บทที่ 24 : โลหิตนภา (3)
เจย์มองสตรีนามเอริแอดเน่ นางยืนหลังตรงสง่าอยู่หน้าเรือ มองตรงไปข้างหน้า--ไปยังทางซึ่งเรือมุ่งไป ดุจแม่ย่านางเรือผู้ปกปักษ์เรือให้เดินทางอย่างราบรื่น
ลมทะเลสาบไล้เส้นผมนุ่มละเอียดจนสยายเป็นคลื่นสีทอง เจย์มองภาพที่งามน่าพิศวงนั้นจากข้างหลัง เขานึกไพล่ไปยังเหตุการณ์บนหอคอย นึกถึงโลงหินและศพน่าสะพรึง รวมทั้งนางซึ่งประกาศตนว่าเป็นท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์
วูบแรก เจย์คิดว่าตัวเองอยู่ในฝันอัศจรรย์ มีท่านหญิง มีศพปริศนา มีดอกไม้กินคนและปลายักษ์ที่เกล็ดเป็นสินแร่ แต่วูบต่อมาที่เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยง! ทั้งที่ไม่มีเค้าฝน เจย์ก็ได้สติและยอมรับความจริง
โจรหนุ่มเหม่อมองแผ่นหลังของสตรีเอลฟ์ ภาพบางภาพยังติดตากระทั่งบัดนี้ เช่น...ภาพศีรษะอาบเลือดแห้งกรังของเอลฟ์ผู้หนึ่ง
เขาจำได้ว่าตัวเองตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นแค่ไหน อันที่จริง คำว่าตกตะลึงอาจน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เขาไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้เลยเมื่อเห็นศีรษะเอลฟ์วางอยู่ในโลงหินอย่างไร้เกียรติ
พวกเอลฟ์มีพิธีส่งดวงวิญญาณที่สง่างามไม่ใช่รึ นี่อะไรกัน ใครมันโหดได้ถึงขนาดนี้!เวลานี้เจย์ก็ยังไม่ทราบว่าเอลฟ์ผู้นั้นเป็นใคร
หากเขาทราบ อาจช็อกค้างด้วยความตกใจ
เนื่องเพราะศีรษะเอลฟ์ที่เขาเห็น...คือพระเศียรของราชาริวอร์นอร์ อาห์นดีร์ รูเมเรียร์
แม้จะอาศัยในดินแดนของมนุษย์ แต่เจย์ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของ ‘ราชามงกุฏดำ’ หรือราชาริวอร์นอร์ ทราบว่าพระองค์เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั้งในรูเมเรียร์ อิซิลดาร์ หรือแม้กระทั่งในเมืองเล็กๆ ที่เขากับมารดาอยู่
สามปีก่อน ทางราชวังประกาศว่าราชาริวอร์นอร์สิ้นพระชนม์เพราะกบฏดาร์กเอลฟ์ มารดาเขาและชาวเมืองคนอื่นๆ ถึงกับรวมเงินกันจ้างเรือข้ามทะเลสาบ เดินทางไกลเป็นเดือนเพื่อมาวางดอกไม้ไว้อาลัยหน้าราชวังรูเมเรียร์
ไม่มีใครทราบความจริงว่าพระองค์สังหารเฟรธูริน ผู้เป็นอดีตกษัตริย์ขัตติยาและพระเชษฐาของพระองค์เอง
ถ้าจะทราบ...ก็มีเพียงท่านหญิงเอริแอดเน่ เหล่าอัศวินผู้ติดตามจากอิซิลดาร์ ขุนนางจำนวนหยิบมือ และเจ้าชายที่สี่--ซิกฟรีด อาเลธ รูเมเรียร์
ผู้กล้าบั่นศีรษะพระองค์ให้ตกต้องท้องพระโรง
เจ้าชายซิกฟรีดจัดพิธีศพให้พระเชษฐาที่สองอย่างสมพระเกียรติ ออกประกาศงดเว้นงานเลี้ยงรื่นเริงเป็นระยะเวลาหนึ่งปี และให้ขุนนางแต่งชุดขาวสะอาดไว้อาลัยแด่หนึ่งในมหากษัตริย์ผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน
ทว่าในความเป็นจริง พระศพของราชาริวอร์นอร์มิได้ล่องนาวาศักดิ์สิทธิ์ หลังเจ้าชายซิกฟรีดบั่นศีรษะของพระเชษฐาองค์รองแล้ว พระองค์ทรงดำริว่าจะนำพระศพไปฝังดิน ให้ส่วนศีรษะฝังที่หนึ่ง ส่วนร่างกายฝังอีกที่หนึ่ง นับเป็นการสาปส่งและหยามเกียรติ เนื่องเพราะเอลฟ์แผ่นดินใหญ่เชื่อว่าการฝังหรือเผาทำให้วิญญาณไม่อาจไปสู่ดินแดนนิรันดร์ของบิดาและมารดานภา
เวลานั้น ท่านหญิงเอริแอดเน่ทัดทานว่า การฝังเป็นเพียงการหลู่เกียรติอดีตราชาโดยเปล่าประโยชน์ ร่างกายของริวอร์นอร์ถูกฝังได้ แต่วิญญาณที่ไม่ไปสู่ดินแดนนิรันดร์ยังเป็นอิสระ วนเวียนอยู่ในโลก และอาจบอกเล่าความจริง
ซิกฟรีดรับฟังและให้นางช่วยจัดการตามที่เห็นควร
ท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์เลือกที่ฝังพระศพทั้งสองส่วนด้วยตนเอง ศีรษะและร่างกายของราชาริวอร์นอร์กลายเป็นผนึกฉีกแบ่งวิญญาณ ทำให้วิญญาณมิอาจรวมเป็นหนึ่งและกลับมาโลกของคนเป็น และเพื่อให้กายเนื้อซึ่งเป็นผนึกไม่สูญสลาย นางใช้โลงศพเวทรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย
หนึ่งในสถานที่ฝังพระศพคือ ‘เกาะไร้นาม’ อันเป็นเกาะที่ถูกทิ้งร้างตั้งแต่สมัยเก่าก่อน สังเกตจากซากโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่อาจนับย้อนไปได้ถึงพันปี ซากโบราณสถานบ่งบอกว่าแต่เดิมมีอารยธรรมเอลฟ์รุ่งเรือง ทว่าถูกทิ้งร้างเพราะสัตว์ประหลาดดุร้ายเข้ามาแย่งถิ่นฐาน
ท่านหญิงเอริแอดเน่เลือกผนึกส่วนศีรษะของราชาริวอร์นอร์ไว้ในหอคอยซึ่งเป็นโบราณสถานใจกลางเกาะ นางอัญเชิญจ้าวมัจฉาเกล็ดเงินมาพิทักษ์พระศพอดีตกษัตริย์ นานวันมันก็ดูดซับไอคำสาปของพระศพจนเกิดผลึกเกาะตามเกล็ด ไอคำสาปนั้นยังเปลี่ยนสภาพชั้นบนสุดของหอคอยให้กลายเป็นถ้ำหินงอกหินย้อยดำทมิฬ
เวลาผ่านไป...เจย์ พรีออน โจรและนักล่าสมบัติลูกครึ่งเอลฟ์ก็ถูกชะตาพัดพาให้มายังเกาะไร้นาม พบสตรีโฉมงามและความลับอันเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
“ถึงฝั่งแล้ว ต้องขอบคุณเรือลำที่พวกท่านใช้มา” ไนติงเกล หรือ ‘เอริแอดเน่’ เอ่ย น้ำเสียงของนางเรียบนิ่งและมีจังหวะการพูดอย่างชนชั้นสูง
เรือที่เจย์และพรรคพวกโจรใช้โดยสารมาเป็นเรือหาปลาขนาดเล็ก โดยสารกันมาเก้าคน กลับออกมาไม่ถึงครึ่ง ทว่าได้บรรทุกสิ่งสำคัญมาด้วย...นั่นคือกล่องหินผนึกศีรษะของเอลฟ์บุรุษที่พบในโลงศพบนหอคอย
เมื่อน้ำตาแห้งเหือด สติและความทรงจำกลับมาครบถ้วน เอริแอดเน่คล้ายคนตื่นจากฝันสงบสุขสู่ความจริงอันเจ็บปวด ดวงตาใสราวธารน้ำบริสุทธิ์ถูกฉาบด้วยกำแพงน้ำแข็งเย็นเฉียบ ทำให้นางดูเย็นชา ไร้หัวใจ เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
คราแรก นางไม่ทราบว่าตนรอดจากมหาเวทนทีมาได้อย่างไร ในเมื่อนางปล่อยมือจากดาบเวทแล้ว และไม่คิดใช้พลังเวทปกป้องตัวเองจากสายน้ำ กระทั่งเห็นดาบเวทประจำตัวในมือก็เข้าใจ มันปกปักรักษานางด้วยเจตจำนงของผู้อื่น--เจตจำนงของมารดานที
มารดานทีไม่ยอมให้นางทิ้งชีวิต ปิดกั้นความทรงจำของนาง และนำนางไปหาริวอร์นอร์…
เวทดาร์กบลูอาบิสเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำใต้ดิน มารดานทีแทรกอยู่ในกายาของบิดาธรณี กลายเป็นแม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ...นางจึงถูกพัดมาที่ทะเลสาบของเกาะไร้นาม
จากการสำรวจ สินแร่สีดำอันเกิดจากไอคำสาปพบมากบนตัวมัจฉาผู้พิทักษ์และภายในห้องเก็บพระศพ แต่มีบางส่วนงอกอยู่นอกประตู แท่งแร่ด้านนอกถูกตัดจนเหลือแต่ตอ คาดว่าเป็นฝีมือของผู้ที่มาก่อน พวกมันเอาแร่ไปได้ แต่อาจกลับออกไปไม่สวยนัก สินแร่ก้อนแรกที่ถูกค้นพบจึงลอยมาตามน้ำ
สุดท้าย นางใช้เวทควบคุมจิตใจอันละโมบของโจรมนุษย์ ให้พวกมันเป็นหุ่นเชิดขนสินแร่ซึ่งเกิดจากพลังด้านมืดลงมาจากหอคอย และใช้เวทเปลี่ยนแปลงโลงศพของริวอร์นอร์ให้กลับสู่รูปร่างกล่องหินผนึกศีรษะ
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ยอมมองใบหน้าในกล่องนั้น และไม่แตะต้องกล่อง
เจย์ไม่มีปฏิกิริยากับคำขอบคุณของเอริแอดเน่ เขาเหม่อนิดๆ ขณะไล่สายตาไปยังสหายโจรที่ถูกควบคุมด้วยเวท เมื่อใกล้ถึงฝั่ง พวกมันกระโดดลงจากเรือตรงน้ำตื้น เหวี่ยงเชือกแล้วชักลากเรือไปเกยฝั่ง พวกมันแข็งแรงขึ้นจนผิดมนุษย์ เจย์คิดว่าอาจเป็นเพราะเวท
พูดถึงคำขอบคุณ อันที่จริงเจย์ไม่มีปฏิกิริยาเพราะเขาไม่รู้ว่าควรตอบอะไร หากมีใครสักคนเอ่ยขอบคุณ สุภาพชนก็ควรตอบกลับว่า 'ยินดี' (ตามที่มารดาพร่ำสอน) ใช่หรือไม่ ทว่าสิ่งซึ่งทำให้ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนที่จะตอบคือ…
ย้อนกลับไปเหตุการณ์บนเกาะร้างเล็กน้อย หลังเอริแอดเน่สะกดพวกโจรแล้ว นางหันมาถามเขาว่าเรือที่ใช้มายังเกาะนี้อยู่ที่ไหน ตอนนั้นเขาตอบกลับไปอย่างไรนะ...
อ้อ ข้าไม่ได้ตอบอะไรสักคำ แต่ทำตัวน่ารักว่าง่าย นำทางนางมาที่เรือเลยจ้ะ
ใครจะอยากโดนสาปเป็นตุ๊กตาไร้สมองเหมือนโจรพวกนั้นกันเล่า!
สรุป นางปล้นเรือเขาแล้วเอ่ยขอบคุณ เขาควรตอบนางว่าอะไรหรือ
"ข้ามีคำถามพ่ะย่ะค่ะ" พอเจย์รู้ว่านางเป็นท่านหญิง เขาก็ใช้คำราชาศัพท์กับนางอย่างมั่นใจ
ซึ่งถูกๆ ผิดๆ ไปหมด...
“ใช้คำปกติเถอะ” นางตอบ สายตามองห้วงน้ำฝั่งที่มีเกาะ ซึ่งตอนนี้เป็นแค่เส้นขอบฟ้าสีน้ำเงิน
"ยากที่จะกลับไปเป็นปกตินะพ่ะย่ะค่ะ" เจย์ฉีกยิ้มแห้งๆ ขณะแอบเหล่ไปทางพวกโจร คิดว่า
ถ้าข้าพูดไม่ถูกใจ พระองค์ก็สาปข้าน่ะสิ“ข้าไม่ชินให้ท่านเรียกข้าแบบนั้น ส่วนท่าน...ใช้คำไม่ถนัดลิ้นจะขัดเสียเปล่าๆ”
“อ่า” เจย์ลูบท้ายทอย “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงละเว้นข้าขอรับ” เขาพูดผิดๆ ถูกๆ อีกเหมือนเคย “ข้าหมายถึง ‘ท่าน’ ...ต้องใช้คำว่าท่านหญิงมั้ย”
เอริแอดเน่หันมามองโจรหนุ่ม “พูดตามปกติ” นางเอ่ยอนุญาตอีกครั้ง “ข้าละเว้นท่านเพราะท่านช่วยข้า ข้าจึงตอบแทนน้ำใจ…” นางหลุบตาลง “ข้าช่วยท่านหาสินแร่สีดำแล้ว ทั้งหมดบนเรือเป็นของท่าน จงนำมันไป ขายอย่างระมัดระวัง สินแร่นี้อาบไอทมิฬเข้มข้น นำไปขายทางแผ่นดินทมิฬน่าจะดีกว่า อย่าเก็บไว้กับตัวนาน ท่านอาจโดนไอคำสาปจนกลายเป็นบ้า และอย่าเปิดเผยสถานที่ที่ได้มา ไม่เช่นนั้นหัวของท่านอาจไม่อยู่กับตัว”
สินแร่นี้มีไอทมิฬเข้มข้นจนทำให้มนุษย์วิกลจริตได้จริง แต่โจรลูกครึ่งมีเชื้อสายเอลฟ์ น่าจะทนไอคำสาปได้มากกว่า
เจย์ปราศจากข้อกังขาว่าทุกสิ่งที่นางพูดไม่ใช่คำขู่ โดยเฉพาะอย่างสุดท้าย...
“ข้าเก็บความลับเก่ง” เจย์เม้มปาก เขาทำท่าไขกุญแจตรงมุมปากทั้งสองข้าง คล้ายล็อกหีบอย่างแน่นหนาแล้วโยนกุญแจทิ้งไป "ข้ามีคำถามอีก...แต่ข้าจะไม่ถาม เจ้าคงเดาออกว่าข้าจะถามอะไร"
จะมีอะไรน่าถามไปกว่าศีรษะในโลงศพเป็นใครอีกรึ!
เอริแอดเน่วาดนิ้วแผ่วเบา ฝุ่นดินบนพื้นพัดขึ้น บนดินเกิดเส้นแนวขวางระหว่างนางและเจย์ ให้ทั้งสองอยู่คนละฟาก “ฝั่งที่ข้าอยู่ คือด้านของคนตาย นรกแห่งความลับ ความชิงชัง การแก้แค้น และไฟสงครามที่ไม่เคยมอดดับ ฝั่งที่ท่านอยู่ คือด้านของคนเป็น ผู้ที่ยังมีชีวิต สามารถก้าวต่อไปข้างหน้า และมีความสุข ท่านพร้อมจะข้ามมาหรือ”
ดวงตาของนางเยียบเย็น...แต่ก็ดูเปราะบางในเวลาเดียวกัน
“ไม่” เจย์ตอบด้วยความมั่นใจสูงสุด “ข้าชอบฝั่งที่ข้าอยู่” ลูกครึ่งเอลฟ์ลงไปนั่งยองก่อนปัดเส้นแบ่งนั้นทิ้ง "แต่ข้ารู้คุณคน แร่พวกนี้ข้าเสวยสุขทั้งชีวิตก็ไม่หมด ให้ข้าตอบแทนบ้าง" พอได้รับอนุญาตให้พูดจาแบบปกติได้ เจย์ก็ปกติเหลือเกิน
"ข้าอาจไปกับเจ้าไม่สุดทาง แต่ระหว่างนี้มันดีที่มีเพื่อนนะ"
เจย์เงยหน้ายิ้มให้นาง เขาคิดว่านางโดดเดี่ยวเกินไป สีหน้าและแววตาของนางทำให้เขาเจ็บยอกในอกเพราะคิดถึงสตรีผู้หนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่เส้นที่นางขีดแบ่งระหว่างเขากับนาง เหมือนจะร้องว่า ‘ข้ามมาสิ ข้ามมาช่วยข้าด้วยเถิด’
นางเอลฟ์หัวเราะแผ่วเบา นุ่มนวล “ข้าอยู่คนเดียวดีแล้ว”
“ข้าก็ชอบอยู่คนเดียว” เจย์ว่า “ถ้าอย่างนั้นเราลองมาอยู่คนเดียวด้วยกันสักพักดีหรือไม่”
“ความใจดีครึ่งๆ กลางๆ ของท่านจะทำให้ผู้รับเจ็บ มันไม่สร้างแผลสด แต่เป็นแผลฟกช้ำ กลัดหนอง” บนหอคอย นางบอกเขาว่า ‘ถ้าท่านจะทิ้งข้า อย่างน้อยก็บอกลาสักคำ’ ...นางเป็นคนที่ชินกับการจากลา
"ว่าไปนั่น" เจย์ลูบท้ายทอยพลางลุกขึ้น "ครึ่งๆ กลางๆ อะไร ข้าว่าข้าเต็มที่กับทุกเรื่องนะ ข้ารู้...ข้ารู้ เรื่องที่เจ้ามันทำอันตราย ไม่ต้องอธิบายหรอก ข้าพูดตามตรงว่าไม่อยากตายเร็ว แต่...ไม่รู้สิ ข้าอยากช่วยเจ้า" เขายิ้มให้นาง...ช่างเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวไปถึงดวงตา "อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เจ้าอาจไม่ชินนัก แต่ลองรับความใจดีจากคนอื่นดูมั้ย ข้าไม่คิดแม้แต่เหรียญเดียว"
เอริแอดเน่เหยียดยิ้ม ทว่ารอยยิ้มสมเพชนั้นมีให้แก่ตัวนางเอง
“ข้าควรตายไปแล้ว แต่กลับไม่ตาย มารดานทีคุ้มครองข้า แต่ข้าคิดมาตลอดตั้งแต่ได้รับความทรงจำคืนมา ในเมื่อข้าอยากตายแต่กลับไม่ได้ตาย ซ้ำยังถูกพามายังสุสานของเดรัจฉานในโลงตนนั้น เช่นนี้แล้ว สิ่งที่ข้าควรทำต่อไป ก็คือเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นนรกอันเหมาะสมกับเศษซากแห่งชีวิตอย่างข้ามิใช่หรือ”
คำกล่าวของนางอำมหิต เยือกเย็น พูดออกมาโดยมีสติครบถ้วน ไม่น่าเชื่อว่านางคือคนเดียวกับสตรีไร้ความทรงจำผู้มีดวงตาใสบริสุทธิ์และรอยยิ้มเป็นมิตร
เจย์อ้าปากแต่ไม่มีเสียงใดลอดออกมา เงียบไปสักพักเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ทางใต้ของดินแดนเอลฟ์เป็นยังไง ข้าไม่เคยไปมาก่อน”
“ลองไปดูด้วยตาตัวเองเถอะ” นางตัดบทและหันไปมองทางอื่น เป็นการบอกว่าถึงเวลาจากลา
เจย์พึมพำรับว่า “จ้า…” แล้วกระโดดลงจากเรือ เขาชูแขนก่อนจะร้องบอกนางว่า
“ลงมา ข้ารับเจ้าเอง”
เอริแอดเน่เงียบไปครู่ นางสามารถเกาะมือเขาลงจากเรือได้ ทว่า...
“มาเถอะ เดี๋ยวข้าอุ้มไปส่งตรงที่สะอาดๆ”
นางแปลกใจที่โจรหนุ่มรู้ว่านางไม่พึงใจจะย่ำโคลน “ตกลง”
พอรับนางลงมาเจย์ก็ถามว่า “ข้าสั่งโจรที่เจ้าควบคุมได้มั้ย ขอคนเดียว”
“ได้” เอริแอดเน่เบือนหน้าไปทางโจรคนหนึ่ง มันเดินมาทางเจย์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ช่วยข้าดันเรือลงทะเลสาบ จากนั้นชักใบเรือแล่นออกไปให้ไกล สักใจกลางทะเลสาบน่าจะพอ” โจรหนุ่มสั่งโจรเถื่อนซึ่งกลายเป็นตุ๊กตาชักรอก “เสร็จแล้ว...เจ้าก็โจนลงทะเลสาบแล้วเอาตัวรอดนะ” เจย์ตบหลังโจรแปะๆ
โจรซึ่งถูกควบคุมด้วยเวทออกแรงผลักเรือด้วยแรงไม่ธรรมดา เจย์ไม่ต้องออกแรงแม้ปลายนิ้วด้วยซ้ำ พอเรือพร้อมออกจากฝั่ง เขาก็ร้องสั่ง “กระโดดขึ้นไป! เออ นั่นแหละ กางใบเรือแล้วออกไปเลย”
เจย์ยืนเท้าเอว ยกมือข้างหนึ่งโบกลาโจรผู้โชคร้าย จากนั้นค่อยหันมายิ้มกว้างให้เอริแอดเน่
“ข้าไปด้วย”
เอริแอดเน่เงียบอีกครั้ง นางมองตามเรือซึ่งบรรทุกสินแร่เต็มลำแล่นออกไป
“ท่านทิ้งทรัพย์สมบัติที่ใช้ชีวิตแลกมาหรือ”
เจย์พยักหน้า “จะบอกว่าข้าตัดสินใจครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้แล้วนะ” และเสริมว่า “อันที่จริง ข้าแอบเก็บไว้ห้าหกชิ้น ที่เหลือให้มันไปตามยถากรรมเถอะ"
สินแร่ดำมีค่ามหาศาล แค่ห้าหกชิ้นก็สบายไปชั่วลูกชั่วหลานแล้ว
สีหน้าของท่านหญิงแห่งอิซิลดาร์อ่อนลง นางมองโจรลูกครึ่งให้ชัดเต็มตา พิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
“ข้าไม่ใช่คนดีหรอก ออกจะโง่ เพราะข้ายังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้” เจย์หัวเราะ
“คงเพราะท่านยังเยาว์นัก” เอริแอดเน่หลับตา ในชีวิตนาง...ไม่หวังพึ่งใคร นางเป็นร่มไม้ใหญ่ เป็นเสาหลักแห่งอิซิลดาร์ เรื่องที่ผู้อื่นทำไม่ได้ นางต้องทำได้ เมื่อคนอื่นร้องขอ นางต้องไม่ขอร้อง คนอื่นเหยียบแค่ตีนเขา นางต้องไปให้ถึงยอดผา นั่นคือวิถีชีวิตของนาง...สิ่งที่นางต้องทำให้ได้ ทุ่มเทชีวิตเพื่อให้ได้มา
“เอาเถอะ นอกจากเงินทอง สิ่งที่ข้าชอบอีกอย่างคือความเสี่ยง มันทำให้ข้ารู้สึกถึงชีวิต...อ่า แต่ข้าก็รักตัวกลัวตายนะ เห็นมั้ย ออกจะโง่และสำนึกขัดแย้งกันบ่อยๆ”
“งั้นข้าจะบอกท่าน” เอริแอดเน่ลืมตา “ศีรษะนั้นเป็นของอดีตกษัตริย์ชั่วช้าผู้หนึ่ง ริวอร์นอร์ อาห์นดีร์ รูเมเรียร์ แต่คนที่รู้ว่าเขาชั่วช้ามีเพียงข้า และข้าเป็นคนทำให้ศีรษะของเขาถูกบั่นจากตัว”
นางเอ่ยเด็ดขาด ทว่าในเรื่องที่เล่า...กลับไม่เอ่ยถึงซิกฟรีด
เพียงเท่านั้นก็ทำให้โจรหนุ่มตะลึงค้าง
ราชาเอลฟ์เลยรึ!
เขากรีดร้องในใจ
ไม่สิ นางกล้าสังหารราชาริวอร์นอร์เชียวรึ! เป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นจอมทัพรูเมเรียร์หรอกรึ!
“อืม…” เจย์ลูบหน้าตัวเองแรงๆ “ข้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ถึงอย่างไรข้าก็ไปกับเจ้าเหมือนเดิม”
“แม้จะรู้ว่าข้าเป็นนางเอลฟ์ชั่วช้า?” เอริแอดเน่บ้าบิ่นมากที่เล่าความจริง ทว่าตัวนางในเวลานี้หาได้สนใจปิดมันกับโจรตรงหน้า
เจย์ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ใช่มนุษย์ที่ดีนักหรอก อีกอย่าง ใครบ้างที่ไม่เคยทำชั่วในชีวิต”
“ท่านเอ่ยเช่นนี้ได้ เพราะท่านยังไม่เคยได้รับความเสียหายจากความชั่วช้าของข้า” นางออกเดิน หุ่นเชิดมนุษย์ของนางที่เหลืออยู่สองคนก็เดินตามอย่างเข้มแข็ง ซื่อสัตย์ แต่ไร้ชีวิต
นางให้พวกมันคนหนึ่งแบกกล่องหินไว้บนหลัง
“ข้าจะตัดสินใจเอง”
น้ำเสียงหนักแน่นดังตามหลังนาง จากนั้นเจย์ก็เข้ามาเดินเคียงข้างนาง รอยยิ้มของเขาประหนึ่งแสงตะวัน มันอาจช่วยละลายน้ำแข็งในใจนาง และทำให้นางรู้สึกถึงชีวิตอีกครั้ง
-----------------------------------------
สิบวันต่อมา
ในระหว่างที่ความขัดแย้งของราชาซิกฟรีดกับพระคู่หมั้นถูกปิดบังไว้เหมือนการซุกซ่อนความลับไว้ใต้พรม...
ระหว่างที่อิซิลดาร์มีท่านหญิงเอริแอดเน่คนหนึ่ง...ท่านหญิงเอริแอดเน่อีกคนก็ออกเดินทางพร้อมโจรลูกครึ่ง
ณ สุสานไร้เกียรติ สตรีเอลฟ์สูงศักดิ์เดินผ่านซากศพกวางผู้พิทักษ์ซึ่งถูกไอทมิฬแทรกซึมจนกลายเป็นสัตว์ปีศาจ ดาบเวทในมือนางยังเปื้อนเลือดอุ่นๆ ของผู้พิทักษ์ที่เพิ่งสิ้นลม แทบเขายาวโง้งที่แตกกิ่งก้านเหมือนต้นไม้ใหญ่ของมันคือซากศพของโจรที่นางพามา
นางชี้ดาบเวทไปยังโลงหิน
ฝาโลงเปิดออก เผยให้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าศีรษะเปื้อนเลือดบนหอคอยในเกาะร้าง
เจย์เอามืออุดปากเมื่อเห็นร่างไร้ศีรษะของราชามงกุฏดำ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ยังเกร็งค้างในท่ากำดาบ พระหัตถ์ซ้ายกำแน่นจนเล็บคงจิกเข้าผิวเนื้อ เลือดแห้งเกรอะกรังย้อมฉลองพระองค์สีดำให้ยิ่งดำขึ้นไปอีก กลิ่นความตายฟุ้งขึ้นพร้อมไอคำสาปรุนแรง ความโกรธแค้นอัดแน่นจนก่อผลึกหนามทั่วโลงหิน ปลายคมล้อมพระศพไว้ มันพร้อมทิ่มแทงผู้ใดก็ตามที่กล้ายื่นมือไปแตะต้อง
โจรหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดเหนียว
ต้องเกลียดชังแค่ไหน...ต้องโกรธเกรี้ยวเพียงใด จึงลงมือฆ่าแล้วเก็บศพไว้เช่นนี้
“ในโลกอันสิ้นหวังนี้ เดรัจฉานบางตนก็สมควรฟื้นขึ้นมา”
นางกล่าวกับศพอันไร้เกียรติอย่างหยามเหยียด
—————————————————————————
A/N ใครที่ค้างตอนจบของเกาะไร้นาม เรามาต่อเรื่องราวหลังจากนั้นให้อย่างว่องไวแล้วค่ะ! พอจะเดากันได้แล้วไหมคะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
พบกันครั้งต่อไปวันที่ 1 มิ.ย. 60
ป.ล. ใครรอบทโคลด์กับซิกฟรีด มีนะคะ ไม่หายค่า
ป.ล. 2 เราไม่ค่อยได้ตอบคอมเมนต์ แต่อ่านครบนะคะ บางอันอ่านแล้วอยากตอบทันที แต่จังหวะไม่อำนวย พอทิ้งไว้นานๆ แล้วมาตอบก็กระไรอยู่ แต่ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มากๆ ค่ะ จุ๊บๆ ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy
♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/
♰ Twitter : @VinzeSchwarz