บทที่ 5
กำหนดเดินทางที่ได้มาถึงอีกสองวันต่อมา ฉงเมารับหน้าที่จัดเตรียมม้าและเสบียงสำหรับการเดินทาง ส่วนจู๋จื่อต้องดูแลสินค้าที่สำนักคุ้มภัย จึงมิได้มาส่ง
“พี่เยี่ย เสบียงและตั๋วแลกเงินอยู่ในห่อผ้านี้แล้ว ส่วนม้าข้าก็จัดการหาพันธุ์พ่วงพีรับน้ำหนักได้มากตามที่พี่ต้องการ”
“ขอบใจเจ้ามากฉงเมา ข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ประคองไท่หยางขึ้นบนหลังม้า ท่าทางดูแลเอาใจใส่จนฉงเมาถึงกับเอ่ยปาก
“มิคล้ายพวกท่านจะไปสืบเสาะหาตำราอันใดไม่ คล้ายกับการออกเดินทางท่องเที่ยวหลังสมรสก็มิปาน”
เยี่ยไม่เพียงไม่โกรธ หากกระตุกยิ้มรับต่อถ้อยคำด้วยความยินดี ไท่หยางได้แต่เสมองตรวจดูห่อเสบียงไปมา ใบหน้าขึ้นสีแดงลามไปจนถึงใบหู หากจู่ๆ ก็หน้าซีดชะงักงัน
“เยี่ย...นี่มัน”
“อ้อ พี่ยี่ยให้ข้าจัดหาน้ำผึ้งอย่างดีให้ด้วย ข้าเห็นที่ร้านมีเพียง 7 ไห จึงเหมามาทั้งหมด”
เยี่ยตบไหล่ฉงเมา พลางหันไปมองไท่หยาง นัยน์ตาพราวระยับ กล่าวโดยไม่หันไปมองหน้าฉงเมาแม้แต่น้อย
“ขอบใจมากฉงเมา แล้วข้าจะ “ตกรางวัลให้เจ้า” อย่างงาม”
ไม่ว่าใครก็ฟังความนัยนั้นออก ฉงเมาได้แต่ส่งยิ้มปลอบใจไท่หยางพร้อมกล่าวอวยพรให้เดินทางปลอดภัย โดยที่เก็บความสงสัยไว้เต็มท้องว่าน้ำผึ้งนั้นจะถูกนำไปใช้ “ตกรางวัล” ได้แบบใดกัน
ขี่ม้ารอนแรมมาจนล่วงเข้าเวลาบ่าย เยี่ยจึงได้แวะพักใต้ต้นไม้ ปล่อยให้อาชาและเล็มยอดหญ้า เติมน้ำจากลำธารใสใส่ถุงหน้าจนเต็มเปี่ยม ก่อนจะชักชวนไท่หยางนั่งแช่เท้าผ่อนคลายความเมื่อยล้า อากาศยามบ่ายอบอ้าว การได้มานั่งริมลำธารเช่นนี้พาให้จิตใจสดชื่น ไท่หยางพัดกระพือคอเสื้อตัวนอก เผยให้เห็นรอยแดงช้ำจางๆ แถวบริเวณลำคอวับแวม
“เยี่ย ยิ้มอะไร” ไท่หยางหันไปบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“เพราะใครล่ะเนี่ย คุณทั้งนั้นเลย ผมบอกให้เบาก็สักแต่รับปาก ได้ๆ แล้วไงล่ะ นี่ยังเคล็ดขัดยอกไม่หายเลยนะ”
“ข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”ฝ่ามือหนาที่คว้ามือของไท่หยางไปบีบกระชับแล้วใช้นิ้วโป้งไล้วนหลังมือช้าๆ เหมือนกับจะปลอบประโลม ทำให้ไท่หยางใจอ่อนพยักหน้ายกโทษให้อย่างจำใจ
“จริงซิไท่หยาง เจ้าควรฝึกพูดแทนตัวว่าข้าให้ชินนะ พอออกไปนอกด่าน หากทำตัวแปลกแยกอาจถูกจับตามองได้ แค่หน้าตาผิวพรรณเจ้าก็ชวนให้ผู้คนจ้องมองมากพออยู่แล้ว”
“อื้ม ผม เอ้ย ข้าจะพยายามนะเยี่ย”
“จะไม่ลองเรียก “ท่านพี่” ดูหน่อยหรือ” เสียงกระซิบหยอกเย้าริมหูทำให้ไท่หยางต้องเอามือจิ้มหน้าผากผลักอีกฝ่ายไปทันที
“ให้มันน้อยๆ หน่อย มาท่านพ่อ ท่านพี่อะไรกัน”
