【 ♕ Elven Almanac ♕ 】♰ ราชันพันธนาการ ♰ ตำนานเทพีจันทร์ แจ้งข่าวหน้า 35
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【 ♕ Elven Almanac ♕ 】♰ ราชันพันธนาการ ♰ ตำนานเทพีจันทร์ แจ้งข่าวหน้า 35  (อ่าน 237793 ครั้ง)

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
ตัวละครเยอะมากค่ะ เพิ่งได้มาตามอ่าน ตอนนี้เลยยังกงก๊งนิดหน่อย แต่จะตามต่อนะคะ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
บทที่ 23 : เกาะไร้นาม (3)

“ข้าไม่โลภมากเท่าไหร่ ถ้าเจอสินแร่จริงก็ขอสักชิ้นสองชิ้น หรือถ้าไม่มีแงะเอาหินสีดำๆ แถวนี้ไปชั่งน้ำหนักขายก็ได้” เจย์ลุกแล้วฉุดนางขึ้นมา “...หรือถ้าอันตรายมากก็เผ่นก่อน” เขาพูดติดตลก แต่เชื่อเถิดว่าเป็นจริงเกินครึ่ง

นางลังเลเมื่อถูกจูง คล้ายเรื่องในความฝันยังไม่ปล่อยให้นางได้พัก ทว่าด้านหลังของเจย์กลับมีภาพด้านหลังของบุรุษร่างสูง ผมยาวสีทองซ้อนทับขึ้นมา ภาพนั้นทำให้ใจของนางสงบ เดินตามเขาแต่โดยดี

ทั้งสองขึ้นไปด้านบน จู่ๆ ก็มีเสียงครางลากยาวดังลงมาจากชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป เสียงนั้นประหลาดพิกล เหมือนตัวอะไรร้องครางอู้อี้อยู่ในน้ำ สตรีด้านหลังจับมือเจย์ที่เดินนำไม่ปล่อย

เจย์ตบมือขวากับกระเป๋าคาดสะโพก เขามีสารพัดยาที่ซื้อบ้างทำเองบ้าง ลูกครึ่งเอลฟ์นึกในใจว่าจะใช้ขวดไหนก่อน ยาทำลายประสาทตาหรือจมูก หรือโยนไปพร้อมกันให้อะไรก็ตามที่รออยู่ชั้นบนมองไม่เห็นและไม่ได้กลิ่น

แต่ระหว่างที่เจย์ตั้งท่าพร้อมสู้ จู่ๆ เสียงครางก็เงียบไป เงียบเกินเงียบ...คล้ายสัญญาณเตือนว่าบางอย่างที่เลวร้ายกำลังมา

หมอกประหลาดค่อยๆ โรยตัวจนแสงอาทิตย์ซึ่งส่องเข้ามาในหอคอยดูสลัวราง มันไม่มาเปล่า แต่มาพร้อมกลิ่นหอมยวนใจ เจย์กระชับมือซ้ายที่จูงโฉมงามไว้ มือขวาเลื่อนจากกระเป๋ายาไปแตะดาบสั้น หมอกทำให้เขามองเห็นภาพตรงหน้าเป็นเงาขมุกขมัว การใช้ยาอาจช้าเกินไปหากสัตว์ประหลาด อมนุษย์ หรืออะไรก็ตามที่แอบซ่อนอยู่ในหมอกเข้าจู่โจมระยะประชิด เพราะฉะนั้นเอาดาบฟันไว้ก่อนเป็นดี

“มีไอสีดำจากตรงนั้น” นางมองไปทางด้านหลังม่านหมอก

เจย์พยักหน้าพลางสืบเท้าไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งเจย์ผ่อนคลายเล็กน้อย--แค่เพียงเล็กน้อย ตรงหน้าเขาก็ปรากฏเงาตะคุ่มหลายร่าง

ทว่าเงาเหล่านั้นไม่มีทีท่าจะพุ่งเข้าใส่ กลับกัน มันเคลื่อนไหวเชื่องช้าเกินไป อืดอาดเกินไป ถึงอย่างนั้นลูกครึ่งเอลฟ์ก็ดันไนติงเกลให้แอบด้านหลัง เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดบริเวณขมับแม้อากาศจะเย็น มือที่กำดาบเริ่มชื้น

เงาค่อยๆ ออกจากหมอกทีละร่าง เจย์เพ่งจนเห็นว่าเป็นมนุษย์แต่งชุดอย่างนักล่าสมบัติ

เป็นพวกโจรที่เขาหลอกมาหรือ

ไม่หรอกน่า พวกมันจะเร็วขนาดนำหน้าข้าได้อย่างไร

มนุษย์เหล่านั้นมองเจย์เหม่อลอย เอียงคอไปมาอย่างช้าๆ เหมือนชักกระตุกจนน่าขัน พวกมันเดินเข้ามาใกล้ และเจย์ก็เห็นว่าเป็นพวกโจรที่เขาหลอกให้ร่วมขบวนมาจริงๆ

ทว่าก่อนที่พวกมันจะถึงตัวเจย์ โจรหนุ่มก็ถูกดึงจากข้างหลัง

“ระวัง” เสียงเล็กๆ บอก เจย์รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตที่ฝ่ามือ วูบหนึ่ง ภาพเพื่อนโจรหายไป กลายเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างคนแต่ไม่ใช่คน ร่างกายของมันคล้ายปั้นจากก้อนดินผสมกับชิ้นส่วนจากร่างคน มีเถาไม้แทรกและเกาะอยู่บนส่วนก้อนดิน คล้ายครึ่งคนครึ่งพืชที่ประดับร่างกายด้วยต้นพืชหน้าตาอัปลักษณ์

เถาไม้อวบน้ำสีเขียวเข้มขยับ เผยให้เห็นช่อเกสรสีแดงคล้ำช่อเล็กๆ กับละอองเกสรละเอียดปลิวตามหมอก

ผจญภัยมาไม่น้อย เจย์พอมีความรู้ด้านพืชพรรณแถบนี้อยู่บ้าง ดูจากลักษณะเถาวัลย์อวบน้ำมีดอกสีเลือดหมูหน้าตาอัปลักษณ์ต้นนี้ มันคือ ‘ริกอร์ มอร์ทิส’ หรือ ‘ดอกไม้ซากศพ’

พืชชนิดนี้งอกงามบนซากศพ เมื่องอกแล้วจะใช้รากและเถาชอนไชไปทั่ว รวบรวมเอาดินมาก่อกับร่างศพ บังคับให้ศพขยับได้ ต้นพืชไม่มีความคิด แต่มีสัญชาตญาณการแพร่พันธุ์ ดั่งดอกไม้ที่ขับน้ำหวานเพื่อล่อภมรมาผสมเกสร ดอกไม้ซากศพขับละอองเกสรที่ทำให้ประสาทการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตผิดเพี้ยน เห็นภาพหลอน เมื่อเหยื่ออ่อนแรงก็ชอนไชเข้าในร่างกายเพื่อวางเมล็ดพันธุ์ ยางที่ขับออกมาจากเถาของมันเป็นพิษ หากเข้าไปในร่างกายสามารถทำให้มนุษย์ธรรมดาเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงและตายในฉับพลัน

ดูจากความเก่าของเสื้อผ้าอาวุธที่โผล่พ้นดินมาบางส่วน เจย์เดาว่ากระถางมนุษย์ที่ดอกไม้ซากศพได้ คงเป็นโจรที่มาล่าสมบัติก่อนหน้าตน

โจรหนุ่มนึกถึงคำโฆษณาตลกๆ ของพ่อค้ายาสารพัดประโยชน์ ‘ยาฆ่าหญ้าจ้า เร่เข้ามา สวนท่านจะเรี่ยมเร้ไม่มีหญ้าให้รำคาญใจ’

ตอนนั้นเขานึกขัน สวนที่ไม่มีหญ้าคงตลก ใครจะซื้อ แต่ตอนนี้เขาอยากได้ยาปราบพืชสักสิบขวด

“อ่า...” เจย์ล้วงกระเป๋าคาดสะโพกวุ่นวาย เขานึกหาอะไรเหมาะๆ ไม่ได้เลย ไฟเผาหรือ ไม่ได้ ชื้นเกินไป ยกเท้าถีบหรือ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนเถาดึงไปใกล้ สูดเกสรมันเข้าไปเต็มปอด กลายเป็นกระถางมนุษย์ใหม่เอี่ยม

มันมีไหมไอ้ที่พืชนรกพวกนี้แพ้ทาง...ลูกครึ่งเอลฟ์คิด

“แสง” สตรีข้างหลังเจย์บอก “ตรงที่มีแสง ไม่มีพวกนี้”

เป็นดังที่นางว่า หอคอยนี้เก่าและทรุดโทรม มีช่องเล็กช่องน้อยให้โจรที่เก่งด้านการปีนป่ายลอดเข้ามาได้ บางส่วนมีแสงส่องถึง และตรงที่มีแสงไม่มีต้นไม้กระหายศพสักต้น พวกมันบังคับศพให้เดินวนเวียนอยู่ในส่วนที่มืดและชื้นเท่านั้น

เจย์ถูกใจสตรีเอลฟ์ขึ้นไปอีก นอกจากสวยยังมีไหวพริบ และมีเค้าว่าจะเป็นนักเวท ครบครันขนาดนี้ พร้อมเป็นแม่ของลูกได้เลย

“ข้าคิดก่อนว่าจะหิ้วเจ้าไปอย่างไรดี”

ลำพังตัวเขาเองปีนโน่นลอดนี่ได้สบาย แต่นางเป็นสตรีแบบบาง เขาต้องนึกท่าอุ้มไม่ให้นางระคายหรือเสียเกียรติ ซึ่งหากใช้ท่าอุ้มเจ้าสาวก็คงทุลักทุเลพิกล

“หิ้วหรือ” นางทำหน้าประหลาดใจ ดวงตาใสสีหินแก้วประกายรุ้งกะพริบปริบๆ อย่างงุนงง ดูน่ารักน่าหยอก

“เจ้าสวมชุดแบบนี้ ร่างก็บางขนาดนี้ จะห้อยโหนไหวหรือ” เจย์ชี้ไปตามแง่งและช่องที่พอจะเป็นทางเลี่ยงดอกไม้นรกไปได้

นางส่ายหน้า ถ้าถามนาง นางไม่คิดว่าตนคุ้นเคยกับการห้อยโหนหรือมีคนจะหิ้วนางเท่าไรนัก

พอเห็นอย่างนั้น ลูกครึ่งเอลฟ์ก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า “เจ้าขี่หลังข้าได้มั้ย กอดข้าแน่นๆ ละ ระวังตก”

“ขี่หลัง?” ดูเหมือนนางจะไม่ชินกับคำนี้เช่นกัน แต่ก็มิได้อิดออด “ตกลง”

เจย์นั่งให้นางขึ้นหลัง เมื่อร่างนุ่มนิ่มเข้ามาเกาะ เจย์ได้กลิ่นหอมและรู้สึกอุ่น แขนเล็กเกี่ยวรอบคอเขา ทุกส่วนของนางนุ่มนิ่มไปหมด เขากระแอม แล้วตั้งใจหาทางปีนป่าย เขาแข็งแรงและนางก็ตัวเบา ทำให้การซอกแซก ปีนป่าย หลบหลีกไร้อุปสรรค

สตรีผู้ไร้ความทรงจำเหมือนจะนึกอะไรออกรางๆ

ตั้งแต่ชายคนนี้จูงมือนาง มาตอนนี้ให้นางเกาะหลัง แผ่นหลังของเขาซ้อนทับกับภาพด้านหลังของบุรุษอีกคนหนึ่ง...คนที่เมื่อหันมาก็มอบรอยยิ้มอ่อนโยนและเมตตาให้แก่นาง ทว่านางนึกใบหน้าของเขาไม่ออก คล้ายมองภาพย้อนแสงที่ทำให้ตาพร่าและเห็นเพียงบางส่วน

ทว่านางค่อนข้างแน่ใจ

ว่าสิ่งที่นางนึกออกจะมีเพิ่มขึ้น...เหมือนมือที่เห็นในความฝัน

“ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับน้ำหมดเลยเนอะ” เจย์รำพึง “ข้าเจอเจ้าก็ในถ้ำที่มีน้ำ ดอกไม้พวกนี้อาศัยน้ำ แถมที่นี่อากาศยังชื้นผิดปกติ”

“มีน้ำ ข้ารู้สึกได้ ที่นี่ล้อมรอบด้วยน้ำ ข้างบน...มีน้ำอยู่” แปลกจริง เหตุใดนางจึงบอกว่าข้างบนมีน้ำ ปกติน้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำก็จริง แต่ตาน้ำไม่ได้ผุดจากอากาศ และไม่น่าผุดจากยอดหอคอย

"หรือว่า..." เจย์ทำเสียงลึกลับ "ความจริงแล้ว..."

"ความจริงแล้ว" นางทวน

"เจ้าเป็นมารดานทีแปลงกายมาทดสอบข้า"

นางหัวเราะเสียงใส ซบใบหน้าลงกับบ่ากว้าง "อย่าล้อข้าเล่นสิเจ้าคะ ท่านพี่..."

นางชะงัก ปวดศีรษะ

ท่านพี่...ท่านพี่นี่หมายถึงใคร...ข้าจะเรียกใคร


"ท่านพี่?" เจย์แปลกใจจนไม่รู้ว่าตัวเองจะแปลกใจได้มากกว่านี้ไหม

"คงเป็นใครสักคนที่ข้าจำไม่ได้" นางตอบเสียงเบา

เจย์แค่ทำเสียงอืมในลำคอ นั่นสิ คงเป็นใครสักคน นางจะเรียกเขาว่าท่านพี่ได้อย่างไร เขาเพิ่งพบนางเมื่อครู่ แถมตัวเขาไม่ใช่พวกชนชั้นสูงอีกต่างหาก

แต่นางอาจใช่

การไต่ไปตามซอกเป็นไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว อย่างน้อยโจรผู้นี้ก็แข็งแรงพอจะพาสัมภาระชิ้นงามบนหลังไปถึงบันไดทางขึ้นอีกฝั่งจริงๆ

"ถึงแล้วขอรับ" เจย์ค่อยๆ ย่อตัวให้นางลง "การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง นุ่มดีไหมขอรับท่านหญิง"

เขาลองเรียกนางด้วยศักดิ์ท่านหญิงถ้าจะมีใครใช้ศัพท์ว่า 'ท่านพี่' ละก็ คงเป็นท่านหญิงนั่นละ

"ท่านหญิง?" ดูเหมือนนางจะมีคำถามกับทุกคำที่เจย์กล่าว แต่เป็นไปในทางที่ดี เหมือนถ้อยคำเหล่านั้นช่วยนางเรียกคืนความทรงจำทีละนิด

และนางก็เหมาะกับคำว่าท่านหญิงจริงๆ

เจย์ถอนใจ สำนึกเขาตีกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องความทรงจำของนาง ฝ่ายหนึ่งบอกให้เลิกกระตุ้นนางเสีย รีบๆ หาสินแร่มาตบแต่งนางเป็นเมียให้เร็วที่สุด ใจสองคืออยากช่วยเหลือนาง ส่วนใจสามไม่อยากเลือกอะไรเลยเพราะเห็นความวุ่นวายอยู่ไหวๆ

ปล่อยนางไปตามยถากรรมเถิด

ตอนที่จะขึ้นไปชั้นต่อไป เจย์ได้ยินเสียงโวยวายจากด้านหลัง

"ว้ากกก ต้นไม้พวกนี้มันอะไรกัน!"

คราวนี้ไม่ใช่ภาพหลอนหรือเสียงแว่วที่คิดไปเอง มันเป็นเสียงคนจริงๆ เสียงคนที่เจย์รู้จักเสียด้วย...พวกโจรเดนตายที่ยังไม่ยอมตาย

พวกมันตามหลังเจย์ ทุลักทุเลขึ้นจากน้ำและหลงทางอยู่คืนหนึ่งก็ตามมาถึงหอคอยแห่งนี้ เมื่อเห็นประตูทางเข้าเปิดกว้าง พวกมันก็ถูมือ รีบตามเข้ามาอย่างไม่รีรอ

ช้าก็อดสมบัติน่ะสิ!

และเพราะความโลภ เมื่อสำรวจชั้นล่างของหอคอยยักษ์แล้วไม่พบอะไร ทั้งกลุ่มก็รีบพุ่งขึ้นมาชั้นบน จ๊ะเอ๋กับคนเก็บค่าผ่านทาง...หรือฝูงดอกไม้ซากศพเข้า

เสียงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวบอกเจย์ว่ามีคนตายไปแล้วหนึ่งคน

คราวนี้สำนึกของเจย์รวมเป็นหนึ่ง

ทิ้งแม่ง

"ใครน่ะ" โฉมงามเอ่ยถาม

"หูแว่วน่า หูแว่ว" เจย์พานางไปต่อโดยเมินเสียงซึ่งดังปานปลุกหมีได้ เขาขึ้นบันไดหินที่ทรุดโทรมแต่ยังแข็งแรง มุ่งหน้าสู่ไอหมอกสีดำที่นางชี้ทาง

"ช่วยด้วย! เฮ้ยๆๆ เถาวัลย์มันรัด!" เสียงโหวกเหวกดังไล่หลังไม่หยุด

“ถ้าพวกเขายังทำเสียงดัง ตัวอะไรที่อยู่ข้างบนจะรู้ตัวไหม” นางดึงเสื้อเจย์ไว้

“ตัวอื่นรึ” โจรหนุ่มนึกไพล่ไปก่อนหน้าที่ดอกไม้ซากศพจะออกมา เวลานั้นมีเสียงครางของสัตว์ร้ายไม่เห็นที่มาจริงๆ

เจย์เหลือบตาขึ้น สินแร่ดำสำคัญเสียจริง มีดอกไม้กินคนไม่พอ ยังมีสัตว์ประหลาดคอยเฝ้าอีก! และเวลานี้เสียงโหวกเหวกของโจรกลุ่มเล็กๆ ก็ทำลายขนบการแอบย่องแฝงตัวอย่างโจรที่ดีไปหมด

“ช่วยด้วยๆ! ไอ้ห่าเจย์มันไปตายที่ไหนวะ แม่งตายไปแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ตายแล้วข้ารอดไปได้นะ!” โจรคนหนึ่งพยายามใช้ดาบฟันซากศพ แต่ดาบติดอยู่ในก้อนดินหนืด ดึงไม่ออก

"ขอยืมดาบ" เอลฟ์สาวบอกเจย์ และโดยไม่รอคำตอบ นางดึงดาบสั้นจากเอวโจรหนุ่ม จากนั้นใช้มืออีกข้างรองใบดาบ แล้วทูนเหนือศีรษะ

โลหะสีเงินมันเงาทำมุมตั้งฉากกับแสงอาทิตย์ แสงสะท้อนจากใบดาบวูบวาบเข้าตาพวกโจร นางร่ายมนตร์

"ลูเมียร์..." มนตร์นี้ออกจากปากอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งที่นางไร้ความทรงจำ เป็นภาษาเวทมนตร์ของเอลฟ์

เจย์คิดว่า มารดาขอรับ ลูกเก็บโฉมงามได้ผู้หนึ่ง และนางเป็นนักเวทตัวจริงเสียงจริงขอรับ

