20
เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นกว่าสามวันที่ผ่านมาเนื่องจากเมื่อคืนมีฝนตกปรอย ยุทธนากระชับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่แน่นขึ้นเพิ่มความอบอุ่น ขายาวก้าวตามหลังคนตัวเล็กที่เดินนำอยู่ข้างหน้า เดือนสิบหันกลับมามองคนเป็นพี่อยู่บ่อยครั้ง อาจเพราะความที่ไม่ชินกับการต้องเดินขึ้นเขาตั้งแต่เช้ามืดและไม่ชินทางเหมือนเจ้าถิ่นจึงทำให้ร่างสูงค่อนข้างล่าช้า
“ไหวป่าววัยรุ่น” คนที่ยืนอยู่ห่างไปเกือบสองเมตรร้องถาม ใบหน้าหวานเปื้อนยิ้มขำเมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่เริ่มมีอาการหอบ
“เหนื่อยแล้ววัยรุ่น อีกไกลไหมกว่าจะถึง” ร่างสูงพูดพลางหอบอยู่ในที เกือบครึ่งชั่วโมงหรืออาจจะนานกว่านั้นที่น้องพาเขาเดินขึ้นเขาตั้งแต่ออกจากเขตหลังบ้าน เดือนสิบไม่ได้บอกว่าจะพาไปไหน คนตัวเล็กโทรปลุกเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วบอกแค่ว่าจะพาไปดูฐานลับของเจ้าตัว ยุทธนาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เอาจริงตอนนั้นเขาง่วงมากอยากนอนต่อใจจะขาด แต่เพราะเห็นท่าทางกระตือรือร้นของคนเป็นน้องแล้วมันปฏิเสธไม่ลง
“เกินครึ่งทางแล้วครับ อีกไม่นานก็ถึง พี่ยุทธไหวป่าวนั่งพักก่อนไหม” เดินแกมวิ่งเหยาะๆ ย้อนกลับมาหาคนเป็นพี่ เห็นท่าทางเหนื่อยหอบแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองพาอีกฝ่ายมาลำบากหรือเปล่า ทว่ายุทธนากลับสายหัว
“เดินต่อเถอะ พี่อยากไปเห็นฐานลับของเราแล้ว แต่ถ้าเห็นแล้วไม่คุ้มกับค่าเหนื่อยนะ โดนแน่” ปลายจมูกรั้นถูกบีบแล้วส่ายไปมาตรงประโยคท้าย เดือนสิบย่นจมูกใส่คนเป็นพี่หลังอีกคนละมือออกแล้วว่าทั้งตาเป็นประกายอย่างมั่นอกมั่นใจ
“รับรองว่าเห็นแล้วต้องร้องว้าว”
ไม่ผิดไปจากคำพูดคนเป็นเจ้าบ้านนักเมื่อมาถึงที่หมาย ยุทธนาเดินตามหลังน้องที่ไปหยุดยืนอยู่หลังรั้วไม้สีขาว ความเหนื่อยล้าจากที่เดินขึ้นเขามาเกือบชั่วโมงคล้ายจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นภาพตรงหน้า มือหนายกกล้องที่คนเป็นน้องกำชับบอกให้เอาติดมาด้วยขึ้นเก็บภาพแสงแรกของวันที่กำลังโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าตัดกับท้องทุ่งนาสีเขียว สายลมยามเช้าพัดเอื่อยๆ จนต้นกล้าเอนไหวทำให้มองดูคล้ายกับคลื่นทะเลสีเขียวที่ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา
“เมื่อก่อนเวลาน้อยใจพ่อกับแม่ ผมกับน้องชอบหนีขึ้นมาเล่นกันอยู่บนนี้ อันที่จริงต้องบอกว่าเราแอบใช้มันเป็นที่วางแผนเอาคืนพ่อกับแม่มากกว่า” เดือนสิบหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อคิดไปถึงวีรกรรมของตัวเองกับน้องชายสมัยยังเด็ก จากคนไม่เคยห่างบ้าน นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศคุ้นเคยแบบนี้ ร่างเล็กสูดหายใจลึกทั้งที่ยังหลับตาซึมซับเอาบรรยากาศ แสงสีส้มอ่อนจากดวงอาทิตย์ที่ค่อยเคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ ขับให้ใบหน้าเนียนดูนวลผ่อง
กระทั่งได้ยินเสียงชัตเตอร์จากคนที่ขึ้นมาด้วยกันดวงตาคู่นั้นถึงได้ลืมขึ้น
“แน่ะ มาแอบถ่ายกันเฉยๆ ได้ไง ค่าตัวผมแพงนะ” เดือนสิบว่ายิ้มๆ พลางเอียงคอมองช่างภาพกิตติมศักดิ์ที่ลดกล้องลงเพียงเล็กน้อยขณะเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นไรหรอก พี่รวย” คนรวยว่าแล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายอีก คราวนี้กดถ่ายรัวจนนายแบบค่าตัวแพงต้องร้องห้าม
“จริงๆ เลยพี่ยุทธนี่ เดี๋ยวก็ได้หมดตัวจริงๆ หรอก” แกล้งดุไม่จริงจัง เรียกแววตาพราวระยับจากคนเป็นพี่
“ไม่กลัว เพราะถ้าหมดตัวจริงๆ คนแถวนี้ก็คงไม่ใจร้ายปล่อยให้พี่ต้องอดตายหรอก ใช่ไหม”
เดือนสิบส่งเสียงหึขึ้นจมูก มือเรียวแบออกเป็นเชิงขอกล้องจากคนเป็นพี่ พออีกฝ่ายวางมันลงบนมือ เขาถึงได้เป็นฝ่ายยกขึ้นถ่ายคนตัวสูงบ้าง
“เล่นอะไรเรา” ตาคมหรี่มองคนที่ได้ทีก็รัวชัตเตอร์ใส่เขาไม่หยุด เดือนสิบลดกล้องลงหลังถ่ายอีกฝ่ายจนพอใจ แล้วส่งกล้องคืนให้คนเป็นพี่ กลีบปากสวยเผยยิ้มซุกซน
“จะได้หายกันไงครับ แค่นี้พี่ยุทธก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดตัวแล้ว” ว่าแล้วก็ยักคิ้วข้างเดียวให้เป็นการปิดท้าย
ยุทธนาเผยยิ้มเอ็นดู มือหนายื่นไปยีผมนุ่มของคนที่ยังยิ้มไม่หยุด ไม่รู้ว่าห่วงเขาหรือห่วงตัวเองที่ต้องรับดูแลคนไม่กลัวว่าจะหมดตัวอย่างเขากันแน่
“พี่ยุทธ” เงียบกันไปซักพักเดือนสิบก็เอ่ยขึ้น ยุทธนาลดกล้องลงอีกครั้งแล้วหันกลับมามองคนข้างตัว เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่คนที่เอ่ยเรียกกลับมีท่าทีอึกอักจนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามย้ำ
“มีอะไรรึเปล่า”
“คือ ..พี่ยุทธ ..ชอบผู้ชายมานานรึยังครับ” เดือนสิบถามอย่างไม่มั่นใจนัก เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำถามที่ควรถามหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นคำถามที่ค้างคาใจเดือนสิบมานาน
“อืม… ถ้าเอาแบบที่คบจริงจังก็น่าจะตอนอยู่ ม.ปลายปีสุดท้าย หลังจากนั้นก็คบมาเรื่อยๆ และไม่ได้มองผู้หญิงอีก” ยุทธนาตอบเรียบเรื่อย วางมือลงบนหัวคนขี้กังวลแล้วโยกไปมา ยุทธนาเป็นเกย์ เขารู้ตัวเองตั้งแต่อายุสิบห้า แต่เพิ่งมายอมรับตัวเองจริงๆ ก็ตอนสิบแปด ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและอยากรู้อยากลอง
“พูดแบบนี้แสดงว่าต้องเคยมีแฟนมาแล้วหลายคนแน่เลย ใช่ไหมพี่ยุทธ” ยุทธนายกยิ้ม มองคนเป็นน้องที่ดูเหมือนอยากจะรู้จริงๆ มากกว่าประชดประชันหรือหาเรื่อง
“สามคน” ไม่รวมกับพวกที่ลองคบเล่นๆ น่ะนะ ประโยคท้ายยุทธนาคิดว่าเขาไม่ควรพูดออกไปจะดีกว่า “คนแรกตอน ม.ปลาย คนที่สองตอนปีหนึ่ง และคนสุดท้าย …คือคนนี้” เขาใช้นิ้วจิ้มแก้มนิ่มๆ ของน้องตอนที่พูดว่า ‘คนนี้’
เดือนสิบกลั้นยิ้ม ปัดมือคนเป็นพี่ออกเบาๆ แล้วหันหน้าหนี แต่ดูเหมือนคนช่างแกล้งจะยังไม่พอใจเพราะคราวนี้เสียงทุ้มๆ ถึงกับมาดังอยู่ข้างหู
“แล้วพี่ ..พอจะเป็นคนสุดท้ายของสิบได้ไหม”
ฉ่า..
เดือนสิบเคยคิดว่าอาการพวกนี้จะหายไปเมื่อเขาคุ้นเคยกับคนเป็นพี่มากขึ้น แต่เปล่าเลย ไอ้อาการมือไม้เกะกะและวางหน้าไม่ถูกมันยังไม่หายไปไหน กลับกันมันยิ่งดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนขี้แกล้งได้ทีก็แกล้งเอาๆ อยู่อย่างนี้
“ไม่รู้ครับ ต้องดูไปยาวๆ ก่อน” แกล้งตีหน้าเข้มทั้งที่ก้อนเนื้อในอกเต้นตูมตาม เมื่อไหร่จะชินกับไอ้ตาวาวๆ นี่ได้ซักทีเดือนสิบก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
“ขนาดนี้แล้วยังไม่ไว้ใจกันอีกเหรอ พี่มันดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยหรือไง” ยุทธนาแกล้งโอด ใบหน้าคมเข้มหงอยลงอย่างที่ใครดูก็รู้ว่าแกล้งทำจนคนเป็นน้องนึกหมั่นไส้
“โว๊ะ พี่ยุทธนี่ …ถ้าไม่ไว้ใจจะยอมให้ขนาดนี้ไหมเล่า” ประโยดหลังเจ้าตัวบ่นอุบอิบ แต่มีหรือที่คนอยู่ห่างไปไม่ถึงไม้บรรทัดจะไม่ได้ยิน เพียงเท่านั้นยุทธนาก็ยิ้มกว้าง ฉวยโอกาสหอมแก้มเนียนเน้นๆ แบบไม่บอกกล่าวขนาดนี่คนโดนหอมยังตกใจ
“มัดจำไว้ก่อน กลับกรุงเทพเมื่อไหร่จะจับกินทั้งตัว”
แล้วไหนจะคำพูดสองแง่สองง่ามชวนให้หน้าร้อนนี่อีก เดือนสิบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไรนับวันยิ่งร้ายยิ่งเจ้าเล่ห์ แต่คิดอีกทีพี่มันก็ไม่ใสมาตั้งแต่แรกแล้วนี่หว่า
“บ้าแล้วพี่ยุทธ ใครจะยอม” แม้จะเขินจนหน้าแดงไปหมดแต่ก็ไม่วายเก็กตอบเสียงขรึม ยุทธนาตาพราว อยากรู้นักว่าอีกฝ่ายจะเก็กทำหน้านิ่งๆ ไปได้ซักแค่ไหน
“มั่นใจว่าขัดพี่ได้ก็ลองดูสิ” ระยะห่างระหว่างกันลดลงไปอีก เมื่อคนช่างแกล้งโน้มหน้าลงไปหาแทบชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตาคมพราวระยับสื่อความหมายบางอย่างจ้องลึกเข้าไปในม่านตากลมของอีกฝ่าย
“พอเลยๆ พี่ยุทธ เลิกพูดเรื่องนี้ครับ ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนๆๆ” แล้วก็เป็นเดือนสิบที่ทนถูกแกล้งต่อไม่ไหว ขาเรียวก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติยามริมฝีปากร้ายกาจของคนเป็นพี่เฉียดเข้าใกล้กลีบปากของตัวเอง พลางโบกมือโบกไม้เป็นพลันวันหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นที่ไม่ทำให้เขาหน้าร้อนไปกว่านี้ซักที ผิดกับคนพี่ที่ตาพราวระยับอย่างชอบใจที่แกล้งน้องได้
“ฮึ่ม หมั่นเขี้ยวว่ะ ไม่อยากทนเลย อยากจับฟัดแล้วเนี่ย” คนอยากไม่อยากเปล่า วาดแขนแกร่งโอบเอาคนเป็นน้องเข้าไปฟัดจนทั้งหน้าทั้งหูที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก
“พี่ยุทธธธ ฮ่าๆๆ พอแล้วๆ พอแล้วครับ กลับกรุงเทพก่อนเดี๋ยวค่อยฟัด เนอะๆ” เดือนสิบพูดพลางหอบ ทั้งเจ็บทั้งจักจี้เพราะไรหนวดแข็งๆ ของคนเป็นพี่ทิ่มเอา ยุทธนาพอเห็นอีกฝ่ายหอบจนหน้าแดงหูแดงก็ฟัดแก้วขาวหนักๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยออก แล้วไอ้คำพูดคำจานั่นก็ไม่รู้ว่าใครสอน น่ารักจนเขารักแทบบ้า!
“จำที่ตัวเองพูดไว้ให้ดีนะตัวแสบ กลับกรุงเทพเมื่อไหร่โดนแน่”
เดือนสิบส่งเสียงหึขึ้นจมูกใส่คนที่ใช้นิ้วจิ้มปลายจมูกเขา ในใจชักเริ่มหวั่นกับท่าทีเอาจริงของคนเป็นพี่ที่ดูยังไงคนพูดก็ไม่น่าพูดเล่น เอาเถอะ พอถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที เผลอๆ กว่าจะกลับกรุงเทพคนเป็นพี่อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าเขาพูดอะไร
“ไปไหนกันมาตั้งแต่เช้า”
คำทักทายแรกของวันจากเจ้าของบ้านทำให้ทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในเขตรั้วชะงักฝีเท้าโดยอัตโนมัติ เดือนสิบเหลือบมองคนเป็นพี่เล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปประจบคนเป็นพ่อ
“สิบพาพี่ยุทธไปดูวิวบนเขาหลังบ้านมา พ่อตื่นเช้าจัง”
“ข้าก็ตื่นเวลานี้อยู่ทุกวัน” บอกกับลูกชาย ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับอีกหนึ่งหนุ่มที่ยกมือไหว้ “แล้วเป็นไงล่ะเอ็ง ชอบไหมบรรยากาศบ้านนอกคอกนา มองไปทางไหนก็เจอแต่ป่าแต่เขา”
“ชอบมากครับสวยมาก บรรยากาศก็ดีมากด้วย” ยุทธนาตอบอย่างจริงใจ เขาชอบบรรยากาศแบบนี้จริงๆ มันทั้งสงบและให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ชายสูงวัยกว่าพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ “ดีแล้วที่ชอบ มาแล้วก็พากันขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้วไป เดี๋ยววันนี้แม่เอ็งจะพาไปวัด ปลุกเจ้าอ้ายมันด้วยนะ”
“มีงานเหรอพ่อ” เดือนสิบถามอย่างแปลกใจ ปกติแม่จะใส่บาตรเอาเพราะมันสะดวกมากกว่า จะไปวัดก็แต่วันพระหรือช่วงที่มีงานบุญเท่านั้น
“ก็วันเกิดเอ็งนั่นแหละ ลืมอีกแล้วหรือไง ไปๆ ไปอาบน้ำอาบท่ากันได้แล้วเดี๋ยวจะสาย”
คนที่ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเกิดตัวเองเดินเข้าบ้านตามแรงรุนหลังของคนเป็นพ่ออย่างมึนๆ แต่ในขณะที่เดือนสิบยังดูงงๆ ใครอีกคนที่เดินตามหลังมาก็เริ่มขมวดคิ้ว ยุทธนาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเดือนสิบ เขาไม่เคยถามและน้องก็ไม่เคยบอก ในหัวคนอยากทำคะแนนเริ่มครุ่นคิดว่าจะทำอะไรให้อีกฝ่ายดีขณะเดินตามแผ่นหลังเล็กไปติดๆ
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนเดือนสิบก็บอกให้พี่ไปอาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็แยกเข้าห้องไปปลุกน้องชาย ก่อนจะลงไปอาบน้ำบ้างหลังคนเป็นพี่อาบเสร็จ จากนั้นก็กลับขึ้นมาแต่งตัวแล้วบอกให้เดือนอ้ายที่ยังเมาขี้ตาลงไปอาบบ้าง ไม่ถึงเจ็ดโมงดีเขากับพี่ยุทธก็ลงมาช่วยแม่เตรียมของและขนขึ้นรถ ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีเดือนอ้ายที่ยังสะลึมสะลือแม้จะอาบน้ำแล้วก็ตามลงมา
“ง่วงชะมัด” เดือนอ้ายบ่นอุบอิบขณะยืนพิงข้างรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ พลางอ้าปากหาววอด เดือนสิบที่เดินยกสังฆทานมาขึ้นรถเห็นเข้าพอดีเลยโยกหัวฟูๆ ของน้องชายไปมา ก่อนจะจัดมันให้เข้าทรง
“ก็มัวแต่เล่นเกมไง บอกให้นอนไม่ยอมนอน”
“ทีพี่ยุทธก็เล่นจนดึกเหมือนกันอ่ะ สิบไม่เห็นว่า” เดือนอ้ายหน้ามุ่ย ดวงตาที่ยังดูสะลึมสะลือมองไปยังอีกหนึ่งผู้ร่วมกระบวนการที่เช้านี้ดูจะสดใสเป็นพิเศษ ทั้งที่เมื่อคืนก็นั่งเล่นเกมด้วยกันจนดึกดื่นแท้ๆ
“ก็ว่าให้หมดทุกคนนั่นแหละ แต่เคยฟังกันบ้างไหมล่ะ” เดือนสิบบ่นบ้าง สองคนนี้เข้าคู่กันทีไรเดือนสิบเหมือนโดนรุม ไอ้คนเป็นพี่ก็น่าตีนัก น้องเขาพูดอะไรบอกอะไรก็อือออด้วยหมด ไม่รู้อยากทำคะแนนหรืออยากแกล้งเขากันแน่
“สิบนี่ขี้บ่นเหมือนพ่อชะมัด”
“เดี๋ยวจะฟ้องพ่อ” เดือนสิบยกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย
“ตลอดๆ ขี้บ่นไม่พอยังขี้ฟ้องด้วย ไม่คุยด้วยแล้ว ไปช่วยแม่ดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้าวเร็วๆ ไปหาคนเป็นแม่ที่กำลังเดินถือขันดอกไม้ออกมาจากบ้าน แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายแกล้งเดินกระแทกไหล่คนเป็นพี่ชายไม่เบานัก จนอีกฝ่ายเซไปชนกับร่างสูงที่เดินเข้ามารับไว้แบบได้จังหวะพอดี
“เป็นอะไรไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อคนเป็นน้องผละออกไปยืนดีๆ เดือนสิบส่ายหัวให้คนเป็นพี่ ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่น้องชายที่กำลังหัวเราะร่าขณะรับเอาขันดอกไม้จากแม่มาถือไว้เอง
“เล่นอะไรกันสองหน่อ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของลูกชายทั้งสอง ไอ้คนพี่ก็แง่งๆ ไอ้คนน้องก็หัวเราะร่าราวกับอารมณ์ดีนักหนา
“อ้ายแกล้งสิบอ่ะแม่” เดือนสิบชิงฟ้องก่อนพลางเดินเข้าไปกอดแขนคนเป็นแม่ เดือนอ้ายได้ยินอย่างนั้นก็หน้ามุ่ย ฝากขันดอกไม้ให้คนตัวสูงที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลถือไว้ก่อนจะเดินเข้ามากอดแขนอีกข้างของคนเป็นแม่แล้วแก้ความไม่ยอมแพ้
“สิบเริ่มก่อนต่างหากแม่”
“แม่เห็นสิบเป็นคนขี้แกล้งเหรอ อ้ายนั่นแหละเริ่มก่อน” ไอ้คนพี่ก็ใช่จะยอมลงให้ เถียงกลับคอเป็นเอ็นไม่แพ้กัน
“สิบนั่นแหละตัวดีเลย แม่ต้องเชื่ออ้ายนะ อ้ายเป็นน้อง”
“พอเลยทั้งสองคน โตแล้วยังเถียงกันเป็นเด็กๆ ไม่อายพี่เขาหรือไง” คนเป็นแม่ว่ายิ้มๆ มองลูกชายทั้งสองที่เอาแต่แง่งๆใส่กันสลับกันไปมา ก่อนสายตาอ่อนโยนจะมองเลยไปยังอีกหนึ่งหนุ่มที่กำลังมองมาทางพวกเขาสามคนแม่ลูก พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับบนใบหน้าอยู่เหมือนกัน
“เอาของขึ้นรถกันหมดแล้วใช่ไหมแม่” สองพี่น้องเป็นอันต้องสงบศึกเมื่อคนเป็นพ่อเดินออกมา แม่รับคำแล้วบอกให้พวกเขาช่วยกันสำรวจดูของท้ายรถอีกรอบ พอเห็นว่าไม่ได้ลืมอะไรแล้วก็พากันขึ้นรถเพราะกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้จะไปไม่ทัน