“เจ้าเขิน” อาการเลิกคิ้วถามของเยี่ยเล่นเอาโทสะไท่หยางพุ่งสูงเทียมฟ้า
“ใคร ใครเขิน มีอะไรกันเสร็จก็เหมือนกินข้าวอิ่ม ต่างคนต่างแยกย้าย เรื่องนี้มันเรื่องธรรมชาติ เหตุใดข้าจึงต้องเขิน” สะบัดมือออกจากการเกาะกุมได้ก็เตรียมย้ายที่นั่งหนี หากระหว่างที่ลุกขึ้นยืนเท้าพลันเหยียบพลาด เสียหลักหล่นลงน้ำ ในชั่วขณะที่คิดว่าหัวต้องกระแทกพื้นหินด้านล่างเป็นแน่ พลันรู้สึกถึงพลังลมเคลื่อนไหววูบ
เยี่ยสะกิดปลายเท้าทะยานโอบรัดเอวไท่หยางไว้ ตามด้วยเสียง ตู้ม ของน้ำในลำธาร
“เป็นอะไรบ้างหรือไม่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ปฏิกิริยาค่อยๆ สัมผัสอ่อนโยนตามทำตัวทำให้ไท่หยางใจสั่น
“มะ ไม่เป็นไร ไม่เจ็บตรงไหนเลย ขอบคุณมะ อุ๊บ”
จูบรุนแรงโฉบวูบปิดปากไว้ไม่ให้พูดจนจบ จุมพิตที่หลอกล่อให้มัวเมาดำเนินอยู่เป็นครู่ เยี่ยจึงได้ถอนริมฝีปากออกมา พลางกระซิบติดริมฝีปากอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบพร่า
“อย่าพูดอีกว่าต่างคนต่างแยกย้าย ข้าปวดใจยิ่ง ครั้งแรกที่เจ้าได้ช่วยชีวิตข้า เจ้าก็เป็นเจ้าของกายข้า หากแต่เมื่อเราผสานรวมกันในคืนนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นเจ้าของวิญญาณข้า ได้โปรดอย่าพูดจาเหมือนจะฉีกกระชากวิญญาณข้าเช่นนี้อีก”
ไท่หยางเหมือนโดนจู่โจมด้วยระเบิดทำลายล้าง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครสารภาพรักได้หมดจดงดงามขนาดนี้มาก่อน รู้สึกร้อนซู่จากศีรษะจรดปลายเท้า ในหัวเหมือนมีตัวหนังสือใหญ่ยักษ์ลอยอยู่คำเดียว “~fin”
หลังจากการสารภาพรักที่ทำให้ไท่หยางคล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นแล้ว ช่วงเวลาที่รอนแรมกลางทะเลทรายในยามนี้ก็คือการตกนรกทั้งเป็นเรื่องนี้เอง ทั้งเนื้อทั้งตัวต้องคลุมผ้ามิดชิดป้องกันทั้งเม็ดทราย ทั้งการสูญเสียเหงื่อ ริมฝีปากแตกแห้งลอกเป็นแผ่น บางจุดถึงกับมีเลือดไหลซิบออกมา
“ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมกลางทะเลทรายแล้ว เจ้าอดทนอีกนิดไท่หยาง”
ร่างในอ้อมอกด้านหน้าทำเพียงผงกหัวยอมรับ ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมา
เยี่ยส่งสายจูงม้าให้กับเสี่ยวเอ้อ แล้วพาไท่หยางเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปหาห้องพักทันที
“คุณชายท่านนี้ มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นชายร่างอ้วน แววตาหลุกหลิก รีบร้องถามเมื่อเห็นแขกก้าวเข้ามาพัก
“ห้องพักหนึ่งห้อง จัดเตรียมน้ำและอาหารตามขึ้นไปด้วย ข้าต้องการพักผ่อนโดยเร็ว”
