Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)  (อ่าน 21889 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

สิบนาทีผ่านไป สิบนาทีที่เปี่ยมไปด้วยความกระวนกระวายใจ แต่ละนาทีมันช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนาน ผมสาบานว่าผมเห็นฝุ่นในห้องลอยผ่านหน้าผมไปอย่างกับภาพช้าสไตล์หนังแอ๊คชั่น รู้สึกถึงความอ่อนล้าและขี้เกียจของเข็มวินาทีของนาฬิกา จนกระทั้งผมได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้นทะลุผ่านประตูไม้สีขาวบานหนา ผมพยายามเอี้ยวหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ๆผมมองไม่เห็นแต่ด้วยระยะทางและความหน
าของผนังและประตู (มันเป็นผนังกั้นเสียงหรือเปล่าวะ?)  ทำให้จับคำศัพท์อะไรไม่ได้เลย เสียงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมรู้แต่ว่าเสียงนี้เป็นเสียงกวี เสียงนี้เป็นเสียงของคุณพ่อกวี และมีเสียงแหลมๆ เล็กๆ ของผู้หญิงที่ผมไม่คุ้นเสียงแทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ

ฟังได้เพียงชั่วครู่ ความอยากรู้มันก็เอ่อล้นขึ้นมาจนบดบังความกลัวที่จะเปิดเผย
ตัวตนที่หลบซ่อนอยู่ในห้อง ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา ใช้สายตาสอดส่องซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง ก้าวเท้าด้วยน้ำหนักที่เบาที่สุด ค่อยๆ ย่างก้าวมาจนถึงทางลงบันไดชั้นสองของบ้าน จุดที่อยู่ใกล้กับห้องรับแขกที่เกิดเหตุ และเป็นที่ผมคิดว่าจะได้ยินบทสนทนาพวกนั้นโดยที่คนข้างล่างไม่รู้ว่าผมยืนแอบฟังอยู่

“พ่อครับ ผมอธิบายไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่า รูปพวกนั้นผมถูกกลั่นแกล้ง และคนที่ช่วยให้ผมไม่ต้องถูกประนามบนโลกออนไลน์ก็พวกของชัยนี่แหละ ชัยเขาหวังดีกับผมจริงๆ นะ เรา.....เรา.....”
กวีเสียงดังขึ้นมาขณะที่ผมหยุดอยู่ตรงจุดแอบฟังบริเวณทางลงชั้นสอง
“แกจะบอกว่า พวกแกรักกัน มันจะเป็นไปได้ยังไง ผู้ชายด้วยกันมันจะไปรักกันได้ยังไง!! แกจะมีแฟนเป็นผู้หญิงกี่คนสมัยก่อนหน้านั้น พ่อไม่เคยว่า แกเองก็ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียอะไรแบบนี้ พอมาคบกับไอ้เด็กคนนี้ แกก็มีภาพอนาจาร เสียลูกตาคนมองแบบนี้อออกมา ลูกจะให้พ่อคิดว่ายังไง ยังไงพ่อก็ไม่เชื่อว่าสุดท้ายทุกอย่างมันจะออกมาดี เพราะแค่เริ่มต้นพวกแกก็เละเทะกันแล้ว”
เสียงพ่อกวีดูจะดังกว่ากวีสองเท่า

“แต่พ่อครับ พวกเรารักกันจริงๆ ผมรักชัยด้วยใจจริง และเขาก็รักผมด้วยใจจริงเหมือนกัน เขาหวังดีกับผม เขาช่วยผมตั้งหลายเรื่อง และเรื่องภาพพวกนั้นชัยก็ไม่เกี่ยวด้วย ภาพพวกนั้นมันฝีมือแฟนเก่าผมที่เป็นผู้หญิงต่างหาก!!”
ผมรู้สึกถึงความแข็งกร้าวผ่านน้ำเสียงของกวี

“แต่เรื่องทั้งหมดมันก็เพราะลูกเริ่มไปคบกับชัยอยู่ดี หากลูกไม่เจอชัยเรื่องทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น และลูกจะไม่มีวันมาเถียงพ่อฉอดๆ แบบนี้!!” เสียงเข้มของพ่อกวีดูมีอำนาจเหนือกว่ากวีมาก

หลังจากผมได้ฟังคำจากปากพ่อของกวีทำให้ภาพต่างๆ ในอดีตตัดย้อนขึ้นมาในหัว
“จริง..... หากเราไม่เข้ามาในชีวิตของกวี เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิด.....” ผมรำพันกับตัวเองเบาในความมืดของชั้นสองของบ้าน

“คุณคะ ใจเย็นๆ ก่อน” เสียงผู้หญิงแหลมเล็กดังขึ้นมา
“ก็ดูมันสิ!!” เสียงใหญ่ที่รู้สึกถึงความหอบเล็กน้อยตอบกระแทกมา

“กวี!! พ่อเธอไม่ค่อยสบายนะ จะทำอะไรควรคิดดีๆ เสียก่อน ที่พวกเราทำนะเพราะหวังดีกับเธอนะ!!”
เสียงแหลมเล็กตวาดขึ้นสูงจนดูเหมือนแก้วแถวนั้นจะแตก โดยเฉพาะแก้วหูผม เป็นเสียงที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากกว่าจะทำให้กลัว

“คุณไม่เกี่ยว นี่เป็นเรื่องของคนในครอบครัว!!” กวีตอบออกมาอย่างร้ายกาจจนอีกฝ่ายหนึ่งเงียบไปพักใหญ่

“แก ไอ้ลูกเลว แกไม่รู้หนือไงว่าน้าเขาห่วงแกแค่ไหน แกนี่มันเนรคุณจริงๆ!!” เสียงใหญ่แข็งกร้าวดังขึ้นจนผมอดใจสั่นไม่ได้

“คุณคะ!! ไม่นะคะ เราตกลงกันแล้วไงคะ!!” เสียงแหลมเล็กร้องเสียงหลง
“พ่อจะมาทำร้ายผมยังไงก็ได้ แต่ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะเรียนที่นี่กับชัย เราจะเดินไปตามฝันด้วยกัน!!” กวีเสียงดีงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“คุณเล็ก ผมไม่เอาแล้ว ก็มันดื้อขนาดนี้ ผมไม่ทนแล้วนะ ผมขอยกเลิกข้อตกลงที่ว่า จะให้คุณเป็นนางร้ายของบ้านแล้วให้ผมเป็นพ่อพระแล้วนะ หวังดีกับมันขนาดนี้ มันยังไม่รู้สำนึก สงสัยต้องให้มันโดนลงโทษแบบลูกผู้ชายสักหมัดสองหมัดมันจะได้เชื่อฟังบ้าง!!”
เสียงที่ทำให้บ้านทั้งหลังสั่นไหวเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เท่ากับใกล้กวีมากขึ้น!!

“อย่าคะคุณ อย่าทำลูก!!!”  เสียงแหลมเล็กดังขึ้นสุดเสียงเหมือนตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้ผมเขยื้อนกายลงมาตามบันไดช้าๆ จนพอมองเห็นร่างคนรูปร่างกำยำ กำลังใช้มือยื้อคอเสื้อชายตัวสูงบอบบางขึ้นจนหน้าของอีกฝ่ายแดงเรื่อเหมือนผลมะเขือเทศสุกห่าม คนนั้นคือกวี ทั้งสองอยู่ในโซนต้อนรับแขกไม่ไกลจากบันไดเท่าไหร่นัก

“ขอสักหมัด มันจะได้หายก้าวร้าวลงบ้าง” คนพูดง้างมือกำหมัดขึ้นสุดแขน ในขณะที่ที่หญิงสาวร่างบอบบางพยายามรั้งมือนั้นให้หยุดลง

พลั่ก!!!!!