มนตร์ที่นางร่ายส่งให้แสงบนใบดาบขยายกว้างขึ้น สาดวาบลงไปด้านล่าง ทำให้หอคอยทั้งชั้นสว่างเหมือนมีใครโยนดวงอาทิตย์ลงไป

ดอกไม้ซากศพที่ติดพันกับเหยื่อกลุ่มใหม่ทุรนทุรายทันที

แสงนี้ไม่ได้ร้อนหรือทำอันตรายใดๆ มันเพียงสว่างเทียมแสงอาทิตย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามเจย์รีบหลับตา เขาไม่อยากมึนแสง แต่พวกโจรที่ไม่ได้เตรียมตัวตาบอดแสงทั้งหมด หลังจากนี้คงต้องใช้เวลาปรับการมองเห็นสักพัก และเวลานั้นแหละที่เจย์จะเผ่น

ทว่าปัญหาเดิมยังอยู่…

“ว้ากๆๆๆๆ”

จะแหกปากกันทำไมหืม

"เจ้ามีเวทอุดปากคนไหม" เจย์ถามเอลฟ์สาวซื่อๆ

"ไม่รู้สิ..." นางยังทูนแสงเหนือศีรษะ "บอกให้พวกเขารีบมาทางนี้สิ จะได้หยุดร้อง" นางแปลกใจกับเวทแสงบทนี้เหมือนกัน นางรู้แค่ตนใช้เวทได้ คล้ายคนที่ว่ายน้ำเป็นครั้งหนึ่ง ก็จะว่ายน้ำเป็นตลอดไป

"แต่พวกมันอยากฆ่าข้านะ" เจย์พูดข้อเท็จจริง ถ้าเขาโดนหลอกมาตายแบบพวกมัน ก็คงอยากฆ่าไอ้ตัวการเช่นกัน

"เช่นนั้นจะทิ้งหรือ" นางถามเจย์ ดวงตาใสไม่ฉายแววใด ยกให้เขาตัดสินใจ

"ข้าไม่อยากพูดให้ตัวเองเป็นคนเลว แต่...ถูกต้อง ทิ้ง" อย่างที่ทราบ เจย์วางแผนทิ้งพวกโจรแต่แรก ซึ่งอาจมีรอดมาแบ่งสมบัติสักคนสองคน แต่ถ้าทำได้ก็...ไม่ต้องแบ่งใครดีที่สุด

นางจึงลดดาบลง แสงกระจายออกและลดความสว่างจนค่อยๆ หายไป ทว่าการช่วยเหลือของนางครั้งนี้ แม้เล็กน้อยก็มีผล ดอกไม้ซากศพโดนแสงเข้มข้นสว่างจ้าจนหยุดการเคลื่อนไหว ถึงพวกโจรไม่ทราบว่าแสงมาจากไหนหรือใครช่วยมันไว้ ก็ยังมีไหวพริบพอรีบคลำทางหนีกลับไปชั้นล่าง

เอลฟ์สาวคืนดาบสั้นให้เจย์

"ดูเหมือนพวกเขารู้จักท่าน เหตุใดจึงคิดทำร้ายท่าน"

"เจ้าเก่งนะ" เจย์เฉไฉด้วยการชมนาง "สอนเวทข้าบ้างสิ ข้ามีแต่พวกเครื่องราง รู้เวทบ้าง แต่พอร่ายแล้วไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น"

"ท่านไม่ตอบคำถามของข้า"

เจย์ไหวไหล่ "ข้าหลอกพวกมันมา" เขาตอบอย่างจริงใจ

"ก็เลยทิ้งหรือ"

"อ่า..." คำถามนี้เจย์ไม่รู้จะตอบอย่างไร เลยรับว่า "อื้อ" เพียงสั้นๆ แล้วชวนขึ้นไปต่อ

นางพยักหน้า ไม่ถามอีก แต่เอ่ยเรียบๆ “ถ้าท่านจะทิ้งข้า อย่างน้อยก็บอกลาสักคำ” นางพูดอย่างที่ตนรู้สึก ดวงตาของนางไม่ตัดสิน ไม่คิดแทนเจย์ แต่นั่นทำให้น่าอึดอัดยิ่งกว่านางออกความเห็นเสียอีก

"เจ้าทำให้สำนึกที่ดีของข้าเต้นผาง" เจย์ทิ้งหางตาลง ทว่าความจริงแล้วเป็นสำนึกชั่วต่างหากที่เต้นเร่า

เปล่า เขาไม่ได้จะทิ้งนาง แต่ระหว่างพูดคุยกันเขานึกได้ว่า ถ้าสัตว์ประหลาดอีกตัวรองาบเขาที่ชั้นบนจริงๆ ก็ควรมีเหยื่อล่อสักหน่อย

ฉะนั้นแล้ว…

พี่น้องโจรจ๋า กลับมาหาข้าเถิด

“ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิไนติงเกล ข้าไม่ทิ้งเจ้าหรอก”

นางส่ายหน้า “ข้าแค่คิดว่า ถ้าจากกันโดยไม่ได้ลา คงน่าเสียใจ” มีความทรงจำหนึ่งที่นางนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แต่รู้สึกว่ามันสำคัญมาก

ข้าได้บอกลา...ท่านผู้นั้นหรือเปล่านะ แล้วท่านผู้นั้น...เป็นใคร นางพริ้มตา นึกถึงบุรุษที่นางเห็นซ้อนทับกับเจย์ คนที่เคยจูงมือนาง ให้นางขี่หลัง...

นางรู้สึกเศร้าที่จำเขาไม่ได้

“เอาละ สำนึกที่ดีที่เจ้ากระตุ้นบอกข้าว่าอย่าทิ้งพวกโจรปลายแถวนั่น”

นางเงยหน้า ดวงตาเหมือนมองทะลุเข้าไปในใจเจย์ และจ้องอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดอะไร

เจย์อ่อนใจและใจอ่อนกับสายตาของนาง โฉมงามทำหน้าเศร้าพร้อมตัดพ้อ...กลัวจะถูกทิ้งจริงๆ สินะ

โธ่ ทูนหัว

เจย์คิดเข้าข้างตัวเองไปไกลสุดกู่


—————————————————————————

A/N มาช้าไปหน่อย ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้ยาวมากๆ และรีไรท์เสียเยอะ

จริงๆ อยากลงพร้อมกัน 2 ตอน อีกตอนถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะรีบลงทันทีนะคะ -3-


ป.ล. เนื้อเรื่องส่วนนี้ดูแฟนตาซี้ แฟนตาซี (*0*) เราชอบนะคะ หวังว่าคนอ่านจะชอบค่ะ


พบกันครั้งต่อไปวันที่ 26 พ.ค. 60 ค่ะ



ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy

♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/

♰ Twitter : @VinzeSchwarz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2017 10:04:29 โดย ILLREI »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อ่อยย! มันอะไรยังไงกันนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฮ่า ๆ ๆ

ขำเจย์ ทั้งสำนึกดี สำนึกชั่ว ความต้องการเอาตัวรอด ความอยากได้เมีย ตีกันมั่วไปหมด

แอรี่ตอนนี้ดูน่ารัก ใส ๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฮ่า ๆ ๆ

ขำเจย์ ทั้งสำนึกดี สำนึกชั่ว ความต้องการเอาตัวรอด ความอยากได้เมีย ตีกันมั่วไปหมด

แอรี่ตอนนี้ดูน่ารัก ใส ๆ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
บทที่ 23 : เกาะไร้นาม (4)


"ข้าไม่ทิ้งเจ้า" ลูกครึ่งเอลฟ์ยืนยันหนักแน่น และขณะที่เขาส่งสายตาเกือบหวานซึ้งให้นาง พวกโจรเหมือนรู้เวลา ดันกลับขึ้นมาเมื่อต้นไม้ประหลาดไม่ไล่ตามพวกมันลงไป

ความโลภเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่จริงๆ

คราวนี้หมอกหายไปแล้ว พวกมันเห็นเจย์ จึงปีนป่ายอย่างว่องไวมายังจุดที่เขาอยู่

“โอ้โห! แม่เจ้าโว้ย! งามล้นเหลือ เป็นนางเอลฟ์ด้วย!” หนึ่งในพวกมันเห็นไนติงเกลแล้วลืมด่าเจย์ไปเลย กลับยักคิ้ว กระดิกหนวด ยิ้มเจ้าชู้ให้นาง ส่วนอีกสองคนที่อุตส่าห์รอดส่งสายตาให้กัน พวกมันประเมินราคาของสตรีตรงหน้า นางต้องทำกำไรดีแน่

ทว่านางเอลฟ์ผู้นี้มีบรรยากาศผิดกับเอลฟ์สามัญทั่วไป ความงามและลักษณะท่าทางของนางนั้นเหมือนพวกชนชั้นสูง พวกโจรจึงซุบซิบกันอีกว่าอาจนำปัญหามาให้

เจย์อ่านสายตาของพวกมันได้หมด เขาแทบแยกเขี้ยวใส่ หากคำรามได้คงคำรามไปแล้ว ท่าทางอย่างนี้แปลได้สองอย่าง หนึ่ง เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ปกป้องสตรีจากพวกหยาบช้า และสอง เขากำลังประกาศว่าตนเจอนางก่อน...ฉะนั้นแล้วนางจึงสมควรเป็นของข้า!

ถ้าคบหาเจย์สักระยะหนึ่งจะทราบว่าเขาไม่ใช่คนเลวหรือคนดี เขาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของทั้งสองอย่างนั่นละ ว่ากันตรงๆ เขาทั้งอยากปกป้องและอยากได้นางไว้เอง

“ไนติงเกล” เจย์แนะนำนางกับพวกโจร “นางช่วยชีวิตพวกเจ้าเอาไว้” น้ำเสียงของลูกครึ่งเอลฟ์ดุ

โจรสองคนที่ปรึกษากันมองท่าทีหวงก้างของเจย์ออก พวกมันเข่นเขี้ยว ขัดใจ แต่เมื่อทราบว่าเอลฟ์โฉมงามนางนี้เป็นผู้ใช้เวทแสงช่วยพวกมันไว้ ประโยชน์ใช้สอยของนางก็ถูกคำนวณใหม่

กลุ่มโจรล่าสมบัติคณะนี้  ตอนแรกเข้าถ้ำมาห้าคน เมื่อสักครู่ตายไปหนึ่ง ทั้งกลุ่มจึงเหลือสี่คน คือเจย์และโจรที่ถูกช่วยไว้สามคน ส่วนนักเวทเอลฟ์สตรีลึกลับซึ่งเจย์ไม่ยอมบอกตรงๆ ว่าเจอนางที่ไหนอย่างไร คือสมาชิกใหม่

“ข้าคิดว่าสินแร่อยู่ข้างบนหอคอยนี้” เจย์กล่าว

“วิเศษ! ไปหาสินแร่กัน” โจรที่เข้ามาทักคนแรกบอก จากนั้นก็กระซิบ “ไม่เลวเลยนี่หว่า เอานักเวทมาเป็นพวกได้ กะใช้ประโยชน์จากนางทุกทางเลยใช่ไหม”

คำว่า ‘ทุกทาง’ ฟังกักขฬะ หยาบโลน

"ให้เกียรติสตรีหน่อยน่า" เจย์ถอนใจ แต่...เอ้อ ก็คิดอย่างที่มันว่านิดๆ แค่นิดเดียวจริงๆ

มันตบหลังเจย์ "เราเป็นพี่น้อง มีอะไรก็แบ่งกันน่า"

แม้ไม่ได้ยินสิ่งที่โจรกระซิบ สตรีที่เป็นหัวข้อสนทนาก็รู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนมีหลุมใหญ่ถูกขุดขึ้นในอก พวกเขาไม่ทราบหรือว่าสิ่งที่คิดแสดงออกมาทางสีหน้า ไม่ต้องได้ยินก็เดาเจตนาออก

บิดาเอ็งสิ้น...เจย์สบถในใจ เขาคิดชั่ว (นิดๆ) แต่ไม่ชั่วขนาดมัน เขาลดฝีเท้ารอนาง และเดินข้างๆ เหมือนเป็นองครักษ์

นางลูบแขนตัวเอง นึกถึงตอนที่เจย์ปลอบนางจากฝันร้าย--ความฝันที่เต็มไปด้วยมือกดร่างนางไว้ นางหลบเดินข้างเขา รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย

“ข้ารู้สึกว่า ปกติข้ามีแต่สตรีล้อมรอบ” นางเปรยเหมือนจำได้รางๆ

เจย์ถอนใจ “ดีแล้ว ดีกว่ามีแต่พวกอะไรก็ไม่รู้ล้อมรอบแบบข้า” เขารองมือบริเวณแผ่นหลังแบบบางของนางโดยไม่แตะต้อง เผื่อนางสะดุดจะได้รับทัน และเป็นการประกาศว่านางมีเขาปกป้อง

อย่าแตะต้องเข้าใจมั้ย


กลุ่มห้าคนอันประกอบด้วยชายสี่ หญิงหนึ่ง เดินขึ้นหอคอยอีกหลายชั้น บางชั้นเป็นบ่อทรายกับแมลงมีพิษซึ่งซ่อนอยู่ใต้ผืนทราย บางชั้นมีพืชประหลาดซึ่งร้ายกาจและหิวโหยไม่แพ้ดอกไม้ซากศพ แมลงและพืชเหล่านี้คอยกำจัดผู้บุกรุก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเกาะแห่งนี้มีแต่คนเข้ามา ไม่มีคนออกไป

สหายโจรหนวดเฟิ้มที่เป็นผู้นำคนอื่นๆ แอบถามเจย์ว่า ทำไมถึงเชื่อตามที่นางเอลฟ์บอก ไอสีดำที่นางว่าคืออะไร ทำไมไม่มีใครมองเห็นนอกจากนาง แล้วขึ้นไปข้างบนจะมีสินแร่สีดำจริงหรือไม่

"เจ้าเป็นโจรจริงหรือเปล่า" เจย์กระซิบ

"อะไรวะ"

"สัญชาตญาณไง บิดาแห่งโจรไม่กระซิบบอกเจ้าหรือ สวดภาวนาน้อยไปหรือเปล่า"

มันทำหน้าเหยียดหยามเจย์ ซึ่งโจรหนุ่มก็ทำหน้าแบบเดียวกันใส่

ยิ่งขึ้นสูง ลูกครึ่งเอลฟ์ยิ่งขนลุก เขามองไม่เห็นไอสีดำแต่สัมผัสได้ว่าอากาศหนักขึ้น ที่นี่ชื้น หายใจทีได้แต่ละอองน้ำ

และยิ่งเดินขึ้นไปเท่าไร พวกโจรก็ยิ่งรู้สึกว่าสตรีนางนี้แกร่งและน่าเกรงขามกว่ารูปร่างหน้าตาภายนอก นางไม่ได้ถือดาบกวัดแกว่งฟาดฟันอะไร แต่นางขึ้นหอคอยซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายโดยไม่มีอาการลังเลใจหรือหวาดกลัว

ในที่สุดทั้งหมดก็มาถึงชั้นที่ไม่มีบันไดไปต่อ แสดงว่าเป็นชั้นสูงสุด ชั้นนี้เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยสีดำสนิท ขนาดจุคนได้นับร้อย ไม่มีพืชหรือสิ่งมีชีวิตอันตราย บนผนังสลักอักขระเวทซับซ้อนและน่าขนลุก

“ข้าหายใจไม่ออกว่ะ” หนึ่งในโจรบ่น มันเอามือยันหิน ขาแทบทรุด หัวหน้าโจรผู้ไว้หนวดก็เหงื่อแตกพลั่ก คงมีแค่เจย์ที่อึดกว่าคนอื่น เขานึกขอบใจบิดาที่ให้เลือดเอลฟ์มากึ่งหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่เคยมาดูดำดูดีเขากับมารดาเลยก็ตาม

บรรยากาศทึบและหนักทำให้ทางข้างหน้าเหมือนมีคำเตือนล่องหนเขียนไว้ ว่า ‘จงอย่าบังอาจเข้ามา’ ที่จริงคำเตือนก็มีมาตั้งแต่ชั้นแรกๆ และในทุกๆ ชั้นแล้ว

ค่อยๆ เดินลึกเข้าไป แท่งหินงอกหินย้อยก็ยิ่งหนาตา พวกมันงอกอยู่รอบประตูหินบานมหึมาที่สูงจากพื้นจรดเพดาน บานประตูใหญ่ดูหนักจนไม่น่ามีใครเปิดได้ ทั้งยังไม่น่าไว้ใจ...

แต่มาถึงขนาดนี้แล้วต้องไปให้สุด เวลานี้เจย์อยากรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในหอคอยมากกว่าอยากได้สินแร่เสียอีก

เผลอครู่หนึ่ง ยังไม่ทันที่เจย์ตัดสินใจก้าวขาไปสำรวจบานประตู เอลฟ์สาวกลับเดินเข้าไปก่อนเหมือนคนใจลอย

เวลานี้โจรมนุษย์ต้องหยุดพักเพราะเรี่ยวแรงถูกสูบ พวกมันได้แต่มองดูนางแตะมือบนสัญลักษณ์กลางประตู

เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีก สัญลักษณ์บนประตูเรืองแสง บานประตูส่งเสียงครืนเบาๆ คล้ายเสียงครวญของปีศาจก่อนจะเปิดออกกว้าง

ทว่าคราวนี้ไม่ราบรื่นเช่นคราวที่แล้ว เมื่อสิ่งที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่หลังบานประตูคือหมอกสีดำทึบม้วนวนเหมือนก้นบึ้งนรก เร็วกว่าที่ใครจะคาด หมอกกลุ่มนั้นพุ่งออกมาม้วนกลืนร่างเอลฟ์สตรีเข้าไป!

“เกล!” เจย์ผวาเข้าไปคว้าข้อมือนาง ไอสีดำจึงม้วนเขาไปด้วย ขณะโจรที่เหลือตะลึงงัน จะหนีก็ไม่ได้ เพราะก้าวขาไม่ออก จะช่วยหรือ ฝันไปเถอะ!

ในหมอกสีดำมีสัตว์ประหลาดรูปร่างยาว เจย์ได้ยินเสียงครางของมันดังสะท้อนไปมา เสียงที่เหมือนเสียงอะไรบางอย่างครางอยู่ในน้ำซึ่งเขาได้ยินในชั้นแรกๆ

เจ้าสัตว์ประหลาดที่เขายังมองไม่เห็นว่ายไปมาอยู่ในหมอก มันเคลื่อนไหวรวดเร็วและลื่นไหล แรงกระแทกของมันหนัก แค่ถูกมันเฉียดเจย์ก็เสียหลักจนกระเด็น

ไม่พอ สัตว์ประหลาดตัวนั้นยังมีผิวที่แฉะ กระด้าง และคมมาก โจรหนุ่มเจ็บบริเวณที่ถูกเฉียดและได้กลิ่นเลือดของตัวเอง

“อยู่ใกล้ข้าไว้” เจย์ใช้แขนข้างหนึ่งโอบไนติงเกลไว้ นางดูทรมานอยู่ในหมอก ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร

เขาเตรียมซัดยาพิษทำลายระบบรับกลิ่น แต่พอถูกเฉียดอีกครั้งก็ขวดก็หลุดมือ ลูกครึ่งเอลฟ์สบถ เขาคว้ายาอีกขวด คลำดูลักษณะขวดน่าจะเป็นระเบิดควัน

โอ เยี่ยม ใครอยากให้มีควันในหมอกบ้าง

จากการสัมผัสเฉียดไปเฉียดมา เจย์รู้สึกเหมือนถูกปลาตัวมหึมาพุ่งชน การโจมตีครั้งแรกถากไหล่เขาเป็นแผลลึกทีเดียว

แต่ปลาที่ไหนจะมาว่ายอยู่กลางอากาศ ภายในหมอก แถมยังส่งเสียงหายใจครืนครั่นน่าสยอง!

