“รุ่นพี่ฮายาชิครับ”ทาคุมิเรียกด้วยเสียงกระซิบ พลางเหลือบตามองฮารุโตะที่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับรุ่นพี่อาโอกิและกลุ่มรุ่นพี่สาวๆ ซึ่งกำลังคุยเรื่องรายการอาหารที่จะจัดเลี้ยงในงานวันเกิดของคู่รักอดีตประธานชมรม จากนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดรูปที่ตนแอบถ่ายไว้ ส่งให้อีกฝ่ายได้ดู
“คนนี้ใครครับ”
ภาพที่ส่งมาให้เรียวตะดูนั้น เป็นรูปของชิมิซึ ซากิกับชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคน อากัปกิริยาของสองคนในรูปดูเผินๆโดยรวมล้วนปกติไม่ผิดแปลก
“อยากรู้ไปทำไม”เรียวตะถามกลับ ใช่ว่าเขาจะรู้จักทุกคนที่คนที่ซากิรู้จัก
“ผมเคยเจอรุ่นพี่ชิมิซึจูบกับผู้ชายคนนี้”
“อา...”เขาควรจะตอบว่าอย่างไรดีนะ เรียวตะนึกไม่ออกจริงๆ
“ตกลงรุ่นพี่ชิมิซึเห็นเพื่อนผมเป็นแค่ของเล่นจริงๆเหรอ”ทาคุมิพูดเสียงอ่อย ขยับปากงึมงำด้วยท่าทางสลดเซื่องซึม เขาและรุ่นพี่ฮายาชิพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมาโดยตลอด ตอนที่ได้ยินว่ารุ่นพี่ชิมิซึจัดการโยชิดะ ริเอะโกะไม่ให้เข้ามาหาเรื่องฮารุโตะอีกเป็นครั้งที่สอง เขายังคิดว่า รุ่นพี่ชิมิซึนี่โคตรเท่ ตอนที่ฮารุโตะหายไปรุ่นพี่เองดูเป็นห่วงมากจนเขาคิดว่าจบเรื่องนี้สองคนนั้นต้องลงเอยกันแน่ อุตส่าห์ลุ้นติดขอบเวทีขนาดนี้สองคนนั้นยังไม่ไปถึงไหน
“มันคงคิดอะไรแผลงๆอีกละมั้ง”เรียวตะพูดเดา แม้ว่าเขาจะค่อนข้างสนิทกับคนที่ถูกพูดถึง แต่เขาก็ตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ค่อยทัน ที่รู้เรื่องโน้นเรื่องนี้เพราะออกเที่ยวด้วยกันบ่อยเท่านั้นเอง ดังนั้นพอเห็นเอคิจิเดินผ่านเข้ามาในแนวสายตา เขาจึงรีบกวักมือเรียก และส่งรูปในมือถือให้ดู
“รู้จักป่ะ”
คนถูกถามเลิกคิ้ว มองกลับมา “ใครจะไปรู้จัก เป็นแกที่ควรจะรู้ไม่ใช่หรือ”
“หลังๆมานี่มันไปไหนก็ไม่ค่อยชวนอ่าดิ”
“แล้วอยากรู้ไปทำไม”
“ทาคุมิบอกว่าเห็นตอนซากิมันจูบกับคนในรูป แถมช่วงนี้มันกลับไปควงใครต่อใครอีกเพียบ”
“อ้าวหรือ นึกว่ามันคอยไปรับไปส่งไปกินข้าวกับฮารุจังซะอีก”
“ยังทำอยู่ครับ แต่แบบบางครั้งที่กินข้าวอยู่ก็มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาคุย ผมนี่โคตรอึดอัดเลย”ทาคุมิบอกพร้อมกับบ่นออกไป
“อ่อ”คนฟังแค่พยักหน้ารับรู้ เรียวตะที่จับจ้องอยู่ตลอดเอ่ยปากถามบ้าง ทั้งที่เพิ่งรู้จักซากิครั้งแรกตอนมัธยมปลายเหมือนๆกัน แต่ราวกับว่าเอคิจิและซากิจะรู้จักกันมานานกว่านั้น เพราะดูสนิทสนมรู้ใจกันเป็นกันเป็นพิเศษ
“ตกลงมันจะทิ้งฮารุจังแล้ว”
“หือ แกจะเสียบจริงดิ”
“เฮ้ย!!! เปล่า!!! เดี๋ยวก็มองหน้ากันไม่ติดจริงๆ”เรียวตะบอกปฏิเสธ “ทาคุมิมันจะได้รีบเตรียมตัวปลอบฮารุจังไง”
“ทำไมเพื่อนของพวกรุ่นพี่ใจร้ายอย่างนี้”ทาคุมิกล่าวตัดพ้อตามมาติดๆ
“ฉันไม่ใช่มัน มาพร่ำให้ฟังก็ไม่รู้สึกหรอกเว้ย”เอคิจิพูดพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ “ว่าแต่ฮารุโตะรู้หรือเปล่าละ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่ารู้เห็นระแคระคายแค่ไหน แต่ไม่เห็นออกอาการอะไรเลย”
“ไม่มีเลย?”
