MBK❤lover
ตอนที่ ๓ : แฟชั่นเด็กสยามสแควร์ บ่ายสองโมงตรงเป๊ะของวันอาทิตย์ สมนึกในชุดกางเกงลำลองลายทหารขาสั้นแค่เข่า และเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวเก่าสีมอมๆ กลางหน้าอกเสื้อสกรีนเป็นลายสัญลักษณ์สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พร้อมสะพายเป้หลัง แถมด้วยหอบกระเป๋านักเรียนจาคอปที่โดนบีบจนแบนแต๋ใบนั้นมาด้วย ก็ได้มายืนอยู่หน้าตึกแถวที่ด้านบนสุดของตึกมีป้ายปูนซีเมนต์หล่อนูนเป็นคำว่า ตึกประยูรวงศ์ ๒
"มาแล้วเหรอ จิว"
แว่นทักไปงั้น เจ้าตัวกำลังก้มลงไปใส่รองเท้าแตะสกอลล์อยู่ เสร็จแล้วออกเดินนำ เสียงพื้นรองเท้าแตะสกอลล์ที่ติดเกือกม้าไว้ กระทบพื้นปูนดัง แกร็บๆๆ
วันนี้แว่นแต่งตัวแปลกตา จะว่าเอาเสื้อพ่อมาใส่ก็ไม่ใช่ ถึงตัวมันจะใหญ่ไหล่ตกและดูโคร่ง แต่ลวดลายมันก็เป็นวัยรุ่น ไม่ใช่ของคนแก่ พร้อมสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงผ้าลูกฟูกลายหนาหนักเอวสูง พร้อมคาดเข็มขัดเส้นใหญ่มาก จนแทบจะดูเหมือนเอวกางเกงจะอยู่ตรงใต้ราวนม
สมนึกเดินตามหลังพยายามคิด ว่าเคยเห็นชุดแนวๆ นี้ที่ไหนนะ จนถึงป้ายรถเมล์ที่จะขึ้นตรงวงเวียนเล็ก มองเห็นแผงหนังสือที่ขายข้างทาง เลยพึ่งถึงบางอ้อนึกออก ว่าเป็นชุดแนวแฟชั่นที่กำลังฮ๊อตฮิตของวัยรุ่นตอนนี้ เหมือนที่นายแบบใส่อยู่บนหน้าปกหนังสือ "วัยหวาน" บนแผงตรงหน้านี่เอง
"มึงนี่เยอะจริงๆ นะ"
คนแอบมองข้างหลัง อดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกมา
"ฮ่าๆๆ ก็วัยจ๊าบเนอะ มันมี ก็ไม่รู้จะใส่ไปไหนอ่ะ น้าเดียร์ชอบซื้อมาให้ เที่ยวก็ไม่ค่อยเที่ยว ออกมาจากบ้านวันหยุดก็ขอใส่สักหน่อยเหอะ"
คนตอบก็ตอบแบบไม่ได้หันมา เหมือนรู้ตัวว่าอีกฝ่ายต้องเขม่นในชุดที่ใส่มานี้แน่ๆ
--------------------------------
หลังจากทั้งคู่ใช้เวลาบนรถเมล์นานกว่าปกติ เพราะดันไปตรงกับเวลาที่สะพานพุทธยกเปิดกลางสะพานเพื่อให้เรือแล่นผ่านข้างใต้พอดี ก็มาถึงโรงเรียนเอาเมื่อเกือบบ่ายสี่โมงเย็น
"งั้นแยกกันตรงนี้นะเว้ยจิว กูเป็นอาสา ห้องนิทรรศการชีวะ กูอยู่ชั้นบนสุดน่ะ"
"โอเค กูเป็นอาสาอยู่ห้องเกมส์เขาวงกต ชั้นล่างนี่เอง ไปเว้ย"
แว่นแยกตัวเดินขึ้นไปที่ห้องพักครูชีวะชั้นบนสุดของตึก เมื่อถึงแล้วก็ได้รับมอบหมายจากรุ่นพี่ให้ไปช่วยยกกล่องกระจกในห้องพักครู มาตั้งแสดงในห้องที่เตรียมแท่นไว้แล้ว แว่นมองหาโต๊ะครู จนเห็นกล่องกระจกที่ว่าจากด้านหลัง จึงเดินอ้อมไปข้างหน้า
"เฮ้ยยยยย!!!!!"
