บทที่ ๑๙
[/b]
วันงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทรามาจิวเวอร์รี่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกเครื่องเพชรและอัญมณีน้ำงามอันดับต้นๆของประเทศ ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
นักข่าวหลากหลายต่างสำนักพิมพ์พากันมารวมตัวอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้กันอย่างหนาแน่น เหตุเพราะงานนี้ผู้ที่มาเข้าร่วมมักมีแต่เหล่าผู้มีอันจะกิน เศรษฐีระดับร้อยล้านพันล้าน บรรดาไฮโซน้อยใหญ่ล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันมาชนิดเรียกได้ว่าจัดเต็มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งกิ๊บ ตุ้มหู สร้อยคอ เข็มกลัด ข้อมือ แหวนเพชรเม็ดโตหลายกะรัต ส่องแสงวับวาวไปทั่วทั้งงาน และเนื่องด้วยมูลค่าสิ่งของภายในงานมากกว่าหลายร้อยล้านบาท ทางเจ้าภาพจึงต้องขอความร่วมมือกับทางกรมตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับS เพื่อป้องกันเหตุจลาจลและความสบายใจของเหล่าผู้ร่วมงานในครั้งนี้
ราเมนทร์มองดูภาพรวมของงานด้วยความพอใจ ค่อยๆยกแก้วไวน์ขึ้นมาละเลียดชิมรสชาติทีละนิด เป็นไปตามที่คาดหวัง ภายในห้องจัดแสดงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา บ้างก็เคยเห็นมา บ้างก็เป็นผู้ลงทุนรายใหม่ที่รอเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกเขา
“จัดงานได้ดีนี่ลักษณ์”
“ถ้าไม่มีนานะช่วยงานก็คงไม่ออกมาสวยและอลังการถึงขนาดนี้หรอกครับ” ศุภลักษณ์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง กวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบที่เสมือนมีมนต์ขลังทำให้ทุกคนตื่นตะลึงและเกิดความหลงใหล รูปแบบการจัดการเน้นความร่วมสมัยผสมไปกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ตอนแรกลักษณ์นั้นคัดค้านเพราะคิดว่ามันไม่มีทางรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ หากนานะกลับทำให้เขาเห็นว่าสองสิ่งที่แตกต่างกันนั้นก็สามารถจัดวางเข้ารูปเข้ากันได้เป็นอย่างดี แถมยังมีความสวยงามและแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
คงต้องยกความดีความชอบให้เจ้าหล่อนเยอะเสียหน่อย ในฐานะคนสร้างสรรค์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ
“และนี่เธอไปเตรียมตัวหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ แล้วผมก็ให้คนดูแลและจัดการตามที่พี่ต้องการ”
ดวงตาสีเข้มของราเมนทร์ทอประกายขึ้นคราหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ...ฉะนั้นตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่รอ
ภายในไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากบริเวณประตูทางเข้า บรรดานักข่าวเมื่อเห็นว่าคนที่มาคือใครต่างวิ่งกรูกันเข้าไปกระหน่ำรัวชัตเตอร์อย่างบ้าคลั่งพร้อมกับแสงแฟลชสาดกระทบไปยังกลุ่มผู้มาใหม่ เวลานี้ไม่มีใครไม่สนใจการปรากฏตัวของนักธุรกิจหนุ่มชื่อดังอย่างอสุเรนทร์ อมาตยสูร เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มากมายทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งมาพร้อมกับน้องชายที่ราศีผู้มีอิทธิพลไม่ต่างจากคนเป็นพี่ อย่างชินกฤตและรณพักตร์ ก่อนเสียงฮือฮาจะเกิดขึ้นอีกระลอกเมื่อชายหนุ่มปริศนาร่างกายสูงเพรียวปรากฏอยู่เบื้องหลังประธานหนุ่มที่ใครๆต่างหลงใหล
เขาเป็นใคร?
นั่นคือสิ่งที่หลายๆคนคิด
ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเป็นมันเล็กน้อยที่สั่งตัดเป็นพิเศษจากช่างฝีมืออิตาลี เมื่อติดกระดุมสูทจะเห็นได้ถึงสรีระของผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน ทรงผมและองค์ประกอบรวมของใบหน้าหล่อทว่ากระเดียดไปทางหวาน จัดว่าเป็นคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง โดยเฉพาะรอยยิ้มหวานที่ส่งตรงมาหากล้องทุกตัวอย่างรู้งานและรู้มุมทำให้รูปที่ถ่ายออกมามีความสมบูรณ์แบบ น่ามองมากทีเดียว
“เปรม อย่ายิ้มสิ” อสุเรนทร์ยื่นหน้ากระซิบแผ่วข้างหูขณะสายตามองไปยังกล้องของบรรดานักข่าวทั้งหลาย คนโดนห้ามได้แต่ทำหน้างง ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ทำไมต้องห้ามยิ้มด้วยล่ะครับ”
“พี่หึง หวงด้วย” อสุเรนทร์กระหยิ่มยิ้มย่อง “เก็บรอยยิ้มของเราให้พี่มองคนเดียวก็พอ”
“มองคนเดียวอะไรเล่า”
ปากแม้บ่นขมุบขมิบหากพวงแก้มน้อยกลับขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ แอบหยิกเนื้อตรงบั้นเอวคนตัวโตผ่านเสื้อสูททางด้านหลัง อสุเรนทร์สะดุ้งเล็กน้อยทว่าก็กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มกระชากใจเหล่านักข่าวโดยเฉพาะสาวๆนี่ยกกล้องกดชัตเตอร์ระรัวครั้งแล้วครั้งเล่า มันน่าบิดให้ตัวลายเสียจริง
“สวัสดีครับคุณอสุเรนทร์”
กลุ่มบุคคลอันคุ้นหน้าคุ้นตาเอ่ยทักทายหลังจากเดินออกมาต้อนรับพวกเขาถึงหน้าประตูทางเข้างาน ราเมนทร์เหลือบมองเปรมแวบหนึ่งก่อนหันไปอมยิ้มให้เหล่าวงศาอมาตยสูร
วันนี้ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำเข้มตัวยาวเช่นเดียวกันกับสีเสื้อคอเต่าด้านใน ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวเหลืองเนียนละเอียด ประกอบกับทรงผมที่ถูกเซ็ตเปิดหน้าผากทำให้ดูสง่ากว่าเดิม รณพักตร์หันไปอีกทางแล้วเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
“ดีใจที่พวกคุณมางานเปิดตัวเครื่องเพชรของผม”
“เจ้าของงานอุตส่าห์เชิญ ถ้าไม่มาเดี๋ยวก็หาว่าเล่นตัวสิครับ”
“เจ้าอิน” ชินกฤตส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
“คุณศุภลักษณ์ชวนทั้งทีพวกเราก็ต้องมาสิครับ โดยรวมงานจัดออกมาสวยแปลกตาดี แต่ผมคาดว่าพวกคุณคงไม่ได้จัดเองหรอกใช่ไหม ดูจากความคิดความอ่านโดยเฉพาะของคุณราเมนทร์เนี่ยทำอะไรสวยๆงามๆ เลิศสะแมนแตนแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“เจ้าอิน อาบอกให้หุบปาก”
“ผมก็แค่พูดในฐานะคนรู้จักกัน”
หึ รู้จักกัน
“สวัสดีครับเปรม ไม่ได้เจอกันนานสบายดีไหม”
“ก็สบายดี สบายดีมากเลยล่ะครับ” อสุเรนทร์เป็นคนตอบแทนร่างบางที่ตอนนี้แทบจะจมลงเข้าไปในอกกว้างเพราะความหึงหวงแรง มือหนาที่บีบไหล่เขาอยู่เป็นสิ่งบอกให้เปรมปิดปากเงียบ ให้พวกเขาพวกคุยกันเองน่าจะเหมาะกว่า
“ขอโทษนะ แต่...เอ...ชื่อเปรมเหรอ”
“ผัวกับเมียมันก็คนๆเดียวกัน การที่ฉันจะตอบคำถามของนายแทนเปรมเนี่ยมันแปลกตรงไหน”
“ก็ไม่แปลกหรอก แค่คนที่ฉันต้องการให้ตอบคือเปรมเท่านั้น”
“อย่าเรื่องมากได้ไหม”
“นายก็อย่ามาจุ้นสิวะ”
ไอ้พระรามสะพานหักโค้งนี่!
ดูเหมือนจะไปลับคมปากมาใหม่สินะ ถึงได้คมกริบต่อกรกับเขาเก่งขึ้น
“คงไม่จุ้นไม่ได้ล่ะนะ ประเดี๋ยวพวกแมลงผู้ตัวอื่นจะได้ใจแล้วแย่งพ่อเกสรหอมหวานไปจากฉัน”
“พี่ทศ พอเถอะครับ” ร่างบางผละตัวออกจากคนรัก ผงกศีรษะขอโทษอีกฝ่าย “ต้องขอโทษแทนคุณอสุเรนทร์ด้วย ผมสบายดี ไม่มีปัญหาอะไร แล้วคุณ...คงสบายดีใช่ไหม”
“เปรมจ๋าไปพูดกับมันทำไม”
“หยุดเลย แค่ตอบเฉยๆมันจะอะไรนักหนา”
“ตอบเฉยๆก็ไม่ได้”
“พี่ทศ”
“อย่าทะเลาะกันครับ ผมสบายดี...แต่ถ้าจะสบายกว่านี้ถ้าเปรมกลับมาเรียกผมว่าพี่เหมือนแต่ก่อน”
“ผัวเขายืนอยู่ตรงนี้ทนโท่ ยังมีหน้ามาขอให้เรียกพี่อีกเรอะ”
“เจ้าอิน! ยังจะพูดอีก” หันไปตีไหล่แข็งแรงของหลานชายเต็มแรงจนเจ้าตัวสะดุ้ง ลูบบริเวณโดนกระทำชำเรา(?)อย่างโอดครวญ
“ไม่เป็นไรครับคุณชินกฤต ผมชินเสียแล้วล่ะ” ปรายตาไปยังอีกคน “ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นอสุเรนทร์ ฉันไม่ได้คิดเล่นละครตบตาหรือวางแผนอะไรอีกแล้ว นายอาจจะเห็นว่าฉันเป็นคนเลว แต่ฉันน่ะก็เป็นคนดีมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองควรยืนอยู่ตรงไหน วางตัวอย่างไร เรื่องของเปรมถึงฉันจะลงประชันกับนายต่อยังไงเปรมก็เลือกอยู่ข้างนายมากกว่าอยู่ดี”
“ฉันจะรู้ได้ไงว่าแกโกหกหรือไม่โกหก”
“พี่ทศ” เปรมเอ่ยปราม
“ก็มันจริงนี่ น้องยังไม่รู้ในอดีตมันทำอะไรกับพี่บ้าง”
“...”
“เพราะไอ้ใบหน้าแสนดีเหมือนพระเอกลิเกหลังตลาดตอนค่ำเนี่ยแหละที่หลอกให้พี่ตายใจมานักต่อนัก หึ ทำเป็นพูดดี สุดท้ายแกก็ลอบกัดฉันจนยับเยิน!”
“ท่านพี่ใจเย็นหน่อย”
ชินกฤตเอื้อมจับบ่ากว้างของพี่ชายแน่น มันคงไม่ดีแน่ถ้ามาทะเลาะกันตรงนี้ต่อหน้าคนและผู้สื่อข่าวที่ชอบสอดเสือกสายตานับไม่ถ้วน จากหัวข้องานเปิดตัวเครื่องเพชรตัวใหม่จะกลายเป็นการห้ำหั่นกันเองของสองผู้นำบริษัทส่งออกจิวเวอร์รี่ยักษ์ใหญ่แทน
“ขอบอกไว้ตรงนี้ คนนของกู อ้ายอีอย่างมึงอย่าคิดแตะต้อง”
“คราวนี้ฉันพูดจริงๆ ฉันยอมแพ้แล้วจริงๆอสุเรนทร์ ในเมื่อเปรมเขาไม่รักฉันเขารักเพียงแค่นาย จะให้ฉันเอาแรงกายแรงใจที่ไหนไปสู้ ถ้าเรื่องในอดีตมันทำให้นายยังแค้นเคืองไม่หายก็ขอโทษด้วย แต่ต่อไปนี้ฉันรับปาก...พวกเราจะไม่มีเรื่องบาดหมางต่อกันอีก ต่างคนต่างอยู่ นายได้เปรมไป ส่วนฉัน...ก็แค่ใช้ชีวิตอยู่กับงาน”
“เข้าใจพูดดีนี่ ไปท่องสคริปต์เตรียมมากี่วันแล้วล่ะ”
“พี่ทศ”
ท่อนขาแข็งแรงของอสุเรนทร์ก้าวประชิดราชันย์แห่งอโยธยา ดึงตัวอีกฝ่ายมากอดไหล่ไว้หลวมๆและกระซิบ “อย่าคิดว่าข้าจักเชื่อใจเจ้าพระราม มิว่าอย่างไรข้าจักจับตาดูเจ้าเอาไว้ ทุกเพลา ทุกฝีก้าว หากยังคิดตอแหลมากเพทุบาย ใช้แผนชั่วชิงเปรมไปจากข้าอีก เมื่อนั้นข้าจักเป็นคนปลดชีวีเจ้าด้วยมือข้าเอง”
ราเมนทร์แค่เค้นหัวเราะในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาฉาบไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร หากทว่าในความคิดของผู้ที่เห็นอย่างชินกฤตและรณพักตร์ มันกลับเป็นรอยยิ้มที่อาบไปด้วยยาพิษชั้นดี มีเลศนัยมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ภายในดวงตาอบอุ่น...
“ฉันพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น”
“ก็ขอให้มันจริงอย่างปากว่าก็แล้วกัน”
“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผม หัสดินทร์ เทพฉาย ขอต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นทางการในงานเปิดตัว The gleam of diamond ภายใต้ชื่อ รามาจิวเวอร์รี่ ซึ่งผมขอบอกเลยว่าเพชรแต่ละตัวที่ทางผู้จัดนำมาเนี่ยล้วนแล้วแต่มีมูลค่ามหาศาล แสงนี่แวววับเข้ามาผมมาก เห็นแล้วก็อยากได้มาครอบครองสักชิ้น มันคงเป็นบุญของผมมากทีเดียว...และก็ขอแสดงความยินดีกับเหล่าสุภาพบุรุษที่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยนะครับ เพราะทางผู้จัดได้เล็งเห็นสร้างเครื่องประดับมาให้เหมาะสมแก่คุณผู้ชายทุกท่านเป็นที่เรียบร้อย รับรองได้ว่าถ้าเห็นพวกคุณจะต้องรีบซื้อรีบจับจองกันอย่างแน่นอน...แค่ได้ฟังก็อยากเห็นกันแล้วใช่ไหมครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเชิญรับชมได้เลยครับ”
ดวงไฟรอบห้องโถงใหญ่ค่อยๆหรี่แสงลง เหลือเพียงแสงจากด้านบนเวที ดรายไอซ์สีขาวขุ่นลอยคละคลุ้งอวลอยู่ในอากาศ กระทบสปอร์ตไลท์แสงสีนวลตาและเสียงเพลงที่ดังคลอเอื่อยอ่อนเพื่อให้เข้ากับจังหวะการเดินของนายแบบนางแบบ เปรมมองบนเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ นับเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้มาดูงานแบบนี้ อสุเรนทร์ยิ้มน้อยและยึดมือเรียวไปกุมบนตักของตน
“ตื่นเต้นเหรอ มือเย็นเชียว”
“ตื่นเต้นสิครับ นี่มันงานโชว์เพชรของคนมีเงินเชียวนะ”
“อีกเดี๋ยวก็ชิน” คนร่างบางเอียงคอมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ อสุเรนทร์กระตุกยิ้มนิดและโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆปลายหูคนรัก...อย่างเชื่องช้า
“เป็นเมียท่านประธานส่งออกเครื่องเพชรยังไงก็ต้องคุกคลีอยู่กับเพชรอยู่กับพลอย ถ้าเปรมไม่ชินแล้วจะสมเป็นเมียพี่ได้อย่างไรถูกไหม”“เปรมไม่ได้เป็นเมีย”
“เอากันมาตั้งหลายรอบนี่ยังไม่เรียกผัวเมียอีกเหรอ”“ฮื่อ บ้า ไม่พูดด้วยแล้ว” รีบสะบัดหน้าหนีอย่างขลาดเขิน คนอะไรเสี่ยวได้ตลอดเวลา ยิงมุกจีบเป็นว่าเล่น และแบบนี้เมื่อไหร่หัวใจเขาจะเต้นเป็นปกติเสียที
ผ้าไหมไทยสีแดงหม่นสลับทองค่อยเลื่อนเปิดออกทั้งสองด้านก่อนนางแบบคนแรกจะเดินออกมาในชุดกึ่งไทยกึ่งตะวันตก เพชรบนร่างของนางแบบล้วนดูน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร ความงามของน้ำเพชรที่ส่องระยิบระยับแสบตา ทุกอย่างล้วนดูลงตัว
นายแบบนางแบบแต่ละคนเดินกรีดกรายโชว์เครื่องเพชรที่สวมแตกต่างกันออกไป ทำให้เพชรโดดเด่นและมีประโยชน์มากกว่าการเป็นเพียงเครื่องประดับราคาแพงทั่วๆไป น้ำงามต้องตา สมบูรณ์แบบมากทีเดียว...ขอยอมรับจากใจครั้งนี้ประธานหนุ่มรามาจิวเวอร์รี่วางแผนจัดการงานได้ดี นับว่าประสบความสำเร็จที่สุดทั้งเรื่องผลผลิตและการตอบรับจากเหล่าไฮโซคนดังทั่วเมืองกรุง โดยอย่างยิ่งบรรดาคุณหญิงคุณนายไฮโซต่างจับจ้องเครื่องเพชรแต่ละชิ้นไม่วางตา
“ก็อยากยอมรับหรอกนะว่าเพชรล็อตใหม่ของพี่นายมันสวยจริงๆ” รณพักตร์เอ่ยชมขณะกวาดสายตาไปยังหญิงสาวร่างสูงเพรียวบนเวทีที่สวมชุดกรีกสีขาวยาวพลิ้วไสว สร้อยเพชรประดับอัญมณีแห่งท้องทะเลส่องประกายเรืองรองจากทั้งลำคอขาวและข้อมือเรียว...ผู้หญิงสวยๆที่สวมเพชรแวววับมักน่าตรึงตราตรึงใจสำหรับเขาเสมอ นางแบบลูกครึ่งหยุดยืนตรงเบื้องหน้า ลูกแก้วกลมโตสีฟ้าน้ำทะเลเหลือบมาสบตาเขา ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดยกยิ้มยั่วยวน...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหล่อนต้องการอะไร แน่นอนเขาย่อมไม่ปฏิเสธ