เจย์คลำเจออีกขวด คราวนี้คิดว่ามีประโยชน์ แค่คิดว่า...เขารอจังหวะถูกกระแทกอีกครั้งแล้วเขวี้ยงใส่มัน!

ขวดแก้วแตกกระจาย สารเรืองแสงที่ได้จากสาหร่ายเปรอะสัตว์ทมิฬ ทำให้เขารู้ตำแหน่งของมันในหมอกสลัว

จากโครงร่างที่ได้เห็น มันเป็นปลาขนาดยักษ์ที่ว่ายอยู่ในหมอกจริงๆ!

“แสง…” สตรีที่เจย์เรียกว่าไนติงเกลบอก “มันน่าจะแพ้แสงเหมือนอย่างอื่นในหอคอยนี้” ทว่าเวทแสงที่นางใช้เมื่อครู่ต้องมีแหล่งกำเนิดแสง เช่นพระอาทิตย์ ในห้องนี้มืดทึบ อับชื้น อวลไอน้ำเข้มข้นรุนแรง หมอกสีดำทำให้ทัศนียภาพรอบด้านคล้ายทะเลลึก

ได้ยินไนติงเกลว่าอย่างนั้น ลูกครึ่งเอลฟ์ตะโกนบอกพวกโจรที่อยู่ด้านนอก “ไฟ!” พูดก็พูดเถิด เขาไม่คิดว่าพวกมันจะช่วย ดังนั้นจึงต้องกระตุ้นอะไรสักหน่อย

“ข้าเจอสินแร่แล้ว! โคตรเยอะ! แต่ต้องใช้ไฟปราบสัตว์หวงของก่อน!”

เหรียญทองมีอำนาจเสมอ พวกโจรปรึกษากันทางสายตา สรุปได้ว่าอย่างไรเสียเจย์กับนางเอลฟ์ก็เป็นเหยื่อล่อสัตว์ประหลาดแล้ว ช่วยเรื่องฟืนไฟอีกนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป

เช่นนั้น…

“ช่วยด้วยโว้ย!” เจย์แหกปาก

และได้รับระเบิดเพลิงแทนคำตอบ

ราวกับพวกโจรเล็งไว้เป็นอย่างดี ระเบิดเพลิงถูกโยนเข้ามาใกล้โจรหนุ่ม ใกล้มากขนาดทำลายพื้นหินซึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร แสงสว่างตูมใหญ่วาบขึ้นพร้อมเสียงกัมปนาท เขาหลับตาแน่น ใช้หลังรับแรงกระแทกพร้อมกอดบังไนติงเกลไว้

มีแสง...และมีระเบิดแถมด้วย ระหว่างเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดกับถูกพวกเดียวกันระเบิดร่างเละ ไม่รู้ทางไหนจะตายสบายกว่า

“บิดาเอ็งสิ้น!” โจรหนุ่มสบถใส่พวกมันแบบไม่สนมารยาทต่อหน้าหญิงสาว เศษหินที่กระเด็นมาร่วงกราวจากแผ่นหลัง

ตูม! ตูม! ตูม!


ระเบิดเพลิงถูกโยนเข้ามาอีกอย่างว่องไว คล้ายพวกโจรตอบรับคำสรรเสริญบิดา เจย์เริ่มชินกับแสงและเสียงของระเบิดขนาดเล็กพวกนี้ ดวงตาของเขาแม้จะพร่าแต่พอเห็นว่าห้องปิดตายแห่งนี้เกลื่อนไปด้วยสินแร่ดำที่ตามหา

มันเป็นแท่งผลึกงอกขึ้นมาจากพื้น ผนัง และเพดาน มากมาย...มหาศาล

นอกจากนี้ เขายังเห็นสัตว์ประหลาดชัดแจ้งเต็มสองตา

แสงเพลิงวูบวาบส่องให้เห็นลักษณะของสัตว์เฝ้าสถานที่ มันมีตาปูดโปน ผลึกสีดำขนาดใหญ่งอกบนศีรษะและตามลำตัว เป็นผลึกแบบเดียวกับสินแร่ที่เจย์มาตามหา เกล็ดสีทึบของมันเป็นเมือก ฟันแหลมยาวไม่เป็นระเบียบ ครีบคมขนาดตัดหินได้

นี่คือลักษณะของปลาทะเลน้ำลึกที่เจย์เคยเห็นพ่อค้าดวอร์ฟนำซากมาเร่ขาย

ปลาปีศาจว่ายหนีแสง มันดิ้นไปรอบๆ แต่ไม่อาจออกจากห้องนี้ คล้ายมันถูกขังให้ปกป้องบางสิ่งชั่วนิรันดร์

ตูม!


พวกโจรผ่าโยนระเบิดเข้ามาอีกระหว่างที่เจย์ตะลึงงัน พวกมันเก็บชุดใหญ่ไว้จัดหนักสัตว์ประหลาดเฝ้าสมบัติในเกาะ และเพราะหน้ามืดเมื่อได้ยินว่าพบสินแร่ดำแล้ว พวกโจรปัญญาทึบจึงลืมคิดไปว่ากำลังเล่นระเบิดอยู่ในหอคอย...

แรงระเบิดทำร้ายปลามรณะที่ว่ายวนในหมอกสีดำได้ก็จริง แต่อาจถล่มหอคอยได้ ทว่าหลังจากทดลองโยนระเบิดไปหลายลูก พบว่าหอคอยแข็งแกร่งไม่สะเทือนสักนิด มหกรรมโยนระเบิดจึงเกิดขึ้น

“โลงศพ...มีโลง” จู่ๆ เอลฟ์สาวเหมือนนึกอะไรได้บางอย่างขณะที่เจย์พาหลบระเบิด (และปลาปีศาจที่ดิ้นไปมา) นางดูสับสน เนื่องเพราะภาพความทรงจำไม่ปะติดปะต่อวูบวาบขึ้นมาราวกับแสงเพลิงจากระเบิด

นางเห็นภาพตัวเองร่ายเวทอยู่หน้าโลงหิน อัญเชิญจ้าวมัจฉาเกล็ดสีเงินเหลือบรุ้งสวยงามตัวหนึ่งปรากฏตัวในห้องนี้

ในภาพความทรงจำ ห้องอันทึบทึมแห่งนี้เคยสวยงามและสว่างไสว สายน้ำสีฟ้าใสบริสุทธิ์พวยพุ่งและกลายเป็นไอหมอกสีฟ้าจาง เป็นที่อยู่ของมัจฉาซึ่งมีเกล็ดเหมือนแสงอาทิตย์

“ทางนั้น! โลงอยู่ทางนั้น” นางร้องขึ้นแล้วชี้ไปด้านหลังปลาปีศาจ เจย์หรี่ตามองผ่านหมอก พบว่ามีแท่นหินตั้งอยู่ในเงามืดตรงด้านหลังปลาบ้าเลือดจริงๆ

นั่นคือโลงศพหรือ...


ระหว่างตัวโลงหินและฝาซึ่งปิดสนิทมีไอหมอกสีดำไหลออกมาเรื่อยๆ มันกระตุ้นให้ไนติงเกลเห็นภาพตัวเองกล่าวว่า

 

“ข้าจะทิ้งสัตว์เทพผู้พิทักษ์เอาไว้และปิดตายหอคอยแห่งนี้ แต่เราไม่อาจหยุดยั้งการไหลของไอคำสาปที่เกิดจากความเคียดแค้นถึงขีดสุดในวาระสุดท้ายของเขา ได้แต่ให้ภูตมัจฉาตัวนี้ช่วยบรรเทาด้วยการดูดซับไอคำสาป”

 

จากนั้นตัวนางในความทรงจำก็หันไปหาผู้ฟัง ซึ่งเป็นบุรุษเอลฟ์ร่างสูงสง่าในชุดเกราะเงินสูงศักดิ์

เอลฟ์ผู้นั้นสวมหน้ากากโลหะปิดครึ่งหน้าซีกซ้าย

และมองนางด้วยดวงตาสีส้มตัดเงินราวกับแร่เหล็กในเบ้าหลอม

เอลฟ์สาวสะท้านเฮือก

ใคร เอลฟ์ผู้นั้นเป็นใคร...

แล้ว ‘เขา’ ที่ตายไปพร้อมกับความเคียดแค้นถึงขีดสุดเป็นใคร!

สารภาพว่า...ตอนที่เจย์ได้ยินคำว่า ‘โลงศพ’ หลุดจากปากของนาง สำนึกของเขาก็แยกเป็นสามส่วนอีกครั้ง ใจแรกบอกให้เผ่น อีกใจหนึ่งบอกว่าเอาให้ถึงที่สุด และใจสุดท้ายบอกให้ ‘แค่แง้มๆ โลงดูแล้วค่อยเผ่นอย่างลูกผู้ชาย’

เจย์เลือกฟังสำนึกที่สาม เขากระชับดาบสั้นก่อนพานางหลบหลีกปลาปีศาจไปยังที่ตั้งโลงศพ การเคลื่อนไหวของโจรหนุ่มช้าลงเพราะบาดแผลที่ปลาชั่วฝากไว้ แต่ดีที่มันอ่อนแรงเช่นกัน

ทว่าพอเข้าไปใกล้ ปลาปีศาจก็ดุร้ายขึ้น มันแหวกหมอกสีดำตรงมาทางเขา ซึ่งเวลานี้เขานึกขอบคุณระเบิดที่พวกโจรเขวี้ยงมาเป็นระยะ พวกมันตะโกนถามว่า

“สัตว์ประหลาดตายโหงหรือยัง!”

“ใกล้แล้ว! โยนมาทางซ้ายหน่อย...ซ้ายโว้ยไม่ใช่ขวา!”

เจย์เริ่มมั่นใจว่าปลามรณะเป็นสัตว์พิทักษ์ มันได้รับหน้าที่ให้ปกป้องสิ่งที่เขาดูอย่างไรก็เป็นแท่นหินธรรมดาไร้ลวดลาย โจรหนุ่มพานางเอลฟ์ลัดเลาะไปจนถึงบริเวณที่มืดที่สุด--บริเวณซึ่งแท่นหินวางตั้งอย่างโดดเดี่ยว ปลาปีศาจพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธจัด แต่ก่อนที่มันจะถึงตัวเขาก็โดนระเบิดเข้าอย่างจังเสียก่อน

ไนติงเกลนิ่งขึงต่อหน้าแท่นหินราวกับถูกสาป นางก้าวเข้าไปใกล้และวางมือบนฝาโลงเย็นเฉียบ หมอกสีดำม้วนวนไปรอบมือของนางคล้ายทักทาย ขณะเจย์ง่วนอยู่กับการหาทางรับมือปลามรณะและไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติ

สัตว์พิทักษ์ครางอย่างโกรธเกรี้ยว มันสะบัดครีบหาง ฝ่าหมอกและเพลิงมายังผู้บุกรุก ปากอ้ากว้างจนเห็นฟันคมหลายแถบ เจย์นึกจินตนาการถึงความเจ็บปวดยามถูกมันเคี้ยวทั้งเป็นได้ ทว่าตอนที่เขาสวดภาวนาขอความเมตตาจากบิดาแห่งความตายนั้นเอง สตรีเอลฟ์ปริศนาก็ยกแขนขึ้นแล้วเอ่ยภาษาเวท!

ดาบเวททรงอำนาจอันมีค่าควรเมืองปรากฏขึ้นในมือของนางอย่างน่าพิศวง แสงสีฟ้าเปล่งจากใบดาบและระเบิดออกทุกทิศทาง ส่งเสียงกัมปนาท ผ่าร่างปลาปีศาจเป็นสองส่วน ก่อนจะกลายเป็นเศษเนื้อกลางอากาศ ฝนเนื้อและโลหิตตกใส่ร่างนางและเจย์ ขณะที่หมอกสีดำถูกพัดหายไปพร้อมกับชีวิตของมัน!

เจย์พูดไม่ออก ได้แต่ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

มารดาขอรับ นางไม่ใช่นักเวทธรรมดาๆ แต่เป็นจอมเวท!


เจย์กะพริบตาปริบๆ เขามองดาบเวทในมือนาง

“เจ้าเป็นใครกันแน่…”

เอลฟ์สตรีสั่นเทา... ใบหน้าและตัวนางเปรอะเลือดและเนื้อซึ่งส่งกลิ่นคาวคลุ้ง

นางกำด้ามดาบเวทอย่างไม่รู้สึกตัว

“ข้า…” นางเงยหน้ามองเจย์

ทว่า

ก่อนที่นางจะได้เอ่ยอะไร ฝาของโลงหินตรงหน้ากลับขยับออก มันถูกไอหมอกทมิฬดันจนเผยอและเลื่อนออกไปด้านข้างดังครืด...ครืด…ก่อนจะหล่นลงพื้นโครมใหญ่

เจย์รู้สึกคอแห้ง ใจเต้นถี่รัวคล้ายกรีดร้องให้เขาหนี แต่เจย์กลับทำตรงกันข้าม

เขายื่นหน้าไปดู

ไอหมอกค่อยๆ จางหายจนเผยสิ่งที่มันเก็บซ่อนอยู่ภายใน

ในโลงหิน...มีศีรษะของบุรุษผู้หนึ่งวางอยู่อย่างไร้เกียรติ

หากเป็นชาวรูเมเรียร์และอาศัยอยู่ในเมืองหลวง จะทราบทันทีว่าเป็นศีรษะของใคร นี่คือพระศพส่วนศีรษะของอดีตกษัตริย์ที่ถูกซุกซ่อนไว้อย่างเป็นความลับสูงสุด

‘ราชามงกุฎดำ’

ราชาริวอร์นอร์ อาห์นดีร์ รูเมเรียร์

“อ๊า!!!”

นั่นคือเสียงกรีดร้องด้วยความสะเทือนใจ คลั่งแค้น เจ็บปวด ขณะที่ความรู้สึกทั้งมวลของนางถูกบดบี้ ขยี้ หยามเหยียด!

น้ำตาของเอลฟ์สาวไหลท่วมหน้า ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาจนทุกส่วนในร่างกายเหมือนถูกทุบตีอย่างผู้กระทำไม่มีออมแรง

เริ่มจากความทรงจำที่มีต่อศีรษะตรงหน้า “ริวอร์นอร์…” จากนั้นภาพก็ไล่เรียงไปถึงชายที่นางระลึกถึงยามอยู่กับเจย์ “ท่านพี่...เฟรธูริน” และบุรุษคนสุดท้ายที่สวมหน้ากากปิดบังครึ่งหน้าและมีดวงตาสีเหมือนแร่เหล็กในเบ้าหลอม “ซิกฟรีด...”

นางคือ…

“ข้าคือ…”

เอริแอดเน่…


“เอริแอดเน่...แห่งอิซิลดาร์”

ผู้น่าสมเพชเวทนา


นางทวนสิ่งที่อยู่ในใจและพูดออกมา ความทรงศักดิ์และรวดร้าวผสมอยู่ในน้ำเสียงซึ่งเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว...ชิงชัง

เจย์ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

มารดาขอรับ...

ลูกเก็บสตรีโฉมงามได้

นางเป็นจอมเวท

และเป็นท่านหญิงผู้ปกครองแผ่นดินอิซิลดาร์


—————————————————————————

A/N มาค่ะ เป็นตอนที่รีไรท์นานจริงๆ กว่าทุกอย่างจะลงตัว มีใครรอคิงริวอร์นอร์บ้างไหมคะ

คนนี้งานดีจริงๆ นะ อ่านเพลินอะ บอกเลย อิอิ


ป.ล. จบบทเกาะไร้นามแล้ว ฉากต่างๆ ในบทนี้ใช้พลังในการเขียนมากจริงๆ ค่ะ จริงๆ ก็อยากเขียนฉากหวานแหวว เลิฟๆ มากกว่านี้นะคะ แต่กลัวเนื้อเรื่องจะไม่เดิน /แง ก็เลยคิดว่าเก็บไปเขียนช่วงตอนพิเศษและกัน

/กอดโคลด์ กอดซิกฟรีด และโผเข้าอ้อมกอดป๋า!


พบกันครั้งต่อไปวันที่ 28 พ.ค. 60 ค่ะ



ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy

♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/

♰ Twitter : @VinzeSchwarz


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
นางจะมาทวงของนางคืนสินะ

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อุ๊ย ชอบอ่ะ
อิจนางมากมีแต่ผชแซ่บๆรายล้อม
แล้วก็อยากให้นางปล่อยวาง  อยากเห็นนางมีความสุขอ่ะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อยากรู้ววววววววว

กอดอาเลธ กอดป๋า ฟัดโคลด์

จุ๊บ ๆ ๆ นักเขียน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นั่นไง นางคือเอรีแอดเน่ตัวจริง

ตัวจริงอยู่กัยเจย์

แล้วที่อยู่ที่อิซิลดาร์ เป็นใคร  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
 :-[ ตอนนี้ดูเปลี่ยนอารมณ์เป็นหนังรักใสๆ แต่ก็แอบมีเศร้าเบาๆ หวังว่าแอรี่จะลืมทั้งหมด ไใต้องนึกอะไรออก เริ่มต้นชีวิตใหม่ดีๆ(?) เต๊อะ

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
บทที่ 24 : โลหิตนภา (1)

ซิกฟรีดได้รับสารที่ไม่คาดคิด มันถูกส่งมาจากอิซิลดาร์ ลายมือบนแผ่นกระดาษสีขาวทองอ่อนช้อยงดงามทว่าเด็ดขาด

เขาจำลายมือนั้นได้ทันที

พี่หญิง


ผู้เดินสารคือทหารหน่วยกาลาฮาน ลูกน้องของมาลแกธนามว่า ‘เนอร์ดาเนล’

ในสารแจ้งว่านางได้เดินทางกลับไปพำนักยังอิซิลดาร์อย่างปลอดภัยแล้ว จนใจที่ยังเหลือองครักษ์สองนางรั้งอยู่ที่รูเมเรียร์ จึงอยากขอตัวพวกนางกลับคืน

เอริแอดเน่มิได้เอ่ยถึงการต่อสู้ในเมืองโรสมินาส แต่แสดงความเสียใจกับการ ‘สูญเสีย’ ที่เกิดขึ้นในเมืองซึ่งกลายเป็นอดีต รวมถึงได้รับ ‘ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นั้น’ มาดูแล

‘หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านซิกฟรีดจะส่งองครักษ์ของข้ากลับสู่มาตุภูมิโดยปลอดภัย ข้าเองก็คิดส่งทหารกล้าแห่งรูเมเรียร์กลับสู่มาตุภูมิเช่นกัน’

“ไปพักเถอะ” ราชาหนุ่มเอ่ยกับเนอร์ดาเนล เขาอยู่ในวิหารของพี่หญิงคาลิเธียล กำลังพูดคุยกับอิลราลานถึงสภาพอากาศที่ผิดปกติในช่วงนี้ และบทสนทนาค้างครึ่งที่ ‘อาจเป็นลางบอกเหตุ...’ เมื่อเนอร์ดาเนลโผล่มา

ทหารหน่วยกาลาฮานผู้ภักดีสองนายยังอยู่ในมือเอริแอดเน่ นางส่งสารมาขอองครักษ์ของนาง นี่คือการแลกเปลี่ยนตัวประกันที่ไม่ต้องเอ่ยก็เข้าใจ

อิซิลดาร์มิได้ประกาศตัดขาดกับรูเมเรียร์ เอริแอดเน่ปรากฏตัวอย่างปลอดภัยหนึ่งเดือนให้หลัง...ตอนนี้ไม่มีอะไรชัดเจนเท่าสองเรื่องนี้

พี่หญิงยังมีชีวิตอยู่ นางยังไม่ตาย ทั้งหมดเป็นเพียงละครตบตาหรือ ซิกฟรีดคิด

อิลราลานหรี่ตา เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลแต่ยังไม่ออกความเห็นอะไร ส่วนเนอร์ดาเนลยังคุกเข่าอยู่ที่เดิม นัยน์ตาข้างที่ยังดีปรือแทบปิด เขาล้า ทว่าไม่ยอมเคลื่อนไปไหนแม้จะมีคนเข้ามาพยุง

"สหาย...ของกระหม่อม" เนอร์ดาเนลอ้อนวอนราชาซิกฟรีด

"หน่วยกาลาฮานเป็นสหายของเราเช่นกัน" ซิกฟรีดวางมือบนแก้มเปื้อนโคลน เลือด และคราบน้ำตาของเนอร์ดาเนล

"วางใจเถิด"

สิ้นคำ ทหารกล้าก็ปล่อยให้สติสุดท้ายหลุดไป เนอร์ดาเนลสลบ หลับตาอย่างวางใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น

-------------------------------

หลังพักอยู่ที่บ้านของอิลมาเรและจัดการเรื่องต่างๆ ในเมืองแฟรี่อายได้เจ็ดวัน โคลด์กลับเอวา เธมาร์อย่างที่บอกซิกฟรีด

เขาตรงไปยังกิลด์พ่อค้าใต้ดินเพื่อส่งมอบงานตามพินัยกรรมของอิลมาเร ตอนแจ้งข่าว ลูกน้องของอิลมาเรที่เป็นผู้ชายตัวโตถึงกับร้องไห้ขี้มูกโป่ง ส่วนโคลด์ได้แต่นิ่ง ไม่สามารถหาถ้อยคำมาปลอบใจ

จัดการธุระของอิลมาเรอยู่ครึ่งวัน โคลด์ไม่รู้สึกอยากไปที่ห้องพักของดวอร์ฟสาวในเอวา เธมาร์ และยังไม่มีใจแวะไปที่ราชวัง สุดท้ายก็มายืนเหม่อหน้าโรงเตี๊ยมตุ่นเก็บทองซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้าย

โคลด์สวมเสื้อคลุมยาว คลุมฮู้ดปิดหน้า สองมือล้วงกระเป๋า ลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากยืนคิดสักครู่ เขาก็ผลักประตูเข้าไปหาที่นั่งในร้าน และส่งสารถึงมาลแกธด้วยบริการนกรับจ้างส่งสาร

นอกจากอิลมาเร โคลด์ไม่มีสหายสักคน ด้วยเพราะคิดว่าวันหนึ่งจะจากไปอยู่แล้ว และมีความหลังฝังใจอันเจ็บปวดจากอาศรมควาร์ เขาจึงไม่คบหาใครให้มากความ

มาเวลานี้ต้องการใครสักคน...คนที่เรียกหาได้ก็มีแค่มาลแกธ

สารถูกส่งมายังค่ายฝึกของหน่วยกาลาฮาน เขียนข้อความสั้นกระชับว่า ‘กลับมาแล้ว ตุ่นเก็บทอง’

มาลแกธไปยังโรงเตี๊ยมหลังเสร็จการฝึกช่วงบ่าย เขาเปิดประตูร้านดังปึง! กวาดสายตาดุๆ มองไปทั่ว พอเห็นรูปร่างคุ้นตา สวมฮู้ดปิดใบหน้านั่งอยู่ตรงบาร์ ก็ตรงเข้าไปกอด

และกอบหน้าเข้ามาจูบ

เจ้าของร้าน--แมดส์ ที่ยืนอยู่ข้างหลังบาร์ถึงกับตกใจ

โคลด์เองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะไม่นึกว่าจะโดนจับจูบ

รสจูบเต็มไปด้วยความคิดถึง ความเจ็บปวด ความโหยหา...แม้จะไม่พบกันแค่หนึ่งสัปดาห์ก็ตาม

“เดี๋ยว...เดี๋ยว” นอกจากจะเป็นภาพชายที่หล่อเหลาจูบชายหนุ่มอีกคนแล้ว ยังเป็นเอลฟ์จูบดาร์กเอลฟ์ กลางร้านเหล้า

โคลด์ถูกยกตัวลอย เขาวูบวาบบนปลายลิ้นอย่างบอกไม่ถูก ถึงกับลืมผลักอีกฝ่ายออก

โคลด์ไปโดยไม่ลา มาลแกธคิดว่าโคลด์ต้องการเวลาส่วนตัวจึงไม่ได้ตามหา แต่อย่างไรก็เป็นห่วงแทบบ้า

แค่สายตาของมาลแกธก็เอ่ยความในใจได้แล้ว โคลด์พลันเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตน “ขอโทษ...ที่ไปไม่บอก”

“ไม่เป็นไร” มาลแกธกระซิบ คลึงหน้าผากเข้าด้วยกัน “ไม่เป็นไร…” เอลฟ์ตะวันออกทำเหมือนไม่มีคนอื่นอยู่ในร้าน

“พี่ชายสองท่านนี้ อยากเปิดห้องมั้ย” แมดส์เอ่ยแทรก

“โยนกุญแจมาเลย” มาลแกธตอบรับ

“เดี๋ยว” โคลด์ดันหน้ามาลแกธ คิ้วสีเงินแทบจะพันกัน เขาวางจดหมายฉบับหนึ่งให้แมดส์ “จากอิลมาเร”

ที่จริงโคลด์มาที่นี่เพราะถือจดหมายที่อิลมาเรทิ้งไว้มาให้เจ้าของโรงเตี๊ยมตุ่นเก็บทองด้วย แต่เขารู้สึกไม่อยากพูดออกไปทันที จึงนั่งที่บาร์เงียบๆ

“หืม มีอะไร” แมดส์ยิ้มๆ หยิบจดหมายมาเปิดอ่าน ทว่าหลังกวาดตาครู่หนึ่ง รอยยิ้มหายไป เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนจาก ‘ประหลาดใจ’ เป็น ‘เคร่งเครียด’

เขาอ่านจดหมายอยู่นาน และอ่านซ้ำคล้ายไม่เชื่อข้อความในจดหมาย จากนั้นหมุนตัวไปรินเหล้าใส่แก้ว แต่คราวนี้ไม่ได้บริการใคร

แมดส์รินแล้วดื่มเอง

นั่นสร้างความประหลาดใจแก่ลูกน้องของเขา เพราะปกติแมดส์ไม่ดื่มเหล้าในเวลางาน

“ข้าว่าอยู่แล้วเชียวว่านางเงียบหายไปหลังเกิดเรื่องที่โกดัง” แมดส์เอ่ยเสียงเครียด เหตุการณ์กลุ่มคนสลบไสลในโกดังขายสินค้าของกิลด์พ่อค้าใต้ดินนั้นเป็นเรื่องที่ดังเงียบๆ ด้วยเพราะมีการตรวจสอบของหน่วยคิงเบลด มีร่องรอยการต่อสู้ มีคนสลบที่โดนลูกหลง (แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต) และความเสียหายของสินค้า...แต่ผ่านมาสักพักแล้ว หน่วยคิงเบลดยังไม่สามารถจับตัวผู้กระทำผิดหรือสืบสาวเรื่องราวได้เป็นชิ้นเป็นอัน ซ้ำยังไม่มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับใด

แมดส์รู้รายละเอียดนี้เพราะเขาเป็นนักค้าข่าว มีเส้นสาย ข่าวใต้ดินลือกันว่าทางการเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ให้แพร่กระจายไปในหมู่ประชาชน

จดหมายของอิลมาเรกล่าวถึงกิจการของเธอที่ต้องการให้แมดส์ช่วยดูแลและปันผล โดยแจกแจงอย่างละเอียดว่าผู้รับผลประโยชน์มีใครบ้าง

แมดส์กระแทกแก้วเหล้า นี่มันจดหมายสั่งเสียชัดๆ

เขามองดาร์กเอลฟ์ตาขวาง ใจนึกอยากลากมันไปถามให้รู้เรื่องที่หลังร้าน

“ข้าผิดเอง” โคลด์ยอมรับอย่างไม่บ่ายเบี่ยง “ทั้งหมดข้าผิดเอง”

เจ้าของร้านกำแก้วแทบร้าว

เห็นอย่างนี้อิลมาเรก็มีสหายมากมาย รวมถึงเจ้าของโรงเตี๊ยมตุ่นเก็บทองผู้นี้ด้วย คนจำนวนมากเศร้าเสียใจเมื่อดวอร์ฟสาวจากไปอย่างกะทันหัน โคลด์เห็นแบบนี้มาทั้งวัน

มาลแกธถอนใจหนักๆ เขาเคร่งขรึมจนเหมือนเป็นคนละคน

เรื่องความเป็นความตายของคนสำคัญของโคลด์ จะทำตัวเฮฮาสนุกสนานได้หรือ

“ข้ายังอยู่ในเมืองอีกสักพัก ถ้ามีอะไรส่งจดหมายถึงโคลด์ สตาร์ ไปที่กิลด์พ่อค้าใต้ดิน” โคลด์กล่าวแล้วดึงมาลแกธออกนอกร้าน

เอลฟ์ตะวันออกเดินข้างคนรัก แขนโอบไหล่ไว้ ส่วนมือใหญ่ก็บีบเบาๆ ให้กำลังใจ

“เนอร์ดาเนลกลับมา” เขาเริ่มเล่าเรื่องทางฝั่งนี้ ระหว่างที่โคลด์ไม่อยู่

“กลับมา?” โคลด์ฟังและคิดตาม เขาลืมสังเกตว่ามาลแกธถึงเนื้อถึงตัวมากกว่าปกติ กระทั่งรู้สึกตัวว่ามือใหญ่โอบเขาไม่ปล่อยแม้เดินมาได้สักพักแล้ว

“มาส่งสารของ ‘เอริแอดเน่’ ”

“นางยังอยู่หรือ” นี่คือคำกล่าวแรกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของโคลด์ จากน้ำเสียงเฉยชาเอื่อยเฉื่อยกลายเป็นไม่พอใจ จิตสังหารอันปิดไม่มิดแสดงความดุร้ายแบบดาร์กเอลฟ์

“เชื่อว่าอย่างนั้น อิซิลดาร์เลิกไถ่ถามถึงท่านหญิงแล้ว ส่วนสารที่นางส่งมาเป็นสารขอแลกตัวประกัน ซิกฟรีดเพิ่งดำเนินการไปเมื่อวันก่อน”

“เขาแลก?!” โคลด์หันมาขยุ้มคอเสื้อมาลแกธอย่างลืมตัว นอกจากไม่พบร่างอิลมาเรแล้ว คนที่ทำร้ายเพื่อนของเขายังได้สิ่งที่นางต้องการ

“โคลด์…” มาลแกธจับมืออีกฝ่ายไว้

โคลด์กลั้นความโกรธ มองมือมาลแกธ เขาพลันนึกได้ว่านั่นคือทหารในหน่วยของมาลแกธ เขาสามารถพ่นคำพูดเห็นแก่ตัวเท่าไรก็ได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรให้มาลแกธเสียใจ...และคนก็แลกไปแล้ว

โคลด์ปล่อยมืออย่างหัวเสีย “แล้วมีข่าวอิลมาเรไหม” เขาถาม ใจตีกลับไปกลับมาระหว่างความแค้นและความคาดหวัง ถ้ามีคนรอดกลับมาอย่างเนอร์ดาเนล อย่างเอริแอดเน่ แล้วอิลมาเรล่ะ!

...แค่ร่างของเธอเขาก็อยากหาให้เจอ

มาลแกธส่ายหน้า รอจนโคลด์เย็นลงก็เอ่ยว่า “ข้าไม่เคยจนคำพูดขนาดนี้มาก่อน”

“แล้วเจ้าอยากพูดอะไรล่ะ” โคลด์เงยหน้าถามตรงๆ

“สิ่งที่จะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น” เอลฟ์ตะวันออกตอบ สายตาของเขาสื่อว่า ‘แต่ไม่มีคำไหนที่เข้าท่าเลย’

โคลด์หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขากอดแขนมาลแกธ หลับตา แล้วพิงอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอ”

ดาร์กเอลฟ์อ่อนลงถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขายังไม่ฟื้นตัวดี หรือไม่...เขาก็พึ่งพาอีกฝ่ายมากขึ้น

เกินหนึ่งสัปดาห์แล้วนับจากฟื้นขึ้นมา โคลด์ยังไม่ได้ข่าวจากเกวนโดลิน ไม่มีนกสีขาวมาหาเขา และเขาก็ไร้วิธีส่งข้อความไปก่อน

“ชาวตะวันออกมีความเชื่ออย่างหนึ่ง” มาลแกธพาโคลด์เดินไปเรื่อยๆ “ผู้ที่จากไปจะกลับสู่ทะเล ล่องตามกระแสคลื่นขึ้นไปบนฟ้า และกลายเป็นโคมของเทพนำทาง คอยเฝ้ามองและปกป้องครอบครัว สหาย คนรักจากบนฟ้านั้น จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง”

เอลฟ์ตะวันออกเชื่อกันว่าการตายในสมรภูมิเป็นเกียรติสูงสุด ร่างของพวกเขาจะถูกบรรจุใส่เรือล่องไปในทะเล ส่วนวิญญาณจะได้รับการต้อนรับสู่ดินแดนของบิดาแห่งสงคราม สถานที่ซึ่งมีงานเลี้ยงสังสรรค์ตลอดเวลา และมีลานประลองขนาดมหึมาเท่าสนามรบให้อวดฝีมือกัน แต่เวลาพักผ่อนจากงานเลี้ยงและสนามรบศักดิ์สิทธิ์...ผู้ที่จากไปจะพำนักอยู่บนท้องฟ้า เป็น ‘ดวงดาว’ หรือ ‘โคมไฟของเทพนำทาง’ คอยปกปักษ์ดูแลคนที่ตนรักจากบนนั้น--ดังที่มาลแกธเอ่ย

“หากอิลมาเรไม่อยู่แล้วจริงๆ และนางมองลงมา คงไม่สบายใจที่เห็นเจ้าเป็นแบบนี้”

โคลด์เงียบ แล้วเอ่ยช้าๆ “ข้าไม่ควรโกรธเจ้า” ดาร์กเอลฟ์ขอโทษเรื่องเมื่อครู่...มาลแกธพยายามปลอบใจเขาอย่างจริงใจ ซึ่งคงเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ถนัดเอามากๆ

“ไม่เป็นไร” มาลแกธยิ้มจาง เขาพาโคลด์เดินไปทางสวนกลางเมืองหลวง เมื่อพบที่สงบเป็นส่วนตัวก็ชวนนั่งหย่อนใจ

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าคราม แสงแดดอบอุ่น เป็นวันอากาศดีและสงบสุขสำหรับคนทั่วไป ทว่าภายใต้ท้องฟ้ากว้างใหญ่ มีผู้คนมากมาย เรื่องราวอีกนับร้อยนับพัน ไหนเลยจะมีแต่ความสว่างสดใส คนบางคน...ภายนอกสว่างเจิดจ้า ข้างในอาจมีโพรงมืดหม่นอยู่ในหัวใจ


—————————————————————————

A/N โบนัสวันหยุด เต็มอิ่มกับสองตอนรวดและ มาลแกธโคลด์ค่ะ ;)


เลื่อนไปอ่านตอนต่อไปได้เลยจ้า



ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy

♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/

♰ Twitter : @VinzeSchwarz

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
บทที่ 24 : โลหิตนภา (2)

“การเดินทางมารูเมเรียร์ทำให้โลกของข้ากว้างขึ้น” เอลฟ์ตะวันออกเริ่มบทสนทนา

“อย่างไร” โคลด์นั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวสด ข้างมาลแกธ เบื้องหน้าพวกเขาเป็นสระน้ำกว้างใหญ่ คลื่นน้ำสงบ ผืนน้ำแผ่ไอเย็นสบาย

“หลังตัดเปียสงคราม ข้าได้เรียนรู้การเป็นควาร์ ได้เห็นความเป็นอยู่และความเชื่อที่ต่างออกไป ทั้งจากรูเมเรียร์ อิซิลดาร์ จากชนกลุ่มน้อยต่างๆ อย่างสมาคมค้าขายของดวอร์ฟก็ใช่” มาลแกธมองตามแม่หงส์ขาวและขบวนลูกหงส์ตัวเล็กๆ พุ้ยเท้าว่ายน้ำผ่านไป

“แล้วได้ลองถูกแทงที่คอเล่า ได้เรียนรู้อะไรไหม” โคลด์หยอกหน้าตาย

มาลแกธหัวเราะเบาๆ ก่อนดึงสายตากลับมาจับที่ใบหน้าสวยคมของดาร์กเอลฟ์ เขายักคิ้วอย่างเจ้าชู้ “เป็นประสบการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่...น่ายินดี”

“น่ายินดีตรงไหน” โคลด์เท้าแขน เอนตัวไปด้านหลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า “ข้าว่าเจ้าน่าจะเจ็บแทบตาย”

“แทบตายจริงๆ” มาลแกธไม่เถียง “แต่อย่างไรก็คุ้มค่า ตอนนี้เจ้าเชื่อใจข้าแล้ว...กระมัง”

โคลด์หันมา ทำหน้าแปลกใจ ถ้ามองไม่ผิดคือ...ค่อนข้างเขินอาย เพราะใบหน้าของเขามีสีแดงจางๆ ใบหูลู่ลง

“เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรน่ากระอักกระอ่วน”

ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่โคลด์ไม่มีให้ใครมาก่อน แต่เขาเรียนรู้จากเกวนโดลิน จากอิลมาเร จากซิกฟรีด...และจากมาลแกธ

อย่างที่บอก ดาร์กเอลฟ์ไม่มีสหายสักคนในเมืองนี้นอกจากอิลมาเร ในอาศรมเขาก็ไม่มีสหาย ทักษะการเข้าสังคมของเขาน่าจะน้อยกว่าซิกฟรีดด้วยซ้ำไป

“ข้าพูดความจริง” สายตาของมาลแกธจริงจังจนไม่อาจปฏิเสธ

ใบหูของโคลด์กางออก เขากระแอม “ก็ไม่ได้เชื่อใจเต็มร้อยหรอก” แค่มาลแกธพูดว่าเขาเชื่อใจ โคลด์ก็รู้สึกประหม่า

หากถามว่าเขารู้สึกอย่างไรกับมาลแกธ โคลด์พบว่าตนเองไม่ได้โกรธหรือเกลียดมาลแกธกับซิกฟรีดเท่าเก่า ยิ่งเมื่อพบว่าความโกรธและเกลียดนั้นมาจากความเข้าใจผิดส่วนหนึ่ง ความจำเป็นบีบบังคับอีกส่วนหนึ่ง

แต่ถามว่า ‘รักไหม’ สำหรับโคลด์ สิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ไม่ใช่แค่การมีความสัมพันธ์ทางร่ายกาย และไม่ใช่สิ่งที่สามารถระบุเงื่อนไข ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นคนรักกันได้

หรืออาจเพราะข้าไม่เคยใส่ใจที่จะรักใคร...หลังจากเรื่องของซิกฟรีด

“มีอะไรหรือ” มาลแกธถามพอเห็นโคลด์จ้องตนไม่วางตา คล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแต่รั้งไว้

“เราจะเอายังไงต่อไป” โคลด์ใช้คำพูดกลางๆ เขาบอกจะรับผิดชอบอีกฝ่ายหลังร่วมเตียงกัน ทว่าไม่คิดผูกมัด เขาตั้งใจให้มาลแกธใช้ชีวิตไปตามปกติ เขาเองก็จะใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่ปกติ แค่ช่วงเวลาสั้นๆ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย

‘ต่อไปควรทำอย่างไร’ ถ้าลองถาม ลองพูดคุย...อาจได้คำตอบที่ดีกว่าคิดคนเดียวก็ได้

“ข้าจะฝึกกาลาฮานให้ดีกว่านี้ เข้าศึกษาเวทสายอื่นๆ และ...อาจกลับไปแดนตะวันออกช่วงสั้นๆ” มาลแกธบอกแผนคร่าวๆ

“อืม...” นี่เรียกว่าแยกทางกันได้หรือเปล่านะ ตัวข้าเองก็มีเรื่องต้องทำ จะให้มาลแกธมาตามข้าหรือข้าไปตามเขาคงเป็นไปไม่ได้...

แต่แล้วมาลแกธก็ถามคำถามสำคัญ

“ไปเยี่ยมแดนตะวันออกกับข้าไหม”

เอลฟ์ตะวันออกไม่ชวนคนต่างถิ่นไปเยี่ยมเยือนบ้านของตนบ่อยนัก อันที่จริง...แทบไม่ต้อนรับใครเลย ลือกันว่าเอลฟ์ตะวันออกหวงเขตแดนขนาดวางกับดักเต็มไปหมด หากไม่ใช่คนในตระกูลหรือได้รับการเชื้อเชิญอย่างมีไมตรี ก็ไม่มีวันไปถึงปราสาทได้

การที่มาลแกธซึ่งเคยเป็นถึงผู้นำตระกูลล็องธูเอ่ยปากชวนโคลด์นั้น...มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่

“เอ๋” โคลด์ทำหน้าแปลกใจ ซ้ำยังกะพริบตาปริบๆ อย่างประหลาดใจสุดๆ “แต่ว่า…” เขาสัญญาเรื่องหัวใจมังกรกับซิกฟรีด ไหนจะเรื่องของเกวนโดลิน

เกวนอยู่ที่รังมังกรในแดนทมิฬ คนละทิศกับแดนตะวันออก หัวใจมังกรเล่า...ก็ควรไปหาทางรังมังกรไม่ใช่หรือ

“เพียงช่วงสั้นๆ” มาลแกธทอดเสียงลงคล้ายเว้าวอน

โคลด์เม้มปาก “แต่แผลที่หน้าของซิกฟรีด...”

“อืม” มาลแกธกึ่งพ่นลมหายใจกึ่งหัวเราะ

“เจ้าขำอะไร…”

“ตั้งแต่พบกันจนถึงตอนนี้ เจ้าก็วกเข้าเรื่องเขาจนได้”

หลังพูดไปแล้ว มาลแกธถึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเพิ่งตัดพ้อด้วยความน้อยใจเมื่อครู่

โคลด์เหมือนถูกตำหนิ ใบหน้าสีเข้มแดงไปทั่ว

“ข้ายังตัดสินใจไม่ได้ จนกว่าจะได้ข่าวจากเกวน” ตรงนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง

เงียบกันไปสักพัก เหมือนโคลด์นึกได้ว่า “หรือเจ้า...ไม่อยากจากข้า ถึงชวนข้าไปด้วย”

ให้พูดเองแบบนี้ โคลด์ก็กระดากปากนิดหน่อย

คงไม่หรอกมั้ง

“ใช่” รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์คลี่ออก “อยากให้เจ้าไปพบพี่น้องข้า หลานๆ และบรรดาสหายข้า ปราสาทหลักของล็องธูสวยแปลกตา ถึงแม้ตอนยังเด็กข้าจะเกลียดมันก็ตาม”

“เจ้า...มีครอบครัวใหญ่ดีนะ” โคลด์ระลึกอายุของมาลแกธ “ตาแก่” เขาพึมพำ ทำไมสมัยเด็กมาลแกธถึงเกลียดปราสาทหลักของตระกูลล็องธู...เรื่องนี้โคลด์ทดไว้ในใจ เขาพบว่าตนเองรู้เรื่องของมาลแกธน้อยมาก

“ข้าได้ยิน…” มาลแกธหยิกแก้มโคลด์ไปทีหนึ่ง

“อือๆ” โคลด์หยีตาเพราะเจ็บแก้ม เขาดึงแก้มมาลแกธคืน

มาลแกธเลยตะปบใบหน้าโคลด์แล้วจับดึงเข้ามาจูบหน้าผากด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ไปกับข้า…” เขาไล้ริมฝีปากไปตามหน้าผากมนจนถึงสันจมูก

“ตาแก่” โคลด์พูดเต็มเสียง จั๊กจี้ที่ใบหน้า ตายังหยีอยู่ เหมือนแมวดำที่ถูกจับบีบในอุ้งมือมารตะวันออก พอมาลแกธแตะปากไม่ปล่อยเขาก็กลั้นใจตอบว่า “ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่หรือไง”

แค่ไปแดนตะวันออก ข้าก็สนใจวิชาอาวุธของที่นั่นอยู่ ไม่ต้องชวนขนาดนี้ก็ได้ โคลด์บ่นในใจ

มาลแกธยิ้มไปถึงตา มีความสุขกับคำตอบที่โน้มไปทางการตอบรับ เขาไล่จูบโคลด์ทีละส่วน จากปลายจมูกไปยังแก้มสองข้าง และจากแก้มก็บรรจงประทับที่เปลือกตา เขาไล้ริมฝีปากเล่นกับขนตายาวสีเงิน หัวเราะเมื่อคนรักหยีตาเหมือนแมวขี้หงุดหงิด ก่อนจะกอบใบหน้าคมสวยขึ้น...แล้วจูบเนิ่นนาน

โคลด์เกาะแขนอีกฝ่ายที่ทำรุ่มร่ามกับเขาโดยไม่ดูสถานที่ เขาล้มหงายเมื่อใดไม่ทราบ และถูกมาลแกธทาบไว้ทั้งตัว

สถานที่! สถานที่! โคลด์ร้องในใจ ลิ้นชาและวาบหวิว เขากระตุกเมื่อลิ้นพันกัน ร่างกายท่อนบนบดเบียดอย่างรัญจวนใจ ทำให้วูบวาบไปทั้งตัว

“สถานที่!” โคลด์เบี่ยงหน้าออก ร้องเสียงดัง

“ชี่!” มาลแกธกดศีรษะโคลด์กับอกแล้วหัวเราะ “รู้แล้วขอรับ รู้แล้ว ไม่เสียงดังน่าที่รัก”

“เจ้าบ้านี่” ใบหูของดาร์กเอลฟ์แดงก่ำ ลมหายใจถี่ๆ รดต้นคอมาลแกธ

“เปลี่ยนศักดิ์ให้ข้าจากตาแก่เป็นเจ้าบ้าหรือ”

“ตาแก่บ้า” โคลด์มองใบหน้าด้านบนของอดีตอาจารย์ วูบหนึ่งรู้สึกอยากลองประทับจูบลงไปบนต้นคอแกร่ง

เขาส่ายหน้าไวๆ

“เจ้าล่ะ มีแผนอะไรต่อไป ตามหาเกวนโดลินเลยหรือ”

“ข้าจะรอข่าวจากเกวนอีกหน่อย มันแปลกที่ช่วงนี้นางหายไป แต่ข้าจะเชื่อนาง...คืออดทนรอ” โคลด์ถอนใจ ที่จริงที่ไหนมีนก เกวนก็หาเขาเจออยู่แล้ว หรือถ้าหาไม่เจอ เกวนรู้จักบ้านของอิลมาเร รู้ว่าเขาและเธอสามารถส่งข่าวทิ้งไว้ที่นั่น เขาจะอยู่รูเมเรียร์หรือแดนตะวันออกแค่เสียเวลาหาหน่อย ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่

โคลด์มองมาลแกธที่ยิ้มมองเขา รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป

“นี่ เจ้าคงไม่ได้...ยังหมดความมั่นใจหรอกนะ”

“เรื่อง?” มาลแกธเลิกคิ้ว

“เรื่องที่เจ้าโทษตัวเอง…”

มาลแกธเงียบไปครู่หนึ่ง เป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าโคลด์คิดถูก เขาแพ้สตรีจากอิซิลดาร์ถึงสองครั้งสองครา ถึงเวลานี้จะหน้าชื่นแต่ในใจไม่อาจสลัดทิ้งได้หมด

“ข้าเรื้อสนามรบมานานแล้วกระมัง กลับไปคงต้องฟื้นฝีมือ อีกอย่าง...ข้าคิดจริงจังเรื่องที่เจ้าว่า เรื่องปกป้องคนสำคัญ”

“ปกป้องคนสำคัญ” โคลด์ทวนคำ เขานึกถึงเกวนโดลินและไพล่นึกถึงซิกฟรีด “อืม...มันก็เป็นคำที่ไม่เลวใช่ไหม มีใครให้เรานึกถึง...ใส่ใจ”

มาลแกธเม้มปากพลางพยักหน้า “เป็นคำใหม่ที่ข้ากำลังเรียนรู้”

โคลด์เอากำปั้นแตะอกมาลแกธ “ไม่ใช่ข้าไม่ใส่ใจเจ้า ตกลงไหม” หลังจากสิ่งที่มาลแกธทำให้เขา ใช่ว่าโคลด์จะไม่รู้สึกอะไร ที่จริงเขารู้สึก ถึงขั้นอยากตอบแทน

“อีกอย่าง ข้าสงสัย...การรักษาโดยใช้หัวใจมังกรเป็นวิธีของเอริแอดเน่ ตอนนี้นางไม่อยู่แล้ว ได้หัวใจมาจะทำอย่างไร”

“อย่าว่าข้าใจดำเลย” มาลแกธถอนใจ “ซิกฟรีดมีหมอหลวงมากมาย ถ้าเจ้าแย่งงานพวกมันทำหมด ซิกฟรีดจะจ้างพวกมันไว้ทำไม”

เอลฟ์ตะวันออกยอมรับว่าเขาไม่ชอบใจ

“มันก็ไม่ถูกนะ” โคลด์อธิบาย “ถ้าหมอเหล่านั้นรักษาได้ ซิกฟรีดก็คงหายไปนานแล้ว มันเป็นคำสาปทมิฬ ไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บ และข้ายังติดหนี้เขา ข้าทำลายหัวใจมังกรที่เป็นยาของเขา”

มาลแกธไม่ได้ต่อคำเรื่องหนี้กับโคลด์ จะให้เขาพูดอะไรได้เล่า

“ถ้ารักษาหายแล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ” เอลฟ์ตะวันออกรุก เขาไม่เคยบีบคั้นเอาคำตอบกับโคลด์ แต่เวลานี้กำลังทำ “หากถึงทางแยกแล้ว เจ้าจะเลือกไปทางไหน”

โคลด์เงียบไปครู่ใหญ่ “ก็คง...ทางใครทางมัน...ละมั้ง” คำตอบของเขาไม่หนักแน่นเช่นเดิมกระทั่งตัวเองยังรู้สึกตัว ใช่ว่าเขาอยากกลับไปอยู่กับซิกฟรีด...ไม่สิ เขาอาจอยากกลับไป… หรือเขาไม่อยากกลับไป...

โคลด์ระบายลมหายใจและตัดสินใจเอ่ยตามตรง

“ก็มีบ้างที่ข้าคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเขาที่อาศรม ข้ายอมรับ ข้าไม่เคยคิดเผื่อว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้...แบบที่ข้าไม่ได้เกลียดเขา แบบที่เขาสูญเสียครอบครัวคนสุดท้ายไปเพราะเลือกข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าให้เวลาข้าหน่อยได้ไหม”

ข้าจะตอบอย่างไรได้…

มาลแกธจูบหน้าผากโคลด์ เมื่อผละออกมาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ได้สิที่รัก”

“อืม” โคลด์ยิ้มขอบใจ

เอลฟ์ตะวันออกเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องสัพเพเหระ พวกเขานั่งคุยกันสักพักจนฟ้าเริ่มครึ้ม บ่งบอกว่าฝนเจียนลงเม็ดก็เดินกลับราชวัง ระหว่างทางมาลแกธซื้อขนมหวานให้โคลด์ เขาชอบเวลาที่ดาร์กเอลฟ์มีความสุข...แค่เล็กน้อยก็ยังดี

ขนมหวานเป็นแป้งห่อครีม ของขึ้นชื่อของตลาดชาวบ้านในเมืองหลวง โคลด์รับมาแบบไม่เกรงใจ แสดงว่าอารมณ์หดหู่ถูกพัดไปแล้ว “มาลแกธ ล็องธู แล้วเจ้าจะเดินทางเมื่อไหร่”

"ยังไม่ได้กำหนด ข้ายังกังวลเรื่องอิซิลดาร์ ฝั่งนั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากล ซิกฟรีดก็คิดอยู่เหมือนกัน”

“อืม” โคลด์ชิมครีม เห็นว่ารสหวานถูกใจก็เอาเข้าปาก “แล้วจะไปนานแค่ไหน”

มาลแกธส่ายหน้า “ยังไม่ได้กำหนดอีกเช่นกัน เดินทางไปตะวันออกจากเมืองหลวงของรูเมเรียร์ใช้เวลาค่อนข้างมาก กว่าจะไปถึงเมืองท่าที่ใกล้ที่สุด กว่าจะล่องเรือ แต่หากจำเป็น…” แววตาของมาลแกธกร้าวขึ้นเล็กน้อย “หากจำเป็นข้าก็จะไป”

‘จำเป็น’ ในที่นี้หมายถึงการคานอำนาจของแดนตะวันออกกับอิซิลดาร์ในรูเมเรียร์ ไม่นับว่าแดนทมิฬกำลังเคลื่อนไหว

ไม่รู้ทำไม โคลด์ไม่อยากปล่อยให้มาลแกธกลับแดนตะวันออกโดยลำพัง...จะว่าเป็นห่วงก็ใช่ แต่ไม่มีเหตุผลให้เป็นห่วงแน่ชัด

“แล้วเจ้าไม่ต้องอารักขาซิกฟรีดหรือ”

มาลแกธพ่นลมหายใจคล้ายหัวเราะขำ “ซิกฟรีดอยู่ในฐานะหุ้นส่วนของข้ามากกว่านายเหนือหัว เจ้ายังดูไม่ออกหรือ” เขาลูบมือปาดครีมที่เลอะแก้มโคลด์

“ข้าจะไปรู้ความสัมพันธ์ ‘ลับๆ’ ของพวกเจ้าละเอียดได้อย่างไร” โคลด์หน้ายู่ เร่งกินขนมในมือ คล้ายจะกินให้หมดไม่แบ่งใคร

“ดีแล้ว เจ้าจะได้ไม่หึง” มาลแกธเย้า

“หา” โคลด์ทำหน้าตกใจ “พวกเจ้า...” เขามองมาลแกธขึ้นๆ ลงๆ แก้มยิ่งเปรอะเศษขนม

มาลแกธไม่ได้แก้ความเข้าใจผิด เขาแตะครีมมาชิม ก่อนจะโน้มใบหน้าไปชิมกับปากของเจ้าตัว

อ่อนหวานและวาบหวาม

ฝนเริ่มลงเม็ด...บางเบาดุจผ้าแพรคลุมหน้าของมารดาแห่งนภา

—————————————————————————

A/N เขียนลื่นมากเลยค่ะบทนี้! เหมือนเกิดมาเพื่อเขียนความมุ้งมิ้งหวานๆ โดยเฉพาะ

สงสัยเขียนแต่ฉากเครียดจนน้ำตาลในเลือดต่ำ แงๆๆๆ

อ่านยาวๆ 2 ตอนอิ่มกันไหมคะ ;)


พบกันครั้งต่อไปวันที่ 30 พ.ค. 60 ค่ะ



ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy

♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/

♰ Twitter : @VinzeSchwarz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2017 14:06:09 โดย ILLREI »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
สามคนนี้จะยังไงเนี่ย ห๊าาาา

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ตาแก่ฟาดเรียบ....หรือยังไง?

มีความจิ้น ฮ่า ๆ ๆ

โคลด์น่ารักอีกแล้ว

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อืม มีความอิจ555

 :hao7:

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
อ่านแบบกดดันสุดๆ ซับซ้อนมากด้วย ทำเอาคนเกิบแก่มึนเลยย แต่ก็ชอบมากเหมือนกัน รู้สึกว่าตัวละครทุกจะคล้ายๆ สังคมรอบตัวเรานี้และเนาะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
บทที่ 24 : โลหิตนภา (3)

เจย์มองสตรีนามเอริแอดเน่ นางยืนหลังตรงสง่าอยู่หน้าเรือ มองตรงไปข้างหน้า--ไปยังทางซึ่งเรือมุ่งไป ดุจแม่ย่านางเรือผู้ปกปักษ์เรือให้เดินทางอย่างราบรื่น

ลมทะเลสาบไล้เส้นผมนุ่มละเอียดจนสยายเป็นคลื่นสีทอง เจย์มองภาพที่งามน่าพิศวงนั้นจากข้างหลัง เขานึกไพล่ไปยังเหตุการณ์บนหอคอย นึกถึงโลงหินและศพน่าสะพรึง รวมทั้งนางซึ่งประกาศตนว่าเป็นท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์

วูบแรก เจย์คิดว่าตัวเองอยู่ในฝันอัศจรรย์ มีท่านหญิง มีศพปริศนา มีดอกไม้กินคนและปลายักษ์ที่เกล็ดเป็นสินแร่ แต่วูบต่อมาที่เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยง! ทั้งที่ไม่มีเค้าฝน เจย์ก็ได้สติและยอมรับความจริง

โจรหนุ่มเหม่อมองแผ่นหลังของสตรีเอลฟ์ ภาพบางภาพยังติดตากระทั่งบัดนี้ เช่น...ภาพศีรษะอาบเลือดแห้งกรังของเอลฟ์ผู้หนึ่ง

เขาจำได้ว่าตัวเองตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นแค่ไหน อันที่จริง คำว่าตกตะลึงอาจน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เขาไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้เลยเมื่อเห็นศีรษะเอลฟ์วางอยู่ในโลงหินอย่างไร้เกียรติ

พวกเอลฟ์มีพิธีส่งดวงวิญญาณที่สง่างามไม่ใช่รึ นี่อะไรกัน ใครมันโหดได้ถึงขนาดนี้!