แว่นร้องสะดุ้งโหยง มันคือศีรษะมนุษย์ ที่ดองไว้ในกล่องกระจกเพื่อการศึกษา ครูทำเรื่องขอยืมมาจากศิริราช
--ตายห่าล่ะเว้ยกู--
นึกพลางก็มองซ้ายมองขวา คว้าได้ผ้าขนหนูเล็กๆ ผืนหนึ่งก็ปิดลงไปบนกล่องนั่น ซึ่งก็ปิดไม่มิดจนสุดกล่องหรอก แต่ก็ดีกว่าไม่ปิด...
หลังจากวุ่นวายกับการขนกล่องกระจกต่างๆ ซึ่งกล่องหลังๆ อาจดีขึ้นหน่อย เช่น มือที่ตัดแค่ข้อดอง ขดลำไส้ใหญ่ดอง หรือนิ้วคนขนาดต่างๆ (เวรกรรม ไอ้แว่นเอ๋ย) และนำไปจัดวางจนเรียบร้อย ก็เกือบสองทุ่มครึ่งแล้ว จึงเดินไปถามรุ่นพี่ว่าเค้าพักนอนในโรงเรียนกันตรงไหน
"พี่ครับ ผมไม่ได้กลับบ้าน จะค้างคืนที่โรงเรียน นอนที่ห้องไหนครับ" แว่นถาม
"อ้าว ก็เป็นอาสาฯ อยู่ห้องนิทรรศการไหน ก็นอนในห้องนั้นแหล่ะน้อง จะได้ช่วยกันเฝ้าของด้วย"
แว่น ".........."
ไม่เกินสองนาทีหลังจากนั้น แว่นก็วิ่งแน่บลงบันไดตึกเรียนอย่างไวจากชั้นห้า ลงมายังห้องเขาวงกตชั้นหนึ่งทันที
"ไอ้จิว ไอ้จิวเว้ยยย"
ที่ต้องตะโกนเรียกหา เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไป ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกองเขาวงกตลายหินปลอมเต็มทั้งห้อง ซึ่งเกิดจากการเอาโต๊ะเรียนมาวางซ้อนสองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง ให้เป็นซอกหลืบเข้าไป แล้วบุด้วยหนังสือพิมพ์ทากาวทับๆ กัน แล้วกลิ้งสีให้เหมือนลายหิน เพื่อให้คนเล่นเกมส์มุดเข้าไปแล้วคลานหาทางออก ซึ่งตอนนี้ไม่เห็นใครสักคน
"ไอ้จิ....."
