รักพอเพียง : หัวใจเพียงพอ
“ไอ้ลูกไม่รักดี! มึงไสหัวไปไหนก็ไปเลยนะ!” เสียงด่าทอตะโกนไล่ดังลั่น รัชพงศ์เหลือบมองร่างผอมของน้องชายวิ่งถลาออกจากบ้าน มีบิดาที่คว้าขันน้ำขว้างตามหลังด้วยแรงโมโห ก่อนจะหันกลับมาจดบันทึกรายรับรายจ่ายในสมุดต่อ เขาแก่กว่าน้องชายสี่ปี หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่หกก็ไม่ได้ศึกษาต่อเพราะต้องมาช่วยพ่อกับแม่ทำไร่ เลยฝากความหวังไว้กับน้องชายซึ่งจะเรียนจบปีนี้ ฝากความหวังว่าน้องชายจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยแทนเขา แต่ดูเหมือนน้องชายกำลังทำลายความหวังนั้นทิ้งแบบไม่ใยดี พ่อกับแม่ถึงโมโหมากตอนเจ้านั่นเดินเข้ามาบอกว่าจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่สอบเอนทรานซ์ติดแล้วแท้ๆ
รัชพลวิ่งหนีออกมาจากบ้าน เขาหันกลับไปมองด้านหลังแล้วสบถหัวเสีย พลางเดินลัดเลาะไปตามทางมืดมิด คืนนี้จะไปนอนที่ไหนดี? บ้านไอ้มิ่ง? เออ เพิ่งแยกจากมันเมื่อเย็น ขืนไปพักด้วยพ่อกับแม่มันคงไล่แห่ทั้งสองคน
ร่างผอมเก้งก้างของเด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย คว้ากิ่งไม้มาไล่ตีพงหญ้าข้างทางไปเรื่อยๆ เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องก้อง สายลมยามค่ำพัดโชย แสงไฟจากปลายทางทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น เด็กหนุ่มเดินตรงไปเมื่อเห็นเงาร่างโงนเงนของใครบางคนเดินออกมา
“อ้าว ลุงปั้น มืดค่ำป่านนี้แล้วจะไปไหน?” เด็กหนุ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าร่างที่เดินมานั้นคือใคร
“ก็...”
“แล้วพี่พลอยไปไหน ปล่อยให้ลุงมาเดินกลางค่ำกลางคืนแบบนี้?” เด็กหนุ่มเหลียวหา
“ข้าจะไปตามหามันนั่นแหละ เมื่อเย็นมันว่าจะไปบ้านเพื่อน มืดค่ำแล้วยังไม่กลับ ข้าเป็นห่วง”
“เฮ้ย มืดป่านนี้แล้วเนี่ยนะ เอางี้ บ้านเพื่อนพี่พลอยอยู่ไหน เดี๋ยวผมไปตามให้ ลุงปั้นไปรอที่บ้านเถอะ”
“แต่...”