เวลานี้เจย์ก็ยังไม่ทราบว่าเอลฟ์ผู้นั้นเป็นใคร

หากเขาทราบ อาจช็อกค้างด้วยความตกใจ

เนื่องเพราะศีรษะเอลฟ์ที่เขาเห็น...คือพระเศียรของราชาริวอร์นอร์ อาห์นดีร์ รูเมเรียร์

แม้จะอาศัยในดินแดนของมนุษย์ แต่เจย์ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของ ‘ราชามงกุฏดำ’ หรือราชาริวอร์นอร์ ทราบว่าพระองค์เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั้งในรูเมเรียร์ อิซิลดาร์ หรือแม้กระทั่งในเมืองเล็กๆ ที่เขากับมารดาอยู่

สามปีก่อน ทางราชวังประกาศว่าราชาริวอร์นอร์สิ้นพระชนม์เพราะกบฏดาร์กเอลฟ์ มารดาเขาและชาวเมืองคนอื่นๆ ถึงกับรวมเงินกันจ้างเรือข้ามทะเลสาบ เดินทางไกลเป็นเดือนเพื่อมาวางดอกไม้ไว้อาลัยหน้าราชวังรูเมเรียร์

ไม่มีใครทราบความจริงว่าพระองค์สังหารเฟรธูริน ผู้เป็นอดีตกษัตริย์ขัตติยาและพระเชษฐาของพระองค์เอง

ถ้าจะทราบ...ก็มีเพียงท่านหญิงเอริแอดเน่ เหล่าอัศวินผู้ติดตามจากอิซิลดาร์ ขุนนางจำนวนหยิบมือ และเจ้าชายที่สี่--ซิกฟรีด อาเลธ รูเมเรียร์

ผู้กล้าบั่นศีรษะพระองค์ให้ตกต้องท้องพระโรง

เจ้าชายซิกฟรีดจัดพิธีศพให้พระเชษฐาที่สองอย่างสมพระเกียรติ ออกประกาศงดเว้นงานเลี้ยงรื่นเริงเป็นระยะเวลาหนึ่งปี และให้ขุนนางแต่งชุดขาวสะอาดไว้อาลัยแด่หนึ่งในมหากษัตริย์ผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน

ทว่าในความเป็นจริง พระศพของราชาริวอร์นอร์มิได้ล่องนาวาศักดิ์สิทธิ์ หลังเจ้าชายซิกฟรีดบั่นศีรษะของพระเชษฐาองค์รองแล้ว พระองค์ทรงดำริว่าจะนำพระศพไปฝังดิน ให้ส่วนศีรษะฝังที่หนึ่ง ส่วนร่างกายฝังอีกที่หนึ่ง นับเป็นการสาปส่งและหยามเกียรติ เนื่องเพราะเอลฟ์แผ่นดินใหญ่เชื่อว่าการฝังหรือเผาทำให้วิญญาณไม่อาจไปสู่ดินแดนนิรันดร์ของบิดาและมารดานภา

เวลานั้น ท่านหญิงเอริแอดเน่ทัดทานว่า การฝังเป็นเพียงการหลู่เกียรติอดีตราชาโดยเปล่าประโยชน์ ร่างกายของริวอร์นอร์ถูกฝังได้ แต่วิญญาณที่ไม่ไปสู่ดินแดนนิรันดร์ยังเป็นอิสระ วนเวียนอยู่ในโลก และอาจบอกเล่าความจริง

ซิกฟรีดรับฟังและให้นางช่วยจัดการตามที่เห็นควร

ท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์เลือกที่ฝังพระศพทั้งสองส่วนด้วยตนเอง ศีรษะและร่างกายของราชาริวอร์นอร์กลายเป็นผนึกฉีกแบ่งวิญญาณ ทำให้วิญญาณมิอาจรวมเป็นหนึ่งและกลับมาโลกของคนเป็น และเพื่อให้กายเนื้อซึ่งเป็นผนึกไม่สูญสลาย นางใช้โลงศพเวทรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย

หนึ่งในสถานที่ฝังพระศพคือ ‘เกาะไร้นาม’ อันเป็นเกาะที่ถูกทิ้งร้างตั้งแต่สมัยเก่าก่อน สังเกตจากซากโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่อาจนับย้อนไปได้ถึงพันปี ซากโบราณสถานบ่งบอกว่าแต่เดิมมีอารยธรรมเอลฟ์รุ่งเรือง ทว่าถูกทิ้งร้างเพราะสัตว์ประหลาดดุร้ายเข้ามาแย่งถิ่นฐาน

ท่านหญิงเอริแอดเน่เลือกผนึกส่วนศีรษะของราชาริวอร์นอร์ไว้ในหอคอยซึ่งเป็นโบราณสถานใจกลางเกาะ นางอัญเชิญจ้าวมัจฉาเกล็ดเงินมาพิทักษ์พระศพอดีตกษัตริย์ นานวันมันก็ดูดซับไอคำสาปของพระศพจนเกิดผลึกเกาะตามเกล็ด ไอคำสาปนั้นยังเปลี่ยนสภาพชั้นบนสุดของหอคอยให้กลายเป็นถ้ำหินงอกหินย้อยดำทมิฬ

เวลาผ่านไป...เจย์ พรีออน โจรและนักล่าสมบัติลูกครึ่งเอลฟ์ก็ถูกชะตาพัดพาให้มายังเกาะไร้นาม พบสตรีโฉมงามและความลับอันเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

 

“ถึงฝั่งแล้ว ต้องขอบคุณเรือลำที่พวกท่านใช้มา” ไนติงเกล หรือ ‘เอริแอดเน่’ เอ่ย น้ำเสียงของนางเรียบนิ่งและมีจังหวะการพูดอย่างชนชั้นสูง

เรือที่เจย์และพรรคพวกโจรใช้โดยสารมาเป็นเรือหาปลาขนาดเล็ก โดยสารกันมาเก้าคน กลับออกมาไม่ถึงครึ่ง ทว่าได้บรรทุกสิ่งสำคัญมาด้วย...นั่นคือกล่องหินผนึกศีรษะของเอลฟ์บุรุษที่พบในโลงศพบนหอคอย

เมื่อน้ำตาแห้งเหือด สติและความทรงจำกลับมาครบถ้วน เอริแอดเน่คล้ายคนตื่นจากฝันสงบสุขสู่ความจริงอันเจ็บปวด ดวงตาใสราวธารน้ำบริสุทธิ์ถูกฉาบด้วยกำแพงน้ำแข็งเย็นเฉียบ ทำให้นางดูเย็นชา ไร้หัวใจ เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

คราแรก นางไม่ทราบว่าตนรอดจากมหาเวทนทีมาได้อย่างไร ในเมื่อนางปล่อยมือจากดาบเวทแล้ว และไม่คิดใช้พลังเวทปกป้องตัวเองจากสายน้ำ กระทั่งเห็นดาบเวทประจำตัวในมือก็เข้าใจ มันปกปักรักษานางด้วยเจตจำนงของผู้อื่น--เจตจำนงของมารดานที

มารดานทีไม่ยอมให้นางทิ้งชีวิต ปิดกั้นความทรงจำของนาง และนำนางไปหาริวอร์นอร์…

เวทดาร์กบลูอาบิสเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำใต้ดิน มารดานทีแทรกอยู่ในกายาของบิดาธรณี กลายเป็นแม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ...นางจึงถูกพัดมาที่ทะเลสาบของเกาะไร้นาม

จากการสำรวจ สินแร่สีดำอันเกิดจากไอคำสาปพบมากบนตัวมัจฉาผู้พิทักษ์และภายในห้องเก็บพระศพ แต่มีบางส่วนงอกอยู่นอกประตู แท่งแร่ด้านนอกถูกตัดจนเหลือแต่ตอ คาดว่าเป็นฝีมือของผู้ที่มาก่อน พวกมันเอาแร่ไปได้ แต่อาจกลับออกไปไม่สวยนัก สินแร่ก้อนแรกที่ถูกค้นพบจึงลอยมาตามน้ำ

สุดท้าย นางใช้เวทควบคุมจิตใจอันละโมบของโจรมนุษย์ ให้พวกมันเป็นหุ่นเชิดขนสินแร่ซึ่งเกิดจากพลังด้านมืดลงมาจากหอคอย และใช้เวทเปลี่ยนแปลงโลงศพของริวอร์นอร์ให้กลับสู่รูปร่างกล่องหินผนึกศีรษะ

ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ยอมมองใบหน้าในกล่องนั้น และไม่แตะต้องกล่อง

เจย์ไม่มีปฏิกิริยากับคำขอบคุณของเอริแอดเน่ เขาเหม่อนิดๆ ขณะไล่สายตาไปยังสหายโจรที่ถูกควบคุมด้วยเวท เมื่อใกล้ถึงฝั่ง พวกมันกระโดดลงจากเรือตรงน้ำตื้น เหวี่ยงเชือกแล้วชักลากเรือไปเกยฝั่ง พวกมันแข็งแรงขึ้นจนผิดมนุษย์ เจย์คิดว่าอาจเป็นเพราะเวท

พูดถึงคำขอบคุณ อันที่จริงเจย์ไม่มีปฏิกิริยาเพราะเขาไม่รู้ว่าควรตอบอะไร หากมีใครสักคนเอ่ยขอบคุณ สุภาพชนก็ควรตอบกลับว่า 'ยินดี' (ตามที่มารดาพร่ำสอน) ใช่หรือไม่ ทว่าสิ่งซึ่งทำให้ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนที่จะตอบคือ…

ย้อนกลับไปเหตุการณ์บนเกาะร้างเล็กน้อย หลังเอริแอดเน่สะกดพวกโจรแล้ว นางหันมาถามเขาว่าเรือที่ใช้มายังเกาะนี้อยู่ที่ไหน ตอนนั้นเขาตอบกลับไปอย่างไรนะ...อ้อ ข้าไม่ได้ตอบอะไรสักคำ แต่ทำตัวน่ารักว่าง่าย นำทางนางมาที่เรือเลยจ้ะ

ใครจะอยากโดนสาปเป็นตุ๊กตาไร้สมองเหมือนโจรพวกนั้นกันเล่า!

สรุป นางปล้นเรือเขาแล้วเอ่ยขอบคุณ เขาควรตอบนางว่าอะไรหรือ

"ข้ามีคำถามพ่ะย่ะค่ะ" พอเจย์รู้ว่านางเป็นท่านหญิง เขาก็ใช้คำราชาศัพท์กับนางอย่างมั่นใจ

ซึ่งถูกๆ ผิดๆ ไปหมด...

“ใช้คำปกติเถอะ” นางตอบ สายตามองห้วงน้ำฝั่งที่มีเกาะ ซึ่งตอนนี้เป็นแค่เส้นขอบฟ้าสีน้ำเงิน

"ยากที่จะกลับไปเป็นปกตินะพ่ะย่ะค่ะ" เจย์ฉีกยิ้มแห้งๆ ขณะแอบเหล่ไปทางพวกโจร คิดว่า ถ้าข้าพูดไม่ถูกใจ พระองค์ก็สาปข้าน่ะสิ

“ข้าไม่ชินให้ท่านเรียกข้าแบบนั้น ส่วนท่าน...ใช้คำไม่ถนัดลิ้นจะขัดเสียเปล่าๆ”

“อ่า” เจย์ลูบท้ายทอย “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงละเว้นข้าขอรับ” เขาพูดผิดๆ ถูกๆ อีกเหมือนเคย “ข้าหมายถึง ‘ท่าน’ ...ต้องใช้คำว่าท่านหญิงมั้ย”

เอริแอดเน่หันมามองโจรหนุ่ม “พูดตามปกติ” นางเอ่ยอนุญาตอีกครั้ง “ข้าละเว้นท่านเพราะท่านช่วยข้า ข้าจึงตอบแทนน้ำใจ…” นางหลุบตาลง “ข้าช่วยท่านหาสินแร่สีดำแล้ว ทั้งหมดบนเรือเป็นของท่าน จงนำมันไป ขายอย่างระมัดระวัง สินแร่นี้อาบไอทมิฬเข้มข้น นำไปขายทางแผ่นดินทมิฬน่าจะดีกว่า อย่าเก็บไว้กับตัวนาน ท่านอาจโดนไอคำสาปจนกลายเป็นบ้า และอย่าเปิดเผยสถานที่ที่ได้มา ไม่เช่นนั้นหัวของท่านอาจไม่อยู่กับตัว”

สินแร่นี้มีไอทมิฬเข้มข้นจนทำให้มนุษย์วิกลจริตได้จริง แต่โจรลูกครึ่งมีเชื้อสายเอลฟ์ น่าจะทนไอคำสาปได้มากกว่า

เจย์ปราศจากข้อกังขาว่าทุกสิ่งที่นางพูดไม่ใช่คำขู่ โดยเฉพาะอย่างสุดท้าย...

“ข้าเก็บความลับเก่ง” เจย์เม้มปาก เขาทำท่าไขกุญแจตรงมุมปากทั้งสองข้าง คล้ายล็อกหีบอย่างแน่นหนาแล้วโยนกุญแจทิ้งไป "ข้ามีคำถามอีก...แต่ข้าจะไม่ถาม เจ้าคงเดาออกว่าข้าจะถามอะไร"

จะมีอะไรน่าถามไปกว่าศีรษะในโลงศพเป็นใครอีกรึ!

เอริแอดเน่วาดนิ้วแผ่วเบา ฝุ่นดินบนพื้นพัดขึ้น บนดินเกิดเส้นแนวขวางระหว่างนางและเจย์ ให้ทั้งสองอยู่คนละฟาก “ฝั่งที่ข้าอยู่ คือด้านของคนตาย นรกแห่งความลับ ความชิงชัง การแก้แค้น และไฟสงครามที่ไม่เคยมอดดับ ฝั่งที่ท่านอยู่ คือด้านของคนเป็น ผู้ที่ยังมีชีวิต สามารถก้าวต่อไปข้างหน้า และมีความสุข ท่านพร้อมจะข้ามมาหรือ”

ดวงตาของนางเยียบเย็น...แต่ก็ดูเปราะบางในเวลาเดียวกัน

“ไม่” เจย์ตอบด้วยความมั่นใจสูงสุด “ข้าชอบฝั่งที่ข้าอยู่” ลูกครึ่งเอลฟ์ลงไปนั่งยองก่อนปัดเส้นแบ่งนั้นทิ้ง "แต่ข้ารู้คุณคน แร่พวกนี้ข้าเสวยสุขทั้งชีวิตก็ไม่หมด ให้ข้าตอบแทนบ้าง" พอได้รับอนุญาตให้พูดจาแบบปกติได้ เจย์ก็ปกติเหลือเกิน

"ข้าอาจไปกับเจ้าไม่สุดทาง แต่ระหว่างนี้มันดีที่มีเพื่อนนะ"

เจย์เงยหน้ายิ้มให้นาง เขาคิดว่านางโดดเดี่ยวเกินไป สีหน้าและแววตาของนางทำให้เขาเจ็บยอกในอกเพราะคิดถึงสตรีผู้หนึ่ง

เขาไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่เส้นที่นางขีดแบ่งระหว่างเขากับนาง เหมือนจะร้องว่า ‘ข้ามมาสิ ข้ามมาช่วยข้าด้วยเถิด’

นางเอลฟ์หัวเราะแผ่วเบา นุ่มนวล “ข้าอยู่คนเดียวดีแล้ว”

“ข้าก็ชอบอยู่คนเดียว” เจย์ว่า “ถ้าอย่างนั้นเราลองมาอยู่คนเดียวด้วยกันสักพักดีหรือไม่”

“ความใจดีครึ่งๆ กลางๆ ของท่านจะทำให้ผู้รับเจ็บ มันไม่สร้างแผลสด แต่เป็นแผลฟกช้ำ กลัดหนอง” บนหอคอย นางบอกเขาว่า ‘ถ้าท่านจะทิ้งข้า อย่างน้อยก็บอกลาสักคำ’ ...นางเป็นคนที่ชินกับการจากลา

"ว่าไปนั่น" เจย์ลูบท้ายทอยพลางลุกขึ้น "ครึ่งๆ กลางๆ อะไร ข้าว่าข้าเต็มที่กับทุกเรื่องนะ ข้ารู้...ข้ารู้ เรื่องที่เจ้ามันทำอันตราย ไม่ต้องอธิบายหรอก ข้าพูดตามตรงว่าไม่อยากตายเร็ว แต่...ไม่รู้สิ ข้าอยากช่วยเจ้า" เขายิ้มให้นาง...ช่างเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวไปถึงดวงตา "อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เจ้าอาจไม่ชินนัก แต่ลองรับความใจดีจากคนอื่นดูมั้ย ข้าไม่คิดแม้แต่เหรียญเดียว"

เอริแอดเน่เหยียดยิ้ม ทว่ารอยยิ้มสมเพชนั้นมีให้แก่ตัวนางเอง

“ข้าควรตายไปแล้ว แต่กลับไม่ตาย มารดานทีคุ้มครองข้า แต่ข้าคิดมาตลอดตั้งแต่ได้รับความทรงจำคืนมา ในเมื่อข้าอยากตายแต่กลับไม่ได้ตาย ซ้ำยังถูกพามายังสุสานของเดรัจฉานในโลงตนนั้น เช่นนี้แล้ว สิ่งที่ข้าควรทำต่อไป ก็คือเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นนรกอันเหมาะสมกับเศษซากแห่งชีวิตอย่างข้ามิใช่หรือ”

คำกล่าวของนางอำมหิต เยือกเย็น พูดออกมาโดยมีสติครบถ้วน ไม่น่าเชื่อว่านางคือคนเดียวกับสตรีไร้ความทรงจำผู้มีดวงตาใสบริสุทธิ์และรอยยิ้มเป็นมิตร

เจย์อ้าปากแต่ไม่มีเสียงใดลอดออกมา เงียบไปสักพักเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ทางใต้ของดินแดนเอลฟ์เป็นยังไง ข้าไม่เคยไปมาก่อน”

“ลองไปดูด้วยตาตัวเองเถอะ” นางตัดบทและหันไปมองทางอื่น เป็นการบอกว่าถึงเวลาจากลา

เจย์พึมพำรับว่า “จ้า…” แล้วกระโดดลงจากเรือ เขาชูแขนก่อนจะร้องบอกนางว่า

“ลงมา ข้ารับเจ้าเอง”

เอริแอดเน่เงียบไปครู่ นางสามารถเกาะมือเขาลงจากเรือได้ ทว่า...