“มีคนเข้ามาคุยเจาะแจ๊ะกับรุ่นพี่ชิมิซึ ฮารุจังยังแค่มองเฉยๆ”
“อ่อ”เอคิจิรับฟังด้วยอาการครุ่นคิด “เดี๋ยวก็เลิกไปเองละมั้ง”
“ตกลงเพื่อนผมจะโดนทิ้งจริงๆใช่ไหม”ทาคุมิออกอาการร้องห่มร้องไห้ แต่หนุ่มรุ่นพี่ที่เหมือนจะรู้ดีกลับแค่หัวเราะแล้วบอกไม่รู้สินะ เท่านั้นเอง
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาโอโตะและเรย์ถูกจัดขึ้นที่บ้านนาคามูระ โดยการเปลี่ยนห้องโถงชั้นล่างของบ้านซึ่งแต่เดิมแบ่งพื้นที่การใช้งานด้วยเฟอร์นิเจอร์ให้เป็นพื้นที่จัดงาน งานนี้สมาชิกชมรมที่ชื่นชอบการถ่ายภาพต่างตื่นเต้นกันเป็นพิเศษเพราะได้เจอตัวจริงของนาคามูระ มาโกโตะและนาคามูระ ริว ช่างภาพมืออาชีพชื่อดังที่เป็นพ่อและพี่ชายของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของวันเกิด
ไม่ต่างกับทาคุมิที่มองอาโอกิ จิอาสะพี่สาวของรุ่นพี่อาโอกิ นาโอโตะตาไม่กระพริบ
“เอ่อ... ขอโทษนะครับ”ทาคุมิกระมิดกระเมี้ยนพูดจาด้วยความเขินอาย เป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะเห็นท่าทางอาการของเพื่อนร่วมคณะต่างจากที่เคย “ขอความกรุณาถ่ายรูปคู่กับผมได้ไหมครับ” คนพูดลุ้นจนตัวเกร็ง ท่าทีสงบเสงี่ยมไม่ล้นทะเล้นเหมือนเช่นเคย
“อือ ได้ซิ”
สีหน้าของทาคุมิราวกับอยากจะไปจุดพลุฉลอง เขาส่งโทรศัพท์ให้หญิงสาวและขยับไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ขยับเข้าไปใกล้แต่ไม่กล้าเข้าไปชิดมาก จนหญิงสาวผู้ที่มีอายุมากกว่าต้องขยับเข้าไปชิดในตำแหน่งที่ไม่ดูเกินเลยจนเกินไปนัก กดปุ่มจับภาพสองถึงสามภาพและส่งโทรศัพท์คืนให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ทาคุมิถึงกับเหมือนจะลอยได้ตอนที่กลับมานั่งยังจุดเดิม ฮารุโตะหัวเราะกับสีหน้าเคลิ้มฝันของผู้เป็นเพื่อน
มันควรเป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆนั่นแหละ
อาโอกิ จิอาสะเป็นนางแบบสาวสวยที่กำลังมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ทั้งยังมีงานโฆษณาสินค้าอีกหลายชนิด ภาพคู่ที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือของทาคุมิ ดูเหมือนว่าทาคุมิและจิอาสะความสูงใกล้เคียงกัน แต่ในความจริงแล้ว นางแบบสาวสูงกว่าทาคุมิอยู่หลายเซนติเมตรทีเดียว
หลังจากนั่งชื่นชมภาพคู่ในโทรศัพท์ได้ไม่เท่าไหร่ ซาโต้ ทาคุมิก็ลุกหายแว้บไปอีกปล่อยให้ฮารุโตะนั่งรออยู่ที่โซฟาคนเดียวเพราะสภาพไม่เอื้ออำนวยของร่างกาย กระนั้นใช่ว่าเขาจะต้องนั่งเหงา เพราะประเดี๋ยวหนึ่งก็มีคนนำขนมมาให้ อีกประเดี๋ยวก็มีคนถือของกินมาส่ง จนฮารุโตะเริ่มคิดว่าไม่อยากหายดีเสียแล้ว
“ทาคุมิไปไหนแล้วละ”ซากิถามพร้อมทรุดตัวลงนั่งแทนที่คนที่ถูกถามถึง ฮารุโตะหันไปกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่เห็นพูดอยู่ว่าอยากได้รูปคู่กับทาเคชิซัง”ทาเคชิซังที่ฮารุโตะกล่าวถึงคือ อาโอกิ ทาเคชิ นายแบบหนุ่มหล่อที่ยังคงดูดีอยู่เสมอแม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลขสี่ปลายๆ ผู้เป็นบิดาของอาโอกิ นาโอโตะ
