CH.2 My little boy Sitha‘งานที่ไม่ตาย คืองานที่อยู่กับความเป็นความตายของคน’
ผมจำคำพูดนี้ได้แม่นมั่นแม้ได้ยินมาหลายปีแล้ว มันเป็นธุรกิจที่เลี้ยงดูผมตั้งแต่ยังไม่ลืมตากระทั่งผู้บุกเบิกสิ้นอายุขัยก็เข้ามารับช่วงต่อ ผมไม่ได้ชอบงานที่ทำนัก แต่สักกี่คนที่เลือกชีวิตของตัวเองได้ ธุรกิจกงสีคืองานขึ้นหลังม้าแล้วไม่มีทางลง ชีวิตของผมถือกำเนิดเพื่อสืบต่อเจตนารมณ์ของป๊า หน้าที่การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อใช้ลมหายใจแทนป๊าเท่านั้น
“จากไตรมาสที่แล้ว 3 อันดับแรกเราส่งยาออกไปในประเทศภูมิภาคอาเซียน พม่า เวียดนาม และกัมพูชา ไตรมาสหน้าวางแพลนกันไว้ว่าจะผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ส่งไปสิงคโปร์กับมาเลเซีย”
แสงสีส้มนวลบนห้องพักวีไอพีลึกลับเป็นที่นิยมสำหรับการเจรจา แต่โดยปกติผมไม่เคยมาที่นี่ ไนต์คลับเล็กๆ ย่านมหาวิทยาลัย ลูกค้าส่วนมากมีแต่เด็กๆ เป็นสถานที่ที่ไม่เป็นที่จับตามองของนักธุรกิจ นักการเมือง หรือแม้กระทั่งนักข่าว เสียงอึกทึกครึกโครมด้านล่างหลงเหลือเพียงบีทหนักๆ ทะลุผ่านกระจกมาเท่านั้น บรั่นดีนอกกับของกินเล่นขึ้นชื่อไม่กี่อย่างถูกสั่งตามใจคู่สนทนา คุณชัยวัฒน์พยักหน้ารับรู้ เอนตัวลงพนักพิงเบาะกำมะหยี่นุ่มสีน้ำเงินเข้ม
“ปีที่ผ่านมาทางผมสู้เรื่องยานำเข้าจากจีนและอินเดียหนักมาก ขยายตลาดในไทยแทบไม่ได้เลย”
“นั่นเป็นยุคของคุณเรืองศักดิ์ พรรคพวกเขาอยู่จีนเยอะ ต้นทุนการผลิตก็ถูกกว่า”
“แต่เรื่องคุณภาพยังสู้ทางเราไม่ได้ คุณชัยก็รู้ว่า World med มีนโยบายจะว่าจ้างให้ผมผลิตยาแทนการนำเข้าเพราะเป็นบริษัทเดียวที่ได้มาตรฐาน EU GMP”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องสู้ด้วยนวัตกรรม”
“ได้แน่นอนถ้าทางกรมแก้ TOR ในการประมูลยาในรอบหน้า” นักการเมืองวัยกลางคนถอนหายใจ มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเคาะนิ้วบนหัวเข่า มืออีกข้างแกว่งเครื่องดื่มในแก้วไปมาก่อนยกจิบเชื่องช้า
“คุณจะให้ผมได้เท่าไหร่”
กดเครื่องคิดเลข วางลงบนโต๊ะ สอดนิ้วประสานกันวางบนหน้าตัก ลอบสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่าย เขานิ่งเงียบ แต่คาดเดาได้ว่าผลตอบแทนเป็นที่พอใจ
“เบื้องต้นผมจะให้เท่านี้ หลังจากอนุมัติ TOR แล้วที่เหลือจะตามไป คุณแค่ใส่ข้อบังคับเรื่องมาตรฐานโรงงานเข้าไปก็พอ ส่วนที่เหลือผมจะไม่รบกวนเลย ผลิตภัณฑ์ของผมคุณภาพดีกว่าที่ผ่านๆ มาด้วย”
“ถ้าขยายตลาดรอบนี้ยูนิแล็บจะขึ้นมาเป็นบริษัทผลิตยาอันดับหนึ่งของไทยแล้วหรือเปล่า ทางวีจีก็มาติดต่อผมอยู่นะ”