เสียงกระดูกที่กำปั้นกระแทกกับผิวหนังบริเวณหน้าเข้าอย่างจัง ผมรู้สึกหน่วงหนุบที่ใบหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความเจ็บค่อยๆรุกคืบเข้ามาที่สมองอย่างช้าๆ รู้สึกตัวอีกทีหน้าผมก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว......

ร่างกายไวกว่าความคิดของผมเสมอ ผมเห็นหมัดที่ถูกเงื้อขึ้นมาเหนือหัวพ่อของกวี และสีหน้าของกวีที่ดูท้าทายต่ออำนาจที่สูงเหนือหัวนั้นอย่างไม่ยี่ระ ด้วยความเจนสนามนักเลง ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าหมัดนั้นอนุภาพไม่ธรรมดาแน่นอน รู้ตัวอีกทีผมก็พุ่งลงมาเอาหน้าตัวเองไปรับหมัดจนตัวเองล้มลงไปกองกับพื้นจนเห็นฝุ่นลอยคลุ้งเต็มสายตา (หรือเราตาพล่าไปหมดแล้ว) ผมจำไม่ได้ด้วซ้ำว่าตัวเองพุ่งลงมาจากบันไดชั้นสองได้อย่างไรเร็วขนาดนี้ ตอนนี้รู้แต่ว่าหน้าตัวเองชาไปด้านหนึ่ง สายตายังคงปรับให้เข้าที่ไม่ได้ทุกอย่างเบลอไปหมด

“ชัย!!”
เสียงกวีที่รัองออกมาด้วยความตกใจเรียกผมให้กลับจากสติที่เลื่อนลอย เขารีบเข้ามาพยุงผมให้ทรงตัวขึ้นมานั่งหลังตรง

“เออ!! ดี!  สมน้ำหน้า บังอาจมาทำอะไรลับหลังพ่อ”
พ่อกวีพูดขึ้นเหมือนไม่แปลกใจที่จะเจอผมที่บ้านหลังนี้
“ตายแล้ว ทำไมเด็กคนนี้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้!!”
ผู้หญิงในชุดเรียบหรูซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของพ่อกวีร้องเสียหลงและมีท่าทีแปลกใจมากที่เห็นผม

“พ่อก็น่าจะเห็นเขาเข้ามาขวางแต่ทำไมยังลงมือรุนแรงขนาดนี้” กวีพูดพลางใช้มือยกหน้าผมขึ้นมาส่องนู้นนี่อย่างตกใจ
“เราไม่เป็นไร....” ผมพยายามรวบรวมแรงตอบกลับ
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง เราเห็นนายล้มพับลงไปกองอยู่กับพื้นนิ่งไปหลายวิ!!” กวีตะคอกใส่หน้าผมด้วยความตกใจจนผมเริ่มจะรู้สึกเวียนหัวจริงๆ แล้ว หมัดของพ่อกวีหนักหน่วงพอจะเทียบเป็นรุ่นเฮฟวี่เวตได้เลย

“พ่อ ถ้าป๊าจะทำร้ายผมก็ทำแค่ผมคนเดียว นี่ป๊าเหมือนจะตั้งใจจะทำร้ายเขาเลย!”
“ก็เออสิวะ!!! มันบังอาจมายุ่งกับของรักของป้า โดยไม่มาขอป๊าสักคำ มันก็ต้องโดนแบบนี้!!”
“ป๊า!!! ผมไม่ไหวแล้ว ผมจะไม่อยู่.....”

“เดี๋ยว......”
ผมใช้มือปรามปากของกวีก่อนที่จะแตกหักกับพ่อของเขาจริงๆ ผมไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผม
“ชัย.......”
“เราขอพูดเอง!!”
“แต่......”
“เอาน่า.... ไว้ใจเรานะ”
“...........”
กวีไม่พูดอะไรหลังจากเห็นผมทำหน้าจริงจังใส่ (หรือหน้าที่เริ่มเขียวช้ำเหยเกของผม)

“พ่อครับ...” ผมขยับร่ายกายเหยียดตรงยืนขึ้นและค่อยๆ ขยับเข้าไปไกลพ่อของกวีมากขึ้น

“...........” พ่อของเขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว น้าไม่ยอมให้เรื่องที่เราจะขอมันเป็นไปได้หรอก น้า.....”
คุณผู้หญิงของบ้านออกหน้าแทนพ่อของกวีแต่ก็ถูกพ่อของกวีใช้มือปรามไว้เช่นกัน  ในขณะที่อีกมือกำหมัดแน่นยกขึ้นมาเสมออก
“พูดมา หากพ่อไม่พอใจกับคำตอบก็เตรียมเจ็บตัวและกระเด็นออกจากบ้านนี้ โดยอย่าหวังว่าจะได้กลับมาอีกเลย!!”
เสียงเข้มของพ่อกวีทำให้ผมขาอ่อนแรงได้เลย
“คุณคะ อย่าใช้ความรุนแรงเลยนะคะ ฉันขอร้อง”
คุณผู้หญิงของบ้านพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายโดยใช้มือยั้งหมัดอีกฝ่ายไว้
“ครั้งผมขอตัดสินใจ ตัดสินโทษเอง คุณไม่ต้องทำหน้าที่แล้ววันนี้!!”  พ่อกวีเสียงแข็งใส่อีกฝ่ายเช่นกันจนอีกฝ่ายถอยไปหนึ่งก้าว
“เอ้า!! มีอะไรอธิบายก็พูดมา!!” พ่อกวีหันมาทางผมด้วยสายตาที่สามารถทำลายกำแพงความมั่นใจผมได้หมดไม่มีเหลือ

“เอ่อ... คือ..... เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากผมเอง หากผมไม่เข้ามาในชีวิตของกวี หากผมไม่คิดอยากจะแกล้งให้กวีเลิกกับนิ่ม หากผมไม่คิดกับกวีมากกว่าเพื่อน หากผมไม่คิดว่าผมขาดกวีไม่ได้ หากผมไม่ได้..... รักกวี...... กวีคงไม่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ต้องถูกทำให้อับอาย ผมคิดว่ามันเป็นความผิดของผมเสมอมา นั้นเป็นเหตุที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่ทำให้กวี เสียใจ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ทิ้งกวีไปไหน ผมอยากจะขอคุณพ่อดูแลกวีนับจากนี้ไป อย่าให้กวีไปจากผมเลยนะครับ” พูดจบผมค่อยๆ ก้มตัวลงกราบที่เท้าของพ่ออย่างเรียบร้อยที่สุดในชีวิตคนอย่างผม

“มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม?” คุณพ่อของกวีพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นหลังจากที่ผมดึงกายขึ้นมาจากพื้น และมองผมด้วยสายตาไม่ต่างจากเดิมเลย

“ไอ้บ้า พูดอะไรของนายวะ น้ำเน่าจะตาย!!” กวีขยับตัวลงมานั่งข้างพร้อมกระซิบใส่หน้าผม แต่ผมไม่ได้สนใจเขา ผมมองหน้าพ่อของกวี และพร้อมจะรับผลที่จะเกิดขึ้น

“พ่อจะซ้อมผมจนกว่าจะพอใจก็ได้ แต่ก็เปลี่ยนเรื่องจริงไม่ได้ว่า ผมจะคบกับกวีอย่างคนรัก และตั้งใจจะอยู่กับเขาตลอดไป!!” ผมพูดออกพร้อมส่งสายตาที่มุ่งมั่นออกไปที่คนที่ยืนสูงใหญ่ตรงหน้าทั้งที่ใจผมสั่นระรัวเป็นกลองวงดนตรีร็อค

“เออ!! เอ็งเป็นลูกผู้ชายแบบนี้พ่อก็ดีใจ มันต้องอย่างนี้ กล้าทำกล้ารับผิดชอบ พ่อชอบ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“???????”  ผมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ทัน เพราะจากความถมึงทึงดำมืดกลับกลายมาเป็นหัวเราะสดใสเหมือนฟ้าหลังฝน