งานเลี้ยงวันนี้นอกจากจะมีสมาชิกในชมรมถ่ายภาพ สมาชิกในครอบครัวของรุ่นพี่ทั้งสอง ยังมีเพื่อนร่วมคณะ เพื่อนสมัยมัธยม และคนรู้จักที่เคยทำงานร่วมกับรุ่นพี่เจ้าของวันเกิดอีกหลายคน คนในงานจึงพลุกพล่านคึกคัก
คนฟังพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำตอบ มองจานอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ของที่พร่องหายไปส่วนใหญ่จะเป็นของที่หยิบทานได้ง่าย อาหารจำพวกเส้นอย่างสปาเก็ตตี้ยังเหลือพูนจานเหมือนเดิม เขาจึงหยิบส้อมมาถือเกี่ยวเส้นแป้งพันม้วนเป็นก้อนกลม และยื่นส่งให้ถึงปากของหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะอ้าปากรับอย่างไม่อิดออดและมีสีหน้าว่าชื่นชอบรสชาติอย่างเห็นได้ชัด คนป้อนจึงส่งคำที่สองเข้าปากอีกฝ่ายทันทีที่หนุ่มรุ่นน้องเคี้ยวอาหารหมดปาก
“มาแล้ว มาแล้ว นี่ๆดูดิ”ทาคุมิยกโทรศัพท์ขึ้นมาอวดอย่างตื่นเต้น เมื่อได้ภาพคู่กับอาโอกิ ทาเคชิอย่างที่ตั้งใจ นอกจากนั้นยังมีภาพเดี่ยว และภาพคู่ของพ่อลูกดารานายแบบนางแบบอีกหลายภาพ
“ตื่นเต้นอะไรไร้สาระ”รุ่นพี่ร่างสูงพูดแขวะจนเจ้าของภาพชักสีหน้า เขายังไม่หายเคืองแทนฮารุโตะที่รุ่นพี่ชิมิซึไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงแค่สะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ
คนโดนเมินหัวเราะกับท่าทางนั้น ขณะที่มือยังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อส่งเข้าปากหนุ่มรุ่นน้องผู้ซึ่งต้องใส่เฝือกที่แขน ทาคุมิเห็นฮารุโตะยอมอ้าปากให้หนุ่มรุ่นพี่ป้อนพลางเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ แล้วยิ่งหมั่นไส้ เขากวาดสายตามองหาของกินอื่นที่จะนำมาให้ฮารุโตะ
อาหารของกินในงานเลี้ยงวันนี้ก็ช่างหลากหลาย มีทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่ง ทั้งซูชิ ซาชิมิ ทั้งขาปู พูดง่ายๆว่าจัดอาหารตามใจคนกินโดยแท้
ทาคุมิลุกขึ้นไปคีบโอโทโร่ซูชิและเดินกลับมานั่งข้างเพื่อนสนิทอีกครั้ง “ฮารุโตะ เอานี่ไหม” เขาใช้มือหยิบซูชิทำท่าจะป้อนให้ถึงปาก ฮารุโตะหันมาพยักหน้ารับและคว้าซูชิก้อนนั้นมาถือด้วยมือซ้าย เสียงหัวเราะลอยมาทำให้เขาคิ้วกระตุก
“ซูชิอร่อยไหม”ยิ่งได้ยินรุ่นพี่ชิมิซึถามคำถามนั้นกับฮารุโตะ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อย อิจฉาหมั่นไส้อะไรไม่เข้าท่า
ฮารุโตะพยักหน้ารับ อ้าปากพูดไม่ได้เพราะก้อนซูชิครึ่งหนึ่งอยู่ในปากเหลืออีกครึ่งอยู่ในมือ คนถามเห็นอีกฝ่ายตอบรับจึงดึงมือหนุ่มรุ่นน้องเข้าหาตัว ขโมยซูชิที่เหลืออีกครึ่งเข้าปากตัวเองบ้าง เคี้ยวอยู่ไม่กี่ทีก็กลืนลงคอ
“อร่อยจริงๆด้วย”ซากิพูดมองหนุ่มรุ่นน้องที่นิ่งมองเขาตาโต สีผิวเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อไปทั้งหน้าก่อนเสหลบสายตาด้วยการก้มหน้าลงต่ำ เด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนที่นั่งมองอยู่ไม่ห่างพลันแกล้งสำลักกระแอมกระไอคล้ายมีอะไรติดคอ
“เดี๋ยวฉันไปหาน้ำมาให้แล้วกัน”เขาบอกเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปหาน้ำมาให้ตามที่พูด และกลับมาพร้อมน้ำพั้นซ์ผลไม้สองแก้ว ส่งแก้วหนึ่งให้ทาคุมิ แก้วหนึ่งวางไว้ตรงหน้าฮารุโตะ
กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาสามคนเงียบกริบไร้สนทนา แม้ว่ารอบข้างจะมีทั้งเสียงคุยและเสียงเพลง เสียงเฮดังลั่นออกมาจากหมู่คนที่จับกลุ่มเล่นเกม
ทาคุมิอึดอัดไม่ชอบบรรกาศแบบนี้ เขาเหล่มองอีกสองคน ฮารุโตะยังนั่งกินซูชิต่อไปเงียบๆ ส่วนหนุ่มรุ่นพี่ มือหนึ่งสางผมฮารุโตะเล่น สายตาจดจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง
เด็กหนุ่มช่างพูดนั่งหยุกหยิกกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุข จนฮารุโตะต้องหันไปถาม
“เป็นอะไรหรือ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็ไปได้ ผมอยู่ได้”
“เปล่า”
ทาคุมิขยับตัวยกมือขึ้นป้องปากกระซิบ “ไม่คิดจะคุยกันบ้างหรือ”
“เอ๊ะ! เอ่อ... แล้วคุยอะไรละ”ฮารุโตะถามอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรก็ได้”ทาคุมิยังคงใช้เสียงกระซิบเช่นเดิม
“ทำอะไรกันน่ะ”เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้พวกเขาทั้งคู่สะดุ้งโหยงตกใจ ฮายาชิ เรียวตะยกยิ้มชอบใจขณะเลื่อนใบหน้าที่ยื่นเสนอเข้าไปออกมาห่าง และเดินอ้อมไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง ในมือมีขวดเครื่องดื่มของมึนเมาหลายขวด
อิเคดะ นายะในชุดกระโปรงสีชมพูอมส้มตามมานั่งข้างเรียวตะไม่ห่าง
“ดื่มอะไรวะ”เรียวตะหันไปถามเพื่อน ซากิจึงชี้ไปที่แก้วพั้นซ์ที่ตั้งอยู่
“เฮ้ย เป็นอะไรวะไม่ดื่มรึ”
“ขับรถมา แล้วก็เผื่อต้องเก็บศพพวกที่เมาด้วย”
“เรย์มันบอกให้นอนนี่ได้”พูดพลางโบกมือเรียกเพื่อนอีกคน ส่วนเจ้าของงานวันเกิดสองคนนั้นต้องเดินชนแก้วไปทั่วงานจนตอนนี้เรย์เริ่มจะเดินไม่ตรง
“เห็นว่าอีกเดี๋ยวมันก็เป่าเค้กกันแล้ว”
“มีอะไรอ่ะ”คนที่ถูกเรียกเดินเข้ามาหาและเอ่ยปากถาม
“มานั่งเล่นกับน้องมันบ้างดิ ทาคุมิมันกระสับกระส่ายเป็นไข้จับสั่นแล้ว”เรียวตะเอ่ยแซว ซึ่งคนถูกแซวก็ปฏิเสธทันควัน
“ผมเปล่านะ”
เอคิจิหัวเราะ มองเรียวตะตะโกนเรียกคนที่เดินผ่านให้มารวมกลุ่ม
“ไม่ดื่มแล้วนะเว้ย”มาซามุเนะ โทรุบอกทันทีที่หย่อนตัวลงนั่ง “กะจะให้อ้วกเลยหรือไง”
“เขาเรียกว่าคออ่อนว่ะ”คนที่พูดชื่อฟุจิตะ มาสะซึ่งเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่
“เออ อ่อนก็อ่อนดีกว่าต้องเมาจนคลานละว้า”คนโดนว่ายอมรับออกมา
“รุ่นพี่ฮายาชิคะ ฉันเรียกเพื่อนมานั่งด้วยได้ไหม”นายะพูดขึ้นบ้าง
“จะใครก็ได้แต่อย่าให้ฉันเห็นหน้าโยชิดะ”ซากิกล่าวแทรกเสียงแข็งพาให้ทั้งวงเงียบกริบ
ประเด็นนี้เคยเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งชมรมกล่าวถึงในช่วงหนึ่ง ปกติจะมีแต่นาคามูระ เรย์ที่ชอบตะเพิดผู้หญิงที่ตามตอแย แต่ชิมิซึ ซากิทำมากกว่านั้น นอกจากพูดเล่าเหตุการณ์ที่มานาซุรุออกมาเป็นฉากๆแล้ว ยังขุดเรื่องตั้งแต่สมัยไหนของโยชิดะ ริเอะโกะออกมาโพทนาให้คนทั้งชมรมได้ฟังกันอีกด้วย และสำทับประโยคสุดท้ายว่า ‘ถ้ายังไม่เลิกยุ่งวุ่นวายตามราวีคนอื่นอีกละก็ ครั้งหน้าจะไม่แค่สืบประวัติครอบครัว แต่อาจจะเป็นพ่อแม่ของเธอที่ต้องออกจากงานหรือตัวเธอเองที่ต้องเด้งออกจากมหาวิทยาลัยนี้’
สมาชิกในชมรมต่างโจษจันสงสัย เรื่องที่เกิดในคานางาว่าแค่ถามคนเจ็บอย่างฮารุโตะ เหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นอันกระจ่าง แม้ทุกคนจะมารู้เรื่องนั้นภายหลังว่าฮารุโตะไม่เคยเล่าอะไรที่ชัดเจนออกมา เรื่องประวัติครอบครัวก็มีสำนักงานนักสืบที่สามารถจัดการหาข้อมูลที่ต้องการให้ได้ มีแต่คำข่มขู่นั่นแหละที่หลายคนกังขา ตัวคนโดนข่มขู่เองก็กังขา
คาโอรุเลยเลียบๆเคียงๆถามรุ่นพี่เรย์ที่ดูท่าว่าจะคุยง่ายสุด เพราะประธานชมรมคนปัจจุบันสงสัยตั้งแต่ที่อยู่มานาซุรุในคานางาว่าแล้ว ว่าทำไมตำรวจและทีมค้นหาดำเนินการให้ไวนัก สรุปความว่า พ่อของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นข้าราชการระดับสูง ส่วนคนในครอบครัวของรุ่นพี่โมริต่างมีตำแหน่งในกรมตำรวจ และมีเครือญาติเปิดสำนักงานนักสืบ
โยชิดะ ริเอะโกะจึงไม่กล้าหือออกอาการขึ้นมาอีก
“ฉันทราบค่ะ”
เรียวตะจึงต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มทะมึนอึมครึมให้กลับมาสนุกสนานเฮฮาอีกครั้ง หลังจากที่สองสาวอย่างทาคาฮาชิ ฮิราอิ และซาซากิ ฟุมิโอะมานั่งร่วมวงแล้ว เรียวตะจึงเริ่มเล่นเกมต่อคำ แต่เปลี่ยนจากที่ต้องดื่มของมึนเมาเมื่อแพ้ กลายเป็นดื่มซอสเสียแทน
“ซอสเนี่ยนะ”มาสะถามอย่างไม่เชื่อหู “ฉันกินเหล้าแทนไม่ได้หรือวะ”
“แต่ฉันไม่อยากกินเหล้า”
“ฮารุจังก็ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้นะครับ”
สองประโยคหลังเป็นของโทรุและทาคุมิ
“อย่างนั้นดีดหู”คนคิดเกมเสนอขึ้นมาอีก จากที่นั่งฟังเพลินๆขำๆ ฮารุโตะถึงกับสะดุ้งตัวเกร็ง ซึ่งทาคุมิก็แย้งทันควันเหมือนกัน
“อันนี้ก็ไม่เอาครับ ทำไมผมต้องมาเจ็บตัวด้วย”
“เว้ย โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ได้”เรียวตะส่งเสียงชิชะหงุดหงิด
“งั้นก็ ใครแพ้จะกินเหล้ากินซอส หรือกินน้ำเปล่าก็ตามใจเลยไม่ได้หรือไง”เอคิจิเสนอความคิดเห็น
“ไม่ลำบากทรมานมันจะเรียกว่าทำโทษหรือวะ”
เถียงกันไปแย้งกันมาจนเจ้าของงานสองคนประกาศว่าจะเป่าเค้ก พวกเขาจึงต้องล้มเลิกเกมที่ว่ากันไปเสียก่อน แล้วย้ายไปรวมตัวแถวโต๊ะที่วางเค้กแทน ฮารุโตะลุกยืนไม่ถนัด จึงได้แต่ขยับตัวเอี้ยวมองส่งกำลังใจให้แทน อีกสองหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ยอมลุกไปไหน
เสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้น ฮารุโตะจึงร้องและปรบมือตาม ร้องวนไปสองรอบทำท่าเหมือนจะจบแต่ใครสักคน กลับขึ้นเพลงมาอีกรอบ พวกเขาจึงร้องเพลงเป็นรอบที่สาม เมื่อใกล้จะจบรอบที่สาม เรียวตะก็ขึ้นเพลงรอบที่สี่ แต่โดนทุกคนในงานสะกัดบอกให้หยุด การร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดจึงจบลงแค่นั้น
ช่วงที่ตัดเค้ก ทาคุมิรีบกระโดดผลุงไปยืนรออยู่ด้านหน้า เขาถือกลับมาแค่จานเดียวแต่ชิ้นใหญ่มากตั้งใจจะแบ่งกันทานกับเพื่อนสองคน ทว่าตอนที่กำลังจะตักเค้กป้อนฮารุโตะ หนุ่มรุ่นพี่อีกคนกลับเสนอหน้าอ้าปากมาจัดการไปเสียแทน
“รุ่นพี่ชิมิซึไปเอาใหม่ซิครับ มาแย่งผมทำไม”
“เอ้าเรอะ ไม่ได้เอามาเผื่อเรอะ”
ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ ทาคุมิคงหลุดปากด่าไปแล้ว
“ขอโทษทีแค่อยากชิมเฉยๆ”ซากิแสร้งยิ้มเป็นเชิงว่าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทาคุมิส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเป็นเชิงไม่ชอบใจ ก่อนจะวางจานเค้กไว้บนโต๊ะสะบัดหน้าลุกขึ้น ฮารุโตะมองตาม แต่โดนชายหนุ่มอีกคนเรียกความสนใจกลับมา
“กินก่อนไหม เดี๋ยวป้อน”เขาพูดพลางเอื้อมมือเลื่อนจานเข้ามาใกล้และหยิบช้อน
ฮารุโตะสั่นศีรษะ “อย่าแกล้งทาคุมิซิครับ”พลางรับช้อนที่อีกฝ่ายส่งมา
“เด็กปากมากนั่นกวนประสาท”
“กวนประสาท?”ฮารุโตะถามซ้ำ ตอนไหนกันไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย “ซาโต้ซังใจดีนะครับ เป็นคนดีมากด้วย”
ซากิจึงทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่คิดต่อความ จังหวะนั้นทาคุมิกลับมาพอดีพร้อมช้อนอีกคันในมือ
“เอ๋... นึกว่าจะไปเอาเค้กมาเพิ่มซะอีก”
“หมดแล้ว”ทาคุมิไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม เขาดึงจานที่อยู่ตรงหน้าฮารุโตะกลับมานิดหน่อยพร้อมกับใช้ช้อนในมือตักเค้กเข้าปาก “ไม่กินหรือ”เขาถามเมื่อยังเห็นฮารุโตะยังนั่งมองอยู่เฉยๆ เพื่อนสนิทของเขาพยักหน้า สายตาของทาคุมิมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่คลาดสายตา ฮารุโตะมีท่าทีปกติไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แน่ละ ถ้าไม่คิดอะไรมากใช้ช้อนคันเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับมีคนคิด
ขณะที่ตักขนมปังส่วนที่เป็นตัวเค้กเข้าปากทาคุมิก็นั่งตรึกตรองไปด้วย พวกรุ่นพี่ฮายาชิกลับมานั่งรวมกลุ่มอีกครั้ง แต่ละคนมีชิ้นเค้กกลับมาด้วย รุ่นพี่ชิมิซึไม่มีทีท่าอยากกินแม้จะมีคนเสนอแบ่งให้
“นี่ๆ ฮารุจังตักให้รุ่นพี่ชิมิซึบ้างซิ”เขากระซิบบอกคนที่นั่งอยู่ข้าง
ฮารุโตะพยักหน้ารับ หันไปอีกฝั่งสะกิดหนุ่มรุ่นพี่พลางส่งช้อนให้ “ทานไหมครับ” คนถูกถามปฏิเสธกลับมา
“ตักป้อนเลย”ทาคุมิกระซิบบอกอีกครั้ง เจ้าตัวสั่นศีรษะหน้าแดงตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆเช่นเดียวกันว่า
“ไม่เอาหรอก มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ”
“ทีตอนที่รุ่นพี่ป้อนไม่เห็นอาย”
“ก็ผมแขนเจ็บ อยากกินก็ทำเองไม่ได้ แต่ถ้าผมป้อนรุ่นพี่ทั้งที่รุ่นพี่ชิมิซึปกติทุกอย่าง ต้องมีคนมองแปลกๆแน่เลย”
“ไม่คิดว่ารุ่นพี่อยากกินเค้กและก็อยากให้นายป้อนบ้าง”
“แต่เมื่อกี้รุ่นพี่บอกไม่กิน”
“ก็นายไม่ได้ป้อน”
“ซุบซิบอะไรกันสองคนนั้นน่ะ”เรียวตะถามแทรกเสียงดัง ทาคุมิเงยหน้าขึ้นไปตอบว่าไม่มีอะไร หันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของฮารุโตะแล้วต้องผงะ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จ้องเขาเขม็ง สายตานั่นยังน่ากลัวจนเขาต้องขยับออกห่าง
ทาคุมิไม่เข้าใจ ทั้งที่ก็แสดงท่าทางว่าหวงเพื่อนของเขามากแท้ๆ แต่ทำไมยังชอบไปทำตัวเจ้าชู้กับคนอื่นอีกก็ไม่รู้ หรือมันคือนิสัยของผู้ชายประเภทนี้
ฝ่ายฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด ถ้าทำแบบที่ทาคุมิว่ามันจะดีจริงหรือ และเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจได้ ลองทำดูไม่เห็นเสียหาย ตอนที่อยู่กันแค่สองคนใช่ว่าจะไม่เคยทำเสียหน่อย ฮารุโตะปลุกปลอบตัวเอง ยกช้อนที่ตนตัดแบ่งเค้กเป็นชิ้นเล็กๆยื่นไปตรงหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ
ซากิมองคนที่ถือช้อนในมืออย่างไม่ถนัดด้วยความแปลกใจ แววตาฉายชัดทั้งความรู้สึกนึกคิดจนเขาอยากจะยกยิ้ม
...คาดหวัง ประหม่าและหวั่นใจ
เมื่อทิ้งเวลานานเข้า นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลจึงเริ่มฉายแววสลดพร้อมกับเริ่มหลุบตาและเลื่อนมือลงต่ำ ชายหนุ่มคว้ามือของฝ่ายไว้ก่อน อ้าปากงับขนมปังเข้าปาก
“อือ อร่อยดี”
เสียงโห่แซวลอยตามมาจนหนุ่มรุ่นน้องต้องก้มหน้างุดๆ ให้เห็นแค่ข้างแก้มที่แดงเรื่อ เขายกยิ้มรับคำหยอกเย้าของกลุ่มเพื่อนด้วยความสุขสมใจ
“น้ำตาลติดคอว่ะ ขอเหล้าหน่อยดิ”มาสะแกล้งทำเป็นร้องเรียกหาเครื่องดื่ม
“นัตจัง เค้าป้อนนะตัวเอง อ่ะ อ้าม”เรียวตะหันไปเล่นกับนายะ เขาล้อเลียนคนทั้งคู่ด้วยการหันไปตักเค้กจะป้อนให้หญิงสาวบ้าง หากแต่เธอไม่คิดจะรับมุขด้วย
“ไม่ตลกนะคะ น่ารังเกียจจะตาย”
เงียบกริบกันทั้งกลุ่มอีกครั้ง
ซากิเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน เหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นน้องอีกคนที่โดนว่ากระทบ เขาไม่เห็นสีหน้าเพราะอีกฝ่ายยิ่งก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เหลือบสายตาขึ้นมองหน้าเรียวตะ เห็นเพื่อนสนิทมีสีหน้าเลิกลั่ก ขณะคนพูดยังลอยหน้าไม่สำนึก หงุดหงิดอารมณ์เสียจนรู้สึกนั่งไม่ติด
“วันนี้ฉันกลับก่อนแล้วกัน”พูดพลางดึงช้อนตักเค้กที่อยู่ในมือฮารุโตะโยนใส่จาน สอดแขนใต้ข้อพับยกตัวหนุ่มรุ่นน้องให้ลอยสูงขึ้น คนโดนอุ้มวาดแขนข้างที่ใส่เฝือกวางพาดบ่าของเขาไว้โดยอัตโนมัติ
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ”เรียวตะร้องอย่างตระหนก “อิเคดะไม่ได้ตั้งใจหรอก ใช่ไหม”คำพูดสุดท้ายเขาหันไปถามหญิงสาวที่อยู่ข้างตัว ทว่าเธอกลับไม่หลุดเสียงอะไรคล้ายจะยืนยันคำกล่าวก่อนหน้า
“ช่างเหอะ ฉันไม่อยากมีเรื่องว่ะ”ซากิพูดคล้ายอ่อนใจ อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเท้าไปไหน เจ้าของงานเลี้ยงอย่างอาโอกิ นาโอโตะกลับก้าวเท้าเข้าหามาเสียก่อน
“โทษที ไปคุยกับกลุ่มอื่นยาวเลย ว่าแต่จะไปไหนอ่ะ”
“พอดีฉันจะกลับแล้ว”
“รีบไปไหนอ่ะ ที่ตัดเค้กก่อนไม่ใช่จะไล่นะเว้ย แค่กลัวเรย์มันเมาหัวทิ่มจนเป่าเค้กไม่ได้ต่างหาก”เมื่อโดนเจ้าของงานชวนให้นั่งลงอีกรอบ ซากิจึงจำใจต้องปล่อยตัวหนุ่มรุ่นน้องลงบนโซฟาเหมือนเดิม ทาคุมิยกตำแหน่งที่ตนเคยนั่งให้นาโอโตะอย่างรู้งาน
“เป็นอย่างไรบ้างฮารุจัง มีคนหาอะไรมาให้กินใช่ไหม”
ฮารุโตะรีบยกยิ้มตอบรับ “ครับ วันนี้มีแต่ของอร่อยๆ เค้กก็อร่อย”
“ถ้าฮารุจังได้กินแบบนี้ทุกวันนะ แค่เดือนเดียวรับรองได้ว่าอ้วนเป็นหมูแน่นอน”ทาคุมิเข้ามาร่วมวงด้วย
“ไม่เป็นหมูนะ”คนถูกพูดถึงรีบปฏิเสธ บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อสักครู่ค่อยเบาบางลง กลุ่มเพื่อนสนิทจึงรีบเสริมเบี่ยงประเด็น ปล่อยให้คนขี้โมโหได้สงบสติอารมณ์ตัวเอง
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หมายเหตุโอโทโร่ (Otoro) คือ เนื้อส่วนท้องของปลาทูน่า หรือ (มากุโระ)Maguro ซึ่งถือว่าเป็นปลาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานในแบบปลาดิบมากที่สุด เนื้อปลาทูน่าที่เราเห็นและรับประทานโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเนื้อแดงส่วนที่เรียกว่า อะคามิ (Akami) ซึ่งเป็นเนื้อส่วนกลางลำตัว ที่มีจำนวนมากและหาได้ง่าย แต่สำหรับส่วนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดของทูน่า คือเนื้อส่วนที่เรียกว่า โทโร่ (Toro) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชูโทโร่ (Chutoro) และโอโทโร่ (Otoro) ชูโทโร่ คือ เนื้อส่วนที่อยู่ใกล้กับครีบของปลาทั้งด้านบนและท้องส่วนหลัง เนื้อส่วนนี้มีรสสัมผัสที่หวานนุ่มกว่าอะคามิเพราะมีไขมันคั่นสลับเนื้อปลาอยู่ตลอดทั้งชิ้น ส่วนเนื้อท้องส่วนหน้าที่เรียกกันว่าโอโทโร่นั้น จะเป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกซึมอยู่แทบทุกอณูของเนื้อปลาจนกลายเป็นลายหินอ่อนสวยงาม
ที่มา : ที่มา :
https://th.openrice.com/th/bangkok/article/โอโทโร่-ราชันย์แห่งซูชิ-a12