“ผมไม่สู้วีจีหรอกครับ ทางนั้นเขาบริษัทใหญ่ มีตัวลูกๆ ดูยาทั้งสี่กลุ่ม ทางผมเน้นแค่ยาสามัญประจำบ้านเท่านั้นเอง อีกอย่าง ทางนั้นเข้าตลาดหลักทรัพย์มาหลายปีแล้วด้วย”
“แต่ของคุณก็มีแผนธุรกิจจะเข้าตลาดหุ้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ผมหัวเราะ แต่ไม่ตอบ เป็นแผนระยะยาวที่ยังไม่ลงมือเร็วๆ นี้แน่ “อีกอย่างได้ยินมาว่าจะเปิดตลาดยาสมุนไพรด้วย ผมว่าแค่สองตัวนี้ถ้าคุณลงมาจับ วีจีก็ระส่ำแล้ว”
“อยู่ระหว่างการตัดสินใจครับ” บอกพลางจิบเครื่องดื่มพอเป็นพิธี “ถ้าจะเปิดไลน์นี้ต้องมีประสบการณ์อีกเยอะ ผมทำคนเดียว ช่วงนี้ยุ่งๆ ด้วย”
“เรื่องน้องชายเสียใจด้วยนะคุณศิ” ผมยิ้มรับ แห้งเหี่ยวเต็มทน
“ถ้าศุภสินยังอยู่คงเบาแรงได้มากกว่านี้ครับ”
เราตกอยู่ในความเงียบงันครู่หนึ่งก่อนชายวัยกลางคนจะยกนาฬิกาขึ้นดู เขามีเวลาไม่มากสำหรับการพบปะนอกสถานที่ คุณชัยวัฒน์เอ่ยขอตัวกลับก่อนทั้งที่อาหารที่สั่งยังพร่องไม่ถึงครึ่ง ผมขออนุญาตเสียมารยาทโดยการให้ลูกน้องเดินไปส่งที่รถ ส่วนตัวเองเพียงยืนด้วยความเคารพ หลีกเลี่ยงที่จะเดินคู่กันให้เป็นที่จับตามอง
“นี่เป็นเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ครับ”
“ยังไงผมจะให้เลขาฯ ติดต่อมาอีกทีนะ”
“รบกวนด้วยครับ”
เขาหันมายิ้ม มือหยาบตบบ่าเป็นกันเอง “ไม่เป็นไร ถือว่าช่วยๆ กัน ผมกับคุณไมตรีก็เคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน ดีใจแทนคุณพ่อนะที่เลี้ยงลูกมาได้ดีขนาดนี้ ไว้เจอกันเร็วๆ นี้แล้วกัน”
ผมยกมือขึ้นไหว้ เมื่อล่ำลากันเสร็จพิธีก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาว ยังคงจิบบรั่นดีในแก้วไม่เร่งรีบ จากตรงนี้เมื่อทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างจะเห็นกลุ่มนักท่องราตรีแน่นขนัด บดเบียดร่างเข้าหา โอบกอดกันและกันโดยมีเสียงดนตรีและแอลกอฮอล์เป็นฉากหน้า เด็กผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ที่บาร์ คลอเคลียกับใครบางคนไม่ต่างจากคนอื่น เจ้าของแววตาสีน้ำตาลอ่อน รอยยิ้มฉีกกว้างราวกับบนโลกนี้ไม่มีทุกข์ใดใดที่ตัวเองจะจัดการไม่ได้ แต่ลึกลงไปกลับซ่อนความรู้สึกว้าเหว่ไว้ไม่มิด
“เจตต์” คนสนิทยืนสงบนิ่งเบื้องหลัง เขาขานรับคำในลำคอขยับฝีเท้าเข้าใกล้ “เคลียร์บิล ฉันจะไปรอที่รถ”
“เด็ก
คนนั้นด้วยไหมครับ”
ผมใช้นิ้วชี้เกาคาง เชิดหน้าขึ้นเพื่อมองตุ๊กตาเซรามิคตัวนั้นซุกไซ้ซอกคอชายหนุ่มตัวเล็กกว่า จับจ้องด้วยแววตาสงบนิ่ง ไม่วูบไหว ครู่เดียวเท่านั้นก็พยักหน้าลง เจตต์ขานรับ เงาดำด้านหลังผมหายไป บรั่นดีที่เหลืออยู่ในแก้วถูกสาดลงคอครั้งสุดท้ายก่อนแก้วทรงก้นกว้างที่ว่างเปล่าจะวางลงบนโต๊ะเตี้ยเพียงลำพัง
.
.
.
.
ครั้งแรกที่เจอเด็กนั่น ผมเรียนปริญญาตรีที่อังกฤษในงานปาร์ตี้สุดสัปดาห์ของเพื่อนสิงคโปร์ เขาเหมือนลูกกวางตัวน้อยๆ หลงออกมาจากป่า ตื่นกลัว แต่อยากรู้อยากเห็น เป็นลูกครึ่งเอเชียยุโรปตัวค่อนข้างเล็กกว่ามาตรฐาน แต่เมื่ออยู่ในไทยกลับกลมกลืนพอดิบพอดี ผมหยักศก หนา สีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน รับกับปากกระจับสีพีช งานวันนั้นเหล่าเสือโหยเพ่งเล็งไอ้เด็กที่ว่ากันไม่วางตา ชื่อของเขาฟังแล้วเพราะ ไล่โทนขึ้นลงเหมือนเสียงดนตรี ผมชอบเวลาเขาหยอกล้อกับเพื่อน หัวเราะเสียงดัง อ้าปากกว้าง และภายในคืนนั้น ผมก็ได้จูบแรกของเด็กหนุ่มมาครอบครอง
เรื่องระหว่างเราเกิดขึ้นเรียบง่าย ผมเป็นแค่นายศิฑา ลูกชายนักธุรกิจของไทยที่ถูกส่งไปเรียนต่อก่อนหน้าเจเรมี่สามปี เขากวนประสาท แต่อ่อนหวาน ตรงไปตรงมา ไม่เจ้าชู้ ปราศจากเล่ห์กล
เขารัก เพราะอยากจะรัก
เช่นกันกับผม
ที่รัก...เพราะอยากจะรัก
นึกถึงแววตาใต้วันหิมะตก เสียงดนตรีงานเทศกาลดังตามถนน เราจับมือกันผ่านถุงมือหนา มองกันหวานเชื่อม ยอมศิโรราบอย่างไม่มีข้อแม้ ช่างแตกต่างจากชายหนุ่มที่นั่งหน้าถมึงทึงบนรถแวนสีดำสนิทของผมชิดอีกฝั่งของเบาะนั่งในขณะนี้โดยสิ้นเชิง
“เมาหรือไง เงียบเชียว”
“Fuck off!” เสียงทุ้มคำรามในลำคอ ผมเอียงตัวพิงกระจก ปรายตามองคนพูด ลูกกวางในตอนนั้นเวลานี้ไม่ต่างจากแมวจอมพยศ เขากอดอก มองเชิดหนีไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงเสี้ยวหน้าไม่สบอารมณ์ ผิวสีขาวชมพูของมันอมแดงมากกว่าปกติโดยเฉพาะบริเวณพวงแก้ม ผมเอื้อมมือไปแตะบ่า ไอ้ตัวเล็กก็สะบัดหนีเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น
“What do you want from me!”
“พูดภาษาไทย”
“Shut up!”
“เจม” ดุอีกฝ่ายเสียงขรม เขาติดนิสัยพูดไทยคำอังกฤษคำตั้งแต่ก่อนไปอังกฤษ ส่วนหนึ่งเพราะพ่อที่เป็นอเมริกัน แต่ผมไม่ชอบ ชอบเวลาที่เขาพูดไทยด้วยน้ำเสียงเพราะๆ มากกว่า “หันหน้ามานี่”
“ยูไม่มีสิทธิ์สั่ง”
“มีหรือไม่มีฉันก็ทำให้นายมานั่งรถคันเดียวกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“บ้าอำนาจ”
“หันมา...เร็ว!”
พูดไม่ฟังก็ต้องเอื้อมมือไปช้อนคาง เจเรมี่ปัดมือผมออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากระโจนมาดึงคอเสื้อผมพร้อมเงื้อหมัดแต่ค้างไว้กลางอากาศ เสียงกริ๊กดังขึ้น เจตต์นั่งข้างคนขับรถหันปลายกระบอกปืนมาด้านหลัง เล็งที่ศีรษะอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ต้อง ฉันจัดการเอง”
“หมาหมู่”
“เก่งภาษาไทยขึ้นเยอะเลยนี่”
“มีอีกเยอะเลยที่ไว้ด่าไอ้หน้าตัวเมียอย่างมึง”
“ไม่พูดมึงกู” ผมปรามอีกรอบ เด็กหนุ่มผลักอกผมออกแล้วหนีกลับไปนั่งชิดพนักพิงอีกฟากตามเดิม รู้มานานแล้วว่าดื้อ แต่ไม่คิดว่าจะดื้อขึ้นมากขนาดนี้
หนึ่งปีเต็มๆ ที่คบกันมา ยังเทียบไม่ได้กับการรับมือกับเขาวันนี้แค่วันเดียวเลยสักนิด
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่”
“จะอยากรู้ไปทำไม คนที่บอกให้เลิกก็คุณเองไม่ใช่เหรอ”
“ฉันมีเรื่องต้องกลับมาทำที่ไทย” สาเหตุที่ต้องตัดสัมพันธ์ตอนนั้นถูกปิดบังมาตลอด เป็นความจำเป็นในฐานะพี่ชายคนโต บ้านของผม หลักๆ แล้วอยู่กันสามคนคือผม พ่อ และศุภสิน น้องชายอายุน้อยกว่า 3 ปีที่ไม่แม้แต่จะเรียนจบระดับปริญญาตรี พ่อตามใจมันมาก และสินก็ใช้ความใจดีของพ่อได้ฟุ่มเฟือยมากพอๆกัน
ช่วงนั้นพ่อตรวจพบมะเร็งขั้นสุดท้าย แม้จะมีเงินทองมากแค่ไหน เป็นเจ้าของสิทธิบัตรยากี่ตัวก็ไม่อาจซื้อความตายได้ ผมอยากอยู่กับเจเรมี่ต่ออีกสักปี หรือสองปี ให้ความฝันตอนนั้นของเราเป็นฝันดี หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีโอกาสทำให้เขาเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงได้เอ่ยคำอำลาได้อย่างเลือดเย็น
นึกโกรธตัวเองที่ตอนนั้นทิ้งเขาไว้กับความไม่เข้าใจเพียงเพราะคิดว่าคงไม่มีวันโคจรมาเจอกันอีก
“จะพาไปไหน”
คนตัวเล็กถามทั้งที่ยกขาขึ้นมากอดเข่า อัลพาร์ดสีขาวมุกเคลื่อนตัวผ่านแสงสีส้มนวลบนถนนใหญ่เข้าสู่ตึกสูงใจกลางเมือง ผมซื้อห้องชุดที่นี่ไว้เมื่อหลายปีก่อน ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก สะดวกแก่การเดินทางแต่ไม่ใช่ที่สำหรับอยู่ประจำ เล็กเกินไป อึดอัดเกินไป แต่พอทำเนาเมื่อเทียบกับการต้องเสียเวลาบนถนนเมื่อนั่งรถมาทำงานจากบ้าน
“พรุ่งนี้มีงานต้องทำตั้งแต่เช้าหรือเปล่า”
“ตอบคำถามผมก่อน”
“คอนโดของฉันเอง” ผมถอยให้หนึ่งก้าว เจเรมี่ถึงมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย “ฉันตอบแล้ว Your turn”
“ผมเปิดร้านอาหาร”
“อย่างเดียว?”
“แค่นี้ก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว”
“ก็เห็นอยู่ว่าที่ทำตัวยังไง”
“ไม่ต้องมา judge ผม”
“ก็ตัดสินจากพฤติกรรมทั้งนั้น”
“คุณไม่มีสิทธิ์ในตัวผมแล้ว” เด็กหนุ่มหันหน้าออกไปนอกกระจก โชคร้ายของเจเรมี่ที่ถึงที่หมายพอดี รถแวนขนาดใหญ่จอดลงอย่างนุ่มนวล มีเพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่แม้จัดว่าเงียบแล้วก็ยังได้ยินเสียงคำรามเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนัก “เราเลิกกันมานานแล้ว ศิ”
“เดี๋ยวก็รู้ว่ามีสิทธิ์หรือเปล่า เจตต์ พรุ่งนี้เอาแอสตัน มาร์ตินมาทิ้งให้ฉันตอนหกโมงเช้า สิบโมงค่อยมารับเจมไปส่งที่บ้าน”
“ผมไม่ค้าง!”
“ไม่เอาน่า คนดี นายก็รู้ว่าฉันพานายออกมาจากร้านทำไม”
“คุณจะทำอะไรก็ได้ แต่ผมไม่ค้าง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำที่นี่มันเลยแล้วกัน เสร็จแล้วจะได้วนรถไปส่ง ถอดกางเกงสิ” เจเรมี่ขึงตามอง ขณะที่ผมเอนตัวพิงเบาะด้วยท่าทีสบายๆ “มองอะไร ลูกน้องฉันอยู่ตั้งสองคนฉันไม่แก้ผ้าหรอกนะ แค่ปลดตะขอก็ทำได้แล้ว”
“ผมเกลียดคุณ!”
“ฉันให้โอกาสเลือก” จับตามองอีกฝ่าย ไม่แสดงทีท่าว่าที่พูดเป็นไปในเชิงหยอกล้อ ริมฝีปากล่างของเจเรมี่ถูกฟันขาวขบ เขาโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “You have no choice, Jeremy”
“Fuck you”
“เลือกสิว่าจะให้ Fuck ที่ไหน”
เขาลงจากรถ เหวี่ยงประตูปิดจนเกิดเสียงดัง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนสบตากับเจตต์ที่มองผ่านกระจกหลังด้วยสายตาเป็นกังวล
“ไหวเหรอครับนาย”
“ฉันจัดการเอง อย่าลืมมารับตามที่บอกแล้วกัน สักเก้าโมงให้แม่บ้านเตรียมอาหารเช้าให้เขาด้วย วางเอาไว้ ไม่ต้องปลุก ฉันอยากให้เขาพักผ่อนนานๆ”
.
.
.
.
อุณหภูมิห้องลดต่ำลง หลังจากที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน บนเตียงนอนคิงไซส์ยับเยินเมื่อสงครามสิ้นสุด เสื้อผ้ากระจัดกระจาย กองรวมกันกับถุงยางอนามัยใช้แล้วที่โยนเรี่ยราด ผมไม่ชอบความไร้ระเบียบแบบนี้ แต่หลังจากขม้ำลูกกวางที่แปลงสภาพเป็นเสือชีต้าร์ก็ปล่อยปละทุกกฎเกณฑ์โดยสิ้น เขาไม่ใช่เจเรมี่ที่อิดออดเมื่อผมแสดงความรู้สึกปรารถนาเหมือนเมื่อหลายปีก่อน รสร้อนแรงของการร่วมรักที่เกิดขึ้นตั้งแต่เสื้อผ้ายังไม่ทันเปลื้องจนสิ้นตอบโจทย์ชัดเจนว่าผ่านการฝึกปรือมามากเท่าไหร่
ผมลุกจากเตียง หยิบเสื้อคลุมสวมกันอุจาดไว้หลวมๆ ขณะที่คู่นอนยังคงนอนพังพาบหมดเรี่ยวแรงใต้ผ้าห่มผืนหนา ผมเปิดขวดน้ำยกขึ้นกรอกเข้าปากด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ไม่นึกแปลกใจที่ประสบการณ์อดีตคนรักจะเพิ่มขึ้นราวกับเป็นคนละคนเมื่อครั้งยังคบกัน หากแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดลึกๆ ไม่รู้ว่าเป็นความหงุดหงิดที่เกิดจากเจเรมี่ไม่สงวนเนื้อสงวนตัว หรือหงุดหงิดที่ตัวเองปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสผจญโลกมากเกินไปกันแน่ ซึ่งถ้าเป็นเหตุผลแรกแล้วผมยอมรับว่ามันงี่เง่าสิ้นดี
เป็นคนปล่อยมือไปจากเขาด้วยตัวเอง แต่กลับรำคาญใจอย่างคนบ้า
นึกอยากลบล้างทุกร่องรอยที่เคยมีคนฝากไว้จนถึงขั้นเจเรมี่ต้องเอ่ยขอให้หยุดแต่ก็ยังดึงดันเอาแต่ใจ แม้ให้ความร่วมมือเกินพอดีในทีแรก แต่คล้อยมา หลังจากสำเร็จความใคร่ติดกันหลายรอบเจ้าเสือน้อยก็ร้องงอแงด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงให้หยุดรังแกจนต้องยอมรามือในที่สุด
“ศิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นแหบแห้ง ไม่มีความรู้สึกใดในน้ำเสียงนั้น แต่เขาก็เรียกซ้ำเมื่อไม่มีใครขานตอบ ขนตาแพหนาขยับเล็กน้อยก่อนปรือเปิด เขายังเรียกชื่อผมเป็นรอบที่สามเหมือนลูกเป็ดร้องหาแม่
“นอนไปสิ”
“นอนไม่หลับ”
“เหนื่อยไม่ใช่หรือไง”
ริมฝีปากบางบดเข้าหากัน ผมเกือบลืมกฎเกณฑ์ของเขาบางอย่าง สามารถร่วมรักมากแค่ไหนก็ได้แต่หลังจากเสร็จกิจต้องนอนเคียงข้าง เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าลูกกวางจะลุกไปหาใครคนอื่น กฎข้อนี้ถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่เราคบกัน แต่เงื่อนไขที่มีคนอื่นเข้ามาเป็นข้อต่อรองนั้นเพิ่งได้ยินเมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้และมันชวนให้รู้สึกโมโหพอสมควร
“ฉันแค่ลุกมาดื่มน้ำ เอาหรือเปล่า”
เขาพยักหน้า ก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่คลุมตัวไว้ร่วงลงถึงหน้าตัก ร่องรอยสีม่วงช้ำและคมเขี้ยวปรากฏขึ้น น่าแปลกที่เมื่อออกแรงทำสัญลักษณ์บนเรือนร่างกลับไม่มีเสียงขัดขืนแม้แต่น้อย
“ค่อยๆ ดื่ม”
“ผมคอแห้ง”
“ก็ร้องไม่หยุดแบบนั้น” ตาคมมองขวาง เขาดื่มน้ำไปได้ไม่กี่อึกก็ส่งคืนแล้วกลับซุกตัวลงไปในผ้าห่มอีกครั้ง สีส้มนวลจากโคมไฟเป็นแสงเดียวในห้องนอนที่แยกตัวออกมาอย่างสันโดษ ผมตัดสินใจเปิดมันทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วทิ้งตัวลงข้างๆ คนตัวเล็กกว่า มองเขาที่ยังไม่ยอมสบตากันดีๆ เลยสักครั้ง
สามปีแล้ว ไม่ทันรู้ตัวก็ปล่อยมือเขาไปสามปีเต็มๆ
ที่ผ่านมาทำอะไรอยู่นะ...
ถ้าไม่เจอวันนี้ คงลืมความรู้สึกคิดถึงแบบนี้ไปเสียสิ้น
“เจม ตอนนี้คบกับใครอยู่หรือเปล่า”
ผมลองถาม ใช้นิ้วชี้เกลี่ยริมฝีปากที่เชิดขึ้นนิดๆ ให้เชิดขึ้นไปอีก ใบหน้าเขาเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับฝ่ามือของผม กระนั้นโครงกระดูกและรอยของเคราที่โกนไม่สิ้นดีก็เป็นสิ่งยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเต็มตัว
เมื่อก่อนก็เป็นผู้ชายแบบนี้ แต่เด็กกว่านี้เยอะ ทั้งจริตจะก้าน คำพูดจา รวมไปถึงเล่ห์เหลี่ยมที่น่าหวั่นใจ
“หื้อ” เขาร้อง คงรำคาญเต็มทนเลยถือโอกาสซุกตัวเข้าหาอกผมแทนการสั่งห้าม ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนไหวไปมา ผมวางมือลงบนศีรษะอีกฝ่าย ก่อนกดมันเข้าหาตัวแนบแน่นกว่าเก่า
“ดี”
“อะไรของคุณ” คนตัวเล็กยื้อศีรษะออก ขมวดคิ้วจนเป็นรอยบนหน้าผาก ผมยักยิ้มให้กับท่าทางแบบนั้น ก่อนยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยทีท่ากวนโมโห
“ทำไม”
“คงไม่หวังว่าเราจะกลับไปคบกันหรอกนะ”
“แล้วทำไมถึงจะคบไม่ได้”
“ผมเลิกผูกสัมพันธ์กับคนในลักษณะนี้ไปนานแล้ว” น้ำเสียงนั้นก้ำกึ่งระหว่างความผิดหวังและเจ็บปวด เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ลูกกวางที่ขลาดเขลาต่อความรัก กระนั้นในเวลานั้นก็เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ
ครั้งแรกที่ได้เข้าไปอยู่ในตัวเขา ทั้งอึดอัดทั้งน่าขัน
เจเรมี่ในเวลานั้นยกหมอนมาปิดหน้าตัวเองแน่นจนหวั่นใจว่าจะหายใจไม่ออก บอกรักเสียงอู้อี้ ไม่เต็มปากเต็มคำ
“ผูกสัมพันธ์ในลักษณะนี้หมายถึงจะไม่ยอมคบใครเป็นแฟนจริงๆ จังๆ อีกแล้วน่ะเหรอ”
“โดยเฉพาะกับคุณเลย ไม่มีทาง ผมไม่มีทางถูกบอกเลิกเป็นครั้งที่สอง”
“แต่นายก็ตามฉันกลับมาด้วย” ผมก้มลงมอง จากมุมนี้เห็นเพียงเส้นผมที่หยิกกระเซิง ไม่เป็นทรง “ไม่เอาน่าเจม ฉันขอโทษ เรื่องตอนนั้น”
“คืนนี้เพราะคุณให้ลูกน้องตามประกบผมออกจากร้านไม่ใช่หรือไง”
“แต่เมื่อกี้นายเองก็รู้สึกดีนี่”
“ก็แค่เซ็กส์ จบคืนนี้ก็ให้จากกันไป ผมไม่อยากสานต่ออะไรอีก” คนพูดผละออก พลิกตัวหันหลังให้แต่แผ่นหลังเปลือยก็ยังคงแนบชิดกับอกผมอยู่ “แล้วผมไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากคุณด้วย”
ผมถอนหายใจยาว โอบกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง “ฉันไม่ได้อยากทำให้กำแพงของนายหนาหรือแข็งแรงจนไม่มีใครทะลุมันไปได้หรอกนะ เจเรมี่”
หากแต่เรื่องราวคราวนั้น แม้มีโอกาสย้อนเวลากลับไปอีก ผมก็ต้องเลือกที่จะทำแบบเดิมอยู่ดี “อย่างี่เง่าหน่อยเลย ทำตัวแบบนี้มันไม่ดีกับตัวเอง รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ”
“ร่างกายของผม ผมมีสิทธิ์ทำยังไงกับมันก็ได้”
ผมกอดเขาแน่นขึ้น ไม่ชอบใจนิสัยแบบนี้ของคนในอ้อมแขนเอาเสียเลย พานให้อารมณ์ไม่ดีทุกครั้งเพียงแค่นึกว่ามีใครที่ได้นอนเคียงข้างอีกฝ่ายในแบบเดียวกับผมในค่ำคืนนี้แล้วบ้าง
“เลิกซะเถอะ”
“ผมบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์สั่งผมไง”
“ทำไมเป็นเด็กที่ดื้อนักนะ”
“เป็นเด็กแบบไหนก็โดนทิ้งอยู่ดี”
“ก็กลับมาหาแล้วจะให้ทำยังไงอีก”
แรงสั่นน้อยๆ เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผมจูบลงไปบนศีรษะ กดจมูกสูดลมหายใจเอากลิ่นแชมพูที่ค้างบนเส้นผมเข้าจมูก “เจม...”
“คิดว่ามันพอเหรอ” ความอ่อนแอของเจเรมี่ ภายใต้กำแพงที่แข็งและหนา กลับเปราะบางเสียยิ่งกว่าแก้ว “คิดว่ามันชดใช้ความรู้สึกได้เหรอ”
ผมนิ่งเงียบเพื่อแบ่งเบาความรู้สึกจากอีกฝ่าย ทั้งเจ็บปวดและโดดเดี่ยวที่ซุกซ่อนไว้ไม่ยอมให้เห็นง่ายๆ
“
ความรู้สึกของผมที่ถูกคุณไล่ตะเพิดวันนั้น แค่กลับมาหิ้วผมมานอนด้วยคืนเดียวแล้วบอกว่าจะให้กลับไปคบกัน มันเยียวยาทั้งหมดได้แล้วหรือไงกัน”
ผมเงียบ แทนคำตอบของคำถามพวกนั้น...
เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ
...ว่ามันไม่พอ
TBC
เฮ้ยๆ ได้กันตั้งแต่ตอนแรกเลยเฮ้ย
ฮร่า ได้ตัวไปแล้ว เรื่องหัวใจยังต้องพิสูจน์กันต่อไปนะฮร้า สวัสดีวันพุธตอนสองทุ่มทุกคนนน
เจอกันใหม่พุธหน้าจ้าา