“มาเถอะ เดี๋ยวข้าอุ้มไปส่งตรงที่สะอาดๆ”

นางแปลกใจที่โจรหนุ่มรู้ว่านางไม่พึงใจจะย่ำโคลน “ตกลง”

พอรับนางลงมาเจย์ก็ถามว่า “ข้าสั่งโจรที่เจ้าควบคุมได้มั้ย ขอคนเดียว”

“ได้” เอริแอดเน่เบือนหน้าไปทางโจรคนหนึ่ง มันเดินมาทางเจย์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ช่วยข้าดันเรือลงทะเลสาบ จากนั้นชักใบเรือแล่นออกไปให้ไกล สักใจกลางทะเลสาบน่าจะพอ” โจรหนุ่มสั่งโจรเถื่อนซึ่งกลายเป็นตุ๊กตาชักรอก “เสร็จแล้ว...เจ้าก็โจนลงทะเลสาบแล้วเอาตัวรอดนะ” เจย์ตบหลังโจรแปะๆ

โจรซึ่งถูกควบคุมด้วยเวทออกแรงผลักเรือด้วยแรงไม่ธรรมดา เจย์ไม่ต้องออกแรงแม้ปลายนิ้วด้วยซ้ำ พอเรือพร้อมออกจากฝั่ง เขาก็ร้องสั่ง “กระโดดขึ้นไป! เออ นั่นแหละ กางใบเรือแล้วออกไปเลย”

เจย์ยืนเท้าเอว ยกมือข้างหนึ่งโบกลาโจรผู้โชคร้าย จากนั้นค่อยหันมายิ้มกว้างให้เอริแอดเน่

“ข้าไปด้วย”

เอริแอดเน่เงียบอีกครั้ง นางมองตามเรือซึ่งบรรทุกสินแร่เต็มลำแล่นออกไป

“ท่านทิ้งทรัพย์สมบัติที่ใช้ชีวิตแลกมาหรือ”

เจย์พยักหน้า “จะบอกว่าข้าตัดสินใจครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้แล้วนะ” และเสริมว่า “อันที่จริง ข้าแอบเก็บไว้ห้าหกชิ้น ที่เหลือให้มันไปตามยถากรรมเถอะ"

สินแร่ดำมีค่ามหาศาล แค่ห้าหกชิ้นก็สบายไปชั่วลูกชั่วหลานแล้ว

สีหน้าของท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์อ่อนลง นางมองโจรลูกครึ่งให้ชัดเต็มตา พิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

“ข้าไม่ใช่คนดีหรอก ออกจะโง่ เพราะข้ายังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้” เจย์หัวเราะ

“คงเพราะท่านยังเยาว์นัก” เอริแอดเน่หลับตา ในชีวิตนาง...ไม่หวังพึ่งใคร นางเป็นร่มไม้ใหญ่ เป็นเสาหลักแห่งอิซิลดาร์ เรื่องที่ผู้อื่นทำไม่ได้ นางต้องทำได้ เมื่อคนอื่นร้องขอ นางต้องไม่ขอร้อง คนอื่นเหยียบแค่ตีนเขา นางต้องไปให้ถึงยอดผา นั่นคือวิถีชีวิตของนาง...สิ่งที่นางต้องทำให้ได้ ทุ่มเทชีวิตเพื่อให้ได้มา

“เอาเถอะ นอกจากเงินทอง สิ่งที่ข้าชอบอีกอย่างคือความเสี่ยง มันทำให้ข้ารู้สึกถึงชีวิต...อ่า แต่ข้าก็รักตัวกลัวตายนะ เห็นมั้ย ออกจะโง่และสำนึกขัดแย้งกันบ่อยๆ”

“งั้นข้าจะบอกท่าน” เอริแอดเน่ลืมตา “ศีรษะนั้นเป็นของอดีตกษัตริย์ชั่วช้าผู้หนึ่ง ริวอร์นอร์ อาห์นดีร์ รูเมเรียร์ แต่คนที่รู้ว่าเขาชั่วช้ามีเพียงข้า และข้าเป็นคนทำให้ศีรษะของเขาถูกบั่นจากตัว”

นางเอ่ยเด็ดขาด ทว่าในเรื่องที่เล่า...กลับไม่เอ่ยถึงซิกฟรีด

เพียงเท่านั้นก็ทำให้โจรหนุ่มตะลึงค้าง

ราชาเอลฟ์เลยรึ!

เขากรีดร้องในใจ

ไม่สิ นางกล้าสังหารราชาริวอร์นอร์เชียวรึ! เป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นจอมทัพรูเมเรียร์หรอกรึ!

“อืม…” เจย์ลูบหน้าตัวเองแรงๆ “ข้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ถึงอย่างไรข้าก็ไปกับเจ้าเหมือนเดิม”

“แม้จะรู้ว่าข้าเป็นนางเอลฟ์ชั่วช้า?” เอริแอดเน่บ้าบิ่นมากที่เล่าความจริง ทว่าตัวนางในเวลานี้หาได้สนใจปิดมันกับโจรตรงหน้า

เจย์ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ใช่มนุษย์ที่ดีนักหรอก อีกอย่าง ใครบ้างที่ไม่เคยทำชั่วในชีวิต”

“ท่านเอ่ยเช่นนี้ได้ เพราะท่านยังไม่เคยได้รับความเสียหายจากความชั่วช้าของข้า” นางออกเดิน หุ่นเชิดมนุษย์ของนางที่เหลืออยู่สองคนก็เดินตามอย่างเข้มแข็ง ซื่อสัตย์ แต่ไร้ชีวิต

นางให้พวกมันคนหนึ่งแบกกล่องหินไว้บนหลัง

“ข้าจะตัดสินใจเอง”

น้ำเสียงหนักแน่นดังตามหลังนาง จากนั้นเจย์ก็เข้ามาเดินเคียงข้างนาง รอยยิ้มของเขาประหนึ่งแสงตะวัน มันอาจช่วยละลายน้ำแข็งในใจนาง และทำให้นางรู้สึกถึงชีวิตอีกครั้ง

-----------------------------------------

สิบวันต่อมา

ในระหว่างที่ความขัดแย้งของราชาซิกฟรีดกับพระคู่หมั้นถูกปิดบังไว้เหมือนการซุกซ่อนความลับไว้ใต้พรม...

ระหว่างที่อิซิลดาร์มีท่านหญิงเอริแอดเน่คนหนึ่ง...ท่านหญิงเอริแอดเน่อีกคนก็ออกเดินทางพร้อมโจรลูกครึ่ง

ณ สุสานไร้เกียรติ สตรีเอลฟ์สูงศักดิ์เดินผ่านซากศพกวางผู้พิทักษ์ซึ่งถูกไอทมิฬแทรกซึมจนกลายเป็นสัตว์ปีศาจ ดาบเวทในมือนางยังเปื้อนเลือดอุ่นๆ ของผู้พิทักษ์ที่เพิ่งสิ้นลม แทบเขายาวโง้งที่แตกกิ่งก้านเหมือนต้นไม้ใหญ่ของมันคือซากศพของโจรที่นางพามา

นางชี้ดาบเวทไปยังโลงหิน

ฝาโลงเปิดออก เผยให้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าศีรษะเปื้อนเลือดบนหอคอยในเกาะร้าง

เจย์เอามืออุดปากเมื่อเห็นร่างไร้ศีรษะของราชามงกุฏดำ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ยังเกร็งค้างในท่ากำดาบ พระหัตถ์ซ้ายกำแน่นจนเล็บคงจิกเข้าผิวเนื้อ เลือดแห้งเกรอะกรังย้อมฉลองพระองค์สีดำให้ยิ่งดำขึ้นไปอีก กลิ่นความตายฟุ้งขึ้นพร้อมไอคำสาปรุนแรง ความโกรธแค้นอัดแน่นจนก่อผลึกหนามทั่วโลงหิน ปลายคมล้อมพระศพไว้ มันพร้อมทิ่มแทงผู้ใดก็ตามที่กล้ายื่นมือไปแตะต้อง

โจรหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดเหนียว

ต้องเกลียดชังแค่ไหน...ต้องโกรธเกรี้ยวเพียงใด จึงลงมือฆ่าแล้วเก็บศพไว้เช่นนี้

“ในโลกอันสิ้นหวังนี้ เดรัจฉานบางตนก็สมควรฟื้นขึ้นมา”

นางกล่าวกับศพอันไร้เกียรติอย่างหยามเหยียด


—————————————————————————

A/N ใครที่ค้างตอนจบของเกาะไร้นาม เรามาต่อเรื่องราวหลังจากนั้นให้อย่างว่องไวแล้วค่ะ! พอจะเดากันได้แล้วไหมคะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป


พบกันครั้งต่อไปวันที่ 1 มิ.ย. 60


ป.ล. ใครรอบทโคลด์กับซิกฟรีด มีนะคะ ;) ไม่หายค่า
ป.ล. 2 เราไม่ค่อยได้ตอบคอมเมนต์ แต่อ่านครบนะคะ บางอันอ่านแล้วอยากตอบทันที แต่จังหวะไม่อำนวย พอทิ้งไว้นานๆ แล้วมาตอบก็กระไรอยู่ แต่ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มากๆ ค่ะ จุ๊บๆ  :mew1:



ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy

♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/

♰ Twitter : @VinzeSchwarz

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ปลุกชู้รักขึ้นมารบกับซิกฟีดหรือ?

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
วุ่นวายอีกล้า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ท่านหญิงเอรีแอดเน่ คนนี้ กับท่านหญิงเอรีแอดเน่คนนั้น
หรือเป็นการแยกร่างโดยมารดานที
แต่ที่อยู่อิซิลดาร์ ก็ไม่ได้ใจดี ยังดาร์กเหมือนเดิม
แต่คนนี้ดูจะดาร์กสุดๆ แต่ยังใจดีกับเจย์
เฮ่ย.....แล้วยังจะใช้เวทปลุก คืนชีพริวอร์นอร์ อะจ๊ากกกกก มันสิพะย่ะค่ะ
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
ท่านหญิงเอรีแอดเน่ คนนี้ กับท่านหญิงเอรีแอดเน่คนนั้น
หรือเป็นการแยกร่างโดยมารดานที
แต่ที่อยู่อิซิลดาร์ ก็ไม่ได้ใจดี ยังดาร์กเหมือนเดิม
แต่คนนี้ดูจะดาร์กสุดๆ แต่ยังใจดีกับเจย์
เฮ่ย.....แล้วยังจะใช้เวทปลุก คืนชีพริวอร์นอร์ อะจ๊ากกกกก มันสิพะย่ะค่ะ
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
ใจดีกับเจย์จริงๆ ค่ะ ใจดีกว่ากับซิกฟรีดอีกอะ^^;
ส่วนริวอร์นอร์จะเป็นยังไงต่อไป รอติดตามนะคะๆ  :mew1:

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
บทที่ 24 : โลหิตนภา (4)

พระศพไร้ศีรษะของอดีตราชาเอลฟ์ผู้องอาจทอดร่างอยู่ในโลงหินเบื้องหน้า

มีแค่ร่างจริงๆ ส่วนศีรษะก็...ภาพนั้นทำให้เจย์กลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า

“ไม่เคยเห็นศพคนตายหรือ” เอลฟ์สตรีผู้กล้าหมิ่นเกียรติพระศพถามเสียงเย็น นางสะบัดเลือดชุ่มโชกซึ่งเกาะอยู่บนใบดาบสีฟ้าเรือง

“เคยเห็นบ้าง แต่…” เจย์ไล่สายตาไปบนร่างในโลงศพอีกครั้ง หากมองด้วยสายตาของโจร ศพนี้กระตุ้นความโลภได้เป็นอย่างดี ร่างอย่างนักรบยังดูสง่าด้วยอาภรณ์อย่างกษัตริย์ เนื้อผ้าแม้จะเก่าและเกรอะคราบเลือดก็ยังดูออกว่าเป็นทอจากไหมราคาแพง ดิ้นทองคำยังคล้ายเรืองเรื่อ เครื่องประดับและเครื่องราชอิสริยยศอยู่ครบ

งดงาม ทว่าน่าสะพรึง

ท่านหญิงเอลฟ์พริ้มตา เปิดปากนิดๆ “อ้อ ศพกษัตริย์ไม่ได้เห็นกันทุกวันนี่นะ” นางหัวเราะเสียงเบา เย็นชา ทว่าสายตาไม่ยอมมองร่างในโลงนานเกินไป ตาขาวของนางแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตา กระแสความรวดร้าวเจืออยู่บางเบาในกิริยาของนาง

“เราจะเอายังไงต่อรึ” เจย์เบือนสายตาไปพักทางอื่น อย่างใบหน้าแฉล้มของท่านหญิงข้างๆ นี่ก็ดี

“เราจะเอาศพไป แล้วจัดฉากเล็กน้อย เผื่อมีคนมาพบไวกว่าที่คาด” เนื่องจากเวทปิดผนึกสุสานกษัตริย์นอกรีตทั้งสองแห่ง นางเป็นผู้ร่ายเอง หากผนึกแตกออก นางย่อมทราบเป็นคนแรก แต่ที่รูเมเรียร์ยังมีหินเวทที่เชื่อมต่อกับเวทผนึกสุสาน หากเวทผนึกสุสานแตก หินเวทที่รูเมเรียร์ก็จะแตกตามในเวลาใกล้เคียง

ในสุสานหอคอยบนเกาะกลางทะเลสาบรวมถึงสุสานในภูเขาลึกแห่งนี้ เอริแอดเน่ร่ายเวทผนึกสุสานใหม่เพื่อชะลอการแตกของหินเวทที่รูเมเรียร์ แต่หินเวทที่ร้าวจากภายในแล้วจะค่อยๆ ร้าวลึกจนมีคนสังเกต

ทว่าแค่นั้นก็ช่วยซื้อเวลาให้นางแล้ว

“ข้าไม่ชอบถามจู้จี้ แต่เราจะเอาศพไปทำอะไร” เจย์ไม่คิดว่านางจะขายศพ นางเป็นท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์ ให้ขายศพกินแบบพวกโจรอย่างเขาดูจะไม่เข้าที

อันที่จริง เจย์รู้สึกพิกลตั้งแต่นางหอบเอาศีรษะของอดีตกษัตริย์เอลฟ์มาจากเกาะนั้นแล้ว อะไรบางอย่างมันสะกิดเขา เหมือนบอกว่าเขากำลังจะเป็นพยานหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์มืด

เจย์เคยขายศพของพวกร่อนเร่ไร้บ้าน และรู้ดีว่าพวกรับซื้อศพเอาศพไปทำอะไร

มนตร์ทมิฬ...

“ข้าจะทำอะไรกับศพน่ะหรือ” เอริแอดเน่รำพึงเหมือนเอ่ยกับตัวเองมากกว่าตอบคำถามของเจย์ นางวาดดาบเวทในมืออย่างนุ่มนวล สายตามองผนังวิหารอันว่างเปล่า ก่อนที่ผนังหินจะปรากฏวงเวทสีฟ้าอ่อน อสรพิษสีเขียวครามขนาดมหึมาทะลุวงเวทนั้นออกมาอย่างอัศจรรย์

ท่านหญิงชี้ดาบเวทสั่งการอสรพิษตัวใหญ่ยักษ์ มันเลื้อยอย่างเงียบเชียบผิดกับขนาดตัวไปยังโลงศพหิน ฝาโลงเลื่อนปิดดังเดิมก่อนที่อสรพิษจะแยกเขี้ยวอ้าปากใหญ่โตกลืนโลงศพเข้าไปพร้อมร่างในโลง เมื่อเสร็จแล้วมันก็กลืนหีบบรรจุส่วนศีรษะเข้าไปตามกัน

“ข้าคิดว่าพอจบเรื่องนี้ ข้าสามารถเป็นนักเขียนที่มีเรื่องเล่ามหัศจรรย์กว่าใครแน่นอน” เจย์พยักหน้าให้กับอสรพิษตนนั้นอย่างเหม่อลอย

เอริแอดเน่หันมองเจย์ขณะที่สัตว์อัญเชิญของนางเลื้อยผ่านวงเวท ครู่เดียวปลายหางของมันก็จมหายไปในผนังหิน แสงของวงเวทสลายไป

“แม่ข้าสอนว่าสสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลกเฉยๆ” เจย์กะพริบตาปริบๆ “งูนั่นต้องทะลุไปโผล่ที่ไหนสักที่ใช่มั้ย”

“เป็นเช่นนั้น” เอริแอดเน่ตอบอย่างสงบ สีหน้าซีดเผือด “ข้าเหนื่อย...ขอพักสักครู่ได้ไหม” นางสมควรเหนื่อย ทั้งต่อสู้กับสัตว์ผู้พิทักษ์ และใช้เวทอัญเชิญจ้าวอสรพิษจากป่าลึกของอิซิลดาร์ แต่แท้จริงยังมีสาเหตุมาจากจิตใจ...

ใครปฏิเสธเจ้าก็ใจร้ายเกินไปแล้ว เจย์คิด

“ขออนุญาตขอรับ” เขาช้อนร่างแบบบางของนางขึ้นในท่าอุ้มเจ้าสาวเข้าหอ และโดยไม่มีเจตนาแอบแฝง (“จริงๆ” เจย์ยืนยัน) โจรหนุ่มก็เสนอให้นางอิงศีรษะพักบนอกเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

“คิดเสียว่าเป็นหมอนที่แข็งไปหน่อยก็ได้” เจย์ระบายยิ้ม

เอริแอดเน่เก็บดาบเวท พิงตามที่อีกฝ่ายบอก นางได้กลิ่นดินและเลือดระคายจมูก ทว่ายอมหลับตา “ออกจากสุสาน เราจะลงใต้...” ตัวของนางเย็นเฉียบ อาการอ่อนล้านี้เกิดขึ้นหลังจากนางได้เห็นร่างไร้วิญญาณอันครบสมบูรณ์ของริวอร์นอร์ และนึกว่าตนจะทำอะไรต่อไป “เดินทางสามสี่วันจะมีภูเขาอีกลูก เหมาะให้หลบซ่อนตัว นอกจากนี้ข้ายังต้องการเข็มเย็บผ้าอันใหญ่หน่อย”

“เข็มเย็บผ้า” เจย์ทวน “ข้าคิดว่าข้ารู้เหตุผลนะ แต่เพื่อให้มั่นใจ ข้าขอถามว่าเจ้าต้องการเข็มเย็บผ้าไปทำอะไร...รึ”

“เย็บศีรษะให้ติดกับตัว”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะหาด้ายให้เจ้าด้วย”

เอริแอดเน่ยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเป็นการตอบรับ

--------------------------------------

หลายวันให้หลัง เวลาดึกสงัด แสงจันทร์เต็มดวงส่องผ่านเพดานถ้ำเปิดโล่งมายังลานเบื้องล่าง เอริแอดเน่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างโลงศพหินซึ่งถูกย้ายมายังลานกลางถ้ำหินปูนแห่งนี้ นางวางส่วนศีรษะของริวอร์นอร์ลงกับร่างกาย ใจเหมือนถูกบีบแน่นในทุกสัมผัสที่แตะต้องใบหน้าของศพ ทว่าท่าทางภายนอกกลับสงบ เยือกเย็น

เจย์ตัดต้นกกที่ขึ้นในลำธารอาบแสงจันทร์มาให้เอริแอดเน่ตามที่นางสั่ง จากนั้นนางก็ฉีกมันออกด้วยมือตัวเอง นิ้วขาวเรียวทั้งสิบถลอกไปทั่วขณะร่ายมนตร์ เส้นใยพืชสีขาวเหนียวนุ่มอันมีมนตร์จันทราแฝงอยู่ถูกร้อยเข้ากับเข็มซึ่งถูกตีให้โค้งและตอกอักขระเวท เอริแอดเน่บรรจงเย็บเนื้อส่วนลำคอเข้าด้วยกันทีละเข็ม ท่วงท่าของนางรัดกุมอย่างผู้บริกรรมคาถา แต่คาถาที่ใช้กับซากศพนี้ย่อมมิใช่เวทมนตร์ของเอลฟ์