"นี่ๆๆ อยู่นี่โว้ย ไอ้แว่น ห่า ตะโกนอยู่ได้" เสียงสมนึกดังอยู่นอกห้อง
"อ้าว ไปไหนมา กูก็มองไม่เห็นนี่หว่า" แว่นหันไปตามเสียงนั้น
"กูไปล้างหน้าล้างมือมา ว่าจะมุดเข้าไปนอนล่ะ ไม่มีใครอยู่ค้างเลย กลับบ้านกันหมดว่ะ กูนอนเฝ้าไอ้เขาวงกตนี่คนเดียวเนี่ย"
"ดีเลย" แว่นยิ้มตาหยี "กูมาขอนอนด้วยนะ"
"อ้าว แล้วห้องนิทรรศมึงล่ะ ไม่ต้องนอนเฝ้าเร๊อะ"
"หึหึ...ไม่ล่ะ ใครจะเฝ้าก็เฝ้า กูคนนึงล่ะไม่เฝ้า ใครจะไปนอนลง" แว่นทำท่าขนลุกขนพอง
"ฮ่าๆๆ กูพอนึกออก แล้วใครใช้ให้มึงไปอาสาทำห้องชีวะล่ะวะ" ตี๋หล่อทำตาโตเหมือนเยาะเย้ย
"กูเกรงใจอาจารย์ เค้าดีกับกู กูก็อยากช่วยเค้า แต่เอาน่า ห้องนั้นคนนอนเฝ้าหลายคนแล้ว ของไม่หายหรอก"
"เออๆ เอาเถอะ ดีเหมือนกัน เพราะกูโดนนอนคนเดียวเลยเนี่ย ไอ้กองเขาวงกตนี่มันก็วังเวงลึกลับดีเนาะ มาๆๆ" ตี๋เดินนำเข้าไปมุมนึงของห้อง
หลังจากเก็บของ ปิดห้องปิดไฟแล้ว เด็กหนุ่มสองคนก็คลานไปที่มุมห้องด้านในสุด ติดกับหน้าต่าง แล้วตกลงกันอยู่นาน ว่าจะนอนแบบเอาหัวมุดเข้าไปนอนในช่องเขาวงกตแล้วเอาเท้าโผล่ออกมาดี หรือเอาเท้าเข้าไปแล้วโผล่หัวออกมาดี เพราะพื้นที่มันสั้นแค่นั้น มุดเข้าไปนอนทั้งตัวไม่ได้
ท้ายที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าเอาเท้าและตัวเข้าไปในช่องเขาวงกตดีกว่า เพราะไม่มีผ้าห่มจะห่มนอน โผล่มาแต่หัวก็ไม่เป็นไร
"อื่อ นอนโว้ย พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ มึง" เสียงแว่นงึมงัมๆ พร้อมกับถอดแว่นออกวางไว้ข้างตัว
ห้านาทีผ่านไป ก็มีเสียงกรนเบาๆ จากคนที่พูดเมื่อกี้
แต่ตี๋หล่อยังไม่หลับ เพราะเป็นเด็กหลับยากมาแต่ไหนแต่ไร ประจวบกับที่บ้าน พ่อก็ชอบบ่น แถมวันไหนพ่อเมากรึ่มๆ มานี่ แทบไม่ได้นอนทั้งคืนเลยทีเดียว
สมนึกหลับตาพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบก็ไม่หลับสักที จนอ่อนใจ ก็เลยลืมตาขึ้นมา จากมุมที่นอนตะแคงกลับไปกลับมาเมื่อกี้ ก็ปรากฏว่าหน้าทั้งคู่หันมาทางเดียวกันพอดี
แสงไฟด้านนอกส่องอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีหนังสือพิมพ์แปะปิดไว้บางๆ ชั้นหนึ่ง เพื่อให้เขาวงกตมืด แต่เพราะตอนนี้ข้างในห้องมันมืดกว่า เลยพอมีความสว่างให้เห็นได้รำไร
แว่น ซึ่งถอดแว่นหนาเตอะนั้นออกแล้ว ไฟนวลๆ ลอดเข้ามา ทำให้ภาพที่สมนึกเห็น มันเนียนกว่าเวลาปกติ ใบหน้าของแว่นที่อยู่ห่างจากสมนึกแค่สองคืบนั้น ดูน่าพิศวง แสงในมุมที่มันได้ ทำให้รอยสิวบนหน้ากลับมองไม่เห็นในขณะนี้ สิ่งที่ชัดเจนกลายเป็นช่วงตาที่สวย ขนตาดกหนา คิ้วที่สวยได้รูป เป็นโครงแนวมาจรดสันจมูก ปากสีเนื้อที่อิ่มและเผยอน้อยๆ ตามเสียงกรน เห็นฟันขาวเรียงสวยอยู่ข้างใน สันกรามด้านข้างได้รูปคมชัด รวมทั้งปลายผมด้านหน้าที่แอบไว้ยาวกว่าปกติจากรองทรงเกรียนทั่วไป ตกลงมาเคลียอยู่ตรงหน้าผาก ทำให้สมนึกหยุดนิ่ง แล้วนอนจ้องหน้าแว่นอยู่อย่างนั้น
แน่นอนที่สุด ว่าสมนึกไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ช่วงเวลานั้นมันเหมือนมนต์สะกด มันเหมือนคนเราได้มองจ้องอะไรสักสิ่งที่งดงาม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของก็ตาม มันเป็นการมองทะลุเปลือกของสิ่งนั้น ลงลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง จนเห็นความงามที่ไม่ต้องมีคำอธิบาย มันเป็นสิ่งสากล ไร้เพศ ไร้จำนวน ไม่ต้องมีที่มาที่ไป สมองหยุดนิ่งแต่อิ่มเอมใจในภาพตรงหน้า
ภาวะนี้ของสมนึก เกิดขึ้นในเวลาไม่นาน หลังจากนั้นก็หลับสนิทตามคนข้างๆ ไป...