“ได้ๆ ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยให้เสี่ยวเอ้อยกขึ้นไปนะขอรับ”
เยี่ยสะบัดหน้าเตรียมเดินขึ้นห้องพัก หากได้ยินเสียงโวยวายทางด้านหน้าร้านจึงหยุดยืนมอง
“ไม่ได้ๆ ไม่มีเงินก็ไม่มีน้ำไม่มีอาหาร ที่นี่ไม่ใช่โรงทาน ไปๆ เกะกะหน้าร้านข้า” เถ้าแก่โวยวายไล่หลวงจีนแก่ๆ ในชุดเก่าขาดผู้หนึ่งอย่างไม่ไว้หน้า
“ประสก อาตมาขอเพียงน้ำดื่มบรรเทาความกระหาย”
“น้ำในทะเลทรายมีค่าดุจทองคำ ไยข้าต้องให้ทานทองคำแก่ท่านด้วย”
แรงกระตกจากชายเสื้อทำให้เยี่ยก้มลงมองคนในอ้อมแขน เห็นท่าทางบุ้ยใบ้ปากก็รู้ว่าไท่หยางต้องการสิ่งใด
“เถ้าแก่เปิดห้องพักเป็นสองห้อง ให้ไต้ซือท่านนี้ด้วย คิดเงินที่ข้า” สั่งเสร็จก็ก้าวเท้ายาวๆ จากไป ไม่รอรับคำขอบคุณ
“อามิตตาพุทธ ขอบคุณประสกยิ่งแล้ว” ไต้ซือเฒ่ายกฝ่ามือขวาจรดหน้าอกค้อมศีรษะคารวะทันเพียงแผ่นหลังของเยี่ยที่เดินหายไปแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ ใช้ไม้เท้าประคองตัวเองเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของโรงเตี๊ยมตามหลังเยี่ยไป
“จับตามันให้ดี ดูท่าจะเป็นเศรษฐีหลงทางมา ไม่แน่คืนนี้เราอาจมีโชคกันถ้วนหน้า” เถ้าแก่กำกับลูกน้องก่อนแยกย้ายไปเตรียมการ
หลังจากอาบน้ำชำระล้างฝุ่นทรายที่ติดตามตัวออกจนหมด ไท่หยางก็มานอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง
“ขอบคุณมากนะเยี่ย ที่ช่วยเหลือพระรูปนั้น” มือขาวจับฝ่ามือคล้ำแกว่งเล่นไปมาเบาๆ ก่อนบีบนวดอย่างประจบเอาใจ
“หลวงจีนเฒ่านั่นรึ ไม่มีสิ่งใดต้องขอบใจข้าหรอกไท่หยาง เงินทองที่หามาได้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าริเริ่มให้ตั้งสำนักคุ้มภัย ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า หาไม่ชีวิตข้าคงต้องทำงานเสี่ยงภัยมิรู้จบสิ้น”
“อย่ามัวพูดอยู่เลย มาๆ กินข้าวกันก่อน เสี่ยวเอ้อพึ่งเอาขึ้นมาให้เมื่อสักครู่ กับข้าวยังร้อนๆ อยู่เลย เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากเจ้าหรือไม่”
เยี่ยจับจูงไท่หยางให้มานั่งบนเก้าอี้ ปากก็ชวน มือก็คีบกับส่งให้ไม่ขาดตอน
“เจ้าจะขุนให้ข้าเป็นหมูรึไง กับข้าวล้นจานไปหมดแล้วไม่เห็นรึ”
“ข้าว่าเจ้าเพรียวบางไปนิด หาก..หากกินให้มากสักหน่อย จะได้เต็มไม้เต็มมือมากกว่านี้” เยี่ยพูดจบก็หลบตาขวยเขิน เฮ้อ เขาสิต้องเขิน นี่ดันคิดเอง พูดเอง เขินเองคนเดียวแบบนี้ก็มี
“ข้าปวดท้องจะไปห้องน้ำ เจ้ารออยู่บนนี้แหละไม่ต้องตามมา” ไท่หยางวางตะเกียบลงก่อนลุกขึ้นเดินออกไป หากทันเห็นสีหน้าเศร้าสลดของเยี่ย จึงได้พูดเสียงอ่อนลง