“เจ้ารอบรู้จริงๆ” เจย์อยู่ไม่ไกลจากนาง เขากำลังครูพักลักจำสิ่งที่นางทำอย่างสนอกสนใจ

นางไม่ได้เอ่ยตอบเจย์ เพราะกำลังร่ายเวท อสรพิษยักษ์สีเขียวครามของนางขดตัวอย่างสงบ ทำหน้าที่พิทักษ์บริเวณถ้ำซึ่งใช้เป็นที่ซ่อนโลงศพ ดวงตาขีดเสี้ยวสีทองของมันบ่งบอกความกระหายเลือด ทว่าความโหดร้ายตามธรรมชาติถูกกดข่มไว้ด้วยกลิ่นอายเวทของสตรีสูงศักดิ์แห่งอิซิลดาร์

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เอริแอดเน่จึงเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ นางหงายฝ่ามือ มองใบหน้าศพอยู่นาน หน้าตาที่คุ้นเคยบัดนี้เปลือกตาปิดสนิท กรอบหน้าคมเข้มเปี่ยมอำนาจล้อมด้วยเรือนผมสีทอง จมูกโด่งเป็นสันไร้ลมหายใจ ริมฝีปากไร้สีเลือด หน้าผากและผิวแก้มสีเทาซีดเห็นเส้นเลือดดำแทรกเป็นริ้ว

นี่คือซากศพ...มันทำอะไรข้าไม่ได้ นางย้ำกับตนเอง ใช้ปลายเข็มกดท้องนิ้ว ให้หยดเลือดผุดขึ้นมาเป็นเม็ดกลมสีแดง ก่อนคว่ำนิ้วเหนือปากของศพแล้วบีบนิ้ว เลือดของนางหยดลงบนริมฝีปากของอดีตกษัตริย์ทีละหยด ไหลลงไปในปาก

ไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงก็บังเกิด

ไอสีดำลอดออกจากริมฝีปากซึ่งปิดสนิท มองไปก็คล้ายกลุ่มใยแมงมุมเส้นบางเหนียวที่พยายามไขว่คว้าบางสิ่งในอากาศ ขณะที่เจย์สงสัยว่ามันต้องการอะไร กลุ่มใยแมงมุมนั้นก็ยึดจับปลายนิ้วของท่านหญิงเอริแอดเน่ บางส่วนไต่จากปลายนิ้วสูงขึ้นไปกระทั่งคลุมถึงข้อมือ เส้นใยทมิฬไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันแทบคลุมแขนแบบบางของจอมเวทสตรีแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น หากเข้าไปมองใกล้ๆ จะพบว่าใยแต่ละเส้นชำแรกเข้าใต้ผิวไปตามเส้นเลือด ชั่วอึดใจ...เส้นใยทมิฬสีดำที่ยึดโยงระหว่างซากศพและท่านหญิงโฉมงามก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงช้าๆ โดยไล่จากเอริแอดเน่มายังริวอร์นอร์

เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์และน่าประหวั่นใจพร้อมกัน

เส้นใยทมิฬถ่าย ‘ชีวิต’ ของเอริแอดเน่มาให้ริวอร์นอร์ ทั้งโลหิตและพลังกาย เจย์เห็นใบหน้าของท่านหญิงซีดลงทว่านางเพียงเม้มปากเรียบตึง กำมือแน่นโดยไม่ชักแขนหนี

มารดาขอรับ ข้าทำตัวไม่ถูก นางกำลังจะปลุกศพ ข้าควรห้ามนางหรือไม่ โอ ไม่ดีกว่า...ข้าไม่พร้อมให้อสรพิษตัวฟ้าๆ เขียวๆ ของนางงาบ

เจย์รู้แน่แก่ใจแล้วว่าเขาเป็นพยานหนึ่งเดียวในหน้าแรกของประวัติศาสตร์มืดจริงๆ

“ฉิบหาย…” โจรหนุ่มอุทานแล้วรีบอุดปาก เมื่อเห็นเปลือกตาของซากศพเปิดขึ้น ดวงตาในเบ้าทั้งสองข้างเป็นฝ้า แม้จะลืมตาแต่ยังดูไร้ชีวิตเช่นเดิม เจย์นึกอยากจะลองดีดนิ้วทดสอบปฏิกิริยาตอบโต้ ทว่าความพิเรนทร์หยุดเพียงเท่านั้น ซากศพนี้เคยเป็นถึงกษัตริย์เอลฟ์ ถ้าเขาทะลึ่งใส่อาจโดนสั่งกุดนิ้ว…

ไม่สิ นางนั่นแหละที่จะกุดนิ้วข้า เจย์ลอบสังเกตท่านหญิงเอริแอดเน่มาสักพัก อดคิดไม่ได้ว่าอดีตราชาเอลฟ์ผู้นี้กับนาง ‘มีบางอย่างที่ลึกซึ้ง’ ต่อกัน ถึงสีหน้าของนางจะเย็นชา บางครั้งถึงขั้นโกรธแค้น แต่เขาคิดว่ามี...มีแน่ๆ ไอ้เจ้าบางอย่างที่ลึกซึ้งนั่นน่ะ

เอริแอดเน่จ้องตาศพ ใบหน้าของนางเป็นสิ่งแรกที่มันเห็น แต่นางทราบว่านี่มิใช่ริวอร์นอร์ เป็นเพียงแค่ซากศพไร้สามัญสำนึก โดยไม่หลบตา นางคลายนิ้ว เอ่ยสั่งเป็นภาษาคนตาย ให้มันปล่อยแขนนาง

แรกทีเดียวมันไม่ตอบรับ จนเอริแอดเน่เอ่ยภาษาเวท ฟาดสายฟ้าอย่างอ่อนช็อตร่างมัน มันจึงทำตามคำสั่งด้วยการปล่อยแขนนาง

“เจย์” เอลฟ์สาวเรียก ท่อนแขนเนียนไม่มีบาดแผลภายนอก แต่ใบหน้าไร้สีเลือดจากการเสียเลือดและพลังชีวิตไปปริมาณหนึ่ง

เจย์ผู้ไม่รู้จะแทรกบทตัวเองอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้กะพริบตาปริบๆ ใส่นาง ก่อนจะส่งเสียง “อื้อ…” อย่างกึ่งตอบรับกึ่งไร้ความหมาย

“ข้ามีเรื่องวานให้ท่านทำ แต่ท่านสามารถปฏิเสธได้”

เจย์พยักหน้าเป็นเชิงให้นางเอ่ยต่อ

“ดี” เอริแอดเน่วาดมือ โลงหินเลื่อนปิด พร้อมขังซากศพที่เพิ่งลืมตาไว้ในความมืด “สำหรับข้า ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญ ชายที่นอนอยู่ในโลงนี้มีจุดจบเช่นนี้เพราะทรยศความไว้วางใจของข้า”

ไม่ต้องย้ำก็ชัดเจนอยู่แล้วจ้า...โจรหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เขาเคยได้ยินคำกล่าว ‘ไม่มีสัจจะในหมู่โจร’ และเห็นด้วยสุดใจ (แถมยึดเป็นคติประจำใจด้วย) แต่กับท่านหญิงผู้นี้ เขาเชื่อว่าแม้กระทั่งอภิมหาโจรนางก็ยังรีดเร้นสัจจะออกมาได้

“แต่ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด ไม่ใช่ค่าตอบแทนเดียวของการทรยศ ข้าทำให้เขาตายได้ ข้าก็คืนชีวิตให้เขากลับมาทุกข์ทรมานได้เช่นกัน และจะเป็นเช่นนั้นสำหรับผู้ที่ทรยศต่อความเชื่อใจของข้าทุกคน”

นางกำลังข่มขู่เจย์ ซึ่งๆ หน้าเลยละ นั่นทำให้โจรหนุ่มยิ้มแห้งแล้งกับโลงหินที่บรรจุซากศพอยู่

“แต่ท่านเลือกปฏิเสธได้” อสรพิษชูหัวสามเหลี่ยมใหญ่โตขึ้นมองเจย์ ลำตัวยาวเลื้อยช้าๆ “ถ้าท่านปฏิเสธ ก็อยู่เงียบๆ กับบริวารของข้าจนกว่าข้าจะเสร็จธุระที่นี่ หลังจากนั้น เราแยกทางกัน”

“ข้าขอปรึกษาตัวเองสักครู่” เจย์ยกนิ้วชี้ทาบหว่างคิ้วแล้วเดินหามุมสงบ เอริแอดเน่ได้ยินเสียงพึมพำของเจ้าลูกครึ่งเอลฟ์แว่วมา

“เจ้ามาหาสมบัติไปแต่งเมียไม่ใช่เรอะ ได้เมียแล้วมีลูกสักสิบคน ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ๆ อยู่ดีกินสบาย...เอ้อ สั่งแกะสลักป้ายหินอ่อนระลึกถึงมารดาด้วย ไม่สิ สร้างวิหารเลียนแบบพวกเอลฟ์เลยดีกว่า อย่าลืมเหรียญทองจ้างดวอร์ฟทำเครื่องเคลือบใส่อัฐิมารดา เดี๋ยวๆ เลอะเทอะไปใหญ่ กลับมาคำถามแรก เจ้ามาล่าสมบัติใช่มั้ย แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่วะหืม”

เอริแอดเน่ฟังเงียบๆ นางแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่มอบความใกล้ชิดกับคนที่มีศักดิ์ฐานะต่างกันอย่างพวกลูกครึ่ง ทว่าอีกใจของนางกลับหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ตนไร้ความทรงจำและได้รับน้ำใจจากอีกฝ่าย นั่นทำให้นางมอบทางเลือกครั้งนี้แก่เขา

เสียงพึมพำเงียบไปพร้อมกับที่เจย์หันกลับมาหานาง

“ข้าว่าเจ้าคล้ายมารดาข้าหน่อยๆ” โจรหนุ่มบังอาจพูด “สวย ใจดี แต่พังทลาย” แถมยังกล้าวิจารณ์นาง

แววตาอันเจ็บปวดทว่าเก็บซ่อนไว้อย่างแนบเนียนของนางทำให้เขานึกถึงสตรีผู้หนึ่ง--มารดา

ทั้งนางและมารดารักษาระยะห่างจากทุกคน โอบกอดความเหินห่างนั้นไว้อย่างหวงแหน ทุกครั้งที่เขามองนัยน์ตาของนาง เขาเห็นภาพทับซ้อนกับนัยน์ตาของมารดา มันทำให้เขาปวดในอก

ไม่มีควรมีผู้ใดหลงอยู่ในความโดดเดี่ยว

“ท่านคิดว่าข้าเป็นมารดาท่านหรือ” นางพริ้มตา

“ไม่...ไม่ๆ” เจย์ปฏิเสธ “เจ้าสวยกว่า...โหดกว่า” ลูกครึ่งเอ่ยคำว่า ‘โหดกว่า’ เบาๆ

“ข้าอายุสองร้อยยี่สิบแปดปี น่าจะมากพอเป็นบรรพบุรุษของท่านได้” หลังได้ความทรงจำคืนมา นางมองปราดเดียวก็เดาได้ว่าลูกครึ่งมนุษย์ตรงหน้าเป็นเพียงชายหนุ่มวัยรุ่น

เจย์ระบายยิ้ม “คืออย่างนี้” เขาเดินมาหยุดตรงหน้านาง ย่อตัวลง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยประกายมองนางราวกับจะถ่ายทอดประกายนั้นให้ “ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นมารดาข้า แต่คิดว่าเจ้า ‘เหมือน’ มารดาข้า และมันทำให้ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้”

นางเงยหน้า เอามือปิดปากเจย์ “นั่นแปลว่าท่านจะติดตามข้า มอบความภักดีแก่ข้า อยู่เคียงข้าใช่หรือไม่”

“โห” เจย์กะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง “เป็นภาระที่หนักจริงๆ” เขาหัวเราะ

“ก็เป็นทางที่ท่านเลือกเองไม่ใช่หรือ ข้าไม่หวังอะไรน้อยไปกว่านั้น”

“ข้าไม่ใช่อัศวิน ไม่คิดจะเป็นด้วยถ้าให้พูดตรงๆ”

นางมองเจย์เงียบๆ เป็นความเงียบอันน่าอึดอัด เหมือนมีคำตำหนิมากมายลอยอยู่ในบรรยากาศว่ามิใช่เวลาพูดจาล้อเล่น

เจย์ทำหน้าปุเลี่ยน “แต่แหม...ข้าอยู่กับเจ้าตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้วก็จะอยู่ไปจนจบนั่นละ อย่าเค้นเอาเหตุผลมากเลย เพราะข้าทำตามสิ่งที่เรียกร้องภายในและตามสัญชาตญาณลูกผู้ชาย”

นางฟังแล้วนึกเอ็นดูชายหนุ่มผู้ไม่รู้อะไร

มีความเป็นลูกผู้ชายให้แก่สตรีที่ผู้คนสาปแช่งหรือ

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้ท่านรับงาน รับงานนี้หนึ่งครั้ง ทำให้สำเร็จ จากนั้นท่านเป็นอิสระ” นางให้โอกาสเขาแยกตัวออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอดทน

“เอาอย่างนี้ดีไหมขอรับ” เจย์กระแอม “ท่านมอบหมายงานให้ข้าชิ้นหนึ่ง พอข้าทำสำเร็จ ท่านค่อยถามข้าอีกรอบว่าอยากอยู่กับท่านต่อหรือไม่ ก่อนจ่ายงานชิ้นต่อไป...และชิ้นต่อไป”

นางดึงคางเขาเข้ามา ประทับจุมพิตบนหน้าผากกว้าง ร่ายเวทเป็นคำตอบ “ตกลง” กลางหน้าผากของเจย์ปรากฏสัญลักษณ์เวทประจำตัวนาง “ข้าจะอธิบายงานอย่างเร็ว ท่านอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะศพคืนชีพกินเลือดเนื้อเป็นอาหาร ท่านคงไม่อยากเป็นอาหารของมันใช่ไหม ฉะนั้น จงเดินทางลงใต้ไปอิซิลดาร์เพื่อส่งข้อความของข้า”

“ขอรับ” เจย์กระตือรือร้น

นางปลดสร้อยคอที่สวมอยู่วางใส่มือเจย์ “จงเข้าเขตอิซิลดาร์ทางประตูทิศเหนือ แวะไปที่หมู่บ้านกุหลาบหิน สักการะวิหารมารดานที นำสร้อยคอเส้นนี้ให้นักบวชดู บอกว่าโรสเวนส่งท่านมา จากนั้นจะมีคนมาพบท่าน ท่านจะรู้เองว่าถูกคน จงบอกนางว่าท่านเป็นคนของข้า ตราเวทที่หน้าผากจะช่วยยืนยัน บอกให้นางรอข้ากลับไป อีกไม่นาน ส่วนรางวัลของท่านคือ…”

“ขอเป็นรอยยิ้มของท่าน” เจย์แทรกขึ้นทันใด

เอริแอดเน่กำลังจะเอ่ยว่าให้เขาเลือกหยิบอะไรก็ได้ในคลังสมบัติหลวงของนาง สิ่งที่เขาต้องการทำให้นางชะงักและทิ้งหางตาลง “จะยิ้มไปทำไม ถ้าสักวันหนึ่งต้องแยกทางกัน”

“เอ้า ก็ท่านจะให้รางวัลข้า…”

“ท่านไปเถอะ อย่าลืมนามที่ข้าบอก ‘โรสเวน’ ”

เจย์ถอนใจ “โรสเวน” เขาทวนชื่อนั้นแล้วเริ่มเตรียมสัมภาระเพื่อออกเดินทาง

ก่อนที่เจย์จะจากไป เอริแอดเน่เอ่ยสำทับว่า “อ้อ ถ้าท่านทรยศข้าไปหาเอลฟ์รูเมเรียร์ ข้าจะใช้ตราเวทที่หน้าผากระเบิดศีรษะท่าน”

ไม่ทราบว่านางพูดเล่นหรือพูดจริง ทว่าทุกคนที่รู้จักเอริแอดเน่แห่งอิซิลดาร์ ย่อมเชื่อว่านางพูดจริง



—————————————————————————

A/N มีเผยปมของเรื่องมาแพลมๆ แล้วค่ะ Clue ก็คือชื่อของ 'โรสเวน'


ยังคงเป็นการอัพเดทวันเว้นวัน พบกันครั้งต่อไปวันที่ 3 มิ.ย. 60 นะคะ ;)


ป.ล. เราชอบเจย์ (ตัวละครของคุณ FOULSOUL) ค่ะ อ่านทีไรนึกถึงพระเอกติดดิน เป็นคนธรรมดาหน่อย บางทีดูไม่เอาไหน แบบจะไหวไหม แต่เอาจริงๆ ก็พึ่งพาได้ เคมีเข้ากับเอริแอดเน่ดีจริงๆ ค่ะ



ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy

♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/

♰ Twitter : @VinzeSchwarz

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แล้วเอรีแอดเน่ ก็ปลุกซากศพคืนชีพ เป็นผีดิบสินะ
โรสเวน  รหัสติดต่อกับกลุ่มคนที่จงรักภักดีกับเอรีแอดเน่

น่าสะพรึง แต่ก็น่าติดตามจริงๆสำหรับคนอ่าน
แต่ถ้าเป็นเจย์ เฮ้ย.....ทั้งอสรพิษตัวบะเริ่มเทิ่ม  :katai1:
อ้าปากทีกลืนโลงศพได้ หวาดโคตรเลย
ไหนจะซากริวอร์นอร์ กินเลือดเนื้ออีก น่ากลัวสุดๆ :katai1: :katai1:

เจย์ เป็นลูกผู้ชายตัวจริงงงงง
ยอมทำงานให้เอริแอดเน่
แถมรางวัล มักน้อยหรือมักมากเนี่ย
ขอแค่รอยยิ้ม  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ILLREI

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-0
    • ILLREI
แล้วเอรีแอดเน่ ก็ปลุกซากศพคืนชีพ เป็นผีดิบสินะ
โรสเวน  รหัสติดต่อกับกลุ่มคนที่จงรักภักดีกับเอรีแอดเน่

น่าสะพรึง แต่ก็น่าติดตามจริงๆสำหรับคนอ่าน
แต่ถ้าเป็นเจย์ เฮ้ย.....ทั้งอสรพิษตัวบะเริ่มเทิ่ม  :katai1:
อ้าปากทีกลืนโลงศพได้ หวาดโคตรเลย
ไหนจะซากริวอร์นอร์ กินเลือดเนื้ออีก น่ากลัวสุดๆ :katai1: :katai1:

เจย์ เป็นลูกผู้ชายตัวจริงงงงง
ยอมทำงานให้เอริแอดเน่
แถมรางวัล มักน้อยหรือมักมากเนี่ย
ขอแค่รอยยิ้ม  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
นะ นะ นี่ก็ยั้งๆ มือไว้ไมตรีบ้างแล้วนะคะ แง
แบบว่าไม่เขียนโหดมาก... (เหรอ)
แงๆ จริงๆ ค่ะ พวกนิยายฆาตกรรมเขียนโหดกว่านี้ยยยยยย
ป.ล. เจย์พระเอกไปเนอะคะ โห มาขอรอยยิ้ม สาวที่ไหนไม่ใจอ่อนบ้าง เป็นคนละไทป์กับซิกฟรีดเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด