I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)  (อ่าน 35615 ครั้ง)

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
« เมื่อ20-01-2017 01:08:54 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


___________________________________________



สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเอานิยายมาลงที่นี่เป็นครั้งแรกเลย
ถ้าทำอะไรผิดไปก็รบกวนช่วยแนะนำตักเตือนด้วยนะคะ

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ
 :myeye:

FANPAGE : CINZANO 505


#เดฟฟลอยด์





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2017 03:18:48 โดย mecinzano505 »

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
«ตอบ #1 เมื่อ20-01-2017 01:13:05 »

0_
Yesterday's Pain


   คึ่กคึ่ก..ครืด..

   เสียงอะไรสักอย่างดังเข้าหู โดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมอง ผมก็รู้อยู่กับอกว่ามันคือเสียงรถ รถที่ผมโบกได้จากข้างทางแล้วขออาศัยติดไปลงที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่จะไกลจากที่ผมเคยอยู่ได้มากที่สุด กระบะเก่าๆ ที่เป็นเหมือนเครื่องช่วยชีวิตในขั้นแรกของผม ถึงแม้จะนอนไม่สบายตัวนักก็เถอะ แต่ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะคอมเพลนเรื่องนั้น ก็ช่างมันเถอะ

   รถเพิ่งหยุดตัวได้ไม่นาน ผมค่อยๆ เลิกผ้าที่ใช้คลุมตัวเองเอาไว้ตลอดคืนเพื่อกันหนาวและเม็ดทรายตีขยันตีอัดเข้าใบหน้า รวมไปถึงความร้อนจากตอนกลางวันด้วย แสงแดดที่เคยฉายเผาอยู่เหนือหัวตอนนี้กลายเป็นสีอมแดงไปเรียบร้อยแล้ว หลังกระบะถูกกระชากเปิด เผยให้เห็นร่างของชายวัยกลางคนท่าทางงุ่นงานชักช้าคนหนึ่ง

   “ไง ไอ้หนู เราถึงแล้ว” เขาพูดห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ผมคงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดว่าทำความเข้าใจไปเรียบร้อยแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดี แต่บางทีอาจจะติดการพูดแบบนี้จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว

   “ครับ เอ่อ ขอบคุณมาก” ผมพูดพลางค่อยๆ ขยับตัวลงจากท้ายรถ มองรอบตัวที่อะไรก็ดูแปลกตาไปหมด

   “มาทำธุระอะไรที่เมืองนี้ล่ะ ไม่รู้เหรอว่าเมืองนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีพรรคพวกอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีใครกล้ามาหรอกนะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน” ชายคนเดิมพูดขณะที่มือง่วนกับการจัดกระเป๋าอยู่ข้างๆ

   ผม ไม่เคยรู้เรื่องแบบนั้นมาก่อน

   ตอนที่ขอติดรถไปด้วยได้ แล้วรู้ว่าเขาจะผ่านมาที่นี่พอดี ผมถึงโกหกไปว่ามีธุระที่นี่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ผมมันก็แค่คนที่หนีออกจากบ้าน ไม่สิ สถานที่แบบนั้นเรียกว่าบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมก็เป็นเหมือนแค่หนู ที่ต้องรีบอพยพย้ายถิ่นเพราะโดนเจ้าของบ้านแอบวางยาเบื่อนานมากเกินไปจนร่างกายเริ่มรับไม่ไหวล่ะมั้ง?

   คุณไม่รู้หรอกว่ามันเลวร้ายแค่ไหน ที่ที่ผมจากมา

   เลวร้ายจนการพาตัวเองหนีมาทั้งๆ ที่ตัวเปล่า เศษเหรียญที่ติดอยู่ก้นกระเป๋ากางเกงก็ไม่ได้เป็นตัวช่วยการันตีเลยว่าผมจะรอด แต่ทั้งหมดนั่นฟังแล้วชวนให้รู้สึกดีกว่าการที่ต้องทนอยู่ที่เดิม คิดว่ายังไงล่ะ

   “แล้วมีที่พักหรือยังล่ะ” เขาเปลี่ยนคำถาม หลังจากที่เห็นผมไม่ตอบคำถามเมื่อครู่

   ที่พักเหรอ.. ผมเกือบหลุดยิ้มเย้ยชีวิตตัวเองออกมาแล้ว เตียงนอน หลังคากันอากาศที่เลวร้าย ผมคงรู้สึกดีกับมันมากกว่านี้ ถ้าความจริงที่ผมไม่มีอะไรเลยมันไม่ตำเข้ามากลางๆ สมองซะก่อน อย่างน้อยคืนนี้ก็ต้องนอนข้างทางไปก่อนล่ะมั้ง

   “ถ้าไม่มีที่พัก มาพักกับฉันก่อนก็ได้นะ คนเมืองนี้ไม่ใช่คนใจดีนักหรอก อืม แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายไปซะทุกคน” เขาพูดยิ้มๆ เป็นยิ้มที่ชวนให้รู้สึกไม่ดี ผมเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่รอยยิ้มใจดีมีเอาไว้เพื่อหลอกคนโง่เท่านั้นแหละ ไม่มีหรอกการหยิบยื่นอะไรสักอย่างให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

   โลกมันไม่ได้สวยแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

   ถ้าอยากฉลาด ก็ควรจะรู้จักหลบหลีกซะบ้าง

   “ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมพอจะมีคนรู้จักอยู่บ้างแล้ว” แบง.. โกหกคำโตเลยล่ะ

   ผมลอบยิ้มหยันในใจ ขณะที่ใบหน้าแสดงออกอย่างเรียบเฉย

   “ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ให้ผมติดรถมาด้วย ผมจะรีบหาเงินมาใช้คืนให้แทนค่าตอบแทน” ผมพูด ไม่ได้ตั้งใจจะขอติดมาฟรีๆ อยู่แล้ว

   ฟรี.. ไม่มีคำไหนน่าระแวดระวังและน่ากลัวเท่าคำนี้อีกแล้วล่ะในสารบบชีวิตที่ผ่านมาของผม

   “จริงๆ ไม่ต้องก็ได้ แต่ถ้านายอยากใช้คืนเพื่อความสบายใจ ฉันชื่อบ็อบ ทำงานอยู่ร้านขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์อะไรประมาณนั้น แต่เอาเถอะ ถ้าอยากตามหาฉัน ถามใครก็ได้ในเมืองนี้ แล้วเขาจะบอกทางนายเอง”

   ผมยิ้มให้ ตบปากรับคำ ดูจากคำพูดแล้ว เขาคงเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนที่นี่ดี ถึงผมจะไม่ไว้ใจเขา แต่อย่างน้อยก็นับว่ายังมีโชคดีอยู่บ้างที่ได้รู้จักใครสักคนที่นี่ เผื่อฉุกเฉินคับขันอะไรขึ้นมา

   “ว่าแต่ไอ้หนู นายชื่ออะไรนะ” เสียงเรียกที่ดังขึ้น ดึงเท้าที่กำลังจะออกก้าวเดินให้หยุดชะงัก

   ใช่สินะ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย

   ..

   ผมเม้มปาก ชั่วครู่ที่เสียงเรียกชื่อเก่าๆ ดังเข้ามาในประสาท ผมเกลียดมัน เกลียดทุกอย่างที่เป็นอดีต รวมถึงตัวเองด้วย ชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเมคชื่อใหม่ที่แว้บเข้ามาในความคิดพอดี

   “ฟลอยด์.. ผมชื่อฟลอยด์”

   บางทีถ้ามีเวลาคิดนานกว่านี้อีกหน่อย ผมอาจจะเลือกชื่ออื่นที่ฟังดูเพราะกว่านี้ แต่ช่างเถอะ มันก็แค่ชื่อ ไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไหร่เลยในเวลานี้ เวลาที่ผมมีอะไรอย่างอื่นให้ต้องดิ้นรนสนใจอีกเยอะเพื่อชีวิตตัวเอง





   กริ๊งๆ..

   เสียงกระดิ่งดังเบาๆ กระทบใบหู ฟ้ากำลังจะมืด ผมเองก็เริ่มหิว ตัดสินใจอย่างคนสิ้นคิดว่าเงินที่เหลือติดอยู่น้อยนิด ควรจะเอามาซื้ออาหารดีๆ ที่อาจเป็นมื้อสุดท้าย ฉลองให้กับชีวิตใหม่ของตัวเองเงียบๆ คนเดียว

   ชีวิตใหม่ ชีวิตที่ความเจ็บปวดของวันที่เก่าๆ ไม่สามารถทำอันตรายผมได้อีก

   “รับอะไรดีคะ” พนักงานสาวผมบลอนด์เอ่ยทักขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

   ส่วนผมก็กวาดตาดูเมนูลวกๆ ที่ดูอย่างแรกก่อนจะเป็นชื่ออาหาร คงจะเป็นราคาล่ะมั้ง

   “เอา อันนี้ครับ” ผมชี้ไปมั่วๆ บนเมนูที่ราคาถูกเกือบสุดของร้าน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เกือบจะทำให้   ผมหมดเงินที่ถือครองอยู่ พนักงานคนเดิมยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วพูดอะไรสักอย่างกับพนักงานอีกคน

   ผมนั่งลูบแขนตัวเองอยู่ที่เดิม เริ่มระแวดระวังตัวขึ้นมาเองเมื่อเห็นเธอเดินกลับมาที่โต๊ะ “นี่ หน้าไม่คุ้นเลยล่ะ มาใหม่หรือว่าแค่ผ่านมาทำธุระล่ะ”

   “ผม เพิ่งย้ายมา” ผมนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตรงๆ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ของการโกหกในเรื่องแบบนี้กับพนักงานร้านอาหารธรรมดาๆ

   “รสนิยมดีนี่ถึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์หรือว่าหลงใหลมันล่ะ” เธอถามคำถามที่ผมไม่เข้าใจออกมา

   “กิตติศัพท์.. หลงใหลเหรอ?” ผมทวนสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เธอมองผมอย่างประหลาดใจ

   “อะไรกัน ไม่รู้หรอกเหรอเนี่ย เมืองนี้ไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่นักหรอก พวกที่ผ่านไปผ่านมาถ้าเลี่ยงได้ก็อยู่แค่คืนเดียวเท่านั้น เพราะอะไรน่ะเหรอ อืม..” เธอส่งเสียงคิดในลำคอ ดวงตากลิ้งเกลือกเหมือนกำลังพยายามนึกคำตอบที่เหมาะสมอยู่

   “เพราะมันเต็มไปด้วยอะไรที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ล่ะมั้ง ฉันอยู่มาตั้งแต่เกิดเลยมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วน่ะ แต่ก็นะ ในสายตาคนนอกก็คงจะเป็น ยา ปืน นักเลง แก็งค์ แล้วก็พวกอันตรายเยอะๆ มั้ง”   “ฟังดูคล้ายเป็นเมืองบาปดีนะ” ผมพูด ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น จนอีกฝ่ายแสร้งหัวเราะออกมาแล้วยอมรับซะเฉย

   “ใช่แล้วล่ะ จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่เรามีอำนาจปกครองเดียวในที่นี่ ไม่ใช่ตำรวจหรอกนะ” เธอหลิ่วตาพลางขำเหมือนที่พูดเป็นเรื่องตลก

   ส่วนผมน่ะเหรอ..

   เริ่มรู้สึกเหมือนเลือกที่ลงผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกล่ะ

   ผมเบือนหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่างของร้าน ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านสะดวกซื้อเก่าๆ ตั้งอยู่อีกฟากของถนนเลนส์เล็กๆ ด้านหน้ามีโคมไฟห้อยอยู่ ให้ความสว่างที่ดูไม่เพียงพอเท่าไหร่ถ้าเทียบกับความมืดรอบๆ

   หน้าร้านมีฮาร์เลย์คันใหญ่สีดำจอดนิ่งสนิทอยู่ตามลำพัง ผมมองว่ารถนั่นเท่ดี แต่ตัวผมเองคงไม่มีปัญญาขี่มันแน่ๆ ในชีวิตนี้

   สักพักหนึ่งก็มีใครสักคนผลักประตูออกมาจากร้านขายของ ร่างกายสูงใหญ่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีทะมึน ดูเหมือนเมื่อกี้จะเข้าไปซื้อบุหรี่มาเพราะทันทีที่ออกมาเขาก็ใช้มือแกะพลาสติกที่ห่อซองบุหรี่ เขวี้ยงมันลงพื้นอย่างไม่ใยดี แล้วก็หยิบของในซองขึ้นจุดสูบ

   แค่ทำท่าทางง่ายๆ แบบนั้น ผมกลับรู้สึกได้ถึงรัศมีอะไรบางอย่างที่ลอยออกมาจากตัว มันบีบให้รู้สึกประหม่า.. บางทีอาจเลยไปจนถึงขั้นหวาดกลัว

   ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการสูบบุหรี่นิ่งๆ อยู่ข้างมอเตอร์ไซค์นั่นเลย

   “นั่นใคร” ผมถาม ดวงตาจ้องมองไปที่คนคนนั้นไม่วางตา “คนนั้นน่ะ”

   พนักงานผมบลอนด์มองไปทิศทางเดียวกับผม

   “นั่นเขาล่ะ เดฟ เขาคือคนหนึ่งในแก็งค์ที่ดูแลที่นี่” เธอพูด ก่อนที่โทนเสียงจะจริงจังขึ้น “นี่ในฐานะที่นายเพิ่งย้ายเข้าเมืองมาใหม่ ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่ต้องมาแนะนำใคร แต่ฉันขอเตือนเลยดีกว่า อย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้นโดยไม่จำเป็น”

   ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วหันกลับมามองพนักงานหญิง

   ทำไม?

   คำถามสั้นๆ เกิดขึ้นในใจ

   ไม่ต้องรอให้เอ่ยปากถาม เธอก็พูดต่อขึ้นทันที

   “เขา.. ฉันหมายถึงพวกเขา เขาทุกคน แก็งค์ของเขาด้วย พวกนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆ อ่าา​ ฉันจะอธิบายยังไงคนนอกถึงจะเข้าใจล่ะ..” อีกฝ่ายยกมือขึ้นกุมขมับ เรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วปล่อยออกมาช้าๆ

   “คือพวกเขาทำหน้าที่คล้ายๆ สุนัขลาดตระเวณน่ะ เขาสอดส่อง ดูแลความเรียบร้อย แล้วก็คุ้มครองพวกเรา ตราบใดที่เราไม่ยื่นมือยื่นเท้าเข้าไปยุ่งกับธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัวของเขา ทุกอย่างก็จะโอเคเอง” ผมมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เพิ่งได้ยินให้ได้ไวที่สุด

   “เพราะฉะนั้น ทำตัวเงียบๆ แล้วอยู่ให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจใช่ไหม.. ที่ฉันพูดเนี่ย ฉันจริงจังนะ”

   เธอย้ำ

   ผมมองลอดออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะหลุดสะดุ้งออกมาแรงๆ เมื่อประสานสายตากับผู้ชายคนนั้นพอดี ความมืดรอบตัวเขาไม่ทำให้ผมเห็นเขาชัดนัก แต่ดวงตานั่นจ้องมองมาทางผมนิ่ง มันหยุดเกือบทุกกลไกลในร่างกาย ปลายนิ้วผมเย็นเยียบ ขณะที่สายตาเหมือนโดนดูดเข้าไปในการมองครั้งนั้น

   ดวงตาคู่นั้น..

   ถ้าพวกเขาโดนเปรียบเป็นพวกลาดตระเวณจริง

   ผมก็คงภาวนา และตั้งใจอย่างเต็มที่

   ในการที่จะไม่เอาตัวเองไปเกี่ยวข้องหรือเป็นเหยื่อในวงจรนั้น



   อย่างเด็ดขาด




[ end intro. ]

____


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.1 Such A Little Mouse (20/01/2560)
«ตอบ #2 เมื่อ20-01-2017 01:17:44 »

1_
Such A Little Mouse



   ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นยังติดค้างอยู่ในความทรงจำ

   มันฝังลึกอยู่ในหัวสมอง โดยเฉพาะดวงตา

   หลังจากการจ้องมองร่างสูงผ่านกระจกของร้าน ผมก็เห็นเขาเดินข้ามถนนแล้วผลักประตูร้านเข้ามา วินาทีนั้น อยู่ดีๆ ร่างกายก็รู้สึกเกร็งขึ้นฉับพลัน เหมือนปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติเวลาอะไรที่น่ากลัวเข้ามาอยู่ใกล้

   และเขาคือหนึ่งในคำจำกัดความนั้นเลยล่ะ

   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป พูดคุยกับผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งผมไม่เห็นหน้า ใบหน้าดูผ่อนคลาย แล้วก็มีความใจดีแผ่ออกมาบางเบา ผมลอบสังเกตตัวเขาเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว จนผู้ชายตัวขาวอีกคนลุกออกจากโต๊ะไป

   ผมรีบหลุบตามองอาหารที่ตัวเองสั่งมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเผลอสบตาเข้ากับอีกฝ่ายที่มองมาพอดี ใบหน้าใจดีเมื่อสักครู่ ตอนนี้เปลี่ยนไปกลายเป็นเรียบเฉย เสียงของพนักงานหญิงที่พูดเจื้อยแจ้วเล่านู่นเล่านี่ไม่หยุดไม่เข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว

   ความกดดันอึดอัดเกิดขึ้นกินเวลาสักพัก ก่อนที่เขาจะลุกออกจากร้านไป

   สายตาที่คาดเดาความรู้สึกไม่ได้นั่นติดค้างอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนนั่งอยู่ในร้านนั้น จนกระทั่งเดินออกมาแล้ว

   เสียงรถยนต์ดังผ่านไปมาข้างหู ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามถนนที่ไม่รู้จัก ผู้คนดูแปลกตาไปจากสถานที่เก่าที่ผมจากมา บ้านช่องก็เช่นกัน ความมืดปกคลุมรอบตัวอย่างสมบูรณ์แบบ แสงไฟตามข้างทางเปิดส่องแสงทำหน้าที่แทนดวงอาทิตย์

   ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งกระทำไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต นับจากครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว

   แต่ทุกอย่างก็ดูจะง่ายขึ้นในตอนนี้.. ตอนที่ผมเหลืออยู่ตัวคนเดียว

   “เห้ย คนนั้นน่ะ..” เสียงเรียกที่ดังขึ้นอย่างไม่ระบุตัวตนเรียกสายตาผมให้หันไปมอง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเริ่มวิ่งเข้าเตือนเมื่อสายตาผมปะทะเข้าตรงๆ กับเจ้าของเสียง ผู้ชายผอมสูง เดินมาเป็นกลุ่มกับคนอื่นอีกสองคน

   “สนใจไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” ผู้ชายคนเดิมพูดขึ้นมาอีก ขาก้าวประชิดตัวพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรเกินเหตุที่ถูกวาดขึ้นบนใบหน้า

   จะประเดิมกันตั้งแต่คืนแรกเลยใช่ไหม

   นี่เป็นการรับน้องใหม่ของเมืองนี้หรือว่ายังไงล่ะ

   “ไม่ครับ” ผมพยายามตอบให้ดูสุภาพที่สุด ก่อนจะหันหลัง แต่ไหล่ก็ถูกดึงไว้โดยใครคนหนึ่งในกลุ่ม

   “นี่ ถ้าไม่อยากไปเที่ยว ไปทำอย่างอื่นล่ะสนใจไหม”

   “ไม่ครับ ผมขอตัว” ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่น ตั้งใจจะพาตัวเองออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่รู้ตัวอีกทีรอบตัวผมก็ถูกล้อมเป็นวงซะแล้ว

   แบบนี้ไม่ดีแล้วล่ะ

   จะไม่ปล่อยกันง่ายๆ เหรอ

   “อย่าให้มันเยอะเเยะเลยน่ะ คืนละเท่าไหร่ล่ะ” ประโยคนั้นทำให้ผมกำมือแน่น เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนรู้สึกเจ็บเพื่อข่มทุกความไม่พอใจและควบคุมการตอบโต้กลับ

   ดูท่าจะเป็นเมืองบาปได้จริงๆ ซะแล้ว ที่นี่

   ซื้อบริการกับผู้ชายได้ง่ายๆ แบบนี้ข้างถนน มันก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

   “ผมไม่ได้ขาย” ผมตอบ จ้องลึกเข้าไปในตาของพวกนั้นตรงๆ พวกมันหัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่พอใจด้วยความเร็ว ใบหน้าถมึงทึงพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวได้เท่าที่ควรจะรู้สึก

   พวกมันสบถด่าออกมาหยาบคายเสียงดัง แต่ผมก็แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

   ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เลยก็คือ สามคนกับเสียงดังๆ ที่พยายามตะเบ็งออกมาจากคอตอนนี้ ยังน่ากลัวได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ชายนิ่งๆ คนนั้นที่ร้านอาหาร ยังน่ากลัวได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ผมต้องเจอทุกวันเมื่อก่อนนี้เลย

   “อาโนล ทำแบบนั้นไม่ดีเท่าไหร่มั้ง” เสียงใครสักคนขัดวงขึ้นมาเรียบๆ ผมไม่เห็นหน้าเขา เนื่องจากมันดังมาจากทางด้านหลัง แต่สีหน้าของผู้ชายที่เป็นผู้ตะคอกผมอยู่เมื่อกี้

   สีหน้าเขาเผือดลงไปเลย

   “เดฟ..” เดฟ?

   ผมค่อยๆ หันไปด้านหลังช้าๆ ก่อนจะเจอเข้าจังๆ กับผู้ชายคนนั้นที่ร้านอาหาร ร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามสีดำเข้ากับกางเกงยีนส์ขายาวเหมือนเดิม คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สายตาสบเข้ากับผมพอดี

   “ผู้ชายคนนั้นเป็นคนของฉัน อีกสามวันนายก็จะไปจากเมืองนี้แล้วนี่ ไปเงียบๆ แบบไร้ประวัติจะไม่ดีกว่าเหรอ” เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นช้าๆ บุหรี่ที่คาบอยู่ที่ปากถูกดูดเข้าปากเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงพื้นแล้วดับลงด้วยแรงเหยียบจากฝ่าเท้า

   “ยังไม่ไปอีก ฉันพูดไม่ชัดเจนหรือว่าไง” ดวงตาสีเข้มลากขึ้นจ้องตาคนที่ชื่ออาโนลเขม็ง ฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่ผมปล่อยออก

   “ได้เดฟ เรากำลังจะไปกันพอดี” พวกเขาพูดพลางปราดมองผมไวๆ แล้วหันหลังเดินกลับไป

   ผมไม่ชอบบรรยากาศในตอนนี้มากกว่าเมื่อครู่นี้ซะอีก

   มันเป็นความรู้สึกของการตกเป็นรอง

   จากอีกฝ่ายที่ผมไม่รู้จักดีพอ แล้วก็รับรู้ได้ถึงอิทธิพลที่มากกว่าตัวเองด้วย

   “นายเป็นคนที่นั่งอยู่ที่บุชคอร์เนอร์นี่” เขาถามขึ้นมาเอื่อยๆ ดวงตาจ้องมองผมอย่างประเมิน

   “ใช่”

   “สัญจรหรือว่าย้ายมาใหม่” บุหรี่ตัวใหม่หยิบขึ้นมาคาบไว้ ริมฝีปากมีสีคล้ำเจืออยู่ทำให้พอรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่สูบหนักพอสมควร

   “เพิ่งย้ายมา” ผมพยายามตอบให้ประหยัดคำพูดที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีลางบางอย่างกู่ร้องอยู่ภายในว่าไม่ควรพูดคุยกับคนตรงหน้านานๆ

   “งั้นเหรอ” เขาถามเสียงสูง มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “พักอยู่ที่ไหนล่ะ”

   “คุณจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ” ผมถามสวนกลับไป หนึ่งทางของการหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น ใช่สิ ก็เพราะผมไม่มีที่พักยังไงล่ะ

   บอกว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ แต่ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนมันจะไม่ดูแปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือไง

   “ก็ไม่จำเป็นหรอก นายก็ไม่จำเป็นต้องตอบเหมือนกัน” เขาพูดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง

   รอยยิ้มถูกจุดขึ้นริมมุมปากเมื่อเห็นผมนิ่งแข็งไป

   “แต่ฉันแนะนำให้ตอบจะดีกว่านะ”

   ผมเบือนหน้าหนี ในใจสั่นระรัวจากความกดดันกลัวอะไรสักอย่างที่ผมไม่แม้แต่จะรู้ว่าคืออะไร

   เขาไม่ได้แสดงท่าทางข่มขู่คุกคามออกมาตรงๆ

   แต่ตรงกันข้าม ท่าทางการวางตัวสบายๆ เรียบเรื่อยนั่นยิ่งเสริมบรรยากาศรอบตัวให้ถมึงทึงกดดันเข้าไปมากกว่าการแสดงออกตรงๆ ด้วยซ้ำ

   บางทีที่เซร่า พนักงานร้านอาหารคนนั้นพูดอาจจะไม่เกินจริงก็ได้

   แค่คุยด้วยไม่กี่ประโยค ผมก็สำเหนียกตัวเองได้แล้ว ว่าไม่มีอะไรไปสู้กับคนตรงหน้าเลยสักนิด

   “ไม่มีที่อยู่เหรอ”

   ผมชะงัก รอบตัวนิ่งเงียบ ก่อนจะเบิกตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

   “ถ้าคืนนี้ไม่รู้จะนอนไหนก็มากับฉันสิ” ผมมองเขานิ่ง พยายามมองหาความหมายที่แฝงอยู่ในคำเชิญชวนนั้น

   ถ้าเขาหมายถึง นอนในความหมายเดียวกับที่อาโนลพูดล่ะ

   บางทีท่าทางระวังตัวอาจจะถูกแสดงออกมามากเกินไป ผมก้าวถอยหลัง ดวงตายังจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าไม่วางตา

   อีกฝ่ายยิ้มขำเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น

   “อะไรทำให้หนูตัวเล็กๆ ต้องระแวดระวังตัวเองมากขนาดนั้นเหรอ” เขาพูดขณะคาบบุหรี่มวนยาวไว้ในปาก “แต่รู้ไหมว่านั่นไม่ใช่คำขอหรอกนะ.. เข้าใจที่สื่อหรือเปล่า”

   ผมกลืนน้ำลาย เหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากเข้าแล้วจริงๆ

   รู้สิ..

   ผมมองดวงตาที่ฉายแววขันออกมาเล็กๆ

   รูปประโยคแบบนั้น น้ำเสียงที่พูดออกมาขัดกับท่าทางโอนอ่อน

   มันหมายถึง ผมต้องไป

   การตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มีเวลาเหลือให้คิดนานมากนัก

   “เข้าใจ” ผมตอบ มือกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น เหงื่อชื้นซึมไปหมด

   “ดี” เขาเลิกคิ้วตอนที่ได้ยินคำตอบ ใบหน้าพยักเบาๆ สองสามที ก่อนจะพยักเพยิดให้ผมเดินตามไปเรื่อยๆ

   ถ้าเขาหมายถึงนอน แบบเดียวกับที่พวกนั้นหมายถึงจริงๆ ล่ะ..

   ความคิดในหัวผมทำงานอย่างหนัก คิดเยอะเเยะไปหมดจนเริ่มรู้สึกล้าตรงเบ้าตาและขมับ ผมเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ผิวแทน ผมสีดำสนิทเหมือนเสื้อที่สวมใส่อยู่ หัวไหล่และแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อมาก็มีมัดกล้ามแบบที่ถ้ามีเรื่องกัน ผมคงจบเหตุการณ์นั้นด้วยการโดนน็อคสลบแน่ๆ

   รู้สึกตัวอีกที เราก็หยุดยืนที่หัวมุมถนน ตรงหน้ามีฮาร์เลย์คันใหญ่คันเดียวกับตอนนั้นจอดอยู่ เขาก้าวขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ เหมือนตัวรถคันนี้ถูกสร้างมาเพื่อเขาอะไรประมาณนั้นเลย

   เขาหันหน้ามามองผมเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยอมขยับตัวขึ้นไปสักที เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก “รออะไร”

   รออะไรงั้นเหรอ

   ผมตีหน้านิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เบาะหลังที่ว่างอยู่ ท่าทางเก้ๆ กังๆ ปรากฏขึ้นทันที ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก แต่ในชีวิตนี้ ผมเคยขึ้นมอเตอร์ไซค์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเมื่อตอนยังเด็กมาก แล้วก็ไม่ใช่ฮาร์เลย์คันใหญ่แบบนี้ด้วย

   “เอ้า ยังไง” เขาส่งเสียงแซว ใบหน้าหันกลับมามองเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มขำเล็กๆ “ให้ช่วยไหม”

   ผมเผลอพ่นลมหายใจออกทางปลายจมูกแรงๆ ก่อนจะค่อยๆ เหยียบที่เหยียบแล้ววาดขาคร่อมเบาะนั่นอย่างไม่ชินนัก พอมองลงไปที่พื้นถนนก็รู้สึกวาบเบาๆ ตรงหน้าท้อง รู้สึกเหมือนพร้อมจะตกลงไปตลอดเวลา

   “ไม่เคยซ้อนเหรอ” เขาถาม ในขณะที่ผมนั่งตัวแข็งอยู่บนเบาะ

   “ไม่”

   “เกาะสิ” คำแนะนำสั้นๆ ถูกเอ่ยออกมา แต่ขอโทษ ไม่ได้ช่วยให้มันง่ายขึ้นเลยสักนิด

   “อะไร” เกาะอะไร

   “ถ้าไม่อยากตกล่ะก็นะ” มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผม ก่อนจะบังคับดึงขึ้นไปวางไว้ตรงเอวของตัวเอง

   ผมกำลังจะชักมือออกด้วยความเคยชิน แต่เขาก็ชิงออกตัวฮาร์เลย์แรงๆ เสียงลมตีฉิวอยู่ข้างใบหู พร้อมกับฝ่ามือผมที่คว้าจับเอวนั่นไว้แน่น

   เสียงขำเบาๆ หลุดมาจากด้านหน้า

   “ก็ไม่เห็นจะยาก ใช่ไหม?”

   ผมมองรอบๆ ตัวที่เปลี่ยนฉากไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็ว ก่อนจะหลุบมองมือที่สั่นเบาๆ ของตัวเอง ทั้งๆ ที่ใบหน้าของผมเรียบเฉย

   แต่ในใจ กลับรู้สึกอะไรแปลกๆ

   เหมือนกับที่ตรงนี้..

   เป็นที่ของผม





   ฮาร์เลย์เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไปเรื่อยๆ ในชั่ววูบที่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกับสถานที่โดยรอบ มือข้างหนึ่งเผลอปล่อยออกจากเอวแข็งแรงที่จับอยู่แล้วทิ้งตกลงข้างลำตัว ลมเย็นๆ วิ่งลู่สอดแทรกตามเรียวนิ้ว

   นี่อาจจะเป็น ความสุขเล็กๆ ที่ไม่ค่อยได้เกิดขึ้นในชีวิตผมเลยก็ได้

   ความเร็วของรถค่อยๆ ผ่อนลง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในสถานที่คล้ายๆ โกดังหรืออะไรสักอย่างตรงสุดถนน ผมขยับตัวลงจากเบาะที่นั่งอยู่ มองไปด้านหลัง มีเพียงถนนเล็กๆ ที่พาเรามาที่นี่ กับหาดทรายที่อยู่ไกลออกไปอีกนิด

   ตอนขอติดรถมาที่นี่ ผมไม่ยักจะรู้ว่ามีทะเลอยู่ด้วย

   ผมไม่รู้หรอก แค่ได้ยินชื่อเมืองไม่ทำให้เกิดไอเดียว่าสถานที่นั้นมีิอะไรรออยู่บ้าง จะเรียกว่าไม่เคยเรียน ไม่มีการศึกษาก็คงพอได้อยู่ วิชาภูมิศาสตร์เหรอ ฟังดูห่างไกลตัวเหมือนกับพูดถึงเรื่องนอกโลกอะไรเทือกๆ นั้นได้เลยมั้ง

   “หาดนั่นน่ะ” เดฟที่ขยับมายืนอยู่ด้านหลังผมตอนไหนไม่รู้เกริ่นขึ้น มือชี้ไปด้านหน้า ที่หาดมืดๆ ตัดกับน้ำทะเลสีดำที่โถมซัดเข้าฝั่ง

   “วิวสวยดี แต่ไม่ค่อยมีคนกล้าไปนักหรอกนะ นายเองก็ไม่ควรจะไป”

   ผมหันไปมองอีกฝ่าย ความสงสัยเกิดขึ้นหลังจากได้ยินจนต้องเอ่ยปากถาม

   “ทำไม”

   “พวกขี้ยายึดครองอยู่น่ะ ถ้าเข้าไปอาจจะเจอคนเมายาลากไปทำอะไรก็ได้” เขาอธิบายยิ้มๆ เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา “แต่ที่ว่าสวยน่ะ สวยจริงนะ อยากไปไหมล่ะ”

   “ไม่” ผมตอบกลับไปทันที ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน

   เรื่องอะไรจะต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัยขนาดนั้นด้วย

   ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาทำกันหรอก

   “ถ้าอยากไปก็บอก” ผมเพิกเฉยกับสีหน้าทีเล่นทีจริงนั่น ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ที่นี่ดูเหมือนอู่ซ่อมรถหรืออะไรประมาณนั้น หลังคายกสูง แล้วก็พื้นคอนกรีตเรียบๆ มีฮาร์เลย์จอดอยู่สองคัน หนึ่งในนั้นคือคันที่ผมเพิ่งซ้อนไป

   ผมกวาดตามองรอบๆ ถึงจะมีโซฟาเก่าๆ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่พร้อมกับทีวีสีดำเครื่องเล็กๆ แต่ที่นี่ก็ดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะเรียกได้ว่าบ้าน

   “เราไม่ได้จะนอนที่นี่หรอกนะ” เดฟพูดขึ้นลอยๆ เหมือนอ่านใจผมได้ ก่อนจะเดินนำไปจนถึงด้านหลังของอู่ มันมีประตูเล็กๆ เก่าๆ อยู่ พอเปิดออก ก็เจอทางเดินเล็กๆ นำทางไปจนถึงบ้านหนึ่งชั้นหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เล็ก

   “ยินดีต้อนรับ” เสียงนั้นพูดขึ้นพร้อมกับเสียงเห่าคำรามเสียงดังที่ดึงสายตาผมให้หันไปมองทันที สุนัขสีดำสนิทปรากฏเข้าสู่สายตา โซ่สีเงินเส้นใหญ่ล่ามคอมันเชื่อมเอาไว้กับรั้วเก่าๆ ที่ดูพร้อมจะพังตลอดเวลา

   ฝ่าเท้าเตรียมถอยหลังช้าๆ ทันทีตามกลไกร่างกาย แต่อีกคนที่ยืนอยู่ด้วยเอามือดันหลังผมไว้ พร้อมเสียงกระซิบเบาๆ ที่เรียกให้ขนอ่อนตามลำคอและใบหูลุกชัน

   “อย่าถอยหลัง”


____


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.2 'Round The City (20/01/2560)
«ตอบ #3 เมื่อ20-01-2017 01:23:27 »

2_
'Round The City



   “อย่าถอยหลัง”

   ผมรีบพยักหน้ารัวเร็ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องดื้อต่อต้านคำพูดนั้นเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนที่ประสานสายตากับสุนัขตัวใหญ่ ร่างกายเพรียวยืนจังก้ามองผม ขนสีดำพรางให้ร่างมันแทบจะกลืนไปกับเงามืดตรงนั้นยิ่งขับให้ทุกอย่างดูน่ากลัวขึ้นไปอีก เสียงขู่ต่ำลอยกดทุกบรรยากาศให้ทะมึนตึง

   “แทซ” คนที่ยืนข้างๆ ผมพูดขึ้น ถึงจะแค่เบาๆ แต่เสียงขู่คำรามนั้นก็เงียบลงทันที ร่างสูงปล่อยมือที่แตะหลังผมออก ก่อนจะเดินตรงไปหาสุนัขตัวนั้นโดยมีผมยืนมองอยู่เงียบๆ มือใหญ่ตบเข้าที่อกตัวเองสองที ‘แทซ’นั่นก็กระโจนเอาสองเท้าหน้าแตะวางตรงนั้นทันที

   โอเค หมากับเจ้าของ เข้าใจเลือกเลี้ยง

   เหมาะสมกันมากเลยล่ะ

   ผมคิดในใจ ขณะมองดูสุนัขโดเบอร์แมนสีดำทะมึนที่ยืนสองขาอยู่ตอนนี้ กับอีกคนที่เอาสองมือลูบตัวสุนัขไปเรื่อยๆ พร้อมศีรษะที่ไถแนบกับสัตว์มีขนตรงหน้าราวกับกำลังแสดงความรักให้กัน

   “นั่ง” อีกหนึ่งคำสั่งถูกเอ่ยมาสั้นๆ ก่อนที่สุนัขตัวนั้นจะรีบทำตามอีกเหมือนเคย เดฟขยับไปแถวๆ รั้วที่ล่ามโซ่แทซไว้อยู่ ก่อนจะก้มหยิบอะไรสักอย่างมายื่นให้ผม พอมองดูดีๆ ก็พบว่ามันเป็นเหมือนอาหารหรืออะไรประมาณนั้น ผมรับแท่งสีน้ำตาลแห้งๆ สองแท่งมาถือไว้ ระหว่างนั้นก็เหลือบตามองสุนัขที่นั่งรออยู่เล็กน้อย ดวงตาของมันจับจ้องมาที่ของในมือผมแน่วแน่ เหมือนกับพร้อมจะกระโจนมาแย่งชิงมันไป ทั้งๆ ที่ตัวเองนั่งหลังตรงไม่ขยับเขยื้อนอยู่

