก ไดแต่ภาวนาให้ปอดตัวเองไม่ดำไปเสียก่อน คนเยอะแบบนี้ก็ตามเดิมครับ โดนตัวเล็กๆมาเดินเบียดอยู่นั่นแหล่ะ ตัวมันไม่ได้เล็กแบบอู้ สมส่วนผู้ชายปกติครับ แต่ขาวมากจริงๆ ขาวซีดเหมือนไม่มีเลือด
“พี่อยากกินไรป่ะ”
“อะไรก็ได้” เล็กเงียบไป ซักพักก็เดินตามอู้ตามปันไปกินร้านนั้นร้านนู้น เห็นมันหัวเราะพูดคุยกับคนอื่นเป็นปกติก็รู้สึกดีครับ
“แหม เพื่อนผมวันนี้หน้าตาดูดีนะครับ” ไม่ดีก็ตรงไอ้เด็กเยาวราชน่ารำคาญแถวนี้เนี่ย
“เสือก” ผมด่าไอ้หน้าตี๋ไปทีนึงข้อหากวนตีน
“หน้าตาเหมือนเลี้ยงต้อย”
“ไอ้แป๊ะ”
“อิอิจ้าห้าห้าบวก ล้อนิดล้อหน่อยมาทำเป็นหงุดหงิด มีเด็กแล้วทิ้งเค้าเลยน้า งุ้ยๆ” สมกับตำแหน่งส้นตีนแห่งวิศวะ ใครอยู่ด้วยก็อยากกระทืบมันทั้งนั้น
“ไปไกลๆกูเลยไป”
“ล้อหน่อยเว่ย ไอ้ห่าตกใจ เพื่อนกูอกหักไม่กี่วันไมไวไฟจังวะ” อย่าว่าแต่แป๊ะสงสัยเลย ผมก็สงสัย แอบถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไม
หรือมันคือความสงสาร...
ก็คงใช่ แว่บแรกสำหรับผมมันเป็นเด็กน่าสงสาร สัญชาติญาณความเป็นพี่ก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมันยิ่งขึ้น ถ้าการเริ่มต้นด้วยความสงสารมันไม่ได้ดูผิดอะไร ผมก็ยอมรับว่าเริ่มต้นด้วยความสงสารจริงๆ
ไม่ว่าจะจะเริ่มต้นด้วยอะไรแล้วก็ตาม
แต่... ตอนนี้ผมโคตรอยากดูแลมันเลย “พี่โย ชิมนี่ดิ” เล็กวิ่งดุ๊กๆเข้ามาหาผม ตาเป็นประกายวิบวับอีกแล้ว
“อะไรหน่ะ ไม่น่ากินเลย” มันเป็นไอติมสีดำๆครับ
“ปันบอกว่าไอติมชาเขียว” ชาเขียวเข้มหรือไงถึงได้ดำขนาดนี้
“ปันมันมั่วไปเชื่อมัน”
“อร่อยนะ ผมกินแล้ว” ว่าแล้วช้อนก็มาจ่อถึงหน้า ผมเลยอ้าปากชิมไป ก็หวานๆแปลกๆลิ้นดี มองผ่านช้อนไปเห็นหน้าตาคนตั้งใจป้อนก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“อร่อยไหมหล่ะครับเสี่ย รสชาติของบาป”
