ผมรอไปเที่ยวอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดวันเสาร์ที่รักที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมตื่นเต้นไม่ได้นอนทั้งคืน ก็เลยโดนพี่ปราบจับรีดน้ำ แต่ไม่ได้ใส่เข้ามาเพราะเขากลัวผมเดินทางไม่ไหว หากร่างกายไม่พร้อมจะทำให้เที่ยวไม่สนุก ผมก็เลยได้หลับตอนตีสองเห็นจะได้ ตื่นอีกทีก็ตีห้า
“พี่ปราบ ผมหิว” พอตื่นมาท้องก็ร้องเลย
“อยากกินอะไร จะได้แวะซื้อ” พี่ปราบคาดเข็มขัดรถเสร็จก็หันมาถาม
“ผมอยากกินหมูปิ้งกับข้าวเหนียว ขอน้ำเต้าหู้ด้วย” ผมร้องขอ
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโดพี่ปราบ ผมก็ไม่ได้กินอะไรแบบนี้เท่าไหร่ เพราะคอนโดของพี่ปราบตั้งอยู่แถบคนมีอันจะกิน แถวๆหน้าคอนโดเลยไม่มีรถเข็นของกินมาขาย ถ้าจะกินก็ต้องเดินออกไปไกล และตอนเช้าผมตรู่ผมก็ไม่มีความพยายามขนาดนั้น
“แต่มันจะเหม็นรถพี่ปราบไหม” ผมรีบถาม ถึงจะเป็นแฟนกัน แต่เรื่องกลิ่นในรถมันก็ต้องเกรงใจเจ้าของรถด้วย
“ช่างมันเถอะ” พี่ปราบพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่กลิ่นมันเหม็นนะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แกล้งพี่ปราบที่กำลังใช้สมาธิขับรถ เขาเหลือบมองผมเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเรียบ
“งั้นไม่ต้องกินเนอะ”
“ไม่เอา กินสิ ผมอยากกิน”
ถึงจะง่วง แต่ได้แกล้งพี่ปราบก่อนไปก็ทำให้ผมอารมณ์ดี พี่ปราบแวะจอดรถให้ผมลงไปซื้อข้าเหนียวหมูปิ้งพร้อมน้ำเต้าหู้ ขึ้นรถมาผมก็ลงมือกินพร้อมป้อนพี่ปราบไปด้วย
“เลอะปากเลยอ่ะพี่” ผมจิ้มหมูใส่ปากพี่ปราบจังหวะที่รถเบรก จากที่จะเข้าปากก็เลยจิ้มไปที่จมูก
“เช็ดให้หน่อย”
ผมรีบหากระดาษทิชชู่เช็ดคราบที่เลอะให้จนสะอาด ก็ป้อนข้าวเหนียวที่ปั้นเป็นคำต่อ พี่ปราบถอยมองเพื่อกะระยะในการงับข้าว แต่ไม่รู้ว่ากะพลาดหรือจงใจ ปากพี่ปราบดูดนิ้วชี้กับนิ้วโป้งไปด้วย
“อร่อย” พูดพร้องเหล่ตามอง
เข้าใจล่ะ...ผมโดนแกล้งคืนแล้วแบบนี้
กินเสร็จจนท้องอิ่มผมก็ง่วง พี่ปราบได้กาแฟไปแล้วก็เลยตาสว่าง แต่ผมไม่กินกาแฟก็เลยนั่งสัปหงกไปเรื่อยๆ ไม่อยากปล่อยให้พี่ปราบขับรถไปคนเดียว
“ง่วงก็นอน”
“ไม่เอา จะอยู่เป็นเพื่อนพี่”
“กูเพื่อนมึงเหรอ” พี่ปราบเริ่มแล่นลิ้น
“เปล่าเป็นแฟน” ผมก็หน้าด้านตอบ
“อ้าว กูไม่ได้เป็นผัวมึงเหรอ”
ผมสตั้นไปสามวิ ก่อนจะรีบตีหน้านิ่งตอบกลับไป
“ไม่ได้เป็นนิ” อย่าไปกลัวครับ โต้มาโตกลับ
“งั้นคืนนี้เตรียมตัวนะ เดี๋ยวพี่เลื่อนสถานะให้ หึหึ”
“ใครจะให้” ผมบ่นกับตัวเอง สู้ไม่ชนะเราก็ต้องเงียบครับ
คราวนี้ผมเงียบยาว หลับไปเลย ตื่นอีกทีก็ถึงโรงแรมพอดี พอได้เห็นวิวในโรงแรมผมก็ตาสว่างแบบไม่ต้องพึ่งของเปรี้ยว
“โคตรสวยเลย”
ตัวโรงแรมน่ะยังไม่ถึง แต่วิวสองข้างทางจากทางเข้ายาวไปถึงข้างในสวยมาก สวนทั้งสองด้านตกแต่งสวยงาม ทั้งต้นสนสูงใหญ่ ซุ้มเถาวัลย์ และแปลงดอกไม้ บรรยากาศไม่เหมือนอยู่เมืองไทย เหมือนอยู่เมืองนอกมากกว่า
“ตื่นแล้วเหรอ”
“ครับ พี่ปราบ ที่นี่โรงแรมพี่ปราบจริงๆเหรอ”
“ของป๊าต่างหาก”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ สวยมากเลยอ่ะ”
“ไว้ว่างๆมาเดินเล่นได้”
“โห แต่กว้างใหญ่ขนาดนี้ อยู่เป็นเดือนก็น่าจะยังเดินไม่ทั่ว”
ขับรถเข้ามาถึงพี่ปราบก็พาผมไปส่งที่ห้องพัก ส่วนพี่ปราบขอแยกตัวไปทำงาน แต่เดี๋ยวตอนเที่ยงจะกลับมากินข้าวด้วย
ห้องพักของผมน่าจะเป็นห้องที่ดีที่สุด เพราะได้วิวมุมสูง กวาดมองได้หมดทั่วทุกมุม ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สบายขึ้น พี่ปราบน่าจะยุ่งอยู่กับงาน ผมก็เลยลงไปเดินเล่นคนเดียว พี่ปราบมีกล้องถ่ายรูปที่คงจะแพงและใช้งานได้ดี แต่ผมใช้ไม่เป็น ทำได้แค่กดชัตเตอร์เท่านั้น สวยบ้างเบลอบ้างปนๆกันไป
พอถึงเวลาเที่ยงพี่ปราบก็โทรหา บอกให้ผมไปรอที่ห้องอาหาร แต่ผมยังไม่ทันเดินไปถึง ก็มีพนักงานชายเดินมารับถึงที่
จบมื้อกลางวันพี่ปราบก็ต้องไปทำงานต่อ แต่เขาบอกแค่ว่าทำงานแค่วันแรกวันเดียว วันต่อๆไปก็แค่เดินดูเท่านั้น จะมีเวลาอยู่กับผมได้มากกว่านี้ ผมไม่ซีเรียสนะ ผมเข้าใจว่าพี่ปราบงานหนักงานเยอะ ผมไม่อยากเป็นภาระ การนั่งชิวๆริมสนะว่ายน้ำมองสาวๆในชุดบิกินี่มันก็ดีไปอีกแบบ
ประมาณสี่โมงเย็นผมก็กลับไปที่ห้อง รอพี่ปราบกลับมาจากทำงาน ผมส่งข้อความคุยกับพี่ริช พี่เขาแนะนำให้ผมทำน้ำร้อนใส่อ่างอาบน้ำไว้ พอพี่ปราบกลับมาก็จะได้แช่น้ำร้อนๆให้สบายตัว
“เหงาไหม” พี่ปราบถามเป็นคำแรกเมื่อกลับมาที่ห้อง
“ไม่เหงาหรอก ผมเดินเล่นถ่ายรูปแถวนี้ไปเรื่อย”
“ก็ดีแล้ว พรุ่งนี้กูจะพาไปขี่ม้านะ” พี่ปราบดึงผมเข้าไปกอด แล้วหอมแก้มผมทั้งสองข้าง
พี่ปราบไปทำงานมาทั้งวัน แต่ตัวของเขาก็ยังหอมอยู่ดี ไม่มีกลิ่นเหงื่อไคลที่เป็นกลิ่นสกปรก อาจจะด้วยเพราะน้ำหอมผสมเข้ากับกลิ่นตัว เลยทำให้พี่ปราบดูมีเสน่ห์ดึงดูด จนผมอยากกอดอยากดมทั้งวัน