--------------------------------
๘.๓๐ น. ผอ. โรงเรียนทำพิธีเปิดงาน "นิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมใจ ๒๕๒๗" ไปเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนักเรียนทั้งเจ้าภาพ และโรงเรียนสตรีที่มาเยือน ก็กระจายกลุ่มกันไป ทั้งกลุ่มนักเรียนผู้เข้าชม และกลุ่มอาสาของทั้งสองโรงเรียน ก็เข้าประจำที่
"เธอๆ เก้าอี้นี่ว่างใช่มะอ่ะ"
เสียงใสๆ ของนักเรียนหญิงดังอยู่ข้างๆ แว่นหันไปมอง เป็นเสียงของสาวน้อยชุดนักเรียนกระโปรงน้ำเงิน สาวน้อยมีผิวขาวใส ผมม้าดำสนิทเรียบตรงสวย มีแววตาที่ขี้เล่น แต่ก็ดูเป็นงานเป็นการอยู่ในที ที่แขนมีแถบปลอกแขนอาสาของงานนี้ติดอยู่ด้วย
"อ่อ อ่อ นั่งได้ฮะ เป็นอาสาประชาสัมพันธ์ของชีวะเหรอ"
แว่นตอบ พร้อมแอบเอามือเสยผมที่สั้นๆ ของตัวเอง อย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร
"ใช่จ้า เราชื่อดาริน นะ เรียกเรา ลิน ก็ได้"
"อ่อ อ่อ เราแว่นนะ จริงๆ เราชื่อที่บ้านเรียกว่าต้นข้าว แต่ไม่มีใครเรียกหรอก เรียกแว่นกันทั้งโรงเรียนอ่า"
"ดีจ้ะต้นข้าว...สวัสดีค่ะ เชิญลงทะเบียนก่อนเข้าห้องนะคะเพื่อนๆ"
ประโยคหลัง ดารินหันไปบอกกับกลุ่มนักเรียนที่กำลังเดินมาเข้าห้องนิทรรศการชีวะนี่
---น่ารักฉิบ---
แว่น แอบรำพึง และยังจ้องจนเหลียวหลัง แม้กระทั่งเมื่อตนเองไปยืนรอบรรยายให้ผู้เข้าชมข้างโต๊ะสัตว์เลื้อยคลานดอง ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ยังไม่วายเหลียวมามองดารินเป็นระยะ
และเวลาต่อจากนั้น ทั้งคู่ก็ยุ่งกับงานที่รับอาสาตรงหน้า จนระฆังบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น
"ไอ้แว่นนนนนน ไปกินข้าวกัน เฮ้ยยย...ใครวะ น่ารักฉิบ"
เสียงตี๋หล่อตัวดี ดังขึ้นหน้าห้องทันทีที่เสียงระฆังสงบลง
"ใครวะ ใครวะ ไอ้แว่น" ตี๋หล่อกระตุกแขนเสื้อแว่นยิกๆ
"ใครคือใคร คนไหนล่ะมึง มีคนตั้งเยอะ" ร่างสูงตีมึน
"ห่า คนนั้นไง หญิงผมม้า ตัวขาวๆ น่ารักๆ น่ะ"
ตอนนี้แขนเสื้อของแว่นจะขาดอยู่แล้วตามแรงกระตุกของมัน
"อ่อ ดาริน อาสามาจากโรงเรียนข้างๆ ไง อยู่สายวิทย์"