“เอาน่า ผมแรงดีกว่า เดินๆ ไปแป๊บเดียวก็ถึง” เด็กหนุ่มรุนหลังให้คนสูงวัยหันหลังกลับเมื่อลุงปั้นบอกชื่อเพื่อนของลูกสาวออกมา
รัชพลยืนนิ่งเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยบอก เขาขมวดคิ้วแล้วเดินกลับไปบ้านลุงปั้นพลางขบคิดว่าจะพูดอย่างไรดี บุษราคัมหรือพี่พลอยที่เขารู้จักนั้นอายุมากกว่าเขาหลายปี เป็นสาวสวยสะพรั่งและเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน เขาเห็นอีกฝ่ายมานาน เคยพูดคุยทักทายอยู่บ่อยครั้งหากไม่ได้สนิทสนมมากนัก กับลุงปั้นเองก็ไม่ได้คุ้นเคยสักเท่าไหร่ รู้ว่าพี่พลอยไปเรียนและทำงานอยู่กรุงเทพฯ หลายปี เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้สักเดือนสองเดือนนี้เอง
“เป็นไง เจอนังพลอยมันไหม?” ลุงปั้นนั่งรออยู่ตีนบันไดผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นรัชพลเดินเข้ามา
“...พี่พลอยบอกว่าจะนอนค้างบ้านเพื่อน” เด็กหนุ่มเอ่ยไม่เต็มเสียง
“หนอย นังลูกคนนี้ ไปค้างอ้างแรมบ้านเพื่อนทำไมไม่รู้จักบอกพ่อสักคำ คอยดูนะ กลับมาจะฟาดให้น่องลาย” ลุงปั้นบ่นขรม นึกขัดเคืองความเอาแต่ใจของคนเป็นลูก “แล้วนี่เอ็งไปไหนมา มืดค่ำถึงยังไม่กลับบ้าน รีบกลับซะ ประเดี๋ยวพ่อกับแม่เอ็งจะเป็นห่วง” ลุงปั้นหันมาคุยกับเด็กหนุ่ม เมื่อสักครู่เพราะมัวแต่พะวงกับบุษราคัมจึงไม่ได้เอ่ยพูดคุยกับรัชพลมากนัก มาตอนนี้ถึงเพิ่งนึกได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าก็กลับบ้านค่ำมืดเหมือนลูกสาวตัวเอง
“โอ๊ย พวกเขาไม่เป็นห่วงผมหรอก ป่านนี้คงดีใจแย่ที่ผมไม่อยู่บ้าน”
“...ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกนะโว้ย ไอ้พล” ลุงปั้นถอนหายใจ “แล้วนี้กินข้าวกินปลามารึยัง?” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ลุงปั้นถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเอ่ยชวนเด็กหนุ่มขึ้นบ้านพลางจัดแจงยกสำรับข้าวออกมาให้พร้อมกระติกน้ำเย็น รัชพลยกมือไหว้ก่อนจะจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดจึงยกสำรับข้าวเข้าครัวแล้วล้างจานชาม
รัชพลนอนค้างบ้านลุงปั้น ตื่นเช้ามาช่วยแกรดน้ำผักข้างบ้าน เป็นลูกมือทำกับข้าว หลังอาหารมื้อเช้าผ่านไปบุษราคัมยังไม่กลับมา ลุงปั้นออกไปยืนชะเง้อคอมองหน้าบ้าน รัชพลขมวดคิ้วถอนหายใจ
“ลุงปั้น พี่พลอยเขามีแฟนป้ะ?” เด็กหนุ่มมายืนข้างๆ เอ่ยถามอย่างข้องใจ
“.........”
“ลุงปั้น อันที่จริง....ที่ผมบอกว่าพี่พลอยนอนค้างบ้านเพื่อน”
“ข้ารู้”
“เอ๊ะ?” รัชพลตกใจ หันมามองลุงปั้นที่มีสีหน้าเจ็บปวดแล้วได้แต่เงียบเสียงไม่กล้าพูดอะไรต่อ เมื่อคืนเขากลับมาจากบ้านเพื่อนของบุษราคัมแล้วบอกว่า ฝ่ายนั้นจะนอนค้างบ้านเพื่อน ความจริงเป็นเรื่องโกหก เพื่อนพี่พลอยบอกว่า พี่พลอยออกไปกับผู้ชายตั้งแต่เย็น ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ผู้ชายคนนั้นมาจากกรุงเทพฯ เห็นว่าเป็นแฟนของบุษราคัม ผู้ชายคนนั้นร่ำรวยแต่งตัวดูดี หน้าตาหล่อเหลา พวกเขาเจอกันเพราะตั้งแต่สมัยเรียนอยู่กรุงเทพฯ ผู้ชายทำท่าทางสนใจบุษราคัมมาก เพื่อนๆ ต่างเอ่ยเตือนบุษราคัม หากฝ่ายนั้นไม่เชื่อ
“ลูกน่ะ เลี้ยงได้แต่ตัวหัวใจมันเลี้ยงไม่ได้ แต่ข้าไม่เคยห้ามว่ามันจะคบใคร ทำไมมันไม่พาผู้ชายคนนั้นมาบ้าน เกิดถูกเขาหลอกจะว่ายังไง?” ลุงปั้นถอนสะอื้น รัชพลทำได้เพียงแค่ฟัง เขาเหม่อมองไปไกล...
บุษราคัมหายไปแล้วสามเดือน ลุงปั้นตรอมใจมาก ตอนไม่รู้ยังคิดว่าลูกสุขสบายมีการงานดีจึงไม่เคยกลับมาบ้าน หากพอรู้แล้วความห่วงมันกลับเกาะกินใจอยู่ทุกวัน รัชพลไม่สามารถตัดใจทิ้งอีกฝ่ายแล้วไม่ดูดำดูดีได้ เขาอยู่บ้านลุงปั้นมาสองเดือนแล้ว หลังจากวันที่เขาไปช่วยลุงปั้นตามหาพี่พลอย อีกวันเขาก็กลับมาบ้าน มาขอโทษพ่อกับแม่และพี่ชาย บอกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ไปเรียนต่อมหาลัย
บ้านเราไม่มีเงิน
พ่อกับแม่ร้องไห้ หากกระนั้นก็ยังไม่หายโกรธเคืองเขา มีเพียงรัชพงศ์เท่านั้นที่เขามาตบบ่าอย่างเข้าใจ พี่ชายถอนหายใจพลางเอ่ย
“เพราะแบบนี้ข้าถึงไม่เรียนต่อ ยอมเสียสละให้แกได้ไปเรียนไง”
“.....”
“ข้าคุยกับพ่อแม่แล้ว พวกเราเลยฝากความหวังไว้กับแก แต่แกดันมาทำเสียเรื่อง” รัชพลน้ำตาซึม เขาแอบไปร้องไห้เงียบๆ คนเดียว เขาไม่รู้เรื่องที่พี่พงศ์คุยกับพ่อแม่ ไม่รู้ว่าพวกท่านคาดหวังไว้กับตัวเขามากแค่ไหน เด็กหนุ่มปาดน้ำตาก่อนจะเดินไปบ้านลุงปั้นเพื่อขอคำปรึกษา
“ลุงปั้น!” รัชพลตกใจเมื่อเห็นร่างผ่ายผอมของลุงปั้นนอนฟุบอยู่ตรงชานบันได เขาแบกอีกฝ่ายขึ้นหลังแล้วพาไปโรงพยาบาล โชคดีที่ลุงปั้นล้มแต่หัวไม่ได้ฟาดพื้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งฟังเขาพูดอยู่อย่างนี้ ลุงปั้นมีอาการเครียดมาก มีอาการความดันโลหิตสูงหมอจึงให้แกพักอยู่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการต่อ และเพราะแกไม่มีญาติมาเฝ้ารัชพลจึงอาสามาทำหน้าที่แทน
“ลุงปั้น ผมจะเข้ากรุงเทพฯ” ลุงปั้นที่นั่งนิ่งมาตลอดตาเบิกโพลง เขาหันมามองเด็กหนุ่มข้างเตียง “ผมอยากไปหางานทำในกรุงเทพฯ แล้วหาทางเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย”
“แกจะไปทำงานอะไร”
“ยังไม่รู้” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก
“วุฒิแค่ มอ.หก เขาจะรับแกหรือ?”
“จริงด้วยแหะ” รัชพลคอตกเมื่อได้ฟัง
“มีหวังได้แต่ทำงานรับจ้างก่อสร้างเสียละมั้ง” ลุงปั้นขมวดคิ้ว ตอนแรกรัชพลชวนแกคุยตั้งนานแกเอาแต่นั่งนิ่ง พอบอกว่าจะเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้นแหละ แกมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที หรือจะเกี่ยวกับพี่พลอย? “อีกอย่างมัวทำงานเก็บเงิน แล้วเมื่อไหร่จะได้ไปเรียนอย่างที่แกหวัง?”
รัชพลนิ่งเงียบ เขาตัดสินใจพลาดไปแล้วเลยตั้งใจอยากแก้ไข หากเขาเข้ากรุงเทพฯ ทำงานเก็บเงิน อีกหน่อยค่อยไปสอบเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ เขากลับมาบ้าน ปรึกษาเรื่องนี้กับรัชพงศ์ ฝ่ายนั้นถอนหายใจแล้วบอกว่า ถ้าคิดจะทำงานที่กรุงเทพฯ สู้ทำงานอยู่แถวบ้านเราดีกว่า อย่างน้อยค่าครองชีพก็ถูกกว่ากันเยอะ แล้วยังมีเงินเหลือเก็บไปเรียนอย่างที่ตั้งใจด้วย
สองอาทิตย์ต่อมาลุงปั้นก็ได้ออกจากโรงพยาบาลหากยังมีอาการซึมเศร้าอยู่บ้าง รัชพลคาดว่าคงเกิดจากพี่พลอยหนีออกจากบ้าน ข่าวลือลามไปทั่วว่าลูกสาวลุงปั้นหนีตามผู้ชาย ถ้าแกยังยิ้มแย้มอยู่ได้ก็แปลกแล้ว รัชพลขออนุญาตพ่อกับแม่มาอยู่เป็นเพื่อนลุงปั้นเพราะเป็นห่วงและกลัวแกคิดสั้น แน่นอนว่าพ่อกับแม่ซึ่งยังไม่หายโกรธเขาทำเพียงแค่ปรายตามองรับรู้เท่านั้น
พี่พลอยจากบ้านไปหลายปี กลับมาคราวนี้ลุงปั้นแกจึงหวังว่าลูกสาวคงมาอยู่ด้วยไม่หายไปไหนอีก แต่กลับมาหายไปไม่บอกกล่าวทำให้ลุงปั้นเสียใจหนัก แต่ดูเหมือนลุงปั้นจะรู้ว่าพี่พลอยหายไปอยู่ที่ไหนถึงไม่ไปตามหา รอลูกสาวเป็นฝ่ายกลับมาเอง รัชพลมาอยู่เป็นเพื่อนแก ชวนแกเข้าไร่ ช่วยแกทำนู้นทำนี่หาความรู้เก็บไปปรับปรุงในไร่ตัวเองบ้าง ลุงปั้นยิ้มแย้มมากขึ้น แกเห็นท่าทางของรัชพลแล้วนึกชื่นชมอยู่ในใจ รัชพลหัวไวและความจำดีมาก น่าเสียดายที่ตัดสินใจพลาดเรื่องไม่ไปเรียนต่อ
“เอ็งมาทำไร่กับข้าไหม?”
“หืม?” รัชพลละมือจากมะละกอหันมามองคนถาม
“ข้าจะสอนเอ็งเรื่องทำไร่ ให้เอ็งมีเงินเก็บเอาไปเรียนหนังสือไง” ลุงปั้นยิ้มกว้าง
“ทำไร่ จะมีเงินเก็บถึงขั้นไปเรียนได้เลยหรือลุง?” รัชพลเลิกคิ้ว นี่เขากำลังกลุ้มใจอยู่ ว่าจะไปขอเงินพี่พงศ์สมัครเรียนก็เกรงใจ พ่อแม่ยังเคืองเขาไม่หายเลยไม่กล้าเอ่ยปาก
“สามปี”
“สามปี?”
“สามปี ข้าจะสอนเอ็งทำไร่ สามปีเอ็งจะมีเงินไปเรียนหนังสือ สนใจไหม?” ลุงปั้นหลอกล่อ หลายเดือนมานี้แกอ่านหนังสือเยอะมาก ไปอบรมตามต่างจังหวัดหลายครั้ง บางครั้งยังพารัชพลไปด้วย เป็นงานอบรมเชิงเกษตร บางอันมีเจ้าหน้าที่โครงการหลวงมาให้ความรู้ลุงปั้นก็ลากรัชพลไปไม่ขาด
.
.
“ข้าจะมาขอที่ที่ติดกับบ้านข้าให้ไอ้พลมัน”
“?” พ่อกับแม่ของรัชพลขมวดคิ้ว
“ไร่ใหญ่ยี่สิบกว่าไร่ยกให้ไอ้พงศ์มันไป เอาไร่เล็กๆ ไม่กี่งานให้ไอ้พลมันเถอะ โทษฐานมันทำให้พ่อจันแม่เผื่อนเสียใจ”
“แต่...” ถึงจะโกรธเคืองอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นลูก ให้มาแบ่งที่ดินไม่เท่ากันให้ลูกสองคนแบบนี้มันดูลำเอียงเกินไปหรือไม่ พวกเขาตั้งใจให้ลูกสองคนช่วยกันดูแลคนละครึ่งอยู่แล้ว
“ให้เจ้าพลมันเอามาเป็นต้นทุนชีวิตนะพ่อจัน” ลุงปั้นเอ่ยต่อ
“พลเอาที่เล็กๆ ก็พอจ้ะพ่อ” รัชพลเอ่ยปาก คนเป็นพ่อกับแม่ถลึงตาใส่ให้เด็กหนุ่มหดหัวกลับไปอยู่หลังลุงปั้นตามเดิม ถึงจะบอกว่าที่ไม่กี่งาน อันที่จริงคือประมาณสองไร่เศษ แค่นี้ลุงปั้นก็ยิ้มหน้าบานแล้ว
โชคดีที่ผืนดินตรงนี้อุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็งดงาม ลุงปั้นสอนเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ การทำไร่แบบผสมผสาน การอยู่อย่างพอเพียง และการบริหารจัดการต่างๆ ชนิดหมดไส้หมดพุงให้รัชพล ปลุกปั้นกันอยู่หลายปีกว่ารัชพลจะเข้าใจและทำเป็น ก่อตั้งสหกรณ์หมู่บ้านโดยมีรัชพลเป็นหัวแรงใหญ่ แม้ช่วงแรกจะไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านสักเท่าไหร่ลุงปั้นและรัชพลก็ไม่ย่อท้อ ลุงปั้นตั้งใจว่าจะให้ไร่ของรัชพลนั้นเป็นไร่ตัวอย่าง ให้ชาวบ้านได้เห็นว่าเกษตรแบบผสมผสานนั้นเป็นอย่างไรซ้ำยังพัฒนาไปเรื่อยๆ รัชพลเป็นคนหนุ่มหัวพัฒนา เขาปรับปรุง ส่งเสริมเรียนรู้ได้หลากหลายเอามาใช้กับไร่ของตัวเองและพี่ชาย ทำให้ความเป็นอยู่ก้าวหน้าขึ้น ชาวบ้านจึงเริ่มเห็นความสำคัญกับสิ่งที่ลุงปั้นและชายหนุ่มสอน
เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็วแม้เอาเข้าจริงกว่ารัชพลจะตั้งตัวได้คือเข้าปีที่สี่ เลยกำหนดที่ลุงปั้นสัญญาแต่เขาไม่คิดมาก สีเขียวขจีรอบไร่และแสงแดดอ่อนยามเช้า รัชพละกำลังง่วนกับการเก็บผักไปส่งตลาด ลุงปั้นที่ตื่นเช้าพอกันก็มาหาพร้อมเอกสารในมือ
“มีมหาวิทยาลัยราชภัฏมาเปิดใกล้บ้านเรา ข้าเลยเอาเอกสารมาให้เอ็ง เผื่อเอ็งสนใจ”
รัชพลตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาตรีช่วงเสาร์-อาทิตย์ พ่อกับแม่พอรู้ข่าวเอาแต่ยิ้มหน้าบาน ความจริงพวกเขาเลิกเคืองรัชพลนานแล้ว หากลูกได้เรียนต่อพวกเขาก็ดีใจ อีกอย่าง ลุงปั้นแกทำได้อย่างที่พูดเอาไว้ สาม-สี่ปี ไร่ว่างเปล่ากลับสร้างรายได้ให้รัชพลจนมีเงินเก็บจนสามารถมาเรียนหนังสือได้จริงๆ พวกเขากลัวลูกเหนื่อย อยากให้เรียนสูงๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่กลับลืมไปว่า ไม่ว่าจะอาชีพไหนล้วนไม่สามารถเอามาตัดสินความสูงต่ำของคุณค่าคนได้
รัชพลเรียนจบแต่เขาหากไม่ได้เลิกทำไร่ เขาเอาความรู้ที่เรียนมาผสมผสานและยังคงทำไร่ต่อไป ทุกอย่างมั่นคง รัชพลเริ่มเอาหลักทฤษฎีไปใช้กับไร่ของพี่ชาย ขยายไร่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวมากขึ้น หากเขายังคงเลือกอยู่ที่เดิม บนผืนดินแค่สองไร่เศษกับบ้านหลังเล็กๆ เท่านั้น แค่เท่านี้รัชพลก็มีความสุขแล้ว เขาไม่ต้องการอะไรมากมายจนกระทั่ง...
“ไอ้พลๆ นังพลอยมันส่งจดหมายมา!” ลุงปั้นวิ่งกระหืดกระหอบมาหาเขาถึงบ้าน รัชพลละมือจากไข่ไก่แล้วออกมาหา ทันรับร่างชราของลุงปั้นที่เกือบจะล้มเพราะความรีบร้อน
“มีอะไรกันลุงปั้น?”
“นังพลอยมันเขียนจดหมายมาหาข้า!” ลุงปั้นพูดพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม รัชพลรับกระดาษในมือลุงปั้นมาเปิดอ่าน บุษราคัมเอ่ยขอโทษที่หนีหายออกจากบ้าน เธอไม่กล้ากลับมาเพราะมีลูกซ่อนอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นลูกซึ่งเกิดจากความไม่ตั้งใจสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอเก็บลูกไว้เพราะต้องการให้ฝ่ายชายรับผิดชอบและแต่งงาน สุดท้ายพอเรียนจบจึงทำงานที่นั่นไม่กลับมา ช่วงที่กลับมาบ้านตอนนั้นเพราะตั้งใจมาบอกพ่อว่ามีลูกและรอให้ผู้ชายคนนั้นมาหาเพื่อมาสู่ขอ คิดไม่ถึงว่าเธอจะถูกฝ่ายนั้นฉุดกลับกรุงเทพฯ สุดท้ายยังถูกทอดทิ้งเช่นเดิม ตอนนี้ลูกชายของเธออายุสิบหกแล้ว และหวังว่าถ้าลุงปั้นให้อภัยเธออยากพาลูกชายมากราบตาของเธอ ลุงปั้นกอดรูปใบหนึ่งเอาไว้แนบอกแล้วร้องไห้เสียงดัง ครู่ใหญ่กว่าแกจะหยุดร้องแล้วยื่นรูปให้รัชพลดู
“นี่ไง หลานชายของข้า”
นับแต่วินาทีนั้น หัวใจของรัชพลก็ไม่เคยเต้นจังหวะเดิมอีกต่อไป
ใบหน้าได้รูป ผิวขาวจัด จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากบางสีแดงสดแย้มยิ้มกับดวงตายิบหยีเป็นเสี้ยวพระจันทร์ เรือนผมหยักศกเคลียบ่า ทุกองค์ประกอบดูงดงามราวกับรูปปั้น เขากำลังตกหลุมรักคนในภาพถ่ายโดยไม่รู้ตัว...
“หลานชาย?” รัชพลหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดูด้วยมือสั่นระริก
“ใช่ หลานชายข้า ชื่อโกเมน”
เขาอาจจะเข้าใจผิด จังหวะหัวใจที่เต้นผิดไปนั้นคงเป็นเพราะคนในรู้หน้าตาดีเกินไปเท่านั้น
เท่านั้นเอง...
ผิวขาวเรียบเนียนใต้ฝ่ามือ ริมฝีปากสีแดงคู่นั้นแย้มยิ้มให้เขาอย่างยั่วยวน ดวงตาคู่สวยพราวระยับฉ่ำวาวด้วยแรงปรารถนา เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อบางอวดเงาร่างใต้ผืนผ้า เขาพยายามควบคุมลมหายใจ หากกระนั้นกลับรู้สึกว่ายากเย็น เขาลงแรงบนฝ่ามือ ผิวขาวปรากฏร่องรอยสีแดง ริมฝีปากบางคู่นั้นขยับยิ้มคล้ายท้าทาย
‘เข้ามาสิ’
เขาโถมกายเข้าหา แนบริมฝีปากร้อนไปตามผิวขาวจัดนั้น หน้าผาก ข้างแก้ม เรียวคาง ลำคอ บ่าแคบ แผ่นอกราบเรียบ หน้าท้องเนียน แม้กระทั่งข้างเอวสอบ จนเจ้าของร่างสะดุ้ง ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีถ้อยคำเอ่ยห้าม รัชพลใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น รู้สึกว่าคนตรงหน้างดงามเหลือเกิน เขาอยากครอบครอง อยากทำให้เป็นของเขาคนเดียว
รัชพลกกกอด ฟ้อนเฟ้นร่างผอมบางไม่ผละห่าง ลูบไล้เรียวขาขาวยกขึ้นพาดบ่าแล้วแทรกกายเข้าหา ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเหยเก ยิ่งยามเขาขยับตัว คนด้านล่างบีบรัดไม่ให้เขาเคลื่อนไหว ความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง เขาขบกรามแน่นแล้วเสือกกายไม่ออมแรง เจ้าของใบหน้าขาวสะบัดแหงนหงาย เรือนร่างผอมขยับไหวตามแรงโถม รัชพลก้มลงบดจูบอย่างหลงใหล กักเสียงหวานไม่ให้ลอดผ่าน สอดประสานนิ้วเรียวยาวกับเด็กหนุ่มแนบแน่น ความสุขสมถะถั่งโถมเข้าใส่ราวกับพายุบ้าคลั่ง
“!” พรึ่บ! รัชพลลืมตาตื่น แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างแยงตาปลุกเขาจากความฝันวาบหวาม หัวใจยังคงเต้นรัวเร็ว ความรู้สึกวิบไหวยังคงอาบไล้จากในความฝันสู่ความจริง ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มแล้วดึงขอบกางเกงนอนออกดู หลักฐานความสุขสมปรากฏเด่นชัด รัชพลขมวดคิ้วทิ้งกายลงบนฟูกนอนก่อนยกแขนก่ายหน้าผาก
นี่มันแย่...
แย่มากจริงๆ...
รัชพลคิดว่า เรื่องราวนั้นจะจบลง มันคงเป็นการเก็บกดเพราะหลายปีมานี้เขาเอาแต่ทำงานไม่เคยยุ่งเรื่องชู้สาวเลย พอมาเห็นรูปโกเมนก็พลันใจเต้น นั่นอาจเป็นอารมณ์เพียงชั่ววูบไม่นานคงหายไป แต่เปล่าเลย...
หลังจากนั้นครึ่งปีโกเมนมีละคร แม้ไม่ใช่ตัวเอกหากเขากลับโดดเด่น ใบหน้าหล่อเหลา ร่างผอมบาง และรอยยิ้มซึ่งเหมือนกับในฝันของรัชพล ความฝันลามกกลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้งและยิ่งมากขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป
“ผมจะแต่งงาน” วันหนึ่งรัชพลเอ่ยปากกับคนที่บ้าน รัชพงศ์เลิกคิ้วแปลกใจหากไม่ได้เอ่ยคัดค้าน พ่อกับแม่เองก็อยากอุ้มหลานเต็มแก่จึงยินดีออกนอกหน้า