“พ่อ!! นี่มันอะไรกัน พ่อเล่นอะไรเนี่ย?” กวีโพล่งถามขึ้นมา

“กวี พ่อชอบเพื่อน.. เอ้ย!!!แฟนลูกนะ” พ่อกวีพูดปนหัวเราะ

“อะไรนะพ่อ!!” กวีมีท่าทีตกใจกับคำตอบของพ่อเขาไม่น้อยไปกว่าผม

“โอเคๆ พ่อยอมแล้ว เอาเป็นว่าพ่อโอเคกับเรื่องของเราก็ได้”
พ่อกวีพูดจบก็ยิ้มที่มุมปาก
“คุณ!! ฉันว่าแล้วเชียวว่าคุณต้องใจอ่อน!!” เสียงคุณผู้หญิงของบ้านร้องเสียงแหลมแทรกมา
“คุณ!! พอเถอะ ผมไม่อยากให้เรื่องมันจบเหมือนสมัยของเจ้ากรนะ!! แล้วสุดท้ายคุณก็จะไม่ได้ใจลูกเลย ลูกไม่มีความสุขแล้วคุณมีความสุขไหม?”
“...........” สายตาของคุณผู้หญิงของบ้านที่ส่งออกมาแทบจะบอกทุกอย่างออกมา มีทั้งความเศร้าและความเสียใจพลั่งพลูออกมา

“ฉะนั้น เรื่องในวันนี้ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง!!”
พ่อของกวีพูดออกมาอย่างหนักแน่นท่ามกลางสายตาแห่งความงงและสงสัยของผมและกวี

“พ่อครับ .......” กวีพูดขึ้นอย่างลังเล
“เอ้อ!! พ่อเหมือนว่าพ่อติดคำอธิบายให้เรานะ คืออย่างนี้ หลังจากที่พ่อรู้เรื่องนี้จากน้าเล็ก พ่อยอมรับว่าเครียดมาก แต่พ่อไม่อยากมานั่งเสียใจเหมือนคราวเจ้ากรอีก พ่อเลยตัดสินใจวางแผนวัดใจครั้งนี้ โดยให้ลุงน้อย คนขับรถช่วยพ่ออีกแรง!!”
“ ....ช่วย??” กวีพูดขึ้นลอยเป็นคำถามและมีสีหน้างุนงงไม่ต่างจากผมเลย
“ช่วยวัดใจคนของลูก หากเห็นถึงความจริงใจก็ยอมให้เข้าบ้านมาในวันนี้ และที่เหลือพ่อจะจัดการเอง!!”
พ่อกวีพูดพร้อมวาดหมัดใส่อากาศเบาๆ
“นี่พ่อตั้งใจทำร้ายชัยเหรอ?” กวีมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา ส่วนผมยังรู้สึกถึงกำปั้นทำลายล้างอันนั้นได้อยู่
“เปล่า!!!!........” พ่อกวีลากเสียงสูง
“พ่อแค่อยากลองใจว่าแฟนลูกจะยอมรับสิ่งที่ทำหรือหนีจากปัญหาที่เกิดหรือเปล่า.... พ่อไม่ได้คิดทำร้ายลูกหรอกนะ แค่เหลือบไปเห็นเงาคนตรงบันไดก็เลยเล่นให้มันสมบทบาทหน่อย บังเอิญมันเป็นจังหวะพอดี ชัยเข้ามาขวางพ่อเลยเผลอใส่อารมณ์เข้าไปนิดหน่อย!” พ่อกวีกำหมัดขึ้นมาทำเอาเสียวใบหน้าแปลบ
“โอ้โห นิดหน่อย ทำเอาผมตาลายเกือบน็อค...” ผมเปรยกับตัวเองลอยๆ
“แค่นี้มันยังน้อยไป กล้าดียังไงมาแอบมิดีมิร้ายของรักของป๊า!!”
“ป๊า.. ชัยไม่เคยทำร้ายผมเลยนะ!!” กวีพูดแทรกขึ้น
“อย่าให้ป๊าพูดเลยนะ แค่ดูเราสองคนป๊าก็รู้แล้วว่า ใครทำใคร!! หรือว่ามันไม่จริง จะบอกว่าเราสองคนยังไม่เคยมีอะไรกันงั้นสิ!!” พ่อของกวีพูดสวนมาจนผมตั้งหลักไม่ทัน

“เอ่อ.....คือ......” กวีถึงกับคิดคำพูดที่จะโต้ตอบไม่ออก และหน้าแดงก่ำแบบกระทันหัน
“ดูท่าป๊าจะเดาถูกสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า” พ่อกวีพูดจบก็หัวเราะเสียงดัง

“คุณคะ ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่มาปรึกษากันก่อนคะ ฉันไม่ยอมนะคะ มันไม่ถูกต้อง!! ฉัน....” เสียงของคุณผู้หญิงของบ้านดังขี้นอีกครั้งและแผดหนักกว่าเดิม เธอพยายามเดินเข้ามามีบทบาทในวงสนทนานี้อีกครั้ง

“คุณหยุดเลยนะ!! พวกเรากำลังพูดคุยกันฉันครอบครัวอยู่ คุณไม่มีสิทธิ์เจ้ามาสอด!! คุณไม่อยากเห็นผมมีความสุขใช่ไหม? คุณทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมมีความสุข!!” กวีลุกขึ้นพรวดและขึ้นเสียงแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเดาว่าความอดทนของเขากับแม่เลี้ยงของเราคงมาถึงจุดสิ้นสุด

“หยุดก้าวร้าวใส่น้าของแกเดี๋ยวนี้!!  แกไม่รู้อะไรอย่ามาทำปากดี!!” พ่อของกวีเกี้ยวกราดขึ้นอีกครั้ง
“แต่พ่อครับ พ่อก็รู้ว่า ผมรู้สึกยังไง ผมเล่าให้พ่อฟังทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องพ่อก็คอยแก้ต่างให้เขา พ่อน่าจะรู้ดีว่าผมพูดเรื่องอะไร!!” กวีโต้ตอบทันที

ผมสังเกตเห็นคุณนายของบ้านตาแดงและมีน้ำตาไหลอาบแก้มจนผมต้องจับมือรั้งให้สติของกวีกลับมาใจเย็นดังเดิม

“คุณไปพักเถอะ เดี๋ยวผมอธิบายกับลูกเอง”
พ่อกวีพูดขึ้นเบาๆ ใส่น้าเล็ก
“คะ” เธอตอบทั้งน้ำตาและเสียงที่สั่นเครือแบบควบคุมไม่อยู่

“กวี พ่อขอบอกอะไรกับเราสักเรื่อง และช่วยฟังให้จบได้ไหม จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เรานะ” พ่อกวีหันมาพูดกับกวีหลังจากใช้สายตาส่งภรรยาตัวเองไปพักผ่อนจนพ้นสายตา

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“เอ่อ.....ครับ” กวีตอบแบบไม่เต็มเสียง
“เฮ้อ!!!!! รู้ไหม? น้าเล็กน่ะรักและเป็นห่วงเราไม่ต่างจากลูกเลยนะ ตอนนี้น้าเล็กแกเห็นรูปพวกนี้แทบจะเป็นบ้าเลย ไปตามร้องเรียน ตามซื้อตามปิดทุกอย่างไม่ให้มันถูกเผยแพร่ออกไป โชคดีมันมีไม่มากเท่าไหร่ แต่น้าแกลังเลอยู่นานกว่าจะกล้ามาบอกป๊า ตอนเธอมาบอกป๊าก็ร้องไห้ไม่หยุด เพราะคิดว่าตัวเองดูแลลูกไม่มี ขอร้องให้ป๊าอย่าลงโทษเรา เหมือนอย่างที่เคยทำกับน้องชายแก!”

