บทที่ 24 : โลหิตนภา (5)
‘มนตร์ทมิฬ’ คือสิ่งที่เอริแอดเน่เรียนรู้มาระหว่างทำสงครามกับเผ่าทมิฬ ในครั้งนั้นนางบุกตีเมืองดาร์กเอลฟ์แห่งหนึ่งพร้อมกับริวอร์นอร์ และยึดหอสมุดใต้ดินไว้ได้ทันก่อนที่ดาร์กเอลฟ์จะทำลายมันเพื่อป้องกันชาวเอลฟ์ศึกษาวิชาทมิฬ
ทว่าสิ่งที่ดาร์กเอลฟ์มีมิใช่วิชาปลุกชีพคนตายโดยสมบูรณ์ เป็นแค่วิชาสร้างอันเดดหรือสิ่งซึ่งฟื้นชีวิตขึ้นมาในร่างกายเน่าเฟะ ทว่าในส่วนลึกของหอสมุดหลวงแห่งอิซิลดาร์ ก็มีวิชาคืนชีวิตให้แก่คนตายเฉกกัน เอริแอดเน่ผสานภูมิความรู้ของทั้งสองฝั่ง--เอลฟ์และดาร์กเอลฟ์--อย่างหมกมุ่นเพื่อหวังคืนชีพให้เฟรธูริน
แน่นอนว่านางทำไม่สำเร็จ จึงมาอยู่ ณ จุดนี้กับซากศพมีชีวิตของริวอร์นอร์
เจย์จากไปแล้ว เมื่ออสรพิษของนางนำอาหารมา นางก็ปล่อยศพมีชีวิตจากโลงหินไปไล่ล่าอาหารภายในถ้ำ
ซากศพอดีตราชาเอลฟ์ไร้ความสง่างามโดยสิ้นเชิง มันเคลื่อนไหวเชื่องช้า ทั้งติดขัดเหมือนหุ่นที่ถูกชักโดยนักเชิดอ่อนประสบการณ์ ทว่าเมื่อจมูกกึ่งเป็นกึ่งตายได้กลิ่นเนื้อสดจากเหยื่อที่ยังมีชีวิต ความหิวโหยอันไร้ก้นบึ้งก็กระตุ้นสัญชาตญาณดิบให้มันออกล่า ซากศพพุ่งเข้าหาเหยื่อซึ่งจนทางหนี มันใช้แขนรัดเหยื่อไว้ทั้งตัว แล้วใช้ฟันกัดกระชากเนื้อมากิน
“น่าสมเพช” เอริแอดเน่กอดแขนตัวเอง มนตร์นอกรีตก็คือมนตร์นอกรีต อันเดดที่ถูกปลุกชีพจำต้องกินเลือดและเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกับตน หากปลุกชีพกวาง กวางอันเดดก็จะกินเนื้อกวางด้วยกัน หรือ เนื้อแพะ เนื้อละองละมั่ง ในที่นี้ริวอร์นอร์เป็นเอลฟ์...จึงต้องกินเนื้อคน ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์ มนุษย์ หรือดาร์กเอลฟ์
เหยื่อที่อสรพิษจับมาเป็นมนุษย์เพศชาย หน้าตาท่าทางอย่างโจรร้ายและพกอาวุธ ในตอนที่ท้องของมันถูกแหวกและริวอร์นอร์กัดกินเนื้อสดๆ ในหูของเอริแอดเน่อื้ออึง นางจิกเล็บกับต้นแขนจนเลือดซิบ
“นรก” นางหลุดขำออกมา ขณะน้ำตาไหลในอก “นี่หรือคือจุดจบของเจ้าและข้า นางแม่มดนอกรีตกับซากศพกินคน” จากนั้นนางก็หัวเราะเสียงดัง เหมือนจะส่งเสียงเยาะเย้ยให้ดังไปถึงวิญญาณของริวอร์นอร์ซึ่งถูกผนึกอยู่ในร่างนั้น
เพื่อการฟื้นคืนชีวิต มนตร์ทมิฬเชิดซากศพให้กินเนื้อและดื่มเลือดเหยื่อ ยึดเอาพลังและเลือดจากเหยื่อมาเป็นของตน ถึงกระบวนการนี้จะน่าสยดสยอง แต่ขณะเดียวกันก็น่าอัศจรรย์ใจ เริ่มจากเส้นเลือดที่เคยเป็นสีดำอย่างคนตายค่อยๆ เรื่อสีแดงเฉกคนเป็น หัวใจเริ่มเต้นแผ่วเบา เส้นผมแข็งกระด้างก็เหมือนจะอ่อนนุ่มและเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
มันเริ่มหายใจและเริ่มเห็นสีสันของสิ่งต่างๆ ดวงตาเป็นฝ้าจางมองไปรอบตัวก่อนจะหยุดที่เอริแอดเน่ มันจ้องนางชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเปิดปากที่ชุ่มไปด้วยเลือด