"น่ารักเว้ยยย มึง ชวนเค้าไปกินข้าวดิ"
"เออ..." แว่นตอบๆ ไปงั้น เพราะถ้าไม่ตอบ แขนเสื้อคงขาดคามือไอ้ตี๋นี่
"ลิน ลิน ไปกินข้าวด้วยกันไหมอ่ะ" แว่นจ้องผ่านแว่นที่หนาเตอะถาม
"ไปดิ" ดารินตอบแบบไม่ต้องคิด "เพื่อนเราต้องอยู่เวรเฝ้าของในห้องนี้ก่อน ไปกินพร้อมเราไม่ได้ เราไปกินกับเธอแทนก็ได้"
"ป่ะๆๆ" แว่นตอบด้วยอาการลิงโลด แต่ไอ้หล่อที่เกาะแขนเสื้ออยู่ ดูมันตื่นเต้นกว่า
ทั้งสามคนเดินลงมาที่โรงอาหารของโรงเรียน ก็พบว่าทั้งโรงอาหาร มีนักเรียนทั้งสองโรงเรียนนั่งกินข้าวกันเต็ม และยังมียืนถือถาดอาหารรอโต๊ะนั่งอีกเยอะ
"เวรล่ะ เอาไงดีวะเนี่ย" สมนึกเกาหัวแกรกๆ
"ไปกินที่สโมสรรถไฟ ตรงข้ามนี่ไหมอ่ะ" ดารินเสนอความคิดขึ้น
"โห แพงอ่ะดิ เราไม่ค่อยมีตังค์" พอพูดเรื่องตังค์ ไอ้ตี๋หล่อหมดท่าจะแอ็คอาร์ตขึ้นมาทันที
ดารินหัวเราะเสียงใส
"ไม่แพงหรอก มันก็เป็นร้านอาหารสวัสดิการเหมือนกัน ถ้าแพงก็แพงกว่าแค่บาทสองบาทเอง"
"กูเลี้ยงมึงเองน่า อย่าเยอะ ต้องรีบกลับมายืนงานอีก เสียเวลา เร็วๆ" แว่นสรุปให้
อีกห้านาทีต่อมา ทั้งสามคนก็มายืนเลือกกับข้าวที่สโมสรรถไฟ ซึ่งก็จริงดังดารินว่า กับข้าวราดแกงที่นี่ ราคาจานละ ๑๐-๑๒ บาท ก็ต่างจากโรงอาหารโรงเรียนนิดหน่อย ถ้ากินในโรงเรียนก็ ๘-๑๐ บาท
"เออ ลิน นี่เพื่อนเรานะ ชื่อสมนึก หรือชื่อไอ้จิว น่ะ"
"ดีคร้าบบบ ลิน" ไอ้ตัวดี กะลิ้มกะเหลี่ยขึ้นมาทันที
เสียงหัวเราะใสของดารินนำขึ้นมาก่อนพูดอีกครั้ง "นึกว่าจะไม่แนะนำเพื่อนให้ซะแล้ว ดีจ้าจิว"
บทสนทนาต่อมาของสามคนบนโต๊ะกินข้าว ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างออกรส ทั้งเรื่องดูหนัง เรื่องเพลงพุ่มพวง เรื่องวงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์ เรื่องอำพล ลำพูน ซึ่งเป็นดาราหน้าใหม่ได้ตุ๊กตาทองจากหนังเรื่อง "น้ำพุ" ในปีนี้ เท่สุดๆ อยากไปดูหนังเรื่องนี้จัง งั้นงี๊ และสัพเพเหระต่างๆ นาๆ
มิตรภาพที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนสามคนในวันข้างหน้า เริ่มต้นที่สโมสรรถไฟแห่งนี้เอง...