วัดที่พ่อเดือนสิบพามาทำบุญเป็นวัดป่าเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเกือบยี่สิบกิโลเมตร พระในวัดมีเพียงห้ารูป และหนึ่งในนั้นคือหลวงตาของเดือนสิบ ครอบครัวชาวสวนกับอีกหนึ่งหนุ่มจากเมืองกรุงช่วยกันขนของลงรถ ก่อนเดือนสิบจะแยกไปช่วยแม่จัดกับข้าวใส่จาน เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาชาวบ้านจึงนิยมใส่บาตรมากกว่ามาวัด นอกจากคนเฒ่าคนแก่สี่ห้าคนก็มีแต่ครอบครัวของเดือนสิบเท่านั้นที่มาทำบุญในวันนี้
“เข้าไปถวายกับน้องสิลูก” คนเป็นแม่เอ่ยบอกร่างสูงที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ เมื่อถึงคราวถวายสังฆทาน คนไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญบ่อยนักหันซ้ายแลขวาอย่างเก้กังจนหญิงวัยกลางคนเอ่ยย้ำอีกรอบ ยุทธนาขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับสองพี่น้องแล้วเอื้อมมือไปแตะสังฆทานที่คนเป็นน้องใจดีขยับแบ่งมาใกล้เพื่อให้เขาได้จับอย่างถนัด
…สงสัยกลับกรุงเทพคราวนี้เขาคงต้องชวนน้องเข้าวัดบ่อยๆ ซะแล้ว ยุทธนาหมายมาดในใจ
หลังถวายสังฆทานเสร็จยุทธนาและสองพี่น้องก็ออกมาช่วยกันเก็บกวาดลานวัด รวมถึงทำความสะอาดห้องน้ำ และกุฏิขนาดไม่ใหญ่ที่มีเพียงสี่หลัง เพราะอีกหลังยังสร้างไม่เสร็จ ในตอนที่ขึ้นไปทำความสะอาดกุฏินั่นเองที่ทำให้ยุทธนารู้ว่าวัดป่าแห่งนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ เขาเห็นตะเกียงที่คล้ายตะเกียงโบราณแขนอยู่ตามทางเดินและทางขึ้นกุฏิหลายอัน พอเอ่ยถามคนเป็นน้อง เดือนสิบบอกว่าตอนนี้ชาวบ้านกำลังทำเรื่องต่อไฟฟ้าเข้ามา แต่เพราะปัจจัยยังมีไม่ถึงเลยต้องรอไปก่อน หนุ่มเมืองกรุงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินไปช่วยเด็กวัดที่มีเพียงคนเดียวยกตู้เก็บของออกมาทำความสะอาด
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับแม่” คนที่กำลังเช็ดชามกระเบื้องเคลือบอยู่ในครัวชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มรุ่นลูกแล้วยิ้มให้ ยุทธนาเดินเข้าไปหยุดตรงซิงค์ล้างจานข้างเจ้าของร่างที่เล็กกว่าเขาอยู่มาก และโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธมือหนาก็หยิบผ้าอีกผืนที่วางอยู่แถวนั้นมาช่วยอีกฝ่ายเช็ดจานที่เหลือ
“ขอบใจจ่ะ แล้วนี่อีกสองหน่อไปไหนกัน”
“ไปดูสระบัวกับหลวงตาครับ” คนเป็นแม่พยักหน้ารับรู้ พลางรับจานกระเบื้องจากเขาไปเก็บเข้าตู้
“แล้วยุทธไม่ไปกับน้องล่ะลูก”
“ผมอยู่ช่วยพ่อรื้อแปลงดอกไม้น่ะครับ เพิ่งเสร็จเมื่อกี้ เอ่อ แม่ครับ” ยุทธนายื่นจานใบสุดท้ายให้ผู้หญิงตรงหน้า ใบหน้าคมคายฉายแววลังเลเล็กน้อย
“จ้ะ?”
“แถวนี้มีร้านขนมหวานไหมครับ”
“หืม” คนถูกถามฉายแววแปลกใจเล็กน้อย ยุทธนาเลยได้แต่ยิ้มแห้งส่งให้ “…ในหมู่บ้านเราไม่มีหรอกลูกต้องขับรถเข้าไปในเมืองโน่น ประมาณสิบห้าสิบหกกิโล ถ้ายุทธจะไปเดี๋ยวแม่บอกให้น้องพาไปไหม”
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมไปเองดีกว่า เอ่อ แม่ครับ”
“จ้ะ?”
“คือ ..อย่าบอกเดือนสิบนะครับ ที่ผมถาม” เขาบอกอย่างไม่มั่นใจ ทว่าคนเป็นแม่กลับยิ้มให้อย่างใจดี
“ได้สิจ้ะ ถ้ายุทธไม่อยากให้เดือนสิบรู้ลองชวนพ่อเขาให้พาไปก็ได้นะลูก เห็นว่าอยากเข้าเมืองไปซื้อปุ๋ยอยู่พอดี”
“ครับ เดี๋ยวผมจะลองชวนดู”
ตกบ่าย หลังกลับมาถึงบ้านและช่วยกันเก็บของลงจากรถ พี่น้องสองเดือนก็ถือถังน้ำและเบ็ดตกปลาคนละคันปั่นจักรยานเข้าไร่ เป็นเดือนอ้ายที่กระตือรือร้น เพราะตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกจากวัดก็เอาแต่พูดถึงเรื่องฉลองวันเกิดคนเป็นพี่ แล้วเมนูก็ไม่พ้นปลาเผาที่เจ้าตัวคุยโวไว้ว่าฝีมือทำน้ำจิ้มของตัวเองดีนักหนา
คล้อยหลังสองพี่น้องไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ยุทธนาก็เอ่ยชวนคนอายุมากกว่าเรื่องที่จะเข้าไปในเมือง ทีแรกเขานึกว่าจะถูกปฏิเสธเพราะอีกฝ่ายเพียงฟังนิ่งๆ แต่กลับกันพ่อของเดือนสิบกลับยอมตกลงอย่างง่ายดาย ลงมาถึงในเมืองยุทธนาก็เอ่ยถามว่าพ่อน้องจะซื้ออะไร พออีกฝ่ายบอกจะแวะซื้อปุ๋ยและยาฆ่าหญ้าเขาก็จอดแวะให้ ก่อนตัวเองจะขอตัวแล้ววิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งเมื่อเห็นร้านขายขนมหวานอยู่ไม่ไกล
“คือ ..ผมฝากถือนี่หน่อยได้ไหมครับ” ยุทธนาออกปากอย่างเกรงใจเมื่อพวกเขากลับขึ้นมาบนรถ คนสูงวัยรับกล่องในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ พลางมองสำรวจ
“เค้กวันเกิดเจ้าสิบมันรึ”
“ครับ”
“ที่ตั้งใจเข้ามาในเมืองก็เพราะเรื่องนี้งั้นเรอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถาม ยุทธนาไม่รู้ว่าคนข้างตัวทำหน้ายังไง เพราะตอนนี้เขาเริ่มออกรถแล้ว แต่ก็รับคำอีกฝ่ายอย่างฉะฉาน
“ใช่ครับ”
คนสูงวัยกว่าไม่ได้พูดอะไรอีก ยุทธนาก็เช่นกัน พวกเขานั่งเงียบๆ ปล่อยให้บรรยากาศอึดอัด (ที่ยุทธนาคิดไปเองคนเดียว) ปกคลุมทั่วห้องโดยสาร กระทั่งมาถึงบ้าน เขาช่วยพ่อน้องยกปุ๋ยลงจากรถ ก่อนจะเอาเค้กและของขวัญที่แอบซื้อมาขึ้นไปเก็บไว้บนห้อง เกือบสี่โมงเย็นเดือนสิบกับเดือนอ้ายก็กลับมา แต่นอกจากปลาตัวใหญ่ที่ตกได้ยังมีผักอีกสองสามชนิดที่สองพี่น้องเก็บกลับมาด้วย
หนนี้เดือนอ้ายออกปากว่าจะเป็นคนโชว์ฝีมือเองเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่เขา เดือนสิบยิ้มขำกับท่าทางเอาจริงเอาจังของน้องชายพลางเอ่ยปากถามย้ำ เพราะไม่บ่อยนักหรอกที่จอมขี้เกียจอย่างเดือนอ้ายจะเข้าครัว
“เชื่อมือเถอะน่า” คนเป็นน้องออกปากย้ำอย่างมั่นอกมั่นใจ เขาเลยแยกไปช่วยแม่ที่กำลังล้างผักอยู่หน้าซิงค์
.
.
.
มีต่อ