“กินไอติมมันก็จะต้องคุกๆหน่อยอ่ะพี่ แบบคุกๆๆๆอ่ะพี่แป๊ะ”
“เสี่ยว่าอร่อยไหมครับ ถ้าอร่อยรีบแดก ไม่งั้นข้าวแดงกับโอเลี้ยงเสี่ยจะเบื่อ”
ไอ้พวกเวรนี่ หันไปด่าแม่งซักทีดีไหม
“มึงคลุกอะไรวะเติ้ล ไอติมมันไม่มีทอปปิ้ง”
“มึงไม่เกทหรอปัน”
“อะไรวะ กูงง”
ปล่อยให้พวกมันงงกันต่อไป อยู่นานชักเริ่มรู้สึกบาปขึ้นมาจริง ผมรีบคว้ามือเล็กแล้วลากออกมาทันที ซึ่งเจ้าของมือก็ไม่ได้สนใจอะไร มองซ้ายมองขวาไล่ดูร้านของกินไปเรื่อย ผมก็แวะบางร้านที่มันมองนานหน่อย ก็จะทำเนียนเป็นซื้อมาชิมก่อนจะก็แกล้งไม่ชอบแล้วส่งต่อให้มันกินแทน เห็นเคี้ยวแก้มตุ้ยๆก็อดเอ็นดูไม่ได้
สาวๆเหลียวหลังมองมันพอๆกับที่ผู้ชายหลายคนมอง ผมเป็นคนขี้หึงและขี้หวง แต่ถ้าในกรณีที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันก็แสดงออกไม่ได้ เลยได้แต่ทำเป็นเดินชิดมากขึ้นแค่นั้นไม่ได้แสดงอาการหรือสีหน้าอะไรออกไป ถัดจากโซนของกินมาก็เป็นโซนซุ้มเกมต่างๆคนที่เบียดแน่นกันน่าดู
“พี่โย ปาโป่งกัน”
“เอาสิ”
ผมยิ้มแล้วจ่ายเงินค่าลูกดอกเผื่อทั้งของผมและของมัน ได้มาเจ็ดลูก ปาไม่แตกซักลูก ไม่รู้ว่าลูกโป่งยางมะตอยหรืออะไร มีใครเคยบอกไหมครับว่าผมเนี่ยจัดอยู่ในจำพวกอะไรที่จีบสาวได้ดีเนี่ยจะห่วยทั้งหมด เช่นการร้องเพลงเล่นกีตาร์ เล่นเกมก็มักจะแพ้ กีฬาก็ไม่ค่อยถนัด ไอ้แป๊ะมักบอกว่าผมควรอยู่นิ่งๆแล้วสะบัดบัตรเครดิตหล่อๆรวยๆไปวันๆก็พอ
จังหวะนั้นเองพี่ประจำซุ้มก็ขยิบตายิบๆให้ผม อะไรวะ ฝุ่นเข้าตาฉันไม่ได้ร้องไห้? พอเห็นผมหน้างง พี่เขาก็รีบชูแบงค์ร้อยในมือขึ้นมาสามใบทันทีก่อนจะชี้ไปที่รางวัลใหญ่ที่ห้อยอยู่มีหลายแบบให้เลือก โอโหพี่ ติดสินบนกันมันตั้งแต่ซุ้มปาโป่ง
ทำแบบนี้นี่มันโคตรดูถูก!!
“ฮืออ ผมอยากได้ตุ๊กตาควายตัวนั้นเลยอ่ะ” ดูถูกแล้ว!!
มาเอาเงินไปเลย!!
ปลิวไปสามร้อยพร้อมกับรอยยิ้มคนข้างๆที่กอดควายตัวเบ้อเร่อในอ้อมกอดที่ตัวเองเข้าใจว่าผมปาได้ไม่ถึงแต่เจ้าของร้านใจดีให้เฉยๆ เดินวนอยู่ซักพักใหญ่ๆมาเจอเดอะแก็งกำลังยืนรวมกันอยู่กลางลาน เล็กนี่รีบวิ่งเข้าไปอวดควายใหญ่ ส่วนแป๊ะก็มองมาที่ผมอย่างรู้ทัน ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหมนะครับ แต่ไอ้แป๊ะกับผมเนี่ย มันเหมือนมีเวรมีกรรมต่อกันให้ต้องรู้ทันกันอยู่ทุกเรื่อง
“ถ้าพี่บีสั่งช่าให้ดำน้ำช่าก็จะถามว่าลึกแค่ไหน”
“อะไรของมึง”
“ถ้าพี่บีติดสินบนเด็กปาโป่ง ช่าก็จะถามว่าเท่าไหร่”
“สามร้อย”
“กูว่าแล้ว”
พี่บีจำแลงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไหงบีน้ำทิพย์มาโผล่งานวัดบ้านนาได้วะ แล้วช่าอะไรของมัน อยากจะยันตกคลองแถวนี้จริงๆ ที่ที่เรายืนรออยู่ตรงซุ้มรถบั๊มพ์ครับ เพลงก็เปิดดังเหลือเกินจนไอ้เติ้ลไอ้แป๊ะทนไม่ไหวต้องขยับเท้าออกสเตปกัน ซึ่งท่าก็คลับคล้ายครับคลาเหมือนเคยเห็นตอนปิดประตูทับหางจิ้งจก จับไปยืนกลางซุ้มน่าจะโดนเด็กรุมขับชน เล็กนี่ก็ขำหน้าดำหน้าแดงตบมือไปกับเขาอีกต่างหาก ทำไมวันนี้มันยิ้มเก่งจังนะ
เห้อ ยอมรับแบบเสี่ยวๆเลยว่ามันดีกับใจ
“พี่ไม่ออกไปเต้นหรอ”
“ไม่หล่ะ”
“อยากเห็นพี่เต้นอ่ะ”
เออ ก็เต้นอยู่ แรงด้วย
หัวใจเนี่ย!!
กว่าที่จะรวมตัวกันกลับก็เล่นเอาผมใจสะดุดรอยบุ๋มที่แก้มนั้นอยู่สิบกว่ารอบ ขากลับคราวนี้ไอ้เติ้ลไอ้แป๊ะหลับเป็นตายครับ ออกสเตปแดนซ์กันจนหมดแรง แต่นั่นก็ถือเป็นสิ่งดีๆนะครับ เพราะตอนนี้รถสงบมาก มีแต่คนข้างๆที่กอดตุ๊กตาควายแน่น พยายามถ่างตาอยู่เป็นเพื่อนผม
“ง่วงก็นอนไปเถอะ”
“ฮื่อ ไม่ได้ง่วง”
...หรอ ตาจะปิดอยู่แล้ว
“นอนไปเถอะ เดี๋ยวถึงแล้วปลุก”
“ไม่เอา อยู่เป็นเพื่อน ทางมันมืด”
“แต่ถ้าง่วงก็หลับได้นะ”
“ไม่เอา จะอยู่เป็นเพื่อน” ยังคงดื้อ
“ดื้อจังนะ” ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวเล็ก แต่ตายังคงจับจ้องไปตามถนน
“เพื่อนพี่คุยกันว่าพรุ่งนี้จะกลับมหาลัยกันแล้ว...”
อ่า... จริงด้วย อาจจะเพราะพวกเราเกรงใจคุณลุงคุณป้าครับ เล่นมาอยู่อาศัยเป็นเกสท์เฮาส์กันเชียว งานของค่ายก็เสร็จแล้วเลยตัดสินใจที่จะกลับมหาลัยกันเลยพรุ่งนี้ ผมได้แต่รู้สึกโหวงขึ้นมาในอก
“อื้อ งั้นก็คง... เจอกัน... ตอนเปิดเทอม? “
“...” เล็กกอดตุ๊กตาควายแน่นพร้อมกับหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง
“อยู่หอเดียวกัน หากันไม่ยากหรอก”
“อื้อ”
“ไว้พาไปกินข้าว”
“อื้อ”
“อื้ออะไร” ผมหัวเราะกับท่าทีเด็กๆของมัน
“ไม่อยากให้ไปเลยอ่ะ”
“...”
โอ้โห...
รถเป๋จนโดนไอ้หมอบีบแตรด่ามาหนึ่งที
ผมได้แต่ขับไปแบบตกใจตาโต เมื่อกี้เหมือนใจหยุดเต้นไปสามวิถ้วน เสียงอ้อนนิดหน่อยถึงกับกุมพวงมาลัยไม่อยู่ หนักแล้วโยเอ๊ย หนักแล้วจริงๆ
“ผมก็รู้ว่ายังไงเปิดเทอมก็ได้เจอพี่แหล่ะ”
“...”
“แต่ตอนนี้ก็อยากให้พี่อยู่ด้วยเหมือนกันอ่ะ”
ปี๊น!!
เสียงแตรลั่นดังมาจากด้านหลัง ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก เหมือนไอ้หมอจะหงุดหงิดที่ผมผ่อนคันเร่ง มันเลยขับรถแซงไปก่อน ตอนขับผ่านไม่ลืมลดกระจกตะโกนด่าอะไรซักอย่างอีกด้วยแต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ไปทะเลาะกลับแล้วครับ สติได้แต่โฟกัสอยู่กับคำพูดคำจาอ้อนๆที่ดังมาจากข้างๆโดยที่คนพูดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าใช้โทนเสียงแบบไหนพูดอยู่
“ยะ ยะ อยู่ทำไมหล่ะ ก็กลับไปอยู่กับมิคาเอลไง”
“อยู่กับมิก็ชอบ”“...”
“อยู่กับพี่ก็ชอบ” บึ้มมมมมมมมมมมมมมม!!!
อยากจอดรถแล้วลงไปตะโกนว่าแม่งเอ๊ยดังๆซักทีนึง แต่ติดที่มันดึกแล้ว ผมได้แต่กระพริบตาถี่ๆเรียกสติตัวเองกลับมา หลังเจอหมัดฮุคไปเต็มๆสามหมัด หูอื้อเลย มีใครบอกไหมครับว่าผมเนี่ยโคตรแพ้ทางการโดนอ้อนเลย
“…” พูดอะไรไม่ออกครับ ได้แต่กลืนน้ำลายหนืดลงคอ
“แต่เดี๋ยวค่อยเจอที่มอก็ได้แหล่ะ อยู่อีกตั้งหลายปี”
“ไหม”
“อะไรนะพี่?”
“แล้วอยากให้อยู่ไหม”“...”
“ถ้าอยากให้อยู่ก็จะอยู่” ผมพูดออกไปทั้งๆที่มองท้ายรถไอ้หมออยู่ ใจนี่เต้นแรงจนเกือบจะหลุดออกมาด้านนอก รอคำตอบไม่ถึงสิบวิ เสียงใสก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“อยากครับ!!”
เห้อ...
แพ้ทางไปหมดทุกทางแล้วจริงๆ
“อื้อ คุก” ไม่ทันได้เขินเต็มที่เสียงเหมือนละเมอจากด้านหลังดังมาหลอกหลอนเสียก่อน เกือบลืมไปแล้วว่ามีพวกมันนั่งอยู่ในรถ
พรากผู้เยาว์อะไรวะ!! น้องมันอายุเกิน 18 มาแล้วโว้ย!!
แค่หน้าตามันจิ้มลิ้มเฉยๆ แม่งล้อจนรู้สึกบาปจริงแล้วเนี่ย ไอ้พวกเวร นอนหลับยังจะกวนตีนได้ ไม่คุกอะไรทั้งนั้น นี่อยู่ด้วยใจกึ่งบริสุทธิ์จริงๆ ก็.. ก็แค่อยู่เป็นเพื่อนรุ่นน้องตอนปิดเทอมเฉยๆ
จริงๆนะ!!
จริงๆ!!!
หลังจากนั้นสองอาทิตย์คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมใช้เวลากับการปิดเทอมไปกับอะไร ที่แน่ๆตอนนี้เริ่มสื่อสารภาษาควายได้แล้วนิดหน่อยแถมได้สกิลการทำนาเพิ่มมาอีก เหนื่อยก็เหนื่อยครับ ร้อนมากๆด้วย แต่พอหันมาเห็นแก้มบุ๋มๆใต้หมวกฟางใบใหญ่ๆที่เดินข้างๆแล้วก็
...ก็แพ้ทางจริงๆนั่นแหล่ะครับ
--
จบพาร์ทวันควายๆแล้วค่า
: )