“..........” กวีฟังด้วยสีหน้าครั่นคิด
“เชื่อป๊าเหอะ ทุกอย่างที่น้าแกทำนะก็เพราะหวังดี ถึงได้เข้มงวดกับแกยิ่งกว่าลูกในไส้ตัวเองเสียอีก .... อืม.... จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก นึกถึงแล้วก็เข้าใจว่าทำไมน้าเล็กถึงได้ห่วงแกมากขนาดนั้น แกก็เหมือนลูกในไส้เขานั่นแหละ”

“???” กวียังคงงุนงงกับคำตอบที่พ่อเล่าให้ฟัง
“อยากรู้รายละเอียด แกก็ไปถามน้าแกเองก็แล้วกัน พ่อบอกได้เลยว่า ทุกอย่างที่แกเห็น แกรู้สึกตลอดหลายปีที่ผ่านมาต่อ น้าเล็กน่ะ เขาอยากให้แกได้ดีนะจนบางครั้งรับบทเป็นตัวร้ายเสียเอง เพราะอยากให้พ่อดูเป็นฮีโร่ในสายตาพวกเรา เฮ้อ... พ่อไม่ดีเอง พ่อไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพวกเราเท่าไหร่ มันก็เลยกลายมาเป็นภาพแบบนี้โดยตั้งใจไป”

“โห......” ผมเผลอพูดอุทานออกไปหลังฟังความหลังที่ซับซ้อนนี้
“อ้อ!!! งั้นเรามาต่อเรื่องของเรากันเลยล่ะกันนะชัย” พ่อกวีเปลี่ยนเรื่องและหันมาหาผมอย่างที่ผมตั้งตัวไม่ติด

“เอ่อ...ครับ..” ผมตอบแบบไม่เต็มเสียง

“อยากให้พ่อเปลี่ยนใจเรื่องส่งกวีไปเรียนต่อต่างประเทศหรือเปล่า??”  พ่อกวีพูดไปพร้อมยิ้มที่มุมปาก
“ครับ อยากครับ” ปากผมตอบไปแบบนั้นแต่ผมคิดในใจว่า ‘อ้าว!! โดนต่อยไปขนาดนี้ กูยังต้องทำอะไรพิสูจน์อีกวะ!’

“ไปบอกพ่อแม่ของนายมาให้มาคุยกับพ่อเรื่องของนายกับลูกของพ่อ ให้ผู้ใหญ่รับรู้และยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พ่อจะยอมเปลี่ยนใจ!!” พ่อของกวีพูดด้วยน้ำเสียบราบเรียบแต่จบประโยคด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่

“อะไรนะครับ!!” ผมกับกวีพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เออ! ตามนั้นล่ะ ไปบอกพ่อแม่นายมาคุยกับพ่อ ให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายพ่อจะได้ไม่ห่วง!!”

“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยครับ” กวีแย้งขึ้นมา ส่วนผมกำลังประมวลความคิดอยู่ว่า พ่อของกวีพูดเล่นหรือพูดจริง

“พ่อจริงจังนะ พ่อไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราสองคนเป็นยังไง ต่อให้พ่อแม่รักลูกแค่ไหน มาเจอเรื่องแบบนี้ใช้ว่าจะรับได้ทุกคน ขนาดพ่อยังต้องทำใจอยู่หลายวันกว่าจะเข้าใจ วันข้างหน้าพวกลูกเติบโตไปมากกว่านี้ ตกลงร่วมชีวิตกันจริงจัง ถ้าเกิดพ่อแม่ของชัยไม่ยอมรับ กวี! ลูกคิดว่าลูกสองคนจะมีความสุขเหรอ!!??” ความคิดที่ลึกล้ำของผู้ใหญ่มันไปไกลกว่าผมมาก ผมไม่เคยคิดไปไกลกว่าสองเดือนข้างหน้าเลย พ่อของกวีคิดไปไกลกว่านั้นมาก และคำนึงถึงความสุขของลูกเป็นหลัก  พ่อของกวียอมรับในตัวตนของกวี ในตัวตนของพวกเราแล้วแต่ก็ยังห่วงอนาคตของลูกตัวเองอยู่ดี ผมนิ่งเงียบเพื่อคิดตาม ในขณะที่ กวีนั้นได้แต่มองพ่อของตนเองอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“กวี!! ลูกเข้าใจพ่อนะ ทุกอย่างที่พ่อทำน่ะ เพื่อตัวลูกเองทั้งนั้น” พ่อของกวีเข้ามาลูบหัวกวีอย่างอ่อนโยนซึ่งกวีก็ไม่มีท่าทีขัดข้องอะไรได้แต่พยักหน้าตาม หลังจากนั้น พ่อลูกก็หันมาทางผมเพื่อขอคำตอบ

“ได้ครับ! ผมจะให้ พ่อแม่มาสู่ขอหมั้นหมายกวีเป็นเรื่องราว!!”
ผมหลุดพูดความคิดในใจออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะใจคิดตามคำพูดพ่อของกวีไปเรื่อยๆ ด้วยความตื่นเต้นมันก็เลยโพล่งพรวดออกมา

“ไอ้บ้า!!!” กวีเหวี่ยงคำโต้ตอบมาทันที

....................................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เช้าวันหยุดที่แสนสงบสุขของผม ต้องถูกรบกวนโดยความคิดต่างๆ นาๆ ของตัวเอง จากวันก่อนที่รับปากพ่อของกวี เรื่องจะไปคุยกับพ่อแม่ของผม ไปคุยเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับกวี ผมขอบอกตามตรงนะครับว่าเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อนเลย คือ..... ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่..... ผมว่ามันสามารถบอกได้ ด้วยพฤติกรรมของผมสองคนและเวลาที่เหมาะเจาะ มันจะเล่าเรื่องราวด้วยตัวมันเอง ประมาณว่า ‘ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน ไม่ต้องหาคำๆไหนมาอธิบาย’ อะไรประมาณนั้น

แม้ว่าตอนนี้พ่อของกวีจะหยุดเรื่องการกักบริเวณของกวีไปแล้ว และยังคืนอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่างให้ดังเดิม (โทรศัพท์รุ่น 2G ไม่เหมาะกับลูกคุณหนูอย่างกวีเลย) กวีสามารถมาโรงเรียนได้เองตามปกติ แต่คุณพ่อของเขาจะยังไม่เปลี่ยนใจเรื่องส่งกวีไปเรียนต่างประเทศ จนกว่าผมจะให้พ่อแม่รับรู้เรื่องของเราและพาไปหาพ่อกวีเป็นการพิสูจน์!

แค่คิดผมก็ปวดหัวแล้ว  พ่อผมคงไม่เคยคิดว่าจะได้ลูกสะใภ้เป็นผู้ชายแน่นอน พ่อเป็นคนไม่ค่อยอ่อนไหวกับเรื่องรักๆใคร่ๆ เท่าไหร่ แล้วพ่อจะเข้าใจผมบ้างไหมนะ ส่วนแม่ของผมนั้น แม้ผมจะแอบสงสัยอยู่บ้าง แต่ผมว่าแม่น่าจะรู้เรื่องของเราสองคน แค่แม่ก็ไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่แสดงท่าทีสงสัยเวลาที่ผมอยู่กับกวีและทำท่าทางแปลกๆกับเขาเกินเพื่อน ทั้งสองท่านเป็นคนรักเด็กมาก ผมแอบคิดในใจว่าท่านต้องคาดหวังหลานตัวน้อยๆ จากผมเป็นแน่ แล้วไหนจะต้องพาทั้งสองท่านไปพบกับพ่อของกวีอีก มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ นี่มันภารกิจที่ยากเกินกว่าจะเป็นไปได้เลย

ผมคิดทบทวนกับตัวเองไปมา ในขณะที่เอามือกุมกัวตัวเองอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์อันเป็นริงโทนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นทำลายความเงียบจนผมตกใจเล็กน้อย

ชื่อของผู้โทรมาแสดงขึ้นที่หน้าจอชื่อที่ทำให้ผมยิ้มแย้มได้เสมอ

‘กวี❤️’


“อรุณสวัสดิ์ เป็นไง คิดได้หรือยังว่าจะเริ่มยังไง?”
เสียงกวีที่สดใสดังขึ้น ทำให้ผมพ้นจากห้วงความคิดที่ทับซ้อนไปมา
“สวัสดี... ยังเลย....” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วอ่อนแรง
“อ้าว! ปกติเห็นเป็นห้าวกับทุกเรื่อง!”
“ยกเว้นเรื่องพ่อแม่ว่ะ.... สำหรับแม่เรายังรู้สึกโอเคนะที่จะบอก แต่กับพ่อนี่...... บอกเลยว่าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง”
ใช่ครับ พ่อผมนี่คือชายชาติตำรวจที่องอาจน่าเกรงขาม พ่อเลี้ยงลูกแบบดุดันตรงไปตรงมาสุดๆ พูดกันตรงๆ พูดกันด้วยเหตุผลทุกเรื่อง พ่อไม่เคยใช้อารมณ์ความรู้สึกในการเลี้ยงดูผมเลย แล้วพ่อจะรู้สึกยังไงกับเรื่องตรงนี้นะ!

“ให้เราไปช่วยอยู่ข้างๆ ตอนนายบอกพ่อกับแม่ไหม?”
กวีให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไร เราว่าไม่เป็นไรดีกว่า เรื่องนี้เราจัดการเองดีกว่า”
ผมพูดไปแบบนั้นเพราะเดาปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ไม่ออกเลย ผมไม่อยากให้กวีมาเป็นภาพพ่อตอนอาละวาดหากผลมันออกมาไม่ดีนัก

“ทางโน้นเป็นไงบ้าง?” ผมถามเหตุการณ์ทางบ้านของกวีบ้าง
“ก็ไม่ยังไง”
“อ้าวนี่ยังไม่ได้ไปคุยกับน้าเล็กอย่างที่ป๊านายบอกรึ?”
“คุยแล้ว แต่ก็เหมือนเดิม ไม่เห็นเขาจะพูดเรื่องอะไรให้ฟังเลย” ผมได้ยินเสียงกวีผ่อนลมหายใจใส่โทรศัพท์
“ถามคำ ตอบคำเหมือนเคย” กวีพูดต่อ
“คงไม่ชินมั้ง รับบทตัวร้ายมาตั้งหลายปี จะให้อยู่ๆกลับมาทำดีด้วยคงยาก” ผมพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะผมได้มีโอกาสแอบคุยกับพ่อของกวีตอนขากลับจากบ้านกวีวันนั้น

พ่อเขาเล่าให้ฟังว่าเหตุผลที่น้าเล็กรักกวีเสมือนลูกในไส้เพราะน้าเล็กเป็นคนอุ้มบุญให้แม่ของกวี พูดง่ายๆว่าทัองแทนนั่นแหละ ด้วยภาวะบางอย่างของแม่กวี ทำให้อ่อนแอจนไม่สามารถตั้งครรค์เองได้ จึงได้จ้างญาติห่างๆ ที่ฐานะไม่ดีของแม่กวีมาอุ้มบุญให้ รวมถึงจ้างเป็นแม่นมระหว่างที่กวีแบเบาะอีกด้วย คนๆนั้นก็คือน้าเล็ก ที่มีหน้าตาและผิวพรรณดีไม่แพ้แม่ของกวี หลังจากนั้นสิบปี แม่ของกวีก็เสียเพราะโรคประจำตัว ด้วยความใกล้ชิดกับพ่อของกวี พ่อของกวีจึงได้ตกลงคบและแต่งงานกับน้าเล็กในปีถัดมา  ทั้งหมดนี้คือเรื่องคร่าวๆ ที่ผมฟังจากพ่อของเขาระบายออกมา พ่อกวีบอกว่าน้าเล็กรักและนับถือแม่ของกวีมากเพราะเป็นคนให้โอกาสดีๆ ทุกอย่างในชีวิต ก่อนตายจากไป แม่กวีฝากฝั่งกวีไว้กับน้าเล็กจึงทำให้เธอจริงจังกับการเลี้ยงกวีมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก ผมฟังเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านี้จนงง และจับใจความได้แค่นี้ ที่เหลือก็แค่ให้กวีเปิดใจมากขึ้นเท่านั้น ผมเข้าใจเขานะครับ รู้สึกเหมือนโดนทำร้ายมาตลอด เข้าใจว่าน้าเล็กมาแย่งความรักของพ่อไปจากแม่ของเขา เพราะช่วงสุดท้ายของชีวิตของแม่ของเขา ทั้งน้าเล็กและพ่อของเขาก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปได้ไดลจนมีลูกกันไปแล้ว มันโหดร้ายมากกับประสบการณ์ในมุมมองของกวี แต่แท้จริงแล้วมันตรงกันข้ามกัน มันยากจะยอมรับได้จริงๆ


หลังจากพูดคุยให้กำลังใจกันสักพักผมก็ขอวางสายจากสุดที่รักของผม เพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวไปเจอหน้าพ่อกับแม่ผมในช่วงทานอาหารมื้อเช้าวันนี้ และผมคิดว่าน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะบอกทั้งสองท่านให้เข้าใจ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
.............


เสียงเคาะเบาๆที่เกิดจากจานกับช้อนส้อม ระหว่างรับประทานอาหารมื้อเช้า ดังขึ้นเป็นระยะๆ พ่อกับแม่ต่างมองหน้าผมเป็นระยะ เนื่องมาจากความเงียบของผมในขณะกินข้าวซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น ปกติผมจะหาอะไรมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังตลอดจนบางครั้งเคยโดนพ่อดุบ่อยๆ ว่าให้กินข้าวมากกว่าพูดด้วย (แต่กับกวี เขาไม่เคยบ่นผมเรื่องนี้เลย)

“เอ่อ......” ผมกำลังนึกคำกล่าวเริ่มต้น
“อะไรของเอ็งวะ เงียบมาตั้งแต่ลงนั่ง เป็นอะไรหรือเปล่า? แล้วมาอ้ำอึ้งอะไร อยากจะขออะไรพ่อเอ็งหรือไง?” พ่อผมพูดอย่างกับเจ้ามาอยู่ในใจผมได้อย่างนั้น
“เอ่อ.... คือ มีเรื่องจะขอร้องพ่อหน่อยครับ”
“เรื่อง? อย่าบอกว่าเอ็งจะมาขออะไรเป็นพิเศษเพราะจากคะแนนสอบสูงๆ ของเอ็ง!”
“ไม่ใช่...เรื่องนั้นครับ แต่...ไหนๆ พ่อก็พูดแล้ว ก็อ้างอิงตรงนั้นมาหน่อยก็ได้ครับ”
“ไม่ต้องเลย การเรียนการสอบมันก็หน้าที่นักเรียนอย่างเอ็งอยู่แล้ว ทำดีมันก็เป็นเรื่องที่ดี คนที่จะได้ประโยชน์มันก็เอ็งไม่ใช่พ่อเสียหน่อย”
“อ่า..... ครับ... งั้นไม่เป็นครับ” เจอสวนมาขนาดนี้ทำเอาผมปอดแหกไปเลย รู้สึกพ่อผมดูฉุนเฉียวกว่าปกติ ใจหนึ่งไม่อยากจะพูดแล้ววันนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า มันไม่มีเวลาแล้วคงต้องจัดการเสียวันนี้

“พ่อครับ.... คือ.......” อยู่ๆเสียงผมก็หายไปเสียอย่างนั้น
“อะไรวะ! พ่อชักจะรำคาญเอ็งแล้วนะ มีอะไรก็พูดมา พ่อต้องไปเข้าเวรต่อ!!” พ่อฉุนเฉียวขมวดคิ้วขึ้นมาเหมือนเคย ผมกับพ่อไม่เคยคุยกันได้เกินสามประโยคเลย เพราะจะโดนพ่อ ‘สอนสั่ง’ เรื่องความไม่เหมาะสมในพฤติกรรมของผมเสมอ

“พ่อก็... ใจเย็นๆ หน่อยสิ นานๆ ได้กินข้าวด้วยกันทั้งที” แม่ส่งเสียงมาปรามพ่อ จนพ่อผมผ่อนหัวคิ้วลงไปราบเสมอกัน พ่อของผมหากไม่นับความฉุนเฉียวใจนักเลงนี่ ก็นับเป็นคนหน้าตาใจดีและดูเป็นคนใจดีมากๆ เลยทีเดียว คนที่ทำให้พ่อสงบลงได้ก็คงมีแต่แม่นั่นแหละ แต่แม่มักจะไม่ค่อยปรามพ่อเวลาดุผมเท่าไหร่ (คอยสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ แต่ผมมันเด็กดื้อไม่ค่อยเชื่อฟัง)

“เออ! จะพูดอะไรก็พูด” พ่อใช้อำนาจของสารวัตรใหญ่ในน้ำเสียงกับผมอีกครั้ง
“ผม.... อยากให้พ่อกับแม่ไปพบกับพ่อของกวีกับผมหน่อยครับ” ผมรีบพูดออกไปทีเดียวเพราะกลัวว่าเสียงจะขาดหายไปอีก
“ชัย!! อย่าบอกว่าลูกไปทำร้ายลูกชายเขา โธ่.... กวี เด็กเรียบร้อยน่ารักแบบนั้นน่าสงสาร..... แกไปทำอะไรเขาชัย!! ต่อยตีแย่งผู้หญิงกันหรือไง?” แม่ผมที่เอ็นดูกวียิ่งกว่าลูกในไส้ของตัวเองพูดขึ้นมา แล้วไอ้เรื่องผมไปแย่งผู้หญิงกันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว จะพูดให้ถูกก็คือผมไปแย่งไอ้ชัยจากผู้หญิงถึงจะถูก

“โธ่....แม่ ดูพูดเข้า!!” ผมรีบตัดบทก่อนที่พายุลูกใหญ่จากพ่อจะซัดเข้าที่ผม
 “แต่...... ก็...... ไม่เชิงแบบนั้น ไม่เชิงทำร้ายอะไรแบบนั้น...”
ภาพในหัวผมตอนนี้คิดไปถึงเรื่องบนเตียงขึ้นมาเลย
“อะไรของแก! ไม่มีเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมต้องให้พ่อแม่เอ็งไปพบพวกเขาด้วย!!” พ่อถามด้วยความสงสัย คิ้วของพ่อเริ่มย่นเข้าหากัน

“คือแบบ.....” ผมไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาเริ่มอธิบาย หรือควรพูดตรงๆ ไปเลยดีว่า ‘กวีมันเมียผมไงครับ พ่อกับแม่ช่วยไปรับรองอนุญาติการคบกับของเราสองคนด้วย’  มันคงดูแปลกดี ผมนึกสีหน้าของพ่อกับแม่ไม่ออกเลย

“อย่าบอกนะว่า... จะให้พ่อกับแม่ไปขอกวีมาเป็นลูกสะใภ้น่ะ?” แม่พูดตัดบทออกมาหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิดว่าจะเริ่มต้นด้วยวิธีไหนดี

“.....................” ผมอยากมีกระจกส่องหน้าตัวเองตอนนี้มากมันคงเหวอแบบตลกสุดๆ

“ไอ้ชัยเอ้ย........... ทำสีหน้ามาเสียตอบคำถามแม่เอ็งทุกอย่างเลยนะ!!” พ่อผมยิ้มมุมปาก แซวท่าทางตลกๆของผม

“คือ..... ผม... แบบว่า....” เอาวะเป็นไงเป็นกัน ไหนๆ พ่อกับแม่ก็มากันถูกทางแล้ว
“เอาเป็นว่า.. แม่เดาถูกก็แล้ว ผมกับชัยคบกันแบบ... มากกว่าเพื่อน... แบบแฟนน่ะ แล้วคราวนี้พ่อเขาจะไม่ให้เราคบกันต่อ หากผมไม่พาพ่อกับแม่ไปคุยกับกับเขา ให้พ่อกับแม่รับเรื่องพวกเราได้ครับ!!” ผมพ่นความคิดที่จะพูดออกมาให้หมดในครั้งเดียวเลย อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นข้อความที่กระชับได้ใจความที่สุด อย่างน้อยหวังว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจผม หลังจากก้มหน้าก้มตาพูดจนจบ ผมก็แอบชำเลืองดูปฏิกิริยาของทั้งสองคนพร้อมกับอาการหอบเล็กๆไปด้วย

ทั้งสองท่านดูนิ่งเงียบ ไม่คำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากของทั้งสองท่าน ทั้งสองทำเหมือนรอผมพูดขึ้นมาทั้งรอยยิ้มว่า ‘ล้อเล่นครับ’ แต่ผมกลับทำได้แค่จ้องกลับไปหาท่านทั้งสองเท่านั้น ผมยอมรับสีหน้าของความผิดหวังของทั้งสองท่านที่ลูกชายคนเดียวของท่าน มีแฟนไม่เหมือนคนทั่วๆไป

“เฮ้อ..... พูดออกมาจนได้นะ กว่าลูกจะคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เนี่ย ปล่อยให้รอตั้งนาน!!” แม่พูดขึ้นในขณะที่เสียงสนทนาเงียบหายไปพักใหญ่ ส่วนพ่อของผมได้แต่นั่งถอนหายใจ

“แม่... กับพ่อ..... รู้??” ผมมองหน้าทั้งสองท่านด้วยความแปลกใจ
“เออ!! รู้มาพักหนึ่งแล้ว แม่เอ็งเล่าให้พ่อฟังเอง” พ่อพูดคัดบทแม่
“รู้เมื่อไหร่?” ผมรับรู้ได้เลยว่าผมทำหน้าประหลาดขนาดไหน กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุกไปหมด และยังมีหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

“โอ้ย!! ฉันเป็นแม่แกนะ ฉันรู้ทุกเรื่องของแกนั่นแหละ!”
แม่พูดเสียงสูงใส่ผม
“การปฏิบัติตัวของพวกลูกมันเกินเพื่อนจนแม่รู้สึกได้ แล้วไหนจะพามานอนด้วยกันบ่อยๆ แกก็ไปค้างบ้านแล้วกวีบ่อย อีกอย่าง ผนังที่นี่ไม่ได้กันเสียงได้ทุกเสียงนะ เวลาแกทำอะไร แม่ได้ยินหมดแหละ อีกอย่างแม่เป็นทำความสะอาดห้องแก แม่เห็นขยะทุกชิ้นของแกนะ!! แต่ก็ดีนะที่แกรู้จักป้องกันน่ะถึงจะไม่ทัองแต่ก็ควรทำเป็นนิสัย” แม่เสริมขึ้นมาอีก ในขณะที่พ่อนั่งหน้านิ่งและแอบกระแอมนิดหน่อย

หน้าผมร้อนผ่าวไปหมดกับการโดนแม่แฉและรู้ทันผมไปหมด การมีแม่ฉลาดนี่ไม่ดีเลย (แม่ผมเคยเป็นพยาบาลมาก่อน)

“อ้อ!! แล้ว....”

“โอเคๆ ยอมแล้วครับ รู้แล้วครับว่าแม่รู้อยู่แล้ว” ผมรีบส่งเสียงปรามแม่ก่อนที่จะมีหลักฐานน่าอายๆอะไรหลุดออกมาจากแม่อีก
“ฟังแม่พูดให้จบก่อน!!” แม่ขึ้นเสียงดังใส่หน้าผมพรัอมขมวดคิ้วดุกับการพูดแทรกของผม ตอนนี้ไม่มีใครสนใจกับข้าวกับปลาตรงหน้าแล้วครับ ตอนนี้เรื่องของผมกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเวลานี้

“ครับ...” ผมตอบเสียงต่ำจนหายเข้าไปในคอ แม่ผมไม่ค่อยดุผมเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาท่านดุผมทีไรผมจะกลัวมากกว่าพ่อเสียอีก ส่วนพ่อผมนั้นยังคงนั่งนิ่งและทำหน้าสะใจใส่ผมเล็กน้อย

“อีกเรื่องที่ทำให้แม่มั่นใจมากๆ ก็คือ น้าสาวของกวี เขามาขอพบแม่และพูดคุยเรื่องนี้ด้วยกัน!” แม่เล่าต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

“อ่ะ!! เขามาคุยกับแม่ด้วยเหรอครับ ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย! แล้วแม่ว่าไงครับ?” ผมบ่นอุบอิบตามไปและถามต่อทันทีเป็นนิสัย
“แม่ก็บอกว่า แม่ไม่โง่นะ แม่พอจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และแม่ก็มองเห็นว่าพวกลูกก็ทำตัวดี ไม่ได้ประพฤติไม่ขอบตรงไหน อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ รักษาไม่ได้ มันไม่ใช่โรคร้าย เราเป็นพ่อแม่ มีหน้าที่ดูแลลูกให้เติบโตแล้วเป็นคนดีดูแลตัวเองได้ เรื่องความรักและคู่ครองให้เขาเลือกเอง เราไปเลือกแทนเขาไม่ได้หรอก ถึงแม้จะเป็นผู้ชายด้วยกัน เราคงทำได้แค่ทำใจ โลกตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ห้ามไปจะไปมีประโยชน์อะไร หากคบกันไปทำเรื่องไม่ดีถึงค่อยห้าม!!” แม่ผมพูดเป็นชุดอย่างออกรส ผมเห็นภาพตอนที่แม่ผมเปิดอกคุยกับน้าสาวของกวีเลย คงดุเดือดน่าดู ฟังจบแล้วอยากวิ่งไปกอดแม่แน่นๆ จัง อย่างนี้การพาทั้งสองท่านไปหาพ่อของกวีก็ไม่น่ายากแล้วสิ แต่ติดปัญหาคาใจอีกเรื่องนี่สิ

“น้าของกวีเขาพูดแค่นี้เหรอครับ?” ผมถามต่อแบบกล้าๆ กลัวๆ
“อ้อ! ไอ้เรื่องภาพพวกนั้นน่ะเหรอ? โอ้ย!! เรื่องนี้แม่กับพ่อรู้จากน้าแกหมดแล้ว ก็แกไปขอความช่วยเหลือจากเขานี่ ตำรวจน่ะเขาไม่ปิดบังข้อมูลกับผู้บังคับบัญชาหรอกนะ!!”
พูดจบพ่อก็ยิ้มและยักคิ้วให้

โธ่..... ไอ้เราก็ปิดแทบแย่สุดท้ายบุพการีเรารู้เรื่องมาโดยตลอดทุกอย่าง ทำให้รู้สึกละอายใจต่อตัวเองจริงๆ

“งั้นพ่อกับแม่... จะไปคุยกับพ่อของกวีให้ใช่ไหมครับ?”
น้ำขึ้นให้รีบตัก ผมรีบชิงถามต่อทันที
“ก็นัดมาก็แล้วกัน... แต่.....” แม่ของผมดูลำบากใจที่จะพูดต่อ
“แต่.. อะไรครับ?” ผมรู้สึกนำลายเหนียวติดคอที่ได้ยินแม่พูดคำว่า ‘แต่’  คำนี้มันไม่ควรมีอยู่ท้ายประโยคในสถานการณ์แบบนี้
“แต่....... แม่ไม่มีสินสอดไปขอนะลูก ลูกเก็บเงินไปขอเองนะ”
แม่จบประโยคด้วยรอยยิ้ม ส่วนพ่อผมก็นั่งกินข้าวต่อจนแทบไม่สนใจเรื่องราวของผมเสียแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
“โธ่!! แม่นึกว่าอะไร จะเอาไปทำไมสินสอด แค่ไปคุยกันเฉยๆ!” ผมรู้แล้วผมไปเอานิสัยแบบนี้จากใครมา

.....................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
และแล้วก็มาถึงวันที่ผมตัองพาพ่อและแม่ไปพบคุณพ่อของกวี ตอนที่รถของพวกผมมาถึงประตูรั่วคฤหาสน์หลังใหญ่ของกวี ทำให้พ่อกับแม่ผมอ้าปากค้างกับขนาดของบ้านหลังนี้  จนแม่ผมต้องพูดขึ้นมาเลยว่า... ‘ไม่คิดว่าจะขนาดนี้’  ผมว่ามันไม่แปลก ผมเองก็รู้สึกแบบนี้ตอนมาที่นี่ครั้งแรก พวกเราถูกคนงานในบ้านเชิญไปที่หัองรับแขก พอพวกเราได้เข้ามาถึงห้องรับแขกของบ้านยิ่งทำให้แม่ผมตื่นเต้นจนแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด เพราะแม่มีท่าทางเงียบและสอดส่องทุกอย่างในบ้านจนแทบจะไม่ยอมนั่งที่โซฟาตัวใหญ่สไตล์หลุยส์สีทองฉลุด้วยลายดอกไม้สีมุกสวยงามเลย

การเจรจาเป็นได้ด้วยดี คุณพ่อของกวีเดินเข้ามาพร้อมกับกวี และมีแม่เลี้ยงของเขาตามมาด้วยห่างๆ ทั้งสองฝ่ายต่างแนะนำตัวเองและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั้งเรื่องเผาลูกชายตัวเองของแม่ผม น้าสาวของกวีวันนี้มีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก เธอยิ้มบ่อยขึ้น และมีสายตาที่อ่อนโยนมากกว่าแต่ก่อน สงสัยคงได้คุยปรับความเข้าใจกับกวีมากขึ้นแล้ว และคาดว่าเธอคงยอมรับเรื่องของเรามากขึ้นแล้ว หมดความกังวลว่ากวีจะไม่มีความสุขหากคบหากับผม เพราะพ่อแม่ของผมเป็นคนน่ารักและเปิดใจรับกวี เปิดใจรับพวกเรา กวีหันมายิ้มให้ผมเป็นระยะ แบบเขินอาย ดูเผินๆสภาพการพูดคุยตอนนี้เหมือนครอบครัวผมเดินทางมาสู่ขอกวีจริงๆด้วย ผมเผลอคิดจนผมเกิดเขินอายขึ้นมาด้วย พอมานึกแบบนี้ใบหน้าของผมก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

หลังจากที่ผมโดนพ่อกับแม่เผาในระยะประชิดเสียจนเกรียมกับวีรกรรมต่างๆ ที่ผมเคยทำ แม้จะมีชมผมบ้างในเรื่องความเชื่อฟังพ่อกับแม่ แต่ก็ลบล้างความอับอายต่างๆ ที่พ่อกับแม่ขายผมแบบนี้ไม่ได้ พ่อของกวีดูจะถูกคอกับพ่อผมอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึงขั้นชวนกันไปดื่มกันถึงที่บาร์เครื่องดื่มที่ห้องถัดไป แม่ผมกับน้าเล็กก็เลยต้องตามไปด้วย ส่วนผมนั้นก็กะว่าจะตามไปชิมเสียหน่อยเพราะมีแต่ชื่อไวน์และเครื่องดื่มที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อ แต่โดนสายตาเพชฌฆาตของพ่อปรามไว้จนผมต้องกลับลงไปนั่งที่เดิม ส่วนกวีก็เลยต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนผม

“ไปเดินเล่นกัน นั่งมาตั้งนาน เหมื่อยมากเลย” กวีพูดขึ้นขณะที่ตอนนี้ในห้องเหลือแต่เราสองคน
“อืม.... ดีเหมือนกัน เซ็งเลย....นึกว่าจะได้ชิมของแพง” ผมเหล่ตามมองไปทางห้องที่ผู้ใหญ่เขาส่งเสียงครื้นเครงกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า.... อยากดื่มขนาดนั้นเดี๋ยวเรามาชิมกันสองคนตอนผู้ใหญ่ไม่อยู่ก็ได้ พ่อเราไม่เคยหวงหรอกนะ” กวีเดินนำหน้าไปพร้อมขำกับท่าทางชวนหัวเราะของผม
“เออ!! จริงของนาย กินกับพ่อจะไปสนุกอะไร เรากินกับนายก็พอ เวลานายเมาตัวแดงๆ แล้วน่าฟัด!”
ผมเดินตามมากอดคอกวีจนแทบเสียหลัก

“ไอ้บ้า!! คิดได้อยู่เรื่องเดียว!” กวีตวาดผมเบาๆ
“เดี๋ยววันไหนเราไม่คิดแบบนั้นแล้วนายจะเหงานะ..” ผมพูดอ้อนไป ขณะที่เราเริ่มเดินกอดคอขยับไปจนเกือบพ้นห้องรับรองแขก
“จะมีวันนั้นจริงๆ ใช่ไหม?” อ้าว!! ทำไมกวีเข้าโหมดจริงจังเสียอย่างนั้น เขาเดินช้าลงและก้มหน้าหลุบต่ำ
“เรื่องแบบนี้มันก็อาจจะมีบ้างนะ แต่เรารับรองว่าเรื่องความรักของเราที่มีให้นายจะไม่มีวันหมดไปแน่นอน” ผมพูดใส่หูเขาใกล้ๆ
“ไอ้บ้า!! ได้ทีก็น้ำเน่าเชียวนะ” กวีผลักผมให้ถอยห่างไปและเขาเสือกตัวเองไปข้างนำผมไปอีกสามก้าว
“เฮ้ย!! จริงนะ!!” ผมเร่งท้าวไปเกาะเขาอีกครั้งโดยเอาคางไปเกยที่ไหล่เขาเช่นเดิมผมเห็นเขายิ้มจนแก้มแทบปริ

“นี่แกล้งหลอกให้เราพูดใช่ไหม?!?” ผมยกมืออีกข้างขึ้นมาหยิกแก้มเนียนๆของเขา
“โอ้ย!! ไอ้บ้า!! เจ็บ .... เราก็แค่อยากฟังน่ะ ไม่ได้ฟังนายน้ำเน่าตั้งนาน” กวีร้องและสะบัดให้ตัวเองหลุดจากมือของผม จนผมแทบล้มแต่มือผมเหนียวพอ สลัดผมหลุดน่ะมันไม่ง่ายหรอก
“ได้จ้าทีรัก.... เราพาพ่อแม่มาสู่สู่แล้วนะ ต่อไปนี้ที่รักจะได้ยินคำพูดน้ำเน่าจากเราทุกวันเลย”
“โอย!! ไม่ไหวมั้ง!! แล้วนี่คือสู่ขอแล้ว? ไหนละสินสอด”
“นี่ไง!!! เอาไปทั้งใจเราเลย!” ผมเอื้อมมือไปกุมมือกวีขึ้นมาขยำที่หน้าอก ทำเอาเขาหน้าแดงไปหมด  ตอนนี้เรายืนกันอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีสวนกว้างเป็นวิวประกอบ แสงสนทยาและลมที่พัดอ่อนๆ เสียงนกน้อยที่โผบินกลับรังร้องจากที่ไกลๆ บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมอยากจะกอดเขาตรงนี้เสียเหลือ ผมค่อยๆ ใช้มืออีกข้างหนึ่งดันร่างของเขาเข้าใกล้ผมมากขึ้น สัมผัสที่มือรู้สึกถึงความอบอุ่นและกระแสเลือดที่สูบฉีดของเขา กวีคงรู้สึกไม่ต่างจากผม เรารู้สึกอย่างเดียวกันคืออยากมีกันและกันอย่างนี้เรื่อยไป สายตาของพวกเราที่ส่งถึงกันยืนยันถึงสิ่งเหล่านั้นได้ ในขณะที่บรรยากาศเป็นใจถึงขีดสุดผมติดถึงแต่ริมฝีปากตรงหน้า ผมกำลังจะโน้มตัวไปหากวีที่ตอบรับไม่ขัดขืน

“เฮ้ย!!! พอเลยๆ พ่ออนุญาตให้เอ็งคบกันไม่ได้แปลพ่อจะรับเรื่องที่เห็นได้ทุกเรื่องนะโว้ย!!” เสียงพ่อของผมดังขึ้นทำลายทุกบรรยากาศที่สร้างมา ผมแทบจะกระโดดออกจากกันแทบจะทันที
“ใช่ๆ ทำอะไรมีกาละเทศะหน่อย พ่อลูกเขย!!”
แล้วผู้ใหญทุกคนที่ยืนเรียงหน้ากระดานบริเวณลานหน้าประตูบ้านต่างส่ายหน้าขมวดคิ้วมองมาทางพวกผมเป็นตาเดียว ผมรู้สึกเขินและกดดันกับบรรยากาศตรงนี้พอสมควร

“งั้นผมไปทำกันไกลๆ ตาพวกคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ครับ!!”
พูดจบผมก็กุมมือพากวีออกไปนอกรั้วบ้าน กวีก้าวเท้าตามผมมาทันที พร้อมจับมือผมแน่น ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ มันทำให้ผมอยากหัวเราะไปกับเขาด้วย เรากุมมือวิ่งกันไปพร้อมกันและพวกเราต่างก็หวังว่าะให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไป............
....................................

จบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2018 16:15:20 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จบแล้ว  อย่างมีความสุข  พลิกล็อกเลย   :mew1: :mew1: :mew1:

ชัย กวี   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้คำผิดนะ
พลั่งพลู ------  พรั่งพรู
สรรเพเหระ ------  สัพเพเหระ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ขอบคุณครับ สำหรับผู้ติดตามอ่านทุกท่าน กับนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของผม (ก็ถือว่ายาวแล้วสำหรับผม)
มือใหม่หัดแต่ง ขออภัยหากพบข้อผิดพลาดทางภาษาไทยและความไม่เหมาะสมของเนื้อหาบางส่วนครับ

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน

ผมสัญญาว่าจะมีเรื่องถัดไป ไม่ว่าจะมีคนอ่านหรือไม่ก็ตาม
จะว่าเป็นเรื่องใหม่ก็ไม่ถูกเพราะ ผมเคยเขียนทิ้งไว้ แต่ยังเขียนไม่จบ
ว่าจะจะเอามาปัดฝุ่นและลงไว้ที่นี่เสียหน่อยครับ
หวังว่าทุกคนจะชอบกันครับ กับนิยายเรื่องแรกที่แท้จริงของผม
ขอบคุณอีกครั้งครับ
 :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2018 16:08:19 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เรื่องนี้บอกว่า บางที่อะไรที่เราเห็น หรือคิด ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เฮ้อ แต่ละคู่ลุ้นกันจนตัวโก่งเลย แต่คู่ของหมอกับหลง ยังไม่ไปเคลียกับพ่อหลงเลยว่าจะยังไง แต่ยังไงก็ขอให้แฮปปี้นะ ขอบคุณมากค่ะ สนุกค่ะ :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด