บทที่ 23 : เกาะไร้นาม (2)
ปัจจุบัน ซิลเซเลียน เมืองหลวงแคว้นอิซิลดาร์
อิซิลดาร์คือดินแดนแห่งขัตติยนารี ในยุคปฐมกษัตริย์แห่งรูเมเรียร์ เจ้าหญิงอิซิลดาร์ผู้เป็นขนิษฐาของปฐมกษัตริย์ได้รับปันดินแดนส่วนหนึ่งของทวีป ในฐานะจอมเวทสงครามผู้ต่อสู้เคียงข้างองค์กษัตริย์ นำชัยเหนือสงครามกับเผ่าทมิฬ
ดินแดนที่พระนางได้รับคือแผ่นดินทางใต้อันมีอาณาเขตติดทะเล หน้าร้อนอากาศอบอุ่น พรรณไม้ชูช่อเขียวสดชื่น หน้าหนาวหนาวชื้น พืชพรรณหลับพักผ่อนภายใต้ผ้าคลุมหน้าของเทพีหิมะ ผู้เป็นบุตรีของบิดาธรณีกับมารดานที
‘แคว้นอิซิลดาร์’ ตั้งชื่อตามนามของเจ้าหญิงผู้ปรีชาเพื่อเทิดพระเกียรตินางกษัตริย์ และตำแหน่งผู้ครองแคว้นก็สืบทอดแก่ทายาทสตรีซึ่งเป็นผู้นำตระกูลอิซิลดาร์เพียงเท่านั้น
หนึ่งเดือนหลังจากการไร้ข่าวคราวของผู้ครองแคว้นคนปัจจุบัน--ท่านหญิงเอริแอดเน่ ท้องพระโรงแห่งอิซิลดาร์ได้เปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด
นั่นคือนักรบผู้รอดตายสี่คน หนึ่งในนั้นคืออัศวินหญิงแห่งอิซิดาร์ ส่วนอีกสามคนเป็นบุรุษรูเมเรียร์
นักรบอิซิลดาร์ผู้กลับสู่มาตุภูมินามซอนย่า นางมีผมสีดำสนิทดุจขนกา และนัยน์ตาคมกล้าประหนึ่งดาบเหล็ก แม้นางจะสวมชุดขาดวิ่น ดูเก่าเขรอะ แต่ความทระนงองอาจยังฉายชัดในแววตาท่าทาง
ยิ่งนางจูงเชือกลากเชลยจากรูเมเรียร์มาถึงสามคน ยิ่งทำให้น่าเกรงขาม
เชลยทุกคนเป็นทหารกล้าหน่วยกาลาฮาน หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บขนาดลูกผีลูกคน มันนอนหายใจแผ่วอยู่บนแพชักลากซึ่งทำขึ้นลวกๆ อีกหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขน รอยแผลฉกรรจ์กลัดหนอง ส่วนอีกหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขนเช่นกัน ทั้งดวงตาข้างขวายังพันผ้าปิดเอาไว้ คาดว่าคงมองไม่เห็นอะไรแล้ว
ทหารกาลาฮานคนสุดท้ายคือเนอร์ดาเนล มันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่พลาดพลั้งให้แก่อัศวินอิซิลดาร์ ความจริงก่อนหน้ามันได้เปรียบ เกือบจะจับนักรบสตรีผู้นี้ได้ ทว่าจู่ๆ ก็เกิดเสียงครืนปานธรณีสูบ พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกกวาดลงมหานที ดาบหลุดจากมือ มวลน้ำมหาศาลกดลงอก ทะลักเข้าปากและจมูก
ห้วงน้ำวนมิได้พัดเพียงคนแต่พัดเอาซากปรักหักพังของป้อมปราการและทุกๆ อย่างในบริเวณนั้นลงมาด้วย มันโดนบางอย่างกระแทกเข้าที่ตา เจ็บจนสติสุดท้ายคิดว่าหากตายอาจสบายกว่า แต่แล้วเมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง...มันก็ถูกพันธนาการด้วยเชือกเสียแล้ว
และได้มาอยู่ที่นี่--ท้องพระโรงแห่งอิซิลดาร์
ภาพท้องพระโรงต่างถิ่นที่ปรากฏต่อสายตาของเนอร์ดาเนลทั้งเคร่งขรึมและอ่อนหวาน เป็นการผสานอันลงตัวของความเข้มแข็งแต่ก็ชดช้อยอย่างสตรี
ห้องท้องพระโรงสร้างจากหินอ่อนสีเทาเข้ม ประดับไม้ดอกหลากสีอันชวนให้จิตใจเบิกบานและไม้เลื้อยเขียวสดชื่นแทนทองคำและเหล็กกล้าของท้องพระโรงแห่งรูเมเรียร์
ด้านบนของช่องหน้าต่างสูงยาวแขวนธงสัญลักษณ์ของห้าตระกูลใหญ่แห่งอิซิลดาร์ ธงสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว สีดำ แขวนอยู่ด้านข้างซ้ายขวา บนผืนผ้าปักสัญลักษณ์ตระกูลรองรูปดอกไม้และสัตว์ปราดเปรียว ด้านหลังเหนือบัลลังก์ของนางกษัตริย์ผู้ปกครองอิซิลดาร์คือธงสีทอง ปักภาพดอกไม้สีขาวอมทองและศีรษะยูนิคอร์น เขาเดี่ยวกลางหน้าผากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีสายน้ำม้วนเป็นเกลียวแทนพรแห่งนที
ไม่ต้องสงสัยว่าภาพบนธงไหมทองคืองานปักอันประณีตแสดงสัญลักษณ์ของตระกูลอิซิลดาร์
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านข้างคือเอลฟ์สตรีสูงศักดิ์และข้ารับใช้บุรุษ เอลฟ์สตรีที่โดดเด่นกว่าใครสี่นางคือ ‘เอลเดอร์’ หรือผู้อาวุโสจากตระกูลสายรอง ถึงจะเรียกผู้อาวุโส ทว่าอายุของเอลฟ์สตรีเหล่านี้ล้วนไม่มากกว่าห้าร้อยปี เพราะผู้อาวุโสรุ่นก่อนทั้งหมด ได้ ‘สละตำแหน่ง’ หลังความตายของท่านหญิงเฮสเทียน่า--ผู้นำตระกูลอิซิลดาร์รุ่นก่อน
เนอร์ดาเนลถูกทหารสตรีกดให้คุกเข่า แสงที่ส่องเข้าตาทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือน เขาเห็นสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้ครองแคว้น นางสวมชุดสีขาว แหวกช่วงเข่าเห็นหัวเข่าขาวเนียนและท่อนขางามสมบูรณ์
อัศวินซอนย่าคุกเข่า
“กลับมาแล้วหรือ” สตรีบนบังลังก์ถาม
“เพคะ” เสียงของซอนย่าพร่า นางพาเชลยเดินทางผ่านป่าและภูเขาหลายวันหลายคืน นอกจากต้องระวังสัตว์ร้าย โจร และภยันตรายอื่นๆ นางยังต้องรับมือกับเชลยที่แม้เจ็บหนักก็ยังสู้ ไม่ยอมให้นางลากจูงง่ายๆ
“ซอนย่า” สตรีบนบัลลังก์ยื่นหลังมือขาวเนียนให้อัศวินสาว นางทาเล็บสีน้ำเงินเข้ม ปลายเล็บยาวโค้งมนเคลือบประกายแวววาว
ซอนย่าน้อมศีรษะจรดพื้นแล้วยืนขึ้น นางก้าวไปหาสตรีบนบัลลังก์แล้วคุกเข่าลงอีกครั้งเมื่ออยู่แทบเท้านางกษัตริย์ ก่อนรับมือแบบบางนั้นมาประทับจุมพิตด้วยความภักดี
แสงที่ส่องเข้าตาของเนอร์ดาเนลอ่อนแสงลง เขาจึงเห็นสตรีที่นั่งอย่างเย่อหยิ่งบนบัลลังก์ได้ถนัด
นางคือผู้นำตระกูลอิซิลดาร์คนปัจจุบัน สวมชุดขาวลายลูกไม้สีทองและน้ำเงิน ดวงตาสีหินแก้วประกายรุ้งอันตรึงวิญญาณเหยียดมองทหารบาดเจ็บแห่งรูเมเรียร์ แววตาของนางเย็นชาและอำมหิตอย่างนางกษัตริย์ผู้เดินผ่านซากศพของสตรีอิซิลดาร์คนเล่าคนเล่าเพื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
ท่านหญิงเอริแอดเน่แห่งอิซิลดาร์กลับสู่แผ่นดินเกิดแล้ว ท่ามกลางความกังขาของเหล่าเอลเดอร์และขุนนางสตรี ว่าเหตุใดนางจึงละทิ้งคู่หมั้นอย่างราชาซิกฟรีด หรือข่าวลือเรื่องราชาหลงใหลบุรุษดาร์กเอลฟ์จะเป็นความจริง อิซิลดาร์ในตอนนี้เหมือนมีคลื่นใต้น้ำ แนวพรมแดนซึ่งเชื่อมต่อกับรูเมเรียร์ยังไม่ถูกปิดกั้น แต่มีการตรวจตราผู้เดินทางเข้าออกอย่างเข้มงวด และยกเลิกใบผ่านทางของกองกำลังทหารรูเมเรียร์ที่มากกว่าหนึ่งร้อยคน
นางกษัตริย์แห่งอิซิลดาร์เชยคางซอนย่า นิ้วเรียวจับคางได้รูปแล้วพลิกให้หันหน้าไปทางหนึ่ง ตุ้มหูเวทบนใบหูแหลมยาวส่องประกายสีไพลินเรืองๆ
“ตุ้มหูที่ข้ามอบให้ช่วยคุ้มครองเจ้าสินะ” นางเอ่ยด้วยเสียงไพเราะเจือความเมตตา
“เจ้าค่ะ” น้ำตารื้นในดวงตาแห้งผากของนักรบสตรี พอให้มันส่องประกายแห่งชีวิตอีกครั้ง
ท่านหญิง...เอริแอดเน่ไล้นิ้วบนแก้มซอนย่า “รออีกสักนิด จะให้พัก”
เนอร์ดาเนลเห็นท่านหญิงเอริแอดเน่แล้วรู้สึกเดือดในอก ไม่ใช่นางหรือที่เป็นต้นเหตุทำให้สหายของเขาตกตาย หรือเขาควรโทษดาร์กเอลฟ์ หรือควรโทษราชาที่หลงดาร์กเอลฟ์ หรือควรโทษหัวหน้าที่มีใจต่อดาร์กเอลฟ์จนพาทุกคนมาสู่หายนะ...
หรือความพินาศทั้งหมดไม่อาจหาคนรับผิดแท้จริงได้
ในฐานะทหาร เขาไม่ควรคิดเช่นนี้ แต่ในฐานะเอลฟ์ธรรมดาที่เสียเพื่อนพ้อง เขาอยากโทษอะไรสักอย่าง...อะไรก็ได้
มันผู้ใดก็ได้เอริแอดเน่วางมือบนเท้าแขน นั่งตัวตรง เชิดหน้ามองทหารที่กล้าจ้องนางด้วยสายตาเดือดดาล สายตาไร้อารมณ์ของนางมองมันราวกับเป็นเพียงมดเพียงแมลงที่ทำให้ท้องพระโรงของนางสกปรก
“ตาน่ะ เหลืออยู่ข้างเดียวไม่พอหรือ หรือไม่อยากเหลือสักข้าง” นางกล่าวไม่เร็วไม่ช้า ไม่ใส่อารมณ์ แต่ทำให้ผู้ฟังหนาวสันหลัง
เนอร์ดาเนลไม่ละสายตา
ก็เอาสิ บอดไปเสียทั้งคู่ก็ดีท่านหญิงแห่งอิซิดาร์พิศความแค้นเคืองในดวงตาข้างนั้น จากนั้นก็ยกหลังมือขึ้นปิดปาก หัวเราะนุ่มนวล กิริยาของนางไม่มีส่วนใดไม่งามสง่า ไม่เมตตาอารี “เราก็แค่หยอกเล่น บุรุษรูเมเรียร์ช่างเคร่งครัดเสียจริง”
ทว่าเหล่าเอลเดอร์ ขุนนาง และทหารอิซิลดาร์ที่อยู่ในท้องพระโรงกลับหนาวสันหลัง หายใจไม่ทั่วท้อง
ท่านหญิงเอริแอดเน่หายตัวไปอย่างไร้ข่าวคราวเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน จู่ๆ นางก็กลับมาก่อนอัศวินซอนย่าจะเข้าเขตซิลเซเลียนแค่ครึ่งวัน ซ้ำร้ายอัศวินของนางยังพาทหารขององค์ราชาในสภาพบาดเจ็บสาหัสมาเป็นเชลย ไหนจะเหตุการณ์วังน้ำวนลึกลับที่เมืองโรสมินาสซึ่งปิดข่าวกันอย่างเข้มงวด
เวทแห่งมหานทีมิใช่ความถนัดของท่านหญิงที่ใครก็ไม่อาจเทียบหรือ
ระหว่างที่เหล่าเอลเดอร์กังวลถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิซิลดาร์กับรูเมเรียร์ ที่อาจมีรอยร้าวมากขึ้นถ้าท่านหญิงเอริแอดเน่สังหารทหารขององค์ราชา ท่านหญิงก็เอ่ยให้พวกนางโล่งใจว่า
“ทำแผลให้ทหารเหล่านี้เถิด หากชักช้า องค์ราชาอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ห่วงใยดูแลข้ารับใช้ของพระองค์”
“เจ้าค่ะ” ซอนย่ารับคำ หลังจากนั้นก็มีทหารสตรีเข้ามาช่วยลากเชลยออกไป
เนอร์ดาเนลยังจ้องเขม็งไปทางท่านหญิงเอริแอดเน่ แม้จะถูกกระชากให้เดิน
“หยุดก่อน” ท่านหญิงเหยียดยิ้ม เมื่อนางสั่ง ทหารสตรีที่ลากเนอร์ดาเนลก็หยุด ส่งผลให้ทหารกล้าแห่งหน่วยกาลาฮานอยู่ในสภาพถูกหิ้วปีกอย่างน่าขัน
เสียงหัวเราะสั้นๆ ดังรอบท้องพระโรง
“เจ้าชื่ออะไรนะ” ท่านหญิงใช้เล็บสวยงามชี้สั่ง
ทว่าเนอร์ดาเนลไม่ตอบ
ซอนย่าเข้าไปตบปากครั้งหนึ่ง แต่อดีตทหารแห่งกาลาฮานก็ไม่ยอมปริปาก
เนอร์ดาเนลดุนกระพุ้งแก้ม ฟันโยกและเลือดกบปากเมื่อถูกซอนย่าตบอีกครั้ง
เสียงฉาดของฝ่ามือกระทบเนื้อดังก้องท้องพระโรงอีกสองสามครั้ง กระทั่งท่านหญิงผู้นั่งพริ้มตาบนบัลลังก์ยกมือให้องครักษ์ของนางหยุดมือ
“เจ้าว่า แขกที่ไม่ให้ความเคารพแก่เจ้าบ้านผู้มีน้ำใจเฉกข้า เฉกชาวอิซิลดาร์ทุกคน จะทำให้องค์ราชาขายหน้าหรือไม่” นางหยุด ให้เวลาอีกฝ่ายคิด “เจ้ากับสหายที่บาดเจ็บของเจ้าเป็นพี่น้องในกองรบที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การตัดสินใจของคนหนึ่ง ก็คือการตัดสินใจของกลุ่ม หากมีความชอบ ก็รับรางวัลร่วมกัน แล้วหากมีทัณฑ์เล่า...ใครจะรับ”
‘ที่นี่คืออิซิลดาร์ ไม่มีบารมีของราชาคุ้มหัวบุรุษโอหัง ซ้ำยังเป็นทหารต้อยต่ำเช่นพวกเจ้า’ สายตาของเหล่าเอลเดอร์บอกเฉกนั้น
‘ทำให้สตรีบนบัลลังก์พอใจ ชีวิตของเจ้ารอด รวมถึงชีวิตของสหายเจ้า หากทำให้นางไม่พอใจเล่า เจ้าไม่รักชีวิตตัวเอง แต่พร้อมลากคนอื่นไปลงหลุมด้วยหรือไม่’
“ข้า…” เนอร์ดาเนลเอ่ยอย่างยากลำบาก เพราะเลือดที่ค้างในปากด้วยส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญคือเขาไม่อยากพูดกับนางแม้สักคำ “มีนามว่าเนอร์ดาเนล...ขอรับ”
“เอาละ เนอร์ดาเนล” เอริแอดเน่เดินลงจากบัลลังก์อย่างไม่รีบร้อน นางหยุดยืนตรงหน้าทหารหนุ่ม หยิบผ้าเช็ดหน้าช่วยซับเลือดที่มุมปาก
สัมผัสของผ้าเนื้อนุ่มนุ่มนวลแผ่วเบา แทบจะเรียกได้ว่าเอาใจใส่ “เราถามชื่อเจ้า เพราะอยากทราบนามของผู้ที่จะถือสารของเราไปยังรูเมเรียร์อย่างไรล่ะ”
นางยิ้ม...ช่างอ่อนหวานและสวยงามที่สุด
---------------------------------------
เวลาเดียวกัน เกาะไร้นาม เกาะในทะเลสาบขนาดใหญ่ แหล่งสินแร่สีดำอันลึกลับและล้ำค่า
เจย์มองโฉมงามที่เก็บมาได้อย่างพิศวง เวลานี้นางนอนหลับข้างกองไฟที่เขาก่อให้เมื่อคืน มันมอดดับไปแล้วแต่ความร้อนยังอยู่ พอให้นางนอนหลับได้อย่างสบายไปอีกระยะหนึ่ง
เมื่อวานนี้ ทั้งสองออกจากถ้ำได้ก็สำรวจเกาะอยู่ครึ่งวัน ตกเย็นพบหอคอยซึ่งเป็นซากโบราณสถานของเอลฟ์ตั้งอยู่ส่วนลึกของเกาะ หอคอยนี้ปิดตาย ถูกทิ้งให้ผุพัง แม้มีช่องที่ปีนลอดเข้าไปได้ ก็อยู่สูงเกินสตรีจะปีนป่าย และแทบมองไม่เห็นจากด้านล่างในเวลามืดค่ำ เอลฟ์มิได้สายตาดีในเวลากลางคืนเหมือนดาร์กเอลฟ์ ลูกครึ่งเอลฟ์ยิ่งมิต้องพูดถึง แม้เจย์จะสายตาดีกว่ามนุษย์ทั่วไปมากหน่อย แต่ภาพที่เห็นก็เต็มไปด้วยจุดกระสีขาว
ขณะเจย์หาทางเข้า เอลฟ์สตรีก็ช่วยหาเช่นกัน บังเอิญที่มือของนางไปแตะตราสัญลักษณ์บนประตู ทำให้ประตูเปิดออกเองอย่างน่าพิศวง โดยที่นางเองก็ไม่ทราบว่าทำไมตนจึงเปิดประตูได้
เจย์ตั้งใจเข้าไปสำรวจโบราณสถาน ก่อนอื่นต้องระวังอากาศด้านใน ปิดตายมานานขนาดนี้อากาศอาจเป็นพิษได้ เขาบอกกับนางว่าต้องการนกสักตัว ปล่อยให้มันบินเข้าไปสำรวจก่อน ถ้านกไม่ตาย คนก็ไม่ตาย
ความจริงเขาเตรียมนกมาด้วยหนึ่งตัว แต่พวกโจรยึดไป ตอนนี้เลยหมดอุปกรณ์หากินไปหนึ่งอย่าง
นางเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัย แล้วบอกว่าถ้าข้างในมีอะไรจริง เราก็ควรรู้สึกก่อน เพราะเรายืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่หรือ จากนั้นก็เดินนำเข้าไป
เมื่อเห็นเจย์ยืนค้าง นางก็หันกลับมา ยิ้มและเอ่ยเหมือนตะล่อมเด็กว่า ‘เห็นไหม ไม่มีอะไร’
เจย์นึกกลับไปตอนนั้นแล้วถอนใจปนขำ เมื่อวานฟ้ามืดแล้วจึงหามุมก่อกองไฟให้ความอบอุ่นและแบ่งเสบียงกัน เขาให้นางนอนหลับพักผ่อนโดยรับอาสาเฝ้ายาม (แอบงีบหลับบ้าง) ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นนานแล้วทว่านางยังหลับอยู่ เขาจึงมองนางไปเรื่อยๆ ยิ่งมองยิ่งเพลินตา เอลฟ์สตรีที่ได้พบเห็นมาไม่มีใครงดงามเท่านางเลย จมูกนิดปากหน่อย
น่ารักน่าจูบ...ถึงเป็นโจรแต่มารดาอบรมให้เป็นสุภาพบุรุษ เขาไม่คิดฉวยโอกาส (จริงๆ ก็คิดนิดๆ) ...ไม่นับที่จูบนางไปก่อนหน้าเพราะเขาแค่อยากลอง ‘ล้างพิษ’ แบบในนิทานที่ได้ฟังตอนเด็ก แต่จะว่าไป บางทีพิษอาจตกค้างอยู่ ดูสิ หลับได้หลับดี
เจย์โน้มลงไปจะล้างพิษให้นางด้วยปากอีกครั้ง
ทว่าการนอนหลับของเอลฟ์สตรีไม่สงบดังเช่นในถ้ำก่อนหน้านี้ เขาเห็นนางกำมือเล็กๆ แน่น หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ซอกคอมีเหงื่อชุ่มลงไปถึงทรวงอก แน่นอน...สุภาพบุรุษย่อมไม่เสียมารยาทด้วยการมองหน้าอกสตรี แต่อาการนางดูแย่ เขาจึงยังไม่ละสายตา เห็นว่าเสื้อผ้าของนางมีรอยขาดเป็นริ้วในบางจุด เนื้อตัวมีรอยช้ำจางๆ เหมือนถูกใครทำร้ายมา ที่ไม่เห็นก่อนหน้าคงเป็นเพราะมืดและเขาก็ใจจดใจจ่อกับการเฝ้ายาม แถมเขายังเหนื่อยสายตัวแทบขาด เลยไม่ได้สังเกตนางให้ดี
เจย์ใช้สายตาแบบหมอตรวจลักษณะช้ำๆ บนขาอ่อนโดยละเอียด
อืม...“เกล” เขาเรียกชื่อที่ตัวเองตั้งให้นางแบบย่อๆ พร้อมแตะแขนนางอย่างแผ่วเบา แต่แรงแค่นั้นก็ส่งให้นางสะดุ้ง ตกใจตื่น ดวงตาคู่งามมองเขา ปากอิ่มเผยอค้าง หอบเบาๆ เหมือนกำลังหวาดกลัว
“เจย์...หรือ” นางเอามือกุมอก รับรู้ว่าหัวใจของตนเต้นถี่เร็วจนปวดหนึบ
“ชี่ ไม่มีอะไร…” เจย์ปลอบนาง ยิ้มบางๆ ให้ เขาหาผ้าสะอาดที่สุดที่พกมาชุบน้ำดื่มแล้วเช็ดใบหน้าจิ้มลิ้ม
บิดามารดาช่างปั้นจริงหนอเจย์สังเกตว่านางสะดุ้งน้อยๆ ตอนมือเขาใกล้ตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็น
บางทีอาจเกี่ยวกับความฝัน
“ฝันถึงมังกรหรือ” เจย์ชะงักมือเพราะนางเกร็งอย่างน่ากลัว เขาส่งเสียงชี่...ชี่...ปลอบนางอีก ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้อีกครั้ง
“มังกร?” นางงงงวย ส่ายหน้า
“มารดาข้าบอกว่าถ้าฝันถึงมังกรจะเสียทรัพย์ ถือเป็นฝันร้ายของข้า” เขาเสริมว่าสะดุ้งขนาดนี้คงเป็นฝันร้ายแน่แท้ ไม่มีใครสะดุ้งเพราะฝันดีหรอก
นางฟังเงียบๆ...นานครู่หนึ่งจึงเอ่ย “มือ…”
“มือ?” เจย์ละมือของตนมาดู เห็นซอกเล็บเต็มไปด้วยดินแห้งกรังก็หัวเราะแห้งๆ คิดว่านางคงรังเกียจ อันที่จริงก็สมควรอยู่...
“มือหลายคู่ จับข้าไว้...เจ็บ” ดวงตาของนางเหม่อลอย คล้ายจิตหลงหายไปในมโนสำนึกซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ภายใน
เจย์พยักหน้าเข้าใจก่อนพูดว่า “แก้เคล็ดดีกว่า”
นางเงยหน้ามองอย่างสงสัย โจรหนุ่มเฉลยด้วยการบิดผ้าแล้วหาที่เหน็บตรงกระเป๋าคาดสะโพก หลังจากนั้นก็เอ่ยขอมือทั้งสองข้างของนาง มือซ้ายของเขารองมือซ้ายของนาง และทำอย่างเดียวกันกับมือขวา ลูกครึ่งเอลฟ์หลับตา ทำปากขมุบขมิบแล้วเป่าพ้วงเข้าที่ฝ่ามือแบบบาง
“มือซ้ายพิฆาตศัตรู มือขวามีชัยเหนือไพรี ข้าเสกมนตร์ให้แล้ว ถ้าเจ้าฝันร้ายอีกให้ฟาดมือใส่พวกมัน ตบให้ลืมทางกลับไปหามารดาเลย”
ผู้ถูกปลอบมีสีหน้าประหลาดใจ มือของนางยังสั่นน้อยๆ ฝ่ามือที่กำแน่นจนเล็บจิกเนื้อเป็นแผลถลอกแดง ทว่ามีมือใหญ่รองใต้มือของนาง ช่วยจับให้มันหยุดสั่น
นางระบายลมหายใจ ตอบรับว่า “อื้ม” อย่างอ่อนแรง
เจย์เหมือนเห็นสตรีตรงหน้าจางหายไปในชั่วขณะนั้น
อันที่จริงชายหนุ่มไม่มีหรอกมนตร์อะไรนั่น แค่เป็นมุกเสริมกำลังใจ แต่ดูนางจะห่อเหี่ยวกว่าเดิม
“ในฝัน ข้าเจ็บเหมือนโดนค้อนทุบไปทั้งตัว แต่มนตร์ของท่าน ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้น” นางเอ่ยเติมกำลังใจให้เจย์ “แล้ว...จะอยู่อย่างนี้หรือ” นางมองมือที่ถูกจับอยู่
"ไหวหรือเปล่าถ้าจะไปต่อ"
เวลานี้สำนึกของเจย์เกี่ยวกับสตรีเอลฟ์ไร้นามตีกันอยู่สามฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากพานางกลับบ้านแต่งเมีย ฝ่ายสองอยากช่วยเหลือนาง ฝ่ายสามอยากใช้ประโยชน์จากนางในการหาสินแร่ (แล้วค่อยพากลับบ้านแต่งเมีย)
และการที่เขาถามไปอย่างนั้นแปลว่าสำนึกที่สามชนะ...
นางพยักหน้า
“ข้าเห็นไอสีดำมาจากทางนั้น ท่านอยากตามมันไปไหม” นางผินหน้าไปทางบันไดวนขึ้นหอคอยขนาดยักษ์
เมื่อเขามองตาม...ก็ไม่เห็นไอสีดำอะไร
แต่เมื่อคิดว่าแค่นางแตะมือ ประตูโบราณสถานก็เปิดออก บางทีนางอาจมีความเกี่ยวพันกับสถานที่แห่งนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
—————————————————————————
A/N #มันก็จะมีความลับหน่อยๆ นะคะ 
พบกันครั้งต่อไปวันที่ 24 พ.ค. 60 ค่ะ
ติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy
♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/
♰ Twitter : @VinzeSchwarz