   “นายจะเข้าไปในบ้านไม่ได้ ถ้าไม่ได้ผูกมิตรกับมันก่อน” เขาอธิบาย ก่อนจะพยักเพยิดไปทางสุนัขน่ากลัวตัวเดิม “ให้มันสิ.. อ๊ะอะ อย่าโยน”

   ผมชะงักมือที่กำลังจะโยนขนมในมือให้มัน ดวงตาเรียวสีดำของแทซยังจ้องมาที่ผมเขม็ง เลือดในตัวเย็นเฉียบ ตอนที่ผมค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าแล้วยื่นของในมือให้มันช้าๆ ผมหันหน้ากลับไปมองเดฟ มันไม่ยอมกินของที่ผมยื่นให้ นั่งหลังตรง ไม่ขยับ ไม่กิน ไม่แม้แต่จะขยับจมูกดมด้วยซ้ำ

   อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอก ตรงมุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏก่อนจะเลือนหายไป

   “กิน” แค่คำนั้นแหละ ผมถึงกับชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อมันขยับกัดขนมที่ผมยื่นให้ไปด้วยความเร็ว ถ้ามันตั้งใจจะกัดแขนผม ป่านนี้คงเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว

   “เด็กดี.. เด็กดี” เดฟตรงเข้าไปลูบหัวลูบตัวแทซอีกรอบ ก่อนจะใช้มือปลดโซ่ที่ล่ามคอมันอยู่ออก

   “ทำอะไรน่ะ” ผมถามเสียงหลง จะบ้าเหรอ ปล่อยมันมาฆ่าผมหรือไง

   “กลัวเหรอ” เขาเอียงหน้า ก่อนจะถามออกมาด้วยใบหน้านิ่งๆ ในดวงตามีความสนุกสนานปะปนอยู่ เขายกแขนขึ้นพาดลำคอของสุนัขตัวนั้น

   “ใช่” ผมตอบไปตรงๆ ตามที่รู้สึก ดูเหมือนว่าถ้าเขาปล่อยมือที่จับหมานั่นอยู่ มันอาจจะวิ่งพรวดเข้ามากัดผมเมื่อไหร่ก็ได้

   “ไม่ต้องกลัวหรอก มันรู้ว่าอะไรควรกัด อะไรไม่ควรกัด” เขาผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวมาหยุดยืนใกล้ๆ จมูกทำท่าดมอะไรสักอย่าง “กลิ่นก็ไม่เห็นเหมือนอาหารอะไรนี่ จะกลัวไปทำไม”

   ให้ตายเถอะ

   ผมเกือบสบถออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดว่าสายตาเหลือบไปเห็นไอ้ตัวนั้นที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังร่างสูงซะก่อน มันส่ายหางกุดๆ ของตัวเองไปมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัวน้อยลงเลยสักนิด เดฟลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะรวบสายโซ่เส้นใหญ่แล้วเดินนำไปเปิดประตูบ้าน เจ้าแทซนั่นไม่ยอมเดินตามเจ้านายไป มันหยุดยืนจ้องผม ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา และนั่นทำให้ผมรีบก้าวตามหลังเดฟไปทันทีโดยมีมันเดินตามหลังผมช้าๆ

   “เดฟ..” ผมเรียกอีกคนเสียงสั่น รู้สึกไม่ปลอดภัยในทุกการก้าวเดิน ร่างสูงหันมามองผมนิ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กๆ ก่อนจะกลายเป็นหน้าปกติแล้วยืนรอให้ผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน แทซที่เดินตามผมมาละความสนใจไปจากผมแล้ว มันวิ่งเหยาะๆ หายเข้าไปในความมืดภายใน จนกระทั่งเดฟกดเปิดไฟจนสว่าง

   ผมกวาดตามองสถานที่แห่งนี้ไปเรื่อยๆ ทุกห้องเหมือนเป็นห้องเดียวกัน ไม่มีประตู มีแต่การก่อผนังกั้นโซนห้อง อย่างดีหน่อยก็มีกรอบประตูเปลือยๆ ให้เดินผ่าน ประตูสองประตูที่มีเห็นทีจะเป็นแค่ประตูบ้านกับห้องน้ำเท่านั้น

   ข้างในเต็มไปด้วยข้าวของ หนังสือพิมพ์เป็นตั้งซึ่งไม่รู้ว่าเก็บไว้ตั้งแต่ปีไหน หนังสือ กีต้าร์เก่าๆ หนึ่งตัววางพิงอยู่ริมผนังห้อง และอื่นๆ อีกเยอะไปหมด ผมมองแทซที่ทรุดตัวลงนอนหมอบอยู่บนโซฟาเก่าๆ ภายในห้อง

   “นั่งสิ” ผมค่อยๆ หย่อนนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กอีกตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นเดียวกับเดฟที่นั่งลงข้างๆ แทซที่มองผมไม่ละสายตา

   “นายมาจากที่ไหน” เขาถาม ในมือถือขวดเบียร์ที่ไม่รู้ไปหยิบมาตอนไหนก่อนจะเปิดฝามันกับขอบโต๊ะ

   “ลอสแอนเจลิส” ผมโกหก ความจริงก็คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั่นมันหน้าตายังไง อยู่ตรงส่วนไหนของประเทศ ผมเคยได้ยินแค่ชื่อเท่านั้นจากบรรดาพวกที่เคยผ่านเข้ามาในที่ๆ ผมเคยอาศัยอยู่

   “หาดลาโฮยาไม่สวยหรือไง ถึงได้หนีมาหาหาดที่เป็นแหล่งพี้ยาแบบนี้”

   “.. อาจจะ” เดฟเคาะปลายนิ้วกับขวดเบียร์ที่ถืออยู่เบาๆ สีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกระดกเบียร์เข้าลำคออึกใหญ่

   “นายไม่ควรไปยืนที่นั่น ตรงถนนนั้นตอนตะวันตกดิน ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนไปเดินเล่นหรอกนะ” เขาเหลือบตามองผมนิ่ง รอยยิ้มที่มักจะติดอยู่เลือนหายไป “มีแต่พวกขายเซ็กส์เท่านั้นที่จะไปยืนรอลูกค้า”

   ผมกำมือแน่น ระงับทุกความรู้สึกที่พุ่งพรวดขึ้นมา

   เดฟมองการกระทำนั้นด้วยความเงียบ ก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นยืน “นายคงอยากอาบน้ำ ตามมาสิ”

   ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเขาไป ไฟถูกเปิดขึ้นอีกดวงเพื่อให้มองเห็นทางเดินชัดขึ้น ห้องน้ำอยู่ติดกับโซนครัวเล็กๆ ที่มีเคาน์เตอร์ครัวเพียงสามเคาน์เตอร์กับตู้เย็นเล็กๆ สีขาว

   ผมรับผ้าเช็ดตัวที่อีกฝ่ายยื่นให้ ขากำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำชะงักเมื่อเดฟยื่นแขนมากั้นด้านหน้า ฝ่ามือใหญ่วางทาบกับผนัง ก่อนที่ใบหน้าเขาจะขยับเข้ามาใกล้

   “ทีหลังถ้าจะโกหกก็ได้นะ แต่ขอให้เนียนๆ กว่านี้หน่อยสิ” ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกเข้ามาในตาผมซึ่งตอนนี้ชะงักค้างไปแล้ว

   “อะไรนะ”

   “หาดลาโฮยาน่ะ.. มันอยู่ที่ซานดิเอโก้ ตกลงว่านายมาจากที่ไหนกันแน่ล่ะ” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

   ส่วนผมในตอนนี้ ได้แต่กำผ้าขนหนูที่ถืออยู่แน่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก จนอีกฝ่ายค่อยๆ ละมือที่วางอยู่บนผนังตรงหน้าลง เขาทำท่าจะเดินกลับไป ในช่วงจังหวะที่ไหล่เราสองคนซ้อนเหลื่อมกัน เสียงทุ้มก็พูดขึ้นเบาๆ

   “แล้วก็จำชื่อฉันได้ไวดีนี่ รีบอาบแล้วกัน ฉันจะรอ”

   นั่นมัน..

   อะไรกัน





   ผมรีบก้าวเท้าเข้าห้องน้ำ ปิดประตูและลงล็อคให้ไวที่สุดเท่าที่ชีวิตจะทำได้ เหมือนโดนสวนหมัดฮุคเข้าจังๆ ที่หน้าจากการจับได้เมื่อกี้

   บ้าจริง ผมควรจะรอบคอบกว่านี้

   ใครจะไปคิดว่าจะโดนลองใจจากใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งรู้จักกันแบบนั้น

   การอาบน้ำผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้อีกคนรอนาน ผมสวมใส่ชุดเดิมและชุดเดียวที่ตัวเองมีอยู่ ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ ในใจหวีดหวิวเล็กน้อยด้วยความระแวงที่เพิ่มขึ้นสูง

   ผมไม่รู้ว่าที่เขาบอกว่า ‘จะรอ’ นั่นหมายถึงรอเพื่ออะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ภาวนาให้ไม่ใช่ในทิศทางที่ผมไม่ต้องการ

   ร่างสูงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม แทซนอนหลับอยู่ข้างๆ ขวดเบียร์เปล่าสองขวดเพิ่มมาวางนิ่งอยู่ตรงขาโต๊ะ กับขวดใหม่ในมือเขาอีกหนึ่ง ผมเดินเข้าไปช้าๆ รู้สึกเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กด้วยตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องมาโดยไม่พูดอะไร

   “ชื่ออะไร” เขาถาม ดวงตาสีดำดุมองผมไม่กะพริบ

   “ฟลอยด์” คราวนี้ผมโกหกแนบเนียน เขาไม่มีทางจับได้แน่ถ้าไม่ขอดูไอดีการ์ดของผม

   “ฟลอยด์..” เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าประหลาดใจหลังจากได้ยินชื่อ ก่อนจะถามต่อ “นายมาทำอะไรที่นี่ เมืองนี้”

   ผมเงียบ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่เพิ่งได้รับ

   ถ้าเป็นคนอื่นถามผมอาจจะโกหกไปมั่วๆ แล้ว หยิบสุ่มเหตุผลง่ายๆ สักข้อสองข้อขึ้นมาพูด แต่กับผู้ชายคนนี้ ผมคิดว่าการนิ่งเงียบอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการโกหกก็ได้

   เขาต้องจับได้แน่ๆ อยู่แล้ว

   พอผมเงียบ เขาก็เงียบตาม มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องมองมาอย่างกดดันในที

   “ผมไม่รู้” แล้วผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้

   คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ “นายไม่รู้?”

   “ใช่” เสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา เจ้าแทซที่นอนนิ่งอยู่ส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอคล้ายละเมอก่อนจะเงียบไปในที่สุด ผมลอบมองใบหน้าอีกฝ่าย เขายกขวดเบียร์ในมือขึ้นจรดริมฝีปาก เว้นจังหวะให้ความเงียบทำงาน ในขณะที่ผมได้แต่สงสัยกับตัวเอง ว่าทำไมต้องเอาตัวเองมาเป็นเป้าสัมภาษณ์ให้คนที่ได้รับการเตือนมาว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยแบบนี้

   ดีมากๆ เลย เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า.. ผมถือเป็นคนหนึ่งที่เชื่อฟังคำเตือนของคนอื่นและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดทีเดียว

   “นายไม่อยากบอกสถานที่ที่จากมา นายไม่รู้เหตุผลของการมาที่นี่ ไม่ ไม่สำหรับทุกข้อมูลส่วนตัว” เขาวางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะ ลำตัวโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมสบตากับผมนิ่ง

   “รู้หรือเปล่าว่านั่นมันทำให้ฉันสงสัย”

   เขาไม่ได้โกหก

   “ทำไม.. คุณถึงสนใจเรื่องของผมนัก” ผมเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง หลังจากที่ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ซักถามมานานเกินพอ

   “รู้ตัวหรือเปล่า นายดูไม่เหมือนคนที่จะสามารถรอดชีวิตจากที่นี่ได้เกินสามวัน” รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากช่างขัดเหลือเกินกับดวงตาที่จริงจังนั่น

   ผมกลืนน้ำลายลงคอ ฝืดเฝื่อนและเริ่มหายใจติดขัด แต่ความบ้าคลั่งลึกๆ ในตัวผมก็สั่งให้ตัวเองตอบโต้เขากลับไปด้วยท่าทางอวดดี

   และผมไม่ควรทำแบบนั้นเลย

   ขวดเบียร์ที่อีกฝ่ายเพิ่งวางลงกับโต๊ะถูกยกขึ้นมาซัดเข้าปาก รสขมปร่าอมหวานบาดลำคอจนอยากเบ้หน้าออกมา ผมดื่มกินมันจนหมดภายในครั้งเดียวแล้ววางมันลงกับโต๊ะ ดวงตาจ้องกลับไปยังอีกฝ่าย สีหน้าเรียบเฉยถูกตีฉาบขึ้นอย่างแนบเนียน

   “แค่นี้ ผมไม่ตายหรอก”







   ใช่ แค่นี้ผมไม่ตายหรอก

   ผมยกมือสองข้างขึ้นกอดตัวเองหลวมๆ อากาศเย็นบาดผิวเนื้อจนแห้งแสบทั้งๆ ที่ปราศจากลม บุชคอร์เนอร์อยู่ห่างออกไปแค่ช่วงถนน แต่ผมก็เริ่มหมดแรงที่จะเดินแล้ว ฝ่าเท้าปวดตึงไปหมดจากการเดินไปเดินมาสองวันติดๆ

   ใช่ สองวัน

   ผมนอนที่นั่นไปแค่คืนเดียว ตอนเช้าตรู่ก็รีบหนีออกมา โชคดีที่ตอนตื่น ไม่มีทั้งสุนัขและเจ้าของอยู่ในบ้านหรือรอบๆ เลย ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหนกัน แต่เศษเงินที่ผมเหลืออยู่ทั้งหมดก็ถูกควักแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะตรงโซฟา ผมรู้ว่ามันอาจจะดูน้อยเกินไป สำหรับการสละที่นอนให้แล้วตัวเขาต้องระเห็จไปนอนที่โซฟา แต่ทั้งตัวผมก็มีอยู่แค่เท่านั้น

   แล้วแปดเหรียญสุดท้ายก็จากไป

   ผมไม่เจอเขาอีกเลยตลอดสองวันมานี้ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็ตาม ผมวิ่งโร่ไปทั่วเมืองเพื่อหางานทำ งานอะไรก็ได้ แต่น่าเศร้าที่ไม่มีใครต้องการรับพนักงานใหม่ที่ไม่ใช่คนในพื้นที่เลย

   “ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยทักพนักงานตรงเคาน์เตอร์ เธอคือผู้หญิงคนเดิม ที่เคยแนะนำตัวเองว่าชื่อเซร่า เธอเงยหน้ามองผม และทำหน้าตกใจออกมาทันที

   “นายน่ะเอง ทำไมดูโทรมแบบนั้นล่ะ” ผมยิ้มฝืดๆ กลับไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของการที่ผมถ่อสังขารใกล้จะพังของตัวเองมาที่นี่ ไม่ได้มาเพื่อให้คนซักถามเกี่ยวกับตัวผมเอง

   “ที่นี่ รับพนักงานเพิ่มหรือเปล่าครับ” ผมเข้าเรื่อง พยายามฝืนยิ้มจริงใจให้อีกฝ่าย

   “พนักงานเหรอ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าที่นี่น่ะเลือกรับคนมากๆ เลยล่ะ คนพลัดถิ่นแบบนาย.. ฉันเสียใจด้วยนะ”

   “งั้นเหรอ.. ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ ความสิ้นหวังอ่อนๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายใน แล้วผมก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าพยายามดับมันทิ้ง ความอ่อนแอไร้ค่าไม่ควรจะมีอยู่ในทุกจังหวะการใช้ชีวิต

   มันไม่ก่อให้เกิดผลแล้วยังบั่นทอนให้ยิ่งแย่ลงไปอีก

   ผมยืนเคว้งคว้างอยู่หน้าร้านอีกสักพัก ตามองไปรอบๆ ที่นี่ไม่ได้มีความเจริญอะไรมากมายนัก ถ้าเทียบกับรูปภาพเมืองใหญ่ๆ ที่ผมเห็นตามรูปภาพหรือนิตยสาร หลังจากที่เดินลากขาไปถามหางานที่นั่นที่นี่ ผมก็ลงความเห็นสรุปกับตัวเองได้เลยว่าคนเมืองนี้ค่อนข้างจะบึ้งตึง และไม่อยากจะสุงสิงกับใครทั้งนั้น

   หรือบางทีมันอาจจะเป็นธรรมดาของอะไรแปลกหน้าอย่างผมก็ได้

   ร้านขายของเก่าๆ ฝั่งตรงข้ามผมก็เพิ่งไปสมัครมาเมื่อกี้นี้ มีผู้ชายผมบลอนด์คนหนึ่งยืนเฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ เขาดูไม่แยแสเท่าไหร่นัก ดูได้จากการที่ตอนผมพูดด้วย เขาไม่ละสายตาจากทีวีเครื่องเล็กตรงหน้ามามองเลยน่ะสิ

   เมืองนี้ ให้ความรู้สึกอ้างว้างดีไม่น้อย

   แต่ก็ไม่ได้มีรสขมปร่าน่ารังเกียจเหมือนกับที่ผมจากมา

   เนวาดา..

   ชื่อนี้ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับคนนอก ไม่สิ ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ด้วยสำหรับคนที่เกิดและโตที่นั่นอย่างผม นครที่การค้าประเวณีทำได้อย่างถูกกฎหมาย มีคำเรียกตั้งเยอะแยะผุดขึ้นมาเพื่อเรียกคนที่ทำอาชีพแบบนั้น ผมรู้จักเกือบทุกคำที่ใช้บัญญัติความหมาย

   ฮุคเกอร์.. คอลเกิร์ล ฮัซซี่ ใจง่าย แพศยา แทรมพ์ เอาท์เกิร์ล สลัท ผู้ชายก็ เรนท์บอย เพลเยอร์

   ผมรู้จักคำเหล่านั้นดี คำที่มีความหมายดูถูกเหยียดหยามในตัวเอง ยิ่งพูดออกมาพร้อมกับสายตากักขฬะและน้ำเสียงดูแคลน ผมรู้ดีว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร



   เพราะคำพวกนั้น เคยเอาไว้ใช้เรียกตัวผมเอง



____


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
«ตอบ #4 เมื่อ20-01-2017 05:57:25 »

เจิมให้เดฟฟลอยด์ สุดรักเรื่องนี้ แอฟซี
กลับมาอ่านตั้งแต่แรกก็รู้สึกคิดถึง อยากลูบแทซบ้าง 555

ออฟไลน์ อเลนคุง

  • some stories stay with us forever
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-0
Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
«ตอบ #5 เมื่อ20-01-2017 09:29:02 »

 :pig2:มาเจิมให้จ้าาา เราอ่านตั้งแต่ในเด็กดีแล้วแหละ แต่เดี๋ยวจะอ่านตามในเล้าอีกรอบ :mew1:

 ยิ่งอ่านยิ่งชอบสำนวนการเขียน  o13

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
«ตอบ #6 เมื่อ20-01-2017 10:19:51 »

สนุกมาก ชอบๆ

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.3 Hard To Leave (21/01/2560)
«ตอบ #7 เมื่อ21-01-2017 14:31:40 »


3_
Hard To Leave



   ‘เจนิน ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้’

   ผมยังจำประโยคนั้นได้ขึ้นใจ มันฝังลึกอยู่ในรากความทรงจำและไม่มีทางจางหายไปได้ง่ายๆ โชคร้ายที่สลัมเสื่อมโทรมแห่งนี้ไม่มีอะไรที่ผม เด็กผู้ชายที่เพิ่งอายุ 19 ทำแล้วได้เงินเร็วๆ เลย

   ผู้หญิงที่ผมรักที่สุด คนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่มีกำลังป่วยด้วยโรคอะไรก็ไม่รู้ โรงพยาบาลประจำพื้นที่ที่จ่ายแต่ยาสามัญไปตามเรื่องตามราว เจ้าของพื้นที่ที่ไล่บี้เอาค่าเช่าและเงินเก็บที่กำลังจะหมดลง

   กับอีกหนึ่งอาชีพ ที่โด่งดังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของรัฐนี้

   ‘ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้’

   คำพูดแบบนั้นมันก็ตลกดี ในท้ายที่สุดแล้ว เพราะผมทำแบบนี้ เธอถึงได้มีชีวิตยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องโดนด่าทอจากเจ้าหนี้ ไม่ถูกทุบตี เงินที่ผมหามาได้ ทำหน้าที่การ์ดรักษาความปลอดภัยให้เธอได้ดีทีเดียว

   ถึงแม้อาชีพนี้จะถือเป็นอาชีพสุจริตก็ตาม แต่ผมแอบลักลอบทำมันตั้งแต่อายุเพียงแค่ 19 มันก็เลยกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ต้องคอยหลบซ่อนเอา ลำบากและขยะแขยงตัวเองเจียนตาย แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้

   ทางเลือกที่เหมือนจะมีให้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มี

   สำหรับคนที่เกิดมาในโลกแบบนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ การศึกษาที่มีอยู่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่มีโอกาสสำหรับคนเหล่านั้นหรอก

   แต่ผมก็ก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ จากความกลัวกลายเป็นความคุ้นชิน และด้านชาในที่สุด

   จากการลับลอบผิดกฎหมายของเด็กอายุ 19 ก็กลายเป็นการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องของคนอายุ 21 อิสระหายไปเรียบร้อยแล้วพร้อมกับแม่ที่อาการทรุดลงอย่างหนัก การออกจากที่ทำงานในเวลางาน สามารถทำให้โดนปรับจากเจ้านายได้ถึงสามร้อยเหรียญ มันไม่ใช่การปรับตรงๆ เพราะอู้งานหรอก ทุกอย่างถูกทำให้ซับซ้อนกว่านั้นเพื่อที่ข้อแก้ตัวจะหมดไป การหยิบยกเรื่องการทดสอบทางการแพทย์หรืออะไรก็ตามขึ้นมาอ้างทำให้พวกผมหมดปัญญาที่จะเถียงกลับและต้องยอมเสียเงินไปง่ายๆ นั่นล่ะวิธีการกันไม่ให้เราออกจากที่นั่น

   ในท้ายที่สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงแก่ก็พร้อมจะจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ ยื้อชีวิตกันมาร่วมสามปี แล้วแม่ก็จากผมไปอย่างง่ายๆ ทิ้งผมไว้กับงานที่ผมรังเกียจ

   ไร้ค่าสิ้นดี ตัวของผมเอง

   ในตอนนั้น การถามราคาค่าร่างกายของผมเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนถามราคาอาหารขยะหรืออะไรสักอย่าง

   คิดแล้วก็ตลกดีจริงๆ นั่นแหละ เป็นมุขตลกฝืดๆ ที่เรียกน้ำตาได้ดีทีเดียว

   ผมยกมือขึ้นลูบหน้าและเส้นผมของตัวเองช้าๆ ดวงตาเริ่มพร่าเลือนจากความเหนื่อยล้า ท้องที่ไม่ได้มีอะไรตกถึงมาหลายชั่วโมง ครั้งสุดท้ายที่ผมได้กินคือตอนเดินหางานเมื่อวานนี้แล้วเจอซากขนมปังเหลือๆ วางอยู่บนเก้าอี้ข้างทาง ในตอนนั้น ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เลยว่ามันจะอร่อยได้ขนาดนั้น

   บางทีผมอาจจะอยู่ไม่รอดเกินสามวันอย่างที่ผู้ชายคนนั้นว่าจริงๆ ก็ได้

   ผู้ชายที่โผล่มาอย่างลึกลับแล้วก็หายไป ผมยังมีโอกาสเจอคนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันกับเขา ขี่ฮาร์เลย์ทรงเดียวกันอีกสองสามคน ส่วนมากจะเจอที่ร้านสะดวกซื้อหรือไม่ก็แถวย่านที่เป็นบาร์ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่มีวี่แววของเดฟที่ผมเคยพบเจอเลย

   ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ความปรารถนาเดียวในตอนนี้เห็นทีจะเป็น

   ขอให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป

   ‘นายไม่ควรไปยืนที่นั่น ตรงถนนนั้นตอนตะวันตกดิน.. มีแต่พวกขายเซ็กส์เท่านั้นที่จะไปยืนรอลูกค้า’

   ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ไม่ได้สวยงามจนทำให้อยากอยู่ด้วยนานๆ แต่ผมก็หวงแหนมันมากกว่าที่ควรจะเป็น

   น้ำอุ่นๆ ที่คลอเคลือบหางตาเรียกให้ผมรีบยกมือปาดมันออกเร็วๆ

   รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองมายืนอยู่ตรงสถานที่นั้นเสียแล้ว ถนนเส้นเดิมที่ผมต้องเจอกับประสบการณ์แย่ๆ ตั้งแต่วันแรกที่มา

   แล้วผมก็ต้องทำมันอีกจนได้

   ชีวิตที่เหมือนจะมีโอกาส สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่ในสถานที่ใหม่แบบนี้

   ตะวันตกดินแล้ว ความมืดเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียน

   มืดเหมือนกับจิตใจด้านนั้นของผมที่เริ่มทำงาน

   “เฮ้” เสียงเรียกสั้นๆ ดึงสายตาผมให้หันไปมอง ใครสักคนจอดรถริมถนน กระจกถูกลดลงช้าๆ เผยให้เห็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง

   ผมเม้มปาก มือเผลอจิกเกร็งแน่น จิตใจแกว่งไหวราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ไม่มีวันหนีพ้น

   ผมตีหน้าเรียบนิ่ง ค่อยๆ ก้าวขาไปใกล้มากขึ้น

   “อยากจะไปด้วยกันไหม” เขาถาม สีหน้าเยียบเย็นเหมือนกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นเรื่องปกติ

   ไม่เป็นไร..

   ไม่เป็นไร

   นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำ มันจะเป็นครั้งสุดท้ายกับเรื่องบ้าๆ นี่ทั้งหมด

   เงินที่ได้มา ผมจะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดในการเริ่มต้นชีวิตใหม่

   ไม่เป็นไร ทนอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

   แล้วทุกอย่างจะดีเอง..

   ผมขยับตัวเข้าชิดรถสีดำตรงหน้า ฝ่ามือค่อยๆ วางลงบนกรอบกระจกพร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลงไป ช้อนตาสบกับผู้ชายตรงหน้า ขณะที่ใบหน้าถูกครอบสนิทด้วยหน้ากากเก่า

   รอยยิ้มถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก รอยยิ้มที่ใช้ได้ผลเสมอในสถานที่เดิม



   “คุณให้ได้เท่าไหร่ล่ะ”

   เขานิ่งไปนิดหน่อยกับคำถามนั้น ท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหลุดตัวเลขในใจออกมา

   “400 ล่ะเป็นยังไง”

   เป็นยังไงน่ะเหรอ นั่นเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาในวงการนี้เลย แต่ผมมีสิทธิ์เลือกได้ด้วยงั้นเหรอในตอนนี้ คำตอบนั้นง่ายมากคือไม่มี

   “อะไรกัน เท่านี้ก็เยอะแล้วน่ะ หวังว่านายจะไม่โก่งราคากันหรอกนะ”

   การคำนวณความเสี่ยงและความเสียหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในใจ ราคานี้ถ้าเป็นที่เนวาดาคงเข้าได้แค่ตรงล็อบบี้ ดีหน่อยก็ลงไปดื่มเหล้าที่บาร์ แต่ไม่มีทางได้แตะโซนลึกไปกว่านั้นเด็ดขาด ไม่ต้องพูดถึงคนที่ค่าตัวถูกที่สุดเลย ยังไงก็ไม่มีทางได้แตะแน่ๆ แต่ถ้าเป็นที่นี่ ผมไม่รู้จักที่นี่มากพอ มันเป็นเหมือนโลกใบอื่นที่ผมไม่รู้จัก กฎเกณฑ์เดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ตัวเลขนี้จะต้องไม่ถูกนำไปเปรียบเทียบ

   แค่คิดว่ามันจะช่วยให้ผมมีชีวิตได้ยาวนานขึ้นหรือเปล่าก็พอแล้ว

   “ทำอะไรกัน” คำถามที่ดังขึ้นยุติการต่อรองตรงหน้าลงชั่วคราว ผมถึงกับตัวแข็งไปเสี้ยววิ เพียงแค่ว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้นหูมากเกินไป และผมขออย่าให้เป็นแบบที่ผมคิดขณะที่ค่อยๆ หันใบหน้าไปมอง

   และผมก็น่าจะรู้

   ว่าทุกคำขอของผมไม่มีวันลอยไปถึงพระเจ้าหรือใครก็ตามที่บงการชีวิตนี้อยู่

   เดฟที่หายตัวไปอย่างไร้วี่แววเป็นเวลาสองวันถึงได้มายืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ร่างสูงโทรมไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าและตามแขนเต็มไปด้วยเขม่าดำและกลิ่นน้ำมันที่ลอยวนอยู่รอบตัว

   เขาสบตาผมด้วยความนิ่ง

   “นี่นายขายเหรอ” ผมหน้าชาวูบกับคำถามง่ายๆ จากปากคนตรงหน้า เขายิ้มออกมา ทั้งๆ ที่ดวงตาดูจริงจังจนน่ากลัวผิดกับครั้งแรกที่พบกัน ร่างสูงย่างเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เสียงกระซิบต่ำดังออกมาจากริมฝีปากที่ยังยิ้มค้างอยู่ “รู้ไหม ว่าฉันผิดหวังนะเนี่ย”

   นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะได้ยินจากคนบนโลกนี้

   ผมไม่ชอบให้ใครมาคาดหวังในตัวผม

   เพราะเรามักจะเจ็บปวดเสมอ เวลาที่ทำให้ความคาดหวังนั้นพังทลายไป

   ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ความผิดของเราสักนิด..

   “เงียบทำไม” เสียงทุ้มยังว่าต่อมาอีกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่คาดเดาไม่ได้ ผมมองตาคู่ตรงหน้ากลับไป ความรู้สึกเลวร้ายถูกถ่ายทอดออกมาเงียบๆ ปราศจากน้ำเสียงแก้ตัว

   “คุณคิดว่าผมอยากทำแบบนี้เหรอ”

   ชั่วพริบตาหนึ่งที่ผมจับได้ว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นทั้งๆ ที่รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปเรียบร้อยแล้ว เป็นความขัดแย้งทางการมองเห็นหรือวิเคราะห์อารมณ์คนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่จากการที่เรายืนคุยกันแบบนี้ ลูกค้าของผมดูจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่แล้วที่ต้องนั่งรอสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองนานๆ

   เสียงบีบแตรดังขึ้นยาวนาน “จะเอายังไง ไปหรือไม่ไป ทำไมต้องให้ฉันมานั่งรอคำตอบด้วยเนี่ย”

   “ไม่ไป” คำตอบดังสวนขึ้นสั้นๆ ทันทีที่คำถามนั้นจบลง ผิดตรงแค่ว่ามันไม่ได้ออกจากปากของผม ผู้ชายคนนั้นดูหัวเสีย เขาหลุดสบถออกมาจนเดฟหันไปจ้องตาตรงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรออกมามากกว่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อีกคนรีบเก็บปากให้สนิทแล้วรีบขับรถออกไป

   “ไปกันได้แล้ว” ประโยคแกมสั่งดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ออกเดินนำไปในอีกทิศทาง

   แต่ผมก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่

   เดฟเดินนำไปสี่ห้าก้าว ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าผมไม่ได้เดินตามไป ร่างสูงหันกลับมามองผมด้วยท่าทางหาเรื่องเล็กๆ

   “ยืนทำอะไรล่ะ”

   “คุณกำลังจะไปที่ไหน” ผมถาม มองอีกฝ่ายที่เดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเดิม

   “ก็บ้านน่ะสิ” เขาตอบขำๆ เหมือนผมถามอะไรที่ตลกมากๆ ออกไป

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไป ไม่เกี่ยวอะไรกับผม” ผมเตรียมจะเดินหนี ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาเจ๊าะแจ๊ะกับใครทั้งนั้น หนึ่งคือผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมา ก่อนที่ผมจะล้มพับไปเพราะร่างกายแบกรับสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหว

   “ใช่ฉันจะไป นายก็ด้วยเหมือนกัน” ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ

   “แต่คำว่าบ้านนั่น มันหมายถึงบ้านของคุณ ผมจะไปบ้านที่ไม่ใช่บ้านผมทำไม”

   ใบหน้าอีกฝ่ายดูเหมือนคนที่ยั้วะเอามากๆ ในตอนนี้ เขาหลุดถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ก่อนที่ฝ่ามือจะคว้ากำรอบข้อมือผมแล้วออกแรงกระตุกให้เดินตามทันที

   “ทำอะไร” ผมเดินตามแรงลากนั้นไปง่ายๆ พลังงานถูกเซฟเอาไว้ทำอะไรที่จำเป็น การออกแรงยื้อยุดฉุดกระชากกับคนที่ตัวใหญ่กว่าผมขนาดนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้รอดพ้นแล้วยังเป็นการสิ้นเปลืองพลังไปเปล่าๆ

   “ฉันไม่อยากพูดเยอะ มันเปล่าประโยชน์” เขาตอบห้วนๆ ลากผมมาจนถึงฮาร์เลย์ที่จอดอยู่ เขาขยับขี่มันด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ “เร็วๆ”

   “คุณจะซื้อผมเหรอ” ผมถามสิ่งที่สงสัยออกไปตรงๆ มองไม่เห็นเลยว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาจะต้องการอะไรจากตัวผม คนที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

   เสียงหัวเราะหลุดออกมาจากลำคออีกฝ่าย ก่อนที่มันจะเงียบลงแล้วถูกทดแทนด้วยการเลิกคิ้ว “นายบอกว่าไม่อยากทำ แต่ทำไมล่ะ ทำไมถึงได้ดื้อดึงจะเอาตัวเองไปผูกกับมันได้ตลอด”

   ผมเงียบ

   ไม่ใช่เพราะว่าไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไร

   มันเป็นเพราะผมรู้ดี ผมเคยชินกับมัน ร่างกายเป็นสิ่งเดียวที่ผมมีนอกจากจิตใจและวิญญาณ ผมเติบโตมากับมัน ผมมีชีวิตรอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะมัน

   “ได้ ฉันซื้อนาย ด้วยเงิน 8 เหรียญนี่ ใครสักคนดูเหมือนจะไม่ต้องการมันเลยเอามาวางทิ้งไว้ในบ้านของฉัน น้อยไปหรือเปล่าที่จะทำให้ยอมมาด้วยกัน”

   ผมมองเหรียญคุ้นตาที่อีกฝ่ายล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแบให้ดูตรงหน้า ในใจกำลังสัมผัสความรู้สึกดีแบบแปลกๆ ที่ไม่ค่อยได้รู้สึกในชีวิตนี้ ก่อนค่อยๆ ขยับตัวเองขึ้นซ้อนท้ายฮาร์เลย์ตรงหน้า

   “ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ฉันไม่ใช้งานนายหนักเกินกว่าราคาที่จ่ายนี่แน่”

   ในตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร

   เขาจะอยากได้อะไรจากผมซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากร่างกาย หรือถ้าบอกว่าไม่ได้ต้องการอะไรเลย

   มันก็ฟังดูเป็นเรื่องตลกไปหน่อยว่าไหม..





   โรงรถยังดูเหมือนเดิม บ้านก็ยังดูเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนกับภาพในความทรงจำ มีเพียงข้าวของบางชิ้นเท่านั้นที่มีการโยกย้ายที่อยู่ อาจจะเพราะจากการใช้งาน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้กลับมาเหยียบที่นี่ บ้านหลังเล็กด้านหลังอู่ซ่อมรถ หญ้าและต้นไม้เลื้อยขึ้นรกตลอดทางเดินจากด้านหลังอู่ รั้วไม้เก่าๆ พร้อมกับป้ายเตือนสุนัขดุที่ขึ้นสนิมก็ยังเหมือนเดิม แทซนอนเชิดคออยู่ตรงโซฟา ดวงตามองผมไม่วางตาเช่นเคย เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีการแสดงอาการกราดเกรี้ยวหรือขู่คำรามแสดงอาณาเขตเช่นครั้งแรก มันเพียงแค่นอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น

   เดาว่าถ้านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาที่นี่แล้วบังเอิญเปิดประตูเข้ามาจ๊ะเอ๋กันแบบนี้ ป่านนี้ตัวผมคงโดนกระโจนใส่จนปางตายไปแล้วก็ได้

   “นั่ง” เขาพูดขึ้นมาสั้นๆ เป็นเหมือนการอนุญาตมากกว่าคำสั่ง ใบหน้าพยักเพยิดไปที่โซฟาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปทำอะไรก๊องแก๊งตรงโซนครัวและกลับมาพร้อมกับเบอร์เกอร์ก้อนใหญ่ในจาน ผมเผลอกลืนน้ำลายไปในตอนที่ได้กลิ่นมัน และไม่คิดมาก่อนว่าสิ่งนั้นถูกทำขึ้นเพื่อผม จนอีกฝ่ายเดินเอาจานมาวางให้ตรงหน้า

   “ไม่มีความจำเป็นต้องรอให้ฉันอนุญาตเหมือนแทซหรอกนะ” เขาพูดเมื่อเห็นผมไม่แตะต้องมันสักที แทซที่ถูกพูดถึงก็ส่งเสียงฟืดฟาดในจมูกราวกับรู้ว่ามันตกอยู่ในหัวข้อสนทนา ผมลอบมองอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจหยิบเบอร์เกอร์มากัดคำใหญ่เผื่อว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจเอาคืน

   เงินเแปดเหรียญถูกมือใหญ่เลื่อนมาวางไว้ข้างๆ จานเบอร์เกอร์ ผมมองมันอย่างชั่งใจ รับกลับมาแค่ห้าเหรียญ และเลื่อนสามเหรียญที่เหลือกลับคืนไป

   เขามองผมด้วยสายตาตั้งคำถามต่อท่าทางเหล่านั้น

   “เบอร์เกอร์” ผมตอบสั้นๆ มองอีกฝ่ายที่หลุดหัวเราะออกมา เขาโคลงหัวเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธเงินสามเหรียญที่ผมคืนให้ไป แต่ก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นจากโต๊ะ แค่ปล่อยมันวางทิ้งไว้ตรงนั้นเฉยๆ ผมนั่งกินเบอร์เกอร์ไปเรื่อยๆ ในท้องเหมือนได้รับการเติมเต็มทีละน้อยหลังจากปล่อยโล่งมานาน ท่ามกลางสายตาที่มองมาจากอีกคนหนึ่ง

   “ทำไมนายถึงกลับไปยืนที่นั่น ตั้งใจเหรอ” เขาถามขึ้นมา เท้าข้างแก้มเข้ากับปลายนิ้วตัวเอง

   ผมไม่ตอบ และใช่ เหตุผลก็คือผมแค่ไม่อยากวนกลับไปพูดถึงมันอีก

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่สนิทแบบนี้

   “ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้.. น้ำมันนั่น” ผมเปลี่ยนเรื่อง มองไปที่คราบดำๆ บริเวณใบหน้าและแขนอีกฝ่าย เขาเลิกคิ้ว

   “ถ้าบอกว่าไปเผาบ้านคนอื่นมาจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ” ก็ฟังดูมีอารมณ์ขันดี

   “นั่นตลกดี คุณไม่กลัวโดนจับเหรอ” ผมถามกลับไปทั้งหน้านิ่งๆ ในใจไม่เชื่ออยู่แล้วกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แต่เขากลับหลุดเหยียดขำออกมาเบาๆ พร้อมดวงตาที่มองผมเหมือนว่า ‘นายช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย’

   “นั่นฟังดูตลกกว่าอีก ทำไมต้องกลัวโดนจับด้วยนะ”

   ผมไม่ตอบ เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่มันไร้สาระเอามากๆ

   “คุณมายุ่งกับผมทำไม” ผมเปลี่ยนเรื่อง ตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาในใจมาตลอดออกไปพลางคิดถึงประโยคคำเตือนจากเซร่าที่ร้านอาหารนั่น เธอเคยบอกว่าถ้าผมไม่เข้าไปขัดแข้งขัดขาพวกเขา เขาก็จะไม่เข้ามายุ่งกับเรา

   ผมมั่นใจว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น

   แต่ทำไมผลลัพธ์มันไม่ตรงกับที่เธอบอกมา

   “หมายความว่ายังไง” เขาถาม

   “ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกคุณเดือดร้อนเลย” ไม่ใช่เหรอ..

   “รู้ได้ไง” เขาสวนกลับมาทันควัน ดวงตามีประกายสนุกสนาน ผิดกับผมที่หน้าเสียไปเรียบร้อยแล้ว

   บุหรี่มวนยาวถูกหยิบขึ้นมาคาบไว้ในปาก

   ความเงียบเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองช้าๆ เราต่างก็เว้นระยะเพื่อครุ่นคิด เขาหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟ แล้วเอนหลังพิงเบาะโซฟา มองมาทางผมด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังหาความสุนทรีย์จากการปั่นผมเล่นไปเรื่อย

   “แล้วผมทำอะไร” ผมก็ยังค้นหาไม่เจอ ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้พวกเขาเข้าตอนไหน

   ในความทรงจำ ผมก็เป็นแค่หน้าใหม่ที่เผลอหลงเข้ามา วันๆ หมดไปกับการเดินหางานทำแล้วก็หาของกินตามข้างถนน

   นั่นมันเสียหายตรงไหนกันล่ะ

   ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมา ลอยเจือจางในอากาศเป็นรูปอิสระ เขาทำท่าคิดพลางเอียงคอน้อยๆ บุหรี่สีขาวถูกจรดเข้ากับริมฝีปากอีกครั้งช้าๆ

   ผมได้แต่นั่งมองควันที่ถูกปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

   ปลายบุหรี่ถูกเผาไหม้ด้วยสีเเดงสดของไฟ แล้วเขาก็ขยับปากตอบในที่สุด

   คำตอบที่ไม่ได้ทำให้ความสงสัยคลางแคลงใจของผมหายไปเลย

   “ทำให้ร้อนใจล่ะมั้ง”

   ในตอนนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจในตัวผู้ชายคนนี้

   ว่าเขาต้องการอะไรในการกระทำคลุมเครือเข้าใจยากทั้งหมดนี่


____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 14:34:56 โดย mecinzano505 »

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.4 Cheap Vision (21/01/2560)
«ตอบ #8 เมื่อ21-01-2017 21:29:35 »


4_
Cheap Vision



   “จะไปไหน” ผมหยุดเท้าที่กำลังก้าวตรงไปที่ประตูบ้าน

   ตอนแรกที่ตื่นขึ้นมา ในบ้านก็ว่างเปล่าปราศจากเจ้าของและสุนัขอีกเช่นเดียวกับครั้งแรก ผมรีบอาบน้ำและคิดว่าจะออกจากที่นี่อีกครั้ง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อ แต่ดูเหมือนในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น เขาจะกลับมาได้ทันท่วงที และผมไม่ได้สังเกตเห็นอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงโซนครัวมาก่อนจนกระทั่งเมื่อกี้นี้

   “เป็นพวกชอบแอบย่องออกจากบ้านเหรอ” เขาเลิกคิ้ว มือถือน้ำเปล่าขวดใหญ่ไว้พลางยกมันกระดก

   นาฬิกาที่อยู่เหนือหัวเขาไปบอกเวลาตีห้าครึ่ง

   แม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังเลี่ยงไม่ได้งั้นเหรอ

   “อะไร” ผมไม่ตอบคำถามนั้น ตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อเห็นเขาพยักเพยิดให้ทำ ก่อนจะถามกลับเมื่อเขายังมองมาไม่หยุด เขาก็ไม่ตอบคำถามเหมือนกัน ร่างสูงกระดกน้ำเข้าลำคออึกสุดท้าย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน

   แทซไม่ได้เดินตามไปเหมือนทุกที ตรงกันข้าม มันเดินมาหาผมช้าๆ ในขณะที่ผมนั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับอยู่บนเก้าอี้ ความคลายใจเกิดขึ้นเมื่อมันทำเพียงแค่เข้ามาดมตรงแถวๆ หัวเข่า ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ เท้าของผม

   เดฟเดินกลับมาแล้ว เขากลับมาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวคอกลมในมือ ก่อนจะโยนมันลงบนตักผมเบาๆ

   “ฉันไม่เห็นนายจะเปลี่ยนชุดเลยตั้งแต่เจอกันมา” ที่พูดมานั้นไม่ผิดเลยสักนิด ผมก้มมองเสื้อเก่าๆ ของตัวเองสลับกับเสื้อยืดตัวใหม่ในมือ

   ผมไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากตัวเปล่าๆ กับเศษเหรียญที่เพิ่งได้คืน แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องรับของของคนอื่นมาฟรีๆ

   และดูเหมือนเขาจะอ่านนิสัยส่วนนั้นของผมได้แล้ว เสียงทุ้มรีบพูดดัก

   “ไม่ฟรีหรอก ถ้าอยากได้ก็ 1 เหรียญ”

   ผมหลุบตาลง เศษเหรียญถูกหยิบขึ้นมามองและยื่นให้อีกฝ่าย อย่างน้อยถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ยังกล้าสวมใส่มันมากกว่าได้มาฟรี

   “เปลี่ยนได้เลยนะ มันเป็นของนายแล้ว” เขาว่าพร้อมกับสายตาที่ไล่ลงมองแทซที่นอนอยู่ตรงพื้น ขนของมันคลอเคลียอยู่ตรงเท้าให้ความรู้สึกแปลกๆ เขามองมาด้วยสายตาไม่แสดงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ทิ้งสายตามานานเกินปกติ

   ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่วางไว้บนตัก แล้วสวมเสื้อขาวเข้าไปแทน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเหนียมอาย ในเมื่อผมก็เป็นผู้ชาย เขาก็เป็นคนบอกเองว่าเปลี่ยนได้เลยด้วย

   “ถ้าออกจากนี่ไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหนต่อ” เขาถาม เอนสะโพกพิงเคาน์เตอร์ ส่วนผมนั้นก็ไม่มีความเห็นหรือคำตอบให้แสดงเลยกับคำถามนี้ ตอนแรกผมไม่คิดว่าการอยู่ที่นี่จะเป็นเรื่องที่ยากมากมายอะไรนัก

   แต่ดูเหมือนจากอุปนิสัยบึ้งตึงต่อคนนอกของชาวเมืองกับจำนวนเงินที่ผมมีอยู่

   ดูเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางเอาไว้ระหว่างคำว่าชีวิตเก่ากับชีวิตใหม่ยังไงยังงั้น

   “ถ้ายังหาที่อยู่ไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้” เขาเสนอ

   เป็นการช่วยเหลือที่ผมไม่มีทางยอมรับได้ง่ายๆ แม้ว่ามันจะนำมาซึ่งความสบายและอาจต่อเวลาให้ชีวิตผมได้ก็ตาม

   “ผมอยู่กับคนที่ผมไม่รู้จักไม่ได้หรอก”

   ก็ฟังดูเป็นคนมากเรื่องดี แต่ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ

   นอกจากจะดูเป็นบุญคุณกันเปล่าๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้จักเดฟพอที่จะไว้ใจอยู่ด้วยได้ ทั้งท่าทางน่ากลัวที่บางทีก็หลุดเผยออกมา ทั้งอะไรคลุมเครือหลายอย่าง

   นอกจากชื่อเขาและชื่อหมาที่เลี้ยงแล้ว ผมก็แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้

   ปึงปึงปึง..

   ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรขึ้นมาอีกเสียงตบประตูแรงๆ ก็ดังขึ้น เดฟเอี้ยวตัวไปมอง ก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูบ้าน ผมไม่รู้เลยว่าใครจะมาเคาะประตูบ้านคนอื่นได้ในเวลาเช้าขนาดนี้ ประตูเปิดออก เผยให้เห็นผู้ชายร่างสูงพอๆ กับเดฟคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาล ใส่ชุดสีดำสนิท เขามีบุคลิกที่นิ่งขรึม อะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่ควรไปยุ่งสุงสิงด้วย

   เขาพูดอะไรกันด้วยเสียงที่เบาจนผมไม่ได้ยิน ซึ่งดีแล้วล่ะ ผมก็ไม่ได้อยากจะได้ยินอยู่แล้ว บางครั้งการไม่รู้อะไรอาจจะเป็นประโยชน์กับชีวิตมากกว่า

   ผู้ชายแปลกหน้าเดินออกไปแล้ว เดฟไม่ปิดประตูบ้าน เขาแค่เดินกลับมาหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังไปสวม อะไรสักอย่างที่ผมมองไม่ทันถูกหยิบเหน็บไว้ตรงสะโพก เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ในปากแล้วก็จุดมัน ดวงตาจ้องตรงมาที่ผม

   “มาสิ จะพาไปรู้จัก ตัวฉันเอง”






   สายลมเย็นตีกระทบหน้าจนชาไปหมด ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลือกขึ้นมานั่งซ้อนท้ายฮาร์เลย์คันนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ไม่รู้ในความหมายสมบูรณ์แบบ แต่ผมหมายถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องมากแค่ไหน ผมคิดว่าการขัดคำพูดของเดฟนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ผมไม่รู้จักเขาดีพอ ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไงถ้าหากผมซัดกลับไปห้วนๆ ว่าผมไม่อยากไปด้วย บางทีเขาอาจจะเป็นคนประเภทที่จะโกรธจัดหากโดนขัดคำสั่งก็ได้

   ถึงจะว่าไปแบบนั้น แต่ผมเองก็เป็นคนที่ขัดแย้งในตัวเองมากพอสมควรคนหนึ่ง

   อาจจะดูเป็นการโกหก ถ้าหากพูดว่าผมไม่อยากรู้จักตัวตนของเขา (ถึงแม้สิ่งที่ได้รู้อาจจะมีค่าแค่เศษเสี้ยวเดียวของตัวตนทั้งหมด) เขาเป็นคนที่ช่วยผมเอาไว้ และแน่นอน บุคลิกท่าทางลึกลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในตัวผู้พบเจอ

   ใช่ ผมเองก็อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง

   แต่ผมไม่อยากรับเรื่องราวและปัญหาที่อาจติดตามมาหลังการได้รู้จัก แค่นั้นเอง

   ผมมองเลยไหล่กว้างของเดฟไป เขาไม่ได้พาผมขี่มาแค่คันเดียว มีฮาร์เลย์แบบเดียวกันอีกถึงสามคัน รวมกันแล้วก็เป็นสี่ ผู้ชายแปลกหน้าที่เป็นคนมาเคาะประตูขับนำอยู่ตรงกลาง กับอีกสองคนที่ยืนรออยู่ที่รถตอนที่ผมออกจากบ้าน

   ผมดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่แปลกกว่านั้น

   คือผมไม่แม้แต่จะรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกอย่างที่ควรจะเป็น ความรู้สึกเหมือนได้รับการเติมเต็มทางอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นเสมอเวลาที่ผมซ้อนท้ายผู้ชายคนนี้ ผมสงสัย แต่ไม่ได้คิดอยากจะหาคำตอบเท่าไหร่นัก

   หลังการขี่ที่ยาวนาน ป้ายเก่าๆ ข้างทางโชว์หราว่าพวกเราออกเขตเมืองมาแล้ว ฮาร์เลย์ทุกคนจอดเทียบด้านหน้าของบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังเช้าตรู่ ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขามาทำอะไรกันที่นี่ในเวลานี้

   ผู้ชายที่เป็นคนมาเคาะประตูบ้าน ผมได้ยินเดฟเรียกเขาว่าแอช ร่างสูงก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์

   “อย่าส่งเสียงดังล่ะ” เดฟหันมายิ้มให้ผม ในขณะที่ผมนั้นเบิกตากว้างกับสิ่งที่เพิ่งเห็น ปืนสั้นกระบอกดำสนิทถูกจับมั่นอยู่ในมือใหญ่ เขาเลิกคิ้วที่เห็นผมทำท่าทางแบบนั้น ก่อนที่ละความสนใจจากผมไปอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามแอชเข้าไปด้านใน

   ประตูไม้เก่าๆ ถูกผลักออกด้วยความแรง มีกลุ่มคนนั่งอยู่ในนั้นสี่ห้าคน และทุกคนหันมามองเสียงที่เกิดขึ้นเป็นตาเดียว แอชเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ถือปืน เขาก้าวดุ่มๆ เข้าไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ มือสองข้างคว้าเข้าที่คอเสื้อ ก่อนจะออกแรงกระชากจนอีกฝ่ายที่ไม่ตั้งตัวเสียหลัก คนที่เหลือในร้านดูตกใจ พวกเขาลุกฮือขึ้นเหมือนจะเข้ามาช่วย แต่พวกเดฟที่กระจายตัวยืนอยู่ก็ยกปืนขึ้นจ่อหัวคนพวกนั้นทันที

   ผมตัวแข็ง หัวใจเต้นรัวจนอึดอัดในอก ภาพความอันตรายพุ่งเข้ามาในสายตาจากทุกทิศจนไม่รู้จะต้องจับโฟกัสที่ไหนถึงจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์เบื้องหน้าได้

   กริ๊ก..

   “อ๊ะอะ.. อยู่เฉยๆ จะดีกว่านะน้องชาย” เดฟพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียด เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นทำท่าเหมือนจะขยับตัว ปลายกระบอกปืนเล็งชี้ไปที่หัวคนนั้นเป็นการหยุดความเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์ บุหรี่หนึ่งมวนถูกหยิบขึ้นมาคาบปากลวกๆ เขาเหลือบตามองผมในเสี้ยววินาที

   หัวใจผมบีบเต้นด้วยความกดดัน เสียงออกหมัดยังดังต่อเนื่องไม่หยุด ผมค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างระมัดระวังไปยืนข้างๆ อีกฝ่าย ก่อนจะหยิบไฟแช็กขึ้นจุดให้ ดวงตาเขาพราวระยับกับการกระทำนั้น ขณะที่ผมรีบถอยกลับไปยืนด้านหลังทันทีที่บุหรี่ิติดไฟ

   พรรคพวกของผู้ชายที่โดนกระทืบอยู่ตรงนั้นดูหัวเสีย แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลยเพราะปืนที่จ่อพรากเอาชีวิตอยู่ แอชคนนั้นดูน่ากลัวที่สุดในความรู้สึกของผมตอนนี้ ใบหน้าถมึงทึงขณะที่ปล่อยผู้ชายคนนั้นไหลลงไปนอนกับพื้น ใบหน้าเปรอะกรังไปด้วยคราบเลือดไม่ได้หยุดการกระทำโหดร้ายที่เขาทำอยู่เลย ฝ่าเท้ายังตามไปอัดซ้ำๆ เข้าชายโครงจนอีกคนงอตัว ผมเหลือบตามองเดฟ เขาดูไม่ทุกข์ร้อนกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นสักนิด ร่างสูงยืนสูบบุหรี่สบายอารมณ์ มือก็ถือปืนส่องไปข้างหน้านิ่งๆ เช่นเดียวกับอีกสองคนที่มากับเรา

   “อึก..” เสียงกระอักดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางเสียงกระทืบและลมหายใจ เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากริมฝีปาก ตามตัวก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แอชใช้เท้าดันไหล่ผู้ชายคนนั้นให้นอนหงาย ก่อนจะนั่งยองๆ

   “คิดว่านี่เป็นการต้อนรับก็ได้นะ” เขาพูดเสียงเย็น มองผู้ชายที่มีสภาพปางตายตรงหน้าด้วยสายตาน่ากลัว “นายเป็นหัวหน้านี่ ใช่มั้ย”

   ขนาดผมที่ยืนอยู่ตรงนี้และไม่ได้ถูกมองแบบนั้น ผมยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยด้วยซ้ำ

   เขาล็อคมือเข้าที่ปลายคางอีกฝ่ายพลางจับมันสะบัดหันไปมา ร่องรอยช้ำหนักและเลือดกระจายอยู่ทั่วใบหน้าจนน่ากลัว

   “ดูเหมือนนายเพิ่งมาใหม่ เลยยังไม่รู้ว่าที่นี่เรามีกฎที่ต้องทำตาม นายแหกมันครั้งแรก โอเค นายอาจจะยังไม่รู้ แต่นายยังทำมันต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจ ฉันคิดว่าคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้”

   เขาเหยียดยิ้ม แล้วใช้ฝ่ามือจิกเส้นผมที่ชุ่มเหงื่อนั่นพร้อมกระชากขึ้นสูง น้ำเสียงกดต่ำ

   “โดยเฉพาะสิ่งที่นายเพิ่งทำไปเมื่อคืนนี้ นั่นน่ะมัน..” เขาหยุดชะงักไปโดยที่ยังพูดไม่จบประโยค เหมือนอารมณ์ถูกจุดให้สูงขึ้นทันที ใบหน้าคมดุถมึงทึง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เขาสะบัดมือปล่อยผมอีกฝ่ายแรงๆ ก่อนจะขยับเช็ดมันกับกางเกงยีนส์พลางยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันหลังเดินออกจากบาร์ไป

   ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาหันมาแล้วสวนกับผม ตอนนั้นผมลงความเห็นกับตัวเองได้ทันที ว่าผมไม่ควรมีเรื่องกับผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหนก็ตาม เดฟที่ว่าน่ากลัวแล้วยังมีบรรยากาศรอบตัวที่ดีกว่าแอชคนนั้น เขากระทืบคนจนเกือบตายแล้วพอนึกจะไปก็แค่เดินออกไปเฉยๆ ด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ

   “ไว้เจอกันใหม่นะ” เดฟเอียงคอ ปืนในมือขยับไล่เล็งไปที่ทุกคนช้าๆ ขณะที่ตัวเองถอยหลังจนถึงประตู ปืนถูกเก็บกลับไปเหน็บตรงกางเกง พวกที่ยืนนิ่งในตอนแรกกรูกันเข้าไปดูผู้ชายที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น มีคนหนึ่งในนั้นหันมาสบตากับผม ก่อนที่ข้อมือผมถูกจับแล้วลากให้ออกจากที่นั่นด้วยความเร็ว ขาขยับคร่อมฮาร์เลย์ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เลือดในตัวจับแข็งเป็นก้อน

   เป็นความรู้สึกที่ชวนให้รู้สึกชา และให้สัมผัสเย็บเยียบ

   เมื่อกี้นี้ ..

   มีคนเกือบจะตาย แต่ไม่มีใครสนใจในข้อนั้นเลยสักคน

   เดฟที่ผมพอจะรู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไรเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นเขายืนมองการกระทำโหดร้ายนั่นด้วยใบหน้านิ่งเฉย พร้อมกับปืนในมือ

   ฮาร์เลย์พุ่งทะยานไปด้านหน้า ผมขยับมือจับเอวคนตรงหน้าไว้หลวมๆ พอเคลื่อนที่กลับเข้าในเมือง แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามทิศทางของตัวเอง เดฟพาผมกลับไปที่บ้าน มอเตอร์ไซค์ค่อยๆ ช้าลงจนหยุดนิ่งอยู่ตรงอู่รถเดิม เขาขยับตัวลงจากเบาะคนขับ ในขณะที่ผมยังนั่งแข็งค้างอยู่ที่เดิม

   “เป็นไง” เขาถามขึ้นมาสั้นๆ หลังจากเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ดวงตาให้อารมณ์แตกต่างจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย มันไม่ได้เย็นชาและจริงจังอีกต่อไป “ถือว่าเรารู้จักกันแล้วหรือยัง”

   “…”

   “นายดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เขาทักด้วยใบหน้าสบายๆ พร้อมการเลิกคิ้วที่ดูเหมือนจะติดเป็นนิสัย

แน่ล่ะ ดูไม่ค่อยดีงั้นเหรอ

   สิ่งที่ผมเผลอไปเห็นนั่นไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่มองแล้วจะต้องรู้สึกดีสักนิด

   “.. ผมไม่รู้” แล้วผมก็ได้แต่ตอบแบบนั้นออกไป ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะรู้สึกหรือมีความคิดยังไงกับตัวตนที่อีกฝ่ายแนะนำให้รู้จัก

   “เรื่องที่ให้มาอยู่ด้วย ฉันพูดจริง แต่ก็ไม่ได้จะบังคับให้มา” เขาพูดช้าๆ พลางมองเข้ามาในตาผม “ฉันก็แค่.. อาจจะถูกชะตากับนาย”

   ผมก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าควรจะรู้สึกดีกับประโยคนั้นหรือเปล่า การภาวนาถึงการตั้งต้นชีวิตใหม่โดยปราศจากความไม่สงบสุขของผมพังไม่เหลือชิ้นดี

   “ถ้านายอยากหาบ้านเช่าอยู่ อยากหางานทำ ได้ ฉันช่วยนายได้ แล้วก็อยากให้รับความช่วยเหลือนี้ไว้ด้วยในฐานะที่ฉันตั้งใจมอบให้” เขาพูดด้วยเสียงจริงจัง แววตาไม่มีความล้อเล่นแฝงอยู่ทำให้ผมต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

   “ขอบคุณ..” แล้วก็คงเป็นอย่างที่ผมคิดมาเสมอ ว่าการขัดคำพูดของผู้ชายคนนี้อาจไม่ให้ผลดีเท่าไหร่ ถ้าเขายืนยันแบบนั้น

   ก็ไม่มีทางเลือกอะไรเหลือให้ผมได้เลือกอีกแล้ว

   อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินคำนั้นจากผม เขาจับต้นแขนผมแล้วดึงให้ลุกจากฮาร์เลย์เบาๆ “นั่งพักซะ เดี๋ยวจะพาไปสมัครงาน แต่อย่าลืม..คำพูดของฉันจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านายอยากได้รับความช่วยเหลือ”

   “…”




   “มาที่นี่ได้”


____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.5 Evictions On The Door (22/01/2560)
«ตอบ #9 เมื่อ22-01-2017 12:58:27 »


5_
Evictions On The Door



   “งานที่หาได้ เป็นยังไง” เขาเกริ่นถามขึ้น หลังจากพาผมไปบังคับแกมยัดเยียดให้เจ้าของร้านรับเข้าทำงาน เขาฝากผมเข้าทำที่สถานท่องเที่ยงกลางคืนแห่งหนึ่ง เป็นคนคอยจัดการสัพเพเหระภายใน ล้างจาน ทิ้งขยะ เช็ดแก้ว วิ่งสั่งน้ำแข็งมาเติม ก็ถือเป็นอาชีพที่ลำดับขั้นต่ำสุดในนั้นเลย

   แต่จะเอาอะไรมากกับคนที่ไม่มีการศึกษาแบบผม

   ผู้หญิงก็ไม่ใช่ จะเสนอหน้าไปเสิร์ฟเหล้าเสิร์ฟอาหารแลกกับทิปหนักๆ นี่ฝันไปเลย แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากกลับไปทำอะไรที่เสี่ยงต่อการเจอเรื่องห่วยๆ แบบสมัยก่อนแล้วด้วย

   ทำงานหลังร้านแลกค่าแรงถูกๆ ให้พอรอดตายก็ยังดี อย่างน้อยก็เป็นการปูพื้นฐานการใช้ชีวิตที่นี่ อนาคตถ้าได้รู้จักคนในเมืองมากขึ้น ผมอาจจะได้ขยับย้ายไปทำอะไรที่ดีกว่านี้

   “ผมทำได้หมดนั่นแหละ.. ขอบคุณ” ผมตอบกลับไปตรงๆ ได้ยินอีกฝ่ายเค้นหัวเราะออกมาเบาๆ ถึงได้หันหน้าไปมอง เดฟจ้องค้างที่ผมอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าเขาดูแปลก เหมือนจะสื่ออารมณ์แปลกใจ แต่ก็ไม่เชิง

   “ไม่มีงานที่อยากทำบ้างเหรอ งานในฝันน่ะ” ผมมองอีกฝ่าย รู้สึกถึงความคิดในหัวที่ว่างเปล่า ไม่มีไอเดียอะไรโผล่ออกมาเลยเมื่อพูดถึงคำว่างานในฝัน

   ผมแทบไม่เข้าใจในความหมายของมันด้วยซ้ำ

   “อะไรก็ได้ ทำขนม เปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ คนสวน ไปรษณีย์ พนักงานดับเพลิง” เขาไล่ชื่ออาชีพไปเรื่อยๆ

   “อะไรก็ได้ ผมทำได้หมด” ผมตอบกลับไปเหมือนเดิม เก็บเอาคำว่า พนักงานดับเพลิง มาคิดวนในหัว ถ้าให้ทำผมก็ทำได้เหมือนกัน ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีตอนที่ต้องอยู่ใกล้ไฟร้อนๆ ก็เถอะ

   “แล้วคุณทำอาชีพอะไร” ผมหลุดถามออกไป แล้วก็น่าจะรู้ตัวตั้งแต่ก่อนทำแบบนั้น ว่าไม่สมควรเลย

   ถึงผมจะอยากรู้ แต่ผมก็ไม่ควรรู้

   อะไรบางอย่างลึกๆ ในตัวผมตะโกนเตือนอยู่เป็นระยะถึงความน่ากลัวของผู้ชายคนนี้

   และผมควรเชื่อฟังมัน

   “คุณไม่ต้องบอกก็ได้” ผมรีบพูดขึ้นทันทีที่ิคิดได้ เดฟขยับยิ้มตอนที่ได้ยิน แววตาฉายความขบขันออกมาอย่างตั้งใจ

   “นายนี่ตลกดี..” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย “แต่ถ้าฉันอยากบอก จะอยากฟังหรือเปล่า”

   ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง จับจ้องสายตาเข้ากับเส้นสีขาวที่ตัดอยู่บนถนน สัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงขึ้น มันกำลังสับสนในตัวเอง เหมือนปลายเท้าเหยียบอยู่บนเส้นระหว่างความอันตรายกับความปกติ

   ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังปะทะใบหู ผมหันกลับไปมองเดฟที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงนิ่ง เขาส่ายหน้าน้อยๆ และไม่พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับอาชีพอีก

   แล้วผมก็รู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่การล้อเล่นทั่วๆ ไปที่อีกฝ่ายชอบทำเท่านั้น

   ผมถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกโล่งใจค่อยๆ คลืบคลานกลับเข้ามา ไม่ค่อยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มานานสักพักแล้ว เนวาด้าที่จากมาก็ไม่ได้เต็มไปด้วยคนที่สามารถแกล้งคนอื่นได้ทั้งใบหน้านิ่งๆ เอาเข้าจริง พวกนั้นไม่เสียเวลาเล่นมุขหรือแกล้งใครด้วยซ้ำ ถ้าจะมีอะไรสักอย่างหลุดออกมาจากปาก ที่ผ่อนคลายที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องตลกใต้สะดือฝืดๆ หรือไม่ก็การพูดคำว่า ‘อรุณสวัสดิ์’

   “ขอบคุณนะ” อยู่ดีๆ ผมก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาลอยๆ เดฟที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าที่ทำงานใหม่ของผมถึงกับหันหน้ามามองด้วยความงุนงง แต่ผมก็แค่อยากขอบคุณ

   พอคิดถึงอดีตพวกนั้นแล้ว การตั้งต้นใหม่ที่นี่ก็เป็นเหมือนความฝัน ไม่สำคัญเลยว่าจะได้ทำงานอะไร เพียงแค่เป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่การขายตัว..

   ผมก็คิดว่านั่นเป็นงานในฝันได้แล้ว

   เพราะผมฝันถึงการเลิกทำเรื่องอย่างว่ามาตลอดชีวิต

   อะไรบางอย่างตีสะท้อนขึ้นในอก เหมือนกับว่าความอ่อนแอกำลังจะเริ่มทำงาน มันอาจเป็นเรื่องปกติ เราจะรู้สึกอ่อนแอเสมอเวลาได้รับความเห็นใจจากใคร เวลาที่เรารู้ว่าคนคนนั้นอาจจะรับฟังและยอมรับเราได้ เวลานั้นแหละ ที่น้ำตาอยากจะออกมามีบทบาทมากที่สุด

   เป็นเหมือนการเรียกคะแนนสงสารของร่างกายที่ผมรังเกียจ

   โชคดีที่เดฟดูเหมือนจะรู้สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ เขาเลือกที่จะก้มหน้ามองพื้นแทนการมองสีหน้าที่เริ่มแย่ของผม ปลายบุหรี่สีขาวสนิทเเดงวาบ ก่อนที่เขาจะปล่อยมันให้ตกลงบนพื้นพร้อมปลายเท้าที่ตามไปเหยียบขยี้จนมอดดับ

   “ฉันว่างๆ อยู่พอดี อยากไปขี่รถเล่นด้วยกันไหม” เสียงทุ้มเกริ่นถามขึ้นโดยไม่หันมามอง ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำที่คลอเคลือบอยู่ในตา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกสติ เปล่งเสียงออกไปให้น้อยพยางค์ที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงแปร่งๆ ที่ผมไม่อยากได้ยิน

   “อือ”

   ผมขึ้นมาซ้อนเบาะนี่อีกแล้ว ลมบางๆ เริ่มไล้แตะผิวหน้า บรรยากาศเดิมๆ ที่ล่อลวงให้ผมจมดิ่งสู่ความว่างเปล่าที่แท้จริง สายตาจับจ้องค้างไปที่แผ่นหลังกว้างตรงหน้า

   ในตอนนั้นเองที่ผมชักไม่แน่ใจ ว่ามันเป็นโชคดีจริงหรือเปล่า ที่เดฟทำแบบนี้ เขารับรู้ว่าผมกำลังอ่อนแอ เขารับรู้ว่าผมไม่อยากเเสดงมันให้เห็นจึงเลือกที่จะหันหน้าหนีไป เขากำลังรับรู้.. สิ่งที่อยู่ในใจของผม

   นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วควรได้รับการสรุปว่าดีสักเท่าไหร่ใช่หรือเปล่า

   ผมเองก็ไม่แน่ใจ





   “เล่าเรื่องของนายสิ” เดฟเอ่ยขึ้นเรียบๆ ดวงตาเหลือบมองผมเสี้ยววินาที ก่อนจะละกลับไปมองอย่างอื่น

   ผมก้มมองไอศกรีมช็อกโกแลตถ้วยที่ถืออยู่ในมือ ไอเย็นแผ่ออกมาเกาะกุมโดนปลายนิ้วที่จับสัมผัสอยู่จนรู้สึกได้ถึงความด้านชาเล็กๆ เสียงกลุ่มเด็กเล่นบาสเก็ตบอลดังมาเข้าหูจากที่ไกลๆ

   “เล่าอะไร” ผมถามกลับ แอบลอบมองเดฟที่ละเลียดไอศกรีมของตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่ด้านข้าง สายลมพัดมาทำให้เส้นผมสีดำสนิทขยับปลิวเล็กน้อย

   “อะไรก็ได้ที่นายอยากเล่า” เขาตอบ แต่นั่นไม่ใช่การตอบที่ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย ดวงตาสีเข้มเบือนกลับมาสบกับผมราวกับรู้ว่ากำลังโดนแอบมอง “หรือจะเล่าเรื่องโกหกก็ได้นะ”

   นั่นฟังดูไม่ดีสุดๆ ไปเลย..

   “ผมชื่อฟลอยด์” ผมพูดออกไปง่ายๆ อย่างคนนึกอะไรไม่ออก เดฟนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

   “ทำไมนายถึงพูดอะไรที่ฉันรู้อยู่แล้ว”

   “ก็คุณบอกให้พูดอะไรก็ได้” แล้วก็บอกให้เล่าเรื่องโกหกด้วย

   จริงๆ แล้ว ชื่อ ฟลอยด์ นั่น ก็เข้าข่ายคำโกหกได้อยู่ไม่ใช่หรือไง

   เดฟส่ายหน้าช้าๆ สองสามที เขาไม่ได้ถามอะไรต่อหลังจากนั้น ไม่ได้พยายามให้ผมพูดอะไรต่อด้วย ความเงียบกัดกินพื้นที่ว่างระหว่างเราสองคน ผมเองก็เลือกที่จะกินของที่อยู่ในมือไปเรื่อยๆ พลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆ

   นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้ตั้งใจมองดูมันแบบนี้

   ตอนเด็ก ผมเคยชอบนั่งอยู่หน้าบ้านเก่าๆ โทรมๆ แล้วก็นั่งมองท้องฟ้า เพราะอะไรน่ะเหรอ.. เพราะว่ามันให้ความรู้สึกสวยงาม แปรปรวนไปเรื่อย แล้วก็จับต้องไม่ได้ไงล่ะ

   เพราะแบบนั้น ถึงดึงดูดสายตาให้มองเสมอ

   จนกระทั่งผมผลักตัวเองเข้าสายอาชีพน่ารังเกียจ สายตาก็ไม่ได้มีไว้มองของสวยงามพวกนี้อีกต่อไป วันๆ เห็นแต่แสงสีน่าขยะแขยง แล้วก็บรรดาผู้ชายที่ผมหลับนอนด้วยทั้งๆ ที่จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ

   “สีฟ้า” ผมเปรยขึ้นเบาๆ เรียกความสนใจจากเดฟที่จัดการไอศกรีมในมือจนหมดแล้วเปลี่ยนเป็นบุหรี่มวนยาวแทนแล้ว ใบหน้าเรียบเฉยแต่ให้ความรู้สึกสบายใจหันมาเล็กน้อย การเลิกคิ้วทำให้ผมต้องขยายความ

   ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้จะพูดให้เขาฟังทำไม

   “ผมชอบสีฟ้า”

   แต่น่าแปลก นอกจากเดฟจะไม่มองผมเป็นคนบ้าที่พูดอะไรไร้สาระ เขายังยิ้มกลับมาด้วย ใบหน้าพยักเบาๆ ก่อนที่เสียงทุ้มจะหลุดลอดออกมาทั้งๆ ที่บุหรี่ยังถูกคาบอยู่ที่ปาก

   “อือ ฉันชอบสีเทา”

   แล้วเขาก็กระโจนลงมานั่งคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับผมจริงๆ

   “ให้เดาไหม” เขาพูด เป่าควันบุหรี่ให้ล่องลอยไปด้านบน โดยไม่ต้องรอให้ผมตอบคำถามนั้น เขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนแล้ว “นายไม่ชอบสีดำ ใช่หรือเปล่า”

   ผมไม่ตอบ มีเพียงดวงตาที่หลุบลงมองไอศกรีมที่กำลังจะหมดในมือของตัวเอง

   ใช่..

   ผมไม่ชอบมัน สีที่มืดมิดที่สุด ชวนให้นึกถึงอดีตที่ตัวเองเคยมี ชีวิตในยามกลางคืน สิ่งที่เคยทำ ทำให้ร่างกายผมดำมืด เต็มไปด้วยความสกปรก

   “แล้วทำไมคุณถึงชอบสีเทา” ผมเปลี่ยนเรื่อง ปัดให้ออกห่างจากเรื่องของผม ย้อนกลับไปที่เรื่องของเขา

   แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มออกมาบางๆ   

   มองไปยังควันบุหรี่ที่เป็นสีเทาแบบที่เขาบอกว่าชอบ

   “เพราะว่ามันเหมือนกับมนุษย์ที่สุดไง.. คนเรา ทุกคน” ผมเผลอเหยียดยิ้มกับประโยคนั้น แล้วทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของร่างสูงด้วย เดฟหัวเราะเบาๆ ในลำคอ บุหรี่ที่สูบอยู่ถูกขยี้ลงกับพื้นด้วยปลายเท้า เขาเท้าข้อศอกกับหน้าขาแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าหันมองไปทางอื่น

   “ไม่คิดงั้นเหรอ.. ถ้าให้เลือกหนึ่งสีให้ตัวเอง นายจะเลือกสีอะไรล่ะงั้น”

   ผมนิ่งคิดกับคำถามนั้น สายลมเอื่อยๆ แตะไล้ใบหน้า

   “.. ผมไม่รู้” บางที อาจจะเป็นสีดำ

   ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนเขาจะล่วงรู้มันได้

   “ไม่ว่านายจะเลือกสีอะไรให้ตัวเอง ฉันแค่หวังว่ามันจะไม่ใช่สีดำ เพราะอะไรรู้ไหม” เขาถามทั้งรอยยิ้ม ดวงตากะพริบเบาๆ ก่อนเลื่อนมันกลับมาสบตากับผมที่ส่ายหน้าช้าๆ

   “ก็เพราะไม่มีใครสมควรได้รับมันไงล่ะ”

   ไม่มีใครควรได้รับสีดำเพราะพวกเขาไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด ไม่มีใครสมควรได้สีขาวเช่นกัน ไม่มีใครดีหมดจรดจนกลายเป็นสีหลอกลวงแบบนั้น

   เขาพูดมาแบบนั้น

   ผมจ้องตาเขานิ่ง ริมฝีปากเจือสีคล้ำจากการสูบบุหรี่ขยับช้าๆ

   “เพราะว่าทุกคนล้วนเป็นสีเทา เทาเข้ม เทาอ่อน เทาสว่างหรือเทาเข้มจนเกือบจะเป็นดำ สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็เป็นได้แค่สีเทาเหมือนกัน”

   “…”

   “เหมือนฉัน.. กับนาย”

   ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรเราถึงต้องมานั่งคุยเรื่องนี้กัน

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกดีที่โหมพัดทั่วร่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันมาจากไหน

   ประโยคที่เหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผม..

   กลับทำให้รู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับ จากผู้ชายที่ผมแทบไม่รู้จักเลย

   ได้ยินเสียงหัวเราะลอยเคล้ามากับลม ผู้ชายคนนี้ดูอารมณ์ดีผิดกับแววตานิ่งๆ ที่แสดงออกมา สีหน้าคาดเดาไม่ได้ไม่เคยทำให้ผมรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

   ล้อเล่น หรือว่า พูดจริง

   “เห็นไหม ฉันก็ไม่ใช่สีดำหรอกนะ” รวมถึงประโยคนี้ด้วย

   แล้วรอยยิ้มก็เริ่มมีบทบาทบนใบหน้า จนเป็นผมเองที่ต้องเบือนหน้าเพื่อหลบซ่อนมัน หัวใจเต้นหน่วงกระตุกรุนแรง

   โดยที่ไม่รู้เหตุผลอีกเช่นกัน





   ...



   ‘รออยู่นี่ เดี๋ยวจะไปหาซื้อของเข้ามาให้’ เขาพูดแบบนั้นแล้วก็จากไป ผมไม่รู้ถึงเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้ผมไปด้วย เสียงทุ้มแค่กำชับ

   ‘รออยู่นี่’

   “ขอบคุณนะ” ประโยคนั้นติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก ผมมองบานประตูไม้เก่าๆ ที่มีปฏิทินของเมื่อสามปีที่แล้วแปะอยู่ ดูเหมือนเจ้าของเก่าจะไม่สนใจใยดีมันสักเท่าไหร่ในตอนที่เขาย้ายออก

   ห้องพักเล็กๆ ราคาถูกซึ่งไม่ว่าจะถูกแค่ไหน มันก็ยังคงแพงอยู่ดีสำหรับตัวผมในปัจจุบันนี้ ที่นี่อยู่ไม่ไกลนักจากที่ทำงาน แค่เดินไปอีกห้าช่วงตึกเห็นจะได้ วิวจากหน้าต่างบานเล็กที่มีอยู่ก็ไม่เลวเลย ผมเหลือบตามองไปตามสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัว หน้าต่างที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ผ้าม่านสีฟ้าหม่นที่เกิดจากการรวมตัวกันของฝุ่น กับวิวตึกและถนนโล่งเงียบ โอเค วิวก็ไม่เลวเลย

   อย่างน้อยถ้าเบื่อก็นั่งมองรถยนต์ที่แล่นผ่านไปได้..

   ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆ รู้สึกงี่เง่าขึ้นมาทันทีกับการแก้ตัวให้กับห้องห่วยๆ นี่ในตอนนี้ ทุกอย่างเหมือนจะพังครืนในทันทีที่ผมเอื้อมมือไปสัมผัส สนิม หยากไย่ รอยน้ำซึมตรงเพดานสีขาวอมเหลืองนั่น แล้วก็เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ที่นอนวางชิดติดพื้น เสียงสปริงดังลั่นทันทีที่มีใครสักคนหย่อนตัวลงนั่ง และทีวีที่เปิดใช้งานไม่ได้ด้วยซ้ำ

   เข้าสู่คำว่า ‘ที่ซุกหัวนอน’ อย่างเต็มรูปแบบ

   แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับสบายใจที่จะอยู่ที่นี่ ไม่รู้สิ ไม่มีโดเบอร์แมนที่สามารถฆ่าผมได้ในเสี้ยววินาทีที่กะพริบตา ไม่มีสายตาแปลกๆ จ้องมองมาจากคนที่ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ตอนอยู่ด้วย

   ผมอยู่ด้วยตัวของตัวเองแล้วในที่สุด

   มีงาน และมีบ้านที่จ่ายค่าเช่าด้วยเงินของตัวเอง

   ไม่สิ.. ถึงเงินงวดแรกที่จ่ายค่าห้องนี้ไปจะเป็นเงินของเดฟ แต่ผมก็จะใช้คืนให้เขาทันทีที่เงินก้อนแรกออก นั่นเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้

   “ขอบคุณ” ผมพูดประโยคเดิมอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มติดมุมปาก ไม่มีใครได้ยินมันนอกจากตัวผมเอง

   ไม่แม้แต่คนที่ผมกำลังหมายถึงในคำพูด

   เป็นผู้ชายที่แปลก .. เขาทำให้ผมรู้สึกสงสัยในการกระทำแทบะจะทุกอย่างที่เขาทำ ทุกพฤติกรรมที่ผมมองเห็น ทุกคำพูดที่ได้ยิน

   เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้เข้ามาทำทุกอย่างนี่กับผม ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย คำว่า ‘ถูกชะตา’ นั่น มันครอบคลุมความช่วยเหลือไว้มากขนาดนี้ได้จริงๆ งั้นเหรอ เขาทำมันให้ผมได้ง่ายๆ โดยไม่อยากได้อะไรตอบแทนเลยจริงๆ เหรอ

   ผู้ชายที่ดูน่ากลัวในบาร์นั่น กับผู้ชายที่ยิ้มให้ผม คนไหน คือตัวตนจริงๆ กันแน่

   ผมหลุบตามองพื้น จรดจ้องหัวตะปูที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นไม้

   อันตราย ..

   อันตรายมากเกินไป การเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น อะไรบางอย่างในตัวบอกผม และผมควรจะเชื่อฟังมัน

   ปึงๆ ..

   เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากผมทันทีที่ได้ยิน ผมรีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าไปยืนชิด เสียงเคาะประตูดังตามมาอีกสามครั้ง ก่อนที่ผมจะปลดล็อคแล้วเปิดมันออก

   หัวใจเต้นกระตุกผิดจังหวะ

   ผมน่าจะรู้ว่าเดฟไม่น่าจะใช่คนที่เคาะประตูแบบนั้น ความเร่งรีบและกดดันที่ส่งผ่านบานประตูมาน่าจะทำให้ผมรู้และยั้งคิดได้

   ว่าถ้าประมาท ก็เท่ากับต้องเสีย

   “จำฉันได้ไหม” คนตรงหน้าจ้องผมเขม็ง ดวงตาสีเขียวมองจับไม่วางตา ในขณะที่ผมกำลูกบิดแน่น


   “คุณ..”


____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: I BITE :: Chapter.5 Evictions On The Door (22/01/2560)
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-01-2017 12:58:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: I BITE :: Chapter.5 Evictions On The Door (22/01/2560)
«ตอบ #10 เมื่อ22-01-2017 15:08:22 »

ว้ากกกกกก  :katai1:

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.6 Lack of Composure (22/01/2560)
«ตอบ #11 เมื่อ22-01-2017 15:58:35 »


6_
Lack of Composure



   
          พื้นไม้.. กับหัวตะปูที่โผล่พ้นขึ้นมา

          ‘นายรู้หรือเปล่า ว่าทำไมพวกสวะนั่นถึงได้ไปที่นั่นแล้วทำแบบนั้น’

          ‘.. ไม่’

          ผมตอบ รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในลำคอตีบตัน หัวใจเต้นกระตุกขัดกับทั้งร่างกายที่ชาหนึบ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าการปล่อยให้คนตรงหน้าเข้าถึงตัวถือเป็นจุดจบของชีวิต แต่ผมจะทำอะไรได้

          ในเมื่อเขากำลังยืนอยู่ที่นี่ ในห้องของผม ห่างจากตัวผมไปไม่ถึงหนึ่งเอื้อมมือด้วยซ้ำ

          ผู้ชายคนนั้น ..

          ดวงตาสีเขียวหรี่เล็ก ใบหน้าถมึงทึง กลิ่นบุหรี่ให้ความรู้สึกหยาบขัด แจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้ม กับแผลเป็นใต้ตาข้างขวา

          ผมจำได้ดี มันติดค้างอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ

          ที่บาร์นั่น เดฟและพรรคพวกของเขา เสียงหมัด เลือด การข่มขู่ ดวงตาที่จ้องมองมายามผมก้าวออกจากบาร์

          เขาคือผู้ชายคนนั้น…

          ‘นายไม่รู้เหรอ?’ น้ำเสียงนั้นเย้ยหยัน ฟังดูเคลือบแคลง ‘นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย น่าเสียดาย น่าเสียดาย..’
         
          เขาพร่ำพูดคำนั้นออกมานับไม่ถ้วน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะพุ่งเข้าหาผม พร้อมกับฝ่ามือหนักที่ซัดกระทบเข้าใบหน้า

          เสียงแหลมสูงดังขึ้นในโสตประสาต ผมถูกตรึงแน่นอยู่ในสภาวะที่ไม่เข้าใจ ความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผมมองไม่เห็นอะไรสักอย่างเพราะเปลือกตาที่ปิดแน่น

          ภาพของผู้ชายที่โดนซ้อมคนนั้นลอยค้างอยู่ในหัว ผมกดร่างของตัวเองลงกับพื้นไม้เย็นเยียบ ฟันขบกันแน่นทุกครั้งที่ร่างกายถูกปะทะด้วยอะไรสักอย่าง

          ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนคอเสื้อผมถูกกระชากขึ้นแรงๆ เสียงหอบหายใจสะท้อนอยู่เหนือหัว

          ‘อย่าโกรธกันเลย สำหรับเรื่องนี้.. นายน่าจะโทษพรรคพวกของนาย เพราะพวกมันเป็นไอ้สารเลวที่ทำให้นายต้องเจอแบบนี้’

          ปลายนิ้วบีบเข้าแรงๆ ที่สันกราม เขาพลิกใบหน้าผมไปมา เรียกความหน่วงแสบให้วิ่งพล่านขึ้นสมอง ในขณะที่ผมเอง ยังไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมองด้วยซ้ำ

 

          พื้นไม้สีเข้ม.. กับตะปูที่โผล่พ้นขึ้นมา

          ผมเริ่มเปิดเปลือกตาขึ้นจับจ้องมัน หลังจากเสียงฝ่าเท้าดังขึ้น พาตัวตนน่ากลัวนั่นให้หายไปในความมืด

          ผมไม่แน่ใจนัก ว่าตอนนี้สภาพของตัวเองเลวร้ายได้ถึงขั้นไหน เสียงหวีดแหลมในหูค่อยๆ บางเบาจนกลายเป็นความเงียบงัน ผมไอโขลกออกมาแรงๆ สองสามครั้ง หยดเลือดหยดลงให้เห็นบนพื้นที่ผมเหยียดร่างนอนอยู่

          ผมกะพริบตา จ้องมองสีแดงเป็นวง กับลมที่ตีเข้ามาทางประตูที่เปิดกว้าง เสียงขบฟันดังขึ้นอีกครั้ง ผมค่อยๆ ขยับร่างกายที่บอบช้ำของตัวเอง ปลายคางแตะเข้าเบาๆ เหนือหัวเข่า

          และน้ำอุ่นร้อนที่ไหลออกจากดวงตา

 



 

          “ฟลอยด์” เสียงเรียกนั้นฟังดูตกใจ ผมไม่ได้หันไปมอง จนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวยาวๆ เข้ามาหา ปลายนิ้วแตะเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนที่ผมจะถูกช้อนให้ลุกนั่ง

          โชคดี.. ที่เขากลับมาในตอนที่น้ำตาพวกนั้นแห้งเหือดไปหมดแล้ว

          ผมมองคนตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า บางที ผมน่าจะเชื่อคำเตือนในหัวของตัวเองตั้งแต่แรก

          การเอาตัวเองไปยุ่งกับคนแบบนี้.. มองยังไงก็มีแต่จะเสียเท่านั้น

          เพราะว่ามันอันตรายมากเกินไป

          “ใครทำ..” เขาถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดกดต่ำในลำคอ กับดวงตาจริงจังไร้วี่แววการล้อเล่นเหมือนเคย

          แต่ใครทำแล้วยังไง มันจะช่วยอะไรขึ้นมาได้ ในเมื่อผมเองก็โดนซ้อมไปแล้ว

          ไม่ใช่เหรอ?

          ยิ่งผมไม่ตอบ เขาก็ยิ่งแสดงท่าทางหัวเสียออกมามากขึ้น สายตาคมดุกวาดมองรอบๆ ห้องราวกับจะหาอะไรบางอย่าง ท่าทางขัดใจเกิดขึ้นหลังจากนั้น กับสัมผัสที่แตะพยุงเข้าที่หลัง

          “ลุกไหวหรือเปล่า เราต้องไปโรงพยาบาล”

          “..ไหว” ผมตอบ ริมฝีปากล่างถูกขบกัด ขณะที่ผมฝืนจะลุกขึ้นยืน  หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะความหน่วงช้ำตรงช่องท้องไล่ลามไปทั่ว

          “เวรเอ้ย!” เดฟสบถออกมาแรงๆ ฝ่ามืออุ่นที่จับอยู่ตรงไหล่เลื่อนเข้าสอดตรงข้อพับขา เขาช้อนร่างของผมขึ้นง่ายๆ จังหวะการก้าวเดินดูเร่งรีบกว่าที่ควรจะเป็น ปกเสื้อหนังเสียดสีเบาๆ กับฝ่ามือ เดฟอยู่ใกล้จนน่าตกใจ

          ผมมองเห็นใบหน้าเคร่งขรึม คิ้วเข้มขมวดนิ่ง กับสันกรามที่บดเข้าหากัน

          ก่อนที่ผมจะถูกวางนิ่งๆ บนเบาะฮาร์เลย์คันเดิม ลมเย็นๆ ตีกระแทกกับผิวเนื้อเมื่อรถเริ่มพุ่งไปตามถนน

          ผมเม้มปาก มองลาดไหล่กว้างที่ให้ความรู้สึกหลากหลายเวลามอง ดวงตาเกลือกขึ้นมองท้องฟ้าสีดำสนิทกับหัวใจที่หน่วงหนืดจนน่ากลัว


          เพราะหนึ่งในความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ กับผู้ชายตรงหน้า

          .. คือความเข็ดขยาด

 


 

          “ขอบคุณ จูเลีย” เดฟพูดขึ้น ฝ่ามือแตะเข้าที่ต้นแขนของผู้หญิงในชุดแพทย์ ดวงตาเคร่งขรึมตวัดมองผม เสี้ยววินาทีหนึ่ง ผมสัมผัสได้ถึงการติเตียนที่ถูกส่งมา ก่อนที่มันจะเลือนหายไปกับอากาศ

          ศอกของผมถูกดันเบาๆ เราไม่พูดอะไรกันตลอดทางที่ออกจากโรงพยาบาลเล็กๆ นี่ ท้องฟ้าข้างนอกอึมครึม กับลมเย็นที่หวีดแทรกผ่านเสื้อยืดบางๆ เข้ามาสร้างความหนาวเย็นให้ร่างกาย

          เป็นเวลาดึกมากแล้ว

          ความเงียบยังดำเนินต่อไปอีกหลายนาทีในความรู้สึก เดฟมีสีหน้าครุ่นคิด ดวงตาจ้องตรงไปที่ฮาร์เลย์คันใหญ่ ในขณะที่ผมเองได้แต่ยืนหุบปากเงียบอยู่ข้างๆ

          “มีกี่คน” อยู่ดีๆ เขาก็ถามขึ้น ผมละสายตาจากปลายเท้าตัวเอง จ้องมองเสี้ยวหน้าเดฟที่ขับเด่นอยู่ท่ามกลางความมืด “มันมากันกี่คน”

          “หนึ่ง” ผมตอบสั้นๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถามทำไม มันมีประโยชน์อะไรเหรอในตอนนี้ กับการรับรู้ข้อมูลพวกนั้น

          “คนไหน”

          “แล้วมันสำคัญยังไง” ผมถามกลับแทบจะในทันที ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง เดฟชะงักไป

          “ช่วยพาผมกลับไปส่งที่ห้องที”

          “สรุปก็คือนายจะไม่บอกจริงๆ” ดวงตาสีเข้มหม่นวูบ และท่าทางแบบนั้นทำให้ผมตัดสินใจหุบปากตัวเองให้สนิท มองตามเดฟที่ผละไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่พลางขยับขึ้นซ้อนท้าย

          มึนตึง

          ช่องว่างระหว่างเราในตอนนี้

          .. ให้ความรู้สึกอึดอัดกว่าที่เคยเป็น

 




          ประตูห้องอยู่ตรงหน้า ถุงพลาสติกที่ข้างในเต็มไปด้วยขนมปังและน้ำดื่มตกนิ่งสนิทอยู่บนพื้น อาจจะเป็นเดฟที่โยนมันทิ้งไว้ตอนที่กลับมาเห็นประตูเปิดอยู่ กับผมที่นอนหมดสภาพอยู่ข้างใน

          เดฟที่หลุดท่าทางตกใจออกมาในตอนนั้น ตอนนี้ยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ด้านหลังของผม

          เขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง

          “ขอบคุณ” ผมหันไปพูด มองเดฟที่พยักหน้าเบาๆ ราวกับไม่เต็มใจ

          “เดฟ..” ผมหันหน้ากลับมา ดวงตาจับจ้องไปที่ลูกบิดประตู ปลายนิ้วตรงไปแตะไล้รับสัมผัสเย็นเยียบ สมองกลั่นกรองคำขอที่ติดค้างอยู่ในใจ “หลังจากนี้.. อย่าดึงผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคุณเลย”

          “…”

          “ผมขอร้อง” ในตอนที่พูดออกไป ผมไม่รู้เลยว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร มีเพียงเสียงลมกับแมลงที่ดังขึ้นขัดความเงียบระหว่างเราในตอนนี้เท่านั้นที่ผมรับรู้

          เดฟเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง ผมหมายถึง ดีสำหรับผม

          แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการมาเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่ ผมคาดหวังชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมดามากกว่านี้

          ชีวิตที่ห่างไกลจากเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมด.. และนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันจะได้ถ้ายังสุงสิงอยู่รอบตัวผู้ชายคนนี้

          ระยะเวลาถูกยืดออกให้ความเงียบได้ทำงานนานกว่าเดิม จนผมแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ไม่มีคำถาม ไม่มีคำพูดหรือการบอกลาอะไรอีกต่อไป ลูกบิดในมือถึงถูกหมุนให้เปิดออก

          แสงจากด้านในสว่างวาบเข้ามาในตา ก่อนที่มันจะดับลงในเสี้ยววินาที พร้อมกับเสียงประตูกระแทกปิด มือผมแตะค้างอยู่ที่เดิม หัวใจเต้นรัวเร็วขัดกับการนิ่งค้างที่ร่างกายแสดงออกมา เดฟกดฝ่ามือตัวเองเข้ากับบานประตู อุณหภูมิอุ่นร้อนจากอีกร่างแนบเข้าที่แผ่นหลัง การคุกคามถูกถ่ายทอดออกมาตรงๆ อย่างตั้งใจ

          และเสียงกระซิบทุ้มต่ำชิดใบหู

          “นายเสียสติไปแล้วเหรอ”

          !!

          สิ่งเดียวที่ผมมั่นใจในช่วงเวลานี้ คือลมหายใจของผมถูกริบเอาไป ความเครียดเกร็งพุ่งวูบขึ้นสมอง ขณะที่เดฟพูดประโยคถัดไปออกมาช้าๆ

          “คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ แล้วรอให้มันยกพวกมารุมอีกรอบหรือไง”

          “คุณเป็นคนทำให้ผมต้องเจอกับเหตุการณ์นี้..” ผมกลั้นใจตอบ ไม่ว่าจะเพราะอะไร แต่เป็นผมเองที่ไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเองแม้แต่องศาเดียว

          เพราะเดฟในเวลานี้ คือเดฟที่ผมไม่รู้จัก

          ลมหายใจอุ่นร้อนลอยคลอเคลียอยู่หลังใบหู ฝ่ามือของเดฟเด่นชัดอยู่ด้านหน้า

          “งั้นเหรอ” เขาพึมพำ ไม่เว้นระยะให้ผมได้ตอบโต้หรือทำอะไรมากไปกว่าที่ทำอยู่ ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ รูดลงจากบานประตู คว้าจับเข้าที่ข้อมือของผมแล้วออกแรงกระตุกให้เดินตาม

          “เดฟ” ผมเรียก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจจะฟังผมอีกต่อไป การก้าวเดินยาวๆ นั่นทำให้ผมที่ถูกลากอยู่แทบจะวิ่งเพื่อให้ตามทันหรือไม่ล้มลงไปนั่งโง่อยู่บนพื้น

          “เดฟ!” ผมเอื้อมมืออีกข้างไปจับข้อมืออีกฝ่าย ก่อนจะออกแรงบีบ น้ำเสียงถูกกดต่ำอย่างตั้งใจ และเหมือนมันจะได้ผลเมื่อเดฟหยุดเดินเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ปล่อยมือจากผม

          เขาดูหัวเสีย ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้ บรรยากาศคุกรุ่น เหมือนกับว่าเขาจะหันมาต่อยหรือฆ่าผมได้ถ้าผมพูดอะไรไม่เข้าหูออกไปตอนนี้

          “ผมจะไม่ไปกับคุณ” แต่คำพูดนั้นถูกไตร่ตรองอย่างดีแล้ว ผมลอบกลืนน้ำลาย มองสีหน้านิ่งเรียบตรงหน้า เขาพยักหน้าเบาๆ สองสามครั้งราวกับรับรู้สิ่งที่ผมพูด ก่อนจะออกแรงดึงผมให้เดินต่ออีกครั้ง

          ให้ตายเถอะ..

          “เดฟ! ผมบอกว่าผมจะไม่ไปกับคุณ”

          “แต่นายจะไม่อยู่ที่นี่!” เขาหลุดตะคอก แววตาฉายประกายดุดัน ฝ่ามือแข็งแรงผลักผมลงนั่งบนเบาะหนัง “แล้วก็จะไม่ไปที่ไหนอื่นด้วย”

          “…” ผมมองคนตรงหน้าด้วยแววตาไม่พอใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเลยสักนิด การออกคำสั่งพวกนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนถูกโยนกลับไปที่เนวาด้าได้ในเสี้ยววินาทีที่ฟัง ผมกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะหลุบตาลงมองข้อมือตัวเองที่ขึ้นรอยแดงจากการบีบรัด

          เขากำลังออกคำสั่ง กับผม

          และผมควรจะทำอะไรได้สักอย่าง นอกจากการยอมรับและทำตามมันง่ายๆ
                   
          “ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ผมกระซิบ “ผมจะไม่ไปกับคุณเหมือนกัน แล้วผมก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”

          นั่นอาจจะเป็นประโยครนหาที่ตายที่สุดในชีวิตผมตอนนี้ เดฟชะงักไปในตอนที่ได้ยิน สีหน้าหงุดหงิดถูกปรับให้หายไปช้าๆ ท่ามกลางความเงียบเฮ็งซวยที่เหมือนจะบีบร่างผมให้แหลกเป็นชิ้น

          ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เดฟถึงได้ดูใจเย็นลงจากคำพูดนั้นของผม

          “ฉันขอโทษ” เขากล่าวออกมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “อย่างน้อยคืนนี้ก็ไปด้วยกันเถอะ เพราะฉันไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกมันย้อนกลับมา

          ผมกะพริบตา อะไรบางอย่างบิดเป็นเกลียวอยู่ในช่องท้อง นั่งฟังคำขอเรียบง่ายที่ถูกปล่อยออกมา

          “แล้วเราจะหาห้องที่ดีกว่าให้นายใหม่ หรือจะกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้งก็ได้ ตอนที่มั่นใจแล้วว่ามันปลอดภัย” เขาขยับร่างเข้ามาใกล้ ดวงตาหลุบต่ำลงสบกับผมนิ่ง

          “นะ?”

          ผมเม้มปาก สมองถูกใช้งานอย่างหนักจากการไตร่ตรองสถานการณ์กับสิ่งที่ควรจะทำ มันอาจจะกินเวลานานมากเกินไป ฝ่ามืออุ่นถึงได้แตะเข้าเบาๆ ที่ลาดไหล่ของผมพร้อมกับสายตาจริงจังที่เขามองมา

          “พวกมันฆ่านายได้.. และฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้น” ประโยคนั้นสร้างหลายๆ ความรู้สึกในเวลาเดียวกัน ความตกใจแล่นพล่านทั้งๆ ที่ใบหน้าสงบนิ่งในประโยคแรก กับประโยคหลัง ที่ชวนให้รู้สึกมวนช่องท้องแบบประหลาด

          ผมสบตาสีเข้มคู่ตรงหน้า คำตอบถูกตัดสินไว้ในใจแล้ว

          แต่มีหนึ่งคำถามที่ผมคิดว่าอาจจะถึงเวลาต้องรับรู้ให้ได้สักที..

          คำถามที่ผมไม่คิดมาก่อนเลย ว่าจะเปลี่ยนชีวิตของผมหลังจากนี้ไปตลอดกาล

 

          “คุณเป็นใครกันแน่ จริงๆ แล้ว”

 

 
 

          ‘อยู่ที่นี่ พยายามอย่าออกไปไหน เดี๋ยวฉันกลับมา เราค่อยคุยกัน’

          ผมยกผ้าขนหนูสีตุ่นขึ้นเช็ดเส้นผมที่เปียกชุ่ม ลมหายใจถูกระบายออกหนักๆ นับครั้งไม่ถ้วน แทซนอนเบียดตัวอยู่ข้างๆ จมูกสีดำสนิทขยับไปมาเบาๆ เมื่อผมขยับตัว

          ความคิดฟุ้งซ่านตีกันมั่วไปหมดในสมอง คำถาม ความสงสัยปั่นความคิดของผมซ้ำไปซ้ำมา แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งนิ่งๆ อยู่กับที่ แล้วบังคับไม่ให้ตัวเองสติแตกก่อนที่เดฟจะกลับมา

          เสียงกรอบแกรบจากหน้าประตูเรียกผมให้หันไปมอง แทซที่นอนนิ่งอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อผมขยับตัวลุกขึ้นยืน เสียงเคาะดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่ผมจะพาร่างตัวเองไปยืนอยู่หน้าบานประตู

          “ใคร” ผมถาม อย่างน้อยถ้าเป็นเดฟ เขาก็คงไม่มีความจำเป็นจะต้องเคาะเพื่อเข้าบ้านของตัวเอง

          เสียงด้านนอกเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะมีเสียงตอบกลับมา “เดฟให้ผมเอาอาหารมาให้”

          ผมกัดปาก คำตอบที่ได้ยินสร้างความชั่งใจให้เกิดขึ้น ผมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะถูกส่งมาโดยเดฟจริงๆ หรือเปล่า แต่ความสงสัยนั้นก็เกิดขึ้นได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที เพราะแทซที่ควรจะนอนอยู่ตรงโซฟาลุกขึ้นมาใช้ปลายเท้าตะกุยตะกายบานประตูเบาๆ พร้อมส่งเสียงร้อง

          โอเค อย่างน้อยผมก็น่าจะเชื่อหมาได้ ใช่ไหม

          “แทซ?” น้ำเสียงฉงนดังลอดเข้ามาเบาๆ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจปลดล็อคประตูแล้วเปิดออก

          ร่างของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏให้เห็นในสายตา เสื้อยืดสีขาวพับแขนกับกางเกงยีนส์สีดำสนิท ผิวขาวซีดกับใบหน้าติดหยิ่งสะดุดตา ถึงเขาจะไม่ได้ดูมีร่างกายใหญ่โตเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเหมือนพวกของเดฟเมื่อวันก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้ามีรังสีบางอย่างแผ่ออกจากตัว ที่ให้ความรู้สึกว่าไม่ควรมีเรื่องด้วย

          อีกฝ่ายมองลอดเข้ามาในบ้าน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับชูซองกระดาษสีน้ำตาลใหญ่ๆ ที่มีโลโก้บุชคอร์นเนอร์ขึ้นโชว์

          “เดฟให้ซื้ออะไรเข้ามาให้กิน เขาติดธุระอยู่ยังมาไม่ได้ แล้วก็ให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อน”

          “.. อ่า ขอบคุณ” ผมกะพริบตา รู้สึกเหมือนทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะเฉยๆ หันซ้ายหันขวาอย่างคนไม่รู้จะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหน พลางขยับตัวหลบแทซที่เอาแต่กระโดดไปมาอยู่รอบๆ ร่างโปร่ง

          “อืม กินได้เลยนะ บุชคอร์นเนอร์อาหารอร่อยที่สุดในเมืองนี่แล้วล่ะ อยากได้อะไรอีกก็บอกได้เลยนะ” อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ฝ่ามือเรียวดันประตูให้ปิดลงอีกครั้งแล้วเดินนำไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา “บุหรี่ไหม?”

          “ไม่ ขอบคุณ” อีกฝ่ายเอียงคอเล็กน้อย มือที่หยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงชะงักกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะวางมันลงข้างตัว

          “ผมชื่อเรย์ คุณชื่อ.. ฟลอยด์ ใช่หรือเปล่า” เขาถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ปลายคิ้วขมวดเข้าหากันเบาๆ ตรงท้ายประโยค

          “ใช่” ผมพยักหน้า ถึงจะเคยเจอผู้คนมาเยอะ แต่คนที่มีบุคลิกท่าทางแบบเรย์คนนี้ ผมไม่เคยเจอหรือได้พูดคุยด้วยมาก่อน ผมเองก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน

          “โชคดีนะ ที่เจอเขา ผมหมายถึงเดฟน่ะ.. เขาไม่ค่อยช่วยคนนอกง่ายๆ” รอยยิ้มประหลาด ผมมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความนิ่งสงบ ถึงแม้ข้างในจะกระตุกลั่นด้วยความสงสัย เพราะรอยยิ้มที่มองเห็น มันเหมือนกับว่าเรย์รู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้
         
          ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ขยับมือไปหยิบถุงกระดาษใหญ่ๆ นั่นมาเปิดดู กลิ่นหอมกับไออุ่นที่ปะทะปลายนิ้วบ่งบอกให้รู้ว่ามันเพิ่งถูกทำสดๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อน

          “ผมจำได้” อยู่ดีๆ เรย์ก็พูดขึ้นมา ผมเงยหน้าจากแฮมเบอร์เกอร์ในมือขึ้นสบตาอีกฝ่ายที่มองมานิ่งราวกับกำลังใช้ความคิด “คุณคือคนที่เคยนั่งอยู่ร้านบุชคอร์นเนอร์ตอนนั้นนี่นะ”

          “สักอาทิตย์สองอาทิตย์ได้ล่ะมั้ง ราวๆ นี้ ใช่คุณไหมล่ะ”

          ผมส่ายหน้า นึกไม่ออกเลยจริงๆ ตอนที่ผมไปบุชคอร์นเนอร์ ถ้าไม่ใช่ตอนที่ไปสมัครงาน ก็อาจจะเป็นวันแรกที่มาที่นี่ เรย์ยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยริมฝีปาก พลางลูบมันไปมาขณะทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

          “วันนั้น ผมนั่งอยู่กับเดฟ ไม่น่าจะไกลจากกันเท่าไหร่” โอเค นั่นฟังดูให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

          ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อาจจะใช่.. มันเลือนราง ติดอยู่ที่ปลายสายตา แต่เรย์ก็อาจจะเป็นผู้ชายผิวขาวคนนั้น
         
          “ผมเองก็เกือบจะไม่ได้ทันเห็นคุณแล้ววันนั้น..” เรย์พูดพลางขยับยิ้มเป็นมิตร มันดูตรงกันข้ามกับดวงตาที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกเหยียดอยู่ตลอดเวลา ผมมองว่าตาเขาสวยดี มันขับให้ดูมีอำนาจอะไรสักอย่างโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

          “แล้วทำไมถึงได้เห็นได้” ผมถามกลับไป ว่ากันตามตรงก็คือแค่ถามกลับไปตามบทสนทนา ผมไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องพวกนี้มากขนาดนั้นอยู่แล้ว เรย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ เขาเท้าแก้มตัวเองเข้ากับหลังมือ พลางจ้องผมด้วยสายตาแปลกประหลาด

 
         
          “วันนั้น ผมแค่มองตามสายตาของเดฟไปก็เท่านั้น”




____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
«ตอบ #12 เมื่อ22-01-2017 19:26:42 »


7_
Lean On Me



   
       “ดูเหมือนว่าเขากลับมาแล้ว” เรย์วางแก้วน้ำที่ถืออยู่ไว้บนโต๊ะ ดวงตาเบือนออกจากโทรทัศน์เครื่องเก่า เราใช้เวลาร่วมกันบนโซฟานี้กินเวลาหลายชั่วโมงแล้ว และตอนนี้ก็ย่างเข้าตีสามแล้วด้วย

       “ผมต้องไปแล้วล่ะ” เขาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงของเดฟก้าวเข้ามาในบ้าน ฝ่ามือแข็งแรงมีร่องรอยฟกช้ำและคราบเลือด ผมหยุดสายตาที่มัน ก่อนจะตัดสินใจเงียบๆ กับตัวเองได้ว่าไม่ควรถามอะไรออกไปในตอนนี้

       “เดฟ” เรย์ก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าร่างสูง เดฟพยักหน้าเบาๆ เขาเหลือบตามองผม ก่อนจะขยับริมฝีปากพูดอะไรสักอย่างออกมาด้วยเสียงที่เบาจนผมไม่สามารถได้ยินได้

       เรย์ยกฝ่ามือเรียวขึ้นจับต้นคอตัวเอง ปลายนิ้วลูบผิวเนื้อไปมาช้าๆ เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมา “ผมไม่รู้.. ทำไมไม่ลองไปถามเขาเองล่ะ.. เพราะว่าเขาไม่เคยบอกอะไรผมหรอก”

       เพราะว่าตลอดหลายชั่วโมงที่อยู่ร่วมกันมา ผมไม่เคยสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดเลย เรย์ให้ความรู้สึกและคำเตือนทำนองว่า ผมไม่ควรไปจ้องมองเขานานๆ ไม่ควรมองอย่างประเมิน หรืออะไรประมาณนั้น เวลาที่นั่งอยู่ข้างกันบนโซฟา ผมถึงได้แต่นั่งนิ่งๆ แล้วเพ่งสมาธิไปกับรายการหนังที่ฉายอยู่บนหน้าจอทีวี รับรู้แค่การขยับตัวและเสียงหัวเราะเป็นระยะที่ดังมาจากอีกฝ่าย

       แต่พอมาถึงตอนนี้ ตอนที่เรย์กำลังคุยกับเดฟ เขาอยู่ในระยะที่ผมสามารถมองสำรวจได้อย่างเต็มที่ ผมเดาไม่ออกเลยว่ารอยถลอกที่เกิดขึ้นเกือบจะทั้งตัว โดยเฉพาะตรงมือและแขนของอีกฝ่ายมาจากอะไร

       “ยังไงก็ขอบใจมาก”

       “ไม่เลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น” คราวนี้เรย์เผยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก เขาเหลือบตามองผม ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผมกำลังจ้องตัวเองอยู่

       “เขารอนายอยู่ข้างนอก” เดฟพยักหน้า ในตอนนี้ เดฟดูแตกต่างไปจากที่ผมเคยเห็น น้ำเสียงที่นิ่งสงบเหมือนเดิม ในตอนนี้ให้ความรู้สึกว่ามันทอดอ่อนกว่าเคย

       ผมเห็นเรย์ตวัดสายตามองไปนอกบ้าน ความอึมครึมเหนื่อยล้าที่แผ่ออกจากร่างกายนี้ก็แตกต่างกับมาดหยิ่งๆ ที่ผมเห็นในตอนแรกเหมือนกัน

       คนพวกนี้.. ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลยจริงๆ

       ทุกอย่างดูซับซ้อน เกินกว่าที่คนอย่างผมจะทำความเข้าใจได้

       แล้วเรย์ก็จากไป เสียงฮาร์เลย์เคลื่อนตัวด้วยความเร็วดังลั่นมาจากข้างนอก อาจจะมีใครสักคนมารับเขากลับไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวอะไรกับผม

       “กินอะไรแล้วใช่ไหม” เดฟถามขึ้นมานิ่งๆ เดินผ่านร่างของผมไปทางครัว

       “อืม” ผมส่งเสียงครางตอบในลำคอ รอจนอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในระยะการมองเห็น “ขอบคุณนะ”

       เดฟไม่ตอบอะไรกลับมา เขาแค่ทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมดุจับจ้องผมไม่วางตา ขณะที่ฝ่ามือยกขวดน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก

       แล้วรอยเลือดกับความช้ำบนผิวเนื้อนั่นก็กลับเข้าสู่สายตาของผมอีกครั้ง

       “.. เพราะอะไร เดฟ” ผมเกริ่น หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนที่มันจะถูกบังคับให้คลายออกเมื่อผมรู้สึกตัว “เพราะอะไร คุณถึงต้องช่วยเหลือผมขนาดนี้”

       ผมกำลังถาม อย่างจริงจัง

       ที่ผ่านมา คำตอบที่ได้รับไม่เคยตอบคำถามข้อนี้ได้เลยสักครั้ง

       ‘นายดูไม่เหมือนคนที่จะสามารถรอดชีวิตจากที่นี่ได้เกินสามวัน’

       คำพูดนั้นของเขา ผมจำได้ดี.. แต่เพราะแค่นั้นจริงๆ เหรอ ตลกน่ะ เดฟดูไม่ใช่คนที่จะแคร์ด้วยซ้ำถ้าจะมีคนแปลกหน้าสักคนมาตายที่นี่ เขาดูไม่ใช่คนที่จะแคร์มนุษย์คนอื่นมากขนาดนั้น

       ‘เดฟน่ะ.. เขาไม่ค่อยช่วยคนนอกง่ายๆ’

       โดยเฉพาะคนนอก อย่างผม

       “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามขึ้นมา” เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ เขาดูไม่คิดอะไรจริงจังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินด้วยซ้ำ ผิดกับผมที่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง

       เพราะว่าหลายๆ อย่างที่ผ่านมาสอนให้ผมรู้ว่าไม่ควรปล่อยผ่านอีกแล้ว

       “แค่ตอบมา” ผมรู้ดีว่าการกดเสียงหรือทำท่าทางข่มขู่ไม่ช่วยอะไร สิ่งเดียวที่ผมกระทำได้ในตอนนี้คือทำให้ทุกอย่างดูจริงจังที่สุด ซึ่งพอผมทำแบบนั้นออกไป เดฟก็ค่อยๆ หุบยิ้มช้าๆ จนกลายเป็นใบหน้าเรียบเฉย

       ดวงตาหยอกล้อในตอนแรก ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมไม่เข้าใจ

       เพราะว่ามันลึกเกินไป..

       เดฟทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ชะงักแล้วเงียบไป ท่าทางไม่แน่ใจ เหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูด ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผมที่รอคอยคำตอบ

       “แล้วเพราะอะไร นายถึงได้อยากปฏิเสธการช่วยเหลือจากฉันขนาดนั้น” เขาเลือกที่จะถามกลับ ขวดน้ำถูกวางนิ่งลงบนโต๊ะ

       “ผมไม่เชื่อใจคุณ” แล้วผมเองก็พูดออกไปตรงๆ ด้วยเช่นกันในครั้งนี้

       ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลีกหนีการพูดคุยกันอีกต่อไปแล้ว บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่เราจะทำทุกอย่างให้ชัดเจน

       เพราะคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม มันติดค้างอยู่ในสมองของผมจนน่ารำคาญ

       เดฟขยับริมฝีปาก รอยยิ้มถูกเผยให้เห็น ทั้งๆ ที่ดวงตาเขานิ่งจนน่ากลัว “สำหรับฉัน” เขาเอ่ย ค่อยๆ โน้มตัวมาข้างหน้า ก่อนจะเท้าท่อนแขนทั้งสองข้างกับหน้าขา

       เป็นอีกครั้ง ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างไม่รู้จักคนตรงหน้าเอาเสียเลยจริงๆ

       “สักวัน ฉันจะทำให้นายรู้สึกเหมือนกับว่านายสามารถพึ่งพาฉันได้..” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาสีเข้มจ้องตรงมาไม่หลบ เขาตรึงผมไว้ด้วยสายตากับความจริงจังที่ถูกส่งต่อมา

       “ไม่ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาแค่ไหน ฉันจะทำให้นายรู้สึกอยากเรียกหาฉันเป็นคนแรก และฉันจะอยู่ที่นั่น”

       “…”

       “นั่นเป็นความรู้สึกที่ฉันมีต่อนาย” เขาพึมพำเสียงเบา ก่อนจะยืดกายขึ้นเต็มความสูง ผิดกับผมที่นั่งเงียบอย่างคนทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออกอยู่กับที่

       ประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไปจากห้องนี้

       ทั้งๆ ที่ก็เบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

       แต่กลับวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหู พร้อมกับหัวใจที่บังคับให้สงบไม่ได้เลย

 

       “ต่อให้วันนี้ฉันจะเป็นคนที่นายไม่เชื่อใจที่สุดก็ตาม”




 

       “นายประจำอยู่ตรงนี้ จะมีจานกับพวกแก้วขนมาให้ล้างเรื่อยๆ ทำให้ทัน แล้วก็ทำให้สะอาดด้วยนะ ส่วนอย่างอื่นก็เหมือนเดิม ถ้ามีคนเรียกให้ไปช่วยก็ล้างมือแล้วรีบไป ค่าแรงวันนี้จะให้ตอนเลิกงานเหมือนเดิม” ผู้หญิงร่างอวบชี้มือสั่งด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง โรสทำงานที่นี่มาตั้งแต่สมัยยังเป็นสาว ผมเองไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่นัก ก็แค่บังเอิญจำได้ตอนที่เธอพูดไปเรื่อย

       มีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนในคลับแห่งนี้ แต่สำหรับโซนที่ผมประจำ มีเพียงพนักงานแค่สามสี่คนที่ยืนอยู่ กับพ่อครัวที่ตะโกนโหวกเหวกมาจากห้องข้างๆ อีกสองคน

       “โจ! ถ้าแกยังขาดงานไม่บอกอยู่อีกฉันจะไล่แกออกแล้วนะ!” เสียงโรสตะโกนขึ้นเรียกให้ผมหันหน้าไปมอง ใบหน้าอวบอูมแสดงสีหน้าไม่พอใจพร้อมการขึ้นสีแดงจางๆ ตามแก้มและคาง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังผู้ชายตัวสูงผมสีบลอนด์สว่างจนเกือบจะเป็นขาวที่ฉีกยิ้มทะเล้น เขาพาร่างตัวเองเดินผ่านโรสมาหยุดยืนตรงอ่างล้างจานไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่

       “อย่าโมโหไปเลยน่าโรส ผมแค่บังเอิญป่วยกะทันหันก็เท่านั้นเอง” เขายักไหล่ ฝ่ามือเริ่มเปิดน้ำแล้วหยิบจานมาล้างไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

       “ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะไล่แกออกแน่ๆ! แล้วก็อย่าให้จับได้ว่าแอบขโมยอะไรที่ร้านกลับไปอีก เข้าใจไหม!” โรสชี้หน้า น้ำเสียงกดต่ำอย่างข่มขู่ ก่อนค่อยๆ เคลื่อนย้ายร่างอวบของเธอขึ้นบันไดกลับขึ้นไปในร้าน

       ผมเหลือบมองผู้ชายที่ชื่อว่าโจ เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นใครสักคนที่สามารถพบเจอได้แถวๆ เนวาด้าที่ผมจากมา อาจจะเพราะไอ้ท่าทางแล้วก็บุคลิกเหมือนคนไม่เอาอะไรในชีวิตเลยนั่นก็ได้

       “มองอะไร” อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น ทั้งๆ ที่ดวงตายังจ้องมองแก้วที่ตัวเองขัดถูอยู่ ผมกะพริบตา หันมองรอบตัว ก่อนจะมั่นใจว่าประโยคคำถามเมื่อกี้มันถูกส่งตรงมาที่ผม

       ท่าทางดุไม่ใช่เล่น

       “ขอโทษ เปล่า ไม่มีอะไร” ผมรีบขอโทษ พลางก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อ ตั้งใจจะอยู่เงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคุย แต่โจก็เป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมาเอง

       “นายเด็กใหม่เหรอ”

       “.. ใช่”

       “งานที่นี่น่าเบื่อ คิดว่างั้นไหม”

       ไม่เลย.. นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด ไม่น่าเบื่อ และผมสามารถทำมันได้เรื่อยๆ แต่การตอบขัดบทไปแบบนั้นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่นัก

       “คงงั้น” รอยยิ้มจางๆ ถูกจุดตรงมุมปากอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยิน ดูเหมือนเขาจะพอใจที่มีคนคิดเหมือนตัวเองหรืออะไรทำนองนั้น

       “ชื่ออะไร นายน่ะ” เขาตวัดดวงตาสีฟ้ามาทางผม

       “ฟลอยด์”

       “อืม.. ไม่เคยมีคนรู้จักชื่อนี้มาก่อน ยังไงก็ตาม ฉันชื่อโจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับดวงตาที่กลอกขึ้นข้างบน “ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วย เพิ่งย้ายเข้าเมืองมาใหม่ด้วยหรือเปล่า”

       เริ่มจะเหมือนถูกซักกลายๆ ซะแล้วสินะ..

       “ประมาณนั้น” ผมตอบสั้นๆ ได้ยินเสียงแก้วกระทบกันกับฟองจากน้ำยาล้างจานรอบๆ ฝ่ามือ คิดว่าถ้ายังต้องล้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ มือผมคงโดนกัดจนแสบ

       แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากก้มหน้าก้มตาทำมันต่อไปเท่านั้น

       “มาจากแถวไหนล่ะ” และแล้วคำถามที่ผมไม่อยากตอบที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ผมหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆ ริมฝีปากขยับยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะหุบมันลงในที่สุด

       “ทำไม นายไม่ชอบที่ที่จากมาหรือไง” โจถามห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนขบขัน

       “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ไม่ชอบเหรอ.. มันยิ่งกว่าคำนั้นเยอะ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องมานั่งอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นฟังอยู่ดี

       “ฉันเองก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน ว่าไงดีล่ะ ย้ายไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง ฉันเคยไปแถวๆ โอเรกอน ทำร้านขายของห่วยๆ ใกล้พัง ไม่ค่อยมีไรดีเท่าไหร่ แล้วก็อืม..” เขาทำหน้าครุ่นคิด ปากยังพูดไปเรื่อยๆ ขณะที่มือยังง่วนอยู่กับการล้างแก้วเบียร์

       “แล้วก็ไปแถวทางตอนใต้ของเนวาด้า เกือบจะเข้าแอริโซน่าได้อยู่แล้ว”

       !!

       ผมชะงักมือที่ล้างจานอยู่พลางหันไปมองอีกฝ่าย อะไรบางอย่างในตัวเต้นกระตุก และผมไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกประเภทไหนกันแน่ที่กำลังวิ่งพล่านทำงานอยู่ตอนนี้

       “ทำโรงแรมน่ะนะ ลากกระเป๋าเก็บกระเป๋า อะไรเทือกๆ นั้น งานไม่ยาก ได้ทิปเยอะด้วย.. คิดแล้วฉันไม่น่าไปมีเรื่องกับไอ้เวรนั่นเลย ให้ตาย” โจยังเล่าอดีตของตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อนหรี่เสียงลงในตอนท้ายของประโยคราวกับต้องการแค่บ่นกับตัวเอง

       “ผม..” ผมเม้มปาก ชั่งใจ แต่อะไรบางอย่างในตัวก็เหมือนบังคับให้ผมหลุดจากการควบคุมตัวเอง “ผมเองก็มาจากที่นั่น หมายถึงเนวาด้า”

       “งั้นเหรอ นึกไงถึงย้ายมาล่ะ” เขาเลิกคิ้ว

       “ไม่รู้สินะ..” ผมเลี่ยงการตอบคำถาม นึกโทษตัวเองเล็กน้อยที่หลุดพูดอะไรแบบนั้นออกไปกับคนที่เพิ่งเคยเจอแค่ไม่ถึงสิบนาที

       ยังดีที่โจไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อจากนั้น ดวงตาสีอ่อนจ้องมองผม กระแสสายตาแปลกประหลาดทำให้รู้สึกสบายใจ ก่อนที่เขาจะยิ้มแล้วพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

       “ชีวิตก็บัดซบแบบนี้ ชีวิตเฮ็งซวยๆ ทำให้เราเหนื่อยไม่จบไม่สิ้น”

       แล้วหลังจากนั้นผมกับโจก็ได้คุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกเรื่อยๆ ตอนแรก ผมยอมรับว่ามองโจเป็นเหมือนคนที่มีปัญหา อย่างที่บอกไป เหมือนคนที่ไม่เอาอะไรเลยในชีวิต อยู่ไปวันๆ ซึ่งก็ไม่ผิดนักกับความคิดในตอนนี้ เพียงแค่ผมได้รู้เพิ่ม ว่าโจก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง

       และอาจจะเพราะนิสัยเหมือนคนอยู่ไปวันๆ นั่นแหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่จะอยู่หรือพูดคุยด้วยอย่างน่าประหลาด

       บางที มีเพื่อนสักคนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย.. เขาทำให้ผมคิดได้แบบนั้นหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง

       “แล้วนายพักอยู่ที่ไหน มาใหม่คงหาที่พักยาก แถวนี้คนไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ว่างั้นไหม”

       “ผมอยู่กับคนรู้จักน่ะ แต่ก็คิดว่าคงอยู่ด้วยอีกไม่นาน” นั่นเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจริงๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขายอมปล่อยผม ผมก็พร้อมจะกลับไปอยู่ที่ห้องเดิมนั่นทันที ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหน กว่าจะถึงวันนั้น

       “มีคนรู้จักด้วยงั้นเหรอ ใคร” โจทำสีหน้าประหลาดใจ เขาล้างมือ พลางผละตัวออกจากอ่างล้างจานเมื่อล้างทั้งหมดเสร็จ

       “เดฟน่ะ ไม่รู้ว่ารู้จักหรือเปล่า” ผมตอบไปเรียบๆ แต่การชะงักที่เห็นได้จากโจทำให้ผมหยุดมือจากแก้วที่ล้างอยู่ขึ้นมอง “มีอะไรหรือเปล่า”

       “เดฟ? เดฟนั่นน่ะเหรอ” เขาทวนคำ “เดฟที่อยู่กับพวกแอช ฉันหมายถึง เดฟที่อยู่ในแก็งค์”

       ถึงผมจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับคำว่าแก็งค์หรืออะไรนั่น แต่ชื่อแอชที่ได้ยินก็เป็นตัวยืนยันว่าใช่เดฟเดียวกับที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ แอช ผู้ชายที่ผมจะจำได้ยันวันตาย ผู้ชายที่มาหาเดฟที่บ้านวันนั้น แล้วก็กระทืบผู้ชายแปลกหน้าที่บาร์นั่น

       “ใช่”

       “ทำไมนายถึงไปรู้จักคนแบบนั้นได้”

       “ทำไม มันมีอะไรแปลกหรือว่ายังไง” ผมสวนกลับ ท่าทางแปลกประหลาดนี่เริ่มทำให้ผมสงสัย โจทำหน้าเคร่งเครียด

       “แปลกอยู่แล้วล่ะ นั่นเดฟนะ นั่นเดฟ” แล้วเขาก็ยังพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจด้วยอยู่ดี

       “นายรู้หรือเปล่า ว่าเขาเป็นคนยังไง” อยู่ดีๆ ผมก็ถามคำถามนั้นออกไป อาจจะเพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ท่าทางผิดปรกติของโจทำให้ผมมั่นใจว่าอย่างน้อยเขาต้องรู้อะไรสักอย่าง

       “ฉันก็เคยได้ยินต่อๆ กันมา ไม่ได้รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัว นายเองน่าจะรู้จักเขามากกว่าฉันไม่ใช่หรือไง ไหนว่าอยู่ด้วยกัน” โจเอียงคอ ใบหน้านิ่งเครียดจ้องมองผมไม่วางตา ก่อนที่เขาจะหลุดถอนหายใจออกมา “แต่ก็เอาเถอะ อย่าไปบอกใครว่าฉันพูดล่ะ”

       “อืม”

       “เดฟ ก็เป็น หนึ่งในแก็งค์ที่ ยังไงดีล่ะ ใช้คำว่าคุ้มครองที่นี่อยู่ก็น่าจะได้ มีอิทธิพลน่ะ พอเข้าใจใช่ไหม เขาไม่ได้เป็นหัวหน้า แต่ก็เหมือนเป็นตัวคานอำนาจกับแอช ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพวกนั้นเท่าไหร่ แต่ก็เคยได้ยินมาว่าเขาค่อนข้างรักสงบ ปลีกวิเวกน่ะ อยู่เงียบๆ ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใครเท่าไหร่”

       “แล้วยังไงต่อ”

       “แล้วยังไง เขาก็น่ากลัวน่ะสิ นายอยู่ด้วยไม่คิดว่าเขาน่ากลัวหรือไง ไม่ว่าจะยังไง เท่าที่นายพูดก็ดูเหมือนนายไม่ได้สนิทอะไรกับเขาขนาดนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันแนะนำให้ปลีกตัวออกมาตอนนี้จะดีกว่า อยู่ใกล้ๆ พวกนั้น ไม่มีอะไรดีหรอก นอกจากเสี่ยงตายน่ะ”

       “…” ผมเงียบ มองเห็นความจริงจังที่ถูกส่งมาจากคนตรงหน้า เสียงที่ได้ยิน ดังขัดกับสิ่งที่ผมรับรู้มาตลอด

       “แล้วก็อีกอย่าง ฉันได้ยินมา.. ว่าเขาเคยฆ่าแฟนของตัวเอง”



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ empty102153

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
«ตอบ #13 เมื่อ22-01-2017 20:23:30 »

กลิ่นอายของเรื่องน่าติดตามมากเลย
มาบ่อยๆนะคะ  :hao6:

ออฟไลน์ candynosugar+

  • กลัวแล้ว
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
    • CDNSG+
Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
«ตอบ #14 เมื่อ22-01-2017 20:35:06 »

ลงชื่อร่วมอ่านทวนอีกรอบ
ภาษาซินยังเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม ชอบๆ นะ :man1:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
«ตอบ #15 เมื่อ22-01-2017 21:00:14 »

ชูป้ายไฟ ชุนชอบเรื่องนี้ :hao7:

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
«ตอบ #16 เมื่อ22-01-2017 23:01:13 »


8_
Don't You Want To Stay




“งานเป็นยังไง” ผมชะลอฝ่าเท้า มองเห็นเดฟยืนกอดอกอยู่ข้างฮาร์เลย์สีดำคันใหญ่ของตัวเอง

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะมารับผมที่ทำงานแบบนี้ โจที่เดินตีคู่มากับผมหยุดเดินทันที ผิดกับผมที่ยังก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผมไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าโจกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาอยู่ ผิดกับเดฟที่ปราดสายตาเรียบเฉยข้ามไหล่ผมไป

“ไว้เจอกันนะ” โจพูดขึ้นเบาๆ แล้วรีบเดินจากไป เดฟถึงได้เลื่อนสายตากลับมาสบกับผม

“งานเป็นยังไง” แล้วเขาก็ถามคำถามเดิมออกมา มุมปากขยับขึ้นทำรอยยิ้มเล็กๆ

เดฟตรงหน้าผมดูเป็นผู้ชายธรรมดา และเพราะรอยยิ้มนั่นทำให้เขาดูใจดีขึ้นอีกเป็นกอง แค่คำพูดของโจก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หายไปไหน

‘ฉันแนะนำให้นายปลีกตัวออกมาตอนนี้จะดีกว่า’

หรือไม่ก็

‘เขาเคยฆ่าแฟนของตัวเอง’

ไม่ว่าจะประโยคไหน ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีทั้งนั้น

“ก็ดี” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยด้วยการขยับพาตัวเองขึ้นไปซ้อนบนฮาร์เลย์ที่ตอนนี้ผมเริ่มคุ้นเคย

“แล้ว ‘ก็ดี’ นี่มันเป็นยังไง” เดฟหันมาพลางทาบมือข้างหนึ่งเข้ากับเบาะด้านหน้า เขาขมวดคิ้วมุ่น เดาได้ว่าอาจจะไม่ชอบใจกับคำตอบของผมเท่าไหร่

“ซ้ำซาก.. แสบมือ.. แล้วก็เสียงดัง” ผมไล่สิ่งที่อยู่ในหัวออกไปพลางสบตากับเดฟไปตรงๆ “แต่ผมคิดว่าผมชอบมัน”

แล้วผมก็ได้เห็นรอยยิ้มขันเล็กๆ จากเดฟ ทันทีที่พูดประโยคสุดท้ายออกไป เขาส่ายหน้าน้อยๆ เริ่มขยับขึ้นคร่อมเบาะฮาร์เลย์

“ฟังดูดีใช้ได้ แล้วก็ดูเหมือนว่านายจะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ฉันจะพาไปหาอะไรกินที่บุชคอร์เนอร์ แล้วก็คงไม่ว่าอะไรถ้าจะขอแวะซื้ออาหารกลับไปให้แทซก่อนกลับบ้าน”

“อืม” ผมส่งเสียงตอบในลำคอ แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อยืดสีดำสนิทอยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งฟุต รถฮาร์เลย์ยังจอดนิ่งสนิท แม้เสียงเครื่องยนต์จะทำงานขัดความเงียบรอบตัว เดฟหันเสี้ยวหน้ามาเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงการกระชากตัว แทบจะในทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับเอวของอีกฝ่าย

คำเตือนและคำบอกเล่าจากโจยังติดค้างอยู่ในหู

ผมนึกปฏิเสธกับตัวเอง ว่านั่นเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี สิ่งที่โจพูด

แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะรู้อยู่กับใจดี ว่าผมเองก็ไม่ได้รู้จักผู้ชายตรงหน้านี้ดีไปกว่าคนอื่น บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้ถึงได้แปลกๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“อ้าว นายนั่นเอง ฟลอยด์?” เซร่า พนักงานหญิงคนเดิมที่ผมเคยคุยด้วยร้องทักขึ้นมาด้วยสีหน้าแปลกใจ เธอไล่มองผมสลับกับเดฟที่ยืนตีหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

“เป็นยังไงบ้าง เซร่า” เดฟเป็นฝ่ายถามขึ้น

“เรื่อยๆ ล่ะ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรพิเศษ” เธอตอบยิ้มๆ ก่อนจะเลิกคิ้วสูง “แล้ว.. วันนี้รับอะไรดีล่ะคะ”

“อะไรก็ได้” ผมพูดขึ้นเมื่อเดฟหันหน้ามามอง เพราะผมไม่ใช่คนจ่ายเงินสำหรับมื้อนี้ และก็ใช่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากกินอะไร มันคงเป็นอารมณ์เหมือนกับว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมไม่อดตาย ซึ่งก็ดีแล้วที่เดฟไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกกับคำตอบกำกวมแบบนั้น เขาถึงได้หันกลับไปมองเซร่าที่ยืนรออยู่

“งั้นเอาเหมือนเดิมสองที่”

แล้วผมก็ได้กลับมานั่งบนโต๊ะของร้านอาหารนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะหน้าใหม่ที่สั่งอาหารราคาถูกที่สุดภายในร้าน ไม่ใช่คนที่เดินเข้ามาสมัครงานแล้วโดนปฏิเสธทั้งๆ ที่ยังไม่ได้โดนสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ

ผมกลับมา และร้านนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

อยู่ดีๆ เบาะเย็นเยียบนี่ก็อุ่นและให้ความรู้สึกต้อนรับ ราวกับผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

ในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ทั้งผมและเดฟต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ผมกวาดสายตามองรอบๆ ตัวเองไปเรื่อยๆ เก็บรายละเอียดเล็กน้อยที่มีอยู่ในร้านอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ทั้งรอยเปื้อนเล็กๆ ตรงข้างเคาน์เตอร์ใหญ่ หรือหยดน้ำที่เกาะอยู่ตรงตู้น้ำ ผิดกับเดฟที่เหม่อลอย ทิ้งสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พอผมมองตามไป ก็พบว่ามันคือร้านสะดวกซื้อเก่าๆ ที่อีกฝ่ายจ้องมองอยู่

ร้านที่ผมเคยเข้าไปสมัครงานอีกเช่นกัน

“อาหารได้แล้วล่ะ” พอรู้ตัวอีกที เสียงของเซร่าก็ดังขึ้นเหนือหัว ผมมองจานขนาดใหญ่ที่มีอาหารหน้าตาน่ากินถูกวางลงบนโต๊ะ มันไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ พูดให้ถูกก็คือเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่เหมือนที่ผมเคยกิน และเคยเห็นเดฟกินบ่อยๆ

เพราะเสียงทักนั้น ปลดสายตาผมให้หลุดออกจากใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาเหลือบมองเซร่าที่ยิ้มและจากไป ก่อนจะลากไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ และวนกลับมาที่เดิม

เมื่อครู่ ผมเผลอมองเขาไปนานโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ร่างกายของผมสะดุ้งเล็กๆ เมื่อประสานสายตากับเดฟที่มองมา เขาเลิกคิ้ว ดวงตาสีเข้มตรึงผมไว้กับที่

“หน้าของฉันมีอะไรผิดปรกติหรือไง” เขาเกริ่นถามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก นั่นทำให้ผมเผลอตะโกนขึ้นในใจดังๆ

เขารู้ตัว

“เอ่อ.. ไม่” แล้วลิ้นกับสมองของผมก็เหมือนจะเริ่มรวนขึ้นมาทันที คราวนี้เดฟเอียงใบหน้าเล็กน้อย เขากะพริบตาช้าๆ หน้าแปลกที่ท่าทางเรียบง่ายนั่นสร้างความกดดันให้ผมมากขนาดนี้

“ถ้าอย่างนั้นการจ้องมองนั่น..” เขากะพริบตาอีกครั้ง “นายต้องการอะไร”

“เปล่า..” ผมตอบกลับไปแผ่วเบา แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เดฟหยุดไล่บี้ผมให้ตอบคำถามด้วยการจ้องมาอย่างกดดัน

โอเค ก็ได้

“ผมแค่มอง แล้วก็คิดว่าคุณดูดี” ทั้งหน้าตาดี แล้วก็ดูน่ากลัวดีด้วย ผมเสริมคำนั้นเงียบๆ ในใจ เห็นเดฟทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ราวกับเขาไม่คิดว่าผมจะตอบกลับแบบนั้น

“นี่นายกำลังจีบฉันหรือเปล่า” เขาพูดด้วยสีหน้าสบายๆ ผิดกับผมที่แทบเอาหัวโขกโต๊ะตอนที่ได้ยิน

“เปล่า ไม่”

“อืม ฉันว่านายก็ดูดีเหมือนกัน พอมองๆ แล้ว” เขาเหยียดยิ้ม ไล่สายตามองไปรอบๆ หน้าของผมช้าๆ อย่างจงใจ

“ฉันชอบตาของนาย.. จมูก ปาก สีผิว สีผม.. ใบหน้า”

“…” ผมเงียบ ข้างในตีรวนเหมือนโดนปั่นด้วยอะไรที่มองไม่เห็น ฝ่ามือกำแน่นอยู่ที่หน้าตัก

“พอมาคิดดู ฉันชอบเกือบจะทั้งหมดที่มองเห็นอยู่ตอนนี้.. ทั้งหมดที่พูดไปนี่พิจารณาว่าฉันจีบนายได้หรือเปล่า”

“อ่า” ผมคลำหาเส้นเสียงของตัวเองในความเงียบ เดฟยังใช้สายตาขบขันจ้องมองมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก “ไม่”

ผมคิดแบบนั้น แน่ล่ะ ถึงรูปประโยคมันจะดูแปลกๆ แต่มันก็เหมือนกับที่ผมพูดใส่เขาไป ถ้าผมทำไปโดยไม่มีความตั้งใจจะจีบหรืออะไรทำนองนั้น แล้วทำไมผมต้องไปบอกว่าเขาทำไปเพราะจีบด้วย

เดฟหลุดหัวเราะ อาจจะเพราะเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกหรืออะไรก็ตาม

หัวผมหมุนคว้าง เส้นเสียงในอากาศเหมือนถูกจับเขย่าจนเป็นคลื่นฟังไม่ได้ศัพท์

“โทษที..” เดฟเท้าค้างตัวเองกับฝ่ามือ เฟรนช์ฟรายหนึ่งชิ้นถูกหยิบเข้าปากอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะกลืนมันลงท้อง

“แต่เมื่อกี้ฉันจีบนายจริงๆ”






เพล้ง!

เสียงที่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามเรียกทั้งผมและเดฟให้หันไปมอง สายตาสะดุดที่กลุ่มวัยรุ่นและร้านสะดวกซื้อเก่าๆ ที่ผมเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง เดฟชะงักมือที่กำลังจับเบอร์เกอร์ เขาทิ้งมันลงกับโต๊ะลวกๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

เกิดอะไรขึ้น..

คำถามนั้นดังลั่นอยู่ในหัวสมอง แต่ผมคิดว่าการเงียบแล้วคอยดูอยู่เงียบๆ น่าจะเป็นอะไรที่เข้าท่ามากกว่าการถามออกไปในตอนนี้

คนในร้านพากันมองออกไปนอกหน้าต่าง เซร่าเองก็เหลือบมองทางเดฟด้วยสายตาที่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก บางที.. อาจจะเป็นสายตาของการฝากความคาดหวัง

ประตูกระจกถูกผลักออก เดฟก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่หน้าร้าน ผมเดินตามหลังอีกฝ่ายออกไป แต่ก็ไม่ได้ใจกล้าบ้าบิ่นพอจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว พอคิดได้แบบนั้น ผมถึงทำแค่ยืนนิ่งๆ ที่หน้าร้านบุชคอร์เนอร์โดยไม่ข้ามถนนตามไป

เสียงกระจกที่แตกลั่นเมื่อครู่ เป็นกระจกหน้าร้าน แม้กระทั่งตอนที่เดฟออกไปดู พวกเด็กนั่นก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จริงๆ แล้ว

แต่ดูเหมือนกลุ่มคนพวกนี้จะพยายามป่วนร้านนี่อยู่ ผู้ชายผมบลอนด์ที่เป็นคนเฝ้าร้าน ตอนนี้ทำได้แค่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงประตูอย่างคนทำอะไรไม่ได้

แล้วปืนก็ถูกชักขึ้นมาอีกครั้ง..

ผมกำชายเสื้อตัวเองแน่น ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อ น่าแปลกที่ผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นกลับมีสีหน้าที่ดีขึ้น แทบจะในทันทีที่เห็นเดฟปรากฏตัวพร้อมกับปืนในมือ

แค่ปืนกระบอกเดียว กับท่าทางคุกคามจริงจังของเดฟ

หยุดทุกการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ลงแทบจะในทันที

วัยรุ่นชายในชุดสีดำสนิทและหมวกบีนี่สีแดงเลือดหมูถูกร่างสูงกระชากจนแทบจะปลิวติดมือ เดฟตะคอกอะไรสักอย่างที่ผมจับประโยคไม่ได้

ถ้าผมเดาไม่ผิด กระจกหน้าร้านที่แตก.. น่าจะเกิดจากการไม้เบสบอลที่ผู้ชายคนนั้นถืออยู่

ทุกอย่างดำเนินไปท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ไม่มีใครสักคนกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง ผมหันกลับไปมองในบุชคอร์เนอร์ พนักงาน พ่อครัว หรือแม้กระทั่งชาวเมืองที่นั่งกินข้าวอยู่ ทุกคนเพียงแค่มองมาเงียบๆ อย่างตั้งใจ แค่นั้นจริงๆ

ลมเย็นๆ เริ่มพัดพาความชาบาดผิวเนื้อ ผมหันหน้ากลับไปมองทางเดฟที่อยู่อีกฝั่งของถนนอีกครั้ง

และภาพที่ผมมองเห็น..

คือปืนสีดำที่ถูกจ่อติดข้อมือของผู้ชายชุดดำคนนั้น ไม้เบสบอลถูกบีบให้ตกกลิ้งอยู่กับพื้น ไม่มีใครกล้าขยับตัว เป็นอีกครั้งที่ผมเหมือนเห็นภาพซ้อนทับ จากบาร์เก่าๆ นอกเมืองนั่น

เดฟที่ดูแปลกตาไปราวกับไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก

ตัวสั่น.. ผู้ชายคนนั้นตัวสั่น ผิดกับเดฟที่ดูนิ่งสงบจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่มือกำลังถือของแบบนั้นอยู่ ฝ่ามือแข็งแรงอีกข้างบีบแขนอีกฝ่ายไว้ในมือไม่ให้ขยับหนี

เขาขยับปากพูดอะไรสักอย่าง..

กับผู้ชายชุดดำที่เอาแต่ส่ายหน้ารัวราวกับคนสติแตก

ในตอนนั้น ผมคิดไม่ออกเลยว่าอะไรจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีก จนกระทั่งเดฟขยับปลายนิ้วที่แตะอยู่ตรงไกปืน

ปัง!

เสียงดังลั่นจากระยะใกล้อัดเข้าหู ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวีดแหลมในช่องหู กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแตกตื่น บางคนสติแตก บางคนใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะพากันวิ่งหนีไป ทิ้งผู้ชายที่โดนยิงทรุดลงบนพื้นพร้อมเลือดสีแดงเข้มที่ทะลักออกจากแขน

เดฟเก็บปืนเข้าที่ เขาเช็ดฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากับชายเสื้อ แล้วเริ่มเดินกลับมาทางผมที่ยืนนิ่งอยู่ โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมากดแนบใบหู ในระหว่างนั้น ดวงตาคมกริบก็จับจ้องผมไม่วางตา

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งนั้นในตอนนั้น ไม่มีประโยคใดหลุดออกมา นอกจากการเรียกรถพยาบาลให้มาที่นี่ จากปากผู้ที่เป็นฝ่ายลั่นไก

เสียงครวญครางยังดังแทรกเข้าการรับรู้ ผมกรอภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาในสมอง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในตอนนั้น ผมถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้..

น่ากลัวเกินไป

น่ากลัวเกินกว่าที่ผมจะกล้าสบตาด้วยด้วยซ้ำ





“เดฟ!” แล้วผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นก็วิ่งเข้ามาประชิดร่างสูงที่ยืนอยู่ ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเขาชัดๆ ก็ครั้งนี้ เพราะครั้งแรกที่เข้าไปถามหางาน ดูเหมือนเขาไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองผมเลยด้วยซ้ำ

“ฉันแค่อยากขอบคุณ!” เขาพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงปนหอบ เดฟเลิกคิ้วเล็กน้อย เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมาทางผม

“อิ่มหรือยัง กลับกันเลยไหม”

“.. อืม” แล้วผมก็ได้แต่ตอบกลับไปสั้นๆ ลอบมองผู้ชายผมบลอนด์ที่มีสีหน้าแย่ลงจนเห็นได้ชัด

ต่อให้เป็นเด็กมาดูก็รู้ เมื่อกี้น่ะ.. เดฟจงใจเมินผู้ชายคนนั้นชัดๆ

“คำขอโทษก็ไม่รับ แล้วนี่ยังจะไม่รับแม้กระทั่งคำขอบคุณด้วยเหรอ”

ให้ตาย.. ผมตกเข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกันแน่

เดฟถอนหายใจออกมาช้าๆ ดวงตาสีเข้มหลุบมองพื้นถนน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กๆ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้ผมขยับขึ้นซ้อนท้าย พลางหันหน้าไปหาผู้ชายอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

“นาย.. ปิดร้านแล้วกลับบ้านไปซะ”

นั่นเป็นทั้งหมดจริงๆ ที่เดฟพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ผู้ชายคนนั้นเม้มปากแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไรนอกจากรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านตามคำสั่งง่ายๆ

“จับแน่นๆ” แล้วน้ำเสียงนั่นก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ทั้งๆ ที่ก็เป็นประโยคคำสั่งเหมือนกัน แต่น้ำเสียงที่ได้ยิน กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันจนเป็นผมเองที่หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้สักที

 


 

“เป็นอะไร” เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เสียงเล็บของแทซลากขูดกับพื้นตามจังหวะการเดินเบาๆ ก่อนจะจางหายไป

ผมกะพริบตา มองหน้าจอโทรทัศน์ที่ขึ้นสีดำสนิท ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากเดฟที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ

ผมรู้ดี.. ว่าเพราะอะไรเขาถึงถามแบบนั้นออกมา

เพราะตั้งแต่กลับบ้านมา ผมไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เดฟไม่ได้ให้ความรู้สึกชวนให้สบายใจเวลาอยู่ด้วยเหมือนเมื่อก่อน ใช่.. สบายใจ ถึงแม้จะปะปนไปด้วยความคลุมเครือและระแวดระวังในบางครั้งก็ตาม

ไม่ใช่เหมือนในตอนนี้… ความคิดนั้นชัดเจน ว่าเขาสามารถฆ่าหรือทำร้ายผมได้ง่ายๆ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายหรือคำเห่ยๆ พวกนั้น

ทำได้แม้กระทั่งการยิงมือคนคนหนึ่ง แล้วโทรเรียกรถพยาบาลให้ หลังจากนั้นก็ขี่ฮาร์เลย์กลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำกัน

ผมเองก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรก ว่าผู้ชายคนนี้ห่างไกลจากคำว่า ‘ธรรมดา’ ที่ผมเรียกหามากแค่ไหน

ประโยคที่เขาเคยเตือนผมถึงอันตรายของผู้ชายที่บาร์เก่านั่น ย้ำเตือนผมว่าเขาเองก็ไม่ต่างกันกับคนพวกนั้น

ไม่ต่างกันเลยสักนิดเดียว

“ผมกลับไปอยู่ที่ห้องผมได้หรือยัง” ผมถามออกไป หลีกเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่ายด้วยการเพ่งไปที่จอทีวีอย่างเอาเป็นเอาตาย

เคยมีความรู้สึกไหม.. ความกลัวหรือเกร็งในอะไรสักอย่างที่มีมากจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แล้วก็รู้สึกเหมือนว่าภายในถูกแช่ให้นิ่งแข็ง

“ทำไม” แล้วน้ำเสียงนั่นก็เริ่มติดแข็งกระด้าง เขาถามกลับมาสั้นๆ

ไม่พูด ไม่จา ไม่อนุญาต ได้ยินเสียงขยับตัวยวบยาบกับเบาะโซฟา ก่อนที่เสียงไฟแช็กจะตามมาในอีกไม่กี่วิหลังจากนั้น

“ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ”

“อะไรทำให้นายคิดว่านายไม่ควรอยู่ที่นี่ล่ะ” ผมเงียบ รู้สึกเหมือนจนคำพูดไปชั่วขณะ เงาดำพาดผ่านหัวจากการที่เดฟยืดตัวขึ้นยืน เขาก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะเตี้ยๆ ด้านหน้า

บดบังหน้าจอสี่เหลี่ยมจากสายตาของผมโดยสมบูรณ์

“อะไรคือท่าทางพวกนี้” เขาเกริ่นเสียงเบา พลางสูบบุหรี่เข้าปอดแล้วปล่อยมันออกไปอีกทาง ใบหน้านิ่งเรียบสะบัดกลับมามองผมที่ยังเอาแต่เงียบ

ผมควรจะพูดอะไร

ที่กางเกงยีนส์ของเขา.. ยังมีรอยเลือดของผู้ชายคนนั้นติดอยู่เลยด้วยซ้ำ

“มองฉันสิ” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน ผมไม่รู้ว่าเขามองเห็นอะไรจากผมในตอนนี้ เพราะประโยคถัดมามันทำให้ผมนึกสงสัยในท่าทางของตัวเอง “ทำไม นายกลัวเหรอ”

“…”

“ฉันไม่รู้นะ ว่านายไปเอาความกลัวพวกนี้มาจากไหน” เขาพูดช้าๆ ความแข็งกระด้างในน้ำเสียงถูกทดแทนด้วยความโอนอ่อนที่ผมสัมผัสได้ชัดเจน

เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าช้าๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกร่วมนาที ผมได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง รับควันบุหรี่ที่ลอยคลุ้งอยู่ในสถานที่

แล้วเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นเหนือหัว มวนบุหรี่ถูกขยี้ให้ดับลงกับที่เขี่ยกระจกบนโต๊ะ รอยสักที่ผมไม่รู้ที่มาที่ไปโผล่พ้นมาให้เห็นตามท่อนแขน ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะขยับขึ้นแตะปลายคางผมแล้วดันให้เงยขึ้นเบาๆ หลังนิ้วชี้อุ่นร้อนแนบสัมผัสกับผิวหน้า และดวงตาจริงจังที่ทอดมองมา

เขามีสีหน้าสงสัย

กับคำถามที่กระตุกให้ใจผมหายวาบโดยไม่รู้สาเหตุ

“ผู้ชายคนนี้เคยทำอะไรให้นายรู้สึกไม่ดีหรือไง”

บางทีอาจจะไม่ได้เกิดจากคำถามที่เพิ่งได้ยิน แต่เป็นเพราะผมที่เพิ่งรู้ ว่าเดฟอยู่ใกล้มากแค่ไหนในตอนนี้

“นายไม่ตอบ”

“..ไม่เคย” ผมกระซิบตอบในลำคอ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ตีตื้นขึ้นทำให้ผมเบือนหน้าออกจากการเกาะกุม ปลายนิ้วเรียวยาวลากผ่านผิวแก้มผมเบาๆ จากการกระทำนั้น ก่อนที่เขาจะวางมือลงบนตัก

“งั้นฉันจะถามอีกแค่คำถามเดียว”

“…” กระแสความจริงจังที่ถูกส่งมา เหมือนตัวบังคับให้ผมหันหน้ากลับไปสบตาเดฟอีกครั้ง เนื้อกางเกงยีนส์สีเข้มของอีกฝ่ายแนบชิดอยู่กับขาทั้งสองข้างของผม เดฟเลิกคิ้ว โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย

การกระทำแค่นั้นเหมือนริบเอาลมหายใจผมให้หายไป

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันเหรอ”




____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
«ตอบ #17 เมื่อ22-01-2017 23:07:20 »

สนุก ชอบ ติดตามด้วยคน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เดฟ ฟลอยด์  :mew1: :mew1: :mew1:
เรย์ คิดไรกับฟลอยด์ หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2017 23:12:33 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
«ตอบ #18 เมื่อ22-01-2017 23:59:21 »

สนุกดีค่ะชอบ

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
«ตอบ #19 เมื่อ23-01-2017 00:20:39 »

โฮ่ว~! ดาร์กมากกกกกก~ :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
« ตอบ #19 เมื่อ: 23-01-2017 00:20:39 »





ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.9 Tender Things (23/01/2560)
«ตอบ #20 เมื่อ23-01-2017 13:11:38 »


9_
Tender Things




“ฉันขายยา..”

ประโยคนั้นฟังดูแปลกประหลาด ไม่ใช่ความหมาย แต่เป็นที่สถานการณ์รอบตัวที่ขับให้มันผิดแปลกไปต่างหาก

ผมสบตากับเดฟที่ยังนั่งอยู่ด้านตรงข้าม เขาอยู่ใกล้ ชวนให้รู้สึกอึดอัด แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด..

“รู้ใช่ไหม ขายยา พวกที่ไม่ดีเท่าไหร่” เขาขยายความด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แหวนเงินวงใหญ่ที่สวมติดอยู่ที่นิ้วสะท้อนกับแสงไฟจากด้านบนเล็กน้อย ฝ่ามือที่เอาไว้ใช้เหนี่ยวไกปืนเมื่อตอนค่ำ ตอนนี้วางนิ่งอยู่บนหน้าขาของตัวเอง ปล่อยให้หลังนิ้วโป้งแตะสัมผัสกับเนื้อกางเกงของผมเบาๆ โดยไม่คิดที่จะขยับย้ายหรือทำอะไรมากไปกว่านั้น

ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมพูดเรื่องของตัวเองให้ผมฟัง.. แต่หลังจากคำถามทำนองเชิญชวนนั่นดังขึ้น ความเงียบก็สอดแทรกเข้ามา ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปอย่างที่เคยตอบตลอดมา

‘ผมอยู่กับคนที่ไม่รู้จักไม่ได้หรอก’

ผมไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างเมื่อวันแรกยังไง ตอนนี้ผมก็ยังคิดว่าตัวเองไม่รู้จักเขาอยู่เหมือนเดิม ..

การรู้จักกัน.. มันมากกว่าการรู้ชื่อหรือหน้าตา

แล้วเขาก็ยอมพูดขึ้นมาง่ายๆ เริ่มต้นการอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองให้ผมฟัง และผมไม่ชอบแบบนี้เลย เพราะอะไรน่ะเหรอ.. เพราะมันชวนให้รู้สึก สิ่งที่ไม่ควรรู้สึก

ราวกับว่าเขาแคร์เหลือเกิน ที่ผมจะอยู่หรือจะไป

“ถึงแม้เราจะไม่ขายให้คนทั่วไปทุกคน หรือขายมั่วซั่ว.. แต่นายก็ยังพิจารณาว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ดีได้อยู่ดี” เขาเผยยิ้มออกมาจางๆ

แต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอก ขายยาเหรอ  เป็นสิ่งที่ไม่ดีเหรอ

ผมไม่รู้สึกอะไรสักนิด ในเมื่อสิ่งที่ผมทำและพบเจอมาครึ่งค่อนชีวิตก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปตัดสินว่าน่ารังเกียจ

ขายยา กับ ขายตัว มันจะต่างกันสักแค่ไหน ในมุมมองของคนนอกที่มองเข้ามา

“ทำไมคุณถึงเลือกที่จะทำมันล่ะ ถ้ารู้ว่ามันไม่ดี” คำถามนี้ต่างหาก ที่ทำให้คนกลุ่มนั้นแตกต่างกัน

เดฟนิ่วหน้า เขาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แหวนเงินที่นิ้วถูกหมุนเล่นไปมา “รู้ไหม บางครั้ง มันก็ไม่ใช่คำถามว่าทำไม เราถึงเลือกที่จะทำมัน หรือตั้งคำถามว่าเราทำมันไปทำไม”

“…”

“เพราะว่าสำหรับบางคน มันคือเส้นทางที่ถูกกำหนดให้ทำไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อกังขา ไม่มีคำถาม.. นายแค่ต้องทำมัน เพราะว่านายต้องทำมัน” รอยยิ้มที่ปรากฎตัวบนมุมปากตรงหน้า สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้ปะทุลั่นขึ้นในร่างกาย

“ถึงแม้ว่าบางครั้ง มันจะบังคับให้นายต้องทำ แม้กระทั่งฆ่าคนก็ตาม”

!!!

ผมใจหายวาบ ความเยียบเย็นไหลผ่านหลังคอจรดถึงแผ่นหลังและปลายนิ้ว ประโยคจากน้ำเสียงเรียบง่ายที่เพิ่งได้ยิน สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ผมเม้มปาก และหลุบตาลงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาจริงจังที่ทอดมองมา

“พอโดนผลักให้อยู่ในสถานะแบบนี้ ความเกรงกลัวและการข่มให้คนอื่นอยู่ใต้อำนาจก็เป็นสิ่งที่จำเป็นขึ้นมา ฉันได้เรียนรู้หลายอย่างโดยปราศจากครูสอน การต่อรอง การข่มขู่ การทำให้ยอมรับ .. แล้วก็ค้นพบว่าตัวเองค่อนข้างเก่งใช้ได้ในการทำทั้งหมดนั่น”

ผมเม้มปาก การเห็นด้วยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกู่ตะโกนลั่นในหัวสมอง ผมไม่ต้องตั้งคำถามสักนิด เพราะแทบจะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น

เส้นประสาทของผมก็เหมือนถูกปั่นขยี้ด้วยมือที่มองไม่เห็น ราวกับถูกไล่ต้อนให้เดินไปในทิศทางที่เขาต้องการอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าจ้องมองและขยับปากพูดเลยสักนิด

“มันก็ตลกดีนะ นายรู้ไหม” ผมได้ยินเสียงหัวเราะหลุดลอดมาพร้อมกับคำถาม

ผมนิ่วหน้า พยายามข่มให้ตัวเองนั่งนิ่งๆ และไม่เงยหน้าขึ้นไปสบตาคู่ตรงข้ามอย่างเด็ดขาด

“ตลกดี.. ที่บางครั้ง ฉันกลับอยากให้สายตาที่มองมาด้วยความเกรงกลัว เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น.. อยากให้สายตาพวกนั้น เปลี่ยนไปเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจและยอมรับ โดยเฉพาะกับคนบางคน”

ผมกัดปากตัวเองแรง สติเหมือนถูกเขย่าให้พร่าเลือนด้วยประโยคแปลกๆ ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ชวนให้อยากยกฝ่ามือขึ้นลูบกอดตัวเอง กับความแกว่งไหวที่ลั่นรัวในช่องอก

“นายล่ะ?”

ผมถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้นมองเดฟ โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่นิดเดียว

ดวงตาสีเข้มจ้องลึกเข้ามา พร้อมกับดึงทุกอย่างที่ผมเก็บซ่อนไว้ออกไปแรงๆ

“นายยอมรับฉันได้ไหม หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว”





“ผมจะตัดสินได้ยังไง” หลังจากปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วครู่ ผมก็พูดออกมาในที่สุด “ผมจะพูดอะไรได้ ในเมื่อสิ่งที่ผมทำก็เลวร้ายไม่ได้ต่างกัน”

“อะไรนะ” ผมเม้มปาก มีอะไรบางอย่างฉุดรั้งคำพูดเอาไว้ บางอย่างที่บอกว่าผมยังไม่ควรที่จะพูดอะไรออกไปมากกว่านี้

เดฟจ้องมาไม่วางตา สีหน้าแสดงคำถาม และชัดเจนว่าต้องการรู้คำตอบ

“ช่างมันเถอะ” ผมขมวดคิ้ว นึกรำคาญตัวเองขึ้นมาเฉยๆ การที่ต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนพูดออกไป ยากกว่าการพูดไม่คิด แต่มันก็ยังดีกว่าพูดแบบไม่คิด แล้วทำให้ชีวิตยากมากกว่าเดิมอีกหลังจากนั้น

“แล้วก็.. ถ้าคุณอยากให้ผมอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของคนแปลกหน้าแบบผมมากนัก ผมก็จะอยู่จนกว่าคุณจะอยากให้ผมออกไปก็ได้ พอถึงเวลานั้น ผมจะไปให้ไกลจากที่นี่ด้วยตัวผมเอง” ผมเปลี่ยนเรื่อง ทั้งๆ ที่พูดออกไปแบบนั้นแล้ว แต่เดฟก็ยังมีสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม

เขาไม่ได้แสดงอาการพึงพอใจอะไรออกมา

“แต่คุณต้องตอบผมอีกอย่าง” ผมเม้มปาก รู้สึกไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะถาม

“นายอยากรู้อะไร”

“คุณ” ดวงตาสีเข้มลอยเด่นชัดอยู่ตรงหน้า ผมมองลึกเข้าไป และมองเห็นเงาสะท้อนตัวเองจากในนั้น “ต้องการอะไรจากผม”

ต้องการอะไรกันแน่ จากการกระทำทั้งหมดนี่

เสียงนาฬิกาในบ้านดังเป็นเสียงเดียวที่เด่นชัดในตอนนั้น ผมมองเงาสะท้อนของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลดำเหมือนดึงทุกสติของผมให้หยุดนิ่งอยู่กับที่

“แค่ทำให้ฉันพอใจ” ประโยคนั้นฟังดูยากและกำกวม “เป็นตัวของตัวเองและทำให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน”

“ไม่ใช่คำตอบแบบนี้” ผมจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่เดฟก็ยังทำท่าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้แบบเดิม เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลางขยับตัวเข้ามาใกล้

“แล้วนายอยากได้คำตอบแบบไหน”

“แค่ตอบมาตามความจริง บอกผมมาตรงๆ ไม่ได้หรือไง” เพราะน้ำเสียงของผมเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกไป ผมถึงได้รีบหุบปากแล้วหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์

เพราะคำถามพวกนี้ เป็นสิ่งที่ผมถามออกไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้ง

และเขาเพิกเฉยมันทุกครั้ง

มันจะยากอะไร กับการบอกผมมาตรงๆ ว่าเขาต้องการอะไรจากคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผม

เดฟนิ่งไปหลังจากนั้น ตาสีเข้มล้อกับแสงไฟที่ห้อยมาจากด้านบนเพดาน เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะใช้ฝ่ามือหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้

เสียงไฟแช็กทำงานอีกครั้ง..

“ทำตามที่นายอยากทำ คิดอย่างที่นายอยากจะคิด” เขาตัดบท พลางอัดควันสีเทาเข้มเข้าร่างกายและปล่อยมันออกมา กลิ่นบุหรี่ลอยเจือจางมากับลมหายใจอุ่นร้อน

ผมเบือนหน้าหนี ความไม่สบอารมณ์ถูกสุมขึ้นภายใน เพราะความไม่ชัดเจนนี้ทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าทุกครั้ง

“ผมจะไปนอนแล้ว.. ราตรีสวัสดิ์” และการหลบเลี่ยงก็เป็นอีกหนึ่งทางแก้ปัญหาที่ผมสามารถทำได้ ผมยืดตัวขึ้นยืน โดยที่เดฟยอมขยับขาหลบให้เดินออกแต่โดยดี

แต่ก่อนที่ผมจะได้ขยับเท้าเดินไปไหน ฝ่ามือแข็งแรงก็ฉวยจับเข้าที่ข้อมือ ไม่ได้ออกแรงบีบ แต่ก็ไม่ได้หลวมจนสามารถสะบัดออกได้ง่ายๆ

ผมหันกลับไป หลุบตามองเดฟที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แหวนเงินที่เขาสวมใส่อยู่แนบกับผิวเนื้อสร้างความรู้สึกเย็น ขัดกับไออุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือ

เดฟไม่สบตา ตรงกันข้าม เขากลับทิ้งสายตาลงที่อะไรสักอย่างด้านล่าง

“มีอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่ฉันอยากบอกให้รู้เอาไว้”

ปลายบุหรี่มวนยาวสว่างวาบเป็นสีแดง ผมจรดจ้องเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่เด่นชัดในความมืด

“ต่อให้นายออกไปจากที่นี่ เหตุผลที่ทำให้นายไป จะไม่ใช่เพราะฉันต้องการแบบนั้น” เขากระซิบเสียงแผ่ว

“และต่อให้นายไป.. นายจะไม่มีวันไปได้ไกล เกินกว่าที่ฉันจะมองเห็น”

นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากของเดฟ ก่อนที่เขาจะปล่อยผมให้เป็นอิสระ แล้วเอาแต่สนใจกับบุหรี่ในมือ จมดิ่งอยู่กับตัวเองจนเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ในบริเวณนั้น

และนั่นเป็นอีกครั้ง..

ที่ผมควบคุมความรู้สึกที่ไหลรุนแรงในร่างกายตัวเองไม่ได้

จนรู้สึกเหมือนกำลังพ่ายแพ้ให้กับอะไรบางอย่าง

 




‘ทำตามที่นายอยากทำ คิดอย่างที่นายอยากจะคิด ..’

นั่นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาในชีวิตนี้ เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองควรจะคิดอะไร แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่

แม่ง.. ทำไมต้องทำให้มันดูยุ่งยากขึ้นจนคนอย่างผมเข้าไม่ถึงด้วยนะ

ผมเหลือบตามองเดฟที่ยืนชงกาแฟอยู่ตรงเคาน์เตอร์เก่าๆ โซนครัว เสียงเปิดปิดตู้ดังขึ้นเป็นระยะ กับผมที่นั่งนิ่งๆ และแสร้งทำเป็นสนใจรายการทีวีตรงหน้า

สี่วัน.. ฟังดูเหมือนเป็นเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่

แต่การที่ต้องอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เหมือนยืดให้เวลากลับยาวนานจนน่าตกใจ

สี่วันนี้ทำให้ผมได้รู้อะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรนัก..

เดฟมักจะตื่นเช้าเสมอ เช้าก่อนที่ตะวันจะโผล่ขึ้นมาทำงานบนท้องฟ้า กับการพาแทซไปวิ่งเล่นและกลับมาพร้อมเหงื่อที่โชกเสื้อผ้า อาบน้ำ และออกไปอีกครั้ง กลับมาพร้อมกับอาหาร ดื่มกาแฟ.. และออกไปอีกครั้ง ในขณะที่ผมออกไปทำงานตอนค่ำ เราจะไม่พบกันอีกจนกว่าผมจะเลิกงาน และออกมาพบร่างสูงกับฮาร์เลย์คันใหญ่ที่มุมถนน เป็นภาพเดิมๆ ที่เห็นได้ตลอดสี่วัน

และความเรียบเรื่อยนั่นทำให้ผมสติหลุด

เพราะเดฟทิ้งผมเอาไว้กับกองคำถามและความสงสัย

หลายๆ ครั้งที่ความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาในหัว.. เดฟมักจะมองผมเสมอเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ สายตานั่นจะสอดส่ายหาผมจนเจอ

บางครั้งเราประสานสายตากัน แต่เดฟก็ทำแค่เบือนหน้ากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สี่วัน.. ความระแวดระวังถูกปลุกขยี้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

และวันนี้ผมพอแล้ว

“เดฟ” ผมเรียกอีกฝ่ายสั้นๆ จ้องเดฟที่ตอนนี้อยู่ใกล้จนน่าตกใจ เขาเลิกคิ้วช้าๆ มือข้างหนึ่งยังถือแก้วกาแฟที่มีไอร้อน ขณะที่โน้มตัวมาหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโซฟา “คุณกำลังทำอะไรกันแน่”

เขาเอียงหัวเล็กน้อย และถามกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“หมายความว่ายังไงทำอะไรกันแน่”

“คุณเป็นแบบนี้มาสี่วันแล้วนะ” ผมกดเสียง และใช่ กดความหงุดหงิดที่ตีขึ้นไว้ด้วยในเวลาเดียวกัน

เพราะว่าเขา เป็นแบบนี้มาสี่วันแล้ว

พาตัวเองเข้ามาอยู่ใกล้ๆ มันไม่ใช่คำว่าใกล้ในระยะหนึ่งเมตรหรือหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ เขาเข้ามาใกล้ผมจนได้กลิ่นสบู่กับบุหรี่อ่อนๆ ด้วยข้ออ้างงี่เง่าที่ฟังดูไร้เหตุผล การยืนซ้อนหลังผมตรงเคาน์เตอร์เพื่อหยิบแก้ว การหยิบรีโมทผ่านตัวผมที่นั่งอยู่ หรือแม้กระทั่งเมื่อกี้.. หยิบหนังสือพิมพ์เหรอ

นี่เป็นการหยิบหนังสือพิมพ์ที่ชวนให้เข้าใจผิดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ

“ฉันเป็นอะไร” เดฟตีหน้านิ่ง เขายืดตัวขึ้นยืนเหมือนเดิม ก่อนจะตีหนังสือพิมพ์เข้าที่ต้นขาตัวเองเบาๆ หนึ่งครั้ง

“คุณต้องการอะไรจากผม”

“ทำไมนายถึงไม่ยอมหยุดพูดเรื่องต้องการไม่ต้องการอะไรนั่นสักทีนะ” เดฟหลุดหัวเราะ เขาจะทรุดตัวลงนั่งที่ว่างข้างๆ กาแฟในมือถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนเขาจะวางมันลงบนโต๊ะ

“โอเค.. ฉันจะต้องการอะไร นายอยากให้อะไรฉันล่ะ” เขาพยักหน้าอย่างยอมแพ้ เมื่อเห็นผมเอาแต่เงียบแล้วก็จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาสีเข้มมีประกายสนุกสนานปะปนอยู่

“แต่ผมไม่มีอะไรเลย” ผมพูดออกไป แต่เดฟก็หลุดยิ้มแล้วส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่.. นายมี”

“แล้วมันคืออะไรกันแน่ จริงๆแล้ว” ผมขมวดคิ้ว

“ลองคิดดูด้วยตัวเองสิ” เดฟว่า เขาวางหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ลงข้างๆ แก้วกาแฟ ก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะเริ่มประสานกันบนหน้าตัก

ปลายนิ้วโป้งขยับสีกันไปมาเบาๆ ระหว่างที่ปล่อยให้ผมคิด

ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวผมมี ..

ไม่มีเลยสักอย่าง คนที่มีแต่ตัวอย่างผมจะไปมีอะไร เงินทองเหรอ อำนาจ ไม่มีอะไรที่ผมมีอยู่ในครอบครองเลยสักอย่างเดียว

ไม่มีอะไรเลย ..

นอกจากร่างกาย

!

“มีจริงๆ เหรอ.. สิ่งที่ผมมี แล้วคุณต้องการ” ผมกลืนน้ำลาย ฝ่ามือเริ่มเย็นชื้น และเหมือนจะแข็งค้างไปเลยเมื่อได้ยินคำตอบ

“มีสิ”

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงเข้ามาช่วยเหลือผมตั้งแต่แรก ใช่ไหม”

เดฟนิ่งชะงักไปกับคำถามนั้น เขาเคาะปลายนิ้วชี้เบาๆ สองสามครั้ง “อาจจะใช่”

“แล้วถ้าผมยกมันให้” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้ม “คุณจะพอใจหรือเปล่า”

“ก็อาจจะ” คำตอบนั้นเรียบง่าย เปล่งออกมาไหลลื่น ไม่สะดุดหู

หัวใจผมเริ่มทำงานหนัก พอๆ กับชีพจรของผมที่วิ่งขึ้นลง หูเริ่มถูกแทรกด้วยเสียงอื้ออึงเบาๆ นี่นี่เอง.. คำตอบที่ผมมองหามานาน

“ครั้งหนึ่งที่ผมให้ไปแล้ว ผมจะไม่สามารถเอาคืนได้อีก คุณรู้ใช่ไหม” ผมถามย้ำ ปลายนิ้วสั่นเล็กๆ ตามมาด้วยความรู้สึกชาหนึบข้างใน

แต่ว่าเดฟก็ช่วยเหลือผมมากจริงๆ ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้.. บางทีผมอาจจะอยู่ได้ไม่เกินสามวันแบบที่เขาเคยบอกไว้ก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอาคืน” เดฟพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แสงสว่างจากด้านนอกที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผมเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจนแม้ในห้องนี้จะไม่เปิดไฟสักดวง

ถ้าเป็นเดฟ.. ก็คงไม่เป็นไร

ผมคิดแบบนั้น ก่อนจะตัดสินใจยั้งทุกอย่างที่พุ่งผ่านเข้ามาในสมอง ปิดทุกความคิด และเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมสีดำสนิทช้าๆ

เดฟนิ่งไปแทบจะในทันทีกับการกระทำนั้น ความเงียบและการไม่ปฏิเสธที่ผมได้รับ ยิ่งย้ำสิ่งที่ผมคิดว่ามันถูกต้องแล้ว

ผมไม่ได้คิดอะไรผิดไป

พอความชัดเจนมาเยือนถึงที่ การตัดสินใจก็ถูกสั่งการต่อในเวลารวดเร็ว ผมสอดปลายนิ้วเข้าไปในเส้นผมนิ่ม ขยับใบหน้าไปใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่ชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ก่อนที่ริมฝีปากจะทาบลงกดจูบแผ่วเบา

ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง.. ผมเห็นดวงตาที่เบิกกว้าง

ก่อนที่เดฟจะกระชากทุกความนิ่งงันเมื่อครู่แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นความดิบเถื่อนที่ผมเกือบรับไม่ทัน เรียวลิ้นสอดแทรกเข้ามา พร้อมกับอากาศหายใจที่ถูกแย่งไป

หัวผมหมุนคว้างกับสิ่งที่เดฟยัดเยียดให้

ทุกความรู้สึกนึกคิดแตกกระจายเป็นวงกว้าง ในตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้นโซฟา

ผมทำแบบนี้อีกแล้ว..

เปลือกตาหรี่ปิดลงช้าๆ กับความเป็นจริงที่ผมคิดได้ กลิ่นบุหรี่แทรกตัวเข้ามาในปาก ล่อหลอกให้รู้สึกหลงใหลจนนึกโมโหตัวเอง

ผมขยับมือลงไปด้านล่างช้าๆ ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสกับซิปกางเกงของอีกฝ่าย

เดฟชะงักเล็กๆ ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออกแล้วกระซิบออกมาแผ่วเบา

“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” คำถามฟังดูน่าตลกจนเกือบทำให้หัวเราะออกมา

ผมลืมตาขึ้นมอง พบกับใบหน้าของเดฟที่อยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งคืบ

“รู้สิ..” ผมเม้มปาก

“รู้ว่ายังไง” เขาถามต่อ ลมหายใจอุ่นขาดห้วงในตอนที่ผมเริ่มขยับปลายนิ้ว เสียงซิปดังขัดในอากาศช้าๆ

“ร่างกายนี้เป็นทุกสิ่งที่อยากที่ผมมี..” ผมพึมพำติดริมฝีปาก มองเดฟที่เกร็งตัวเมื่อปลายนิ้วผมขยับแตะเข้าตรงเชิงกราน สัมผัสผิวเนื้ออุ่นด้วยปลายนิ้วเย็นเยียบ “และผมจะมอบมันให้คุณ แทนทุกคำขอบคุณ”

เดฟขบกรามแน่น

“และตอบแทนทุกบุญคุณที่เราเคยมีมา”

แล้วสายตาก็เปลี่ยนไปเป็นขุ่นขวาง เสียงคำรามขัดใจดังต่ำออกมาจากในลำคอ ก่อนที่ร่างสูงจะผุดขึ้นนั่ง เส้นผมสีดำสนิทถูกเสยลวกๆ ด้วยท่าทางหัวเสีย

เขาหันกลับมามองผม ดวงตาดุดันจนรู้สึกเหมือนกับว่าจะฆ่าให้ตาย

“ฉันไม่ต้องการ”

“.. ถ้าอย่างนั้น คุณต้องการอะไร” ผมกะพริบตา ความไม่เข้าใจฟาดผ่านลงกลางหัวราวกับฟ้าผ่า “แต่คุณเป็นคนบอกผมเอง”

คำทักท้วงของผมที่ดังขึ้น เรียกให้เดฟแสดงท่าทางก้าวร้าวออกมามากกว่าเดิม เขารูดซิปกางเกงขึ้น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ใบหน้าสะบัดลงต่ำพร้อมกับลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาแรงๆ

“ต้องการอะไรก็พูดสิ ผมมีแค่นี้จะให้ผมทำยังไง” ผมหลุดเสียงตะคอกออกไป เพราะยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งสติแตกเหมือนกับโดนปั่นหัวเล่นมากขึ้นทุกวันๆ

และนั่นมันไม่สนุกเลยสักนิด

เดฟหันมามอง ดวงตาขุ่นมัวขับให้อีกฝ่ายยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ ไหล่ของผมถูกกระชากแล้วกดแนบกับโซฟาจนรู้สึกถึงความเจ็บ เดฟแทรกเข่าข้างหนึ่งเข้ากลางลำตัว ก่อนที่ร่างกายสูงใหญ่จะขยับเบียดเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันบอกว่าอยากได้ร่างกายของนาย” เขากระชากเสียงห้วนสั้น ดวงตาปราดมองลงต่ำอย่างจงใจ

“ถ้าอยากได้แค่นั้นจะมาเสียเวลาให้ทำไมตั้งนานขนาดนี้ นายนี่ตลกเป็นบ้าเลยว่ะ” เสียงหัวเราะหยันขึ้นจมูกดังในท้ายประโยค เดฟหายใจเข้าลึกๆ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มเย็นขยับเข้ามาใกล้

“แล้วก็อย่าได้คิดจะไปขอบคุณใครด้วยวิธีแบบนี้อีก” ปลายจมูกโด่งแตะไล้ข้างใบหู กับน้ำเสียงข่มขู่ห้วนสั้น “ไม่งั้น.. นายมีปัญหาแน่”

ประโยคสุดท้ายที่เราคุยกันในวันนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดทั้งวัน ก่อนที่เดฟจะผุดลุกขึ้นยืน กระชากกุญแจรถและเสื้อแจ็คเก็ตออกจากบ้านไป

หายไปจากการมองเห็นของผมทั้งวัน.. จนเป็นผมเองที่เริ่มรู้สึก

เหมือนกับว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
«ตอบ #21 เมื่อ23-01-2017 15:50:03 »


10_
Foxy Walk




แล้วเขาก็ยอมกลับเข้าสู่การมองเห็นของผมอีกครั้ง

ยืนนิ่งพร้อมกับบุหรี่ในมือ ข้างๆ มอเตอร์ไซค์คันเดิม อยู่ตรงมุมถนนเดิม ทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ดวงตาดุตวัดมองมาในตอนที่ผมก้าวเท้าออกจากประตูที่ทำงาน ไม่มีคำทักทาย แล้วก็ไม่มีการคุยเล่นหยอกเย้าเหมือนที่เขาชอบทำเป็นประจำ

ร่างสูงแค่ขยับตัวขึ้นคร่อมฮาร์เลย์ นิ่งรอโดยไม่ปริปากพูด และกระชากตัวออกจากตรงนั้นแทบจะในทันทีที่ผมขึ้นซ้อนเรียบร้อย

เส้นผมสีดำสนิทสะบัดตามลมแรงรอบตัว ผมลอบมองต้นคอ ใบหู และเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายยามหันมองด้านข้าง

เดฟดูอึมครึมกว่าทุกที

ผมเม้มปาก เริ่มสัมผัสได้ถึงอาการมึนตึงที่ได้รับ และความรู้สึกไม่ดีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บรรยากาศที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าต้องทำอะไรสักอย่าง

แล้วฝ่ามือก็ขยับแตะชายเสื้ออีกฝ่ายช้าๆ..

ผมไม่ค่อยทำแบบนี้มากนัก ในตอนปกติ พอผมเริ่มชินกับการซ้อนท้ายฮาร์เลย์คันนี้ ผมก็หลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวเดฟด้วยการวางมือไว้ที่ขาตัวเองแทบจะตลอดเวลา

เดฟไม่เคยว่าอะไร และเขาก็จงใจขี่ช้าลงเพราะว่าผมพร้อมจะหล่นลงไปที่พื้นได้ตลอดเวลากับท่านั่งแบบนั้น

แล้วปลายนิ้วก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นที่แผ่ออกมาผ่านเสื้อยืด ผมลอบมองท่าทางที่อาจจะเกิดขึ้น อะไรบางอย่างตีวนขึ้นในอก เพราะท่าทางนิ่งเฉยที่ได้รับ

ให้ตาย ..

ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพยายามทำอะไรอยู่ แล้วต้องการอะไร

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ขยับมือที่กอดเอวอีกฝ่ายอยู่กลับทันที พร้อมกับใจที่หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มและปลายนิ้วที่เอื้อมคว้าชายเสื้อสีดำสนิทไว้ในมือก่อนที่สมองจะสั่งการอีกครั้ง ลมเย็นที่ตีกระทบหน้า กับร่างผมที่เกือบลงไปนอนอยู่บนพื้นถนนเพราะอยู่ดีๆ เดฟก็เร่งความเร็วขึ้นจนน่ากลัว

ผมมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้านิ่ง

ในชั่วพริบตาหนึ่ง ก็เหมือนถูกผลักให้ลอยคว้างอยู่กับความคิดไร้ซุ่มเสียง.. หัวสมองนึกซึมซับทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่

สายลม.. ความอื้ออึงในหู.. ไออุ่น.. แสงไฟที่ตกกระทบใบหน้าเรียบเฉย

เส้นผมสีดำกลืนไปกับความมืดของตอนกลางคืน ..

 

กับผมที่เริ่มใจเต้นแรงโดยไม่มีเหตุผล

 

 



สุดท้ายแล้วก็ไม่มีแม้แต่เสียงที่แทรกระหว่างเรา

ผมกำลังโดนเพิกเฉย ..

คำสรุปนั้น แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังสรุปได้ ผมยกมือขึ้นจับต้นคอ ความเมื่อยล้าจากการยืนล้างจานนานๆ เริ่มกัดกินจนอยากรีบไปนอนพักผ่อน แต่ความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเดฟก็เป็นตัวฉุดรั้งเอาไว้

ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ มองเดฟที่พอถึงบ้านก็เปิดประตู พาดเสื้อแจ็คเก็ตหนังไว้ลวกๆ บนโซฟา ก่อนจะเดินหายไปในห้องครัวและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแฮมเบอร์เกอร์ เขาวางมันบนโต๊ะ จำนวนสองชิ้นทำให้ผมรู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นของผม

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา เดฟตวัดตามอง ความนิ่งและดวงตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ทำให้ผมประหม่า ก่อนที่เขาจะเบือนสายตากลับไป

“เป็นอย่างที่ควรจะเป็น” คำตอบนั้นยิ่งทำให้ผมอึดอัดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ผมไม่เคยรู้มาก่อน.. ว่าผมชื่นชอบเดฟที่กวนโมโหและขี้เล่นมากขนาดนี้ อย่างน้อยก็มากกว่าเดฟในตอนนี้เยอะ

แล้วหลังจากนั้น ผมก็ไม่พูดอะไรอีก เช่นเดียวกันกับเดฟที่เอาแต่จ้องรายการข่าวท้องถิ่นในโทรทัศน์ ผมลอบก้มหน้าลง การหาวเป็นสัญญาณเรียกร้องให้ผมพาตัวเองไปพักสักที แต่ก็เท่านั้น ดูเหมือนร่างกายผมจะไม่ยอมฟังคำสั่งนั้นและยังนั่งอยู่ที่เดิม

เที่ยงคืนครึ่ง.. ตีหนึ่ง.. ตีหนึ่งเจ็ดนาที

ผมถอนหายใจ ยกหลังมือขึ้นทาบเปลือกตา ก่อนจะพบว่าเดฟจ้องมองมาในความมืด

“อะไร”

“ทำไมไม่ไปนอน” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ทำไมน่ะเหรอ.. เพราะใครล่ะ

พอเดฟทำตัวผิดแปลกไป ผมก็พานทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะเฉยๆ นั่นไงเหตุผล

“ผมดูข่าวอยู่ ข่าวจบแล้วจะไป” ผมตอบปัด ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกแช่ให้แข็งค้างเพราะเดฟที่เอาแต่ทำหน้านิ่งมาทั้งวันหลุดยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากออกมา

แต่ความดีใจที่เกิดขึ้นนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน

“อะไร..”

เดฟหุบยิ้ม เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “ถ้าตั้งใจอยากดูมากขนาดนั้น ฉันก็ต้องขอโทษด้วย.. ที่เปลี่ยนช่องตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”

!

ใบหน้าผมสะบัดกลับไปทางจอทีวีทันที หมีตัวใหญ่สีดำสนิทกำลังยืนสองขาเป็นภาพแรกที่ผมมองเห็น สมองเหมือนถูกตบแรงๆ จนสั่นเบลอ ก่อนที่ผมจะพบว่าตัวเองเพิ่งโชว์อ่อนไปเต็มๆ เมื่อครู่

“ถ้านายง่วงก็ไปนอน หรืออยากจะอยู่ต่อก็ได้นะ.. ถ้าอยากดูข่าวต่ออีก” ผมขยับตัวลุกขึ้นยืน เสียงของเดฟลอยวนอยู่ในช่องหู ดวงตาฉายประกายประหลาดชวนให้ใจภายในเต้นกระตุก ฝ่าเท้าก้าวยาวๆ ผ่านแทซที่นอนหมอบอยู่บนพื้นพรมเล็กๆ สีแดงเลือดหมู

แย่..

เมื่อกี้นี้แย่ชะมัด ผมทำบ้าอะไรลงไป





 

She’s ripped
She knocks me out in the first round

She towers over every time that I lay down

She’s fucked up
She’s got me bouncing till sundown

Two drinks in she’s the queen of the half crown

 

เสียงเพลงที่ดังลั่นมาจากทางโรงซ่อมดึงให้ผมพาตัวเองออกจากบ้าน แทซพ่นลมออกทางจมูกฟืดฟาด ก่อนจะขยับเท้าวิ่งเหยาะๆ ตามมาติดๆ กลิ่นใบไม้และอากาศเย็นชื้นแตะเข้าประสาทสัมผัสในตอนที่ผมก้าวเท้าผ่านทางเชื่อม พอประตูไม้เก่าๆ ที่กั้นอาณาเขตบ้านกับอู่รถถูกดันให้เปิดออก ร่างของใครอีกคนก็ปรากฏให้เห็นในสายตาทันที

เดฟในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ผ้าผืนยาวสีเทาเลอะไปด้วยคราบน้ำมันดำๆ ถูกยัดลวกๆ แล้วปล่อยให้ชายผ้าห้อยลงมาจากขอบกางเกง แทซวิ่งผ่านร่างของผมไป ก่อนจะทรุดนั่งแลบลิ้นอยู่ข้างเดฟ

เขารู้ว่าผมอยู่ที่นี่ด้วย..

เพราะสายตาที่เหลือบมองมา ก่อนที่เขาจะเบนความสนใจกลับไปที่ฮาร์เลย์คันใหญ่และอุปกรณ์ช่างโดยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำทักทายหรือพูดอะไรกับผมสักประโยคเดียว

หลังจากเมื่อคืนที่หนีไปนอน ตื่นเช้ามาอีกวันหนึ่ง เดฟก็หายไปทั้งวัน และเนื่องจากวันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ผมเลยไม่มีความจำเป็นต้องไปทำงาน

และอีกนัยก็คือ ผมไม่พบกับเดฟในค่ำคืนนั้นเช่นกัน

เช้าอีกวัน วันศุกร์.. ผมตื่นนอนมาตอนเช้า พบกับซุปข้าวโพดอุ่นๆ ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัว ไม่มีโน้ต ไม่มีคำสั่ง ไม่มีแม้แต่เงาของผู้ที่นำมันมาที่นี่

แล้วก็วันนี้.. เดฟยอมปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกครั้งในรอบหลายวัน และเขาก็ยังทำเป็นเพิกเฉยผมเหมือนเดิม

ผมรู้สึกแย่ไหมกับการที่โดนเมินติดๆ กันเป็นวันๆ แบบนี้

แม่งโคตรห่วยเลยล่ะ

และผมคิดว่าวันนี้ควรเป็นวันสุดท้ายได้แล้ว ที่เขาจะปล่อยให้ผมจมอยู่กับความอึดอัดและคำถามว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้

ผมขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ เดฟยังทำนิ่งและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นผมไม่เปลี่ยน ร่างสูงชะงักมือเล็กน้อย เมื่อผมเดินไปขวางกลางระหว่างตัวเขากับชั้นวางเครื่องมือขนาดใหญ่

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถอนหายใจ ก่อนตวัดตามองผมที่แกล้งทำเป็นใจกล้าทั้งๆ ที่ในหัวกำลังว่างเปล่าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะต้องพูดอะไร

พอได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้อีกครั้ง.. กลับกลายเป็นผมเองที่พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา

“.. ไม่ ไม่มี” น้ำเสียงกระอักกระอ่วนฟังดูเป็นคนขี้แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ผมหาคำพูดของตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเข้มขึ้นจนเกือบจะเป็นดำ เขาจ้องมองมา จนผมเองเป็นฝ่ายยอมแพ้และหลบสายตาก่อน

ความเงียบขั้นกลางระหว่างเรา ก่อนที่เดฟจะยิ้มออกมานิดๆ แล้วก้มมองพื้น

“ถ้าไม่มีก็หลบไป” คำพูดร้ายกาจนั่นถูกปล่อยออกมาง่ายๆ และขาของผมขยับทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีข้อขัดขืน เพราะว่ามันถูกสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จริงจัง

และผมรู้ดีว่าลึกๆ ในตัวเองกำลังตะโกนร้องสั่งอย่างบ้าคลั่ง ว่าผมควรจะปฏิบัติตาม

เดฟฉายความพึงพอใจในแววตา ก่อนที่มือของผมฉวยจับชายเสื้อสีดำสนิทไว้แน่นในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป เดฟหยุดทุกการเคลื่อนไหวแทบจะในทันที เขาก้มหน้าลงมองการยึดจับไร้สตินั่น แล้วก็กดดันผมด้วยความเงียบอีกเช่นเคย

“ขอโทษ..” ผมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด น้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินจากตัวเองเป็นตัวยืนยันว่าผมไม่แม้แต่จะมั่นใจด้วยซ้ำตอนพูดมันออกไป

เดฟหันกลับมา เขากวาดสายตาขึ้นสบกับผมช้าๆ ทุกความคิดถูกเหยียบไว้จนมิดและผมมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้

อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ เขาเช็ดฝ่ามือตัวเองเข้ากับชายผ้าเช็ดมือ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ผมช้าๆ กลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์ลอยเข้าประสาทการรับรู้พร้อมๆ กับสะโพกของผมที่แนบชิดอยู่กับโต๊ะวางอุปกรณ์ เสียงครืดดังขึ้นจากการที่ผมชนมันเข้าเต็มๆ

แล้วเดฟก็หยุดเดินในที่สุด หยุดในความห่างที่ชวนให้รู้สึกแปลกประหลาด และกลับกลายเป็นผมเองที่รู้สึกอ่อนแอในสถานการณ์ตรงหน้า

“นายขอโทษเรื่องอะไรล่ะ” เขาเอียงหัวเล็กๆ สีหน้าสงสัยถูกฉายออกมาอย่างจงใจ

“..ทุกเรื่อง” ใช้เวลาไม่นานนักในการกลั่นกรองคำตอบโง่ๆ นั่น มันเป็นคำตอบที่กว้างและหว่านแหที่สุดเท่าที่ผมเคยคิดได้

เดฟอมยิ้ม และแค่ยิ้มเดียวเท่านั้นที่สร้างความรู้สึกสับสนให้เกิดขึ้นจนน่าหงุดหงิด

ทำไมผมถึงต้องเป็นฝ่ายรู้สึกผิดและพ่ายแพ้แบบนี้ ทั้งๆ ที่คนผิดควรจะเป็นเขา

“แล้วอะไรคือ ทุกเรื่อง ที่นายกำลังพูดถึงล่ะ” เขาขยับเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว

และผมถอยหลังอยู่ที่เดิมเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง

“ทุกเรื่อง ก็คือ ทุกเรื่อง” ผมตอบสั้นๆ “ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่อาจทำให้คุณไม่พอใจ”

“ทำไมฉันจะต้องไม่พอใจอะไรด้วย” เขาเลิกคิ้ว “นายทำอะไร ฉันถึงจะต้องรู้สึกแบบนั้น”

ให้ตายเถอะ

ผมรู้สึกเหมือนถูกปั่นด้วยมือที่มองไม่เห็น แค่คำพูดไม่กี่คำทำเอาหัวหมุนจนคิดอะไรไม่ออก ผมรู้ซึ้งถึงการโดนต้อนจากคนตรงหน้าเป็นอย่างดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

ผมน่าจะรู้ว่าเขาเก่งในเรื่องนี้มากขนาดไหน และผมไม่มีทางชนะมันได้เลย

มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถเจ้าเล่ห์ร้ายกาจได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“โอเค” ผมเม้มปาก ลำคอแห้งผากจนเสียงที่ออกมาฟังดูแปลกแปร่ง ผมสบตากับเดฟ ไม่มีความจำเป็นต้องโยกโย้เฉไฉกันอีกต่อไป ในเมื่อเขาบีบบังคับให้ผมพูดมันออกมาชัดๆ ด้วยตัวเองขนาดนี้

เดฟนิ่งฟัง ในตอนที่ผมกลั่นกรองคำพูดพร้อมกับหัวใจที่เต้นกระตุกแรง

“ผมขอโทษ.. ที่ดูถูกคุณวันนั้น” ผมลอบจิกปลายนิ้วเข้าฝ่ามือแรงๆ เพื่อควบคุมสติ “ขอโทษที่.. ตีความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้ผมเป็นอะไรที่ไร้ค่าแบบนั้น และผมก็สำนึกแล้วว่า นั่นมันเป็นการกระทำที่แย่มาก”

ผมมองเดฟนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววประหลาดก่อนจะจางหายไป

“ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้วจริงๆ .. และผมก็ห่วยแตกในเรื่องการพูดอะไรพวกนี้มากๆ ด้วย” ผมพึมพำในท้ายประโยค ก่อนหลุบตาต่ำลงมองปลายเท้าตัวเอง

ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

มีเพียงเสียงดนตรีดังลั่นเท่านั้นที่ยังทำหน้าที่ของมันต่อไป

“ไม่เลย นายไม่ได้ห่วยในเรื่องนี้..” เขาว่า “ออกจะเก่งด้วยซ้ำไป”

เดฟผ่อนลมหายใจช้าๆ เพราะผมก้มหน้าอยู่ ผมถึงเห็นไม่เห็นว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ มีเพียงท่อนแขนแข็งแรงเท่านั้นที่ขยับมาข้างหน้า ฝ่ามือใหญ่พาดผ่านช่วงเอวของผมไปช้าๆ ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะขยับเข้ามาใกล้

“แล้วก็ถ้าอยากได้ยินความจริงมากนัก”


But can't you give me a fix, so I'm craving confidence?
Well, I reek of sweat and teenage innocence



“ฉันไม่ได้คิดว่าสิ่งที่นายจะให้วันนั้นมันไร้ค่า.. ฉันไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าไม่อยากได้มัน”


Well, I want you so, but I know you'll never know
Cause I'm too shy, I'm too shy for the hometown girl!

 
“แต่ความจริงก็คือ.. ฉันไม่ได้อยากได้แค่นั้น”

!!

ลมหายใจอุ่นร้อนโลมไล้ใบหู ผมชะงักค้างไปกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงกระทบกันของโลหะลั่นเข้าประสาท ก่อนที่เดฟจะผละออกไป ใบหน้าที่เคยนิ่งสนิท ตอนนี้ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก

พร้อมกับประแจสีเงินขนาดใหญ่ในฝ่ามือที่เขาเพิ่งเอื้อมหยิบมาจากด้านหลังของผมเมื่อครู่

ดวงตาสีเข้มห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งฟุตฉายแววจริงจัง ราวกับเขากำลังกล่าวประโยคที่ซื่อตรงที่สุดในชีวิต

“ร่างกาย.. ความรู้สึก.. รอยยิ้ม.. สายตา.. เสียงเรียก และทุกๆ ตารางเมตรในความคิดของนาย”

“…”



“ฉันอยากได้มัน.. ทั้งหมด”




____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
«ตอบ #22 เมื่อ23-01-2017 17:30:24 »

เดฟ โลภมากนะเรา~ :hao7:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
«ตอบ #23 เมื่อ23-01-2017 18:42:22 »

.. ฉันไม่ได้อยากได้แค่นั้น”
“ร่างกาย.. ความรู้สึก.. รอยยิ้ม.. สายตา.. เสียงเรียก และทุกๆ ตารางเมตรในความคิดของนาย”
“…”
“ฉันอยากได้มัน.. ทั้งหมด”
โอ๊ย.......เดฟ นายยอดมาก  :z3: :z3: :z3:
เอาหัวใจคนอ่านไปเล้ย ❤️❤️❤️❤️❤️
ฟลอยด์ นายจะซึนขนาดไหนก็ตาม
นายควรรับรู้ ความอบอุ่น ความรัก ความต้องการ ของเดฟ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ไรท์ สุดยอด เขียนดีมากกกกกก ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
«ตอบ #24 เมื่อ23-01-2017 22:08:07 »

 :jul :ling1:

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.11 Something In You (24/01/2560)
«ตอบ #25 เมื่อ24-01-2017 13:50:38 »


11_
Something In You




เดาสิว่าเกิดอะไรหลังจากนั้น ..

ผมรีบพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ไม่มีการต่อบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากผมที่รีบพาตัวเองเดินเร็วๆ จนแทบจะเป็นวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน โชคดีที่เดฟเองก็ดูไม่ได้จะต้องการสื่อสารอะไรต่อแล้ว เขาถึงปล่อยให้ผมทำแบบนั้นได้ง่ายๆ

แล้วทุกอย่างก็เกือบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหลังจากวันนั้น

เดฟกลับมาอยู่ในการมองเห็นของผมบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน คำแซว การหยอกล้อ รอยยิ้ม การทักทาย ผมได้รับมันเหมือนเคย

แต่ที่บอกว่า เกือบ จะกลับเป็นเหมือนเดิม.. มันมีอะไรผิดเพี้ยนไปคือตัวของผมเอง

การสบตาเดฟตรงๆ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากแล้วในเวลานี้ ความร้อนแผ่ลามจนถึงใบหู และผมที่ควบคุมตัวเองไม่ให้รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

สาบานเถอะ ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมเข้าใกล้

แต่พระเจ้า ตลกหรือเปล่า แค่มองยังทำไม่ได้เนี่ยมันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอสำหรับคนที่เคยทำอาชีพอย่างว่าอย่างผมน่ะ

“อะไรคือสีหน้านั่นน่ะ” เดฟทักขึ้น ดึงสายตาผมให้หันไปมอง ใบหน้าอารมณ์ดีฉายแววขบขันออกมาตรงๆ

“ไม่มีอะไร” ผมขมวดคิ้ว และเดฟทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงตบประตูที่ดังขัดขึ้นระหว่างเราดึงเขาให้ชะงักการกระทำนั้น ร่างสูงวางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะ ก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวตรงไปที่บานประตู

ผู้ชายรูปร่างผอมสูง และหนวดสีดำสนิทเหมือนกับสีผม ผมจำได้ ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ขี่ฮาร์เลย์ไปที่บาร์เก่าๆ นั่นกับเราวันนั้น ดวงตาคมหรี่ตวัดมองผมเล็กน้อยตอนที่เขาเดินตามเดฟเข้ามาในตัวบ้าน

“วันนี้วันเสาร์” เขาเกริ่นขึ้นมา สะโพกภายใต้กางเกงยีนส์สีดำสนิทพิงชิดกับขอบโซฟาอีกตัวที่อยู่ไม่ไกล

เดฟเลิกคิ้ว กระป๋องเบียร์ถูกหยิบขึ้นมาถืออีกครั้ง “แล้วไง”

“ไม่เอาน่า วันนี้วันเสาร์ นายก็รู้ธรรมเนียมของเราดี นายไม่ได้ไปที่นั่นมาสองอาทิตย์ติดกันแล้วนะ” ผู้ชายแปลกหน้าวาดมือขึ้นทำท่าท้วงกลายๆ กลางอากาศ

“ตกลงว่านายมาวันนี้แค่จะลากฉันไปงั้นสิ” เดฟหยิบซองบุหรี่ที่วางข้างๆ ขึ้นมาถือ ดวงตาช้อนมองผู้ชายคนนั้น ขณะค่อยๆ เคาะมวนบุหรี่ให้ไหลออกจากซอง

เสียงกลไกไฟแช็กลั่นเข้าใบหู และผมได้แต่พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดราวกับไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้

“วันจันทร์ฉันต้องไปดูเด็กเม็กซิกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง ทำไมนายไม่ลองไปบุกบ้านทิมดูบ้างล่ะ”

“ไม่เอาน่าเดฟ ไอ้ทิมมันเก่งซะที่ไหน ฉันยังต้องการเงินพนันไปเลี้ยงลูกเมียนะ ช่วงนี้เรามีปัญหากับพวกข้ามถิ่น นายก็รู้นี่ว่าสภาพการเงินของเราก็ถูกกระทบไปด้วย”

“ฉันรู้ ใจเย็นน่าชาร์ลี” เดฟถอนหายใจช้าๆ ดวงตาฉายประกายวาบขึ้นมาเสี้ยววินาที “พวกมันอยู่ได้ไม่นานนักหรอก..”

“ยังไงก็ตาม ไอ้หนุ่มนี่คือผู้ชายคนนั้นงั้นสิ” ผู้ชายที่ชื่อชาร์ลีพยักพเยิดมาทางผม “ที่ว่ามันตามมาเอาเรื่องถึงที่นี่”

“ใช่”

“นายก็เลย..” เขาลากเสียงช้าๆ ดวงตาเหลือบกลับมาสบกับเดฟที่ยกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก “เอาเขามาอยู่ด้วยเนี่ยนะ”

เดฟเงียบไปชั่วอึดใจ บุหรี่ในมือถูกสูบเข้าปอดลึกและยาวนานกว่าทุกครั้ง ก่อนที่เขาจะปล่อยมันออกมา “ใช่”

ดีเลย คำตอบนั้นเรียบง่าย.. และทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางขึ้นมาเฉยๆ

“นายทำอะไรผิดวิสัย เดฟ” ชาร์ลีขมวดคิ้ว

“ไม่.. สำหรับครั้งนี้” เดฟตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉื่อย “พอตอนนี้นายก็เปลี่ยนมาเป็นไล่ซักฉันแทนซะงั้นเหรอ ตกลงว่าอยากรู้เรื่องของฉันหรือว่าอยากให้ฉันไปช่วยมากกว่ากันล่ะ”

“เฮ้ ใจเย็นๆ” ชาร์ลียกมือขึ้นกลางอากาศ เขายังลอบมองผมอีกครั้ง ก่อนจะยอมเปลี่ยนเรื่องกลับไปแต่โดยดี “สามทุ่มเจอกัน แล้วฉันจะปิดปากให้สนิทเลยล่ะ”

“ไปได้แล้ว” เดฟพยักหน้าส่งๆ ไปทางประตู ความเงียบเกิดขึ้นชั่วคราวระหว่างที่เรามองชาร์ลีเดินออกจากบ้านไป

แล้วเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ปลดทุกอย่างให้กลับสู่อย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานใช่ไหม” เดฟถามขึ้นเบาๆ

“.. ใช่” และใช่ ผมไม่ต้องไปทำงานวันนี้ทั้งๆ ที่เป็นวันเสาร์ เพราะมีคนรวยสักคนไปเหมาที่นั่นสำหรับจัดงานปาร์ตี้วันเกิดอะไรพวกนั้น และทุกงานในกะของผมไม่จำเป็นต้องไป

ข่าวของเดฟรวดเร็วเสมอ ผมน่าจะรู้ดี

แต่ผมไม่คิดว่ามันจะลามมาจนถึงเรื่องภายในที่ทำงานของผมด้วย

กลิ่นบุหรี่ที่มีตัวตนชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมยอมหันกลับไปมองด้านหลัง เดฟไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้ว เขายืนซ้อนอยู่ด้านหลังของโซฟาที่ผมนั่ง ฝ่ามือวางทาบลงบนพนัก แหวนสีเงินที่สวมใส่อยู่ยิ่งขับให้ฝ่ามือนั้นมีอิทธิพลต่อสายตา

“คืนนี้ไปด้วยกันสิ” คำชวนไม่มีที่มาที่ไปทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กๆ

“ไปที่ไหน”

“เดอะรูท”

“ผมจะไปทำไมล่ะ” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่นี้คือที่ไหน แล้วก็ด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทำไมและมีประโยชน์อะไรที่นั่น

แล้วเดฟก็โน้มตัวมาข้างหน้าช้าๆ ท่อนแขนแข็งแรงไถลงจนแนบกับเบาะ ฝ่ามือยื่นมากุมจับกันเองด้านหน้า เขาโคลงหัวเล็กน้อย เส้นผมสีดำตกลงปรกหน้าผาก ดวงตาเหลือบมองด้านบนราวกับกำลังค้นหาอะไรสักอย่างในความคิด

“เขาเรียกว่าอะไรกันนะ…”

“…”


“กำลังใจ ใช่หรือเปล่า”









“นายนั่งอยู่แถวๆ นี้แหละ ถ้าเบื่อหน้ากรงก็ไปนั่งเล่นตรงบาร์ ลงบัญชีชื่อ MC พยายามอย่าเดินไปไหนไกล ถ้าเราจะกลับกันแล้วไม่เจอนายแม่งเสียเวลา” ชาร์ลีออกคำสั่ง ผมพยักหน้ารับง่ายๆ มองตามแผ่นหลังชาร์ลีกับผู้ชายในแก๊งค์ที่ผมไม่รู้จักอีกสองคนที่เดินนำไปข้างหน้า

ลมหายใจเผลอกลั้นเล็กๆ เมื่อตรงช่วงเอวสัมผัสได้ถึงแรงจับ เดฟเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย เขายิ้มบางๆ ก่อนจะโน้มหน้ามาออกคำสั่งเพิ่มเติมข้างใบหู

“อย่าไปไหนไกล” และผมก็พยักหน้าอีกครั้ง

ผมไม่คิดจะไปไหนไกลอยู่แล้ว นั่นมันออกจะดูเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเกินไปหน่อย และผมไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวมากขนาดนั้น อีกอย่าง สถานที่แบบนี้ก็ไม่ได้เชิญชวนให้ต้องเดินชมด้วย มันทั้งมืด เต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดกัน แล้วก็กลิ่นของเหงื่อแล้วก็เลือดที่ไม่พึงประสงค์

ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ มันอยู่ในตำแหน่งที่ดี ไม่ไกลจากตรงกรงที่ให้คนเข้าไปสู้กัน แล้วก็เห็นได้ชัดเจนดีด้วย.. ใช่ อาจจะเป็นตำแหน่งที่ดีสำหรับหลายๆ คน แต่ไม่ใช่ผมแล้วคนหนึ่ง

“เห้ย ไอ้หนุ่ม จะเอาอะไรไหม” ผมเหลือบตามองผู้ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนบาร์ และกำลังจ้องตรงมาที่ผม

“น้ำเปล่าก็ได้ครับ.. ขอบคุณ” ผมตอบ “ลงที่บัญชีชื่อว่า MC”

“น้ำเปล่าฟรี” น้ำเสียงแข็งกระด้างสวนกลับมา พร้อมกับแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้า ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรถูกส่งมา แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับพฤติกรรมแบบนั้น

จะให้คาดหวังความเป็นมิตรจากใครในสถานที่แบบนี้เหรอ

อีกอย่าง หน้าตาของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับการพูดจาดีๆ อยู่แล้ว

แล้วเสียงกู่ร้องก็ดังลั่นขึ้นกลางอากาศ ผมเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงที่คุ้นเคยตอนนี้ดูแปลกตาไป เดฟยืนนิ่งอยู่ข้างบนนั่น ในกรงที่ยกสูงขึ้นจากพื้น เต็มไปด้วยผู้คนมุงดูอยู่ด้านล่าง รอยยิ้มที่ผมมักจะมองเห็นเสมอ ตอนนี้ไร้ตัวตนอยู่บนใบหน้าเรียบนิ่ง

นี่อาจจะเป็นครั้งแรก ที่รอยสักตรงสะโพกของอีกฝ่ายดึงดูดให้ผมมองเต็มๆ ตา ผมไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร เพราะความมืดรอบๆ ตัวไม่ทำให้การมองเห็นดีเท่าที่ควรจะเป็น

สิ่งเดียวที่เด่นชัดตอนนี้.. เห็นทีจะมีเพียงแค่แท็กสีเงินที่อีกฝ่ายห้อยอยู่ที่คอ กับใบหน้าจริงจังที่ยิ่งส่งเสริมให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก และยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นกว่านั้นอีกเมื่อผู้ชายอีกคนเดินขึ้นไปบนนั้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว เสียงหมัดดังลั่นเข้าโสตประสาท พร้อมกับผู้ชมที่บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะกลิ่นเลือดที่แผ่กระจายรอบสถานที่

“เขาเก่งนะ” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านข้างดึงผมให้หันไปมอง

ผู้ชายตัวสูงใหญ่ ผมสีน้ำตาลอ่อน ตาสีฟ้าเหลือบไปทางเขียว ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นักเพราะความมืดบิดเบือนการมองเห็นไปหมด รอยช้ำบนใบหน้าทำให้ผมพอเดาได้ ว่าเขาก็ขึ้นไปสู้บนนั้นมาเหมือนกัน

“ไม่รู้สิ” ผมตอบกลับไป เดฟอาจจะเก่ง ผมหมายถึง จากที่เห็นตอนนี้ เขาก็ดูเก่งจริงๆ นั่นแหละ เพราะผู้ชายอีกคนที่ทำท่าโงนเงนเหมือนเสียการทรงตัวน่าจะยืนอยู่แบบนั้นได้อีกไม่นาน

“นายรู้จักเขาไหม” อีกฝ่ายยังชวนคุยต่อ แก้วเหล้าในมือถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก ขณะที่ดวงตาหรี่ลงจ้องมองผม

“ฉันเห็นนายมองเขา”

“ใครๆ ก็มองเขาทั้งนั้นตอนนี้” ผมมองตรงไปที่เดฟ เดฟที่สร้างความรู้สึกตื่นเต้นลึกๆ ในใจมากกว่าความรู้สึกหวาดกลัว

ความรู้สึกของผมมันรวนไปหมด.. เหมือนกับคนบ้าที่ทำทุกอย่างในชีวิตผิดเพี้ยน

“แต่ไม่ใช่วิธีที่นายมองเขาแน่ ไม่รู้เหรอว่าสายตาของนาย ไม่ได้มองขึ้นไปบนนั้นเหมือนคนแปลกหน้ามองการแสดง” ผมตีหน้าเรียบนิ่ง รับฟังประโยคนั้นพร้อมกับดวงตาที่เบนกลับไปมองผู้ชายแปลกหน้าคนเดิม

“ไม่รู้สิ..” แล้วผมก็ตอบกลับไปด้วยประโยคเดิมอีกครั้ง เสียงพึมพำติดริมฝีปากกับความคิดประหลาดที่แล่นผ่านสมอง “บางครั้งก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น”

“เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้อะไรเลย”

หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ผมนึกขำความรู้สึกวูบไหวแปลกๆ พวกนี้ไม่ได้

“งั้นเหรอ..” ผู้ชายคนเดิมส่งเสียง หลังจากที่เราปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ร่วมนาที ดวงตาเป็นประกายหรี่แคบลง มันเป็นท่าทางของการลองเชิง

“อยากไปหาอะไรทำต่อด้วยกันไหม หลังจากนี้”

“ไม่” ผมตอบ ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด อีกฝ่ายชะงักไป แล้วความไม่พอใจก็เริ่มระบายทั่วใบหน้า

อย่างกับเด็กที่หัวเสียเวลาไม่ได้ดั่งใจ

ผมขยับยิ้ม ใบหน้าพยักพเยิดไปทางกรงเหล็กกลางลาน “ผมต้องกลับบ้าน.. กับคนแปลกหน้าที่อยู่บนนั้น”

เขานิ่งไปหลังจากที่ได้ยิน

“ทำไมคุณไม่ชวนสาวๆ พวกนั้นล่ะ ผมเห็นพวกเธอจ้องมาทางนี้สักพักหนึ่งแล้ว”

ดวงตาสีอ่อนเหลือบกลับไปมองทางที่ผมแนะนำ เขาส่ายหน้า หันกลับมาและเริ่มระบายยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “ตลกดีนะ แต่ฉันจะพูดให้ชัดเจนก็ได้”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงไม่มีความรู้สึกอยากจะฟังมันมากขนาดนั้น

“ฉันเป็นเกย์..” เขาพูดเสียงเรียบ ดวงตาหยีลงพร้อมกับรอยยิ้ม “แล้วฉันก็มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวนาย”

ผมไม่ค่อยชอบสถานการณ์ในตอนนี้เท่าไหร่.. มันให้ความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเลือกที่จะเพิกเฉยต่อมันแล้วก็นั่งเงียบๆ

แย่หน่อยที่เนวาด้าไม่เคยสอนวิธีปฏิเสธลูกค้า ดังนั้นผมเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะทำอะไรในตอนนี้ถึงจะเข้าท่าและไม่ทำให้เกิดเรื่อง

“ทำไมกันนะ?” เขาทอดเสียงเบา ปลายนิ้วขยับเคาะบาร์ ขณะทำท่าครุ่นคิด

และผมน่าจะรู้ ว่าคนเรากระหายที่จะหาเรื่องใส่ตัวเองกันทั้งนั้น ผู้ชายคนเดิมดีดนิ้ว เขายิ้มกว้างพร้อมกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์

“ฉันรู้แล้ว…” เขาวางแก้วเหล้าลงบนบาร์ ดวงตาจ้องลึกเข้ามาในตาผมนิ่ง “ถ้าฉันไปขออนุญาตคนแปลกหน้าของนายได้ จะยอมไปด้วยกันไหมล่ะ”

ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นบ้าแน่ๆ …

แต่อาจจะเป็นผมที่บ้ามากกว่า เพราะท้องไส้ที่บิดเป็นเกลียวและความอยากรู้ในคำตอบนั่น

ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากบาร์แล้วเดินตรงดิ่งไปทางลาน

เขาดูมั่นใจ..

แต่ความมั่นใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ข้างในเลยสักนิด

ความมั่นใจ ความหวัง ที่ว่าเดฟจะไม่มีทางยอมให้ผมไป

เขาเดินไปพูดอะไรสักอย่างกับคนคุมประตู ก่อนที่ตัวเขาจะเดินเข้าไปข้างใน สวนทางกับผู้ชายคนเดิมที่โดนหิ้วปีกออกมาโดยการ์ดร่างใหญ่สองคน

ริมฝีปากเหยียดยิ้ม และเริ่มขยับพูดอะไรบางอย่างตรงหน้าเดฟ

ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นพูดอะไรออกไป ระยะห่างที่มีมากเกินไป รวมทั้งเสียงโห่ร้องของผู้คนรอบกายปิดทุกการรับรู้ และสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือจ้องมองไปยังด้านบน

ดวงตาทั้งสองคู่เหลือบมองกลับมาทางผมที่นั่งอยู่แทบจะพร้อมๆ กัน

เดฟเบิกตากว้าง สันกรามบดเข้าหากัน

เขาดูไม่เป็นมิตรมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกในตอนนี้ และก่อนที่ผมจะได้จับจ้องอะไรมากไปกว่านั้น ทั้งสองคนก็เริ่มขยับตัว

เสียงหมัดกระทบผิวเนื้อดังลั่น พร้อมกับความรุนแรงที่ฉายภาพต่อเนื่องยาวนาน

กลิ่นคาวเลือดและเหงื่อ ความดิบเถื่อนน่ากลัวชวนให้เบือนหน้าหนี เดฟกระแทกผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นจนร่างเบียดแนบกับกรงเหล็ก ก่อนที่ฝ่ามือข้างหนึ่งจะบีบเน้นเข้าที่ลำคอเพื่อไม่ให้หันหนี แล้วเริ่มออกแรงต่อยแรงๆ ด้วยมืออีกข้าง

ผมไม่ใช่คนที่ชื่นชอบอะไรพวกนี้มากนัก

ในความเป็นจริง ผมควรจะเบือนหน้าหนีไป หยุดมองความก้าวร้าวที่ถูกแสดงออกมา จากผู้ชายที่มักจะแสดงด้านดีกว่านี้ให้ผมเห็น

 

ที่น่าแปลกก็คือ.. ในตอนนี้ ผมกลับละสายตาออกจากเดฟไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

พรัอมกับหัวใจที่เต้นแรงและเริ่มกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งภายใต้ท่าทางสงบนิ่งที่ผมสร้างขึ้นกลบเกลื่อน

 

 

 

 

พอจบการต่อสู้ครั้งนั้น ดูเหมือนความมั่นใจของผู้ชายคนนั้นจะถูกฝังลงดิน กลบให้หายไปพร้อมกับสติสุดท้ายที่ถูกกระชากเมื่อเดฟปล่อยให้อีกฝ่ายร่วงลงบนพื้นแล้วใช้เท้าเตะอัดเข้าไปที่ช่องท้อง เลือดสีเข้มถูกถ่มออกจากปากลงบนพื้นพร้อมกับน้ำลาย ก่อนที่เดฟจะก้าวยาวๆ ออกจากบนเวทีด้วยหน้าตาถมึงทึง ฝ่ามือฉวยหยิบเสื้อที่เคยใส่ขึ้นมาสวมทับอีกครั้งอย่างลวกๆ

เดินกลับมาหาผมที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับน้ำดื่มของผมที่ถูกแย่งไปจากมือ เขายกน้ำเปล่าขึ้นกระดกจนหมด ก่อนจะกระแทกแก้วลงบนเคาน์เตอร์บาร์จนเกิดเสียงดัง

ผมที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป แน่นอนว่าก็ทำได้เพียงแค่เงียบเท่านั้น เงียบและมองท่าทางขุ่นขวางและสายตาไม่พอใจของเดฟที่ตวัดมองมา เขาเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะคว้าจับเข้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม

ผมเม้มปาก ขึ้นซ้อนฮาร์เลย์ด้วยความรู้สึกสับสน เดินตามกลับเข้าไปในบ้าน และทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ปราศจากคำพูดระหว่างเราจนกระทั่งถึงตอนนี้

“เจ็บหรือเปล่า” ผมถามออกไปในที่สุด จ้องมองเดฟที่ถอดเสื้อที่เคยสวมใส่แล้วเขวี้ยงมันมั่วๆ ลงไปบนโซฟา

เขาเดินหายเข้าไปในโซนครัว และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลและขวดแอลกอฮอล์

เราสบตากัน ตอนที่เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ผมไล่สำรวจบาดแผล รอยฟกช้ำและคราบเลือดบนใบหน้าถมึงทึง ส่วนเดฟดุนลิ้นเข้าที่กระพุ้งแก้มช้าๆ เนิ่นนาน เสียงลมหายใจผ่อนออกแรงๆ ก่อนที่ร่างสูงจะขยับเข้ามาใกล้

กล่องปฐมพยาบาลถูกโยนลงบนโต๊ะตรงหน้า

“ทำแผล” เดฟออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม

แน่นอนว่าไม่มีทางเลือกให้ผมในประโยคนั้นอยู่แล้ว ผมพยักหน้า และเริ่มจัดการทุกอย่างตรงหน้าไปเรื่อยๆ ให้เบามือที่สุด

แต่เดฟก็ไม่ได้ส่งเสียงแสดงความเจ็บปวดหรือทำท่าโอดโอยอะไรออกมา แม้กระทั่งในตอนที่ผมเผลอพลั้งมือลงแรงไปมากกว่าปกติ เขาแค่นิ่วหน้า และเบนสายตามาสบอย่างตำหนิในที

“ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้” เขาถามขึ้นห้วนๆ “ฉันแค่ปล่อยให้นายนั่งอยู่กับที่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น”

นั่นฟังดูไม่ดีเท่าไหร่เลยในความคิดของผม

ผมหลุบตาลงมองแผลที่เป็นรอยเล็บแดงยาวตรงต้นแขนแข็งแรง และปลายนิ้วของตัวเองที่จับอยู่กับสำลีนุ่ม “แล้วทำไมคุณถึงต้องโมโหใส่ผมด้วยล่ะ”

แล้วข้อมือของผมก็ถูกจับแล้วบีบแน่นแทบจะในทันทีที่จบประโยค ดวงตาสีเข้มของเดฟเป็นประกายวาวในความมืด

“ทำไมฉันถึงโมโหเหรอ.. มันขึ้นมา แล้วก็พูดว่าอยากเอานายใจจะขาด จะให้ฉันต้องรู้สึกยังไง ยกนายให้มันไปเลยไหมล่ะ”

ผมเม้มปาก ทิ้งอุปกรณ์ทำแผลและเริ่มจ้องมองคนตรงหน้าตรงๆ

“คุณจะไม่ยกผมให้ใครทั้งนั้น เพราะผมไม่ใช่สมบัติของคุณ ผมเป็นของของตัวผมเอง”

เดฟกะพริบตา และกะพริบตาอีกครั้งหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไป พร้อมกับความเงียบที่โรยตัวช้าๆ เขาเป็นฝ่ายหลุบตาลงต่ำในรอบนี้ ก่อนที่จะช้อนขึ้นมองผมอีกครั้ง

แรงบีบตรงข้อมือเริ่มอ่อนแรงลง จนกลายเป็นแค่การกำไว้หลวมๆ ในที่สุด

“ใช่..” เขาพึมพำ “ใช่ นายไม่ใช่ของฉัน และนั่นไงคือเหตุผล”

ปลายนิ้วโป้งอุ่นไล้เบาๆ เหนือผิวเนื้อของผม ก่อนจะหยุดชะงักและนิ่งไปในที่สุด

“นายทำอะไรกับฉันกันแน่” เขาส่ายหน้าเบาๆ นั่นฟังดูไมใช่คำถามที่แท้จริง ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ต้องการคำตอบ

ผมทำอะไรกับเขางั้นเหรอ

ผมสิต้องถาม ว่าเขาทำอะไรกับตัวผมกันแน่

ทั้งความรู้สึกแปลกๆ ยามจ้องมอง เดฟที่โกรธจัดเมื่อครู่ดึงดูดให้ผมมองและรู้สึกดี ผมรู้สึกดีที่เขาทำให้ผู้ชายคนนั้นเลือดออก ผมรู้สึกดีที่เขากระแทกหมัดเข้าไปที่ปากของผู้ชายคนนั้น ปากที่เชิญชวนผมให้ออกไปด้วย

“แม้แต่ฉันคนนี้ยังไม่เคยได้สัมผัสนายเลย” เขาขมวดคิ้ว “แล้วไอ้นั่นมันเป็นใคร ถึงเดินเข้ามาแล้วพูดเหี้ยๆ แบบนั้นออกมา ดังนั้นช่วยทำให้ฉันพอใจเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างเป็นการตอบแทนแล้วกันนะ.. อย่าได้มีความคิดจะปล่อยให้ใครเข้ามาพูดห่วยๆ ใส่นาย อย่าหวังด้วยว่าฉันจะยอมถ้าได้ยิน แล้วก็ขออีกอย่างหนึ่ง..”