--------------------------------
๕ วันติดกันในงานนิทรรศการก็ผ่านไป วัยรุ่นหนุ่มสาวทั้งสามคน ได้ใช้เวลานั้นยึดสโมสรรถไฟเป็นที่กินอาหารกลางวันร่วมกันทุกวัน จิตใจ ความนึกคิด ความรู้สึกต่างๆ นาๆ ของวัยเยาว์ ก็ถูกส่งต่อแลกเปลี่ยนกันตรงนั้นเป็นที่เพลิดเพลิน
บางวัน เพื่อนสนิทอีกสองสามคนของสมนึกและแว่น ก็ได้มาร่วมแจมด้วย และมีวันหนึ่ง ดารินได้แนะนำเพื่อนหญิงที่สนิท ให้สมนึกและแว่นรู้จักอีกคน
"ชื่อสมหมาย เพื่อนเราเองเธอ" ดารินหัวเราะนำมาก่อนแล้วแนะนำเพื่อน
"สมหมายเนี่ยะนะ ชื่อผู้หญิงเหรอ" ตี๋หล่อขาโจ๋โพล่งออกมาแบบไม่เกรงใจเจ้าของชื่อ
"ทำไมยะ ชื่อสมหมายมันเป็นยังไง" เจ้าของชื่อทำเสียงสูงโวยกลับ
"ป่าวววว แซวเล่น ฮ่าๆๆ" ขาโจ๋ยังไม่วาย อดขำ
สมหมายทำปากขมุกขมิบ สาวน้อยวัยรุ่นที่ชื่อสมหมายนี้ เป็นสาวน้อยร่างสูงปริ๊ด รูปร่างเหมือนนักกีฬาวอลเลย์หรือบาสเก็ตบอลประมาณนั้น ผมสั้นแค่หู ดูโผงผาง กล้า ไม่กลัวคน แต่ก็ดูเป็นมิตรดี ตรงข้ามกับน้ำเสียงที่ใช้
"หืม วันไหนไปเที่ยวสวนสยามกัน จะใส่ชุดว่ายน้ำให้ดู จะได้รู้ว่าชื่อนี้หญิงหรือชายนะเธอนะ" สมหมายท้าให้
"ฮ่าๆๆ ไม่เอา เราไม่ดูเธอหรอก" ทีงี้ตี๋หล่อเริ่มหงอล่ะ เวลาเจอคนจริงเข้า
"กินข้าวกันเหอะ กินๆ อร่อยป่ะแว่น เอาน้ำอะไร เดี๋ยวเราไปซื้อให้"
สมหมายดูเหมือนจะหยิบยื่นน้ำใจให้แว่นมากกว่าใครในโต๊ะ
"อุย ไม่เป็นไร ขอบใจจ้าสมหมาย เดี๋ยวเราไปเอง"
ไม่รู้เป็นอย่างไร แว่นกลับมีความรู้สึกเกรงอกเกรงใจสมหมาย มากกว่าดารินเสียอีก
--------------------------------
หลายวันหลังจากงานนิทรรศการจบลง นักเรียนทั้งสองโรงเรียนก็เข้าสู่ภาวะปกติ เย็นวันหนึ่ง สมนึกก็ชวนแว่นเดินเล่นเพราะเบื่อพ่อ และไม่อยากจะกลับบ้านเร็ว ทั้งสองหมายใจจะไปนั่งเล่นบนกองเสาเข็มตรงสี่แยกปทุมวันนั้นอีก เพราะมันมีมุมที่นั่งแอบสูบบุหรี่ได้
หากแต่ทั้งคู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะถึงวันนี้ เสาเข็มบางส่วนเริ่มตอกลงไปในพื้นแล้ว มีปั้นจั่นตอกเสาเข็มหลายแท่นกำลังตอกเสาเสียงดัง ตึ๊มๆๆ สนั่นไปทั่วบริเวณ แถมมีรั้วสังกะสีมากั้นล้อมรอบไปอีก
สองคนเลยเดินข้ามถนนไปฝั่งสยามเซนเตอร์ ตรงนั้นเป็นลานโล่งติดกับสี่แยก โดยตัวตึกสยามเซนเตอร์อยู่ลึกเข้าไปอีก พื้นที่บริเวณนี้ในภาวะปกติจะใช้จอดรถของคนมาเดินห้าง แต่ถ้าหน้าหนาว จะเป็นลานเบียร์สด ซึ่งเป็นของแปลกใหม่ที่คนกำลังเห่อ และนิยมกันมากในเวลานั้น แต่วันนี้ไม่ใช่หน้าหนาว และเป็นวันธรรมดาที่ไม่มีรถมาห้างมากนัก ลานนั้นเลยโล่ง
"แว่น" ตี๋หล่อเรียกขึ้น หลังจากนั่งนิ่งๆ มาสักพัก บนลานสนามหญ้านั้น
"หืม อะไรวะ" แว่นขานรับ โดยไม่ได้ละสายตาจากปั้นจั่นตอกเสาเข็ม ซึ่งกำลังตอกเป็นจังหวะที่ฝั่งตรงข้ามไฟแดงนั้นอยู่
"กูว่ากูชอบดารินว่ะ" ตี๋สมนึก มีสีหน้าเข้มขึ้นนิดหนึ่งตอนพูด จากมุมที่แว่นหันขวับไปมองตอนนี้
"เ อ อ ..." แว่นตอบกลับเสียงเบา
"อะไรเออ เอออะไรของมึง ดีหรือไม่ดีก็ว่ามาสิวะ มา อง มา เออ" ตี๋โวย
"ก็ดี..." แว่นเสียงยังแผ่วๆ อยู่ และตอนนี้ก้มหน้าลงไปมองพื้นหญ้าแล้ว
สมนึกมองแว่นอย่างมึนๆ มันเป็นอะไรของมัน อยู่ดีๆ ก็อึนไป อะไรวะ---
นึกประโยคนั้นเสร็จ ตี๋หล่อหน้าหวานก็เอื้อมมือไปวางบนหลังคออีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับลูบมือแผ่วๆ ไปมาที่หลังคอนั้น แล้วพูดเสียงอ่อนๆ
"แว่น เป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรบอกกูได้นะ"
"เปล่า..." แว่นยังเสียงแผ่วๆ อยู่ แต่ตอนนี้เงยคอกลับขึ้นมามองปั้นจั่นตอกเสาเข็มอีกแล้ว
ผลั่ววว!!!"
เสียงมือตีเข้ากับต้นคอแว่น แบบกึ่งแรงกึ่งเบา จากที่ลูบๆ เล่นอยู่บนหลังคอเมื่อกี้ ตี๋หล่อคงนึกขวาง อึดอัดขัดใจขึ้นมา จากลูบปลอบใจ เลยฟาดมันซะเลย
"เฮ้ยยย อะไรวะ ตีกูทำไม" แว่นหันมาโวยเต็มเสียง
"ฮ่าๆๆๆ กูหมั่นไส้มึงเล่นๆ นี่ล่ะ ห่า ถามความเห็นหน่อยก็ไม่ตอบ มึงเป็นอะไรวะ ---หรือมึงอย่าบอกนะ ว่ามึงก็จะจีบดารินเหมือนกัน ฮ่าๆๆ"
"เฮ้ย กูไม่..." แว่นโบกมือผ่านหน้า
"งั้นมึงก็อิจฉากูล่ะสิ"
"ค-ว-ย เหอะ มึงจีบติดแล้วเหรอไง" แว่นร้องครางลงเสียงต่ำออกมา
"ถ้าไม่ใช่งั้น ก็แสดงว่ามึงหึงกู ฮ่าๆๆๆๆๆ"
"ไอ้เหี้ยยย--- หึงเหิงอะไรของมึ๊งงง" เสียงสองของแว่นแว้ดขึ้นมาทันที
"ฮ่าๆๆ เรื่องของมึง กูอารมณ์ดีแล้วเว้ย ไปไป กลับบ้านกันเถอะ ต่อรถสองต่อจากสยามนี่ล่ะ ขี้เกียจเดินย้อนไปขึ้นสาย ๗ หลังโรงเรียนอีก ป่ะ"