“อา…”
มันส่งเสียงไร้ความหมายโดยไม่ละสายตาจากท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์เลย
“อา…”
มันส่งเสียงอีกครั้ง ดวงตาคนตายจับที่นางเช่นเดิม หากมันทำเพียงครั้งเดียวคงปล่อยผ่านไปได้ แต่มันทำแบบเดิมติดกันถึงสองครั้ง ทำให้น่าคิดว่ามันกำลังสื่อสารอะไรกับนางหรือไม่
เรียกนางหรือ...มันกำลังส่งเสียงเรียกนางหรือ
เอริแอดเน่ชี้ดาบเวทเพื่อออกคำสั่ง “พอแค่นี้ กลับมาที่โลงของเจ้า”
ซากศพเพียงมองนางแต่ไม่ขยับเคลื่อนไหว มันส่งเสียง “อา…” เป็นครั้งที่สาม ราวกับพยายามเรียกนางจริงๆ
หรืออาจเป็นอย่างอื่น มันอาจสาปส่งนาง ก่นด่านาง หรือมันอาจส่งเสียงไปอย่างนั้นเองก็เป็นได้
ผู้ที่ยืนอยู่ตำแหน่งสูงกว่าหรี่ตา สายฟ้าจากปลายดาบฟาดใส่อมนุษย์ด้านล่างเหมือนผู้ฝึกสัตว์ลงแส้เฆี่ยนสุนัข ทั้งรุนแรงและไร้เมตตา “กลับมา ข้าสั่ง”
สายฟ้าทำให้มันกระตุกรุนแรง ไม่ มันไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือตกใจ เป็นแค่ปฏิกิริยาตอบสนองเฉียบพลันของร่างกายเท่านั้น
แต่สายฟ้าไม่ได้ไร้ประโยชน์ กลับกัน ฤทธิ์ของมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างแก่ซากศพอีกครั้งหนึ่ง
อดีตราชาเอลฟ์ผู้เกรียงไกรยกมือตัวเองขึ้นดู ท่าทางคล้ายเด็กที่ประหลาดใจและสนอกสนใจอะไรบางอย่าง
ซึ่งสิ่งที่มันประหลาดใจและสนอกสนใจนั้นก็คือ ‘ความรู้สึก’
สายฟ้าของเอริแอดเน่กระตุ้นให้ร่างกายที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาสัมผัสความรู้สึกต่างๆ เวลานี้มันรู้สึกเจ็บและชาแปลกๆ ทั่วร่างกายโดยเฉพาะบริเวณปลายนิ้ว มันจ้องเอา...จ้องเอา สักพักก็เงยหน้ามาหาเอริแอดเน่และร้อง “อา…”
สายฟ้าที่แรงกว่าเดิมช็อตร่างมันอีกครั้งโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า คราวนี้แรงจนทำให้มันดิ้นทุรนทุรายกับพื้น สีหน้าของผู้ลงทัณฑ์ไร้อารมณ์เหมือนรูปสลักน้ำแข็ง นางรอด้วยความอดทน อมนุษย์ตนนี้ต้องทำตามคำสั่งของนาง ในฐานะที่นางเป็นจอมเวทผู้ปลุกชีพมัน
ใช่ มันเป็นแค่อมนุษย์ เอริแอดเน่ย้ำกับตัวเอง
ซากศพเรียนรู้ มันเดินมาหาเอริแอดเน่อย่างเชื่องช้า และหยุดยืนตรงหน้านาง จมูกของมันได้กลิ่นหอมจากนาง มันโน้มศีรษะลงมาคล้ายจะดม
ท่านหญิงเอลฟ์ไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ แม้ต้องอยู่ใกล้อมนุษย์ที่พร้อมกินเลือดและเนื้อของนางได้ง่ายๆ นางชี้ดาบเวทไปที่โลงหิน “กลับเข้าไป เจ้าจะออกมาและได้กินเมื่อข้าอนุญาต”
น่าแปลก มันไม่นึกอยากกินนาง แต่เช่นเคย...มันไม่ทำตามคำสั่งจนโดนสายฟ้าฟาดอีกครั้ง
เมื่อเสร็จสิ้นการลงโทษ อสรพิษยักษ์ม้วนร่างของอดีตกษัตริย์และพากลับเข้าโลงหิน
เอริแอดเน่ไม่คิดแตะต้องซากศพนี้เกินความจำเป็น
---------------------------
อยู่ในราชวังแห่งรูเมเรียร์มาหลายวัน ถ้าโคลด์ไม่ได้คิดไปเอง ดูเหมือนซิกฟรีดหลบหน้าเขา ในที่สุดวันนี้โคลด์จึงเป็นฝ่ายบุกมาหา
เขาเดินสวนกับอิลราลาน ซึ่งเพิ่งออกมาจากหอสมุดหลวงหรือห้องทรงงานแห่งที่สองของซิกฟรีด ใบหน้าองครักษ์มือซ้ายที่ดูเคร่งเครียดอยู่แล้ว ขณะนี้ดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
อิลราลานพยักหน้าให้โคลด์เล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนสาวเท้าจากไปอย่างเร่งรีบ แต่แล้วก็ชะงัก หันมาหาโคลด์อีกครั้ง “เจ้า…” องครักษ์มือซ้ายลังเล “เจ้ามีความรู้ทางเวทของแดนทมิฬใช่หรือไม่”
“ก็มี” โคลด์ตอบง่ายๆ “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าอยากให้ข้าทำอะไร” เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีเรื่องให้ทำนั่นแหละ ถึงทักขึ้นมา อิลราลานเป็นคนที่ดูออกง่ายว่าไม่ใช่พวกคุยเรื่อยเปื่อยเหมือนมาลแกธ
อิลราลานพยักหน้า “โปรดเป็นที่ปรึกษาให้ราชาซิกฟรีด พระองค์ต้องการเจ้า” เขามองตาโคลด์ตรงๆ ช่างเป็นการขอร้องที่แข็งกร้าวเช่นทหาร
“ถ้าเขาเลิกหลบหน้าข้านะ” โคลด์ถอนใจแล้วเคาะประตูห้อง
“เข้ามา” เสียงทุ้มเข้มดังจากด้านใน พอโคลด์เปิดประตูเข้าไปก็พบสิ่งที่สมควรเรียกว่า ‘ภูเขาเอกสาร’ ซิกฟรีดนั่งบนโซฟากำมะหยี่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงาน กำลังสูบไปป์พลางอ่านหนังสือปกดำเล่มหนึ่ง
โคลด์เลือกยืนพิงผนังข้างประตูที่รกน้อยหน่อย กอดอก ไขว้ขา “ไง” เขาเอียงคอทักทาย
“ไง” ซิกฟรีดเหลือบสายตามองโคลด์แล้วสนใจหนังสือต่อ “มานั่งสิ” เขาผายมือให้อีกฝ่ายมานั่งข้างกัน
วันนี้โคลด์ว่าง่าย เดินมานั่งตรงโซฟาทันที...ก็ถือว่าว่าง่ายกระมัง...ถึงเขาจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่จุดที่มือของซิกฟรีดผายอยู่ “ทำอะไรอยู่”
“อยากรู้ก็มานั่งข้างๆ” ซิกฟรีดตบเบาะโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ
สีหน้าของโคลด์บอกชัดเลยว่า ‘ได้คืบจะเอาศอก’ ดวงตาจ้องเขม็ง ใบหูสีเข้มตั้งตรง ดาร์กเอลฟ์คิดสักครู่แล้วย้ายไปนั่งด้านข้าง ทิ้งตัวลงอย่างจงใจให้โซฟายวบ “ว่ามา”
“ไปเดินเล่นกับมาลแกธเป็นอย่างไรบ้าง” ซิกฟรีดพลิกหน้ากระดาษ โคลด์จับได้ว่าราชาหนุ่มไม่ได้สนใจเนื้อหาสักเท่าไหร่ สายตาเลื่อนสะเปะสะปะไปทั่ว จะว่ากวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วก็ไม่ใช่
โคลด์นึกอยู่สักครู่ว่าเขาไปเดินเล่นกับมาลแกธตอนไหน เพราะหลายวันมานี้เขาก็ไม่ค่อยได้เจอมาลแกธ จากนั้นก็นึกออกว่าน่าจะเป็นตอนที่เขากลับมาเอวา เธมาร์ “นั่นหลายวันแล้ว…” ไม่ใช่สิคำถามควรเป็น “เจ้ารู้ได้ยังไง” จากนั้นก็ตามด้วย “เจ้าจับตาดูข้าหรือ!”
โคลด์ถามอย่างทึ่งๆ
“ข้าเป็นราชาก็ควรทราบความเป็นไปของประชาชน” ซิกฟรีดปิดหนังสือฉับ! ก่อนหันมาจ้องโคลด์ ราชาหนุ่มยังใช้เวททมิฬปกปิดรูปโฉมของตนไว้
แบบนี้ยิ่งเหมือนซิกฟรีดในอาศรมที่โตขึ้นจริงๆ โคลด์ยกมือสองข้าง “ข้าไม่ใช่ประชาชนของเจ้า ตกลงไหม”
แปลว่าเลิกจับตาดูเขาได้แล้ว
“อย่างไรข้าก็ปล่อยเจ้าไปไม่ได้” ซิกฟรีดยกนิ้วขึ้น ยังไม่ให้โคลด์เอ่ยขัด “ข้าพูดในฐานะราชาของรูเมเรียร์ ไม่ใช่ฐานะของชายที่ไม่พอใจเวลาเห็นคนที่ตนรักอยู่กับชายอื่น”
โคลด์หน้าบูด แน่นอนว่าใบหูก็บึ้งตามหน้า “แล้วราชาของรูเมเรียร์จับตาดูดาร์กเอลฟ์ทุกคนหรือไง” เขาเถียง “อย่าบอกนะว่าเจ้าหลบหน้าข้าเพราะเหตุนี้”
“ราชาของรูเมเรียร์จับตาดูดาร์กเอลฟ์ที่จอมทัพทมิฬตามหา” ซิกฟรีดเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “และเปล่า ข้าไม่ได้หลบหน้าเจ้า ข้ายุ่งกับเอกสารพวกนี้” โคลด์เห็นเถ้ายาสูบบนเอกสารบางชิ้น ถ้าขุนนางมาเห็นภาพนี้คงเหนื่อยใจ
“เจ้าหัดสูบตั้งแต่เมื่อไหร่” โคลด์คร้านจะเถียงอีก เขายื่นหน้าไปดูเอกสาร โดยมากเป็นคำร้องเกี่ยวกับอากาศวิปริต ฝนตกมากเกินไปและไม่ตรงฤดู “เจ้าดูสนใจสภาพอากาศมากเลยนะ”
“ข้าสูบมานานแล้ว” ซิกฟรีดตอบง่ายๆ ก่อนเหลือบมองเอกสารที่โคลด์พิจารณาอยู่ “สภาพอากาศคือสารจากบิดามารดา”
“อ้อ” โคลด์ทำหน้าเหยียด บิดานภาที่ทอดทิ้ง มารดานภาที่ขับไล่และสาปส่งดาร์กเอลฟ์ “ตกลงสิ่งที่เจ้าทำคือตรวจเช็กสภาพอากาศ แล้วทำไมอิลราลานถึงถามข้าเรื่องเวทของแดนทมิฬ หืม?”
โคลด์ได้ยินเสียงซิกฟรีดสบถเบาๆ คล้ายกับว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’
“มันว่าอะไรอีก”
“ให้ข้าช่วยเจ้า ข้าเลยตอบว่าถ้าเจ้าเลิกหลบหน้าข้านะ” โคลด์ถูมือ “เอาล่ะ ชาแมนอยู่ที่นี่แล้ว ถามมา” เขาดูกระตือรือร้นที่จะช่วยซิกฟรีดในสิ่งที่ตนภูมิใจ
“ข้าควรตัดลิ้นมันหรือไม่” ซิกฟรีดถอนใจ ก่อนยกแขนพาดพนักโซฟาไปทางโคลด์ ดูคล้ายกำลังโอบดาร์กเอลฟ์จากด้านหลัง
“เจ้าล้อเล่นใช่ไหม ข้าชอบลิ้นของเขาออก” โคลด์อุทานอย่างจงใจกวน
“เรื่องที่ข้ากังวลคือ…” ซิกฟรีดชะงักคล้ายอิลราลาน คล้ายสิ่งที่จะเอ่ยต่อไปนี้เป็นเรื่องยากยิ่ง “หากเจ้าอยากช่วยข้าจริงๆ หรือแค่อยากทราบก็ตาม…”
“ข้าอยากช่วย” โคลด์ยืนยัน “ข้าอยากช่วยเจ้าหลายเรื่อง ซิกฟรีด”
ราชาหนุ่มยิ้ม “ก่อนอื่นเจ้าต้องให้คำสัตย์ว่าเรื่องนี้จะไม่ไปถึงหูมาลแกธ ล็องธู”
โคลด์เลิกคิ้ว “เจ้าให้ข้ามีความลับกับมาลแกธ เพราะเจ้าต้องการปิดเรื่องนี้จากเขา?”
“มันสำคัญยิ่งกว่าความหึงหวงไร้สาระ โคลด์ สตาร์...หากเจ้าสงสัยในตัวข้า”
“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าหึงเลย ข้าคิดว่าข้าผ่ามายุ่งเรื่องการเมือง” โคลด์เหยียดสายตา
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด…”
“ก็ได้ จะยากอะไร ข้าไม่ได้เพิ่งมีความลับกับคนอื่นๆ เสียหน่อย” โคลด์ทำเสียงขึ้นจมูก “อ้อ ที่ข้าสัญญาไม่ใช่เพราะข้าอยากประจบเอาใจเจ้า ข้าแค่อยากช่วย ถ้าช่วยได้”
“ริวอร์นอร์” ซิกฟรีดพูดเพียงคำเดียวแล้วรอปฏิกิริยาของโคลด์
โคลด์ขนลุกซู่ เขาไม่ถูกกับราชาริวอร์นอร์ตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเจ้าชายที่สอง ก็ใช่ว่าจะเคยพบหน้าหรือพูดคุยกัน แต่สมัยติดตามซิกฟรีดจิ๋วอยู่ในราชวัง ชีวิตเขาลำบากเพราะเจ้าชายที่สองเกลียดดาร์กเอลฟ์นี่แหละ
“เขาทำไม ทิ้งอะไรไว้ให้หนักใจและกระทบกับแดนตะวันออกหรือ” ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา “หรือจะเกี่ยวกับเอริแอดเน่ที่อิซิลดาร์” โคลด์สันนิษฐาน เพราะมาลแกธก็ดูตึงๆ เรื่องอิซิลดาร์
“ประชาชนเข้าใจว่าราชาริวอร์นอร์สิ้นพระชนม์ด้วยการลอบสังหารของกบฏดาร์กเอลฟ์ แต่เจ้ารู้ดีว่าทำไม”
“ใช่ มาลแกธก็รู้นี่”
ซิกฟรีดส่ายหน้า “มีบางเรื่องที่พวกเจ้าไม่รู้” สีหน้าของราชาหนุ่มเครียดเคร่ง “เช่น...ศพของพี่ชายข้าอยู่ที่ไหน”
คราแรก ฝั่งรูเมเรียร์มีเพียงเขาคนเดียวที่ทราบ ไม่นานหลังจากนั้น...ซิกฟรีดก็ไว้ใจบอกเรื่องสำคัญนี้แก่เงาสังหาร--กอห์นดีเอน รวมไปถึงองครักษ์มือซ้ายอย่างอิลราลาน พวกมันจำต้องทราบด้วยสาเหตุเดียวกับโคลด์
นั่นคือซิกฟรีดรู้ดีว่าไม่อาจรับมือกับ ‘เหตุวิปริต’ โดยลำพัง
เหตุที่อาจเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศอันวิปริตไม่แพ้กัน
“แล้วศพพี่ชายเจ้าเกี่ยวอะไรกับสภาพอากาศหรือเปล่า” โคลด์ปะติดปะต่อ เขาเริ่มเห็นความเคร่งเครียดของเรื่องนี้
“อาจเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว ข้าสูญเสียความสามารถของควาร์ไปแล้ว เวลานี้ข้าพึ่งขุนนางควาร์ อ่านรายงานด้านสภาพอากาศและอื่นๆ ซึ่งบ่งถึงเหตุร้ายแรงในอนาคต” ซิกฟรีดระบายลมหายใจยาวและหนัก คิ้วเข้มสีทองขมวดแน่น “ข้า...เหมือนได้ยินเสียงมารดานทีในฝัน พระนางพาข้าไปยังเกาะร้างแห่งหนึ่ง...” ราชาหนุ่มหยุดพูดชั่วขณะ กรามขบหากันด้วยความเครียดจนเส้นเลือดบริเวณขมับเกร็งเขม็ง
“พูดให้ชัดเจนอีกนิด” โคลด์แตะบ่าซิกฟรีดให้คลายอาการเกร็ง เขาลูบปลอบกล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือที่แข็งเป็นมัดๆ “ข้ารับรองว่าเจ้าไว้ใจข้าได้ บอกข้ามาตรงๆ อะไรที่เชื่อมโยงสภาพอากาศกับศพพี่ชายเจ้าและเกาะในฝัน”
ที่จริงโคลด์ก็เดาได้รางๆ แต่เขาอยากให้ซิกฟรีดเป็นฝ่ายบอกเอง
สักพักซิกฟรีดก็เรียบเรียงเรื่องราวให้โคลด์ฟัง “ข้าและพี่หญิงเอริแอดเน่แยกศีรษะกับร่างของริวอร์นอร์คนละที่ ส่วนหนึ่งผนึกไว้ที่เกาะร้าง...เกาะที่ข้าฝันถึง” เขาสูดลมหายใจ “ข้าไม่ใช่ผู้เดียวที่มารดานทีให้ความรักใคร่เอ็นดู พระนางรักข้า รักพี่หญิง ข้าได้ยินเสียงกระซิบของพระนางบ่อยครั้งในสมัยเด็ก หรือช่วงที่อยู่ในอาศรมก็ยังได้ยินชัดเจน กระทั่งข้าเล่นเวททมิฬ เสียงของพระนางเงียบไปราวทอดทิ้ง แต่ไม่นานมานี้...พระนางมาหาข้า พาข้าไปที่นั่น เกาะร้างฝนตกหนักเข้าขั้นวิปริต คลื่นสูงแทบกลืนยอดหอคอย สัตว์พิทักษ์พระศพถูกฟันทิ้งเป็นเสี่ยงๆ”
ราชาหนุ่มกำมือ
“ข้าเห็นมารดาแห่งนทีประทับเคียงข้างพี่หญิง ข้าไม่แน่ใจเลยว่าเป็นนิมิตที่ดีหรือร้าย”
“อืม” โคลด์ทำท่าคิด “เอริแอดเน่ไม่ได้อยู่ที่อิซิลดาร์หรือ แล้วเจ้าไม่มีวิธีทราบหรือว่าผนึกที่สุสานตอนนี้เป็นอย่างไร”
“พี่หญิงเป็นผู้ร่ายเวทผนึกสุสานเชื่อมกับศิลาเวท หากผนึกคลายหรือถูกทำลาย ศิลาเวทก็จะร้าว ที่รูเมเรียร์มีศิลาเวทอยู่ก้อนหนึ่ง หลังฝันถึงมารดานทีข้ารีบไปดูศิลาเวทเป็นอย่างแรก แต่ไม่มีรอยใดๆ ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่วางใจ โคลด์ สตาร์ ข้ารู้จักพี่หญิงดี”
“เงาทมิฬของเจ้าเดินทางได้ไกลเท่าไร” โคลด์ถาม
“ยังไม่ไกลขนาดที่นี่ไปถึงเกาะนั้น อีกอย่าง…” ซิกฟรีดยิ้มสมเพชตัวเอง “มันรักที่จะพยศข้า ที่เกาะนั่นไอทมิฬค่อนข้างมาก เป็นขนมหวานเพิ่มอาการพยศให้มันทีเดียว”
“งั้นเจ้าก็ส่งเงาทมิฬไปดูผนึกเองไม่ได้” โคลด์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “เอาอย่างนี้ สมมติว่าภาพที่มารดานทีแสดงให้เจ้าดูเป็นเรื่องจริง เอริแอดแอดเน่อยู่ที่นั่นพร้อมศพของสัตว์พิทักษ์ ถ้านางบังเอิญไม่ได้อยู่อิซิลดาร์อย่างที่เราเข้าใจ และได้ศพของริวอร์นอร์ไป เจ้าคิดว่านางจะทำอะไร”
ซิกฟรีดนิ่งไป
“ปลุกมันขึ้นมากระมัง”
“จะปลุกอย่างไร มนตร์ทมิฬ?” โคลด์ไม่แน่ใจความสัมพันธ์ของเอริแอดเน่กับริวอร์นอร์นัก แต่เท่าที่ทราบ นางให้ซิกฟรีดล้มบังลังก์และสังหารเขา “มันก็พอมีมนตร์ทมิฬที่ปลุกชีพศพได้ แต่นั่นไม่ใช่การคืนชีวิต มันจะฟื้นเป็นซากศพกินคน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ข้าไม่รู้เวททมิฬมากนักเลยมาอยู่ที่นี่” ซิกฟรีดมองไปรอบๆ หอสมุดหลวง “แต่ที่นี่ก็ไม่รู้อะไรมากนักเหมือนข้า”
“อืม” โคลด์นิ่วหน้า “ข้าบอกได้เลยว่า ศพคืนชีพที่ต้องกินเนื้อพวกเดียวกันก็ไม่ได้รับความนิยมนักในแดนทมิฬ ยกเว้นช่วงสงครามน่ะนะ มันเป็นเวทนอกรีตในเวทนอกรีต และนางเกลียดริวอร์นอร์แค่ไหนหรือ ถึงจะปลุกเขาเป็นศพคืนชีพไร้ความคิดที่เอาแต่จะกินเนื้อคน นางจะได้ประโยชน์อะไรจากการลบหลู่ศพอดีตกษัตริย์”
โคลด์ไม่ต้องการคำตอบเท่าไรนัก เขาเชื่อว่าต้องใช้เวลาขบคิด
ซิกฟรีดลูบหน้าตัวเองหนักๆ เขาหมกมุ่นกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว
“นี่ซิก...พักเรื่องนั้นไว้ก่อน เจ้าส่งอิลราลานไปสืบแล้วใช่ไหมล่ะ มาคุยเรื่องของเรา”
“เรื่องอะไร” ซิกฟรีดยังฝังใบหน้ากับมือทั้งสองข้าง ราชาหนุ่มอยากหลับเต็มที่สักตื่น
“รักษาเจ้า เอริแอดเน่ไม่อยู่ปรุงยาให้เจ้าแล้ว ข้าอยากรู้ว่าเรื่องหัวใจมังกรจะเอาอย่างไร” โคลด์มองไปรอบๆ ห้องสมุด ผมสีเงินที่เริ่มยาวแล้วพลิ้วข้างแก้มตามแรงหัน “หรือในห้องสมุดนี้มีวิธีไหนจะช่วย…”
“อยากให้ข้าล่ามโซ่เจ้าแล้วเฆี่ยนให้ไปฆ่ามังกรอีกหรือ” ซิกฟรีดหยอกหน้าตาย
“...เจ้า” โคลด์ต่อประโยคจนจบ เขาทำหน้างงๆ “เจ้าไม่เคยล่ามโซ่ข้าแล้วเฆี่ยนเสียหน่อย จำผิดคนแล้วล่ะ” เงียบไปครู่ จากนั้นก็จุปาก “อ้อ เจ้าเปรียบเทียบ”
“หัวช้าเหลือเกิน ข้าเชื่อว่าที่นี่ต้องมีสูตรปรุงยาบำรุงสติปัญญา...อืม น่าจะชั้นนั้น” ราชาเอลฟ์ชี้ไปทางชั้นที่มีบันไดพาดอยู่ และมีกองหนังสือสุมตรงตีนบันได คงเป็นฝีมือซิกฟรีดนั่นละ
“ว่าอะไรนะ!” โคลด์แยกเขี้ยวใส่
“เปล่า” ราชาหนุ่มตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะหัวเราะแล้วขยี้ผมสีเงินนุ่มมือ
“เฮ้ๆ ผมข้า” โคลด์ทุบไหล่แข็งๆ ของเจ้าเด็กเอลฟ์ “หัวใจมังกรเป็นยาชั้นเลิศจริง เราไม่ควรตัดทิ้ง เกวนอาจพอรู้วิธีใช้งานมันเพื่อล้างคำสาปทมิฬ แต่ควรรวมโลหิตมังกรชั้นสูงเข้าไปด้วย อ้อ ริวอร์นอร์สาปเจ้าใช่ไหม เขาคงไม่ได้คิดมนตร์ทมิฬขึ้นมาในวันสองวัน เราตรวจสอบบันทึกของเขาได้หรือไม่”
“ข้าก็คิดอย่างเจ้า แต่บันทึกของมันมีน้อยมาก ข้าคิดว่าถ้ามีจริง มันคงไม่เก็บบันทึกสำคัญไว้ที่นี่ ยิ่งเป็นบันทึกการค้นคว้าเวททมิฬยิ่งสำคัญ”
ริวอร์นอร์ไม่ทิ้งร่องรอยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเอาไว้เลย ที่เหลืออยู่มีเพียงภาพจำในฐานะกษัตริย์นักรบ และในฐานะพี่ชายผู้โหดเหี้ยมอำมหิตสำหรับซิกฟรีด อาเลธ รูเมเรียร์
“งั้นก็ขุดหาที่เล่นเวททมิฬของเขา มันต้องมีสิ ตอนนี้แผ่นดินเป็นของเจ้า ขุดให้สนุก” โคลด์ยกมุมปาก “เลือกที่ที่เอริแอดเน่ไม่เคยแนะนำด้วย ในเมื่อนางก็รู้มนตร์ทมิฬ นางอาจต้องปกปิดร่องรอยของตัวเองเช่นกัน”
“เจ้าช่วยข้าเรื่องนี้ได้ไหมเล่า” ซิกฟรีดถือวิสาสะม้วนผมโคลด์เล่น
“ค่าตอบแทนล่ะ” โคลด์เรียกร้องทันที พร้อมเอียงศีรษะหนีแบบแมวหวงขน
“เจ้าต้องการอะไร” ซิกฟรีดหยั่งเชิง เขาจับอีกปอยม้วนเล่น ยิ้มร้ายเมื่อโคลด์ทำหน้ายู่
“อา…” จริงๆ โคลด์ก็พูดเอาคืนไปอย่างนั้น ใช่ว่าเขามีสิ่งที่อยากได้จริงๆ จึงต้องใช้เวลาคิด “เอาเป็น...เจ้าตั้งใจรักษาตัวเองหน่อยก็แล้วกัน...ตกลงไหม” ดวงตาสีม่วงสบกับดวงตาสีส้มเงิน
ซิกฟรีดถึงกับขมวดคิ้ว “เจ้าปกติดีใช่หรือไม่”
ราชาผู้หล่อเหลาถูกบีบจมูกเป็นคำตอบ “ข้าปกติ!”
“หรือ” ซิกฟรีดหนีพลางหัวเราะหึๆ ก่อนจะบีบแก้มโคลด์
“แอ้ออนอี้อุด” (แน่นอนที่สุด) โคลด์ดัน
“ข้าตกลงรับข้อเสนอ โคลด์ สตาร์” ซิกฟรีดเปลี่ยนจากบีบเป็นลูบแก้มโคลด์เบาๆ
เห็นซิกฟรีดไม่ดื้อด้าน โคลด์ก็เบาใจลง แม้จะเหล่มือที่ลูบแก้มตน “ตกลง เจ้าไปพัก ข้าขอยืมห้องสมุดของเจ้าหน่อย มีหลายเรื่องต้องหา ทั้งวิธีรักษาคำสาปของเจ้า และแผนที่เมืองเพื่อหาสถานที่ลับของริวอร์นอร์”
“ข้าสดชื่นขึ้นแล้ว ช่วยกันหาน่าจะเร็วกว่า” ซิกฟรีดหยัดกายขึ้น หงายมือให้โคลด์จับ
ดาร์กเอลฟ์จับฝ่ามือสีขาวน้ำนม มือนั้นใหญ่พอกุมมือเขาไว้มั่น “สั่งห้องเครื่องให้ยกอะไรมาให้กินด้วยแล้วกัน เยอะๆ หน่อย ข้าหิว”
“ขอกอดเล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าตอบแทน” ซิกฟรีดเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อครู่หยอกโคลด์หน้าตาย เวลานี้ยังเจ้าชู้หน้าตายอีก
เสียงบ่นของดาร์กเอลฟ์ดังจากห้องทรงงานอีกครั้ง...ทว่าเป็นเสียงที่ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
—————————————————————————
A/N ซิกฟรีดมีความหึง มีความงอนค่ะ จากนี้คงได้เห็นราชาหึงเงียบอีกแน่เลย คนอ่านจะสังเกตไหมนะว่าฮีหึง แงๆๆ หึงเงียบมากๆ
พบกันครั้งต่อไปวันที่ 5 มิ.ย. 60 ค่ะ!!!ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy
♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/
♰ Twitter : @VinzeSchwarz