“ที่นี่มีม้าด้วยเหรอ” ผมเงยหน้าถามด้วยความตื่นเต้น ผมไม่เคยขี่ม้าเลยสักครั้ง แต่อยากลองขี่มากถึงมากที่สุด
“มี อยู่ที่ท้ายโรงแรม เข้าไปลึกหน่อย เพราะถ้าอยู่โซนหน้าจะทำให้โรงแรมมีกลิ่นเหม็น”
“อ่อ งั้นพรุ่งนี้เราไปขี่ม้ากันนะ”
“อืม”
“พี่ปราบ ผมรองน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว พี่ไปอาบน้ำได้เลย”
พี่ปราบเลิกคิ้วสูง มองหน้าเหมือนจะถามว่าผมพูดจริงหรือล้อเล่น พอผมพยักหน้าให้พี่ปราบก็ก้มหน้าลงมาจูบ ก่อนจะผละไปที่ห้องน้ำ
“อาบด้วยกันไหม ไหนๆก็เตรียมน้ำในอ่างไว้แล้ว” พี่ปราบชะโงกหน้าออกมาถาม แต่ผมส่ายหน้า ไว้อาบทีเดียวคืนนี้ เพราะถ้าออกไปกินข้าวเดี๋ยวก็เหนียวตัวอีก
ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นคนเริ่มรักความสะอาดตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าผมยังชอบที่พี่ปราบตัวหอม ผมก็อยากให้ตัวของผมหอมเหมือนกัน
ข้าวเย็นพี่ปราบจัดเต็มด้วยอาหารฝรั่งแบบเต็มรูปแบบ ผมนั่งอึ้งเพราะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่พี่ปราบก็คอยสอนตั้งแต่ว่าส้อมที่ขนาดต่างกันใช้ยังไง ช้อนอันไหนใช้กับซุป อันไหนใช้กับขนมหวาน และวันนี้พี่ปราบสอนให้ผมกินข้าๆ ค่อยๆกิน ไม่ใช่กินแบบจ้วงเอาๆแบบทุกที
“หัดเอาไว้ วันข้างหน้ามึงต้องไปออกงานพร้อมกูและครอบครัวกู ถึงตอนนั้นจะได้ทำเป็น กูไม่แคร์ที่ใครจะมองมึงยังไง แต่มึงจะต้องแคร์หน้าตาตัวเอง คนในสังคมตัดสินคนที่มารยาทของชนชั้นสูงและเม็ดเงิน ดังนั้นมึงจะต้องไม่ทำให้ใครดูถูกตัวมึงเอง
“ผมกลัวทำได้ไม่ดี”
“ทุกคนต้องมีครั้งแรก และต้องมีการฝึกฝนถึงจะทำได้ กูก็ผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กไม่รู้ความด้วยซ้ำ ในเมื่อกูผ่านมันมาได้ มึงก็จะผ่านมันไปได้”
“ผมจะพยายาม”
ในเมื่อผมตัดสินใจแล้วว่าจะยืนอยู่เคียงข้างพี่ปราบ คนที่สมบูรณ์ไปทุกด้าน ผมก็ควรจะถีบตัวเองให้เสมอเท่าเขา อย่างนั้นจะได้ไม่ทำให้พี่ปราบและครอบครัวของเขาต้องขายขี้หน้า
ช่วงค่ำพี่ปราบพาผมเดินย่อยอาหาร ดูบรรยากาศยามค่ำคืนในโรงแรม มีโซนบาร์เปิดเพลงและขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผมนั่งจิบค็อกเทลไปสี่แก้วกูรู้สึกว่ามึน พี่ปราบเลยชวนกลับมาที่ห้อง ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปอาบน้ำก่อนเลย พร้อมกับออกมาด้วยชุดเสื้อคลุม
วันทั้งวันผมก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ไม่รู้ทำไมถึงเพลีย เห็นเตียงนอนก็อยากจะทิ้งตัวลงเต็มที่ อะไรที่ผมต้องการผมก็จะทำสิ่งนั้น ผมเดินไปนอนแผ่คว่ำหน้าลงกับเตียง แอร์เย็นช่ำกระทบกับผิวที่ยังเปียกน้ำ มันช่างสดชื่นจนผมเคลิ้มหลับไม่รู้ตัว
“ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะนอน” พี่ปราบตีแก้มผมเบาๆเป็นการปลุก
“ไม่เปลี่ยนแล้ว ผมขี้เกียจ” ผมตอบเสียงอู้อี้
“ถ้าไม่เปลี่ยนงั้นก็ถอดนะ”
“...” ถอดทำไม ทำไมต้องถอด
พี่ปราบจับผมให้นอนหงาย ผมลืมตามอง ถึงได้รู้ว่าพี่ปราบเองก็ออกมาตัวเปล่า ไม่มีผ้าเช็ดตัวปกปิดร่างกายเลยสักนิด มากไปกว่านั้นคือปราบน้อยมันกำลังชี้หน้าผมอยู่
“จะทำเหรอ” ผมถาม
“ได้ไหมละ”
ผมไม่ตอบ แต่เป็นฝ่ายลุกขึ้นไปจูบพี่ปราบแทน ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่เขาพาผมมาเที่ยวแล้วกัน อยากทำอะไรผมจะไม่ห้าม แม้ว่าเขาจะลากผมไปกอดที่ประตูกระจกตรงระเบียง หรือแม้แต่ที่โซฟาพี่ปราบก็ยังอุ้มผมไปได้ ทั้งที่เขาไม่หยุดกระแทกผมแม้แต่น้อย
นอกจากให้ความร่วมมือแล้วก็ตอบรับความเสียงซ่านแล้ว ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย
ครั้งที่สองดีกว่าครั้งแรกหน่อย เจ็บหน่อยกว่า และสนุกกว่ามาก
ตื่นอีกที่หนึ่งก็สายของวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอพี่ปราบ ก็เลยนอนเรื่อยเปื่อยอยู่บนเตียง ดีที่เมื่อคืนตัดสินใจอาบน้ำแม้ว่าแทบจะไม่มีแรงเหลือแล้วก็ตาม วันนี้ตื่นมาก็เลยไม่เหนียวเหนอะให้รำคาญตัว
ผมนอนเล่นโทรศัพท์ คุยเล่นกับพวกไอ้หวาย พวกมันยังคงสาปแช่งผมที่ผมไม่ชวนมันมาเที่ยว และล้อผมตลอดว่าผมมาฮันนีมูนกับพี่ปราบ บอกผมกับพี่ปราบมาผลิตลูกกัน
ผลิตลูกพ่อง
กูไม่มีมดลูก ไอ้พวกเพื่อนเหี้ยนี่ กวนตีนจริงๆ
“ตื่นแล้วทำไมไม่ไปอาบน้ำ” พี่ปราบนั่งลงบนเตียง ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกตัวเลยว่าพี่ปราบกลับเข้ามาในห้อง เป็นแบบนี้หลายรอบแล้ว ผมแทบไม่เคยได้ยินเสียงผีเท้าพี่ปราบเลย ไม่รู้จะเท้าเบาไปไหน ถ้าเวลาอื่นทำเบาๆได้ก็คงจะดี
“พี่ไปไหนมา” ผมถาม
“ออกไปเดินดูงานมาเฉยๆ กูสั่งอาหารเช้าให้ขึ้นมาส่งให้แล้ว เพราะป่านนี้ข้างล่างเข้าเก็บอาหารเช้าแล้วเรียบร้อย”
“ขอบคุณครับ อื้อ...ขี้เกียจสุดๆไปเลย” ผมลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจ
ไม่มีเวลาให้อิดออด ผมก็ต้องลุกไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าวเช้าที่มีหลากหลายเมนู ตั้งแต่อาหารไทยอย่างข้าวต้ม ไข่ลวก และพวกขนมปังปิ้งไส้กรอก เขาจัดมาให้เท่าไหร่ผมก็กินหมดเท่านั้น กินจนจุกเพราะเมื่อคืนใช้พลังงานไปก็ไม่นอน แถมวันนี้ต้องใช้พลังงานอีก จะไหวไหมเนี่ยกู
“ยังเจ็บก้นอยู่หรือเปล่า” พี่ปราบเดินมาถามผมที่กำลังแต่งตัว แต่ไม่ถามแค่ปากไง มือก็ลูบก้นผมไปด้วย
“เจ็บนิดหน่อย พอทนได้” ผมตอบ
“ถ้าตอนขี่ม้าแล้วเกิดเจ็บจนไม่ไหวก็บอก ห้ามฝืนเด็ดขาด”
“ครับผม”
โรงแรมของพี่ปราบมีพื้นที่มากกว่า1500ไร่ เรียกได้ว่าใหญ่มากๆ จะมาที่ฟาร์มม้าก็ต้องขับรถเข้ามา ไม่สามารถเดินมาได้ ด้วยเพราะด้านหน้าเป็นต้นลม หากจะเลี้ยงม้าก็ต้องเลี้ยงท้ายไร่ กลิ่นขี้ม้าจะได้ไม่ไปรบกวนแขก
พอเข้ามาในฟาร์มม้าทุกตัวก็ส่งเสียงทักทายพี่ปราบ มีทั้งม้าตัวใหญ่และม้าตัวเล็ก บางตัวก็สีดำเป็นเงา บางตัวก็สีขาว
พี่ปราบเลือกม้าให้ผมตัวหนึ่งเป็นสีน้ำตาล มันดูเป็นมิตรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นมิตรกับผม มันเลยดูน่ารักน่าขี่สุดๆ
พี่ปราบสอนให้ผมขึ้นมา และสอนวิธีควบคุมและกำกับให้มันเลี้ยวซ้ายขวาหรือหยุดเดิน ผมใช้เวลาฝึกพื้นฐานราวครึ่งชั่วโมง พี่ปราบถึงพาขี่ม้าแบบเหยาะๆออกไปดูบรรยากาศท้ายไร่ ม้าที่พี่ปราบขี่เป็นสีดำเงาทั้งตัว แววตาของมันดูดื้อ แต่มันก็เชื่องกับพี่ปราบ
ต้องขอบคุณที่วันนี้มีเมฆมาก ทำให้แดดไม่แรง อากาศก็เย็นสบาย ได้ขี้ม้ารับลมแบบนี้เหมือนได้ชาร์ตแบตไปในตัว
เบื้องหน้าของผมเป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปไกล เหมือนกับตัวผมที่เพิ่งจะอยู่แค่จุดเริ่มต้น หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลที่ผมจะต้องฝ่าฝันไปให้ได้ แต่ผมก็พร้อมแล้วที่จะเติบโตเป็นคนดีมีอนาคต
โลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่ผมเคยคิด และผมอยากเห็นโลกที่ใหญ่กว่านี้และสวยงามกว่านี้
“ซ่า”
“ครับ” ผมหันไปมองพี่ปราบ ดวงตาของเขาทอดมองผมด้วยความภูมิใจ เป็นสิ่งที่ผมต้องการและเขาเป็นคนแรกที่ให้มันกับผม
“ชอบไหม” พี่ปราบถาม
ผมฉีกยิ้มจนออกทางดวงตา “ชอบมากครับ”
“อยู่กับกูไปนานๆนะ”
“ผมจะอยู่กับพี่ไม่ไปไหน” ผมให้คำมั่นสัญญา
พี่ปราบควบม้าเข้ามาใกล้ผม ก่อนจะแบมือข้างขวาที่ตรงหน้า มือคู่นี้เคยประคับประคองผมครั้งแล้วครั้งเล่า คอยฉุดผมให้ลุกขึ้นสู้กับชะตาชีวิต และเป็นมือคู่นี้ที่เติบเต็มความรักและกำลังใจให้ผมเสมอมา
“เชื่อใจกูไหม”
‘ผมเชื่อ’
ผมตอบพี่ปราบในใจ ให้การกระทำเป็นคำตอบ ด้วยการวางมือลงตัวเองลงบนมือของพี่ปราบ มือของเขาจับกันแน่น ก่อนที่ตัวผมจะลอยหลุดออกจากตัวม้า แล้วขึ้นมานั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับพี่ปราบ ผมนั่งอยู่ข้างหน้า พี่ปราบซ้อนอยู่ข้างหลัง จากที่วิ่งเหยาะๆเช้าๆ ม้าก็พุ่งทะยายไปข้างหน้า ราวกับว่าไม่มีอะไรจะขวางกั้นพวกเราไว้ได้
ผมไม่รู้หรอกว่าเราจะเดินกันไปได้ไกลแค่ไหน ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันจะยั่งยืนไหม แต่ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ผมรักผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ชื่อว่าปราบ เขาปราบผมได้อยู่หมัด และทำให้ผมรักเขาจนไปไหนไม่รอด
ถ้าคุณถามผมว่าพี่ปราบมีความหมายกับผมยังไง ผมจะขอตอบว่า...
“พี่คือความโชคดีของผม ขอบคุณที่รักผมนะครับ”
จบบริบูรณ์
...................................................................
สวัสดีค่ะ
ในที่สุดก็จบลงจนได้ ริริเองก็เต็มอิ่มและปลื้มปลิ่มมากกับนิยายเรื่องนี้
เนื่องด้วยที่ริริเคยบอกไว้ว่า ตัวละครของน้องซ่านั้น เป็นชีวิตจริงของคนใกล้ตัวริริเอง สถานการณ์ทางครอบครัวที่ริริเขียนลงไป อิงเค้าโครงจากเรื่องจริงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น ด้วยตัวยายของซ่าเคยไปดูดวง แล้วบอกว่าอนาคตของซ่าจะได้คนเลี้ยงดูแต่เป็นผู้ชาย และจะมีอนาคตที่ดี เรื่องนี้ตัวน้องซ่า(ตัวจริง) ไม่รู้ แต่เรารู้ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าวันหนึ่งน้องได้เจอกับใครสักคนหนึ่งที่จะช่วยน้องได้ มันคงจะดีมากๆ นิยายเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
ถึงแม้ว่าเรื่องจริงจะยังไม่เกิด แต่ในนิยายก็ถือว่าน้องซ่าได้มีความสุขและเจอคนที่รักจริงเสียที
ขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบ ร่วมทุกร่วมสุขกับพี่ปราบและน้องซ่า
ขอบคุณทุกคอมเม้นเม้นและคะแนนที่กดให้ ถือเป็นแรงใจที่ดีมากๆเลยค่ะ
นิยายเรื่องนี้ จะตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ฟาไฉนะคะ สามารถไปกดติดตามได้ที่เพจของริริ หรือเพจของสำนักพิมพ์ได้เลยค่ะ
FaCai Novelsยังไงถ้าชื่นชอบก็ฝากน้องซ่ากับพี่ปราบไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ รับไปดูแลกันหน่อยนะคะ
ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาดีๆที่มีร่วมกันกับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
ด้วยรัก
ริริ