☯ [เรื่องสั้น] คัมภีร์... วั่งเสี่ยง (จบแล้ว) ∷ ตอนพิเศษสอง ∷ 21/8/2560
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☯ [เรื่องสั้น] คัมภีร์... วั่งเสี่ยง (จบแล้ว) ∷ ตอนพิเศษสอง ∷ 21/8/2560  (อ่าน 8998 ครั้ง)

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*นิยายเรื่องนี้ผู้โพสไม่ได้เป็นคนแต่งเองนะคะ*
แต่ได้รับอนุญาตจากคุณเจี่ยเจีย(ผู้แต่ง) ให้นำมาลงในนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ
ขอให้สนุกกับนิยายเรื่องนี้นะคะ  ^^

————————————————————————————————
- สารบัญ -
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4
ตอนที่ 5
ตอนที่ 6
ตอนที่ 7 (จบ)
ตอนพิเศษหนึ่ง
ตอนพิเศษสอง
————————————————————————————————
ฝากติดตามนิยายเรื่องยาวด้วยนะคะ จะยาวได้แค่ไหนนะ ฮะๆ
✽ มังกรขาว ✽
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2017 17:29:12 โดย virgo »

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
คัมภีร์... วั่งเสี่ยง โดย เจี่ยเจีย

บทที่ 1

          ท่ามกลางบัณฑิตที่ยืนออกันอยู่หน้าหอประชุมหลังเสร็จสิ้นพิธีจบการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมยืนอมยิ้มสังเกตใบหน้าแต่ละคนที่มีสีหน้าอิ่มเอมใจแวดล้อมไปด้วยเพื่อนฝูงญาติสนิทรุมล้อมแสดงความยินดีเสียงดังเซ็งแซ่ ในอ้อมแขนแต่ละคนเต็มไปด้วย ดอกไม้ ตุ๊กตา และบรรดาของขวัญที่สรรหามาแสดงความดีใจกันในโอกาสนี้
          ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่มิด ปากมันคอยจะฉีกออกรับคำแสดงความยินดีจากรุ่นน้องอยู่ตลอดเวลา ถึงจะไม่มีครอบครัวมาร่วมงานในครั้งนี้ เพราะพ่อแม่ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ก็ตาม แต่ผมก็ภูมิใจนะที่มีวันนี้กับเค้าได้เหมือนกัน ผมยืนซึมซับเก็บภาพมหาวิทยาลัยไว้ในความทรงจำ นึกๆแล้วก็ใจหาย รู้สึกยังเป็นเฟรชชี่อยู่ไม่กี่วันก่อนนี่เอง เวลาผ่านไปเผลอแป๊ปเดียวผมก็เป็นบัณฑิตไปแล้ว ผมบอกลาบรรดาเพื่อนฝูงและพวกน้องๆเพื่อจะกลับไปนอนพักผ่อนให้เต็มอิ่มหลังจากเหนื่อยกับการซ้อมพิธีรับปริญญามาหลายวัน

          เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ผมก็จัดการเก็บข้าวของ ตรงเข้าห้องน้ำเพื่อไปอาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคล เสร็จแล้วจึงคว้าเสื้อยืดตัวเปื่อยคอย้วย กางเกงบอลมาใส่ พุ่งลงนอนแผ่บนเตียงกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างผ่อนคลาย ผมปล่อยความคิดให้ลอยละล่องไปเรื่อยเปื่อย ให้ตายตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว พ่อกับแม่เคยเป็นห่วงว่าผมจะเรียนไม่จบเอา เนื่องจากเป็นคนอะไรก็ได้  ปล่อยชีวิตไหลไปวันๆ ไม่กระตือรือร้นกับอะไรซักอย่าง ผมในวันนี้เรียนจบแล้วนะครับ พ่อกับแม่สบายใจได้ ผมนอนคิดไปอย่างอารมณ์ดี แล้วค่อยๆเคลิ้มหลับไป โดยที่ยังรู้สึกถึงรอยยิ้มจุดแต้มที่มุมปากตัวเองอยู่เลย
          “หนาวชะมัด เมื่อคืนลืมเบาแอร์รึปล่าววะ” ปากพึมพำๆ มือก็ขยับควานหาผ้าห่มไปด้วย
          แกรก สัมผัสแห้งกรอบที่มือทำให้ผมย่นหัวคิ้วพลางหรี่ตามองดู วัตถุที่อยู่บนมือผมตอนนี้คือใบไม้แห้ง ผมเกิดความงุนงงกระเด้งตัวลุกขึ้นก็ต้องเบิกตาโต เมื่อรอบกายเป็นต้นไม้สูงลิบลิ่ว บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งกรอบมากมาย
          “เอาล่ะกู ฝันอะไรวะเนี่ย” ผมลุกขึ้นยืนปัดเศษใบไม้ออกจากตัว ตาเริ่มสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างตั้งใจใหม่อีกครั้ง
          ป่ากว้างสุดลูกหูลูกตา มีใบไม้กองทับถมสูงขึ้นมาจนท่วมหลังเท้า ผมเริ่มก้าวขาออกเดิน สับสนมึนงงว่านี่ความฝันหรือความจริง พลันเสียงโลหะกระทบกันก็ดึงดูดความสนใจจากผมได้ในทันที สองขาผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งไปตามทิศทางของเสียงนั้นอย่างเร็วรี่
          ภาพตรงหน้าเล่นเอาสติผมกระเจิดกระเจิงหนักกว่าเดิม เมื่อพบผู้ชายสองคน หนึ่งคนชุดดำ อีกหนึ่งคนชุดสีน้ำเงิน กำลังต่อสู้ฟาดฟันกันอย่างเอาจริงเอาจัง ประกายไฟแล่นแปลบปลาบ เมื่อกระบี่สองเล่มกระทบกันด้วยความรุนแรง ยังไม่ทันที่ผมจะสอบถามอะไร ชายชุดสีน้ำเงินก็แทงกระบี่เข้าที่อกด้านซ้ายของชายชุดดำทันที จากนั้นก็ชักกระบี่ให้เลือดสาดทะลักออกมา ก่อนแตะปลายเท้า ‘เหาะ’ จากไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาที ผมยืนอ้าปากค้าง ตัวสั่นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจค่อยสืบเท้าก้าวเข้าไปหาชายชุดดำอย่างกล้าๆกลัวๆ
          “นี่...คุณๆ” ผมเหลือบมองบาดแผลแล้วอยากอาเจียนออกมา ด้วยไม่เคยเห็นเลือดและเนื้อระยะประชิดขนาดนี้มาก่อน มุมปากของชายคนนี้มีเลือดไหล หน้าซีดขาว ผมละล้าละลังหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
          “เอาวะ ช่วยคนก่อน” ผมตัดสินใจลากผู้ชายคนนั้นอย่างทุลักทุเล ก่อนค่อยๆประคองให้นั่งใต้ต้นไม้แล้วจัดการฉีกชายชุดของเขามาพันทบที่แผลอย่างเก้ๆ กังๆ
          ‘หมับ’ มือแกร่งคว้าเข้าที่ข้อมือผมทันที
          “เฮ้ย!!!” ผมตกใจสติหลุดทันที
          “รู้สึกตัวแล้วเหรอ คุณโดนแทง ผมกำลังพันแผลให้ ทนเจ็บหน่อยนะ”
          ชายชุดดำพึมพำเสียงแผ่ว ผมเลยต้องเอาหูไปจ่อฟังใกล้ๆตรงริมฝีปากของเขา
          “มีพิษ...ต้อง ดะ ดูด พิษ”
          “เอ้ย…แค่พันแผลผมก็จะแย่แล้วนะ มีมาให้ดูดพิษอีก”
          แต่สีหน้าที่ยิ่งซีดลงประกอบกับบาดแผลบริเวณแถวหน้าอกของคนตรงหน้าเริ่มมีสีคล้ำน่ากลัว ทำให้ผมตัดสินใจได้ในทันที เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
          “ทำยังไงล่ะ คุณบอกผมมาซิ”   
          “ปาก..หนะ..แนบลงไป...ดูด..ทะ..ทิ้ง จนสีหายเข้ม” ชายชุดดำพูดเสียงขาดๆ หายๆ ผมจัดการแกะผ้าที่พันแผลออก แล้วโน้มตัวลงเหนือยอดอก ตัดสินใจข่มความกลัว แนบริมฝีปากแล้วออกแรงดูดทันที
          “อะ ซี้ด อึ่ก” เสียงครางกระเส่าดังขึ้นเหนือหัวผม
          ผมบ้วนเลือดทิ้งแล้วหันไปตวาดอย่างเหลืออด
          “อย่าทำให้เรื่องมันยากได้ไหม บ้าเอ๊ย!! ก็รู้นะว่าเจ็บ แต่ช่วยกลั้นเสียงหน่อยได้ไหม”
          ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า หลับตา เม้มริมฝีปากแน่น ผมจึงเริ่มปฏิบัติการดูดต่อไป หากยังมีบ้างที่เสียงครางหลุดออกมาเป็นระยะ
          “อะ..ฮะ” จนกระทั่งประมาณ 10 นาทีผ่านไป มือใหญ่จึงยกขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้ผมหยุดได้
          “อา” เสียงสุดท้ายนี่ผมอยากโบกหัวคนเจ็บชิบ
          ผมเงยหน้าขึ้น ใช้แขนเสื้อป้ายเช็ดคราบเลือดจากริมฝีปากลวกๆ ก่อนจะถุยน้ำลายอย่างเอาเป็นเอาตาย มองใบหน้าหล่อเหลาที่มีสีหน้าย่ำแย่อย่างอ่อนใจ
          “เฮ้อ...ว่ามา ต้องทำไงต่อ” ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดล่ะนะ
          ชายชุดดำตรงหน้าขยับตัวอย่างยากลำบาก พยายามล้วงหาอะไรบางอย่างตรงบริเวณผ้าคาดเอวด้วยท่าทางทุลักทุเล
          “ชาตินี้จะหยิบได้ไหมเนี่ย มา ผมช่วย คุณจะเอาอะไร”
          เสียงแผ่วโหยลอดมาจากริมฝีปากสีซีดมาว่า ‘ยา’
          ผมลูบคลำไปตามขอบผ้า จนพบขวดกระเบื้องใบเล็กๆสองขวด จึงดึงออกมาทั้งคู่ ชูขึ้นตรงหน้าแล้วถามว่าอันไหนใช้ยังไง
          เสียงพูดงึมงำๆ ทำให้ผมจับใจความไม่ถนัด เกิดเทยาผิดหมอนี่ตายไปผมจะไม่บาปแย่รึ จึงตัดสินใจยื่นหน้าไปฟังใกล้ๆ ริมฝีปากนั่นอีกครั้ง
          “ซะ ซ้าย ขวด สีดำ ปะ เป็น ยาห้ามเลือด ส่วนทะ ทางขวา เป็น ยา สมานแผล”
          ฟังจบผมก็เปิดฝาขวดทางซ้ายออกดู ลักษณะยาเป็นผงสีขาวๆ คาดว่าคงเอาไว้ใส่แผล ผมจึงโรยทันที“ซี้ดดด” เสียงนี้อีกละ ผมปรายตามองทันที เจ้าตัวก็คงรู้ ขบปากตัวเองแน่น
          เสร็จจากยาห้ามเลือดก็เป็นยาสมานแผล คราวนี้ยามีลักษณะเป็นยางหนืดสีคล้ำ ผมป้ายออกมาได้ก็จัดการละเลงไปบนบาดแผลให้ทั่วๆ ก่อนจะเอาเศษผ้าที่แกะออกมา พันทบกลับเข้าไปใหม่ เมื่อผูกชายผ้าเรียบร้อยก็เห็นคนเจ็บขยับตัวยุกยิก จึงต้องเอ่ยปากถามไปอย่างช่วยไม่ได้
          “เป็นอะไรอีกคุณ”
          “ยา ถะ ถอนพิษ ที่ด้านหลัง”
          เออดีเนอะ ออกจากบ้านพกมาครบหมด ทั้งยาห้ามเลือด ยาสมานแผล ยาถอนพิษ ผมคิดในใจขำๆ ก่อนจะขยับอ้อมไปทางด้านหลังใช้มือคลำควานหาขวดยามาได้อีกขวด เปิดฝาขวดเทออกมา พบว่าคราวนี้เป็นยาเม็ด รูปร่างคล้ายยาลูกกลอนสีดำ เม็ดกลมเล็ก ผมจึงเอาไปจ่อปากคนเจ็บ หากเขาส่ายหน้า
          “มะ..ไม่ใช่ ขะ ของข้า ท่านดูดพิษให้ข้า จะ จนหมดสิ้นแล้ว แฮ่กๆ ตะ แต่ เป็นตัวท่านเอง อาจ อาจต้องพิษ จากเลือดข้าได้ ยานี้ ขะ ข้า ให้ท่านกิน”
          ผมรู้สึกคันๆ ในหัวใจนิดๆ ตัวเองได้รับบาดเจ็บเลือดโชกขนาดนี้ ยังมีหน้ามาห่วงคนอื่นอีก ผมรีบอ้าปากงับยาเม็ดแล้วพยายามกลืนลงไปโดยไม่มีการดื่มน้ำจนยาเกือบจะติดคอตาย จากนั้นจึงนั่งดูคนเจ็บที่เอียงศีรษะพิงต้นไม้หลับไปแล้ว ฝืนถ่างตานั่งอยู่ได้ไม่นานผมจึงเผลองีบหลับไป


โปรดติดตามตอนต่อไป...

แก้ไขย่อหน้าค่ะ  :sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2017 12:57:58 โดย virgo »

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
กำลังภายในป่าว :katai5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อารมณ์ประมาณเจาะเวลาหาอดีตรึป่าว? น่าสนใจ รออ่านค่า   :pig4:

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บทที่ 2

          ข้าลืมตาตื่นมาพร้อมกับความเจ็บแปลบบริเวณหน้าอกด้านซ้าย พลันหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันวาน ลำดับความคิดในใจก็พลันสะดุดลงเมื่อเห็นหนึ่งบุรุษนอนหลับอยู่ข้างกองขวดกระเบื้องระเกะระกะที่เบื้องข้างของข้า ท่ามกลางสติที่ไม่แจ่มชัด เหมือนว่าบุรุษผู้นี้คอยดูแลทำความสะอาดบาดแผลให้ ในมือชายผู้นั้นยังกำเศษผ้าไว้แน่นข้าเฝ้าพินิจมองเขาให้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น นิ้วเรียวยาว ไล่ขึ้นไปตามลำแขนขาว ใบหน้างดงามค่อนไปทางหญิงสาว ขนตางอนยาวหนาเป็นแพทาบทับลงบนแก้มขาว คิ้วเรียวขมวดมุ่นคงเป็นเพราะนอนไม่ใคร่สบายตัวนัก จมูกโด่งเป็นเส้นสวยลงตัวเหมาะเจาะกับริมฝีปากหยักบางที่ร้ายกาจยิ่ง ยามเปิดปากว่ากล่าวช่างบาดลึกราวกระบี่คมกริบ หากริมฝีปากนั้นเล่ากลับช่วยดูดพิษให้เขาทั้งๆ ที่ไม่เคยพานพบรู้จักกันมาก่อน ช่างเป็นบุคคลที่ประเสริฐยิ่งนัก ดูจากใบหน้าและผิวพรรณแล้วผู้มีพระคุณของตัวเขาน่ากลัวจะเป็นลูกผู้ดีมีสกุล หากการแต่งกายกลับไม่คล้ายคนในพื้นที่นัก
          ขณะกำลังสำรวจใบหน้างดงามนั้นเอง หน่วยตายาวรีกะพริบปริบลืม ‘ขึ้น’ สบตากับข้า พร้อมๆ กับที่ข้าก็ ‘ขึ้น’ เพราะดวงตาคู่นั้น
          “อ้าว คุณ ตื่นแล้วเหรอ” ร่างตรงหน้าขยับลุกบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวจนน้ำตาหยดบริเวณหางตา
          “แผลเป็นไงบ้างอะ”
          “ดีขึ้นมาก ขอบคุณผู้มีพระคุณ” พูดจบก็ทำท่าจะประสานมือขึ้นคารวะ
          “เฮ้ยๆ อย่าพึ่งขยับ เดี๋ยวแผลฉีกอีกรอบ” พูดจบก็ปราดเข้ามาคว้ามือเขาไว้ ใกล้จนได้กลิ่นหอมจางๆ จากกายเบื้องหน้า
          “จากการแต่งกายและการพูดจาแล้ว ท่านหาใช่คนแถบนี้ใช่หรือไม่”
          “อืม ตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่ทันคิดว่าที่นี่ที่ไหนก็มาเจอคุณกำลังโดนแทงอยู่เนี่ย”
          “ถ้าท่านไม่รังเกียจ เชิญท่านผู้มีพระคุณพำนักอยู่ด้วยกันกับข้าเสียก่อนเถิด แล้วจึงค่อยคิดหาทางต่อไปภายในเบื้องหน้า”
          “อะจริงดิ ดีเลย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ขอบคุณนะ”
          สิ้นสุดคำพูด รอยยิ้มเจิดจ้าดุจแสงตะวันก็จุดขึ้นทันที ข้ายกมือขวาขึ้นกุมบาดแผลเหนืออกด้านซ้าย สงสัยพิษจะกำเริบ ใจเต้นแรงเสียจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมานอกอก
          “รบกวนผู้มีพระคุณพยุงข้าที บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ท่านผู้มีพระคุณจะได้ไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์”
          “มาๆ ผมช่วย” มือคว้าสอดประคอง แล้วพาเดินไปตามทิศทางที่คนเจ็บบอกทันที
          ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้าน ร่างที่ผมประคองอยู่ก็ทรุดลงกับพื้น ก็สมควรนะเดินมาซะไกลขาดนี้ ผมกึ่งลากกึ่งประคองจนเจ้าตัวมานั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางบ้านได้ ก็จัดแจงรินน้ำชาบนโต๊ะมาสองถ้วยทันที ถ้วยนึงส่งให้คนเจ็บ ถ้วยนึงผมรีบกระดกรวดเดียวแล้วเติมอีกสามรอบ
          “เฮ้ออออ หิวน้ำสุดๆ เลยเนอะ” ผมหันไปพยักเพยิดกับเจ้าของบ้านก็พบกับแววตาที่มองมาอยู่แล้ว ผมปาดน้ำที่ไหลหกลงจากปากไปถึงลำคออย่างรวดเร็ว
          “ว่าแต่คุณชื่ออะไรอะ ผมชื่อซัน”
          “ซันที่แปลว่าสามน่ะรึ”
          “ไม่ๆ ซันที่แปลว่าพระอาทิตย์น่ะไท่หยางไง”
          “ไท่หยางอืมม เป็นชื่อที่ดี สมตัวท่าน เจิดจ้าดุจดังดวงอาทิตย์”
          เขินเหมือนกันนะเนี่ย พึ่งเคยมีคนชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้
          “ข้าชื่อ เยี่ย...เยี่ยที่แปลว่าพระจันทร์น่ะ” คนอธิบายพูดไปหน้าก็ขึ้นสีแดงไป
          “เออดี!! ทั้งพระอาทิตย์ ทั้งพระจันทร์ มารวมอยู่บ้านเดียวกันล่ะทีนี้” ผมหัวเราะขำพรืด
          “ผมว่าคุณไปนอนพักก่อนดีไหม  คนป่วยต้องนอนเยอะๆ”
          “ข้าเป็นเจ้าบ้าน อีกทั้งท่านยังเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้ามิอาจละเลยปล่อยท่านอยู่ผู้เดียวได้”
          “คุณกลัวผมขโมยของในบ้านคุณเหรอ”
          “มิได้ๆ ข้าหากล้าคิดเช่นนั้นไม่ หากทำให้ท่านผู้มีพระคุณไม่พอใจ ข้าต้องกล่าวขออภัยด้วย”
          “งั้นก็ไปนอนได้ ผมดูแลตัวเองเป็น ไม่ต้องมาคอยรับรองให้วุ่นวายหรอก แค่ให้มาอยู่ด้วยนี่ก็ขอบคุณมากๆ แล้ว ตื่นมาเจออะไรแบบนี้ผมก็จิตตกนะ ยังดีที่มาเจอคุณ อย่างน้อยก็มีที่พักให้ตั้งหลักล่ะเนอะ”
          เยี่ยนิ่งฟังมองผมตาปริบๆ ผมจึงยักไหล่ตัดความกังวลว่าที่นี่คือที่ไหน ก่อนจะไล่เยี่ยให้ไปนอนอีกครั้ง
          “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว หากท่าน...ไท่หยาง อยากอาบน้ำชำระร่างกาย ด้านหลังเป็นลำธาร เชิญท่านตามสบาย”
          “ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะนะ คราบเลือดเมื่อวานเต็มตัวไปหมด” พูดจบเจ้าตัวก็ผลุนผลันออกไปทันที
          “เจ้า!! เดี๋ยวซิ แล้วเสื้อล่ะ”
          ยังพูดไม่ทันจบดี ไท่หยางก็เผ่นพ้นประตูไปแล้ว เยี่ยจึงฝืนทนข่มความเจ็บปวด คว้าเสื้อผ้าชุดใหม่ไปให้ไท่หยางเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำเสร็จ
          ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้เยี่ยถึงกับเข่าทรุด เลือดกำเดาไหลทะลักออกจากจมูกเป็นสาย ด้วยเหตุที่ไท่หยางอาบน้ำกลางลำธาร ผิวสีขาวกระทบแสงแดดเป็นประกายผมสีดำขลับยาวระต้นคอแนบลู่ไปตามศีรษะทุยได้รูป หยดน้ำไหลกลิ้งจากปลายคางลงมาตามแผ่นอกที่มองเห็นยอดอยู่รำไรใต้ผิวน้ำ ไท่หยางสะบัดหัวไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะหันมาเห็นเยี่ยจึงฉีกยิ้มกว้างเจิดจ้า เยี่ยเจอพลังทำลายล้างจากรอยยิ้มนั้น เสื้อผ้าที่ถืออยู่จึงหล่นลงบนพื้น ตามด้วยลำตัวของเยี่ยที่ล้มลงหมดสติไป
          “เหี้ย!! เอ้ย เยี่ย เฮ้ย คุณ คู๊ณณ”
          “สัมผัสเย็นชื้นบริเวณผิวหน้าทำให้เยี่ยได้สติรู้สึกตัวตื่นขึ้น
          “ผมขอโทษนะ เพราะผมลืมเอาเสื้อผ้าไป คุณเลยต้องเดินเอาไปให้ ตากแดดไปใช่ไหม เป็นลมล้มพับไปเลย
          คนป่วยนอนส่ายหน้าอยู่บนเตียง ปากแห้งผากหุบๆ อ้าๆ ด้วยไม่รู้จะบอกกล่าวอย่างไรว่าที่ตนหมดสติหาใช่เพราะแสงแดดแผดเผาไม่ จึงตัดสินใจถามเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่ายแทน
          “จริงซิ ท่านมาจากที่ใด ไยภาษาพูดและการแต่งกายจึงผิดแผกเช่นนี้”
          “คุณว่าผมแปลก ผมก็ว่าคุณแปลก การพูดจา การแต่งตัว เหมือนคนจีนโบราณที่ผมเคยดู ผมมาคิดๆ ดูแล้วก็เดาเอานะ ผมคงทะลุมิติมาล่ะมัง อาจจะเป็นโลกในนิยายหรือไม่ก็โลกสมมุติอะไรสักอย่าง เพราะผมกับคุณพูดกันคนละภาษายังฟังเข้าใจกันเลย ผมก็แค่นอนหลับ พอตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีเหตุอะไรที่ต้องข้ามภพ ข้ามชาติ อย่างใครคนอื่นเค้าหรอก ก็คิดซะว่ามันคือความฝันประเภทหนึ่งก็แล้วกัน”
          “ท่านมิต้องกังวลไปไท่หยาง ทั้งเรื่องที่พัก  เรื่องการกินอยู่ ข้าล้วนดูแลท่านได้” เยี่ยพูดออกมา แววตาฉายความห่วงใย
          “ผมไม่ได้วิตกกังวลอะไรหรอกคุณ เห็นแบบนี้ผมเป็นคนปรับตัวเก่งนะ ข้อดีข้อเดียวของผมนี่ล่ะ ผมอะไร ยังไง ก็ได้” พูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างคนไม่คิดอะไรมาก
          “พ่อกับแม่ของผมยังเคยบอกเลยนะ ว่าถึงผมจะทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่การปรับตัวไหลไปตามสถานการณ์น่ะ ผมชนะเลิศ”
          “แล้วบิดากับมารดาท่านเล่า ท่านจากมาอย่างนี้คงได้วิตกกังวลกันบ้าง”
          “พ่อแม่ผมตายหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงหรอก ดีซะอีกถือว่าได้ท่องเที่ยวหลังเรียนจบ”
          “ตัวข้าก็อยู่ผู้เดียว ท่านสามารถพักอยู่กับข้าได้ตามสบาย”
          “ผมมาเกาะคุณกินอยู่ แน่นอนอยู่แล้ว ว่าแต่คุณเถอะ ไปทำอีท่าไหนมาถึงโดนแทงซะแผลเหวอะขนาดนี้”
          “ข้าเป็นนักฆ่ารับจ้าง...”  พูดจบก็คอยสังเกตปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม หากเมื่อบุรุษตรงหน้ายังนิ่งเฉยมิได้มีท่าทางหวาดกลัวอย่างที่นึกกังวล เยี่ยจึงเริ่มเล่าเรื่องต่อไป
          “ข้ากับสหายชาวยุทธ์อีกสองคน ร่วมกันเปิดกิจการ งานหลักรับจ้างฆ่า รองๆ ลงมาก็...รับทำทุกสิ่ง” เสียงที่เล่าแผ่วหายในตอนท้ายอย่างละอาย
          “จับฉ่ายว่างั้น”
          อึ้ก!! จุกยิ่ง บุรุษผู้นี้ช่าง...
          “เมื่อวานเป็นงานขโมยหยกประจำตัวเจ้าสำนัก พยัคฆ์ทมิฬ แต่ข้าเกิดพลาดท่า ดีที่ได้ท่านผู้มีพระคุณช่วยไว้  โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” พูดจบก็ประสานมือคำนับทันที
          “ไม่ต้องๆ ผมเองก็มาอาศัยคุณอยู่บ้านนี่ เอาเป็นว่าหายกันเนอะ มาๆ ผมเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ แล้วคุณก็นอนพักซะ อย่าฝืนมาก เกิดเป็นลมเป็นแล้งไปอีกทำไง”
          ข้าอยากบอกเหลือเกินว่า ข้าไม่ได้เป็นลมเพราะแดดหรือเหนื่อยอ่อนเลย หากเป็นเพราะเจ้าต่างหาก ไท่หยาง


โปรดติดตามต่อต่อไป...

ปล.นิยายเรื่องนี้เน้นหื่นฮา สไตล์เจี่ยเจียค่าา  :hao3:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
น่าติดตามมมม

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เยี่ยจะใช่พระเอกไหมหนอ หรือจะเป็นคนอื่น

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เยี่ยแลดูหวั่นไหวกะน้องซัน...รอจ้า  :impress2:

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บทที่ 3

          ผมมาอยู่ที่นี่ได้ราวๆ สามอาทิตย์เข้าไปแล้ว วันนึงๆ ก็นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ ดีที่มีเยี่ยคอยดูแล ไม่ผิดหรอก เยี่ยดูแลผม ไม่ใช่ผมดูแลเยี่ยซึ่งเป็นคนเจ็บ ร่างกายเยี่ยฟื้นตัวเร็วมาก พอลุกเดินเหินได้คล่องแคล่ว เยี่ยก็เป็นคนจัดการพาผมไปหาซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ โดยพาไปเลือกที่ตลลาดในตัวเมือง อะไรที่ผมไม่รู้เรื่องก็คอยบอกคอยสอน จนแทบจะป้อนข้าวให้อยู่แล้ว ดูแลเอาใจใส่จนผมที่เคยอยู่ตัวคนเดียวเริ่มเสพติดความรู้สึกอบอุ่นเวลามีคนมาคอยสปอยล์นะ แต่ก็ยอมรับเลยล่ะว่า  การกระทำแบบนี้มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ
          ทุกๆ เช้าเยี่ยจะตื่นมาฝึกวรยุทธ์ ส่วนผมก็มานั่งดู และพึ่งเข้าใจถ้อยคำประเภท “กระบวนท่าพลิ้วไหวดุจสายน้ำ” “พลังทำลายล้างเฉียบคม” อะไรจำพวกนี้ ก็ตอนที่ดูเยี่ยฝึกนี่แหละ ดูสวยงามแต่ก็ดูทรงพลัง ยิ่งเวลาที่เยี่ยฝึกเสร็จแล้วรวบรวมลมปราณยืนอยู่นิ่งๆนะ นั่นน่ะช่วงโปรดของผม เหงื่อจะไหลหยดไล่ลงมาตามสันจมูก เยี่ยมีคิ้วดาบ นัยน์ตากระบี่ ตวัดมองมาที ใจผมนี่เต้นตึ้กๆๆๆ ผมว่าผมสูงแล้วนะแต่ยังสูงแค่ประมาณใบหูเยี่ยอยู่เลย
          ขณะที่ผมกำลังมองอาหารตาเพลินๆ อยู่นั่นเองก็มีเสียงทักทายมาจากทางด้านหลัง
          “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ารู้จักกับพี่เยี่ยหรือ”
          ผู้มาใหม่เป็นบุรุษหน้าตาคมคาย แต่แววตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม
          ฟุ่บ!!! เสียงกระบี่วาดผ่านอากาศ เพียงชั่วพริบตาก็วางพาดอยู่บนคอของบุรุษแปลกหน้าทันที
          “ฉงเมา อย่าเสียมารยาทกับผู้มีพระคุณของข้า งานที่เกิดผิดพลาดเมื่อคราวก่อน ไท่หยางเป็นผู้ช่วยข้าไว้จากการถูกพิษ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยราบเรียบหากแววตาคมกริบ
          “อา ข้าน้อยฉงเมาเสียมารยาทแล้ว  คารวะท่านผู้มีพระคุณของพี่เยี่ย” สองมือประสานคารวะแล้วค่อยๆ ปัดวิถีกระบี่ออกจากลำคอตนเอง
          “มีอะไรค่อยกล่าวออกก็ได้ท่านพี่ คมอาวุธหามีตาไม่ พลาดพลั้งขึ้นมา พลาดพลั้งขึ้นมาคอผู้น้องมิต้องลาขาดจากลำตัวรึ”
          เยี่ยเก็บกระบี่เข้าฝัก หาได้ใส่ใจคำพูดของสหายไม่
          “ไท่หยาง นี่คือ ฉงเมา สหายที่ข้าเคยพูดถึง ส่วนนั่น จู๋จื่อ”
          เมื่อไท่หยางหันกลับไปจึงพบชายหนุ่มยืนกอดอกพิงประตูรั้วมองมาทางที่พวกตนเองยืนอยู่ เขาไม่รู้เลยว่าหมอนี่มายืนตรงนั้นอยู่นานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งชายที่ชื่อ จู๋จื่อ ประสานมือคารวะเขาจึงได้สำรวจผู้มาใหม่อย่างเต็มตา
          รูปหน้าคมสัน ตาเล็กเรียวยาว จมูกโด่ง ที่สำคัญมุมปากประดับรอยยิ้มตลอดเวลาทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นมิตรแม้ยามเมื่อแรกเจอเสียแต่ตัวเตี้ยไปหน่อย ถ้าเทียบแล้วเยี่ยจึงดูสมบูรณ์แบบกว่ามาก ว่าแต่...ทำไมต้องเอาไปเปรียบเทียบกับเยี่ยด้วยล่ะ
          “พวกเจ้ามาหาข้า มีธุระอันใด” เยี่ยเอ่ยถามเสียงพาลเพราะไท่หยางจดจ้องจู๋จื่ออย่างสนใจออกนอกหน้า
ฉงเมารีบเสนอตัวรายงานทันที
          “พี่เยี่ย วันนี้มีงานชิ้นใหม่มาหารือกับพวกท่าน ข้าไม่กล้ารับปากผู้ว่าจ้าง จึงมาถามหาความคิดเห็นจากพวกท่านก่อน”
          “อันตรายมากรึ เด็ดหัวเจ้าสำนักคนใดกันครานี้” จู๋จื่อเอ่ยถาม
          ฉงเมายืนกระสับกระส่ายไปมาก่อนจะเอ่ยปากพูด
          “หาเป็นเช่นนั้นไม่พี่จู๋จื่อ ท่านฟังข้าสักนิดนะ ตั้งแต่งานครั้งที่แล้วที่พวกเราพลาด ทั้งท่านและข้าต่างก็ได้รับบาดเจ็บ พี่เยี่ยยังต้องพิษอีกด้วย ข้าจึงเข็ดขยาดไม่อยากรับงานเสี่ยงตาย ค่าจ้างไม่คุ้มชีวิตเช่นนั้นอีกแล้ว จึงคิดเปลี่ยนแนวทางเป็นงานสืบหาคัมภีร์ที่หายไปมากกว่า”
          “คัมภีร์ที่หายไป?” เยี่ยและจู๋จื่อประสานเสียงถามขึ้นมาพร้อมกัน
          ฉงเมาอึกอักปรายตามองไปทางไท่หยางไม่กล้าบอกเนื้อความเมื่อมีคนนอกร่วมอยู่ด้วยเยี่ยเห็นท่าทางของฉงเมาก็เข้าใจ เอ่ยปากเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจอันใด
          “ไท่หยางเป็นผู้มีพระคุณของข้า สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า เขามีสิทธิ์รับรู้ได้ โดยมิต้องมีการปิดบังแต่อย่างใด”
          จู๋จื่อเลิกคิ้ว หันไปหลิ่วตากับฉงเมา ก่อนส่งสัญญาณให้ฉงเมากล่าวต่อ
          “ถ้าจะพูดถึงงานนี้ ต้นสายปลายเหตุช่างซับซ้อนนัก พวกเราเข้าไปนั่งคุยกันในบ้านน่าจะสะดวกกว่า”  พุดจบฉงเมาก็ก้าวเท้านำไปด้านในทันที
          เมื่อวางถ้วยน้ำชาที่ยกขึ้นดื่มจนเกลี้ยงลง ฉงเมาก็เริ่มเล่าถึงงานค้นหาคัมภีร์ให้ฟัง
          “พวกท่านรู้จักหอคำภีร์กลางเมืองหรือไม่”
          จู๋จื่อและเยี่ยต่างพยักหน้ารับ มีเพียงไท่หยางที่นั่งฟังตาใสเพราะไม่รู้เรื่องสักอย่างเดียว
          “ที่หอคำภีร์ เป็นที่รวบรวมเหล่าชาวยุทธ์หลากหลายสายวิชาไว้ด้วยกัน แบ่งเป็นเจ็ดสาย คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แต่ละสายต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนศึกษาตำรับคำภีร์ รวมทั้งมีการซื้อขายคัมภีร์หายากกันด้วย ถือเป็นสถานที่ขึ้นชื่อเลยทีเดียว หากไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุ อยู่ๆหอคำภีร์กลางเมืองนี้กลับปิดตัวลง เหล่าจอมยุทธ์แตกฉานซ่านเซ็น บ้างรวมตัวกันก่อตั้งหอคำภีร์ใหม่ขึ้นมา บ้างซัดเซพเนจรไป ในบรรดาหอคำภีร์ที่รวมตัวกันขึ้นมาใหม่มีมีพรรค ‘แพรม่วงสูญสลาย’ สังกัดสายพลังยุทธ์ม่วง ถือเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่น่าจับตา หนึ่งในผู้คุมกฎพรรคได้มาว่าจ้างข้าให้ตามหาคัมภีร์ที่หายไปในช่วงเวลาที่หอคำภีร์เก่าปิดตัวลง”
          จู๋จื่อบีบเปลือกถั่วลิสงในมือจนแตก พลางส่งเมล็ดถั่วเข้าปากก่อนถาม
          “คัมภีร์ใดกัน ถึงขนาดผู้คุมกฎต้องออกหน้าตามหาเอง”
          “ว่ากันว่าเป็นคัมภีร์หายากจนเกือบจะสาบสูญไปแล้ว แต่มีการคัดลอกขึ้นมาใหม่ภายหลัง หากฉบับคัดลอกหมดสิ้นไป ก็มิรู้ว่าเมื่อใดจึงจะมีการจัดทำกันขึ้นมาอีก จึงเกิดการตามหาไล่ล่ากันอย่างดุเดือด สุดยอดคัมภีร์ ‘เบญจมาศม่วง’
          เยี่ยเริ่มสนใจ ขยับเข้ามาชิดหากยังมีความกังวล  “แล้วเราจะไปตามหาคัมภีร์ได้จากที่ใด เราไม่เคยมีเส้นสายด้านการข่าวมาก่อน”
          “ข้าจึงต้องมาขอคำปรึกษาจากพวกท่านก่อนนี่อย่างไร” ฉงเมาเอ่ยปาก
          “ผมขอออกความเห็นหน่อยได้รึปล่าว” ไท่หยางโบกมือไปมากลางอากาศหยอยๆ
          “พวกคุณก็รับจ้างคุ้มกันนำคัมภีร์ไปส่งตามที่ต่างๆด้วยสิ จากนั้นก็ลอบสืบหาข่าวสารจากพวกคนซื้อ คนขาย แถมยังได้กำไรจากการบรรจุคำภีร์ให้หนาแน่นกันรอยขีดข่วนด้วยนะ”
          ฉงเมาตบมือร้องเพ้ย “เป็นความคิดที่ดี ตอนนี้สำนักคุ้มภัย ‘ไป่ฉะหนีว์’ กำลังชื่อเสียงไม่ดี ตกอยู่ในสถานะพรรคที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เนื่องด้วยลูกศิษย์พรรคแอบฝึกวิชา ‘กรงเล็บกระดูกขาว’ ซึ่งเป็นวิชาของมารนอกรีต ทำให้มือเท้าหนักหน่วง คัมภีร์ที่ควรได้รับการคุ้มกันแน่นหนาจึงเกิดความเสียหาย มีทั้งรอยขูดขีด ยุบ บุบ ไปทั่วทั้งตัวสินค้า หากหาได้มีสำนักคุ้มภัยหลากหลายไม่ จึงต้องก้มหน้ายอมเสี่ยงดวงยอมรับชะตากรรมกับสำนักนี้ต่อไป หากเราแย่งตลาดตรงส่วนนี้มาได้...” ฉงเมาทำตาวิบวับ หน้าตาเคลิ้มฝัน
          จู๋จื่อพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ เราอาศัยช่วงเวลานี้เปิดสำนักคุ้มภัยแทรกแซงขึ้นมา ได้ทั้งการค้า ได้ทั้งข่าวสาร”
หลังหารือกันเรียบร้อย จู๋จื่อและฉงเมาก็ขอตัวไปเตรียมการ
          “มีอะไรรึเปล่าเยี่ย นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด”
          “ข้ากังวล ข้าหาเคยบรรจุหีบห่อคัมภีร์ใดไม่”
          “ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีอะไรที่คนเราทำเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก ช่วยกันคิดหาวิธีการ ลองผิดลองถูกกันไป มันต้องทำได้สิน่า” ไท่หยางเดินมาตบบ่าเยี่ยเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
          “ขอบคุณท่านมาก ไท่หยาง”
          “ไม่เป็นไร ว่าแต่...อยากให้ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม” พูดจบไท่หยางหลุบตาลงต่ำ หน้าขึ้นริ้วสีแดง
          เยี่ยลมหายใจสะดุด “มะ ...มีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ”
          “ผมอยากเรียนวรยุทธ์บ้าง นั่งมองคุณทุกวัน เยี่ยสอนให้ผมบ้างนะ” ฉีกยิ้มกว้างใส่ถึงขั้นนี้ใครจะอาจหาญต้านทานไม่ตอบตกลงท่านได้บ้าง เยี่ยคิดในใจ
          “ฝึกวรยุทธ์ต้องอดทน ต้องเริ่มจากท่าร่าง ยืนกางขา ย่อตัว ท่านี้เรียกท่า นั่งม้า ต้องฝึกให้แข็งแกร่งเสียก่อนจึงค่อยฝึกท่าต่อไป”
          ไท่หยางยืนเก้ๆ กังๆ เยี่ยจึงยืนซ้อนทางด้านหลัง “ย่อขาลงไปแบบนี้ อย่าวอกแวก ต้องมีสมาธิจดจ่อ แผ่นหลังตึง” เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหูเต็มไปด้วยหลักการ มือแกร่งช่วยประคองแผ่นหลังให้เหยียดตรง ทุกสัมผัสเพียงผะแผ่ว หากคนโดนสัมผัสกลับรู้สึกชัดเจนถึงรอยประทับที่บริเวณเหนือสะโพกจนใจสั่น
          เหงื่อหยดเล็กไหลจากขมับหยดลงมาบริเวณปลายคางของไท่หยาง เยี่ยช่วยเช็ดออกให้อย่างอ่อนโยน ทุกกิริยาที่เคลื่อนไหวคล้ายกับเคยกระทำมาอย่างคุ้นชินทั้งที่พึ่งเคยกระทำเป็นครั้งแรก ไท่หยางกลืนน้ำลายลงคอเอ่ยเสียงแผ่ว
          “เยี่ย”
          “หืม” เยี่ยก้มหน้าลงมาจนชิดใบหูควบคุมลมหายใจไม่ให้สั่นพลางถาม
          “มีสิ่งใดไท่หยาง”
          “ผม...ผมเป็นตะคริว!!!” โธ่ ท่าผิดธรรมชาติขนาดนี้ใครจะยืนไหววะ


โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เป็นตะคริว...วววววว นกอ่ะ 555    :ruready

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บทที่ 4

          สำนักคุ้มภัยหน้าใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในยุทธภพภายใต้ชื่อ สำนักคุ้มภัย ‘ฮ่าวคั่น’ ชื่อนี้ไท่หยางเป็นคนตั้งให้ ทำนองว่าทั้ง เยี่ย จู๋จื่อ และฉงเมา ล้วนเป็นบุคคลหน้าตาดี จึงนำจุดเด่นนี้มาตั้งเป็นชื่อสำนัก  วันเปิดตัวสำนักคุ้มภัย ไท่หยางบอกให้สมาชิกพรรคแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด เพื่อเป็นจุดดึงดูดให้บรรดาคุณหนู ธิดาตระกูลต่างๆ รวมทั้งเหล่าดรุณีน้อย จอมยุทธ์ของพรรคดัง มาอุดหนุนใช้บริการของสำนักคุ้มภัยฮ่าวคั่น
          และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ เมื่อเหล่าคุณหนูมาพานพบกันย่อมเกิดการแลกเปลี่ยนข่าวสาร จริงบ้าง เท็จบ้าง ต้องนำไปแยกแยะอีกครา หากเพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน กลับสามารถสร้างชื่อเสียงในการบรรจุหีบห่อคำภีร์ของสำนักคุ้มภัยฮ่าวคั่นว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า ด้วยการใช้กระดาษชุบน้ำมันในการห่อหุ้มคัมภีร์ถึงสามชั้น เก็บขอบมุมของคัมภีร์จนมีลักษณะคล้ายหมอนหนุนนอน จากนั้นจึงนำไปบรรจุลงในลังไม้ที่ปูฟางไว้จนเต็มแน่น ยามเมื่อคัมภีร์อยู่ตรงกลางลังไม้ที่มีฟางล้อมรอบแม้เมื่อมีสิ่งใดมากระทบก็หาได้ระคายเคืองไม่ สุดยอดกลยุทธ์นี้ส่งผลให้เงินทองไหลมาเทมาพร้อมๆกับข่าวคัมภีร์เบญจมาศม่วงที่สูญหายก็เริ่มมีเงื่อนงำ
          “ ไท่หยาง พรุ่งนี้ข้าว่าจะเดินทางไปนอกด่าน จู๋จื่อบอกว่า ครั้งสุดท้ายที่มีคนพบเห็นคัมภีร์เบญจมาศม่วงนั้นอยู่ที่นอกด่าน เจ้าจะร่วมเดินทางไปกับข้า หรือจะอยู่ดูแลกิจการที่สำนักคุ้มภัยกับจู๋จื่อและฉงเมา”
          ปากทำเป็นเอ่ยถามคล้ายเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญอันใด หากภายในใจเยี่ยนั้นพะว้าพะวงเป็นที่ยิ่ง ด้วยไม่อยากอยู่ห่างจากไท่หยาง
          “ผมไปด้วยได้ใช่ไหม ถ้าได้ผมอยากไป อยู่ที่นี่ก็เริมเบื่อๆ แล้วเหมือนกัน จะได้ถือโอกาสไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาด้วย ว่าแต่ ผมไม่เป็นภาระให้คุณแน่นะ”
          เงาร่างในชุดสีขาวของไท่หยางเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนชายชุดคลุมซ้อนทับกับชุดสีดำของเยี่ย
          “ เจ้าไม่เคยเป็นภาระของข้าไท่หยาง” เห็นอีกฝ่ายฉีกยิ้มรับดีใจ เยี่ยก็รู้สึกดีอย่างประหลาด
          “ เจ้าอย่ายิ้มแบบนี้ให้ผู้ใดเห็นได้หรือไม่ ไท่หยาง”
          ส่วนตัวไท่หยางเองรู้สึกดีๆ กับเยี่ยมาได้พักใหญ่ เห็นว่าท่าทางเยี่ยจะเริ่มมีใจให้ตนเช่นกัน สบโอกาสดีเช่นนี้จึงไม่พลาด ช้อนสายตาขึ้นมองเยี่ย หวังเร่งปฏิกิริยาให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกให้ได้ภายในคืนนี้
          เยี่ยแทบจะสำลักลมหายใจเมื่อเจอไท่หยางโจมตีกลับด้วยสายตา มือใหญ่ค่อยๆ ลูบผมที่ปรกระหน้าผาก
ไท่หยางออกแผ่วเบา
          “ เจ้า ร้ายกาจยิ่ง มองเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้ามีขีดอดทนไม่จำกัดหรืออย่างไร”
          “อดทนอะไรเล่าเยี่ย ไยต้อง “อด” แล้วไยต้อง “ทน”” พูดจบไท่หยางก็จรดจุมพิตแผ่วเบาตรงมุมปากของฝ่ายตรงข้ามทันที
          เยี่ยสติขาดสะบั้น สองมือประคองดวงหน้าขาวผ่องนั้นไว้ กดริมฝีปากแนบสนิทลงไปบนกลีบปากนุ่ม ผนึกลมหายใจให้เป็นสายเดียวกัน เลาะเล็มดูดกลืนปลายลิ้นไท่หยางอย่างเชื่องช้า
          “ ผัวะ!!” เสียงประตูเปิดกระแทกผนังบ้านดังสั่น
          “ พี่เยี่ย ข้าว่าพรุ่งนี้...” ฉงเมาพูดยังไม่ทันจบประโยค ภาพตรงหน้ากลับปิดกั้นคำพูดของเขาไว้ภายในลำคอ
          เยี่ยพลิ้วกายโอบไท่หยางไว้กับอกก่อนหันไปคำรามเสียงต่ำ
          “มีธุระอันใด พรุ่งนี้ค่อยพูดจา”
          “ ขะ ข้า พรุ่งนี้ อา ใช่ พรุ่งนี้” ฉงเมาพูดจาตะกุกตะกัก สมองไม่มามารถประมวลผลอันใดได้
          “ ยังไม่ไสหัวไปอีก”
          “ไปแล้วๆ ข้าขอตัวก่อน” หันหลังกลับ กระโจนทะยานฝ่าความมืดไปในทันที คาดว่าพรุ่งนี้จู๋จื่อคงรู้เรื่องราวละเอียดลออราวกับเป็นคนมาพบเจอเองก็ไม่ปาน
          “ ข้าขอต่อได้หรือไม่” เยี่ยถามเสียงพร่า
          โถ พ่อคุณ มีขออนุญาตด้วย ไท่หยางไม่ตอบคำ หากกลับปลดผ้าคาดเอวลงแล้วนำไปคล้องคอเยี่ยให้โน้มลงมาหา เยี่ยก้มหน้าลงตรงจุดที่หมายตาบนแผ่นอกเบื้องหน้าทันที ทับทิมสีสดตัดกับผิวขาวราวน้ำนมทำให้คนใจสั่น จุมพิตแตะแต้มบางเบากลับโหมกระพือให้ยอดอกสั่นระริกรุนแรง ไท่หยางขบริมฝีปากกลั้นเสียง หากกลับก่อให้เกิดเสียงลมชวนเขินอาย
          “ซะ..อืม อา”
          เยี่ยพรมจุมพิตไล่ตามแผ่นอก จนเกิดเป็นรอยแดงสีกุหลาบโดดเด่นบนผิวขาว มือก็ค่อยๆลูบคลำฟอนเฟ้นสำรวจไล่ตามโครงร่างของไท่หยางอย่างมัวเมา
          ไท่หยางไม่ใช่คนมีมัดกล้ามแบบผู้ฝึกยุทธ์ หากเป็นกล้ามเนื้อตึงสวยได้รูป รูปร่างสูงเพรียวผิดกับเยี่ยที่กล้ามอกและกล้ามท้องเป็นลอนนูนเด่นชัด
          ผิวขาวราวน้ำนมของไท่หยาง ยามเมื่อเยี่ยโอบประคองจึงก่อให้เกิดเป็นสีคล้ำตัดกับสีขาวชัดเจน เมื่อมองไปชวนให้รู้สึกถึงความแตกต่างหากผสานให้เกิดความกลมกลืน
          “เยี่ย” ไท่หยางเรียกเสียงสั่นเครือ
          “หืม” เยี่ยตอบรับ สลับเสียงดังของน้ำใสในปากกระทบทั่วร่างของไท่หยาง
          “ ผม...ผมกลัวเจ็บ อื้อ มี อา อะไร ช่วย โอ๊ะ หน่อยไหม”  เสียงกระท่อนกระแท่นร้องขอ ทำให้เยี่ยต้องผละออกมาจากร่างตรงหน้า
          “ ในครัวมีน้ำผึ้ง “
          “ห้ะ”
          “ เจ้ารออยู่นี่ เดี๋ยวข้ามา” เยี่ยแทบจะใช้ทุกเคล็ดวิชาที่ตัวเขามี เพื่อไปให้ถึงห้องครัวให้เร็วที่สุด คว้าน้ำผึ้งมาทั้งไห จากนั้นก็กระโจนพรวดเดียวถึงเตียง
          “ ผม...ไม่เคย ยังไงก็เบาๆ หน่อยนะ”
          เยี่ยเปิดฝาไหน้ำผึ้ง ตั้งหน้าตั้งตาควัก ก่อนจะตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
          “ข้าจะยั้งมือไว้ไมตรี เจ้าหาต้องกังวลไม่”
          น้ำผึ้งที่รินรดไปที่ช่องทางด้านหลังส่งผลให้ไท่หยางขนลุกด้วยความเย็นที่กระทบผิวเนื้ออ่อน หากแต่ที่ทำให้ช่องท้องรู้สึกหวิววูบก็ต่อเมื่อเยี่ยปาดน้ำผึ้งลากไล้ไปตามสัดส่วนเฉพาะของไท่หยางพร้อมขยับมือรูดรั้งขึ้นลงอย่างแผ่วเบา
          “ อุ๊บ อา “ ขณะที่ไท่หยางกำลังเพลิดเพลินในสัมผัสนั้นพลันคลื่นความร้อนก็เข้าครอบครองที่แก่นกาย
          ไท่หยางตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าเยี่ยจะกระทำให้ตนเองถึงขั้นนี้ ก้มหน้ามองเยี่ยที่กำลังไล้เลียน้ำผึ้งผสมหยาดน้ำใสอย่างทะนุถนอม หัวใจไท่หยางสั่นกระตุกบางเบา ความหวานล้ำจากน้ำผึ้งหรือไรที่ตรงเข้าเกาะกุมหัวใจในยามนี้
          ปลายนิ้วของเยี่ยเป็นตุ่มไตสากระคายเนื่องจากฝึกยุทธ์จับกระบี่มาเนิ่นนาน หากเมื่อลูบปัดผ่านรอยพับจีบด้านหลังกลับให้ความรู้สึกหวิวไหวในอารมณ์ นิ้วมือค่อยๆคืบเข้าสู่ช่องทางด้านหลัง  ทางด้านหน้ากลับยิ่งแข็งขึง เมื่อควานจนพบปุ่มปมที่เสาะหา เยี่ยก็กดเน้นจนไท่หยางปล่อยครางเสียงยาวพร้อมกับกระตุกการปลดปล่อยหยาดน้ำอุ่นร้อนออกมาผสมกับน้ำผึ้งข้นเหนียว
          “เจ้าหวานมาก ไท่หยาง” เยี่ยพึมพำหลังจุมพิตซอกคอไท่หยางอย่างหลงใหล
          “ขอข้าเข้าไปนะ” จบคำพูดนี้ ไท่หยางก็ได้รู้จักคำว่า จุก อย่างแท้จริง
          “อุก เจ็บ แฮ่ก แฮ่ก หยุด หยุดก่อน”
          “อา ไท่หยาง ผ่อนคลาย มองตาข้าแล้วผ่อนคลายหน่อย”
          น้ำตาที่หางตาไท่หยางกลิ้งลงมา ทำให้เยี่ยต้องหยุดเคลื่อนไหว แล้วเทน้ำผึ้งเพิ่มมาอีกครี่งไหทันที
          “ข้าจะค่อยๆ ขยับนะ ถ้าเจ้าเจ็บให้รีบบอก”
          “อืม อือ อะ อา ถ้า ถ้าค่อยๆ กะ...ก็ ไม่ค่อย อุ๊บ เจ็บ แล้ว”
          “อดทนอีกนิด” เยี่ยพรูลาหายใจออกเพราะความอัดอั้น
          “จะ จะหมดแล้วใช่มั๊ย แฮ่ก แฮ่ก” ไท่หยางกระซิบถามกลับเสียงสั่นพร่า
          “อืม อีกนิดนึง อ่า จะหมดส่วนหัวแล้ว”
          คำตอบของเยี่ยเล่นเอาไท่หยางตาเบิกโพลง ฝืนยกลำตัวส่วนบนขึ้นดูตัวปัญหาเบื้องล่าง พลันที่เห็นสัดส่วนถนัดตา ไท่หยางก็พลันกระเถิบตัวหนี แต่ช้ากว่าเยี่ยที่ตะปบเอาไว้ทันท่วงที
          “เยี่ย...” ไท่หยางเรียกเสียงอ่อน
          “ได้โปรด” พึมพำเสียงแหบ เยี่ยก็ค่อยๆ ดันตัวดำดิ่งต่อไปช้าๆ ทว่ามั่นคง
          ร่างกายไท่หยางคล้ายจะปริขาด เยี่ยก้มลงจุมพิตหยอกเย้าบนเม็ดทับทิมเม็ดเล็ก พลางใช้มือฟอนเฟ้นไปทั่วร่าง จนเมื่อสุดหนทางจึงขยับถอยออกมาและเริ่มรกรานเข้าไปใหม่ซ้ำๆ
          เสียงของเหลวเสียดสีคละเคล้าเสียงครวญครางอันวาบหวาม ก่อให้เกิดบรรยากาศรุ่มร้อนขึ้นทุกอณู เยี่ยค่อยๆ ราดรดน้ำผึ้งลงบนหน้าอกไท่หยางอย่างไม่อาจควบคุม ขณะกำลังจะไต่ไปถึงจุดหมาย จู่ๆ เยี่ยก็หยุดขยับตัวแล้วเอ่ย
          “ข้าชิมด้านหน้าแล้ว ยังไม่ทันได้ลิ้มรสด้านหลังเลย”
          ไท่หยางรู้สึกถึงแขนประคองที่แผ่นหลัง ลมพัดวูบผ่าน ฟ้าหมุนดินเคลื่อน หน้าของเขาก็กดติดกับฟูกนอน โดยที่ส่วนกลางของลำตัวยังเชื่อมโยงยึดติดกันไว้อย่างไม่พรากจากกัน นับเป็นสุดยอดวิทยายุทธอย่างแท้จริง
          ลิ้นร้อนที่ซอกซอนอยู่ที่ริมใบหูค่อยๆ ลากไปตามต้นคอขาว จนเมื่อไท่หยางเชิดหน้าส่งเสียงคราง เบื้องล่างจึงเริ่มขยับอีกครั้ง สองมือของเยี่ยกุมสะโพกไท่หยางแน่น เอวแกร่งขยับแนบชิดไม่ห่าง รุกไล่พัวพันจนร่างตรงหน้าแทบขาดใจตาย
          “อา เยี่ย เบาหน่อย มัน อึก จุก”
          “ได้ๆ เบา” แทนเสียงตอบรับ เสียงสะโพกถูกระทบดังพลั่กๆๆ ต่อเนื่องระรัว ไท่หยางได้แต่กัดฟันซู๊ดปากก่อนปลดปล่อยออกมาอีกระลอก
          “อา ผะ ผม ผม ไม่ไหวแล้ว” ร่างกายอยากจะหมอบราบลงไปใจแทบขาด หากเยี่ยกลับดึงช่วงสะโพกให้ตั้งขึ้นรองรับต่อไป
          “ทนอีกนิด อึก ข้า อะ อา” เสียงพรูลมหายใจยาวพร้อมกับของเหลวร้อนกระฉูด จนภายในของไท่หยางอุ่นวาบไปหมด เยี่ยถอดถอนตัวตนออกมา ของเหลวนั้นก็ไหลทะลักตามลงมาไม่หยุด
          ไท่หยางตาปรือปรอยจะหลับไม่หลับแหล่ พลันข้างหูได้ยินเสียงแว่วแผ่วว่า
          “ในครัวยังเหลือน้ำผึ้งอีกไห เข้าไปเอามาก่อนนะ”

          เช้าวันรุ่งขึ้น จู๋จื่อ พบฉงเมายืนรีๆ รอๆ เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าบ้านพักของเยี่ย แต่มิยอมเข้าไปจึงสอบถาม
          “เป็นอะไรไปฉงเมา เหตุใดไม่เข้าไปเล่า วันนี้เยี่ยต้องเดินทางมิใช่รึ”
          “ก็เพราะต้องเดินทาง แต่สายป่านนี้แล้วก็ยังมิออกมา คงมัวแต่จับไท่หยางกลืนลงท้องอยู่เป็นแน่”
          “เจ้าว่าอะไรนะ ไหนเล่ามาให้ละเอียดซิ”
          “คืออย่างนี้จู๋จื่อ เมื่อคืนข้าก็รีบไปหาท่านแล้ว หากมิพบ...”
          ผ่านไปนานเท่าใดก็มิรู้ได้ เยี่ยเปิดประตูออกมาก็เห็นฉงเมายกมือยกไม้คุยน้ำลายแตกฟอง ฝ่ายจู๋จื่อก็พยักหน้ารับหงึกๆ อุทานเสียง อู้ อ้า อยู่ไม่ขาดปาก
          “พวกเจ้าทำสิ่งใดกัน” เยี่ยยืนพิงกรอบประตูพลางเอ่ยถาม
          ทั้งสองคนสะดุ้งสุดตัว หากก็แกล้งเฉไฉถามเรื่องการเดินทางแทน
          “สายมากแล้วไยท่านยังมิเร่งเดินทาง” จู๋จื่อเอ่ยปากถาม
          “เยี่ยเปิดประตูกว้างให้ทั้งสองเดินตามมาด้านในก่อนเอ่ย
          “ไท่หยางไม่สบาย เลื่อนวันเดินทางไปอีกสักสองวันก็แล้วกัน”

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หือ..อออออ พี่เยี่ยเจนจัด จับน้องกินแบบชำนาญมาก ว่าแต่น้ำผึ้ง เอ่อ..ไม่ใช่ตื่นมามดหามน้องไท่หยางไปซะแล้วนะ 555  :oo1:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ได้กันแล้ววววววววว555555 :hao7:

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บทที่ 5
     

          กำหนดเดินทางที่ได้มาถึงอีกสองวันต่อมา ฉงเมารับหน้าที่จัดเตรียมม้าและเสบียงสำหรับการเดินทาง ส่วนจู๋จื่อต้องดูแลสินค้าที่สำนักคุ้มภัย จึงมิได้มาส่ง
          “พี่เยี่ย เสบียงและตั๋วแลกเงินอยู่ในห่อผ้านี้แล้ว ส่วนม้าข้าก็จัดการหาพันธุ์พ่วงพีรับน้ำหนักได้มากตามที่พี่ต้องการ”
          “ขอบใจเจ้ามากฉงเมา ข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ประคองไท่หยางขึ้นบนหลังม้า ท่าทางดูแลเอาใจใส่จนฉงเมาถึงกับเอ่ยปาก
          “มิคล้ายพวกท่านจะไปสืบเสาะหาตำราอันใดไม่ คล้ายกับการออกเดินทางท่องเที่ยวหลังสมรสก็มิปาน”
          เยี่ยไม่เพียงไม่โกรธ หากกระตุกยิ้มรับต่อถ้อยคำด้วยความยินดี ไท่หยางได้แต่เสมองตรวจดูห่อเสบียงไปมา ใบหน้าขึ้นสีแดงลามไปจนถึงใบหู หากจู่ๆ ก็หน้าซีดชะงักงัน
          “เยี่ย...นี่มัน”
          “อ้อ พี่ยี่ยให้ข้าจัดหาน้ำผึ้งอย่างดีให้ด้วย ข้าเห็นที่ร้านมีเพียง 7 ไห จึงเหมามาทั้งหมด”
          เยี่ยตบไหล่ฉงเมา พลางหันไปมองไท่หยาง นัยน์ตาพราวระยับ กล่าวโดยไม่หันไปมองหน้าฉงเมาแม้แต่น้อย
          “ขอบใจมากฉงเมา แล้วข้าจะ “ตกรางวัลให้เจ้า” อย่างงาม”
          ไม่ว่าใครก็ฟังความนัยนั้นออก ฉงเมาได้แต่ส่งยิ้มปลอบใจไท่หยางพร้อมกล่าวอวยพรให้เดินทางปลอดภัย โดยที่เก็บความสงสัยไว้เต็มท้องว่าน้ำผึ้งนั้นจะถูกนำไปใช้ “ตกรางวัล” ได้แบบใดกัน
          ขี่ม้ารอนแรมมาจนล่วงเข้าเวลาบ่าย เยี่ยจึงได้แวะพักใต้ต้นไม้ ปล่อยให้อาชาและเล็มยอดหญ้า เติมน้ำจากลำธารใสใส่ถุงหน้าจนเต็มเปี่ยม ก่อนจะชักชวนไท่หยางนั่งแช่เท้าผ่อนคลายความเมื่อยล้า อากาศยามบ่ายอบอ้าว การได้มานั่งริมลำธารเช่นนี้พาให้จิตใจสดชื่น ไท่หยางพัดกระพือคอเสื้อตัวนอก เผยให้เห็นรอยแดงช้ำจางๆ แถวบริเวณลำคอวับแวม
          “เยี่ย ยิ้มอะไร” ไท่หยางหันไปบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
          “เพราะใครล่ะเนี่ย คุณทั้งนั้นเลย ผมบอกให้เบาก็สักแต่รับปาก ได้ๆ แล้วไงล่ะ นี่ยังเคล็ดขัดยอกไม่หายเลยนะ”
          “ข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”ฝ่ามือหนาที่คว้ามือของไท่หยางไปบีบกระชับแล้วใช้นิ้วโป้งไล้วนหลังมือช้าๆ เหมือนกับจะปลอบประโลม ทำให้ไท่หยางใจอ่อนพยักหน้ายกโทษให้อย่างจำใจ
          “จริงซิไท่หยาง เจ้าควรฝึกพูดแทนตัวว่าข้าให้ชินนะ พอออกไปนอกด่าน หากทำตัวแปลกแยกอาจถูกจับตามองได้ แค่หน้าตาผิวพรรณเจ้าก็ชวนให้ผู้คนจ้องมองมากพออยู่แล้ว”
          “อื้ม ผม เอ้ย ข้าจะพยายามนะเยี่ย”
          “จะไม่ลองเรียก “ท่านพี่” ดูหน่อยหรือ” เสียงกระซิบหยอกเย้าริมหูทำให้ไท่หยางต้องเอามือจิ้มหน้าผากผลักอีกฝ่ายไปทันที
          “ให้มันน้อยๆ หน่อย มาท่านพ่อ ท่านพี่อะไรกัน”
          “เจ้าเขิน” อาการเลิกคิ้วถามของเยี่ยเล่นเอาโทสะไท่หยางพุ่งสูงเทียมฟ้า
          “ใคร ใครเขิน มีอะไรกันเสร็จก็เหมือนกินข้าวอิ่ม ต่างคนต่างแยกย้าย เรื่องนี้มันเรื่องธรรมชาติ เหตุใดข้าจึงต้องเขิน” สะบัดมือออกจากการเกาะกุมได้ก็เตรียมย้ายที่นั่งหนี หากระหว่างที่ลุกขึ้นยืนเท้าพลันเหยียบพลาด เสียหลักหล่นลงน้ำ ในชั่วขณะที่คิดว่าหัวต้องกระแทกพื้นหินด้านล่างเป็นแน่ พลันรู้สึกถึงพลังลมเคลื่อนไหววูบ
          เยี่ยสะกิดปลายเท้าทะยานโอบรัดเอวไท่หยางไว้ ตามด้วยเสียง ตู้ม ของน้ำในลำธาร
          “เป็นอะไรบ้างหรือไม่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ปฏิกิริยาค่อยๆ สัมผัสอ่อนโยนตามทำตัวทำให้ไท่หยางใจสั่น
          “มะ ไม่เป็นไร ไม่เจ็บตรงไหนเลย ขอบคุณมะ อุ๊บ”
          จูบรุนแรงโฉบวูบปิดปากไว้ไม่ให้พูดจนจบ จุมพิตที่หลอกล่อให้มัวเมาดำเนินอยู่เป็นครู่ เยี่ยจึงได้ถอนริมฝีปากออกมา พลางกระซิบติดริมฝีปากอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบพร่า
          “อย่าพูดอีกว่าต่างคนต่างแยกย้าย ข้าปวดใจยิ่ง ครั้งแรกที่เจ้าได้ช่วยชีวิตข้า เจ้าก็เป็นเจ้าของกายข้า หากแต่เมื่อเราผสานรวมกันในคืนนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นเจ้าของวิญญาณข้า ได้โปรดอย่าพูดจาเหมือนจะฉีกกระชากวิญญาณข้าเช่นนี้อีก”
          ไท่หยางเหมือนโดนจู่โจมด้วยระเบิดทำลายล้าง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครสารภาพรักได้หมดจดงดงามขนาดนี้มาก่อน รู้สึกร้อนซู่จากศีรษะจรดปลายเท้า ในหัวเหมือนมีตัวหนังสือใหญ่ยักษ์ลอยอยู่คำเดียว “~fin”
          หลังจากการสารภาพรักที่ทำให้ไท่หยางคล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นแล้ว ช่วงเวลาที่รอนแรมกลางทะเลทรายในยามนี้ก็คือการตกนรกทั้งเป็นเรื่องนี้เอง ทั้งเนื้อทั้งตัวต้องคลุมผ้ามิดชิดป้องกันทั้งเม็ดทราย ทั้งการสูญเสียเหงื่อ ริมฝีปากแตกแห้งลอกเป็นแผ่น บางจุดถึงกับมีเลือดไหลซิบออกมา
          “ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมกลางทะเลทรายแล้ว เจ้าอดทนอีกนิดไท่หยาง”
          ร่างในอ้อมอกด้านหน้าทำเพียงผงกหัวยอมรับ ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมา
          เยี่ยส่งสายจูงม้าให้กับเสี่ยวเอ้อ แล้วพาไท่หยางเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปหาห้องพักทันที
          “คุณชายท่านนี้ มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นชายร่างอ้วน แววตาหลุกหลิก รีบร้องถามเมื่อเห็นแขกก้าวเข้ามาพัก
          “ห้องพักหนึ่งห้อง จัดเตรียมน้ำและอาหารตามขึ้นไปด้วย ข้าต้องการพักผ่อนโดยเร็ว”
          “ได้ๆ ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยให้เสี่ยวเอ้อยกขึ้นไปนะขอรับ”
          เยี่ยสะบัดหน้าเตรียมเดินขึ้นห้องพัก หากได้ยินเสียงโวยวายทางด้านหน้าร้านจึงหยุดยืนมอง
          “ไม่ได้ๆ ไม่มีเงินก็ไม่มีน้ำไม่มีอาหาร ที่นี่ไม่ใช่โรงทาน ไปๆ เกะกะหน้าร้านข้า” เถ้าแก่โวยวายไล่หลวงจีนแก่ๆ ในชุดเก่าขาดผู้หนึ่งอย่างไม่ไว้หน้า
          “ประสก อาตมาขอเพียงน้ำดื่มบรรเทาความกระหาย”
          “น้ำในทะเลทรายมีค่าดุจทองคำ ไยข้าต้องให้ทานทองคำแก่ท่านด้วย”
          แรงกระตกจากชายเสื้อทำให้เยี่ยก้มลงมองคนในอ้อมแขน เห็นท่าทางบุ้ยใบ้ปากก็รู้ว่าไท่หยางต้องการสิ่งใด
          “เถ้าแก่เปิดห้องพักเป็นสองห้อง ให้ไต้ซือท่านนี้ด้วย คิดเงินที่ข้า” สั่งเสร็จก็ก้าวเท้ายาวๆ จากไป ไม่รอรับคำขอบคุณ
          “อามิตตาพุทธ ขอบคุณประสกยิ่งแล้ว” ไต้ซือเฒ่ายกฝ่ามือขวาจรดหน้าอกค้อมศีรษะคารวะทันเพียงแผ่นหลังของเยี่ยที่เดินหายไปแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ ใช้ไม้เท้าประคองตัวเองเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของโรงเตี๊ยมตามหลังเยี่ยไป
          “จับตามันให้ดี ดูท่าจะเป็นเศรษฐีหลงทางมา ไม่แน่คืนนี้เราอาจมีโชคกันถ้วนหน้า” เถ้าแก่กำกับลูกน้องก่อนแยกย้ายไปเตรียมการ
          หลังจากอาบน้ำชำระล้างฝุ่นทรายที่ติดตามตัวออกจนหมด ไท่หยางก็มานอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง
          “ขอบคุณมากนะเยี่ย ที่ช่วยเหลือพระรูปนั้น” มือขาวจับฝ่ามือคล้ำแกว่งเล่นไปมาเบาๆ ก่อนบีบนวดอย่างประจบเอาใจ
          “หลวงจีนเฒ่านั่นรึ ไม่มีสิ่งใดต้องขอบใจข้าหรอกไท่หยาง เงินทองที่หามาได้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าริเริ่มให้ตั้งสำนักคุ้มภัย ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า หาไม่ชีวิตข้าคงต้องทำงานเสี่ยงภัยมิรู้จบสิ้น”
          “อย่ามัวพูดอยู่เลย มาๆ กินข้าวกันก่อน เสี่ยวเอ้อพึ่งเอาขึ้นมาให้เมื่อสักครู่ กับข้าวยังร้อนๆ อยู่เลย เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากเจ้าหรือไม่”
          เยี่ยจับจูงไท่หยางให้มานั่งบนเก้าอี้ ปากก็ชวน มือก็คีบกับส่งให้ไม่ขาดตอน
          “เจ้าจะขุนให้ข้าเป็นหมูรึไง กับข้าวล้นจานไปหมดแล้วไม่เห็นรึ”
          “ข้าว่าเจ้าเพรียวบางไปนิด หาก..หากกินให้มากสักหน่อย จะได้เต็มไม้เต็มมือมากกว่านี้” เยี่ยพูดจบก็หลบตาขวยเขิน เฮ้อ เขาสิต้องเขิน นี่ดันคิดเอง พูดเอง เขินเองคนเดียวแบบนี้ก็มี
          “ข้าปวดท้องจะไปห้องน้ำ เจ้ารออยู่บนนี้แหละไม่ต้องตามมา” ไท่หยางวางตะเกียบลงก่อนลุกขึ้นเดินออกไป หากทันเห็นสีหน้าเศร้าสลดของเยี่ย จึงได้พูดเสียงอ่อนลง
          “เด็กดี รออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาแล้ว”
          เพียงเท่านั้นดอกไม้ที่ขาดน้ำเมื่อสักครู่ก็พลันเบ่งบานเสมือนได้รับฝนทิพย์จากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ไท่หยางได้แต่เดินส่ายหัวบ่นพึมพำออกนอกห้องไป
          “นี่กูมีผัวหรือมีลูกกันแน่วะ”
          เสร็จธุระเรียบร้อยไท่หยางก็เดินกลับมา พลันเห็นด้านหน้ามีกลุ่มคนใส่ชุดดำปกปิดหน้าตาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ จึงได้แอบัวเข้ากับกำแพงด้านข้างก่อนจะชะโงกหน้าออกไปมอง คนชุดดำส่งเสียงกระซิบกระซาบก่อนจะล้วงนำกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมา เจาะรูที่ประตูหน้าห้อง สอดกระบอกไม้ไผ่เข้าไป
          ไท่หยางตัวชาวาบ เป็นกลุ่มคนร้ายแน่นอน จะเข้าไปเตือนเยี่ยได้ยังไงล่ะทีนี้ ขณะกำลังยืนละล้าละลัง พลันมีมือลึกลับปิดปากลากเข้าไปในห้องเสียก่อน ไท่หยางไต้แต่ร้องอึกอัก ก่อนจะหยุดดิ้นรน เมื่อมีเสียงอ่อนโดยสายหนึ่งกล่าวขึ้นมา
          “อามิตตาพุทธ ประสก นี่อาตมาเอง หาใช่ผู้ร้ายไม่”
          “อะ ไต้ซือ เยี่ยยังอยู่ในห้อง”
          “ใจเย็นประสก อาตมาเห็นแล้ว” ท่าทางสงบนิ่งของผู้ทรงศีล ทำให้ไท่หยางใจเย็นลงได้
          “ประสกรออยู่ที่ห้องนี้ก่อนเถิด ประเดี๋ยวอาตมามา”
          “เดี๋ยวก่อน ท่าน ท่านใต้ซือไปคนเดียวอาจเป็นอันตรายได้ ให้ข้าไปช่วยด้วยอีกแรงหนึ่งเถอะ”
          ไต้ซือผู้เฒ่าส่ายหน้าอมยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ประสกน้อย ถึงอาตมาจะแก่ แต่ก็ยังมีไฟอยู่” พูดจบก็ยักคิ้วให้หนึ่งทีก่อนจะพลิ้วกายเดินจากไป
          ชั่วเวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ไต้ซือผู้เฒ่าก็กลับมาเรียกไท่หยาง
          “ประสกน้อย เชิญตามอาตมามาทางนี้หน่อย อาตมาว่าเราประสบปัญหาแล้ว”
          ไท่หยางกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไต้ซือผู้เฒ่าไปอย่างร้อนรน เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบชายชุดดำนอนระเกะระกะกองอยู่บนพื้นห้อง ส่วนเยี่ยนั้นสลบพับไปบนโต๊ะกินข้าว
          “เยี่ย เยี่ย เป็นอย่างไรบ้าง” ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ร่างตรงหน้าก็ไม่มีวี่แววจะขานรับแม้เพียงซักนิด ไท่หยางเริ่มกังวล หันมามองหน้าไต้ซือเฒ่าหวังขอความช่วยเหลือ
          “เฮ้อ นี่แหละปัญหาที่อาตมาบอกประสก เพื่อนของประสกได้รับพิษในปริมาณที่มากเกินไป โจรกระจอกพวกนี้คงกะปริมาณยาไม่ถูก หากภายในสองชั่วยามไม่สลายพิษออกมาให้หมด เกรงว่าเพื่อนของประสกจะหาฟื้นได้ไม่”
          ไท่หยางตกตะลึง มือค่อยๆ ประคองศีรษะเยี่ยให้พิงซบบ่าตนเองก่อนเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก
          “แล้ว มะ มีวิธีใดขจัดพิษได้บ้าง”
          “ยาถอนพิษธรรมดาทั่วไปน่ะอาตมามีติดกายอยู่ตลอดเวลานะประสก แต่กรณีนี้ต้องใช้กระสายยาพิเศษช่วยอีกหนึ่งชนิด หากที่นี่ กลางทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งนี้ จะไปหากระสายยาที่ใดทัน คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกระมัง”
          “กระสายยาชนิดใดกันไต้ซือ” ไท่หยางพึมพำเสียงแผ่ว
          “น้ำผึ้งน่ะประสก” ไต้ซือเฒ่าเอ่ยเบาๆ พลางส่ายหัว
          “อะไรนะ น้ำผึ้งเหรอ” ไท่หยางหัวเราะร่า “มีๆ เรามีเยอะเลยท่านไต้ซือ 6 ไหพอเพียงหรือไม่ท่าน” พูดจบไท่หยางก็กระวีกระวาดรีบไปหยิบไหน้ำผึ้งมาส่งให้หลวงจีนเฒ่าทันที ครั้งนี้เป็นเพราะการ “มองการณ์ไกล” ของเยี่ยแท้ๆ จึงได้มีน้ำผึ้งนำมาใช้ถอนพิษได้
          “ไท่หยาง” เสียงแผ่วพึมพำเรียกชื่อ หากนั่นก็เพียงพอแล้วให้คนที่นั่งเฝ้าหน้าเตียงนอนได้ยิน เยี่ยกระพริบตาปริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะลืมตาได้เต็มตา ไท่หยางค่อยๆ ช้อนมือสอดประคองศีรษะของเยี่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
          “เยี่ย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
          “ข้าปวดหัวเล็กน้อย แล้วเจ้าเล่าเป็นเช่นไรบ้าง บาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่” เยี่ยพยายามจะลุกขึ้นไปไต่ถามอาการไท่หยาง หากฝืนทนปวดไม่ไหว จึงได้แต่เองซบแผ่นอกไท่หยางเป็นที่พัก หลับตาพูดอยู่กับอกไท่หยางว่า
          “ก่อนข้าจะสลบไป มีคนชุดดำเข้ามาในห้อง ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะมีอันตราย”
          “ได้ท่านไต้ซือช่วยไว้พอดี มิเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”
          “ไต้ซือเฒ่าผู้นั้นรึ”
          “ใช่ หนำซ้ำท่านยังช่วยถอนพิษจากยาสลบให้กับเจ้าด้วยนะ เอาไว้เจ้าหายดี ข้าจะพาไปคารวะท่านใต้ซืออีกครั้งหนึ่ง”
          “แล้วคนชุดดำพวกนั้นเล่า” เยี่ยขมวดคิ้วแน่นเมื่อนึกถึง
          “คนเหล่านั้นก็คือพวกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อทั้งหลายล้วนเป็นโจรปลอมตัวมาทั้งสิ้น อาตมาจัดการไล่ไปหมดแล้ว ประสกอย่ากังวล” ไต้ซือผู้เฒ่าก้าวเท้าเข้ามาในห้อง พร้อมทั้งจับชีพจรตรวจดูร่างกายเยี่ยว่ายังมีพิษตกค้างอยู่อีกหรือไม่ ก่อนจะกล่าวต่อ
          “ดีที่เจ้าเป็นคนฝึกยุทธ์ ร่างกายจึงขับพิษได้เร็ว พักอีกสัก 2-3 วัน ก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม”
          เยี่ยประสานมือคารวะ “ต้องขอบคุณท่านไต้ซือที่ช่วยเหลือ หาไม่ทั้งตัวข้าและไท่หยางคงได้เป็นผีเฝ้าโรงเตี๊ยมเป็นแน่”
          “บุญคุณต้องทดแทน ประสกทั้งสองก็ช่วยเหลืออาตมาไว้เช่นกัน” ไต้ซือเฒ่าค้อมหัวลงกล่าว
          “แล้วนี่พวกเจ้าจะเดินทางไปที่ใดกัน”
          “ข้าน้อยทั้งสองตามสืบข่าวคราวของตำรา “เบญจมาศม่วง” มีคนพบเบาะแสว่าน่าจะอยู่ที่นอกด่าน แต่คงจะเป็นข่าวลวงแล้ว เพราะพวกข้าเดินทางสอบถามมาหลายที่แต่ก็ไร้วี่แวว”
          ไต้ซือเฒ่าลมหายใจสะดุด หน้าเผือดสี ก่อนปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้วเอ่ยเสียงเนิบช้า
          “พวกประสกจะตามหาตำราเบญจมาศม่วงไปทำไมรึ”
          “เรียนไต้ซือตามตรง พวกข้าน้อยเปิดสำนักคุ้มกันภัย ด้วยต้องการสืบข่าวตามที่มีผู้จ้างวานตามหาตำรานี้เพื่อไปศึกษา นัยว่าเป็นตำราหายาก จึงอยากเรียนรู้เนื้อหาภายในตำราให้ถ่องแท้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งใด แต่ผู้ใดเป็นผู้จ้างวาน ข้าน้อยมิอาจแพร่งพรายให้ท่านไต้ซือทราบได้”
          “อาตมาหาได้อยากรู้ไม่ว่าใครบ้างที่สืบเสาะหาตำรานี้” ไต้ซือเฒ่าส่ายหน้าไปมาพลางทอดถอนลมหายใจ
          “เฮ้อ...หลบหลีกซ่อนเร้นไปก็เท่านั้น ยิ่งทำให้คนเล่าลือเกินจริงไปกันใหญ่ ลิขิตสวรรค์ๆ”
          ไท่หยางตาโต ตางเข้าไปหาไต้ซือด้วยความตื่นเต้นทันที
          “ท่านไต้ซือรู้หรือว่าตำรานั้นอยู่ที่ใด”
          “อาตมารู้จักผู้คิดค้นประพันธ์เรื่อง “เบญจมาศม่วง” อยู่บ้าง ถ้าหากประสกต้องการไปตามหาจริงๆ อาตมาจะบอกเส้นทางไปหุบเขา ‘ไร้ใจ’ ให้”
          “เมื่อประสกไปถึง เพียงยื่นป้ายหยกนี้ให้บุคคลท่านนั้น หากเจ้าขอศึกษาคัดลอก เขาก็คงยินยอม”
          เยี่ยยื่นมือไปรับป้ายหยกสีเขียวใสสลักเสลาลวดลายดอกเบญจมาศอันวิจิตรมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ
          “ขอบคุณท่านไต้ซือมาก ข้าน้อยนึกว่าคงทำงานไม่สำเร็จแล้ว หากไม่ได้ท่านไต้ซือช่วยเหลือ คงคว้าน้ำเหลวเป็นแน่แท้”
          “ชะตาคงลิขิตให้เป็นเช่นนี้ เอาเถอะ ถ้าอย่างไรข้าคงขอตัวออกเดินทางต่อ เพียงอยากฝากถ้อยคำถึงเขาผู้นั้นว่า ‘สัญญา 10 ปีคงมั่น ไร้ใจไร้วิญญาณ’ ”
          กล่าวจบไต้ซือก็เดินหันหลังจากไป ทิ้งให้คนในห้องแปลกใจกับประโยคที่แปลไม่ออกประโยคนั้น“แค่ก แค่ก” เสียงไอของเยี่ยดึงสติไท่หยางให้กลับมา ก่อนจะรีบรินน้ำไปให้ถึงบนเตียงนอน
          “ดื่มน้ำหน่อยนะเยี่ย ค่อยๆ ไม่ต้องรีบระวังสำลัก” ประคองเยี่ยดื่มน้ำเสร็จ ไท่หยางก็เช็ดมุมปากให้
    “เฮ้อ! เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้กลางทะเลทรายแล้วมั๊ยล่ะ ยังไงถ้าเจ้าหายดีแล้ว เรารีบออกเดินทางไปหุบเขาไร้ใจดีกว่า ภูเขายังไงก็ดีกว่าทะเลทราย ที่นี่ทั้งร้อนทั้งแล้ง ชวนให้คนหงุดหงิดเป็นที่สุด”


โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น้ำผึ้งนั้นสำคัญไฉน 55555    :-[

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บทที่ 6

          การเดินทางไปหุบเขาไร้ใจ เส้นทางเต็มไปด้วยแมกไม้ บรรยากาศสุขสงบ ไท่หยางยิ้มแย้มเบิกบานตลอดเส้นทาง เยี่ยเองก็กระทำตนเหมือนมาพักผ่อนเที่ยวเล่น เดินสามก้าว หยุดสองก้าว แวะพักชี้ชวนกันดูวิวทิวทัศน์ข้างทางตลอดเวลา
          “ไท่หยาง ด้านหน้ามีน้ำตก พวกเราแวะผ่อนคลายกันหน่อยดีหรือไม่” เยี่ยก้มหน้าถามชิดใบหูไท่หยางที่นั่งอาชาตัวเดียวกัน
          “อื้ม ก็ดีนะ แต่คราวหลังถามธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องแนบชิดจนแทบจะกินใบหูข้าเข้าไปหรอก เรื่องกินเต้าหู้นี่ถนัดนักนะเจ้า”
          เยี่ยหัวเราะเสียกังวาน ก้มลงสูดดมกลิ่นหอมบนเรือนผมคนในอ้อมอกที่รู้ทันเขาไปทุกเรื่อง ก่อนจะชักม้าให้เดินเหยาะย่างไปที่ริมน้ำตก
          บริเวณน้ำตกสงบเงียบ มีกลิ่นอายแห่งธรรมชาติเต็มเปี่ยม เยี่ยตวัดขาลงจากหลังอาชาก่อนส่งท่อนแขนให้ไท่หยางเกาะประคองตัวลงมา นิ้วมือของทั้งคู่สอดประสานจับจูงกันไปนั่งชื่นชมบรรยากาศบนโขดหิน เยี่ยนั่งเอนตัวพิงหัวไหล่ของไท่หยางประหนึ่งสุนัขตัวโตที่ซบออดอ้อนเจ้าของ
          “เยี่ย”
          “หืม”
          “เล่นน้ำกันมั๊ย มาถึงน้ำตกทั้งที มานั่งตัวแห้งอยู่แบบนี้เสียดายโอกาส”
          “หากเจ้าอยากเล่น ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อน” พูดจบก็ปลดผ้าคาดเอวออกโดยเร็ว สายตาส่งประกายวิบวับ
          “เหอะ เล่นของเจ้ากับเล่นของข้ามันคนละความหมายกันแล้ว แต่เอาเถิด วันนี้ข้าจะเล่นตามที่เจ้าต้องการ ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้นะ” ไท่หยางส่งสายตายั่วเย้า จุดประกายไฟในดวงตาของอีกฝ่ายให้ลุกโชน
          “มา ข้าพร้อมสู้เต็มที เสนอการประลองที่เจ้าถนัดมาได้เลย” เยี่ยประกาศเสียงกร้าว เลือดลมสูบฉีดทั่วร่าง
          “วรยุทธ์ข้าก็ไม่เป็น ดาบรึกระบี่ล้วนไม่เคยแตะต้อง แต่ถ้าเป็นเรื่องจุมพิตข้ามั่นใจเต็มเปี่ยม ข้าต่อให้เจ้าเริ่มก่อนด้วย ผู้ใด ‘ขึ้น’ ก่อน ผู้นั้นปราชัย ตกลงหรือไม่”
          จบคำประกาศท้าทาย เยี่ยพุ่งตรงเข้าจับใบหน้าไท่หยาง ฉกปากกดลงบนกลีบปากคู่นั้นทันที สองมือประคองบริเวณกรามไว้ไม่ให้ขยับดิ้นรนไปทางใดได้ จูบดุดันกระชากวิญญาณเหมือนพายุที่พัดผ่านที่ใดล้วนไม่สิ่งใดต้านทานได้ ลิ้นร้อนรุกไล่ดูดดึงสลับขบเม้มริมฝีปาก เล่นเอาไท่หยางแทบสำลักเพราะหายใจแทบไม่ทัน จวบจนเซาะซอนทั่วทั้งโพรงปาก เยี่ยจึงได้ถอนใบหน้าออกใช้ปลายนิ้วโป้งไล่เช็ดบนปากบวมเจ่อให้ไท่หยางอย่างแผ่วเบา
          “เช่นนี้...ใช้ได้หรือไม่” เยี่ยกระซิบถามเสียงพร่า
          ไท่หยางกระพริบตาปริบ เกือบเสียท่าแล้ว ประมาทไม่ได้เหมือนกัน ลอบสูดลมหายใจช้าๆ แล้วจึงคว้าผ้าคาดเอวที่เยี่ยถอดออกค่อยๆ มัดปิดดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยไว้
          “เจ้าจะเล่นลูกไม้อันใดไท่หยาง” สิ้นสุดเสียงที่คำสุดท้าย ลมหายใจอุ่นร้อนก็ประทับแผ่วเบาที่กลางหน้าผาก ก่อนจะย้ายมาที่เปลือกตาทั้งสองข้างอย่างผะแผ่ว เสียงกระซิบหยอกเอินข้างหูบอกให้ใช้ใจในการสัมผัสรู้แทนดวงตาในการมองเห็น เยี่ยรู้สึกเพียงติ่งหูถูกดูดกลืนคละเคล้ากับเสียงน้ำลายดังหยาบโลนชวนให้ใจเต้นระทึก ทุกการเคลื่อนไหวล้วนใช้ใจสัมผัสตามกระแสลมหายใจร้อนลวกผิวตั้งแต่บริเวณลำคอจนมาสิ้นสุดที่ริมฝีปาก จุมพิตผะแผ่วคล้ายแมลงปอโฉบแตะผิวน้ำ หากก่อให้เกิดระลอกคลื่นแผ่กว้างเป็นวงสะท้อนไม่จบสิ้น ในช่องท้องวูบโหวงเหมือนโดนจับโยนขึ้นสู่ที่สูง แต่กลับตกลงมาในบ่อน้ำเชื่อมที่หวานล้ำ หากเปรียบจุมพิตของเยี่ยดั่งพายุลมแรง จุมพิตของไท่หยางกลับเป็นสายลมโชยเอื่อย แผ่วเบา ชวนให้ชุ่มชื่นหัวใจ เยี่ยครางเสียงต่ำในลำคอ ก่อนกระชากผ้าปิดตาออก
          “ข้าแพ้แล้ว” ลมหายใจติดขัด วงหน้าแดงก่ำนั่นก็คือคำตอบของการประลองในครั้งนี้แล้ว
          “เจ้าแพ้ต้องถูกลงโทษ” พูดจบไท่หยางก็หย่อนมือลงไปในน้ำตกควานเอาหินกลมเกลี้ยงขึ้นมาก้อนหนึ่ง ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบก้อนหินนั้นไว้ ก่อนจะค่อยๆ จรดลงบนแผงอกของคนตรงหน้า
          เยี่ยสะดุ้งสุดตัวเพราะความเย็นของก้อนหินที่แช่น้ำตกเป็นเวลานาน ไท่หยางลากไล้หินก้อนนั้นไปตามวงป้านสีน้ำตาลเข้มอย่างยั่วเย้า ยิ่งเห็นยอดอกของเยี่ยหดตัวเป็นตุ่มไตสั่นระริกก็ยิ่งย่ามใจ โน้มตัวลงงับยอดอกอีกข้างอย่างอดใจเอ็นดูไม่ไหว
          “ไท่หยาง เจ้ากำลังทำให้ข้าจะขาดใจ”
          ไท่หยางลุกขึ้นปลดเสื้อผ้าพลางหันหลังเดินลงไปในน้ำก่อนจะเอ่ย
          “เจ้าอยาก “เล่น” กับข้า ก็จงตามลงมาเถิด” รอยยิ้มเจิดจ้าถูกส่งมาท้าทายถึงขนาดนี้ เยี่ยปลดชุดตามอย่างว่องไว พลิกพลิ้วสะกิดปลายเท้าเพียงเล็กน้อยก็ส่งตัวเองมายืนอยู่เบื้องหน้าคนช่างยั่วได้อย่างรวดเร็ว
          น้ำในน้ำตกเย็นเฉียบ หากอุณหภูมิภายในกายของทั้งคู่กลับพุ่งขึ้นสูง ทั้งสองโผปะทะเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร เจ้าจับข้า ข้ากอดเจ้า ฝ่ามือลูบไล้สัมผัสเรือนกายของกันและกัน ทุกตารางนิ้วบนตัวไม่มีจุดใดหลุดพ้นไปจากการสำรวจนี้ได้
          เยี่ยดันตัวไท่หยางไปจนติดกับแผ่นหินด้านหลัง ฝ่ามือลูบไล้ไปจนถึงด้านล้าง กอบกุมสัดส่วนของไท่หยางนวดเฟ้นจนรู้สึกได้ถึงความแข็งขึงในมือ เยี่ยบรรจงจับตัวตนของตัวเองให้สัมผัสแนบแน่นไปกับตัวตนของไท่หยาง ปลุกให้เพลิงอารมณ์ของอีกฝ่ายลุกฮือ เงาร่างสีขาวเชิดหน้าหลุดเสียงครางหวิว ในขณะที่ส่ายร่างกายช่วงล่างบดเบียดกับร่างกำยำของเยี่ยอย่างบ้าคลั่ง
          “เยี่ย อืม เร็ว อีก นิด ข้า แฮ่ก แฮ่ก ข้า” ไท่หยางครางเสียงกระเส่า
          แต่เยี่ยพลันหยุดมือ หากจับขาไท่หยางพันกระหวัดกับเอวสอบของตนเอง ส่งผลให้ไท่หยางขัดใจ
          “หยุดทำไม”
          “ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปก่อนข้าแน่ วันนี้เราจะไปพร้อมกัน”
          ฝ่ามือที่เริ่มคืบคลานไปทางช่องทางเบื้องหลังใต้น้ำเริ่มรุกคืบนวดคลึงอย่างเชื่องช้าทว่าหนักหน่วง นิ้วโป้งคลึงเคล้นจนช่องทางเริ่มอ่อนนุ่มจึงค่อยๆ ส่งนิ้วกลางเข้าไปสำรวจช่องทางภายใน นิ้วที่เริ่มหมุนวน ส่งผลให้ไท่หยางเสียดเสียวแปลบปลาบ ได้แต่ก้มหน้าลงซบบ่ากว้างงับไหล่เยี่ยไว้เพื่อปิดกั้นเสียงของตนเอง
          “รู้สึกดีใช่หรือไม่ หืม” เยี่ยเอ่ยหยอกเย้า ซุกไซ้สูดดมที่ซอกคอของไท่หยางอย่างหลงใหล ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนนิ้วเป็นสองและสามตามลำดับ
          “อึก อ่า ให้ อะ ให้ข้า” ใบหน้าที่แหงนส่ายไปมาแดงจัดด้วยพิษอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น เยี่ยบดจุมพิตไปบนริมฝีปากอีกครั้งในขณะที่ถอดถอนนิ้วออกมาและส่งตัวตนของตนเองเข้าไปแทนที่
          ผิวน้ำรอบกายเริ่มกระเพื่อมเป็นวงกว้างตามแรงขยับปะทะของร่างกายทั้งสอง ช่องทางภายในที่บีบรัด ส่งผลให้เยี่ยยิ่งขยับเอวรัวเร็ว
          “ฮะ อะ เยี่ย จับ ข้า ช่วย อึก ข้าที”
          “พร้อมกันนะ ไท่หยาง อะ ข้า อืม”
          มือเยี่ยพลันเร่งเร้ากระตุกตัวตนของไท่หยาง พร้อมๆ กับที่ช่องทางด้านหลังกระตุกรัดรีดเอาหยาดอุ่นร้อนให้ทะลักปลดปล่อยออกมาทุกหยาดหยดพร้อมๆ กัน
          “แฮ่ก แฮ่ก เยี่ย” เสียงไท่หยางแหบแห้ง
          “อืม อะ แฮ่ก เจ้า เจ้ามีสิ่งใด” เยี่ยเองก็ส่งเสียงหอบถาม ไท่หยางกอดคอซุกซบบนบ่ากว้างก่อนจะเอียงหน้ามากระซิบริมหู
          “ข้าชอบเจ้านะเยี่ย อาจจะยังไม่ถึงขั้นลุกซึ้งถึงคำว่ารัก แต่ข้าชอบเจ้าจริงๆ”
เยี่ยเสยผมที่ลงมาปรกหน้าผากไท่หยางให้อย่างเบามือ
          “เจ้ายังต้องอยู่กับข้าอีกนานไท่หยาง มีเวลาอีกมากมายที่เจ้าจะรักข้า ข้าหาได้เร่งร้อนไม่ ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าอย่างนี้ตลอดไป ข้ารอคำว่ารักของเจ้าได้เสมอไท่หยาง”
          “ขอบคุณนะเยี่ยที่เข้าใจ ว่าแต่...ไอ้ที่มันดุนๆ หน้าท้องข้านี่มันคืออะไรหา!!!”
          “ข้ายังรอให้เจ้าบอกรักข้าได้อย่างอดทน เจ้าก็ควรแสดงน้ำใจตอบแทนการรอคอยของข้าเล็กๆ น้อยๆ เช่น ควรให้ข้าได้รักเจ้าต่ออีกสักครามิได้หรือ” พูดจบเยี่ยก็ไม่รอให้ไท่หยางตอบรับคำ หากใช้ปากประกบปิดคำพูดปฏิเสธไว้ด้วยริมฝีปากตน
          บนภูเขาไร้ใจ หมอกลอยระเรื่อยเรี่ยพื้นหญ้า บรรยากาศสงบเงียบ ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง บนยอดเขาแห่งนี้มีผู้อาวุโสรูปร่างผอมสูง หน้าตาท่าทางใจดีอาศัยอยู่เพียงผู้เดียว เพียงแค่เอ่ยปากถามถึงตำรา ‘เบญจมาศม่วง’ ก็กุลีกุจอต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ทั้งยังชักชวนให้ทั้งสองคนอยู่พำนักด้วยกันบนหุบเขา เพื่อใช้เวลาคัดลอกตำราได้อย่างไม่มีกำหนดอีกด้วย
          “นับเป็นวาสนาของข้าน้องแล้ว ที่ท่านผู้อาวุโสให้ความเมตตา” เยี่ยประสานมือคารวะด้วยความตื่นเต้นยินดีที่งานคราวนี้สำเร็จลุล่วงลงได้
          “ตัวข้าอยู่ผู้เดียวบนยอดเขาแห่งนี้ พวกเจ้าหาทางขึ้นมาหาข้าได้ถึงที่นี่ ต้องนับว่าเป็นลิขิตฟ้าแล้ว”
          ท่านผู้อาวุโสหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังชอบอกชอบใจ ก่อนจะพาไปเยี่ยมชมห้องตำราภายในตัวบ้าน
          เมื่อเห็นห้องเก็บตำรา ไท่หยางและเยี่ยต่างก็ต้องตกตะลึง ด้วยชั้นวางตำราอัดแน่นทั้งสี่ด้าน ตำราแต่ละเล่มยังถูกห่อไว้ด้วยกระดาษชุบน้ำมันอย่างดี ฝุ่นผงเพียงสักนิดก็หามีไม่
          ผู้อาวุโสเห็นเด็กหนุ่มอ้าปากค้างก็ชอบใจ รีบชักชวนให้ดูตำราหายากจากที่ต่างๆ อย่างสนุกสนาน
          “เจ้าเห็นเล่มนี้หรือไม่ เล่มนี้น่ะผลิตออกมาเพียงแค่ 5 เล่มเท่านั้นนะ ผู้คนใฝ่หากันเท่าใดก็สุดรู้ โชคดีที่ข้าทุ่มเทเงินทองไปแย่งชิงมาได้”
          “แล้วนี่นี่ เล่มนี้ เจ้าหนุ่มทั้งสอง มีเงินอย่างเดียวก็หาได้เป็นผู้ครอบครองไม่ ข้าต้องไปเกณฑ์สมัครพรรคพวก เพื่อไปลงชื่อจองตำราเล่มนี้ จากนั้นก็ทำรายชื่อทั้งหมดไปคัดออกทีละคนๆ จนเหลือรายชื่อสุดท้าย จึงจะได้เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้”
          ผู้อาวุโสเฒ่าเล่าไปใบหน้าก็ยิ้มแย้มไปด้วย เหตุเพราะได้ระลึกถึงเรื่องราวยามหนหลัง
          “ต่อมาข้าเริ่มรู้จักความรัก จึงตัดสินใจเขียนตำรา “เบญจมาศม่วง” ขึ้นมา เรื่องราวอาจไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าดีงาม แต่ก็ร้อยเรียงขึ้นมาจากความจริงใจของข้า ข้าจึงรักตำราเล่มนี้อย่างมาก” อาวุโสเฒ่าถอนหายใจ
          “จริงสิท่านผู้อาวุโส” ไท่หยางนึกขึ้นได้ รีบล้วงหยิบเอาหยกที่ใต้ซือผู้เฒ่าฝากไว้ออกจากแขนเสื้อส่งให้
          “มีใต้ซือท่านหนึ่งฝากสิ่งนี้ให้กับท่าน”
          อาวุโสเฒ่าหน้าเผือดสีทันที ยื่นมือสั่นระริกออกไปรับหยกพลางเอ่ยถาม
          “เจ้าได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร”
          เยี่ยจึงเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งพบเจอกับไต้ซือเฒ่าที่ทะเลทรายให้ฟัง
          “ท่านไต้ซือยังฝากคำพูดมาบอกท่านว่า ‘สัญญา 10 ปี คงมั่น ไร้ใจ ไร้วิญญาณ’ ”
          เมื่ออาวุโสเฒ่าได้ยินดังนี้ก็พลันเศร้าหมอง มือกุมหยกชิ้นนั้นกอดแน่นลงบนอกข้างซ้าย น้ำตาไหลลงนองหน้าทันที
          “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะออกบวช ข้าเฝ้ารอที่หุบเขาไร้ใจมา 9 ปี รอให้เจ้ามาพบ เพื่อตัดความสัมพันธ์ ไฉนจึงยังยึดติดอยู่กับข้า ข้าบอกให้เจ้าแต่งงานมีลูกหลานสืบสกุลให้เต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อปีที่ 10 มาถึง ข้ากับเจ้าจะได้ร่ำสุรา สนทนากันเยี่ยงสหายได้อย่างบริสุทธิ์ใจ ทำไมจึงยึดติดเช่นนี้ ทำไม”
          ท้ายเสียงที่เจอสะอื้น ทำให้ไท่หยางและเยี่ยอดรู้สึกสะเทือนใจไปด้วยไม่ได้
          “ท่านผู้อาวุโสโปรดระงับใจ ท่านใต้ซือคงรักท่านมาก จึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้”
          “ใช่ๆ พอครบกำหนดสิบปีมาถึง ท่านไต้ซือกลับมาหาท่าน ท่านทั้งสองก็จะได้ครองรักกันต่อไป”
          “ครองรักอันใดกัน! ความรักอันวิปริตเช่นนี้ก็มีแต่ในตำราเท่านั้นแหละ ในชีวิตจริงใครหน้าไหนจะมาให้การยอมรับได้ พวกเจ้าสองพี่น้องคงไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนี้”
          “พวกข้าหาใช่พี่น้องกันไม่”
          “อ่า จะว่าไปเค้าโครงหน้า สีผิวก็หาเหมือนกันไม่ ถ้าอย่างนั้นคงเป็นสหายกันสินะ”
          “พวกข้านับเป็นคนรักกัน แม้อีกฝ่ายจะยังแค่ชอบ ยังมิได้รักข้าก็เถอะ” เยี่ยหันไปยิ้มยั่วเย้าไท่หยาง
          “พวกเจ้า...พวกเจ้า” ผู้อาวุโสเฒ่าชี้มือสั่นระริกไปที่ทั้งสอง สีหน้าดำคล้ำ โทสะพุ่งเทียมฟ้า พลันตวาดลั่นออกมา


โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เพลิน..นนนนนนน พี่เยี่ยน่ารัก น้องไท่หยางน่าย๊าก..กกกกกก     :oo1:

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บทที่ 7

          “พวกเจ้าเป็นคู่รักชายรักชาย แล้วยังมีหน้ามาเชิดหน้าชูคอยิ้มแย้มพูดคุย ไม่รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งผิดจารีต น่าละอายบ้างหรืออย่างไร”
          ไท่หยางงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้อาวุโส แต่ก็ยังมีมารยาทมากพอที่ข่มโทสะ ตอบกลับอธิบายด้วยเสียงราบเรียบ
          “มีสิ่งใดให้ต้องละอายเล่าท่านผู้อาวุโส พวกข้ารักกันล้วนเป็นความจริง ถ้าจะให้โกหกผู้คนว่าไม่ได้รักกันนั้น มินับเป็นการปดหรอกหรือ อีกอย่างความรักของพวกข้าก็มิได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร”
          เยี่ยฟังไท่อยางอธิบายก็ได้แต่ลอบยิ้มในใจที่ไท่หลายเอ่ยคำว่ารักออกมาเต็มปาก
          “ปากดีนักนะเจ้า” เพียงสิ้นเสียงตวาด อาวุโสเฒ่าก็พลิ้วกายมาจี้สกัดจุดไท่หยางทันที ไท่หยางได้แต่ส่งเสียงอึกอัก ทั่วทั้งร่างขยับไม่ได้
          “จะทำอะไรน่ะ ท่านผู้อาวุโสใบต้องทำร้ายไท่หยางด้วย”
          “หึ รักกันมากใช่มั๊ย ห่วงใยกันมากนัก ดี ดียิ่ง” อาวุโสเฒ่าเงยหน้าหัวเราะเสียงดังก้องฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
          “ข้าให้เจ้าเลือกเจ้าหนุ่มน้อย” เสียพูดยานคางยั่วเย้าของอาวุโสเฒ่าชวนให้ใจสั่นยิ่ง
          “ถ้าเจ้าตาย มันอยู่ ถ้ามันอยู่ เจ้าตาย ตรองดูให้ดีว่าอยากให้ข้าช่วยสงเคราะห์ใคร”
          พูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ หากเยี่ยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดตะโกนสวนกลับไปทันที
          “ปล่อยไท่หยาง แล้วเอาชีวิตข้าไป” ไท่หยางได้ฟังประโยคนี้ก็ชาวาบไปทั้งร่าง ได้แต่ส่งเสียงอึกอักในลำคอ จ้องมองเยี่ยไม่วางตา
          ฝ่ายอาวุโสเฒ่าพอได้ยินคำตอบกลับยิ่งคลุ้มคลั่ง
          “ไร้ยางอายกันสิ้นดี เหตุใด เหตุใดจึงแสดงความรักกันออกมาได้อย่างไม่แยแสสิ่งใด ดี ในเมื่อเจ้าเรียกร้องหาความตาย ข้าก็จะช่วยทำให้เจ้าสมหวัง แต่หากปลิดชีพเจ้าในฝ่ามือเดียวก็เกรงว่าเจ้าจะสบายจนเกินไป”
          อาวุโสเฒ่าเดินแสยะยิ้มตรงมาที่เยี่ยแล้วจึงเอ่ย
          “หากเจ้ารับฝ่ามือของข้าได้สามฝ่ามือแล้วยังมีชีวิตรอดอยู่ ข้าก็จะปล่อยตัวคู่รักที่เจ้าห่วงนักห่วงหนาไปดีหรือไม่”
          เยี่ยกัดฟันก้มหน้ารับชะตากรรมแต่โดยดี
          “ไม่ต้องพูดมากความไปท่านผู้อาวุโส เชิญลงมือได้” หลังจากเยี่ยพูดจบ อาวุโสเฒ่าก็ซัดฝ่ามือเปรี้ยงเข้ากลางแผ่นอกทันที
          “พรวด” เลือดสดๆ ไหลทะลักออกจากปากไหลย้อยลงมานองเต็มอกเสื้อ เยี่ยทรุดตัวลง ร่างกายโงนเงน หากยังคงครองสติไว้ได้ หลังจากกระอักไอออกมาอีกสองสามครั้งก็กัดฟันเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
          “เชิญ แค่กๆ เชิญท่านผู้อาวุโสซัดฝ่ามือที่สองได้”
          “จุ๊ๆ ยังปากเก่งได้ เจ้าดูซี่” อาวุโสเฒาส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ หันไปพยักเพยิดกับไท่หยาง
          “คนรักเจ้านี่อดทนดีจริงๆ น้า”
          ไท่หยางได้แต่เบิกตาโพลง มองดูเยี่ยถูกทรมานต่อหน้าต่อตา หากไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ เหงื่อเย็นๆ ไหลเปียกชุ่มแผ่นหลังไปหมด
          “อา...ยิ่งปล่อยเวลาเนิ่นนานไปก็จะยิ่งเจ็บปวดสินะ”
          เปรี้ยง!! ฝ่ามือที่สองฟาดซ้ำลงมาที่กลางแผ่นหลัง ครานี้เยี่ยมิอาจฝืนตัวได้อีกต่อไป ล้มคะมำลงไปบนพื้นหญ้าทันที เลือดพุ่งกระจายเปรอะเต็มพื้นไปทั่ว
           “แค่กๆ แฮ่ก” เยี่ยได้แต่พยายามเกาะยึดต้นหญ้า พยายามดึงตัวลุกขึ้นให้ได้
          “ข้า แฮ่ก ข้า ยังไหว อย่า อย่าลืม สัญ สัญญาท่าน สามฝะ ฮ่า สามฝ่ามือ ปล่อยไท่หยางไป” คำพูดกระท่อนกระแท่นที่ออกมาไม่มีแม้แต่การร้องขอชีวิตตน หากเป็นคำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยในความปลอดภัยของไท่หยางเพียงอย่างเดียว
          “จนถึงอย่างนี้ เจ้ายังมิละอายต่อสิ่งที่เจ้ากระทำอีกรึ ไยจึงมิอ้อนวอนข้า ขอขมาต่อสิ่งที่เจ้ากระทำ ข้าอาจละเว้นชีวิตเจ้าดูสักครา”
          เยี่ยกระอักกระไอเลือดออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง
          “ความรักที่ข้ามีต่อไท่หยางมิใช่สิ่งผิด มีสิ่งใดน่าละอายจนข้าต้องเอ่ยปากขอโทษกัน” เยี่ยใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปาก”
          “แม้ความรักของท่านก็เช่นกัน หากท่านยอมรับว่ารักท่านไต้ซือ ป่านนี้พวกท่านก็ครองรักกันมาได้ 9 ปีเข้าไปแล้ว ไยต้องทนให้ทิฐิบดบังไม่ยอมรับความจริงกัน”
          “เจ้า เจ้า ดี ดียิ่งนัก ยังไม่สำนึกอีกก็ควรไปตายซะ” อาวุโสเฒ่าพลิ้วกายไปคลายจุดให้ไท่หยาง
          “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดสั่งเสียกับมันเป็นครั้งสุดท้ายบ้างหรือไม่”
          ไท่หยางกลับมาขยับปากพูดได้ หากร่างกายยังนิ่งแข็งอยู่ เหยียดยิ้มไปทางอาวุโสเฒ่า ก่อนจะเปิดปากแค่นเสียงใส่
          “ปัญญาอ่อน!!!”
          ทั้งอาวุโสเฒ่า ทั้งเยี่ยต่างตกตะลึง ต่างนึกไม่ถึงว่าคำแรกหลังจากที่เปิดปากพูดได้ ไท่หยางจะพ่นคำด่าอาวุโสเฒ่าเช่นนี้
          “เจ้า เจ้า” มือสั่นระริกชี้หน้า ไม่อาจสรรหาคำใดมาตอบโต้ได้ ทำได้เพียงกล้ำกลืนก้อนโทสะไว้เต็มท้อง
          “เจ้าทำไม เจ้ามันปัญญาอ่อนจริงๆ ความรักของเจ้าคืออะไร คือการคร่ำครวญพร่ำเพ้อ แต่ไม่ยอมไขว่คว้าเช่นนั้นหรือ หากกับข้าแล้วมิใช่ ความรักของข้าคือการครอบครอง ข้ารักเขา เขารักข้า ทำไมเราสองคนจะอยู่เป็นคู่รักกันอย่างเปิดเผยมิได้ ท่านมันมัวแต่ยึดติดอยู่กับทิฐิคนดีงี่เง่า ยกตนไว้ว่าเป็นผู้เสียสละ รักษากฎเกณฑ์บ้าบออันใด ยอมจะให้คนรักแต่งงานไปกับผู้อื่น แล้วยังไง ก็ต้องอยู่กันอย่างทุกข์ทนทั้งสองฝ่ายมาเป็นเวลาถึง 9 ปี เท่านั้นยังไม่พอ ยังจะให้ผู้อื่นมาเป็นทุกข์ไปกับตัวท่านด้วย ถ้าไม่ให้ข้าด่าว่าปัญญาอ่อน จะให้ข้าด่าว่ายังไง”
          ไท่หยางก่นด่าออกมาเป็นชุดรวดเดียวไม่มีเว้นวรรค อาวุโสเฒ่าทรุดตัวลงนั่ง โดนเด็กคราวลูกเทศนาสั่งสอนจนคิดได้ เงยหน้าขึ้นหัวเราะ
          “ฮ่าๆๆๆ จริงของเจ้า ข้ามันปัญญาอ่อน “ความรักคือการครอบครอง” อย่างนั้นรึ พูดได้ดีๆ” อาวุโสเฒ่ายันกายลุกขึ้นจากพื้น เดินโซเซมาคลายจุดให้ไท่หยาง
          “เป็นข้าที่โง่เง่าอย่างที่เจ้าว่า แต่นี้ต่อไป ข้าจะออกตามหาท่านผู้นั้น ไขว่คว้าความรักมาไว้ในครอบครองของข้าให้ได้” พูดจบก็ควักขวดยาออกมาจากแขนเสื้อส่งให้ไท่หยาง
          “นี่คือยาเม็ดบรรทาอาการบอบช้าภายใน ข้าต้องขอโทษต่อพวกเจ้าที่ทำเรื่องชั่วช้าลงไป และเพื่อเป็นการแสดงความเสียใจต่อพวกเจ้า ข้าขอยกตำรา ‘เบญจมาศม่วง’ รวมทั้งสุดยอดตำราต่างๆ ในเรือนตำราของข้าให้พวกเจ้าทั้งหมด”
          ไท่หยางยื่นมือไปรับขวดกระเบื้องมาจากอาวุโสเฒ่าตรงหน้า
          “ท่าน...ไม่เสียดายตำราเหล่านั้นเรอะ”
          อาวุโสเฒ่าได้แต่ส่ายหน้า หากเปิดเผยรอยยิ้มจริงใจ
          “อยู่แต่กับเรื่องราวเพ้อฝันในตำรามาตลอดช่วงอายุขัย หากไม่เคยได้ครอบครองความรักที่แท้จริง ข้ามิเสียดายตำราเหล่านั้นหรอก หากเพียงเสียดายเวลาที่ล่วงผ่านมามากกว่า”
          พูดจบอาวุโสเฒ่าก็แตะปลายเท้าพลิ้วกายโผขึ้นแตะยอดไม้ เห็นเพียงเงาร่างผลุบโผล่หายลงจากเขาไป

          หลังจากพักฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเยี่ยอยู่บนเขาไร้ใจเป็นสัปดาห์กว่า เยี่ยและไท่หยางก็เร่งเดินทางกลับไปยังสำนักคุ้มภัยฮ่าวคั่น พร้อมด้วยตำราหายากมากมายจากผู้อาวุโสเฒ่า
          ฉงเมาเห็นกองตำราแล้ว เหมือนเห็นภูเขาเงิน ภูเขาทองตรงหน้า หากนำไปขายทอดตลาดแน่นอนว่าสำนักคุ้มภัยฮ่าวคั่นจะร่ำรวยมหาศาลกันก็คราวนี้ แต่ความฝันก็พลันสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาเพราะทั้งเยี่ยและไท่หยางและจู๋จื่อต่างไม่ต้องการทำกำไรจากส่วนนี้ หากแต่เปิดหอตำราให้อนุชนรุ่นหลังได้เข้ามาชื่นชมตำราหายากเพียงเท่านั้น
          ส่วนตำรา ‘เบญจมาศม่วง’ นั้นเล่าก็ได้ส่งมอบให้ผู้คุมกฎของสำนัก ‘แพรม่วงสูญสลาย’ เป็นที่เรียบร้อย เจ้าสำนักแพรม่วงสูญสลาย ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตกรางวัลเพิ่มจากค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ถึงสามเท่าตัว
          เยี่ยเดินทางกลับมาจากสำนักคุ้มภัย เห็นไท่หยางนั่งเหม่อมองต้นไม้ด้านนอกหน้าต่าง จนเขาเข้ามายืนซ้อนอยู่ด้านหลังยังไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัว จึงสวมกอดไปพร้อมเอ่ยถาม
          “คิดสิ่งใดอยู่หรือ ข้าเข้ามาตั้งนานแล้วเจ้ายังไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัว ถ้าเป็นโจรเด็ดบุปผา ป่านนี้เจ้าโดนกระทำชำเราไปแล้ว”
          “ปึก” ไท่หยางใช้ศอกกระทุ้งไปทางด้านหลังโดยไม่หันไปมองแม้แต่น้อย
          “มีแต่เจ้านั่นแหละที่จ้องจะ “เด็ด” ข้าอยู่ทุกวัน โจรที่ไหนจะเข้ามา”
          “อูย...แล้วตกลงเจ้าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่”
          “ข้าว่าข้าจะเขียนตำราขายบ้างน่าจะดี ขนาดอาวุโสคลั่งรักนั่นยังเขียนได้ ข้าว่าข้าก็น่าจะเขียนได้เช่นกัน”
          “อาวุโสคลั่งรักรึ ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินคงซัดฝ่ามือใส่เจ้าจนกระอักเลือดตายเป็นแน่”
          เยี่ยหัวเราะพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ก้มลงไปสูดดมความหอมจากแก้มขาวๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
          “ถ้าเจ้าอยากลองเขียนตำราดูก็ย่อมได้ ติดขัดสิ่งใดก็มาปรึกษาข้าได้เสมอ”
          “แน่นอนอยู่แล้ว มาอยู่ที่นี่ข้าไม่มีเงินติดตัว จะทำอะไรล้วนต้องแบมือขอเงินจากเจ้า ไม่ปรึกษาเจ้า จะให้ข้าไปปรึกษาใคร”
          “หาใช่เรื่องเงินทองไม่ เรื่องค่าใช้จ่ายน่ะเรื่องเล็ก เจ้าก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้สำนักคุ้มภัยฮ่าวคั่นของเรามีลูกศิษย์มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคมากมาย รายได้จากการคุ้มกันสินค้าก็เป็นกอบเป็นกำ เรื่องเงินหาใช่ประเด็นสำคัญไม่”
          “หากไม่ใช่เรื่องเงิน รึว่าเจ้าจะช่วยข้าเขียนตำรา เจ้าเคยเขียนรึ” ไท่หยางปรายตาเหยียดมองเยี่ยอย่างดูถูกเต็มที่
          เยี่ยกลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าหาเคยเขียนไม่” จากนั้นก็ลดเสียงลงกระซิบกระซาบ
          “แต่ข้าเคยไปแอบศึกษาตำราเบญจมาศม่วงและตำราหายากเล่มอื่นๆ มาหมดแล้ว”
          ไท่หยางตั้งใจฟังคำแนะนำเต็มที่ นึกเลื่อมใสที่เยี่ยศึกษาตำราหายากเหล่านั้น
          “การจะเขียนตำราเหล่านั้นได้ ต้องมีฉากรักที่อัศจรรย์พันลึก” เยี่ยกระแอมกระไอ ทำหน้าทรงภูมดั่งบัณฑิตผู้สูงส่ง
          “ดังนั้น ข้าจะช่วยเจ้า แสดงบทบาท “ฉากรัก” ของเจ้าจะได้สมจริง หากวันใดเจ้าเกิดติดขัด นึกท่วงท่าไม่ออก เจ้าสามารถเรียกหาข้าได้ เช้า สาย บ่าย เย็น นอกบ้าน ในบ้าน ข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่” พูดจบก็คว้าตัวไท่หยาง ชวนไปศึกษาท่วงท่าอย่างคร่ำเคร่งต่อไป

-จบ-

ยังมีตอนพิเศษอีกนิดหน่อยน้าา 
o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ยอดเยี่ยมแต๊ๆ รออ่านตอนพิเศษครัช   o13

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนพิเศษ

   พักนี้ไท่หยางมักมีสีหน้าเคร่งขรึม คิ้วขมวดมุ่น บางคราเหม่อลอย ซักถามคราใดก็ได้รับคำตอบว่าหาเป็นอันใดไม่ แต่ก็กลับไปนั่งขบริมฝีปาก ดวงตาทอดมองไปไกล ข้าเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก
   “ไท่หยาง วันนี้อากาศสดใส เราเข้าไปในตัวเมือง หาซื้อขนมที่เจ้าชอบกินดีหรือไม่”
   “ไม่ละ ข้าไม่อยาก ขอบใจเจ้ามาก” ไท่หยางหันมาปฏิเสธ ยิ้มให้เพียงเล็กน้อย ก่อนกลับไปนั่งนิ่งขรึม
   “โธ่...ไท่หยาง ข้าเห็นเจ้าเป็นแบบนี้แล้วใจข้าเจ็บปวดยิ่ง หากไม่ไปในตัวเมือง งั้นไปขี่ม้าเล่นชมดอกไม้กันดีหรือไม่ เผื่อเจ้าจะสดชื่นขึ้นได้บ้าง”
   ไท่หยางจำใจพยักหน้า ด้วยรู้ว่าเยี่ยเป็นห่วงตน หากจะให้พูดอย่างไรได้ว่าตนคิดตอนต่อไปของคำภีร์ที่เขียนเล่มล่าสุดไม่ออก หากบอกไปมีหวังชวนเล่นศึกษาท่าทางพิสดาร หากแต่เอามาใช้จริงไม่ได้เป็นแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ แต่ได้ออกไปเที่ยวเล่นก็ดี อาจจะคิดอะไรออกบ้างก็ได้
   “ไปที่ใดดีล่ะ”
   เมื่อไท่หยางออกปากถาม เยี่ยก็หน้าระรื่นขึ้นมาทันที
   “ไปทางทิศตะวันตก ที่นั่นมีป่าไม้ร่มรื่น ดอกไม้นานาพันธุ์สวยงาม บรรยากาศสงบเงียบ น่าจะช่วยให้เจ้าจิตใจปลอดโปร่งได้” พูดพลางก็จับจูงมือไท่หยางพาไปขึ้นม้าที่ด้านนอกบ้าน
   “ไกลหรือไม่เยี่ย”
   “ค่อนข้างไกลเล็กน้อย แต่หากรีบเร่งฝีเท้าม้าตอนนี้ น่าจะไปถึงช่วงเย็นพอดี”
   ไท่หยางพยักหน้า เอนหลังพิงซบแผ่นอกเยี่ยด้วยความเคยชิน เยี่ยจึงกระตุ้นม้าให้ออกเดินทาง
   สายลมพัดผ่านผิวกายชวนให้รู้สึกปลอดโปร่งใจ ไท่หยางจึงเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย เยี่ยก้มมองหน้าคนในอ้อมแขน เห็นหลับตาพร้มไปแล้วจึงได้แต่แอบขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่ ช่วงเวลานั้นเองกระรอกตัวเล็กวิ่งแผล็วผ่านหน้าม้าไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อาชาตัวโตตกใจร้องฮี้เสียงยาว สองขาหน้ายกขึ้นตะกุยอากาศ เยี่ยคว้าบังเหียนกุมบังคับไว้มั่น โน้มตัวไปปลุกปลอบม้าให้หายตกใจ
   ไท่หยางสะดุ้งตื่นหน้าไถลแนบแผงคอม้า สองมือเกาะเกี่ยวลำคอม้าไว้แนบแน่น
   “เกิดอะไรขึ้นเยี่ย”
   “ไม่มีสิ่งใดหรอกไท่หยาง เพียงมีกระรอกวิ่งตัดหน้าไป ม้าจึงตกใจเท่านั้น”
   “แล้วทำไมเสียงเจ้าจึงสั่นถึงเพียงนี้ มีสิ่งใดอีกหรือไม่”
   ไท่หยางเหลียวหลังกลับไปมองโดยที่ลำตัวยังแนบชิดอยู่กับตัวม้า เห็นเยี่ยมีสีหน้าแดงก่ำ พูดตอบกลับด้วยเสียงสั่นๆ
   “หะ หา หามีสิ่งใดไม่” ตอบเสร็จกลับหลบสายตาไม่กล้าสบตาด้วย ไท่หยางเห็นมีพิรุธจึงคิดขับตัวขึ้นซักถาม
   “ยะ อย่าพึ่งขยับ”
   “หือ”
   ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่นสงสัย แต่เมื่อขยับสะโพกกลับรู้สึกถึงความแข็งขึงดุนดันอยู่บริเวณด้านหลังก็พลันรู้ถึงสาเหตุที่เยี่ยหัวหน้าแดง ไท่หยางลอบหัวเราะ หากยังเล่นบทใสซื่อบริสุทธิ์ต่อไป มือลูบแขนเยี่ยแผ่นเบา ขยับสะโพกให้ “สิ่งนั้น” แนบชิดมากขึ้น พลางเอ่ยปากถาม
   “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่เยี่ย หน้าแดงมากเลย”
   ยิ่งเยี่ยนั่งนิ่ง ไท่หยางยิ่งก่อกวน
   “ข้าขยับได้หรือไม่ ถ้าข้าขยับกายตอนนี้ “ม้า” จะสะบัดข้าตกจากหลังไหม” ปากก็พูด หากท่อนล่างยิ่งบดเบียดประชิดหนักข้อ
   “เจ้านี่มัน...” เยี่ยรู้ตัวว่าถูกคนตรงหน้าแกล้งแน่แล้ว จึงจับตรึงสะโพกนั้นไว้แน่น บดเบียดถูไถต่อว่าเสียงพร่า
   “ข้าเห็นเจ้าไม่สบายใจ จึงไม่อยากรบเร้าตอแยเจ้า แต่หากเจ้ายังไม่หยุดขยับส่ายไปมาเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน”
   ไท่หยางขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง หากค่อยๆ เอนกายซบมาทางด้านหลัง ใช้ใบหน้าปัดผ่านซอกคอเยี่ย พลางพ่นลมหายใจใส่ข้างหู ก่อนกระซิบเสียงซุกซน
   “ข้ากลัวท่านยิ่งแล้ว ขอท่านผู้กล้าอย่าทำอันตรายข้าเลย ข้า “ยอม” ท่านหมดทุกกระบวนท่าแล้ว” พูดพลางสองมือก็อ้อมไปโอบคอเยี่ยทางด้านหลัง
   “หนุ่มน้อย” เยี่ยขบเม้มใบหู ลากลิ้นซอนซอนอย่างหลงใหล
   “เจ้าให้ข้าได้ทุกอย่างจริงหรือ”
   ไท่หยางหอบกระเส่าเชิดใบหน้า หลับตาพริ้ม
    “ตามแต่ใจท่านจอมยุทธ์เถอะ”
   จบคำพูดของไท่หยาง ฝ่ามือใหญ่ก็ล้วงผ่านสาบเสื้อมาจนถึงยอดอกเรียบร้อย มือบีบบี้จนตุ่มไตทั้งสองข้างหดรัดแข็งตัวชูชัน
   “ข้าอยากทดสอบประสิทธิภาพม้าตัวนี้มานานแล้ว ว่าจะรับน้ำหนักได้มากเพียงใดกัน”
   “อึก อา”
   เมื่อสุดยอดคัมภีร์ “เล่มใหม่” “อาชาโผนสวาท” ออกวางขายแพร่หลายไปทั่ว ก่อให้เกิดปรากฏการณ์คัดลอกซ้ำอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ไท่หยางยิ้มร่าค้อมหัวรับการคารวะจากบรรดาเถ้าแก่ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายจนเมื่อยไปหมด
   เยี่ยเองเห็นไท่หยางมีสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุอันใดก็ตาม หากก็ทำให้ตัวเขาคลายความกังวล ขณะกำลังดีดลูกคิดทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายของสำนักคุ้มภัยอยู่นั่นเอง ก็เหลือบไปเห็นฉงเมาเดินเข้าประตูมา หน้าตาบูดบึ้ง
   “เป็นอันไปใดฉงเมา” เยี่ยถาม มือดีดลูกคิดระรัว
   “พี่เยี่ย ข้าว่าเราทำกิจการให้เช่าม้าเพิ่มอีกดีหรือไม่”
   “เหตุใดจึงคิดอยากให้เช่าม้า” มือละจากลูกคิด หันมาขมวดคิ้วสบตาฉงเมาอย่างสงสัย
   “ก็เมื่อครู่ ข้าไปในตัวเมืองมา เห็นเถ้าแก่ร้ายขายและให้เช่าม้ามีเครื่องประดับเต็มตัว ท่าทางมีสง่าราศีเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน จึงแอบลอบถามว่าช่วงนี้กิจการเป็นเช่นไรบ้าง เถ้าแก่หัวเราะร่า บอกข้าว่าเห็นจะต้องไปหาซื้อม้าพันธุ์ดีมาเพิ่ม หมู่นี้มีผู้นิยมมาซื้อเพิ่มขึ้น บางรายเงินไม่พอซื้อ ขอเช่าเอาก็ยังดี ข้าแอบลอบสืบถามหลายร้าน ทุกร้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากิจการรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ข้าจึงคิดอยากทำกิจการนี้บ้าง” ฉงเมากล่าว
   “แล้วเหตุใด คนจึงนิยมซื้อม้า เช่าม้าเล่า”
   ฉงเมาปรายตาไปที่ไท่หยาง แล้วแอบกระซิบที่ข้างหูเยี่ย
   “พี่เยี่ยต้องถามไท่หยางกระมัง นัยว่าตั้งแต่คัมภีร์เล่มใหม่ของไท่หยางออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด ผู้คนต่างก็ต้องการมีม้าเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น”
   เยี่ยพยักหน้าเคร่งขรึม พลางไล่ให้ฉงเมากลับไปได้แล้ว ก่อนจะดูแลปิดบ้านให้มิดชิด แล้วจึงเรียกไท่หยางไปสอบถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
   “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าเคร่งเครียดเป็นเพราะเขียนคัมภีร์ไม่ได้ใช่หรือไม่”
   “ใช่ แต่ตอนนี้ข้าเขียนจบหมดแล้ว เจ้ามีสิ่งใดหรือ”
   “คัมภีร์ที่เจ้าเขียน ใช่เรื่องราวที่พวกเราไปยังป่าตะวันตกแล้วมีกระรอกวิ่งตัดหน้าม้าเช่นนั้นหรือ”
   ไท่หยางเห็นเยี่ยมีสีหน้ามิสู้ดี จึงล่ำละลักขอโทษที่จำลองเอาเหตุการณ์บนหลังม้าไปใส่ในคัมภีร์ของตน
   “เยี่ย ข้าขอโทษ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย”
   เยี่ยส่ายหน้าพึมพำ
   “ข้าหาได้โกรธเจ้าไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่า “เรื่องนี้” ข้ายินดีช่วยเต็มกำลัง ครั้งหน้า หากเจ้าเขียนไม่ได้ก็ให้บอกข้า ไม่ว่าจะเป็นบนเรือสำราญ ตรอกข้างกำแพง โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง ข้าก็จะช่วย “กระทำ” เต็มที่ ขอให้เจ้าวางใจ” เยี่ยพูดจบประโยคพร้อมด้วยไฟในดวงตาที่ลุกโชน ชวนให้ไท่หยางรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในอกไม่ได้ น่ากลัวจะ “พัง” เสียก่อนกระมัง ช่างเป็นคนรักที่ทุ่มเทเสียจริง!!!


ปล. ที่ลงช้าไม่ใช่อะไร หาตอนพิเศษไม่เจอ  :hao5:
จำได้ว่ายังมีอีกตอนค่ะ แต่ขอหาก่อนน้าา ^^;

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักอะไรเยี่ยงเน้ ... รอตอนที่เหลือ   :jul1:

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ปกติไม่ชอบอ่านแบบจีนโบราณ.   พอมาอ่านก็ชอบมาก.   เรื่องน่ารักปนหื่นบวกฮา.   ครบมาก.   ชอบสุดๆ.  ขอตอนพิเศษมาเรื่อยๆ นะคะ. ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ.  อ่านเรื่องนี้ทำให้อารมณ์ดี.  ยิ้มได้.  :L2: :L1:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
รักเลยเรื่องนี้ ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
เรื่องนี้มัน....มัน...ฟินมากกก

รักเลยๆ.  ตอนพิเศษมาอีกนะ  :hao7:

ออฟไลน์ virgo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
*ตอนพิเศษนี้อาจจะไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่นะคะ*

- ตอนพิเศษสอง -
ว่าด้วย...แพรม่วงสูญสลาย

“เราจะทำเยี่ยงไรกันดี หอตำรากลางเมืองปิดตัวลงแล้ว”

   “เจ้ารู้หรือไม่ หอตำราล่มสลายลง สาเหตุไม่แน่ชัด”

   “หอตำราสาบสูญ แย่ล่ะ คัมภีร์หายากของข้ายังอยู่ข้างในนั้น ปล่อยข้าๆ คัมภีร์ข้า”

   “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ เจ้าฟังผิดมาหรือไม่ ไยหอตำราไม่บอกกล่าว กลับปิดตัวลงเช่นนี้ แล้วสัญญาซื้อขายคัมภีร์ที่ข้าทำไว้เล่า จะทำเช่นไร”

   เสียงเซ็งแซ่ บ้างพึมพำ บ้างตะโกน อื้ออึงมิได้สรรพ เหล่าจอมยุทธ์หญิงชายล้วนตกตะลึงกับการประกาศปิดตัวลงของหอตำรากลางเมือง
   ท่ามกลางวิกฤติกลับยังมีผู้กล้ารวบรวมเหล่าสมัครพรรคพวกที่พอคุ้นหน้ากัน พยายามตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา ท่ามกลางความยากลำบาก บ้างจัดตั้งเป็นศูนย์อพยพผู้ประสบภัยก็มี แบ่งสรรกันไปตามสายยุทธ์ที่ตนเองสังกัด หากพรรคที่ถูกจับตามองในพลังยุทธ์สายม่วงแล้ว พรรคใหญ่นั้นคือ ‘แพรม่วงสูญสลาย’

   ‘แพรม่วงสูญสลาย’ ก่อตั้งขึ้นด้วยแม่นางน้อยและสหายชาวยุทธ์หลายคน เปิดรับชาวยุทธ์หลายหลากสีพลังยุทธ์ก็จริง แต่เนื่องด้วยเจ้าสำนักพรรคและผู้คุมกฎฝึกฝนยุทธ์สายม่วงอย่างหนักหน่วงจึงถูกมองว่าเป็นพรรคสายม่วงอย่างเต็มตัว

   “เรียนเจ้าสำนัก สายข่าวที่ท่านส่งไปสืบหาร่องรอยคัมภีร์เบญจมาศม่วงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

   “ให้เข้ามาได้” ดวงตาไหวระริกของเจ้าสำนักสาวบ่งบอกถึงความหวังของสายข่าวในคราวนี้นัก

   “เรียนท่านเจ้าสำนัก ข้าน้อยไร้ความสามารถ ร่องรอยใดๆล้วนไม่ปรากฏ ประหนึ่งคัมภีร์เบญจมาศม่วงไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมาในยุทธภพนี้มาก่อน  ขอท่านเจ้าสำนักลงโทษด้วย” กล่าวจบก็กระแทกตัวลงคุกเข่าสองมือประสานคำนับ อับอายที่ไม่สามารถทำภารกิจให้ลุล่วงได้

   เจ้าสำนักสาวทำเพียงโบกมือไม่กล่าวโทษพลางหันไปสั่งให้เตรียมสุราอาหารมาเลี้ยงต้อนรับ หลังจากทำหน้าที่เพื่อพรรคอย่างเต็มความสามารถแล้ว

   “หรือชาติภพนี้ เราจะไม่มีวันได้สัมผัสแตะต้อง คัมภีร์เบญจมาศม่วงแล้ว” เสียงใสพึมพำแผ่ว

   ผู้คุมกฎซ้ายเห็นเจ้าสำนักเศร้าหมองหากมีเรื่องด่วนรายงานจึงจำเป็นต้องรีบเอ่ย

   “เรียนเจ้าสำนัก ยามนี้คงต้องวางเรื่องคัมภีร์เบญจมาศม่วงลงก่อน ภายในพรรคเกิด..เอ่อ..เกิด”

   “มีสิ่งใดรีบกล่าวออกเถิด เราเข้าใจ เรื่องราวลำดับความสำคัญก่อนหลังดี”

   ผู้คุมกฎซ้ายรีบกล่าวรหัสลับของพรรคทันที

   “ภายในพรรคเกิด ‘บะหมี่’ ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะ รบกวนท่านเจ้าสำนักออกไปห้ามปรามบรรดาลูกพรรคด้วย เวลานี้ท้องอืดกันถ้วนหน้าแล้วเจ้าค่ะ”

   “เกิด ‘บะหมี่’ ขึ้นอีกแล้วรึ ถ้าอย่างนั้นเจ้านำเราไป ค่อยเล่าเรื่องระหว่างทาง จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา เชิญท่านผู้คุมกฎ” พูดพลางผายมือออกเชิญ

   “เชิญท่านเจ้าสำนัก”

   ขณะทั้งสองกำลังก้าวเท้าอย่างรีบเร่ง ผู้คุมกฎซ้ายก็เริ่มเล่าความเป็นมาของ “บะหมี่”นี้ทันที

   “เรื่องเกิดขึ้นจาก.....”

   อันคำว่า ‘บะหมี่’ นี้มาจากคำว่า ‘บะหมี่พิษกร่อนวิญญาณ’ เป็นรหัสลับ ใช้เป็นรหัสสื่อสารเวลาเกิดเรื่องวุ่นวายต่างๆขึ้นมา บ้างเรียกสั้นๆว่า ‘หมี่’ คำเดียว บางครั้งก็หมี่ภายในพรรค บางครั้งก็รวมตัวร่วมใจกันหมี่นอกพรรคก็มี และครานี้ก็เป็นเหตุการณ์การณ์ ‘หมี่’ นอกพรรค หากแต่เกี่ยวโยงกับคนในพรรคอยู่เนืองๆ

   เสียงเซ็งแซ่ถกเถียงโวยวายดังลั่นไปทั่วโถงประชุม จนเมื่อเจ้าสำนักสาวและผู้คุมกฎก้าวเข้ามาจึงเงียบเสียงลงได้

   “เกิดหมี่ใดขึ้นรึคราวนี้” เจ้าสำนักสาวถามเสียงนุ่ม

   “คัมภีร์ไม่ส่งมอบ”

   “ล่าช้ายิ่งนัก”

   “ข้าแค้นจะเหลือจะกล่าว”

   “ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ได้”

   “เดี๋ยวๆๆ พวกเจ้าหยุดก่อน แย่งกันพูดเช่นนี้ ข้าหาฟังรู้เรื่องไม่ ผู้คุมกฎขวา เล่าเรื่องมาให้ข้าฟังโดยละเอียดที”

   ผู้คุมกฎขวาเป็นหญิงสาวร่างเล็กบาง มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้คุมกฎ หากมีความเฉียบขาดดุดันยิ่งกว่าผู้คุมกฎใด

   “เรียนท่านเจ้าสำนัก บะหมี่คราวนี้ สาเหตุเกิดจากผู้ประพันธ์คัมภีร์ไม่ใคร่ทำตามสัญญาที่รับปากพวกเราไว้เจ้าค่ะ เลื่อนการส่งมอบคัมภีร์หลายครั้ง ข้อกล่าวอ้างมากมาย จากวันเลื่อนมาเป็นเดือน ลากยาวมาหลายเดือนก็แล้ว ยังหาบทสรุปของการส่งมอบไม่ชัดเจน ไม่แน่ว่า...”

   “ไม่แน่อันใด รีบกล่าวออกเถิด คัมภีร์ชุดนี้ ตัวข้าเองก็ได้รอคอยด้วยความทรมานเช่นกัน”

   ผู้คุมกฎขวาเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอสองตา ก่อนจะหักใจกล่าววาจาออกมา

   “ไม่แน่ว่า คัมภีร์ชุดนี้ได้มีการจัดทำขึ้นมาจริงหรือไม่เจ้าค่ะ”

   สิ้นเสียงผู้คุมกฎขวา เหล่าลูกพรรคตกตะลึงกันถ้วนหน้า บ้างยกมือปิดปาก กลั้นเสียงสะอื้น บ้างกำหมัดแน่นระงับโทสะที่พุ่งสูงเทียมฟ้า ตัวเจ้าสำนักสาวเองก็ถึงกับซวนเซ ผู้คุมกฎรองอีกสองท่านรีบก้าวเท้าออกไปประคองรับร่างไว้อย่างทันท่วงที ครู่ใหญ่กว่าที่เจ้าสำนักแพรม่วงสูญสลายจะระงับความเสียใจได้ เอ่ยปากปาก

   “เรื่องนี้มีทางแก้ไขใดหรือไม่”

   “ข้าน้อยส่งตัวแทนไปเร่งรัดเจรจาแล้วเจ้าค่ะ อีกซักครู่คงจะมาถึง”

   เหตุการณ์เพิ่งทำท่าจะคลี่คลาย ทางโถงใหญ่ด้านหน้ากลับมีเสียงอื้ออึง เหล่าลูกพรรคแหวกตัวเป็นช่องให้ผู้นำสารนำพาร่างตนเองที่เต็มไปด้วยความบอบช้ำ เลือดไหลซึมมุมปาก หน้าตาเต็มไปด้วยเงาของความอึดอัดเศร้าหมอง เมื่อตรงมาถึงหน้าเจ้าสำนักก็กลับสะอื้นไห้สองประสานมือคารวะกล่าวขอรับโทษด้วยน้ำตานองหน้า

   “เรียนท่านเจ้าสำนัก ผู้น้อยไร้สามารถ ไม่สามารถเจรจากับผู้ประพันธ์ให้ส่งมอบคัมภีร์ได้”

   “ข้าเข้าใจว่าเจ้ากระทำการเต็มความสามารถแล้ว มิมีผู้ใดกล่าวโทษเจ้าหรอก อย่างมากก็แค่รอต่อไปอีกสักระยะเท่านั้น แล้วเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บถึงขั้นเลือดตกยางออกได้เล่า” เจ้าสำนักสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร

   “ข้าน้อยกระอักเลือดเมื่อตอนเจรจาเจ้าค่ะ”

   “ผู้ประพันธ์คัมภีร์พูดจาหยามหมิ่นเจ้าหรือไร จึงถึงขั้นกระอักเลือดได้”

   “หาเป็นเช่นนั้นไม่เจ้าค่ะ หากแต่ผู้ประพันธ์กล่าวว่า...ถ้ารอไม่ได้ ทวงถามกันหนักข้อเช่นนี้ก็จงนำเงินของพวกเจ้าคืนไป!!!”

   ทุกผู้คนในที่นั้นล้วนมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด แต่เมื่อวาจาถัดไปถูกกล่าวออกกลับเลวร้ายยิ่งกว่าหลายเท่าตัว

   “นี่แสดงว่า...ผู้ประพันธ์คัมภีร์ ‘เท’ พวกเราแล้วเจ้าค่ะ”

   พรวด!!! เลือดกระอักออกจากอกทุกผู้คน เปรอะเปื้อนย้อมให้สำนักแพรม่วงสูญสลายแดงฉานไปทั่ว เป็นที่น่าสยดสยองยิ่งนัก



 :pig4:

ออฟไลน์ eiweiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
 o12 o12 o12 คิดถึงพี่เยี่ยและน้องไท่หยาง 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด