22_
Count To Three
(ต่อ)
เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ ผมพาตัวเองมาหยุดนั่งที่ริมหน้าต่าง มองผ่านกระจกสีชาออกไปด้านนอก รถรา ฮาร์เลย์และเสียงพูดคุยดึงแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ผมได้ยินเสียงหัวเราะของวัยรุ่นในแก็งค์ที่จับกลุ่มสูบบุหรี่กันอยู่ด้านหน้าคลับ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่กันแน่ กว่าจะได้ยินเสียงเปิดประตูแทรกเข้ามา
ผมหันกลับไปมอง เพราะรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากด้านหลัง เดฟยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเคร่งเครียดไม่ได้ถูกปรับให้ดีขึ้นในทันที มีอะไรบางอย่างกวนใจอีกฝ่ายอยู่
และผมอาจจะรู้ดี ว่ามันคืออะไร
“มันไม่มีอะไร”
นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาพูดขึ้นหลังจากกลับเข้ามาในห้อง ผมสบตากลับไปในความเงียบ รับรู้ถึงความจริงจังและการยืนยันคำพูดที่หนักแน่น
ลมหายใจถูกปล่อยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วเบา
“ผมยังไม่ทันว่าอะไร” ผมแสร้งพูดพลางส่งยิ้มกลับ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่อผมสำนึกได้ว่าไม่มีอะไรน่าตลกในเรื่องนี้ “คุณมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ คุยกับใครก็ได้ที่คุณอยากคุย ผมจะไม่ว่าอะไรหรอก.. นั่นไม่ใช่สิทธิ์ที่ผมมี”
“ฟังที่พูดสิ” เดฟพึมพำเป็นจังหวะเนิบช้า พร้อมๆ กับร่างที่ขยับเข้ามาใกล้ เขาพาตัวเองกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมๆ แบบที่ชอบทำ กักตัวผมไว้ในวงแขน พร้อมกับยื่นความรู้สึกของการตกเป็นรองให้
ถึงแม้จะสบตากลับไปไม่หลบ แต่ลึกๆ ผมก็รู้ดี ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายแพ้อีกครั้งในบทสนทนานี้
“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น นายสามารถพูดสิ่งที่นายรู้สึกได..”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะพูด” ผมหลุดพูดแทรก ทั้งๆ ที่นั่นไม่ใช่วิสัยปกติที่จะทำ ความร้อนแปลกประหลาดแผดเผาในช่องอก ทำให้รู้สึกอึดอัดและอยากดิ้นรนออกจากที่นี่
“ถ้าฉันคุยกับเบน นายจะไม่ว่าอะไรจริงๆ น่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้ว จรดลมหายใจอุ่นร้อนเข้าที่ผิวแก้มของผม แตะสัมผัสแผ่วเบาโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน “ไม่มีอะไรจะพูด.. ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วย” น้ำเสียงตวัดสูงแสดงคำถาม
ความรู้สึกแปลกปลอมปะปนเข้ามาในการรับรู้ ผมหลุดส่งเสียงหยันในลำคอ ขณะที่เดฟยังไม่ยอมผละตัวออกไป
“แล้วที่พูดออกมานั่น..” เขาผละใบหน้าออกไป เว้นระยะห่างระหว่างเราไว้เกือบคืบ “ใจดี หรือว่าแค่ถ่อมตัวกันแน่”
ผมเลี่ยงคำถามด้วยความเงียบ เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัวของอีกฝ่ายเพราะระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิดแสดงทุกอย่างให้เห็น
“ดี” เดฟพูดเสียงห้วน ดวงตาสีเข้มจ้องผมเขม็งพร้อมกับปล่อยให้เวลาดำเนินไปช้าๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งค่อยๆ รูดลงจากผนังที่ผมพิงอยู่ คว้าจับเข้าที่สะโพกก่อนจะออกแรงบีบหนักๆ
ผมกำลังจะอ้าปากขอให้ปล่อย แต่เสียงก็ถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอ พร้อมกับใบหน้าที่สะบัดหันหนีตามกลไกของร่างกายเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร ริมฝีปากที่ฉกวูบเข้ามาเมื่อครู่ เบียดชิดอยู่ที่สันกราม
“ถ้างั้นทำไมนายถึงเป็นแบบนี้”
ผมทิ้งสายตาลงที่ลูกบิดประตู ฝ่ามือกำแน่นที่ช่วงอกแข็งแรง
ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจแผ่วเบา
“หันหน้ากลับมา” อีกฝ่ายออกคำสั่ง โดยที่ไม่ต้องรอให้ผมตอบรับหรือทำตาม ฝ่ามือแข็งแรงก็ล็อกเข้าที่ปลายคาง บังคับให้ผมหันทันทีที่พูดจบ
น่าแปลกที่สีหน้าของเดฟไม่เป็นไปตามที่ผมคาดเดา ความหงุดหงิดที่เคยฉายชัดอยู่ละลายหายไปจนเกือบหมด ปลายนิ้วโป้งอุ่นเกลี่ยที่แก้มผมเบาๆ ลากลงพลางปาดผ่านริมฝีปากอย่างจงใจ
“ถ้าไม่ได้ไม่พอใจ ไม่ได้รู้สึกอะไร ทำไมถึงทำท่าทางแบบนี้” เขาตั้งคำถามพร้อมกับมองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “ไม่เห็นต้องเก็บเอาไว้เลยสักนิด ทำไมถึงคิดว่าไม่มีสิทธิ์.. นายพาผู้ชายคนอื่นออกไปคุยนอกสายตาฉัน ฉันไม่พอใจ ฉันจำเป็นต้องมีสิทธิ์อะไรพวกนั้นด้วยหรือไง”
ผมกะพริบตา แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “อะไรนะ.. คุณหมายถึงผม กับโจเหรอ”
เดฟไม่ตอบคำถาม เขาใช้ดวงตาสีเข้มมองมานิ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าลงต่ำแล้วหลุดสบถออกมาโดยที่ผมจับใจความไม่ได้ “หึงจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว หึงจนอยากรู้ว่าถ้าฉันทำแบบนั้นบ้าง นายจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า”
“นั่นมัน..” ผมหลุดครางเสียงอ่อน เพิ่งรับรู้ว่าพฤติกรรมที่แปลกไปจากเดิมของอีกฝ่ายที่หน้าห้องเกิดจากอะไร
“หึงจนอยากปิดปากนี่ไว้ จะได้ไม่ต้องไปคุยกับใครที่ไม่ใช่ฉัน” ปลายนิ้วของเดฟวนกลับมากดนิ่งอยู่เหนือริมฝีปากล่าง ก่อนที่น้ำเสียงจะทอดแผ่วเบาในประโยคต่อมา “เมื่อไหร่จะเลิกเป็นแบบนี้สักที ปากหนัก ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกอะไรตลอดเวลาแบบนี้น่ะ”
ผมหลบตา ภายในเริ่มกระตุกรวนจากคำพูดตรงๆ ของอีกฝ่าย
“ก็ผมเป็นแบบนี้..”
เดฟสูดลมหายใจลึก ใบหน้าแหงนเงยขึ้นจนเส้นผมตกลงระต้นคอ ฝ่ามือขยับออกจากใบหน้าผม หยุดค้างไว้ที่ผนังแข็งๆ เหมือนเดิม เวลาผ่านไปเกือบนาที ผมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว จนกระทั่งเขาเริ่มพูดอีกครั้ง
“เอางี้ เล่นเกมกันดีไหม..” เดฟก้มหน้าลง พลางช้อนดวงตาขึ้นมองผม ประกายประหลาดเล็ดลอดออกมา ราวกับเขาเพิ่งคิดอะไรดีๆ ออก “คนชนะได้จูบคนแพ้”
“ไม่เอา” ผมรีบตอบแทบจะในทันทีที่ได้ยิน “เสียเปรียบเห็นๆ”
รู้ได้เลยว่าเสียเปรียบ โดยไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองนานด้วยซ้ำ
“งั้นคนแพ้ได้จูบก็ได้” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ไม่เอา”
คราวนี้เดฟขมวดคิ้วมุ่น เขาหลุดชักสีหน้าออกมา พลางกดตาจ้องผมนิ่ง
“ผมเล่นแล้วได้อะไร” กลายเป็นผมที่ต่อบทสนทนานี้ด้วยตัวเองเพราะทนสีหน้านั่นไม่ไหว
“ได้จูบฉันไง”
ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก “ไม่”
เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองรวนไปจากเดิม แค่เพราะมองเห็นภาพการกระทำแบบนั้นชัดเจนในหัว จูบของเดฟให้ความรู้สึกที่แปลกไม่เหมือนจูบอื่นๆ ในชีวิต มันเหมือนการโยนเอาระเบิดหรืออะไรสักอย่างเข้ามาในร่างกาย ทำให้รู้สึกร้อนและแปรปรวน ทั้งๆ ที่ภายนอกดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
“ทำไม” เดฟถามเสียงสูง พร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้น ใบหน้าติดดุเอียงเล็กน้อย
“ไม่เห็นจะอยากเลย” ผมกลั้นใจตอบไปห้วนๆ ใบหน้าเบือนหลบสีมองมาในระยะใกล้
“ไม่..” เดฟปฏิเสธห้วนสั้น ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ไม่ต่างจากตัวที่เบียดเข้ามาจนชิด “ทำไมถึงหน้าแดง”
ผมกัดริมฝีปากแน่น ทุกอย่างที่เก็บไว้ตอนนี้ถูกระบายออกไปทางสีหน้าจนหมด ผมรู้ข้อนั้นดี ไหนจะความร้อนที่ไล่ลามตรงใบหูและขมับนี่อีก
“รู้ไหม นายไม่มีสิทธิ์เลือกหรอกนะ” เดฟพูดเสริม รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากขณะที่เขาผละใบหน้าออกไป ฝ่ามือใหญ่คว้าจับเข้าที่ข้อมือพลางออกแรงกระตุกให้เดินตามไปที่เตียง
ร่างสูงขยับขึ้นไปนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทางสบายๆ ขณะที่ผมเองก็ขยับนั่งใกล้ๆ เมื่อเห็นสายตาแสดงคำสั่ง โดยไม่รอให้ผมตอบตกลง เขาก็เริ่มพูดถึงเกมที่จะเล่นทันที “ฉันกับนาย ผลัดกันถามคำถามทีละข้อ ฉันจะนับถึงแค่สาม ถ้าโกหกหรือไม่ตอบ..”
ประโยคถูกเว้นเอาไว้แค่นั้น และผมรู้ดีว่ามันคืออะไร
ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้ ใจหนึ่งอยากลุกหนีออกไป อะไรบางอย่างลึกๆ ในตัวกู่ร้องเตือนว่าคำถามที่จะได้รับต้องไม่ใช่คำถามง่ายๆ ธรรมดา
แต่อีกใจหนึ่ง.. ผมก็มองเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการทำความรู้จักผู้ชายคนนี้
“ถือว่าตกลงแล้วนะ” เดฟยิ้ม ก่อนจะเริ่มคำถามแรกด้วยคำถามที่ผมไม่คาดไม่ถึง
“ชอบฤดูไหนที่สุด.. 1.. 2..”
“ใบไม้ผลิ” ผมตอบ สับสนนิดหน่อยกับคำถามที่เพิ่งได้ยิน ผู้ชายตรงหน้านี้ชอบทำอะไรหลุดออกไปจากการคาดเดาเสมอ ผมน่าจะรู้สักที “แล้วคุณล่ะ”
อาจจะเพราะยังไม่ชินกับเกมแบบนี้ และผมไม่รู้ว่าควรจะต้องถามอะไร การถามกลับเป็นกระจกแบบนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ถูกหยิบมาใช้ และเดฟหลุดยิ้มออกมาพร้อมกับสีหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะทำแบบนี้
“ฤดูร้อน” คำตอบนั่น ผมว่ามันก็เข้ากับเขาดี
“นายไม่ชอบฤดูอะไร..1..”
“ผมไม่ชอบฤดูหนาว” ผมมองเห็นเดฟพยักหน้า “แล้วคุณล่ะ..1..2..”
“ฉันจะไม่ชอบสักฤดู ถ้าไม่มีนายอยู่ที่นี่ด้วย”
ผมชะงัก รู้สึกถึงเลือดลมที่ตีวนใต้ผิวหนัง ฝ่ามือเผลอกำเข้าหากันแน่น และเดฟดูพึงพอใจกับท่าทางที่ผมหลุดออกไป แล้วรอยยิ้มพร้อมทั้งใบหน้าสบายๆ นั่นก็หายไปราวกับกดปุ่มหยุด
“นายคุยอะไรกับผู้ชายคนนั้น” เสียงของอีกฝ่ายจริงจัง
“.. เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน แค่มาถามว่าทำไมไม่ไปทำงานเลย แค่นั้น” สีหน้าของเดฟดีขึ้นหลังจากได้ยิน คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันค่อยๆ คลายออกช้าๆ จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายถามกลับ “แล้วคุณล่ะ”
...
“คุณคุยอะไรกับเบนคนนั้น” ในยามปกติ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะถามคำถามแบบนี้ออกไป แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เดฟเป็นคนที่เริ่มมันขึ้นก่อน และคงไม่แปลกอะไรถ้าผมจะถามกลับในคำถามเดียวกัน
“เขาบอกว่าขอโทษ อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม” เดฟตอบไวราวกับคำตอบนั้นถูกเตรียมในหัวมาก่อนแล้ว “นายตอบเขาไปว่าอะไร..1..”
“ผมบอกว่าคงไม่ได้กลับไปทำแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเหลือมาตลอด” ผมตอบ และคราวนี้ชะงักคำถามที่จะถามไว้ในคอ ยังไม่กล้าถามออกไป และยังไม่อยากได้ยินคำตอบที่จริงจัง
เดฟกำลังมองมาอย่างรอคอย และเมื่อผมไม่พูดอะไร เขาก็ชิงตอบเองโดยที่ผมไม่ต้องถาม
“ฉันตอบกลับไป ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขอแบบนี้อีก.. ในเมื่อฉันไม่มีวันทำแบบนั้น”
ในตอนนั้น ตอนที่ได้ยิน.. เหมือนทุกความกังวลในใจตัวผมถูกสลายหายไปหมด แค่เพียงประโยคเดียว ทำให้เกิดความสบายใจได้จนน่าตกใจในอำนาจของลมปาก
“แล้วตกลงว่านาย หึงฉันบ้างหรือเปล่า” คำถามนี้ทำให้ลมหายใจของผมสะดุด ดวงตาของเดฟหรี่ลง ก่อนที่เสียงทุ้มจะเริ่มนับ นับตัวเลขไปเรื่อยๆ ขณะที่ข้างในผมกระวนกระวายจนแทบคลั่ง
“1.. 2..” เดฟหยุดไว้ที่เลขสอง ราวกับจะยืดเวลาเพื่อช่วยต่อชีวิตของผม ความครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ เกาะกุมทั่วผิวกาย ผมจิกปลายนิ้วลงกับหน้าตัก ความสับสนในหัวกำลังหวีดร้อง
“..3”
รอยยิ้มที่มองเห็นทำให้ผมหลุดจากการเป็นตัวเอง ร่างกายไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้กระทั่งตอนที่เดฟออกแรงดึงผมให้ขยับเข้าหา ทั้งร่างถูกยกขึ้น ก่อนจะวางให้นั่งซ้อนบนตักแข็งแรง ท่อนแขนอุ่นสอดรัดเข้าที่หลัง ออกแรงดันให้ตัวผมยิ่งขยับเบียดใกล้กว่าเดิม
จูบในครั้งนี้ให้ความรู้สึกราวกับโดนลงโทษ ตักตวงและแนบชิดเข้ามาลึกซึ้งเหมือนจะกระชากเอาทุกความจริงที่ผมไม่ยอมรับออกมา
เสียงลมหายใจหอบดังอยู่ในกกหู ผมเบือนหน้าหนี ใบหูร้อนฉ่าสัมผัสได้ถึงแรงขบเม้มแผ่วเบา “ถามต่อสิ”
“ผม..” ผมผงะถอยหลัง ร่างกายเกร็งเครียดจนสั่นเบาๆ ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์
“คุณ ชอบกินอะไร” ผมเปลี่ยนเรื่อง แน่นอนว่าจะไม่ถามกลับด้วยคำถามจำพวก ‘แล้วคุณล่ะ’ อีก ในเมื่อเขาเพิ่งพูดกรอกหูอยู่ปาวๆ เมื่อครู่ว่าหึงหวงแค่ไหน
“1...2..”
ผมไม่คิดว่าคำถามที่ถามไปยากจนเดฟตอบไม่ได้ แต่เหมือนอีกฝ่ายต้องการจะแกล้งผม ด้วยการปล่อยให้ต้องพูดเยอะขึ้นทั้งๆ ที่เสียงยังสั่นอยู่แบบนี้
ร้าย..
“ฉันกินได้ทุกอย่าง นายจะทำหรือซื้ออะไรให้กินฉันก็ชอบทั้งนั้น” ผมหลุดหัวเราะสั้นๆ ออกมากับการจีบที่เพิ่งได้รับ
บ้าชะมัด ผู้ชายคนนี้
เดฟไม่ยอมถามกลับ มีเพียงดวงตาที่กะพริบแผ่วเบา มันเข้มขึ้นราวกับจะดึงดูดให้ผมจมลึกไปในการมอง แรงกอดกระชับขึ้นคล้ายป้องกันผมหนีหายไป
ผมนึกสงสัย ว่าคำถามในรอบนี้จะเป็นคำถามแบบไหน
แต่ความสงสัยนั้นก็มีตัวตนอยู่ไม่นาน
“ชอบฉันไหม” เดฟถาม ก่อนจะย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เริ่มที่จะรู้สึกชอบผู้ชายคนนี้บ้างหรือยัง”
ผมนิ่งไปราวกับถูกแช่แข็ง กับคำถามแบบนี้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกายตัวเอง จับสัมผัสไม่ได้ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ หรือเสียงเซ็งแซ่ในหัว ความนิ่งงัน ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนผมแยกแยะมันไม่ออก
สิ่งเดียวที่ระลึกได้ตอนนี้ มีแต่คำถามนั้นดังซ้ำไปซ้ำมา
ไม่รู้ว่าเดฟหยุดนับเลขไปตอนไหน แต่เรียวลิ้นที่กวาดย้ำในโพรงปากทำให้ผมรู้ว่าผมนิ่งคิดเกินเวลาไปมาก ผมถูกกวาดต้อนให้วิ่งไปในทิศทางที่เขาต้องการ เรียวขาขยับชันขึ้น ขยับเสียดสีช่วงสะโพกของอีกฝ่าย ปลายเท้าสัมผัสกับผ้าปูเตียงที่เย็นจากอากาศรอบตัว
ริมฝีปากอุ่นผละออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกร้อนและละลายเป็นอะไรเหลวๆ ยังติดค้างอยู่ในห้วงความรู้สึก
ผมกลืนน้ำลาย เลือกที่จะแหงนหน้าขึ้นสูง ทิ้งสายตาให้จรดจ่ออยู่กับเพดานเก่าๆ
ภายในช่องอก ยังไม่หยุดเต้นรัวจนน่าอึดอัด
ริมฝีปากของเดฟกดทาบลงมาอีกครั้ง ขบกัดเบาๆ ตรงช่วงคอ ผมเผลอเกร็ง ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำบงการ
“ถาม”
“.. คุณ” ผมควานหาเสียงของตัวเองในอากาศ ดวงตาปิดแน่น “กำลังทำอะไรอยู่”
ได้ยินเสียงหัวเราะ พร้อมกับจูบที่พรมลงจนหยุดที่ซอกคอ “กอดนายไง” ไม่พอ ยังมีการรัดตัวผมแน่นขึ้นเสริมคำตอบอีกด้วย
“ชอบฉันแล้วหรือยัง” คำถามเดิมถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง ผมเม้มปาก จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง
“ผมเพิ่งรู้ว่าทำแบบนี้ได้ด้วย”
เดฟไม่ตอบ แล้วก็ไม่ปฏิเสธอะไรออกมา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายวาบบนริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะเริ่มนับ “1...”
“ขี้โกงนี่” ผมท้วง มองเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นราวกับเขาไม่สนใจคำกล่าวหานั้น
“2…” น้ำเสียงทุ้มทอดเนิบช้า ก่อนที่ผมจะยกสองมือขึ้นดันอกอีกฝ่ายไว้
เดฟเลิกคิ้ว ดวงตาหลุบต่ำมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าที่เริ่มกลับมานิ่งสงบ เดฟไม่ได้พยายามดึงผมเข้าหาหรือดันตัวเองเข้ามาบังคับจูบ ผมเกือบจะสบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะหลุดร้องอุทานออกมาเพราะร่างกายที่โดนผลักถอยหลังไปในทิศทางที่ไม่ได้เตรียมใจไว้
แผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนิ่ม พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาคร่อมทับโดยไม่เว้นจังหวะให้หนี “…3”
เสียงดังขึ้นห้วนๆ ฝ่ามือของผมวางเกะกะอยู่ข้างลำตัว ยังไม่ทันจะยกขึ้นมาช่วยเหลืออะไรตัวเอง ริมฝีปากร้อนก็กดเบียดลงมา ศีรษะของผมถูกลูบด้วยสัมผัสหนักๆ จากฝ่ามือ ใบหน้าถูกจับบังคับให้ขยับเงยขึ้นรับจูบที่อีกฝ่ายมอบให้
มือทั้งสองข้างเผลอตวัดขึ้นวางบนไหล่กว้าง ผมจิกกำเสื้อยืดใต้ฝ่ามือไว้แน่น เสียงครางประท้วงในลำคอหลุดลอดออกมาเมื่อร่างกายเริ่มทนไม่ไหว เสียงดูดดึงริมฝีปากล่างดังขึ้นอีกเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนที่เดฟจะผละถอยกลับไป พร้อมกับปากของผมที่เริ่มเห่อช้ำ
“ไม่เล่นแล้ว” ผมร้อง หลังจากพยายามโกยลมหายใจตัวเองกลับเข้าปอดอยู่ร่วมนาที แต่เดฟก็ยังปักหลักอยู่ที่เดิม นอกจากจะไม่ลุกขึ้นแล้วยังจรดริมฝีปากลงมาใหม่อีกครั้ง แตะทาบกรอบหน้าของผม พรมจูบย้ำๆ ลงต่ำ.. ช่วงคอ กระเดือก หลุมเล็กๆ ตรงกลางไหปลาร้า แผ่นอกของผมยกขึ้นสูงพร้อมกับการกลั้นหายใจ เมื่อฟันคมๆ ลากผ่านผิวเนื้อที่ลอยขึ้นมาเพราะกระดูก ดวงตาหลุบมองร่างของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ขยับลงต่ำ
“เดฟ” ผมส่งเสียงเรียก มองเห็นการชะงักเล็กๆ ของอีกคน “ไม่เล่นแล้วได้ไหม”
ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปเมื่อเดฟเผยรอยยิ้มออกมา
“ถือว่านั่นเป็นคำถามนะ.. ไม่ได้” เดฟคลานเข่ากลับขึ้นมาอยู่ที่เดิม ฝ่ามือยกขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าผมอยู่ออก ก่อนที่ปลายนิ้วจะจับมันทัดเข้าที่หลังใบหู “ฉันปล่อยนายไว้นานเกินไปแล้ว”
ผมเม้มปาก ทั้งๆ ที่น้ำเสียงเนิบช้าทอดอ่อน แต่ผมสัมผัสได้ถึงความเอาจริงเอาจังกว่าทุกทีในเสียงที่ได้ยิน
“ชอบฉันบ้างหรือเปล่า” เดฟเว้นช่องว่างระหว่างใบหน้าเราไว้เกือบสองฝ่ามือ ดวงตาจ้องลึกเข้ามาในตาผมราวกับจะแสวงหาคำตอบหรือความรู้สึกแบบที่เขาชอบทำ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มในตอนนี้ เจือแน่นไปด้วยความคาดหวัง
ผมไม่คิดว่าการพูดออกไปเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากคือการยอมรับความคิดนั้นกับตัวเอง
ผมจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้ ผมจะเคว้งคว้างถ้ามองไปแล้วไม่เห็นเดฟอยู่ในสายตา ผมจะอ่อนแอและเอาแต่เรียกร้องให้อีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็ม ผมจะไม่ใช่ผมคนเดิม คนที่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองและไม่ต้องการคนอื่นอีกต่อไปแล้ว
การยอมรับความคิดแบบนั้น ทั้งๆ ที่นั่นเป็นตัวตนที่ผมยอมรับในตัวเองมาตลอดทั้งชีวิต เป็นเรื่องที่ยากกว่าที่เคยคิดเอาไว้
ผมหลบตา ใช้ความคิดอย่างหนักในการชั่งตวงความรู้สึกที่แท้จริง
ผมไม่อยากได้อะไรที่ฉาบฉวย ไม่อยากดึงความรู้สึกปลอมๆ มาเรียกว่าเป็นของจริงและทำให้ตัวเองอ่อนแอโดยไร้ประโยชน์
แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ผมแก้มันไม่ได้ภายในหนึ่งหรือสองนาที
เดฟถึงได้ดูเหมือนถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ตัวเขาอยู่ใกล้ผมแค่เอื้อมมือออกไป
“คิดจะเอาความคลุมเครือมาแลกความชัดเจนไปอีกนานแค่ไหน”
ผมยังหลบตา ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำแบบที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ไม่ใช่ไม่คิดตาม ระหว่างที่เว้นหน้าที่ให้ความเงียบเข้าทำหน้าที่แทนอย่างตอนนี้
“ฉันแก้ตัวทุกครั้งที่นายเข้าใจผิด ยืนยันทุกครั้งที่นายเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ ฉันบอกว่าฉันชอบนาย แล้วอะไรทำให้ฉันไม่สมควรได้รับการกระทำพวกนั้นกลับคืนเหรอ” เดฟหยุดมือที่ลูบหัวผม ก่อนจะดึงกลับไป ดวงตาคมหรี่ลง ขณะที่ใบหน้าแสดงคำถาม “ฉันไม่คู่ควรพอหรือทำอะไรผิดไปตรงไหนเหรอ”
ผมเม้มปากแน่น และคราวนี้เดฟไม่ยอมนับเลขสักตัว เขาปล่อยให้ผมใช้เวลาเท่าที่ต้องการเพื่อหาคำตอบในคำถามนี้
“ถ้ารู้สึกเหมือนฉันก็แค่พูดออกมา.. ถ้าไม่รู้สึก ไม่ได้ชอบเลยสักนิด ก็แค่พูดออกมาเหมือนกัน ทำไม่ได้เหรอ” เดฟหลุดเร่งเร้าเมื่อผมปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่าที่ควรจะเป็น แววตาที่ฉายชัดถึงความหวังและความมั่นใจ เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นวิตกกังวลเมื่อผมยังเอาแต่เงียบและจมอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง
ภายในร่างกายผมกำลังทำงานอย่างหนัก ทุกๆ อย่างผิดแผกและไม่เหมือนเดิม
ชอบ.. หรือไม่ชอบ
ยอมรับ.. หรือปฏิเสธ
“ก็ถ้าไม่ได้คิดอะไรกันเลย หรือฉันไม่ควรจะได้ยินคำพวกนั้น.. ก็ช่างมันแล้วกัน”
ดวงตาของเดฟหม่นวูบจนน่าใจหาย เขาสะบัดหน้าลงต่ำพร้อมหลุดรอยยิ้มกลวงๆ ออกมา ขณะที่ผมก็ยังเอาแต่ต่อสู้กับเสียงในหัว ทุกอย่างในตอนนี้บีบบังคับให้ผมรู้สึกกดดัน และยิ่งทำให้ร้อนจนอยู่ไม่ติดที่เมื่อเดฟทำท่าจะผละออกไป
เดฟชะงัก ฝ่ามือเท้าเข้ากับเตียง ขณะที่ท่อนแขนเหยียดตรงคล้ายคนกำลังจะลุก ดวงตาสีเข้มหลุบลงมองมือผมที่กำเสื้อยืดตรงหน้าท้องตัวเองไว้
“คุณยังไม่ได้นับถึงสาม” ผมท้วง
เดฟจ้องกลับมาด้วยแววตานิ่งเรียบ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา แต่เขาก็ยอมหยุดแล้วเริ่มนับ
“1..” เขาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมกำลังทำบ้าอะไร เหมือนกันกับที่ผมไม่เข้าใจในตัวเอง
“2…” เดฟลากเสียงเอื่อยเฉื่อย ดึงเวลาให้ยาวนานขึ้น และเหมือนเดิม ผมยังคงเงียบ รับโอกาสที่เขามอบให้ พร้อมทั้งปล่อยให้มันหมดไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเพิ่ม
“3..” หลังจากเลขสุดท้ายถูกปล่อยออกมา ทั้งผมและเขาก็โดนผลักเข้าสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์ เดฟมองมาด้วยสายตาเหมือนไม่เข้าใจในการกระทำของผม ก่อนที่รอยยิ้มจางๆ จะปรากฏขึ้นและร่างกายที่เริ่มถอยหลังออกไปอีกครั้ง
“เดี๋ยว” ผมพูดขัดอีกครั้ง ชัดเจนในตัวเองแล้วว่าที่ผมยังเอาแต่รั้งอีกฝ่ายอยู่แบบนี้เป็นเพราะอะไร
“เมื่อกี้ผมแพ้ไม่ใช่เหรอ” ดวงตาของผมหลุกหลิกไปมา เริ่มทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะต้องพูดอะไรให้เข้าท่าในเวลานี้
เดฟมองมาอย่างสงบ ขณะที่ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะเส้นผมสีดำสนิท
“จูบสิ”
พอถูกบีบ การกระทำโง่ๆ ที่ส่งตรงจากสมองก็ถูกกระทำโดยปราศจากการไตร่ตรองเช่นทุกที ทั้งๆ ที่เริ่มรู้ว่าแล้วว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหน แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูดมันออกมาไม่ได้สักที
เดฟส่ายหน้าเล็กๆ สองสามครั้งราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนที่ฝ่ามือของผมจะถูกปัดออก พร้อมกับริมฝีปากที่เบียดทับลงมา แต่จูบนี้แตกต่างออกไปจากจูบครั้งก่อนๆ เดฟแค่แตะริมฝีปากแนบชิด ค้างอยู่ชั่วครู่แล้วผละออกไป
ผมผวาไขว่คว้าร่างของอีกฝ่ายไว้ เริ่มรู้สึกอึดอัดในช่องอก และมันเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างจนผมต้องรีบหาทางทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆ พวกนี้
“อย่าไป” ผมห้าม ขณะที่ดวงตาประสานกับเดฟที่ยังนิ่ง “รู้ไหมว่าผมคิดอะไรอยู่.. 1..2…”
“3” ผมนับมันโดยไม่เว้นจังหวะให้เขาคิดนาน “ชนะ”
เดฟขมวดคิ้ว คล้ายกับเขากำลังสับสนในการกระทำที่ดำเนินอยู่ของผม แต่ผมคิดอะไรไม่ออกสักอย่างเดียวในเวลานี้ มีเพียงร่างกายที่ขยับไปเรื่อยๆ ฝ่ามือออกแรงดึงเดฟให้ขยับเข้าใกล้อีกครั้ง ก่อนจะวางทาบลงตรงต้นคออุ่น ผมไล้ปลายนิ้วโป้งผ่านใบหู หยุดค้างตรงสันกรามที่บดเข้าหากัน
กลายเป็นผมเองที่ดันตัวขึ้นจูบอีกฝ่ายพลางใช้ฟันกัดเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างจนเดฟอ้าปากออก ฝ่ามือที่ค้างอยู่ตรงท้ายทอยขยับเปลี่ยนเป็นใช้ท่อนแขนกอดจนแน่น จูบเนิ่นนานยิ่งตีสติที่ฟุ้งซ่านของผมให้แตกกระจาย ความร้อนไล่ลามตั้งแต่ช่วงขมับไปจนถึงเปลือกตา เราผละออกจากกัน ก่อนที่ผมจะขยับริมฝีปากเข้าชิดกับเขาอีกครั้ง
“อย่าไป”
เดฟหลุดสีหน้าครุ่นคิดออกมา ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเหมือนเดิมโดยกระชากร่างของผมตามไปติดๆ มือใหญ่คว้าจับเข้าที่ปลายคางพร้อมออกแรงบีบบังคับไม่ยอมให้หันหน้าหนี
ผมรู้ว่าในครั้งนี้ ผมได้รับโอกาสอีกครั้ง
“นายรู้สึกยังไงกันแน่... ชอบฉันหรือเปล่า” เขาถามซ้ำอีกครั้ง พร้อมตรึงดวงตาผมไว้ดวงความจริงจัง ไร้ซึ่งการล้อเล่นบนใบหน้าอีกต่อไป
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากลำบาก ความรู้สึกติดขัดค้างคาอยู่ตรงปลายจมูกและลำคอ มือทั้งสองข้างยกขึ้นวางทาบมือของเดฟที่ล็อกใบหน้าผมอยู่เบาๆ ออกแรงดึงให้เขายอมปล่อยออกพลางแนบริมฝีปากลงไปหนักๆ
เดฟมองการกระทำนั้นด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก จนกระทั่งผมขยับตัวขึ้นสูงแล้วโถมตัวใส่วงแขนที่อ้ารับ จูบดื้อดึงเอาแต่ใจถูกยื่นให้อีกฝ่ายด้วยตัวผมเอง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมถึงเลิกทำแบบนั้น
มีไม่กี่อย่างที่ยังติดค้างอยู่ในห้วงความทรงจำ
เรียวลิ้นอุ่นชื้น ฝ่ามือที่บีบช่วงเอว ตักกว้างที่ผมนั่งทับอยู่ ลมหายใจคลอเคลียอยู่ตรงจมูก และดวงตาสีน้ำตาลเข้มอมดำ
น้ำใสๆ เจือจางอยู่ในดวงตา ผมกดหน้าผากลงที่บ่ากว้าง มองเส้นผมที่ตกลงบนช่วงไหล่อย่างคนคิดอะไรไม่ออก
“.. ชอบ”
ลมหายใจของเดฟชะงักไปเสี้ยววินาที ผมเอียงศีรษะ หันสายตาเข้ากับลำคอและผิวสีแทน “ชอบ.. จนรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้เลย”
นั่นเป็นคำสารภาพแรกที่ผมยอมมอบให้อีกฝ่าย
ได้ยินเสียงเม็ดฝนตกกระทบหน้าต่าง จากเบาเริ่มกลายเป็นดังขึ้นเรื่อยๆ
ได้ยินเสียงอื้ออึงในกกหู
พร้อมกับจูบที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้คำถามคั่นกลาง กับวงแขนอุ่นที่กอดรัดร่างของผมไว้ทั้งคืน
____
#เดฟฟลอยด์
1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ
Cinzano 505.