“เด็กดี รออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาแล้ว”
เพียงเท่านั้นดอกไม้ที่ขาดน้ำเมื่อสักครู่ก็พลันเบ่งบานเสมือนได้รับฝนทิพย์จากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ไท่หยางได้แต่เดินส่ายหัวบ่นพึมพำออกนอกห้องไป
“นี่กูมีผัวหรือมีลูกกันแน่วะ”
เสร็จธุระเรียบร้อยไท่หยางก็เดินกลับมา พลันเห็นด้านหน้ามีกลุ่มคนใส่ชุดดำปกปิดหน้าตาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ จึงได้แอบัวเข้ากับกำแพงด้านข้างก่อนจะชะโงกหน้าออกไปมอง คนชุดดำส่งเสียงกระซิบกระซาบก่อนจะล้วงนำกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมา เจาะรูที่ประตูหน้าห้อง สอดกระบอกไม้ไผ่เข้าไป
ไท่หยางตัวชาวาบ เป็นกลุ่มคนร้ายแน่นอน จะเข้าไปเตือนเยี่ยได้ยังไงล่ะทีนี้ ขณะกำลังยืนละล้าละลัง พลันมีมือลึกลับปิดปากลากเข้าไปในห้องเสียก่อน ไท่หยางไต้แต่ร้องอึกอัก ก่อนจะหยุดดิ้นรน เมื่อมีเสียงอ่อนโดยสายหนึ่งกล่าวขึ้นมา
“อามิตตาพุทธ ประสก นี่อาตมาเอง หาใช่ผู้ร้ายไม่”
“อะ ไต้ซือ เยี่ยยังอยู่ในห้อง”
“ใจเย็นประสก อาตมาเห็นแล้ว” ท่าทางสงบนิ่งของผู้ทรงศีล ทำให้ไท่หยางใจเย็นลงได้
“ประสกรออยู่ที่ห้องนี้ก่อนเถิด ประเดี๋ยวอาตมามา”
“เดี๋ยวก่อน ท่าน ท่านใต้ซือไปคนเดียวอาจเป็นอันตรายได้ ให้ข้าไปช่วยด้วยอีกแรงหนึ่งเถอะ”
ไต้ซือผู้เฒ่าส่ายหน้าอมยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ประสกน้อย ถึงอาตมาจะแก่ แต่ก็ยังมีไฟอยู่” พูดจบก็ยักคิ้วให้หนึ่งทีก่อนจะพลิ้วกายเดินจากไป
ชั่วเวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ไต้ซือผู้เฒ่าก็กลับมาเรียกไท่หยาง
“ประสกน้อย เชิญตามอาตมามาทางนี้หน่อย อาตมาว่าเราประสบปัญหาแล้ว”
ไท่หยางกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไต้ซือผู้เฒ่าไปอย่างร้อนรน เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบชายชุดดำนอนระเกะระกะกองอยู่บนพื้นห้อง ส่วนเยี่ยนั้นสลบพับไปบนโต๊ะกินข้าว
“เยี่ย เยี่ย เป็นอย่างไรบ้าง” ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ร่างตรงหน้าก็ไม่มีวี่แววจะขานรับแม้เพียงซักนิด ไท่หยางเริ่มกังวล หันมามองหน้าไต้ซือเฒ่าหวังขอความช่วยเหลือ
“เฮ้อ นี่แหละปัญหาที่อาตมาบอกประสก เพื่อนของประสกได้รับพิษในปริมาณที่มากเกินไป โจรกระจอกพวกนี้คงกะปริมาณยาไม่ถูก หากภายในสองชั่วยามไม่สลายพิษออกมาให้หมด เกรงว่าเพื่อนของประสกจะหาฟื้นได้ไม่”
ไท่หยางตกตะลึง มือค่อยๆ ประคองศีรษะเยี่ยให้พิงซบบ่าตนเองก่อนเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก
“แล้ว มะ มีวิธีใดขจัดพิษได้บ้าง”
“ยาถอนพิษธรรมดาทั่วไปน่ะอาตมามีติดกายอยู่ตลอดเวลานะประสก แต่กรณีนี้ต้องใช้กระสายยาพิเศษช่วยอีกหนึ่งชนิด หากที่นี่ กลางทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งนี้ จะไปหากระสายยาที่ใดทัน คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกระมัง”
“กระสายยาชนิดใดกันไต้ซือ” ไท่หยางพึมพำเสียงแผ่ว
“น้ำผึ้งน่ะประสก” ไต้ซือเฒ่าเอ่ยเบาๆ พลางส่ายหัว
“อะไรนะ น้ำผึ้งเหรอ” ไท่หยางหัวเราะร่า “มีๆ เรามีเยอะเลยท่านไต้ซือ 6 ไหพอเพียงหรือไม่ท่าน” พูดจบไท่หยางก็กระวีกระวาดรีบไปหยิบไหน้ำผึ้งมาส่งให้หลวงจีนเฒ่าทันที ครั้งนี้เป็นเพราะการ “มองการณ์ไกล” ของเยี่ยแท้ๆ จึงได้มีน้ำผึ้งนำมาใช้ถอนพิษได้
“ไท่หยาง” เสียงแผ่วพึมพำเรียกชื่อ หากนั่นก็เพียงพอแล้วให้คนที่นั่งเฝ้าหน้าเตียงนอนได้ยิน เยี่ยกระพริบตาปริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะลืมตาได้เต็มตา ไท่หยางค่อยๆ ช้อนมือสอดประคองศีรษะของเยี่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เยี่ย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าปวดหัวเล็กน้อย แล้วเจ้าเล่าเป็นเช่นไรบ้าง บาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่” เยี่ยพยายามจะลุกขึ้นไปไต่ถามอาการไท่หยาง หากฝืนทนปวดไม่ไหว จึงได้แต่เองซบแผ่นอกไท่หยางเป็นที่พัก หลับตาพูดอยู่กับอกไท่หยางว่า
“ก่อนข้าจะสลบไป มีคนชุดดำเข้ามาในห้อง ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะมีอันตราย”
“ได้ท่านไต้ซือช่วยไว้พอดี มิเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”
“ไต้ซือเฒ่าผู้นั้นรึ”
“ใช่ หนำซ้ำท่านยังช่วยถอนพิษจากยาสลบให้กับเจ้าด้วยนะ เอาไว้เจ้าหายดี ข้าจะพาไปคารวะท่านใต้ซืออีกครั้งหนึ่ง”
“แล้วคนชุดดำพวกนั้นเล่า” เยี่ยขมวดคิ้วแน่นเมื่อนึกถึง
“คนเหล่านั้นก็คือพวกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อทั้งหลายล้วนเป็นโจรปลอมตัวมาทั้งสิ้น อาตมาจัดการไล่ไปหมดแล้ว ประสกอย่ากังวล” ไต้ซือผู้เฒ่าก้าวเท้าเข้ามาในห้อง พร้อมทั้งจับชีพจรตรวจดูร่างกายเยี่ยว่ายังมีพิษตกค้างอยู่อีกหรือไม่ ก่อนจะกล่าวต่อ
“ดีที่เจ้าเป็นคนฝึกยุทธ์ ร่างกายจึงขับพิษได้เร็ว พักอีกสัก 2-3 วัน ก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม”
เยี่ยประสานมือคารวะ “ต้องขอบคุณท่านไต้ซือที่ช่วยเหลือ หาไม่ทั้งตัวข้าและไท่หยางคงได้เป็นผีเฝ้าโรงเตี๊ยมเป็นแน่”
“บุญคุณต้องทดแทน ประสกทั้งสองก็ช่วยเหลืออาตมาไว้เช่นกัน” ไต้ซือเฒ่าค้อมหัวลงกล่าว
“แล้วนี่พวกเจ้าจะเดินทางไปที่ใดกัน”
“ข้าน้อยทั้งสองตามสืบข่าวคราวของตำรา “เบญจมาศม่วง” มีคนพบเบาะแสว่าน่าจะอยู่ที่นอกด่าน แต่คงจะเป็นข่าวลวงแล้ว เพราะพวกข้าเดินทางสอบถามมาหลายที่แต่ก็ไร้วี่แวว”
ไต้ซือเฒ่าลมหายใจสะดุด หน้าเผือดสี ก่อนปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้วเอ่ยเสียงเนิบช้า
“พวกประสกจะตามหาตำราเบญจมาศม่วงไปทำไมรึ”
“เรียนไต้ซือตามตรง พวกข้าน้อยเปิดสำนักคุ้มกันภัย ด้วยต้องการสืบข่าวตามที่มีผู้จ้างวานตามหาตำรานี้เพื่อไปศึกษา นัยว่าเป็นตำราหายาก จึงอยากเรียนรู้เนื้อหาภายในตำราให้ถ่องแท้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งใด แต่ผู้ใดเป็นผู้จ้างวาน ข้าน้อยมิอาจแพร่งพรายให้ท่านไต้ซือทราบได้”
“อาตมาหาได้อยากรู้ไม่ว่าใครบ้างที่สืบเสาะหาตำรานี้” ไต้ซือเฒ่าส่ายหน้าไปมาพลางทอดถอนลมหายใจ
“เฮ้อ...หลบหลีกซ่อนเร้นไปก็เท่านั้น ยิ่งทำให้คนเล่าลือเกินจริงไปกันใหญ่ ลิขิตสวรรค์ๆ”
ไท่หยางตาโต ตางเข้าไปหาไต้ซือด้วยความตื่นเต้นทันที
“ท่านไต้ซือรู้หรือว่าตำรานั้นอยู่ที่ใด”
“อาตมารู้จักผู้คิดค้นประพันธ์เรื่อง “เบญจมาศม่วง” อยู่บ้าง ถ้าหากประสกต้องการไปตามหาจริงๆ อาตมาจะบอกเส้นทางไปหุบเขา ‘ไร้ใจ’ ให้”
“เมื่อประสกไปถึง เพียงยื่นป้ายหยกนี้ให้บุคคลท่านนั้น หากเจ้าขอศึกษาคัดลอก เขาก็คงยินยอม”
เยี่ยยื่นมือไปรับป้ายหยกสีเขียวใสสลักเสลาลวดลายดอกเบญจมาศอันวิจิตรมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ
“ขอบคุณท่านไต้ซือมาก ข้าน้อยนึกว่าคงทำงานไม่สำเร็จแล้ว หากไม่ได้ท่านไต้ซือช่วยเหลือ คงคว้าน้ำเหลวเป็นแน่แท้”
“ชะตาคงลิขิตให้เป็นเช่นนี้ เอาเถอะ ถ้าอย่างไรข้าคงขอตัวออกเดินทางต่อ เพียงอยากฝากถ้อยคำถึงเขาผู้นั้นว่า ‘สัญญา 10 ปีคงมั่น ไร้ใจไร้วิญญาณ’ ”
กล่าวจบไต้ซือก็เดินหันหลังจากไป ทิ้งให้คนในห้องแปลกใจกับประโยคที่แปลไม่ออกประโยคนั้น“แค่ก แค่ก” เสียงไอของเยี่ยดึงสติไท่หยางให้กลับมา ก่อนจะรีบรินน้ำไปให้ถึงบนเตียงนอน
“ดื่มน้ำหน่อยนะเยี่ย ค่อยๆ ไม่ต้องรีบระวังสำลัก” ประคองเยี่ยดื่มน้ำเสร็จ ไท่หยางก็เช็ดมุมปากให้
“เฮ้อ! เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้กลางทะเลทรายแล้วมั๊ยล่ะ ยังไงถ้าเจ้าหายดีแล้ว เรารีบออกเดินทางไปหุบเขาไร้ใจดีกว่า ภูเขายังไงก็ดีกว่าทะเลทราย ที่นี่ทั้งร้อนทั้งแล้ง ชวนให้คนหงุดหงิดเป็นที่สุด”
โปรดติดตามตอนต่อไป...