“ตายแล้วกาย หน้าไปโดนอะไรมาเนี่ย ทำไมถึงเยินแบบนี้” พิมพ์จันทร์อุทานด้วยความตกใจเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางสะบักสะบอม ใบหน้าบวมปูดเขียวช้ำสภาพดูไม่จืด จนนางต้องรีบเข้ามาประคองเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวเก่า
“จะอะไรอีกล่ะแม่ ก็โดนตบมาอ่ะดิ” คนเป็นลูกตอบพร้อมซู้ดปากที่เจ็บแสบเพราะรสมือจากอลงกรณ์กับลูกน้องอีกสองคนที่ฟาดฝ่ามือไม่ยั้งเพื่อเป็นการสั่งสอนเขา
“ใครมันทำอะไรลูก บอกแม่มา แม่จะไปจัดการให้” ผู้เป็นแม่รีบกุลีกุจอหากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ลูกชายยกใหญ่
“เบาๆ หน่อยแม่ มันเจ็บ” ศรัณร้องขึ้นพลางนิ่วหน้าแล้วตวัดตาขุ่นไปทางมารดาที่ยิ้มแห้งๆ
“ทนเอาหน่อยจะได้หาย แม่ว่าเราแจ้งความดีมั้ย นี่มันเล่นงานหนักเลยนะ” พิมพ์จันทร์เสนอแนะ แต่คนฟังกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วยเพราะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด แจ้งตำรวจไปก็เปล่าประโยชน์ บารมีและอำนาจเงินของไอศูรย์ไม่ใช่ใครจะไปล้อเล่นได้ โดยเฉพาะคนธรรมดาๆ อย่างเขา
“อย่าเลย เล่นกับผู้มีอิทธิพลมีแต่ตายสถานเดียว”
“กายหมายถึงใคร” พิมพ์จันทร์ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ ปกติแล้วศรัณไม่เคยไปมีเรื่องบาดหมางกับใครถึงขั้นถูกซ้อมหนักหนาสาหัสมาแบบนี้เลยสักครั้ง
“พวกลูกน้องของคุณไอศูรย์”
“แล้วเขาจะทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อเราส่งไอ้หวายไปเป็นขี้ข้าให้เขาตามสัญญาแล้ว”
“กายไปสมัครงานก็โดนลูกน้องเขามาลากไปตบเอาๆ แล้วก็บอกว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้หวายมันอีก สงสัยมันไปฟ้องคุณไอศูรย์ว่ากายไปตบหน้ามัน แม่งเลยให้คนมาตบหน้าคืนอย่างที่เห็น”
พิมพ์จันทร์กำมือแน่นเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของลูกชาย นึกอยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ที่แท้ต้นเหตุก็มาจากลูกเลี้ยงตัวดีนี่เอง
“หน็อย ไอ้เด็กคนนี้มันเนรคุณคนจริงๆ ถ้าอยู่ตรงหน้าแม่จะตบให้เลือดกลบปากเลย”
“ช่างมันเถอะ ขืนไปยุ่งกับมันอีกเขาเอาเราตาย” ศรัณรีบตัดบท ก่อนจะเห็นผู้เป็นมารดาเอากล่องยาไปเก็บตรงชั้นวางแล้วเตรียมทำอาหารมื้อเย็นให้ลูกชายที่ออกไปตะลอนๆ สมัครงานแต่ก็ไม่มีบริษัทไหนรับเขาสักทีจนเริ่มหมดหวัง แต่ถ้าจะให้มานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านโดยไม่มีเงินเข้ากระเป๋าสักบาทอีกไม่นานเขากับแม่คงได้ย้ายไปอยู่ใต้สะพานลอยเป็นแน่
“เบื่อโว้ย!” ชายหนุ่มสบถออกมาเบาๆ เอนหลังพิงพนักโซฟาที่มีฝุ่นเกาะอยู่ พลางฉวยโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาไล่ดูรายชื่อไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขากลับสะดุดเข้ากับรายชื่อของใครบางคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว
“ลืมมันไปได้ไงวะ บ่อเงินบ่อทองของกูชัดๆ” เมื่อนึกขึ้นได้ก็กดโทรฯออกไปหาเบอร์เป้าหมาย เผื่อว่าบางทีคนปลายสายอาจจะช่วยเหลือเขาได้บ้าง อย่างน้อยก็น่าจะมีลู่ทางให้ทำมาหากินสักหน่อย
“สวัสดี”
เสียงปลายสายที่ตอบกลับมาทำเอาศรัณดีใจจนดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟา ดวงตาคมเบิกกว้างเป็นประกายแห่งความหวังราวกับแสงสว่างที่จะนำทางเขาไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างไงอย่างนั้น
“คุณไทน์ นี่ผมเองนะ...กายไง คุณจำได้ใช่มั้ย” เจ้าของชื่อที่ศรัณเรียกนั้นดูจะเงียบไป ได้ยินเสียงลมหายใจดังอยู่ในสายก่อนที่เขาจะตอบกลับ
“จำได้ แล้วนายมีอะไรกับฉันอีก” เสียงห้วนๆ ที่ส่งมาทำเอาศรัณใจฝ่อเล็กน้อย ไทน์ทำสุ้มเสียงเหมือนไม่อยากจะคุยด้วย แต่ศรัณก็ไม่ยอมให้เสียโอกาสไป เขาเปิดประเด็นถามทันที
“ผมกำลังเดือดร้อน ตอนนี้ตกงาน บ้านโดนยึด บริษัทก็ขายให้คนอื่นไป นี่ก็ต้องออกมาหาบ้านเช่าหลังเล็กๆ อยู่กับแม่ คุณไทน์พอจะมีงานอะไรให้ผมทำบ้างมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอก” ไทน์กรอกเสียงห้วนแกมรำคาญกลับมาอีกรอบ
“โธ่ คุณไทน์ ช่วยผมหน่อยเถอะ ผมเดือดร้อนจริงๆ นะ”
“ฉันเคยช่วยนายไปเยอะแล้วนะกาย อีกอย่างนี่มันก็เรื่องปากท้องของนายไม่เกี่ยวกับฉัน นายคงต้องดิ้นรนหาเอาเองบ้างแล้วล่ะ”
ศรัณเผลอบดกรามแน่น คำพูดที่ดูเหมือนเป็นการทวงบุญคุณของไทน์ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าชาไปหมด
แต่มันก็ใช่...ไทน์เคยช่วยเขาเรื่องเงิน หากมันก็ต้องแลกกับเรื่องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางทั้งนั้น!
แทบจะได้มาไม่คุ้มค่า…
“ไหนคุณเคยบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนคุณจะช่วยผม”
“ฉันเคยพูดอย่างนั้นกับนายด้วยเหรอ”
“ความจำผมยังดีอยู่นะคุณไทน์”
“แต่ทำไมฉันไม่เห็นจำได้เลย” ไทน์ตอบกลับมาแบบเฉยชา ไม่รู้ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย ในเมื่อเขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับความเดือดร้อนของศรัณ เรื่องอะไรต้องยื่นมือเข้าไปช่วยฟรีๆ
“งั้นคุณคงลืมไปแล้วว่าคุณเคยให้ผมทำระยำอะไรไว้บ้าง”
“กาย!”
“คุณจ้างผมกับไอ้ตรีภพไปข่มขืนผู้หญิงเมื่อหลายเดือนก่อน เพื่อแลกกับการที่คุณจะช่วยดันบริษัทผมให้มันมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่นี่คุณให้เงินมาแค่สี่แสน ไอ้ตรีมันก็โดนคดีมียาเสพติดครอบครองจนเข้าคุกไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ผมนี่ล่ะที่กำลังลำบาก”
“นายกำลังขู่ฉันงั้นสิ?”
“ผมแค่อยากทบทวนอะไรบางอย่าง…เผื่อคุณไทน์จะลืม”
“เหอะ! คิดเหรอว่าหมาจนตรอกอย่างนายจะทำอะไรฉันได้ ฉันให้นายไปเยอะแล้วนะ สี่แสนนั่นมันก็มากเกินพอแล้ว ต่อไปนี้ไม่ต้องติดต่อหาฉันอีก ไม่งั้นนายอาจจะเดือดร้อนยิ่งกว่าการไม่มีที่ซุกหัวนอน!” ไทน์เอ่ยจบก็วางสายไปทันที ศรัณพยายามกดโทรฯใหม่อีกรอบแต่อีกฝ่ายกลับปิดเครื่องหนีเขาไปแล้ว
“โธ่เว้ย!”
หวายเก็บหนังสือลงกระเป๋าเป้เมื่ออาจารย์เลิกสอนตอนห้าโมงเย็น เด็กหนุ่มสาวเท้าออกจากห้องเรียนด้วยความเร่งรีบ ทักทายกับเพื่อนร่วมห้องเพียงไม่กี่ประโยคก็เดินมาหน้ารั้วมหาวิทยาลัยเพื่อเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน
หลายวันก่อนที่เขานอนโทรมเหมือนซากศพอยู่ที่ห้องไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเพราะพิษไข้รุมเร้าผลพวงมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เกินพิกัด ทำให้ไม่สามารถมาเรียนหนังสือได้ วันนี้เลยต้องมาตามเก็บรายงานทำย้อนหลังพร้อมกับหอบกลับไปทำที่บ้านอีกเป็นกอง เพื่อจะได้เรียนทันเพื่อนๆ ความผิดทั้งหมดไม่ใช่มาจากเขาเสียหน่อย
ไอ้อสูรต่างหากที่ผิด
“หวาย” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังทำให้เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงแสดงสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด
“พี่พล เป็นไงบ้างพี่”
“พี่สบายดี หวายละ”
“ผมโอเค แผลหายดีแล้วเหรอ” หวายมองสำรวจตามร่างกายและใบหน้าของณพลที่รอยฟกช้ำค่อยจางลงบ้างแต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่มีส่วนทำให้ณพลต้องเจ็บตัว
“อืม พี่รู้เรื่องหมดแล้วนะ เค้นถามจากไอ้กาย ตอนแรกมันไม่ยอมบอก พี่ก็ตามมาเซ้าซี้ถามจนมันรำคาญหลุดปากพูดออกมาเอง ไม่คิดว่าแม่งจะเชี่ยขนาดนี้ สองแม่ลูกนั่นเห็นแก่ตัวฉิบหาย นี่มันให้หวายไปเป็นขี้ข้าไอ้มาเฟียนั่นน่ะเหรอ”
“ช่างมันเถอะพี่ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“หมอนั่นทำอะไรหวายหรือเปล่า”
“เขาใช้ผมทำงานบ้านสารพัด สั่งอะไรมาผมก็ทำตามเขา ยังดีหน่อยที่ได้ออกมาเรียนหนังสือ นี่ผมก็พยายามคิดบวกนะว่าเงินแม่งคงเหลือใช้เลยเปย์ผมได้ไม่อั้นแบบนี้”
“จริงๆ หวายไม่เห็นต้องยอมไอ้สองแม่ลูกขนาดนั้นเลย”
“ผมไม่ได้อยากจะยอมนะพี่พล แต่ถ้าป้าจันทร์กับพี่กายโดนสั่งเก็บ ผมก็คงไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเท่าไร”
“พี่จะช่วยหวายเอง”
“ช่วยยังไง”
“หาเงินสิบล้านมาคืนไอศูรย์”
“อย่าเลย พี่เดือดร้อนเพราะผมมามากแล้ว”
“แล้วหวายจะอยู่กับมันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหรอ หวายมีความสุขหรือไง”
“ไม่หรอก ผมคงไม่อยู่กับเขาทั้งชีวิต ตอนนี้ผมแค่รู้สึกเหนื่อยกับการสู้รบปรบมือกับคนพรรค์นั้น”
“…..”
“อันที่จริงชีวิตผมตอนนี้กับเมื่อก่อนมันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรนะ ผมยังไม่เคยสัมผัสกับคำว่าความสุขจริงๆ กับเขาสักที ชีวิตแม่งต้องเจอสารพัดปัญหามาตลอด ถ้าผมผ่านบททดสอบสุดหินนี้ไปได้ ผมก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะ”
ณพลดึงร่างเล็กมากอดหลวมๆ เขารักหวายเหมือนน้องชายแท้ๆ เพราะอีกฝ่ายเองก็เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์นัก
ทว่าภาพคนสองคนที่โอบกอดกันด้วยความห่วงหาอาทรณ์ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล ต้องรีบกดโทรศัพท์ไปหาผู้เป็นเจ้านายเพื่อรายงานประพฤติของเด็กในปกครองที่เริ่มออกนอกลู่นอกทาง
“ว่าไง” เสียงปลายสายของเจ้านายดังห้วน อลงกรณ์รีบรายงานทุกอย่างจนหมดเปลือก และไม่นานก็ได้ยินเสียงไอศูรย์ตอบกลับมาห้วนจัด เดาได้เลยว่าพายุเข้าแน่ๆ ก่อนวางสายไปดื้อๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอารมณ์เจ้านายโกรธมากขนาดไหนกับเรื่องที่ได้รับรู้ผ่านเครื่องมือสื่อสาร
ทันทีที่หวายกลับมาถึงบ้านก็ถูกเรียกตัวเข้ามาในห้องทำงานของไอศูรย์ เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าเขามีเรื่องอะไร
ผู้ชายตัวเล็กในชุดนักศึกษาปล่อยชายเสื้ออกนอกกางเกงสแล็คสีดำ ถลกแขนเสื้อจนถึงข้อศอก ยืนสงบนิ่งหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มองคนที่นั่งบนเก้าอี้ด้วยแววตาเรียบนิ่ง แต่อีกฝ่ายกลับผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงยกสองแขนกอดอก พิงสะโพกกับขอบโต๊ะทำงานแล้วเริ่มการสอบสวน
“นายไปเจอใครมาหรือเปล่า”
“ก็หลายคน เพื่อนร่วมชั้น อาจารย์ เจ้าหน้าที่ คนขายอาหาร”
“อย่ากวนตีนฉัน”
“แล้วคุณหมายถึงใคร”
“วันนี้เลิกเรียน หมอนั่นมาหานายใช่มั้ย”
“ถ้าหมายถึงพี่พลล่ะก็ใช่”
“นายกำลังละเมิดกฎของฉัน” ไอศูรย์พูดเสียงดุดันไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างมากตั้งแต่อลงกรณ์รายงานความเคลื่อนไหวของเด็กนี่แล้ว
“คุณจะให้ผมไล่เขาไปหรือไง ผมทำไม่ได้หรอก”
“แต่ฉันเคยบอกนายแล้วว่าอย่าติดต่อกับหมอนั่นอีก” ชายหนุ่มทบทวนถึงกฎของการอยู่ร่วมกันที่เคยตั้งไว้ เพราะถ้าหวายทำไม่ได้จะต้องถูกเขาลงโทษ
“ผมจำได้”
“แต่นายก็ยังทำ”
“ผมไม่ได้ติดต่อกับเขา เขามาหาผมเอง แล้วพี่พลก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะผม ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไง ใจดำไล่เขาไปอย่างนั้นเหรอ”
“นายก็เลยกอดปลอบใจไอ้หมอนั่นว่างั้นเถอะ”
หงุดหงิด! หงุดหงิดฉิบหาย
ไอศูรย์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องมาตั้งกฎบ้าๆ บอๆ ไร้สาระด้วยการไม่ให้หวายไปเจอกับนายณพล ยิ่งเวลารับรู้ว่าสองคนนี้สนิทสนมกันมากแล้วยังไปเจอกันลับหลังเขายิ่งไม่ชอบ
ไม่มีอารมณ์อยากทำงานโว้ย!
เห็นอะไรเกะกะขวางหูขวางตาก็อยากเขวี้ยงทิ้งแม่งให้หมดบ้าน
เป็นเชี่ยอะไรไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเอง!
“ลูกน้องคุณคงรายงานหมดแล้ว จะมีอะไรให้ผมแก้ตัวได้อีก”
“งั้นก็ดี!”
“…..”
“กฎก็ต้องเป็นกฎ ในเมื่อนายคิดจะละเมิด ก็ต้องถูกลงโทษ”
ติดตามความเคลื่อนไหวนิยายเรื่องอื่นๆ ได้ที่แฟนเพจ พราวแสงเดือน
https://www.facebook.com/PhrawSaengDeun/