“เอาดีๆเพชรสวยหรือนางแบบที่สวยกันแน่”
“สำหรับพี่อิน น้องลักษณ์สวยที่สุดจ๊ะ”
“ไม่ต้องมาชม”
“โธ่ งอนพี่เหรอ เดี๋ยวคืนนี้จัดให้สักดอกดีไหม”
“ไอ้คนทะลึ่ง”
“ทะลึ่งตรงไหนครับ พี่หมายถึงจัดดอกกุหลาบส่งไปง้อคนสวยสักดอกต่างหาก” เรียวแขนเล็กทว่าแข็งแรงยืดจนสุด ค่อยๆโอบไหล่บางและลูบไล้มันเบาๆ “หรือว่า...น้องลักษณ์คิดอะไรที่มากกว่านั้น พี่จัดให้ได้นะ” ลิ้นแดงแลบเลียริมฝีปากตนเองคล้ายพวกโรคจิตเต็มไปด้วยความต้องการ ศุภลักษณ์รีบเสมองไปทางอื่นอย่างขลาดอาย
“คะ...ใครคิด บ้าหรือเปล่า”
“เสียงสั่นเชียว โซ คิ้วท์ฝุดๆ”
“เอาแขนนายออกไปจากไหล่ฉันเดี๋ยวนี้ก่อนฉันจะเรียกกบินทร์มาจัดการ” รณพักตร์ชายตาไปยังมนุษย์หน้าขนตัวขาวที่ยืนห่างออกไปไกลพอสมควร สีหน้าขมึงขึงขังทำเขาต้องโอบร่างบางแน่นกว่าเดิม พร้อมเอียงคอซบยกคิ้วกวนประสาทจนอีกฝ่ายได้แต่ยืนกัดฟันกรอดอย่างโมโหทว่าก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง โถ...โถช่างน่าสงสาร ได้แต่ยืนอยู่ในเงามืดไม่มีบทบาทอะไรกับคนอื่นเขาเลย
“อื้อ ปล่อย ฉันอึดอัด”
“ให้หอมก่อน”
“จะบ้าเหรอ” เมื่อรู้ตัวว่าใช้เสียงดังเกินไป ศุภลักษณ์จึงหันไปขอโทษขอโพยคนอื่นก่อนจะฟาดมือเรียวของตนเข้าที่สะบักไหล่อีกคนเต็มแรง เลื้อยเร็วกว่าปลาไหลก็ไอ้ยักษ์พริกขี้หนูข้างๆเนี่ยแหละ
“อยากหอมอ่ะ ได้ปะ”
“ไม่”
“งั้นลักษณ์หอมพี่ก็ได้” พองแก้มป่องข้างขวาแล้ว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย ฉันรำคาญแล้วนะ”
“เป็นคนที่รักเธอไปจนหมดลมหายใจ ถ้าฉันขอสัญญาว่าเธอจะเป็นคนรักสุดท้าย จะไม่ทิ้งไม่ไปไหน จะรักเธอไปจนวันตาย ฉันขอเพียงให้เธอบอกว่ารักคนคนนี้เหมือนเหมือนกัน...” อยากจะบ้าตายเกิดมาเพิ่งมีคนมาสารภาพรักโดยการร้องเพลงจีบ มันคงจะไม่น่าอายเท่านี้ถ้าผู้หญิงสองคนคนที่นั่งข้างๆไม่ส่งเสียงกรี๊ดพร้อมกับพูดซ้ำไปวนมาว่า เคะเมะอ่ะแก ฟิน...ฟิน ยิ่งเจ้ายักษ์บ้ากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมมือหนาที่เลื่อนลงไปโอบเอวของเขายิ่งเรียกเสียงกรีดร้องโหยหวนจากหญิงสาวทั้งสองได้เป็นอย่างดี หัวใจผู้น้องแห่งกษัตริย์อโยธยาที่เคยเต้นปกติก่อนหน้านี้ก็กลายมาเต้นแรงขึ้นอย่างแปลกประหลาด เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าจนร้อนไปหมด ศุภลักษณ์รู้สึกมันบ้ามากที่ต้องมาเกิดอาการบ้าๆเพราะคนที่เกลียดขี้หน้าเข้าไส้
ไม่...ห้ามเด็ดขาด
“เขินพี่แล้วใช่ไหม”
“ใครเขิน”
“ใคร...ก็รู้อยู่แก่ใจ”
“หันไปดูนางแบบสวยๆเลยไป”
รณพักตร์แอบส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู...ไม่นานนักรอบด้านก็ตกอยู่ในความมืดเมื่อไฟบนเวทีดับลง จังหวะเพลงที่แปลกไปจากเดิมเรียกให้รากษสหนุ่มปรายตาให้ความสนใจ แสงสปอร์ตไลท์สว่างวาบขึ้นอีกครั้งพร้อมการปรากฏของชายร่างกำยำสองคนยืนเอามือไขว้หลัง เปลือยท่อนบนเผยมัดกล้ามเปี่ยมด้วยพลัง ท่อนล่างอยู่ในเครื่องนุ่งห่มแบบจีบโจงหน้าคล้ายเครื่องทรงสมัยโบราณ เสียงกลองดังกึกก้องและหนักแน่นดั่งฟ้าคำราม หญิงสาวสี่คนเดินร่ายรำออกมาคนละฝั่งของตัวเวที โปรยกลีบเกสรร่วงหล่นไปตามทาง หมู่มวลบุษบันส่งกลิ่นหอมคุ้นจมูก
ดอกมณฑา...“ออกมาแล้ว”
นั่น!
“ไม่จริงน่า”
ราวดวงฤทัยโอรสแห่งทศกัณฐ์คล้ายตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เปรียบขนนกร่วงโรยสู่หุบผารัตติกาล หัวสมองคิดสิ่งใดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างห้อยตกข้างลำตัวพร้อมเหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นมากมายบนหน้าผาก ปากอ้าแล้วหุบ อ้าอีกครั้งแล้วก็หุบลงตามเดิมอย่างคนพูดอะไรไม่ออก ปรายตาไปยังผู้เป็นพ่อและอาที่มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่แพ้เขาสักเท่าไหร่นัก ไม่มีใครรู้...ไม่มีใครคาดคิด
“นะ...นี่มันอะไรกันลักษณ์”
“คนรู้จักฉันน่ะ พี่รามเขาวานให้มาช่วยเดินแบบให้ สวยจนตะลึงเลยใช่ไหมล่ะ”
ใช่ สวย....สวยจนเขามิกล้าสบตา
ก็ได้แต่ภาวนาให้พระบิดามิหลงใหลในตัวอดีตพระมารดาเลย มันคงจะเป็นปัญหาระดับโลกแน่ๆถ้าจากรักสามเส้าเคล้าน้ำตาจะเพิ่มขึ้นมาเป็นสี่!
อสุเรนทร์ทอดสายตามองสตรีเรือนร่างสมบูรณ์สวมพัสตราภรณ์ทรงสง่า ผ้าแถบสีเปลือกมังคุดมันเงาที่ถูกถักทอออกมาอย่างประณีตช่วยขับให้ผิวของผู้สวมใส่ขาวกระจ่างดั่งพระจันทร์เดือนแรม ผ้านุ่งยกดอกลอยฝาบาตรปักเลื่อมดิ้นครุยสีเงินคาดด้วยเข็มขัดทอง ถนิมพิมพาภรณ์เปล่งประกายเรืองรองชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
งามพักตร์ยิ่งชั้นมหาราช งามวิลาสล้ำนางในดึงสา
งามเนตรยิ่งเนตรในยามา งามนาสิกล้ำในดุษฎี
งามโอษฐ์งามกรรณงามปราง ยิ่งนางในนิมาราศี
งามเกศยิ่งเกศกัลยาณี อันมีในชั้นนิรมิต
ทั้งหกห้องฟ้าไม่หาได้ ด้วยทรงลักษณ์วิไลไพจิตร
ใครเห็นเป็นที่เพ่งพิศ ทั้งไตรภพจบทิศไม่เทียมทัน รามเกียรติ์ ตอนกำเนิดนางมณโฑ
นานเท่าใดอสุเรนทร์มิอาจทราบได้ ถ้าไม่มีแรงสะกิดและเสียงเรียกจากน้องชายแว่วเข้ากระทบโสต เขาก็คงจมดิ่งอยู่กับเงียบสงัดจิตใจอยู่อย่างนั้นอีกนานเท่านาน
“ท่านพี่ทศ”
พญารากษสไม่แม้แต่จะสนใจสักนิด ดวงเนตรยังคงจับจ้องแต่เพียงนางแบบร่างสูงบนเวที และผู้คนในงานก็พากันเอ็ดอึงดั่งสนั่นอีกหนเมื่อผ้าสีดำที่ปิดคลุมบนบ่านั้นร่วงหล่นไปกองบนพื้น สร้อยเส้นหนาที่มีจี้เป็นพลอยมรกตเขียวเข้มรอบด้านเป็นทองแท้ล้วนแกะสลักด้วยลวดลาดฉลุสะดุดตา มันส่องประกายระยิบระยับยิ่งกว่าเพชรเม็ดใดที่พานพบ...อสุเรนทร์รู้ได้ในทันทีว่ามันคือเครื่องประดับชิ้นโปรดของอดีตมเหสีแห่งลงกา และเป็นเพียงชิ้นเดียวที่ตัวเขานั้นประทานมาให้แก่นางในดวงใจในวันอภิเษกสมรส
ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขา นางมณโฑและเหล่าเผ่าพงศ์รากษสในอดีต
อสุเรนทร์ที่ให้ช่างปั้นแต่งผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ขึ้นมามีหรือจะดูไม่ออกว่ามันคือชิ้นงานใหม่ที่ราเมนทร์สร้างขึ้น หรือ...เป็นถนิมพิมพาภรณ์จอมนางแห่งลงกาชิ้นเก่าดั้งเดิมที่หายไปเมื่อพันปีก่อนอย่างไร้ร่องรอย
วงหน้าแฉล้มใต้กรอบชฎายอดแหลมรัดศีรษะเรียบสนิทฉายฉัดถึงความสูงส่ง อำนาจแห่งกษัตริยาที่ไหลเวียนอยู่ในกาย...ทุกท่วงท่า...ทุกย่างก้าว อสุเรนทร์เหมือนตกลงไปใต้บาดาลลึก อึดอัด หายใจไม่ออก
พานให้คิดย้อนถึงคำพูดที่นางได้ลั่นเอาไว้เมื่อครั้นอดีตกาล
‘แม้นตัวข้าจักมิใช่สีดา หากข้าก็คือเมียคนหนึ่งของพระองค์...ย่อมปรารถนาความรักจากผู้เป็นสามี’
‘แต่พระองค์กลับละเลย...ข้ามิสามารถให้อภัยพระองค์ได้’
‘นับจากเพลานี้ อีกกี่ปีอีกกี่ชาติ พระองค์จักต้องอยู่ตัวคนเดียว...แค่กๆ...หากมีคู่ครองก็ขอให้ร้าวฉานฉิบหาย ฤายามใดใกล้ม้วยมรณาก็ขอให้สิ้นชีวาเพราะเนื้อมือนางอันเป็นที่รัก’
‘มณโฑ!’
‘พระองค์จักมิมีวันหลุดจากบ่วงรักของข้าได้จนกว่าข้าจักเป็นคนตัดมันให้ขาดเสียเอง จงจำไว้แม่นมั่นเสียเถิดทศกัณฐ์’เขาควรทำอย่างไรดี...
“พี่ทศ เป็นอะไรหรือเปล่าครับหน้าซีดเชียว” เปรมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากสังเกตอาการคนด้านข้างมาได้สักพักนับตั้งแต่นางแบบคนล่าสุดเดินออกมา
“พี่ไม่เป็นไร”
“แต่ใจใช่ไหม”
“อืม”
“แต่พี่...”
“พี่บอกว่าไม่เป็นอะไรไง!”
“ว๊าย!”
“โอ๊ะ นางแบบเป็นลม ใครก็ได้ช่วยที ช่วยหน่อยครับ”
เปรมถึงกับผงะเมื่ออีกฝ่ายกระชากเสียงใส่พร้อมปัดมือของเขาที่จับบนบ่ากว้างออก วิ่งเข้าไปช้อนตัวอุ้มหญิงสาวที่เป็นลมหมดสติทันทีที่ทีมงานร้องขอความช่วยเหลือ แผ่นหลังกว้างที่เห็นจนชินตาบัดนี้กลับอยู่ไกลแสนไกล ยากเกินจะเอื้อมคว้าไว้ทัน หัวสมองหนักอึ้ง นัยน์ตาหวานสั่นไหว คล้ายมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ในอกปิดลำคอจนเรียวปากมิอาจเปล่งวาจาใดได้อีกต่อไป
มึนงง...สับสน...ว่างเปล่า
ถึงจะแค่แวบหนึ่ง หากทว่าแววตาที่อสุเรนทร์ส่งไปยังผู้หญิงคนนั้นมันเต็มไปด้วยรัก คะนึงถึง โหยหา โศกเศร้า เสียใจ...หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ เสมือนมีเข็มแหลมนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าไปที่ก้อนเนื้อบริเวณอกซ้ายจนรู้สึกเจ็บปวดจนสุดบรรยาย มีแต่คำว่าทำไมๆถามวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
รณพักตร์และศุภลักษณ์รีบวิ่งมาดูอาการคนร่างบางเมื่อผู้เป็นพ่อเดินหายลับเข้าไปทางด้านหลังเวทีพร้อมกับเจ้าหน้าที่ประสานงาน
“อากฤต”
“ยังไม่ใช่เวลาถามเจ้าอิน กลับบ้านค่อยว่ากันอีกที”
รากษสร่างเล็กพรูลมหายใจยาวเหยียด “ไม่เป็นไรใช่ไหมเปรม”
“ครับ...ผมไม่เป็นไร” ถึงเจ้าตัวจะตอบแบบนั้น แต่ดวงตาและน้ำเสียงที่เศร้าเกินเหตุและไหนจะน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด มันก็พอทำให้เขารับรู้ว่าอาการของคนตรงหน้าสาหัสมากน้อยแค่ไหน
“อากฤตพาเปรมไปส่งบ้านก่อนเลย ทางนี้ผมอยู่จัดการเอง”
“แล้วเจอกันที่บ้าน”
รณพักตร์พยักหน้าตอบรับ เบือนมองคนรักของผู้เป็นพ่อที่อาชินกฤตประคองออกไปจนสุดสายตา อารมณ์ที่เคยราบเรียบกลับลุกโชนดั่งไฟบรรลัยกัลป์จากขุมนรก ดวงเนตรสีแดงแวววาบจับจ้องศุภลักษณ์สงบนิ่งโดยมีไอ้กบินทร์ลิงเผือกยืนประกบอยู่ทางด้านหลัง เรียวปากปรากฏรอยยิ้มเหยียดนิดๆ
“พวกนายรอคอยเวลานี้อยู่สินะ ใช่ไหมลักษณ์”
“รอคอยอะไรอิน”
“พวกนายนี่มันเลวเสมอต้นเสมอปลาย เลวไม่มีที่ติ”
“นายพูดเรื่องอะไร ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้ไหม” คิ้วเรียวขมวดเข้ากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เขาทำอะไรให้ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ
“อย่ามาทำไขสือ นายจะแกล้งโง่บอกว่าไม่รู้จักพระมารดาข้าหรือไง”
“แล้วมณโฑเกี่ยวอะไรกับที่นายมาว่าฉันด้วย”
“เพราะคนที่นายบอกรู้จัก ผู้หญิงที่เดินแบบแล้วเป็นลมจนพระบิดาต้องรีบวิ่งไปดูอาการคืออดีตพระมารดาของฉันเอง ได้ยินชัดหรือยังเธอคือนางมณโฑ!”
“ไม่จริงน่า”
“ฉันก็หลงเชื่อว่านายจะดีกว่าพี่ชาย แต่เห็นแบบนี้มันก็เลวกันทั้งตระกูลล่ะวะ”
“มันจะมากไปแล้วนะอินทรชิต!”
กบินทร์ปรี่ตัวเข้ามาขย้ำคอเสื้อรณพักตร์ หากถูกปัดออกอย่างแรงพร้อมฝ่าเท้าที่ยันหน้าท้องท้องแกร่งของพญาวานร หากในครานี้กบินทร์กลับหลบได้ทันพร้อมสวนหมัดเข้าใส่จนร่างทั้งร่างของรณพักตร์ล้มลงไปนอนกองกับพื้น แล้วคร่อมตัวต่อยใบหน้าศัตรูคู่แค้นไม่ยั้ง
“พอได้แล้วกบินทร์”
“แต่...”
“ฉันบอกให้พอ!”
รณพักตร์นอนหอบหายใจบนพื้นพรม เสียงที่ดังอื้ออึงจากทั่วสารทิศไม่ได้เข้าหัวเขาแม้แต่น้อย พยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ใช้หลังมือปาดคราบเลือดที่ไหลซิบบริเวณมุมปากและโหนกแก้ม
“เอาเลยสิ เข้ามากระทืบฉันเสียให้พอให้สมกับความแค้นที่พวกนายรอคอย...แต่จะบอกอะไรสักนิด คนอย่างฉันถึงจะเป็นคนเลวทำชั่วมากมายแต่ก็ไม่เคยคิดแผนตลบหลังใคร พวกนายอยากจะแก้แค้นพวกฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าเอานางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นายไม่รู้หรอกว่าพระบิดาฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง...หากพี่ชายนายทุกข์เพราะรักนางสีดา พระบิดาของฉันก็คงทุกข์เพราะความรักทีมีต่อสีดามากเกินไปและความรู้สึกผิดที่ทำให้นางมณโฑต้องตาย”
ดวงเนตรคมเอ่อล้นด้วยน้ำตาหลั่งลงมาเป็นสาย “ครั้งนี้เป็นครั้งที่ฉันโกรธและเจ็บใจมากที่สุด ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆศุภลักษณ์”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะอิน ฉันไม่รู้...ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
ศุภลักษณ์ส่ายศีรษะปฏิเสธพัลวัน ยื่นสัมผัสข้อแขนแข็งแรงแน่นราวกับสื่อความในใจบอกให้รู้ว่าเขาไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านานะคนที่เขาอุปการะคือนางมณโฑในอดีตชาติ
“ขอร้องล่ะเชื่อฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ”
“จะมาบอกตอนนี้ก็ยากไปเสียแล้วล่ะ เพราะความไว้ใจที่ฉันมีให้มันเลือนหายนับตั้งแต่วินาทีที่นางก้าวเท้าเดินออกมา”
“!!”
“นับจากนี้เราไม่มีคำว่าญาติดีต่อกันอีก เมื่อเลวมาฉันก็จะเลวกลับเป็นหมื่นเท่าล้านเท่าและต่อให้คนคนนั้นคืออดีตพระมารดาฉันก็ไม่คิดไว้หน้าทั้งสิ้น”
พี่อินของเรามีความโหดดด ฮื่อออพี่ทศศศศ ไปหานางมณโฆทำม้ายยย
เปรมเขาน้อยใจแล้วนะเว้ย
มาลงแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวเราจะกลับมาต่อครึ่งหลังให้ช่วงเย็นๆ