ช่องว่างตรงกลางที่น้อยนิด ผมไม่เคยแพ้การเข้าใกล้ของใครมาก่อนตลอดชีวิตนี้ ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก จนเดฟเป็นฝ่ายทำ และดูเหมือนเขาจะรู้ดีว่าการขยับเข้ามาใกล้ดีแต่จะทำให้ผมยอมอ่อนข้อและเชื่อฟังมากขึ้น

เขาโน้มตัวมาข้างหน้า

“อย่ายกอะไรก็ตามของนายให้ใครคนอื่น.. ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม อย่า” น้ำเสียงข่มขู่ดังลอดออกจากคอ

ผมเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาที่อยู่ใกล้จนน่ากลัว ปลายจมูกโด่งเฉียดเบาๆ ผ่านผิวเนื้อ ลากให้ความรู้สึกวูบไหวเริ่มทำงาน

เดฟปล่อยลมหายใจอุ่นรินรดอยู่เหนือแก้ม ก่อนที่เขาจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

“เพราะฉันเคยบอกไปแล้ว และฉันจะบอกซ้ำอีกแค่ครั้งสุดท้าย..” ผมมองเห็นความจริงจังที่แฝงตัวมาในแววตาและน้ำเสียง เป็นความจริงจังที่ผมจะตอกมันลงไปในความทรงจำลึกๆ และทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ทุกๆ อย่างของนาย จะเป็นแค่ของฉันคนเดียวเท่านั้น” เขาหยุดปลายจมูกลงที่สันกรามของผม “ถึงจะยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ตาม”

แล้วร่างสูงก็ขยับผละออกไป เขานั่งยืดหลังตรงอย่างวางท่า การคุกคามเล็กๆ ถูกส่งตรงมา และเดฟก็ส่งสายตาแทนคำสั่ง ให้ผมเริ่มทำแผลที่ติดค้างอยู่เมื่อกี้ต่อ

รอยยิ้มหยันถูกวาดขึ้น ก่อนจะเลือนหายไป เหลือไว้เพียงดวงตาที่มองมาอย่างสงบนิ่ง ผิดกับผมที่ขมวดคิ้วและเริ่มอยากหลุดสบถออกมาแรงๆ

เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การมองเห็นของเขา

ทุกๆ อย่าง ทั้งความร้อนที่ลามทั่วใบหน้า และฝ่ามือที่สั่นเบาๆ ตอนขยับเข้าใกล้ร่างกายตรงหน้า

เพราะเขาชัดเจน..

ชัดเจนจนกลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายโดนผลักให้ขยับไปตามที่เขาต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: I BITE :: Chapter.11 Something In You (24/01/2560)
«ตอบ #26 เมื่อ24-01-2017 18:29:48 »

นายเอกดูจะพยายามปกป้องตัวเอง แต่บางทีก็ตรงกันข้าม

ออฟไลน์ mecinzano505

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
«ตอบ #27 เมื่อ24-01-2017 19:31:51 »


12_
Buried Alive In The Blues




“วันนี้ไปด้วยกันสิ” เดฟชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนอน ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำ เสื้อแจ็คเก็ตหนังพาดลวกๆ อยู่บนบ่ากว้าง กับผมที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง

“ไปไหน” ผมถามออกไป และนึกแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ

“ที่คลับ”

เดฟมักจะพาผมไปที่นั่นที่นี่เสมอถ้าผมไม่ต้องไปทำงาน พาไปร้านอาหาร พาไปที่ร้านขายแผ่นเพลง ยืนดูเขาเลือกซื้อเพลงที่ผมไม่เคยฟัง พาไปแม้กระทั่งที่เดอะรูท

แต่เขาไม่เคยพาผมไปที่คลับมาก่อน

ผมพอจะรู้แล้วว่าเดฟทำงานเกี่ยวกับอะไร พอจะรู้ว่าคลับในที่นี้ หมายถึงสถานที่ที่พวกเขาไปรวมตัวกัน มันคือสังคมของเดฟอย่างแท้จริง สังคมเพื่อนฝูง พี่น้อง ครอบครัวและการทำงาน

และแน่นอนว่าผมก็ไม่รู้อีกเหมือนเคย ว่าผมจะไปทำอะไรที่นั่น แต่หลังจากหลายๆ ครั้งที่ผมถามคำถามเชิงนั้นออกไป และไม่เคยได้รับคำตอบตรงๆ กลับมา

ผมก็ล้มเลิกการตั้งคำถามนั่นไปเองโดยไม่รู้ตัว

ประโยคที่เดฟพูดนั่น ก็ไม่ใช่แค่คำเชิญชวน มันเป็นเหมือนคำสั่งที่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องทำตามเพื่อความพึงพอใจของเขาอยู่ดี

“ไปสิ” ผมพูด ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ผมตื่นมาอาบน้ำไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เพราะไม่มีอะไรให้ทำต่อ ไม่มีข้างนอกให้ไป และห้องรับแขกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือพิมพ์นั่นก็ฟุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่ที่ผมเอียน ผมถึงได้ซมซานกลับมานั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียง และไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษโดยสมบูรณ์แบบ

เดฟยิ้มกว้างให้ผมหนึ่งครั้ง ก่อนที่เขาจะหายไปหลังบานประตูที่เปิดกว้าง ผมลุกขึ้น พาร่างของตัวเองในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำสนิทออกจากห้อง

เดฟยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน พร้อมกับของในมือที่ทำให้ผมชะงักฝ่าเท้าลงทันที

มันคือเสื้อแจ็คเก็ตหนัง สีดำสนิท คล้ายๆ กับของเดฟ เพียงแค่ตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันคือของใคร

ผมไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกไปหลังจากที่เห็น เดฟก็ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการอธิบายอะไรออกมาด้วย เขาแค่ยื่นเสื้อตัวนั้นให้ผม และพยักหน้าเป็นเชิงให้สวมใส่มัน

ผมทำตามอย่างง่ายๆ ไร้ข้อโต้แย้ง.. และหันไปมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกบานยาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าประตู

แค่เสื้อตัวเดียว ทำให้ผมดูแตกต่างจากเดิมได้ในพริบตาเดียวที่สวมใส่

“ชอบหรือเปล่า” เขาถาม พิงต้นแขนเข้ากับผนังพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก ดวงตาสีเข้มไล่มองผมอย่างพิจารณา “มันเหมาะกับนาย”

“มันราคาเท่าไหร่” นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมคิดได้ ก่อนจะเป็นเรื่องของความชอบ

ชอบหรือไม่ชอบ มันจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าผมไม่มีปัญญาจ่ายเงินเพื่อซื้อมันมาครอบครอง

เดฟฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าผมจะถามแบบนั้นออกไป

“คิดซะว่าฉันให้ แทนคำขอโทษเมื่อวันก่อน ที่ลากให้นายต้องไปเจอเรื่องพวกนั้น”

ผมส่ายหน้า ถอดมันออก และรู้คำตอบของคำถามที่ถามไปได้โดยไม่ต้องไล่ซักเดฟอีก  “คำขอโทษราคาแพงเกินไป ผมคงรับไว้ไม่ได้”

ตัวเลข 331.00 ที่ติดอยู่บนแท็กราคาตรงคอเสื้อ ผมส่ายหน้าอีกครั้งและปล่อยเสื้อออกจากมือ จนเดฟต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่มันจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้น

“แต่ฉันซื้อมาแล้ว.. ถ้านายไม่ยอมใช้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นการสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ มากกว่าเหรอ” เดฟก้มหน้าและช้อนตามองผม เขากำลังกดดัน ผมรู้ข้อนั้นดี และเขาจะกดดันทุกวิถีทางให้ผมยอมรับเสื้อตัวนั้นแน่ๆ

“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าคุณก็ควรจะคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะซื้ออะไรมา” ผมหลบตา “เพราะคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ยอมรับอะไรฟรีๆ”

แล้วเราก็ตกอยู่ในวังวนความเงียบอีกครั้ง เดฟยังคงมองมา ส่วนผมก็เอาแต่หลบเลี่ยงและทิ้งสายตาลงบนพื้น

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จนเดฟเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาหนักๆ

“โอเค ถ้างั้นฉันขายต่อให้นาย สัก 10 เหรียญพอไหม ยังไงมันก็กลายเป็นขยะอยู่แล้วถ้านายไม่เอา” เขาขยับเข้ามาใกล้ เสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ผมจำกัดคำนิยามไว้ว่าสวยถูกจับอ้อมไปด้านหลัง ก่อนที่เขาจะสวมมันคลุมทับไหล่ของผมและถอยออกไป

ดวงตาสีเข้มนิ่งเรียบ ขัดกับรอยยิ้มเย็นที่ถูกวาดขึ้นบนปาก

“10 เหรียญคงไม่ถือว่าฉันหน้าเลือดเกินไปนะ สำหรับขยะที่ไม่มีใครอยากได้”

ผมเงยหน้าขึ้นจ้องเดฟทันที และเขาจ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้

บางครั้งผมก็นึกสงสัย ว่ามีอะไรในโลกนี้บ้างไหม ที่ผู้ชายคนนี้ไม่เก่ง.. แม้แต่การประชดประชัน ผมยังไม่คิดว่าสามารถสู้เขาได้ด้วยซ้ำ

“คุณกำลังทำให้ผมเคยตัว แล้วก็ทำให้ผมมีนิสัยเห็นแก่ตัว รู้หรือเปล่า” ผมยอมแพ้ ขยับฝ่ามือสอดเข้าไปในช่องวงแขนเสื้อ ความรู้สึกพ่ายแพ้มาเยือนอีกครั้งเมื่อเดฟโคลงหัวรับคำแล้วก็แสดงสีหน้าพออกพอใจออกมา

“ฉันไม่เห็นว่าการเห็นแก่ตัวจะเป็นอะไรที่ไม่ดีตรงไหน”

ผมขัดผู้ชายคนนี้ไม่เคยได้เลยจริงๆ ให้ตาย





 

“พวกเราทำอะไรไม่ได้.. พวกตำรวจที่มีอยู่ก็อ่อนแอเหมือนกับเด็กผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย พวกมันแกล้งทำเป็นปิดหูปิดตาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้.. สาบานได้ว่าถ้า FBI รู้เรื่องแล้วกระโดดเข้ามาแจมด้วย เราจบเห่กันมากกว่านี้แน่”

“พวกโคลเตนเริ่มไม่เชื่อใจการจัดการของเราแล้วด้วย... เรารอคำสั่งของนายอยู่”

“ไบรสันเพื่อนนายจะมาที่นี่วันนี้ด้วยใช่ไหม มันจะโผล่หัวมากี่โมง”

เสียงถกเถียงกันที่ดังมาจากด้านใน ดึงสายตาผมให้สบกับเดฟที่มองมา เขาก้มหน้า ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ผมตีความหมายไม่ได้บนริมฝีปาก ฝ่ามือจับค้างอยู่ที่ประตูไม้บานใหญ่

“ทำตัวสบายๆ” เขาพูดแค่นั้น ก่อนที่จะออกแรงผลักประตูให้เปิดออก และทันทีที่เดฟปรากฎตัว ทุกเสียงที่ตีปนกันอยู่ก็เงียบทันที สายตานับสิบคู่จ้องมองมาทางเรา แต่เดฟดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร เขาเดินเอื่อยเฉื่อยไปหยุดยืนตรงบาร์ใหญ่ ปล่อยให้พวกที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมในสุดมองมาไม่หยุด

“ขวดนึง กันเตอร์.. ขอบใจ” เขาผงกหัวเล็กๆ คว้าขวดเบียร์ที่ผู้ชายตัวใหญ่หลังเคาน์เตอร์สไลด์ให้มาถือ และพยักเพยิดมาทางผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ “นี่ฟลอยด์”

สายตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความแปลกใจ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ และมีหนวดขึ้นเต็มกรอบหน้า สวมใส่เสื้อกั๊กหนังไม่มีแขน กับเสื้อยืดสีขาวคอกลม “ฟลอยด์..” เขาพึมพำ เบียร์ขวดหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาวางนิ่งๆ ตรงหน้าผม “คิดซะว่าเป็นของขวัญที่ได้รู้จักกัน”

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาถือ ความเย็นเยียบจากขวดให้ความรู้สึกเหมือนกับถือของแปลกปลอม ผมไม่ได้ดื่มมันมานานมากแล้ว นานตั้งแต่หนีออกจากเนวาด้า

แต่รสหวานปนขมปร่าตรงต้นคอก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมเกลียด ผมยกขวดขึ้นจรดริมฝีปาก รับมิตรภาพที่กันเตอร์ยื่นให้

“ไปทางนั้นเถอะ พวกสอดรู้สอดเห็นรอกันอยู่เต็มไปหมด” กันเตอร์พยักหน้าไปทางโต๊ะใหญ่ แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ พวกเขาทุกคนก็ยังคงมองมาไม่ละสายตา

เดฟส่งเสียงหัวเราะในลำคอตอนได้ยินประโยคนั้น เขาเลิกคิ้ว “มานี่”

และผมเดินตาม

เข้าใกล้โต๊ะมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มมองเห็นผู้คนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา ผมเคยเจอพวกเขาจากที่บาร์เก่านั่น ถึงวันนั้นเราจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยก็ตาม แต่ผมก็มั่นใจว่าพวกเขาก็จำผมได้เช่นกัน

“ไอ้หนุ่มคนนั้นนี่..?” ผู้ชายคนหนึ่งถามขึ้นมาเสียงสูง มองผมอย่างสนอกสนใจ “นายพาเขามาที่นี่ทำไม”

แล้วเขาก็หันหน้ามาทางผม “นายอยู่กับเขาเหรอ”

“เปิดหูเปิดตา อยู่แต่บ้านก็กลัวจะเบื่อตาย” เดฟพูดเสียงเฉื่อย พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง คำตอบนั้นตอบคำถามที่ผมเพิ่งได้รับไปพร้อมๆ กัน

เสียงฮือฮาและผิวปากดังขึ้นในหมู่พวกเขา

ผมกัดปากล่าง ความรู้สึกเหมือนทำตัวไม่ถูกจู่โจมเข้ามา

“นายแม่งโชคดีเป็นบ้า รู้ไว้ว่าเขาไม่ยอมอยู่กับใครง่ายๆ.. พวกโลกส่วนตัวสูงในที่สุดก็ยอมลดผนังลงจนได้” ผู้ชายอีกคนในชุดเสื้อหนังสีดำจากด้านซ้ายพูดขึ้น เขามีแบนดาน่าสีแดงตัดขาวคาดอยู่บนหัว เส้นผมสีบลอนด์อ่อน กับดวงตาสีน้ำตาลหยีมองผม

เสียงไฟแช็กทำงาน เดฟเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาสูบบุหรี่อย่างไม่ทุกข์ร้อนต่อคำกล่าวนั้น ดวงตาสีเข้มเหลือบมองผมที่ยืนอยู่

ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายที่ถูกล้อ แต่สายตาที่มองมาจากเจ้าตัว พลิกให้กลายเป็นผมที่รู้สึกกระดากอายแทนขึ้นมาได้ในทันที

“ก็ถึงว่า ทำงานทำการก็ลากเขาไปด้วย เห็นเขาเป็นดาเบรียหรือยังไง ถึงได้ติดกันขนาดนั้น” ผู้ชายตัวใหญ่อีกคนพูดแซวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

เดฟพาดแขนเข้ากับพนักเก้าอี้ เขายกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะขยับยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเลยกับการแซวหมู่ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้

“ฉันสงสัยอะไรอย่าง” ผู้ชายที่ดูเด็กที่สุดในกลุ่มร้องขึ้นมาเสียงดัง เขาปัดป่ายปลายนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่ไปทางเดฟ “เขาเก่งเรื่องอย่างว่า อย่างที่ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาจริงหรือเปล่าวะ”

คำถามโผ่งผ่างนั้นเรียกให้ทุกความร้อนในร่างกายไหลมาสุมอยู่ตรงหูและหลังคอ เสียงหัวเราะดังลั่นออกจากทุกคน แม้แต่แอชที่นั่งกอดอกอยู่นิ่งๆ มาตั้งแต่แรกยังหลุดรอยยิ้มออกมา

เดฟขมวดคิ้ว “แน่ใจว่านายควรหุบปาก ริค.. ก่อนที่นายจะเจอดี”

“พักก่อนแล้วกัน รอจนกว่าไบรสันเพื่อนของนายจะมาที่นี่ แล้วเราค่อยคุยกันต่อ” แอชเปลี่ยนเรื่อง เขาจ้องตาผู้ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับผมที่สุด อีกฝ่ายแค่พยักหน้ารับคำเบาๆ ก่อนที่จะเบนสายตาออกจากแอช มายังผมที่ยืนอยู่

ดวงตาสีเขียวจ้องผมไม่กะพริบ

“นาย ขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนหรือตรงบาร์ก่อนก็ได้ ไป” เดฟหันมาพูดกับผม ใบหน้าติดยิ้มมีร่องรอยความตึงเครียดแฝงอยู่ ขณะที่ทุกคนพากันลุกออกจากโต๊ะแล้วเคลื่อนที่ไปยังโต๊ะพูล แอชเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม

เดาว่าเขาคงอยากคุยอะไรกัน ที่ผมไม่มีส่วนรู้เห็น และแน่นอนว่าจะดีกว่าถ้าไม่มีส่วนรู้เห็น

ผมพยักหน้า ผละตัวออกจากโต๊ะ แล้วเดินไปยังบันไดริมผนังอีกฝั่งที่เดฟชี้ให้ดู บันไดเล็กๆ แคบๆ ดังเอี๊ยดอ๊าดตอนที่ผมก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบ ข้างบนก็มืดสลัว แต่ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่ต้องนั่งอยู่ในที่มืดนัก

“ตกใจเป็นบ้า” เสียงทักดังขึ้นแผ่วเบาด้านหลัง ผมชะงักปลายนิ้วที่ลูบผ่านเนื้อโต๊ะไม้ ทั้งร่างแข็งชากับประโยคทักถัดมา และผมไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองคนพูดด้วยซ้ำ



“ทำไม เจนินที่โด่งดังคนนั้น ถึงได้มายืนอยู่ที่นี่.. ตอนนี้กันนะ”



ผมจ้องเขม็งไปที่โต๊ะไม้ที่จับอยู่  เข็มเวลาเคลื่อนผ่านไปข้างหน้าช้าๆ ให้ความรู้สึกยาวนานกว่าทุกวินาทีที่ผมเคยพบเจอ

ด้านหลัง มีอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากหันกลับไปมอง

ภาพอดีตของตัวผมเอง…

“หรือว่าฉันเข้าใจผิดไปเองกันนะ นายดูเหมือนเขามาก” เสียงนั้นยังคงพูดไปเรื่อยๆ ด้วยความดังที่มากขึ้น เสียงฝีเท้ากดดันผมอยู่จากด้านหลัง ก่อนที่ผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งจะปรากฎตัวขึ้นในสายตา

เขาคือผู้ชาย ที่นั่งร่วมโต๊ะกับเดฟเมื่อครู่ ดวงตาสีเขียวหยียิ้ม มองผมอย่างพินิจวิเคราะห์ “เหมือนแม้กระทั่ง..”

!

ผมสะดุ้ง เท้าเผลอก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างเมื่อฝ่ามือแข็งแรงกระชากเข้าที่คอเสื้อผมแล้วออกแรงดึง

อีกฝ่ายจ้องผมนิ่ง “เหมือนแม้กระทั่งขี้แมลงวันตรงไหปลาร้า”

“คุณเป็นใคร” ผมถาม ถึงแม้เกินครึ่งในใจจะรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว

ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเหยียดยิ้มเย็นออกมา “เสียใจนะเนี่ยที่จำกันไม่ได้ นายขี้ลืมขนาดนั้นเชียวเหรอ”

ผมหรี่ตา ความระแวดระวังถูกสร้างขึ้นเป็นเกราะป้องกันทันที ผมถอยหลังอีกหนึ่งก้าว “ผมจำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือหน้าของคุณก็ตาม.. ดังนั้น คุณก็เป็นแค่คนแปลกหน้า”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นทันที

เขาขยับเข้าใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว

“คนแปลกหน้า.. ที่เคยนอนกับนายเลยนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบา เรียกให้ปลายเล็บผมจิกเข้าฝ่ามือจนเจ็บ

ควรจะเจ็บ.. แต่ความกดดันที่เกิดขึ้นและความชาทั่วทั้งร่างกาย ผมทำทุกอย่างไปโดยไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ

ผมเบือนหน้าหนี ก่อนที่ผิวแก้มจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารด “คนแปลกหน้าคนไหนก็มีอะไรกับผมได้ทั้งนั้น มันไม่ได้ทำให้คุณพิเศษกว่าคนอื่นขึ้นมาเลย”

“นายยอมรับแล้ว” เขายิ้มกว้าง “ว่านายคือเจนินคนนั้นน่ะ”

“ต้องการอะไร” ผมตรงเข้าประเด็น จะไม่มีการอ้อมค้อมป่วนประสาทเกิดขึ้นอีกต่อไป ผมพอแล้วกับชีวิตพวกนั้น ผมพอแล้วกับตัวตนห่วยๆ นั่นและความทรงจำที่เกิดขึ้นในอดีต

จะไม่มีมันอีกต่อไป

“ฉันน่ะ.. โคตร.. โคตรเสียใจเลยรู้ไหม ตอนที่กลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อพบนาย แต่ต้องพบกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวที่พร้อมจะวีนทุกคนของยัยบ้านั่น กับคำพูดว่านายหนีออกไปแล้ว.. ทำไมล่ะ เป็นที่รักที่ต้องการของผู้ชายเกือบทั้งเมือง ไม่ดีหรือไง ถึงได้หนีมันมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้” เขาพึมพำ ก่อนจะหลุดรอยยิ้มขันออกมา “แม้แต่ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์ยังต้องการจะนอนกับนายสักครั้งนึงเลย ไม่รู้สึกว่าตัวเองครอบครองสถานที่นั้นไว้ในมือบ้างเหรอ”

“ผมถามว่าต้องการบ้าอะไรกันแน่!” ผมตะคอก เหมือนเส้นความอดทนในหัวถูกปั่นขยี้จากคำพูดพวกนั้น ผมกัดฟัน

มากกว่าความรู้สึกเจ็บใจที่ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้พูดใส่ คือผมนึกเจ็บใจการตัดสินใจของตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ

ปลายนิ้วอุ่นสัมผัสกับแก้มผมเบาๆ เขาเกลี่ยไล้มันช้าๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับผมที่ยืนนิ่งและรู้สึกเหมือนโลกใบนี้มันขวางหูขวางตาและทำให้ผมสะอิดสะเอียน

ทั้งๆ ที่ออกจากที่นั่นมาแล้วแท้ๆ ..

“อย่ามองฉันแบบนั้นสิที่รัก ฉันก็แค่คิดถึงนายมากๆ เท่านั้นเอง” อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปในเส้นผมของผมช้าๆ “ทำให้หายคิดถึงสิ.. มองฉันเหมือนตอนที่นายเคยใช้ปากให้ฉันไม่ได้เหรอ”

“นี่แม่งบ้าอะไรกันเนี่ย” ผมกัดฟันแน่น เปลือกตาปิดแน่นเมื่อได้ยินเสียงที่ดังแทรกขึ้นมา เดฟอยู่ที่นี่ ผู้ชายคนนั้น.. อยู่ที่นี่

สัมผัสที่จับต้องใบหน้าผมอยู่ค่อยๆ ผละออกไปช้าๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับถอยหลังไปเล็กน้อย “ไง ไม่ได้คุยส่วนตัวกันนาน เดฟ”

“นายทำอะไร” เดฟถามขึ้น ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้ามา

มือไม้เย็นเฉียบไปหมด.. ผมกลายเป็นคนโง่ที่ทำได้แค่ยืนหลับตาเพื่อหลบหนีทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

ทั้งๆ ที่ผมไม่ควรจะรู้สึกอะไร แต่การที่เดฟเดินเข้ามาในเวลานี้ เหมือนยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง เขาเป็นหนึ่งคน ที่ผมไม่อยากให้ได้ยินเรื่องเส็งเคร็งทั้งหมดนั่น

เขาเป็นหนึ่งคน.. ที่ผมจงใจซ่อนอดีตพวกนั้นของตัวเอง

“ได้ยินว่านายสองคนอยู่ด้วยกันนี่ .. ทำไมนายถึงมาเอาผู้ชายคนนี้ล่ะ ตกต่ำลงเยอะเหรอ”

“ระวังปาก เทรซ” ข้อมือของผมถูกคว้า ก่อนที่ร่างของผมจะขยับตามแรงดึงเบาๆ “บอกสิว่านายขึ้นมาทำเหี้ยอะไรบนนี้กับคนของฉัน”

ประโยคนั้นควรจะสร้างความรู้สึกไว้วางใจ

ตรงกันข้าม.. เพราะคำถามนั้น คำถามนั้นเรียกสายตาผมให้เปิดลืมขึ้นทันที ผมสบตาผู้ชายที่ชื่อเทรซนิ่ง พยายามกดทุกความกลัวที่เกิดขึ้น สบตา และขอร้องอีกฝ่ายผ่านความเงียบ

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจงใจเพิกเฉยคำขอนั้น เขาแสยะยิ้ม มองเดฟด้วยแววตายียวน

“ฉันก็สงสัย ว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่สเป็คของนายลดลงมาจนต้องมาเอาผู้ชายที่ขายตัวแบบนี้”

เดฟนิ่งไปแทบจะในทันทีที่ได้ยิน ผมเม้มปาก พอจะเดาออกแล้วว่ารูปแบบของบทสนทนาครั้งนี้จะจบลงด้วยรูปแบบไหน ฝ่ามือเริ่มบิดออกจากการจับกุม และเดฟบีบข้อมือผมแน่นขึ้น ประกาศความต้องการชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยให้ผมไปในตอนนี้

“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังรนหาที่หรืออะไร แต่ฟลอยด์อยู่ในการดูแลของฉันตอนนี้ พูดขอโทษซะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ กระแสความจริงจังสอดแทรกตัวอยู่ในทุกพยางค์ที่เปล่งออกมา ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขัดกับดวงตาดุดัน “ไม่งั้นระหว่างเรามีปัญหาแน่”







แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความนิ่ง

เดฟนิ่ง.. นิ่งพร้อมกับกดดันเทรซด้วยแววตาและท่าทางข่มขู่

เทรซนิ่ง.. นิ่งเพื่อวัดใจ ว่าเดฟจะทำอะไรต่อไป นิ่งเพื่อตัดสินใจว่าตัวเองควรจะทำอะไรเช่นกัน

ผมเองก็ตกอยู่ในความนิ่ง.. ราวกับนิ่งรอ ให้มีใครสักคนตัดสินความผิดบาปให้ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นเลย

“หึ ขอโทษก็ได้” แล้วเทรซก็เป็นฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่เขาจะเดินถอยหลังหนึ่งก้าว พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้

“โอเค เห็นแก่ธุรกิจของแก็งค์เรา เดฟ วันหนึ่งนายจะเสียใจที่เลือกกดดันฉันคนนี้ แทนที่จะเป็นเจนินที่ยืนอยู่ข้างนาย”

เดฟเองก็หลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่สื่อความหมาย ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นเรื่องไร้สาระ

“ฉันมองว่าเราคบค้ากันมานานนะ รู้ไว้เหอะ ว่าพวกนี้น่ะ..” เขาเบือนสายตากลับมาจ้องผม “เลี้ยงไว้ไม่ได้”

มือของเดฟกำข้อมือผมแน่นขึ้น ความเจ็บแล่นริ้วเข้ากระดูก แต่ผมก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดทักอะไรออกไป และทันทีที่เทรซเดินลงบันไดไป เดฟก็ปล่อยมือผมทันที

ดวงตาสีเข้มจ้องผมไม่กะพริบ เขามองผมนิ่ง ไม่มีเสียงพูด ไม่มีคำถาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น นอกจากการจ้องมอง

ผมไม่รู้เลย ว่าเดฟกำลังมีความคิดแบบไหนอยู่ในหัวตอนนี้

ผมไม่รู้เช่นกัน ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่.. เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะตีกันจนเละไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ความสับสนมีมากพอๆ กับความกลัวลึกๆ ที่ว่าเดฟจะไม่พอใจหรือโกรธผม

เพราะเดฟเป็นคนที่เข้าใกล้ผมที่สุดในตอนนี้.. ถ้าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นระหว่างเรา

คงเป็นผมเองแน่นอน ที่เสียใจที่สุดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีต

เดฟถอยหลังช้าๆ ดวงตายังไม่ผละออกไปจากใบหน้าของผม เขาถอยไปเรื่อยๆ จนถึงตรงบันได ฝ่ามือแข็งแรงบีบเข้าที่ราว ก่อนที่เสียงทุ้มจะออกคำสั่งด้วยโทนนิ่งเรียบ ไม่ต้องกับสีหน้าของเจ้าตัว

“รออยู่ที่นี่”

 

 

 

เดฟหายไปด้านล่างเกือบสองชั่วโมง และปล่อยให้ผมสงบสติ นั่งนิ่งๆ ทบทวนและจัดเรียงความคิดในหัวตัวเองใหม่ เขากลับขึ้นมา ด้วยท่าทางที่แข็งกระด้างเหมือนเดิม ไม่มีการคุยเล่น ไม่มีรอยยิ้ม เขาโผล่หัวขึ้นมา และดึงให้ผมเดินตามลงไป ขึ้นซ้อนฮาร์เลย์ และหุบปากเงียบๆ อยู่บนเบาะหลังจนถึงบ้าน

เสียงประตูบ้านที่ปิดลงเสียงดัง พอจะบอกให้รู้ได้ว่าเดฟไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก

เขากดให้ผมนั่งลงบนโซฟา บุหรี่หนึ่งมวนถูกหยิบขึ้นจุด ก่อนที่เขาจะจ้องมองผมด้วยสายตานิ่งงัน เหมือนกันกับที่บาร์นั่น

“ผมขอโทษ..” ผมพูดออกไป สอดปลายนิ้วเข้าหากันและออกแรงบีบ ใบหน้าของเดฟไม่ได้ดึงดูดให้ผมมองในตอนนี้ ตรงกันข้าม ฝ่ามือที่สอดประสานอยู่บนตักตัวเองกลับเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวที่ผมมีตอนนี้

เดฟไม่ตอบรับคำนั้น เขายืนสูบบุหรี่ไปเงียบๆ มองผมด้วยสายตาที่อยู่สูงกว่า

ความอึดอัดแผ่ขยายตัวอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น และมันกำลังมีอิทธิพลโดยตรงกับทุกอย่างในตัวผม

“ใครคือเจนิน” เขาว่า

ผมจิกปลายเล็บเข้าที่ด้านข้างของนิ้วชี้ที่เริ่มชา “ขอโทษ”

และนั่นเป็นคำเดียวที่ผมคิดออกในสมองกลวงๆ ตอนนี้

เสียงหัวเราะฝืดเฝื่อนดังออกมาให้ได้ยิน เดาได้ว่าเดฟเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เผลอๆ อาจจะเข้าใจตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มอ้าปากถามผมด้วยซ้ำ ผมเริ่มกัดริมฝีปากตัวเอง เพราะความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้ต้องระบายลงกับอะไรสักอย่าง เช่นร่างกายตัวเอง

“เพราะอะไร” นั่นเป็นคำถามที่สองที่ผมได้ยิน

และผมไม่มีความสามารถที่จะตีความมันได้เลยในตอนนี้ เขากำลังอยากรู้อะไร

เพราะอะไร ผมถึงเป็นเจนิน ทั้งๆ ที่ผมคือฟลอยด์ หรือว่า เพราะอะไร ผมถึงขอโทษ หรือว่าอะไรกันนะ

“นายไม่บอกฉัน” เขาถามซ้ำ หลังจากที่ผมเอาแต่นั่งเงียบแล้วก้มหน้ามองมือตัวเอง

ผมเหยียดยิ้ม เงยขึ้นสบตากับเดฟที่มองตรงมา หัวใจเต้นหน่วงหนืด และผมโคตรเกลียดสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้เลย ให้ตายสิวะ

“แล้วผมควรจะพูดว่าอะไร” ผมถาม มองอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตาอีกต่อไป “คุณยอมรับได้ไหม เหรอ? หรือว่ายังไงล่ะ?”

เดฟไม่ตอบ

และผมหลุดเสียงหัวเราะแปลกแปล่งออกมา “ผมเคยขายตัว ขายจริงจังด้วยไม่ใช่แค่ลองขายสองสามครั้ง ผมขายร่างกายห่วยๆ นี่ของตัวเอง ผมอ้าขาของตัวเองแลกกับเศษเงิน ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า ผมไม่ได้ผ่านแค่คนสองคน แต่เป็นผู้ชายทั้งเมือง..”

พอครั้งหนึ่งได้หลุดพูดสิ่งที่เก็บไว้ออกมา.. เราก็หลุดพูดมันออกมาเรื่อยๆ จนหมด

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดตัวเอง ดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนยังไม่ละสายตาจากหน้าของอีกฝ่าย น้ำอุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ผมทำได้แค่พยายามกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้แสดงตัวออกมามากไปกว่านี้

และเดฟที่กำลังกำมือแน่น เป็นเหมือนกุญแจที่ปลดล็อคให้ผมเผยทุกอย่างที่เก็บไว้ออกมามากขึ้นอีก

เพราะว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมได้พูดเรื่องเส็งเคร็งนี่กับเขา

“ผมไม่ได้แม้แต่จะชื่อฟลอยด์ แล้วก็ไม่ได้มาจากลอสแอนเจลิส ผมไม่เคยได้ยินชื่อหาดลาโฮย่าห่าอะไรนั่นด้วยซ้ำ ผมหลอกคุณ แล้วผมก็ปิดบังคุณ ผมใช้ชีวิตไร้ค่ามามากกว่าครึ่งหนึ่งที่ตัวเองมี” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องเดฟที่กำลังพยายามควบคุมตัวเองไม่ต่างกัน “นั่นเพื่อนคุณใช่ไหม เทรซคนนั้น.. ได้ยินตรงนี้ด้วยหรือเปล่า เขาบอกว่าผมเคยใช้ปากให้เขา แต่เรื่องตลกก็คือผมจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าหรือชื่อของผู้ชายคนนี้ ทั้งหมดนี่คือผมเอง พอผมบอกแล้ว คุณจะรับผมได้ไหม นี่งั้นเหรอ จะให้ผมพูดแบบนี้เหรอ!”

“เออ ใช่! ฉันรับได้” เดฟตะคอกกลับมา เขากระชากต้นแขนผมและบังคับให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงผมจนหลังกระแทกผนัง กองหนังสือพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนชั้นข้างๆ ถูกแรงกระแทกจนล้มลงไประเกะระกะอยู่ที่พื้น ขณะที่เดฟใช้ฝ่ามืออีกข้างบีบเข้าที่กรอบหน้าของผมแรง

“พูดอีกสิ พูดออกมาให้หมด!” เขาออกแรงเขย่าเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ น้ำเสียงทุ้มกระซิบรอดไรฟัน “พูดออกมาสิ อะไรก็ได้”

ผมเม้มปาก น้ำตาหยดแรกไหลลงจากดวงตา

ผมไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้.. ถึงขั้นจะใช้คำว่าเกลียด

ความรู้สึกเศร้าและอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ในอก ผมเหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นวิธีการที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากมัน

“ผมจะไปเอง”

เดฟนิ่งชะงักไปแทบจะในทันทีที่ผมพูดจบ เขาเบิกตากว้าง

“แม่ง..” ฝ่ามือที่บีบอยู่เริ่มคลายลง เดฟกดหน้าผากตัวเองเข้ากับผนังห้อง มือที่เคยล็อคหน้าผมค่อยๆ เลื่อนทาบบนผนังอีกฝั่งเพื่อปิดช่องว่าง เขายืนขวางทาบผมอย่างสมบูรณ์

ผมไม่เคยรู้หรือเข้าใจมาก่อน

ว่าเพราะอะไร เดฟถึงได้เอาตัวเองลงมายุ่งหรือผูกกับผมมากขนาดนี้

ในตอนนี้เอง.. ความเข้าใจนั้นก็ยังไม่จางหายไป แต่กลับเพิ่มมากขึ้นจนผมนึกสับสนในทุกอย่าง

“พูดอะไรก็ได้ ที่จะปลดนายให้เป็นอิสระจากเรื่องพวกนั้น.. อะไรก็ได้ แล้วฉันจะรับฟัง” เขาพึมพำเสียงแผ่ว “แต่อย่า.. อย่าพูดเรื่องไปอะไรนั่นให้ฉันได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง เข้าใจที่พูดใช่ไหม”

“…”

“ให้คำสัญญา เดี๋ยวนี้”



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.

ออฟไลน์ empty102153

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
«ตอบ #28 เมื่อ24-01-2017 20:32:14 »

เอาใจช่วยให้เจนินข้ามผ่านมันไปให้ได้
เดฟดูแลเอาไว้นะ

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
«ตอบ #29 เมื่อ24-01-2017 23:06:03 »

เดฟ สายอาจจะไม่ใช่คนดี แต่นายเป็นคนรักที่ดีนะ :mew6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด